Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอนม.3แบบรวมเทอม1

แผนการสอนม.3แบบรวมเทอม1

Published by monthakarn5311313505, 2021-04-12 11:32:04

Description: แผนการสอนม.3แบบรวมเทอม1 - สำหรับการ11111

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาภาษาไทย 6 (ท2310๑) ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาที่ 3 จัดทำโดย นำงสำวมณฑกำญจน์ ศิรมิ งคล โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ สำนักงำนเขตพ้ืนทกี่ ำรศึกษำมัธยมศึกษำ เขต ๑ กระทรวงศึกษำธกิ ำร

แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี ๑ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๒ พัฒนาทักษะสอ่ื สาร เรอื่ ง การเขียนชวี ประวตั ิและอัตชีวประวตั ิ รายวชิ าภาษาไทย รหัสวชิ า ท ๒๓๑๐๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลาเรยี น ๓ ชั่วโมง/สัปดาห์ จานวน ๑.๕ หนว่ ยกติ ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ ผสู้ อน นางสาวมณฑกาญจน์ ศริ มิ งคล กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี น เขยี นส่อื สาร เขยี นเรยี งความ ยอ่ ความและเร่อื งราวในรูปแบบ ต่าง ๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ๒. ตัวชว้ี ดั ท ๒.๑ ม.๓/๑ คดั ลายมือตวั บรรจงครง่ึ บรรทดั ท ๒.๑ ม.๓/๒ เขียนข้อความโดยใช้ถ้อยคาไดถ้ ูกต้องตามระดับภาษา ท ๒.๑ ม.๓/๓ เขยี นชวี ประวตั ิหรืออตั ชีวประวตั โิ ดยเล่าเหตกุ ารณ์ ข้อคิดเห็น และทัศนคตใิ นเรื่องตา่ ง ๆ ท ๒.๑ ม.๓/๑๐ มีมารยาทในการเขียน ๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๓.๑ สามารถอธิบายหลกั การเขยี นชวี ประวตั แิ ละอัตชวี ประวตั ไิ ด้ ๓.๒ เขยี นชีวประวตั แิ ละอตั ชีวประวตั ไิ ด้ ๔. สาระสาคัญ ชวี ประวัติ เปน็ งานเขยี นชนิดหนึ่งท่ีเป็นการกล่าวถึงบุคคลในชว่ งชวี ิตหน่ึง ๆ รวมถงึ เหตกุ ารณ์สาคัญท่ี เกิดข้ึนในชีวิตด้วย ส่วนอัตชีวประวัติเป็นงานเขียนประวัติชวี ิตที่เจ้าของเขียนหรือเล่าด้วยตนเอง หรือเป็นการ บอกเลา่ ชีวประวัตขิ องตนเอง ๕. สาระการเรียนรู้ ๕.๑ ความหมายของชวี ประวัติและอัตชวี ประวัติ ๕.๒ ลกั ษณะและหลกั การของงานเขยี นชวี ประวัติและอัตชีวประวัติ

๕.๓ ตัวอยา่ งของงานเขยี นชวี ประวตั ิและอตั ชวี ประวัติ ๖. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ๖.๑ ความสามารถในการสื่อสาร ๖.๒ ความสามารถในการคดิ ๖.๓ ความสามารถในการแก้ปัญหา ๖.๔ ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ ๖.๕ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๗. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ๗.๑ มีวินัย ๗.๒ ใฝ่เรียนรู้ ๗.๓ มงุ่ มนั่ ในการทางาน ๗.๔ รกั ความเปน็ ไทย ๘. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ช่วั โมงที่ ๑ ขัน้ นา ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สนทนา โดยครูใชค้ าถามท้าทาย ดังน้ี  นักเรยี นเคยได้ยินคาว่าชวี ประวตั ิและอัตชวี ประวตั ิบ้างหรอื ไม่ ขน้ั สอน ๑. ครแู จกใบความรูใ้ หน้ ักเรียน แลว้ ใหน้ ักเรยี นศกึ ษาความรู้เร่อื ง การเขยี น ชี ว ป ร ะ วั ติ และอตั ชีวประวตั ิ จากน้นั จึงสนทนากันเพอ่ื สร้างความเขา้ ใจร่วมกนั ๒. ใหน้ กั เรียนยกตวั อยา่ งบคุ คลสาคญั ท่นี กั เรยี นช่ืนชมและนามาเป็นแบบอย่างใน การ ดาเนินชีวติ คนละ ๑ ทา่ น พร้อมระบเุ หตผุ ลประกอบว่าเพราะอะไร เหตใุ ดจึงคดิ เช่นน้ัน ๓. จากนั้นครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มตามความเหมาะสม โดยครูแจกชีวประวัติบุคคล สาคัญให้กลุ่มละ ๑ ตัวอย่าง แล้วให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์เน้ือหาที่บรรยายการใช้ภาษา ข้อมลู ทนี่ าเสนอ การลาดบั ความ การสอดแทรกทัศนะของผู้เขียนวา่ เป็นอยา่ งไร จากน้ัน แลกเปลี่ยน ความรู้กัน

ข้ันสรุป ๑. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรปุ เนือ้ หาที่เรียน ดังน้ี  ความหมายและลักษณะของงานเขยี นชีวประวัติ  ตวั อยา่ งของงานเขยี นชีวประวัติ ชั่วโมงท่ี ๒ ขั้นนา ครูทบทวนความรูท้ ่ีสอนเม่ือช่วั โมงทีแ่ ล้วให้กับนักเรยี น ได้แก่  ความหมายของการเขยี นชีวประวัติและอัตชวี ประวตั ิ  ลักษณะของงานเขียนชีวประวตั แิ ละอัตชวี ประวัติ  ตัวอย่างบุคคลสาคัญท่นี กั เรียนชนื่ ชมและนามาเป็นแบบอย่างในการดาเนินชีวิต ขั้นสอน ๑. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สนทนาวา่ ถ้านักเรยี นตอ้ งการใหผ้ ู้อนื่ รจู้ ักชีวิตของตนเอง นกั เรยี น จะทาอย่างไร ๒. ครใู หน้ ักเรียนศึกษาความร้เู ร่ือง การเขียนอตั ชวี ประวัติ แลว้ ร่วมกันสนทนาเพ่ือสรา้ งความ เข้าใจร่วมกัน จากน้ันครูให้นักเรียนเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่างลักษณะของ งานเขียนชีวประวตั แิ ละอตั ชีวประวัติ แลว้ สรุปเปน็ แผนภาพความคิด ๓. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม แล้วให้หาตัวอย่างงานเขียนประเภทอัตชีวประวัติ กลุ่มละ ๑ ตัวอยา่ ง แลว้ ให้นักเรยี นรว่ มกันวิเคราะหเ์ นือ้ หาที่นาเสนอ จากน้นั แลกเปลี่ยนความร้กู นั ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกนั สรปุ หลกั การ ดงั น้ี  ความหมายและลกั ษณะของงานเขียนอัตชีวประวตั ิ  ตวั อยา่ งของงานเขยี นอัตชีวประวัติ ช่วั โมงที่ ๓ ขั้นนา ครูทบทวนความรูท้ ี่สอนเมอื่ ชั่วโมงท่ีแล้วใหก้ บั นักเรียน ได้แก่  ความหมายและลกั ษณะของงานเขียนอตั ชีวประวตั ิ  ตวั อยา่ งของงานเขียนอตั ชีวประวตั ิ ขั้นสอน ๑. ครใู หน้ ักเรียนคิดประเมนิ คณุ ค่า โดยครูใชค้ าถามท่ที า้ ทาย ดังน้ี

 งานเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติมีคุณค่าอย่างไรในการดาเนินชีวิตเช่น ได้ ศึกษาเร่ืองราวการใช้ชีวิตของผู้อ่ืน สามารถนาแนวทางต่าง ๆ เหล่าน้ันมาปรับใช้ในการ ดาเนินชวี ติ และเปน็ การสรา้ งแรงบนั ดาลใจใหก้ บั ตนเอง ๒. จากน้ันครูให้นักเรียนกาหนดโครงเร่ืองในการเขียนอัตชีวประวัติ โดยทาเป็นแผนภาพ ความคิด ๓. ครูให้นักเรียนเขียนอัตชีวประวัติตามโครงเรื่องที่กาหนด ความยาว ๑-๒ หน้า และ ตรวจสอบสอบผลงานให้ถกู ตอ้ งสมบูรณ์ ขน้ั สรปุ ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสรปุ หลกั การ ดงั น้ี  การเขียนอัตชวี ประวัติเป็นการนาเสนอเรอื่ งราวของตนเองท้ังในอดีต ปัจจุบนั และแนวโนม้ ในอนาคต อาจเขยี นอุดมคติของตนเองประกอบด้วยก็ได้  ครูใหน้ ักเรียนออกมานาเสนออัตชวี ประวัติหน้าช้นั เรียนทลี ะคน โดยออกแบบการนาเสนอ ใหน้ ่าสนใจ จากนน้ั ครแู ละนักเรยี นร่วมกันประเมนิ ผลงาน ๙. สอ่ื การเรยี นรู้ ๑. ใบงาน เรื่อง การเขยี นชีวประวตั แิ ละอตั ชวี ประวัติ ๒. ใบความรู้ เรอื่ ง การเขยี นชวี ประวตั แิ ละอัตชวี ประวัติ ๑๐. ภาระงาน/ชน้ิ งาน ๑. ครูแจกชีวประวัติบุคคลสาคัญให้กลุ่มละ ๑ ตัวอย่าง แล้วให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ ๒. ครแู จกอตั ชวี ประวัตบิ คุ คลสาคัญใหก้ ลมุ่ ละ ๑ ตวั อย่าง แล้วใหน้ ักเรยี นร่วมกนั วิเคราะห์ ๓ . ครูให้นักเรียนเขียนอัตชวี ประวตั ติ ามโครงเร่อื งทีก่ าหนด ความยาว ๑-๒ หน้า ๔ . ค รู ใ ห้ นกั เรยี นออกมานาเสนออตั ชวี ประวัตหิ นา้ ชัน้ เรียนทีละคน โดยนาเสนอใหน้ า่ สนใจ

๑๑. การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เครอ่ื งมอื เกณฑ์การวดั ๑. ตรวจงานกลมุ่ ชวี ประวตั ิ บคุ คลสาคญั ใบงาน เรื่อง ตวั อย่าง นกั เรยี นต้องไดค้ ะแนนไม่น้อย ๒. ตรวจงานกลมุ่ อัตชวี ประวตั ิ บุคคลสาคัญ ชวี ประวัตบิ คุ คลสาคญั กว่า ๘ คะแนน ๓. ตรวจงานเขยี น อัตชวี ประวตั ิ ใบงาน เร่อื ง ตวั อย่าง นกั เรียนต้องได้คะแนนไม่น้อย ๔. สังเกตความสนใจและ การร่วมกจิ กรรมกลุ่มของ อตั ชีวประวัตบิ ุคคลสาคญั กวา่ ๘ คะแนน นักเรยี น งานเขยี นอัตชีวประวัติของ นักเรียนตอ้ งไดค้ ะแนนอยา่ ง นักเรยี น น้อย ๘ คะแนน แบบประเมนิ การสงั เกตความ นกั เรยี นมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรม สนใจและการร่วมกิจกรรมกลุ่ม ไมน่ ้อยกวา่ ๑๐ คะแนน ของนักเรยี น ๕. สงั เกตพฤตกิ รรมการทางาน แบบสงั เกตพฤติกรรม นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ไม่น้อยกวา่ ๘ คะแนน รายบุคคล การทางานรายบุคคล

การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) การประเมนิ ชน้ิ งานนใี้ หผ้ ู้สอนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics) เร่อื ง การวเิ คราะหก์ ารเขยี นชีวประวตั ิของบคุ คลต่าง ๆ ระดบั คะแนน ๔๓๒๑ เกณฑ์การ ประเมนิ ๑. การวิเคราะห์ วิเคราะหเ์ นื้อหาได้ วิเคราะห์เนอ้ื หาได้ วเิ คราะหเ์ น้ือหาได้ เนือ้ หากบั หวั ข้อไม่ เนอ้ื หา สมั พันธก์ บั ชีวประวตั ิ สมั พันธ์กับชีวประวตั ิ สมั พันธก์ บั ชีวประวัติ คอ่ ยสมั พันธก์ ัน ของบุคคล โดย ของบุคคล โดย ของบุคคล แตเ่ น้ือหา วเิ คราะหเ์ น้ือหา วิเคราะห์เนอ้ื หาไดด้ ี สบั สนเล็กนอ้ ย ในเชิงสรา้ งสรรค์ และเป็นประโยชน์ และเป็นประโยชน์ ๒. การใชภ้ าษา ใช้ภาษาที่สัมพันธ์กับ ใ ช้ ภ า ษ า ใ น ก า ร ใ ช้ ภ า ษ า ใ น ก า ร ตอ้ งปรับปรุง เน้ือหาเป็นอยา่ งดี สื่อ วิเคราะห์ได้บกพร่อง วเิ คราะห์ไม่ดี เรอื่ งการใชภ้ าษา ใหเ้ ห็นถงึ ภาพ เล็กนอ้ ย เทา่ ทคี่ วร เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ ดมี าก = ๔ คะแนน ดี = ๓ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ พอใช้ = ๒ คะแนน ปรบั ปรุง = ๑ คะแนน ๑๔ – ๑๖ ดีมาก ๑๑ – ๑๓ ดี ๘ – ๑๐ พอใช้ ตา่ กว่า ๘ ปรบั ปรงุ

การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) การประเมินช้ินงานน้ใี ห้ผสู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics) เรอ่ื ง การเขยี นอตั ชวี ประวัติของตนเอง ระดบั คะแนน ๔๓๒ ๑ เกณฑ์การ นาเสนอข้อมูล เกี่ยวกบั ตนเอง ประเมนิ ไม่มากนัก ไมค่ รอบคลมุ ด้าน การเขียน นาเสนอข้อมลู นาเสนอข้อมูล นาเสนอข้อมูล ตา่ งๆ การเรยี งลาดบั วกวน มีการเล่า อัตชีวประวัติ เกย่ี วกบั ตนเอง เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกบั ตนเอง เหตุการณ์สอดแทรก แต่ไมน่ า่ สนใจ ได้นา่ สนใจ อยา่ งละเอียด พอสมควรเรียง การใชภ้ าษาวกวน เรยี งลาดบั ขอ้ มูลและ เรียงลาดับข้อมลู และ ลาดบั ข้อมูลและ เหตุการณ์ชดั เจน เหตุการณ์ชัดเจน เหตกุ ารณช์ ดั เจน สอดแทรกเหตุการณ์ สอดแทรก เหตกุ ารณ์ มีการเล่าเหตุการณ์ หรือทรรศนะที่ ทีต่ นเองประทบั ใจ สอดแทรกแตไ่ ม่ น่าสนใจและเปน็ ใช้ภาษาตามแบบ นา่ สนใจ ใช้ภาษา ประโยชน์ เลอื กใช้ แผนอย่างเคร่งครดั งา่ ยๆ เรียบเรยี ง ถอ้ ยคาเหมาะสมกบั ทาให้ความสนกุ ใน ข้อความใหเ้ ขา้ ใจได้ เนือ้ เร่ือง ทาให้อา่ น การอา่ นลดลง สนุก เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ดมี าก = ๔ คะแนน ดี = ๓ คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ พอใช้ = ๒ คะแนน ปรับปรงุ = ๑ คะแนน ๑๔ – ๑๖ ดมี าก ๑๑ – ๑๓ ดี ๘ – ๑๐ พอใช้ ต่ากวา่ ๘ ปรบั ปรุง

ใบความรู้ การเขยี นชวี ประวตั แิ ละอัตชีวประวตั ิ ชวี ประวตั ิ คือ งานเขียนชนิดหนง่ึ ทเ่ี ป็นการกล่าวถึงเร่ืองราวของ บุคคลในชว่ งชีวิต ชวี ประวัติของบุคคลหนง่ึ ๆ ไม่เพียงแตก่ ล่าวถงึ วันเกิด อาชพี การศึกษา แต่จะมกี ารกล่าวถึงเร่ืองราวของแต่ละช่วงชีวิต และ เหตุการณส์ าคัญทีเ่ กิดขึน้ ในชีวิตดว้ ย ลักษณะของงานเขยี นชวี ประวตั ิ ๑. เป็นงานเขียนประเภทหนึง่ ท่เี ปน็ การนาเสนอขอ้ มูลและเรื่องราวเกีย่ วกับบุคคล ๒. เนือ้ หาของชีวประวัติมักประกอบดว้ ย การศกึ ษา การทางาน ความสัมพนั ธ์ หรอื การเสยี ชวี ติ อกี ท้ังเร่อื งราวต่าง ๆ ท่ีสาคัญในชวี ิตของบุคคลหนึ่ง ๓. ชีวประวัติเป็นการนาเสนอเร่ืองราว ประสบการณ์ มุมมองของบุคคล รวมท้ังเกร็ดต่าง ๆ ในชวี ิต รวมถงึ การวเิ คราะห์บคุ ลกิ ลักษณะของบุคคลนนั้ ๆ หลกั การเขียนชีวประวตั ิ ๑. ใชภ้ าษาระดบั ทางการหรอื กงึ่ ทางการ ๒. ศึกษาข้อมลู หรอื คน้ ควา้ เอกสารทเ่ี กย่ี วกับประวัตขิ องผทู้ เี่ ราจะเขียนชวี ประวัติ ๓. เนื้อหาควรเป็นการนาเสนอเรื่องราวชีวิตของบุคคลนั้นในแง่ที่น่าสนใจ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และ แนวโนม้ ในอนาคตของเขา โดยอาจเพิ่มทศั นะความเหน็ ไปด้วย ๔. เลอื กใชภ้ าษาในการนาเสนอท่ีนา่ สนใจ เรียบเรยี งใหเ้ ป็นลาดับอยา่ งละเอยี ดชัดเจน อัตชวี ประวัติ มาจากคาว่า อัต ชวี และ ประวัติ หมายถงึ ประวัติ ชีวติ ทเี่ จา้ ของเขยี นหรือเล่าด้วยตนเอง หรอื การบอกเล่าชีวประวตั ขิ องตนเอง ลักษณะของงานเขียนอัตชวี ประวัติ ๑. เป็นงานเขียนประเภทหนึง่ ทเ่ี ป็นการนาเสนอขอ้ มูลและเรื่องราวเกี่ยวกับตวั ของผเู้ ขยี นเอง

๒. เนื้อหาของอัตชีวประวัติมักประกอบด้วย การศึกษา ความสัมพันธ์ การเสียชีวิต อีกทั้งเร่ืองราวต่าง ๆ ที่สาคัญในชวี ิตของตัวผเู้ ขยี น ๓. อัตชีวประวัติเป็นการนาเสนอเรื่องราว ประสบการณ์ และอาจเล่าถึงชีวิตท่ีไม่มีใครเคยรู้มาก่อน โดยมากการเขียนอัตชีวประวัติจะเขียนจากความทรงจาของตัวผู้เขียนเอง ซ่ึงมีลักษณะใกล้เคียงกับ บนั ทกึ ความทรงจาของผู้เขยี น หลกั การเขียนอตั ชวี ประวตั ิ ๑. ใช้ภาษาระดับทางการหรือกง่ึ ทางการ ๒. ควรเขียนใหค้ รอบคลมุ ทง้ั ในอดตี ปัจจบุ ัน และอนาคตวา่ คดิ อยา่ งไร จะทาอย่างไร ๓. อาจเขียนเลา่ เหตุการณ์ หรือคติประจาใจ อุดมคตขิ องตนประกอบ ๔. เขียนบรรยายความสามารถพิเศษของตน หรือเหตุการณ์ที่ตนประทบั ใจ ๕. เขียนกับครอบครัวของตน การศกึ ษา การทางาน ตัวอยา่ ง ข้าพเจ้านางสาวกัณตา พุทธสาร เกิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2537 ปัจจุบันอายุ 19 ปี เกดิ ทโ่ี รงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร มนี ้องชาย 1 คน น้องชาย อายอุ ่อนกว่าข้าพเจ้า 2 ปี เริ่มเขา้ ศึกษา ท่ีโรงเรียนระดับอนุบาลทโี่ รงเรยี นวัดสามัคคีธรรม การเรียนในช้ันอนบุ าลนัน้ เท่าท่จี าความได้ เปน็ การฝึกเขียน ตวั อกั ษร ภาษาไทย และภาษาองั กฤษ เรยี นประมาณครง่ึ วนั นอนอีกคร่งึ วัน ตอนกลับบ้านก็จะนั่งรอมารดาขับ รถมารบั เพราะตอนนน้ั ขึน้ รถมอเตอร์ไซค์รับจา้ งกลับบ้านไม่เป็น ความสาเร็จและความล้มเหลว ที่น่ากล่าวถึงในช่วงที่เรียนระดับประถมศึกษาน้ัน คือช่วงประถม 2 และ ประถม 4 ที่สอบได้คะแนนเป็นอันดับต้นๆของห้อง (แต่ละห้องมีประมาณ 30-40 คน) ตอนน้ันก็ไม่รู้ เหมือนกันว่าสอบไปให้ได้อันดับต้นๆแล้วมันจะได้อะไรข้ึนมา รู้แต่ว่ามารดา และอาจารย์ชื่นชม เราก็ทาไป ตามนั้น พอถึงช่วงประถมศึกษาปีที่ 5 ก็มีเร่ืองให้เรียนรู้หลายอย่าง เช่น ได้อ่านการ์ตูนซีรีส์ เร่ือง โดราเอมอน ฉบับลิขสิทธ์ิ เป็นพอกเกตบุค เล่มละ 25 บาท ซ่ึงเป็นการ์ตูนท่ีข้าพเจ้าช่ืนชอบจนถึงบัดน้ี สะสม ของเลน่ จากร้านแมคโดนัล (ชดุ ของสะสมแฮปปี้มลิ สาหรับเด็ก)เล่นกบั เพื่อนๆ ชว่ งนั้นกย็ ังมโี อกาสได้เล่น วดี ีโอ เกมเป็นคร้ังแรก ถ้าจาไม่ผิดจะเป็นเครื่อง family ของ Nintendo แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย และยังเป็น คร้ังแรกท่ีดิฉันกลับบ้านได้ด้วยตัวเองโดยการข้ึนรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างอีกด้วย ผลการศึกษาในช่วงน้ันไม่น่า พอใจเทา่ กับตอนท่ีศึกษาอยู่ตอนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 และ 4 โดยสอบได้อยทู่ ่ีอันดับกลางๆของห้อง (อันดับ

19 ) ซ่ึงก็คงเพราะไม่ได้สนใจการเรียนมากเหมือนที่ผ่านมานั่นเอง ข้อคิดของการใช้ชีวิตในช่วงนี้คือ อย่าไป สนใจการเรียนให้มากนัก ให้เราใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและสนุกสมกับเป็นวัยเด็กมากที่สุด เพราะโอกาสอย่างนี้จะไม่ หวนกลบั มาอีกแลว้ พอถึงระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าเรมิ่ สนใจการเรยี นมากขึ้น เนื่องจากมีความ จาเปน็ ตอ้ งสอบเข้าชั้นระดับมธั ยมศึกษาต้นในโรงเรยี นอ่ืน เน่ืองจาก โรงเรยี นเดิมมีถงึ เพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ข้าพเจ้า และเพ่ือนๆ จึงไปหาท่ีเรียนต่อท่ีอ่ืน โดยข้าพเจ้า และเพื่อนเก่าอีกบางส่วน ได้สอบเข้าโรงเรียน จนั ทรห์ นุ่ บาเพญ็ และเข้าเรยี นต่อทโี่ รงเรยี นแหง่ นีจ้ นจบระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ผลการเรียนในระดับชั้นมัธยมต้นนั้น ได้รับผลการเรียนที่ค่อนข้างดีในช่วงแรกๆ เน่ืองจากยังไม่ค่อย สนิทกับใครมากนักทาให้มีเวลาใส่ใจกับการเรียนอย่างเตม็ ท่ี แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้าพเจา้ ได้รู้จกั กับเพ่ือนท่ีสนทิ กันมากขึ้น มีการทากิจกรรมต่างๆทนี่ อกเหนือจากการเรยี นมากขนึ้ สง่ ผลให้การเรียนแยล่ ง เมื่อข้ึนเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็มีเหตุจาเป็นท่ีทาให้ต้องใส่ใจในการเรียนมากขึ้น เนื่องจากจะต้องมีการยน่ื คะแนนสอบ Admission นาคะแนนมาเพื่อใช้ในการเลือกคณะเม่ือจบการเรียนในชั้น มัธยมศึกษา โดยข้าพเจ้าเลือกที่จะเรียนในโรงเรยี นกวดวิชาต่างๆ เนื่องจากเพ่ือนคนอื่นๆก็เลือกท่ีจะเรยี นกวด วิชาเช่นกัน ผลจากการต้ังใจเรียนนน้ั ทาให้ผลการเรียนออกมาค่อนข้างดี วิชาที่ข้าพเจ้าชอบในการเรียนช่วงนี้ คือ วชิ าวิทยาศาสตร์ ซึง่ เป็นวชิ าทขี่ า้ พเจ้าใหค้ วามสนใจกบั มันเป็นอย่างมาก ส่วนวิชาท่ีไมค่ อ่ ยไดใ้ ห้ความสนใจ เลย คือ วิชาภาษาไทย ข้าพเจ้าเร่ิมมาสนใจเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านการพูด การท่องเท่ียว โดยมูลเหตุมาจาก การชอบแสดงออก ชอบพดู ในท่ีสาธารณะ ในอนาคต ข้าพเจ้าก็จะต้องเป็นคุณครู และทาหน้าที่คุณครูให้สุดความสามารถ จะได้สมกับที่ได้เล่า เรียนมา สิ่งท่ีข้าพเจ้าภูมิใจเป็นอย่างมาก คือ ความสาเร็จของลูกศิษยร์ ุ่นแล้วรนุ่ เล่า แค่ได้ยินข่าวคราวของเขา ขา้ พเจ้าก็สขุ ใจคะ่

ใบงาน เรอื่ ง นี่..คอื ฉัน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๒ เร่ือง การใชค้ าทีม่ ีความหมายโดยตรง โดยนยั รายวชิ าภาษาไทย รหัสวชิ า ท ๒๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ เวลาเรียน ๓ ช่วั โมง/สปั ดาห์ จานวน ๑.๕ หนว่ ยกติ ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ผู้สอน นางสาวมณฑกาญจน์ ศิรมิ งคล กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรแู้ ละความคดิ เพ่อื นาไปใชต้ ัดสินใจ แก้ปญั หาในการ ดาเนินชวี ิต และมนี สิ ัยรกั การอา่ น ๒. ตวั ชวี้ ดั ท ๑.๑ ม.๓/๑ อา่ นออกเสยี งบทร้อยแกว้ และบทรอ้ ยกรองไดถ้ กู ต้องและเหมาะสมกับ เรื่องท่ีอ่าน ท ๑.๑ ม.๓/๒ ระบคุ วามแตกต่างของคาท่มี ีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั ท ๑.๑ ม.๓/๑๐ มีมารยาทในการอ่าน ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๓.๑ สามารถอธิบายความหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั ได้ ๓.๒ ระบุความแตกต่างของคาที่มคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั ได้ ๓.๓ สามารถยกตัวอย่างคาทม่ี ีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยได้ ๔. สาระสาคญั คา หมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาแล้วมีความหมาย อาจเปล่งครั้งเดียวหรือหลายคร้ังก็ได้ โดยคานั้น เป็นสารท่ีผู้พูดหรือผู้เขียนเจตนาหรือต้ังใจสื่อไปยังผู้ฟังหรือผู้อ่าน คาทุกคาจึงมีความหมายทั้งส้ิน ซ่ึงอาจจะมี ความหมายนัยตรง (โดยตรง) และคาทม่ี คี วามหมายโดยนัย (เชิงเปรยี บเทยี บ หรือ นยั ประหวดั ) ๕. สาระการเรียนรู้ ๕.๑ ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ๓.๒ ความแตกต่างของคาท่ีมคี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย

๓.๓ ตวั อยา่ งคาท่มี คี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ๖. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน ๖.๑ ความสามารถในการสอื่ สาร ๖.๒ ความสามารถในการคิด ๖.๓ ความสามารถในการแกป้ ัญหา ๖.๔ ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต ๖.๕ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๗. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ๗.๑ มีวนิ ัย ๗.๒ ใฝ่เรยี นรู้ ๗.๓ มงุ่ มนั่ ในการทางาน ๗.๔ รกั ความเป็นไทย ๘. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ช่วั โมงที่ ๑ ข้นั นา ครูนาข้อความที่มีคาคาเดียวกันแต่ใช้ต่างบริบทกันมาให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียนอภิปราย ว่ า ค า ท้ั ง ส อ ง ค า ท่ี ป ร า ก ฏ ใ น ค น ล ะ ป ร ะ โ ย ค นั้ น มี ค ว า ม ห ม า ย เ ห มื อ น กั น ห รื อ แ ต ก ต่ า ง กั น อย่างไร เช่น ฉนั ชอบกินเกาเหลา เธอสองคนเกาเหลากัน ขนั้ สอน ๑. ครูและนักเรียนร่วมกันสังเกตคาว่า เกาเหลา บนกระดานแล้วให้นักเรียนสังเกต ความหมายของคาจากประโยคท้ังสองประโยค จากน้ันครูจึงอธบิ ายใหน้ ักเรียนฟงั ว่า ฉนั ชอบกินเหลา คาว่า เกาเหลา เป็นคาท่ีมีความหมายโดยตรง เพราะอ่านแล้วเข้าใจทันที ส่วนประโยค ท่ีว่า เธอสองคนเกาเหลากัน คาว่า เกาเหลาเป็นคาท่ีมีความหมายโดยนัย เพราะอ่านแล้วต้อง ตคี วามหมายในเชงิ เปรียบเทียบ ๒. ครูเร่ิมอธิบายความหมายของคาให้นักเรียนว่า คา หมายถึง เสียงท่ีเปล่งออกมาแล้วมี ความหมาย ซ่ึงคาทุกคาล้วนมีความหมายทั้งส้ิน อาจจะมีความหมายนัยตรง (โดยตรง) และคาที่มี ความหมายโดยนยั (เชิงเปรยี บเทียบ หรือ นัยประหวัด)

๓. ครูสอบถามนักเรียนว่า ใครเคยได้ยินคาว่า คาที่มีความหมายโดยตรงบ้าง จากนั้นให้ นักเรียนลองอธิบายความหมายของความหมายโดยตรง แล้วครูจึงสรุปความหมายโดยตรงให้นักเรยี น ฟัง ขั้นสรปุ ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเร่ืองท่ีเรียนท้ังหมด ได้แก่ การสังเกตคาที่มีความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัย ความหมายของคาในภาษาไทย ความหมายของคาท่ีมีความหมายโดยตรง จากนั้นครูให้นักเรียนไปทบทวนเร่ืองที่เรียนและศึกษาคาท่ีมีความหมายโดยนัย เป็นการบ้าน แล้ว เขียนสรปุ ลงสมดุ บนั ทกึ ตามความเข้าใจของตนเอง ช่ัวโมงท่ี ๒ ขน้ั นา ครูทบทวนความรู้ท่ีสอนเมื่อสัปดาห์ท่ีแล้ว โดยครูชวนนักเรียนสนทนาในประเด็น “คาในภาษาไทย” ครูชี้แจงด้วยการยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนว่า คาที่ปรากฏใช้มีเป็นจานวนมากที่มี ความหมายหลายนัย เชน่ จากสานวนที่วา่ “งา่ ยเหมอื นปอกกล้วยเขา้ ปาก” คาว่า “กล้วย” ในทนี่ ้ีมิได้ หมายถึงผลไม้ แตแ่ ปลว่า งา่ ยหรือสะดวก ขน้ั สอน ๑. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาเก่ียวกับความหมายของคาที่มีความหมายโดยนัย จากน้ัน ครยู กตวั อย่างคาท่ีมีความหมายโดยนัยให้กบั นกั เรียน เชน่ ดาว หมายถงึ ความโดด เดน่ เพชร หมายถึง บุคคลท่ีมคี ณุ ค่า เป็นตน้ ๒. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น ๒ กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มแยกกันค้นหาความรู้ในประเด็นคาที่มี ความหมายโดยตรงและคาที่มีความหมายโดยนัย โดยครูให้นักเรียนจับสลาก ใคร จบั ไดห้ มายเลข ๑ ศกึ ษาคาที่มคี วามหมายโดยตรง จับได้หมายเลข ๒ ศึกษาคาทีม่ ีความหมายโดยนยั ๓. ครูสุ่มเรียกช่ือนักเรียนเพื่ออธิบายความรู้เก่ียวกับความจาเป็นในการศึกษาเรื่อง ความหมายของคา ๔. นักเรียนกลุ่มที่ ๑ ออกมาหน้าช้ันเรียน เพื่ออธิบายความรู้เก่ียวกับคาท่ีมีความหมาย โดยตรง แล้วให้นักเรียนกลุ่มที่ ๒ ออกมาหน้าชั้นเรียน เพื่ออธิบายความรู้เก่ียวกับคาที่มีความหมาย โดยนัย

ขน้ั สรุป ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรุปเร่ืองทเ่ี รยี นทั้งหมด ได้แก่ ความหมายและตวั อย่างเก่ียวกับคาที่มี ความหมายโดยตรง โดยนัย ชว่ั โมงท่ี ๓ ขน้ั นา ครูทบทวนความรู้ที่สอนเม่ือสัปดาห์ท่ีแล้ว ได้แก่ ความหมายและตัวอย่างเก่ียวกับ คาท่ีมี ความหมายโดยตรง โดยนัย ขั้นสอน ๑. ครูให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน ช่วยกันทบทวนองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักการอ่านวิเคราะห์ ความหมายของคา จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคนยกตัวอย่างคาที่มีความหมายโดยตรงและโดยนัย โดย นาคาท่ยี กตวั อยา่ งไปประกอบในประโยค แลว้ ออกมาอา่ นให้ครแู ละเพือ่ นฟงั หนา้ ชน้ั เรยี น ๒. ครูให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดเร่อื ง การใชค้ าที่มีความหมายโดยตรง โดยนัย เพ่ือทบทวนความรู้ทเี่ รยี นไปทง้ั หมด ข้นั สรปุ ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ เนอื้ หาทีเ่ รียนทง้ั หมด โดยครถู ามนกั เรยี นวา่ ใคร มีขอ้ คาถามหรอื ขอ้ สงสัยใหย้ กมือขน้ึ แลว้ ถามครู เพอื่ ครูจะไดอ้ ธบิ ายและแกข้ ้อสงสัยได้ ๙. สอ่ื การเรยี นรู้ ใบความรู้ เรอื่ ง การใช้คาทมี่ คี วามหมายโดยตรง โดยนัย แบบฝึกหัด เรอื่ ง การใช้คาทม่ี ีความหมายโดยตรง โดยนัย ๑๐. ภาระงาน/ชิ้นงาน ๑. ครูให้นักเรยี นไปทบทวนเรื่องทเ่ี รียนในชัว่ โมง ๒. ครูให้นักเรียนศึกษาคาท่ีมีความหมายโดยนยั แล้วเขียนสรุปลงสมดุ บนั ทึกตามความเขา้ ใจ๓. ครูให้

นกั เรยี นทาแบบฝึกหดั เรือ่ ง การใชค้ าทม่ี ีความหมายโดยตรง โดยนัย เพอื่ ทบทวนความรู้ที่เรยี นไป ท้งั หมด ๑๑. การวดั และประเมนิ ผล วิธกี าร เครือ่ งมือ เกณฑ์การวัด นักเรียนทาแบบฝึกหัดได้ ๑. ตรวจแบบฝึกหดั เร่ือง แบบฝกึ หดั เรอื่ ง ถกู ต้องอย่างน้อย ๒๐ คะแนน การใช้คาที่มคี วามหมาย การใชค้ าท่ีมีความหมาย นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ไมน่ ้อยกวา่ ๘ คะแนน โดยตรง โดยนยั โดยตรง โดยนยั นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ๒. สังเกตความสนใจและการ แบบประเมินการสงั เกต ไม่นอ้ ยกว่า ๘ คะแนน รว่ มกจิ กรรมของนักเรยี น ความสนใจและการร่วม กิจกรรมของนักเรียน ๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการทางาน แบบประเมนิ การสงั เกต รายบคุ คล พฤติกรรมการทางาน รายบคุ คล

วิชา ภาษาไทย ๕ เอกสารประกอบการเรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๓ รหสั วิชา ท ๒๓๑๐๑ เรื่อง การใช้คาที่มคี วามหมายโดยตรง โดยนัย คา หมายถงึ เสียงท่ีเปลง่ ออกมาแลว้ มีความหมาย อาจจะเปล่งเพียงครงั้ เดียว เรียกวา่ คาพยางค์ เดียว เช่น ฉัน คุณ เธอ แม่ พี่ ฯลฯ หรือเปล่งออกมาหลายครั้งเรียกว่าคาหลายพยางค์ เช่น แสดง วิชา อัธยาศยั ฯลฯ คาเป็นสารท่ีผู้พูดหรือผู้เขียนเจตนาหรือต้ังใจสื่อไปยังผู้ฟังหรือผู้อ่าน คาทุกคาจึงมีความหมายทั้งสิ้น ซ่ึงอาจจะมีความหมายนัยตรง (โดยตรง) และคาท่ีมีความหมายโดยนัย (เชิงเปรียบเทียบ หรือ นัยประหวดั ) ๑. คาที่มีความหมายนัยตรง ๒. คาที่มีความหมายโดยนัย (เชิง (โดยตรง) หมายถึง คาท่ีมีความหมายอัน เปรียบเทียบ หรือ นัยประหวัด) หมายถึง คา เป็นคุณสมบัติประจาของคา ไม่เกย่ี วข้องกับ ที่มีความหมายไม่ตรงตามความหมายโดยตรง ปัจจัยว่าผู้พูดเป็นใคร และ ผู้ฟังเป็นใคร คา แต่มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ส่งสารมี ประเภทนี้บางคนเรยี กวา่ คาที่มีความหมาย เจตนาส่งไปยังผู้รับเพ่ือ ตีค วาม ห ม า ย ประจารปู หรอื คาท่มี คี วามหมายตรงตัว เปรยี บเทียบเอง ตัวอย่าง โดยตรง ส่ิงท่เี หน็ เปน็ ดวงบนท้องฟา้ เวลามดื ๑. ดาว โดยนยั บุคคลทเ่ี ด่นในทางใดทางหน่ึง โดยตรง สง่ ซองจดหมายทีม่ สี ีขาวให้คนรับไป ๒. ย่นื ซองขาว โดยนัย ไลอ่ อกจากงาน โดยตรง แกว้ ท่แี ข็งที่สดุ และมีนา้ แวววาว ๓. เพชร โดยนัย บคุ คลทมี่ ีคณุ ค่า

แบบฝกึ หัด เร่อื ง การใช้คาที่มีความหมายโดยตรง โดยนยั ๑. คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นบอกความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยของคาท่ีกาหนดให้ถูกต้อง ๑. แกะดา โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนัย ………………………………………………………………… ๒. สุนขั จ้งิ จอก โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนยั ………………………………………………………………… ๓. ไฟเขยี ว โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนยั ………………………………………………………………… ๔. ดวงใจ โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนยั ………………………………………………………………… ๕. หิน โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนัย ………………………………………………………………… ๖. นกพิราบ โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนยั ………………………………………………………………… ๗. เรอื จา้ ง โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนยั ………………………………………………………………… ๘. หมอ้ โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนยั ………………………………………………………………… ๙. ถงั แตก โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนัย ………………………………………………………………… ๑๐. ฉีกหนา้ โดยตรง ………………………………………………………………… โดยนัย ………………………………………………………………… ๒. คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนจบั คคู่ าที่มคี วามหมายโดยนัยที่กาหนดใหถ้ กู ต้อง

.................. ๑. ดาว ก. แอบทาร้ายขณะไม่ทันระวงั .................. ๒. ตนี แมว ข. ยากมาก เหย้ี มมาก แขง็ มาก .................. ๓. เก้าอ้ี ค. ความเดน่ ความสวยงาม .................. ๔. หิน ง. มีลักษณะปราดเปรียว ทนั สมยั อสิ ระ มน่ั ใจชอบ .................. ๕. บ้านเล็ก จ. คนเร่รอ่ น ไมม่ ที ่ีพานกั เป็นหลักแหลง่ .................. ๖. เพชร ฉ. ภรรยานอ้ ยของพ่อ .................. ๗. หมู ช. งา่ ย .................. ๘. นกขมน้ิ ซ. ส่งิ ทม่ี คี ่ามาก .................. ๙. มือขวา ฌ. ตาแหนง่ .................. ๑๐. ลอบกดั : ญ. คนโงค่ นเซ่อ หรอื คนตวั ใหญแ่ ต่ไม่ฉลาด .................. ๑๑. เปร้ยี ว ฎ. เชอื่ งช้า หรือ โง่ .................. ๑๒. เสือจาศลี ฏ. คนสงบเสงยี่ มแตม่ ีเล่ห์เหล่ียมมาก .................. ๑๓. หนอนหนังสือ ฐ. เก็บไว้ เพื่อเทิดทนู บชู า .................. ๑๔. นางฟ้า ฑ. โจรและขโมย .................. ๑๕. เต่า ฒ. อาการท่แี สดงกริ ยิ าซุกซนอยไู่ มส่ ุข .................. ๑๖. ลิง ณ. หญิงสวย, หญิงงาม, หญงิ ดี .................. ๑๗. ควาย ด. คนทีช่ อบหมกมุ่นอยู่กบั หนังสอื .................. ๑๘. หงส์ ต. ปล่อยใหต้ กอยู่ท่ีลาบาก .................. ๑๙. ลอยแพ ถ. ลูกนอ้ งคนสาคัญทเ่ี จา้ นายไว้ใจใหท้ างานสาคญั แทน

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๓ หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๓ การพัฒนาทกั ษะการอ่าน เรื่อง การแสดงความคิดเหน็ จากการฟัง ดู พดู รายวิชาภาษาไทย รหัสวชิ า ท ๒๓๑๐๑ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๓ เวลาเรยี น ๒ ชัว่ โมง/สัปดาห์ จานวน ๑.๕ หนว่ ยกิต ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ ผูส้ อน นางสาวมณฑกาญจน์ ศิริมงคล กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนมธั ยมวดั สิงห์ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอยา่ งมวี ิจารณญาณ และพดู ความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ๒. ตวั ช้วี ัด ท ๑.๑ ม.๓/๑ แสดงความคดิ เห็นและประเมินเรือ่ งจากการฟงั และดู ท ๑.๑ ม.๓/๓ พูดรายงานเรื่องหรือประเดน็ ท่ศี กึ ษาคน้ ควา้ จากการฟัง การดู และการสนทนา ท ๑.๑ ม.๓/๖ มีมารยาทในการฟัง การดู และการพดู ๓. จุดประสงคก์ ารเรียนร้สู ตู่ ัวชว้ี ดั ๓.๑ สามารถพูดแสดงความคิดเหน็ และประเมินเรอ่ื งจากการฟงั และดูได้ ๓.๒ วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณ์เรื่องทีฟ่ ังและดเู พอ่ื นาข้อคิดมาประยุกตใ์ ช้ในการดาเนนิ ชีวติ ได้ ๓.๓ มมี ารยาทในการฟงั การดู และการพดู ๔. สาระสาคัญ ในยุคปัจจุบันข่าวสารต่าง ๆ สามารถส่งถึงกันได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว การฟังและ การดูเป็นทักษะในการรับสารและในขณะเดียวกันย่อมจะต้องมีการสื่อสารแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นจาก เรือ่ งทไ่ี ด้ฟังและดู ดงั นั้นจึงควรฝึกทักษะการฟังและการดใู ห้เกิดความชานาญ และควรเป็นผทู้ ม่ี มี ารยาทในการ ฟงั ดู และพดู เพ่ือนาไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจาวนั ๕. สาระการเรยี นรู้

๕.๑ การพดู แสดงความคิดเห็นและประเมินเรือ่ งจากการฟงั และการดู ๕.๒ การวิเคราะห์ วิจารณ์ จากเร่อื งท่ฟี ังและดู ๕.๓ มารยาทในการฟงั การดู และการพดู ๖. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ๖.๑ ความสามารถในการสือ่ สาร ๖.๒ ความสามารถในการคิด ๖.๓ ความสามารถในการแก้ปัญหา ๖.๔ ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต ๖.๕ ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ๗. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๗.๑ มีวินัย ๗.๒ ใฝเ่ รียนรู้ ๗.๓ มงุ่ ม่นั ในการทางาน ๗.๔ รักความเป็นไทย ๘. กจิ กรรมการเรียนรู้ ชว่ั โมงท่ี ๑ ขัน้ นา ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สนทนาเก่ียวกับเรื่องราวตา่ ง ๆ ท่ีนักเรียนได้ฟงั หรือดูแลว้ เกดิ ความ ประทับใจ จากนนั้ ครูต้ังคาถามกบั นกั เรียนวา่ • นกั เรยี นเคยฟงั เรื่องราวประเภทใดบ้างจากส่ือวทิ ยุ โทรทัศน์ หรอื อินเทอรเ์ น็ต ขั้นสอน ๑. ครูและนักเรยี นร่วมกันศึกษาใบความรู้ เรอื่ ง การแสดงความคิดเหน็ จากการฟัง ดู และพูด ในประเด็นความหมายของการฟัง ดู และพูด จากน้ันครูอธิบายความสาคัญและหลักในการเลือกสอื่ ที่ จะฟังและดใู หก้ ับนกั เรยี น ๒. ครใู ห้นักเรียนรว่ มกันอธบิ ายความรเู้ ก่ียวกบั แนวทางในการพดู แสดงความคิดเหน็ โดยครู ตงั้ คาถามกบั นักเรียนเพื่อให้ได้แนวทางทถี่ ูกต้องร่วมกัน ดงั นี้

• หากนกั เรียนตอ้ งการฟังหรอื ดเู รื่องราวจากส่ือต่าง ๆ จะมีแนวทางใดทช่ี ว่ ยให้การ ฟงั มปี ระสิทธิภาพ • เมื่อมคี นกาลงั ถกเถียงกนั ขณะแสดงความคิดเหน็ นักเรยี นคิดวา่ มีสาเหตุมาจาก อะไร ขน้ั สรุป ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรุปเนื้อหาทเี่ รยี นทง้ั หมด โดยครูถามนักเรียนวา่ ใคร มขี อ้ คาถามหรือข้อสงสัยให้ยกมือขึ้นแล้วถามครู เพื่อครจู ะได้อธิบายและแก้ขอ้ สงสยั ได้ ชั่วโมงท่ี ๒ ขั้นนา ครูและนกั เรยี นร่วมกันสนทนา โดยครูใชค้ าถามท้าทาย ดังน้ี • สิง่ สาคญั ในการพดู แสดงความคิดเห็นจากการฟังและการดู คอื อะไร ขั้นสอน ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่างการพูดแสดงความคิดเห็น แล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็น เก่ียวกับตัวอย่างดังกล่าวว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะเหตุใด วิเคราะห์แนวทางในการพูดเพื่อ นาไปเปน็ แนวทางในการพดู แสดงความคิดเหน็ เรือ่ งจากการฟงั และดู ๒. ครูเปดิ มวิ สกิ วดิ โี อ เพลง ยงิ่ ไมร่ ู้ ยงิ่ ต้องทา ใหน้ ักเรยี นดู แลว้ ร่วมกันแสดงความคิดเห็น จากการดู โดยครูสุม่ ถามนักเรียนทลี ะคน ๓. ครูให้นกั เรยี นทาแบบฝกึ หัดเกี่ยวกับการแสดงความคดิ เหน็ จากการฟัง ดู พูด จากสอื่ ตา่ ง ๆ ได้แก่ ขา่ ว ช่อื เพลง ภาพยนตร์ โดยวิเคราะหใ์ นประเด็น ดังนี้ • ใจความสาคญั • • การใชภ้ าษา ขอ้ คิดทไี่ ดร้ ับ ขั้นสรุป ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ หลกั การ ดังน้ี • การพูดแสดงความคิดเห็นจากการฟัง ดู พูด เป็นการพูดเพ่ือให้เกิดความรอบรู้และส่งเสริม การมีความคิดเห็นท่ีกว้างขวาง เป็นประโยชน์ต่อสังคม ผู้พูดต้องมีความรู้และทักษะในการ พูด เพ่อื สร้างความนา่ เช่ือถือให้แก่ผู้ฟัง

๙. ส่ือการเรยี นรู้ ๑. ใบความรู้ เรอื่ ง การแสดงความคดิ เหน็ จากการฟัง ดู พูด ๒. แบบฝึกหดั เร่ือง การแสดงความคดิ เห็นจากการฟงั ดู พดู ๑๐. ภาระงาน/ชิน้ งาน ครูใหน้ กั เรียนทบทวนความรู้ทเี่ รยี นไปท้ังหมด ๑๑. การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑก์ ารวดั ๑. สังเกตความสนใจและการ แบบประเมนิ การสังเกต นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม รว่ มกจิ กรรมกลุ่มของนักเรยี น ความสนใจและการร่วม ไม่นอ้ ยกวา่ ๘ คะแนน กจิ กรรมกลุ่มของนักเรียน ๒. สงั เกตพฤติกรรมการทางาน แบบประเมนิ การสงั เกต นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม รายบคุ คล พฤติกรรมการทางาน ไม่นอ้ ยกวา่ ๘ คะแนน รายบคุ คล ๓. ตรวจแบบฝึกหัด เร่ือง แบบฝึกหดั เรอื่ ง นักเรียนตอบคาถามได้ทุกต้อง การแสดงความคิดเห็นจากการ การแสดงความคดิ เห็นจากการ ตามเกณฑ์ ฟงั ดู พดู ฟงั ดู พดู เกณฑ์การใหค้ ะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ๔ คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ๓ คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ๒ คะแนน ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ๑ คะแนน

การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) การประเมนิ ชนิ้ งานนี้ให้ผสู้ อนพิจารณาจากเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics) เร่อื ง การแสดงความคดิ เห็นจากการฟงั ดู พดู ระดบั คะแนน ๔๓๒๑ เกณฑ์การ ประเมนิ การแสดงความ สามารถแสดงความ สามารถแสดงความ สามารถแสดงความ ไมส่ ามารถแสดง คิดเห็นจากการ คิดเห็นจากการฟัง คิดเห็นจากการฟัง คิดเห็นจากการฟัง ความคิดเหน็ จากการ ฟัง ดู พูด การดู และการพูดได้ การดู และการพูดได้ การดู และการพูดได้ ฟัง การดู และการ อย่างมีวิจารณญาณ อย่างมวี ิจารณญาณ อย่างมวี ิจารณญาณ พดู ได้ และ พ ร้ อ ม ทั้ ง อ ธิ บ า ย แ ต่ ยั ง อ ธิ บ า ย แ ล ะ แต่ไม่สามารถอธิบาย ยกตวั อย่างไม่ได้ ครู ยกตัวอย่างเพม่ิ เติมได้ ยกตัวอย่างเพิ่มเติม แ ล ะ ย ก ตั ว อ ย่ า ง ตอ้ งแนะนาเพมิ่ เติม ดมี าก ไดไ้ มช่ ัดเจนเทา่ ทค่ี วร เพม่ิ เติมได้ เกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดีมาก = ๔ คะแนน ดี = ๓ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ พอใช้ = ๒ คะแนน ปรบั ปรงุ = ๑ คะแนน ๑๔ – ๑๖ ดีมาก ๑๑ – ๑๓ ดี ๘ – ๑๐ พอใช้ ตา่ กว่า ๘ ปรบั ปรุง

วชิ า ภาษาไทย ๕ เอกสารประกอบการเรยี น ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๓ รหัสวชิ า ท ๒๓๑๐๑ เร่ือง การแสดงความคิดเหน็ จากการฟัง ดู พูด ความหมายของการฟังและการดู การฟัง หมายถึง กระบวนการรับสารโดยผ่านส่ือ คือ เสียง ผู้รับสารได้ยินเสียงน้ันแล้วเกิดการรับรู้ ตีความจนกระทั่งเข้าใจสาร แล้วเกิดปฏิกริ ยิ าตอบสนอง การดู หมายถึง กระบวนการรับสารโดยผ่านสื่อ คือ ภาพหรือตัวอักษร ผู้รับสารเกิดการรับรู้ ตีความ จนกระทง่ั เขา้ ใจสาร แลว้ เกดิ ปฏิกริ ิยาตอบสนอง การพูด หมายถึง การสื่อสารของมนุษย์โดยใช้ปากและกล่องเสียงเพื่อเปล่งเสียงออกมา เพ่ือใช้ ในการสื่อสารระหวา่ งบุคคลโดยอาศัยภาษาเป็นตวั สื่อความหมายของส่ิงที่พดู ความสาคัญของการฟังและการดู ๒. เพลดิ เพลินจติ และสรา้ งความจรรโลงใจ ๑. ใหค้ วามรแู้ ละเพ่มิ ความคดิ ๔. ใช้พัฒนาตนเองและสงั คม ๓. เสรมิ สรา้ งโลกทัศนใ์ หก้ ว้างไกล

ขอ้ ควรปฏิบตั ใิ นการฟงั และการดสู ื่อประเภทต่าง ๆ ๑. ควรตรงต่อเวลา และไปถึงสถานท่กี อ่ นเวลาบรรยายหรือเรมิ่ รายการ ๒. ตง้ั ใจฟังตลอดเวลา และฟงั ดว้ ยความสงบ ๓. จดบนั ทึกสาระสาคัญและจดบันทึกประเดน็ ข้อสงสยั ไว้ถาม เมอ่ื ผู้พูดเปิดโอกาสให้ถาม ๔. ปรบมือเมอ่ื พงึ พอใจในส่ิงท่ีฟัง ดู ๕. ควบคุมกิริยามารยาท ไม่ทาสิ่งใด ๆ ท่ีรบกวนผู้อ่ืน เช่น ตัวสูงต้องนั่งข้างหลังหรือไม่ยืนบัง ไม่ใช้ เท้าวางพาดเก้าอี้คนขา้ งหนา้ แล้วกระดกิ เท้า ๖. ยบั ยั้งความรสู้ กึ และอารมณเ์ ม่ือไม่พอใจ ไม่พดู แทรกกลางคัน อาจทาใหเ้ สียบรรยากาศ ๗. ใช้ความคิดวเิ คราะหว์ ่าเร่อื งท่ีฟงั นา่ เชื่อถอื เพียงใด ๘. การฟังหรือการดโู ทรทศั น์ ควรเปิดเสียงใหพ้ อเหมาะไมร่ บกวนผู้อน่ื ๙. ปิดเคร่อื งมอื สื่อสารทกุ ชนิดหรอื หากจาเป็นควรใช้แคเ่ สียงสัญญาณได้ยนิ เฉพาะตนเท่าน้ัน ๑๐. การเสนอความคิดเห็น ควรแสดงออกด้วยกิริยาท่ีสุภาพ มิฉะน้ันจะทาให้เสียบรรยากาศในการ รว่ มฟงั ของผ้อู น่ื และแสดงว่าผู้พูดขาดมารยาทไมม่ ีวัฒนธรรม

มารยาทในการแสดงความคิดเหน็ ๑. ภาษาในการแสดงความคิดเห็นต้องเป็นภาษาสุภาพ ชัดเจน เข้าใจง่าย เลือกใช้ถ้อยคาให้ มคี วามหมายตรงตามที่คดิ มีความสมเหตสุ มผล ตรงประเด็น ไมอ่ อกนอกเรือ่ ง ๒. ขอ้ มลู หลักฐานท่ีนามาใชป้ ระกอบความคิดเห็นต้องเป็นเรือ่ งจรงิ ไมใ่ ชข่ อ้ มูลเท็จ หรือ มี จดุ ประสงคเ์ พื่อหลอกลวง ๓. ควรใช้นา้ เสยี งท่ีนมุ่ นวล แตห่ นักแน่น นา่ เช่อื ถอื ไมพ่ ดู เสียงดงั เกนิ ไป ๔. ใช้กรยิ าทา่ ทางท่ีสุภาพ ไมก่ ้าวรา้ ว ๕. ไม่พูดเพ่อื เอาชนะ ต้องใชเ้ หตุผลเป็นสาคญั ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ ยอมรับฟงั ผู้อื่นที่มีเหตุผลหนัก แน่นกวา่ ๖. เปน็ นักฟงั ท่ีดี ตัง้ ใจฟงั ไมพ่ ดู แทรกผู้อน่ื

แบบฝึกหัด เรื่อง การแสดงความคดิ เหน็ จากการฟัง ดู พดู คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนศึกษาข้อมลู และแสดงความเห็นตามหวั ขอ้ ทก่ี าหนดใหต้ ่อไปนี้ ๑) ชอ่ื ขา่ ว ............................................................................................................................. ................................... แหลง่ ข้อมลู .................................................................................... ......................................................................... ... ใจความสาคัญ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................... ความนา่ เชือ่ ถือ ............................................................................................................................. .................................. ๒) ช่อื เพลง ......................................................................................................................................... ....................... ผ้ขู บั รอ้ ง ................................................................................................. ............................................................... ใจความสาคัญ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................... .......................................... ......................................................................................... ...........................................

การใชภ้ าษา ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................................................................................ ๓) ชือ่ ภาพยนตร์ ....................................................................................................................... ......................................... ใจความสาคญั ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................................... .................... ............................................................................................................... ..................... ตวั ละครท่ชี อบ พร้อมเหตุผล ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ................................................................ ข้อคดิ ท่ไี ดร้ ับ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................... ............................................... .................................................................................... ................................................

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๔ หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๓ เชา้ ฮาเยน็ เฮ เรอ่ื ง การใชค้ าทับศัพท์ ศัพทบ์ ญั ญัติ และศัพทท์ างวิชาการ รายวิชาภาษาไทย รหสั วชิ า ท ๒๓๑๐๑ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๓ เวลาเรยี น ๓ ช่วั โมง/สปั ดาห์ จานวน ๑.๕ หนว่ ยกิต ภาคเรยี นท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ผสู้ อน นางสาวมณฑกาญจน์ ศริ มิ งคล กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรยี นมธั ยมวดั สงิ ห์ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษา การเปล่ยี นแปลงของภาษาและ พลงั ของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ิ ของชาติ ๒. ตัวช้วี ัด ท ๔.๑ ม.๓/๔ ใชค้ าทบั ศัพท์และศัพทบ์ ญั ญตั ิ ท ๔.๑ ม.๓/๕ อธิบายความหมายคาศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ ๓. จุดประสงค์การเรยี นรสู้ ูต่ ัวชวี้ ัด ๓.๑ อธบิ ายความหมายของคาทับศัพท์ ศัพทบ์ ญั ญัติ และศัพท์ทางวิชาการได้ ๓.๒ อธบิ ายหลกั การจาแนกของคาทับศัพท์ ศัพทบ์ ัญญตั ิ และศพั ท์ทางวชิ าการได้ ๓.๓ จาแนกคาทบั ศัพท์ ศัพท์บัญญัติ และศัพท์ทางวิชาการไดถ้ ูกต้อง ๓.๔ ยกตัวอย่างคาทบั ศัพท์ ศัพทบ์ ญั ญัติ และศัพท์ทางวิชาการได้ ๔. สาระสาคัญ ประเทศไทยมคี วามสมั พันธก์ บั ต่างชาติดว้ ยเหตผุ ลหลายประการ มีการยมื คาภาษาต่างประเทศมาใช้ ดว้ ยวธิ ีการทับศัพท์และบัญญตั ิศัพท์ข้ึนมาใช้ ท้ังในวิชาการและท่วั ไป การศกึ ษาเร่ืองการใช้คาในภาษาไทย จะ ช่วยให้สามารถใช้คาทับศัพท์และศัพท์บัญญัติต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังมีศัพท์ทางวิชาการที่เป็นศัพท์ เฉพาะกล่มุ ซ่ึงมคี วามสาคัญตอ่ การศกึ ษาในเร่อื งน้ี

๕. สาระการเรียนรู้ ๕.๑ คาทบั ศัพท์ ๕.๒ ศัพทบ์ ญั ญตั ิ ๕.๓ ศพั ท์ทางวชิ าการ ๖. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน ๖.๑ ความสามารถในการส่ือสาร ๖.๒ ความสามารถในการคิด ๖.๓ ความสามารถในการแก้ปญั หา ๖.๔ ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ ๖.๕ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๗. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๗.๑ มีวินัย ๗.๒ ใฝเ่ รียนรู้ ๗.๓ มุ่งมัน่ ในการทางาน ๗.๔ รักความเป็นไทย ๘. กิจกรรมการเรยี นรู้ ช่ัวโมงที่ ๑ ข้นั นา ๑. ครูใชค้ าถามทา้ ทายนกั เรยี น ดังน้ี • คาทบั ศัพท์และศัพท์บัญญัติมคี วามแตกตา่ งกันอยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ คาทบั ศัพท์ คอื การเขยี นคาจากภาษาหน่งึ มาเปน็ ภาษาไทย สว่ น ศพั ท์บญั ญตั ิ คอื การกาหนดคาภาษาไทยขนึ้ ใหม่ โดยมรี าชบัณฑิตยสถานเป็น ผ้รู ับรอง) ๒. ครูใหน้ กั เรียนศึกษาใบความรู้ เรื่อง ศัพทบ์ ัญญตั ิ แล้วร่วมกันสนทนาเพ่ือสร้างความเข้าใจ รว่ มกนั

ขัน้ สอน ๑. นักเรียนร่วมกันทาลูกเต๋าทายคาทับศัพท์ ศัพท์บัญญัติ ศัพท์ทางวิชาการ แล้วให้นักเรียน ช่วยกันเขียนศัพท์บัญญัติ ศัพท์บัญญัติ ศัพท์ทางวิชาการ ท่ีมีความหมายตรงกับคาน้นั จากน้ันร่วมกัน วเิ คราะหว์ า่ ศัพทบ์ ัญญัตเิ ป็นคาท่ีมาจากภาษาใด ๒. ครูให้นักเรียนแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม ครูเขียนคาภาษาอังกฤษให้กลุ่มท่ี ๑ และเขียนคาศัพท์ บัญญัติให้กลุ่มที่ ๒ และกลุ่มท่ี ๓ คนละ ๑ ใบ แล้วให้นักเรียนทั้งสามกลุ่ม จับคู่ศัพท์บัญญัติ ศัพท์ บัญญัติ ศัพท์ทางวิชาการ คาภาษาอังกฤษให้ตรงกับคาของตนเอง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มร่วมกัน วิเคราะห์ว่าศพั ท์บัญญัติ ศพั ท์บญั ญตั ิ ศพั ทท์ างวชิ าการ ของกลุม่ ตนเองน้นั เป็นคาทม่ี าจากภาษาใด ตวั อยา่ งคา Vision วสิ ัยทศั น์ Telephon โทรศัพท์ Microscope จุลทรรศน์ ๓. ครูยกตัวอย่างศัพท์บัญญัติตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้นักเรียนฟัง เช่น จินตภาพ (image) จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย , อนุกรม (series) จากกลุ่มสาระ การเรียนรู้ ภาษาไทย เป็นต้น โดยเขียนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากนั้นครูสุ่มถามนักเรียนว่ามีใครรู้จัก ศัพท์บญั ญตั เิ พม่ิ เติมอีกบ้าง โดยครูและนักเรยี นแลกเปลี่ยนความร้ซู ่ึงกันและกนั ขน้ั สรุป ครูและนักเรียนรว่ มกนั สรปุ เนอื้ หาทเี่ รียน ดังน้ี • ศัพท์บัญญัติเป็นการคิดคาใหม่โดยใช้คาภาษาไทย ภาษาบาลี-สันสกฤต แทน คาศพั ท์ภาษาองั กฤษ โดยมรี าชบัณฑิตยสถานเป็นผ้รู บั รอง ชั่วโมงท่ี ๒ ข้นั นา ครูทบทวนเนือ้ หาทเี่ รยี นเมื่อชั่วโมงทแี่ ล้ว ไดแ้ ก่ • ความรู้ เร่ือง ศัพท์บัญญัติ เป็นการคิดคาใหม่โดยใช้คาภาษาไทย ภาษา บาลี-สันสกฤต แทนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ โดยมีราชบัณฑติ ยสถานเป็น ผรู้ ับรอง • ศัพท์ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น จินตภาพ (image) จากกลุ่มสาระการ เรียนรภู้ าษาไทย , อนกุ รม (series) จากกลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย เป็นตน้

ขนั้ สอน ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ เร่ือง คาทับศัพท์ แล้วร่วมกันสนทนาเพ่ือสร้างความเข้าใจ ร่วมกัน จากนั้นให้นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างคาทับศัพท์ภาษาอังกฤษคนละ ๑ คา แล้ว ออกมาเขยี นคานัน้ บนกระดาน โดยเขียนท้งั คาภาษาอังกฤษและคาทับศัพทภ์ าษาไทย ๒. ครอู ธบิ ายหลักการทับศพั ท์ใหก้ บั นักเรียน ดงั น้ี เมื่อถอดตัวอักษรภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยจะไม่ใส่รูปวรรณยุกต์ แต่มีการยกเว้นในบาง คาที่มีเสียงซ้ากับคาในภาษาไทยที่มีใช้อยู่แล้ว จึงใส่รูปวรรณยุกต์เพื่อป้องกันความสับสน เช่น โค้ก (coke) โคมา่ (coma) ๓. ครเู ขยี นคาศัพท์ภาษาองั กฤษบนกระดานแลว้ สุ่มนักเรยี นออกมาเขยี นสะกดคาทับศัพท์ให้ ถูกต้อง จากนั้นครูถามนักเรียนที่ออกมาเขียนคาว่า นักเรียนมีหลักเกณฑ์ในการเขียนคาภาษาอังกฤษ เปน็ คาทบั ศัพท์อย่างไร ขน้ั สรุป ครูถามนักเรยี นว่า นักเรียนคดิ วา่ เพราะเหตุใด เราจึงตอ้ งมคี าทบั ศพั ทแ์ ละ ศพั ท์ บัญญัติเพ่ิมในภาษาไทย จากน้ันครจู ึงสรุปใหน้ กั เรยี นฟงั ว่า สาเหตุที่ตอ้ งมีคาทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ เพ่ิมในภาษาไทยนน้ั เพราะใหม้ คี าท่เี พียงพอในการเลือกใช้เพ่ือสือ่ สารไดต้ ามวัตถุประสงค์ ชั่วโมงที่ ๓ ขั้นนา ๑. ครใู ห้นกั เรยี นรว่ มกนั สนทนา โดยครูใช้คาถามดังนี้ • เพราะเหตุใด เราจึงตอ้ งศึกษาเกีย่ วกบั ศพั ทท์ างวชิ าการ (ตัวอย่างคาตอบ เพ่ือทาให้เข้าใจความหมายของคา ซ่ึงเป็นพื้นฐานของการศึกษาเกี่ยวกับ วชิ าการในระดบั ทีส่ ูงยิ่งขนึ้ ) ๒. ครูให้นักเรียนศึกษาความรู้ เรื่อง คาศัพท์ทางวิชาการ แล้วสนทนาเพื่อสร้างความเข้าใจ ร่วมกัน ขั้นสอน ๑. ครใู ห้นกั เรียนแบง่ กลมุ่ เปน็ ๖ กล่มุ ตามความสมัครใจ โดยใชว้ ชิ าท่ีนักเรียนชอบเป็น ตัวกาหนดกลมุ่ ดงั น้ี กลุม่ ๑ วิชาภาษาไทย กลุ่ม ๒ วิชาคณิตศาสตร์ กลุ่ม ๓ วิชาวิทยาศาสตร์

กล่มุ ๔ วชิ าการงานอาชีพ กลุ่ม ๕ วิชาสังคมศึกษา กลุ่ม ๖ วชิ าดนตรีศิลปะ จากนั้นใหน้ กั เรยี นทอยลกู เตา๋ เพือ่ สมุ่ กลมุ่ ออกมาเขยี นคาศัพทว์ ชิ าการของวิชาทต่ี ัวเองได้ รับผดิ ชอบบนกระดานหน้าชน้ั เรยี น โดยให้เวลาเขยี นกลุ่มละ ๕ วนิ าที กลุ่มไหนไม่สามารถทาได้ ทนั เวลากอ่ นสามครั้ง จะตกรอบจนเหลือกลุ่มทชี่ นะเพียงกลมุ่ เดยี ว ๒. เมือ่ เขียนคาศพั ทท์ างวิชาการบนกระดานแลว้ ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ อธบิ ายความหมาย หนา้ ช้ันเรยี น เพื่อแลกเปล่ยี นความร้กู นั ๓. ครูให้นักเรียนทบทวนประมวลความรู้ที่เรียนทั้งหมด โดยการทาแบบฝึกหัด เรื่อง การใช้ คาทบั ศัพท์ ศัพทบ์ ัญญตั ิ และศัพท์ทางวิชาการ จากนน้ั ครูเฉลยคาตอบให้นักเรียน พรอ้ มอธิบายในสิ่ง ท่นี กั เรยี นเกิดความสงสัย ข้ันสรปุ ๑. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรุปเนื้อหาทีเ่ รียนไปทั้งหมด ดงั น้ี • ความหมายและความสาคัญของศัพทท์ างวชิ าการ • ตัวอยา่ งศัพท์ทางวิชาการในแตล่ ะสาขาวิชา ๒. ครมู อบหมายชิ้นงานใหน้ ักเรียนจับกลุ่ม กลุ่มละ ๕ คน จากนัน้ ใหน้ กั เรียนค้นหาคาทับ ศพั ท์ ศัพท์บญั ญัติ และศัพทท์ างวิชาการ อยา่ งละ ๑๐ คา จากบทความในหนงั สือพิมพ์ พร้อมแนบเน้ือหาบทความดงั กล่าวมาด้วย แลว้ นามาสง่ ครูในช่ัวโมงถัดไป ๙. สือ่ การเรียนรู้ ๑. ใบงาน เรอื่ ง การใชค้ าทบั ศัพท์ ศพั ท์บัญญัติ และศัพท์ทางวิชาการ ๒. แบบฝกึ หดั เร่ือง การใช้คาทับศัพท์ ศัพท์บญั ญัติ และศัพท์ทางวชิ าการ ๑๐. ภาระงาน/ชน้ิ งาน ๑. แบบฝกึ หัด เรอ่ื ง การใชค้ าทบั ศัพท์ ศัพทบ์ ัญญัติ และศัพท์ทางวชิ าการ ๒. ครมู อบหมายช้ินงานให้นักเรยี นจับกลุม่ กลุ่มละ ๕ คน จากนั้นให้นักเรยี นคน้ หา คาทับศัพท์ ศัพท์บัญญตั ิ และศัพท์ทางวิชาการ อย่างละ ๑๐ คา จากบทความในหนังสือพมิ พ์พร้อม แนบเนอ้ื หาบทความดังกล่าวมาด้วย แลว้ นามาสง่ ครูในช่ัวโมงถัดไป

๑๑. การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เคร่ืองมอื เกณฑก์ ารวดั ๑. ตรวจแบบฝึกหัด เร่ือง การ แบบฝึกหัด เรื่อง การใช้คาทับ นักเรยี นตอ้ งไดค้ ะแนนอยา่ ง ใช้คาทับศัพท์ ศัพท์บัญญัติ ศัพท์ ศัพท์บัญญัติ และศัพท์ นอ้ ย ๕ คะแนนข้ึนไป และศพั ท์ทางวชิ าการ ทางวชิ าการ ๒. ตรวจชิ้นงาน การค้นหาคา ชิ้นงาน การค้นหาคาทับศัพท์ นักเรียนต้องค้นหาคาทับศัพท์ ทับศัพท์ ศัพท์บัญญัติ และ ศัพท์บัญญัติ และศัพท์ทาง ศัพท์บัญญัติ และศัพท์ทาง ศัพทท์ างวิชาการ จากบทความ วิช าการ จากบทคว ามใ น วิชาการ อย่างละ ๑๐ คา โดย ในหนังสอื พิมพ์ หนงั สือพิมพ์ ครบถ้วน ครูตรวจสอบความ ถูกต้องเป็นราย ค า คาล ะ ๑ คะแนน ๒. สังเกตความสนใจและ แบบประเมินการสังเกตความ นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม การร่วมกิจกรรมกลุ่มของ สนใจและการร่วมกจิ กรรมกลุ่ม ไม่น้อยกว่า ๑๐ คะแนน นกั เรยี น ของนกั เรียน ๓. สงั เกตพฤตกิ รรมการทางาน แบบประเมินการสงั เกต นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ไมน่ อ้ ยกว่า ๘ คะแนน รายบุคคล พฤติกรรมการทางาน รายบุคคล

วชิ า ภาษาไทย ๕ เอกสารประกอบการเรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๓ รหัสวิชา ท ๒๓๑๐๑ เร่ือง การใช้คาทับศัพท์ ศัพท์บัญญตั ิ และศพั ท์ทางวิชาการ การบัญญัตศิ พั ทส์ ่วนใหญป่ ระกอบคาขน้ึ จากคาศัพท์ภาษาไทย ภาษาบาลี และภาษาสนั สกฤต ซ่งึ จะมี คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ ประกอบไปด้วย ผู้รู้และผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ท่ีเป็น ผู้เช่ียวชาญด้านภาษามาเป็นผคู้ ิดคาศัพท์บัญญัตขิ ึ้น ถ้าประกาศใช้และผู้ใช้ยอมรับคาบญั ญัติน้นั จนได้รับความ นยิ มคาศัพท์นกี้ จ็ ะเป็นศพั ทบ์ ัญญัติ คาทับศัพท์ คือ การเขียนคาในภาษาหน่ึงมาเป็นภาษาไทย ด้วยตัวอักษรและตามอักขรวิธีของ ภาษาไทย การใชค้ าทบั ศัพทค์ วรใชใ้ นกรณที ไ่ี มม่ ีคาไทยคาบาลหี รือคาสันสกฤตบญั ญัติไว้ ศพั ท์บัญญตั ิ คอื คาทีบ่ ญั ญตั ิข้ึนใหมใ่ นภาษาไทย โดยราชบณั ฑิตสถานเป็นผ้รู บั รอง เพ่อื รองรับศัพทใ์ หม่ ๆ ที่เกดิ ขึ้นตามเทคโนโลยแี ละความก้าวหน้าด้านต่าง ๆ ของโลก หลักการบญั ญตั ศิ ัพท์มี ๒ ประการ ดังนี้ ๑. การคิดคาใหม่ ๑.๑ การคดิ คาศัพท์ไทยใหต้ รงกบั ความหมายเดิมของคานัน้ ๆใหม้ ากทสี่ ุด เชน่ ศพั ท์บัญญตั ิ ภาษาอังกฤษ น้าคา้ งแข็ง Frost คา่ ผ่านทาง Toll เครอื ข่าย Network ปีแสง Light year พดั ลม Fan เรือดานา้ Submarine ไมข้ ีดไฟ Match

ลกู เสอื Boy scout ๑.๒ ถา้ หาคาไทยไดไ้ มเ่ หมาะสม ให้สรา้ งคาใหมโ่ ดยใชค้ าภาษาบาลีและสันสกฤต ซง่ึ ต้องเป็นคาที่มีใช้ มาก่อนและสามารถออกเสียงได้ง่าย เช่น ศัพท์บัญญัติ ภาษาองั กฤษ วฒั นธรรม culture กจิ กรรม activity มหาวิทยาลยั university วิทยาศาสตร์ science ธนาคาร bank ๒. การทบั ศพั ท์ ในกรณีท่ีไม่สามารถหาคาท่ีเหมาะสมได้ ท้งั คาภาษาไทยและคาภาษาบาลสี นั สกฤต ให้ใชว้ ธิ ี ทับศัพท์ เชน่ คาทับศพั ท์ ภาษาอังกฤษ เบียร์ beer ฟิล์ม film เคก้ cake แบดมนิ ตัน badminton ชอ็ กโกแลต chocolate เว็บไซต์ website ทรัมเป็ต trumpet

ศัพท์ทางวชิ าการ คือ คาท่อี ธบิ ายเรือ่ งราวทีเ่ ป็นความรู้ทางวิชาการแขนงตา่ ง ๆ ศพั ท์ วิชาการเป็นคาที่ผ้ศู ึกษาวิชาการนน้ั ๆ จะเขา้ ใจรว่ มกนั ศพั ท์ภาษาไทย หมายถงึ ภาพท่ีเกดิ จากการนกึ คดิ หรอื ทค่ี ิดวา่ ควรจะเปน็ เชน่ นนั้ จนิ ตภาพ หมายถึง การเปรียบเทียบสงิ่ หนึง่ วา่ เปน็ หรือคืออีกส่ิงหนง่ึ อุปลกั ษณ์ ศัพทว์ ิทยาศาสตร์ หมายถงึ โครงสร้างหน่วยและหน่วยงานท่เี ล็กทส่ี ุดของสิ่งทีม่ ชี ีวติ เซลล์ หมายถึง ส่วนหนึง่ ในนิวเคลียสของเซลล์สิ่งมชี วี ติ โครโมโซม แบบฝึกหัด การใช้คาทับศัพท์ ศพั ท์บญั ญตั ิ และศพั ทท์ างวิชาการ คาชี้แจง ให้นักเรยี นเขยี นคาทบั ศพั ทต์ ่อไปนใ้ี หถ้ กู ต้อง ภาษาอังกฤษ คาทับศพั ท์ ภาษาอังกฤษ คาทับศพั ท์ Guide Game Plaster Fax Jeans Alcohol Copy Captain Basic Spaghetti

Office Note Facebook Quota Clinic Tent Coma Picnic Animation Highlight คาชแี้ จง ให้นักเรียนทาเครอื่ งหมาย X ลงในคาตอบที่ถกู ต้อง ๑. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ คาทับศพั ทไ์ ด้ถกู ต้องท่ีสุด ก. การทบั ศัพท์เปน็ การบัญญตั ศิ ัพทข์ ้นึ มาใหมเ่ พอื่ ให้สอื่ ความหมายได้ ข. การทับศพั ทเ์ ปน็ การถา่ ยเสียงภาษาเดิมออกเปน็ ภาษาไทย ตามท่อี อกเสยี งกัน ค. การทบั ศพั ท์เปน็ การสร้างคาใหม่ ๆ ใหส้ อดคลอ้ งกบั เทคโนโลยตี ่างประเทศ ง. การทบั ศพั ท์เป็นการปรับปรุงคาใหใ้ ช้สื่อความหมายในเฉพาะกลุ่มวงการต่าง ๆ ๒. คาทับศัพทม์ ลี กั ษณะอย่างไร ก. ยืมมาปรบั เปล่ียนความหมาย ข. ยืมมาใช้โดยไมม่ กี ารปรบั ปรงุ แก้ไข ค. ยืมมาปรบั เปลย่ี นโครงสรา้ งของคา ง. ยืมมาปรับเปลีย่ นวิธกี ารออกเสียง ๓. การนาคาทับศัพทภ์ าษาองั กฤษมาใช้ในขอ้ ใดทท่ี าใหภ้ าษาไทยมีวงศ์ศพั ท์มากขึ้น ก. มาเรยี นอยู่ในกรุงเทพฯ ยูนิเวอซติ ีท้ ที่ ันสมยั ข. ซัมเมอร์แม่เรยี กตวั กลบั มาชว่ ยทาไรท่ านาอย่บู ้านหนองใหญ่ ค. ชาวบา้ นกด็ อ้ ยการศกึ ษากินแตป่ ลาร้าทีไ่ ม่พาสเจอรไ์ รซ์ ง. ใหม้ าเปน็ ฟารเ์ มอร์ดาวว่ามันไมใ่ ช่ ๔. ขอ้ ใดเป็นคาศัพทบ์ ัญญัติทุกคา ก. ภมู ิแพ้ วดิ ีโอ วัคซีน ข. บล็อก โน้มถ่วง สังคมมิติ ค. ธนาคาร เครื่องพิมพ์ ภมู หิ ลงั ง. เซรมุ่ เทนนสิ เทคโนโลยี ๕. ขอ้ ใดใชค้ าทบั ศพั ทถ์ กู ต้องทกุ คา ก. ลิฟท์ คอนโมเนียม คตั เอาต์ ข. ครสิ ตม์ าส คลอรีน คอ็ กเทล ค. คลาสสิค ปิกนกิ คาทอลคิ ง. โอลมิ ปิค เคาน์เตอร์ เซนเซอร์

๖. ขอ้ ใดเปน็ ศพั ท์บญั ญตั ิทางคณติ ศาสตร์ ข. อนุกรม การแปลงผัน ก. รหัสแทง่ ทวเิ สถียร ง. การแฝงนยั การผกู ขาด ค. สมั ปทาน คา่ ผ่านทาง ข.ไดโนเสาร์ ๗. คาในขอ้ ใดเปน็ ศพั ทบ์ ญั ญัติ ง. โน้ต ก.โบนสั ค.วัฒนธรรม ข.เบรกอีเวน เยยี ร์ลีรีวิว ง. ซัพพลายเออร์ ออรเ์ ดอร์ ๘. ข้อใดไมใ่ ชค่ าศัพท์ในวงวิชาชีพธรุ กจิ การขาย ก. คอมพิวเตอร์ โนต้ บุก๊ ข. งานอดเิ รก ค. ควอเตอร์ โปรเจก็ เซล ง. กิจการ ๙. ขอ้ ใดคือศพั ทบ์ ญั ญัติของคาวา่ activity ข. โคตา ก. กิจกรรม ง. โควต้า ค. ความสามารถพิเศษ ๑๐. ขอ้ ใดคือคาทบั ศัพทข์ องคาวา่ Quota ก. โคตา้ ค. โควตา

เฉลย แบบฝึกหดั การใชค้ าทบั ศัพท์ ศพั ท์บญั ญัติ และศพั ท์ทางวิชาการ คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนเขียนคาทบั ศัพทต์ อ่ ไปนีใ้ หถ้ ูกต้อง ภาษาองั กฤษ คาทบั ศัพท์ ภาษาอังกฤษ คาทบั ศัพท์ Guide ไกด์ Game เกม Plaster ปลาสเตอร์ Fax แฟกซ์ Jeans ยนี ส์ Alcohol แอลกอฮอล์ Copy ก๊อบปี้ Captain กัปตนั Basic เบสกิ Spaghetti สปาเกตตี Office ออฟฟิศ Note โนต้ Facebook เฟซบกุ๊ Quota โควตา Clinic คลินิก Tent เตน็ ท์ Coma โคมา่ Picnic ปกิ นกิ Animation แอนิเมชัน Highlight ไฮไลท์ คาช้แี จง ให้นกั เรียนทาเคร่อื งหมาย X ลงในคาตอบท่ีถูกต้อง ๑. ขอ้ ใดกล่าวถึงคาทับศพั ทไ์ ด้ถูกต้องท่สี ุด ก. การทับศพั ทเ์ ปน็ การบญั ญัตศิ ัพทข์ ้ึนมาใหม่เพ่ือใหส้ ือ่ ความหมายได้ ข. การทบั ศพั ท์เป็นการถ่ายเสียงภาษาเดมิ ออกเปน็ ภาษาไทย ตามทอี่ อกเสียงกัน ค. การทับศัพท์เป็นการสรา้ งคาใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีต่างประเทศ ง. การทบั ศพั ทเ์ ปน็ การปรับปรงุ คาใหใ้ ช้ส่ือความหมายในเฉพาะกลมุ่ วงการต่าง ๆ ๒. คาทับศัพทม์ ีลกั ษณะอย่างไร ก. ยืมมาปรบั เปลย่ี นความหมาย ข. ยืมมาใช้โดยไมม่ ีการปรบั ปรงุ แกไ้ ข ค. ยมื มาปรับเปลี่ยนโครงสร้างของคา ง. ยมื มาปรับเปล่ยี นวธิ กี ารออกเสยี ง

๓. การนาคาทบั ศพั ทภ์ าษาองั กฤษมาใชใ้ นขอ้ ใดท่ีทาให้ภาษาไทยมีวงศ์ศพั ทม์ ากข้นึ ก. มาเรยี นอย่ใู นกรุงเทพฯ ยนู ิเวอซติ ท้ี ่ที นั สมยั ข. ซมั เมอร์แม่เรียกตวั กลับมาชว่ ยทาไรท่ านาอย่บู า้ นหนองใหญ่ ค. ชาวบ้านก็ด้อยการศกึ ษากินแต่ปลารา้ ท่ีไมพ่ าสเจอรไ์ รซ์ ง. ให้มาเป็นฟารเ์ มอร์ดาวว่ามนั ไม่ใช่ ๔. ข้อใดเป็นคาศัพทบ์ ญั ญัตทิ ุกคา ก. ภูมแิ พ้ วดิ โี อ (Video) วคั ซนี (Vaccine) ข. บลอ็ ก (Blog) โน้มถว่ ง สังคมมิติ ค. ธนาคาร เครือ่ งพิมพ์ ภูมิหลงั ง. เซรุ่ม (Serum) เทนนสิ (tennis) เทคโนโลยี (Technology) ๕. ข้อใดใช้คาทับศัพท์ถูกต้องทุกคา ก. ลิฟท์ (ลิฟต์) คอนโมเนยี ม คัตเอาต์ (คตั เอาท)์ ข. ครสิ ตม์ าส คลอรีน ค็อกเทล ค. คลาสสิค (คลาสสกิ ) ปิกนิก คาทอลิค(คาทอลกิ ) ง. โอลมิ ปคิ (โอลมิ ปิก) เคานเ์ ตอร์ เซนเซอร์ (เซ็นเซอร์) ๖. ข้อใดเป็นศพั ท์บญั ญัติทางคณิตศาสตร์ ก. รหัสแทง่ ทวเิ สถียร ข. อนุกรม การแปลงผัน ค. สมั ปทาน ค่าผ่านทาง ง. การแฝงนยั การผูกขาด ๗. คาในขอ้ ใดเปน็ ศพั ทบ์ ญั ญตั ิ ก.โบนสั ข.ไดโนเสาร์ ค.วฒั นธรรม ง. โนต้ ๘. ขอ้ ใดไมใ่ ช่คาศพั ท์ในวงวิชาชพี ธุรกิจการขาย ก. คอมพวิ เตอร์ โนต้ บุ๊ก ข.เบรกอเี วน เยยี ร์ลรี วี วิ ค. ควอเตอร์ โปรเจก็ เซล ง. ซัพพลายเออร์ ออรเ์ ดอร์ ๙. ข้อใดคอื ศัพทบ์ ัญญัติของคาว่า activity ก. กิจกรรม ข. งานอดิเรก ค. ความสามารถพเิ ศษ ง. กิจการ

๑๐. ขอ้ ใดคอื คาทบั ศพั ท์ของคาวา่ Quota ข. โคตา ก. โคตา้ ง. โควตา้ ค. โควตา

แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ ๕ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๑๓ คาขวญั โน้มจติ โนม้ คิดคาคม เร่อื ง การเขียนคาขวญั รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา ท ๒๓๑๐๑ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๓ เวลาเรยี น ๑ ชว่ั โมง/สปั ดาห์ จานวน ๑.๕ หนว่ ยกติ ภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ ผู้สอน นางสาวมณฑกาญจน์ ศิรมิ งคล กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรยี นมธั ยมวัดสงิ ห์ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขยี นเรยี งความ ย่อความ และเขียน เรอื่ งราวในรูปแบบตา่ ง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงาน การศึกษาค้นคว้าอยา่ งมีประสิทธิภาพ ๒. ตวั ชีว้ ัด ท ๒.๑ ม.๓/๑ คดั ลายมอื ตวั บรรจงคร่งึ บรรทดั ท ๒.๑ ม.๓/๒ เขยี นข้อความโดยใชถ้ อ้ ยคาได้ถูกต้องตามระดับภาษา ท ๒.๑ ม.๓/๑๐ มมี ารยาทในการเขียน ๓. จุดประสงคก์ ารเรยี นร้สู ตู่ ัวชี้วดั ๓.๑ สามารถอธิบายหลักการเขียนคาขวญั ได้ ๓.๒ สามารถเขยี นคาขวัญได้ ๔. สาระสาคัญ การเขยี นคาขวญั เป็นการใชถ้ ้อยคาในการแตง่ ข้ึนเพื่อเตือนใจหรือเพอื่ ให้เปน็ สิริมงคล คา ขวัญท่ีดีควรเป็นข้อความส้ัน ๆ อาจมีวรรคเดียวหรือ ๓-๔ วรรค นิยมใช้คาคล้องจอง มีสัมผัสสระ สัมผัส พยญั ชนะ มักเป็นการเชิญชวนใหป้ ฏิบัติมากกว่าเปน็ คาสัง่ เชน่ นา้ ใจดี มีมารยาทงาม เป็นต้น ๕. สาระการเรยี นรู้ ๕.๑ ความหมายของคาขวญั ๕.๒ ลกั ษณะของคาขวญั ทดี่ ี ๕.๓ แนวทางและตวั อย่างของการเขียนคาขวัญ

๖. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน ๖.๑ ความสามารถในการสื่อสาร ๖.๒ ความสามารถในการคดิ ๖.๓ ความสามารถในการแก้ปญั หา ๖.๔ ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต ๖.๕ ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ๗. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๗.๑ มีวนิ ยั ๗.๒ ใฝ่เรยี นรู้ ๗.๓ มงุ่ มั่นในการทางาน ๗.๔ รกั ความเปน็ ไทย ๘. กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่ัวโมงท่ี ๑ ขัน้ นา ๑. ครใู หน้ กั เรียนชว่ ยกนั ยกตัวอย่างคาขวัญทีต่ นเองเคยได้ยนิ แลว้ รสู้ กึ ประทบั ใจ คนละ ๑ คาขวัญ พร้อมระบเุ หตุผลที่ชอบ ข้ันสอน ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาความรู้ เรื่อง การเขียนคาขวัญ แล้วร่วมกันสนทนาเพ่ือสร้างความ เข้าใจรว่ มกนั ๒. ครใู หน้ กั เรียนนาคาขวญั ที่ประทับใจขา้ งตน้ มาตีความและวิเคราะหก์ ารใช้ภาษา ๓. ครูใหน้ ักเรยี นบอกลักษณะของคาขวัญทีด่ ี แลว้ สรุปเป็นแผนภาพความคิด ๔. ครูให้นักเรียนเล่นเกมทายชื่อจังหวัด โดยครูเป็นคนพูดคาขวัญของแต่ละจังหวัด แล้วให้ นักเรยี นช่วยกันตอบ ใครตอบถูกมากท่ีสดุ ครเู สริมแรงดว้ ยการปรบมือและกล่าวคาชมเชยแก่นักเรียน ที่ตอบถกู มากทีส่ ดุ ขน้ั สรุป ๑. ครูให้นกั เรยี นคดิ ประเมนิ คณุ ค่า โดยครูใชค้ าถาม ดังน้ี • คาขวัญช่วยสรา้ งสรรค์สังคมไทยไดอ้ ยา่ งไร (นกั เรยี นสามารถตอบไดอ้ ยา่ งอิสระ)

๒. ครูให้นักเรียนแต่งคาขวัญคนละ ๑ คาขวัญ ในหัวข้อ “การประหยัดพลังงาน” พร้อมวาดภาพประกอบและตกแต่งช้ินงานใหส้ วยงาม ๙. สือ่ การเรียนรู้ หนงั สอื เรียนรายวิชาพ้ืนฐาน ววิ ิธภาษา ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๓ ๑๐. ภาระงาน/ช้ินงาน นกั เรียนแตง่ คาขวัญคนละ ๑ คาขวัญ ในหัวข้อ “การประหยดั พลังงาน” พร้อมวาดภาพประกอบและ ตกแตง่ ชิน้ งานใหส้ วยงาม ๑๑. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี าร เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารวัด ๑ . สั ง เ ก ต ค ว า ม สน ใจและ แบบประเมินการสังเกตความ นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม การร่วมกิจกรรมกลุ่มของ สนใจและการรว่ มกจิ กรรมกลุ่ม ไม่นอ้ ยกวา่ ๕ คะแนน นกั เรยี น ของนักเรียน ๒. สงั เกตพฤติกรรมการทางาน แบบประเมินการสงั เกต นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม ไมน่ ้อยกว่า ๘ คะแนน รายบคุ คล พฤติกรรมการทางาน นั ก เ รี ย น ท า ไ ด้ ถู ก ต้ อ ง ต า ม รายบคุ คล เกณฑ์ทก่ี าหนด ๓. ตรวจชิ้นงาน การแต่งคา คาขวัญ ในหัวข้อ ขวัญ ในหัวข้อ “การประหยัด “การประหยัดพลังงาน พลงั งาน” เกณฑ์การใหค้ ะแนน พฤติกรรมทีท่ าเป็นประจา ให้ ๓ คะแนน พฤติกรรมท่ีทาเป็นบางครัง้ ให้ ๒ คะแนน พฤตกิ รรมทีท่ าน้อยครงั้ ให้ ๑ คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ๑๓-๑๕ ดี ๘-๑๒ ๕-๗ ปานกลาง ปรับปรุง

การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) การประเมนิ ชิ้นงานน้ีใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ (Rubrics) เรอ่ื ง การเขยี นคาขวัญ ระดบั คะแนน ๔ ๓ ๒๑ เกณฑก์ าร เขียนถกู ต้องตาม การเขยี นมีการ การเขยี นไม่ต่อเนอ่ื ง รปู แบบของคาขวญั ตอ่ เนื่องบ้าง บาง ขาดสัมผสั ประเมนิ ตอนขาดการต่อเน่ือง ๑. รปู แบบและ เขียนถูกต้องตาม องค์ประกอบ หลกั การ แนวทาง องคป์ ระกอบรปู แบบ ของคาขวญั ๒. การใชส้ านวน ใชส้ านวนโวหารได้ มีการใชส้ านวน มีการใชส้ านวน ไมป่ รากฏสานวน โวหาร ถูกต้อง ตรงกบั โวหารท่ีตรงกบั เรือ่ ง โวหารซึง่ ตรงกับเรื่อง โวหาร เป็นส่วนใหญ่ เพียงบางสว่ น ความหมายของเรื่อง ทีเ่ ขยี น ๓. เนื้อหาสาระ เขยี นเน้ือหาไดค้ วาม เขยี นเนือ้ หาเรื่องได้ เขยี นเน้อื หาของเรื่อง เขียนไม่ชัดเจนขาด สมบรู ณช์ ัดเจนอ่าน ชัดเจนดี ไดช้ ดั เจนบา้ งขาด เนือ้ หาที่สาคัญของ เข้าใจงา่ ย ความชดั เจนบา้ ง เรือ่ ง

เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ เกณฑก์ ารให้คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ดมี าก = ๔ คะแนน ดี = ๓ คะแนน ๑๔ – ๑๖ ดีมาก พอใช้ = ๒ คะแนน ปรบั ปรงุ = ๑ คะแนน ๑๑ – ๑๓ ดี ๘ – ๑๐ พอใช้ ตา่ กว่า ๘ ปรับปรงุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook