Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 71Pridee

71Pridee

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-04-09 12:20:22

Description: 71Pridee

Search

Read the Text Version

ในสว่ นนเี้ รยี บเรยี งขนึ้ จากการเสวนา เรอ่ื ง “การรา่ งรฐั ธรรมนญู ประชาธปิ ไตย: บทเรยี นจากป๋วยและปรีดี” เมอื่ วันพุธท่ี ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ ห้อง ประชมุ สัญญา ธรรมศักด์ิ ตึกโดม มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ทา่ พระจนั ทร์ เนือ่ งในงานวนั ปรีดี พนมยงค์ ประจำ� ปี ๒๕๕๙ มีวิทยากรร่วมเสวนาจ�ำนวน ๓ ท่าน คือ รองศาสตราจารย์ ดร. สริ พิ รรณ นกสวน สวสั ดี รองศาสตราจารย์ สมชาย ปรชี าศลิ ปกลุ และผชู้ ว่ ย ศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา เทวานฤมติ รกุล โดยมีนายกษิดศิ อนนั ทนาธร ด�ำเนินรายการ เนื้อหาที่ปรากฏต่อไปนี้ เรียบเรียงมาแต่เฉพาะของวิทยากรแต่ละ ทา่ น ************** การร่างรัฐธรรมนญู ประชาธปิ ไตยฯ ๐๔๙

๑. รองศาสตราจารย์ สมชาย ปรชี าศิลปกุล สมมติเสวนากับปรีดี พนมยงค์ เร่ืองรัฐธรรมนูญ กระบวนการร่างและ ประชาธิปไตย สมมติเสวนา เน่ืองจากอาจารย์ปรีดีไม่ได้อยู่ สิ่งที่ผมจะพูด วันนี้กเ็ ป็นการอา่ นจากตัวบทเปน็ หลกั ถงึ งานที่อาจารยป์ รีดีเขียนไว้ ๑.๑ ความฝันและความล้มเหลวของป๋วย วันนี้หัวข้องานกล่าวถึงบุคคลส�ำคัญ ๒ ท่านคือ อาจารย์ป๋วย และ อาจารย์ปรีดี๑ ในส่วนของอาจารย์ป๋วย ผมได้มาพูดที่หอประชุมศรีบูรพา เมอ่ื งาน ๑๐๐ ปี ชาตกาล อาจารยป์ ๋วย เมอ่ื วนั ท่ี ๙ มีนาคม ที่ผา่ นมา เร่ือง กรรมาธิการร่างรฐั ธรรมนูญทชี่ อ่ื “ปว๋ ย” และไดม้ ีบทความตีพมิ พร์ วมกบั ของนักวชิ าการทา่ นอืน่ ๆ รวม ๖ ชน้ิ ถงึ อาจารยป์ ๋วยในมิตติ า่ งๆ แลว้ ๒ ส�ำหรับป๋วยมีส่วนร่วมในรัฐธรรมนูญ ๒๕๑๗ ในฐานะที่เป็น กรรมาธิการรา่ งรฐั ธรรมนญู ฉบับน้ัน สิง่ ท่ีผมคิดวา่ เป็นหัวใจสำ� คญั ท่เี รานา่ จะสรปุ ไดส้ นั้ ๆ คอื ปว๋ ยพยายามจะผลกั ดนั แนวความคดิ แบบเสรปี ระชาธปิ ไตย เขา้ ไปในรา่ งรฐั ธรรมนญู เชน่ การทำ� ใหเ้ กดิ การยอมรบั สง่ิ ทเี่ รยี กวา่ เสรภี าพ ในมโนธรรมและความคิด ซึ่งเป็นส่ิงท่ีไม่เคยปรากฏข้ึนในรัฐธรรมนูญของ ไทย แม้วา่ ฉบับใดๆ อนั น้ีเปน็ ส่วนที่ผมคิดวา่ เสรนี ยิ มสุดๆ คอื ปว๋ ยบอกว่า ๑ ต่อไปจะเรียกส้ันๆ ว่า “ป๋วย” และ “ปรดี ี” ๒ ประจกั ษ์ ก้องกีรติ และ ปกปอ้ ง จนั วิทย์ (บรรณาธกิ าร), ป๋วยกบั สังคมไทยในวิกฤตเปลย่ี น ผ่าน (กรุงเทพฯ: มลู นิธิโครงการต�ำราสงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตร,์ ๒๕๕๙). ๐๕๐ ปรีดีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

เราต้องมีเสรีภาพในมโนธรรม แม้ว่าเสรีภาพในมโนธรรมของเราจะขัดต่อ กฎหมาย แตเ่ ราควรตอ้ งยอมรับสงิ่ ที่เรยี กว่าเสรีภาพในมโนธรรม เชน่ ใคร ไมร่ ู้สกึ วา่ ไม่อยากจะฆ่าคน กค็ วรต้องไดร้ ับการเคารพ แม้วา่ จะปฏิเสธการ เป็นทหารกต็ าม และอีกอันหนึ่งที่ป๋วยพยายามผลักดันคือ เสรีภาพในประชาธิปไตย ซง่ึ สง่ เสริมใหบ้ ุคคลเขา้ มามีสว่ นรว่ มในทางการเมอื งผา่ นระบบเลือกตัง้ ท้งั สง่ เสรมิ เยาวชนเข้ามามสี ิทธเิ ลือกตง้ั ให้วุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตัง้ ซึ่งประเด็นที่ป๋วยพยายามผลักดัน พบว่า ในการประชุมตอนท้ายๆ ปว๋ ยไดบ้ อกวา่ หลงั จากทอี่ ภปิ รายตอ่ สยู้ ดื เยอื้ มายาวนาน ในชว่ งทสี่ ถานการณ์ บ้านเมอื งเปน็ ทอ้ งฟา้ สีทองผ่องอ�ำไพ บัดน้ีเปน็ ที่ตระหนักแล้ววา่ สภาแห่ง นไ้ี มส่ ้จู ะใช้เหตผุ ลมากเทา่ ไหร่ ดังที่ท่านพดู วา่ “ที่กระผมจะไม่ขออธิบายเหตุผลน้ันก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่าสภาน้ีไม่ ชอบฟังเหตุผล แต่คิดไปอีกทีก็ไม่แน่เหมือนกัน เพราะเท่าท่ีแล้วมา จาก รายงานการประชุมสภาก็ดี หรือจากการฟังค�ำอธิบายทางบ้านด้วยการ ถา่ ยทอดทางวทิ ยุกด็ ี เราจะเหน็ ไดว้ ่าเวลาเราลงมตเิ รอื่ งสำ� คัญๆ ใดๆ ฝ่าย ทช่ี นะนนั้ มกั จะไมอ่ ภปิ รายแสดงเหตผุ ลใดๆ ปลอ่ ยใหพ้ วกทเ่ี ราเรยี กกนั เลน่ ๆ ว่าพรรคฝ่ายแพ้ พูดไป มีแรงพูดก็พูดไป มีลมปากก็พูดไป ข้าพเจ้าจะเอา ของขา้ พเจ้าอย่างน้แี หละ”๓ ๓ รายงานการประชุมสภานิติบญั ญตั แิ หง่ ชาติ ชดุ ที่ ๒ ครั้งที่ ๖๓ วนั เสารท์ ่ี ๗ กนั ยายน ๒๕๑๗, ๒๙๑–๙๒. อ้างถึงใน ปว๋ ยกับสงั คมไทยในวิกฤตเปลยี่ นผา่ น, น. ๒๑๗. การรา่ งรัฐธรรมนญู ประชาธิปไตยฯ ๐๕๑

สดุ ทา้ ยประเดน็ ทป่ี ว๋ ยพยายามจะผลกั ดนั แทบทง้ั หมด แพใ้ นการลงมติ บทเรียนท่ีส�ำคัญของป๋วย อึ๊งภากรณ์ คือ น่ีคือโศกนาฏกรรมของ ปญั ญาชนสาธารณะ ซงึ่ ในตอนเรม่ิ ตน้ คาดหวงั วา่ จะใชค้ วามรใู้ นการผลกั ดนั ใหเ้ กดิ กตกิ าของบา้ นเมอื ง ทเี่ ปน็ ธรรมและกา้ วหนา้ ได้ แตส่ ดุ ทา้ ย พน้ื ทแี่ หง่ น้ีมิใช่พ้ืนท่ีท่ีปัญญาชนจะเข้าไปผลักดันได้ ผมคิดว่าอันน้ีส�ำคัญ เพราะมัน ควรจะเปน็ อนสุ ตใิ หก้ บั ปญั ญาชนจำ� นวนมากทม่ี กั จะเชอื่ วา่ การเขา้ ไปมสี ว่ น รว่ มกบั อะไรกต็ ามแล้วหวังวา่ อะไรมนั จะดขี ึ้นได้ ให้คิดถงึ ปว๋ ยปี ๒๕๑๗ ซง่ึ ไดร้ ับคะแนนคดั เลือกเป็นสมาชิกนติ บิ ญั ญัตลิ �ำดับท่ี ๒ เปน็ ทีย่ อมรบั อยา่ ง กวา้ งขวาง ปว๋ ยยงั ผลกั ดนั ไม่ไดเ้ ลย แลว้ ปัญญาชนคิดว่าตัวเองจะเข้าไปใน พนื้ ทร่ี า่ งรฐั ธรรมนญู แลว้ คดิ จะผลกั ดนั ความกา้ วหนา้ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ได้ ผมคดิ วา่ นเี่ ปน็ ความลม้ เหลว เปน็ โศกนาฏกรรมของปญั ญาชนสาธารณะอยา่ งสำ� คญั ที่เราควรเรียนรู้ ผมไม่ขอลงลึกรายละเอียดเร่ืองป๋วยมาก เพราะมีงานท่ีเขียนมา เรยี บร้อย ตพี มิ พอ์ อกมาในหนงั สอื ป๋วยกบั สงั คมไทยในวิกฤตเปล่ยี นผ่าน แลว้ ๑.๒ ปรีดีกับการร่างรัฐธรรมนูญ เรอ่ื งที่อยากจะพดู ในวนั น้ี ผมคิดว่าจะมุ่งเน้นไปที่ปรีดี พนมยงค์ ๕ เรอ่ื งด้วยกนั ๐๕๒ ปรีดบี รรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

๑.๒.๑ ปรีดกี ับความเห็นเกีย่ วกบั การรา่ งรัฐธรรมนญู ปรดี มี คี วามเก่ียวข้องกับการรา่ งรัฐธรรมนูญ ๓ ฉบับ (มิ.ย. ๒๔๗๕, ธ.ค. ๒๔๗๕, ๒๔๘๙) จะพบว่าบทบาทของปรีดีในชว่ งแรกจะมบี ทบาทใน ฐานะผู้นำ� ราษฎร ทไี่ ม่ได้ท�ำการอภปิ รายอยา่ งก้าวขวางมากเท่าไหร่ ซ่ึงเป็น ชว่ งที่ปรีดมี อี �ำนาจแตข่ าดความจดั เจน อนั นเี้ ปน็ ถอ้ ยค�ำท่ี อาจารย์ปรีดีพดู ไว้หลงั ทศวรรษ ๒๕๒๐ ท่ีให้สมั ภาษณ์กับสือ่ ต่างประเทศ๔ การแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั เนอื้ หาการรา่ งรฐั ธรรมนญู จำ� นวนมาก ปรากฏในชว่ งทปี่ รดี มี คี วามจดั เจนแลว้ แตไ่ มม่ อี ำ� นาจ จะพบวา่ งานเขยี นของ ปรีดีจ�ำนวนมากเก่ียวกับรัฐธรรมนูญเกิดข้ึนในช่วงเวลาน้ี คนที่ไม่ค่อยมี อำ� นาจ เวลาพดู อะไรจะพดู ตรงไปตรงมากวา่ คนทมี่ อี ำ� นาจ ลองสงั เกตคนใน สังคมไทยเวลาวิพากษ์วิจารณ์อะไรที่แหลมคมจะเป็นคนไม่มีอ�ำนาจอย่าง เป็นทางการ เพราะฉะนั้นงานของปรีดีท่ีเราเห็นเป็นงานท่ีเกิดขึ้นหลัง ทศวรรษ ๒๕๐๐ เปน็ งานทเี่ กดิ ขนึ้ อยา่ งกวา้ งขวางในชว่ งทไี่ รอ้ ำ� นาจ เพราะ ฉะนั้นอันน้ีเป็นเบื้องแรกของสถานะของปรีดีในช่วงที่มีความเห็นทางการ เมืองตอ่ เรื่องรัฐธรรมนญู ๔ เป็นบทสัมภาษณ์รัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ โดยนายแอนโทนี พอล ผู้ส่ือข่าวนิตยสาร เอเชยี วคี ประจำ� กรุงปารสี ไดส้ มั ภาษณท์ า่ น ณ บา้ นพกั ชานกรุงปารสี และได้นำ� ค�ำสัมภาษณ์ นน้ั ลงในนติ ยสาร เอเชียวีค ฉบับวนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๑๙๗๙ - ๔ มกราคม ๑๙๘๐ ภายใต้ หวั เรอื่ งวา่ “PRIDI THROUGH A LOOKING GLASS” ถอดความเปน็ ภาษาไทยโดย ร.อ. วชั รชยั ชยั สิทธิเวช รน. ตรวจทานโดย สภุ ทั ร สุคนธาภิรมย์ การรา่ งรัฐธรรมนูญประชาธปิ ไตยฯ ๐๕๓

๑.๒.๒ รฐั ธรรมนญู กับประชาธิปไตย ผมคิดว่าอันน้ีเป็นส่ิงท่ีชัดเจน ส�ำหรับปรีดี รัฐธรรมนูญไม่เท่ากับ ประชาธปิ ไตย เวลาถามวา่ รฐั ธรรมนญู คอื อะไร ปรดี บี อกวา่ หมายถงึ ระเบยี บ การปกครองของแผ่นดินของรฐั แตท่ งั้ นี้ ปรดี ียำ้� วา่ การมรี ัฐธรรมนญู ไมไ่ ด้ หมายถงึ การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยเสมอไป รฐั ธรรมนญู ไมเ่ ทา่ กบั ประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญแต่ล�ำพังยังไม่เป็นแบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยเสมอไป อาทิ บางประเทศปกครองแบบเผด็จการ ก็มี รฐั ธรรมนญู เผดจ็ การของตน เชน่ ประเทศอติ าลสี มยั มสุ โสลนิ ี พดู ถงึ รฐั บาล ถนอม-ประภาส ปกครองตามแบบเผด็จการ ก็มีรัฐธรรมนูญท่ีเรียกว่า ธรรมนญู การปกครองราชอาณาจกั ร เพราะฉะนนั้ อนั นผี้ มคดิ วา่ คอื พนื้ ฐาน เวลาถามว่า รัฐธรรมนูญกับประชาธปิ ไตยคอื อะไร นี่ไม่ใช่ส่งิ เดียวกัน อยา่ คดิ วา่ ประเทศไหนมีรฐั ธรรมนญู แล้วจะหมายถงึ ประชาธิปไตย มงี านวชิ าการของตา่ งประเทศศกึ ษารฐั ธรรมนญู เปรยี บเทยี บกนั เปน็ จำ� นวนมาก เขาเรยี กภาวะแบบนวี้ า่ constitution without constitution- alism คอื หมายถงึ ประเทศทม่ี รี ฐั ธรรมนญู แตเ่ ปน็ รฐั ธรรมนญู ทไ่ี มม่ แี นวคดิ รฐั ธรรมนญู นยิ ม ซง่ึ หมายความวา่ ตอ้ งมกี ารประกาศอำ� นาจรฐั รบั รองสทิ ธิ ข้ันพื้นฐานของประชาชน มีส่ือมวลชนท่ีพูดอะไรได้อย่างกว้างขวาง มีฝ่าย ตลุ าการที่เปน็ อิสระข้นึ ในโลกน้ี นบั ตั้งแตส่ งครามโลกคร้งั ท่ี ๒ มา มีงาน วิชาการของต่างประเทศศึกษารัฐธรรมนูญเปรียบเทียบชี้ให้เห็นว่าในโลกนี้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ แถบยโุ รป ภาวะแบบนเ้ี กดิ ขนึ้ อยา่ งกวา้ งขวาง ถา้ พดู อกี แบบผมคิดว่ามันคือปรากฏการณ์ท่ีเรียกว่ามีรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีระบบ ๐๕๔ ปรดี บี รรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

รฐั ธรรมนญู นยิ ม เราเหน็ ปรากฏการณเ์ หลา่ นใี้ นละตนิ อเมรกิ า ในเอเชยี ใน แอฟรกิ า ทกุ ประเทศมีรฐั ธรรมนญู หมด แต่เป็นรฐั ธรรมนญู ชนดิ เผดจ็ การ ผมคิดว่าอันนีน้ ่าสนใจ เพราะในแงห่ นึง่ อนั นี้มันเปน็ ปรากฏการณ์ท่ี เกิดข้ึนท่ีเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยใหม่ ซ่ึงประเทศต่างๆ เหล่าน้ี เป็นดิน แดนประชาธิปไตยที่ไม่เป็นเสรี ไม่ต้องตกใจถ้าเราคิดว่าประเทศเราเป็น รฐั ธรรมนญู ทไ่ี มม่ รี ฐั ธรรมนูญนยิ ม ไม่ตอ้ งเสียใจครับ เรามีเพ่ือนรว่ มโลกอกี เยอะ อย่าไปคดิ ว่า เราเป็นหนึง่ เดียวไมเ่ หมอื นใคร เรามีเพอ่ื นรว่ มโลก ร่วม ชะตากรรม หมายความวา่ เปน็ ประเทศที่มีรัฐธรรมนูญแตก่ เ็ ป็นประเทศท่ี ไม่สู้จะมีหลักการรัฐธรรมนูญนิยมอยู่ ผมเชื่อว่ามีแบบนี้อยู่เยอะ อันนี้เป็น งานวิชาการของต่างประเทศทม่ี ชี อ่ื เสียงจำ� นวนมาก ลองหาอ่านได้ แต่ผมคิดว่าส่ิงท่ีปรีดี พนมยงค์พูดว่ารัฐธรรมนูญไม่เท่ากับ ประชาธิปไตย ผมคิดว่าปัจจุบันมันสนทนาได้ด้วยปรากฏการณ์ที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญที่ไม่มีรัฐธรรมนูญนิยม หรือถ้าขยายให้กว้างขึ้นในทางปรัชญา กฎหมาย ผมคิดว่ามันมีการปกครองที่เรียกว่า การปกครองโดยกฎหมาย โดยที่ไม่มีระบบกฎหมาย แต่มี rule by Law L ตวั ใหญ่ ที่หมายถงึ ความ เปน็ กฎหมายทม่ี นั ตอ้ งมหี ลกั การและความชอบธรรมในโลกอารยะเขายดึ ถอื เช่น จะจับกุมใครควรต้องมีหลักฐาน พยานหลักฐานที่ชัดเจนแน่นอน หมายความวา่ เจ้าหน้าท่ีรฐั จะกระทำ� การได้ตอ้ งมีกฎหมายทว่ี างไว้ล่วงหนา้ และกฎหมายนนั้ ตอ้ งเปน็ กฎหมายชนดิ ทร่ี บั รองสทิ ธพิ นื้ ฐานของผคู้ น ผมคดิ ว่าถ้าเราขยายมากขึ้น เราจะเห็นการปกครองโดยกฎหมายท่ีไม่มีระบบ กฎหมาย ลองนกึ ถงึ การจบั โดยอ้างกฎหมาย ไม่ได้ท�ำผิดกไ็ มต่ อ้ ง แบบน้นี ่า การร่างรฐั ธรรมนญู ประชาธิปไตยฯ ๐๕๕

สนใจ ถามว่าในบ้านเราใช้กฎหมายหรือเปล่า ท่ีจับๆ นี่ใช้กฎหมายไหม กฎหมายท้ังน้นั คอื แบบนี้ กฎหมายในทนี่ ี้คือ law l ตวั เล็ก ไม่ใช่ Law ที่ เป็น L ตัวใหญ่อันหมายถึงกฎหมายที่มีรากฐาน ความชอบธรรมก�ำกับอยู่ ตามระบอบเสรีประชาธิปไตย ผมคิดว่าประเด็นนี้น่าสนใจ ส�ำหรับสังคมไทย การยอมรับอ�ำนาจ รัฐประหารให้กลายเป็นความชอบธรรม เกิดข้ึนได้อย่างไรในสังคมไทย น่ี ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นท่ีไหนในโลก แม้ในสังคมไทย สังคม ไทยเรมิ่ มกี ารยดึ อำ� นาจและการใชอ้ ำ� นาจในปี ๒๔๙๐ คณะรฐั ประหารตอ้ ง ออกมาชี้แจงว่า ท่ีเราท�ำไมผ่ ิดกฎหมาย แลว้ เราใช้อำ� นาจถกู กฎหมายยงั ไง คือ ในช่วงเรมิ่ ต้นทมี่ ีการรฐั ประหาร คณะรัฐประหารเองไมไ่ ด้รู้สึกวา่ การใช้ อ�ำนาจแบบนี้เป็นส่ิงที่ท�ำได้โดยทันที แต่ว่าเม่ือมันเดินทางผ่านมาจนถึง ปัจจุบัน สิ่งที่เราพบก็คือว่า ค�ำสั่งคณะรัฐประหารกลายเป็นกฎหมายโดย ไมม่ ใี ครเถยี งเลย ผมคดิ วา่ นเี่ ปน็ ความเปลยี่ นแปลงชนดิ หนง่ึ ซง่ึ นา่ ตกใจเปน็ อย่างยง่ิ อันนีผ้ มคิดวา่ เป็นเร่อื งท่อี าจจะทา้ ทายความคดิ ทางวิชาการตอ่ ไป ๑.๒.๓ ประชาธิปไตยกับเนื้อหา เวลาพูดถึงประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคืออะไร ประชาธิปไตยคือ แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ ปรีดีอธิบายในรายละเอียดว่า “การทป่ี ระชาธปิ ไตยถอื มตปิ วงชนเปน็ ใหญก่ เ็ พอื่ ราษฎรทงั้ หลายทปี่ ระกอบ กนั เปน็ ปวงชนนนั้ ไดม้ รี ฐั บาลของปวงชนซงึ่ ราษฎรเลอื กตง้ั ขนึ้ โดยตรงหรอื โดยทางอ้อม จึงจะเป็นรัฐบาลท่ีกระท�ำการเพื่อประโยชน์ของราษฎร ๐๕๖ ปรีดีบรรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

ทัง้ หลายใหม้ คี วามอุดมสมบูรณใ์ นการครองชีพ และปลอดภัยจากการกดข่ี เบยี ดเบยี นระหวา่ งกนั อกี ทงั้ ใหร้ าษฎรทง้ั หลายประพฤตติ อ่ กนั ตามศลี ธรรม อนั ดงี ามของประชาชน ชาตจิ งึ จะดำ� รงความมเี อกราชและพฒั นาตอ่ ไปได”้ ๕ กลา่ วอยา่ งสน้ั ๆ ประชาธปิ ไตยคอื การปกครองแบบมมี ตปิ วงชนเปน็ ใหญ่ ซงึ่ ราษฎรเลอื กตงั้ ขน้ึ โดยตรงหรอื ทางออ้ ม อนั นคี้ อื เรอ่ื งสำ� คญั ทงั้ ในระดบั ชาติ และท้องถ่ิน นี่เป็นส่ิงท่ีผมคิดว่าปรีดีอธิบายไว้ กล่าวถึงสิ่งท่ีเรียกว่า การ ปกครองทถี่ อื มตปิ วงชนเปน็ ใหญ่ ปรดี ใี หค้ วามสำ� คญั ไมเ่ พยี งเฉพาะในระดบั ชาติ แต่พูดถงึ ทอ้ งถิ่นด้วย ในส่วนระดับชาติ เน่ืองจากจากบทความท่ีผมอ้างอิงมา เป็นช่วง รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๗ เพราะฉะนน้ั พอพดู ถงึ ประเดน็ วฒุ ิสภา ปรดี ีบอกวา่ ใน หลายประเทศ ประชาธิปไตยท่มี ี ๒ สภา สภาผแู้ ทนกับวฒุ สิ ภานนั้ สมาชกิ วฒุ สิ ภาเกดิ จากประชาชนเลอื กตงั้ ขน้ึ มใิ ชร่ ฐั บาลหรอื องคมนตรเี ปน็ ผเู้ สนอ ใหป้ ระมขุ แหง่ รฐั แตง่ ตงั้ วฒุ สิ มาชกิ โดยการแตง่ ตงั้ จงึ มใิ ชผ่ แู้ ทนปวงชน หาก เปน็ ตวั แทนของอภสิ ทิ ธช์ิ นทม่ี ซี งึ่ เปน็ คนจำ� นวนนอ้ ยในชาติ ตอ้ งเลอื กตง้ั จะ ทางตรงทางออ้ มกไ็ ด้ ถา้ เกดิ โดยการแตง่ ต้งั นั่นไมใ่ ชต่ วั แทนของปวงชนแต่ เปน็ ตัวแทนของอภิสทิ ธ์ชิ น ถา้ เกิดได้ตวั แทนของอภสิ ิทธิ์ชนจะเป็นอย่างไร อภสิ ทิ ธิ์ชนกับลูกสมนุ คล้ายๆ ว่าคอื เอาระบบอ�ำนาจนิยมทตี่ ง้ั ข้ึนมันไมไ่ ด้ อย่เู พียงเฉพาะกลมุ่ นำ� อยา่ งเดยี ว แตม่ ันมีเครือขา่ ย ซึง่ นิธิ เอยี วศรวี งศ์ ใช้ ๕ ปรดี ี พนมยงค,์ “ประชาธปิ ไตยกบั และรฐั ธรรมนญู เบอ้ื งตน้ กบั การรา่ งรฐั ธรรมนญู ,” ใน ปรดี ี พนมยงค์ กบั สงั คมไทย (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ และสถาบนั ปรดี ี พนม ยงค,์ ม.ป.พ.), น. ๓๖๗. การรา่ งรัฐธรรมนญู ประชาธิปไตยฯ ๐๕๗

ค�ำว่า ชนช้ันน�ำชายขอบ หมายความว่าคนท่ีพร้อมเข้าไปสนับสนุนค�้ำยัน ระบบรฐั ประหารคอื ชนชน้ั นำ� ชายขอบ ผมชอบคำ� นม้ี าก ดเู หมอื นเปน็ แกง๊ ค์ ท่ไี มค่ ่อยดีเทา่ ไหร่ อภิสทิ ธชิ์ นกบั ลูกสมุนก็สามารถผูกขาดอำ� นาจปกครอง ไวไ้ ดด้ ว้ ย เดด็ ขาดตลอดกาล อภสิ ทิ ธชิ์ นจะเปน็ ผเู้ สวยผลผลติ ของชาตทิ เี่ กดิ ขน้ึ ดว้ ยนำ้� พกั นำ้� แรงของปวงชนตลอดกาล อนั เปน็ การเบยี ดเบยี นสามญั ชน คนส่วนมาก ซึ่งจะมีความอัตคัดขัดสนอย่างย่ิง ถ้าผมสรุปในภาษาผม น่ัน หมายความว่าชาติก็จะมีรัฐบาลของอภิสิทธิ์ชน โดยอภิสิทธ์ิชนและเพ่ือ อภิสิทธ์ชิ น อนั น้นั ระดบั ชาติ ส่วนระดับท้องถิ่น เป็นท่ีรับรู้ว่าคณะราษฎรได้ส่งเสริมการปกครอง ท้องถิ่น เพราะฉะน้ันจึงมี พ.ร.บ.เทศบาลขึ้นปี ๒๔๗๗ เพราะให้ปกครอง โดยมตปิ วงชนเปน็ ใหญ่ ต้ังแตช่ ั้นตำ� บลจนถึงเมืองและนคร เพ่อื วางพนื้ ฐาน จากทอ้ งถิ่น ผมเขา้ ใจว่าแบบน้คี รบั คณะราษฎรเห็นหรือตระหนกั ว่า การ เลอื กตง้ั ในระดบั ชาตไิ มเ่ พยี งพอ มนั ตอ้ งสง่ เสรมิ การปกครองทอ้ งถนิ่ เพราะ ฉะนน้ั พ.ร.บ.เทศบาลจึงเกดิ ขนึ้ เพ่ือใหค้ นเรียนรู้ประชาธิปไตยจากท้องถิ่น ผมคิดว่านี่เป็นหวั ใจส�ำคญั คำ� สง่ั คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาตทิ ี่ ๒๒/๒๕๕๙ เพงิ่ ออกมาไมน่ าน เนอื้ หาสาระสำ� คญั เปน็ แบบน้ี ถา้ สมมตวิ า่ มกี ารยบุ สภาทอ้ งถน่ิ ทไี่ หน ไมต่ อ้ ง เลอื ก เดย๋ี วใหข้ ้าราชการระดับสงู แตง่ ตงั้ ให้ ผมคิดว่าอนั นี้นา่ สนใจ คือแบบ นค้ี รบั ปรดี เี ขยี นอนั นไี้ วน้ านแลว้ บอกไวว้ า่ “แตภ่ ายหลงั เกดิ ระบบเผดจ็ การ แลว้ ระบบน้นั กอ็ ้างเหตุผลอย่างเดียวกับซากทศั นะทาสและทัศนะศักดนิ า ว่าราษฎรยังไม่รู้เร่ืองประชาธิปไตย จึงได้ยุบสภาเทศบาลซึ่งราษฎรในท้อง ๐๕๘ ปรีดบี รรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

ถน่ิ เปน็ ผเู้ ลอื กตง้ั สมาชกิ นนั้ เสยี แลว้ แตง่ ตง้ั สมาชกิ เทศบาลตามทเ่ี จา้ หนา้ ที่ ของระบบเผดจ็ การเหน็ ชอบ”๖ นเ่ี หน็ ลว่ งหนา้ ๔๐ กวา่ ปี ยงิ่ กวา่ นอสตรา ดามสุ กลบั ชาติมาเกิดอกี ผมคิดว่านา่ สนใจมากคือ อันนีป้ รีดีเขียนไวน้ าน แลว้ ช่างพ้องกับสังคมไทยอย่างยง่ิ ๑.๒.๔. หลกั การสำ� คัญกบั การร่างรฐั ธรรมนญู ปรีดเี ขียนไว้ว่าตอ้ งด�ำเนินไปตามหลักส�ำคัญ มี ๒ ประการ คือ (๑) ทศั นะของผรู้ า่ งกบั สมาชกิ ทม่ี หี นา้ ทนี่ ติ บิ ญั ญตั ิ ยนื หยดั ในอภสิ ทิ ธช์ิ นหรอื ยนื หยดั ในปวงชน (๒) เทคนคิ แหง่ วธิ รี า่ งกฎหมายทว่ั ไปซง่ึ ตอ้ งนำ� มาใชเ้ ปน็ พนื้ ฐานแหง่ การรา่ งรฐั ธรรมนญู ในฐานะทเ่ี ปน็ กฎหมายชนดิ หนง่ึ และเปน็ แมบ่ ท สงู สดุ แหง่ กฎหมายทงั้ หลาย๗ กลา่ วคอื รฐั ธรรมนญู ไมค่ วรเขยี นรายละเอยี ด ควรเขยี นหลกั การสำ� คญั ไว้ และปลอ่ ยใหส้ ภานิติบญั ญัตไิ ปเขยี นตอ่ แตเ่ รอื่ งทอี่ ยากจะพดู คอื เรอื่ งแรก ทศั นะของผรู้ า่ งและสมาชกิ สภาที่ มีหน้าท่ีนิติบัญญัติว่ายืนหยัดในอภิสิทธ์ิชนหรือยืนหยัดในปวงชน ปรีดีให้ ความเห็นว่าถ้าผู้ร่างกับสมาชิกสภาน้ันมีทัศนะยืนหยัดในอภิสิทธิ์ชน บทบญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนญู กจ็ ะมฐี านะพเิ ศษของอภสิ ทิ ธช์ิ นไวโ้ ดยทางตรงหรอื แฝงไว้โดยปริยาย ถ้าผู้ร่างกับสมาชิกสภานั้นมีทัศนะยืนหยัดในปวงชน บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญก็จะกระจ่างชัดแจ้งว่าเป็นประชาธิปไตยที่ถือมติ ปวงชนเปน็ ใหญ่ โดยไม่มีสิทธิของอภสิ ทิ ธิ์ชนแฝงเอาไว้ ผมวา่ ปรดี ใี หค้ วาม สำ� คญั กับเร่อื งนี้คอ่ นขา้ งมากเรอื่ งของทัศนะของผรู้ า่ งเปน็ อย่างไร ๖ ดู เชงิ อรรถที่ ๕, น. ๓๖๕. ๗ ดู เชงิ อรรถที่ ๕, น. ๓๘๕–๖. การร่างรัฐธรรมนญู ประชาธปิ ไตยฯ ๐๕๙

แต่ท้ังน้ีปรีดีไม่ได้อธิบายต่อว่ากระบวนการท่ีจะได้คนต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้อภปิ รายในรายละเอยี ด ผมคิดว่าอันนเ้ี ป็นประเด็นที่เราอาจจะน�ำมา สนทนาหรอื น�ำมาแลกเปล่ียนตอ่ ได้ ชาติหนึ่งๆ ประกอบด้วยอภสิ ิทธชิ์ น ซ่งึ เป็นคนจ�ำนวนน้อยในชาติ กบั สามญั ชนท่เี ปน็ คนจ�ำนวนมากในชาติ เป็นที่ ยอมรับในสังคม มีทั้งกลุ่มคนที่เป็นอภิสิทธ์ิชนและกลุ่มคนที่เป็นสามัญชน ในทัศนะของปรีดี อภิสิทธ์ิชนเป็นคนกลุ่มน้อยแต่มีพลานุภาพเยอะ ส่วน สามญั ชนมจี ำ� นวนเยอะแตม่ พี ลานภุ าพนอ้ ย เพราะฉะนนั้ ในแงน่ ้ี ทศั นะของ ผรู้ า่ งส�ำคญั สำ� หรบั ปรีดี ๑.๒.๕ บทเรียนจากปรีดี เราจะเรยี นรอู้ ะไรจากปรดี เี พอ่ื เปน็ บทเรยี นของสงั คมไทย อยา่ งทผ่ี ม กลา่ วกค็ ือว่า ทัศนะของปรีดีส่วนใหญท่ ผ่ี มยกมา น่ีคือปรีดที ม่ี ีความจัดเจน มคี วามเขา้ ใจทางการเมอื งมากขึ้น มคี วามเข้าใจลักษณะของสงั คมไทยมาก ขน้ึ แตไ่ รอ้ ำ� นาจ ปรดี ี พนมยงคไ์ ดม้ บี ทความ ความเหน็ เปน็ จำ� นวนมาก ผม ว่ามอี ยู่ ๒–๓ เรอ่ื งท่นี ่าสนใจที่เราอาจจะต่อยอด อภิปรายไดต้ อ่ เรอื่ งแนวคดิ ประชาธปิ ไตย ตอนแรก ผมคดิ วา่ อยากจะชวนอภปิ ราย เร่ือง จะมีทางได้ประชาธิปไตยโดยสันติหรือไม่ แต่พอมองไปข้างหน้าแล้ว ผมคดิ วา่ เราควรคยุ เรอ่ื งวา่ เราจะตอ่ ตา้ นเผดจ็ การอยา่ งไร ในบทความเรอื่ ง เราจะตอ่ ตา้ นเผดจ็ การอย่างไร ท่ีปรดี ีเขยี นไว้ ผมขอหยบิ มา ๒ ประเดน็ อนั แรก สิ่งท่ีปรีดีเสนอก็คือว่า ควรต้องดูด้านของเผด็จการด้วย ไม่ใช่ว่าดูแต่ ฝา่ ยประชาธปิ ไตย แตค่ วรดฝู า่ ยเผดจ็ การดว้ ย วา่ ฝา่ ยเผดจ็ การใชว้ ธิ อี ยา่ งไร ใช้ขั้นตอนกระบวนการอย่างไร ผมคิดว่า อันนี้คือ นอกจากวิเคราะห์แล้ว ๐๖๐ ปรดี ีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

ควรรู้เราและรู้เขา และการรู้เขา ผมคิดว่าส�ำคัญ เวลาการท่ีเราคิดถึงสิ่งท่ี เรยี กว่าระบบอ�ำนาจนิยม ระบบอ�ำนาจนยิ มไมไ่ ดต้ ง้ั มนั่ อยู่ในอากาศ แตม่ นั เกิดขึ้นจากสิ่งที่ผมอยากจะเรียกมันว่าเครือข่าย เป็นเครือข่ายท่ีเข้ามา สนบั สนนุ หรอื เกย่ี วขอ้ งอยู่ อนั นไี้ มใ่ ชค่ วามคดิ ผม ผมเชอ่ื วา่ มนั มงี านวชิ าการ หลายชิ้น ผมจะยกตัวอย่างของอาจารย์วีรยุทธ ที่ท�ำเร่ืองได้น่าสนใจมาก วเิ คราะห์รัฐธรรมนญู ๒๕๕๐ ว่าทำ� ใหเ้ กดิ เครอื ข่ายของผู้ทเ่ี ก่ียวข้องที่ไมไ่ ด้ มาจากการเลอื กตงั้ แสดงใหเ้ หน็ จำ� นวนทกี่ วา้ งขวางมาก มนี กั การเมอื งทไี่ ม่ ได้มาจากการเลือกต้ังแต่เข้าไปสู่ต�ำแหน่งทางนักการเมืองเป็นจ�ำนวนมาก เราจะเห็นว่า สร้างนักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเป็นจ�ำนวนมาก ผมคดิ ว่าอนั นเี้ ปน็ เรื่องนา่ สนใจ ในสงั คมไทยเราอาจจะไม่ไดใ้ หค้ วามส�ำคัญ กับเรื่องนมี้ ากเพยี งพอ อีกชิ้นหนึ่งของอาจารย์อาโยโกะ โกยาม่า ใครที่เข้ามาน่ังในองค์กร อิสระบ้าง เปรียบเทียบไทยกับอินโดนีเซีย โดยอย่างย่ิง กกต. ปปช. ศาล รัฐธรรมนูญ ผมสรุปส้ันๆ ว่า เฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ เรามีประธานศาล รฐั ธรรมนูญ ๑๐ คน ๕ คนแรกอย่ภู ายใต้รฐั ธรรมนูญ ๔๐ ส่วน ๕ คนหลงั อยู่ในรัฐธรรมนูญ ๕๐ ทีน้ี ๕ คนแรกคือใครบ้าง มาจากหลากหลายครับ ชดุ แรกกระจัดกระจายมาก แต่ ๕ คนหลังมาจากทเี่ ดยี วกนั ท้ังหมด คอื ศาล ยุติธรรม แต่คุณสมบัติที่เหมือนกันของ ๑๐ คนน้ีคืออะไร ท้ังหมดจบท่ี ธรรมศาสตร์ พูดง่ายๆ คือศาลรัฐธรรมนูญเป็นส่วนขยายของราชการ ถ้า เปรียบเทียบกับองค์กรอิสระของอินโดนีเซีย จะพบความแตกต่างอย่างสิ้น เชิง องค์กรอิสระของอินโดนีเซีย องค์ประกอบส่วนใหญ่ นักวิชาการเป็น จ�ำนวนน้อย ส่วนใหญ่เป็นสื่อมวลชนภาคประชาสังคม แต่เมืองไทยกลาย การรา่ งรัฐธรรมนญู ประชาธปิ ไตยฯ ๐๖๑

เปน็ อกี แบบหนง่ึ ผมอยากใชค้ ำ� ทเี่ รยี กวา่ นคี่ อื เผดจ็ การเชงิ เครอื ขา่ ย ทำ� ให้ เหน็ ว่า ระบบเผด็จการตงั้ อยู่ได้เพราะมีเครือข่ายอยู่ มาถงึ เรอื่ งท่ี ๒ อนั นส้ี ำ� คญั มาก หลงั จากคณะรฐั ประหารออกไปหรอื พวกอ�ำนาจนยิ ม เผดจ็ การอออกไป จะท�ำอย่างไรกันต่อ ปรีดี พนมยงค์พูด ถึงในเยอรมนวี ่า ยุคนาซมี นั มสี ่งิ ท่เี รยี กวา่ denazification คอื การทำ� ใหส้ ่งิ ที่คิดว่าเป็นระบอบการปกครองของนาซีมันหายไปจากสังคมเยอรมัน ถ้า เม่ือไหรท่ ี่เราผา่ นยคุ หลังเผดจ็ การ เราจะจดั การอยา่ งไรกับระบบกฎหมาย ที่เกิดขึ้นในช่วงของเผด็จการ ที่ผ่านมาสังคมไทยไม่เคยจัดการกับเรื่องน้ี ระบบของไทยรับเอาค�ำสั่งของรัฐทหารเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ กฎหมายอยา่ งแนบแนน่ ค�ำสง่ั ของรัฐประหารถ้าเราอยากจะแกท้ ำ� อยา่ งไร ตอ้ งเสนอเข้าสภาครับ แล้วจึงจะคอ่ ยแก้ได้ เราลองนกึ ถงึ ถา้ เกิดในยคุ หนงึ่ อย่างยุคจอมพลถนอม ค�ำส่ังของจอมพลถนอมเป็นอย่างไร สัมพันธ์แนบ แน่นกับระบบกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าน่ีเป็นประเด็นท่ีเราต้องคิด ถา้ อยากใหร้ ะบอบน้ีหมดไปจากสังคมไทย คำ� ถามทง้ิ ทา้ ย มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรก์ อ่ ตงั้ ขนึ้ เพอ่ื คาดหวงั วา่ จะ เปน็ บอ่ นำ้� บำ� บดั ความกระหายของราษฎรรวมถงึ มหาวทิ ยาลยั ตา่ งๆ ในฐานะ ของบ่อน้�ำ ปัญหาของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันเป็นเพราะคนไม่อยากดื่มน�้ำ หรือบ่อน้�ำไม่สามารถบ�ำบัดความต้องการของผู้คนได้ เราจะเรียนรู้และ ต่อยอดเพ่ือให้เกิดความรู้ต่อสังคมไทยอย่างไร เพื่อไม่ให้ป๋วยและปรีดีเป็น อนุสาวรีย์ที่ไม่มีนัยยะต่อสังคมปัจจุบัน ต้องท�ำให้มรดกทางความคิดเป็น ประโยชน์ตอ่ สังคมทเ่ี ราควรเรยี นรู้ ต่อยอดออกไป ๐๖๒ ปรีดีบรรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

๒. รองศาสตราจารย์ ดร.สริ พิ รรณ นกสวน สวัสดี โจทย์ท่ีได้รับวันนี้คือการร�ำลึกถึงอาจารย์ปรีดีและอาจารย์ป๋วย ดิฉันเลย ตัดสินใจว่าจะประเมินผลงานอาจารย์ปรีดีช้ินหนึ่ง น่าจะเหมาะสมกับ สถานการณใ์ นวนั น้ี จากงานทชี่ อ่ื วา่ ประชาธปิ ไตยกบั และรฐั ธรรมนญู เบอ้ื ง ตน้ กับการร่างรัฐธรรมนญู หลายทา่ นอาจจะเคยเหน็ งานชนิ้ น้อี ย่แู ลว้ บ้าง ท่ี น่าสนใจคืออาจารยป์ รดี ีเขยี นหนังสือเลม่ นใี้ นวันท่ี ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๑๗ ก็คือวันนี้เมื่อ ๔๒ ปีท่ีแล้ว ดิฉันจะแบ่งประเด็นท่ีอาจารย์พูดไว้ในหนังสือ เป็น ๖ ประเดน็ และจะนำ� มาเช่ือมโยงกบั การวเิ คราะหร์ ัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙ ๒.๑ ข้อคิดจากอาจารย์ปรีดี อาจารย์ปรีดีได้จ�ำกัดความค�ำว่าประชาธิปไตยได้ชัดเจนมาก คือ เปน็ การปกครองทถี่ อื มตปิ วงชนเปน็ ใหญ่ ทน่ี า่ สนใจคอื อาจารยป์ รดี มี องวา่ ระบอบประชาธปิ ไตยเปน็ ระบอบใชม้ ากอ่ นระบอบอนื่ ใดในโลก ใชม้ าตงั้ แต่ บรรพกาลรวมถงึ ในสงั คมไทยดว้ ย หลายคนอาจจะเหน็ ตา่ ง แตอ่ าจารยป์ รดี ี มองวา่ ใชม้ านาน แมส้ มยั ๕,๐๐๐ ปที แี่ ลว้ ประชาชนในโลกนล้ี ว้ นใชร้ ะบอบ ทถี่ อื มตปิ วงชนเปน็ ใหญ่ ดงั นนั้ ระบอบใดกต็ ามทไ่ี มไ่ ดถ้ อื มตปิ วงชนเปน็ ใหญ่ ไมถ่ ือว่าเป็นประชาธปิ ไตย และอาจารย์ปรดี ีมองวา่ ระบอบดำ� เนนิ มาตัง้ แต่ สมัยดึกด�ำบรรพ์ แต่มันจบลงด้วยการมีทาสและศักดินา ระบบทาสและ ศักดนิ าไปท�ำลายระบอบประชาธปิ ไตยที่มอี ยู่เดมิ อาจารย์ปรีดีมองว่านคี่ อื ธรรมชาติของมนุษย์ในการอยู่รวมกัน ในบทความช้ินน้ี อาจารย์พูดถึง การรา่ งรฐั ธรรมนญู ประชาธิปไตยฯ ๐๖๓

ประเด็นปัจเจกบุคคล ซ่ึงอาจารย์ไม่ค่อยจะชอบนัก หรือแม้แต่เร่ืองสิทธิ เสรีภาพ หลายทา่ นอาจจะไม่เหน็ ด้วยกับอาจารยป์ รีดี ๒.๑.๑ บทเฉพาะกาล ประเด็นแรกที่อาจารย์ปรีดีพูดถึงชัดเจนมากคือบทเฉพาะกาล อาจารยป์ รดี บี อกวา่ บทเฉพาะกาลไมไ่ ดข้ ดั ขวางประชาธปิ ไตยเสมอไป สงิ่ ที่ เราจะต้องดูคือ บทเฉพาะกาลน้ันน�ำไปสู่บทถาวรท่ีเป็นประชาธิปไตยหรือ บทถาวรที่เป็นอ�ำมาตยาธิปไตย อาจารย์ปรีดีบอกว่าบทเฉพาะกาลน้ัน จ�ำเป็นเพราะว่าอยู่ในช่วงระยะเวลาหัวเล้ียวหัวต่อ สิ่งท่ีเราจะต้องดูใน ประเด็นน้ีก็คือว่า บทเฉพาะกาลปี ๒๕๕๙ จะเปลี่ยนผ่านไปสู่อะไร แต่ เบื้องต้น อาจารย์ปรีดีให้เกณฑ์ท่ีชัดเจนว่า อาจารย์มองว่ารัฐธรรมนูญที่มี บทเฉพาะกาลแต่เป็นประชาธิปไตยได้แก่รัฐธรรมนูญ ๓ ฉบับ คือ (๑) ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ๒๔๗๕ (๒) รัฐธรรมนูญฉบับถาวร ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ และ (๓) รัฐธรรมนญู ๒๔๘๙ แน่นอน ๓ ฉบบั นี้ อาจารย์ ปรดี มี ีส่วนในการรา่ ง อาจารย์เน้นในรัฐธรรมนูญ ๒๔๘๙ ว่ามีบทเฉพาะกาล แต่ไม่เป็น อ�ำมาตยาธิปไตย เพราะว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกต้ัง วุฒิสภามาจากการเลือกตัง้ ไมไ่ ดม้ าจากอำ� มาตย์ ที่ส�ำคัญฉบบั ๒๔๘๙ ระบุ วา่ ขา้ ราชการประจำ� จะมาเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรไมไ่ ด้ อนั นเี้ ลยกลาย เป็นเกณฑม์ าตรฐานของการประเมินรัฐธรรมนูญในฉบบั ต่อๆ มา ส่วนฉบับที่ไม่เป็นประชาธิปไตย อาจารย์ปรีดีใช้อย่างชัดเจนเลยว่า จะนำ� ไปสรู่ ะบอบอำ� มาตยาธปิ ไตย มี ๓ ฉบบั ได้แก่ (๑) รฐั ธรรมนญู ๒๔๙๐ ๐๖๔ ปรดี บี รรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

ทบี่ อกวา่ วฒุ สิ ภาน้ันมาจากการแต่งตง้ั (๒) รฐั ธรรมนูญ ๒๔๙๒ ก็ถือวา่ เป็น อำ� มาตยาธปิ ไตย (๓) รฐั ธรรมนญู ๒๕๑๗ ซงึ่ อาจารยป์ ว๋ ยมสี ว่ นรว่ มในผรู้ า่ ง แต่อยู่ในพรรคฝ่ายแพ้ อาจารย์ปรีดีก็มองว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ประเด็นหลกั ๆ จะเหน็ ได้ว่า อาจารยป์ รีดีโยงกับทีม่ าของวฒุ สิ ภา ซึ่งตอนน้ีขอน�ำกรอบเร่ืองของบทเฉพาะกาลมาวิเคราะห์บทเฉพาะ- กาลร่างรัฐธรรมนญู ๒๕๕๙ หลายทา่ นกท็ ราบดวี ่า รัฐธรรมนูญทีเ่ ราจะท�ำ ประชามตกิ ันวันท่ี ๗ สิงหาคม มบี ทเฉพาะกาลอยู่ ตงั้ แตม่ าตรา ๒๖๒ ถงึ มาตรา ๒๗๙ เลยทีเดียว ในมุมมองของดิฉันคิดว่า ถ้าหลายท่านไม่อยาก อา่ นรฐั ธรรมนญู ฉบับ ๒๕๕๙ เปดิ ไปถงึ มาตรา ๒๖๒ ซงึ่ เป็นบทเฉพาะกาล เลยกไ็ ด้ นั่นคือสาระสำ� คญั หรอื หวั ใจของรัฐธรรมนูญฉบบั นี้ ประเด็นทจ่ี ะ หยิบมาพดู มี ๒ เรื่อง เร่อื งท่ี ๑ บทเฉพาะกาลทีก่ �ำหนดท่มี าของนายกรฐั มนตรี จะเห็นวา่ บทเฉพาะกาลไดร้ ะบไุ วว้ า่ หากมกี รณที ไี่ มอ่ าจแตง่ ตง้ั นายกรฐั มนตรจี ากราย ช่ือทพ่ี รรคการเมืองได้เสนอไว้ คือในบทถาวร ใหเ้ สนอช่อื นายกรฐั มนตรไี ด้ ทง้ั หมด ๓ ชอ่ื น้ันเราอาจเหน็ วา่ ไมเ่ หมือนในฉบับรา่ งเมื่อเดอื นมกราคม แต่ ประเด็นก็คือว่า ในกรณีถ้าสมาชิกผู้แทนราษฎรไม่สามารถโหวตนายก รฐั มนตรจี ากพรรคการเมอื งได้ ใหว้ ฒุ สิ ภาดว้ ยคะแนนเสยี ง ๒ ใน ๓ สามารถ มาโหวตร่วมกับสมาชิกผู้แทนราษฎรเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือก ที่มาจากผู้ที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ได้ แต่ประเด็นนี้ต้องย้�ำว่าในบทเฉพาะกาลแค่ ระบุว่าให้วุฒิสภาโหวตร่วมกับ ส.ส. เพื่อเปิดให้ ส.ส. โหวตเลือกนายก รฐั มนตรไี มไ่ ดม้ าจาก ส.ส. กลา่ วคอื ในบทเฉพาะกาลยงั ใหอ้ ำ� นาจ ส.ส. เทา่ นนั้ ทจี่ ะโหวตนายกรฐั มนตรี แตป่ ระเดน็ นตี้ ้องมองพว่ งไปกบั ค�ำถามเพมิ่ เตมิ ใน การรา่ งรฐั ธรรมนูญประชาธิปไตยฯ ๐๖๕

การทำ� ประชามตวิ า่ คำ� ถามเพม่ิ เตมิ นนั้ ระบชุ ดั เจนวา่ ใหอ้ ำ� นาจวฒุ สิ ภาโหวต นายกรฐั มนตรไี ด้ อนั น้ีคือบทเฉพาะกาลซง่ึ เปน็ เกณฑว์ ่า เราจะประเมนิ วา่ บทเฉพาะกาลจะน�ำไปสู่บทถาวรที่เป็นประชาธิปไตยหรืออ�ำมาตยาธิปไตย จะเห็นว่าอ�ำนาจของสมาชิกวุฒิสภาจะมีมากเหลือเกินในการเลือกนายก รฐั มนตรี เรอ่ื งท่ี ๒ ทคี่ ดิ วา่ ดฉิ นั ไมพ่ ดู ถงึ คงไมไ่ ด้ นน่ั คอื บทเฉพาะกาลในมาตรา ๒๖๕ ซึง่ จะยังคงอ�ำนาจคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ และมาตรา ๔๔ รวม ถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราวซ่ึงเป็นที่มาของมาตรา ๔๔ คงไว้ควบคู่ไปกับ รฐั ธรรมนูญทีผ่ ่านในวนั ที่ ๗ สงิ หาคม แต่ผลของการมีบทเฉพาะกาลนีก้ ็คอื จะท�ำให้ประเทศไทยมีกฎหมายสูงสุด ๒ กฎหมายคู่ขนานกันไป ก็คือมี รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙ ร่วมกับรัฐธรรมนูญช่ัวคราว ๒๕๕๗ ดังน้ันค�ำสั่งใดๆ ของ คสช. ทอ่ี าจารยส์ มชายยกมากย็ งั คงอยู่ นนั่ คอื บทบาทของบทเฉพาะกาล ๒.๑.๒ วุฒสิ ภา ประเด็นที่ ๒ เป็นประเด็นที่อาจารย์ปรีดีพูดถึงบ่อยคร้ังมาก ก็คือ สมาชิกรัฐสภาประเภทท่ี ๒ อาจารย์ปรีดีให้เกณฑ์ไว้ว่าสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร สมาชิกรัฐสภาประเภทที่ ๒ ควรมีไวเ้ พอื่ ชว่ ยพยงุ ประชาธิปไตยให้ ทรงตัวอยู่ได้กับการก้าวต่อไป ไม่ได้ให้เอามาถ่วงอ�ำนาจของสภาผู้แทน ราษฎร ดฉิ นั คดิ วา่ เกณฑท์ อ่ี าจารยป์ รดี ตี ง้ั ไวก้ า้ วหนา้ มากในการเขยี นในสมยั ๒๕๑๗ ทีนี้เราต้องมาดูว่าในปี ๒๕๕๙ เราก็ทราบกันดีแล้วว่าท่ีมาของ วฒุ สิ ภามาจากการสรรหา ในเรอื่ งของทม่ี า อาจารยส์ มชายพดู ถงึ วา่ อาจารย์ ปรดี เี องไมไ่ ดร้ งั เกยี จการเลอื กตงั้ ทางออ้ ม อาจารยพ์ ดู ตง้ั แตแ่ รกวา่ การเลอื ก ๐๖๖ ปรดี บี รรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

ตัง้ สามารถท�ำไดท้ ั้งทางตรงและทางอ้อม ในรฐั ธรรมนญู ฉบับชั่วคราว เปน็ รฐั ธรรมนญู ฉบบั แรกของไทย อาจารยป์ รดี ซี งึ่ เปน็ ผรู้ า่ งไดใ้ หท้ ม่ี าของสมาชกิ วฒุ สิ ภาทม่ี าจากการเลอื กตงั้ ทางออ้ ม แตด่ ฉิ นั คดิ วา่ จำ� เปน็ อยา่ งมากทจ่ี ะพดู ถงึ คำ� วา่ ทางออ้ ม การเลอื กตง้ั ทางออ้ มจำ� เปน็ ตอ้ งมปี ระชาชนเปน็ ผเู้ ลอื กตงั้ อยู่ด้วย เชน่ ท่ีมาของวฒุ ิสภาของฝรง่ั เศส แต่ถ้าเรามคี นกลุ่มหน่ึง แต่งต้งั โดยใครก็ไม่ทราบ ท�ำหน้าท่ีสรรหาหรือหยิบเอามาใส่ตะกร้า วุฒิสภาจะ มาจากไหน อย่างน้ันไม่เรียกว่า การเลือกต้ังทางอ้อม เราใช้ค�ำน้ีสับสนมา นานพอแล้ว ดังนั้นถ้าจะเขียนในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบร่าง รัฐธรรมนูญก็ใช้การสรรหาไปเลย ไม่ควรใช้ค�ำว่าการเลือกตั้งทางอ้อมอีก ทีน้ีประเด็นก็คือว่า ท่ีมาของวุฒิสภาในค�ำถามพ่วง ซึ่งชัดเจนมากว่ามีการ ระบุไว้วา่ วุฒิสภา ๒๐๐ คนนน้ั ทั้งหมดจะมาจากการสรรหา โดยที่ ๕๐ คน คสช. แตง่ ตง้ั จากบญั ชที ี่ กกต. คดั เลอื กมา ๑๙๔ คน แตง่ ตงั้ จากบญั ชที ค่ี ณะ กรรมการสรรหาเปน็ คนคดั เลอื กมา และอกี ๖ คน มาจากตำ� แหนง่ ขา้ ราชการ ประจ�ำ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลาย และ ผบู้ ัญชาการต�ำรวจแห่งชาติ ทง้ั หมดนจี้ ะมีวาระ ๕ ปี ดังนั้นเม่ือเรามาประเมินค�ำถามพ่วงควบคู่ไปกับบทเฉพาะกาล จะ เห็นว่าสิ่งท่ีเราต้องเผชิญในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙ ก็คือ อ�ำนาจของ วฒุ สิ มาชกิ จะเลอื กสภาผแู้ ทนราษฎรอยา่ งนอ้ ย ๕ ปี แนน่ อนวา่ ๕ ปี มากกวา่ ๑ สมัย เพราะสภาผ้แู ทนราษฎร ถ้าสมมตวิ า่ อยู่ครบ ๔ ปี ในการเลือกตั้ง ตอ่ ไปก็ยังจะอย่ตู อ่ การรา่ งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฯ ๐๖๗

๒.๑.๓ ระบบเลอื กตงั้ ประเด็นที่ ๓ ที่อาจารย์ปรีดี ต้งั กรอบเอาไวน้ ่นั ก็คอื ระบบเลือกตงั้ ความน่าสนใจประเด็นน้กี ็คอื อาจารยป์ รดี เี ชอื่ ม่ันใน ๑ คน ๑ เสยี ง และ ความเทา่ กนั ของเสยี งทกุ คน อาจารยป์ รดี รี ะบชุ ดั เจนวา่ ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ระบบ เลอื กตง้ั ทรี่ วมจงั หวดั ในภาษาปจั จบุ นั ทเ่ี ราใชก้ ค็ อื พวงใหญ่ เพราะวา่ มนั ขดั กับหลักความเสมอภาค เราพูดกันไปแล้วว่า อาจารย์ปรีดีมองว่าระบอบ ประชาธิปไตยคือเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ ถ้าเราเอาประเด็นนี้มา วิเคราะห์ระบบเลือกต้ังในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙ เราจะพบว่าความไม่ สอดคล้องกับความหมายของประชาธิปไตยท่ีอาจารย์ปรีดีวางไว้มีความ ชดั เจนมาก เพราะระบบจัดสรรปันสว่ นในรา่ งรฐั ธรรมนญู ๒๕๕๙ ในที่สุด แล้วจะท�ำให้มติและเสียงของประชนไม่ได้รับการเคารพ เพราะเป็นไปได้ อย่างมากที่พรรคซึ่งได้เสียงข้างมากจะเป็นพรรคที่ไม่ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล พรรคเดยี ว และทส่ี ำ� คญั เวลาทป่ี ระชาชนซงึ่ มแี คห่ นงึ่ เสยี งเทา่ นนั้ ตอ้ งไปกา บตั รเลอื กตงั้ ใหก้ บั ระบบ ส.ส. เสยี งเลอื กตง้ั นนั้ โอกาสทเี่ สยี งจะถกู บดิ เบอื น เปน็ ไปไดม้ าก เพราะวา่ เมอ่ื เราเลอื กตง้ั ส.ส. คะแนนบางสว่ นจะถกู แปลงให้ เปน็ คะแนนบญั ชีรายชอื่ พรรคการเมอื ง และพรรคการเมืองจะเปน็ คนเลอื ก นายกรัฐมนตรี ดังน้ันเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ส.ส. ที่เราเลือก พรรคได้เลือก นายกรฐั มนตรตี ามทเี่ ราเลอื ก ส.ส. หรอื บางทเี ราอาจจะชอบพรรคแตไ่ มช่ อบ ส.ส. ทพี่ รรคเสนอมากไ็ ด้ ดังนนั้ น่ีเปน็ ความขัดแย้งกันของระบบเลือกตัง้ ที่ เรียกว่าจัดสรรปันส่วนผสม ดังน้ันในประเด็นนี้จะชี้ให้เห็นได้ชัดว่า ถ้า อาจารย์ปรีดยี ังอยู่ อาจารยค์ งไม่เหน็ ด้วย เพราะมนั ไปขัดกับหลักเสยี งสว่ น ใหญ่ของมติ ๐๖๘ ปรดี ีบรรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

๒.๑.๔ คณุ คา่ ของรฐั ธรรมนูญ ประเดน็ ที่ ๔ อาจารยป์ รีดีใหค้ วามสำ� คญั กบั คุณค่าของรัฐธรรมนญู โดยที่ชี้ให้เห็นว่า คุณค่าของรัฐธรรมนูญควรจะประเมินเป็น ๒ ด้าน ด้าน แรกกค็ อื ประเมินโดยจุดยนื ของผู้ร่าง อาจารย์ปรดี ีกลา่ ววา่ ผ้รู ่างกบั สมาชกิ วุฒิสภานั้น ถ้ามีทศั นะยืนหยดั ในปวงชน บทบญั ญัติในรา่ งรฐั ธรรมนูญก็จะ เดน่ ชดั วา่ มคี วามเปน็ ประชาธปิ ไตยทถ่ี อื ปวงชนเปน็ ใหญ่ โดยไมม่ สี ทิ ธพ์ิ เิ ศษ ของอภิสิทธิ์ชน อาจารย์ปรีดีอธิบายไว้ชัดเจนว่า อภิสิทธิ์ชนคือลูกสมุน ท่ี ยอมตนเป็นเคร่ืองมือของอภิสิทธิ์ชน ดิฉันขอยกข้อความของอาจารย์ปรีดี มากล่าวถงึ เลก็ น้อย วา่ ในประเดน็ นี้ “หากตวั แทนของอภสิ ทิ ธชิ์ นไดเ้ ปน็ วฒุ สิ มาชกิ โดยไมต่ อ้ งรบั เลอื กจาก ราษฎร อภิสิทธ์ิชนกับลูกสมุนก็สามารถผูกขาดอ�ำนาจการปกครองไว้โดย เดด็ ขาดตลอดกาล ชาตกิ ็จะมรี ัฐบาลของอภิสิทธิช์ นตลอดกาล โดยแต่งตง้ั จากอภิสิทธชิ์ นตลอดกาล เปน็ รฐั บาลทท่ี �ำการเพือ่ อภสิ ิทธ์ิชนตลอดกาล”๘ น่คี ือค�ำกลา่ วท่ีดฉิ นั คดิ ว่า อาจารยป์ รดี ีแสดงความกังวลไว้ต้ังแตแ่ รก พูดสรุปก็คือ ถ้ารัฐธรรมนูญถูกร่างโดยอภิสิทธ์ิชน เพ่ืออภิสิทธิ์ชน ระบอบทไ่ี ด้ก็คอื ระบอบอำ� มาตยาธิปไตย และไมเ่ ปน็ ประชาธิปไตย นั่นคือ เรื่องของคุณค่าของรัฐธรรมนูญ เป็นรัฐธรรมนูญไหม เป็น แต่คุณค่าของ รัฐธรรมนูญคงไม่เหลือไว้ส�ำหรับประชาชน ในเรื่องของคุณค่ารัฐธรรมนูญ อาจารยป์ รดี ีบอกวา่ รฐั ธรรมนญู ตอ้ งเปน็ แม่บทสูงสุดแห่งกฎหมายทัง้ หลาย ๘ ดู เชิงอรรถที่ ๕, น.๓๖๗ การรา่ งรัฐธรรมนญู ประชาธปิ ไตยฯ ๐๖๙

ถา้ มบี ทบญั ญตั ขิ ดั กบั หลกั การของรฐั ธรรมนญู จะถอื วา่ เปน็ โมฆะ ประเดน็ น้ี ขอโยงเข้ากับบทเฉพาะกาลทกี่ ลา่ วไวแ้ ล้วก็คอื มาตรา ๒๖๕ มาตรา ๒๖๕ ในบทเฉพาะกาล คงอ�ำนาจของ คสช. ไว้ ภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราว คง อำ� นาจมาตรา ๔๔ ไว้ ดงั นั้นเราจงึ จะมกี ฎหมายสงู สดุ ๒ กฎหมายค่ขู นาน กัน ถามว่าเช่นน้ีแล้ว อะไรจะเป็นโมฆะในเมื่อรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙ กับ บทบญั ญตั ริ ฐั ธรรมนญู ชว่ั คราว ๒๕๕๗ มนั ขดั แยง้ กนั นเ่ี ปน็ คำ� ถามใหญม่ าก ถา้ ใช้กรอบวเิ คราะห์อาจารย์ปรีดมี าประเมนิ วา่ ในทสี่ ุดแล้ว อะไรคอื แม่บท สูงสุดของกฎหมายท้ังหลายท้ังปวง ๒.๑.๕ วิธีการร่างรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่ ๕ อาจารย์ปรีดีพูดถึงวิธีการร่างรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่า อาจารยป์ รีดลี ะเอยี ดมาก พดู ไวต้ ั้งแตค่ วามหมายของประชาธปิ ไตย คณุ ค่า ตลอดจนวธิ กี ารรา่ งรฐั ธรรมนญู ดว้ ย สงิ่ ทเ่ี ราจะพบวา่ รฐั ธรรมนญู ของไทยไม่ ว่าจะเปน็ ฉบบั ใดก็ตาม มกั จะมีมาตราทยี่ าวข้นึ เรื่อยๆ ทั้งๆ ท่ีอาจารย์ปรีดี บอกไว้อย่างชดั เจนวา่ วิธีการรา่ งรัฐธรรมนญู ท่ดี ีตอ้ งกะทดั รัด ไม่มมี ากมาย หลายมาตราหรอื ไมฟ่ มุ่ เฟอื ย และทสี่ ำ� คญั ตอ้ งใชค้ ำ� งา่ ยทส่ี ามญั ชนเขา้ ใจได้ อาจารย์ปรีดีบอกว่า ถ้ามันมีบทบัญญัติเดิมท่ีเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้วใน รัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าน้ี ควรจะยกบทบัญญตั นิ น้ั คงไว้ ไมค่ วรจะมาร่าง ใหม่หรือแตกเป็นหลายมาตราหรือจะท�ำให้ประชาชนสับสนและเข้าใจได้ ยาก แต่ดิฉันแปลกใจมากท่ีลูกศิษย์อาจารย์ปรีดีล้วนแตกขยายมาตราและ เพ่ิมความยาวของรัฐธรรมนูญทัง้ ส้ิน ทีนถ้ี า้ มองนอกเหนือจากการฟุ่มเฟอื ย หรือไม่ เพิม่ มาตราหรือไม่ อาจารย์ปรดี ีเนน้ ว่าตอ้ งใช้คำ� สามญั ทป่ี ระชาชน ๐๗๐ ปรดี ีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

สว่ นใหญ่เขา้ ใจได้ เราลองมาพิจารณาค�ำถามพ่วงในการทำ� ประชามติคร้ังน้ี ค�ำถามพว่ งถามวา่ “ทา่ นเห็นชอบหรอื ไม่ ว่าเพอื่ ใหก้ ารปฏริ ูปประเทศเปน็ ไปอยา่ งต่อเนอื่ ง ตามแผนยุทธศาสตรข์ องชาติ สมควรก�ำหนดให้บทเฉพาะ กาลนบั แต่ ๕ ปนี บั แต่มสี ภาชดุ แรกนั้น ใหท้ ี่ประชมุ รว่ มกันของรฐั สภา เป็น ผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซ่ึงสมควรแต่งต้ังเป็นนายกรัฐมนตรี ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาแต่งต้ัง นายกรฐั มนตร”ี ถามวา่ ประชาชนทว่ั ไปเขา้ ใจไหมคะ อะไรคอื ทป่ี ระชมุ รว่ ม กนั ของรฐั สภา ซึ่งทีจ่ รงิ แล้วนยั ยะค�ำถามพว่ งตรงไปตรงมา คอื ให้วุฒิสภา มอี ำ� นาจรว่ มกบั ส.ส. ในการเลอื กนายกรฐั มนตรี ถา้ ใชก้ รอบคดิ ของอาจารย์ ปรดี เี รอื่ งความงา่ ยไมฟ่ มุ่ เฟอื ยของคำ� แลว้ ดฉิ นั คดิ วา่ ถามไปตรงๆ เลยวา่ จะ ให้อำ� นาจวฒุ ิสภาเลือกนายกรฐั มนตรีร่วมกับ ส.ส. หรือไม่ ทำ� ไมต้องทำ� ให้ ค�ำถามแยบยลและยากต่อการเข้าใจ อันน้ีคือค�ำถามที่ดิฉันมีต่อลูกศิษย์ อาจารย์ปรีดที ้งั หลาย ๒.๑.๖ การทำ� ประชามติ ในประเดน็ สดุ ท้ายสำ� หรบั อาจารยป์ รีดี ก็เรอื่ งของการทำ� ประชามติ อาจารย์ปรีดีเห็นว่าการท�ำประชามติน้ันก็เป็นวิธีหน่ึงที่ท�ำให้เสียงของ ประชาชนได้แสดงออกมา แต่อาจารย์ปรดี ีมีข้อพงึ ระวงั ไวว้ ่า อาจารย์กงั วล วา่ จะทำ� ไดเ้ ฉพาะในสกั กะชนบท กค็ อื ในสงั คมขนาดใหญ่ ในพน้ื ทใ่ี หญๆ่ อาจ จะไม่ทำ� ได้ อาจารยค์ ิดวา่ ในสงั คมกรกี โบราณ กลุ่มเลก็ ๆ สามารถท�ำได้ ซึ่ง ดฉิ นั เขา้ ใจบรบิ ททอ่ี าจารยป์ รดี พี ดู ถงึ วา่ อาจารยอ์ าจจะไมท่ ราบวา่ ทกุ วนั นี้ มนั มเี ทคโนโลยกี ารสอ่ื สารทสี่ ามารถทำ� ใหก้ ารทำ� ประชามตทิ ำ� ไดง้ า่ ยขนึ้ ใน การรา่ งรฐั ธรรมนญู ประชาธปิ ไตยฯ ๐๗๑

โลกนก้ี ท็ ำ� กนั หลายครง้ั เชน่ การขอแยกสกอ๊ ตแลนดอ์ อกจากองั กฤษ เปน็ ตน้ แต่ว่าประเด็นท่ีดิฉันอยากจะหยิบเร่ืองการท�ำประชามติมาตั้งค�ำถามกับ กกต. และร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๙ ก็คือ ถ้ามีความประสงค์จะให้การท�ำ ประชามตเิ ขา้ ถงึ ไดง้ า่ ยและไมบ่ ดิ เบอื น ทำ� ไมถงึ เลอื กทจ่ี ะไมแ่ จกรฐั ธรรมนญู ทัง้ ฉบบั แต่เลือกทจ่ี ะแจกรฐั ธรรมนูญท่สี รุปมาแล้ว เฉพาะบทสรปุ ฉะน้นั คำ� ถามกค็ อื จะมัน่ ใจได้อยา่ งไรว่า บทสรปุ ท่ที ำ� ขึน้ มาน้ันปราศจากอคติ ซึ่ง จะทำ� ใหก้ ารทำ� ประชามตเิ ปน็ ไปโดยมาตรฐานสากล จรงิ ๆ แลว้ ประเดน็ เรอ่ื ง การท�ำประชามติ ดิฉันคิดว่ามีการพูดมากมายแล้วดิฉันพูดซ�้ำซ้อน แต่ว่า หลักๆ ก็คือว่า การสรุปโดยคณะร่างรัฐธรรมนูญเองจะม่ันใจได้อย่างไรว่า เปน็ กลางและไดส้ าระตามทร่ี ฐั ธรรมนญู ตอ้ งการสอื่ จรงิ ๆ แลว้ การหา้ มไมใ่ ห้ คนอน่ื สรปุ ไมใ่ หน้ ำ� เสนอ มนั จะทำ� ใหก้ ารทำ� ประชามตเิ ปน็ ไปตามหลกั สากล หรอื ไม่ ดฉิ นั คดิ วา่ มนั ขดั กบั รฐั ธรรมนญู ชว่ั คราว ๒๕๕๗ อยา่ งมาก อนั นดี้ ฉิ นั คิดว่าประเด็นนี้ ถ้าอาจารย์ปรีดียังคงอยู่ก็คงจะไม่สบายใจนัก แต่โดยรวม ดฉิ นั คดิ วา่ สง่ิ ทอ่ี าจารยเ์ ขยี น เปน็ ภาพสะทอ้ นของแรงปะทะ แรงเสยี ดทาน ท่อี าจารยป์ รีดีเผชิญมาตลอดชวี ติ ๒.๒ ข้อคิดจากอาจารย์ป๋วย ดฉิ นั ขอยกคำ� พดู อาจารยป์ ว๋ ย ซงึ่ ดฉิ นั คดิ วา่ มนั เหมาะกบั สถานการณ์ ปจั จบุ ัน อาจารย์ได้พดู ไวต้ ่อคณะกรรมการวเิ ทศสมั พันธส์ ภาผแู้ ทนราษฎร สหรฐั อเมรกิ าในปี ๒๕๒๐ โดยพดู ถงึ สถานการณ์ในขณะนนั้ ว่า ๐๗๒ ปรดี บี รรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

“ผมมีความเช่ือมั่นอย่างเน้นแฟ้นในระบอบประชาธิปไตยและใน ศักดศ์ิ รีความเปน็ มนุษยท์ ุกคน ... การปฏเิ สธไม่ให้สิทธินน้ั แกเ่ ขา เพราะเขา ยากจนหรือเพราะเขาขาดการศึกษา ผมถือว่าเป็นความร้ายกาจอย่างหน่ึง ผมเกลียดชังเผด็จการ ไม่ว่าจะมีรูปแบบสีสันอย่างไรก็ตาม ผมมีความเช่ือ ว่าระบอบประชาธิปไตยควรจะได้มาอย่างสันติวิธี เพราะผมต้องการหลีก เลย่ี งการใชก้ ำ� ลงั อาวธุ ในการรกั ษาอำ� นาจของรฐั บาล”๙ อนั นค้ี อื คำ� พดู ของ อาจารยป์ ๋วย อีกนิดหน่ึงท่ีอยากอ้างงานของอาจารย์ป๋วยที่คิดว่าทุกคนในห้องคง รู้จกั กันดี งานช้ินนน้ั ก็คอื คุณภาพแหง่ ชีวิต ปฏทิ ินแหง่ ความหวงั จากครรภ์ มารดาถงึ เชงิ ตะกอน ดฉิ นั คดิ วา่ งานชน้ิ นเ้ี ปน็ แรงบนั ดาลใจใหก้ บั งานชน้ิ อนื่ ๆ ในทางรัฐศาสตร์ รวมถึงปรากฏเป็นรูปธรรมชดั เจน ในนโยบาย ๓๐ บาท รักษาทุกโรค ดิฉันไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใด เพียงแต่เห็นว่าการน�ำ แนวคิดเร่ืองจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอนมาสู่การปฏิบัติในลักษณะของ นโยบายมันน่าประทับใจขนาดไหน แต่พอมาถึงรา่ งรฐั ธรรมนูญ ๒๕๕๙ ส่งิ ท่ีดิฉันอ่านประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ สิทธิเร่ืองสวัสดิการ ดิฉันรู้สึกเสียใจ อยา่ งมาก กค็ อื การรบั รองสทิ ธกิ ารรกั ษาพยาบาลในรา่ งรฐั ธรรมนญู ๒๕๕๙ มันถูกลดทอนไปอย่างมาก ถ้าเรามองประเด็นท่ีอาจารย์ป๋วยพูดไว้ว่า ถ้า รฐั ธรรมนญู ฉบบั เดมิ ทเี่ ขยี นขอ้ ความทเี่ ปน็ ประชาธปิ ไตยแลว้ กไ็ มค่ วรจะไป ลดทอนมนั ๙ ป๋วย อง๊ึ ภากรณ์, “การสบื พยานเรือ่ งสิทธิมนษุ ยชนในประเทศไทย,” ใน ทศั นะทางการเมือง (กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๕๙), น. ๓๒๗. การรา่ งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฯ ๐๗๓

ดังน้นั แรงบนั ดาลใจทงั้ หลายทง้ั ปวงทอี่ าจารย์ปว๋ ยได้เขยี นไว้ มันดู จะหายไปอยา่ งสิ้นเชิงในรัฐธรรมนญู ๒๕๕๙ ดฉิ นั คดิ วา่ การอา่ นงานของอาจารยป์ รดี ี การอา่ นแนวคดิ อาจารยป์ ว๋ ย เป็นส่ิงท่ีดี แต่ส่ิงที่ดีที่สุดที่จะร�ำลึกถึงอาจารย์ก็คือ การน�ำหลักคิดและ แนวทางท่ีน�ำเสนอมาใช้ในทางปฏิบัติจริงๆ มากกว่าการอ่าน ท่องจ�ำหรือ วิพากษว์ จิ ารณ์ ๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปรญิ ญา เทวานฤมติ รกลุ ๓.๑ อาจารย์ปรีดีกับการร่างรัฐธรรมนูญ ๓.๑.๑ ฉบับ ๒๗ มถิ ุนายน ๒๔๗๕ ผมขอสรุปโดยสังเขปของรัฐธรรมนูญทั้ง ๓ ฉบับว่าเกี่ยวข้องกัน อย่างไร ฉบบั แรกฉบบั ชัว่ คราว จรงิ ๆ แล้วคณะราษฎรทูลเกลา้ ฯ เม่ือ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๗๕ และโปรดเกล้าฯ ในวนั รงุ่ ขึ้น รัชกาลที่ ๗ ทรงอา่ นและไม่ ไดแ้ กไ้ ขใดๆ ทง้ั สน้ิ พระองคเ์ หน็ ชอบทกุ อยา่ ง เพยี งแตข่ อเตมิ แค่ “ชวั่ คราว” เข้าไปค�ำเดียว แต่ก่อนจะพูดว่าค�ำอะไร ผมขออนุญาตพูดว่า รัฐธรรมนูญ ฉบบั แรกมคี วามหมายอยา่ งไร ดไู ดจ้ ากคำ� ปรารภ โดยมใี จความดงั นี้ “โดยที่ คณะราษฎรไดข้ อรอ้ งใหอ้ ยใู่ ตธ้ รรมนญู การปกครองแผน่ ดนิ สยาม เพอ่ื บา้ น เมืองจะได้เจริญขึ้น และโดยทรงที่ยอมรับตามค�ำขอร้องของคณะราษฎร ๐๗๔ ปรีดบี รรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติข้ึนไว้ โดยมาตรา ต่อไปนี้ มาตรา ๑ อ�ำนาจสงู สุดของประเทศน้ันเป็นของราษฎรทง้ั หลาย” ความหมายของรฐั ธรรมนญู ฉบบั แรกน้คี ือ รอยตอ่ จากระบอบราชา- ธิปไตยมาสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยการร้องของของคณะราษฎรแล้ว รชั กาลท่ี ๗ ทรงเห็นดว้ ย ทรงยนิ ยอมในการของรอ้ งของคณะราษฎร ทรง มอบอำ� นาจสงู สุดให้เป็นของราษฎร น่ันคอื การเร่ิมตน้ ของการปกครองทมี่ ี ประชาเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย แต่การท่ีรัชกาลที่ ๗ ทรงเติมค�ำว่า “ชั่วคราว” ลงไป จึงกลายเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จริงๆ ถ้าท่านได้ อ่านดู อาจารย์ปรีดีท่านตั้งใจจะเขียนให้เป็นฉบับถาวร จะเห็นได้ว่าท่าน วางแผนลงเป็นขนั้ ๆ ผมขอกล่าวโดยสรปุ ชว่ งแรก กใ็ หม้ สี ภาผู้แทนมาจาก การแตง่ ตง้ั ก่อนโดยคณะทหารฝ่ายผ้รู ักษาการพระนครตง้ั มา ๗๐ คน เปน็ ผู้แทนราษฎรช่ัวคราว หลงั จากน้นั ๖ เดือนหรอื จนกวา่ จะจดั การประเทศ ไดเ้ ป็นปกตเิ รยี บรอ้ ย ถงึ มกี ารเลอื กต้งั โดยมสี มาชกิ ๒ ประเภท ประเภทที่ ๑ คอื จงั หวดั ละ ๑ คน ถา้ มรี าษฎรเกิน ๑ แสนคน กเ็ พ่มิ แสนละ ๑ คน ประเภทท่ี ๒ มาจากการแตง่ ตงั้ โดยมจี ำ� นวนเทา่ กบั การเลอื กตงั้ และทงั้ หมด จะเลือกไปเมอ่ื มปี ระชาชนสอบได้ประถมศึกษา ๖ เกนิ ครึง่ แต่อยา่ งมากก็ ไมเ่ กนิ ๑๐ ปี ทนี จี้ ะเหน็ ไดว้ า่ ทา่ นเขยี นรฐั ธรรมนญู ขนึ้ มาทา่ นไมไ่ ดต้ อ้ งการ แค่ชว่ั คราว แต่โดยการประนีประนอมกัน สุดท้ายกก็ ลายเปน็ ฉบบั ช่ัวคราว แลว้ ก็เกดิ ฉบับถาวรขน้ึ มาเมอื่ เดือนธันวาคม ๒๔๗๕ การรา่ งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฯ ๐๗๕

๓.๑.๒ ฉบบั ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ในแง่ของตวั รฐั ธรรมนูญฉบับ ๑๐ ธนั วาคม กม็ ีความสมบรู ณม์ ากขึ้น ด้วยเวลาที่มีมากกว่าเดิม แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในเรื่องของความมี อำ� นาจสงู สดุ เพราะเปลยี่ นไปเปน็ อำ� นาจอธปิ ไตยและใชค้ ำ� วา่ “ยอ่ มมาจาก ปวงชนชาวไทย” แตผ่ มอยากจะตคี วามรฐั ธรรมนญู ฉบบั แรกแบบนคี้ รบั ใน ทางนิตนิ ัย นค่ี อื หนังสอื มอบอำ� นาจอธิปไตยท่รี ชั กาลท่ี ๗ ทา่ นทรงมอบให้ กบั ประชาชนทง้ั หลาย ฉบบั ตอ่ มาจะเขยี นยงั ไงกเ็ ขยี นไปเถอะ แตน่ ยั ยะของ เร่ืองคือตรงนี้ ทีน้ีฉบบั ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ มันกม็ บี ทเฉพาะกาล คอื ชว่ ง แรกก็มคี ลา้ ยกันกับฉบับชัว่ คราว โดยมกี รอบเหมอื นๆ กัน ดว้ ยเหตุท่วี ่าเกิด สงครามโลกคร้ังที่ ๒ ขนึ้ มา ทำ� ใหก้ รอบเวลามันเลือ่ นไป ส่วนในเรื่องของประกันสิทธิเสรีภาพฉบับชั่วคราวยังไม่ได้พูดถึง ประกันสทิ ธิเสรีภาพ ฉบบั ๑๐ ธนั วาคม กม็ แี ค่ ๒ มาตราก็คือ มาตรา ๑๔ ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหะสถาน ทรพั ยส์ ิน การพดู การเขยี น การโฆษณา การศึกษาอบรม การ ประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคมอาชีพ ใช้ค�ำว่าเสรีภาพบริบูรณ์ ถึงรวม เอาสทิ ธิตา่ งๆ มา ถงึ แม้จะแยกเปน็ มาตราไปมาอยใู่ นมาตราเดียวกต็ าม แต่ น่คี ือสิทธเิ สรภี าพครั้งแรกทเ่ี กดิ ขึ้นเมือ่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ รฐั ธรรมนญู ๒๔๘๙ กเ็ พียงแต่เพ่ิมเขา้ ไป นนั่ คอื การชมุ นุมสาธารณะ และการตัง้ คณะ พรรคการเมอื ง ๐๗๖ ปรีดีบรรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

๓.๑.๓ ฉบับ ๒๔๘๙ สุดท้าย ทา่ นลองไปอ่านคำ� ปรารภของรัฐธรรมนูญ ๒๔๘๙ ก็สมควร แลว้ ใช้มา ๑๔ ปี กค็ วรจะแก้บทเฉพาะกาล ปรับปรุงรัฐธรรมนญู เสยี ใหม่ แก้ไขรัฐธรรมนูญเสียใหม่ให้เป็นประชาธิปไตย และค�ำว่าประชาธิปไตยก็ ปรากฏครัง้ แรกในรฐั ธรรมนญู ไทยในฉบบั ที่ ๓ รฐั ธรรมนูญ ๒ ฉบบั แรกไม่มี ค�ำว่าประชาธิปไตย แม้กระท่ังตอนท่ีอาจารย์ปรีดีท่านเรียกระบบการ ปกครอง ตอนแรกท่านกไ็ มไ่ ดใ้ ช้ค�ำว่าประชาธิปไตย ค�ำกล่าวของอาจารย์ปรีดีในวันสถาปนาหรือวันเปิดมหาวิทยาลัย วชิ าธรรมศาสตร์และการเมอื ง ทา่ นบอกวา่ “มหาวทิ ยาลยั ยอ่ มอปุ มาบอ่ นำ้� บ�ำบัดความกระหายของราษฎรผู้แสวงหาความรู้อันเป็นสิทธิและโอกาสที่ เขาพงึ มพี งึ ไดต้ ามหลกั แหง่ เสรภี าพในการศกึ ษา” ประโยคนเี้ ปน็ ประโยคซง่ึ คนจะคนุ้ ทสี่ ดุ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การตง้ั ธรรมศาสตร์ คำ� วา่ เปน็ บอ่ นำ้� บำ� บดั ความ กระหายของราษฎร คนจะนึกไม่ออกเท่าไหร่ มันหมายถึงอะไร เพราะ ปจั จบุ ันมมี หาวทิ ยาลัยถงึ ๑๕๐ กวา่ แหง่ แตล่ ะแห่งก็มวี ทิ ยาเขตอีกหลาย แหง่ แตใ่ นปี พ.ศ.๒๔๗๕–๒๔๗๗ ในการตัง้ มหาวิทยาลยั วชิ าธรรมศาสตร์ และการเมอื ง ประเทศไทยมแี คจ่ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั แหง่ เดยี ว ตอนนนั้ ใครจะเรียนมหาวิทยาลัยต้องเป็นคนชั้นสูง ธรรมศาสตร์ต้ังขึ้นมาเพื่อ ทกุ คน เพื่อสามญั ชน จงึ เปรียบเปรยวา่ เปน็ บ่อน้�ำบ�ำบัดความกระหายของ ราษฎร เป็นการใชค้ ำ� ทพี่ เิ ศษท่ีสุด ทกุ คนท่กี ระหายอยากจะเรยี น เชิญมา ท่ีธรรมศาสตร์ คนท่ีอยากเรียนมาเรียนได้ทุกคน จุฬาลงกรณ์มีนิสิต ทั้งมหาวิทยาลัย ๗๐๐ คน ธรรมศาสตร์เปิดปีแรกมีคนมาสมัครเรียน ๗,๐๐๐ คน การรา่ งรัฐธรรมนญู ประชาธปิ ไตยฯ ๐๗๗

เรื่องที่ ๒ ที่อาจารย์ปรดี ีพูดในวันเปิดมหาวิทยาลยั ทา่ นบอกว่า “ยง่ิ ในสมัยท่ีประเทศเราด�ำเนินการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญเช่นนี้แล้ว เป็นการจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมหาวิทยาลัยส�ำหรับประศาสน์ความรู้ใน วิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแก่พลเมืองให้มากที่สุดที่จะเป็นได้”๑๐ ท่าน บอกวา่ ประเทศเปลยี่ นเปน็ ระบอบรฐั ธรรมนญู ระบอบซงึ่ จำ� กดั อำ� นาจใหอ้ ยู่ ใตก้ ตกิ าตามรฐั ธรรมนญู และมกี ารประกนั สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนนน่ั เอง ในตอนเรมิ่ ตน้ อาจารย์ปรดี กี ย็ งั ไม่เรยี กวา่ ประชาธิปไตย แตม่ าตรา ๑ ของ ท่าน “อ�ำนาจสูงสุดของประเทศน้ันเป็นของราษฎรท้ังหลาย” นั่นคือ ประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ ๒๔๘๙ ก็เกิดขึ้นมา คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๑๐ ธนั วาคม ดว้ ยความทแ่ี กเ้ ยอะจากฉบบั ๒๗ มถิ นุ ายน ๒๔๗๕ ซง่ึ มคี วามหนา เพยี ง ๓,๐๐๐ คำ� รฐั ธรรมนญู ๑๐ ธนั วาคมกเ็ พม่ิ เปน็ ๕,๐๐๐ คำ� รฐั ธรรมนญู ๒๔๘๙ ก็เพ่มิ เป็น ๑๐,๐๐๐ คำ� จะเห็นไดว้ า่ มนั มสี ายธารเกีย่ วข้องกันมา ต้ังแต่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ ผมขอกล่าวโดยสรุป ความส�ำคัญของส่ิงท่ี อาจารย์ปรีดีทำ� รอยต่อของระบอบประชาธิปไตย ซง่ึ พระเจ้าแผ่นดินขณะ น้นั คอื รัชกาลที่ ๗ ทรงเหน็ ชอบดว้ ยท่ีจะทำ� ระบอบน้ีขนึ้ มา โดยที่สทิ ธกิ าร เลือกต้ังก็เกิดกับราษฎรทุกเพศพร้อมกัน หรือสิทธิเลือกต้ังท่ีเป็นหลักสิทธิ ทั่วไปก็เกิดข้ึนในประเทศไทยทันที ในขณะที่ยุโรปใช้เวลาหลายร้อยปี อเมริกาก็ใชเ้ วลานานมาก แตก่ อ่ นอเมรกิ ากม็ ีสิทธเิ ลือกตงั้ เฉพาะคนผิวขาว ๑๐ ปรีดี พนมยงค์, ชวี ประวตั ยิ อ่ ของนายปรีดี พนมยงค,์ พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๔ (จดั พมิ พเ์ น่อื งในโอกาส ฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล นายปรดี ี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส (๑๑ พฤษภาคม ๒๔๔๓– ๒๕๔๓)), น. ๕๐. ๐๗๘ ปรีดีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

ทเี่ รยี กว่านายทาส ทเ่ี สียภาษี คนผวิ ด�ำกไ็ ดร้ บั สิทธหิ ลังสงครามโลกครง้ั ที่ ๒ แตข่ องไทยเกิดขนึ้ ทนั ทใี นปี ค.ศ.๑๙๓๒ ความจริงตอนน้ัน ถ้าจะพูดเปรียบเทียบกับประเทศที่ประกาศ สงครามกบั สหราชอาณาจกั ร ประเทศไทยถอื วา่ มอี นาคตทสี่ ดุ ในตอนนนั้ ท่ี เรารู้จักกันดีในช่ือ ขบวนการเสรีไทย ความจริงแล้วล�ำพังเพียงเสรีไทยคน เดยี วอาจจะไมเ่ พยี งพอนกั ทจ่ี ะทำ� ใหเ้ ราพลกิ สถานะจากประเทศแพส้ งคราม เป็นประเทศชนะสงคราม แต่ตอนที่มีการประกาศสงคราม สมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ลยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะ ผสู้ ำ� เรจ็ ฯ ๓ คนลงนามเพยี ง แค่ ๒ คน ผสู้ ำ� เร็จฯคนหน่ึงไมย่ อมลงนาม คือ นายปรีดี พนมยงค์ จึงท�ำให้ สถานะประกาศสงครามตอนนน้ั เปน็ โมฆะ ด้วยเหตุนี้ ๑๖ สงิ หาคมจงึ เปน็ วนั สนั ตภิ าพไทย การประกาศสงครามจงึ เปน็ โมฆะเพราะมนั ขดั ตอ่ เจตจำ� นง ของชาวไทย ทา่ นกไ็ มล่ งนามในฉบบั นนั้ ความจรงิ ในปี ๒๔๘๙ ประเทศไทย มอี นาคตทสี่ ดใส อาจารยป์ รดี กี ข็ นึ้ เปน็ นายกรฐั มนตรเี อง แตเ่ คราะหร์ า้ ยเกดิ เรอ่ื งสวรรคตของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อานนั ทมหดิ ล อาจารยป์ รดี ถี กู กลา่ ว หาใหม้ วั มอง แตท่ กุ วนั นกี้ ท็ ราบกนั ดวี า่ เปน็ คำ� กลา่ วหาทไี่ มจ่ รงิ เพราะทา่ น ชนะคดใี นทุกศาลทก่ี ลา่ วหาทา่ น ในฐานะท่ีผมเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญมา รัฐธรรมนูญท่ีดีท่ีสุดคือ รฐั ธรรมนูญฉบับ ๒๔๘๙ มคี วามหนา ๑๐,๐๐๐ ค�ำ มีมาตราเท่าท่ีจ�ำเปน็ และมหี ลกั การประชาธปิ ไตยครบถว้ นหมด ทพ่ี ดู กนั วา่ ฉบบั ๒๕๑๗ เปน็ ฉบบั ที่ดีที่สุด เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและพูดโดยที่ผู้พูดไม่เคยเปิด รฐั ธรรมนญู ๒๕๑๗ โดยเปรียบเทียบกบั ฉบับอน่ื การร่างรัฐธรรมนูญประชาธปิ ไตยฯ ๐๗๙

๓.๑.๔ ขบวนการประชาธิปไตย ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๔๙๒ ก็มีคนจ�ำนวนมากให้ความชอบธรรมกับการยึดอ�ำนาจ โดยยก ตัวอย่างอาจารย์ปรีดที ี่น�ำขบวนการประชาธิปไตย ๒๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๔๙๒ มาฟ้ืนฟูประชาธิปไตย แตล่ ้มเหลว เรยี กในภาษาท่วั ไปว่า “กบฏวงั หลวง” แลว้ แยง้ ว่าจะมาวา่ การปฏิวตั ไิ มด่ ีได้อยา่ งไรในเม่ืออาจารย์ปรดี กี เ็ คยปฏิวตั ิ เมอ่ื ปี ๒๔๙๒ และลม้ เหลว ต้องเข้าใจวา่ ปฏิวัติครงั้ แรกคือการเปลย่ี นแปลง ระบอบใหม่ในปี ๒๔๗๕ แต่ ๒๔๙๒ มันกค็ ือ รฐั ประหาร อนั นก้ี ค็ ือความ เข้าใจทีค่ ลาดเคล่ือน กบฏวงั หลวงไมใ่ ช่ Coup d’ Etat แตเ่ ป็น Anti Coup d’ Etat ท่านรักษาสง่ิ ท่ที ่านทำ� เอาไว้ เพราะมันเกิดรฐั ประหาร ๒๔๙๐ ขนึ้ ท่านพยายามปราบกบฏต่างหาก แต่สุดท้ายก็ท�ำไม่ส�ำเร็จจึงเป็นกบฏแทน ไม่เหมือนกัน ฐานะของกบฏวังหลวง โปรดเข้าใจใหม่ว่าจริงๆ เป็น Anti Coup d’ Etat ไม่ใช่ Coup d’ Etat เร่ืองนส้ี �ำคญั มาก อยา่ ไปอธบิ ายว่า อาจารย์ปรดี กี เ็ คยท�ำรฐั ประหาร ๒๔๙๒ มา ดงั นน้ั รฐั ประหารก็เกดิ ข้ึนได้ ๓.๒ พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง ๓.๒.๑ รฐั ธรรมนญู ๒๕๑๗ ผมขอพดู ถงึ ประเดน็ สำ� คญั อยเู่ รอ่ื งหนงึ่ เพอื่ จะมาโยงกบั ฉบบั ๒๕๑๗ อาจารย์ปรีดีท่านทราบถึงจุดอ่อนของระบบรัฐสภาเป็นอย่างดี ระบบ การเมอื งโลกขณะนั้น มนั ก็มีแค่ ๒ ระบบใหเ้ ลอื ก ระบบประธานาธิบดีคือ ระบบที่ประมุขของประเทศมาจากการเลือกต้ังจึงเข้ากันไม่ได้กับระบอบ ๐๘๐ ปรีดบี รรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ อาจารย์ ปรดี ที า่ นกเ็ ลอื กระบบรฐั สภาใหส้ อดคลอ้ งกบั ราชอาณาจกั รของไทย ทนี ที้ า่ น กท็ ราบจดุ ออ่ นของระบบรฐั สภา จดุ ออ่ นกค็ อื เมอ่ื ฝา่ ยบรหิ ารคอื นายกฯ นนั้ มาจากเสียงข้างมากของฝ่ายนิตบิ ญั ญัติ คือ ส.ส.เปน็ คนเลือกนายกฯ ดังน้ัน ฝ่ายบริหารจึงครอบง�ำฝ่ายนิติบัญญัติได้ การแบ่งแยกอ�ำนาจระหว่างฝ่าย ผู้เขียนกติกาคือฝ่ายนิติบัญญัติ กับผู้ใต้กติกาคือรัฐบาล ก็ไม่เกิด เพราะ รฐั บาลผซู้ ง่ึ ไดป้ ระโยชนจ์ ากกฎหมายเปน็ ผคู้ วบคมุ ฝา่ ยออกกฎหมายไดเ้ สยี แลว้ จงึ ปญั หาขนึ้ มาได้ นค่ี อื จดุ ออ่ นของระบบรฐั สภา ซงึ่ อาจารยป์ รดี ที ราบ ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี โดยทา่ นกใ็ ช้กลไก ๒ เรอื่ งมาแกป้ ญั หานี้ กลไกแรกก็คือ ท่านไม่บังคับ ส.ส. ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง ใน ช่วง ๑๔ ปีแรกไม่มีพรรคการเมืองอยู่แล้ว เพราะเร่ิมให้ตั้งพรรคการเมือง เมอ่ื มีรฐั ธรรมนญู ๒๔๘๙ แตเ่ มื่อเกิดรฐั ธรรมนญู ๒๔๘๙ กไ็ ม่บังคบั ใหต้ อ้ ง สงั กดั พรรคการเมือง กลไกที่ ๒ คือ ท่านไดว้ างหลกั เสรีภาพในการท�ำหนา้ ทผี่ ูแ้ ทนปวงชน เอาไว้ ทม่ี าตรา ๒๐ กค็ ือ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรย่อมเปน็ ผู้แทนของปวง ชนชาวสยาม มใิ ชแ่ ทนแตเ่ ฉพาะผทู้ เ่ี ลอื กตนขนึ้ มา มไิ ดแ้ ทนแตเ่ ฉพาะพรรค ของทา่ นหรอื เขตเลอื กตงั้ ของทา่ นเทา่ นนั้ มใิ ชแ่ ทนแตเ่ ฉพาะผทู้ เ่ี ลอื กตนขนึ้ มา ตอ้ งปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามความเหน็ ของตนโดยบรสิ ทุ ธใิ์ จ ไมอ่ ยภู่ ายใตอ้ าณตั ิ มอบหมายใดๆ ถา้ เปน็ การทำ� หนา้ ทขี่ องผแู้ ทนปวงชนเพอื่ ประโยชนส์ ว่ นรวม แลว้ พรรคการเมอื งหรอื ใครจะมาสั่งผูแ้ ทนปวงชนไม่ได้ นเ่ี ปน็ หลักประกนั ว่าท�ำอย่างไรจะให้ผู้แทนปวงชนไม่ถูกรัฐบาลส่ังได้ เม่ือถึงเวลาท่ีประโยชน์ การรา่ งรฐั ธรรมนูญประชาธิปไตยฯ ๐๘๑

ของปวงชนสวนทางกบั ประโยชนข์ องพรรคการเมอื ง ผแู้ ทนปวงชนตอ้ งกลา้ ยกประโยชน์ ยกมอื ใหก้ บั ประโยชนข์ องปวงชนมใิ ชป่ ระโยชนข์ องพรรค เรา ต้องเขา้ ใจความขอ้ นีว้ ่า การไม่บงั คบั ส.ส. สงั กดั พรรค ไมไ่ ดแ้ ปลว่าส่งเสรมิ ให้อิสระ ส.ส. ควรสงั กดั พรรคแตเ่ ป็นอสิ ระจากอาณัติท่ีพรรคส่งั ผ้แู ทนปวง ชนลงมาต่างหาก และนี่คือหลักการท่ีอาจารย์ปรีดีได้วางเอาไว้ ว่าถึงแม้ รฐั บาลจะมเี สยี งขา้ งมากในรฐั สภาแตไ่ มอ่ าจมาสง่ั ผแู้ ทนปวงชนได้ นจ่ี งึ ทำ� ให้ ฝา่ ยบรหิ ารกับนิติบญั ญตั ิยังอสิ ระจากกัน แตจ่ ดุ เปลย่ี นสำ� คญั กเ็ กดิ ขน้ึ จดุ เรม่ิ ตน้ ของปญั หาของประชาธปิ ไตย ไทยก็เกิดจากรัฐประหาร ๒๔๙๐ ซ่ึงอ้างกรณีสวรรคตว่าอาจารย์ปรีดีไป เกี่ยวขอ้ งด้วย ซงึ่ เปน็ ความเทจ็ และปี ๒๔๙๐ ท�ำให้ประเทศไทยเข้าสู่วงจร อย่างท่ีเราประสบอยู่กันทุกวันนี้ จุดท่ีท�ำให้ฟื้นจากวงจรนี้มาได้บ้างก็คือ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ โดยจุดเริ่มต้นของการชุมนุมก็คือ ท่ี มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรท์ อ่ี าจารยป์ รดี ไี ดก้ อ่ ตงั้ ขนึ้ รฐั ธรรมนญู ใหม่ ๒๕๑๗ น่าจะเป็นรัฐธรรมนญู ท่ีแกป้ ญั หาที่ผา่ นมา แนวทางของรัฐธรรมนญู ไทยทกุ ฉบบั เดนิ ตามแนวทางอาจารย์ปรีดีหมดเลย คอื (๑) ไมบ่ งั คบั ส.ส. ใหส้ ังกดั พรรค ส.ส. ควรสงั กดั พรรค แตไ่ มบ่ งั คบั (๒) ประกนั เสรภี าพในการทำ� หนา้ ท่ี ผแู้ ทนปวงชน ถา้ เปน็ เรอื่ งประโยชนข์ องปวงชนแลว้ พรรคการเมอื งหรอื ใคร จะมาสง่ั ผแู้ ทนปวงชนไม่ได้ ปรากฏวา่ จนถงึ รัฐธรรมนูญ ๒๕๑๗ เกิดความ คดิ ขึ้นมาวา่ ส.ส. เปน็ อิสระมนั วนุ่ วายนัก เกดิ การไปสรปุ วา่ ความล้มเหลว ของรัฐบาลจอมพลถนอม กติ ตขิ จร เกิดจากการที่ ส.ส. มีความอิสระ ๐๘๒ ปรีดบี รรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

ผมขยายใหฟ้ งั วา่ รฐั ธรรมนญู ซง่ึ รา่ งถงึ ๑๐ ปี คอื รฐั ธรรมนญู ๒๕๑๑ หลังจากเกิดรัฐประหาร ๒๕๐๑ ท�ำให้เพื่อนผู้ร่วมก่อการของอาจารย์ปรีดี คอื จอมพล ป. พบิ ลู สงครามต้องลี้ภัยไปญี่ปุ่น ความจรงิ จอมพล ป. ก็ใช้ อำ� นาจในทางทเ่ี ลยเถดิ ไป มเิ ชน่ นน้ั คงไมเ่ กดิ ปญั หา เรอ่ื งระหวา่ ง จอมพล ป. กบั อาจารย์ปรดี ี กเ็ ป็นเร่อื งหน่ึงที่น่าพดู ถึง ย่งิ กว่าเพอื่ นรักหักเหลยี่ มโหด เสียอีก แต่ประเด็นคือ พอปี ๒๕๐๑ เกิดรัฐประหารโดยจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ขึน้ มา กม็ ีการมารา่ งรัฐธรรมนูญ กวา่ จะรา่ งเสรจ็ และประกาศใช้ ก็ในอีก ๑๐ ปีต่อมา แล้วเลือกต้ังในปี ๒๕๑๒ รู้สึกว่ามันนานมาก แต่ใน ปจั จบุ นั ผมกห็ วงั วา่ มนั จะไมย่ าวนานเหมอื นเหตกุ ารณท์ เี่ คยเกดิ ประเดน็ คอื พอปี ๒๕๑๕ จอมพลถนอม ซงึ่ กเ็ ป็นนายกฯ มาต่อเนือ่ ง เป็นนายกฯก่อน เลือกตั้ง เลือกตั้งเสร็จก็เป็นนายกฯต่อ จอมพลถนอมคุมเสียงข้างมากใน รฐั สภาไมไ่ ด้ และคงดว้ ยความรำ� คาญประชาธปิ ไตย เพราะแตเ่ ดมิ นนั้ อยาก ได้อะไรก็ส่ังส�ำนักงบให้เขียนบรรจุลงไปในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจา่ ยประจำ� ปี พอมตี วั แทนปวงชนซง่ึ มาจากราษฎรเลอื ก เขากม็ าตอ่ รอง เจรจา อภิปรายเหตุผล ดว้ ยความท่ีอยกู่ บั มาตรา ๑๗ (ต้นแบบมาตรา ๔๔) พอมีประชาธิปไตยข้นึ มากร็ �ำคาญ ทนได้ ๒ ปี กย็ ดึ อ�ำนาจ ๒๕๑๔ และฉีก รฐั ธรรมนูญทร่ี ่างมา ๑๐ ปที ง้ิ ไป กเ็ กดิ เหตุการณเ์ รียกรอ้ งรัฐธรรมนญู ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ พอถงึ เวลารา่ งรฐั ธรรมนญู กต็ งั้ โจทยผ์ ดิ ไปตงั้ โจทยว์ า่ พวก ส.ส. อสิ ระ ทำ� ใหว้ นุ่ วายทำ� ใหเ้ กดิ ความลม้ เหลวของประชาธปิ ไตย ดงั นน้ั เราบงั คบั สงั กดั พรรคใหห้ มดแลว้ ตดั หลกั เสรภี าพของผแู้ ทนปวงชนทง้ิ ไป และนนั่ คอื จดุ เรมิ่ ตน้ ของการเปลีย่ นแปลงทีอ่ าจารยป์ รดี ไี ด้วางไว้ ๔๐ ปีเต็ม นี่คอื ปี ๒๕๕๙ การร่างรัฐธรรมนญู ประชาธิปไตยฯ ๐๘๓

ขณะน้ี ๘๔ ปี ยุคแรกคือยุคของประชาธิปไตยแบบท่ีมีการถ่วงดุลอ�ำนาจ ระหวา่ งฝ่ายนิตบิ ญั ญัตกิ บั ฝ่ายบรหิ าร ปี ๒๕๑๗ ยกหลกั free mandate ทง้ิ ไปพรอ้ มกบ็ งั คบั ใหผ้ สู้ มคั รสงั กดั พรรคเปน็ ครง้ั แรก และใสห่ ลกั การเขา้ ไป วา่ การลาออกจากพรรคตอ้ งพน้ ตำ� แหน่ง ส.ส. เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กิดการยา้ ยพรรค ต่อมารัฐธรรมนญู ปี ๒๕๒๑ กเ็ พ่มิ เขา้ ไปอีกว่า ถูกขบั ออกจากพรรคตอ้ งพ้น ตำ� แหน่ง ส.ส. ทันทีเพือ่ เพ่ิมอ�ำนาจพรรคการเมอื งเขา้ ไปอกี จดุ เปลยี่ นคอื รฐั ธรรมนญู ปี ๒๕๑๗ ผทู้ อ่ี ภปิ รายคดั คา้ นประเดน็ นี้ คอื อาจารยป์ ว๋ ย องึ๊ ภากรณ์ ถา้ ไปบงั คบั ส.ส. ใหส้ งั กดั พรรคแลว้ แถมยงั ตดั หลกั free mandate ทิ้งไป น่ีเป็นการท�ำลายหลักประชาธิปไตย เมื่อพรรค การเมอื งคมุ ผแู้ ทนได้ นายทนุ กจ็ ะคมุ ผแู้ ทนได้ เสรปี ระชาธปิ ไตยซงึ่ ตอ้ งเปดิ โอกาสให้ทุกคนแข่งขันกันอย่างเท่าเทียมและไม่มีใครมาผูกขาดได้ ตลาด การเมืองตอ้ งเป็นตลาดเปดิ หา้ มผูกขาดโดยพรรคการเมือง ถ้าบังคับสงั กัด พรรคเสียแล้ว พรรคการเมืองจะถูกนายทุนเข้ามาคุม ซ่ึงนายทุนก็จะคุม ผแู้ ทน รัฐบาลก็จะคุมผู้แทนได้ สดุ ท้ายกจ็ ะไมย่ กมอื ใหป้ ระชาชนอีกต่อไป อาจารยป์ ๋วยท�ำนายไวแ้ ล้ว ว่าถา้ ท�ำแบบนจี้ ะเปน็ การทำ� ลายประชาธิปไตย สดุ ท้ายรัฐธรรมนญู ๒๕๑๗ กไ็ ม่ใช่รัฐธรรมนญู ท่ีเปน็ ประชาธปิ ไตย ดังทค่ี น จำ� นวนมากเขา้ ใจ สงิ่ ทอ่ี าจารยป์ รดี รี า่ งไดส้ ำ� เรจ็ หมด คอื ประกาศใชไ้ ดห้ มด แตส่ งิ่ ทอี่ าจารยป์ ว๋ ยทำ� นนั่ คอื พยายามปกปอ้ งหลกั การทอ่ี าจารยป์ รดี ไี ดว้ าง ไว้แต่ล้มเหลวทั้งหมด คือปกป้องไม่ส�ำเร็จ และจึงเกิดรัฐธรรมนูญ ๒๕๑๗ ข้ึนมา และเร่ิมยุคใหม่ของการที่พรรคการเมืองสามารถครอบง�ำผู้แทนได้ แลว้ รฐั บาลจึงใช้พรรคการเมอื งครอบง�ำผแู้ ทนได้ ๐๘๔ ปรดี ีบรรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

๓.๒.๒ รัฐธรรมนญู ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ความจริงก็มีเจตนาที่อยากจะปฏิรูปการเมือง แต่ก็ไปแก้ปัญหาผิด ดันไปสร้างรัฐบาลท่ีเข้มแข็งย่ิงข้ึนไปอีกด้วยกลไก ๒ ประการ ประการแรกคอื การบังคับสังกัดพรรคเพิ่มเปน็ ๙๐ วนั กม็ ปี ัญหา ตามมา เมื่อไม่มีหลักประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง คนตัดสินว่าใคร จะเป็นส่งผู้สมัครทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ และจะอยู่ล�ำดับ เทา่ ไร กค็ อื หวั หนา้ พรรค สรปุ คอื พอหวั หนา้ พรรคเปน็ นายกฯ หวั หนา้ พรรค ก็เป็นคนเลอื ก ส.ส. ความจริงแลว้ ระบบรัฐสภาคอื ให้ผู้แทนปวงชนเปน็ คน เลือกนายกรัฐมนตรี ประการท่ี ๒ คือออกแบบระบบเลือกต้ังที่ท�ำให้ พรรคการเมืองได้ ส.ส. มากกว่าคะแนนเสียงประชาชน และสร้างองค์กร อิสระข้ึนมาถ่วงดุลแทน แต่องค์กรอิสระก็ไม่อิสระเพราะถูกแทรกแซงได้ สุดท้ายเม่ือการเมืองเกิดปัญหา ประเทศไทยก็ใช้การแก้ปัญหาด้วยความ เคยชิน แบบเดิมๆ คอื ฉกี รัฐธรรมนูญ ยดึ อำ� นาจ ๑๙ กนั ยายน ๒๕๔๙ และ ร่างใหมร่ ฐั ธรรมนูญ ๒๕๕๐ ก็ยงั ไม่แก้ปัญหา ยังคงบังคบั ให้สงั กัดพรรคตอ่ ไป ถึงแม้จะเอาหลัก free mandate กลบั มา แตเ่ ป็น free mandate ท่ีใช้ ไมไ่ ด้ เพราะยงั บังคบั สงั กัดพรรคอยู่ ผมเรียนวา่ พดู เร่อื งสังกดั พรรค เรามกั จะเข้าใจวา่ ถา้ ไม่บังคับสงั กดั พรรค ส.ส. จะวุ่นวาย เราบังคับสังกัดพรรคมา ๔๒ ปี ปัญหาการซื้อตัว ส.ส.มนั หมดไปไหม ไมห่ มด มันแค่เปลีย่ นจากซอ้ื หลงั จากเป็น ส.ส. มาเปน็ ซ้อื กอ่ น เพอ่ื เอาส.ส. เกา่ มาเขา้ พรรคให้มากที่สุด จากทซ่ี ้ือเป็นครัง้ คราวก็ ซ้ือเป็นวาระไปเลย คือปัญหามันไม่ได้แก้แต่เกิดปัญหาใหม่ คือผู้แทนปวง การร่างรัฐธรรมนูญประชาธปิ ไตยฯ ๐๘๕

ชนไม่ท�ำหน้าที่ผ้แู ทนปวงชนอกี ต่อไป แตท่ �ำหนา้ ทย่ี กมือให้พรรคเท่านัน้ ปี ๒๕๔๐ กไ็ ปแก้ด้วยการมีองคก์ รอสิ ระ ปี ๒๕๕๐ ก็ร่างขึ้นมาใหม่ ไม่ไดแ้ ก้ ปญั หาน้ี สดุ ทา้ ยกไ็ ปคดิ วา่ ทำ� อยา่ งไรองคก์ รอสิ ระจงึ จะอสิ ระ จงึ ไดศ้ าลเขา้ มาสรรหาองค์กรอิสระ ถ้าท่านไปดูฟุตบอลมา แล้วท่านทราบว่าที่เตะใน สนาม มีทีมบอลทีมหน่ึงที่กรรมการผู้เป่าเป็นคนเลือกมาเอง ท่านจะยังคง เช่ือถือการเป่า การตัดสินของกรรมการต่อไปไหม และนั่นคือปัญหาของ รฐั ธรรมนญู ๒๕๕๐ กรรมการของเราคอื ศาลเรมิ่ จะคมุ เกมไมอ่ ยู่ สดุ ทา้ ยเมอื่ คมุ เกมไมอ่ ยกู่ ม็ าถึงทางตัน และด้วยความเคยชินก็เกดิ ยดึ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เรากต็ ้องมาร่างรฐั ธรรมนูญใหมอ่ กี ครั้งหนง่ึ เป็นครง้ั ท่ี ๑๐ และจะ เปน็ ฉบบั ท่ี ๒๐ ถ้าผ่านประชามตมิ าได้ ๓.๒.๓ รัฐธรรมนญู คสช. ผมกล่าวโดยสรุปว่า รัฐธรรมนูญฉบับน้ี ความจริงแล้วประเด็นที่ เก่ยี วขอ้ งกับทผ่ี มพดู ไป เหมอื นรฐั ธรรมนญู ๒๕๕๐ เลย ไมต่ ่างกนั ไมไ่ ดแ้ ก้ ปญั หา แลว้ เขาแกอ้ ยา่ งไร กอ็ อกแบบวา่ เอา ส.ว. เขา้ มาถว่ งดลุ อำ� นาจแทน โดย ส.ว. น้ัน ในบทถาวรก็ใช้ค�ำว่า มาจากการเลือกต้ังทางอ้อม แปลว่า นายกฯ ในระบอบรัฐสภาเลอื กตง้ั ทางอ้อม ประชาชนเลือก ส.ส. และ ส.ส. เลอื กนายกฯ ถ้าท่านอยากให้พรรคไหนเปน็ นายกฯกเ็ ลือก ส.ส. พรรคนัน้ ท่านลองอ่านดูมาตรา ๑๐๗ ของรฐั ธรรมนูญฉบบั นี้ เราจะไม่เห็นว่า ระบบ เลอื กต้ังทางอ้อมนั้น มันเปน็ การเลือกตั้งทางอ้อมอยา่ งไร เขยี นเพยี งแตว่ ่า การเลือกกันเองให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ๐๘๖ ปรดี ีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

การได้มาซ่งึ สมาชกิ วุฒสิ ภา ผมค่อนข้างเหน็ วา่ ถ้าเป็นแบบน้ีมันคอ่ นไปทาง สรรหามากกว่าเลอื กตง้ั ทางอ้อม อันนแ้ี ย่กวา่ รัฐธรรมนญู ๒๔๘๙ และที่หนักกว่านนั้ คอื บทเฉพาะกาล ซึง่ จะมี ส.ว. ๒๕๐ คน คอื ถงึ แม้ว่าจะมีการเลือกกนั เอง ๒๐๐ คน แต่ คสช. จะเลือกเอาเหลือ ๕๐ คน อันนี้ไม่ต่างอะไรกับการยึดอ�ำนาจท่ีผ่านมา ผู้ยึดอ�ำนาจก็สืบทอดอ�ำนาจ ตนเองด้วยการเปน็ คนเลอื ก ส.ว. ไวก้ อ่ นจะมีการเลอื ก ส.ส. ซึ่ง คสช. ก็เดนิ ตามแนวทางที่ผา่ นมา ปัญหาคือ เมอ่ื มนั พว่ งเข้าไปกับคำ� ถามพ่วง มนั กน็ า่ เปน็ หว่ งอยู่มาก ค�ำถามพว่ งคอื จะท�ำใหว้ ุฒิสภา ซึ่ง คสช. เป็นคนเลอื ก จะร่วมเลือกนายก รัฐมนตรดี ้วยได้ ส.ส. มี ๕๐๐ คน ส.ว. มี ๒๕๐ คน บวกกันเปน็ ๗๕๐ คน ต้องไดเ้ สยี งอยา่ งน้อยมากกว่าก่งึ หน่ึง ภายใต้ระบบเลอื กตง้ั จดั สรรปนั สว่ น ผสม พูดโดยสรุป จะไม่มีพรรคการเมอื งไหนได้ ส.ส. เกินครง่ึ คือไมม่ ใี ครถงึ ๒๕๐ คน ดงั น้ันพรรคการเมอื งใหญ่สุดในการเลอื ก ส.ส. คอื พรรค ส.ว. พูด ใหแ้ รงขน้ึ หนอ่ ยกค็ อื พรรค คสช. ถามว่ามนั ดีไหม นายกฯกบ็ อกว่าขอเวลา ๕ ปี ชว่ งระยะเวลาเปลี่ยน ผา่ น ผมวา่ ในชว่ งเวลานี้ คสช. เองกค็ งอยากใหร้ ฐั ธรรมนญู ฉบบั นผ้ี า่ น เพราะ จะทำ� ใหค้ นเลอื กมากขน้ึ เพราะถ้าบอกวา่ ไมผ่ ่านจะเกดิ อะไรขึน้ คนอาจจะ เลือกในทางไมร่ ับมากข้นึ ได้ นเ่ี ปน็ เจตนา คอื ผมสรุปว่า คสช. อยากใหผ้ า่ น รวมถงึ ท้ัง คสช. กไ็ มอ่ ยากให้เกิดการวพิ ากษว์ จิ ารณ์ การแสดงออก กกต. ก็ ตอบมาไมค่ อ่ ยชดั เจนนกั แลว้ ปญั หากค็ อื อำ� นาจมนั เปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งหนง่ึ ดังนน้ั คสช. ไดป้ ระโยชน์จากการต้งั ส.ว. ทตี่ วั เองเลือก ร่วมกับ ส.ส. ในการ การรา่ งรฐั ธรรมนญู ประชาธปิ ไตยฯ ๐๘๗

เลอื กนายกและตดิ ตามการทำ� งาน ซงึ่ ครม. หลงั เลอื กตง้ั กม็ หี นา้ ทมี่ ารายงาน ต่อรัฐสภาทุกๆ ๓ เดือน ว่าได้ท�ำตามแผนปฏิรูปประเทศอย่างไรบ้าง คือ ตอนนี้ คสช. กลายเปน็ ผ้มู สี ว่ นได้เสยี ไปแล้ว ซง่ึ ไมใ่ ชเ่ ร่ืองดีเลย คสช. มาจ�ำกัดเสรีภาพในการแสดงออกในการมาพูดว่าไม่เห็นด้วย อยา่ งไรกบั รฐั ธรรมนญู กจ็ ะกลายเปน็ คสช. ทำ� เชน่ นนั้ เพราะตวั เองตอ้ งการ ให้รัฐธรรมนญู ผ่านซ่ึงตัวเองก็จะไดอ้ ำ� นาจ ไมด่ ีนะครับ ผมคดิ ว่าข้างหนา้ นี้ ไมใ่ ช่เรื่องดีเลย สถานการณน์ ่าเปน็ ห่วง สถานการณ์มันจะเลวรา้ ยไปได้อกี วิธีการดีท่สี ดุ คสช. ใหป้ ลดระเบิดเวลา ๗ สงิ หาคมนอ้ี อกมาจากตวั เองเสีย วธิ กี ารปลดทผี่ มเสนอแนะกค็ อื ถา้ คสช. จะประกาศแบบนี้ คสช. จะยอมรบั มตขิ องประชาชน ไม่ว่าประชาชนจะรับหรอื ไม่รบั ให้เปน็ การตัดสินใจของ ประชาชน แลว้ ใหท้ ง้ั ฝ่ายรับกับไมร่ บั กพ็ ดู ไดต้ ามสมควร แสดงออกได้ตาม สมควร คสช. กเ็ ปน็ คนคุมเกมไปโดยประกาศด้วยว่าถา้ ไมผ่ ่านจะเกิดอะไร ขน้ึ ถ้าผ่านกน็ �ำทูลเกลา้ ฯขนึ้ ประกาศใช้ ถา้ ไม่ผ่านกท็ �ำตามที่ประกาศไวว้ า่ ไมผ่ า่ นจะทำ� อยา่ งไรตอ่ ไป ระเบดิ จะถกู ปลดออกไปจากตวั ทนั ที เพราะตอน นท้ี ีม่ นั พนั พวั กนั อยู่ ท่เี กิดปัญหาขึ้นขึ้นมาก เพราะ คสช. เป็นผ้มู ีส่วนไดเ้ สยี จากการผ่านหรือไม่ผ่านรัฐธรรมนูญ แล้วตัวเองก็ถล�ำตัวไปเป็นผู้มีส่วนได้ เสียตรงนีเ้ สยี แลว้ ผมขอเสนอว่า คสช. ถอยออกมาจากการเปน็ ผู้มสี ่วนได้ เสยี แลว้ ใหป้ ระชาชนตดั สิ ประชาชนตดั สนิ อยา่ งไรกเ็ ปน็ ไปตามนนั้ คอื เรอ่ื ง การปกครองตนเองของประชาชน สดุ ท้ายผมอยากจะอา่ นหนา้ หลังสดุ ของ ปรดี ีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๕๙ คอื ๐๘๘ ปรดี บี รรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

“ขา้ พเจา้ ไมป่ ระสงคท์ จี่ ะใหม้ รี ะบอบเผดจ็ การในประเทศไทย ในการ นกี้ จ็ ำ� เปน็ ตอ้ งปอ้ งกนั หรอื ขดั ขวางไมใ่ หม้ อี นาธปิ ไตยอนั เปน็ ทางทเ่ี ผดจ็ การ จะอา้ งได้ ขา้ พเจา้ เชอื่ วา่ ถา้ เราชว่ ยกบั ประคบั ประคองใหร้ ะบอบประชาธปิ ไตย น้ีให้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อยตามท่ีข้าพเจ้ากล่าวมาแล้ว ระบอบ เผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้” อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กล่าวข้อความน้ีในสภา ผูแ้ ทนราษฎร เม่ือวนั ท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๔๘๙ มาแล้ว ผมเรียนว่า ถ้าเราว่ากันตามกฎตามกติกา ตามสมควร คือกติกา ละเมิดได้แต่ต้องยอมรับผลของกติกา ผมคิดว่าเราจะไม่มาไกลถึงข้ันนี้ ดัง นน้ั การทปี่ ระชาธปิ ไตยประสบความสำ� เรจ็ นน้ั มนั จะอาศยั เพยี งรฐั ธรรมนญู ไม่ได้ เราตอ้ งไม่สรา้ งความชอบธรรมให้กับระบอบอื่นดว้ ย นคี่ อื สง่ิ ที่ผมคิด วา่ โจทย์ของมันคือว่า กลบั สปู่ ระชาธปิ ไตยอีกครง้ั หน่ึงเรากต็ ้องไมล่ ้มเหลว อกี โจทยข์ องผรู้ า่ งรฐั ธรรมนญู เปน็ อกี โจทยห์ นง่ึ คอื ประชาธปิ ไตยมนั เหมาะ กับประเทศไทยไหม ดงั น้นั จงึ มี ส.ว. ที่ คสช. เลือก ขอเวลา ๕ ปี ช่วงระยะ เปลยี่ นผา่ น เราจำ� เปน็ ตอ้ งแสดงออกดว้ ยนะครบั วา่ เราขดั แยง้ กนั ได้ เราเหน็ ตา่ งกนั ได้ เรามสี เี สอ้ื ทไ่ี มเ่ หมอื นกนั ได้ เราเลอื กพรรคการเมอื งตา่ งกนั ได้ แต่ จากนไ้ี ปเราตอ้ งไมท่ ำ� เหมอื นทผี่ า่ นมาอกี พรรคการเมอื ง ๒ พรรคตอ้ งไมท่ ำ� อยา่ งทผ่ี า่ นมา ตอ้ งใชส้ ภาเปน็ ทแี่ กป้ ญั หาใหไ้ ด้ จะชมุ นมุ อะไรกแ็ ลว้ แตต่ อ้ ง ไม่ท�ำเลยเถิดถึงขนาดนั้น เร่ืองนี้ต้องท�ำไปด้วยกัน มิฉะนั้นแล้ว ภาพท่ีคน เห็นคือ ก็เป็นแบบเดิมอกี เหมือนทีผ่ า่ นๆ มา วธิ กี ารท่ีจะปลดล็อคกค็ อื (๑) คสช. ปลดระเบดิ ตวั เอง (๒) ประชาชนกต็ อ้ งแสดงใหเ้ หน็ ดว้ ยวา่ เราเหน็ ตา่ ง กันได้ เราคิดเห็นไม่เหมือนกันได้แต่เราจะปกครองตัวเองได้ตามระบอบ การรา่ งรัฐธรรมนูญประชาธปิ ไตยฯ ๐๘๙

ประชาธปิ ไตย และจะทำ� ให้ คสช. ไมม่ คี วามชอบธรรมทจ่ี ะอยใู่ ชอ้ ำ� นาจแบบ น้ี สุดท้ายประโยชน์ของการได้มาคุยกันคือ การเรียนรู้ และระบอบการ ปกครองที่เริม่ ตน้ ข้นึ เม่ือวนั ท่ี ๒๗ มถิ นุ ายน ๒๔๗๕ คอื ประชาเปน็ เจ้าของ อำ� นาจระบอบประชาธิปไตย เป็นอำ� นาจสงู สุดของประเทศ เราเห็นตา่ งกัน ได้ เราจะแก้รัฐธรรมนญู เราจะออกแบบรฐั ธรรมนญู ยังไงก็แล้วแต่ แตต่ อ้ ง เป็นรัฐธรรมนูญตามวิถีทางของระบอบการปกครองที่ประชาเป็นเจ้าของ อำ� นาจธิปไตย ซ่ึงเริม่ ตน้ ตง้ั แต่วันที่ ๒๗ มิถนุ ายน ๒๔๗๕ จากรฐั ธรรมนญู ทอี่ าจารย์ปรีดี พนมยงค์ได้รา่ งไว้ ๐๙๐ ปรีดีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

“ ระบอบประชาธิปไตยจะม่ันคงอยู่ได้ ต้องประกอบดว้ ยกฎหมาย ศลี ธรรม และความซ่อื สัตยส์ ุจรติ หรือในบางครง้ั ในโบราณกาลเรยี กว่า การปกครองโดยสามัคคธี รรม การใช้สทิ ธิโดยไมม่ ีขอบเขตภายใต้กฎหมาย หรือศลี ธรรม หรอื ใชส้ ทิ ธิโดยไม่สุจรติ ไมใ่ ชห่ ลกั ของประชาธปิ ไตย ไม่ใชห่ ลกั ซ่ึงคณะราษฎรขอพระราชทานรัฐธรรมนญู ” (จาก สุนทรพจนข์ องนายปรีดี พนมยงค์ นายกรฐั มนตรี ในโอกาสปดิ สมัยประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๙) การร่างรฐั ธรรมนูญประชาธปิ ไตยฯ ๐๙๑

มอง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” และ “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ในปัจจุบัน ๑ ผศ.ดร.อิสริยา นติ ิทณั ฑ์ประภาศ บญุ ญะศิริ ๒ ๑ สรุปจากจากการอภิปรายในงานเสวนาวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ ๘๔ ปี อภิวัฒน์ประชาธิปไตยสยาม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เม่ือ วนั ที่ ๒๔ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙. ๒ อาจารย์ประจ�ำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

บทความน้ีจะแบ่งเป็น ๔ หัวข้อหลัก เริ่มจาก (๑) การแนะน�ำ “เค้าโครงการเศรษฐกจิ ” แผนแมบ่ ทการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม ฉบับแรกของประเทศไทย ที่เสนอแนวคิดรัฐสวัสดิการ ของหลวง ประดษิ ฐม์ นธู รรม (ปรดี ี พนมยงค)์ รฐั บรุ ษุ อาวโุ ส ผวู้ างแผนเศรษฐกจิ ไทยคนแรก หลงั จากนน้ั (๒) จะกลา่ วถึง “คณุ ภาพแหง่ ชีวติ ปฏิทนิ แห่งความหวัง : จากครรภม์ ารดาถงึ เชิงตะกอน” ของอาจารยป์ ๋วย อ๊ึงภากรณ์ ตามด้วย (๓) การมอง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” และ “จากครรภ์มารดาฯ” ในประเด็นที่เป็นประโยชน์และสามารถ ประยุกต์ใช้กับบริบทปัจจุบัน ในส่วนสุดท้าย (๔) จะเป็นการสรุป แนวคิดของอาจารย์ปรีดีและอาจารย์ป๋วย ท่ีส�ำคัญในการน�ำไปสู่ ความสุขสมบูรณข์ องราษฎรและสันตปิ ระชาธรรม มอง “เค้าโครงการเศรษฐกิจ”ฯ ๐๙๓

๑. รู้จกั “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” แนวคดิ เรอื่ งรฐั สวสั ดกิ าร ทม่ี กี ารอภปิ รายในประเทศไทย สว่ นใหญจ่ ะเรมิ่ ตน้ จากการอธบิ ายเนอื้ หาในบทความ คณุ ภาพแหง่ ชวี ติ ปฏทิ นิ แหง่ ความหวงั จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ของอาจารย์ป๋วย โดยไม่ได้มีการกล่าวถึง เคา้ โครงการเศรษฐกจิ ทอี่ าจารยป์ รดี ี เสนอในปี ๒๔๗๖ ซง่ึ ถอื เปน็ แผนแมบ่ ท การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกของประเทศไทยท่ีเสนอแนวคิดรัฐ สวสั ดกิ าร การจะทำ� ความเขา้ ใจเคา้ โครงการเศรษฐกจิ ไดอ้ ยา่ งถอ่ งแท้ จำ� เปน็ ตอ้ งเขา้ ใจบรบิ ทของโลกและของไทยในชว่ งกอ่ นปี ๒๔๗๖ บริบทของโลกในชว่ งปี ค.ศ.๑๙๒๙-๑๙๓๒ (พ.ศ.๒๔๗๒-๒๔๗๕) เศรษฐกิจตกตำ่� ทัว่ โลก เศรษฐกจิ ระบบเสรนี ิยมในอังกฤษเรมิ่ มีปญั หา มคี น ว่างงานจ�ำนวนมาก ท�ำให้เร่ิมมีแนวคิดที่รัฐต้องเข้ามาวางแผนเศรษฐกิจ แทนท่ีจะปล่อยให้เป็นไปตามระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมซ่ึงเป็นกระแส หลักของโลก เช่นในกลุ่มสังคมนิยม (สหภาพโซเวียต) และกลุ่มฟาร์ซิสต์ (อติ าลี เยอรมนั ญปี่ ุน่ ) ที่เสนอใหร้ ัฐเข้ามาจดั การเศรษฐกจิ และในสมัยนน้ั ภาพของการท่ีรัฐจัดการเศรษฐกิจถูกมองเป็นภาพบวก ยังไม่มีใครเห็น ผลเสียของการที่รัฐเข้ามาจัดการดังน้ัน ในสมัยน้ันประเทศทั้งหลายต่าง ด�ำเนินนโยบายชาตินิยม พยายามพ่ึงตนเองทางเศรษฐกิจและคุ้มครอง การค้า เชน่ การต้ังก�ำแพงภาษี ๐๙๔ ปรีดีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐

ในช่วงท่ีท่านอาจารย์ปรีดีศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในปี ๒๔๖๓- ๒๔๖๙ ไดร้ บั อิทธพิ ลของนกั เศรษฐศาสตรช์ าวฝร่ังเศส “ชาร์ลส์ จดี๊ ” ที่ อธิบายแนวคิดภราดรภาพนิยมหรือลัทธิโซลิดาริสม์ (Solidarism) “มนุษยชาติต้องพ่ึงพาอาศัยกันต้ังแต่เกิดจนตาย ดังนั้นจึงจะต้องช่วย เหลอื ซง่ึ กนั และกนั โดยใหท้ กุ คนมสี ว่ นรว่ มในความลำ� บากของผอู้ นื่ ดว้ ย ซ่ึงการนีเ้ ปน็ มูลฐานแหง่ ความยตุ ธิ รรมของสังคม อยา่ งไรกต็ าม โซลิดารสิ ม์ แตกตา่ งไปจากลทั ธิสังคมนิยม คอื มกี ารเคารพในกรรมสิทธิ์ของบุคคลและ ยอมรับให้มีมรดกตกทอดได้ ตลอดจนให้ความอิสรเสรีต่อบุคคลในการใช้ จา่ ย นอกจากนี้ลัทธโิ ซลดิ ารสิ ม์ยงั ยอมรับความไม่เสมอภาคในสังคม ให้คน ที่อ่อนแอและแข็งแรงรับผิดชอบการด�ำเนินชีวิตร่วมกันโดยความสมัครใจ ภายใต้ระบบประกนั สังคม เพื่อความมัน่ คงแห่งสังคม”๓ ซง่ึ จะเหน็ แนวคดิ เหล่าน้ีในเค้าโครงการเศรษฐกจิ สำ� หรบั บรบิ ทของไทยในชว่ งกอ่ นปี ๒๔๗๖ อาชพี หลกั ของคนไทย คือชาวนา (คิดเป็นร้อยละ๘๐ ของประชากรท้ังประเทศ) รองลงมาคือ ขา้ ราชการ สนิ ค้าส่งออกทสี่ ำ� คัญได้แก่ ข้าว (คดิ เปน็ ร้อยละ ๖๐-๗๐) ดีบกุ ยางพารา และไมส้ กั การคา้ อยใู่ นมอื ของตา่ งชาติ โดยเฉพาะพอ่ คา้ ชาวจนี ชาวนาในช่วงน้ันมคี วามเป็นอยลู่ ำ� บาก จากการคา้ ขา้ วผ่านคนกลาง โอกาส การเปน็ เจา้ ของทด่ี นิ มนี อ้ ย ชาวนายงั เขา้ ไมถ่ งึ เทคโนโลยใี นการผลติ เสยี คา่ ๓ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, “มโนทศั นท์ างเศรษฐกจิ ของหลวงประดษิ ฐ์มนูธรรม (ปรดี ี พนมยงค)์ กบั เศรษฐศาสตร์ของชาร์ลส์ จี๊ด” ใน ศลิ ปวฒั นธรรม ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๘ (มิ.ย. ๔๖), น. ๑๔๑. มอง “เค้าโครงการเศรษฐกจิ ”ฯ ๐๙๕

เชา่ นา ถกู เกบ็ ภาษโี ค กระบอื และภาษรี ัชชปู การที่ไม่เปน็ ธรรม๔ รวมทงั้ มี ปัญหาชลประทาน ฝนแล้งและน�้ำท่วม ในช่วงน้นั รฐั ใหบ้ ริษทั เอกชนคือ บรษิ ัทขุดคลอง แลคูนาสยาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขุนนางร่วมทุนกับต่างชาติได้สัมปทาน และขุดคลองไม่มีประสิทธิภาพจากการที่การท�ำนายังคงต้องอาศัยน้�ำฝน นอกจากนบี้ รษิ ทั ยงั ไดส้ มั ปทานขยายทด่ี นิ สองฝง่ั คลอง ทำ� ใหร้ าคาทด่ี นิ เพมิ่ สูงขน้ึ โอกาสทช่ี าวนาจะเป็นเจา้ ของท่ดี นิ ยงิ่ นอ้ ยเขา้ ไปอกี ๕ จะเห็นได้ว่าบริบทในช่วงน้ัน ราษฎรอ่อนแอจากการที่ประชาชนมี ความเปน็ อยู่ลำ� บากแรน้ แคน้ ขาดทีด่ นิ เงินทนุ เทคโนโลยี ประกอบกับ การคา้ ตกอยู่ในมอื ต่างชาติ แนวทางเดยี วท่จี ะบำ� รงุ ความสขุ สมบูรณใ์ ห้ ราษฎรคอื รฐั บาลจะต้องจดั การเศรษฐกิจเสียเอง อาจารย์ปรดี จี ึงได้เสนอ เคา้ โครงการเศรษฐกจิ ในปี ๒๔๗๖ ใหร้ ฐั บาลเปน็ ผจู้ ดั การเศรษฐกจิ ทอ่ี าศยั หลักวชิ า แผน และโครงการ โดยแบง่ การเศรษฐกิจออกเปน็ สหกรณต์ า่ งๆ เพ่ือให้ราษฎรมีความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจตามหลักเอกราชทาง ๔ ในสมยั ทอ่ี าจารยป์ รดี ี เปน็ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงการคลงั ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ไดป้ ฏริ ปู ระบบ ภาษอี ากรใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมทางสงั คม (Social Justice) โดยจดั ทำ� ประมวลรษั ฎากรขนึ้ เปน็ ครง้ั แรกในประเทศไทย ยกเลกิ เงนิ รชั ชปู การ หรอื เงนิ ชว่ ยเหลอื ราชการตามทกี่ ำ� หนดเรยี กเกบ็ จากราษฎรท่ีไม่ได้รับราชการทหาร ซึ่งคนมีเงินหรือคนจนที่ไม่มีรายได้เสียรัชชูปการเท่ากัน และยกเลกิ ภาษสี มพัดสรและอากรเชา่ นา ซึ่งผเู้ สียภาษีเป็นผูย้ ากจน ๕ ดรู ายละเอยี ดได้ใน ฉัตรทพิ ย์ นาถสภุ า และสมภพ มานะรังสรรค.์ ประวตั ิศาสตรเ์ ศรษฐกิจ ไทยจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๔ (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนธิ ิโครงการ ตาํ ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๗) และ James C. Ingram. Economic Change in Thailand, 1850-1970 (Stanford University Press, 1971). ๐๙๖ ปรดี ีบรรณานุสรณ์ ๒๕๖๐

เศรษฐกิจซง่ึ เป็น ๑ ในหลกั ๖ ประการ ซึ่งเขียนไว้ใน “หมวดท่ี ๑ ประกาศ ของคณะราษฎร” ของ เค้าโครงการเศรษฐกิจ “จะต้องบ�ำรุงความสุข สมบรู ณข์ องราษฎรในทางเศรษฐกจิ โดยรฐั บาลใหมจ่ ะหางานใหร้ าษฎรทกุ คนทำ� จะวางโครงการเศรษฐกจิ แหง่ ชาติ ไมป่ ลอ่ ยใหร้ าษฎรอดอยาก” การ เสนอ เคา้ โครงการเศรษฐกจิ เปน็ การนำ� แนวคดิ ทด่ี ขี องลทั ธเิ ศรษฐกจิ ตา่ งๆ ทง้ั เสรนี ยิ ม และสงั คมนิยมเขา้ มาปรับปรุงมาเปน็ เค้าโครงทางเศรษฐกจิ สาระส�ำคัญหลักของ เค้าโครงการเศรษฐกิจ สรุปได้ดังภาคผนวก ซึ่งเม่อื พจิ ารณาตามเปา้ หมายในการพฒั นาเศรษฐกิจ จะเหน็ ได้วา่ แนวคิด ทอี่ าจารยป์ รดี ี นำ� เสนอสอดคลอ้ งกบั เปา้ หมายในการพฒั นาเศรษฐกจิ ทง้ั ๓ ด้าน ได้แก่ ความม่ันคงและเสถียรภาพ ความเท่าเทียม และ ประสทิ ธิภาพทางเศรษฐกิจ อาจารย์ปรีดีให้ความส�ำคัญกับการสร้างความม่ันคงและเสถียร- ภาพทางเศรษฐกจิ โดยเสนอใหร้ ฐั บาลประกนั ความสขุ สมบรู ณข์ องราษฎร ต้ังแต่เกิดจนสิ้นชีพ เน่ืองจากเหลือวิสัยท่ีเอกชนจะท�ำได้หรือหากท�ำได้ ราษฎรจะตอ้ งเสียค่าประกันแพงจงึ จะคมุ้ มีการก�ำหนดฐานเงินเดอื นขัน้ ตำ�่ ท่ีเพียงพอต่อการด�ำรงชีพและได้บ�ำนาญตลอดชีวิต การให้รัฐจัดการ เศรษฐกจิ ใหม้ กี ารใชเ้ ครอื่ งจกั รเพอื่ ไมใ่ หเ้ กดิ การวา่ งงาน เนอ่ื งจากรฐั สามารถ จัดหาคนไปท�ำงานอย่างอื่นได้ มีการสร้างเสถียรภาพการคลังและการเงิน โดยจดั ใหร้ ายจา่ ยและรายไดเ้ ขา้ สดู่ ลุ ยภาพ การจดั ใหม้ ธี นาคารแหง่ ชาติ รวม ท้ังจัดการกสิกรรมและอุตสาหกรรมทุกอย่างให้มีขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยต่าง ประเทศ เพ่ือป้องกันอนั ตรายจากการปดิ ประตทู างการคา้ และใหป้ ระเทศ มีเอกราชในทางเศรษฐกิจ มอง “เคา้ โครงการเศรษฐกิจ”ฯ ๐๙๗

อาจารย์ปรีดี ยังค�ำนงึ ถึงประสิทธภิ าพทางเศรษฐกจิ ควบคู่ไปด้วย โดยเสนอให้ราษฎรวัยแรงงานเปน็ ข้าราชการเพ่ือใหแ้ รงงานใช้ประโยชน์ได้ ตลอดปี การใหเ้ งนิ เดือนแตกตา่ งกันตามคณุ วฒุ ิ ความสามารถ และยกเวน้ ให้บางคนไม่ต้องรับราชการเมื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถเล้ียงตนเองและ ครอบครวั ได้ การใหร้ ฐั จดั การเศรษฐกจิ เนอื่ งจากการรวมกนั ทำ� จะประหยดั ต้นทุนมากกว่า การปล่อยให้เอกชนต่างคนต่างท�ำจะใช้แรงงานส้ินเปลือง กวา่ รวมกนั ทำ� การรวมทดี่ นิ ใหผ้ ลดที างวทิ ยาศาสตร์ การใหร้ ฐั ซอ้ื ทด่ี นิ กลบั คนื เพอื่ วางแผนการใชท้ ด่ี นิ เครอื่ งจกั รกล การทำ� คนู ำ้� ทำ� ไดง้ า่ ยและประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยไดม้ าก การใหค้ วามสำ� คญั กบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยใี นการนำ� เครื่องจกั รมาใชจ้ ะช่วยเพ่ิมผลิตภาพแรงงาน และการรับรองกรรมสิทธข์ิ อง เอกชน กรรมสิทธแิ์ ห่งการคดิ ประดษิ ฐค์ ิดค้น และที่ส�ำคัญอย่างย่ิง สาระส�ำคัญของ เค้าโครงการเศรษฐกิจ เป็นการสร้างความเป็นธรรม เน่ืองจากราษฎรไม่มีทุนและที่ดินเพียงพอ ขาดเครอ่ื งจกั รกล การใหร้ ฐั เปน็ ผวู้ างแผนเศรษฐกจิ และแบง่ การประกอบ การเศรษฐกิจเป็นสหกรณ์ ท�ำให้ประชาชนได้เข้าถึงท่ีดิน ทุน และ เทคโนโลยที ท่ี นั สมยั และเตรยี มพรอ้ มใหม้ กี ารปกครองในรปู แบบเทศบาล นอกจากนอี้ าจารยป์ รดี ไี ดเ้ สนอวธิ กี ารหาเงนิ ทนุ รฐั บาลดว้ ยการเกบ็ ภาษี มรดก ภาษที างอ้อม เพื่อไมใ่ หร้ าษฎรเดือดรอ้ นมาก อาจารย์ปรีดียังได้เสนอแนวทางการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศแบบก้าวหน้าท่ีต้องอาศัยความรู้ความเช่ียวชาญ ในการค�ำนวณ ความตอ้ งการของราษฎรในเรอ่ื งปจั จยั แหง่ การดำ� รงชวี ติ และประมาณการ ปจั จัยที่ดิน แรงงาน เครื่องจักรกล และทุนท่ตี ้องใช้ กำ� หนดประมาณการวา่ ๐๙๘ ปรดี ีบรรณานสุ รณ์ ๒๕๖๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook