Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2565_พระมหาชาญ อชิโต

2565_พระมหาชาญ อชิโต

Published by E-Library, Buddhist Studies, MCU Surin, 2023-06-27 06:36:30

Description: 2565_พระมหาชาญ อชิโต

Search

Read the Text Version

๓๕ เป็นอยู่ การประกอบสัมมาอาชีพบำรุงขวัญกำลังใจ ให้มีความสงบสุขและได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ชีวิตในปัจจุบัน และอนาคตเป็นการเสริมสรา้ งคุณธรรม จรยิ ธรรมใหเ้ กิดขนึ้ ภายในใจ๓๘ พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์ที่ควรดำเนินบทบาทด้าน การสงเคราะห์ ไวด้ ังต่อไปน้ี ๑) การใหค้ ำแนะนำทางจิตใจ เปน็ ที่ปรึกษาเกย่ี วกับปญั หาชวี ิตต่าง ๆ ๒) การเป็นท่ีพึ่งให้ความร่มเย็นทางจิตใจด้วยการประพฤติเป็นตัวอย่างตลอดจนสถานที่วัด วาอารามทส่ี งบ รม่ รนื่ เป็นองค์ประกอบสำหรบั หล่อเล้ียงจิตใจของสงั คมอย่างหนึ่ง ๓) การให้คำปรึกษาแนะนำด้านอื่น ๆ เท่าที่ทำได้ เช่น ในทางวิชาการเป็นต้นที่ผู้ปรึกษา สะดวกใจและสนิทใจ ๔) ในสังคมชนบทท่ีกำลังพัฒนา เมอื่ ชาวบา้ นยงั ไม่พร้อมท่ีจะช่วยตัวเองในการพัฒนานั้นได้ พระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำในท้องถิ่นอยู่แต่เดิมแล้ว หากได้ท่านเป็นศูนย์กลางและท่านได้มีโอกาสเตรียมตัว พรอ้ ม ก็อาจจะเป็นผู้ปิดชอ่ งว่างที่มีอยู่ในงานพัฒนา และจะเป็นผนู้ ำช้ีช่องทางในการท้องถิ่นจะรับความ เจริญใหม่ ๆ ได้ บทบาทนี้อาจประกอบด้วยข้อเสนอแนะความคิดริเริ่มว่า ในถิ่นน้ันมีอะไรที่จะทำให้เกิด ประโยชน์แก่ส่วนรวม ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นแล้วเป็นศูนย์รวมประชาชนมาทำงานนั้น หรืออาจเป็น ที่ปรึกษาท่ีชาวบ้านมาขอความคิดเห็นว่าจะทำส่งิ น้ันสงิ่ นี้ขึ้นในทอ้ งถนิ่ จะควรหรือไม่ควรถ้าพระมีความรู้ กแ็ นะนำได้ เปน็ การให้ความอ่นุ ใจแก่ประชาชน ๕) การสงเคราะห์ทางจิตใจอีกอย่างหน่ึง ซึ่งเป็นส่ิงสำคัญอยู่สำหรับประชาชนทั่วไปแม้ท่ี เป็นพุทธศาสนิกชนในฐานะเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ สืบเน่ืองมาจากความเร้นลับของชีวิตอย่างท่ีบาง ท่านเรียกว่าการบำรุงขวัญ ข้อนี้ได้แก่บทบาทประเภทพิธีกรรมต่างๆ และยังได้กล่าวถึงหลักธรรมการ พฒั นาจติ ใจมนุษย์ ไว้ดังนี้ (๑) การพัฒนาทางกาย ได้แก่ การพัฒนาคนให้มีร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพพลานามัย สมบรู ณ์ดมี ปี ัจจัย ๔ พอเพียงท่จี ะดำรงชวี ิตอยู่ในสงั คมอย่างเหมาะสม (๒) การพัฒนาด้านศีล ได้แก่ การพัฒนาด้านการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ทำให้คน ในสังคมมีระเบียบวินัย มีความประพฤติดี มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ไม่ก่อให้เกิดการเบียดเบียน ตลอดจนมคี วามสุจริตทง้ั ทางกาย วาจา ใจ และอาชพี (๓) การพัฒนาด้านจิต ได้แก่ การพัฒนาด้านการฝึกอบรมจิตตนเอง พัฒนาตนเองให้ เจริญข้ึนมีคุณธรรมเพ่ือให้มีคุณภาพจิตที่ดี มีจิตใจท่ีมั่นคงไม่ปล่อยให้จิตคิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่าง ๆ เม่อื สุขภาพจิตดจี ะก่อให้เกิดมีสุขภาพดีไปดว้ ย ๓๘ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต), พระกับป่ามีปัญหาอะไร, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (นนทบุรี: สำนักพิมพ์ภาพ พมิ พ,์ ๒๕๓๕), หน้า ๕๘.

๓๖ (๔) พัฒนาปัญญา ได้แก่ การพัฒนาการฝึกอบรมปัญญาให้รู้และเข้าใจ มองเห็นส่ิง ท้ังหลายตามความเป็นจริง จะต้องฝึกปัญญาทั้งในแง่ท่ีทำให้ขบวนความคิด การรับรู้ท่ีไม่ถูกกิเลส อาทิ ความโลภ ความโกรธ และความหลงเข้าครอบงำทำให้การคิดที่ไม่มีอคติด้วยการใช้โยนิโสมนสิการ พจิ ารณาให้เห็นจริงดว้ ยปัญญาตามหลักทางพทุ ธศาสนา ๓๙ พิสิฐ เจริญสุข กล่าวว่า การพัฒนาที่จำเป็นจะต้องเน้นการพัฒนาจิตใจคนให้เป็นดี มีวินัย และคุณธรรม ตลอดจนอนุรักษ์พัฒนาศิลปวัฒนธรรมให้สมดุลกับการพัฒนาควบคู่ไปกับการป้องกันและ แก้ไขปัญหาสังคม และลดผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสที่ยังไม่สามารถปรับตัวให้ทัน กับการเปลี่ยนแปลงใหส้ ามารถอยใู่ นสังคมได้อย่างมีความสงบสุขโดยมเี ป้าหมายพัฒนา ดงั น้ี ๑) พัฒนาจิตใจให้คนเป็นคนดี มวี ินัยและคุณธรรม สามารปรับตัวได้ทันต่อการเปลยี่ นแปลง และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศตลอดจนส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมให้ สมดลุ กบั การพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คม ๒) เสริมสร้างสถาบันครอบครัวให้มีความมั่นคง และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคน ตลอดจนมีสว่ นร่วมในการป้องกนั และแก้ไขปัญหาสงั คม ๓) ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสท่ีไม่สามารถพึ่งตนเองได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ เด็กด้อยโอกาสคนไร้ที่พึ่งและผู้สูงอายุท่ีถูกทอดทิ้งให้ได้รับสวัสดิการสังคม และบริการสังคมพื้นฐานท่ีจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและเป็นธรรมยิ่งข้ึนเพ่ือให้สามารถพัฒนาตนเองและ เปน็ กำลงั ในการพัฒนาประเทศต่อไป ๔) เสริมสรา้ งความสงบสุขในสงั คม เพอ่ื ใหเ้ กิดความปลอดภยั ในชวี ิตและทรัพย์สนิ และ ไดร้ บั บรกิ ารด้านกระบวนการยุตธิ รรมทมี่ ีประสทิ ธภิ าพแกป่ ระชาชนในเมืองและชนบท๔๐ ภัทรพร สิริกาญจน กล่าวถึง กิจกรรมท่ีพระสงฆ์ได้ใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาไปประยุกต์ กบั วิถชี ีวิตของชาวบ้าน และเสนอสาระสังเขปไวว้ า่ ๑) การปลูกฝังธรรมะในจิตใจ หมายถึง การหล่อหลอมความคิด ทัศนคติตลอดจนอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ด้วยหลักธรรมเพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต หลักธรรมสอนให้เห็นว่าส่ิงทั้งหลายไม่ อยู่โดดเดี่ยว แต่มีความสัมพันธ์สอดคล้องเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน เมื่อต้องการผลเช่นใดก็ต้องสร้างเง่ือนไข หรือเหตุปัจจัยเช่นน้ัน เช่น เมื่อต้องการพ้นจากความยากจนก็ต้องขยันหม่ันเพียรและต้องแก้ไขสาเหตุ ๓๙ พระราชวรมนุ ี (ประยุทธ ปยตุ โฺ ต), ลักษณะของสงั คมพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: มลู นิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๒๗), หนา้ ๗๙. ๔๐ พิสิฐ เจริญสุข, คู่มือการปฏิบัติงานของหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล, (กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพ์กรมการศาสนา, ๒๕๔๑), หนา้ ๗๕.

๓๗ ของความยากจน เมื่อต้องการให้พืชผลเจริญงอกงามก็ต้องทะนุบำรุงและขจัดภัยของพืช เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหลักธรรมข้ออ่ืน ๆ ท่ีเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักพุทธธรรมคือหลักอิทธิบาท ๔ ว่าด้วย ฉันทะ พอใจ, วิริยะ ความพากเพียร, จิตตะ ความเอาใจใส่, วิมังสะ หม่ันไตร่ตรองงานที่ทำ อัน เป็นผลให้การทำงานมีผลดีทำให้การงานมีความรอบคอบถี่ถ้วน และเกิดประโยชน์มากท่ีสุดมีคุณภาพ ท่สี ุด ๒) การพ่ึงตนเองทางเศรษฐกิจและการเดนิ ทางสายกลาง หมายถึง การลงมือประกอบการทำ มาหากินด้วยตนเองโดยทำเกษตรแบบผสมผสาน เช่น ทำนาและเลี้ยงปลาร่องนาไปด้วย หรือทำไร่แบบ ผสมผสาน ปลูกพืชหมุนเวียน เช่น ถั่วสลับกับพืชอย่างอื่น ในการพ่ึงตนเองทางเศรษฐกิจแบบผสมผสาน นี้จะได้ผลดีต่อเมื่อผู้ประกอบการใช้วิธีเดินทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนาคือ มีเป้าหมายในการ เลี้ยงตนเท่าน้ันตามหลักกินดีอยู่แต่พอดี ไม่ใช่เพ่ือกินดีอยู่ดี จึงไม่มีความจำเป็นท่ีจะขยายงานให้มีขนาด ใหญ่โตเกินความจำเป็นในการดำรงชีวิต ไม่หวังผลทางการค้า และกำไรธุรกิจ ผู้ทำสามารถอยู่ได้อย่างมี ความสุข มีชีวิตท่ีเรียบง่าย และสันโดษ (ความพอใจในอัตภาพ) ผู้ที่ประกอบอาชีพโดยพ่ึงตนเองทาง เศรษฐกิจจึงเป็นผู้เดินทางสายกลางพวกเขาไม่ร่ำรวยลน้ ฟ้า แต่กไ็ ม่ลำบากยากจน สามารถดำรงชีพอยู่ได้ อยา่ งมคี วามสุข๔๑ สรุปได้ว่า พระสงฆ์กับการพัฒนาจิตใจของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญประแรกที่พระสงฆ์ต้อง ดำเนินการก่อนเสมอ โดยเฉพาะเป็นงานที่เกี่ยวกับการสาธารณสงเคราะห์ชาวบ้านโดยตรง โดยการน้อม นำหลักการประพฤติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาให้ประชาชนมีความสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ มี สติสมั ปชัญญะ ใหม้ ีพลังไปใช้ในการดำเนินวิถีชีวิตประจำวันได้ เปน็ การพัฒนาคุณภาพจิตและเสริมสรา้ ง คุณภาพจติ ให้ประชาชนและสังคมมคี วามสุขสงบและเจริญร่งุ เร่ือง ๒.๓.๕ หลักธรรมในการพฒั นาชมุ ชน การอนุเคราะห์ สงเคราะห์ ช่วยเหลือ แนะนำ สั่งสอน ตักเตือน ชักชวนให้ปฏิบัติธรรม ดว้ ยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาจนถึงให้บวชเรียนศึกษาพระธรรมวินัย อกี วิธี คือการประพฤติ ปฏิบัตอิ ยู่ในศลี ธรรมเป็นทพี่ งึ่ อาศยั แกห่ มญู่ าตจิ ัดเป็นการอนเุ คราะห์สงเคราะหด์ ้วยธรรมอย่างยิ่ง การให้การสงเคราะห์ในลักษณะน้ี เป็นการแสดงความนับถือและแสดงความเอื้อเฟ้ือเอา ใจใส่ทุกข์สุข ใหค้ วามสำคญั ต่อความคดิ ความรู้สกึ ด้วยความเคารพนับถือ การสงเคราะห์ตา่ งๆเหล่าน้ี จะทำได้ต่อเม่ือตัวเองดี ต่อเม่ือตัวเองมีความสามารถ แต่ถ้าสงเคราะห์คนอื่น โดยมีรากฐานหรือหลัก ของการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ในการสงเคราะห์อย่างน้ัน ก็อาจจะทำให้มีอันตรายเพิ่มข้ึนได้เหมือนกัน ๔๑ ภัทรพร สิริกาญจน, “หน้าที่ของพระสงฆ์ตามพุทธบัญญัติแนวคิดและบทบาทของพระคำเขียน สวุ ณโณ ในการพัฒนาชมุ ชน”, ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๐), หน้า ๕๖-๕๗.

๓๘ ฉะนั้น การที่จะสงเคราะห์ จะต้องขัดเกลาตัวเองเสียก่อน จะต้องรู้จักตัวเองเสียก่อน จะต้องสร้าง ความดีในตวั เองเสยี กอ่ น ถงึ จะสงเคราะห์ผู้อื่นได้๔๒ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้แสดงทรรศนะไว้ว่า สงเคราะห์โดยวัตถุก็ได้ สงเคราะห์ทางฝ่าย วิญญาณก็ได้ เพราะการสงเคราะหไ์ ม่จำเป็นต้องเป็นการช่วยเหลอื เสมอไป ส่ิงใดที่เป็นการกระทำให้ดี ข้นึ เป็นการสงเคราะห์ทั้งน้ัน แม้ว่าส่ิงน้ันจะไม่เป็นที่พึงพอใจแก่ผู้ถูกสงเคราะห์ก็ตาม๔๓ แนวคิดเร่ือง การสงเคราะห์ในทรรศนะของท่านพุทธทาสน้ี มีความสอดคล้องกับหลักการสงเคราะห์ใน พระไตรปฎิ ก ดังพระพุทธพจน์ทวี่ ่า บรรดาการสงเคราะห์ด้วยอามิส และการสงเคราะห์ด้วยธรรมะ ทั้งสองประการน้ี การ สงเคราะห์ด้วยธรรมะย่อมประเสริฐกว่า๔๔ ซึ่งคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่ีมีเป้าหมายสำหรับนำมา ปฏบิ ัติในชีวิตประจำวนั สาระของการปฏิบตั ธิ รรมะคือการปฏิบัติตามคำสั่งสอนทกุ ขนั้ ตอนของชีวิต มี ความสำคัญในฐานะเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพ่ือให้เกิดความสุขสงบแก่ผู้ปฏิบัติ หากไม่เข้าใจ หลักการของธรรมะ หมายถึงการไปปฏิบัติสมาธิภาวนาในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ อาจจะบวชเป็นชีพราหมณ์นุ่งขาวห่มขาว แล้วเรียกว่า ปฏิบัติธรรม เป็นลักษณะของการไม่เข้าใจใน หลักการท่ีแท้จริงของธรรมะ พระพุทธองค์ทรงยกย่องหรือเน้นการสงเคราะห์ด้วยธรรมว่ามีผล ประเสริฐกว่าการสงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของ เพราะการสงเคราะห์ด้วยสิ่งของมีวันหมดไป แต่การ สงเคราะห์ด้วยธรรม ไม่มีวันหมดไปตราบท่ีเขายังมีชีวิตอยู่ ตามพุทธภาษิตท่ีว่า สพฺพทานํ ธมฺม ทานํ ชินาติ ซึ่งแปลว่า การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ท้ังปวง และอีกที่หน่ึงสอนไว้ว่า อมตนฺ โท จ โส โหติ โย จ ธมฺมมนุสฺสาสติ ฯ ซึ่งแปลว่า ผู้ใดสั่งสอนธรรม ผู้น้ันช่ือว่าให้สิ่งอมตะ (ให้ส่ิงไม่ ตาย) ตรงกับภาษิตจนี ที่ว่า ถ้าท่านให้ปลาแก่คนจน เขาจะมีปลากินเพียง ๑ วัน แต่ถา้ ท่านสอนวิธีจับ ปลาใหเ้ ขา เขาจะมีปลากนิ ตลอดชวี ติ โดยสรุปก็คือ สงเคราะห์เขาด้วยการส่ังสอนอบรม ดีกว่าสงเคราะห์ด้วยการให้วัตถสุ ่ิงของ เพราะปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ตามพุทธภาษิตท่ีว่า ปญฺญา ว ธเนน เสยฺโย ฯ ซ่ึงแปลว่า ปัญญา เทยี ว ประเสรฐิ กว่าทรัพย์๔๕ การประกาศพระธรรมของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงเลือกสงเคราะห์ด้วยการให้บุคคล รู้จักประพฤติดี ประพฤติชอบและประพฤติตามธรรมะ ซึ่งแม้ในบางคร้ัง พระองค์อาจสงเคราะห์ด้วย ๔๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลมหาราช, ประมวลพระบรมราโชวาทด้านศาสนาและ จรยิ ธรรม, (กรงุ เทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๓๙), หนา้ ๖๖. ๔๓ พุทธทาสภิกขุ, บรมธรรมภาคปลาย, (กรงุ เทพมหานคร: ธรรมทานมลู นิธ,ิ ๒๕๒๕), หนา้ ๓๙๒. ๔๔ ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๙๘,๑๐๐/๔๗๓,๔๗๗. ๔๕ สำราญ ก้านพลูกลาง, เอกสารประกอบการบรรยายพระพุทธศาสนากับสังคมสงเคราะห์, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตนครราชสีมา, ๒๕๕๖), (อดั สำเนา).

๓๙ วัตถุ แต่พระองค์ก็ไม่เคยสนับสนุนให้บุคคลสงเคราะห์กันด้วยวัตถุเพียงอย่างเดียว ส่ิงสำคัญในการ สงเคราะห์ช่วยเหลือกัน คือ การสงเคราะห์ด้วยธรรมะ สงเคราะห์ด้วยธรรมทาน หลักธรรมของ พระองค์จึงเท่ากับหลักในการสงเคราะห์ เพราะในเน้ือธรรมช่วยทำให้ผู้ประพฤติตามได้ความสุขท่ี แท้จริง พระองค์ทรงสรรเสริญยง่ิ ดว้ ยการใหท้ านเป็นธรรมะ ดังพุทธดำรัสวา่ “ทาน ๒ อย่างน้ี อามิสทาน ธรรมทาน ดูก่อนภิกษุท้ังหลายบรรดาทาน ๒ อย่างน้ี ธรรม ทานเป็นเลิศ การแจกจ่าย ๒ อย่างคือ การแจกจ่ายอามิส การแจกจ่ายธรรม บรรดาการ แจกจ่าย ๒ อย่าง การแจกจา่ ยธรรมเป็นเลศิ การอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้ คือ การอนุเคราะห์ดว้ ย อามิส การอนุเคราะห์ด้วยธรรม บรรดาการอนเุ คราะห์ ๒ อย่างน้ี การอนุเคราะห์ดว้ ยธรรมเป็น เลิศ”๔๖ การสงเคราะห์ตามหลักพระพุทธศาสนานั้นมี ๒ อย่าง คือ การสงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของ จัดหาส่ิงของเครื่องใช้จำเป็นในการดำรงชีวิต นำมาช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้อเฟ้ือ และการสงเคราะห์ด้วย ความรู้ศิลปวิทยา คือ เป็นที่พ่ึงที่อาศัย เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ประกอบด้วยสติปัญญา ยึด มนั่ ในกฎหมาย ประเพณี วัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีงาม เป็นจุดมุ่งหมายเป้าหมายของชีวติ ยินดีในการ อนุเคราะห์สงเคราะห์ ถ่ายทอดความรู้คู่คุณธรรม ช่ือว่าเปน็ ผู้อนเุ คราะห์ สงเคราะหด์ ้วยส่ิงท่ีเลิศ สิ่งท่ี ประเสริฐ สิ่งที่ล้ำค่าของชีวิต การอนุเคราะห์สงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และช่วยบำบัดไม่ให้มีทุกข์ ตา่ งๆนั้น ส่วนมากเป็นทกุ ข์ทางกาย การอนเุ คราะห์สงเคราะห์ญาติทว่ั ไป ให้มจี ิตใจสูงเป็นส่ิงประเสริฐ ที่สุด เพราะว่าหากจิตใจยังต่ำทราม ก็จะนำไปสู่ทุกข์ทางกายอยมู่ าก ฉะนั้นการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ ยากทางใจ ให้พ้นจากอวิชชา คือ ความไม่รู้ ไม่รู้เร่ือง ความไม่รู้จริง ไม่ใช่ไม่รู้ รู้แต่ไม่จริงรู้อะไรต่อ อะไร ที่มันเป็นสิ่งท่ีหลอกลวง อย่างรู้ว่า การฆ่าคนไม่ให้มีชีวิตต่อไป เป็นส่ิงไม่ดี แต่รู้แล้วก็ยังทำก็ผิด การรู้ท่ีจะให้เป็นคนก็จะต้องพยายามใช้วิชา เป็นงานที่ใหญ่ เป็นงาน ท่ียาก แต่ถ้าอนุเคราะห์ สงเคราะห์จิตใจให้มีจิตใจสูงด้วยกัน จะมีความเข้าใจเห็นอกเห็นใจท้ังตนเองและญาติ เกิดความ รว่ มมือประสานใจสามคั คีเป็นอนั หนง่ึ อันเดียวกนั ๔๗ การสาธารณะสงเคราะห์เป็นการจดั ให้การสงเคราะห์ในดา้ นต่างๆ แก่ประชาชนผู้อุปถัมภ์ บำรุงวัด ทายกทายิกาของวัด หรือประชาชนทั่วไป และการให้ธรรมะเป็นการแนะนำในทางที่ ประเสรฐิ เพราะให้ประชาชนจะได้นำไปปฏบิ ัตใิ นการดำเนนิ ชีวติ ใหห้ ลดุ พ้นจากทุกข์ ๔๖ ขุ.อติ ิ. (ไทย) ๒๕/๒๗๘/๒๓๘-๒๓๙. ๔๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลมหาราช, พระราชดำรัสเรื่องงานสังคมสงเคราะห์, คนกับ ความคิด, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์กรงุ เทพ (๑๙๘๔) จำกดั , ม.ป.ป.), หน้า ๗๒.

๔๐ ๒.๔ ประวตั แิ ละผลงานของหลวงปรู่ มิ รตนมุนี พระสงฆ์ผู้เสียสละเพ่ือพระศาสนาในยุคท่ีผ่านมา ล้วนทำงานเพื่อพระศาสนา และเพ่ือ ประชาชน เพราะการทำของท่านเหล่าน้ัน มิได้มุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่พัฒนาด้วยจิตสำนึกท่ี เสียสละแรงกายแรงใจด้วยความบริสุทธิ์ เจตนาให้ประชาชนในชุมชนอยู่ดีมีสุข อยู่ร่วมกันด้วยความ สามัคคี ไมแ่ บ่งชนช้ันแต่อยา่ งใด หลวงปู่ริมท่านนพ้ี ัฒนาชุมชนในตำบลทุ่งมนให้เป็นตำบลที่น่าอยู่ น่า อาศยั มีประวตั ิ ดังน้ี พระอธกิ ารรมิ รตนมุนี ประวัติชาตภิ มู ิ เกดิ วันที่ ๑๕ เดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ปีระกา บ้านติดทางตะเลีย ณ บ้านทุ่งมน หมู่ ๑ ตำบลทุ่งมน ( สถานที่ที่ท่านเกิด ปัจจุบันอยู่ตรงจุดของบ้าน นายเทียน อย่านอนใจ หรือ ติดด้านตะวันตกของบ้านยายเสาะ สร้อยสุวรรณ บ้านหนองโบสถ์ หมู่ ๙ ตำบลทุ่งมน ) บุตรของคุณปู่ทวดเชต แก้วกระมล กับย่าทวดสอย แก้วกระมล ซึ่งมีพ้ืนเพอยู่บ้านทุ่ง มน เป็นบตุ รคนสดุ ท้อง มีพนี่ อ้ งทัง้ หมด ๖ คน คอื ๑. ปูร่ มึ แกว้ กระมล ๒. ย่าจุล เงนิ เกา่ ๓. ย่าจีน อยา่ นอนใจ ๔. ปู่เคน แกว้ กระมล ๕. ปโู่ คน แก้วกระมล ๖. หลวงปรู่ ิม รตนมุนี (แกว้ กระมล) ลกั ษณะ อปุ นสิ ัย วัยแรกเกิด ตัวผอมบอบบาง กระเสาะกระแสะ ป่วยบ่อย คณุ ยา่ ทวดลม จึงฝากย่าทวดนิว ซึ่งเป็นคุณแม่ของลูกสะใภ้แน็บ(ตะลอง) เล้ียงให้และก็ได้อยู่อาศัยด้วยตลอดมา เพราะท้ังคุณพ่อและคุณแม่เสียชีวิตต้ังแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มมีรูปร่างสูงปานกลาง ร่างกายบอบบาง ผิว ขาว เสียงเล็ก การงานก็มักจะได้ทำและถนัดงานบ้าน งานเรือน หุงข้าว ตำข้าว หาบน้ำ ทำขนม งาน ระเบียบพิธีกรรม มักเข้าเล่นหรือทำงานร่วมกับกลุ่มเพื่อนหญิง ชอบเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่คนเฒ่าคนแก่ ท้งั ชว่ ยงานสงั คมไปวดั ไปวา นสิ ัยเรียบร้อย การศึกษาทางโลก จบชั้น ป.๔ โรงเรียนประชาบาลตำบลทุ่งมน (วัดอุทุมพร) บรรพชา อุปสมบท เมื่ออายุ ๒๐ ปี คุณย่าทวดนิว คุณแม่เลี้ยง จัดงานบวชให้ ณ บ้านปู่ทวดพม-ย่าทวดแคลง บ้านทุ่งมน จำพรรษา ณ วัดอุทุมพร มีพระครูพึง เป็นประธานสงฆ์หรือเจ้าอาวาสวัด ชีวิตในวัดท่าน เป็นศิษย์ท่ีดีของคุณครู ต้ังใจศึกษาเล่าเรียนอักขระขอม ธรรมวินัยและปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เป็นท่ี เล่ือมใสศรัทธาของญาติโยมมาก เม่ือพระครูพึงจำเป็นต้องลาสิกขา ญาติโยมก็นิมนต์ท่านให้รับ ตำแหน่งประธานสงฆ์หรือเจ้าอาวาสต่อ ต่อมาท่านมีเหตุต้องลาสิกขา แต่ไปอยู่ในเพศฆราวาสนั้น ระยะส้นั คือไม่นานเลย ชีวติ แหง่ การสร้างบารมีกเ็ กิดข้ึนอีก เมื่อทางวัดยังไม่มพี ระภิกษุรูปใดเหมาะสม

๔๑ จะเป็นเจ้าอาวาส หรือวัดต้องขาดประธานสงฆ์ ขาดเจ้าอาวาสวัด ซ่ึงเป็นบุคคลสำคัญท่ีจะเป็นที่พ่ึง ของชุมชนได้อย่างมั่นใจ ทางญาติโยมมียายพิง-ยายพอน แผลงดี สองพี่น้องสาวใหญ่ และคณะเช่น ตาโม เรืองชาญ, ตาแสง ดังถวิล, ตาสอด สวายประโคน, ยายนุม เงินเก่า, ยายนาม สร้อยสุวรรณ ฯลฯ เห็นว่าหลวงป่รู ิมมคี ณุ ลักษณะเป็นทพี่ ่ึงของชุมชนได้ จึงได้พากนั เกลยี้ กล่อมใหท้ ่านบวช ครงั้ ที่ ๒ เพือ่ กลบั มาเปน็ เจ้าอาวาสวดั อีกคร้งั ทา่ นกไ็ ดร้ บั การสนบั สนนุ และรว่ มมอื สงู ยิ่งจากชมุ ชน หลวงปู่ริม รตนมุณี มผี ลงานในอดีต เปน็ อดตี เจ้าอาวาสวัดอุทุมพร ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวดั สุรินทร์(ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๓ – พ.ศ. ๒๕๒๘ ) ผสู้ รา้ งมหาคุณปู การแก่ชุมชน ท่าน ไม่ยึดมั่นในประโยชน์ตน แต่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ประโยชน์สงั คมนานานับประการ เป็นพระสงฆ์ผู้นำ พฒั นาชุมชนและทพ่ี ึง่ ของชุมชน เช่น การพฒั นาวดั อทุ ุมพร สร้างวัดสะเดารัตนาราม และวดั อ่ืน ๆ ท้ัง ใกล้ไกล ท้ังในจังหวัดหรือนอกจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งท่านได้เป็นผู้นำศรัทธาสร้างโรงเรียนบ้านทุ่งมน (ริม ราษฎร์นุสรณ์) สถานีอนามัยตำบลทุ่งมน สะพานข้ามแม่ชี สระน้ำ บ่อน้ำ ถนนหนทาง และสถานที่ อื่นๆ ให้เป็นสาธารณะประโยชน์จำนวนหลายแห่ง สูงย่ิงด้วยการเป็นแบบอย่างและเป็นที่ยึดเหน่ียว ทางจิตใจของศษิ ยานุศษิ ย์ ชีวิตแห่งการสร้างบารมี เมื่อทางวัดยังไม่มีพระภิกษุรูปใดเหมาะสมจะเป็นเจ้าอาวาส หรือวัดต้องขาดประธานสงฆ์ ขาดเจ้าอาวาสวัด ซ่ึงเป็นบุคคลสำคัญท่ีจะเป็นท่ีพ่ึงของชุมชนได้อย่าง ม่ันใจ ทางญาตโิ ยมมียายพงิ -ยายพอน แผลงดี สองพ่ีน้องสาวใหญ่ และคณะเช่น ตาโม เรืองชาญ, ตา แสง ดังถวิล, ตาสอด สวายประโคน, ยายนุม เงินเก่า และ ยายนาม สร้อยสุวรรณ เป็นต้น เห็นว่า หลวงปู่ริมมีคุณลักษณะเป็นที่พึ่งของชุมชนได้ จึงได้พากันเกล้ียกล่อมให้ท่านบวช และได้เป็นเจ้าภาพ บวชครั้งท่ี ๒ เพ่ือกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอีกครั้ง ท่านก็ได้รับการสนับสนุนและร่วมมือสูงย่ิงจาก ชมุ ชน - พ.ศ. ๒๔๙๕ – พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงปู่รมิ รตนมุนี ได้ปกครอง อบรมสง่ั สอน ให้การศึกษา แก่พระภิกษุสามเณรในวัด พรรษาละ ๓๐ - ๘๐ รปู - พ.ศ. ๒๕๐๐ ก่อภูเขาหิน คีรีวงคต ๓ ลูก ( พนมลกู ) - พ.ศ. ๒๕๐๐ - พ.ศ. ๒๕๒๘ จัดกิจกรรมปฏิบัติธรรม อนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ด้วย กิจกรรมและงานบุญตามสถานทส่ี ำคญั ๆ - พ.ศ. ๒๕๐๑ สรา้ งสะพานไม้ข้ามลำชี สัญจรระหว่างจังหวัดสุรินทร์กับบุรีรมั ย์ (สะเปียน ลูก) - พ.ศ. ๒๕๐๓ กอ่ ตงั้ โรงเรียนบา้ นทุ่งมน (ริมราษฎรน์ ุสรณ์) - พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ซ้ือที่ดนิ สร้างสถานอี นามยั ตำบลทงุ่ มน - พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ซือ้ ทีด่ ินสร้างศนู ย์พัฒนาเด็กเลก็ ตำบลทงุ่ มน จำนวน ๓ ไร่ - พ.ศ. ๒๕๑๐ ให้กำเนิดวัดสะเดารตั นาราม ( เวอื ดทะมยั เวยี สตะโมกสะเดา)

๔๒ - พ.ศ. ๒๕๑๘ - พ.ศ. ๒๕๒๘ สรา้ งโบสถ์จตุรมุข ในวัดอุทมุ พร - พ.ศ.๒๕๒๖ สรา้ งพระพุทธชินราช พระประธานองค์ใหญ่ในโบสถ์ หนักตักกว้าง ๔ เมตร สูงรวมซุม้ เรือนแกว้ ๗ เมตร ในขณะที่หลวงปู่ริม รตนมุนี มรณภาพ วันท่ี ๙ มิถุนายน ๒๕๒๘ (อายุ ๖๕ ปี) ตลอด ระยะเวลา ๓๓ ปี สรา้ งคณุ ปู การมากมาย เปา้ หมายในการฟ้นื ฟงู านบุญคีรีวงคต ส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกประชาชน ด้านการอนรุ ักษ์และฟน้ื ฟูทรัพยากรท้องถิ่น และการ ยกระดับพัฒนาองค์ความรูท้ ้องถิ่นมาประยุกตใ์ ชโ้ ดยการมีส่วนร่วมของชมุ ชน วัตถุประสงค์ในการฟน้ื ฟูงานบุญครี วี งคต ๑) เพื่อการจดั ทำเป็นแหล่งเรยี นร้จู ัดการทรัพยากรเชิงบูรณาการ ในการอนุรักษแ์ ละฟ้ืนฟู ทรัพยากรป่านาน้ำ บุญประเพณีคีรวี งคตเป็นปฏิทินวัฒนธรรมตำบลทุ่งมน ๒) เพ่ือส่งเสริมความร่วมมือ ความสามัคคีสมานฉันท์ระหว่าง สถาบันทางศาสนา ภาครัฐ เอกชน องคก์ รชุมชน และประชาชนทว่ั ไป ในการมสี ่วนรว่ มพัฒนาชุมชนท้องถนิ่ และประเทศ ๓) เพ่ือส่งเสริมให้ชุมชนมีความตระหนักในคุณค่าของป่าชุมชน และพัฒนาให้เป็นแหล่ง ท่องเทยี่ วและมกี ารดแู ลรกั ษา บูรณปฏิสงั ขรณ์ สถานทสี่ ำคญั ทางศาสนาอยา่ งสม่ำเสมอ รปู แบบการดำเนนิ กจิ กรรม - การประกอบพิธีมงคลถวายบายศรบี ูชาครหู ลวงปู่รมิ รัตนมนุ ี และประกอบพิธเี รียง หิน - ทำบุญพระสงฆ์ อทุ ิศส่วนกศุ ล - การบวชป่าสง่ เสริมการอนุรกั ษส์ งิ่ แวดลอ้ ม - การปลอ่ ยปลาในเขตอนรุ กั ษพ์ ันธุ์สัตวน์ ำ้ - เวทีเสวนา องคค์ วามรแู้ ละวฒั นธรรมชมุ ชน - การแสดงเด็กและเยาวชน ไดแ้ ก่ เรือมอนั เร การฟ้อนรำต่างๆ - การดำเนินกิจกรรมทางวชิ าการ ได้แก่ ประกวดวาดภาพระบายสี ประกวดคำขวัญ เวทีเสวนา ประวัติความเป็นมา ประเพณีเขาคีรีวงคต (หลวงปู่ริม รตนมุนี) ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท ประมาณปี ๒๕๐๐ หลวงปู่ริม รตนมุนี ได้มองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตเก่ียวกับปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้ำสาธารณะประโยชน์ที่อาจเผชิญกับปัญหาการพัฒนา ประเทศ จึงได้เร่ิมประสานแนวทางศาสนาธรรมกับประเพณี และวัฒนธรรมร่วมกับชุมชนท้องถ่ิน ดำเนินการทำป่าชุมชนเขาคีรีวงคตขึ้นเป็นแห่งแรกในพื้นท่ีตำบลทุ่งมน ๔๐ ไร่, ๒๐ ไร่ ตามลำดับ และเป็นแบบอย่างการฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมป่าชุมชน ป่าครอบครัวและป่าหัวไร่ ปลายนา การใช้แนวทางศาสนา และมิติทางวัฒนธรรมมาเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ ธรรมชาติให้เป็นหน่ึงเดียวกับทางจิตวิญญาณ ยกระดับจิตสำนึกชุมชน ความสามัคคี ปรองดองให้

๔๓ ตระหนักในการทำความดี และสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติ ประเพณีวัฒนธรรมเขาคีรีวงคต นำไปสู่ การจัดทำเป็นแหลง่ เรียนรกู้ ารจัดการทรัพยากรเชงิ บูรณาการ และเป็นการแสดงออกถงึ คุณูปการและ มุทิตาจิตต่อแนวทางการพัฒนาของหลวงปู่ริม รตนมุนี อันถือเป็นปูชนียบุคคล ท่ีหาได้ยากยิ่ง ท่ี บำเพ็ญประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ และมวลสรรพสิ่งในสากลโลกให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง ตอ่ ไป สถานท่ี วัดอุทุมพร หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ วัดอุทุมพร เป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งในตำบลทุ่งมน ก่อตั้งขึ้นเม่ือปี พ.ศ.๒๓๖๐ วัดอุทุมพรเป็นศูนย์รวมจิตใจของ เหล่าพุทธศาสนิกชนมาเกือบจะสามชั่วอายุคน วัดอุทุมพร มีเจ้าอาวาสปกครองวัดรุ่นแล้วรุ่นเล่า จน มาถึงยุคหลวงปู่ริม รตนมุนี เป็นประธานสงฆ์และเป็นเจ้าอาวาส ต้ังแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๕ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๘ หลวงพ่อริม เป็นพระรูปแรกท่ีสร้างชื่อเสียงให้วัดอุทุมพร และทำให้คนรู้จักวัดอุทุมพรมาก พอสมควร ความโดดเดน่ หลวงปรู่ มิ รตนมุนี เรมิ่ สร้างวัตถมุ งคล (เหรียญ) ท่ีระลึก ครั้งแรกไม่มีความ เป็นมาที่แน่ชดั หรือมีเหรียญรุน่ แรกต้งั แต่ใช้ฉายาเดิมคือ สุนฺทราโข กอ่ นปี พ.ศ.๒๔๙๕ แตเ่ ม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นต้นมา หลวงพ่อได้มีการสร้างเหรียญไว้ เพื่อแจกให้เป็นท่ีระลึกออกมาเรื่อย ๆ จนถึง ปี พ.ศ.๒๕๒๕ ท่านก็ไม่ได้สร้างอีกเลย โดยส่วนมากหลวงพ่อท่านได้สร้างขึ้นเพื่อแจกให้กับคณะกฐิน คณะผ้าป่า ท่ีมาทอดถวายที่วัด เช่น พระกร่งิ อุทุมพร หรือ กริ่งเสาร์ห้า สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็น ต้น และโดยเฉพาะพระกริ่งโปร่งฟ้า สร้างเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๑๒ วัตถุประสงค์เน่ืองในงานวางศิลาฤกษ์อุ โบสถจ์ ตุรมขุ น้ัน จะมกี ารจองทางใบอนุโมทนาบัตรท่ีมรี ปู พระกรง่ิ โปร่งฟ้าด้วย ๒๙ มกราคม ๒๕๕๙ ชาวทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ รวมตัวบริหารจัดการ ด้วยตนเองเตรียมเปิดแหล่งท่องเท่ียว เชิงอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยการร่วมมือร่วมใจของชาวชุมชน หมู่บ้านโดยใช้ทุนชุมชนเป็นฐานในการสร้างนักพัฒนา และการถ่ายทอดสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ มีท้ังหมด ๑๑ หมู่บ้าน ท่ีมีทุนชุมชนหลากหลายประเภท เช่นพื้นท่ีเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนและนำทุนทรัพยากรท่ีมีอยู่มาทำให้เกิดประโยชน์และมี คณุ ค่าอนรุ ักษ์ฟน้ื ฟู และการถ่ายทอดภูมิปัญญาท่ีเกิดจากการดำเนินชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุน ทเ่ี กี่ยวกบั ผลิตภัณฑ์ชุมชน ศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตป่าชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ทำให้เกดิ การเรียนรแู้ ละ อนุรักษ์ทุนที่มีอยู่ในชุมชน การขับเคล่ือนรถณรงค์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในครั้งน้ีของ ตำบลทุ่งมน ได้บูรณาการกิจกรรมกับหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องโดยมี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมน ฝ่าย พัฒนาการ ปลัดอบต. นักพัฒนาชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เครือข่ายกองทุนระดับตำบล ปราชญ์ ชาวบ้านและผู้นำ ของชุมชน โดยมีชาวบ้านและชาวชุมชนดำเนินการการประชาสัมพันธ์ และสร้าง กระแสการท่องเที่ยว การแสวงหาความร่วมมือการขับเคลื่อนกิจกรรม การสร้างทีมงานทดสอบ ความสามารถคนในชุมชน โดยการทดลองโปรแกรมการท่องเที่ยวเพ่ือปรับปรุงและเพิ่มศักยภาพของ

๔๔ ทนุ ชุมชน โดยการสร้างเสริมศักยภาพนักพัฒนามืออาชีพการนำเสนอผลงานและประชาสมั พันธ์พื้นท่ี การทอ่ งเทยี่ วสสู่ าธารณะชนตามชอ่ งทางตา่ งๆ นายจำลอง จะมัวดี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทุ่งมน กล่าวว่า ผมเกิดที่บ้านทุ่งมน ต.ทุ่ง มน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ โตที่นี่อยู่ที่น่ี เห็นของดีมากมายของทุ่งมนของเรา โดยเฉพาะช่วงน้ีกำลัง จัดทำของดีของ ต.ทุ่งมน และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้วย ก่อนอ่ืนต้องบอกว่าตำบลทุ่งมน มีเกจิอาจารย์ดัง อยู่ ๒ รูปด้วยกันคือ หลวงปู่ริน รัตนมุนี และหลวงปู่หงส์ พรหมปัญโญ ซึ่งหลวงปู่ทั้งสองรูปนี้ ทำให้ ลูกหลานได้สืบสานต่อจากท่าน อย่างเช่นแหล่งธรรมชาติ เร่ืองของป่าไม้ เร่ืองของแม่น้ำชี หรือแม่น้ำ ต่างๆ หลวงปู่ท่านจะย้ำตลอดกับลูกศิษย์ และชาวบ้านญาติโยมท่ีมารว่ มบุญว่าต้องรกั ษาไว้อนุรักษ์ไว้ และโอกาสนี้ก็มีพี่น้องสือ่ มวลชน ชาวบา้ น ท่ีมาต่างตำบลต่างอำเภอ ต่างพนื้ ทใี่ ห้เกยี รตมิ าร่วมล่องเรือ เพ่ือดูความงามธรรมชาติ ก่อนที่จะเปิดอย่างเป็นทางการจรงิ ๆ ก็คดิ ว่าคงจะเป็นกระบอกเสียงไปบอก เล่าต่อ ให้ชาวโลกได้รู้ว่าธรรมชาติ ต.ทุ่งมนสวยแค่ไหน น้ำสะอาดแค่ไหน ป่าไม้อุดมสมบูรณ์จริง ก็ หวงั อย่างย่ิงว่าทุกท่านท่ีชื่นชอบธรรมชาติต้องสนใจแน่นอน และวันน้ีหลังจากที่เสร็จส้ินทางชาวบ้าน ทีมงานจะนำไปสรุปผลเพ่ือนำไปแก้ไข พร้อมทั้งเก็บข้อมูลต่างๆเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต ข้างหน้า เพราะครั้งน้ีเราได้ประสานทั้งตำรวจ ทั้งอบต. ท้ังโรงเรียน ทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน เราปรกึ ษากันตลอดว่าจะทำอยา่ งไรให้พื้นที่ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ได้ จะสานต่อใหล้ กู ให้หลานได้ เรียนรู้หลักสูตรท้องถ่ิน เพราะอนาคตข้างหน้าตรงนี้คือแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติแหล่งท่ี ๑๒ ทจ่ี ะมีพีน่ ้องมาชมความงามของธรรมชาติจริงๆ นายอุดม หวังทางมี กำนันตำบลทุ่งมน กล่าววา่ เปน็ ห้วยชีที่ไหลมาจากทาง อำเภอพนม ดงรัก จังหวดั สุรินทร์ ท่ีตรงนเ้ี ป็นที่ ทีแ่ ต่ก่อนยังไมไ่ ด้เป็นเข่อื นน้ำกเ็ ลยไมค่ อ่ ยมี แต่ ณ ตอนน้ีมีนำ้ มาก และมีป่าไม้เยอะ ก็แหล่งท่องเที่ยวแต่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยได้รับรู้ และเขตระหว่างสุรินทร์กับบุรีรัมย์ ท่ีมาท่ีไปก็คือ มีการจัดประชุมกันในตำบลร่วมกับชาวชุมชน ว่าจะให้มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ธรรมชาติอีกท่ีหน่งึ เป็นท่ีนักท่องเทีย่ วทีช่ ่ืนชอบธรรมชาติ ทางเราจะเตรียมข้าวอาหารแบบธรรมชาติ ไวต้ ้อนรับนักท่องเท่ียว เช่นข้าวหอ่ ใบตอง ผกั ผลไม้ปลอดสาร และอื่นๆท่ีไม่มีสารเจอื ปน ซงึ่ ระยะทาง ราวประมาณ ๙ กิโลเมตร จากจุดขน้ึ เรือบรเิ วณสวนป่าหนองกก ไปถึงเข่อื นยางบ้านสะพานหนั ตำบล ทงุ่ มน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ ินทร์ ไปกลบั ใช้เวลาประมาณ ๓ ชม. กอ็ ยากจะฝากทุกท่านเชิญชวน กนั มาเยีย่ มชมกันไดน้ ะครับ สามารกประสานไปไดท้ ี่ อบต.ท่งุ มน อ.ปราสาท จ.สรุ นิ ทร์ นางยุพิน ธรรมเท่ียง ปลัดองค์การบริหาร ส่วนตำบลทุ่งมน ได้กล่าวว่า สำหรับตำบลทุ่ง มนก็มีแหล่งเรียนรู้ท่ีเป็นของดีของตำบลทุ่งมน ที่มีทั้งสิ้น ๑๑ แห่งหลักๆด้วยกัน และจะเป็นแหล่งท่ี จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่ิงที่ดีๆท่ีชาวตำบลทุ่งมนจะต้องดำเนินการก็คือใน เรื่องของการสืบสานอนุรักษ์ต่อจากหลวงปู่ริม หลวงปู่หงษ์ ท่ีท่านได้สร้างและอนุรักษ์ไว้ไห้ลูกหลาน มากมาย ในส่วนของ ตำบลทุ่งมน มีในเร่ืองของการล่องเรือท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ในครั้งน้ีมีเส้นทาง

๔๕ ของสายลำน้ำชีรวมกันต้ังแต่ แยกอนุรักษ์ ปา่ ไม้หนองกก ไปจนถึงเข่ือนยาง หรือฝายยางบ้านสะพาน หัน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ การเที่ยวเพื่ออนุรักษ์ ศิลปะ วัฒนธรรมป่าไม้แหล่ง พันธ์ุสัตว์น้ำ ในการเที่ยวครั้งน้ีบนสายน้ำชี จะผ่านการเที่ยวป่าชุมชนศักด์ิสิทธ์ิของเขาคีรีวงกต ชม แหล่งอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ และเป็นสิ่งที่ชาวบ้านยึดเหน่ียวจิตใจ และเช่ือถือกันว่าเป็นสถานท่ี ศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ เป็นเอกลักษณ์ของชาวทุ่งมน เป็นสถานที่ร่มร่ืน เหมาะในการ เที่ยวชมอยา่ งยง่ิ ๔๘ การที่หมู่บ้านชุมชน ได้ร่วมกันสร้างแหล่งท่องเท่ียวหรือหาสถานท่ีท่องเที่ยวโดยใช้ทุน ชุมชนเป็นฐานในการสร้างและการถ่ายทอดสืบสานภูมิปัญญาท้องถ่ิน ท่ีมีทุนชุมชนหลากหลาย ประเภทต้นทุนที่เช่ือมโยงกับวิถีชีวิตของชุมชน และนำทุนทรัพยากรท่ีมีอยู่มาทำให้เกิดคุณค่าและมี ประโยชน์อนุรกั ษ์ฟน้ื ฟถู ่ายทอดภูมิปัญญาที่เกิดขน้ึ จากการดำเนินชีวิต ต้ังแต่อดีตจนถึงปจั จบุ ัน ทำให้ เกดิ การเรียนรู้และอนุรกั ษพ์ ืน้ ท่ีมอี ย่ใู นชุมชนให้คงอยู่ตลอดไป ๒.๕ งานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วขอ้ ง งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งในเร่ือง “ศกึ ษาบทบาทการพัฒนาชมุ ชนในพระพทุ ธศาสนา ของหลวง ปู่รมิ รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวดั สุรินทร์” ดงั น้ี พระมหาทวี คานพรม ศึกษาการประยุกต์ใช้วิธีการสอนเรื่องอนุปุพพิกถาเพื่อเผยแผ่ พระพุทธศาสนาไว้ว่า อนุปุพพิกถาเป็นคำสอนท่ีพระพุทธเจ้านิยมตรัสสอนด้วยพระองค์เอง โดยมาก มักจะลงท้ายด้วยการสอนอริยสัจ ๔ ปัจจุบัน ผู้แสดงธรรมไม่ได้แสดงตามแนวอนุปุพพิกถา และไม่มี ความสามารถเหมือนพระพุทธจ้าหรือพระอริยบุคคล ผู้ฟังขาดความสนใจเพราะถูกครอบงำด้วยวัตถุ นยิ ม๔๙ พันจ่าอากาศเอกอภิชาติ พรส่ี ศกึ ษาเรอ่ื ง การแสดงธรรมตามแนวอนปุ พุ พิกถาโดยทวั่ ไป เป็นการแสดงธรรมโดยพิสดาร (อธิบายหัวข้อธรรม) มิได้ประสงค์ให้ผู้ฟังบรรลุธรรมโดยทันที แต่ สำหรับซักฟองจิตใจของผู้ที่ยังไม่พร้อม ให้เป็นจิตท่ีเหมาะสมพร้อมจะเข้าใจอริยสัจบางครั้งมี ๔๘ เอกสารการบันทึกชีวประวัติและผลของหลวงปู่ริม, บันทึกโดยพระมหาชาญ อชิโต, วันท่ี ๒๐ เดือน กันยายน พ.ศ.๒๕๕๘. ๔๙ พระมหาทวีศักดิ์ คานพรม, “การประยุกต์วิธีการสอนเร่ืองอนุปุพพิกถาเพ่ือการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๓), หนา้ ก.

๔๖ เป้าหมายเพ่ือให้ผู้ท่ีฟังบรรลุธรรมทันที ในบางคร้ังมีเป้าหมายเพียงเพื่อให้ผู้ฟังเห็นโทษของกามคุณ แล้วออกบวช๕๐ พ.ต.ท. นาวิน วงศ์รัตนมัจฉา ศึกษาเรื่อง ผลสัมฤทธ์ิการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกลุ่ม ชาตพิ ันธ์ลีซขู องพระธรรมจาริก เป็นไปอยา่ งเช่อื งช้า มคี วามลำบากกว่าการเผยแผ่ในกลมุ่ ชาติพันธ์ุอ่ืน เพราะกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู มีความเชื่อดงั่ เดมิ ในลัทธิผีสางเทวดา เคารพนับถือบรรพบุรุษ วัฒนธรรมของ ชาวลีซู จึงทำใหก้ ารเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาของธรรมจารกิ ไม่ประสบผลสำเร็จเทา่ ทค่ี วร๕๑ ธันยพร พงษ์โสภณ ได้ทำการวิจัยเรื่อง บทบาทของพระสงฆ์ สื่อบุคคลในการช้ีนำและ ปลูกจิตสำนึกประชาชน เพ่ือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถ่ิน ศึกษากรณีพระสังฆาธิการระดับเจ้า อาวาส จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปิดรับข่าวสารทางสื่อสารมวลชนของ พระสงฆ์ และการนำข่าวสารที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ การเลือกใช้วิธกี ารส่อื สารของพระสงฆ์ในการช้ีนำ และปลูกจิตสำนึกประชาชนชนบท เพ่ือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่าง คุณลักษณะประชากรของพระสงฆ์ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะประชากรของพระสงฆ์ซึ่ง ได้แก่ อายุ พรรษา การศึกษาทางโลกและการศึกษาทางธรรม กับการชี้นำและปลูกจิตสำนึกประชาชน ชนบทเพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น กลุ่มประชากรท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ พระสังฆาธิ การระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสซ่ึงจำพรรษาอยู่ในวัดที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน ๒๘๐ รูป ศึกษาประชากรทั้งหมด พบว่า ประชากรพระสงฆ์ติดตาม ข่าวสารต่างๆ จากหนังสือพิมพ์และวิทยุกระจายเสียงมากท่ีสุด ประชากรพระสงฆ์ส่วนใหญ่ อ่าน หนังสือพิมพ์ทุกวัน และเปิดรับข่าวสารเก่ียวกับการพัฒนาในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ในกรณี ข่าวสารจากแหล่งสื่อสารมวลชนไม่สอดคล้องกัน พระสงฆ์ส่วน ใหญ่จะตกลงใจเชื่อข่าวสารจาก หนังสือพิมพ์มากท่ีสุด และประชากรพระสงฆ์ส่วนใหญ่นาข่าวสารท่ีได้จากการอ่าน รับฟังหรือรับชม จากสือ่ มวลชนตา่ งๆ ไปใชป้ ระโยชน์ในการชน้ี ำอบรมสัง่ สอนใหป้ ระชาชนในชมุ ชน๕๒ ๕๐ พันจ่าอากาศเอก อภิชาต พรสี่, “การศึกษาวิเคราะห์รูปแบบเทศนาวิธีตามแนวอนุปุพพิกถาใน สงั คมไทยในปัจจุบนั ”, วทิ ยานิพนธป์ ริญญาพทุ ธศาสตรมหาบัณฑติ , (บัณฑติ วิทยาลัย: มหาวิทยามหาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๐), หนา้ ก-ข. ๕๑ พ.ต.ท. นาวิน วงศ์รัตนมัจฉา, “ผลสัมฤทธ์ิการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกลุ่มชาติพันธ์ุลีซูของพระ ธรรมจาริก”, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยามหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ก-ข. ๕๒ ธันยพร พงษ์โสภณ, “บทบาทของพระสงฆ์ สือ่ บุคคลในการช้ีนาและปลูกจิตสานึกประชาชนชนบท เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถ่ิน ศึกษากรณี พระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสจังหวัดกาญจนบุรี”, วิทยานิพนธ์วารสารศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาส่ือสารมวลชน, (คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๓๙), หนา้ ๗๘.

๔๗ พระกิตติศักด์ิ ยโสธโร ได้ทำวิจัยเร่ือง บทบาทของพระสารีบุตรเถระในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา พบว่า ในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านมีวิธีเผยแผ่ในลักษณะให้คำแนะนำ ปรึกษา สนทนาตอบปัญหาข้อข้องใจและการแสดงธรรม เม่ือได้ฟังจากพระบรมศาสนาแล้วนำไป ถา่ ยทอดแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสกิ า และบุคคลทั่วไปให้เขา้ ใจหลักธรรม จนเป็นที่ไว้วางพระทัย ของพระพุทธเจ้าทำให้บุคคลทั่วไปศรัทธาเลื่อมใสแล้วหันมานับถือ พระพุทธศาสนากันอย่าง แพร่หลาย มีบางส่วนเท่าน้ันท่ีมิได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ก็ได้นับถือในตัวท่านอยู่ก็มีซ่ึงเท่ากับ ได้สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกลุ่มความเชื่อตา่ งๆ นบั เป็นตัวอย่างการประกอบศาสนกจิ ดำเนนิ ชีวิต และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในปัจจบุ นั ได้เป็นอย่างดี๕๓ พระครูสังฆรักษ์พศวีร์ ธีรปญฺโญ ไดว้ จิ ัยเรือ่ ง “บทบาทของพระสังฆาธิการในการบรหิ าร กิจการคณะสงฆ์ : ศึกษากรณี พระสังฆาธิการในจังหวัดนนทบุรี” ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการศาสนศึกษา ด้าน การศึกษาสงเคราะห์ ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้านการสาธารณูปการ และด้านการสาธารณ สงเคราะห์ พบว่ามีบทบาทอยู่ในระดับมากทุกด้าน และเม่ือเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการ จังหวัดนนทบุรีที่มีจำนวนพรรษา ระดับการศึกษาสายสามัญ การศึกษาทางเปรียญธรรม ประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ และการสังกัดวัดแต่ละขนาดแตกต่างกันมีบทบาทต่อการบริหาร กิจการคณะสงฆใ์ นจงั หวัดนนทบุรีไมแ่ ตกต่างกนั ๕๔ พระธนดล นาคพิพัฒน์ ได้วิจัยเรื่อง “การบริหารกิจการคณะสงฆ์จังหวัดบุรีรัมย์” โดยมี วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาบทบาทพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ศึกษาเปรียบเทียบการ บริหารกิจการคณะสงฆ์ ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการบริหารกิจการคณะสงฆ์จังหวัด บุรีรัมย์ ซ่ึงผลการวิจัยสรุปว่า พระสังฆาธิการในจังหวัดบุรีรัมย์ มีบทบาทในการบริหารกิจการคณะ สงฆ์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นหลายด้าน พบว่ามีบทบาทในการบริหาร กิจการคณะสงฆ์ในด้านการปกครองอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การ เผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์อยใู่ นระดับปานกลาง ส่วนผล การเปรียบเทียบบทบาทในการบริหารกิจการคณะสงฆ์จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า พระสังฆาธิการที่มีอายุ ตำแหน่งพระสังฆาธิการ จำนวนพรรษา วุฒิการศึกษาทางสามัญ การศึกษาทางธรรม วุฒิการศึกษา ๕๓ พระกิตติศักดิ์ ยโสธโร, “บทบาทของพระสารีบุตรเถระในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”, วิทยานพิ นธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลัย: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙), หน้า ๗๗. ๕๔ พระครูสังฆรักษ์พศวีร์ ธีรปญฺโญ, “บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ : ศึกษากรณี พระสังฆาธิการในจังหวัดนนทบุรี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑), หน้า ๗๖.

๔๘ ทางเปรียญธรรม และประสบการณ์ในการปฏิบตั ิหน้าที่ของพระสังฆาธิการที่แตกตา่ งกัน มีบทบาทใน การบริหารกิจการคณะสงฆ์ไม่แตกต่างกัน และข้อเสนอแนะในการบริหารกิจการคณะสงฆ์จังหวัด บุรีรัมย์ ควรมีการปกครองพระภิกษุ สามเณร ให้ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด มีกองทุนส่งเสริม ดา้ นการศึกษาแกพ่ ระภิกษุ สามเณร ให้พระภิกษุ สามเณร เอาใจใส่ต่อกิจกรรม ด้านพระพุทธศาสนา ใหพ้ ระภกิ ษุ สามเณร ดำเนนิ กจิ กรรมบางอย่างภายในวดั อยา่ งมีระเบยี บ๕๕ พระครูนนทมงคลวิศิษฐ์ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง บทบาทของพระสังฆาธิการต่อการพัฒนา สงั คมในจังหวดั นนทบุรีผลการวิจัยพบว่า บทบาทของพระสังฆาธิการต่อการพัฒนาสงั คม ภาพรวมอยู่ ในระดับมาก ด้านสังคม ด้านวัฒนธรรมและด้านส่ิงแวดลอ้ ม อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านเศรษฐกิจด้าน สาธารณสุข อยู่ในระดับปานกลาง ผลการเปรยี บเทียบบทบาทของพระสงั ฆาธิการต่อการพัฒนาสังคม ในจังหวัดนนทบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า พระสังฆาธิการท่ีมีอายุ พรรษาระยะเวลาท่ีจา พรรษา ระดับการศึกษาและตำแหนง่ ทางคณะสงฆ์ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติ๕๖ พรชัย พันธุ์ธาดาพร ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัยพบว่า ๑) บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนตามความ คดิ เห็นของ พระสงฆ์โดยรวม อยู่ในระดับ เรียงลาดับค่าเฉล่ีย ดังน้ี คือ ด้านการศึกษา ด้านสังคมและ วัฒนธรรม ด้านพฒั นาคุณธรรมจรยิ ธรรม ดา้ นสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ และ ด้านการป้องกนั ปัญหา ยาเสพตดิ ในชมุ ชน ๒) บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนตามความคิดเห็นของ ผนู้ ำชุมชน โดยรวมอยู่ ในระดับมาก เรียงลาดับค่าเฉล่ีย ดังน้ีคือ ด้านการศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านพัฒนา คุณธรรมจริยธรรม ดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม ดา้ นเศรษฐกจิ และ ด้านการปอ้ งกนั ปัญหายาเสพติดในชมุ ชน ๓) เปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์กับ ผู้นาชุมชนที่มีต่อบทบาทของพระสงฆ์ใน การพฒั นาชุมชน โดยรวมไมแ่ ตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดบั .๐๕๕๖๕๗ พระมหาจิตติภัทร อจลธมฺโม ได้วิจัยเรื่องบทบาทของพระอานนท์ในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนา พบว่า ท่านมีบทบาทในการเผยแผใ่ นลักษณะการให้คำแนะนำให้ คำปรึกษา สนทนา ๕๕ พระธนดล นาคพิพัฒน์, “การบริหารกิจการคณะสงฆ์จังหวัดบุรีรัมย์”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๑๐๒. ๕๖ พระครูนนทมงคลวิศิษฐ์, “บทบาทพระสังฆาธิการต่อการพัฒนา สังคมในจังหวัดนนทบุรี”, พุทธ ศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หนา้ ก. ๕๗ พรชัย พันธ์ุธาดาพร, “บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา”, บริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภมู ิ , ๒๕๕๙), หนา้ ก.

๔๙ ตอบปัญหาข้อข้องใจและแสดงธรรม โดยท่ีท่านได้รับฟังจากพระพุทธเจ้า แล้วนำไปถ่ายทอดหรือเผย แผ่แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาและบุคคลท่ัวไปด้วยวิธีการท่ี ต่างๆ เช่น การบรรยาย การ อธิบายขยายข้อความ เปรียบเทียบและถามตอบ เป็นต้น จนเป็นท่ีศรัทธาเล่ือมใสและยอมรับนับถือ พระรัตนตรัยกันอย่างแพร่หลาย แตก่ ็มบี างส่วนทีม่ ิได้หันมานับถอื พระรัตนตรัย เพราะยังยึดตดิ อยู่กับ ลัทธิด้ังเดิม ถึงกระน้ันก็ยังมีความเคารพนับถือในตัวท่านเป็นกรณีพิเศษ ซ่ึงก็เท่ากับว่า ท่านได้สร้าง ความเข้าใจอันดีระหว่างกล่มุ ความเช่ือต่าง ๆ นับวา่ เป็นตัวแทนแห่งการประกอบศาสนกิจดำเนินชีวิต และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ของพทุ ธศาสนิกชนในปัจจบุ ันได้เป็นอยา่ งดี๕๘ พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี ได้วิจัยเรื่องวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราช วิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) พบว่า วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในปัจจุบันของหลวงพ่อคูณ หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ท่านใช้ในการเผยแผ่หรือประกาศและวิธีการเผยแผ่ที่ท่านใช้ บ่อยที่สุด คือการสนทนาธรรมและการตอบคำถาม ถือว่าเป็นวิธีการท่ีท่านใช้ส่ือถึง ผู้ฟังง่ายท่ีสุด ไม่ ต้องมีพิธีรีตองมากมาย ตลอดถึงการใช้บุคลิกลักษณะ คือ ท่านั่ง การพูดภาษาพ้ืนบ้านและการสร้าง อารมณ์ขันให้แก่ผู้ฟังอยเู่ สมอ ความสัมฤทธผิ์ ลในการเผยแผท่ ่ีมคี นทกุ ชนช้ันต้ังแต่กษตั ริย์ คนรวย คน จนต่างพากันเขา้ ไปกราบนมสั การ๕๙ พระมหาสัญญา ปญฺญาวิจิตฺโต ได้วิจัยเร่ืองรูปแบบและแนวทาง การเผยแผ่พุทธธรรม ของพระครูพิศาลธรรมโกศล (สุพจน์ กญฺจนิโก, “หลวงตาแพรเยื่อไม้”) พบว่า รูปแบบและแนว ทางการเผยแผ่พทุ ธธรรมของพระครูพศิ าลธรรมโกศล (สพุ จน์ กญฺจนโิ ก, “หลวงตาแพรเยื่อไม้”) ทงั้ ๓ ประเภท คือ ๑. การเทศนา (เทศน์มหาชาติ และเทศน์ธรรมวัตร) ๒. การปาฐกถา บรรยายธรรม อภิปราย สนทนา และโตว้ าที ๓. เขยี นหนงั สอื บทความ วรรณกรรมเรอ่ื งส้ันต่างๆ ซ่ึงรปู แบบดังกลา่ ว มีวิธีการนาเสนอ ๔ วิธี คือ ๑. การนำเสนอโดยตรง ๒. การนำเสนอโดยเปรยี บเทียบ ๓. การนำเสนอ โดยการใช้เชื่อมโยง ๔. การนำเสนอโดยการใช้ตัวอย่าง ผู้วิจัยพบวา่ มีลักษณะเด่น ๓ ประการ คือ ๑. การใช้ถ้อยคำ มีการใช้คำง่ายและการใช้คำเชิงสัพยอก ๒. การใช้ภาพพจน์ มีการใช้ภาพพจน์อุปมา ๕๘ พระมหาจิตติภัทร อจลธมฺโม, “บทบาทของพระอานนท์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๗), หน้า ๔๖. ๕๙ พระมหาบุญเลิศ ธมฺมทสฺสี, ศึกษาวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระราชวิทยาคม, ปริญญา พุทธศาสตรมหาบัณฑติ , (บณั ฑติ วทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๘๘.

๕๐ ภาพพจน์บุคลาธิษฐานและภาพพจน์การเรียนเสียงธรรมชาติ ๓. การใช้สำนวนพุทธศาสนสุภาษิต สภุ าษิต คำพังเพย คำคม คำกลอน และแหลม่ าประกอบ๖๐ พินิจ ลาภธนานนท์ ได้วิจัยเรื่องบทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชนบทโดยศึกษา วิเคราะหพ์ ระสงฆ์พัฒนาในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ พบวา่ ปจั จัยสำคัญทีผ่ ลักดันให้พระสงฆ์เข้ามามี บทบาทในการพัฒนาชนบทคือการที่พระสงฆ์พัฒนาได้พบเห็นสภาพปัญหาและความทุกข์ยาก จาก การศึกษาวิเคราะห์บทบาทของพระสงฆ์ท่ีดำเนินกิจกรรมสังฆพัฒนา ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้วจิ ัยจำแนกไดเ้ ป็น ๔ ลักษณะ คือ ๑. บทบาทผู้สงเคราะห์พัฒนา คือบทบาทที่พระสงฆ์พัฒนาดำเนินกิจกรรมต่างๆโดยท่ี ท่านเอง เป็นผู้จัดหาทรัพยากรและบริหารโครงการต่างๆ ด้วยตัวท่านเอง ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมใน การตัดสนิ ใจเลือกโครงการตา่ งๆ ๒. บทบาทผนู้ ำการพัฒนา เป็นบทบาทที่พระสงฆเ์ ป็นผู้นำชาวบ้านเขา้ มาทำกิจกรรมสังฆ พัฒนาชนบทต่างๆ โดยพระสงฆ์จะเป็นผู้คิดค้นโครงการ หรือติดต่อโครงการพัฒนาต่างๆมา ดำเนินการ จะเปิดโอกาสให้ชาวบ้านร่วมปรึกษาหารือบ้าง จากการศึกษา พบว่า พระสงฆ์พัฒนาที่มี บทบาทเชน่ น้ีมีอยมู่ ากทส่ี ดุ ๓. บทบาทผู้ประสานงาน โดยกิจกรรมและโครงการสังฆพัฒนาต่างๆ มักจะเป็นการ ดำเนินการโดยพยายามชัดนำความร่วมมือ และสนับสนุนจากหลายฝ่ายและพยายามร่วมมือกับผู้นำ ชุมชนในการชักจูงชาวบ้านเขา้ มามสี ่วนรว่ มในการพฒั นาตนเอง ๔. บทบาทที่เป็นพ่ีเลี้ยงสนับสนุนการพัฒนาในหมู่บ้าน โดยมีชาวบ้านเป็นผู้มีส่วนร่วมใน การพัฒนาตนเองอย่างสำคัญ พระสงฆพ์ ัฒนามีบทบาทเปน็ เพยี งพีเ่ ลี้ยงท่ีคอยให้คำแนะนำปรกึ ษาและ ประสานงานการสนับสนุนจากภายนอกตามที่ชาวบ้านเห็นชอบร่วมกัน บทบาทแบบนี้นับว่าเป็น แนวทางที่สอดคล้องเหมาะสมต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักการพึ่งตนเอง เพราะชาวบ้านจะ เปน็ ผู้มีบทบาทสำคัญท้งั ในการตดั สินใจคัดเลอื กโครงการ การปฏิบัตงิ าน และตดิ ตามรับผิดชอบในผล ทจ่ี ะเกดิ ขึ้น๖๑ นวรัตน์ สุวรรณผ่อง ได้วิจัยเรื่องบทบาทของพระสงฆ์ที่มีต่องานสังคมสงเคราะห์จิตเวช โดยพิจารณาบทบาทในการให้คำแนะนาปรึกษาปัญหาทางด้านจิตใจ บทบาทในการรดน้ำมนต์ ให้ ๖๐ พระมหาสัญญา ปญฺญานิโก, “การศึกษารูปแบบและแนวทางในการเผยแผ่พุทธธรรม ของพระครู พิศาลธรรมโกศล”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๑๑๒. ๖๑ พินิจ ลาภธนานนท์, “บทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาชนบท, โครงการหนังสือเล่มสถาบันวิจัย สังคม”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๒๙), หน้า ๗๑.

๕๑ วัตถุมงคลอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับขวญั และกำลังใจ บทบาทในการสอนวิปัสสนากรรมฐานเพื่อความสงบ สุขทางด้านจิตใจบและบทบาทในการส่งเสริมจริยธรรมและการพัฒนาทางด้านจิตใจ ผลการวิจัย พบว่า พระสงฆ์มีบทบาทในการให้คาแนะนำปรึกษาปัญหาทางด้านจิตใจและด้านการส่งเสริม จริยธรรมกับการพัฒนาทางด้านจิตใจเป็นส่วนใหญ่ การช่วยเหลือประชาชนก็คือการขาดแคลนทุน ทรัพย์ นอกจากนี้ ยังพบว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่คิดว่ามีความสามารถ มีความพร้อมเหมาะสมที่จะ ชว่ ยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธภิ าพ โดยไม่วา่ จะเป็นในระดบั บุคคล กลุ่ม หรือชมุ ชนก็ตาม๖๒ พระมหาวิเชียร ชาญณรงค์ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง บทบาทพระสงฆ์ในการนำหลักมาใช้ทำ กิจกรรมงานพัฒนาชุมชนเพื่อการลด ละ เลิก อบายมุข ศึกษาเฉพาะกรณีพระครูศีลาวราภรณ์ (เฉลิม ฐติ สีโล) วัดโนนเมือง ตำบลโนนเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ผลการวิจัย พบว่า พระสงฆ์มี บทบาทในการเป็นผู้นำชุมชน ด้วยการกระตุ้นปลูกจิตสำนึก นำเทคนิควิธีการในการเข้าถึงชุมชนการ ส่ือสารกับชุมชนผ่านการเทศนา บรรยาย ป้ายข้อความสื่อด้วยหลักธรรมการส่งเสริมคุณธรรม จรยิ ธรรม เปน็ ผู้ให้คำปรึกษาในการพัฒนากิจกรรมกลุ่ม ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแกป้ ัญหา ของตนเองการช้ีให้ประชาชนเห็น ในชุมชนโดยมุ่งให้มีการปฏิบัติจริงส่งเสริมขบวนการเรียนรู้ ให้แก่ ประชาชนได้ดำเนินการฝ่ายกิจกรรมการพัฒนาท่ีย่ังยืน ผลจากการศึกษาปรากฏว่าบทบาทของพระ ครูศีลาวราภรณ์ ได้ส่งผลให้ชุมชนได้ร่วมมือทากิจกรรมด้วยกันเพื่อมุ่งสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง เพ่ือเป็น แรงผลักดันให้ชุมชนอยรู่ อดและพ่งึ พากนั เองในชุมชน๖๓ พระมหาบุญมี อธิปุญฺโญ (วรรณวิเศษ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง บทบาทของพระสงฆ์ในการ พัฒนาสังคม ศึกษาเฉพาะกรณี พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน ) ผลการวิจัยพบว่า พระ ธรรมวิสุทธิมงคลเป็นพระสงฆ์ที่เกิดในครอบครัวท่ีมีอาชีพเกษตรกรรมแต่ฐานะทางการเงินของสกุล ท่านอยใู่ นสภาพคอ่ นข้างดี ขณะเข้าสูค่ วามเปน็ สมณเพศ สังกัดคณะสงฆฝ์ ่ายธรรมยุต ยดึ ถือธุดงควัตร เป็นเคร่ืองขัดเกลากิเลสเป็นพระสงฆ์นักปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน พระธรรมวิสุทธิ มงคลเป็นพระสงฆ์ท่ีเจริญด้วยปฏิปทา มอี าจาริยวตั รอนั งดงามอย่างเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด เป็นผู้มีเอกลักษณ์ประจาตัวคือการสอนธรรมะที่เข้มงวดและจริงจัง ข้อวัตรปฏิบัติในแต่ละวันเป็นไป เพ่ือความเจริญร่งุ เรืองแห่งพระพุทธศาสนา บทบาทการพัฒนาสังคมของท่านในด้านการปกครองการ เผยแผ่ สาธารณสงเคราะห์ การทานุบำรุงส่ิงแวดล้อม การช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติน้ันได้รับ ๖๒ นวรัตน์ สุวรรณผ่อง, “การศึกษาบทบาทของพระสงฆ์ไทยกับงานสังคมสงเคราะห์จิตเวช : ศึกษา กรณีวัดท่ีมีสานักสมถวิปัสสนากรรมฐานเขตกรุงเทพมหานคร”, วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, (คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๔), หนา้ ๙๒. ๖๓ พระมหาวิเชียร ชาญณรงค์, “บทบาทพระสงฆ์ในการนาหลักธรรมมาใช้ทากิจกรรมงานพัฒนา ชุมชนเพ่อื ลด ละ เลิก อบายมขุ ศกึ ษาเฉพาะกรณพี ระครศู ีลาวราภรณ์ (เฉลมิ ฐติ ิสีโล)”, วทิ ยานพิ นธ์พฒั นาชุมชน มหาบณั ฑิต สาขาวิชาสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์, (บณั ฑติ วิทยาลัย: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๔), หนา้ ๒๑.

๕๒ ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างย่ิง โดยสรุปการพัฒนาของท่านมีอยู่ ๒ ด้าน คือ (๑) ด้านจิตใจ ได้แก่ การอบรมสั่งสอนให้ประชาชนมีศีลธรรม คุณธรรม ความดีงามตามหลักธรรมคำสอนทาง พระพุทธศาสนา โดยเน้นการนำไปปฏิบัตมิ ากกวา่ การสอนให้รู้เท่าน้ัน (๒) ด้านวัตถุ ได้แก่ การพัฒนา การศึกษา สาธารณสุข และสาธารณประโยชน์อ่ืนๆ ตลอดจนการเป็นผู้นาในการต้ังกองทุนผ้าป่าช่วย ชาติ”๖๔ พระครูสุวรรณวรการ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ศึกษาบทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน ในจังหวัดปทุมธานี ผลการวจิ ัยพบวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีวุฒิการศึกษานักธรรมช้ันเอก วฒุ ิ เปรียญธรรม ๑-๒ ถึง เปรียญธรรม ๓ วุฒิการศึกษาสามัญระดับปริญญาตรีมีพรรษา มากกว่า ๓๐ พรรษา มีตำแหน่งเจ้าอาวาส และระยะจำพรรษาอยูใ่ นวัดปัจจุบันมากกว่า ๒๐ ปี บทบาทพระสงฆ์ใน การพัฒนาชุมชนในจังหวัดปทุมธานี ซ่ึงมีทั้งหมด ๕ ด้าน ได้แก่ การพัฒนาชุมชนด้านสังคม ด้าน เศรษฐกิจ ด้านสาธารณสุข และด้านส่ิงแวดล้อม อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนบทบาทของพระสงฆ์ใน การพฒั นาชมุ ชนในจังหวัดปทุมธานี ดา้ นวัฒนธรรม อยูใ่ นระดบั มาก๖๕ พระมหาฉนั ทยา คนเจน ได้ศกึ ษาวจิ ยั เรือ่ ง บทบาทพระสงฆต์ อ่ การพฒั นาทรัพยากร มนุษย์ผ่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจชุมชน : กรณีศึกษา พระอาจารย์สุบิน ปณีโต ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของพระอาจารย์สุบิน ปณีโต เป็นบทบาทเชิงรุกในฐานะเป็นกัลยาณมิตร ผู้สนับสนุนส่งเสริม คิดริเริ่ม เป็นท่ีปรึกษาและเป็นตัวเช่ือมทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมให้กับคนในกลุ่มสัจจะสะสม ทรัพย์ เพ่ือให้กลุ่มสามารถพึ่งพาช่วยเหลือกัน และมีความคิดสร้างสรรค์ ความเห็นชอบ ตามหลัก โยนิโสมนสิการ ทำให้คนในชุมชนมีโอกาสทางเศรษฐกิจมากข้ึน ผลที่เกิดกับคนในกลุ่มมีทั้งทางด้าน เศรษฐกิจและสังคม เช่น กลุ่มมีการขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจรว่ มกันท่สี ำคัญ คือ การเอาเงนิ กลมุ่ ที่ เหลือไปซื้อท่ีดนิ เพื่อไว้เป็นที่ทำกนิ ของสมาชกิ กลุ่มท่ียากจน ไมม่ ีทด่ี ิน การนำเงินกล่มุ ทเี่ หลือจัดตง้ั โรง ยางเพื่อให้สมาชิกกลมุ่ นำยางมารวมกัน เพ่ือการต่อรองจากพ่อค้า ในทางเศรษฐกิจ พบว่า คนในกลุ่ม สัจจะสะสมทรัพย์ ที่พระอาจารย์สุบินมีบทบาทและเป็นตัวเช่ือมน้ัน มีจำนวนคนที่มีรายได้ที่เพ่ิมข้ึน ในขณะจำนวนผู้มีหน้ีสินยังมีอยู่มาก แต่สามารถที่จะจ่ายได้ตามกำหนด การออมเพ่ิมขึ้น ในขณะท่ี ๖๔ พระมหาบุญมี อธิปญุ ฺโญ, “บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาสังคม ศกึ ษาเฉพาะกรณี : พระธรรมวิ สุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน)”, วิทยานิพนธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหามกุฎ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๙-๑๔. ๖๕ พระครสู ุวรรณวรการ, “ศกึ ษาบทบาทของพระสงฆ์ในการพฒั นาชุมชนในจงั หวัดปทุมธานี ”, พุทธ ศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓), หน้า ก.

๕๓ การกู้ยืมลดลง สว่ นมากเงินท่ีได้จากกลมุ่ จะนำไปใชใ้ นการบริโภค การออม และการผลิตลงทุน ในทาง สงั คม๖๖ พระมหาพรประสงค์ พุทธจนั ทร์ ไดเ้ สนอปรญิ ญานพิ นธเ์ รอ่ื ง บทบาทของพระสงฆใ์ น การพฒั นาวัดใหเ้ ปน็ ศนู ยก์ ลางชมุ ชน ผลการศกึ ษาพบวา่ พระสงฆ์ทุกวัดได้ร่วมกันพัฒนาวัดท้งั ๖ ด้านคือการพัฒนาวัดด้านการปกครองได้มีการวางมาตรการ และออกกฎระเบียบของวัดเป็นไปตาม แบบแผนแห่งพระธรรมวินัย และกฎระเบียบของคณะสงฆ์ให้พระภิกษุ และสามเณรได้ยึดถือ และ ประพฤติปฏิบัติตาม และให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมพัฒนาวัดในรูปของคณะกรรมการวัด การพัฒนา วัดด้านการศาสนศึกษาได้ให้การส่งเสริม และสนับสนุนพระภิกษุและสามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนใน ระบบการศึกษาต่างๆ ของคณะสงฆ์และการศึกษาตามอัธยาศัยทางด้านพระสงฆ์วัดเชตุพนได้จัดการ เรียนการสอนพระปริยัติธรรมท้ังแผนกธรรมแผนกบาลีและแผนกสามัญศึกษาให้แก่ พระภิกษุและ สามเณรด้วยการพัฒนาวัดดา้ นการศึกษาสงเคราะห์ ได้ให้ความอปุ ถมั ภแ์ ละสนับสนุนทนุ การศึกษาแก่ นักเรียน และทุนอาหารกลางวัน วัสดุอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอนแก่สถานศึกษา ได้บรรยายอบรม และเป็นครูพระช่วยสอนตามสถานศึกษาต่างๆ ทางด้านพระสงฆ์วัดกู่คา วัดเกตการามและวัดท่า สะต๋อยได้เป็นผู้ริเร่ิมจัดตั้งโรงเรียนขึ้น ในวัดเพื่อให้เป็นสถานท่ีศึกษาเล่าเรียนของเด็กเยาวชนใน ชมุ ชน และวดั เชตุพนได้ให้บริการความรู้ภมู ิปัญญาท้องถนิ่ ด้านแพทย์แผนไทยแก่ประชาชน และการ พัฒนาวดั ดา้ นการเผยแผ่ ศาสนธรรมได้ดาเนนิ การเผยแผศ่ าสนธรรมด้วยการเทศน์ การอบรมบรรยาย ให้แก่ประชาชนตามโอกาส และสถานท่ีต่างๆ ทั้งในวัดและนอกวัด และได้ร่วมกับประชาชนจัด กิจกรรม วนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาและกิจกรรมประเพณีที่สำคัญของท้องถิ่นเป็นประจำทางด้าน พระสงฆ์ วัดสันป่าข่อยได้จัดกิจกรรมปาฐกถาธรรม ให้แก่ประชาชนทุกวันอาทิตย์ในช่วงเข้าพรรษา การพัฒนา วัดด้านการสาธารณูปการได้มีการก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนวตั ถุและศาสนสถาน ไดพ้ ัฒนาปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ภายในบริเวณวัด และอาคารสถานที่ของวัดและใหป้ ระชาชนได้เขา้ มา ใช้อาคารสถานท่ีของวัดทำกิจกรรมต่างๆทางด้านพระสงฆ์วัดเกตการามได้ร่วมกับประชาชนจัดต้ัง พพิ ธิ ภณั ฑข์ ึ้นในวัดเพือ่ เปน็ การอนรุ กั ษโ์ บราณวัตถุตา่ งๆ และเป็นศูนย์กลางการจดั กิจกรรม๖๗ พระมหาสังเวียร ปญฺญาธโร (ศรีมันตะ) ได้วิจัยเร่ือง “บทบาทของพระสงฆในการนำ หลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใชในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน : กรณีศึกษา พระครูสุภาจารวัฒน์ ๖๖ พระมหาฉันทยา คนเจน , “บทบาทพระสงฆ์ต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านกิจกรรมทาง เศรษฐกิจชุมชน: กรณีศึกษา พระอาจารย์สุบิน ปณีโต”, ปริญญานิพนธ์เศรษฐศาสตร์การพัฒนามนุษย์, (บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๕๕), หนา้ ก. ๖๗ พระมหาพรประสงค์ พุทธจันทร์, “บทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาวัดให้เป็นศูนย์กลางชุมชน”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๘๘.

๕๔ ผลการวิจัยพบว่า บทบาทของพระครูสุภาจารวัฒน์ในการนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใชในการ พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เก่ียวกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่อยูบนพ้ืนฐานการพ่ึงพาธรรมชาติ กิจกรรมที่ทำประกอบด้วย การฟื้นฟูอนุรักษภูมิปัญญาพ้ืนบ้านเก่ียวกับยาสมุนไพรศูนย์รักสุขภาพ กิจกรรมเกษตรพอเพียง เช่น เกษตรผสมผสานเกษตรกรรมธรรมชาติ กองทุนพันธุ์ไม้และการพัฒนา แหลงน้ำ การปลูกป่าชุมชน โรงสีขาวปลอดสารเคมีโดยรับซื้อผลผลิตจากสมาชิกในราคายุติธรรมให้ สมาชิกมีรายได้จากการทำนาปลูกขาวปลอดสารเคมี กิจกรรมปลูกผักปลอดสารพิษไว้บริโภค และ กิจกรรมอ่ืน ๆ ที่มคี วามสอดคลองกับหลักแห่งพทุ ธธรรม วิถีชวี ิตในสงั คมชนบท นำไปสู่การดำรงชีวิต แบบเศรษฐกิจพอเพียง คือพออยู่พอกินและพอเพียงดานหลักพุทธธรรมสำคัญท่ีพระครูสุภาจารวัฒน์ นำมาใช้คือ หลักอิทธิบาท ๔ หลักสังคหวัตถุ ๔ และหลักฆารวาสธรรม ๔ เป็นต้น มาเป็นหลักในการ ทำงาน โดยเฉพาะในด้านการสงเสรมิ เศรษฐกิจชุมชน เพราะเป็นธรรมท่ีสอดคล้องกบั การทำงาน เป็น เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นการสรางความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างหน่วยงานกับชุมชนทำให้ชุมชนมี คุณธรรมโดยผ่านกิจกรรมรวมกันการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และทำใหชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้มี ความเป็นอยู่ดีข้ึน พระครูสุภาจารวัฒน์เป็นพุทธสาวกรูปหนึ่งผู้ซึ่งได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามา ปฏิบัติให้เห็นประจักษ์ในชีวิตประจำวันและปลุกคนอื่นให้มีความสนใจและปฏิบัติตามพระธรรมคำ สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการยึดหลักแห่งความเสียสละและการให้โอกาสคนอ่ืนเสมอในการ ทำงานรวมกัน๖๘ ธงชัย สงิ อุดม ไดว้ จิ ยั เร่อื ง “การพัฒนาภาวะผู้นำของพระสงั ฆาธกิ ารในเขตปกครอง คณะสงฆ์ภาค ๘” ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑) สภาพทั่วไปของการมีภาวะผู้นำของสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๘ พบว่า ได้แก่ (๑) ภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการด้านการมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองสภาพการณ์ออก (จักขุมา) (๒) ภาวะผู้นำด้านชำนาญในงาน (วิธุโร) (๓) ภาวะผู้นำด้านการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี (นิสสยสัมปนฺโน) และการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักธรรมสังฆโสภณสูตร อยู่ในระดับมากทั้งหมด และภาวะผู้นำด้าน การมีปัญญา/ความสามารถ (วิยตโต) ภาวะผู้นำด้านการเป็นผู้มรี ะเบียบวินยั ดี (วินีโต) ภาวะผู้นำด้าน ความแกล้วกล้า/กล้าหาญ (วิสารโท) ภาวะผู้นำด้านการรักษาความถูกต้องในส่ิงท่ีถูกท่ีควร (ธัมมา นธุ ัมมปฏปิ นโฺ น) อยใู่ นระดบั มาก ๒) หลักพุทธธรรม และ ทฤษฎีภาวะผู้นาท่ีเหมาะสมสำหรับประยุกต์ใช้ในการพัฒนา ภาวะผู้นำของพระสังฆาธกิ าร พบว่า การพัฒนาภาวะผ้นู ำของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค ๘ ตามทฤษฎีภาวะผู้นำ ประกอบไปด้วย ๔ ทฤษฎี (๑) ภาวะผู้นำด้านคุณลักษณะ (๒) ภาวะ ๖๘ พระมหาสังเวยี ร ปญฺญาธโร (ศรีมันตะ), “บทบาทของพระสงฆในการนำหลกั พุทธธรรมมาประยุกต ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจชมุ ชน : กรณีศึกษา พระครูสภุ าจารวฒั น”, วิทยานิพนธปริญญาพุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๐), หนา้ ๑.

๕๕ ผู้นำด้านพฤติกรรมผู้นำ (๓) ผู้นำตามสถานการณ์ (๔) ภาวะผู้นำด้านความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป และ ผนู้ ำแบบพอเพยี งจะมคี วามเหมาะสมกับสภาพพืน้ ท่ีมากท่ีสดุ ๓) การบรู ณาการกลักพทุ ธธรรมและทฤษฎีภาวะผนู้ ำในการพัฒนาภาวะผู้นำของ พระ สังฆาธิการในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค ๘ พบว่า พฤติกรรมของผู้นำที่ควรให้ความสนใจใน สมาชิกส่งเสรมิ ขวัญและกำลังใจให้เกิดข้ึนกับบุคลากร และพฤติกรรมของผู้นำทต่ี ้องให้ความสนใจกับ การทำให้เป้าหมายของงาน จะมีการกำหนดเป้าหมายมาตรฐาน มีการมอบหมายงานรวมทั้งการ ผลกั ดันให้เกดิ ความสำเร็จ๖๙ สรุป การเลือกใช้วิธีการสื่อสารของพระสงฆ์ในการชี้นำและปลูกจิตสำนึกประชาชนใน ชนบทเพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถ่ิน นับเป็นตัวอย่างการประกอบศาสนกิจดำเนินชีวิตและเผย แผ่พระพุทธศาสนา การพัฒนาชุมชนในด้านการสงเคราะห์ พระสงฆ์มีบทบาทในการเป็นผู้นำชุมชน ด้วยการกระตุ้นปลูกจิตสำนึก นำเทคนิควิธีการในการเข้าถึงชุมชน ด้วยการสื่อสารกับชุมชนผ่านการ เทศนา และการพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาชุมชนด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านสาธารณสุข และด้าน ส่ิงแวดล้อม การพัฒนาทางด้านจิตใจ การสอนวิปัสสนากรรมฐานเพื่อความสงบสุขทางด้านจิตใจ บทบาทในการให้ท่ีพักอาศัย แก่คนท่ีไร้ทีพ่ ่ึงและผู้เจ็บป่วยและบทบาทในการส่งเสริมจริยธรรม หลวง พ่อคูณ เป็นบุคคลตัวอย่าง สามารถนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ท่านใช้ในการเผยแผ่ หรือประกาศและวิธีการเผยแผ่ท่ีท่านใช้มากท่ีสุด คือการสนทนาธรรมและการตอบคำถาม เป็น กัลยาณมิตร กับประชาชนท่ัวไป เป็นท่ีปรึกษาและเป็นตัวเช่ือมทางด้านการดำเนินชีวิต และการ ประกอบสัมมาอาชีพ และสามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาชุมชนในแต่ละชุมชนได้โดยการยึดหลักแหง ความเสยี สละ และการให้โอกาสคนอ่ืนเสมอในการทำงานรวมกนั ๖๙ ธงชัย สิงอุดม,“การพัฒนาภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๘”, วทิ ยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หน้า ๙๘.

๕๖ ๒.๖ กรอบแนวคดิ ในการวิจยั การวิจัยเรื่อง “การศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์” ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง จึงนำมา สงั เคราะห์กำหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) ประกอบดว้ ย ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม หลกั การพัฒนาชมุ ชน บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม ๑) แนวคดิ ทฤษฎีการพัฒนาชุมชน รตนมุนี วัดอุทุมพ ร อำเภอป ราสาท ๒) ทฤษฎีการจัดการ จงั หวัดสุรินทร์ ๓) หลักพุทธธรรมในการพฒั นาชุมชน ๑) บทบาทการพฒั นาชุมชนใน พระพุทธศาสนา หลกั พุทธธรรม ๒) บทบาทการพัฒนาชุมชนใน ๑) อปริหานิยธรรม ๗ พระพุทธศาสนา ของหลวงปรู่ ิม รตนมณุ ี ๒) อทิ ธบิ าท ๔ ๓) วิเคราะห์ บทบาทการพัฒนาชุมชนใน ๓) ไตรสกิ ขา ๓ พระพุทธศาสนา ของหลวงปูร่ มิ รตนมุณี วัด ๔) สังคหวัตถุ ๔ อทุ มุ อำเภอปราสาท จงั หวัดสรุ ินทร์ ๕) สามัคคีธรรม ผลของการพฒั นาชุมชน ๑ ดา้ นสงั คม ๒) ดา้ นเศรษฐกจิ ๓) ด้านการศกึ ษา ๔) ด้านวัฒนธรรม ๕) ดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม

บทท่ี ๓ วธิ ดี ำเนินการวิจัย การวิจยั เรอื่ ง “ศึกษาบทบาทการพฒั นาชมุ ชนของหลวงปรู่ ิม รตนมุนี วัดอทุ มุ พร อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สรุ ินทร์” การวจิ ยั มีวิธีดำเนนิ การวิจัยดังตอ่ ไปนี้ ๓.๑ รปู แบบการวิจัย ๓.๒ ขนั้ ตอนผู้ใหข้ อ้ มลู สำคัญ ๓.๓ เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ๓.๔ การแจกแบบสัมภาษณ์ ๓.๕ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๓.๑ รปู แบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และวิจัย ภาคสนาม โดยการวเิ คราะหข์ ้อมลู จาก เอกสาร ตำรา ขอ้ มูล รายงานการวจิ ัย รายงานของหน่วยงาน ตา่ ง ๆ บทความทางวชิ าการ วิทยานิพนธ์ ตลอดจนงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง และใช้วธิ ีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) โดยใชแ้ บบสมั ภาษณแ์ บบก่งึ โครงสร้าง โดยศกึ ษาความเห็นของผทู้ ำบญุ เร่ือง “การศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัด สรุ นิ ทร์” ทเ่ี ป็นกลมุ่ เป้าหมาย เพ่อื สร้างกระบวนการพฒั นาชุมชนตา่ ง ๆ ๓.๒ ขน้ั ตอนผูใ้ หข้ อ้ มลู สำคัญ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ หมายถึง ผู้ท่ีอาศัยอยู่ในชุมชนตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัด สุรินทร์ - พระสงฆ์ระดับพระสงั ฆาธิการและระดับเจ้าอาวาส จำนวน ๖ รูป - ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน ๕ คน - ผู้นำชมุ ชนจำนวน ๘ คน - ชาวบา้ นจำนวน ๒ คน - รวมท้ังหมดจำนวน ๒๑ รูป / คน

๕๘ ๓.๓ เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัย ในการวิจัยครัง้ น้ี เป็นการวิจัยแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และใช้ วธิ กี ารสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก (In-depth interview) ซงึ่ ใช้วิธอี อกภาคสนาม และเชงิ คณุ ภาพ มเี คร่ืองมอื ใน การวจิ ัย ดังนี้ ๑) การสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก (In-depth interview) ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) และสัมภาษณ์จนเกิดการอ่ิมตัวของ ขอ้ มูล จากผู้ทอี่ าศัยอยู่ในชมุ ชนตำบลทงุ่ มน อำเภอปราสาท จังหวัดสรุ นิ ทร์ ๒) เสนอร่างแบบสัมภาษณ์ต่ออาจารย์ที่ปรกึ ษา ๓) นำแบบสัมภาษณ์มาปรบั ปรุงแก้ไขตามทีอ่ าจารย์ท่ปี รึกษาแนะนำ ๔) นำข้อมูลท่ีปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ท่าน ตรวจสอบความ เทีย่ งตรงของเนือ้ หา (Content Validity) เพอ่ื ความถูกตอ้ งของแบบสมั ภาษณ์ ดังนี้ (๑) รศ. ดร.ทวีศักด์ิ ทองทิพย์ ตำแหน่ง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรนิ ทร์ (๒) พระปลัดสุระ ญาณธโร, ผศ. ดร. ตำแหน่ง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตสุรนิ ทร์ (๓) ผศ. บรรจง โสดาดี ตำแหน่ง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั วิทยาเขตสุรนิ ทร์ ๕) นำแบบสัมภาษณ์ไปปรับปรุงแก้ไขอีกคร้ังหนึ่งตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิและ ดำเนนิ การสัมภาษณ์เพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มูลตอ่ ไป ๓.๓.๑ ขนั้ ตอนเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยจะเก็บข้อมูลภาคสนามในแหล่งน้าพื้นที่ศึกษาท่ีกำหนดด้วยวิธีการสัมภาษณ์โดยใช้ วิธวี ธิ กี ารบันทกึ ลงในเครอื่ งบนั ทกึ เสยี ง และจดบันทกึ ตามความเหมาะสม มีการเกบ็ ภาพประกอบ โดยใช้เคร่ืองมอื อปุ กรณท์ ช่ี ่วยในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการศึกษาวิจยั คร้งั น้ี ได้แก่ ๑) กล้องถ่ายรปู บันทกึ ภาพนง่ิ ๒) เทปบันทึกเสยี งสนทนา ๓) แบบสมั ภาษณ์ ๓.๓.๒ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสรา้ ง (Interview guideline) เป็นแบบสัมภาษณ์เพ่ือ วิเคราะห์การทำบญุ ๓ ข้ันตอน ๑) ข้อมลู สถานภาพส่วนบุคคลทว่ั ไป ของผู้ตอบแบบสอบถาม ๒) ขอ้ มูลสัมภาษณ์ นำมาวเิ คราะห์ แยกออกตามวัตถปุ ระสงค์

๕๙ ๓) ใชข้ ้อมลู สัมภาษณต์ อบแบบพรรณนา ๓.๔ การแจกแบบสมั ภาษณ์ (In-Depth Interview) ข้อมูลงานวิจัยเร่ือง “การศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัด อทุ ุมพร อำเภอปราสาท จงั หวัดสุรินทร์” ท่ไี ด้จากการสมั ภาษณ์ ซงึ่ มีการวเิ คราะห์ตามลำดบั ดังนี้ ๓.๔.๑ ข้ันตอนการจัดการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๑) นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารปฐมภูมิและเอกสารทุติยภูมิต่างๆ ท่ี เกีย่ วกับการทำบญุ มาประมวลสังเคราะหใ์ หไ้ ด้สาระสำคญั ตามวตั ถุประสงค์ ๒) นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ การจดบันทึกและการบันทึกเสียงถอดความแล้ว วิเคราะห์เพ่ือประมวลใหไ้ ดส้ าระสำคญั ที่สอดคล้องตามวตั ถุประสงค์ ๓) นำบทวิเคราะหท์ ้ังหมดมาตรวจสอบความสมบรู ณ์และเรยี บเรียงประเด็นตา่ งๆ ท่ี เสนอไว้ในสารบัญ ๔) เรียบเรียงและจัดลำดับข้อมูลเก่ียวกับการทำบุญต่าง ๆ ตามหลักพระพุทธศาสนา และภมู ิปัญญาของบรรพบรุ ุษไทยท่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้าข้อมลู ๓.๔.๒ ข้ันตอนนำเสนอผลการศึกษา ผู้วิจัยจะนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยวิธีแบบ พรรณนาวเิ คราะห์ ให้ทป่ี รกึ ษาได้ตรวจสอบขอ้ มูลและแนะนำข้อบกพร่อง และนำขอ้ มูลแกไ้ ขตอ่ ไป ๓.๕ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูล หมาย ถึง การนำเอาข้อมูล ท่ีออกภาคสนามสัมภาษณ์ นำข้อมูลมา คลี่ออกจัดเป็นระบบจัดเป็นระเบียบแต่ละขั้นตอน ตอบตรงวัตถุประสงค์ และนำเสนออาจารย์ท่ี ปรึกษา เพอ่ื ปรบั ปรงุ แกไ้ ขตอ่ ไป

บทที่ ๔ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ในบทนี้เป็นการวิเคราะห์ บทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและผสมการออกภาคสนาม โดยมี วตั ถุประสงค์ ดังนี้ ๑) ศึกษาแนวคิดการพัฒนาชมุ ชนในพระพุทธศาสนา ๒) ศึกษาบทบาทพระสงฆ์ใน การพัฒนาชุมชน ๓) ศึกษาบทบาทการพัฒนาชุมชนของหลวงปู่ริม รตนมุนี วัดอุทุมพร อำเภอ ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร และการสัมภาษณ์ พระสงฆ์ นักปราชญ์ และชาวบ้าน ทำการตรวจสอบความถูกต้อง ของข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย การวิเคราะห์เนื้อหา นำเสนอผลการวิจยั เพื่อตอบโจทย์การวิจัยตามวัตถุประสงค์ โดยมีลำดับหัวข้อ ดงั น้ี ๔.๑ การพัฒนาชุมชนในพระพทุ ธศาสนา ๔.๒ บทบาทพระสงฆใ์ นการพฒั นาชมุ ชน ๔.๓ บทบาทการพฒั นาชุมชนและการเผยแผ่ของหลวงปรู่ มิ รตนมนุ ี ๔.๔ บทบาทการพัฒนาดา้ นส่งิ แวดล้อม ๔.๕ บทบาทการพฒั นาดา้ นคณุ ธรรมและจริยธรรม ๔.๖ วเิ คราะหจ์ ุดแข็ง-จุดออ่ น โอกาสและอปุ สรรค ๔.๑ การพัฒนาชุมชนในพระพุทธศาสนา สังคมไทยปัจจุบันมีปัญหามาก หาความสงบมิได้ ท้ังท่ีเป็นแดนแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อ พิจารณาถึงเหตุที่แท้จริงแล้วจะพบว่า มูลเหตุของปัญหามีจุดกำเนิดมาจากความเสื่อมทางจิตใจของ คนในสังคม เป็นเพราะการขาดคุณธรรมประจำใจ ดังน้ันการแก้ปัญหาที่ถูกต้องท่ีสุด คือการทำให้คน ในสังคม มีศีลธรรมประจำใจ การปลูกฝังศีลธรรมให้เกิดข้ึนในจิตใจได้ดังน้ันจำเป็นต้องมีปัจจัยอยู่ หลายประการข้อสำคัญที่สุดก็คือ การมีแบบอย่างท่ีดีของสังคม หมายถึง คุณความดีท่ีคนไทยทุกคน สมควรนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้ท้ังหมด มีอยู่แล้วใน หลักพุทธธรรมคำสอนทาง พระพทุ ธศาสนา

๖๑ ๔.๑.๑ พฒั นาชมุ ชนตามหลกั พทุ ธธรรม พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มุ่งในการพัฒนามนุษย์ โดยเฉพาะการพฒั นาในด้านจิตใจให้ สงู ขึ้นปัจจบุ ันนี้ ไดเ้ ป็นทยี่ อมรบั กันทั่วไปแลว้ วา่ การทจ่ี ะพฒั นาประเทศใหส้ ำเร็จผลดีบรรลุจุดหมายท่ี ต้องการได้อย่างแท้จริงนั้น จะพัฒนาเพียงด้านวัตถุอย่างเดียวเท่านั้นไม่เพียงพอประสบการณ์ในการ พัฒนา ตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมา ได้สอนให้เป็นตระหนักว่า การมุ่งพัฒนาวัตถุภายนอกอย่างเดียว นั้น แม้จะระดมทุนลงไปอย่างมาก ก็ไม่ทำให้สังคมบรรลุความมั่งค่ังรุ่งเรืองและสันติสุขที่แท้จริงได้ ตามวัตถุประสงค์ กลับสร้างปัญหาอย่างมาก ต้องพัฒนาด้านจิตใจให้มนุษย์มีจิตสำนึกในทางท่ีดี โดย มงุ่ พัฒนาตน พฒั นาชุมชนให้มนษุ ย์มคี วามอยดู่ ีมีสุข ตามหลักพุทธธรรม ดังน้ี ๑) กายภาวนา แปลว่า พฒั นากาย ไดแ้ ก่ การพฒั นาร่างกายให้แข็งแรง ไร้โรค มสี ุขภาพดี และท่ีสำคัญก็คือ การพัฒนาความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ เริ่มแต่ปัจจัย ๔ เป็นต้นไป อย่างถูกต้องดงี าม ในทางท่ีเป็นคุณประโยชน์ เช่น สัมพันธ์กับอาหาร โดยการกินเพอื่ ชว่ ยให้รา่ งกายมี กำลัง มีสุขภาพดี ไม่ใช่เพื่อมุ่งความอร่อย แสดงฐานะ สัมพันธ์กับโทรทัศน์ โดยดูเพื่อติดตามข่าวสาร แสวงหาความรู้ ส่งเสริมปัญญา มิใช่เพ่ือหมกมุ่นในความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือเอาเป็นเคร่ืองมือ เล่นการพนนั เปน็ ต้น ๒) ศีลภาวนา แปลว่า พัฒนาศีล หมายถึง การพัฒนาความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมทาง สงั คมใหเ้ ป็นไปด้วยดี เร่มิ แต่ไม่ก่อการเบียดเบยี น ไมท่ ำความเดือดรอ้ นแกผ่ ู้อื่นและสังคม ประพฤตใิ น สิ่งที่เป็นประโยชน์เก้ือกลู ต่อผอู้ ่ืนต่อสังคม มีระเบียบวินัย ประกอบสัมมาชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร ฝกึ ฝนอบรมกายวาจาของตนใหป้ ระณีต ๓) จิตภาวนา แปลว่า พัฒนาจิต คือ พัฒนาจิตใจให้มีคุณสมบัติงามพร้อม ซึ่งอาจแบ่ง ออกเป็น ๓ ดา้ น ดงั นี้ คือ (๑) คุณภาพจิต คือให้มีคุณธรรมต่างๆ ท่ีเสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม เป็นผู้มีจิตใจสูง ละเอียดอ่อน เช่น มีเมตตา มีความรัก ความเป็นมิตร มีกรุณา อยากช่วยเหลือปลดเปล้ืองความทุกข์ ของผู้อื่น มีจาคะ คือมีน้ำใจสูง ละเอียดอ่อน เช่น มีเมตตา มีความรัก ความเป็นมิตร มีกรุณา อยาก ช่วยเหลอื ปลดเปลอ้ื งความทกุ ข์ของผู้อนื่ มจี าคะ คือมนี ำ้ ใจเผอื่ แผ่ มีคารวะ มีความกตญั ญู เป็นตน้ (๒) สมรรถภาพจิต คือ ให้เป็นจิตทีม่ คี วามสามารถ เช่น มสี ติ มวี ิริยะ คือ ความเพยี ร มีขันติ คือความอดทน มีสมาธิ คือจิตตั้งมั่นแน่วแน่ มีสัจจะ คือ ความจริงจัง มีอธิฐาน คือ ความเด็ด เด่ียวแน่นอนต่อจุดมุ่งหมาย เป็นจิตใจที่พร้อมและเหมาะท่ีจะใช้งานโดยเฉพาะงานทางปัญญา คือ การคดิ พิจารณาให้เหน็ ความจริงแจ่มแจง้ ชัดเจน ๔) ปัญญาภาวนา แปลว่า พัฒนาปัญญา คือ พัฒนาความรู้ความเข้าใจ ให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริง และใช้ความรูแ้ ก้ปัญหา ทำให้เกดิ สุขได้ เร่ิมแต่รู้ เขา้ ใจศิลปวิทยา เรียนรู้ถกู ต้องตามเปน็ จริง

๖๒ ไมบ่ ิดเบอื นหรอื เอนเอยี งด้วยอคติ คิดวินิจฉัยใชป้ ัญญาโดยบริสุทธ์ิใจ รเู้ ขา้ ใจโลกและชีวิตตามเปน็ จริง ร้จู ักแก้ไขปัญหาและทำการให้สำเร็จตามแนวทางของเหตปุ จั จัย๑ ไตรสิกขา การแสดงออกมาไม่เฉพาะท่ีการปฏิบัติของบุคคลเท่าน้ัน แต่ส่องถึงภารกิจที่ มนุษย์ตอ้ งจัดทำในระดับชุมชนและสงั คมดว้ ย กลา่ วคือ การจัดวางระเบียบแบบแผน จดั ตงั้ สถาบันใน กิจการต่าง ๆ จัดแจงกิจกรรมและวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้สาระของไตรสิกขาเป็นไปในหมู่มนุษย์ท่ีอยู่ใน ชมุ ชน หรอื ในสงั คม ดังคำให้สัมภาษณ์ของพระครูสุพัฒนกิจ กล่าวไว้ว่า “ในชนบทหลายแห่งพระสงฆ์ได้เป็น ผู้นำในการพัฒนาในด้านคุณธรรมภายนอกและภายใน ให้มีการรักษาศีล ให้ทาน และเจริญภาวนา ตามไตรสิกขา วัดได้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาชุมชนท่ีมีมานานแล้ว เพราะพระสงฆ์เป็นผู้นำทาง จิตใจ และปัญญาของชุมชน และวัดก็เป็นศูนย์กลางของชุมชน มีบทบาทสำคัญที่สุด คือ เป็น ศูนย์กลางการศึกษาของประชาชน โดยมีพระสงฆ์เป็นครู-อาจารย์ ศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ พัฒนาข้ึนในวัด หรือออกไปจากวัด เม่ือไปอยู่ในชุมชนก็ใช้ความรู้วิชาการอ่ืน ๆ ที่ได้ศึกษาจากวัดนั้น เปน็ เครื่องนำครอบครัวและชมุ ชน ในการดำเนนิ ชวี ติ และประกอบอาชีพการงานให้เจริญก้าวหนา้ และ อยู่รว่ มกนั ดว้ ยดี มีความรม่ เยน็ เป็นสุขควรแก่ความประพฤติปฏบิ ตั ิ”๒ ดังน้ันการพัฒนาชุมชนตอ้ งพฒั นาท่ีมนุษยก์ อ่ น เพ่ือให้เกิดสำนึกในฐานะมนุษย์เป็นผู้สร้าง ปัญหาท้งั มวล เมือ่ โลกมกี ารเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา แต่พระพุทธศาสนาก็ยงั มุ่งหวังในการพฒั นา จิต พฒั นากายใหเ้ ปน็ มนุษยโ์ ดยสมบรู ณแ์ บบ และดำรงชีวติ อยู่ไดด้ ้วยความผาสุก ๔.๑.๒ พระสงฆ์กับการพัฒนาชุมชน พระสงฆ์เป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการตา่ ง ๆ ในชนบท พระสงฆ์เป็นผูท้ ่ีมองเห็นปัญหา ความยากไร้ ขาดแคลนด้านการครองชีพ ด้านการศึกษา และเศรษฐกิจของคนในชุมชน โดยให้การ ช่วยเหลือประชาชน มีองค์กรของศาสนา มีหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล ให้คำปรึกษาและ ได้รับความร่วมมือจากรัฐเพื่อแก้ปัญหาตามโครงการพระธรรมทูต ธรรมจาริก โครงการแผ่นดินธรรม แผน่ ดนิ ทอง เพ่ือท่จี ะพฒั นาชุมชนให้อยูด่ มี ีสขุ โดยพระสงฆ์มบี ทบาท ดงั น้ี ๑) พัฒนาจติ วญิ ญาณของมนษุ ย์ ด้วยการมีสำนักปฏิบตั ิธรรมเกิดมาโดยตลอด ๒) ทำหนา้ ท่ใี ห้การศึกษาทางพระพุทธศาสนาแกป่ ระชาชน เทศนาส่ังสอน ท้ังระบบปรยิ ัติ ธรรม ธรรมศึกษา และการศึกษาสงเคราะห์ ๑ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ จฬุ าลงกรณ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๖๐๓-๖๐๕. ๒ สัมภาษณ์ พระครูสุพัฒนกิจ, รองเจ้าคณะอำเภอปราสา วัดสุวรรณาราม ตำบลประทัดบุ อำเภอ ปราสาท จังหวัดสุรนิ ทร,์ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๖๓ ๓) เป็นผ้นู ำในการพัฒนาชนบทในรูแบบต่าง ๆ เช่น ผนู้ ำทำเอง เป็นผปู้ ระสานงาน ตั้ง มูลนธิ ิเพ่ือศึกษาและพัฒนาชนบท เป็นวิทยากรบรรยายธรรม กระตุน้ ให้เกิดการพัฒนา๓ พระสงฆ์ต้องเป็นชุมชนแห่งการเรยี นรู้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยไว้เพ่ือให้พระสงฆ์ อยู่ร่วมกันเป็นชุมชน มีการพบปะกันเป็นประจำ ไม่ปลีกตัวอยู่ผู้เดียว มีความเอื้ออาทรต่อกันมีวิธี พูดจาปฏิบัติต่อกันท่ียังความเป็นปึกแผ่นของหมู่คณะ วัตถุประสงค์ของการบวช คือ เพ่ือการเรียนรู้ ฉะน้ันสงฆ์คือชุมชนแห่งการเรียนรู้การเรียนรู้หรือ น้ันก็ทรงวางไว้เป็นหลักแล้วว่า ประกอบด้วย ศีล ลิกขา สมาธิสิกขา และปัญญาสิกขา ซึ่งสงฆ์ควรปฏิบัติให้ครบถ้วนในสิกขาทั้ง ๓ นอกจากน้ัน ใน สังคมปัจจบุ ัน การเรียนรู้ของสงฆค์ วรจะเรยี นรใู้ น ๓ เร่ืองใหญ่ คือ ๑) เรยี นรพู้ ทุ ธธรรม ให้ลึกซึ้งทสี่ ดุ ทัง้ ทางปริยัติและปฏิบัติ ๒) เรยี นรูส้ งั คมปจั จบุ นั ใหร้ ู้เทา่ ทันสังคมปจั จุบันเพื่อประโยชน์ในการสอน ๓) เรียนรู้การติดต่อส่ือสาร ให้เป็นท่ีสนใจของผู้คน ให้จับใจผู้คน ให้มีผลต่อการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรือที่เรียกว่ามีอนุสานีปาฏิหาริย์นั่นเอง ในข้อน้ีรวมท้ังการใช้เครื่องมือ ตดิ ต่อสอ่ื สารสมัยใหมด่ ว้ ย ดังไดส้ มั ภาษณพ์ ระครปู ริยัตกิ ติ ติวรรณ กล่าวว่า “เม่ือพระสงฆ์ควรได้รับการศึกษา เรียนรู้หลักพระธรรมแล้วต้องนำหลักธรรมเหล่านั้น ไปสู่รูปธรรม แก้ปัญหาท่ีติดขัดในชุมชนทุก ๆ ด้าน อย่างน้อยช่วยให้เกิดความสามัคคีภายใน ชุมชน ส่ิงท่ีทำให้มีบทบาทมาก เพราะมีผลต่อการโน้มน้าวจิตใจคนให้มีศรัทธาใน พระพุทธศาสนามากขน้ึ นำทางความคดิ ทางปัญญา และการเสียสละสิ่งของและเวลา”๔ อย่างไรก็ดี พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาทุกยุคสมัย มีบทบาทในการพัฒนาชมุ ชนตลอดมา ยามท่ีชุมชนมีปัญหา อุทกภัย อัคคีภัย หรือวาตภัย พระสงฆ์จะนิ่งดูดายไม่ได้ ต้องย่ืนมือเข้าไปช่วย เพอ่ื ซบั นำ้ ตาของคนในชุมชนน้ัน ๆ ที่ได้รับความเดือดรอ้ น สัมภาษณ์ นายเปือง สันทัยพร กล่าวว่า “การพัฒนาชุมชน เป็นการแสดงศักยภาพของ พระสงฆเ์ อง ว่ามคี วามสามารถในการพัฒนาเพียงใด โดยเฉพาะการพัฒนาทางจติ วิญาณ พระสงฆ์ต้อง มีความชำนาญในการทำสมาธิ เทศนาสง่ั สอนญาติโยม ตลอดจนการสอนเด็กเยาวชน”๕ ๓ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ), พุทธศาสตรปริทรรศน์, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทตถาตา พบั ลเิ คชั่น จำกดั ๒๕๔๙), หน้า ๑๖๗. ๔ สัมภาษณ์ พระครปู ริยัตกิ ิตตวิ รรณ, เจ้าคณะตำบลทุ่งมน-สมุด, เจ้าอาวาสวดั สะเดารตั นาราม ตำบล ทงุ่ มน อำเภอปราสาท จังหวดั สรุ ินทร์ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕. ๕ สัมภาษณ์ นายเปือง สันทัยพร, ปราชญ์ชาวบ้าน, บ้านหนองโบสถ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สรุ ินทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๖๔ ๔.๒ บทบาทพระสงฆก์ บั การพัฒนาชมุ ชน บทบาทพระสงฆ์ในการเข้าไปพัฒนาชุมชน ต้องเรียนปัญหาต่าง ๆท่ีเกิดในชุมชนมีมาก นอกจากปัญหาการครองชีพ ยังมีปัญหาอีหลาย ๆ ด้าน เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาไม่มีงานทำ ปัญหาภายในครอบครัว เป็นต้น เปน็ ท่ียอมรบั กนั ท่ัวไปแล้ววา่ การท่จี ะพัฒนาประเทศให้สำเรจ็ ผลดี บรรลุจุดหมายท่ีต้องการได้อย่างแท้จริงนั้น จะพัฒนาเพียงด้านวัตถุอย่างเดียวเท่านั้นไม่เพียงพอ ประสบการณ์ในการพัฒนาตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมาได้สอนให้เป็นตระหนักว่าการมุ่งพัฒนาวัตถุ ภายนอกอย่างเดียวนั้น แม้จะระดมทุนลงไปอย่างมากมาย ก็ไม่ทำให้สังคมบรรลุความมั่งค่ังรุ่งเรือง และสันตสิ ุขที่แท้จริงได้ตามวตั ถุประสงค์ ๔.๒.๑ ปัญหาชุมชนในสงั คมปัจจบุ นั สังคมไทยปัจจุบันมีปัญหามากมาย หาความสงบมิได้ ท้ังที่เป็นแดนแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อพิจารณาถึงเหตุที่แท้จริงแล้วจะพบว่า มูลเหตุของปัญหามีจุดกำเนิดมาจากความเส่ือมทางจิตใจ ของคนในสังคมเปน็ เพราะการขาดคุณธรรมประจำใจ ดังน้ันการแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุด คือการทำให้ คนในสังคม มีศีลธรรมประจำใจ การปลูกฝังศีลธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจได้ดังนั้นจำเป็นต้องมีปัจจัยอยู่ หลายประการข้อสำคัญที่สุดก็คือ การมีแบบอย่างที่ดีของสังคม การมีแบบอย่างที่ดีของสังคม หมายถึง คณุ ความดที ่ีคนไทยทกุ คนสมควรนำมาเปน็ แบบอยา่ งในการดำเนินชวี ติ ได้ท้งั หมด ๑) ปญั หาความยากจน ปรากฏวา่ มคี นยากจนแรน้ แคน้ แผ่ขยายทัว่ ไปทั้งในเมอื งและ ชนบทการกระจายรายได้ของประชากรไม่ดำเนินไปด้วยดีฐานะทางเศรษฐกิจของคนกลับห่างไกลกัน มากข้ึน ๒) ปัญหาด้านสุขภาพ ประชากรขาดแคลนแม้กระทั่งสาธารณสุขขั้นมูลฐาน เกิดโรค ระบาดที่ร้ายแรง นอกจากสุขภาพทางกายไม่ดีแล้ว สุขภาพทางจิตก็เสื่อมโทรมลง ชีวิตคนในถ่ินที่ เรยี กว่าเจรญิ มีลกั ษณะสบั สนวนุ่ วาย คนมที กุ ข์ใจมากข้ึน เปน็ โรคจติ โรคประสาทมากขนึ้ ๓) ปัญหาด้านการศึกษา ความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาก็ยังอยู่ในภาวะสัมฤทธ์ิ ผลได้ยากเกิดความล้มเหลวในการจัดการศึกษา ก่อให้เกิดปัญหามากมายในสังคม เช่นปัญหาการฉ้อ ราษฎรบ์ งั หลวง ความไม่ซือ่ ตรง เป็นต้น ๔) ปญั หาทางการเมอื ง การพัฒนาประชาธิปไตยก้าวหนา้ ไปได้ไมม่ ากกว่าถอยหลงั ๕) ปัญหาด้านจริยธรรมคุณธรรม ผู้คนไม่มีระเบียบวินัย เช่น ระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ ถนนอบุ ัติเหตุมีสถิติสูงอย่างนา่ กลัวย่งิ เกดิ ความไม่ปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ย์สิน จนทำให้คนส่วนมาก เกดิ ความหวาดกลัว อาชญากรรมยังแพรห่ ลาย คดีปลน้ ฆา่ ขม่ ขืน ทีร่ ้ายแรงปรากฏขึน้ บอ่ ย เป็นตน้ ๖) ปัญหาดา้ นวัฒนธรรม มีความเสอื่ มโทรมทางด้านวฒั นธรรม มคี ่านิยมที่ไม่พึงปรารถนา และไม่เอื้อตอ่ การพฒั นา เชน่ ค่านิยมบริโภคและความนิยมฟงุ้ เฟ้อแผก่ ระจายทวั่ ไป

๖๕ ๗) ปัญหาทางเพศและอบายมุข มปี ัญหาทางเพศเพ่ิมสูง มีอัตราคนถูกข่มขืนสูง อัตราการ หย่าร้างสูงข้ึน อบายมุขระบาดทั่วไป ทั้งในกรุงและชนบทประชากรฝากความหวังไว้กับการพนันใน รูปแบบต่างๆ และหมกมุ่นจนยากท่ีจะแก้ไขเยาวชนมากมายทำลายอนาคตของตนเองและก่อปัญหา แกส่ ังคมโดยเป็นผลสืบเนอื่ งจากการตดิ ยาเสพตดิ ๘) ปัญหาด้านส่ิงแวดล้อม มีปัญหาด้านส่ิงแวดล้อมทวีสูงข้ึน ป่าไม้ถูกทำลายไปมาก ต้น น้ำลำธารร่อยหรอลง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินแห้งแล้ง ทำให้ทำการเกษตรยากลำบากมาก ข้ึนส่งผลต่อความยากกจนแร้นแค้นยิ่งขึ้นไปอีก ประสบปัญหาทางการตลาด มีการเอารัดเอาเปรียบ กันมาก เกดิ มลภาวะทั้งในดนิ ในนำ้ คุกคามต่อชีวิตแบะสขุ ภาพของประชากร๖ การพัฒนาจะต้องดำเนินไปอยา่ งรอบด้านและอย่างท่ัวถึง ไมใ่ ช่มุ่งพัฒนาแต่เพียงดา้ นวัตถุ อย่างเดียวโดยเฉพาะตัวคนซ่ึงเป็นผู้ร่วมในกระบวนการพัฒนาและได้รับผลจากการพัฒนาโดยตรง จะต้องได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี และในการพัฒนาคนน้ันส่วนสำคัญที่สุดก็คือ จิตใจ ดังน้ันในยุค ปัจจุบัน งานพัฒนาจึงหันมาให้ความสนใจแก่การพัฒนาจิตใจมากข้ึน การพัฒนาจิตใจน้ันรวมถึงการ พัฒนา คุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจิตโดยท่ัวไป การพัฒนาจิตใจ ตลอดการพัฒนาคนน้ัน เป็นหน้าท่ีหลักของพระพุทธศาสนา และพระสงฆ์มีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติมา โดยตลอด สัมภาษณ์ พระอธิการอำนาจ นิปโก กล่าวว่า “พระสงฆไ์ ดเ้ ป็นผนู้ ำในการพัฒนาและวัดได้ เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเพราะพระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตใจและปัญญาของชุมชนและวัดก็เป็น ศูนย์กลางของชุมชน เร่ิมแต่บทบาทสำคัญท่ีสุด คือ เป็นศูนย์กลางการศึกษาของประชาชนโดยมี พระสงฆ์เป็นครู-อาจารย์ ศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ พัฒนาข้ึนในวัด หรืออกไปจากวัดเม่ือไปอยู่ใน ชุมชนก็ใช้ความรู้วิชาการอื่นๆท่ีได้ศึกษาจากวัดนั้น เป็นเคร่ืองนำครอบครัวและชุมชนในการดำเนิน ชวี ติ และประกอบอาชีพการงานและอยรู่ ่วมกันดว้ ยดมี คี วามรม่ เย็นเป็นสขุ ”๗ ปัญหาที่เกิดข้ึนภายในชุมชนเม่ือเกิด พระสงฆ์ต้องแสดงออกเป็นภาวะผู้นำในทุก ๆ เร่ือง เพ่ือเป็นกำลังใจให้กบั ประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในชุมชนนั้น ได้ตอ่ สู้เพ่ือจะเอาชนะอุปสรรค หรือปัญหาใน แตล่ ะปญั หา ไม่ควรนิง่ ดูดายในปญั หาของชมุ ชน ๖ ธีรยุทธ พ่ึงเพียร, ความสำคัญของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาชุมชน, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา: www. google.com/search [๑๘ มถิ ุนายน ๒๕๖๕]. ๗ สัมภาษณ์ พระอธิการอำนาจ นิปโก, เจ้าอาวาสวัดศรีลำยอง ตำบลสมุด อำเภอปราสาท จังหวัด สรุ นิ ทร์, ๒๙ เมษายน ๒๕๖๕.

๖๖ ๔.๒.๒ บทบาทพระสงฆก์ ับการแก้ปัญหาชมุ ชน พระสงฆ์ถือว่าเป็นผู้ที่อาศัยการดำรงชีพจากชาวบ้าน เมื่อชาวบ้านมีปัญหาเกิดขึ้น พระสงฆ์ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาของประชาชน เพ่ือให้ประชาชนในชุมชนมีความสงบสุขจะปัด ปัญหาของชมุ ชนท้งิ ไม่ได้ ชาวบ้านมคี วามทกุ ข์พระสงฆ์กม็ ีความทุกข์ ช่วยกนั แก้ปญั หาลักษณะถอยท่ี ถอยอาศัยกัน โดยไม่นิ่งดดู าย พระสงฆ์กับการแก้ปญั หาบนพนื้ ฐานแนวคิดเศรษฐกจิ พอเพียง เพ่ือแก้ปญั หาความยากจน คือการวางรากฐานอันม่ันคงและย่ังยืนของชีวิตเม่ือวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปี ๒๕๔๑ ได้ทรงมีพระ มหากรุณาธิคุณอธิบายเพิ่มเติมถึงคำว่า “พอเพียง” หมายถึง “พอมีพอกิน” “พอมีพอกิน ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนนั่ เองถา้ แต่ละคนมีพอกินก็ใช้ได้ ย่ิงถ้าท้ังประเทศพอมีพอกินก็ย่งิ ดี” “ฉะน้ันความ พอเพียงนี้ก็แปลว่า ความพอประมาณและความมีเหตุผล”เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจที่ สามารถอุ้มชูตัวเอง อยู่ได้โดยมิต้องเดือดร้อน โดยต้องสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของตนเองให้ดี เสยี กอ่ น คอื ตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ไม่มุ่งหวงั แตจ่ ะทมุ่ สร้างความเจริญยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ เพียงอย่างเดียว เพราะผู้ท่ีมีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งตนเองการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับเกษตรกรนั้นมีการปฏิบัติตามข้ันตอน “ทฤษฎีใหม่” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซ่ึง ประกอบด้วย ๓ ขนั้ คอื ขั้นที่ ๑ ผลิตเพอื่ ใช้บริโภคในครัวเรอื น ในระดับชีวติ ท่ปี ระหยัด ต้องมคี วามสามัคคี ข้ันที่ ๒ รวมกลุ่ม เพ่ือการผลิต การตลาด ความเป็นอยู่ สร้างสวัสดิการ การศึกษา สังคม และศาสนา ขั้นที่ ๓ รว่ มมอื กบั องคก์ รภายนอกในการทาธรุ กิจและพัฒนาคุณภาพชีวติ ๘ ท้งั น้ีทกุ ฝ่ายตอ้ งไดร้ บั ประโยชน์การพัฒนาชนบทในลักษณะเศรษฐกิจพอเพียง จงึ เปน็ การ ใช้ “คน” เป็นเป้าหมายและเน้น“การพัฒนาแบบองค์รวม” หรือ “การพัฒนาแบบบูรณาการ” ท้ัง ด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรมส่ิงแวดล้อม การเมือง เป็นต้นโดยใช้ “พลังทางสังคม” ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาในรูปของกลุ่ม เครือข่ายหรือประชาสังคม กล่าวคือเป็นการผนึกกำลัง ทกุ ฝ่ายในลักษณะ “พหุภาค”ี ประกอบด้วยภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาชน และนำหลักธรรม ทางพระพทุ ธศาสนา คอื ทิฏฐธมั มิกัตถสงั วตั ตนกิ ธรรม ดังนี้ ๑) อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น คือ ขยัน หมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าท่ีการ งาน ประกอบอาชีพสุจริต มีความชำนาญรู้จักใช้ ปัญญา สอดส่องตรวจตราหาอุบายวิธี สามารถ ดำเนนิ การใหไ้ ดผ้ ลดี ๘ ทาริตา แตงเส็ง และคณะ, “การพัฒนาชุมชนตามแนววิถีพุทธ”, รายงานวิจัย, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลยั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม, ๒๕๖๓), หน้า ๒๔๓.

๖๗ ๒) อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา คือ รู้จัก คุม้ครอง เก็บรักษาโภคทรัพย์และ ผลงานอันตนได้ทำไว้ด้วยความขยัน หมั่นเพียร โดยชอบธรรม ด้วยกำลังของตนไม่ให้เป็น อันตราย หรอื เสือ่ มเสีย ๓) กลัยาณมิตตตา คบคนดีเป็นมิตร คือ รู้จักกำหนดบุคคลในถ่ินท่ีอาศัย เลือกเสวนา สำเหนยี ก ศกึ ษา เย่ยี งอยา่ งผทู้ รงคณุ มศี รทั ธา ศลี จาคะ ปญั ญา ๔) สมชีวิตา มีความเป็นอยู่เหมาะสม คือรู้จักกำหนดรายได้และรายจ่ายเลี้ยงชีพแต่พอดี มิใหฝ้ ดื เคือง รายไดเ้ หนือรายจ่าย๙ การแก้ปัญหาในชุมชนพระสงฆ์ต้องแก้ปัญหาความยากจน ต้องตระหนักถึงปากท้องของ คนในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญ ประชาชนกินดีอยู่ดีก่อนส่ิงใด อย่างอ่ืนก็ทยอยตามเข้าไปให้มีความ เหมาะสมตามสภาวะของชุมชนน้ัน ๆ และประชาชนก็จะรับปฏิบัติตามได้ ข้ึนอยู่กับพระสงฆ์จะนำ ความรู้ความเขา้ ใจไปให้คนเหลา่ นั้น ได้มคี วามรู้และศรทั ธาในพระพุทธศาสนา สัมภาษณ์ นายเมียน หวังสำราญ กล่าวว่า “การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนให้มี ความอยู่ดี มีสุข ต้องแก้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักศาสตร์ของพระราชา เข้าไปแก้ด้วยการ อบรมใหช้ มุ ชนนัน้ ๆ ไดเ้ ข้าใจคำว่า พอเพยี ง พอมพี อกนิ พอประมาณ ขยันหาทรัพย์ หามาได้รู้จักเก็บ ออม คบคนดเี ป็นเพื่อน อยูอ่ ยา่ งเหมาะสม”๑๐ ๔.๒.๓ แรงจูงใจใหพ้ ระสงฆ์พฒั นาชมุ ชน แรงจูงใจ หมายถึง การมีกำลังใจในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ประชาชนหลุดพ้นจาก ความยากจน สามารถดำรงชีวิตอยู่ไดอ้ ย่างงมีความสุข ซ่ึงเป็นการตอบแทนขา้ วปลาอาหารที่ญาติโยม ใส่บาตรให้ฉัน มีพละกำลังในการครองสมณเพศ และรักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ตลอดไป โดยเป็น แรงจูงใจให้พัฒนา และแรงศรัทธา คือ พุทธธรรมอันเป็นฐานและยุทธวิธีในการพัฒนา สิ่งที่พระสงฆ์ ได้ริเร่ิมแลทำงานพัฒนาท้ังในอดีตและปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท แรงจูงใจภายนอก และ แรงจงู ใจภายใน ๑) แรงจงู ใจภายนอก พระสงฆ์มีชวี ิตอยู่ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การ ที่ได้เห็นปัญหาของประชาชนท่ีบำรุงวัดนั้น ๆ เป็นชุมชนท่ีต้ังอยู่รอบ ๆ วัดซึ่งคนเหล่าน้ันนั้นอาจเป็น เครือญาติ พ่ีน้องก็เป็นได้ เป็นผู้มีอุปการคุณต่อวัด เห็นปัญหาความยากจน ปัญหาการเจ็บป่วยแล้ว ขาดผู้เอาใจใส่ การท่ีเดก็ ๆ ขาดแคลนการศกึ ษา ที่ชาวบา้ นถูกนายทนุ ที่ฉลาดกว่าเอารดั เอาเปรยี บ ใน ๙ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๑๖. ๑๐ สัมภาษณ์ นายเมียน หวังสำราญ, ปราชญ์ชาวบ้าน บ้านหนองโบสถ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลทุงมน อำเภอ ปราสาท จังหวัดสรุ นิ ทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๖๘ การซ้อื ขายผลผลติ ปัญหาขาดแหล่งนำ้ ท่ีทำเกษตรกรรม สงิ่ งเหล่าน้ลี ้วนทำใหพ้ ระสงฆ์คิดหาทางชว่ ย ชาวบ้านทั้งทางตรงและทางออ้ ม พระสงฆ์กับการพัฒนาด้านสวัสดิการสังคมในปัจจุบัน เราได้เห็นพระสงฆ์เข้าไปมีบทบาท ในการ สงเคราะห์ช่วยเหลือสังคมมากข้ึน ต่างจากอดีตท่ีมักจะจำกัดตัวเองกับการเทศน์การสอน การ สวด เท่านั้น มีพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยได้ทำงานสงเคราะห์สังคมด้วยความคิดริเร่ิมของท่านเอง และ พระสงฆ์เหล่าน้ีทำให้ สังคมไทยตระหนักได้ว่า พระสงฆ์น้ันไม่ได้มีบทบาทเฉพาะพิธีกรรมหรือใน กำแพงวดั อย่างท่ีเห็นกนั ท่ัวไปเทา่ นั้น หากทา่ นยังมีศกั ยภาพมากกวา่ นน้ั ๒) แรงจูงใจภายใน แรงจูงใจเกิดจากการปฏิบัติธรรม พระสงฆ์ท่ีทำการพัฒนาต่อเน่ือง โดยไม่เหน็ดเหนื่อยหรือท้อถอยน้ัน โดยส่วนมากแล้วเคยผ่านการปฏิบัติกัมมัฏฐานท้ังสมถและ วิปัสสนา เคยเดินธุดงค์ จากฐานที่มสี มาธิภาวนา ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ แลว้ เกิดปญั ญาอันลึกซึ้งมองเห็น ปัญหาของประชาชนและเกิดคุณธรรมอย่างหนึ่งเรียกว่า ความเมตตากรุณาต่อพี่น้องร่วมชาติศาสนา เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน และทำหน้าท่ีช่วยผู้อื่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การทำประโยชน์ให้ผู้อื่น คือ การปฏิบัตธิ รรม บำเพ็ญตนดุจพระโพธสิ ัตว์ ทำงานสนุกเพลิดเพลินอย่เู ป็นนติ ย์ แรงจงู ใจภายในท่ีเกิด จากการปฏิบัติธรรมนี้ จะทำให้พระสงฆ์นักพัฒนาเห็นความกลมกลืนระหว่างมนุษย์หรือสังคม และ ธรรมชาติตลอดเวลา เปน็ การภาวนาเพ่ือการรบั ใช้สังคม๑๑ แรงจูงใจท้ังภายนอกและภายใน ทำให้เกิดผลต่อการพัฒนาของพระสงฆ์ แต่ผลในระยะ ยาวจะแตกต่างกันไป ผู้ที่มีแรงจูงใจภายนอกอย่างเดียวจะทำงานเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เม่ือมีการ เปล่ียนแปลงนโยบายหรือขาดผู้อุปถัมภ์ก็จะเลิกหรือไม่ก็พบปัญหามาก จะมีความงท้อแท้เบื่อหน่าย หันกลับไปสู่ความเคยชินเดิม ๆ แต่ผู้ที่มีแรงจูงใจประเภทหลัง คือ แรงจูงใจภายใน จะพึ่งตนเองได้ และไม่ท้อถอย เม่ือมีอุปสรรคเกิดขึ้น ก็รู้จักการแก้ปัญหาแสวงหาข้อมูลใหม่มาเพ่ิมเติมสร้างองค์ ความร้ใู หม่ ๆ เขา้ มาเสรมิ มกี ำลงั ผลักดนั แรงจงู ใจเพ่ิมข้ึนมาอย่างตอ่ เน่ือง สัมภาษณ์ นายอุดม หวังทางมี กล่าวว่า “การพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ แรงจูงใจภายในท่ีเกิดจากการปฏิบัติธรรม เมื่อปฏิบัติไปเร่ือย ๆ เจริญภาวนาบ่อย ๆ ทำให้จิตใจ บริสุทธิ์ เกิดปัญญาคิดอยากพัฒนาวัด พัฒนาบ้านเมืองประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าทางด้าน วตั ถแุ ละจิตใจ เป็นพฒั นาทีย่ ่งั ยืนและตงั้ อยไู่ ดน้ าน”๑๒ ๑๑ พระสุธีวรญาณ (ณรงค์ จิตฺตโสภโณ), พุทธศาสตรปริทรรศน์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ บรษิ ทั ตถาตา พบั ลิเคชนั่ จำกัด, ๒๕๔๙), หน้า ๒๑๔-๒๑๖. ๑๒ สัมภาษณ์ นายอุดม หวังทางมี, ปราชญ์ชาวบ้าน บ้านทุ่งมน หมู่ท่ี ๑ ตำบลทุงมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรนิ ทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๖๙ ๔.๒.๔ หน้าที่พระสงฆ์ในการพฒั นา พระสงฆ์นอกจะมีหน้าที่ปฏบิ ัติตามพระธรรมวินัย ท่ีเปน็ คำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า ท่ีเป็น หน้าที่หลักแล้ว ยังต้องมีหน้าท่ีช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชน ที่มีบ้านเรือนรอบบริเวณวัดและ สงเคราะห์ประชาชนนอกบริเวณวัด ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยต่าง ๆ เช่น ทุพภิกขภัย อัคคีภัย อุทกภัย เป็นต้น และภัยต่าง ๆที่เกิดจากการในการดำรงชีวิต หน้าที่พระสงฆ์ คือ การช่วยเหลือ ประชาชน เพอ่ื ใหป้ ระชาชนในชุมชนน้นั ๆ พน้ จากภยั อันตราย ดงั น้ี ๑) เป็นผู้นำทางจิตใจ ศรัทธาและปัญญา เนื่องจากความเจริญทางวัตถุและความรวดเร็ว ของขอ้ มูล ข่าวสาร พุทธศาสนกิ ชนขาดความรู้ความเข้าใจในหลกั ธรรมคาส่งั สอนของพระพุทธศาสนา ไม่มีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นท่ียึดเหน่ียวจิตใจ ไม่มีศรัทธาและปัญญาท่ีถูกต้อง พระสงฆ์จึงควรเป็นผ้นู ำทางจิตใจของประชาชนและชุมชน ๒) พัฒนาจิตใจของประชาชน ด้วยกระบวนการให้การศึกษาอบรมและส่งเสริมประชาชน ให้เกิดสุขภาพจิตที่ดี มีสรรถภาพจิตใจที่เข้มแข็ง มีความเอ้ืออาทรต่อ บุคคลครอบครัว สังคม และ ประเทศชาติ ๓) ส่งเสรมิ การศึกษาของเยาวชนและประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โรงเรยี นพระปริยัติ ธรรม โรงเรยี นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในวัด ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัดรวมทง้ั การจัดใหว้ ัด เปน็ อทุ ยานการศกึ ษา เป็นแหลง่ ความร้แู กเ่ ยาวชนและประชาชน ๔) ส่งเสริมศาสนาศิลปะ และวัฒนธรรม พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติไทย ต่อเนื่องยาวนานแต่โบราณกาล แต่ในปัจจุบันการไหลบ่าทางวัฒนธรรมจากต่างประเทศทำให้เกิดผล เสียต่อวัฒนธรรมอันดงี ามของชาติ พระสงฆจ์ ึงควรปลูกจิตสานึกแก่ประชาชนทางด้านการสรา้ งจิตสา นึกในการเป็นศาสนาประจาชาติของพุทธศาสนาจิตสานึกในหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน และจิตสานึก ในการศกึ ษาอบรมปฏิบัตธิ รรมใหเ้ ป็นผตู้ ื่น ผู้รแู้ ละผู้เบิกบานอยเู่ สมอ ๕) ใหก้ ารสังเคราะห์แก่ผู้ประสบความทุกยากและเดือดร้อน ในฐานะทีว่ ัดเปน็ ส่วนหนึ่งใน โครงการของสังคมชุมชน เมื่อประชาชนประสบความทุกข์ยากเดือดร้อนพระสงฆ์จึงควรให้การ สงเคราะห์แก่ผู้ประสบความทุกข์ยากเท่าท่ีจะสามารถทาได้โดยการให้ธรรมะ คาปรึกษาแนะนำ และ การใหก้ ำลังใจ ๖) ช่วยแก้ไขปัญหาของชุมชน พระสงฆ์ควรมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาของชุมชนตาม ความสามารถ โดยทำเป็นขั้นตอน มีการวางแผนตามหลักอริยสัจส่ีของพระพุทธเจ้าคือ ต้องรู้ทุกข์ รู้ สภาพของทุกข์ก่อนว่ามีอะไรบ้าง รู้สมุทัย รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้นิโรธ ทางแห่งการดับทุกข์ และรู้มรรค วิธที ีจ่ ะดบั ทกุ ข์ ๗) ช่วยพัฒนาชุมชนให้เป็นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง โดยเป็นแกนนำร่วมกับผู้นำชุมชน และชาวบ้าน พัฒนาชมุ ชนตามอดุ มการณแ์ ผ่นดินธรรมแผน่ ดินทอง คือการพัฒนาดา้ นจิตใจ

๗๐ การพฒั นาดา้ นสังคม และการพัฒนาเศรษฐกิจของประชาชน๑๓ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า หรือกลุ่มเพื่อที่จะทำให้สังคมหรือชุมชนรอบข้างยอมรับจึงจะทำให้ การสรา้ งชุมชนน้ันมีการเรียนรู้ องค์ความรู้ ซึ่งเป็นบทบาทที่จะต้องช้ีนำทางในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็น ด้านแนวความคิด แนะนำส่ังสอน เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ อันเป็นการชักนา แนวทางไปสกู่ ารพัฒนาสงั คม ชมุ ชนให้เกิดความเข้มแข็งทางด้านจติ ใจ ทางดา้ นเศรษฐกิจ เพราะคณะ สงฆม์ ีการสร้างเครือขา่ ยความสมั พนั ธส์ ามัคคกี ันดเี ป็นรปู แบบแลว้ ระบบการท่จี ะปฏบิ ัติ ๔.๒.๕ บทบาทพระสงฆแ์ ละความสำคญั พัฒนาวัด วดั เป็นสถานท่ีสำคัญสำหรับชาวพทุ ธ พระสงฆอ์ อกไปพัฒนาชุมชนเพอ่ื ประชาชน แตอ่ ย่า ลืมการจัดการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับพระสงฆ์ และเป็นอาวาสสัปปายะของพระสงฆ์และคนทั่วไป การพัฒนาวัดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นฐานคิดในการพัฒนาวัดตั้งแต่เริ่มแรก ท่ีกำหนดให้วัดอยู่คู่กับ ชุมชนหรือท่ีเรียกว่า วัดคามวาสี โดยกำหนดให้ชุมชนมีส่วนร่วมหรือ ออกแบบในการพัฒนาวัดใน ฐานะที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน จึงมีความจำเป็นท่ีวัดจะต้อง ได้รับการพฒั นาในทุก ๆ ด้าน โดยมี ชุมชนรอบวัดเป็นฐานในการพัฒนาเพื่อความเจริญก้าวหน้า ของชุมชนและวัดรวมทั้งองค์กรอ่ืน ๆ ท่ี เก่ียวข้อง อาทิเช่น องค์กรภาครัฐหรือองค์กร ภาคเอกชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาใน รปู แบบ “บวร” คือ บ้าน (ชุมชน) วดั และ หนว่ ยงานราชการ ซ่งึ เปน็ ฐานการพฒั นาวัดทีส่ ำคญั การพัฒนาวัดให้เป็นอาราม คือ การรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในวัดให้เป็นสถานท่ีน่ารื่นรมยใ์ จของผ้ไู ปมาหาสู่ สถานท่ีสมควรพัฒนาเป็นอันดับแรก คือ กุฏเิ จ้า อาวาส จะต้องพัฒนาให้สะอาดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งของเครื่องใช้สอยทุกชนิดควรจัดตั้งไว้ให้ เป็นระเบียบ แบบ หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตา เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่พระภิกษุสามเณรท้ังหลายจะ ได้ปฏิบัติตามไม่ควรปล่อยใหส้ กปรกรกรุงรังคลา้ ยโกดังเก็บของ ซ้ือคลา้ ยกองขยะ ควรจัดห้องสำหรับ เก็บส่ิงของไว้เป็นพิเศษต่างหากจากห้องรับแขกและห้องนอนท่ีหน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ ณ ห้องรับแขก การรักษาความสะอาดบริเวณวัด อุโบสถ วิหาร ศาลาการเปรียญ และกุฏิ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย น่าดู น่าชม น่าร่ืนรมย์ใจ ไม่ปล่อยให้สกปรกรกรุงรังคล้ายบ้านตาแก่ยายแก่ ไม่ปล่อยให้หญ้าหรือ ต้นไม้ข้ึนตามพระเจดีย์ อุโบสถ หรือวิหาร เป็นต้นภายในบริเวณวัดน้ัน สมควรเป็นสถานท่ีให้ความ ร่ืนรมย์ร่มเย็นแก่พุทธศาสนิกชนท้ังหลายจึงนิยมปลูกต้นไม้ยืนต้นประเภทไม้ใบ ซ่ึงเป็นต้นไม้อันเป็น สัญลักษณข์ องศาสนา เชน่ ต้นพิกุล บุนนาค สารภี ต้นอโศก เปน็ ต้นไมน่ ยิ มปลกู ต้นไมด้ อก หรือตน้ ไม้ ผล เพราะจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แก่บุคคลผู้รู้เท่า ไม่ถึงการณ์ เอาดอกและผลของต้นไม้เหล่าน้ันไป ๑๓ อภิชัย พันธเสน, พัฒนาชนบทไทย: สมุทัยและมรรคตอนท่ี ๓ ความหวังทางออกและทางเลือก ใหม,่ (กรงุ เทพมหานคร: มูลนธิ ิภมู ิปญั ญา, ๒๕๓๙), หน้า ๒๐๖.

๗๑ บริโภคแล้วย่อมชื่อวา่ เปน็ ผู้กินของสงฆ์ เมื่อเขาแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้ว จะต้องไปเกิดเปน็ เปรตทน ทุกขท์ รมานอยู่ในอบายภูมิ ขอโทษทก่ี นิ ของสงฆ์ นอกจากน้ียังเป็นเหตุทำให้เกิดปลิโพธเป็นเครื่องห่วงกังวล แก่เจ้าอาวาสและพระภิกษุ สามเณรภายในวดั น้นั ท่จี ะต้องคอยระวังรกั ษาอกี ด้วยนิยมมนั จดั มันทำการบูรณะปฏิสงั ขรณถ์ าวรวัตถุ ต่างๆ ภายในวัดน้ัน เม่ือเห็นว่าเริ่มชำรุดทรุดโทรม ไม่นิยมปล่อยไว้ให้ชำรุดทรุดโทรมมากๆ เสียก่อน จึงจะเริ่มบูรณะปฏิสังขรณ์เพราะจะทำให้ต้องเสียงบประมาณค่าบูรณปฏิสังขรณ์สิ้นเปลืองมากการ บรู ณะปฏิสังขรณ์ถาวรวตั ถตุ ่างๆ และนิยมรักษาสภาพเดิมของสถานที่น้ันๆ ไว้ตามรูปแบบเดมิ ให้มาก ท่ีสุดทจี่ ะทำได้ เพื่อรักษาศิลปวัตถุโบราณอนั มีค่าไว้เป็นมรดกตกทอดถึงอนุชนรุน่ หลงั สบื ไป ๑) ทำประโยชน์ ทั้งแกต่ นเองและแกส่ ่วนรวม โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา ให้เปน็ ประโยชนแ์ กป่ ระชาชน ตามสมควรแก่การสมยั นนั้ ๆ เช่น ๒) จัดพิธกี ารวนั สำคญั ทางพระพุทธศาสนา ๓) จดั การให้มีพระธรรมเทศนา ปาฐกถาธรรม บรรยายธรรม เปน็ ต้น ใหเ้ ป็นประโยชน์แก่ ประชาชนท้งั หลายตามโอกาสทส่ี มควร ๔) จัดกจิ กรรมเปดิ ศนู ยศ์ ึกษาพุทธศาสนาวันอาทิตย์ (ถา้ มกี ำลงั พอ) ๕) จัดกิจกรรมเปิดสอนธรรมศึกษาแกเ่ ยาวชนทงั้ หลาย ๖) จัดกิจกรรมการบรรพชาภาคฤดูร้อน อบรมศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีไทยแก่ เยาวชนท้งั หลาย เพอ่ื ใหใ้ ชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ ๗) จัดกิจกรรมอุปสมบทหมู่ประจำปีเพื่อเป็นการสงเคราะห์คนยากจนให้มีโอกาสเข้ารับ การอบรมในทางพระพุทธศาสนา ๘) จดั กจิ กรรมการอุปสมบทหมูเ่ ป็นครง้ั คราว เครอ่ื งอบรมศีลธรรมแกช่ าวบ้าน ๙) จดั กจิ กรรมบวชชีหมู่ เพอ่ื ให้ประชาชนไดบ้ ำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐) จดั กิจกรรมใหก้ ารอบรมศาสนพธิ ีและวฒั นธรรมประเพณีไทยแก่เยาวชนทั้งหลาย ๑๑) จัดกิจกรรม คิลานเภสัชทานสถาน คือการต้ังตู้ยาสามัญประจำวัด เป็นสถานท่ี ให้บริการรกั ษาโรคแก่ประชาชนทัง้ หลายทัว่ ไป แบบยาขอ หมอวาน ๑๒) จัดการตัง้ ห้องสมุดประชาชนประจำวัด เปดิ บรกิ ารให้ความรูแ้ กป่ ระชาชนทงั้ หลาย ๑๓) จดั การเปิดศาลารว่ มใจ เป็นสถานทีอ่ า่ นหนังสือประจำวดั ให้บรกิ ารแก่ประชาชน ๑๔) จัดการสรา้ งเมรเุ ผาศพ ให้บริการฟรีแก่ประชาชนท้งั หลาย

๗๒ ๑๕) จัดสถานที่เตรียมไว้สำหรับเป็นท่ีบรรจุอัฐิสำหรับพุทธศาสนิกชนเท่าไหร่ท่ัวไป เป็น ต้น๑๔ สัมภาษณ์ พระสมพร ญาณธีโร กล่าวว่า “การพัฒนาวัดมีความจำเป็นอย่างมากในยุค ปจั จบุ ัน เพราะวัดในประเทศไทย กา้ วเข้าสู่ยคุ การพัฒนา จะอยูก่ ับที่ไม่ได้โลกมีการเปล่ยี นแปลงอย่าง รวดเร็ว และก็พัฒนาไปไกล วัดในพระพุทธศาสนาต้องก้าวให้ทันในการพัฒนาสถานที่บริเวณเขต พทุ ธาวาส สังฆาวาส หอ้ งนำ้ ห้องสขุ า กุฏิ วิหาร ลานเจดีย์ ศาลาเอนกประสงค”์ ๑๕ การรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่ชาติไทยต่อไป จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ในการบริหาร จัดการวัดท้ังน้ีเพื่อให้เกิดความม่ันคงแห่งพระพุทธศาสนายุทธศาสตร์ที่สำคัญคือการบริหารจัดการ บริหารให้ทันยุคสมัย เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของประเทศ เจ้าอาวาสควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลไม่ หยุดอยกู่ ับท่ี ที่สำคญั ด้านศาสนศกึ ษาให้พระสงฆ์ได้ศกึ ษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย เพ่ือความมั่นคงของ พระพทุ ธศาสนา และนำความรู้ที่ไดศ้ ึกษาไปใช้ ยามท่ีสกึ ขาลาเพสไป ๔.๒.๖ บทบาทของพระสงฆต์ ่อการพฒั นาชุมชนเข้มแขง็ บทบาทของพระสงฆ์ต้องมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ และแนวโน้มของการพัฒนาชุมชน เข้มแข็ง มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอตามหลักไตรสิกขา พัฒนากาย พระนาศีล พัฒนาปัญญาเพ่ือให้ ทันกระบวนการที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน อาทิ กระบวนการ นโยบาย ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้าน วัฒนธรรม ด้านผู้นำชุมชน ประเด็นสำคัญที่ ควรจะมีการพิจารณา คือ การพัฒนาการชุมชนเข้มแข็ง ของประเทศไทย มีแนวทางการการพัฒนาที่ ถูกต้องเหมาะสมต่อสถานการณ์แล้วหรือไม่ และจะ สามารถพัฒนาให้ชุมชน เข้มแข็ง เติบโต มีความ ม่ันคง มั่งคั่ง และย่ังยืนได้อย่างไร ซ่ึงที่ผ่านมาถึงแม้ ประเทศไทยจะมีการกำหนดนโนบาย กระบวนการ การดำเนินการต่าง ๆ การบริหารจัดการของ ภาครัฐและการบูรณาการเพ่ือการขับเคล่ือนแผน ยุทธศาสตร์ ดังน้ันหากประเทศไทยจะสร้างชุมชน เข้มแข็ง และประชาสังคมให้เข้มแขง็ ได้ ต้องอาศัย องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ดังนี้ ๑) โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะและชอ่ งทางการส่ือสาร โครงสร้างพ้ืนฐานสาธารณะ และ ชอ่ งทางการส่ือสาร คือ เง่ือนไขแรก ท่ีจะทำให้สมาชกิ ในชุมชน และในประชาสังคม ไดม้ ีโอกาสพบปะ เพ่ือพูดคุยถึงปัญหา ร่วมกัน หรือเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยที่เป็น ทางการ เช่น เวทกี าร ประชุมสภาตำบล เวทีการประชุมเชิงวชิ าการเฉพาะเร่อื ง หรือเป็นการพูดคุยที่ ๑๔ พระมหาเกริกชัย เจริญไธสง, “ศึกษาแนวทางการพัฒนาวัดตามมาตรฐานของสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติในจังหวัดนครปฐม”, วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๕๗), หนา้ ๑๐-๑๑. ๑๕ สัมภาษณ์ พระสมพร ญาณธีโร, เจ้าอาวาสวัดสุวรรณหงษ์ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัด สุรนิ ทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๗๓ ไม่เป็นทางการ เช่น การสนทนาในร้านกาแฟ (สภากาแฟ) ในร้านหนังสือ ใต้ถุนบ้าน วงส้มตำ เรา เรียกพ้ืนท่ีท่ีก่อให้เกิดการพบปะพูดคุยกันน้ีว่า “พ้ืนที่สาธารณะ” ซึ่งส่วนใหญ่โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณะ หรือ พื้นท่ีสาธารณะ มักจะอยู่ในรูปแบบท่ีไม่เป็นทางการ เช่น งานเทศกาล งานบุญใน ศาลาวัด โบสถ์หรือ มัสยิด งานแข่งขันฟุตบอลระหว่างหมู่บ้าน สิ่งเหล่าน้ีมิใช่เป็นเพียงเหตุการณ์ทาง สังคมเท่านนั้ หากแต่ เป็นช่องทางการเช่ือมโยงคนเข้ากบั ชมุ ชนทีอ่ าศยั อยู่ การพบปะจะกอ่ ใหเ้ กิดการ พูดคุยกันหลายๆ เรื่อง ต้ังแต่เร่ืองราวในชีวิตประจำวัน ดินฟ้าอากาศ การทำมาหากิน ปัญหาทาง เศรษฐกิจและสังคมที่มีร่วมกัน การเลือกต้ังระดับท้องถ่ินเช่น การเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน องค์การ บริหารส่วน ตำบล ไปจนถึงการเลือกต้ังระดับชาติ อย่างเช่น การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรอื สมาชิก วฒุ สิ ภา ๒) กระบวนการสำคัญของชุมชน องค์ประกอบนี้ เน้นไปที่กระบวนการมีส่วนร่วมของคน ในชุมชน และประชาสังคม ในประเด็นสาธารณะ ที่จะมีผลต่อชีวิตของคนในชุมชน และประชาสังคม กระบวนการมีส่วนร่วมน้ี อาจจำแนกออกเป็นขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ ร่วมรับประโยชน์ และร่วมติดตามตรวจสอบ โดยทั้งหมดของทุกขั้นตอน ต้องนำไปสู่เรื่องของการ เรยี นรขู้ องชุมชน และประชาสงั คม และหากถามว่า การเรียนรู้ดังกล่าว ทำไมจึงจำเป็น อาจตอบไดว้ ่า เพราะคนแต่ละคนในชุมชน และในประชาสังคม มีประสบการณ์ท่ีแตกต่างกัน จึงทำให้มีมุมมอง ต่างกัน เช่น เมื่อจะมีการตัดถนน ใหม่ผ่านหมู่บ้าน เพ่ือทำให้เราถึงเมืองได้อย่างรวดเร็ว แต่การตัด ถนนนั้น จะต้องผ่านบ้านเพ่อื น และบ้านญาติ ๆ ของเรา เรอ่ื งแบบนีม้ ีผลกระทบ ท้ังในแง่บวกและลบ มีทั้งผู้ได้รับผลประโยชน์ และเสีย ผลประโยชน์ ในฐานะ “ชุมชน\" หรือ \"ประชาสังคม\"จำเป็นต้อง เรียนรู้เร่ืองราวทั้งหมด ซ่ึงจะทำได้โดย การพูดคุย และเรียนรู้ร่วมกับคนอ่ืนๆ ท่ีเป็นสมาชิกในชุมชน เท่านัน้ กรณีเชน่ นเ้ี ป็นโอกาสอนั ดีที่พระสงฆต์ ้องยนื่ มอื เข้าไปไกล่เกล่ียเพ่ือแสดงบทบาทของความเป็น พระสงฆ์ โดยการช่วยพูดเจรจาแก้ปัญหา หรือขอบิณฑบาตที่ดินเพื่อทำสาธารณประโยชน์ เช่น ตัด ถนน ขุดสระนำ้ ใหเ้ ปน็ ทส่ี าธารณะ ใช้ประโยชน์ร่วมกนั ๓) ภาวะการเป็นนำและผู้นำชุมชน ในชุมชน และประชาสังคม ท่ีเข้มแข็ง ซึ่งมักมีวง สนทนาอย่างไม่เป็นทางการอยทู่ ั่วไป ตามสถานท่ีต่าง ๆ นั้น หากเราสังเกตให้ดี ก็จะพบ “ภาวการณ์ นำ\" การสนทนาในเร่ืองต่าง ๆ อย่างมี ชีวิตชีวา โดยภาวะการนำดังกล่าว เป็นความสามารถที่ไม่ได้ ผูกขาดอยู่ท่ีผู้ใดผู้หน่ึง หากมีผู้นำผูกขาด ในการนำเร่ืองของส่วนรวม ชีวิตในชุมชน และในประชา สังคมนั้น ก็จะขาดชีวิตชีวา และสีสัน และขาดการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ผู้นำในความหมายน้ี จึง มิได้มีไว้ เพ่ือทำหน้าที่ตัดสินความผิด หรือเป็นผู้ต่อต้านการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน แต่จะเป็นผู้ที่ คอยแนะนำ หรือคอยกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม อย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างจิตสำนึกของการเป็น เจา้ ของชมุ ชนของสมาชิกอยา่ งเตม็ ที่

๗๔ ๔) ตระหนักว่าตัวเองคือผู้แก้ปัญหาสำหรับชุมชน และประชาสังคม ที่เข้มแข็ง คนใน ชมุ ชนจะตระหนัก หรือมีความคิดว่า อำนาจที่แท้จริงนั้น ไม่ได้ข้ึนอย่กู ับการบัญญัติทางกฎหมาย และ ไม่ได้อยู่ท่ีหน่วยงาน องค์กร หรือ สถาบันของรัฐเท่านั้น แต่สามารถสร้างสรรค์ข้ึนได้จากตนเอง และ จากความร่วมมือกับผู้อ่ืน การมองว่าอำนาจเป็นส่ิงที่มีอยู่ในตัวทุกๆ คนนี้ มักจะนำไปสู่ความเช่ือม่ัน ที่ว่า \"ประชาชนในท้องถิ่นเท่านั้น ที่สามารถแก้ปัญหาของท้องถ่ินได้\" ความเช่ือมน่ั นี้ สะท้อนถึงความ รับผิดชอบของตนต่อปญั หาของ ชุมชน สงั คม และถอื วา่ ตนเป็นเจ้าของชมุ ชน และสังคมนน้ั ๕) ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสถาบันสงฆ์ ในชุมชน และประชาสังคม ท่ีเข้มแข็งนั้น ความสัมพันธ์ของคนอาจอยู่ในรูปขององค์กร หรือเครือข่าย ท้ังท่ีเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ มัก เป็นความสัมพันธ์ต่อกันในแนวนอน ลักษณะ ความสัมพันธ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดความซ่ือสัตย์ และ ไว้วางใจกัน ซ่ึงจะกอ่ ใหเ้ กดิ พลังขนาดใหญ่ในการ เปลยี่ นแปลง และแกไ้ ขปัญหาของสังคมได้ ในขณะ ที่สถาบัน และองค์กรต่างๆ ในชุมชน และประชา สังคม เช่น สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา กลุ่ม ธุรกจิ ก็รวมเข้าเป็นสว่ นหน่ึงของชีวติ ในชุมชน ๖) สำนึกของความเป็นชุมชนและวัฒนธรรมของการเอื้ออาทร ในอดีต ที่คนในชุมชน และประชาสังคม ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองนั้น กิจกรรมสาธารณะเกอื บทุกประเภท จะ สำเร็จได้ ก็เพราะทุกคนในชุมชน ได้มีส่วนร่วมลงมือทำ การได้ทำงานร่วมกันน้ัน ได้สร้างวัฒนธรรม ของการเอ้ืออาทร และวฒั นธรรมของการแบ่งปัน ใหเ้ กดิ ข้นึ ใน ชมุ ชน ซ่ึงเป็นสายสัมพันธ์ที่สำคญั ท่ีทำ ใหท้ ุกคน “อย่รู ่วม\" และ \"อยรู่ อด\" ได้ สัมภาษณ์ พระอธิการเอกลักษณ์ สุจิณฺโณ กล่าวว่า “เป็นโอกาสอันดีที่พระสงฆ์ได้ ช่วยเหลือคนในชุมชน และแก้ไขปัญหาในชุมชน อาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ให้ความเมตตา สร้างความเอ้ืออาทรต่อกันและกันให้เกิดขึ้น ลดความรุนแรง ให้อภัยกัน ช่วยเหลือเกื้อกูล และให้ กำลังใจ เพื่อความสงบสุขของคนในชมุ ชน”๑๖ อยา่ งไรกด็ ี วัด บ้าน โรงเรียน ชมุ ชนใดก็ตามมีความสามคั คี กลมเกลียวกัน ชุมชนน้ันจะมี ความเข้มแข็ง ท่ีเกิดจากแรงผลักดันของพระสงฆ์ท่ีมีภาวะผู้นำ อาศัยหลักธรรมเป็นที่พ่ึงในการ ดำเนินงาน ชว่ ยใหเ้ กิดความผาสุกในหมู่ประชาชน การประกอบสัมมาอาชีพกเ็ จรญิ รงุ่ เรือง ๔.๓ บทบาทการพฒั นาชุมชนของหลวงปรู่ ิม รตนมุนี หลวงปู่ริม รตนมุนี ถือว่าเป็นเกจอิ าจารย์ท่ีมลี ูกศิษย์และประชาชนนับถือเป็นจำนวนมาก และเป็นภาวะผู้นำในหลายด้าน รับทราบปัญหาของชุมชนที่อยู่ในเขตบริการของวัดหลวงปู่ริม ไม่ว่า จะเป็นปัญหาเยาวชนขาดศีลธรรม คุณธรรม อันเป็นตน้ เหตุของความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ปัญหา ๑๖ สัมภาษณ์ พระอธิการเอกลักษณ์ สุจิณฺโณ, เจ้าอาวาสวัดเพชรบุรี ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จงั หวดั สรุ นิ ทร์, ๒๗ เมษายน ๒๕๖๕.

๗๕ การเล่นการพนัน ตดิ ยาเสพติด ตดิ สรุ า ของประชาชน การทะเลาะวิวาทและการคกุ คามทรพั ย์สินของ ผู้อ่ืน ชาวบ้านขาดความหวงแหนและไม่เห็นความสำคัญของประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นและ สภาพแวดล้อมภายในชุมชน จากปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนนี้เอง ทำให้หลวงปู่ริม รตนมุนี ท่าน สนใจและพร้อมที่จะเสียสละในเร่ืองการพัฒนา รวมท้ังพัฒนาพระสงฆ์ภายในตำบลทุ่งมน ให้มี การศึกษานำหน้าเพ่ือเป็นตวั อย่างของประชาชน ๔.๓.๑ ความเปน็ ภาวะผนู้ ำการพฒั นาของหลวงป่รู ิม รตนมุนี ภาวะผู้นำในการนำชาวบ้านพัฒนาวัด พฒั นาชุมชน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จงั หวัด สุรินทร์ ที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นชุมชน เป็นสังคม คนในชุมชนมีความแตกต่างกัน หลายประการ ต่างจิตตา่ งใจ ต่างความรสู้ ึก ตา่ งความนกึ คดิ ตา่ งความต้องการ มีความรู้ความสามารถ ไม่เท่ากัน ต่างระดับการพัฒนา เป็นต้น เมื่อมีความแตกต่างกระจัดกระจายปัญหาก็เกิดข้ึน หลวงปู่ ท่านจึงต้องประสานงานกัน มีความเมตตา กรุณาเป็นหลักด้วยการเป็นผู้นำในการทำงานด้านพัฒนา ชุมชน หลวงปู่มีภาวะผูน้ ำสูง มีความดีงาม สติปัญญา ความรู้ความสามารถเฉพาะตวั ท่าน ชักนำใหค้ น ทั้งหลายมาประสานกัน และพากันไปสู่จุดหมายที่ดีงาม ผู้นำต้องมีความสามารถในการท่ีจะไป เกยี่ วข้องหรอื ปฏิบตั ิตอ่ สง่ิ เหลานั้นทุกอย่างใหถ้ ูกต้องและได้ผลดี โดยมอี งค์ประกอบ ดังนี้ ๑) ตัวผู้นำ จะต้องมคี ุณสมบัติภายในของตนเอง เปน็ จุดเรม่ิ และเป็นแกนกลางไว้ ๒) ผู้ตาม โยงคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับผู้ตาม หรือเราอาจจะไม่เรียกว่า ผู้ตาม ใน พระพทุ ธศาสนากไ็ มไ่ ด้นยิ มใช้คำว่า ผูต้ าม เราอาจจะใช้คำว่า ผู้รว่ มไปดว้ ย ๓) จุดหมาย โยงด้วยคุณสมบัติท่ีสัมพันธ์กับจุดหมาย เช่น จะต้องมีความชัดเจน เข้าใจ ถอ่ งแทแ้ ละแนวแน่ในจดุ หมาย เป็นต้น ๔) หลักการและวิธีการ โยงด้วยคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับหลักการและวิธีการท่ีจะทำให้ สำเร็จผลบรรลุจุดหมาย ๕) สง่ิ ทจี่ ะทำ โยงดว้ ยคุณสมบตั ิทีส่ ัมพันธ์กับสิ่งที่จะทำ ๖) สถานการณ์ โยงด้วยคุณสมบัติท่ีสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม หรือสิ่งที่จะประสบ ซ่ึงอยู่ ภายนอกว่าทำอย่างไรที่จะผ่านไปได้ด้วยดี ในทางสังคม ส่ิงแวดล้อม หรือส่ิงที่จะประสบ เช่น ปัญหา เปน็ ต้น๑๗ น่ีคือองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้นำท่ีจะต้องพัฒนาตัวเองให้มีคุณสมบัติท่ีจะ ทำให้เป็นผู้พร้อมท่ีจะปฏิบัติต่อส่ิงเหล่านั้น ไดอ้ ย่างถูกต้องและบังเกิดผลดี สามารถท่ีจะทำงานสังคม ใหส้ ำเร็จลุลว่ งได้ กเ็ กิดจากการร้จู ักวางตนเปน็ ผกู้ ็ได้ เป็นผตู้ ามก็ดี ๑๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ภาวะผู้นำ, พิมพ์คร้ังที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร: ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัทตถาตา พับลิเคช่นั จำกดั , ๒๕๕๐), หน้า ๔-๕.

๗๖ ๔.๓.๒ ภาวะผู้นำท่ีดไี ด้ทั้งคนและได้งานไมเ่ สียหลกั การ หลวงปรู่ ิม รตนมนุ ี เป็นผูน้ ำทีม่ ีความเมตตาเป็นหลัก ชาวบ้านมาติดต่อการงานสิ่งใด ๆ ก็ ตามจะได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ เป็นการปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร ๔ ท่ีมีดุลยภาพ ๒ ด้าน เมตตา กรุณา มุทิตา ด้านหนึ่ง และอุเบกขาด้านหน่ึง คือ การท่ีจะเป็นผู้นำนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์ กับหลักธรรมของพรหม ทั้งกับคนและกับงาน ทั้งกับคนและกับธรรม หรือท้ังกับคนและกับหลักการ คือ เอาทง้ั คน และทั้งงาน หรอื เอาคนและหลกั การ เป็นผู้นำที่ “ได้ใจได้งาน” ผู้นำประเภทน้ีจะประสบความสำเร็จท้ังในด้านของการ ขับเคลื่อน ในด้านผลการดำเนินงานขององค์กร อีกท้ังยังเป็นผู้นำท่ีได้ใจ จากบุคคลต่างๆ ท้ังภายใน และภายนอกองค์กรอีกด้วย โดยการยอมรับและความเช่ือถือที่เกิดข้ึนของบุคคลต่างๆ น้ันเกิดข้ึนท้ัง จากการปฏิบัติตนของผู้นำต่อบุคคลอื่นๆ ผู้นำประเภทน้ีมักจะพบเจอในผู้นำขององค์กรต่างๆ ท่ี ประสบความสำเร็จอย่างต่อเน่ือง และถือเป็นคุณลักษณะของผู้นำที่เป็นที่ต้องการมากท่ีสุดคนที่จะ เปน็ ผ้นู ำได้ อาจต้องมี “๔ รู้” เป็นพื้นฐาน รู้ท่ีหน่ึง คือ “รู้คิด” คือ ต้องมีวิสัยทัศน์ รู้จักมองไปข้างหน้า รู้จักคิดริเร่ิม คิดสร้างสรรค์ คิดอย่าง เป็นองค์รวม สามารถกำหนดทิศทางการก้าวย่างของทีมหรือของหน่วยงานได้อย่างชัดเจน และสามารถใชค้ วามรู้ความสามารถที่มอี ยู่นำพาทมี และองคก์ รไปสเู่ ปา้ หมายได้ รู้ที่สอง คือ “รู้ทัน” หรือ รู้เท่าทันโลกและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รู้เท่าทันบุคคล คือ มองคนอื่นให้เป็น รู้ถึงจุดดีจุดด้อยของเขา และที่สำคัญคือต้องรู้เท่าทันตนเองโดยต้องรู้ว่าเราเก่ง อะไรไม่เก่งอะไร มีความหนักแน่นทางอารมณ์ และต้องมีสติพรอ้ มตั้งรับกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่าง ดี รู้ท่ีสาม คือ “รู้ทำ” รู้วิธีทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย รู้จักทำตนเป็นแบบอย่างท่ีดี มี ความมุ่งมน่ั ต้งั ใจ มีความซอื่ สัตย์สุจรติ เสียสละ อดทน น่าเชื่อถือ พึ่งพาได้ และตอ้ งมีความสามารถใน การจับใจความ ถา่ ยทอด สอื่ สารและโนม้ น้าว เป็นทัง้ ผฟู้ ังทดี่ แี ละผพู้ ูดทดี่ ี รู้สุดท้าย คือ “รู้จักบริหาร” คือ รู้จักบริหารตนเอง รู้จักการบริหารเวลาและจัดลำดับ ความสำคญั ของงาน รู้จกั การบริหารทมี งาน โดยสร้างบรรยากาศการทำงานรว่ มกนั ส่งเสริมการมสี ่วน ร่วม และสร้างทายาทมารับช่วงต่อ รวมท้ังต้องรู้จักการบรหิ ารทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดความค้มุ ค่าและ เกิดประโยชนส์ ูงสดุ นอกจากนี้ คนท่ีจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในยุคปัจจุบัน ได้ยังควรมีทัศนคติแบบมุ่ง ผลสัมฤทธ์ิ มีความกล้าหาญ ยืนหยัดทำในส่ิงที่ถูกต้อง มีมนุษยสัมพนั ธท์ ี่ดี มคี ุณธรรมจรยิ ธรรม และที่ สำคัญต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย เพื่อที่จะพัฒนาให้ตนเองกลายเป็นผู้นำท่ีมีประสิทธิภาพน้ัน ประการแรก เราต้องทำความรู้จักตนเองให้ถ่องแท้ก่อนโดยลองวิเคราะห์ว่าตัวเรานั้นมีจุดแข็งและมี จุดที่ต้องการพัฒนาอะไรบ้าง และเปิดโอกาสให้คนรอบข้างช่วยมองและสะท้อนความเป็นตัวคุณ

๗๗ ออกมา และโดยการพัฒนาศักยภาพนอกจากน้ันการพยายามทำตัวให้เป็นที่รักโดยเป็นกันเองกับผู้ ตาม ปิโย เป็นท่ีรักซึ่งเกิดจากคุณสมบัติในข้อเมตตา กรุณา มุทิตาที่เอาคนอยู่ จึงต้องมีขอบเขตโดยมี ความสมดุลกับข้ออุเบกขา ที่เอาธรรม เอาหลักการ และเอาตัวงาน เมื่อมีหลักการ เอางาน หรือเอา ธรรม ก็จะได้ลักษณะท่ีเรียกว่าเป็น ครุ ซ่ึงแปลว่า น่าเคารพ คือคนมีหลัก หนักแน่น จึงเป็นท่ีน่า เคารพ๑๘ การจะเป็นผู้นำคนได้ ต้องมีความรู้ คือรู้คิด รู้ทัน รู้ทำ และรู้จักบริหาร เป็นหลักพ้ืนฐาน ในเบ้ืองต้น จะเห็นได้ว่า การท่ีคนๆ หน่ึงจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง ไม่ต้องมี การแต่งต้ัง ไม่จำเป็นต้องรออาวุโส การเป็นผู้นำสามารถเกิดข้ึนและพัฒนาได้จากภายในตัวคนทุกคน สามารถเกิดข้ึนได้ในทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ดังนั้น เพียงแค่เรามี “ความอยาก” ท่ีจะเป็น มีความ กล้าที่จะเดินออกจากพ้ืนท่ีคุ้นเคยของตัวเรา และลองเร่ิมต้นจากการปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ หรือ นิสัยที่ทำเป็นประจำในทุกวัน เส้นทางสู่ “การเป็นผู้นำท่ีมีประสิทธิภาพ” ก็คงไม่ห่างไกลจากความ เปน็ จริง ผนู้ ำที่ดีควรมีคณุ ธรรมมาก่อนส่ิงใด มีความนา่ รกั น่าเคารพ เป็นทนุ เดิม การจะบริหารสิ่งใดก็ สะดวก ได้ท้ังใจคน ได้ทง้ั งาน หากขาดคุณธรรมแลว้ หวังสิ่งใดกพ็ ลาดสิ่งนั้น แทนท่ีตัวเองจะเปน็ ผู้นำ เขา กลายเป็นวา่ ถกู เขาชกั พาออกนอกลูน่ อกทางไป สมั ภาษณ์ นายประมวล ยงยงิ่ ยืน กล่าวว่า “ผู้นำที่ดคี วรมคี วามริเริ่ม คือ ความสามารถที่ จะปฏิบัติส่งิ หน่ึงส่ิงใดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องคอยคำสั่ง หรือความสามารถ แสดงความคิดเห็น ท่ีจะแก้ไขส่ิงหน่ึงสิ่งใดให้ดีขึ้น หรือเจริญข้ึนได้ด้วยตนเอง ความริเร่ิมจะเจริญงอก งามได้ หัวหน้างานจะต้องมีความกระตือรอื ร้น คือมีใจจดจ่องานดี มีความเอาใจใส่ต่อหน้าที่ มีพลังใจ ท่ีตอ้ งการความสำเรจ็ อย่เู บ้อื งหนา้ และผู้นำที่ดีจะตอ้ งไม่กลัวตอ่ อันตราย ความยากลำบาก หรือความ เจบ็ ปวดใดๆ ท้ังทางกายวาจา และใจ ผูน้ ำทมี่ ีความกลา้ หาญ จะช่วยให้สามารถผจญ ต่องานต่างๆ ให้ สำเร็จลลุ ว่ งไปได้ นอกจากความกลา้ หาญแลว้ ความเด็ดขาดก็เป็นลักษณะอนั หนึ่งทจี่ ะต้องทำให้เกดิ มี ขึน้ ในตวั ของผู้นำเองต้องอยู่ในลักษณะของการกลา้ ได้กล้าเสียด้วย”๑๙ ๔.๓.๓ หลวงปู่ริม รตนมุนี ผ้นู ำการพฒั นาทด่ี ี ๗ ดา้ น คุณสมบัติของผู้นำจะต้องมีคุณธรรม ๗ ประการ ผู้นำควรมีความใฝ่ฝันอย่างแรงกล้าใน จดุ มุ่งหมายอันสูงส่ง มีความชัดเจนในจุดหมายน้ัน และทำให้ทุกคนมองเห็นและใฝ่ฝันในจุดหมายอัน ยิ่งใหญ่นั้นร่วมกัน ท่ีจะทำให้พลังความต้องการของทุกคนประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมุ่ง ๑๘ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), ภาวะผ้นู ำ, หนา้ ๑๕. ๑๙ สัมภาษณ์ นายประมวล ยงยิ่งยืน, กำนันตำบลทุ่งมน บ้านหนองหรี่ หมู่ที่ ๘ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวัดสุรนิ ทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖.

๗๘ หน้าไปด้วยกันสู่จุดหมายร่วมของสังคม อันเป็นความสำเร็จของการทำหน้าที่ของผู้นำอย่างแท้จริง คุณสมบัติในตวั ของผู้นำมี ๗ ประการ ดังน้ี ๑) รู้หลักการ เม่ือดำรงตำแหน่ง มีฐานะ หรือจะทำอะไรก็ตาม ต้องรู้หลักการ รู้งาน รู้ หน้าท่ี รู้กฎเกณฑ์กติการที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครองประเทศชาติต้องรู้หลักรัฐศาสตร์ และรู้กฎกติกา ของรัฐ ต้ังแต่รัฐธรรมนูญลงมา แล้วก็ยืนอยู่ในหลักการ ตั้งตนอยู่ในหลักการให้ได้ ชุมชน สังคม องค์กร หรอื กจิ การอะไรก็ตาม กต็ ้องมีหลักการ มีกฎ มีกตกิ าร มรี ะเบยี บ ที่ผนู้ ำจะตอ้ งรู้ชัดและตั้งม่ัน อยู่ในหลักการนัน้ ๒) รู้จุดหมาย ผู้นำถ้าไม่รู้จุดหมายก็ไม่รู้ว่าจะนำคนและกิจการไปทางไหน นอกจากรู้ จุดหมาย มีความชัดเจนในจุดหมายแล้วจะต้องมีความแน่วแน่ท่ีจะไปให้ถึงจุดหมาย เป็นคุณสมบัติท่ี สำคัญมาก ๓) รู้จักตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีภาวะเป็นอะไร อยู่ในสถานะใด มีคุณสมบัติ มี ความพร้อม มีความถนัด สติปัญญาสามารถอย่างไร มีกำลังแค่ไหน มีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร ซ่ึง จะต้องสำรวจตัวเอง ละเตอื นตนเองอยู่เสมอ ท้ังน้เี พ่ีอประโยชนใ์ นการพฒั นาปรบั ปรงุ ตนเอง ๔) รู้จักประมาณ คือ รู้จักคยวามพอดี หมายความว่าต้องรู้จักขอบเขตขีดข้ันความ พอเหมาะท่ีจะจัดทำในเร่ืองต่าง ๆ เช่นผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการลงทัณฑ์อาชญาและ เก็บภาษีเป็นต้น ไม่ใช่เอาให้ได้ด่ังใจ และรู้บริบทอื่น ๆ เป็นสิ่งประกอบ จะทำมากน้อยแค่ไหนจึงจะ พอดี ได้สดั สว่ น พอเหมาะ การทำการต่าง ๆ ทกุ อยา่ งตอ้ งพอดี ๕) รูก้ าล คอื รู้จักเวลา เช่นลำดับ ระยะ จงั หวะ ปริมาณความเหมาะสมของเวลาว่า เร่อื ง นจี้ ะลงมือตอนไหน เวลาไหนจะทำอะไรอยา่ งไรจึงจะหมาะ ดังจะเห็นว่าแม้แตก่ ารพดู จาก็ตอ้ ง รจู้ กั กาลเวลา ตลอดจนจนรจู้ ักวางแผนงานในการใช้เวลา ซ่ึงเป็นเร่ืองใหญ่ ๖) รู้จักชุมชน คือ สังคม ต้ังแต่ในขอบเขตท่ีกว้างขวาง คือ รู้สังคมโลก รู้สังวคมของ ประเทศชาติ ว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างไร มปี ัญหาอะไรมีความต้องการอย่างไร การเข้าไปช่วยเหลือก็ ทราบว่าสงั คมนี้ตอ้ งการสง่ิ ใด เพอ่ื ท่ีจะสนองความตอ้ งการได้ถูกต้อง ๗) รู้บุคคล คือ รูจ้ ักบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่มารว่ มงานรวมไปด้วยกนั และคนท่ี เราจะบริการตามความแตกต่างเฉพาะตัว เพ่ือปฏิบัติต่อเขาได้ถูกต้องและเหมาะสม รู้ว่าจะใช้วิธี สมั พันธพ์ ูดจาแนะนำ ตชิ มหรอื จะให้เขายอมรบั ได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ต้องรวู้ า่ คนไหนเป็น อย่างไร มคี วามถนดั และอธั ยาศยั ความสามารถอย่างไร เพ่อื ใช้คนให้เหมาะสมกบั งาน๒๐ ท่ีกล่าวมานี้ คือ หลักธรรมที่เรียกว่า สัปปุริสธรรม ๗ ประการ เพราะว่าการทำงานนั้น ไม่ใช่ว่าจะเอาเขามาเป็นเพียงเคร่ืองมือทำงานอย่างเดยี ว แต่จะต้องให้คนท่ีทำงานทุกคนได้ประโยชน์ ๒๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ภาวะผนู้ ำ, หน้า ๒๕ – ๒๖.

๗๙ ได้พัฒนาตนเอง ผู้นำควรรู้ว่าเขาควรได้ประโยชน์อะไร เพ่ือความเจริญงอกงามแห่งชีวติ ที่แท้จริง ผู้นำ ทีด่ ีจะต้องในจดุ หมายทด่ี ีงาม มีความชัดเจนให้แก่หมชู่ นและตอ้ งมจี ิตมุ่งสจู่ ุดหมาย ๔.๓.๔ การพัฒนาชุมชนของหลวงป่รู ิม รตนมุนี การพัฒนาชมุ ชนของหลวงปู่ พัฒนาเพอื่ คนในชุมชนท่อี ยูร่ อบวัดและห่างจากวัดใหม้ ีความ เจริญ ด้านร่างกายและจิตใจ โดยยึดหลักการพัฒนาภายนอกให้มีความอยู่ดีมีสุข และภายในให้เป็นมี ศีลธรรมค้ำชู ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนที่อยู่ในชุมชนด้วยกัน มีความตื่นตัวทันต่อเหตุการณ์ ไม่ ปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ และสร้างงานในชุมชน เป็นการพัฒนามนุษย์ให้เป็นระบบ โดยเอามนุษย์นเป็นศูนย์กลาง เพราะเป็นปัจจัยตัวกระทำดังกล่าว การพัฒนามนุษย์ประกอบด้วย ๓ ดา้ น พฒั นาพฤตกิ รรม พฒั นาจิตใจ และพัฒนาปญั ญา ดังน้ี ๑) ด้านพฤติกรรม พฤตกิ รรมท่ีดีให้เป็นยช่องทางจิตใจพัฒนา และช่วยให้ปัญญางอกงาม อย่างน้อยพึงพัฒนาพฤติกรรมที่ไม่เบียดเบียน ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์เกื้อกูล พฤติกรรมทั่วไป ให้ ความสำคัญพิเศษได้แก่พฤติกรรมความเคยชิน แบบอย่างท่ีดีมีวินัย และวัฒนธรรม ถ้าพฤติกรรมเคย ชินท่ีไมเ่ ก้ือกูลเกดิ ข้ึนแล้วจะแก้ไขยากมาก เชน่ เรื่องวินัยการจราจรในท้องถนน เปน็ ต้น พฤติกรรมใน การทำมาหาเล้ียงชีพ เป็นส่วนใหญ่ของเวลาและชีวิตของแต่ละบุคคล ควรมีเป้าหมายการพัฒนาคน ด้านการนทำมาหากิน ให้เป็นสัมมาอาชีวะ โดยการเลี้ยงชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียนก่อเวรภัยทำลาย ผอู้ น่ื และส่งิ แวดล้อม ๒) การพัฒนาด้านจิตใจ มีเจตจำนงเป็นตัวชน้ี ำกำหนดพฤติกรรม และสภาพจิตที่พอใจมี ความสุข ทำให้พฤติกรรมที่มั่นคง ปัญญาจะทำงานได้ผล และพัฒนาไปได้ต้องอาศัยสภาพจิตใจท่ี เหมาะสม โดยการพัฒนาคนเพ่ือการพฒั นาทย่ี ่ังยืน ๓) พัฒนาด้านปัญญา ปัญญาเป็นตัวแก้ปัญหา เป็นตัวจัดปรับทุกอย่างท้ังพฤติกรรมและ จิตใจให้ลงตัวพอดี และเป็นตัวนำสู่จุดหมายแห่งความมีอิสรภาพและสันติสุข จะต้องพัฒนาควบคู่ ประสานกันไปและอิงอาศยั การพฒั นา การพฒั นาท้ังพฤตกิ รรมและจติ ใจ๒๑ หลวงปู่รมิ พฒั นาคนโดยสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม และรักษาสภาพสงิ่ แวดล้อมเรยี กว่า ป่า ชุมชนคีรีวงคต จึงได้ริเร่ิมประสานแนวทางศาสนธรรมกับประเพณี และวัฒนธรรมร่วมกับชุมชน ทอ้ งถิ่น ดำเนินการทำปา่ ชุมชนคีรีวงคตข้ึน โดยไดน้ ำพาชาวบ้านทำปา่ ชมุ ชนผืนแรกช่ือว่าป่าชมุ ชนคีรี วงคตเป็นพื้นท่ีแรกในตำบลทุ่งมน เนื้อท่ีประมาณ ๖๕ ไร่ เพ่ือประกอบกิจกรรมทางศาสนาโดยการ จำลองแบบอย่างเขาวงกต ซ่ึงเป็นเร่ืองราวจากคัมภีรพ์ ุทธศาสนา เร่ืองพระเจา้ สิบชาติ มหาเวสสันดร ชาดก โดยทำเส้นทางทีซ่ ับซ้อน วกวน เพ่ือเดนิ จงกรมปฏิบตั ิธรรมสมถะวิปสั สนากรรมฐาน และเจริญ ๒๑ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), การพัฒนาท่ีย่ังยืน, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๓, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มูลลนิธโิ กมลคีมทอง, ๒๕๕๖), หน้า ๒๓๒-๒๓๗.

๘๐ สติวิปัสสนากรรมฐาน และประกอบกิจกรรมทางศาสนา และช่วงกลางคืนก็จะนำพาชาวบ้านไปจัด งานลอยกระทง ท่ีวัดอุทุมพร ตำบลทุง่ มน และทำพธิ ีกรรมอนื่ ๆ หลวงปสู่ ร้างป่าชุมชนคีรวี งคตขึ้นให้เป็นที่ปฏบิ ัตศิ าสนกิจทางพระพุทธศาสนา และใหเ้ ป็น ที่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ และฆราวาส เป็นวถิ ีชุมชนในเขตตำบลทุ่งมน และตำบลสมดุ มีอยู่ ๓ ดา้ น ๑) ด้านจิตสำนึกของชุมชน ๒) ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และ ๓) ด้านการฟื้นฟูสืบสาน ประเพณีข้ึนเขาคีรีวงคต ด้วยคุณูปการและสำนึกในบุญคุณของหลวงปู่ริม รตนมุนี ปัจจุบันองค์การ บริหารส่วนตำบลทุง่ มน ได้เป็นหน่วยงานประสานความรว่ มมือทุกองค์กร เพื่อบูรณาการประเพณีนใ้ี ห้ เป็นแหลง่ เรียนรู้เชงิ บูรณาการแบบมสี ่วนรว่ ม และสืบสานประเพณีอนั ดีงามน้ตี อ่ ไป สมั ภาษณ์ นายเดียม ลอ้ มนาค กล่าวว่า “หลวงปู่คิดริเริ่มสรา้ งป่าชุมชนคีรีวงคต ก็เพื่อจะ ให้พระสงฆ์ในเขตตำบลทุ่งมนมีสถานที่ปฏิบัติธรรม ได้ฝึกกาย วาจา ใจให้สงบ เป็นการอนุรักษ์ป่าไม้ อันเป็นทรัพยากรธรรมชาติ เป็นหน้าท่ีของผู้นำ และประชาชน รวมถึงพระสงฆ์ผู้นำด้านจิตวิญญาณ ของชุมชน ประสานแนวทางศาสนธรรมกับประเพณี และวัฒนธรรมร่วมกับชุมชนท้องถ่ิน ให้มีส่วน ร่วมในการอนุรักทรัพยากรธรรมชาติให้คงสภาพเดิม ไม่ให้เกิดความเสื่อมโทรม เพื่อประโยชน์ในการ ดำรงชีวติ ในทอ้ งถิ่นของชุมชน”๒๒ หลวงปู่ริม รตนมุนี ท่านพัฒนาก็เพื่อให้คนในชุมชนมีความสงบสุข ไม่เก่ียวข้องกับ อบายมขุ เปน็ ครอบครัวท่ีอบอนุ่ อยู่พรอ้ มหน้าลูกเมีย ถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาก็ออกไปทำบุญ ท่ีวัด ซึ่งเป็นวิถีของคนในชุมชน สมาทานศีล ๕ และ ๘ ซึ่งถือว่าเป็นพุทธศานิกชนท่ีดี และช่วยกัน รักษาส่ิงแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ไว้ให้ลูกหลานในอนาคตจะได้มีอากาศที่บริสุทธิ์ และช่วยกันดูแล รักษา ห่วงแหน ทรัพยากรป่าไม้ ลำน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึงให้สะอาดอยู่เสมอ ทำให้สิ่งแวดล้อมได้ ฟ้ืนตัวตามธรรมชาติ การรักษาป่าไม้ท่ีเป็นแหล่งอาหารของคนและสัตว์ เม่ือมีป่าอย่างอ่ืนก็มีตามมา ดว้ ย เชน่ ฝนตกตามฤดกู าล ๔.๓.๕ บทบาทการเผยแผแ่ ละพฒั นา ๖ ดา้ นของหลวงปู่รมิ รตนมนุ ี หลวงปู่ริม ท่านเป็นพระนักพัฒนา พัฒนาส่ิงแวดล้อมรอบชุมชนและพัฒนาจิตใจคนใน ชุมชนให้มีการศึกษา สอนคนให้คนรกั ธรรมชาติ เราต้องให้เขามีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติ วดั ใน อดีตทำหน้าท่ีเป็นโรงเรียน พระสงฆ์ไม่ได้สอนวิชาพระพุทธศาสนาอย่างสมัยนี้ ท่านสอนหลายวิชา เด็กและเยาวชนเป็นศิษย์ของพระสงฆ์จึงเคารพเช่ือฟัง สมัยน้ีเราเรียกการศึกษาสงเคราะห์ เรียกการ พระปริยตั ิธรรมแกพ่ ระภิกษสุ ามเณรวา่ ศาสนศกึ ษา มีการพัฒนา ๖ ด้านดังนี้ ๒๒ สัมภาษณ์ นายเดียม ล้อมนาค, สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล หมู่ท่ี ๑ ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จงั หวดั สุรนิ ทร์, ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๘๑ ๑) การปกครอง หมายถึง การดูแล คุ้มครอง บริหารความสำคัญ การปกครองของคณะ สงฆ์ไทย เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆ ปริณายก ทรงเป็นประธาน และมกี ารบังคบั บัญชากันไปตามลำดบั ชัน้ นับต้งั แต่ระดบั มหาเถรสมาคมลงไปจนถึง เจ้าอาวาส พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ลำดับช้ันการ ปกครองคณะสงฆไ์ วด้ งั น้ี มาตรา ๒๐ คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม การจัดระเบียบการ ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามท่ีกำหนดไว้ในกฎมหาเถรสมาคมหลักการปกครอง เป็นภารกิจที่วัด โดยพระภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาส หรือเจ้าคณะปกครองดำเนินการสอดส่อง ดูแล รักษาความเรียบร้อยดี งาม เพ่ือให้พระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัด หรือในปกครองปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ขอ้ บังคับ ระเบียบ คำสงั่ ประกาศของมหาเถรสมาคม หรือพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ภารกิจ ดา้ นน้คี รอบคลุมถงึ การท้พี ระภิกษุผ้ทู ำหน้าที่เปน็ เจา้ คณะปกครองทุกระดับ นับตง้ั แต่ผู้ชว่ ยเจ้าอาวาส รองเจา้ อาวาส เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจา้ คณะจังหวัด เจา้ คณะภาค เจ้าคณะใหญ่ (หน) นอกจากนี้ ยังรวมถึงการที่พระภิกษุทำหน้าที่เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เปน็ พระอุปัชฌายใ์ นการ อุปสมบทกุลบุตร หลวงปู่ริมท่านให้ความสำคัญต่อการปกครองพระสงฆ์แบบพ่อปกครองลูก เป็น ต้นแบบท่ีดแี กล่ ูกพระลกู เณร และยดึ เอากฎมหาเถรสมาคมเป็นแบบอยา่ ง ๒) การศาสนศึกษา หมายถึง การเล่าเรียน ฝึกฝน และอบรม ความสำคัญ การศึกษา ในทางพระพุทธศาสนา เป็นการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกธรรมและบาลี นอกจากจะ เป็นการศึกษาหลักธรรมคำส่ังสอนแล้ว ยังได้ช่ือว่าเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาไว้อีกด้วย โดยเฉพาะการศึกษาภาษาบาลี เพราะถา้ ไมร่ ู้ภาษาบาลีแล้วก็จะไม่มีผู้ใดสามารถรู้และเข้าใจพระพุทธ วจนะในพระไตรปิฎก ถ้าขาดความรู้เร่ืองพระไตรปิฎกแล้วพระพุทธศาสนาก็จะต้องเส่ือมสูญไปด้วย ดว้ ยเหตุนี้พระมหากษตั ริย์ผเู้ ปน็ ศาสนูปถมั ภ์ตัง้ แตโ่ บราณมา จึงทรงทำการทำนุบำรงุ สนบั สนนุ หลกั การศาสนศกึ ษา เป็นภารกิจดา้ นการจดั การศึกษาพระปริยตั ิธรรมของคณะสงฆ์ท้ัง แผนกธรรม-บาลี แผนกสามัญศึกษา การอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ังสองแห่ง ภารกิจด้านนี้ ครอบคลุมถึงการท่ีพระภิกษุทำหน้าที่เป็นครูสอน เป็นกรรมการตรวจข้อสอบธรรมบาลีสนามหลวง เป็นเลขานุการสอบธรรม-บาลีสนามหลวง เป็นผู้อำนวยการหรือเป็นประธานจัดสอบธรรม-บาลี สนามหลวง และเป็นเจ้าสำนักเรียน ในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาส นอกจากน้ียังรวมถึงการส่งเสริม การศึกษาพระปริยัติธรรมทุก ๆ วิธีที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย เช่น มอบทุนการศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณรท่ีสอบไล่ได้ จัดตั้งกองทุนเพ่ือการศึกษาพระปริยัติธรรม เป็นต้น หลวงปู่ริม ท่านสนับสนุน การศึกษาของพระเณรมาต้ังแต่ต้น อบรมสั่งสอนให้บวชแล้วต้องศึกษาธรรม บาลี โดยส่งเข้าสำนัก เรยี นบาลี และสอบได้เป็นมหาเปรียญเป็นจำนวนมาก เป็นที่ประจกั ษแ์ ก่สาธุชนทว่ั ไป

๘๒ ๓) การเผยแผ่ หมายถึง ทำใหข้ ยายออกไป ทำให้ขยายกวา้ งขวางออกไปความสำคญั การ เผยแผ่ คือการทำให้แพร่หลายในลักษณะติดแน่น กระจายไป เช่น เผยแผ่ศาสนา เผยแผ่ธรรม องค์การเผยแผ่ ส่วนคำว่า เผยแพร่ ใช้ในความหมายวา่ ประกาศ โฆษณา ทำให้แพร่หลาย ในลกั ษณะ กระจายใหเ้ ปน็ รูปธรรมหรอื ให้สมั ผัสได้ทางตา หู เปน็ ตน้ หลักการเผยแผ่ เป็นภารกิจด้านการดำเนินการประกาศพระพุทธศาสนาให้ประชาชน ได้รับทราบในทุกๆ วิธี ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจใน หลักธรรมแล้วน้อมนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การเทศนา การปาฐกถาในโอกาสและสถานท่ี ต่างๆ ทั้งในวัดและนอกวัด การบรรยายธรรมทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ การเผยแผ่ธรรมด้วยสื่อต่างๆ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์หรือวีดิทัศน์ ภารกิจด้านน้ีครอบคลุมถึงการท่ีวัดหรือพระภิกษุจัดกิจกรรม ต่างๆ ขึ้นในวัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแผ่ธรรมหรือต้องการให้ประชาชนเข้าวัดปฏิบัติธรรม หรือมุ่งเน้นสืบสานวัฒนธรรมไทยท่ีได้รับอิทธิพลมาจากหลักพระพุทธศาสนา เช่นการจัดงานเทศน์ มหาชาติ การจัดงานในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา๒๓ การจัดงานในวันที่กำหนดเป็นวันสำคัญของ ไทย (วันข้ึนปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น) การจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน การจัด โครงการบวชเนกขัมมจาริณี (ชีพราหมณ์) การจัดอุปสมบทหมู่หรือจัดให้มีการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระ เกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ การจัดพิธีแสดงตนเป็น พุทธมามกะ การจัดให้มีการแสดงธรรมในวันธรรมสวนะ (วนั พระ) การจดั ส่งพระภิกษไุ ปสอนศีลธรรมแกน่ ักเรียนตามโรงเรยี นต่าง ๆ นอกจากนีย้ ังมีการเผยแผ่ ธรรมที่คณะสงฆ์ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดให้ดำเนินการในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.), การอบรมจริยธรรมนักเรยี น ข้าราชการ และประชาชน, การส่งเสรมิ หน่วยเผยแพร่ศีลธรรมและการส่งเสริมหน่วยสงเคราะห์พุทธมามกะผู้เยาว์ เช่น โครงการ อุทยานการศึกษาในวดั โครงการสวนสมุนไพรในวดั โครงการวดั พฒั นาตวั อยา่ ง เป็นต้น ๔) การสาธารณูปการ หมายถึง การก่อสร้าง การบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานภายในวัด ความสำคญั การสาธารณูปการโดยรวม หมายถงึ การพัฒนาวัดในดา้ นวัตถทุ ุกอย่างไมเ่ ฉพาะแตศ่ าสน สถานเท่าน้ันหากรวมไปถึงการทำวัดให้สะอาด ร่มรื่น สะดวก สบาย การทำถนนทางเดินในวัดและ การตกแต่งวัดให้ดูสวยงามสบายตาแก่ผพู้ บเห็น นอกจากน้ี การสาธารณูปการเป็นงานประจำของเจ้า อาวาสอย่างหนึ่งซ่ึงถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ท้ังน้ี เพ่ือสร้างสิ่งท่ีจำเป็น รักษาส่ิงท่ีมีอยู่แล้วไว้และ ซ่อมแซมส่ิงท่ีชำรดุ ทรุดโทรมให้คงสภาพไว้เพื่อประโยชน์แก่ชุมชนและพระสงฆ์ภายในวัด ในการนี้ให้ รวมถึงการดแู ลรักษาศาสนสมบัติของพระพุทธศาสนาที่เป็นสมบัติส่วนรวมของสงฆ์มิใช่สมบัติส่วนตัว ๒๓ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมมฺ จิตโฺ ต), การเผยแผ่เชิงรุก, พิมพค์ รั้งท่ี ๑, (กรงุ เทพมหานคร: โรง พิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๘), หน้า ๘-๙.

๘๓ ของผู้ใดผู้หนึ่ง โดยเฉพาะมีพระพุทธานุญาตให้สงฆ์ช่วยกันดูแลรักษา เช่น ให้ต้ังพระภิกษุทำหน้าที่ ดูแลรักษาวัสดุสิ่งของของสงฆ์ ซึ่งเรียกว่า “ภัณฑาคาริก”โดยเฉพาะศาสนสมบัติ แบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ ๑) ศาสนสมบัติวัด คือ ทรัพย์สินของวัดใดวัดหน่ึง เป็นหน้าท่ีของสงฆ์ในวัดนั้น ซึ่งมีเจ้า อาวาส เป็นตน้ ช่วยกนั ดูแล รกั ษา ให้เป็นไปตามพระธรรมวินยั ๒) ศาสนสมบัติกลาง คือ ทรัพย์สินอันมิใช่เป็นศาสนสมบัติวัด แต่เป็นของสงฆ์ส่วนกลาง เช่น ท่ีดิน และผลประโยชน์วัดร้าง ทรัพย์สินท่ีมีผู้ยกให้สงฆ์ส่วนกลาง ศาสนสมบัติกลาง เป็นหน้าที ของผู้ปกครองสงฆ์ระดับสูงดูแลรักษา ท้ังนี้ การจัดการศาสนสมบัติภายในวัด จะต้องยึดหลักให้ ถูกต้องตามกฎหมาย พระธรรมวินัย มติมหาเถรสมาคมและจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ประชาชนโดยทั่วไปหากไมจ่ ำเป็น สมั ภาษณ์ พระสุข โสภณปญฺโญ กล่าววา่ “หลักการดำเนินการสาธารณูปการ เป็นภารกิจ ท่ีวัดหรือพระภิกษุดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาวัด ด้านอาคารสถานท่ีและสิ่งแวดล้อม การ บูรณปฏิสังขรณ์ในเขตพุทธาวาส และเขตสังฆาวาส หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ ภารกิจด้านการก่อสร้าง การซ่อมแซม การจัดให้มีการบำรุงดูแลรักษาถาวรวัตถุหรือสาธารณสมบัติของวัด เช่น การสร้าง อโุ บสถ วิหาร อาคารเรียน ศาลาการเปรียญ หอธรรม กุฏิ เมรุ การจัดการศาสนสมบัติใหเ้ ป็นไปด้วยดี การจดั ทำบญั ชเี สนาสนะและศาสนสมบัตขิ องวัด”๒๔ เป็นตน้ ๕) การศึกษาสงเคราะห์ หมายถึง การให้การสงเคราะห์ด้านการฝึกฝน อบรมแก่ ประชาชน ความสำคัญ การศึกษาสงเคราะห์เป็นการจัดการศึกษาที่วัด คณะสงฆ์ดำเนินการข้ึน เพื่อ สนองตอ่ นโยบายของภาครฐั ในอันทีจ่ ะสง่ เสริมให้ประชาชน เยาวชน ได้รับการศกึ ษา หลักการศึกษาสงเคราะห์ เป็นภารกิจด้านการดำเนินการจัดการศึกษาท่ีเน้นการปลูกฝัง คุณธรรมจริยธรรมแก่เด็กและเยาวชนให้มีความรู้ความเข้าใจหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพ่ือ สามารถดำรงตนและดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขและเป็นพลเมืองที่มีความรูค้ ู่คุณธรรมของ ประเทศ โดยมีความมุ่งหมาย ๔ ลักษณะ คอื (๑) การจัดการศึกษาเป็นโรงเรียนตามแผนการศึกษาแห่งชาติ โดยมุ่งให้ พระภิกษุ สามเณร นักเรียนได้ศึกษาเพื่อชีวิตและสังคม ได้แก่ โรงเรียนราษฎร์การกุศลของวัด ศูนย์การเรียนรู้ ศีลธรรมในวัด (ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์เดิม หรือวันหยุดอ่ืน ๆ) ศูนย์อบรมเด็กก่อน เกณฑใ์ นวัด วทิ ยาลยั และมหาวิทยาลยั สงฆ์ ๒๔ สัมภาษณ์ พระสุข โสภณปญฺโญ, หัวหน้าท่ีพักสงฆ์หงษ์มุนีสามัคคีธรรม, ตำบลทุ่งมน อำเภอ ปราสาท จังหวดั สุรินทร,์ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕.

๘๔ (๒) การสงเคราะห์ให้เด็กและประชาชนได้รับการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐหรือ เอกชน ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ เช่น การเป็นผู้นำในการต้ังโรงเรียนในชนบทท่ีต้ังวัด การให้สร้าง สถานศึกษาในบริเวณวัด การให้ใช้หรือให้เช่าที่ดินวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ในการสร้างสถานศึกษาของรัฐ หรือท้องถนิ่ การเป็นผ้อู ปุ การะโรงเรียนตา่ ง ๆ การใหค้ วามอุปถมั ภ์แก่เดก็ วัด (๓) การสอนศีลธรรมแก่นักเรียน นักศึกษาในระบบโรงเรียนตามแผนการศึกษาชาติ เช่น การสอนธรรมศึกษา การสอนศีลธรรม หน่วยงานพระธรรมทูต และหน่วยอบรประชาชนประจำ ตำบล ในการเผยแผ่ศลี ธรรมในโรงเรยี นและสถานศกึ ษาต่าง ๆ (๔) การสงเคราะห์เกื้อกูลแก่การศึกษา สถาบันการศึกษา หรือบุคลากรทาง การศึกษา เช่น มอบทุนการศึกษา มอบอุปกรณ์การศึกษา ฯลฯ ภารกิจด้านนี้ ครอบคลุมถึงการท่ี พระภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสไดบ้ ริจาคทุนทรัพย์ส่วนตัวเพ่ือการศึกษาแก่เด็กในระบบโรงเรียนของรัฐหรือ ของเอกชน สร้างหรือซ่อมแซมอาคารสถานศึกษา หรือการดำเนินการใด ๆ ของพระภิกษุท่ีมี ความสามารถโดยไมข่ ดั ตอ่ พระธรรมวินัยที่เป็นไปเพ่อื การสง่ เสรมิ การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ใน วัยเรยี น จดั วา่ เปน็ ภารกจิ ด้านการศึกษาสงเคราะหท์ งั้ สิน้ ๖) การสาธารณสงเคราะห์ หมายถึง การช่วยเหลือเพ่ือประชาชนทั่วไป ความสำคัญ การ สาธารณสงเคราะห์นอกจากเป็นการให้ความช่วยเหลือประชาชน ผู้ยากไร้และประสบภัยแล้ว ยัง หมายรวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางราชการ เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การฝึกอาชีพแก่ ประชาชน การใหใ้ ชส้ ถานทีว่ ดั สำหรบั ดำเนนิ กจิ กรรมเพอ่ื ประโยชน์ส่วนรวม หลักการสาธารณสงเคราะห์ เป็นภารกิจที่วดั หรือพระภกิ ษสุ งฆ์ดำเนนิ การช่วยเหลือสังคม ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย ท้ังน้ี โดยมุ่งเน้นเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ประชาชน เป็นสำคัญ ได้แก่ การสงเคราะห์พระภิกษุสามเณร และวัดที่ประสบภัยและขาดแคลนการให้วัดเป็น สถานท่ีประกอบการกุศลเกี่ยวกับเร่ืองเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่น การสวดศพ การเผาศพการทำบุญอุทิศ การถวายสังฆทาน เป็นต้น การให้วัดเป็นสถานที่จัดฝึกอบรมประชาชนด้านอาชีพต่าง ๆ การ สงเคราะห์ผปู้ ่วยโรคร้ายหรือผู้ป่วยยากไร้๒๕ การจัดใหม้ ีโรงทาน การบรจิ าคทรพั ยส์ ่วนตัวหรือชักชวน ญาติโยมบริจาคทรัพย์จดั สร้างโรงพยาบาล การให้ความรู้ข่าวสารแก่ชมุ ชนด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การสาธารณสขุ มูลฐาน การปกครอง การชว่ ยเหลือผ้ปู ระสบภัยหรือการบำเพ็ญสาธารณประโยชนต์ ่าง ๆ เปน็ ต้น ภารกิจท้ัง ๖ ด้าน หลวงปู่ริมได้ปฏิบัติมาเป็นเวลานาน ทำโดยเจตนาอันบริสุทธิ์ เพ่ือ สงเคราะห์คนในชุมชน และต่างจากชุมชน เพ่ือจะให้มีการพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจ อยู่ ๒๕ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, คู่มือพระสังฆาธิการ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม, (กรงุ เทพมหานคร: สำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติ, ๒๕๕๔), หน้า ๔-๘.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook