Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม

มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-11-08 00:45:32

Description: มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม

Search

Read the Text Version

1

2

มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประจ�ำ ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒ กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม 1

ค�ำ นำ� การประกาศขน้ึ บญั ชมี รดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ เปน็ ไปตามเจตจ�ำ นงแหง่ พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ และรกั ษามรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยการขนึ้ บญั ชี ดังกล่าวเป็นหนทางหน่ึงในการปกป้องคุ้มครองและเป็นหลักฐานสำ�คัญของประเทศ ในการประกาศความเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมต่าง ๆ รวมถึงเป็นการบันทึก ถงึ ประวตั คิ วามเปน็ มาและอตั ลกั ษณข์ องภมู ปิ ญั ญา ทงั้ ยงั สามารถใชเ้ ปน็ ฐานขอ้ มลู องคค์ วามรู้ ที่สำ�คัญเก่ียวกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่อยู่ในอาณาเขตของประเทศ ซึ่งจะช่วย เสรมิ สรา้ งบทบาทส�ำ คญั และความภาคภมู ใิ จของชมุ ชน กลมุ่ คนหรอื บคุ คลทเ่ี ปน็ ผปู้ ฏบิ ตั สิ บื ทอด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ตลอดจนช่วยส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการอนุรักษ์ สืบสาน ฟื้นฟูและปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถ่ิน และของชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีส่งเสริมและดำ�เนินงานปกป้อง คุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จึงดำ�เนินกิจกรรมที่สำ�คัญ คือ การข้ึนบัญชีมรดก ภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ซง่ึ ไดด้ �ำ เนนิ การมาตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๒ แลว้ เพอื่ เปน็ หลกั ฐานส�ำ คญั ของชาตแิ ละสง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ มของคนในชาตใิ หเ้ กดิ ความภาคภมู ใิ จในวฒั นธรรมของตนเอง รวมทง้ั เปน็ การปกปอ้ งคมุ้ ครองมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ และของประเทศชาติ โดยก�ำ หนดการขน้ึ บญั ชมี รดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมใน ๖ ดา้ น ประกอบดว้ ย ดา้ นวรรณกรรม พนื้ บา้ นและภาษา ดา้ นศลิ ปะการแสดง ดา้ นแนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คม พธิ กี รรม ประเพณแี ละเทศกาล ด้านความรู้และการปฏิบัติเก่ียวกับธรรมชาติและจักรวาล ด้านงานช่างฝีมือด้ังเดิมและ ดา้ นการเล่นพื้นบา้ น กฬี าพ้ืนบ้านและศลิ ปะการตอ่ สู้ป้องกันตวั หนังสือ “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒” เล่มน้ี เป็นการรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาดั้งเดิมตามลักษณะของมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรม ทง้ั ๖ ดา้ น ท่ไี ด้รบั การประกาศขน้ึ บัญชมี รดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติ ประจำ�ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒ จำ�นวน ๑๘ รายการ เพ่ือเผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ คุณค่าและความสำ�คัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รับประกาศข้ึนบัญชีดังกล่าว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นส่วนสำ�คัญในการสร้างความภาคภูมิใจและตระหนักถึง คุณค่าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซ่ึงเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมและรักษา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยให้มีการสืบทอดอย่างย่ังยืน ตลอดจนเป็นประโยชน์ ในการศกึ ษา คน้ ควา้ ตอ่ ยอดองคค์ วามรใู้ นเรอื่ งมรดกภมู ปิ ญั ญาของไทยแขนงตา่ ง ๆ ใหก้ วา้ งขวาง ตอ่ ไป (นายชาย นครชัย) อธิบดกี รมสง่ เสริมวฒั นธรรม 2

สารบัญ ค�ำ น�ำ ๒ ความสำ�คัญของการข้ึนบญั ชมี รดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม ๔ การประกาศข้ึนบัญชีมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมในประเทศไทย ๖ มรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมที่ได้รับการประกาศขึ้นบญั ชี ๗ ประจำ�ปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒ จ�ำ นวน ๑๘ รายการ ๘  ต�ำ นานเขาสาปยา (เขาสรรพยา) ๑๑  ตำ�นานเมอื งลพบรุ ี ๑๔  โปงลาง ๑๘  กลองอืด ๒๑  รำ�มอญ ๒๕  ร�ำ ตร๊ด ๒๙  ล�ำ แมงตับเต่าไทเลย ๓๓  ประเพณีอฏั ฐมบี ชู า ๓๗  โจลมะมว้ ต ๔๑  ประเพณีแห่นางดาน ๔๗  ทเุ รยี นนนท ์ ๕๒  ปลาสลดิ บางบอ่ ๕๕  หม้อนํ้าดินเผาเกาะเกร็ด ๖๐  งานปนู ป้นั สกุลชา่ งเมอื งเพชร ๖๖  เครื่องปั้นดนิ เผาด่านเกวยี น ๗๐  ซ่นิ หมคี่ ่นั น้อยไทหล่ม ๗๕  อิ้นกอนฟอ้ นแคน ๗๙  การแข่งขันวา่ วดยุ๊ ดยุ่ ภาคผนวก ๘๒  ประกาศกรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม เร่ือง การข้นึ บัญชมี รดกภูมปิ ัญญา ๘๓ ทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๑๓๖ ตอนพิเศษ ๑๕๙ ง วันท่ี ๒ สิงหาคม ๒๕๖๒  ค�ำ สั่งคณะกรรมการส่งเสรมิ และรกั ษามรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม ๘๕ ที่ ๑/๒๕๕๙ ลงวนั ท่ี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เรอ่ื ง แต่งตั้งคณะอนกุ รรมการกลน่ั กรอง  รายการมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมที่ไดร้ บั การประกาศขึน้ บัญชี ๙๑ (ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๖๒) จำ�นวน ๓๕๔ รายการ คณะผู้จัดท�ำ ๑๐๐

ความสำ�คัญของการขึ้นบัญชี วัฒนธรรมไปใช้ในทางที่บิดเบือนหรือไม่เหมาะสม และอาจเป็นเหตุให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม เหลา่ นน้ั ตอ้ งเสอื่ มสญู ไปอยา่ งนา่ เสยี ดาย สมควรจดั ใหม้ ี การส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ในยคุ ท่ีโลกก�ำ ลงั เปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ให้มีความสืบเนอื่ งและยั่งยืนสบื ไป เช่นปัจจุบัน ส่ิงที่เป็นภูมิปัญญาของมนุษยชาติ กิจกรรมสำ�คัญประการหน่ึงของการปกป้อง กำ�ลังถูกคุกคามจากอันตรายต่าง ๆ ท้ังด้วยการ คุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม คือ การข้ึน ถูกรุกรานจากวัฒนธรรมต่างชาติ การฉกฉวย บญั ชีมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม โดยมีกรมสง่ เสรมิ ผลประโยชนจ์ ากผทู้ ี่มเี ทคโนโลยีทเ่ี หนือกวา่ หรือ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม เป็นหนว่ ยงานหลักรบั การนำ�ภูมิปัญญาของกลุ่มชนหน่ึง ๆ ไปใช้อย่าง ผดิ ชอบ โดยถอื เปน็ หนทางหนึ่งในการปกป้องค้มุ ครอง ไมเ่ หมาะสม ไมม่ กี ารแบง่ ปนั ผลประโยชน์ ซง่ึ ปจั จยั และเป็นหลักฐานสำ�คัญของประเทศในการประกาศ ตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี สง่ ผลให้กลมุ่ ชนท่ีได้รบั ผลกระทบ ความเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ถูกครอบงำ�จนเกิดการสูญเสียอัตลักษณ์ และ ต่าง ๆ นอกจากน้ีการขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทาง สญู เสยี ภมู ปิ ญั ญาทเี่ ปน็ องคค์ วามรขู้ องตนไปอยา่ ง วัฒนธรรมยังเป็นการบันทึกถึงประวัติความเป็นมา รู้เทา่ ไมถ่ งึ การณ์ และอัตลักษณ์ของภูมิปัญญา รวมถึงสามารถใช้เป็น ด้วยเหตุดังกล่าว ประเทศไทยจึงได้เข้าเป็นภาคี ฐานข้อมูลองค์ความรู้ที่สำ�คัญเก่ียวกับมรดกภูมิปัญญา ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรม ทางวฒั นธรรมทอ่ี ยใู่ นอาณาเขตของประเทศ ซง่ึ จะชว่ ย ทจี่ บั ต้องไมไ่ ด้ ค.ศ. ๒๐๐๓ ขององค์การยูเนสโก เม่อื ปี เสรมิ สรา้ งบทบาทส�ำ คญั และความภาคภมู ใิ จของชมุ ชน พ.ศ. ๒๕๕๙ ซง่ึ อนสุ ญั ญา ฯ ฉบบั นมี้ งุ่ เนน้ ถงึ การปกปอ้ ง กล่มุ คนหรอื บุคคลท่ีเป็นผถู้ ือครองมรดกภมู ิปัญญาทาง คุ้มครองมรดกของบรรพบุรุษที่ได้สร้างสรรค์และปฏิบัติ วัฒนธรรมตลอดจนช่วยส่งเสริมและพัฒนาสิทธิชุมชน สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตและส่งต่อผ่านลูกหลานรุ่นสู่รุ่น ในการอนรุ กั ษ์ สบื สาน ฟนื้ ฟู และปกปอ้ งคมุ้ ครองมรดก จนกลายเป็นอัตลักษณ์ (Identity) ของชุมชนหรือ ภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมของท้องถน่ิ และของชาติ กลุ่มชนที่ยึดถือปฏิบัติกันจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม การประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทาง ประเทศไทยก็ได้ดำ�เนินการปกป้องคุ้มครอง “มรดก วัฒนธรรมของชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้กำ�หนด วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” ซ่ึงได้มีการบัญญัติศัพท์ใหม่ ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเพื่อ เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยขน้ึ วา่ “มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม” การขน้ึ บญั ชี รวม ๖ ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นวรรณกรรมพน้ื บา้ น มาต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จนกระทัง่ น�ำ มาสู่การประกาศ และภาษา ด้านศิลปะการแสดง ด้านแนวปฏิบัติ ใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญา ทางสงั คม พธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล ด้านความรู้ ทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายในประเทศเช่นเดยี วกัน แ ล ะ ก า ร ป ฏิ บั ติ เ กี่ ย ว กั บ ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ จั ก ร ว า ล โดยพระราชบญั ญตั ิ ฯ มเี จตจ�ำ นงในการประกาศ ด้านงานช่างฝีมือดั้งเดิม และด้านการเล่นพื้นบ้าน ใช้ด้วยหลักการและวัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกับ กฬี าพ้นื บา้ น และศิลปะการต่อสู้ป้องกนั ตัว อนุสัญญา ฯ ดังกล่าวข้างต้น คือ เล็งเห็นว่ามรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นสมบัติล้ําค่าที่ได้มีการ สร้างสรรค์ ส่ังสม ปลูกฝัง และสืบทอดในชุมชนจาก คนรุ่นหนึ่งมายังคนอีกรุ่นหนึ่ง แต่ในปัจจุบันมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมดังกล่าว ได้รับผลกระทบจาก ความเปลี่ยนแปลงของสังคมทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ บางคร้ังมีการนำ�มรดกภูมิปัญญาทาง 4

ทงั้ นี้ กรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม จะพจิ ารณาขอ้ มลู (ก) รายการมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ท่ีได้จากการสำ�รวจและจัดเก็บรวบรวมโดยสำ�นักงาน ที่ต้องสงวนรักษาอย่างเร่งด่วน วฒั นธรรมจังหวัดตา่ ง ๆ ท่วั ประเทศ และการพิจารณา คดั เลอื กของคณะอนกุ รรมการกลน่ั กรองตามกระบวนการ เนอื่ งจากอยใู่ นสถานการณเ์ สยี่ งตอ่ ขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณาขึ้นบัญชีของ การสญู หาย แต่ยงั มคี วามพยายาม แต่ละสาขา ซึง่ เป็นการดำ�เนินการภายใต้การกำ�กับดูแล ในการปกป้องคุ้มครองจากชุมชน ของคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญา กล่มุ คน หรือบุคคลทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ รายการมรดกภูมิปัญญาทาง (ข) รายการมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมท่ีจะได้รับการขึ้นบัญชีต้องมีคุณลักษณะ วัฒนธรรมที่จำ�เป็นเร่งด่วนอย่าง ตามหลกั เกณฑ์การพจิ ารณา คอื ยิ่งในการสงวนรักษาเนื่องจาก ๑) รายการมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมท่ีมี กำ�ลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคาม ลกั ษณะตามทก่ี ำ�หนดไว้ ๖ ดา้ น หากไม่มีมาตรการในการส่งเสริม ๒) เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมที่อยู่ใน รักษา ไมส่ ามารถอยู่รอดได้ อาณาเขตประเทศไทย จึงจะเห็นได้ว่าการข้ึนบัญชีมรดกภูมิปัญญา ๓) มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และมี ทางวฒั นธรรมน้นั จำ�เป็นทจี่ ะต้องมกี ารเสนอรายการ คุณลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากพื้นที่ชุมชน วฒั นธรรมของท้องถิน่ หรอื ของชาติ แหลง่ ปฏบิ ตั ทิ ม่ี ปี ระวตั ศิ าสตรข์ องการสบื ทอดมาอยา่ ง ๔) เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ยัง ตอ่ เนอ่ื ง โดยตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๒ จนกระทงั่ ถงึ ปจั จบุ นั มีการสืบทอดและปฏิบัติอยู่ในวิถีชีวิตและอาจเสี่ยงต่อ มรี ายการทไ่ี ดร้ บั การประกาศขนึ้ บญั ชมี รดกภมู ปิ ญั ญา การสญู หาย ทางวัฒนธรรมของชาติแล้ว จำ�นวน ๓๕๔ รายการ ๕) มคี ณุ คา่ ทางประวัติศาสตร์ วิชาการ ศิลปะ ซ่ึงประโยชน์ท่ีประชาชนและสังคมจะได้รับ คือ คณุ คา่ ทางจติ ใจ คณุ คา่ เชงิ สรา้ งสรรค์ หรอื ผลงานควรคา่ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจะได้รับการอนุรักษ์ แก่การรกั ษาไว้ ฟื้นฟู ปกป้องและคุ้มครอง รวมถึงส่งเสริมภูมิปัญญา ๖) มีการบันทึกหลักฐานหรือสามารถอ้างอิง ทมี่ ผี ลในการปฏบิ ตั แิ ละการด�ำ เนนิ การใหเ้ ปน็ รปู ธรรม สืบค้นองค์ความรู้ดั้งเดิมของมรดกภูมิปัญญาทาง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาและสืบทอด วฒั นธรรมนัน้ องค์ความรู้ภูมิปัญญาท่ีเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ๗) เปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมท่ีได้รบั ให้สืบทอดและคงอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย รวมถึง การยินยอมจากชุมชนให้ข้ึนบัญชีมรดกภูมิปัญญาทาง ได้รับการส่งเสริมให้มีการสืบทอดไปยังชนรุ่นหลัง วัฒนธรรม นำ�ไปใช้ประโยชน์ส่งเสริมการท่องเท่ียวของชุมชน สำ�หรับการประกาศข้ึนบัญชีมรดกภูมิปัญญา ท้องถิ่น สร้างรายได้และมีผลดีต่อเศรษฐกิจ ทางวฒั นธรรมในประเทศไทยนน้ั มกี ารประกาศขน้ึ บญั ชี ของประเทศ นอกจากนี้การประกาศข้ึนบัญชีมรดก แบง่ เป็น ๒ ประเภท คอื ภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมยงั แสดงถงึ การยนื ยนั บทบาท ๑) บัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของประเทศไทยในเวทีโลกต่อการดำ�เนินงาน ส�ำ หรบั รายการตัวแทนมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม สงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ตาม ๒) บัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อนุสัญญา ฯ ทั้งยังมีสิทธิในการเสนอรายการ สำ�หรับรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีต้องได้ เพื่อประกาศเป็นตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรม รบั การสง่ เสรมิ และรกั ษาอยา่ งเร่งด่วน ซ่ึงมลี กั ษณะดงั นี้ ที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ หรือรายการมรดก ทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ซ่ึงจำ�เป็นต้องได้รับ การสงวนรักษาอย่างเร่งด่วน รวมท้ังสามารถเสนอ แผนงาน โครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อขอ ความชว่ ยเหลือจากองค์การยเู นสโกได้อีกด้วย 5

การประกาศขน้ึ บัญชมี รดกภูมปิ ัญญา ทางวฒั นธรรมในประเทศไทย ในการเสนอขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้นมีกระบวนการข้ึนบัญชีทั้งแบบคณะกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้เสนอและแบบท้องถิ่นโดยหน่วยงานเป็นผู้เสนอ จึงมีรายการมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมที่ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๘ จำ�นวน ๓๑๘ รายการ ซึง่ เป็นไปตามบทบัญญัตมิ าตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญตั สิ ง่ เสรมิ และรกั ษามรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๕๙ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ มีการประกาศขึ้นบัญชี จำ�นวน ๑๘ รายการ และเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ คณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมได้มีมติเห็นชอบ ให้ข้ึนบัญชีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จำ�นวน ๑๘ รายการ ทั้งนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้เสนอเรื่องเพ่ือการประกาศในราชกิจจานุเบกษา รวมขณะน้ีมีรายการที่ได้รับ การประกาศแล้ว จ�ำ นวน ๓๕๔ รายการ ตารางแสดงมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติทข่ี ้ึนบัญชีแล้ว จำ�นวน ๓๕๔ รายการ สาขา/ วรรณกรรม ศลิ ปะ แนวปฏบิ ตั ิ ความรู้และ งานชา่ ง การเล่น รวม ปี พนื้ บ้านและ การแสดง ทพาธิ งีกสรังรคมม กเากรย่ี ปวฏกบิ บั ตั ิ ดฝั้งีมเดือิม พน้ื บ้าน กีฬา แลปะรเะทเศพกณาีล แธลระรจมกั ชราวตาลิ พ้นื บา้ น และ ๒๕ ภาษา ศลิ ปะการ ๒๕ ๓๐ ต่อสู้ ๗๐ ปอ้ งกนั ตัว ๖๘ ๖๘ ๒๕๕๒ - ๑๒ - - ๑๓ - ๓๒ ๒๕๕๓ ๑๕ ๖ - - ๓๑ - ๒๕๕๔ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ - ๒๕๕๕ ๒๐ ๑๓ ๗ ๑๑ ๑๑ ๘ ๑๘ ๒๕๕๖ ๑๘ ๑๕ ๑๐ ๙ ๑๐ ๖ ๑๘ ๒๕๕๗ ๒๐ ๑๐ ๘ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๓๕๔ ๒๕๕๘ ๗ ๖ ๕ ๕ ๕ ๔ ๒๕๕๙ - - - - - - ๒๕๖๐ - - - - - - ๒๕๖๑ ๑ ๓ ๕ ๓ ๓ ๓ ๒๕๖๒ ๒ ๕ ๓ ๒ ๔ ๒ รวม ๘๘ ๗๕ ๔๓ ๔๕ ๖๔ ๓๙ กลุม่ สงวนรักษามรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม สถาบนั วัฒนธรรมศึกษา กรมส่งเสริมวฒั นธรรม สิงหาคม ๒๕๖๒ 6

ที่ได้รับการประกาศขน้ึ บัญชี ประจ�ำ ปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒ จำ�นวน ๑๘ รายการ 7

เขาสรรพยาเปน็ ภเู ขาทส่ี งู และ เตข�ำ านาสนาปยา ใหญ่ทสี่ ุดในอ�ำ เภอสรรพยา จงั หวัดชัยนาท (เขาสรรพยา) โดยเป็นภูเขาลูกโดดท่ีต้ังอยู่กลางทุ่งนาและเป็นที่ต้ัง ชอ่ื เรียกในท้องถิ่น ของวัดเขาสรรพยา ในพื้นท่ีหมู่ท่ี ๑ ตำ�บลสรรพยา ตำ�นานเขาสาปยา อ�ำ เภอสรรพยา จงั หวดั ชยั นาท ทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ ลักษณะของมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม ของตวั อำ�เภอ ประมาณ ๓ กโิ ลเมตร เขาสรรพยาเดิม วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา น้นั ไมค่ อ่ ยมีใครรู้จัก เป็นเพียงภูเขาที่ตง้ั อยกู่ ลางทุ่งนา ประเภท การเดินทางไปลำ�บาก ต่อมาชาวบ้านขึ้นไปค้นพบ รายการตัวแทนมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม โบราณสถานบนภเู ขา เชน่ อโุ บสถ เจดยี ์ ศาลาการเปรยี ญ จังหวัดผเู้ สนอข้อมูลข้ึนบัญชี โบราณสถานเหล่านี้ชำ�รุดทรุดโทรมเป็นอันมาก จงั หวดั ชยั นาท นอกจากนี้ ยังพบถ้ําน้ํามนต์ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น พื้นทปี่ ฏบิ ตั ิ นํ้าศักด์ิสิทธิ์รักษาโรคได้ทุกประเภท จึงเร่ิมมีคนให้ หมทู่ ี่ ๑ ต�ำ บลสรรพยา อ�ำ เภอสรรพยา ความสนใจและขึ้นไปบนภเู ขามากขน้ึ ซง่ึ ชอื่ ต�ำ บลและ จังหวัดชัยนาท ชอ่ื อ�ำ เภอสรรพยาในปจั จบุ นั เอามาจากชอ่ื ของเขาสรรพยา (อ่านว่า สับ – พะ - ยา หรือออกเสียงพ้ืนบ้านว่า สบั – พะ – ย้า) 8

ชอื่ ภเู ขา ชอ่ื ต�ำ บลและชอื่ อ�ำ เภอสรรพยานนั้ มที มี่ า เน่ืองจากบริเวณน้ีเป็นดนิ เลน เขาที่หนุมานวางไวไ้ ดย้ ุบ จากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์เช่นเดียวกับชื่อท้องถ่ินอ่ืน ๆ จมดินจนติดแนน่ เม่อื หนมุ านด่ืมนาํ้ แล้วจงึ ยกเขาไมข่ ้นึ ในบรเิ วณเขตจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง เชน่ เมอื งลพบรุ ี ทงุ่ พรหมาสตร์ แตบ่ างทา่ นวา่ เมอ่ื หนมุ านกระหายนา้ํ ไดเ้ หาะ ทะเลชุบศร ในจังหวัดลพบุรี เป็นต้น วรรณคดีดังกล่าว ลงวางเขากลางทุ่งนาและเดินไปขอนํ้าเด็กเล้ียงควาย ได้กล่าวถึงเขาสรรพยา ตอนกุมภกรรณพุ่งหอกโมกขศักด์ิ แต่เด็กเลี้ยงควายเห็นหนุมานเป็นลิง นอกจากจะไม่ ถูกพระลักษมณ์จนสลบไป เน่ืองจากเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์ ให้น้ําแล้วยังหยอกล้อเล่นอีกด้วย หนุมานโกรธเดิน สมุนฝ่ายพระลักษมณ์จะแก้ไขอย่างใดก็หาเขยื้อนไม่ ในที่สุด ไปดื่มนํ้าท่ีแม่นํ้า (เจ้าพระยา) ทางเดินไปกลับเป็น พเิ ภกจงึ ทลู พระรามว่า ล�ำ รางวัดโบสถ์ (วดั ร้าง) ชาวบ้านเรียกวา่ “บางโบสถ์” (ปจั จุบันต้ืนเขินขึ้นแล้ว) ขณะทเ่ี ดินไปด่ืมนา้ํ นั้น เขาได้ ซึง่ พระนอ้ งตอ้ งหอกอสรุ นิ ทร์ ยงั ไม่สิ้นชีวันสงั ขาร์ งอกรากติดกับพื้นดิน เม่ือหนุมานได้ด่ืมนํ้าแล้ว แมน้ ได้สงั กรณตี รีชวา กบั ปัญจมหานที กลบั มายกเขาไมข่ น้ึ จงึ เรยี กสงั กรณตี รชี วาเชน่ ครง้ั กอ่ น ประสมเปน็ โอสถบดพอก ใหแ้ ก้หอกโมกขศกั ด์ิยกั ษี แล้วหักเอายอดเขาดา้ นทศิ ใตไ้ ป เขาสรรพยาดา้ นทศิ ใต้ พระลักษมณก์ จ็ ะคืนสมประดี ภูมีจงด�ำ รติ ริการ ฯ จึงลาดลง ก่อนจากไปหนุมานนึกเคืองว่าบนเขาน้ีมี เรียกสรรพยารักษาได้ทุกโรค แต่คนท่ีน้ีใจจืดขอแค่นํ้า พระรามจึงมีบัญชาให้หนุมานไปเก็บต้นยา ก็ไม่ให้กินเลยสาปไว้ว่าอย่าให้คนท่ีเกิดท่ีสรรพยาให้ยา สังกรณีตรีชวา ซ่ึงอยู่ท่ีเขาสรรพยามารักษา ถูกกับโรคใด ๆ เลย (แต่คนท่ีเกิดท่ีอ่ืนมาเอาสรรพยา พระลกั ษมณ์ ไปรักษาโรคหาย) และสลัดขนเป็นต้นหญ้าละมาน เพอื่ ปอ้ งกนั คนขน้ึ ไปหาของบนเขาสรรพยา แลว้ หนมุ าน ครนั้ ถงึ สรรพยาสิงขร วานรลงเดนิ รมิ เนนิ ผา ก็เหาะนำ�ยอดเขาไป แต่โดยท่ียอดเขาน้ันเล็ก หนุมาน รอ้ งเรียกสังกรณตี รีชวา อยู่ไหนออกมาอย่าช้าที จงึ คอนแลว้ เอาไปวางไวท้ เี่ กดิ เหตุ ซง่ึ เรยี กวา่ กนั สบื มาวา่ ไดย้ ินขานข้างลา่ งลงไปคน้ กลบั ข้ึนไปกู่อยบู่ นคีรศี รี “เขาสมอคอน” (หรือสะโม๋คอน ตามสำ�เนียงพื้นบ้าน) จงึ เอาหางกระหวดั รดั ครี ี มอื กระบค่ี อยจบั สรรพยา ฯ ในเขตจงั หวัดลพบุรี เมื่อหนุมานได้สาปไว้ ณ เขาท่ีตนยกมาแล้ว เขาสรรพยาในเรื่องรามเกียรติ์ที่กล่าวมาน้ี ชาวบา้ นจงึ เรยี กเขานต้ี อ่ มาวา่ “เขาสาปยา” ในตอนแรก เช่ือกนั วา่ คือ เขาสรรพยา ทต่ี �ำ บลสรรพยา อ�ำ เภอสรรพยา ต่อมาเรยี กเปน็ สรรพยา (สบั -พะ-ยา) สว่ นบึงสรรพยา จงั หวดั ชยั นาทนเ้ี อง ซงึ่ ไดม้ กี ารเลา่ สบื ทอดเปน็ เรอ่ื งราวดงั น้ี ท่ีหนุมานได้วักน้ําดื่มน้ัน ภายหลังได้ต้ืนเขินลงเหลือ เม่ือพระลักษมณ์รบกับกุมภกรรณและเสียที บางส่วนท่ีมีช่ือเรียกต่อมาว่า บึงอรพิม บึงนี้บางท่าน ถูกหอกโมกขศักดิ์ พิเภกได้ทูลให้พระรามทรงทราบถึง ว่าเกิดขึ้นเม่ือคร้ังศรีธนญชัยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ฤทธข์ิ องหอกและยาทจ่ี ะแกไ้ ข จงึ ได้มพี ระบัญชาให้หนุมาน พม่าท้าสร้างพระพุทธรูปท่ีใหญ่และงามที่สุดแข่ง ไปหาสังกรณีตรีชวาหรือสรรพยา หนุมานได้เหาะไปท่ี ทางกรุงศรีอยุธยารับคำ�ท้าและได้มอบให้ศรีธนญชัย เขาหลวง แต่ไม่รู้จกั สงั กรณีตรีชวา จงึ รอ้ งถามหาอยูต่ นี เขา ควบคุมการก่อสร้าง แต่ศรีธนญชัยใช้ไม้ไผ่สานเอา ก็ได้ยินขานรับอยู่บนยอดเขา เมื่อข้ึนไปยอดเขาร้องถามหา ดินพอกแล้วลงรักปิดทองลวงพม่า ฝ่ายพม่าส่งคนมา อีกก็ได้ยินขานรับอยู่ตีนเขา ในท่ีสุดหนุมานโกรธพอได้ยิน สอดแนม เม่ือเห็นศรีธนญชัยสร้างพระพุทธรูปได้ใหญ่ ขานรบั บนยอดเขากห็ กั เอากลางเขาแบกเหาะไป เมอ่ื เหาะไป และงามมากจงึ รบี กลบั ไปบอกพวกของตนพอไดท้ ราบขา่ ว ได้สักพักก็บิส่วนหน่ึงทิ้งไปกลายเป็นเขาขยายในเขตอำ�เภอ เชน่ นนั้ กค็ ดิ หนกี ลบั เมอื ง ครงั้ จะน�ำ พระพทุ ธรปู กลบั ไป เมืองชัยนาทปัจจุบัน ขณะที่เหาะต่อมารู้สึกกระหายน้ํายิ่ง ด้วยก็ลำ�บาก เพราะพระพุทธรูปใหญ่มาก ผลที่สุด นักและเห็นบึงใหญ่อยู่กลางทาง จึงแวะเอาเขาวางลงริมบึง จึงทำ�ลายแพและทิ้งพระพุทธรูป ความใหญ่และหนัก (ภายหลังเรียกบึงน้ีว่า “บึงสรรพยา”) วักนํ้าด้านตะวันตก ของพระพุทธรูป จึงทำ�ให้เกิดห้วงนํ้า คือ บึงอรพิม เฉียงใต้ข้ึนด่ืม ทำ�ให้บริเวณนี้ลึกกว่าที่อ่ืน ๆ (ต่อมา ปจั จบุ นั ซงึ่ อยใู่ นบรเิ วณบงึ สรรพยาทแ่ี หง้ ไปแลว้ นนั่ เอง บงึ สรรพยาตนื้ เขนิ บงึ เล็กลงปัจจุบนั เหลอื แต่ “บงึ อรพมิ ”) 9

เช่ือกันว่าพระพุทธรูปยังคงจมอยู่ในบึงอรพิม แต่จะปรากฏ หรอื ไมป่ รากฏใหผ้ ูใ้ ดได้พบเห็นก็ได้ จะเหน็ ไดว้ า่ ต�ำ นานเขาสาปยา (เขาสรรพยา) มลี กั ษณะ เหมือนนิทานประจำ�ถิ่นของชาวบ้าน ถือเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมท่ีสามารถใช้ถ่ายทอดเร่ืองราวและรากเหง้า ตวั ตนของผคู้ นในพน้ื ทอี่ �ำ เภอสรรพยา โดยนอกจากเขาสรรพยา จะเป็นที่มาของมรดกภูมิปัญญาทางวรรณกรรมอันเป็น เอกลักษณ์ของท้องถ่ินแล้ว ยังเป็นแหล่งพืชสมุนไพรท่ีสำ�คัญ ดังปรากฏหลักฐานตามความตอนกล่าวถึงเขาสรรพยา ในโคลงนิราศนครสวรรค์ แต่งโดยพระศรีมโหสถ ในโอกาส โดยเสดจ็ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ซง่ึ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ โดยกระบวนพยุหหยาตราทางชลมารคไปเมืองนครสวรรค์ เพ่ือรับช้างเผือก โดยจากการสำ�รวจข้อมูลของสำ�นักงาน สาธารณสุขอำ�เภอสรรพยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ พบว่า มีพืชสมุนไพรท่ีหายากจำ�นวนมากกว่าร้อยชนิด โดยเฉพาะ ต้นสังกรณีตรีชวา ซ่ึงมีสรรพคุณหากนำ�ไปต้มรับประทาน จะช่วยรักษาโรคหืดหอบได้ ดังน้ัน จึงมีการพัฒนา ปรับปรุง อนุรักษ์พืชสมุนไพรต่าง ๆ ที่เขาแห่งน้ี เพ่ือทางเลือกหนึ่ง ในการดแู ลสขุ ภาพเบอ้ื งต้นของคนในชมุ ชน เนอื่ งจากพน้ื ทต่ี �ำ บลสรรพยาเปน็ ทงั้ แหลง่ เรยี นรดู้ า้ นวรรณคดี แหลง่ พชื สมนุ ไพร แหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว ทางธรรมชาติ แหลง่ ประเพณวี ฒั นธรรมและวถิ ชี วี ติ ของชาวภาคกลาง และปัจจุบันต้ังอยู่ในเขตพ้ืนที่ รบั ผดิ ชอบของเทศบาลต�ำ บลเจา้ พระยา ทางหนว่ ยงาน ทอ้ งถนิ่ จงึ เหน็ ความส�ำ คญั ในการน�ำ มรดกภมู ปิ ญั ญา ทางวัฒนธรรมมาปรับใช้ ในวิถีชีวิตให้สอดคล้อง ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งและการทอ่ งเทย่ี ว ที่สอดคลอ้ งกบั วถิ ีชมุ ชนจงึ ไดน้ ำ�ตำ�นานเขาสาปยา (เขาสรรพยา) มาถา่ ยทอด สบื สานและพฒั นาตอ่ ยอด สู่การด�ำ เนินชวี ิตประจ�ำ วันของผูค้ นในภมู ิภาคนี้ 10

ตเม�ำ นือางนลพบรุ ี ช่อื เรยี กในท้องถ่ิน ต�ำ นานเมอื งลพบรุ ี เปน็ ต�ำ นาน ตำ�นานเมืองลพบุรี เรื่องเล่าท่ีมีความสัมพันธ์กับความเช่ือ ลกั ษณะของมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ส่ิงศักด์ิสิทธิ์และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งมีที่มาจากเรื่องรามเกียรต์ิ โดยมีการ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา ผูกเร่ืองราวที่สอดคล้องกับเหตุการณ์และ สถานทตี่ า่ ง ๆ ในจงั หวดั ลพบรุ ไี ดอ้ ยา่ งลงตวั ประเภท ไดแ้ ก่ รายการตัวแทนมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม จังหวัดผูเ้ สนอขอ้ มูลขึ้นบัญชี จังหวดั ลพบุรี พืน้ ท่ปี ฏบิ ัติ อำ�เภอเมอื ง อ�ำ เภอโคกสำ�โรง อำ�เภอทา่ วุ้ง อ�ำ เภอพฒั นานคิ ม อ�ำ เภอล�ำ สนธิ จังหวัดลพบรุ ี 11

ตำ�นานเร่ืองหนุมานครองเมืองลพบุรี เพราะจะเป็นเลือดควาย ขณะท่ีต่อสู้กันเกิดฝนตก พาลี นับว่าเป็นตำ�นานที่มีความน่าเชื่อถือมาก เนื่องจาก ได้ฆ่าทรพีตาย เลือดที่ไหลออกมาโดนฝนชะก็เลยเป็น เมอื งลพบรุ เี ปน็ เมอื งทมี่ ฝี งู ลงิ อาศยั อยเู่ ปน็ จ�ำ นวนมาก สีแดงใส สุครีพเข้าใจผิดคิดว่าพาลีถูกฆ่าตาย จึงเอาหิน จนได้รับนามว่าเป็น “เมืองลูกหลานหนุมาน” ปิดปากถํ้า พาลีเห็นเช่นน้ันจึงเข้าใจผิดคิดว่าสุครีพไม่ซื่อ ตามตำ�นานกล่าวว่า หนุมานทหารเอกของพระราม จะคิดฆ่าตน จึงตัดหัวทรพีขว้างเต็มแรงจนหินปิดปากถํ้า ทำ�ความดีความชอบช่วยรบศึกทศกัณฐ์ พระรามจึง กระเดน็ ไปตกทีแ่ ม่นาํ้ ลพบุรี จึงมชี อื่ เรียกวา่ ต�ำ บลทา่ หนิ ปูนบำ�เหนจ็ ให้ไปครองเมอื งลพบรุ ี ส่วนถํ้าซ่ึงทรพีถูกฆ่าตายน้ัน เพ่ือไม่ให้ควายเกเรตัวใด ตำ�นานการเกิดเมืองลพบุรี เมอ่ื พระราม เข้าไปอาศัยอยู่ต่อไป พาลีจึงได้พังปากถํ้าภูเขาลูกนั้น กับทศกัณฐ์ทำ�ศึกกันนั้นหนุมานเป็นทหารเอกของ จงึ ไดช้ ่ือวา่ เขาทับควาย พระราม ไดช้ ว่ ยเหลอื การศกึ จนพระรามชนะ พระราม ต�ำ นานทา้ วกกขนาก กลา่ ววา่ หลงั จากเสรจ็ ศกึ จึงปูนบำ�เหน็จให้แก่หนุมาน โดยยิงศรพรหมาสตร์ ทศกัณฐ์แล้ว พระรามได้ตรัสถามพิเภกว่าพวกยักษ์ เส่ียงทายหาที่ตั้งเมืองแล้วให้หนุมานเหาะตามไป ตายหมดแล้วหรือยัง พิเภกลืมไปว่าตนก็เป็นยักษ์ ลูกศรตกท่ีใดให้หนุมานใช้เป็นท่ีต้ังเมือง เมื่อพระราม เหมอื นกนั จงึ ทลู วา่ ยงั เหลอื เพยี งยกั ษก์ กขนากอกี ตนหนงึ่ แผลงศรออกไปกไ็ ปตกกลางทะเล ดว้ ยฤทธร์ิ อ้ นแรงของ พระรามจึงใช้ต้นกกมาทำ�เป็นศรแล้วแผลงไปสังหาร ศรพระรามถงึ กบั ท�ำ ใหท้ ะเลเหอื ดแหง้ ตรงทศ่ี รตกนน้ั พวกยักษ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ พิเภกจึงถูกศรด้วย สำ�หรับ จงึ เรยี กกนั วา่ ทะเลชบุ ศร ในภายหลงั ศรไดไ้ ปถกู ภเู ขา ท้าวกกขนากนั้น (บางตำ�นานบอกว่าชื่อ ท้าวอุณาราช) เกา้ ยอดแตกกระจาย ดว้ ยความแรงของลกู ศรท�ำ ใหด้ นิ เมอ่ื ถกู ศรแลว้ กป็ ลวิ มาตกทภ่ี เู ขาลกู หนงึ่ ซง่ึ ตอ่ มาไดช้ อื่ วา่ บริเวณนั้นแตกกระจายกลายเป็น ทุ่งพรหมมาสตร์ เขาวงพระจันทร์ และพระรามได้สาปให้ท้าวกกขนาก ตามชื่อศรเล่มหนึ่งของพระราม และเปน็ ผลใหด้ นิ ของ ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่น่ีจนกว่าพระศรีอาริย์จะมาโปรด เมืองลพบรุ ีสกุ กลายเปน็ ดินสีขาวทีเ่ รียกว่า ดนิ สอพอง ด้วยเหตุน้ี นางศรีพระจันทร์ ธิดาของท้าวกกขนาก ลูกศรของพระรามเม่ือปักลงแล้วเปรียบเสมือนเป็น จึงมาอยู่คอยปรนนิบัติดูแลยักษ์ผู้เป็นบิดา และพยายาม เสาหลักบ้านหลักเมือง ต้องมีนํ้าหล่อเล้ียงให้ขังเปียก ทอผ้าผืนหนึ่งด้วยใยบัว เพื่อเป็นจีวรสำ�หรับถวาย อยู่ตลอดเวลา ถ้าปล่อยจนแห้งลูกศรจะร้อนและ พระศรีอาริย์ (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕) ผู้จะมาตรัสรู้ ลกุ เปน็ ไฟแลว้ เกิดเพลิงเผาผลาญบา้ นเรอื น ด้วยเหตนุ ี้ ในอนาคตกาลตอ่ จากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรอื พระสมณ เอง ชาวลพบรุ ี จงึ ไดส้ รา้ งศาลครอบคลมุ ศรไว้ ใหช้ อื่ วา่ โคดมในกัปป์ปัจจุบัน ศรที่ตรึงร่างท้าวกกขนากอยู่น้ัน ศาลลกู ศร สว่ นชอื่ เมอื งลพบรุ นี น้ั มผี เู้ รยี กทงั้ ลพบรุ แี ละ จะขยับออกทุก ๆ ๓ ปี หนุมานจึงให้ไก่แก้วอยู่คอยเฝ้า นพบรุ ีหมายถงึ เมอื งทเี่ กดิ จากภเู ขาเกา้ ยอด(นพแปลวา่ โดยสงั่ วา่ เมอ่ื เหน็ ศรเขยอ้ื นจะหลดุ ใหไ้ กแ่ กว้ สง่ เสยี งขนั ขนึ้ เก้า) แต่มีผู้นิยมเรียกว่า ลพบุรี ซ่ึงมีที่มาจากคำ�ว่า หนมุ านกจ็ ะเหาะมาตอกศรให้แน่นอย่างเดิม และทกุ คร้ัง ลวะปุระ มากกวา่ ทหี่ นมุ านตอกศรจะเกดิ ประกายไฟลกุ ไหม้ ดงั นน้ั ชาวเมอื ง ตำ�นานเร่ืองเขาทับควาย บางท่าน ลพบรุ จี งึ คอยระมดั ระวงั กนั พเิ ศษ เพราะมกั จะเกดิ ไฟไหม้ เรียกว่า เขาตับควาย เป็นภูเขาท่ีมีแหล่งแร่เหล็ก คร้ังใหญ่ในทุก ๆ ๓ ปี และศรของพระรามนั้นหาก เป็นจำ�นวนมาก เน่ืองจากแร่เหล็กมีสีเลือดหมูปนดำ� ถูกราดรดด้วยนํ้าส้มสายชูก็จะหลุดออกได้ จึงมี จึงมีตำ�นานเกี่ยวกับเรื่องรามเกียรติ์ว่าเป็นเลือดของ เร่ืองเล่าต่อ ๆ กันมาว่าวันดีคืนดีจะเห็นหญิงสาวสวย ทรพตี อนสกู้ ับพาลี ซ่งึ ทง้ั คู่ไดต้ ่อสกู้ ันอยู่นานถึง ๗ วัน ถือขวดมาซื้อน้ําส้มสายชูในตลาด แต่ชาวบ้านรู้ว่าเป็น ๗คนื ทรพเี หน็ ทา่ ไมด่ ีจงึ หลบหนเี ขาไปในถาํ้ กอ่ นทพ่ี าลี นางศรีพระจันทรแ์ ปลงมา จงึ ไม่ยอมขายให้และสมยั หนง่ึ จะเข้าไปสู้กับทรพีในถํ้า ได้ส่ังสุครีพว่าถ้าเห็นเลือด แมค่ า้ ในตลาดลพบรุ ีถึงกับไมย่ อมขายนํ้าส้มสายชู ท่ีไหลออกมาเป็นสีแดงใสแสดงว่าตนเองแพ้ตาย ใหเ้ อาหนิ ปดิ ปากถา้ํ ทนั ที แตถ่ า้ เปน็ เลอื ดขน้ ไมต่ อ้ งปดิ 12

(ท่มี าของภาพ : ระบบภมู ิสารสนเทศ แหล่งมรดกทางศลิ ปวัฒนธรรม กรมศลิ ปากร) ตำ�นานเมืองลพบุรีจึงมีความสัมพันธ์กับวรรณคดี เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ มีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล เรื่องรามเกียรติ์และหลาย ๆ เร่ืองก็มีการผูกเรื่องราว ต�ำ นานเมอื งลพบรุ จี ากหลกั ฐานทกุ ประเภท เพอ่ื เผยแพร่ ให้เชื่อมโยงกับบุคคล สถานท่ี เหตุการณ์สำ�คัญ ประชาสมั พนั ธใ์ นรปู แบบสอื่ ตา่ ง ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง ท่ีมีความเก่ียวข้องกับเมืองลพบุรีท้ังสิ้น ยกตัวอย่าง เช่น ศาลพระกาฬ ดินสอพอง เจ้ากงจนี ท้าวกกขนาก ปจั จบุ นั ทกุ ภาคสว่ นในเมอื งลพบรุ ี ไมว่ า่ จะเปน็ ท้าวโคตรตะบอง เขาทับควาย เขาสมอคอน หน่วยงานภาครัฐ องคก์ รเอกชน สถาบนั การศึกษา ทุ่งพรหมาสตร์ ศาลลูกศร ทะเลชุบศร เป็นต้น ตลอดจนสภาวัฒนธรรมในทุกระดับต่างมีส่วนร่วม จึงจัดเป็นหลักฐานสำ�คัญท่ีแสดงให้เห็นถึงประวัติ ในการศึกษาและเก็บรวบรวมตำ�นานเมืองลพบุรี ความเป็นมา รวมถึงพัฒนาการทางสังคมและ เพ่ือให้เรื่องราวตำ�นานต่าง ๆ เหล่าน้ันได้รับ วัฒนธรรมของเมืองลพบุรี ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ การสืบทอดและถ่ายทอดสู่ลูกหลานไว้สืบไปและ เป็นเร่ืองเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาในการ เพื่อให้เกิดประโยชน์แห่งความภาคภูมิใจของ ก่อตั้งเมืองลพบุรี ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาว ประชาชนชาวลพบุรีได้อย่างม่ันคง อย่างไรก็ตาม ลพบุรีท่ีแสดงการมีส่วนร่วมของชุมชนท่ีเกี่ยวข้อง การบริหารจัดการเรื่องการนำ�มรดกภูมิปัญญา ในการสบื สานตำ�นานในปัจจบุ ันไดอ้ ย่างส�ำ คัญยง่ิ มาส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม ถือเป็น คณุ คา่ ของต�ำ นานเมอื งลพบรุ นี น้ั มหี ลายดา้ น ปจั จยั ส�ำ คญั ตอ่ การสง่ เสรมิ และรกั ษามรดกต�ำ นาน ประกอบด้วย ด้านสังคม มีการสร้างเครือข่าย เมอื งลพบรุ ี ไมว่ า่ จะเปน็ การวางแผนอยา่ งเปน็ ระบบ ส่วนร่วมและกิจกรรมที่สำ�คัญในการถ่ายทอด และบรู ณาการทกุ ภาคสว่ น ตลอดจนการจดั ท�ำ ปา้ ย และสืบสานตำ�นานเมืองลพบุรีอย่างต่อเนื่อง เช่น สื่อความหมายมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เวทเี ลา่ ขานต�ำ นานเมอื งลพบรุ ี เปน็ ตน้ ดา้ นการศกึ ษา เพ่อื เปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิตนของนักท่องเท่ียว มี ก า ร จั ด ทำ � ห ลั ก สู ต ร อ ง ค์ ค ว า ม รู้ เ ร่ื อ ง ตำ � น า น ซึ่งจะเอ้ือให้เกิดการเรียนรู้และเคารพต่อมรดก เมืองลพบุรี เพื่อนำ�ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ภูมิปัญญาท่ามกลางกระแสการท่องเที่ยวท่ีกำ�ลัง ในสถานศึกษา ตลอดจนมีกระบวนการถ่ายทอด เจรญิ เติบโตได้อยา่ งสร้างสรรค์และย่ังยนื ความรจู้ ากปราชญท์ อ้ งถนิ่ สคู่ นในชมุ ชน และดา้ นการ 13

โปงลาง เป็นเครื่องดนตรีท่ีนิยม โปงลาง เล่นกันมากในแถบจังหวัดกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ชอ่ื เรยี กในทอ้ งถิน่ ยโสธร ขอนแก่นและอุบลราชธานี เดิมมีการ หมากกะลอ หมากเกาะลอ หมากขอลอ เล่นกันมากในเขตเทือกเขาภูพาน จากน้ัน หมากเตอะเต่ิน หมากกงิ่ กอ่ ม จงึ ค่อย ๆ แพร่หลายไปยงั จงั หวัดต่าง ๆ ของ ลกั ษณะของมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ภาคอีสาน “โปงลาง” น่าจะมีท่ีมาจากคำ�ว่า ศลิ ปะการแสดง “โปง” ที่ใชต้ เี พอื่ สง่ สญั ญาณอยู่ในวดั และ “ลาง” ประเภท ที่มาจากการนำ�เชือกมาร้อยลูกโปงให้ติดกัน รายการตวั แทนมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม เป็นรางยาว ลักษณะคลา้ ยรางระนาด สันนิษฐาน จงั หวดั ผูเ้ สนอขอ้ มลู ข้ึนบัญชี วา่ โปงลางมวี วิ ฒั นาการมาจากเกราะลอ ซงึ่ ใชเ้ คาะ จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ สง่ สญั ญาณในทอ้ งนา จนกระทงั่ กลายเปน็ โปงลาง พื้นท่ปี ฏิบตั ิ ดงั เช่นปัจจุบนั อ�ำ เภอเมือง อำ�เภอนาคู จงั หวดั กาฬสินธ์ุ โปงลาง ถือเป็นเครอ่ื งดนตรีประเภทตี ทมี่ จี �ำ นวนลกู น�ำ มาเรยี งกนั ๑๒ ลกู เพอ่ื ใหเ้ กดิ เปน็ เสียงต่าง ๆ จำ�นวน ๕ เสียง คือ โด เร มี ซอล ลา ในการหาโน้ตแต่ละเสียงนั้นผู้ประดิษฐ์ โปงลางจะตอ้ งเทยี บเสยี งโปงลางกบั แคน เพอ่ื ให้ได้ เสยี งตามมาตรฐาน การตแี ตเ่ ดมิ แขวนตกี บั เสาบา้ น ขึงบนขาตั้งหรือบางคร้ังก็ผูกติดกับตัวผู้บรรเลง ไม้ที่ใช้ ในการประดิษฐ์โปงลางจะเป็นไม้เนื้อแข็ง เชน่ ไมม้ ะหาด แลว้ น�ำ มาถากเหลาใหเ้ ปน็ ทอ่ นกลม ตามขนาดของเสียง ใช้เชือกร้อยเป็นผืนแล้ว มัดติดกับลาง สำ�หรับลางนั้นจะมี ๒ ลักษณะ คอื แบบยนื ตีและแบบนัง่ ตี

โปงลางไดร้ บั การยกยอ่ งใหเ้ ปน็ เครอื่ งดนตรปี ระจ�ำ จังหวะลีลาของโปงลางนั้น จะมีทั้งจังหวะท่ี จังหวัดกาฬสินธ์ุ เนื่องจากเป็นเคร่ืองดนตรีท่ีมีประวัติและ ช้าเร็วแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลายโปงลางแต่ละลาย พัฒนาการคู่กับจังหวัดกาฬสินธ์ุมาอย่างยาวนาน มีความ ตามสภาพโอกาสและจุดประสงค์ของการบรรเลง เช่น เกย่ี วพนั กบั วถิ ชี วี ติ ของชาวกาฬสนิ ธอ์ุ ยา่ งแนน่ แฟน้ และเปน็ ลายแมฮ่ า้ งกลอ่ มลกู จะมจี งั หวะลลี าการตที คี่ อ่ นขา้ งชา้ เครอื่ งแสดงความภาคภมู ใิ จของชาวจงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ จนอาจ ลายแมงภตู่ อมดอก จะมจี งั หวะลลี าทคี่ อ่ นขา้ งเรว็ จงั หวะ เรียกไดว้ า่ เปน็ “เมืองหลวงแห่งโปงลาง” โดยเป็นศูนย์กลาง ลีลาจะเป็นตัวกำ�หนดการแบ่งทำ�นองเพลงออกเป็น ทงั้ การผลติ การบรรเลง การแสดง และแหลง่ สบื สานปฏบิ ัติ สว่ น ๆ ผตู้ โี ปงลางจะตอ้ งมคี วามรคู้ วามช�ำ นาญเปน็ พเิ ศษ ท้ังน้ี ผู้มีส่วนสำ�คัญในการบัญญัติชื่อเคร่ืองดนตรีจนได้รับ วา่ แตล่ ะลายจงั หวะจะเปน็ อยา่ งไร มเี ทคนคิ วธิ กี ารตแี ละ การยอมรับให้ใช้คำ�ว่า “โปงลาง” มาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ มคี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากนอ้ ยเพยี งไร เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั นายเปลื้อง ฉายรัศมี ศิลปนิ แห่งชาติ สาขาศลิ ปะการแสดง ทำ�นองของลายนั้น ๆ และจังหวะลลี าของการตโี ปงลาง (ดนตรีพื้นบ้าน-โปงลาง) ประจำ�ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ซ่ึงเป็น จะทำ�หน้าท่ีเป็นตัวกำ�หนดวรรคตอนของทำ�นองเพลง ชาวกาฬสินธุ์โดยกำ�เนิด ได้รู้จักกับหมากเกาะลอที่บ้าน น้ันด้วย จังหวะลีลาของแต่ละลาย บางลายจะบรรเลง หามแห ซงึ่ ตงั้ อยใู่ นเสน้ ทางระหวา่ งบา้ นพกั กบั สถานทท่ี �ำ งาน ซํ้า ๆ หลาย ๆ คร้ังจนจบเพลงและจะเห็นว่าสัดส่วน ในตัวจังหวัด จนเกิดความสนใจใคร่รู้ ต่อมาได้เรียนรู้ฝึกฝน ของจังหวะลีลาลายโปงลางที่ใช้น้ัน มีลักษณะเด่น ๆ วิธกี ารเล่นและการผลิตโปงลางจนช�ำ นาญ รวมถึงได้พฒั นา ที่การจดั เปน็ หมวดหม่หู รอื จดั เปน็ กลมุ่ ได้ชดั เจน ยกระดับโปงลางข้ึนสู่ระดับมาตรฐาน ท้ังด้านรูปแบบ องค์ประกอบ การจัดระบบเสียงให้เป็นสากลเข้ากับทำ�นอง เพลงพ้ืนบ้านและเพลงสากล รวมถึงให้กำ�เนิดวงดนตรี และการแสดงพ้ืนบ้านท่ีมีลักษณะเฉพาะตัวที่เรียกว่า “วงโปงลาง” ลักษณะเฉพาะด้านท่วงทำ�นองของโปงลางนั้น เกิดขึ้นมาจากการสังเกตดูวิถีชีวิตของชาวบ้านเอง ซ่ึงแต่ ก่อนยังไม่มีโน้ตท่ีเป็นสากล คนที่เล่นโปงลางจะคิดทำ�นอง ข้ึนเอง โดยการพูดจังหวะและทำ�นองออกมาแล้วก็ บรรเลงเลย ยกตัวอย่างทำ�นองท่ีเกิดจากวิถีชีวิตชาวบ้าน เช่น ทำ�นองไล่วัวขึ้นภู เป็นการสังเกตเสียงกระดิ่งคอวัว ที่กระทบกันเวลาวัวว่ิง ทำ�นองกาเต้นก้อน เป็นการสังเกต ดูการกระทำ�ของกาท่ีเต้นตามก้อนดินเวลาไถนา ทำ�นอง นกไซบินข้ามทุ่ง เป็นทำ�นองที่ได้จากการสังเกตนกเวลาบิน ข้ามทุ่งด้วยความเร็ว ทำ�นองเพลงนี้จึงเป็นทำ�นองที่เร็วและ สนกุ สนาน การสง่ ตอ่ ท�ำ นองจากอดตี จะสง่ ตอ่ จากการจดจ�ำ จนมาถึงปัจจุบันได้มีการบันทึกเป็นโน้ตสากล บางทำ�นอง ก็อาจผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่ก็ยังคงความเป็นมาไว้อย่าง ชดั เจน การบรรเลงโปงลาง สามารถบรรเลงไดท้ งั้ ลายนอ้ ย และลายใหญ่ของแคน ลายท่ีนิยมบรรเลงโปงลาง เช่น ลายโปงลาง ลายกาเต้นก้อน ลายไล่วัวข้ึนภู ลายแมงภู่ ตอมดอก ลายล�ำ เตย้ และลายอืน่ ๆ องค์ประกอบทางดนตรี ของโปงลาง ประกอบดว้ ย จงั หวะ ลลี า ท�ำ นอง เสยี งประสาน กระแสเสียง คีตลักษณ์ และลักษณะการประสานเสียง หรอื ประสานท�ำ นอง 15

ทำ�นองของลายโปงลางแต่ละลายนั้นได้มี กระแสเสียงหรือสีสันของโปงลาง ซ่ึงเป็น การสั่งสอนสืบทอดโดยการจดจำ� การบอกเล่าต่อกันมา เคร่ืองดนตรีประเภทตี จะต้องอาศัยความส่ันสะเทือน ซง่ึ ในทางวชิ าการเรยี กการสบื ทอดวธิ นี วี้ า่ มขุ ปาฐะ จะตอ้ งมี ของไม้ท่ีจะกระทบกัน จึงจะทำ�ให้เกิดเสียงได้ ซึ่งถ้า การท่องจำ�ให้ข้ึนใจ ฟังซ้ําแล้วซํ้าอีกจนสามารถท่องได้ จะใหเ้ สยี งของโปงลางดงั ไดก้ งั วานสดใสแลว้ จะตอ้ งเปน็ จนติดปาก ซึ่งลายแต่ละลายจะมีเทคนคิ วธิ ีการตีท่แี ตกตา่ ง ไม้มะหาดมีเน้ือไม้แห้งสนิท เพราะไม้ดังกล่าวจะไม่อม กันตามความสามารถ ประสบการณ์ของแต่ละคนในการ ความช้ืน เสียงก็จะออกมาในลักษณะท่ีกังวานสดใส ตลี ายโปงลาง ซง่ึ ในลายเดยี วกนั แตต่ า่ งคนตี ลายกจ็ ะออกมา ท่ีสำ�คัญคือความสมบูรณ์ของเครื่องหรือที่ภาษา ไม่เหมือนกัน และในกรณีท่ีคนตีโปงลางคนเดียวกัน พื้นบ้านอีสาน เรียกว่า “ตามสูตร” ถ้าช่างท่ีทำ�มี เพลงเดียวกัน แต่ต่างวาระโอกาสและสถานที่ จะพบว่ามี ประสบการณ์ในการทำ�โปงลางมานานหลาย ๆ ปี ท�ำ นองลายโปงลางผดิ เพยี้ นแตกตา่ งกนั อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั เชน่ จะท�ำ ใหเ้ สยี งของโปงลางมคี วามคมชดั ในนาํ้ เสยี งมากขนึ้ ลายโปงลาง จะมีทิศทางการเคลื่อนท่ีของตัวโน้ต คือ และประการสุดท้ายท่ีสำ�คัญท่ีสุดคือ ความสามารถ ถา้ เรม่ิ ตน้ โนต้ ตวั ใดตวั หนงึ่ แลว้ คยี โ์ นต้ ตวั ที่ ๒ สงู ขน้ึ โนต้ ตวั ท่ี ของคนตโี ปงลาง ซงึ่ จะเปน็ ผูถ้ า่ ยทอดอารมณค์ วามรู้สกึ ๓ จะตํา่ ลง และคยี ์โนต้ ตัวที่ ๒ ตา่ํ ลง โนต้ ตัวท่ี ๓ จะสงู ข้นึ ได้ถึงอารมณ์ของลายโปงลางในแต่ละลายได้มากน้อย การประสานเสียงของโปงลางนั้นถือว่าเป็น เพยี งใด องค์ประกอบท่ีสำ�คัญ แม้ว่าจะมีเสียงประสานปรากฏใน จุดเด่นประการหนึ่งของโปงลาง คือ หลายทำ�นอง แต่ในทำ�นองพ้ืนฐานถือว่าเป็นทำ�นองหลัก เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีสามารถเล่นเคร่ืองเดียวก็ได้หรือ จะเหน็ ไดว้ า่ ท�ำ นองเพลงจากเครอื่ งดนตรบี างชนดิ กส็ ามารถ เล่นร่วมกับเคร่ืองอื่นก็ได้ การเล่นร่วมกันกับเคร่ืองอื่น ทำ�เสียงประสานในตัวได้ เช่น แคน พิณ เป็นต้น เมื่อมี เชน่ พณิ แคน โหวด รวมไปถงึ เครอื่ งดนตรสี ากล โปงลาง ลายทำ�นองเพลงเปน็ ๒ เสียง (๒ แนว) พรอ้ มกัน เสยี งหน่ึง ก็สามารถเข้ากันได้อย่างไพเราะ เพราะโปงลางจะเป็น จะเป็นเสียงของแนวประสาน ทั้งนี้ ในการบรรเลงเพลง เครื่องดนตรีท่ีให้โน้ตของเพลงนั้น ๆ ปัจจุบันโปงลาง โปงลางก็จะได้ยินเสียงหลายเสียงในเวลาเดียวกัน น่ันคือ ไดเ้ ปน็ เครอ่ื งดนตรที แ่ี ทรกซมึ เขา้ ไปในโรงเรยี นใหน้ กั เรยี น มีแนวทำ�นองหลายแนว แต่ละแนวทำ�นองเกิดจาก ได้ฝึกและมีเวทีประกวด เช่น มหกรรมโปงลางที่ทาง การปรุงแต่งแนวทำ�นองของแต่ละเครื่อง และด้วยเหตุ จังหวัดกาฬสินธ์ุจัดข้ึนทุกปี เป็นเวทีที่เปิดให้นักเรียน ทโ่ี ปงลางสามารถมคี ปู่ ระสานไดม้ ากคู่ จงึ ท�ำ ใหก้ ารปรงุ แตง่ หรือเยาวชนไดแ้ สดงฝีมือทางการเล่นโปงลาง รวมไปถงึ แนวทำ�นองมีความสำ�คัญต่อการปรุงแต่งคู่ประสาน วงโปงลางสะออนที่โด่งดังไปทั่วประเทศ เม่ือโปงลาง อย่างไรก็ตาม เมื่อคู่ประสานปรากฏ ณ ท่ีใดย่อมจะต้อง เครื่องดนตรีอีสานกับเคร่ืองดนตรีสากลได้มาประสม มีแนวทำ�นองหนึ่งแนว และแนวที่เหลือซ่ึงอาจจะเป็น ประสานกัน จึงทำ�ให้คนไทยท่ัวประเทศได้รู้จักโปงลาง แนว ๑, ๒ หรอื ๓ กไ็ ดเ้ ชน่ กนั การประสานเสยี งของโปงลาง มากขึน้ ในแต่ละลายจะนิยมประสานในชั้นคู่ ๕ คือ จะใช้เสียง มี และ ลา เป็นเสียงประสาน โดยใช้การตีแยกมือจะทำ�ให้ เปดิ แนวท�ำ นอง ๒ แนว 16

ลักษณะของการแสดงโปงลางน้นั แบง่ ออกเป็น ๒ ลักษณะ คอื แบบเดย่ี วและแบบประสมวง แบบเดยี่ ว คอื มกี ารเลน่ เพยี งโปงลาง อย่างเดียวและใช้คนเล่นไม่เกินสองคนในกรณีที่บางเพลงต้องมีลูกคู่ หรอื เรยี กอกี อยา่ งวา่ การเสริ ฟ์ สว่ นแบบประสมวง จะมเี ครอ่ื งดนตรเี พมิ่ เขา้ มาเลน่ ผสมกบั โปงลาง เชน่ แคน โหวด ซอ พณิ กลอง เปน็ ตน้ แบบเดยี่ ว นน้ั นยิ มเลน่ ในการแขง่ ขนั ประชนั ฝมี อื ตามเวทกี ารประกวดตา่ ง ๆ สว่ นแบบ ประสมวงนยิ มเลน่ ตามงานเทศกาลตา่ ง ๆ เชน่ บญุ มหาชาติ งานบวชนาค บุญบัง้ ไฟ เป็นตน้ โปงลาง จึงเป็นดนตรีพื้นบ้านอีสานที่สามารถปรับประยุกต์ ใหเ้ ข้ากับสังคมปัจจุบัน และไดร้ บั ความนิยมอยา่ งสงู เน่อื งจากสามารถ บรรเลงได้ตั้งแต่เพลงพื้นบ้านโบราณและเพลงลูกทุ่งทั่วไป ตลอดจน เป็นวัฒนธรรมบันเทิงของชาวอีสาน ซ่ึงสามารถประสมวงด้วย เครอื่ งดนตรพี น้ื บา้ นทกุ ประเภท คอื ดดี สี ตแี ละเปา่ ไดแ้ ก่ พณิ ซออสี าน กลองยาว กลองร�ำ มะนา แคน โหวด และเครื่องประกอบจังหวะตา่ ง ๆ ร่วมวงบรรเลง ประกอบกับการแสดงฟ้อนอีสาน เสียงของโปงลาง ทำ�ให้เกิดจินตนาการเห็นภาพวิถีชีวิตของชนบทชาวอีสาน ซึ่งเป็น สังคมเกษตรกรรมท่ีต้องต้อนวัวควายออกไปเลี้ยงตามทุ่งนาป่าเขา เมอ่ื ถงึ ตอนเยน็ กต็ อ้ งกลบั เขา้ คอกอยเู่ ปน็ ประจ�ำ เสยี งของโปงบนคอควาย จะดังก้องท่ัวท้องทุ่ง ความโดดเด่นของเสียงโปงลางท่ีมีลักษณะเสียง ท่ีเป็นธรรมชาติน้ัน เม่ือนำ�โปงลางมาบรรเลงประสมกับเครื่องดนตรี พืน้ บา้ นอสี านช้นิ อ่ืน ๆ ท�ำ ให้เกดิ วงดนตรพี น้ื บา้ นอสี าน “วงโปงลาง” ท่ีมีลักษณะเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะและเป็นที่นิยมโดยทั่วไป และ ดว้ ยมกี ารแสดงโปงลางมานานจนกระทง่ั ในปจั จบุ นั ไดม้ จี �ำ นวนวงดนตรี ชนิดนี้มากขึ้นแล้วเป็นท่ีนิยมชื่นชมของคนในท้องถ่ิน ตลอดทั้ง นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน จึงสามารถกล่าวได้ว่า “โปงลาง” เป็นอัตลักษณ์ที่สำ�คัญอย่างหน่ึงของศิลปะการแสดงของ ชาวอีสาน ซ่ึงสมควรได้รับการส่งเสริมและรักษาไว้ให้เป็น มรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยท้ังชาติ 17

กลองอดื เปน็ เครอ่ื งดนตรพี นื้ บา้ น กลองอืด ชนิดหนึ่งของภาคเหนือ ส่วนใหญ่จะพบมากท่ี ชือ่ เรียกในทอ้ งถน่ิ อำ�เภอแม่สอด จังหวัดตาก สันนิษฐานว่า ตีกลองอดื ลา้ นนา คนเมืองตากส่วนหนึ่งอพยพมาจากภาคเหนือ ลกั ษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม ไดแ้ ก่ เชยี งใหม่ ล�ำ พนู แมฮ่ อ่ งสอน ตามแนวสนั เขา ศลิ ปะการแสดง ทางภาคตะวนั ตก และยา้ ยมาอยทู่ อ่ี �ำ เภอทา่ สองยาง ประเภท อำ�เภอแม่ระมาด อำ�เภอแม่สอด และส่วนหนึ่ง รายการตัวแทนมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม ไปอยทู่ อ่ี �ำ เภออมุ้ ผางของจงั หวดั ตากโดยไดน้ �ำ เอา จงั หวัดผ้เู สนอขอ้ มูลข้นึ บญั ชี วฒั นธรรมตา่ ง ๆ ติดตัวมาด้วย ซง่ึ คณะกลองอดื จังหวดั ตาก ที่มีช่ือเสียง ได้แก่ คณะกลองอืด วัดห้วยแก้ว พ้ืนทป่ี ฏบิ ตั ิ คณะกลองอืดวัดไทยสามัคคี และคณะกลองอืด อำ�เภอแม่สอด จังหวัดตาก วดั มงคลนมิ ติ ร เหตทุ เ่ี รยี กวา่ “กลองอดื ” เพราะเสยี งกลอง ท่ีดังกังวานยาวนาน หรือเรียกตามเสียงที่ได้ยิน โดยทั่วไปวา่ เสียงอืดหรอื เสยี งลกู ปลาย กลองอดื มลี กั ษณะคลา้ ย “กลองหลวง” แตม่ ขี นาดยาวกวา่ หน้ากลองขึงด้วยหนังข้างเดียว ตัวกลองทำ�ด้วย ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ และไม้แดง เป็นต้น โดยกลองอืดน้ีเป็นกลองชนิดเดียวกับ “กลองแอว”

กลองอืดใช้ประกอบการฟ้อนเล็บ แห่ขบวน พิธีมงคลทางศาสนา พิธีสำ�คัญต่าง ๆ เช่น การแห่น�ำ ขบวนประเพณที อดกฐนิ แหผ่ ้าปา่ พิธีสืบสาน ประเพณีตานก๋วยสลากหรือสลากภัต สำ�หรับเคร่ือง ประกอบจังหวะกลองอืดในจังหวัดตาก ประกอบด้วย กลองอดื ๑ ลกู กลองตะโลด้ โปด๊ ๑ ลกู ฆอ้ งโหมง่ ๓ - ๔ ลกู ฆอ้ งหยุ่ ๑ ใบ แนนอ้ ย (ปี่มอญ) ๑ เลา แนหลวง ๑ เลา ฉาบ ๑ คู่ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะความเชื่อท่ีว่า เสียงของกลองอืดมีความดังกังวาน การทำ�ส่ิงใดย่อม ประสบผลสำ�เร็จมีชื่อเสียงไปไกล สำ�หรับสถานท่ี เก็บรักษากลองอืดจะถูกเก็บไว้ท่ีวัด อย่างไรก็ดี การตีกลองอืดในจังหวัดตากแม้จะได้รับวัฒนธรรม จากภาคเหนือตอนบน แต่ก็เป็นเพียงความคล้ายคลึง เท่าน้ัน เพราะจังหวะการตีกลองอืดของจังหวัดตาก จะมีจังหวะลูกเล่นลูกไม้เร็วกว่าทางภาคเหนือ ทั้งนี้ ขน้ึ อยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคข์ องการตกี ลองอดื ประกอบจงั หวะ ต่าง ๆ เช่น การฟ้อน จังหวะของกลองอืดก็จะช้าลง เป็นตน้ สำ�หรับจังหวะการตีกลองอืดจังหวะหลัก ท่ารำ�ประกอบจังหวะของกลองอืด จะตีด้วยมือ เสียงออกมาเป็น “ทุ่ม ทุ่ม ทุ่ม” ในจงั หวดั ตาก จะมลี กั ษณะร�ำ แบบพนื้ เมอื งคลา้ ยของ เสียงทุ่มนั้นเป็นเสียงกลองอืด และมีเสียง ชาวไทใหญ่ ท่ีไม่ใช้ท่าฟ้อนของภาคเหนือท้ังหมด “ตอ๊ ก ตอ๊ ก ตอ๊ ก” จากกลองตะโลด้ โปด๊ ตสี ลบั กนั ไป เพราะลักษณะการฟ้อนแบบภาคเหนือจะมีจังหวะ ไดเ้ สยี ง “ทมุ่ ตอ๊ ก ตอ๊ ก ตอ๊ ก ทมุ่ ตอ๊ ก ตอ๊ ก ตอ๊ ก ทมุ่ ” ทค่ี อ่ นขา้ งชา้ ส�ำ หรบั ทา่ ร�ำ ในจงั หวดั ตากจะมลี กั ษณะ ตสี ลบั กนั ไป ถา้ ไมม่ กี ลองตะโลด้ โปด๊ กจ็ ะใชม้ อื ตสี ลบั เป็นการรำ�ประกอบการต่อสู้ ในลักษณะท่าตบมือ ขัดเป็นเสียง “ปะ ปะ ปะ” สลับกันไปได้เสียง ตบเขา่ ตบแขน และทา่ ร�ำ เลยี นแบบลกั ษณะของสตั ว์ “ปะ ปะ ทมุ่ ปะ ปะ ปะ ทุม่ ปะ ปะ ปะ ทุ่ม” ต่าง ๆ ส่วนลักษณะการฟ้อนจะมี ๒ ลักษณะ คือ ใหเ้ กดิ เสยี งทเ่ี รา้ ใจขน้ึ ควบคไู่ ปกบั การตฆี อ้ งโหมง่ คกู่ บั ร�ำ พนื้ เมอื งประกอบจงั หวะ และฟอ้ นร�ำ เจงิ ประกอบ ฉาบใหญไ่ ด้เสยี ง “โหมง่ แช่ โหมง่ แช่ โหมง่ แช่ ท่าต่อสู้ ซึ่งประกอบด้วย ฟ้อนข้ึนครู ท่านาคราช แช่ โหม่ง แช่ โหม่ง แช่ โหมง่ แช่ แช่ โหมง่ ” ๑ ท่า ช้างกอดงวง ๑ ท่า กวางเหลียวหลัง ๑ ท่า สลับกันไปอย่างนี้ ท้ังกลองอืดและฆ้องโหม่งนั้น เต่าลงหนอง ๑ ท่า ท่าเล่นตัดขากาตัดปีก ๑ ท่า จะตีตบจังหวะเพ่ือบอกจังหวะยืน ส่วนกลอง ต่อเนอ่ื งกันไป ตะโล้ดโป๊ดกับฉาบใหญ่ จะเป็นเคร่ืองดนตรี ท่ีสลับขน้ั กับกลองอืดและฆอ้ งโหม่งอีกที 19

จงั หวะการตีกลองอดื เสียง “ทมุ่ ” คือ การตกี ลองอืดและตฆี อ้ งโหมง่ พร้อม เสยี ง “ตอ๊ ก” คือ การตกี ลองตะโล้ดโปด๊ ขดั กับกลองอดื เสียง “แช่” คือ การตีฉาบขัดกับกลองอดื ในเทศกาลงานบุญต่าง ๆ ประชาชน จะเดนิ ทางกลบั ภมู ลิ �ำ เนา โดยมวี ดั เปน็ ศนู ยก์ ลางทาง วฒั นธรรม รวมท้ังเป็นทีต่ ั้งกลองอดื เมื่อมเี ทศกาล งานบุญจะต้องได้ยินเสียงกลองอืด บรรดาผู้ใหญ่ และเยาวชนจะรวมกลุ่มกันท่ีวัด เพ่ือซักซ้อม ตกี ลองอดื และการฟอ้ นร�ำ โดยในชว่ งเดอื นเมษายน ของทกุ ปจี ะมกี ารตกี ลองอดื ประชนั กนั ระหวา่ งชมุ ชน คณะกลองอดื ในแตล่ ะชมุ ชนจะประกอบดว้ ยผใู้ หญ่ และเยาวชนสลับสับเปลี่ยนกันตี ก่อนการประชัน กลองอืดจะมีการรวมกลุ่มฝึกซ้อม เพราะกลองอืด เป็นกลองขนาดใหญ่ยาวกว่ากลองชนิดอื่น ดังน้ัน การตกี ลองอดื จ�ำ เปน็ ตอ้ งใชผ้ า้ พนั ไวก้ บั มอื ทต่ี ี แลว้ ใช้ มืออีกข้างหนึ่งคอยขัดจังหวะ ซ่ึงในการตีกลองอืด แต่ละคร้ังต้องใช้พละกำ�ลังมาก สำ�หรับหลักเกณฑ์ การประชันกลองอืดจะประกอบไปด้วย ๑) การตี ที่ต่อเนื่องและเป็นจังหวะ ๒) เสียงของกลอง ท่ีดังกังวาน และ ๓) เสียงอืดที่ครางนานต่อเน่ือง โดยเมื่อมีการประชันกลองอืด คณะผู้แข่งขันจะมี การร่ายรำ�ประกอบ เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ในการประชัน จงึ ส่งผลให้วถิ ชี ุมชนล้านนามักจะมี การฟอ้ นร�ำ ประกอบการตกี ลองอดื ในแตล่ ะชมุ ชน จึงมีการฝึกซ้อมเยาวชนในการฟ้อนรำ�เจิงหรือ ฟอ้ นร�ำ ตา่ ง ๆ และมกี ารสง่ ตอ่ ผลดั เปลย่ี นวฒั นธรรม ดงั กลา่ วจากรุ่นสูร่ นุ่ 20

รำ�มอญ “รำ�มอญ” ถือว่าเป็นนาฏศิลป์ของ ช่อื เรียกในท้องถิ่น ชาวรามัญ (ชาวมอญ) ซ่ึงมีประวัติความเป็นมา รำ�ยํา่ เทย่ี ง หรือ เละ่ ฮ์โหม่น หรอื ปัวฮะเปิ้น ที่ยาวนาน มีวิถีชีวิต จารีต ขนบธรรมเนียม ลักษณะของมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ประเพณีอย่างชัดเจน ด้วยความที่มีอัตลักษณ์ ศลิ ปะการแสดง เด่นชัดและมีความเป็นตัวตนสูง ถึงจะอพยพย้าย ประเภท ถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น ๆ แต่ก็ยังปรากฏงานกิจกรรม รายการตวั แทนมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม ประเพณีของมอญจนถึงทุกวันน้ี โดยในส่วนของ จังหวดั ผ้เู สนอข้อมูลขึน้ บัญชี จังหวัดปทุมธานี จากการอพยพเข้ามาสู่จังหวัด จงั หวดั ปทมุ ธานี ปทมุ ธานหี ลายครง้ั ท�ำ ใหค้ นไทยทวั่ ไปจะเรยี กชาวมอญ พน้ื ที่ปฏิบัติ ท่ีอพยพเข้ามาในสมัยธนบุรีว่า “มอญเก่า” และ อำ�เภอสามโคก อำ�เภอเมือง เรียกชาวมอญท่ีอพยพในรัชกาลของพระบาทสมเด็จ อ�ำ เภอลาดหลุมแก้ว จงั หวดั ปทุมธานี พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั (รชั กาลท่ี ๒) วา่ “มอญใหม”่ ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส โลกาภิวัตน์ก็ตาม จากกลุ่มชาติพันธ์ุมอญท่ีอพยพ เข้ามารุ่นแรกจนปัจจุบันได้กลายเป็นคนไทยเช้ือสาย มอญ แต่วัฒนธรรม จารตี ขนบธรรมเนียมประเพณี ก็ยังคงถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ประพฤติปฏิบัติกัน อย่างเคร่งครัด เช่น การนับถือพระพุทธศาสนาและ การนับถือผี “รำ�มอญ” ก็เช่นเดียวกัน ยังคงนิยม สำ�หรับกลุ่มคนไทยเช้ือสายมอญที่นำ�ไปแสดงใน กจิ กรรมประเพณี เช่น ประเพณีสงกรานต์ โดยเฉพาะ อย่างยงิ่ ในประเพณงี านศพ ดังน้ัน “รำ�มอญ” จงึ เป็น ศิลปะการแสดงท่ีได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ชาวมอญ ซึ่งอพยพมาอยู่ที่อำ�เภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี คำ�ว่า “รำ�” มาจากการรำ�ของ ชนชาติมอญ จงึ มักเรียกว่า “ร�ำ มอญหรือมอญร�ำ ” 21

รำ�มอญแต่เดิมรำ�ได้ทุกโอกาส โดยยึดถือ ชาวมอญนิยมการฟ้อนรำ�เป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่าชาวมอญได้รับการถ่ายทอดท่ารำ�จากบิดา เป็นแบบแผนจากการรำ�ของชนชาติมอญในประเทศมอญ มารดา หรือบรรพบุรุษทุกครัวเรือน และฝังลึกอยู่ใน และเป็นท่ีนิยมของชนชาติมอญ ด้วยท่วงทีลีลาที่อ่อน วถิ ชี วี ติ ของชาวมอญ ทว่ งทา่ ลลี าทา่ ร�ำ จะเรยี บงา่ ยและ ชอ้ ยงดงาม มดี นตรที ว่ งทำ�นองเพลงทไี่ พเราะ การฟ้อนร�ำ มีท่ารำ� ๑๓ ท่าหลัก ในแต่ละเพลงจะมีท่ารำ�เฉพาะ เป็นที่นิยมในวังเจ้านายในสมัยโบราณ โดยสมเด็จพระเจ้า ด้วยท่วงท่าลีลาท่ีเป็นแบบแผน ดังน้ัน จึงอาจกล่าว บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ บรพิ ตั รสขุ มุ พนั ธ์ุกรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ติ ไดว้ า่ บรรพบรุ ษุ ชาวมอญไดส้ บื ทอดศลิ ปะการร�ำ มอญ ได้โปรดให้จัดป่ีพาทย์มอญและรำ�มอญไปแสดงในวังของ ที่เป็นแบบแผนให้แก่ลูกหลานสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ แต่ต่อมาในระยะหลังการรำ�มอญเร่ิมเปลี่ยนไป เม่ือมีโอกาสในการรำ�ก็จะสามารถรำ�ได้ในท่วงท่า โดยประชาชนเรม่ิ น�ำ การร�ำ มอญมาใชร้ �ำ ในงานศพ ซง่ึ สว่ นใหญ่ ทเี่ หมอื นกนั สอดคลอ้ งและพรอ้ มเพรยี งกนั ดว้ ยเหตผุ ล จะเป็นงานศพของพระผู้ใหญ่ในท้องถ่ิน ซ่ึงจะจัดงาน ท่ีว่าท่ารำ�จะมีท่าท่ีเป็นเอกลักษณ์และบ่งบอกความ อย่างยิ่งใหญ่มาก เพราะถือว่าได้บุญเป็นการส่งขึ้นสวรรค์ เป็นชนชาติมอญ การรำ�มอญนี้จะเห็นเป็นรูปธรรม ในพธิ จี ะสรา้ งเมรลุ อยทรงปราสาทและโลงศพแบบมอญ คอื เชิงประจักษ์ในพิธีศพได้ชัดเจนและเป็นที่นิยม ปลายบานกน้ สอบ มฝี าครอบเปน็ ยอดปราสาท ประดบั ดว้ ย แพร่หลายในจังหวัดปทุมธานีและจังหวัดใกล้เคียง กระดาษสี ตดั ฉลอุ ยา่ งวจิ ติ รสวยงาม มมี หรสพสมโภช ๗ วนั ลกั ษณะและลลี าทา่ ร�ำ จะเนน้ ทก่ี ารยนื เหลอื่ มสลบั เทา้ ๗คนื ปพ่ี าทยม์ อญประโคมมอญร�ำ มอญรอ้ งไห้จดุ ดอกไมไ้ ฟ ยืดยบุ เทไหล่ บิดลำ�ตัว ขยับเรียงเท้า แลว้ เปลีย่ นมอื และจดุ ลกู หนู เพราะถอื วา่ เปน็ งานมงคล รว่ มยนิ ดกี บั ผตู้ าย ในท่วงท่าต่าง ๆ ท่ีมีท่ารำ�เฉพาะในแต่ละเพลง ท่ีได้ไปสู่สุขคติ บทบาทของรำ�มอญ ไม่เฉพาะในชาวไทย ในการเปล่ียนท่ารำ�จะฟังทำ�นองเพลงและลงตาม เชอ้ื สายมอญเทา่ นนั้ แตก่ เ็ ปน็ ทน่ี ยิ มของคนไทย และคนไทย จงั หวะหน้าทบั โดยฟงั เสยี งตะโพนเป็นหลัก เช้ือสายจีนอีกด้วย ดังท่ีปรากฏในงานบำ�เพ็ญมหากุศลแด่ ดนตรีป่ีพาทย์มอญท่ีบรรเลงประกอบ พระบรมศพสมเดจ็ พระนางเจา้ ร�ำ ไพพรรณี พระบรมราชนิ ี การรำ�มอญประกอบพิธีศพเป็นเพลง ๑๒ ภาษา ในรชั กาลที่ ๗ ทม่ี ีรำ�มอญไปรว่ มแสดงในงานนนั้ ด้วย หรือเรียกว่าเพลงยํ่าเที่ยง ซึ่งมีทำ�นองเพลงท้ังหมด ๑๒ ทำ�นอง หรือ ๑๒ ภาษา เป็นเพลงที่ครูเจิ้น ดนตรีเสนาะ และครูมงคล พงษ์เจริญ ร่วมกัน สร้างสรรค์ขึ้น มีท่วงทำ�นองกำ�หนดเป็นแบบแผน ตายตัว ลักษณะของเพลงมอญย่ําเที่ยงนั้นจะมี ลักษณะเฉพาะบอกเวลาเช้า เท่ียง ค่ํา ทำ�นองเพลง และลีลาท่ารำ�จะมีหลากหลายแล้วแต่ผู้บรรเลง ทส่ี ลบั สบั เปลย่ี นมาบรรเลง และผรู้ �ำ แตล่ ะคนจะมาร�ำ เพ่ือเคารพผู้วายชนม์ แล้วผู้มาใหม่ก็จะรำ�ตามกันไป เพอื่ ความพรอ้ มเพรยี ง ตอ่ มาไดม้ ผี จู้ ดั ท�ำ นองเพลงและ ท่ารำ�ให้เป็นระเบียบแบบแผนเดียวกัน จะเห็นได้ว่า วงป่ีพาทย์มอญแต่ละคณะจะบรรเลงเพลงยํ่าเที่ยง หรือเพลง ๑๒ ภาษา ในทำ�นองเพลงใกล้เคียงกัน ในระยะตอ่ มาเพลงทใี่ ชบ้ รรเลงประกอบการร�ำ ยา่ํ เทยี่ ง มีท้ังหมด ๑๒ เพลง แม้บางคณะได้ลดเพลงบรรเลง ลงไปเหลือเพียง ๗ เพลง แล้วกต็ าม ส�ำ หรับชอ่ื เพลง ที่ใช้ประกอบการรำ�นั้น จะมีช่ือเรียกท่ีต่างกันเพราะ ชื่อเพลงรำ�มอญของเดิมนั้นเรียกเป็นภาษามอญและ 22

มีจำ�นวนเพลงบรรเลงประกอบการรำ�ถึง ๑๒ - ๑๓ เพลง ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วขา้ งตน้ แลว้ วา่ ร�ำ มอญเปน็ วถิ ชี วี ติ เลยเป็นการยากที่จะจดจำ� ส่วนใหญ่จะใช้เรียกตามลำ�ดับ ของชาวไทยเชอื้ สายรามัญ เปน็ วฒั นธรรมของชาวมอญ ของเพลง เช่น เพลงท่ี ๑, ๒, ๓, เป็นตน้ ท่ีสืบทอดกันมาทุกครัวเรือน กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งท่ีอยู่กับ การร�ำ จะด�ำ เนนิ ไปเรอ่ื ย ๆ ดว้ ยจงั หวะตะโพนและ ชาวมอญต้ังแต่เกิดจนตาย ซ่ึงชาวมอญทุกคนได้รับ เปิงมางคอก โดยรำ�ให้ลงจังหวะกลอง “ทึงทิ้ง” ชาวมอญ การปลูกฝังและสืบทอดกันมา การพบปะสังสรรค์กัน ทเี่ ดนิ ทางมารว่ มในงานศพจะเขา้ รว่ มร�ำ มอญในทว่ งทา่ ตา่ ง ๆ หรือการร่วมประเพณีของชาวมอญก็จะร้องรำ�ทำ�เพลง การรำ�มอญดังกล่าวไม่ใช่เป็นการรำ�เพื่อการแสดง แต่เป็น รว่ มกนั และมคี วามภาคภมู ใิ จทเ่ี ปน็ สว่ นหนง่ึ ในการสบื สาน การร�ำ เพอื่ สกั การะผวู้ ายชนมด์ ว้ ยความเคารพ เมอ่ื ชาวมอญ ดังน้ัน การแต่งกายรำ�มอญก็จะแต่งกายตามแบบของ คนอน่ื ๆ มากจ็ ะเขา้ มารว่ มร�ำ คนทเี่ หน่ือยแลว้ ก็จะออกมา ชาวมอญในลกั ษณะที่เป็นชาวบา้ น มสี ีสันที่หลากหลาย ช่วยงานในงานศพ ดนตรีป่ีพาทย์มอญท่ีบรรเลงประกอบ สวยงามตามแบบชาวบ้าน ในทุกงานตามประเพณี การแสดงกจ็ ะมผี บู้ รรเลงหลายชดุ สลบั สบั เปลย่ี นกนั บรรเลง ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืองานอวมงคล ก็จะแต่งกาย เนอื่ งจากตอ้ งบรรเลงกนั ในงานทง้ั เวลากลางวนั และกลางคนื สีสันต่าง ๆ แต่เดิมการรำ�มอญผู้รำ�จะเป็นชาวมอญ ด้วยเหตุผลท่ีว่าผู้มาร่วมพิธีศพจะทยอยกันมา ปัจจุบัน ทมี่ างานศพมจี ดุ ประสงคท์ จี่ ะมาร�ำ เพอ่ื เคารพผวู้ ายชนม์ รปู แบบการร�ำ ยาํ่ เทย่ี งหรอื ร�ำ มอญกลายมาเปน็ การแสดงใน เน่ืองจากชาวมอญไม่ถือเป็นกฎเกณฑ์ท่ีว่าไปงานศพ งานศพ โดยศิลปินของคณะวงป่พี าทย์มอญน้ัน ๆ แทนท่ี แลว้ ตอ้ งสวมชดุ ดำ� แตจ่ ะแตง่ กายดว้ ยสที ี่ตนชอบแมใ้ น จะเป็นชาวบ้านท่ีมาในงานศพแบบอดีต รวมถึงมีการลด การร�ำ เคารพผู้วายชนม์ ทอนเพลงลงคงเหลอื เพียง ๗ เพลง โดยเรมิ่ ตงั้ แตเ่ พลงที่ ๗ ต่อมาลักษณะการรำ�เปล่ียนไปเป็นลักษณะ จนถึงเพลงที่ ๑๓ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ท่ารำ�มอญจึงมีการ ของการแสดงรำ�มอญหน้าศพในการสวดศพหรือ ปรบั เปล่ียนไป อยา่ งไรกต็ าม ท่ารำ�ยงั คงร�ำ ท่าละ ๑ เพลง ในการเผาศพ ลักษณะการแต่งกายก็จะมีลักษณะสีสัน รวม ๗ ทา่ แลว้ ตอ่ ดว้ ยเพลงเบด็ เตลด็ ชดุ นาฏศลิ ปไ์ ทย ทง้ั น้ี และรูปแบบเหมือนกันเป็นคณะ และด้วยค่านิยมที่ว่า เพ่ือต้องการให้ผู้มาในงานเห็นว่าผู้แสดงมีความสามารถ ต้องแต่งกายสีดำ� ดังน้ัน ผู้รำ�มอญก็จะแต่งกายชุดดำ� หลากหลาย มใิ ชร่ �ำ มอญได้อย่างเดยี ว และอกี ประเด็นหน่ึง ห่มสไบสีขาว แต่ก็ยังคงแต่งกายเลียนแบบสาวมอญ คอื ท่วงท่ารำ�มอญค่อนข้างชา้ เนิบนาบ และดว้ ยขอ้ จ�ำ กัด คือ สวมเสื้อคอกลมแขนกระบอก นุ่งผ้าซ่ินลายทาง ของเวลา จงึ ท�ำ ใหท้ า่ ร�ำ มกี ารเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ หากไม่ ลงยาวกรอมเท้า ห่มสไบผืนเล็ก ซ่ึงมีช่ือแตกต่างกัน อนุรักษท์ า่ รำ�เดมิ ทเ่ี ปน็ แบบแผนไว้ก็จะสูญหายไปในท่สี ุด ตามทอ้ งถิน่ คอื ยาดหะเหร่ิมโตะ๊ หรือ ย่าดโตด๊ หรือ เหตุผลอีกประเด็นหนึ่งท่ีการรำ�มอญนิยมใช้ใน ยา่ ดแกระ พาดบา่ การหม่ สไบเฉยี งเรยี กตามภาษาเขยี นวา่ งานศพ อาจเป็นเพราะว่าเคร่ืองดนตรีที่ใช้ประกอบการรำ� “ยา่ ดกะเนะห”์ ซง่ึ มคี วามหมายวา่ หม่ สไบเฉยี งพาดบา่ คือ วงปี่พาทย์มอญ ซ่ึงมีเสียงโหยหวน ทำ�นองเยือกเย็น หรือคล้องคอปล่อยห้อยมาทางข้างหน้า หรือห้อยสไบ จังหวะช้า เนิบนาบ เหมาะกับการบรรเลงในงานศพ พาดไหลซ่ า้ ยชายเดยี ว เกลา้ ผมมวยทท่ี า้ ยทอย ลอ้ มประดบั ประกอบกับชนชาติมอญได้สูญสลายและอพยพไปอยู่ใน ด้วยดอกมะลิ ทัดดอกไม้หรือสวมกำ�ไลเท้า การรำ� ประเทศต่าง ๆ จึงมีความโศกเศร้า การแสดงในโอกาส ในงานศพก็จะแต่งด้วยชุดสีดำ�สไบสีขาวเป็นชุดแรก งานรน่ื เรงิ มจี �ำ กดั หากจะร�ำ กเ็ พอ่ื บง่ บอกความเปน็ เอกลกั ษณ์ ชุดต่อไปจะเป็นชุดสีต่าง ๆ เช่น สีเขียว สีแดง หรือ ของชนชาตมิ อญและเพอื่ มาพบปะกนั ในหมญู่ าตมิ ติ รสหาย สีชมพู เป็นต้น สวมเครื่องประดับมุก ส่วนผู้ชาย ในงานศพ แล้วร่วมกันรำ�มอญเพ่ือสักการะผู้วายชนม์ จะนุ่งโสร่งหรือนุ่งโจงกระเบนลอยชาย สวมเส้ือสีพ้ืน บรรยากาศแหง่ การรำ�กจ็ ะเป็นไปด้วยความเศรา้ โศก ใช้ผ้าคล้องคอหรือผ้าพาดไหล่ คาดเข็มขัดนาค และ สวมเครื่องประดับทอง 23

วตั ถุประสงคใ์ นการร�ำ มอญหรือมอญรำ�ในปัจจบุ นั นัน้ ยงั คงเนน้ ในประเด็นตา่ ง ๆ ดงั นี้ ๑) เพื่อเปน็ การเคารพผูท้ ่ลี ่วงลับ ๒) เพื่อแสดงถึงฐานะและบารมขี องผู้วายชนม์และเจา้ ภาพ ๓) เพ่ือเปน็ เพ่อื นผู้เผาศพ ๔) เพื่อสืบสานประเพณีนิยมท่ียดึ ถือมาถึงปจั จบุ นั ๕) เพอ่ื อนรุ ักษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมชนชาติมอญ ส�ำ หรบั ร�ำ มอญในปจั จบุ นั ของจงั หวดั ปทมุ ธานนี นั้ มคี ณะร�ำ มอญ เกดิ ขน้ึ มากมาย เนอ่ื งจากภาครฐั และเอกชนใหก้ ารสนบั สนนุ ร�ำ มอญไปแสดง ในกิจกรรมประเพณีและพิธีการต่าง ๆ ท่ีจัดข้ึน เช่น ประเพณีงานศพ ประเพณสี งกรานต์ กจิ กรรมตา่ ง ๆ เชน่ งานของดเี มอื งปทมุ ธานี งานกาชาด จังหวัดปทุมธานี เป็นต้น โดยมีการจัดต้ังสมาพันธ์ชาวไทยเช้ือสายรามัญ จังหวัดปทุมธานี ซ่ึงเห็นความสำ�คัญในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมมอญ มิให้สูญหายตามกาลเวลาและค่านิยมที่เปล่ียนไป โดยจัดทำ�เป็น ศนู ย์การเรยี นรู้ถา่ ยทอดให้ชนรุน่ หลังได้สบื ทอดตอ่ ไป จากทกี่ ลา่ วมาทงั้ หมดจะเหน็ ไดว้ า่ การร�ำ มอญนน้ั มกี ารถา่ ยทอด จากรนุ่ หนง่ึ ไปสอู่ กี รนุ่ หนง่ึ โดยการจดจ�ำ ทม่ี คี วามคลา้ ยคลงึ กนั ซง่ึ แสดงถงึ ท่ีมาของกระบวนการรำ�มอญว่าน่าจะมีแหล่งท่ีมาเดียวกัน แต่จะกล่าวว่า ชุมชนใดเป็นแหล่งต้นฉบับของการรำ�ก็ไม่สามารถจะชี้เฉพาะเจาะจง หรือบอกได้ว่าใครเป็นผู้นำ�มาได้ ส่วนความแตกต่างน้ันน่าจะเป็นแนวคิด ของผู้ทีถ่ า่ ยทอดกระบวนการรำ� ถงึ แม้ว่าผูท้ ่ถี ่ายทอดจะได้รบั การถ่ายทอด กระบวนการรำ�ตามแบบแผนดั้งเดิมก็ตาม แต่ก็ย่อมนำ�แนวคิดที่ตน ได้คิดสร้างสรรค์เอาไว้มาผสมผสานให้สอดคล้อง ทำ�ให้เกิดความสมบูรณ์ และสวยงามตามความต้องการของสภาพแวดลอ้ มค่านิยมในชว่ งขณะนน้ั 24

ร�ำ ตร๊ด “รำ�ตร๊ด” บางท้องถิ่นเรียกว่า ชอ่ื เรยี กในทอ้ งถ่ิน “เรือมตรด” คือ “รำ�ตรุษสงกรานต์” ร�ำ ตรด๊ เรอื มตรด๊ ร�ำ ตรษุ เรอื มตรษุ เลงตร๊ด ลงี ตร๊ด เป็นการละเล่นพื้นบ้านในพ้ืนท่ีอีสานใต้มา ลกั ษณะของมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม ต้ังแต่โบราณ มีความเชื่อว่าเป็นการละเล่น ศลิ ปะการแสดง เพ่ือความสนุกสนานในวันขึ้นปีใหม่สมัยก่อน ประเภท ท่ีใช้เดือนเมษายนของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ รายการตัวแทนมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม โดยเฉพาะชาวไทยเชอ้ื สายเขมร ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ชน จงั หวดั ผเู้ สนอข้อมลู ข้นึ บญั ชี ท่ีใชภ้ าษาตระกูลมอญ - เขมรทเ่ี ข้ามาตัง้ ถิน่ ฐาน จงั หวดั สุรนิ ทร์ จังหวดั ศรีสะเกษ ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ - ๑๘ อีกท้ังรำ�ตร๊ด พื้นท่ปี ฏบิ ตั ิ ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา กลมุ่ ชาติพันธ์ุไทยเช้ือสายเขมรในพืน้ ท่ีทัว่ ไปของ โดยมพี ทุ ธต�ำ นานเลา่ วา่ สมยั ทพี่ ระพทุ ธเจา้ เมอ่ื ยงั จังหวดั สุรนิ ทร์ และพ้ืนทอ่ี �ำ เภอบึงไพร จงั หวดั ศรีสะเกษ คงเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ พระองคเ์ สดจ็ พระราชด�ำ เนนิ เพอื่ ทรงออกผนวช แตม่ มี ารแปลงกายเปน็ กวางทอง มาขัดขวางทางเสด็จพระองค์ เพื่อไม่ให้เดินทาง ออกผนวช พระโพธิสัตว์ทรงอธิษฐานข้ึน ทำ�ให้ สวรรคช์ นั้ เทวโลกบงั เกดิ ความรอ้ น เทวดาทง้ั หลาย จึงพากันแปลงกายเป็นนายพรานลงมาฆ่ากวาง ไดแ้ ลว้ รว่ มขบวนแหพ่ ระโพธสิ ตั ว์ไปทรงออกผนวช ไดส้ �ำ เรจ็ ตามความประสงค์ จงึ ท�ำ ใหม้ กี ารจดั แสดง รำ�ตร๊ดข้ึนจนกลายเป็นมรดกสืบทอดกันมาจนถึง ปัจจุบัน 25

ส่วนคตคิ วามคดิ อืน่ ๆ พบว่า รำ�ตร๊ดมคี วาม เมอ่ื พธิ ไี หวค้ รเู สรจ็ สนิ้ ลง กจ็ ะเรมิ่ ท�ำ การแสดง มีรูปแบบและวิธีการข้ันตอนต่าง ๆ คือ ผู้แสดงจะจัด เกย่ี วขอ้ งกบั ความเชอ่ื ทว่ี า่ เมอ่ื ใดทส่ี ตั วป์ า่ เขา้ มาในหมบู่ า้ น แถวตอนเรียงคู่ มีหัวหน้าคณะถือกันแชรนำ�ขบวน ถือว่าเป็นลางร้าย จะเกิดส่ิงที่ไม่ดี ต้องพบกับสิ่งชั่วร้าย เม่ือเร่มิ ตีกลอง “มียตรด” (พ่อเพลง/แม่เพลง) กจ็ ะเริม่ จงึ จดั แสดงร�ำ ตรด๊ ขนึ้ โดยมรี ปู ภาพสตั วป์ า่ ทกุ ชนดิ เพอ่ื ให้ ขบั รอ้ ง จากนนั้ ลกู คู่ (ผรู้ อ้ งตาม) หรอื ผแู้ สดงกจ็ ะรอ้ งรบั มีโอกาสได้ประพรมนํ้าอบ ทาแป้ง ทาน้ํามันให้แก่สัตว์ พรอ้ มกนั และรา่ ยร�ำ โยกไปทางซา้ ย - ขวา โดยไมม่ ที า่ ร�ำ เหล่านั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ได้ป้องกันไว้ก่อนแล้ว ท่ีเป็นแบบแผนแน่ชัดตามจังหวะกลองโทนกันตรึม เชื่อกันว่า ภายหลงั จากนน้ั หากมีสตั วป์ า่ เข้าไปในหมู่บา้ น และไม้ผูกกระพรวน (กันแชร) ซึ่งเจ้าของบ้านจะได้ยิน จะไมส่ ามารถบนั ดาลให้เกิดสิ่งชั่วรา้ ยได้ เสียงกลองน้ีดังแว่วมาแต่ไกล เม่ือคณะรำ�ตร๊ดไปถึง รำ�ตร๊ด นิยมเล่นเฉพาะเดือนเมษายนของทุกปี บ้านใคร ก็จะหยุดขบวนอยู่ที่หน้าบ้านและมีการร้อง เท่านั้น เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการตรากตรำ� บทเพลงขออนญุ าตเจา้ ของบา้ น โดยเฒา่ แกแ่ ละเจา้ บญั ชี ท�ำ งานหนกั มาเปน็ เวลานาน การร�ำ ตรด๊ นจ้ี ะรอ้ งร�ำ ไปตาม จะเขา้ ไปหาเจา้ ของบา้ น ยกพานดอกไมท้ นู หวั ไหวเ้ จา้ บา้ น หมู่บ้านทุกหลังคาเรือน เม่ือถึงบ้านใครเป็นธรรมเนียม ขออนญุ าต พรอ้ มบอกเหตผุ ลและจดุ ประสงคใ์ นการเลน่ เจ้าของบ้านจะออกมาต้อนรับและมอบจตุปัจจัย เจ้าบ้านจะรับไหว้และบอกอนุญาตให้เข้ามาเล่นได้ เครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภคตา่ ง ๆ ใหแ้ กผ่ เู้ ลน่ ร�ำ ตรด๊ เพอื่ รวบรวม เมอื่ เจา้ ของบา้ นอนญุ าตแลว้ คณะตรด๊ กจ็ ะรา่ ยร�ำ เขา้ ไป น�ำ ไปถวายวดั ต่อไป ในบริเวณบ้าน พ่อเพลงก็จะขับร้องบทเพลงเชิญชวน องค์ประกอบของการรำ�ตร๊ด ประกอบด้วย ให้เจ้าของบ้านบริจาคเงินทองหรือร่วมถวายของใช้ คณะ (ผู้แสดง) รำ�ตร๊ด ไม่จำ�กัดจำ�นวน ไม่จำ�กัดเพศ ตลอดจนข้าวปลาอาหารต่าง ๆ แล้วแต่ศรัทธา และวยั (ประมาณ ๓๐ คน) เครอ่ื งดนตรีหลกั คอื กลอง โดยเจ้าของบ้านก็จะจัดหานํ้าดื่ม สุรา พร้อมกับมอบ (โทนพ้นื เมอื ง) ไมผ้ ูกกระพรวน (กันแชร) ๑ อัน ฉ่ิง ฉาบ จตุปัจจัยหรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพ่ือร่วมทำ�บุญ กรบั และอาจมซี อพน้ื เมอื งหรอื ขลยุ่ ประกอบดว้ ย มยี ตรด ให้กับคณะตร๊ด จากน้ันพ่อเพลงและคณะรำ�ตร๊ด (พอ่ เพลง/แมเ่ พลงตรด๊ ) ๑ - ๒ คน ส�ำ หรบั ผลดั เปลยี่ นกนั ก็จะขับร้องบทเพลงอวยพรให้กับเจ้าของบ้าน และ เป็นชายหรือหญิงกไ็ ด้ ตงั เคา (เฒา่ แก่) ๑ คน เจ้าบญั ชี อาจมีการรา่ ยร�ำ เป็นวงกลม โดยมีพ่อเพลงและแม่เพลง (เหรญั ญิก) ๑ คน ผตู้ ิดตามสำ�หรบั ชว่ ยถอื สิ่งของทขี่ อได้ อยู่ตรงกลางวงล้อม จากนั้นก็จะขับร้องบทเพลงอำ�ลา ๒ - ๓ คน พานหรือขัน ๑ ใบ สำ�หรับใส่กรวยดอกไม้ เจา้ ของบ้านและออกเดนิ ทางไปยังบ้านถดั ไป เมือ่ ไปถงึ ๕ ดอก เทยี น ๑ คู่ หมากพลู ๕ ค�ำ บาตรพระ ส�ำ หรบั เรยี่ ไร ยังบ้านถัดไป คณะรำ�ตร๊ดก็จะดำ�เนินการแสดงตาม บริจาคเงิน และคันเบ็ด (ซันตูจ) พร้อมถุงเล็ก ๆ ไว้ที่ ขัน้ ตอนเดมิ อกี ครง้ั ปลายเบด็ เพอื่ รับบรจิ าคเงินหรอื ส่งิ ของท่มี ีขนาดเล็ก การแต่งกายนิยมให้สวยงามตามประเพณี กอ่ นออกแสดงร�ำ ตรด๊ ตอ้ งมกี ารไหวค้ รทู กุ ครง้ั ผู้หญิงนุ่งซ่ินไหม ผู้ชายนุ่งโสร่งหรือโจงกระเบนสีสัน ซ่งึ พิธไี หว้ครกู จ็ ะตอ้ งเตรยี มเครอ่ื งเซน่ ไหว้ ประกอบด้วย สวยงามรวมเปน็ คณะร�ำ ตรด๊ เคลอื่ นขบวนรอ้ งร�ำ ไปตาม ขันห้า ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ คู่ ผ้าขาวยาว ๕ ศอก หมบู่ ้านทุกหลงั คาเรือน การเลน่ ร�ำ ตร๊ด มีผ้รู อ้ งร�ำ เพลง ๑ พับ ไก่ ๑ ตัว สรุ าขาว ๒ ขวด เงนิ ๒๒ บาท ขน้ั ตอน เปน็ ตน้ บทรอ้ งน�ำ หรอื เรยี กวา่ พอ่ เพลงแมเ่ พลง คนอนื่ ๆ การประกอบพิธีไหว้ครู นักดนตรีนำ�ดนตรีทุกช้ินมาวาง เป็นผู้ร้องตามหรือเรียกว่า ลูกคู่ การละเล่นรำ�ตร๊ด รวมกัน หัวหน้าคณะ นักดนตรีและทุกคนในคณะนำ� ใช้เครื่องดนตรีกันตรึมในการบรรเลง ประกอบด้วย เครื่องไหว้ครูใส่ถาดหรือพานมาวางไว้ข้างเคร่ืองดนตรี กลอง (โทนพน้ื เมอื ง) ฉง่ิ ฉาบ กรบั กนั แชร จงั กรอ็ ง และ หัวหน้าคณะหรือผู้อาวุโสเป็นผู้ประกอบพิธี โดยเริ่มจาก ในบางหมบู่ า้ นอาจมซี อพน้ื เมอื ง หรอื เครอ่ื งใหท้ �ำ นองอน่ื ๆ การจุดธูปเทียนและสวดบทไหว้ครู เม่ือจบบทแล้วนำ� ประกอบ ทั้งนี้ ข้นึ อยูก่ บั ว่าหมูบ่ ้านไหนจะมผี ทู้ ่สี ามารถ สุราขาวเทใส่เคร่ืองดนตรีทุกช้ิน และเทลงพื้นดิน เลน่ เครอ่ื งดนตรชี นดิ ใดไดบ้ า้ ง แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม การละเลน่ บอกกล่าวครู อาจารย์ เทวดาอารักษ์ ขอให้เล่นดนตรี ร�ำ ตรด๊ จะตอ้ งมเี ครอ่ื งดนตรหี ลกั คอื กลอง (โทนพนื้ เมอื ง) ดว้ ยความราบรน่ื ไพเราะ ไมใ่ ห้มอี ุปสรรคแต่อยา่ งใด กันแชร ๑ อัน ฉ่ิง ฉาบ กรับ อยเู่ สมอ 26

จงั หวะการตกี ลองกนั ตรมึ ในการละเลน่ ละเล่น ได้แก่ ขั้นตอนพิธีไหว้ครู ขั้นตอนการขอ ร�ำ ตรด๊ อนุญาตเจ้าบ้านเพ่ือเข้าไปเล่นตร๊ดภายในบ้าน /- - - โจะ๊ / - โจะ๊ –ครมึ / --ครมึ โจะ๊ / ขั้นตอนการกล่าวการร้องขอให้เจ้าบ้านดูแล โจะ๊ -ครึม/ ต้อนรับคณะตร๊ดและร่วมบริจาคทำ�บุญ ข้ันตอน หรือ การอวยพรให้เจ้าบา้ น (เจา้ บ้านรดนํ้าให้พร) และ /- - - โจะ๊ / - โจ๊ะ – ครมึ / ครมึ – ครึม ขน้ั ตอนการอ�ำ ลาเจา้ บา้ น ซง่ึ ในแตล่ ะขน้ั ตอนกจ็ ะมี โจ๊ะ/ - โจ๊ะกันครมึ / บทร้องท่ีแตกต่างกันไปตามแต่จินตนาการของ พ่อเพลงและแม่เพลงที่จะด้นกลอนสดออกมา การละเล่นรำ�ตร๊ดของชาวบ้าน เป็นการร่ายรำ� ในช่วงเวลานน้ั ดังนั้น บทร้องประกอบการละเล่น โยกซา้ ย – ขวา ตามจังหวะกลอง และจะร่ายรำ�ทา่ เดยี วกัน ร�ำ ตร๊ดจงึ ไม่มีบทรอ้ งท่ีแนน่ อน เพราะเปน็ การดน้ ไปทั้งขบวนอย่างพร้อมเพรียง เมื่อเม่ือยล้าก็เปลี่ยนเป็น กลอนสดประกอบการบรรเลงดนตรตี ามสถานการณ์ อกี ทา่ หนง่ึ อยา่ งพรอ้ มเพรยี งเชน่ เดยี วกนั สลบั กนั ไปเรอ่ื ย ๆ และขน้ั ตอนของการละเลน่ ยกตวั อย่างเชน่ โดยในปัจจุบันเนื่องจากมีการแสดงรำ�ตร๊ดเผยแพร่ออก ตรด๊ คมา๊ ดดอ็ ลเฮย ตรด๊ คมา๊ ดดอ็ ลเฮย สู่ภายนอกมากขึ้น จึงมีการประดิษฐ์ท่ารำ�ท่ีเหมาะสม โกดเฮามจ่ะ โจลบานรอื เต สวยงามและสมบูรณ์เป็นแบบแผนในแต่ละพื้นที่ เช่น โจลแองเจยี แอง คลาดมดายนึงจี ทา่ เทพนม (เตบประนม) ทา่ สอดสรอ้ ยมาลา (ปรวงปะกา) โจลบาลรอื เต คะเนยี คมาดซามเซบิ ท่าพรหมสี่หน้า (เปรี๊ยะปรมโบนมุก) ท่าช้างสะบัดหญ้า ความหมายของบทร้องนี้ หมายถึง (ต�ำ เรยี จะจเุ๊ สมา) ทา่ ชา้ งชงู วง (ต�ำ เรยี ตลู ได) ทา่ สาลกิ ากางปกี การมาถึงของขบวนรำ�ตร๊ด ซ่ึงได้บอกกล่าว (ละกาแกวเลยี ดสลาบ) ทา่ ชา้ งเหลยี วหลงั (ต�ำ เรย็ กวนกรอย) เจ้าของบ้านเรือนต่าง ๆ ว่า ได้มาถึงแล้ว และ ท่าสอดสรอ้ ยสีท่ ศิ (ปรวงปะกาโบน) เป็นตน้ ต้องการท่ีจะขออนุญาตเข้าบ้านเพื่อบอกบุญ ส่วนการแสดงจะเป็นไปตามข้ันตอนของการ ทำ�บุญร่วมกัน โดยบอกจำ�นวนคนที่มาถึง และบอกถึงจุดประสงค์ที่มา ใช้ร้องในขั้นตอน ของการขออนญุ าตเจ้าบ้าน 27

จากท่ีกล่าวมาจึงเห็นได้ว่า “รำ�ตร๊ด” เ ป็ น ศิ ล ป ะ ก า ร แ ส ด ง พ้ื น บ้ า น ที่ นิ ย ม เ ล่ น เ ฉ พ า ะ เดือนเมษายนของทุกปีเท่านั้น เพื่อเป็นการบอกบุญ ด้วยการร้องรำ�ทำ�เพลงไปตามบ้านต่าง ๆ ในปัจจุบัน มีการอนุรักษ์สืบทอดรำ�ตร๊ดของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย – เขมร ถึงแม้ว่าจะเป็นรูปแบบการแสดงท่ีมีการพัฒนา ขน้ึ ใหม่ทง้ั ขอ้ มลู เนอ้ื เรอื่ งความเปน็ มารปู แบบการแสดง ท่ารำ� ดนตรี เพลงและการแต่งกาย แต่ก็ยังคงยึด เอกลักษณ์ของรำ�ตร๊ดในอดีตเป็นสำ�คัญ ตลอดจน การรวบรวมและเผยแพร่องค์ความรู้ในรูปแบบ หลักสูตรท้องถ่ินศิลปะการแสดงรำ�ตร๊ดนับเป็น การชว่ ยจรรโลงศลิ ปวฒั นธรรมพน้ื บา้ นใหค้ งไว้ ร�ำ ตรด๊ จึงเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีมีคุณค่า ในหลาย ๆ ด้านดว้ ยกัน ประกอบด้วย ด้านภาษาและวัฒนธรรม ภาษาท่ีใช้ใน ด้านศิลปวัฒนธรรม การแสดงรำ�ตร๊ด คำ�ร้องหรือบทเพลงรำ�ตร๊ดส่วนใหญ่จะใช้ภาษาเขมร ในแต่ละขั้นตอนจะมีท่ารำ�และดนตรีประกอบที่มีศิลปะ ท้องถ่ิน ทำ�ให้ผู้ฟังหรือผู้คนที่สนใจได้เรียนรู้ภาษา เฉพาะตัว ทำ�ให้มีบทร้องที่ไม่แน่นอน เพราะเป็นการ เขมรทอ้ งถน่ิ ที่น่าสนใจ เพลงพน้ื บา้ นรำ�ตรด๊ ถือว่าเปน็ ด้นกลอนสดประกอบการบรรเลงดนตรีตามสถานการณ์ วรรณกรรมชาวบา้ นประเภทหนงึ่ ทใี่ ชร้ อ้ งเลน่ ในสงั คม และข้ันตอนของการแสดง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นคุณค่า ทอ้ งถน่ิ ผแู้ ตง่ เพลงหรอื ผขู้ บั รอ้ งคดิ ประดษิ ฐค์ �ำ ใหเ้ รอื่ ง ทางศิลปวัฒนธรรมที่ภูมิปัญญาได้สั่งสมและถ่ายทอด เหลา่ นนั้ มคี �ำ ทไี่ พเราะ ถอ้ ยค�ำ คลอ้ งจองกนั ท�ำ ใหเ้ พลง ในการแสดงรำ�ตรด๊ ไว้ใหล้ กู หลานได้สืบสานตอ่ ไป พ้ืนบ้านมีความไพเราะและสนุกสนาน จึงมีคุณค่า ทางด้านภาษาพรอ้ มทัง้ ให้ความบนั เทิง ด้านจิตใจ ความเชื่อในสังคมจะปรากฏใน เพลงพ้ืนบา้ นหรอื เพลงของท้องถน่ิ ใดทอ้ งถนิ่ หน่ึง ร�ำ ตร๊ด ด้านสังคมวิทยา การแสดงรำ�ตร๊ดน้ันเป็น เป็นที่รู้จักกันดีในแถบอีสานใต้ ลีลาการขับร้องหรือ เร่ืองท่ีเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีในการบอกบุญ การฟอ้ นร�ำ จงึ มอี สิ ระทงั้ ในดา้ นรปู แบบและเนอ้ื หา จงึ เปน็ เพ่ือนำ�จตุปัจจัยไปถวายวัด ซ่ึงมีเนื้อเรื่องและเพลง ที่นิยมของชาวบา้ น ด้วยสาเหตุท่ีเพลงพื้นบา้ นใชภ้ าษาถ่ิน ขับร้องเกี่ยวกับการไหว้ครู การขออนุญาตเจ้าบ้าน ใช้ทำ�นองสนุก จังหวะเร้าใจ เน้ือหาถ่ายทอดความรู้สึก การเชิญชวนให้ร่วมบริจาค การอวยพรและการอำ�ลา นึกคิด อุดมการณ์ ความเป็นอยู่และภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เป็นการให้เกียรติแก่เจ้าบ้านหรือผู้บริจาคทรัพย์ การได้ร่ายรำ�ร่วมกันถือเป็นเคร่ืองให้ความบันเทิง จะเห็นได้ว่าภูมิปัญญาของคนโบราณได้ใช้รูปแบบ และความเพลิดเพลินแก่ชาวบ้านอย่างหนึ่ง รำ�ตร๊ด การแสดงพ้นื บา้ นเพอื่ วางบรรทดั ฐานให้กับชนร่นุ หลัง จึงมีคุณค่าทางด้านจิตใจของคนในชุมชน ส่งผลให้ศิลปะ ให้มีความช่วยเหลือเกื้อกูลแบ่งปันและมีน้ําใจให้กัน การแสดงพื้นบ้านรำ�ตร๊ดยังคงอยู่คู่กับสังคมชาวไทย ประพฤติปฏิบตั ติ ามท�ำ นองคลองธรรมและวฒั นธรรม เชือ้ สายเขมรอย่างมน่ั คง ประเพณีของชุมชน ทำ�ให้สงั คมมคี วามสงบสขุ 28

ลไทำ�เแลมยงตบั เตา่ ลำ�แมงตับเต่าไทเลย ช่อื เรียกในทอ้ งถน่ิ เ ป็ น ศิ ล ป ะ ก า ร แ ส ด ง ป ร ะ เ ภ ท ห น่ึ ง ข อ ง หมอล�ำ ไทเลย จังหวัดเลยที่มีลักษณะเหมือนกับลำ�พื้น ลกั ษณะของมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม โดยมีการนำ�สำ�เนียงภาษาไทเลยอันเป็น ศลิ ปะการแสดง เอกลกั ษณม์ าขบั รอ้ ง การแสดงล�ำ แมงตบั เตา่ ไท ประเภท เลยจึงแตกต่างจากทอี่ ่ืน ๆ ด้วยภาษาไทเลย รายการมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม อันเป็นภาษาถิ่นท่ี ไม่เหมือนกับภาษาถิ่น ท่ีต้องไดร้ ับการส่งเสริมและรกั ษาอยา่ งเร่งด่วน ในภาคอีสานทั่วไป แต่มีลักษณะคล้ายกับ จงั หวัดผู้เสนอข้อมลู ขึ้นบัญชี ภาษาสำ�เนียง “หลวงพระบาง” พร้อมท้ัง จงั หวดั เลย มี เ สี ย ง อั น ไ พ เ ร า ะ เ ข้ า จั ง ห ว ะ จ า ก เ ค ร่ื อ ง พ้ืนทป่ี ฏบิ ัติ ดนตรีอย่างระนาด แคน ซอไม้ไผ่ กลอง ฉิ่ง บ้านนาํ้ พร ตำ�บลปากตม อำ�เภอเชียงคาน น อ ก จ า ก นี้ ลำ � แ ม ง ตั บ เ ต่ า ไ ท เ ล ย ยั ง มี จังหวัดเลย ค ว า ม ส นุ ก ส น า น แ ล ะ มี ลู ก เ ล่ น พ ลิ ก แ พ ล ง ของตวั ตลกเปน็ เสน่หท์ ส่ี รา้ งความงามทางศลิ ปะ แบบโบราณ เป็นการแสดงที่เข้าถึงประชาชน ชาวจงั หวดั เลยไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 29

ก า ร แ ส ด ง ลำ�แมงตับเต่าไทเลย กันทางด้านเครือญาติชาติพันธ์ุมาต้ังแต่สมัยโบราณ การลำ�แมงตับเต่าของชาวไทเลยมีวิธีการเล่นท่ีแตกต่าง เป็นการแสดงที่สมมุติผู้แสดงเป็นตัวละคร ได้แก่ จากชาวอีสานท่ัวไป เช่น วาดการร้อง เป็นแนวแบบ ตวั พระ ตวั นาง ตวั ประกอบอน่ื ๆ เช่น พระเอก นางเอก พื้นเมืองเลย เรียกว่า วาดลำ�แบบไทเลย ผันอักษร ตวั กษตั รยิ ์ มเหสี พเี่ ลยี้ ง เสนา มา้ ฯลฯ แสดงเปน็ เรอ่ื งราว ตามเสียงไทเลย ซ่ึงจะเป็นท่ีคุ้นหูของประชาชนในพื้นท่ี เรอ่ื งทน่ี �ำ มาแสดงจะเกย่ี วกบั นทิ านพน้ื บา้ น นยิ ายพน้ื บา้ น จงั หวัดเลยและชาวลาวฝัง่ ซา้ ยแมน่ า้ํ โขง พงศาวดาร และวรรณกรรมใบลาน เร่ืองที่นิยมแสดง ไดแ้ ก่ เรอ่ื งทา้ วโสวตั ลน้ิ ทอง กาฬะเกด (นางมณจี นั ทร)์ ท้าวสุริวงศ์ จำ�ปาส่ีต้น นางแตงอ่อน ท้าวลิ้นทอง การแสดงแมงตับเต่าไทเลยจะแฝงคติธรรมความเชื่อ สว่ นใหญจ่ ะน�ำ การแสดงแมงตบั เตา่ ไปแสดงตามงานบญุ ที่วัด งานบุญแจกข้าว ฯลฯ สร้อย หรือคำ�ข้ึนต้น ที่นิยมร้อง คอื “แตน่ ี้.......” “แตน่ น้ั .....”“บัดนี.้ .........” ในอดีตจะใช้ผู้ชายแสดงทั้งหมด แม้แต่บทบาทของ ผู้หญิงก็จะใช้ผู้ชายแสดงแทน แต่ปัจจุบันนี้ให้ผู้หญิง มารว่ มแสดงด้วย รูปแบบการแสดงมีการสมมุติผู้เล่นเป็น ล�ำ ดบั ขน้ั ตอนการแสดงล�ำ แมงตบั เตา่ ไทเลย ตวั ละครตามวรรณกรรมนทิ านหรอื นยิ ายธรรมะแฝงคติ จะมีวิธีการแสดงคล้ายกันทุกคณะ โดยมีลำ�ดับดังนี้ ธรรมความเชอ่ื ของกลมุ่ ชนทอ้ งถน่ิ บรเิ วณพน้ื ทจ่ี งั หวดั เลย ๑) พิธีไหว้ครู ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ประชากรแถบนี้นำ�การละเล่น ๒) รำ�เปิดม่าน เปิดฉากฟ้อนตลก แมงตับเต่าไปแสดงตามงานบุญท่ีวัดและงานบุญ (อีเจ๊อะ) แจกข้าว ฯลฯ ผู้แต่งหรือเจ้าของคณะจะหานักแสดง ๓) ฟ้อนแห่ท้าวแห่นาง ในหมู่บา้ น โดยดทู ่วงท่าและลกั ษณะรูปร่างท่ีเหมาะสม ๔) แสดงตามเนื้อเรื่อง จะแสดงเป็นตัวอะไร เช่น ตัวพระจะมีผิวพรรณสดใส ๕) การจบเรื่อง ขาวพอสมควร ใบหนา้ รปู ไข่ สว่ นตวั นางกม็ ลี กั ษณะกลุ สตรี โดยที่เริ่มแสดงไปตามเนื้อเรื่อง ตั้งแต่ต้น ชาวบ้านนิยมดูคณะที่มีผู้ชายแสดง เพราะสามารถ จนจบเรื่อง สลับการตลก การฟ้อนรำ� การเจรจา แสดงตลกและแสดงได้สมบทบาท ทำ�ให้ผู้ชมเกิด การขับร้องประเภทต่าง ๆ ด้วยทำ�นอง ๒ ประเภท ความสนกุ สนาน ทง้ั น้ี พฒั นาการการล�ำ แมงตบั เตา่ ไทเลย ได้แก่ การดำ�เนินเรื่องเล่าเรื่องเป็นกลอน สลับกับ มาจากการเล่านิทานให้เด็กเล็ก ๆ ฟัง โดยการอ่าน บทเจรจา และขับลำ�เดินดง แบบกลอนลำ�สำ�เนียงไทเลย เขียนกลอนอ่าน ๑ บท ข้างหน้า ๓ คำ� ข้างหลัง ๔ คำ� การสัมผัสจะนิยม สัมผัสสระ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ไม่ค่อยบังคับ การเล่น แ ม ง ตั บ เ ต่ า ใ ห้ ส นุ ก ส น า น นี้ ไ ด้ รั บ อิ ท ธิ พ ล ม า จ า ก ชาวหล่มเกา่ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ มาเปน็ ครูสอนแนวทาง การออกเสียงและผันอักษร เน่ืองจากมีความสัมพันธ์ 30

ตวั อย่างกลอนด�ำ เนินเรื่อง ม้วนใสแขนแหวนใส่ก้อนกระจอนห้อยใสห่ ู จับเอาเอาแหวนทองค�ำ มาใสพ่ ระกรงามย่อง “แต่น้”ี นางก็บายเอาซน่ิ ไหมค�ำ มาเอใ้ หม ่ คือเทพาฟากฟ้าชายเห็นม่อยละแม่งตาย สรอ้ ยสงั วาลหม่นู ตี้ กแตง่ งามสงา่ นำ�สไบมาเสลย่ี งพาดไหลล่ งงามยอ่ ง พระนางมองแลหลิงดสู วยงามสงา่ กมุ รีนาถน้องบห่ มองเศรา้ เกา่ ศรี พระพาหาขวาซา้ ยก�ำ ไลคาดทองคำ� กลั ยานวลนางย่างไปนอไวฟา้ ว” ตามท�ำ นองเปน็ หญงิ น้ีแปลงทรงใหถ้ ว้ นถ่ี วา่ แตพ่ ่อท้อนี้กย็ ้ายยา่ งไปสา (บทร้องส�ำ หรบั นางเอกหมอลำ�ไทเลยบ้านน้ําพร ฉากแต่งตัว) ตัวอย่างบทร้อง ลำ�เดินดงแบบไทเลย พอคาวแล้วเดนิ ดงด้ันป่า สพิ าสแี กน่ หล้าบาทา่ วคอ่ ยไป เขา้ ปา่ ไมด้ งใหญไ่ พหนา มองเห็นดวงมาลาบปุ ผาหอมยว้ ย หลิงดอกไม้ล�ำ งามคอ้ มก่ิง ดวงดอกไม้บานบ้างหวา่ งเขา กา้ นกา่ ยก้านสบั สอดเลียนล�ำ เคือซอนเคือขว่ ยขนี ขว่ ยค่อม จ�ำ ปีพรอ้ มจำ�ปาเตม็ ป่า ซะซอ่ นพ้วั เหลอื งเหล่อื มส่องใส จันใดตน้ จนั แดงเดยี รดาษ แสนซ�่ำ ล้อมตาลรา้ วพร่างภู ซองซอ่ ตัง้ ลำ�หมากซอนลอน พวงพนั ธุ์ดกหล่นลงเหลอื ล้น ว่าแล้วจ้นฟ้อนแอน่ เดนิ กลอน มาออนซอนนวลนางยา่ งไปไวฟา้ ว...นน่ั แล้ว (เทอื ง แก้วดวงดี, ศลิ ปินหมอลำ�ไทเลยบ้านน้าํ พร) 31

อุปกรณ์ประกอบการแสดงลำ�แมงตับเต่า บ้านนํ้าพร ตำ�บลปากตม อำ�เภอเชียงคาน ไทเลย ประกอบดว้ ย จังหวัดเลย เป็นชุมชนท่ียังคงอนุรักษ์และสืบทอดการ ๑) กะโจม (ภาษาถนิ่ อสี าน) หมายถงึ มงกฎุ แสดงลำ�แมงตับเต่าไทเลยไว้เพียงแห่งเดียวในปัจจุบัน หรือ ชฎา ที่ทำ�จากวัสดเุ รยี บง่าย เช่น กระดาษ สงั กะสี โดยได้ก่อต้ังขึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๒๗ มีนายสำ�ราญ ใบลาน มีไว้ส�ำ หรับสวมศรี ษะผูแ้ สดงเป็นตัวพระตวั นาง โกษารักษ์ เป็นหัวหน้าคณะนักแสดง คณะนักแสดง ๒) ผา้ ฉาก ผา้ ม่าน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และเยาวชนบางส่วนท่ีเป็น ๓) หัวโขนสตั ว์ตา่ ง ๆ เช่น ช้าง มา้ ลกู หลานของศลิ ปนิ ล�ำ แมงตบั เตา่ รวมประมาณ ๒๖ คน สว่ นกระบวนทา่ ร�ำ (ฟอ้ นแมงตบั เตา่ ) จะมกี าร มีเครือข่ายบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) องค์กรปกครอง มว้ นมอื ไปมาทง้ั สองขา้ งและกรายมอื เปน็ วงบนดา้ นหนา้ ส่วนท้องถิ่น ร่วมมือร่วมใจกันทำ�ให้เกิดความภาคภูมิใจ แขนขวาและวงลา่ งแขนซ้าย พร้อมไขวข้ าสลับขา้ งกัน แก่คนในชุมชนเป็นอย่างดี มีการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรม ล�ำ แมงตบั เตา่ ไทเลย ถอื เปน็ อตั ลกั ษณข์ องการ แมงตับเต่าไทเลยหรือหมอลำ�ไทเลย เป็นแหลง่ รวบรวม ขับร้องภาษาท้องถิ่นไทเลย ซ่ึงไม่เหมือนภาษาท้องถ่ิน ข้อมูลท้ังเร่ืองเคร่ืองแต่งกาย เน้ือร้อง ทำ�นองและ อีสานท่ัวไป เพราะเป็นสำ�เนียงเฉพาะของจังหวัดเลย รอ้ื ฟน้ื การแสดงบางสว่ นทห่ี ายไป น�ำ มาจดั ท�ำ ในรปู แบบ และบทร้องที่เกิดจากการแต่งบทร้อยกรอง โดยการ เอกสาร เพ่ือให้คณะนักแสดงได้อนุรักษ์และสืบทอดไว้ ออกเสยี งผนั อกั ษรตามแนวทางการออกเสยี งแบบไทเลย ทำ�ให้ศิลปะการแสดงลำ�แมงตับเต่าไทเลยมีแนวทาง ซ่ึงพัฒนามาจากกลอนอ่าน กลอนเทศนแ์ ละกลอนสวด การปฏิบัติท่ีถูกต้อง ตลอดจนสามารถเป็นแหล่งบริการ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแต่งบทร้อยกรอง ข้อมูลองค์ความรู้ของชุมชนให้กับนักท่องเท่ียวและ ทย่ี งั จรรโลงไวซ้ ง่ึ ค�ำ สอนจากวรรณกรรมทนี่ �ำ มาเลน่ ผา่ น ผู้สนใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี การแสดง พร้อมท้ังให้ความบนั เทงิ ใจ ผู้ชมการแสดงจึง ไดร้ บั ทงั้ ความสนกุ สนานและขอ้ คดิ สอนใจใหไ้ ดน้ �ำ ไปใช้ นอกจากน้ี เพื่อเป็นการต่อยอด ในการดำ�เนินชวี ติ ประจ�ำ วนั มรดกภูมิปัญญาศิลปะการแสดงชนิดนี้ จงึ ได้มกี ารผสมผสานลำ�แมงตบั เตา่ ไทเลย ไวใ้ นการแสดงประเภทตา่ ง ๆ ของสถาบนั การศกึ ษาในจงั หวดั เชน่ การแสดงโปงลาง ของวงโปงลางเลยพิทยาคม อำ�เภอเมือง วงโปงลางศรีสงครามวิทยา วงโปงลาง วรราชวทิ ยา อ�ำ เภอวงั สะพงุ และวงโปงลาง คนอีสาน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏเลย ท้ังน้ี เพ่ือรักษาไว้ซ่ึงศิลปะ การแสดงล�ำ แมงตับเตา่ ไทเลยเป็นสำ�คญั 32

อปรัฏะฐเพมณบี ี ูชา วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันที่ชาวพุทธ ถือกันว่าตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธ สรีระของพระพุทธเจ้า นับเป็นวันสำ�คัญ ทางศาสนาวนั หนง่ึ ตรงกบั วนั แรม ๘ คา่ํ เดอื น ๖ หรอื วนั แรม ๘ คา่ํ ตามจนั ทรคตแิ หง่ เดอื นวสิ าขะ การทม่ี ปี ระเพณบี ชู าในวนั นเ้ี นอื่ งมาจากพระพทุ ธเจา้ เสดจ็ สูพ่ ระปรินพิ พานเมื่อวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื น ๖ (วนั วสิ าขบชู า) บรรดาพระอรหนั ตสาวกและมัลละ กษตั รยิ ์ไดม้ กี ารบ�ำ เพญ็ กศุ ลถวายตลอดมาจนครบ ๗วนั ครนั้ ถงึ วนั ท่ี๘เปน็ ดถิ อี ฏั ฐมีจงึ เชญิ พระบรมศพ ช่ือเรียกในท้องถิ่น แหไ่ ปประดษิ ฐาน ณ มกฎุ พนั ธเจดยี ์ แลว้ เตรยี ม วนั แหก่ วด วันแห่ตะไล (นครปฐม) การถวายพระเพลิง นับเป็นการถวายพระเพลิง ประเพณอี ัฐมบี ูชาถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า พระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้าหลังจากเสด็จ ประเพณถี วายพระเพลิงพระพุทธเจา้ (อตุ รดติ ถ์) ดับขนั ธป์ รนิ พิ พานได้ ๘ วนั คอื หลงั วนั วิสาขบชู า ลักษณะของมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม แลว้ ๘ วัน แนวปฏิบตั ทิ างสงั คม พิธีกรรม ประเพณี และงานเทศกาล ประเภท รายการตวั แทนมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม จังหวัดผู้เสนอข้อมลู ข้ึนบัญชี จงั หวดั นครปฐม จงั หวัดอุตรดติ ถ์ พืน้ ทปี่ ฏบิ ัติ วัดใหม่สุคนธาราม ตำ�บลวัดละมุด อ�ำ เภอนครชยั ศรี จังหวดั นครปฐม วดั พระบรมธาตุท่งุ ย้งั ตำ�บลทุ่งยง้ั อ�ำ เภอลบั แล จงั หวัดอุตรดิตถ์ วัดด่าน เขตยานนาวา กรงุ เทพมหานคร 33

ประเพณอี ฏั ฐมบี ูชาที่วัดใหมส่ ุคนธาราม จงั หวัดนครปฐม วันอัฏฐมีบูชา จึงเป็นพิธีที่สืบเนื่อง การบ�ำ เพญ็ กศุ ลเนอ่ื งในวนั อฏั ฐมบี ชู าน้ี ในเมอื งไทย มเี พยี งไมก่ แ่ี หง่ ทจี่ ดั ขนึ้ เหตเุ พราะไมเ่ ปน็ ทน่ี ยิ มมากนกั มาจากวันวิสาขบูชา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า แม้สมัยก่อนจะมีงานฉลองในพิธีวันอัฏฐมีบูชาอย่บู ้าง เจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำ�ริมาตั้งแต่ครั้งยังทรงครอง แต่ในปจั จบุ นั กค็ อ่ ย ๆ ถกู ลดทอนความส�ำ คญั ไปมากพอ วดั บวรนเิ วศวหิ าร ดงั ปรากฏในต�ำ นานวดั บวรนเิ วศวหิ าร สมควร สถานทท่ี มี่ ีการจดั งานมขี บวนอยา่ งยง่ิ ใหญแ่ ละ วา่ “วันแรม ๘ คา่ํ ท่ีกำ�หนดว่าเป็นวันถวายพระเพลิง เปน็ ทร่ี จู้ กั กนั อยา่ งแพรห่ ลาย ไดแ้ ก่ วดั พระบรมธาตทุ งุ่ ยง้ั พระพทุ ธสรรี ะ ท�ำ การบชู าอยา่ ง (วนั วสิ าขบชู า) นนั้ ดว้ ย จังหวัดอุตรดิตถ์ วัดใหม่สุคนธาราม จังหวัดนครปฐม เหมือนกัน เทศนาด้วยเรื่องนั้น แต่คราวนี้ยกไปทำ�ที่ วัดด่าน เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร นอกจากน้ี วดั บรมนวิ าส” พธิ นี จี้ งึ นยิ มแพรห่ ลายอยใู่ นวดั ธรรมยตุ วดั ในบางพนื้ ทยี่ งั มกี ารจดั ใหม้ เี วยี นเทยี นในตอนคา่ํ ดว้ ย นบั แตใ่ นสมยั ทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพอื่ สบื ทอดประเพณวี นั อฏั ฐมบี ชู า แตอ่ าจไม่ไดจ้ ดั เปน็ ยงั ทรงพระผนวชและครองวดั อยทู่ วี่ ดั บวรนเิ วศวหิ ารนน้ั งานเทศกาลเชน่ วดั ดังท่ีกล่าวมา คณะสงฆธ์ รรมยตุ จะเดนิ ทางมารวมกนั ทว่ี ดั บวรนเิ วศวหิ าร โดยมีลักษณะพิธีกรรมเช่นเดียวกันกับพิธีวิสาขบูชา (เพยี งแตไ่ มม่ กี ารตงั้ นา้ํ ตง้ั เทยี นท�ำ นา้ํ มนต)์ แตภ่ ายหลงั ยา้ ยไปรวมกันท�ำ ท่ีวัดบรมนิวาส ต่อมาในสมัยที่สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงครองวัด ได้กลับมารวมทำ�กันท่ีวัดบวรนิเวศวิหาร อีกคร้ัง โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทสวดภาษาบาลีสำ�หรับสวด ในพิธีดงั กลา่ ว ต่อมาเม่ือวัดธรรมยุตมีจำ�นวนเพ่ิมมากขึ้น จึงแยกย้ายกันประกอบพิธีนี้ไปในแต่ละวัด โดยมี การปรับธรรมเนียมให้สอดคล้องตามความเหมาะสม ในแตล่ ะวดั น้นั ๆ เชน่ วัดบวรนเิ วศวหิ ารในสมยั สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส มีล�ำ ดับ พธิ กี ารส�ำ คญั คือ ในช่วงเชา้ เจา้ อาวาสแสดงพระธรรม เทศนาในเรอื่ ง “ไตรลกั ษณ”์ ชว่ งคาํ่ กม็ พี ธิ กี ารเชน่ เดยี ว กับวนั วสิ าขบูชา คือ การท�ำ วตั ร สวดมนต์ เวียนเทียน โดยประกอบพิธีเพียง ๒๔.๐๐ น. ต่อมาในสมยั สมเดจ็ พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ โปรดให้ มกี ารแสดงพระธรรมเทศนาตลอดคืน 34

ประเพณีอัฏฐมีบูชาท่ีมีการจัดข้ึนในพ้ืนท่ี ๕) การจัดขบวนแห่ ในสมัยโบราณจะมีพิธี ตา่ ง ๆ จะมีรายละเอยี ดท่ีแตกต่างกันไปบ้าง ทง้ั น้ี จะมี การแหข่ บวนรอบเมอื ง โดยมจี ดุ มงุ่ หมายในการแห่ เพอื่ เปน็ องคป์ ระกอบหลกั ของการจดั งานทใ่ี กลเ้ คยี งกนั ดงั ตอ่ ไปน้ี การประชาสัมพันธ์ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ๑) การจำ�ลององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะบางคร้ังชาวบ้านทำ�ไร่ทำ�นาอาจลืมงานดังกล่าว ในพธิ ถี วายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ โดยใชไ้ มไ้ ผจ่ กั สาน โดยมขี น้ั ตอนขบวนแหด่ งั นี้ เชา้ ท�ำ บญุ ตกั บาตร เพลเจา้ ภาพ แบบโบราณเปน็ โครง มขี นาดสงู กวา่ คนทวั่ ไป ใชก้ ระดาษ ประจ�ำ วนั ถวายภตั ตาหาร บา่ ยจดั รถทส่ี ามารถน�ำ พระบรมศพ หนงั สอื พมิ พท์ �ำ เปน็ เนอื้ หนงั ใชโ้ ฟมแกะสลกั ในสว่ นของ จำ�ลองซึ่งบรรจุในโลงแก้ว พร้อมเครื่องสูงประกอบและ พระเศยี ร พระกร และพระบาท มกี ารประดับโลงแก้ว พราหมณ์ท่ีทำ�หน้าที่เฝ้าพระบรมศพ พร้อมด้วยขบวน พระเมรุมาศ และจิตกาธาน ด้วยการตัดกระดาษแข็ง ปี่พาทย์ พระภิกษุ – สามเณร ชี พราหมณ์ และ กระดาษสี การแทงหยวกและประดบั ผา้ แพร เพอื่ ความ ญาติธรรมแห่รอบเมือง แล้วนำ�กลับมาต้ังประดิษฐาน สวยงาม ณ ศาลาการเปรียญวัด เพ่อื ให้ประชาชนไดป้ ระกอบพธิ ี ๒) การจัดพิธีสรงนํ้าพระธาตุและพิธี ๖) กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมุติ ถือได้ว่า เวียนเทียน โดยจะจัดพิธีนี้ในวันวิสาขบูชา ท้ังนี้ เป็นกิจกรรมท่ีมีความสำ�คัญอย่างย่ิง ในสมัยก่อนมิได้ ท่ีจังหวัดอุตรดิตถ์ในช่วงต้นของการจัดงานจะมีเพียง จดั ข้นึ ทกุ ปี อาจเป็น ๒ ปีจัดขน้ึ ๑ ครั้ง ด้วยปัญหาเรอ่ื ง พิธีเวียนเทียนเท่าน้ัน ภายหลังได้มีการเพ่ิมพิธีการ ของงบประมาณและสภาพดินฟ้าอากาศ แต่ในปัจจุบัน สรงนาํ้ พระธาตใุ นปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มกี ารจดั การแสดงขน้ึ ทกุ ปี โดยมกี ารปรบั เปลย่ี นในบางตอน ๓) พธิ สี วดพระอภธิ รรมและแสดงพระธรรม ในช่วงแรกของการเร่ิมจัดงาน การจัดการแสดงจะอาศัย เทศนา ซึ่งจัดพิธีทางศาสนาด้วยการตักบาตรทำ�บุญ คนในชุมชนมาร่วมกัน มีการใช้เคร่ืองแต่งกายท่ีทันสมัย ถวายเป็นกุศลเป็นเวลาติดต่อกัน ๙ วัน ๙ คืน มากขน้ึ รวมทง้ั มกี ารใชเ้ ทคนคิ แสง สแี ละเสยี งทม่ี เี ทคโนโลยี โดยจัดถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ท้ังเช้าและเพล ใหม่ ๆ ให้เกิดความน่าสนใจและสมจริง อย่างไรก็ตาม หลงั เพลจะมเี ทศนเ์ รอื่ งพทุ ธประวตั แิ ละปฐมสมโพธกิ ถา องค์ประกอบหลักของการแสดงน้ันอยู่ท่ีตอนการถวาย ภาคคํ่าก็จะปาฐกถาธรรม ชาวบ้านจะมาร่วมทำ�บุญ พระเพลิงพระบรมศพขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดทั้ง ๙ วัน เริ่มจากวันวิสาขบูชา พระสงฆ์จาก ซ่งึ ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการวางดอกไม้ท่พี ระบรมศพ ท้องถ่ินต่าง ๆ จะเดินทางมาปักกลดภายในบริเวณวัด จำ�ลอง อันเป็นตอนหน่ึงของการแสดงดังกล่าว เป็นส่ิงท่ี เพอื่ แสดงธรรมรอวนั ถวายพระเพลงิ พระบรมศพจ�ำ ลอง ยึดเหน่ียวจิตใจและแสดงความเป็นน้ําหน่ึงใจเดียวกัน ๔) พธิ ีสลากภตั ในวนั ที่ ๙ ของการจัดงาน ของชาวบา้ น (วันแรม ๘ ค่ํา เดือน ๖) เฉพาะในจังหวัดอุตรดิตถ์ ซ่ึงมีการจัดงานสลากภัตต่อเน่ืองกันมาเป็นเวลานาน โดยเป็นการทำ�บุญท่ีไม่จำ�เพาะเจาะจงว่าจะถวาย ภัตตาหารแด่พระภิกษุ หรือแม้แต่สามเณรน้อยรูปใด ผู้นำ�มาถวายก็ยินดีถวายทั้งส้ิน เป็นการจำ�กัดกิเลส ที่เรียกว่า อคติ ออกไปจากใจ สลากภัตถือเป็นงาน ที่สรา้ งความสามัคคีของผคู้ นในครอบครัวและชมุ ชน 35

ประเพณีถวายพระเพลงิ พระพุทธสรรี ะของวดั พระบรมธาตทุ ่งุ ย้ัง จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ คณุ คา่ ของมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของ อย่างไรก็ตาม การถ่ายทอด ประเพณีอัฏฐมีบูชา เป็นประเพณีท่ีสะท้อนให้เห็นถึง อ ง ค์ ค ว า ม รู้ เ ก่ี ย ว กั บ ป ร ะ เ พ ณี ความยึดมั่นศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและ อัฏฐมีบูชาในปัจจุบัน ยังเป็นระบบ คำ�สอนทางพระพุทธศาสนา โดยถ่ายทอดออกมาเป็น การถ่ายทอดภายในกลุ่มเน่ืองจาก กระบวนการพิธีกรรมอันสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคน ในชมุ ชน เชน่ การจกั สานพระพทุ ธสรีระจำ�ลองดว้ ยไม้ไผ่ เปน็ งานทตี่ อ้ งเสยี สละอทุ ศิ ตนพอสมควร ในอดตี แบบโบราณ ซง่ึ คนในชมุ ชนกม็ กี ารประกอบอาชพี จกั สาน สว่ นใหญเ่ ปน็ ผสู้ งู วยั ทเ่ี ขา้ มามบี ทบาท แต่ในขณะน้ี ตลอดจนการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะในการจดั งานประเพณี ได้มีผู้ ใหญ่เข้ามาร่วมคิดร่วมทำ�มากข้ึนและ อัฏฐมีบูชา ทั้งด้านการจัดเตรียมพระพุทธสรีระจำ�ลอง มีความพยายามให้เยาวชนได้เข้ามามีบทบาท โลงแก้วและเมรุมาศ ซึ่งองค์พระสานด้วยไม้ไผ่ จำ�เป็น เพิ่มเติมด้วยนอกจากการสืบสานและสืบทอด ต้องใช้ภูมิปัญญาและทักษะที่สืบต่อกันมา ซึ่งประเพณี ในชุมชนแล้ว ยังมีหน่วยงานส่วนราชการ อัฏฐมีบูชา ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนในชุมชน ใหค้ วามรว่ มมอื และสนบั สนนุ ในการจดั ประเพณี เพราะเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังยังเล็งเห็นถึงคุณค่าและ อัฏฐมีบูชา ทำ�ให้มีการพัฒนางานตามลำ�ดับ ความส�ำ คญั ในหลกั ค�ำ สอนของพระพทุ ธเจา้ และยงั สง่ ผล สง่ ผลให้ในปจั จบุ นั งานประเพณมี คี วามสวยงาม ต่อความเชื่อของผู้คนในชุมชน โดยเฉพาะในด้าน สมจรงิ นา่ สนใจ ยงิ่ ใหญส่ อดคลอ้ งกบั พทุ ธประวตั ิ การปฏิบัติตนตามหลักคำ�สอนทางพระพุทธศาสนา และหลักค�ำ สอนมากข้ึน ถึงอยา่ งน้นั ก็มีบางสว่ น เพื่อให้เป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจของชาวบ้านและได้ ถกู ลดทอน จงึ ควรสง่ เสรมิ และอนรุ กั ษเ์ พอื่ ใหเ้ ปน็ น้อมร�ำ ลึกสักการบูชาในพระพุทธเจา้ ถือเปน็ การปลกู ฝงั มรดกทางวฒั นธรรมที่คงอย่อู ย่างยัง่ ยืนสืบไป คุณธรรม จรยิ ธรรม ตลอดจนสามารถช่วยขดั เกลาจติ ใจ และเป็นสิ่งท่ีจะช่วยประคับประคองชุมชนให้อยู่ได้ อย่างสงบและย่ังยืน ด้วยเหตุนี้ ทำ�ให้ทุกคนในชุมชน พร้อมใจท่ีจะร่วมสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดี ให้คงอยูไ่ ดท้ า่ มกลางสภาพสังคมท่ีเปลยี่ นแปลงไป 36

โจลมะม้วต “โจลมะม้วต” หมายถึง ช่ือเรียกในทอ้ งถิ่น พิ ธี ก ร ร ม ก า ร รั ก ษ า ผู้ ป่ ว ย โ ด ย ก า ร มะมว้ ต ทรงเจ้า ซ่ึงเป็นพิธีกรรมของคนไทย ลกั ษณะของมรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม เชอ้ื สายเขมรในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ ศรสี ะเกษ แนวปฏบิ ตั ทิ างสังคม พิธกี รรม ประเพณี บุรีรัมย์ ที่ยอมรับและปฏิบัติต่อเนื่องกันมา และงานเทศกาล ประเภท โดยในอดีตชุมชนชาวไทยเช้ือสายเขมรร่วมกัน รายการตวั แทนมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรม จัดงานพิธีกรรม “โจลมะม้วต” ในช่วงเวลา จงั หวัดผูเ้ สนอข้อมูลข้นึ บัญชี หลังฤดูเก็บเก่ียวจนถึงฤดูทำ�นา เพื่อเป็นสิริมงคล จงั หวัดสุรนิ ทร์ และเพ่ือความสุขความเจรญิ ในหมู่บา้ น จนกระท่ัง พนื้ ทปี่ ฏบิ ัติ เปน็ ประเพณีประจำ�ปีของชมุ ชน ส�ำ หรบั พิธีกรรม บ้านดงมนั หมทู่ ี่ ๘ ต�ำ บลคอโค อ�ำ เภอเมอื ง ของกลุ่มชาติพันธ์ุไทยเช้ือสายเขมร มีพิธีกรรม จังหวัดสุรนิ ทร์ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การโจลมะมว้ ต คอื เรอ่ื งการบชู าครู บา้ นสะกอร์ หมทู่ ี่ ๓ ต�ำ บลประทดั บุ อำ�เภอปราสาท การรักษาผู้ป่วย และการเสี่ยงทาย พิธีกรรม จังหวดั สุรนิ ทร์ จังหวดั ศรสี ะเกษ จงั หวดั บรุ รี มั ย์ โจลมะม้วต แบ่งเปน็ ๒ ลักษณะ คือ 37

๑) การเข้าทรงเพ่ือทำ�นายและรักษา เปน็ ๆหายๆรกั ษาพยาบาลอยา่ งไรกไ็ มห่ ายหรอื บางคน ความเจ็บป่วยเรียกว่า “บ็องบ้อด” ผู้ทำ�หน้าที่ร่างทรง มีอาการสับสนทาจิต พูดจาไม่ปกติ มีความสับสน จะเชญิ เทพเทวดาอารกั ษม์ าเขา้ รา่ งทรง โดยมจี ดุ ประสงค์ วิธีแก้ไขจึงต้องพาไปหา “ครูโบล” ที่จะทำ�หน้าที่ เพ่ือทำ�นายและเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนท่ัวไปหรือ ทำ�นายหาสาเหตุความผิดปกติหรืออาการป่วยไข้ คนเจบ็ ปว่ ย ชว่ ยเหลอื ชาวบา้ นทเี่ ขา้ มาพงึ่ พาตามความเชอ่ื ซ่ึงครูโบลก็จะบอกสาเหตุว่ามีผีฟ้าหรือเทพเทวดา ในทอ้ งถนิ่ เมอ่ื รา่ งทรงจะท�ำ พธิ ี “บอ็ งบอ้ ด” จะเลอื กดนตรี ต้องการมาอาศัยอยู่ในร่างกายเพื่อให้เป็น “ร่างทรง” ซึ่งแล้วแต่ว่าเทพองค์ใดจะโปรดปรานดนตรีชนิดใด วิธีรักษา คือ ต้องทำ�พิธีจัดแจงเครื่องสักการะบูชา เชน่ ดนตรีกันตรมึ เพอ่ื ตอ้ นรบั อนญุ าตใหใ้ ชร้ า่ งกายของตนเองเปน็ รา่ งทรงได้ ๒) การทำ�พิธีไหว้ครูประจำ�ปี (การบูชาครู) และเมื่อผ่านพิธีกรรมครอบครูโดย “กรูมะม้วต” เรียกว่า “มะม้วต” เป็นพิธีกรรมท่ีเป็นสิริมงคลและ รุ่นพี่แล้ว บุคคลน้ันก็จะเป็น “ร่างทรง” ผลท่ีตามมา สร้างความสุขความเจริญให้แก่คนในหมู่บ้าน โดยจะมี คือ บคุ คลน้ันหายจากการป่วยไข้ในที่สุด และบุคคลน้ี ชาวบ้านรว่ มแรงร่วมใจกนั จดั ปะร�ำ พธิ ี เคร่อื งเซ่นบชู าครู กจ็ ะเป็นคนในครอบครวั “มะม้วต” เคร่ืองดนตรีหรือวงกันตรึม จัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค สำ�หรับความหมายของคำ�ว่า “มะม้วต” ส�ำ หรับคนท่มี าร่วมพิธี หากใช้คำ�แปลว่า “แม่มด” ไม่ทราบจะอธิบายที่มา พิธีกรรมการโจลมะม้วต มกี ารสืบทอดรปู แบบ รากศพั ทอ์ ยา่ งไร รา่ งทรง “มะมว้ ต” สว่ นใหญเ่ ปน็ ผหู้ ญงิ พิธีกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละพ้ืนท่ีมาจนถึง เพราะผู้หญิงจะเป็นใหญ่ในการสืบสายบรรพบุรุษ ปัจจุบัน จะมีการแบ่งชั้นวรรณะของผีที่นับถือ ได้แก่ ดังนั้น คำ�ศัพท์ของคำ�ว่า “มะม้วต” น่าจะมาจาก มะมว้ ต (แมม่ ด) กรู (ครู) เกร (ปะกำ�โบราณ) บองบอ้ ด คำ�สองคำ� คือ “ม”ี ซง่ึ แปลว่า “แม่” ทม่ี กั ใช้กับสิ่งของ (เทพช้ันสูง) และเตวดา (เทวดา) มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทใี่ ชร้ ว่ มกนั และมคี วามส�ำ คญั ยงิ่ ใหญ่ เชน่ แมน่ า้ํ แมท่ พั ด้านจารีตการแต่งกายของมะม้วตจะมีสิ่งที่สืบทอด เปน็ ต้น ส่วนคำ�วา่ “เม๊ือต” แปลว่า “ปาก” รวมคำ�วา่ ตอ่ กนั มาเปน็ รนุ่ ๆ คอื เครอ่ื งแตง่ กายเดมิ ของผบี รรพบรุ ษุ “มีเม๊ือต” หมายถึง ผู้หญิงท่ีใช้ปากท่องคาถามีมนตร์ ทจี่ ะตอ้ งน�ำ มาสวมใสใ่ นการรา่ ยร�ำ ผา่ นรา่ งทเี่ ปน็ ลกู หลาน พิเศษในการทำ�นายปัดเป่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ของตระกูลซึ่งได้รับเลือกจากผีบรรพบุรุษ การประกอบ ตอ่ มาจงึ เพย้ี นคำ�เปน็ “มะม้วต” พิธีกรรมและรูปแบบที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษของ สายตระกลู ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ จะใชว้ งกนั ตรมึ และวงมโหรี ทำ�ให้รูปแบบท่ารำ�ที่แสดงออกมาน้ันมีลักษณะเฉพาะ ที่น่าสนใจ ซ่ึงการประกอบพิธีกรรมดังกล่าว จะมี การบรรเลงดนตรีประกอบและมีการร่ายรำ�ตามจังหวะ และท�ำ นองเพลงตงั้ แต่เริม่ ตน้ จนเสรจ็ สน้ิ พิธกี รรม “มะม้วต” คอื ร่างทรงทีเ่ ปน็ บคุ คลทสี่ ามารถ อญั เชญิ ผฟี า้ หรอื เทวดา รวมทง้ั ครกู �ำ เนดิ ทเ่ี ปน็ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ คุ้มครองรักษาตนเองได้มาเข้าทรง เพื่อเป็นการเลี้ยง อาหารสักการะบูชาครูและซักถามความต้องการที่จะให้ ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไป การจัดพิธีกรรม “โจลมะม้วต” จะจัดปีละ ๑ ครั้ง ในขณะเดียวกัน การเป็นร่างทรงของศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวจะทำ�ให้ร่างทรง มีความศักด์ิสิทธิ์ ซึ่งจะสามารถใช้อำ�นาจน้ันรักษา ความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ ส่วนใหญ่ผู้ท่ีเป็นร่างทรงเหล่าน้ี จะเคยมอี าการไมเ่ หมอื นคนปกตทิ ว่ั ไป เชน่ เจบ็ ปว่ ยเรอื้ รงั 38

โดยระยะเวลาของการประกอบพิธีกรรม เรียกว่า “กาบเป” ซงึ่ “กาบ” แปลว่า “ฟนั ” จากนัน้ โจลมะม้วต จะนิยมกระทำ�ในช่วงเดือน ๓ ถึงเดือน ๕ “ครูมะม้วต” ก็จะเดินกลับมายังปะรำ�พิธี เจ้าภาพ (เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน) ของทุกปี เพื่อทำ�การ ก็จะนำ�สิ่งของท่ีมีอยู่ในเปทิ้งออกไปให้ไกลปะรำ�พิธี สักการะบชู า “ครมู ะม้วต” และมักเลอื กวันอังคารและ ซึ่งแสดงว่าส่ิงช่ัวร้ายได้ถูกทำ�ลายแล้ว พิธีก็จะไม่มี วันพฤหัสบดีซ่ึงถือว่าเป็นวันครู ไม่จัดงานในวันขึ้นเเละ อุปสรรคใด ๆ เป็นการแสดงว่าได้ไล่ฟันผีเปรต วนั แรม ๑๕ คาํ่ ซง่ึ เปน็ วนั ทถ่ี อื วา่ ตอ้ งงดเวน้ งานบวงสรวง หรือเสนียดจัญไรท้ังปวงท่ีจะมาทำ�ลายพิธีกรรมมะม้วต กรณผี ปู้ ว่ ยมอี าการหนกั สามารถยกเวน้ ใหท้ �ำ ไดท้ กุ เดอื น เรยี บรอ้ ยแลว้ แต่เว้นวันพระและช่วงวันเข้าพรรษา เพราะถือว่า พิธีกรรมการโจลมะม้วต ถือว่าเป็นเครื่อง เทพเทวดา ครกู ต็ อ้ งเขา้ พรรษาจ�ำ ศลี เชน่ เดยี วกนั แตก่ รณี ยึดเหน่ียวทางจิตใจในยามที่มีปัญหาและไม่สามารถ จำ�เป็นมากก็สามารถทำ�ได้ แต่ต้องทำ�พิธีบอกกล่าว หาทางออกได้ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในหมู่บ้าน ห้ิงบูชาเพ่ือขอขมาด้วย สถานที่สำ�หรับประกอบพิธี สามารถสร้างความอบอุ่น ปลอดภัยแก่คนในหมู่บ้าน แลว้ แตจ่ ะตกลงกนั บางครง้ั อาจเปน็ บา้ นของครมู ะมว้ ต และเป็นพิธีกรรมท่ีให้ชาวบ้านได้หนีจากความเจ็บปวด หรอื บรวิ ารมะม้วตคนใดคนหนึง่ โดยมะม้วตคนอ่นื ก็จะ ทางใจได้ทางหนึ่ง ซ่ึงการประกอบพิธีกรรมดังกล่าว นำ�เงนิ หรือสิง่ ของมาชว่ ยเหลอื เป็นค่าใช้จา่ ยตา่ ง ๆ จะมีการบรรเลงดนตรีประกอบและมีการร่ายรำ� ตามจังหวะและทำ�นองเพลงตั้งแต่เร่ิมจนเสร็จสิ้น พิธีกรรมโจลมะม้วตจึงเป็นพิธีกรรมที่มีลักษณะ องค์ประกอบของพิธีกรรมมะม้วต ของการรักษาความเจ็บป่วยด้วยเสียงดนตรี โดยอาศัย ประกอบดว้ ย การร่ายรำ�ประกอบการบรรเลงดนตรีประกอบด้วย ๑) ข้ันตอนการประกอบพิธีกรรมมะม้วต นอกจากนี้ พิธีกรรมดังกล่าวสามารถช่วยกำ�หนดและ กระบวนการทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พธิ กี รรมมะมว้ ตนน้ั แบง่ เปน็ ควบคมุ คนในสงั คมใหด้ �ำ เนนิ ชวี ติ ทถ่ี กู ตอ้ งตามครรลอง ๗ ขั้นตอน ได้แก่ พิธีเซ่นไหว้เชิญวิญญาณบรรพบุรุษ คลองธรรม ทำ�ให้ชาวบ้านปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องไม่ พธิ เี ซน่ ไหวว้ ญิ ญาณ พธิ เี ซน่ ไหวค้ รดู นตรี พธิ เี ปดิ พธิ กี รรม ประพฤติผิดต่อส่ิงศักดิ์สิทธ์ิที่ตนนับถือหรือที่คน โจลมะม้วต พิธีเข้าทรงของเจ้าภาพและร่างทรง ในหมู่บ้านยึดถือปฏิบัติกัน และพิธีกรรมนี้ยังมีหน้าท่ี ท่ีได้รบั เชิญมาร่วมพิธี พิธเี ซ่นไหวป้ ลมปลี และพธิ ีลา ตอ่ คนในชมุ ชน ไมว่ า่ จะเปน็ ผปู้ ระกอบพธิ กี รรม ชาวบา้ น ๒) อุปกรณ์และเคร่ืองใช้ในการประกอบ และตัวผู้ป่วยเอง เป็นเคร่ืองมือในการรวมตัวกัน พิธีกรรม ได้แก่ เครอื่ งเซน่ ไหวท้ ีใ่ ชใ้ นพิธี ประกอบด้วย ของลูกหลานเป็นแหล่งรวมความสามัคคีกันของคน หมาก พลู และด้ายสายสิญจน์ท่ีย้อมด้วยขม้ิน ในหม่บู ้าน ให้การศึกษา เปน็ เครือ่ งใหค้ วามเพลดิ เพลิน เครอ่ื งสังเวย ประกอบด้วย ชดุ ขันธ์หมากพลู ปะร�ำ พิธี ความสนกุ สนานกบั คนในชมุ ชน และชว่ ยสรา้ งเอกลกั ษณ์ ๓) ข้ันตอนการประกอบพิธีกรรมมะม้วต ใหแ้ กท่ อ้ งถ่ิน สำ�หรับขั้นตอนเวลาประกอบพิธีกรรมมะม้วตจะเร่ิม ต้ังแต่เช้าเวลาประมาณ ๐๗.๓๐ น หรือ ๑๐.๐๐ น. เป็นอย่างช้า ส่วนเวลาสิ้นสุดไม่มีการกำ�หนด แล้วแต่ผี จะเขา้ รา่ งทรงไดท้ งั้ หมดเวลาใด และจะออกจากรา่ งทรง เวลาใด อาจจะเสร็จช่วงบ่ายหรือเที่ยงคืนหรือทั้งคืน ก็ได้ เมื่อเริ่มพิธีกรรม ดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงไหว้ครู “ครูมะม้วตใหญ่” ก็จะทำ�พิธีเข้าทรง เมื่อครูกำ�เนิด เขา้ ทรงแลว้ ครมู ะมว้ ตกจ็ ะถอื ดาบเดนิ ไปบรเิ วณตง้ั “เป” ซ่ึงเป็นเครื่องเซ่นผีไม่มีญาติหรือผีพรายผีร้ายที่ให้โทษ ตา่ ง ๆ โดยรา่ ยร�ำ เวยี นขวา ๓ ครง้ั เจา้ ภาพจะใชไ้ ฟจดุ นนุ่ หรอื เศษผา้ จนลกุ ไหม้ จากนน้ั ครมู ะมว้ ตจะใชด้ าบฟนั เป 39

บทบาทหลักของชุมชน คือ การเข้ามามี การเรียนการสอนตามหลักสูตรท้องถ่นิ เรอ่ื ง “การแสดง ส่วนร่วมในทุกข้ันตอนของการประกอบพิธีโจลมะม้วต พธิ กี รรมโจลมะมว้ ต” ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ มกี ารใหผ้ เู้ ฒา่ ผแู้ ก่ กล่าวคือ ในการประกอบพิธีกรรม “การโจลมะม้วต” ในชมุ ชนจดั การแสดงพธิ กี รรมเพอื่ ใหเ้ ยาวชนไดเ้ หน็ คณุ คา่ เพื่อรักษาคนป่วยแต่ละคร้ังนั้น ลูกหลานที่ทำ�งานอยู่ ของการจัดพธิ ีกรรมโจลมะมว้ ต เป็นตน้ ในพื้นที่ห่างไกลจะต้องเดินทางกลับมาร่วมในพิธีกรรม พิธีกรรมโจลมะม้วต จึงเป็นวัฒนธรรมที่ยังคง ด้วยเสมอ เพือ่ เปน็ การใหก้ �ำ ลังใจคนปว่ ย มาร่วมรบั ฟงั ได้รับการสืบทอดกันมาตามความเชื่อโบราณท่ีว่า สาเหตุการเจ็บป่วยและจะได้แก้ไขร่วมกัน เพื่อปัดเป่า ความเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำ�จากอำ�นาจส่ิงล้ีลับ ส่ิงชั่วร้ายออกจากตนเอง ตลอดจนคนในครอบครัว ของภูตผีปีศาจ ความเชื่อเหล่านี้จึงมีผลต่อการทำ� ในชว่ งการเตรยี มงาน ผชู้ ายในหมบู่ า้ นจะมาชว่ ยกนั สรา้ ง พิธีกรรมเพื่อวิงวอนขอความช่วยเหลือ โดยเช่ือว่า ปะรำ�พิธี กางเต็นท์ และปูเส่ือสำ�หรับให้แขกที่จะมา อำ�นาจลึกลับเหล่าน้ีจะปกปักรักษาคุ้มให้ตนปลอดภัย ร่วมพิธี ผู้หญิงก็จะช่วยกันทำ�กับข้าวเพ่ือเล้ียงคน และมีความสุข เม่ือพ้นภัยก็ยินดีแสดงความรู้คุณ ท่ีมาช่วยงาน คนแก่จะนั่งล้อมวงให้กำ�ลังใจคนป่วย ด้วยการเซ่นสรวงบูชาหรือประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ พดู ในสงิ่ ทเ่ี ปน็ มงคล ใหค้ นปว่ ยรสู้ กึ วา่ ตนเองจะตอ้ งหาย จากความเชื่อและความศรัทธาท่ีมีมาอย่างยาวนาน เมื่อมะม้วตมาถึงก็จะจัดตั้งอุปกรณ์ในการทำ�พิธี จึงกลายเป็นที่พ่ึงทางจิตใจในยามทุกข์ยากได้อย่างดี นักดนตรีจะจัดเตรียมอุปกรณ์ของตนให้พร้อมสำ�หรับ สำ�หรับชาวบ้านในชนบทโดยเฉพาะในแถบอีสานใต้ การบรรเลงตลอดคนื และหากพิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงแนวคิดและข้ันตอนของ กลุ่มชนบ้านดงมัน ตำ�บลคอโค อำ�เภอเมือง สรุ นิ ทร์ และบา้ นสะกอร์ ต�ำ บลประทดั บุ อ�ำ เภอปราสาท การท�ำ พิธีกรรมแลว้ จะเห็นวา่ พิธกี รรมโจลมะม้วต ในพนื้ ที่จงั หวดั สุรินทรน์ ้นั เปน็ กลุม่ ชาติพันธุ์ไทย - เขมร นี้ถือเป็นศูนย์รวมทางวัฒนธรรมที่บ่งชี้ถึง ท่ียังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีด้านความเช่ือ อตั ลกั ษณข์ องหมบู่ า้ นหรอื ชมุ ชนไดอ้ ยา่ งชดั เจน พธิ กี รรม การละเลน่ และการแสดงศลิ ปะทางดา้ นดนตรี นับว่าเป็นมรดกภูมิปัญญาท่ีทรงคุณค่าซึ่งควร นาฏศิลป์พื้นบ้านและมีการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แก่การส่งเสริมและรักษาไว้ ให้ชนรุ่นหลังได้ โดยหมู่บ้านดงมันได้รับการคัดเลือกเป็นหมู่บ้าน เรยี นร้แู ละสืบทอดตอ่ ไป วัฒนธรรมของจังหวัดสุรินทร์ ทั้งยังเป็นศูนย์รวม การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและความเช่ือ ซึ่งได้มี การถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมโจลมะม้วต ในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ มกี ารเผยแพร่ “การแสดงพธิ กี รรม โจลมะม้วต” ทางสื่อโซเชียลมีเดีย มีเอกสารประกอบ 40

ปแรหะเน่พณางี ดาน นครศรีธรรมราชเคยเป็น ชื่อเรยี กในทอ้ งถิ่น อาณาจักรท่ีเจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณ แหน่ างดาน ลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มวี ัฒนธรรมของศาสนาพราหมณเ์ ผยแผอ่ ยู่อย่าง แนวปฏบิ ตั ิทางสงั คม พิธกี รรม ประเพณี เป็นหลักเป็นฐานต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ โดยมี และงานเทศกาล ช่ือเดิมว่า “ตามพรลิงค์” รุ่งเรืองจนกลายเป็น ประเภท ศูนย์กลางของการเผยแผ่ศาสนาพราหมณ์สู่ รายการมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม บา้ นเมอื งอน่ื ในคาบสมุทรไทย ครั้นในเวลาต่อมา ทตี่ อ้ งได้รับการสง่ เสรมิ และรกั ษาอยา่ งเรง่ ดว่ น เม่ือพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาในอาณาจักรนี้ จงั หวดั ผเู้ สนอข้อมูลขนึ้ บญั ชี ศาสนาพราหมณ์ก็ปรับตัวเข้ากับพระพุทธศาสนา จงั หวดั นครศรธี รรมราช เปน็ เหตใุ หป้ ระเพณแี ละพธิ กี รรมตามความเชอ่ื ของ พน้ื ทป่ี ฏิบตั ิ พราหมณผ์ สมผสานกบั พธิ กี รรมในพระพทุ ธศาสนา หอพระอิศวร ฐานพระสยม (ท้องที่ตำ�บลในเมอื ง) สบื มาถงึ ปจั จบุ ัน สวนสาธารณะศรธี รรมาโศกราช (ท้องท่ตี �ำ บลคลงั ) “ประเพณแี หน่ างดาน” เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ เขตเทศบาลนครนครศรธี รรมราช อ�ำ เภอเมอื ง “พธิ ตี รยี มั ปวาย” ซ่งึ เปน็ พธิ ีการต้อนรบั พระอศิ วร จงั หวัดนครศรธี รรมราช เทพสูงสุดหนึ่งในสามเทพของศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์ ในเมืองนครศรีธรรมราชที่นับถือ พระอศิ วรเปน็ เจา้ (ลทั ธไิ ศวนกิ าย)เชอื่ วา่ พระอศิ วร จะเสด็จมาเย่ียมโลกมนุษย์ในช่วงเดือนบุษยมาส (เดอื นย)ี่ ทกุ ปี ทกุ ครงั้ ทพ่ี ระอศิ วรผเู้ ปน็ เจา้ เสดจ็ มา กจ็ ะประทานพรใหม้ นษุ ยอ์ ยดู่ ว้ ยความรม่ เยน็ เปน็ สขุ บันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่พืชพันธ์ุ ธญั ญาหาร ฝนตกตอ้ งตามฤดูกาล น้าํ ท่าบรบิ ูรณ์ ในการเสด็จพระอิศวรจะเสด็จลงมาทางเสาชิงช้า ดังนั้น ทุกปีจึงจัดพิธีโล้ชิงช้าให้เป็นส่วนหน่ึงของ ประเพณีตรยี มั ปวาย 41

ก่อนถึงเวลาท่ีพระอิศวรเสด็จมาถึงนั้น พ.ศ. ๒๕๐๕ ประเพณีนี้ได้ส้ินสุดลง เนื่องจาก ไม่มีศาสนิกชนในศาสนาพราหมณ์มาประกอบประเพณี ก็จะเตรียมการจัดขบวนแห่เทพชั้นรองส่ีองค์ คือ อีกท้ังทางราชการได้ร้ือถอนหอพระอิศวรและเสาชิงช้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระธรณี และพระคงคา ซ่ึงชำ�รุดทรุดโทรมมากออกไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ มารอรับเสด็จพระอิศวร เทพชั้นรองทั้งสี่องค์น้ีทำ�เป็น ประเพณตี รยี มั ปวายจงึ ยงั คงเหลอื อยเู่ ฉพาะในความทรงจ�ำ ภาพวาดหรือแกะสลักลงบนแผ่นไม้กระดาน ขนาดกว้าง ของชาวนครในสมัยโบราณ ก่อนจะมารื้อฟื้นขึ้นใหม่ หนึ่งศอก สูงส่ีศอก รวม ๓ แผ่น คือ พระอาทิตย์และ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๔๔ และจัดงานน้สี ืบมาตราบจนปจั จุบัน พระจันทร์แผ่นหน่ึง พระธรณีแผ่นหนึ่ง และพระคงคา อีกแผ่นหน่ึง (ชาวนครเรียกไม้แผ่นกระดานที่วาด (บน) โบราณสถานหอพระอิศวรและเสาชงิ ชา้ และ หรือแกะสลักน้ีว่า “นางดาน” หรือ “นางกระดาน”) (ล่าง) โบราณสถานฐานพระสยม จากนนั้ จะรว่ มกนั ท�ำ พธิ แี หอ่ ญั เชญิ เทพบนแผน่ ไมก้ ระดาน ไปยงั เสาชงิ ช้า ซงึ่ อย่ใู นบรเิ วณหอพระอศิ วร แลว้ อญั เชญิ (ท่ีมาของภาพ : ระบบภูมิสารสนเทศ แหล่งมรดกทาง ประดิษฐานไว้ในหลุมหน้า “โรงชมรม” เพื่อรอรับเสด็จ ศลิ ปวัฒนธรรม กรมศิลปากร) พระอศิ วร เรียกประเพณวี ่า “ประเพณีตรียมั ปวาย” ขณะที่ศาสนาพราหมณ์กำ�ลังมีอิทธิพลต่อ วิถีชีวิตผู้คนบนคาบสมุทรไทยในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ พระพทุ ธศาสนาไดแ้ ผเ่ ขา้ มา จงึ ท�ำ ใหก้ ระแสความศรทั ธา ก็เริ่มลดลง โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๖ พุทธศาสนามหายานซ่ึงมีศูนย์กลางท่ีเกาะชวากลาง ประเทศอินโดนีเซีย ตลอดจนท่ีอำ�เภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี ความศรัทธานี้ได้แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ท่ัวคาบสมุทรไทย โดยมีกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ทรงสนับสนุน เหตุนี้จึงทำ�ให้กระแสความศรัทธาต่อ ศาสนาพราหมณ์ลดลงไปอย่างมาก ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ พุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ก็ได้แผ่ขยายจาก ลังกาทวปี เขา้ มาเปน็ ระลอกใหม่ ท�ำ ให้บดบังอทิ ธพิ ลของ ศาสนาพราหมณ์ลงไปอีก เหลอื อยเู่ พียงคตคิ วามเชอื่ และ พิธีกรรมบางอย่างเท่านั้น และส่วนที่เหลือน้ีส่วนใหญ่ ไดผ้ สมกลนื กลายเป็นพิธีกรรมทางพุทธศาสนาอยู่ไมน่ อ้ ย อย่างไรก็ดี แม้ว่าพราหมณ์จะมีจำ�นวนลดลง แต่พราหมณ์เมืองนครก็ยังปฏิบัติประเพณีตรียัมปวาย สบื ทอดตอ่ กนั มา จนกระทง่ั เกดิ เหตกุ ารณก์ ารเปลยี่ นแปลง การปกครองในสมัยรัชกาลท่ี ๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎรและรัฐบาลในสมัยน้ันจึงให้ยุติประเพณี ตรียัมปวายและพิธีโล้ชิงช้าเสียใน พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นต้นมา จากเหตุการณ์และคำ�สั่งดังกล่าว พราหมณ์ ในนครศรธี รรมราชไดล้ ดและปรบั เปลยี่ นใหเ้ หลอื ไวเ้ ฉพาะ “การแห่นางดาน” เพียงอย่างเดียว จนกระท่ังถึง 42

ค�ำ วา่ “ตรยี มั ปวาย” (บางแหง่ เขยี นวา่ ตรยี มั พวาย จรดพระนงั คลั แรกนาขวญั ทก่ี ระท�ำ กนั ในเดอื น ๖ อนั เปน็ และตรยี �ำ พวาย) เปน็ ค�ำ มาจากภาษาทมฬิ วา่ “ตริ เุ วมปาไว” ฤดูกาลเร่ิมเพาะปลูก พิธีนี้จึงจัดขึ้นเพื่อสวดอ้อนวอน (Tiruvempavai) สว่ นค�ำ “ตรปี วาย” มาจากภาษาทมฬิ วา่ เทพเจา้ ขอใหบ้ นั ดาลใหก้ ารเพาะปลกู ไดผ้ ลดี สว่ นประเพณี “ตริ ปุ ปาไว” (Tiruppavai) เปน็ ชอ่ื พธิ ขี องพราหมณฝ์ า่ ย ตรปี วายทจี่ ดั ขน้ึ ในเดอื นยี่ ซง่ึ ผา่ นพน้ ฤดเู กบ็ เกย่ี วมาแลว้ ใต้ในประเทศอินเดียเพ่ือรับพระอิศวร เรียกอีกช่ือว่า จัดขึ้นเพ่ือแสดงความขอบคุณต่อเทพเจ้าที่บันดาลให้ “พิธีโล้ชิงช้า” ตามประวัติกล่าวกันว่า แต่เดิมมา การเพาะปลกู ได้ผลดี ในประเทศอินเดียมีพราหมณ์อยู่หลายฝ่าย แยกเป็น “เสาชงิ ชา้ ” เปน็ องคป์ ระกอบส�ำ คญั ของการจดั พราหมณฝ์ ่ายเหนอื (ปญั จโคทะ) และพราหมณฝ์ า่ ยใต้ ประเพณีตรียัมปวาย มีลักษณะเป็นเสาสูง ทำ�ด้วยไม้ (ปัญจทราวิท) พราหมณ์ในนครศรีธรรมราชเป็นฝ่ายใต้ เน้ือแข็ง เช่น ไม้ตะเค่ียม ไม้สัก หรือไม้เคียม เป็นต้น ซึ่งเป็นชาวทมิฬเดินทางเข้ามาเมืองนครศรีธรรมราช ท�ำ เปน็ เสาคู่ ปลายเสาสอบเอนเขา้ หากนั ความสงู ไมจ่ �ำ กดั โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเข้ามาเผยแผ่ศาสนาพราหมณ์ ไวต้ ายตวั ดงั เช่น เสาชิงชา้ ทก่ี รงุ เทพ ฯ เดิมสงู ๔๐ ศอก ให้กว้างขวางข้ึน พราหมณ์ทมิฬพวกนี้เป็นพวกที่นำ� ปลายเสาสอบเข้าหากนั กว้าง ๘ ศอก ปลายเสาผกู เชือก พิธีตรียัมปวาย (ตรีปวาย) เข้ามาปฏิบัติเมื่อราว ไว้สองเส้น เพื่อแขวนกระดานแผ่นหน่ึงซึ่งยาว ๔ ศอก พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ กว้าง ๒ ศอก เพ่ือให้พราหมณ์ (หรือ “นาลิวัน”) “ตรียัมปวาย” ถือเป็นประเพณี หรือ จ�ำ นวน ๔ คน ขน้ึ ไปนง่ั และโลช้ งิ ชา้ เรยี กวา่ “พธิ โี ลช้ งิ ชา้ ” งานนักขัตฤกษ์ปีใหม่ของพราหมณ์ โดยจัดระหว่างวัน โดยเสาชงิ ชา้ เปรยี บเสมอื นเขาพระสเุ มรุ (บางแหง่ กลา่ ววา่ ขน้ึ ๗ คาํ่ เดอื นอา้ ย ถงึ วนั แรม ๑ คาํ่ เดอื นอา้ ย รวม ๑๐ วนั เปน็ ภเู ขามนั ทรา) สว่ นเชอื กทห่ี อ้ ยแขวนกระดานส�ำ หรบั (ตอ่ มาเล่ือนเปน็ เดอื นย)ี่ ถอื เปน็ ชว่ งทพ่ี ระอศิ วรเสดจ็ ลง โล้เป็นเสมือนพญานาค (ซ่ึงมีชื่อว่า วาสุกิ หรือวาสุกรี) มาเยีย่ มโลก พราหมณน์ กิ ายนีจ้ งึ จัดให้มีพิธีต้อนรับและ ซ่ึงการโล้ชิงช้าท่ีเสาดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของการ บูชาพระอิศวร เรียกว่า “ประเพณีตรียัมปวาย” และ ทดสอบความแข็งแรงของพื้นโลกว่าม่ันคงเพียงใด เมื่อพระอิศวรเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ในวันแรม ๑ คํ่า ในการโลช้ งิ ชา้ แตล่ ะคราวจะโลส้ ามลา (สามครงั้ ) เรยี กวา่ ก็จะถึงช่วงเวลาท่ีพระนารายณ์เสด็จยังโลกมนุษย์ คือ “โล้สามกระดาน” เม่ือครบแล้วจึงจะเสร็จพิธีโล้ชิงช้า ต้ังแต่วันแรม ๑ คํ่า จนถึงวันแรม ๕ คํ่า เดือนอ้าย หากการโล้ครั้งน้ันเสาชิงช้าไม่หักหรือโค่นล้ม ก็ถือว่า (รวม ๕ วัน) พราหมณ์ก็จัดให้มีพิธีบูชาที่เรียกว่า พน้ื โลกยงั แขง็ แรง ไพร่ฟ้าประชาราษฎรก์ ็ยงั ตั้งถน่ิ ฐาน “ประเพณีตรีปวาย” ด้วยเหตุน้ี พิธีตรียัมปวายและ และท�ำ มาหากินได้ตามปกตติ ่อไปอีกปหี นง่ึ ตรปี วายในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรจ์ งึ จดั เปน็ พธิ ตี อ่ เนอื่ งกนั พิธีโล้ชิงช้าน้ีเป็นการแสดงตำ�นานเก่ียวกับ สองพิธี รวมเรียกว่า “ประเพณีตรียัมปวาย ตรีปวาย” พระอศิ วรตอนหนงึ่ วา่ เมอื่ พระพรหมสรา้ งโลกแลว้ กข็ อให้ ใช้เวลาจดั งานรวมทงั้ ส้นิ ๑๕ วนั พระอิศวรไปรักษา พระอิศวรทรงห่วงใยว่าโลก ประเพณีตรียัมปวายและตรีปวายท่ีจังหวัด ดูไม่น่าแข็งแรง จึงทอดพระบาทลงมาเพียงข้างเดียว นครศรธี รรมราช พราหมณก์ ระท�ำ พธิ ตี อ่ กนั เชน่ เดยี วกนั แลว้ ใหพ้ ญานาคมาโลย้ อ้ื ยดุ ระหวา่ งเขาสองฝงั่ มหาสมทุ ร พิธีแรกจะเริ่มด้วยพิธีอัญเชิญเทพเจ้าเสด็จลงมาเรียกว่า ปรากฏว่าแผ่นดินโลกแข็งแรงดีอยู่ พญานาคท้ังหลาย “พธิ เี ปดิ ประตศู วิ าลยั ไกรลาส” พธิ ที ส่ี อง พราหมณน์ าลวิ นั ก็โสมนัสยินดีลงเล่นนํ้าในขันสาครและเฉลิมฉลองกัน จะประกอบ “พิธีโล้ชิงช้า” ถวายแด่พระอิศวร เปน็ การใหญ่ เสาชงิ ชา้ ทงั้ คคู่ อื ขนุ เขาทงั้ สองฝงั่ มหาสมทุ ร โดยระหว่างน้ันมีการอ่านโศลกสรรเสริญ พร้อมทั้ง และขันสาครก็คือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ซ่ึงพญานาค มีการถวายข้าวตอกดอกไม้ ผลไม้ต่าง ๆ การถวาย พากนั มาเลน่ นา้ํ ร�ำ เสนง่ สาดนาํ้ กนั นาลวิ นั ซง่ึ สวมหวั นาค ข้าวตอกดอกไม้ผลไม้สืบเน่ืองมาจากคติความเชื่อที่ว่า (กห็ มายถงึ พญานาค) เปน็ พธิ ที ม่ี คี วามหมายทางการเมอื ง ประเพณีทั้งสองมีความเก่ียวข้องกันกับพระราชพิธี ว่าแผ่นดินน้ีมีความเจริญรุ่งเรืองม่ันคง มีความสามัคคี จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ กล่าวคือ พระราชพิธี ไม่มีการแตกแยก 43

แผน่ นางกระดาน (นางดาน) ศลิ ปะอยุธยา พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ ปัจจุบันจดั แสดงอยูท่ ่ี พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช แผ่นนางกระดาน (นางดาน) ในพิธโี ล้ชงิ ชา้ ในการเสด็จเยี่ยมโลกของพระอิศวรแต่ละปี ความร้อนแก่โลกมนุษย์และดาวพระเคราะห์อ่ืน ๆ ได้กำ�หนดให้มีเทพช้ันรองมาร่วมในพิธี ประหน่ึง ด้วยการชักรถม้าเคล่ือนไปในจักรวาลไม่มีวันหยุด มารอรับเสด็จ เทพช้ันรอง ประกอบด้วยพระอาทิตย์ ก�ำ ลงั แสงของพระอาทติ ยม์ พี ลงั ดดู นาํ้ ไดถ้ งึ ๑,๐๐๐ สว่ น พระจันทร์ พระธรณี และพระคงคา เทพท้ังหมดน้ี ดดู ฝน ๔๐๐ สว่ น ดดู หิมะ ๓๐๐ ส่วน ดดู ลม ๓๐๐ ส่วน เป็นภาพวาดหรือภาพแกะสลักบนแผ่นไม้ พราหมณ์ ให้พลังงานแก่สรรพส่ิงมีชีวิตท้ังปวง ก่อให้เกิดวัฏจักร ในนครศรีธรรมราช จึงเรียกว่า “นางกระดาน” แหง่ ดนิ ฟา้ อากาศเปน็ ฤดกู าล ถอื เปน็ เทพ “ผสู้ รา้ งทิวา” (หรอื นางดาน) ซง่ึ มีคุณูปการตอ่ การอย่รู อดของมนุษย์ สตั วแ์ ละพชื ๑) นางกระดาน แผน่ ท่ี ๑ นามวา่ พระอาทติ ย์ พระจนั ทร์ต�ำ นานนพเคราะหก์ ลา่ ววา่ เทพองคน์ ้ี พระจนั ทร์ พระอิศวรทรงสร้างข้ึนจากนางฟ้า ๑๕ นาง โดยร่าย พระอาทิตย์ ตำ�นานนพเคราะห์กล่าวว่า พระเวทให้นางฟ้าท้ัง ๑๕ นาง กลายเป็นผงละเอียด เทพองค์นี้พระอิศวรทรงสร้างขึ้นด้วยการเอาราชสีห์ แลว้ หอ่ ดว้ ยผา้ สนี วลประพรมดว้ ยนา้ํ อมฤตไมช่ า้ จงึ เกดิ เปน็ ๖ ตัว มาป่นเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง ประพรม เทพบตุ รขนึ้ ชอ่ื มนี ามวา่ “พระจนั ทร”์ ผวิ กายเปน็ สนี วล ด้วยน้ําอมฤต ไม่ช้าจึงเกิดเป็นเทพบุตรร่างน้อยขึ้น ร่างเล็กสะโอดสะอง ประทับในวิมานสีแก้วมุกดา มีนามว่า “พระอาทิตย”์ หรอื “พระสุริยา” มีผวิ กาย ทรงมา้ สีขาวดอกมะลิเป็นพาหนะ มีชายาถึง ๒๗ องค์ สีแดง รัศมีกายเรืองโรจน์ ตัวเสื้อทรงสีเหลืองอ่อน เป็นเทพผู้สร้างกลางคืน เป็นสัญลักษณ์แห่งความ มีส่ีกร กรท่ีหนึ่งใช้ห้ามอุปัทวันตราย กรที่สอง อุดมสมบูรณ์และงดงามอ่อนละมุน เพราะการเป็น ไว้ประทานพร และอีกสองกรถือดอกบัว พระอาทิตย์ ผู้สร้างกลางคืนนี่เอง จึงมีสมญาว่า “รัชนีกร” หรือ เป็นเทพผู้สร้างกลางวัน เป็นผู้ให้แสงสว่างและ “ผสู้ รา้ งราตร”ี ถอื เปน็ เทพผอู้ �ำ นวยใหส้ งิ่ มชี วี ติ ทงั้ หลาย ได้พกั ผ่อนและผสมพันธ์สุ ืบมาจนปัจจบุ ัน 44

๒) นางกระดาน แผน่ ที่ ๒ นามว่าพระธรณี ท่ีฐานพระสยม (ตลาดท่าชีปัจจุบัน) นำ�ขบวนด้วยเครื่อง ตำ�นานนพเคราะห์กล่าวว่า เทพองค์นี้มีหน้าท่ี ดนตรีประโคม (ป่ีนอก กลองแขก และฆ้อง) มีเคร่ืองสูง ร อ ง รั บ น้ํ า ห นั ก ข อ ง ส ร ร พ สิ่ ง แ ล ะ พ ยุ ง ส่ิ ง ทั้ ง ห ล า ย (ฉตั รพดั โบกบงั แทรกและบงั สรู ย)์ โดยมพี ระราชครปู ลดั หลวง ท่ีพระอิศวรทรงสรา้ งไว้ในจักรวาลให้ด�ำ รงอยู่ เป็นเสมอื น เดินนำ�หน้าเสล่ียงละคน มีพราหมณ์ถือสังข์เดินตามและ พ่อแม่ของเทพทั้งหลาย เป็นผู้รับและส่ังสมส่ิงดีมีค่า ปิดท้ายขบวนด้วยนางอัปสรและผู้ถือโคมบัว เม่ือแห่ถึง อาหารและความม่ันคง ยอมสละแม้เกียรติและอำ�นาจ หอพระอิศวรแล้วก็หามเสล่ียงนางดานเวียนรอบเสาชิงช้า จึงได้ช่ือว่า “วสุธา” หรือพ้ืนดิน มีผิวกายสีขาวนวล สามรอบ จากนน้ั จึงท�ำ พธิ ีอญั เชญิ เทพนางกระดานทง้ั สาม พระเกศายาวเหยยี ดตรงเปน็ โมฬี สามารถอมุ้ ซบั อทุ กธารา ลงหลุมในมณฑลพิธีราชวัตรฉัตรธง (หรือโรงชมรม) หรือสายน้าํ ไว้มหาศาล เป็นเทพผู้เกบ็ สะสมคุณความดยี ิง่ เพ่ือรอเวลาทีพ่ ระอศิ วรเสดจ็ ลงมา ทงั้ ปวงและรกั ษาความมคี ณุ ธรรม เปน็ หเู ปน็ ตาแทนผอู้ นื่ ได้ อนึง่ เสาชิงชา้ นอกจากจะสรา้ งเพ่ือใช้ประกอบ ดงั สำ�นวนท่ีว่า “ใครไมร่ ู้ แตเ่ ทวดาฟา้ ดินรู”้ ในประเพณีตรียัมปวายในเมืองนครศรีธรรมราชแล้ว ยงั มเี สาชงิ ชา้ อยใู่ นจงั หวดั อนื่ ๆอยบู่ า้ งเชน่ กรงุ เทพมหานคร ๓) นางกระดาน แผ่นที่ ๓ นามว่าพระคงคา พระนครศรอี ยธุ ยา และเพชรบรุ ี แตท่ สี่ องจงั หวดั หลงั ไดผ้ พุ งั ตำ�นานนพเคราะห์กล่าวว่า เทพองค์น้ีเป็นธิดา ไปจนหมดสิ้นแล้ว ที่กรุงเทพมหานครสร้างเสาชิงช้าเมื่อ องคแ์ รกของพระหมิ วตั กบั นางเมนา พระสวามขี องพระคงคา พ.ศ. ๒๓๒๗ ส่วนที่นครศรีธรรมราชสร้างเม่ือ พ.ศ. ใด คือ พระอิศวร ดังนั้น พระคงคากับพระอุมานอกจาก ไมท่ ราบชดั แตไ่ ดส้ รา้ งขน้ึ มาทดแทนเสาเดมิ เมอื่ พ.ศ.๒๕๐๖ จะร่วมพระชนกชนนีกันแล้ว ยังมีสวามีองค์เดียวกันด้วย ภายหลงั ฟนื้ ฟโู บราณสถานหอพระอศิ วร เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๕ มผี ิวกายสีมว่ งแกมนา้ํ ตาล ท้ังน้ี ในอดีตจังหวัดนครศรีธรรมราชเคยมีความพยายาม เทพองค์นี้แต่เดิมอยู่บนสวรรค์ เพ่ิงจะลงมาสู่ ในการรื้อฟ้ืนประเพณีแห่นางดานข้ึนใหม่หลายคร้ัง โลกมนุษย์ในคร้ังท่ีท้าวภคีรถสำ�เร็จการพิธีอัญเชิญให้ลง แต่ไม่สำ�เร็จจนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๔๔ การท่องเท่ียว มาชำ�ระอัฐิโอรสท้าวสัคระที่ถูกพระกบิลบันดาลด้วยฤทธ์ิ แห่งประเทศไทย สำ�นักงานนครศรีธรรมราช ร่วมกับ เป็นเพลิงไหม้ตาย จึงจำ�เป็นจะต้องใช้นํ้าจากพระคงคา กลุ่มนกั วชิ าการท้องถ่ินและเทศบาลนครนครศรีธรรมราช บนสวรรคม์ าช�ำ ระอัฐิ จงึ จะหมดบาปไปบังเกดิ ในสวรรค์ ได้ร่วมแรงร่วมใจกันรื้อฟ้ืนประเพณีแห่นางดานขึ้นมา ได้อีก พระคงคาจึงบันดาลน้ําให้ไหลไปทางสระวินทุ อีกครั้ง โดยผนวกเข้ากับเทศกาลมหาสงกรานต์ของ แยกออกเป็นเจ็ดสาย ไหลไปทางตะวันออกสามสาย จังหวัดนครศรีธรรมราช เน่ืองจากเห็นว่าช่วงดังกล่าว กลายเป็นแม่น้ําลินี ทลาทินี และปปาพนี และไหลไป เป็นช่วงปีใหม่ของไทยแต่โบราณ ส่วนพิธีแห่นางดาน ทางตะวนั ตก กลายเปน็ แมน่ าํ้ อกี สามสาย คอื แม่นํา้ จักษุ หรือพิธีตรียัมปวาย ตรีปวาย ก็เป็นพิธีในช่วงปีใหม่ สีดา และสินธุ สว่ นอกี สายหน่งึ ไหลตามรอยรถทา้ วภคีรถ ตามคติความเชื่อของฝ่ายพราหมณ์ จึงนำ�มารวมกันและ เรยี กกนั วา่ “พระคงคามหานท”ี แมน่ าํ้ สายนน้ี บั เปน็ แมน่ าํ้ ไดก้ �ำ หนดจัดแสดงสาธติ พิธแี ห่นางดานในวันท่ี ๑๔ - ๑๕ ศักด์ิสิทธิ์ใช้ล้างบาปได้ ไหลผ่านท่ีใดผู้คนก็ชำ�ระล้างบาป เมษายนของทกุ ปี โดยในวนั งานชว่ งเชา้ ประมาณ ๐๗.๐๐ น. ท่ีนนั่ ความสกปรกของบาปไดต้ กตะกอน ท�ำ ใหก้ ลายเป็น เปน็ พธิ บี วงสรวงพระอศิ วร ณ ฐานพระสยม บรเิ วณตลาดทา่ ชี สนั ดอนสมบรู ณพ์ นู พอก มพี ชื พรรณงามงอกขนึ้ ตามฝง่ั นา้ํ ช่วงคํ่าประมาณ ๑๘.๐๐ น. มีการตั้งขบวนพิธีอัญเชิญ สว่ นในล�ำ วารกี เ็ ปน็ ทอี่ าศยั ของสตั วน์ าํ้ ทง้ั หลาย พระคงคา นางดานจากฐานพระสยมไปที่สวนศรีธรรมาโศกราช จึงเป็นเทพผู้อำ�นวยความชุ่มฉ่ําสมบูรณ์ให้แก่สรรพส่ิง แล้วทำ�พิธีประดิษฐานในหลุมหน้าเสาชิงช้า จากน้ัน ในมนษุ ยโลกยนื ชีพมาตราบปัจจุบัน เป็นการแสดงแสงเสียง จำ�ลองการโล้ชิงช้า การรำ�เสน่ง ในเมืองนครศรธี รรมราชสมยั ก่อนนนั้ เมือ่ เวลา และเร่ืองราวตำ�นานพิธีแห่นางดาน รวมทั้งเทพเจ้า จะอัญเชิญนางดานประดิษฐานบนเสล่ียงกระดาน ทีเ่ ก่ียวข้อง ละเสล่ียง ก็จะจัดขบวนหามแห่กันมาในเวลาพลบค่ํา 45

ประเพณแี ห่นางดานและพธิ ีโล้ชิงชา้ ของเมอื งนครศรธี รรมราช (ที่มาของภาพ : เทศบาลนครนครศรีธรรมราช) ทงั้ น้ี การจดั งานประเพณแี หน่ างดานในแตล่ ะปี เทศบาล นครนครศรีธรรมราชใช้กลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนในมิติทาง วฒั นธรรม ทส่ี รา้ งใหท้ กุ ภาคสว่ นเขา้ มามสี ว่ นรว่ มด�ำ เนนิ การตาม บทบาทหนา้ ท่ขี องหนว่ ยงานองคก์ รตา่ ง ๆ เหลา่ นน้ั โดยเฉพาะ ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ในฐานะทเ่ี ปน็ เจา้ ของวฒั นธรรม ตอ้ งเปน็ ก�ำ ลงั หลกั ในการร่วมพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง มีเศรษฐกิจท่ีม่ันคง มกี ารธำ�รงรักษาสบื สานมรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยูส่ ืบไป ปัจจุบันนี้ในประเทศไทย มีพิธีแห่นางดานและ โลช้ งิ ชา้ เหลอื เพยี งทน่ี ครศรธี รรมราชแหง่ เดยี ว โดยเปน็ งานประเพณที ผ่ี คู้ นเมอื งนภ้ี าคภมู ใิ จและไดร้ บั การสนบั สนนุ ให้เป็นกิจกรรมสำ�คัญในปฏิทินการท่องเท่ียวเทศกาล สงกรานตข์ องการทอ่ งเทย่ี วแหง่ ประเทศไทยอกี กจิ กรรมหนง่ึ ในฐานะที่เป็นประเพณีด้ังเดิมท่ีมีการปฏิบัติสืบทอด กันมาอย่างยาวนานแต่คร้ังบรรพกาล การท่ีชาวเมือง นครศรีธรรมราชร่วมกันรื้อฟื้นประเพณีดังกล่าวข้ึนมา อีกครั้งเพื่อเผยแพร่ประเพณีแห่นางดานให้เป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวาง นับเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการช่วยกัน ธ�ำ รงไวซ้ ง่ึ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมทท่ี รงคณุ คา่ ยงิ่ 46

ทเุ รียนนนท์ ทุเรียนไทย มีประวัติยาวนาน ช่อื เรียกในท้องถิ่น มาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา และมีข้อมูลบันทึก ทเุ รยี นนนท์ ไว้เป็นหลักฐานในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ลกั ษณะของมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม มหาราช โดยเมอรซ์ เิ ออรเ์ ดอลาลแู บร์ (Simon ความรูแ้ ละการปฏิบตั เิ กี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล de la Loubère) หัวหน้าคณะราชทูตจาก ประเภท ประเทศฝร่ังเศสในสมัยน้ัน ซ่ึงบันทึกข้อมูล รายการมรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรม เก่ียวกับทุเรียนไว้ว่า “ดูเรียน (Durion) หรือ ทต่ี ้องไดร้ บั การส่งเสรมิ และรักษาอยา่ งเร่งดว่ น ทช่ี าวสยามเรยี กวา่ ‘ทลู เรยี น’ (Tourrion) เปน็ ผลไม้ จงั หวัดผู้เสนอขอ้ มลู ขน้ึ บญั ชี ท่ีนิยมกันมากในแถบน้ี...” จากหลักฐานดังกล่าว จังหวดั นนทบรุ ี แสดงให้เห็นว่ามีการปลูกทุเรียนในภาคกลางของ พน้ื ท่ีปฏบิ ตั ิ ประเทศไทย และในยุครัตนโกสนิ ทรม์ ีรายละเอยี ด อำ�เภอเมอื ง อ�ำ เภอปากเกรด็ อำ�เภอบางกรวย ทีเ่ ก่ียวกับทเุ รยี นปรากฏอยู่ในหลกั ฐานต่าง ๆ เช่น อ�ำ เภอบางใหญ่ อำ�เภอไทรน้อย อำ�เภอบางบวั ทอง กาพยเ์ หเ่ รอื ชมเครอ่ื งคาวหวาน ภาพลงรกั ปดิ ทอง จงั หวัดนนทบรุ ี ทบี่ านหนา้ ต่างพระทนี่ ่ังมูลมณเฑยี ร เปน็ ตน้ 47

ประวตั ศิ าสตรข์ องทเุ รยี นไทย ในระยะหลังสวนทุเรียนในจังหวัดนนทบุรี ประสบปัญหาหลายอย่าง ทั้งน้ําท่วมใหญ่หลายคร้ัง มีความเก่ียวข้องกับพ้ืนที่เพาะปลูกในจังหวัดนนทบุรี ทำ�ให้ล่มไปหลายสวน เหลืออยู่เพียงจำ�นวนน้อย ทเ่ี รยี กกนั วา่ “สวนใน” ซ่ึงเป็นสวนตามล�ำ นํ้าเจ้าพระยา เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร ตงั้ แตเ่ มอื งนนทบรุ ถี งึ ธนบรุ หี รอื บางกอกและพระประแดง มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สว่ นสวนนอกคอื สวนตามล�ำ นา้ํ แมก่ ลอง ดงั มคี �ำ กลา่ วทวี่ า่ เสด็จพระราชดำ�เนินไปจังหวัดนนทบุรี พระองค์ทรง “สวนในบางกอก สวนนอกบางชา้ ง” จากประวตั ศิ าสตรท์ มี่ ี สนพระทัยการทำ�สวนทุเรียนอย่างมาก ต่อมาปี การบนั ทกึ เปน็ หลกั ฐานวา่ พระยาแพทยพ์ งศาวสิ ทุ ธาธบิ ดี พ.ศ. ๒๕๒๐ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารศกึ ษา (สุ่น สุนทรเวช) ได้กล่าวถึงการแพร่กระจายของพันธ์ุ วิจัยโครงการ “การศึกษาวิจัยส่ิงแวดล้อมเร่ือง น้ํา-ดิน ทเุ รยี นจากจงั หวดั นครศรธี รรมราชมายงั กรงุ เทพ ฯ ตง้ั แต่ ของสวนทุเรียนจังหวัดนนทบุรี และการกำ�จัดของเสีย ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๑๘ และมีการทำ�สวนทุเรียน สิ่งขับถ่ายของคนใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั สุขาภบิ าล ทำ�เปน็ จังหวัดนนทบุรี ในตำ�บลบางกร่าง คลองบางกอกน้อย ปุ๋ยหมักธรรมชาติสำ�หรับพืช ต้นไม้และต้นทุเรียน” ตอนใน โดยขุนบริเวณ (เป่ียม ฉิมน้อย) ในระยะแรก หรือท่ีเรียกว่า “โครงการปุ๋ยทุเรียนสูตรพระราชทาน” เป็นการขยายพันธ์ุด้วยเมล็ดและพัฒนามาเป็นการปลูก เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ สมเด็จ ด้วยก่ิงตอนจากพันธ์ุดี ๓ พันธุ์ คือ พันธุ์อีบาต ทองสุก พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ และการะเกด ในสมยั ก่อนทุเรยี นปลูกกนั เพียง ๓ อำ�เภอ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำ�ริเรื่องการอนุรักษ์ คือ อำ�เภอเมือง อำ�เภอบางกรวย และอำ�เภอบางใหญ่ พนั ธทุ์ เุ รยี นของจงั หวดั นนทบรุ ี จงึ ท�ำ ใหก้ ระทรวงเกษตร ต่อมาขยายไปท่ีอำ�เภอปากเกร็ดและบางตำ�บลในอำ�เภอ และสหกรณ์ ร่วมกับจังหวัดนนทบุรี ทำ�การศึกษาวิจัย บางบัวทอง แหล่งปลูกทุเรียนที่มีชื่อเสียงของจังหวัด พันธุ์ทุเรียนท่ีเหมาะสมกับลักษณะของพื้นท่ีต่าง ๆ นนทบรุ ี อยทู่ ี่บ้านหมอ้ ต�ำ บลสวนใหญ่ อำ�เภอเมอื ง รวมท้ังดำ�เนินการฟ้ืนฟูสวนทุเรียนท่ีถูกนํ้าท่วม เพ่ือช่วยเหลือราษฎรเจ้าของสวน โดยดำ�เนินการ ปรบั ปรงุ ดนิ ใชด้ นิ จากสวนทเุ รยี นนนท์ จดั ท�ำ เปน็ รอ่ งสวน ก�ำ หนดพนื้ ท่ีในการปลกู การและระบายนา้ํ ท�ำ รอ่ งสวน ทุเรียนนนท์ เป็นทุเรียนชั้นหน่ึง มีชื่อเสียง เลื่องลือถึงรสชาติที่อร่อยโดยเฉพาะพันธุ์ก้านยาว ประชาชนให้ความนิยมมาต้ังแต่อดีต ทำ�ให้มีราคาสูง และหากนิ ยาก ทเุ รยี นนนทห์ ายไปจากความนยิ มชว่ งหนง่ึ เน่ืองจากความเจริญของสังคมเมือง สภาพอากาศ และส่ิงแวดล้อมที่เปล่ียนแปลงไป ทำ�ให้การสืบทอด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมการทำ�สวนทุเรียนของ ชาวนนทบรุ เี รม่ิ สญู หาย ปจั จบุ นั ชาวนนทบรุ เี รมิ่ กลบั มา ปลูกทุเรียนเพ่ิมมากขึ้น เนื่องมาจากราคาทุเรียนนนท์ ทเี่ พมิ่ ขนึ้ จากเดมิ ประมาณ ๕๐ เทา่ โดยเฉพาะหมอนทอง และก้านยาว รวมถึงการได้รับตราสัญลักษณ์ส่ิงบ่งชี้ ทางภูมิศาสตร์ (GI : Geographical Indication) ว่าเป็นทุเรียนนนทบุรีพันธุ์แท้และใช้มรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมในการปลูกทุเรียน ตั้งแต่การทำ�สวน ยกร่อง การปลูกทุเรียน การเตรียมดิน การเลือกชนิด 48


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook