การเคล่อื นท่ีแนวตรง นิยาม มีนยิ ามของปรมิ าณทเ่ี กิดจากการเคล่อื นที่ ดงั นี้ s เวลา t ∆s เวลา t2 vv เรเิ่มวตลนา t = 0 vs สดุ ทา ย ∆vs va เวลา t1 ระยะทาง s rs = ความยาวเสนทางการเคลือ่ นท่ี การกระจัด = เวกเตอรจ ากจดุ เรม่ิ ตน ถงึ จุดสุดทาย อตั ราเรว็ v = ระยะทางทีเ่ คลื่อนทีไ่ ดในหน่ึงหนวยเวลา vเฉลยี่ = ∆∆st vขณะใดๆ = v = ∆∆st เมอ่ื ∆t → 0 = ddSt ความเรว็ rv = การกระจัดท่ีเคลอื่ นที่ไดในหนึ่งหนวยเวลา rvเฉลยี่ = ∆∆rst ∆∆rst เมื่อ ∆t → 0 = ddrst rvขณะใดๆ = rv = โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (101)
ความเร็ว ra = ความเร็วที่เปลีย่ นไปหนึ่งหนวยเวลา raเฉลี่ย = ra∆∆rvt= ∆∆rvt เมือ่ ∆t → 0 = ddrvt raขณะใดๆ = ขอ สังเกต 1. ความเรว็ เฉลีย่ มที ิศเดียวกับการกระจัดเสมอ 2. ความเร็วขณะใดๆ มีทศิ สัมผัสกับเสนทางการเคลอื่ นท่ีเสมอ 3. ทขี่ ณะใดๆ อตั ราเร็ว = ขนาดของเความเร็ว 4. ความเรง เฉล่ยี มีทศิ เดยี วกบั ความเรว็ ท่เี ปล่ียนไป ( ∆rv ) 5. ถา เคลื่อนทแี่ นวโคง ความเรง มีทิศเขา สดู า นในโคง 6. วตั ถอุ าจเกิดความเรงจากการเปลีย่ นขนาด และ/หรอื ทศิ ทางของความเรว็ กราฟการเคลื่อนทแ่ี นวตรง rs , rv และ ra และ สามารถกใาชรกเรคาลฟ่ือนrsที่แ-นวt,ตรrvงจ-ะใtชเแคลระ่ืองraหม-ายtบหวากคาแตลา ะงลๆบดแงั นสี้ดงทิศทางตรงขา มกันของ vs ความคมชนั =vv vv ความชนั =va va t พื้นที่ = พืน้ ที่ = ∆vv vs t t ขอสังเกต 1. เคร่อื งหมายบวกและลบของความชนั และพ้นื ที่แสดงทศิ ทางของเวกเตอรท ี่มีทิศตรงขา มกัน 2. เราสามารถเปล่ียนกราฟโดยอาศัยการเปลยี่ นแปลงของความชัน วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (102) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
สra ตู =รคกวเมาาือ่มใเรหรงเคดruงั ลร=ปู อื่ คนวาทมเแ่ี ร็วนตนวต(ทรเ่ี วงลาดtว =ยค0, วrvาม= เครว็วามคเรง็วปทลาี่ ย (ทเ่ี วลา t), rs = การกระจดั และ vvaa t = o vu (เรง) t vv (หนวง) vS เมอื่ ra คงที่ จะได s = u 2+ v t v = u + at s = ut + 12 at2 s = vt - 12 at2 v2 = u2 + 2as การกาํ หนดเครอ่ื งหมาย เถถพาาื่อคrrssา,,มสrrvvะ,,ดวrraaกใมมหีีทททศิิศิศตเขดรอยี งงวขกาruับมกเrบัuปน แruบทวนแกคทเสานมเคปอาน เปบนวกลบ 1. 2. 3. 4. ความเรง (เร็วข้นึ ) แทนคา เปนบวก 5. ความหนว ง (ชาลง) แทนคาเปน ลบ ขอสังเกต 1. กกกsรรรใาาานฟฟฟสูตrrravsรเป---น tttกาเเเปปปรกนนนรเเกสสะรจนน าัดตตฟไรรพมงงาใขชรนาราโะบนยลกะาบัทหาแงงกานตยอtหงรวือัดคตวราํ่งจากจดุ เรมิ่ ตน ถงึ จุดสดุ ทาย 2. 3. s = u 2+ v t = vเฉล่ยี t นน่ั คือ vเฉล่ยี = u +2 v โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส ิกส (103)
การตกอยา งอสิ ระแนวด่งิ จะมคี วามเรงคงท่ี ra = rg เสมอ โดย rg วัตถใุ ดๆ ที่เคลือ่ นทข่ี ึน้ หรือลงอยา งอสิ ระในแนวดิ่งใกลผิวโลก มีขนาด 9.8 m/s2 หรอื ประมาณ 10 m/s2 ทิศลงสศู ูนยก ลางโลก vv vg (เรง) vg (หนว ง) vv วัตถุตก (เรว็ ขึ้น) วัตถขุ นึ้ (ชาลง) กสาตู รรเคล(ื่อเปนทลี่ยีอ่ ยนา งraอิสเรปะนหrgมา)ยถงึ มีแรงโนม ถวงหรือนํ้าหนักกระทาํ เพยี งแรงเดยี ว ไมค ิดแรงตานของอากาศ s = u +2 v t v = u + gt s = ut + 12 gt2 s = vt - 21 gt2 v2 = u2 + 2gs ขอสังเกต rg ไมขนึ้ กับมวลของวตั ถุ 1. ความเรง 2. มวลตา งกัน ตกถึงพ้ืนพรอมกนั (จากความสูงเดียวกนั ) 3. เทมจ่ี ่อื ดุ โสยงูนสวุดตั ถrvุขึน้ =พบ0วแา ตเ วraลาข=าขrg้นึ = เวลาขาลง 4. 5. ระดบั เดยี วกนั อัตราเรว็ ขาข้ึน = อตั ราเรว็ ขาลง 6. ถา โยนขึ้นจากพื้นดว ยอตั ราเรว็ u จะตกถงึ พนื้ ดวยอตั ราเร็ว v = u 7. การปลอ ยจากหยดุ นงิ่ แสดงวา u = 0 แตการปลอ ยจากบอลลูน แสดงวา u = ความเรว็ บอลลูน 8. กรณโี ยนวัตถุข้นึ จากพนื้ ดวยอัตราเร็วตน u พบวา tขึน้ = ug = tลง ระยะสงู สดุ H = u2g2 9. กรณโี ยนวตั ถุขึน้ แลวตกต่าํ กวา จุดเรม่ิ ตนตองใชก ารกระจัดเปนลบ 10. แตละสตู รมี 4 ปรมิ าณ จงึ ตอ งรขู อ มลู 3 ปรมิ าณ เพอ่ื หาอกี 1 ปริมาณ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (104) ________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010
กฎการเคลือ่ นทีข่ องนิวตัน มวล (m) หมายถงึ ปรมิ าณท่แี สดงการตอตา นการเปล่ียนสภาพการเคล่ือนที่ (เปล่ยี นความเรว็ หรอื เกดิ ความเรง) แรง ( rF ) Wrหม)าหยมถางึ ยปถรงึ ิมแาณรงทท่ที โี่ ลําใกหดว งึ ัตดถดู เุ วกัติดถคุ วโาดมยเทร่ีง Wr = mrg น้าํ หนัก ( แรงโนมถวง หมายถึง แรงดงึ ดูดระหวา งมวล โดยท่ี F= Gm1m2 r2 G = 6.67 × 10-11 N.m2/kg2 แรง vF ทาํ ใหเกิดความเรง rg โดยท่ี g= GM = GM เมอื่ r =R (ท่ีผวิ โลก) r2 R2 Nr( rf) แรงแนวฉาก ( หมายถงึ แรงกดกันระหวา งผวิ สมั ผสั ซึ่งมที ศิ ตัง้ ฉากกับผวิ สมั ผัสเสมอ แรงเสยี ดทาน ) หมายถงึ แรงตา นการเคลือ่ นที่ของวตั ถุ เกดิ ที่ผวิ สัมผสั มีทิศตรงขามกับการเคล่ือนท่ี หรอื ความพยายามท่ีจะเคลื่อนที่ของวัตถุ แบงเปน สองชนิด คอื แรงเสยี ดทานสถิต fs ≤ µsN (ไมไถล) fs.max = µsN (เร่ิมไถล) แรงเสยี ดทานจลน fk = µkN (ไถล) แรงตงึ เชือก ( rT ) หมายถึง แรงที่เกิดขนึ้ ในเสน เชอื กทมี่ คี วามตงึ ทปี่ ลายเชือก rT จะดงึ วัตถทุ ผ่ี ูกไวเสมอ เชือกเบาเสน เดยี วกันความตงึ เทากันตลอดเสน ถา เชือกมมี วลตอ งคิดเปน มวลกอนหนึ่ง กฎของนิวตัน เปนกฎท่ีแสดงความสมั พนั ธระหวางแรง มวล และสภาพการเคล่อื นทข่ี องวัตถุ กฎขอ 1 เมื่อแรงลพั ธทกี่ ระทําตอ วัตถุเปน ศนู ย วัตถจุ ะหยดุ นิ่งหรือมีความเร็วคงท่ี (ความเรง เปน ศูนย) กฎขอ 2 เม่ือมแี รงลัพธก ระทําไมเ ปน ศูนย วตั ถจุ ะเกดิ ความเรง ในทศิ ทางเดียวกบั แรงลัพธ โดยท่ี ΣrF = mra กฎขอ 3 ทุกแรงกริ ยิ าตอ งมีแรงปฏิกริ ยิ าทม่ี ีขนาดเทา กัน แตทศิ ตรงขา ม rFAB (action) = - rFBA (reaction) โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (105)
หลกั การประยกุ ตกฎของนวิ ตัน เราสามารถใชกฎของนิวตันขอ ที่สองเพอ่ื แกปญหาโจทยโดยใชข น้ั ตอนตอไปน้ี ขัน้ ตอนที่ 1 ใสเ วกเตอรแ รงกระทาํ บนวัตถทุ เี่ ราสนใจใหครบและทศิ ทางถกู ตอง ขนั้ ตอนที่ 2 แตกแรงตางๆ เขาสูแนวความเรง และแนวตงั้ ฉากกบั ความเรง โดยในกรณเี คล่อื นทเ่ี ปน เสน ตรงขแั้นนตวอคนวทา่ีม3เรงจใชะอΣยูแrFนว=เดmียวraกบั ใกนาแรตเลคะลแอ่ื นนวที่โดยท่ี ΣΣrrFF แนวความเรง = mra แนวต้งั ฉากกับความเรง = 0 ขน้ั ตอนท่ี 4 แกสมการในข้ันตอนที่ 3 เพือ่ หาคาํ ตอบที่โจทยตองการ ขอสังเกต คอื mrg , Nr , rf , Tr และ rF ที่เรากระทาํ 1. แรงทก่ี ระทําบนวตั ถทุ ่พี บเสมอ 2. เราสามารถแตกแรง และความเรงเขาสแู นวตง้ั ฉาก x กบั y ใดๆ ก็ไดโ ดยที่ ΣΣrrFFyx = mmrraayx = แตส ว นใหญพ บวาการเลอื กแตกแรงเขาสแู นวความเรง จะสะดวกกวา แตบางกรณกี ารแตกความเรง เขาสูแนวแรงอาจสะดวกกวา 3. ถา ระบบมีมวลหลายกอน โดยแตล ะกอนมคี วามเรง ขนาดเทา กนั โดยทั่วไปเราสามารถคิดรวมเปนกอน เดยี วกันไดโดยไมคดิ แรงภายในระบบ (เชน แรงดงึ เชอื ก) โดยที่ ΣFนอกระบบ = (Σm)ระบบ aระบบ กรณีทข่ี นาดความเรง แตละกอ นไมเทา กนั ตอ งแยกคดิ ทีละกอน วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (106) ________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
สภาพสมดุล สมดลุ หมายถงึ สภาพการเคล่ือนทข่ี องวตั ถภุ ายใตแรงลัพธ หรอื โมเมนตล พั ธบนวัตถเุ ปน ศูนย สมดลุ ตอ การเลือ่ นตาํ แหนง หมายถงึ สภาพทีว่ ัตถหุ ยดุ นิง่ (สมดุลสถติ ) หรอื เคลือ่ นทด่ี ว ยความเรว็ คงที่ (สมดุลจลน) ซ่ึงเปนไปตามกฎขอท่ี 1 ของนิวตนั ดงั น้ันเงอ่ื นไขของสมดลุ ตอการเล่ือนตําแหนง คือ ΣrF หรือ ΣrFx =0 = 0ΣrFy =0 และ สมดลุ ตอ การหมนุ หมายถึง สภาพทีว่ ัตถุไมห มนุ (สมดุลสถติ ) หรือหมุนดวยความเรว็ เชงิ มมุ คงท่ี (สมดลุ จลน) เงอื่ นไขสมดุลตอ การหมนุ คือ ΣMr = 0 หรอื Mตามเขม็ = Mทวนเข็ม สมดุลสมบูรณ หมายถึง สภาพทว่ี ัตถุสมดุลตอ การเลอ่ื นตาํ แหนง และสมดลุ ตอ การหมุน คอื สมดลุ ทัง้ สองแถบ ในขณะเดียวกนั เง่ือนไขสมดลุ สมบูรณ คือ ΣvF = 0 และ ΣMr = 0 ขนาดโมเมนต (M) หมายถงึ ผลคูณของขนาดของแรงกับระยะตงั้ ฉากจากจดุ หมุน (จดุ อางอิงใดๆ) ถงึ แนวแรง นั่นคอื M = Fr เม่อื r เปนระยะต้งั ฉาก ความเรว็หเมชาิงยมเุมหต( ωุrโม) เเมปนน ตศูนเยรีย หกรออื กี คชงอ่ื ทหี่ นหรงึ่ วอื าอาทจอกรลก า ว(วrτา)คจวงึ าอมาเจรก็วเลชาิงวมวมุา ส(มαrดุล) ตเปอน กศานูรหยม ุน เมอ่ื Σrτ = 0 ซ่งึ ทาํ ให หลักการทาํ โจทยสมดลุ โจทยสมดลุ จะมีข้ันตอนการทําคอนขางตายตัว โดยกรณีสมดลุ สมบูรณ มีข้ันตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ใสแรงกระทาํ บนวตั ถทุ ี่เราสนใจใหครบ และทิศทางถกู ตอง ขั้นตอนที่ 2 แตกแรงเขา สสู องแนวใดๆ ทตี่ ั้งฉากกนั (เรียก x กับ y) ซ่ึงควรเลอื กแนวที่แตกแรงนอ ย และ หามุมไดงา ย ข้ันตอนท่ี 3 ตัง้ สมการสมดลุ แรง คือ ΣrF = 0 ในแตละแนว คือ ΣΣrrFFyx = 0 หรือ ขนาดแรงทางขวา = ขนาดแรงทางซา ย = 0 หรอื ขนาดแรงขน้ึ = ขนาดแรงลง โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟสิกส (107)
ข้ันตอนที่ 4 “take moment” รอบจุดหมนุ ใดๆ โดยท่ี Mตามเขม็ = Mทวนเข็ม จดุ หมุนที่ดคี วรเปนจุดท่แี รงผานมาก และหาระยะตงั้ ฉากไดงาย ขน้ั ตอนท่ี 5 แกส มการทง้ั สามจากขน้ั ตอนที่ 3 และ 4 เพอื่ หาสิง่ ที่โจทยต องการ ขอ สงั เกต 1. ถาวัตถุไมม ีขนาดหรอื ไมสนใจขนาดจะไมส นใจการหมนุ เราใชเงือ่ นไขสมดลุ ตอการเลอื่ นตําแหนงอยางเดียว แตในกรณีคาน หรอื กลอ งที่สนใจการหมุน เราตอ ง “take moment” 2. ถา “take moment” บนวตั ถุท่ีมีความเรง (สมดุลตอ การหมุนอยา งเดียว) ตอ งใชศูนยกลางมวล (cm.) เปน จดุ หมุน และการแตกแรงควรแตกเขาสแู นวความเรงและแนวต้งั ฉากกับความเรง 3. เวลาหาโมเมนตข องแรงใด อาจใชแรงทีแ่ ตกแลว หรือยงั ไมแ ตกก็ได แลวแตค วามสะดวก 4. โจทยบางขอเพียง “take moment” กอ็ าจไดคาํ ตอบ หลกั ท่ีชว ยในการทาํ โจทยสมดุล 1. ถา แรงลัพธไ มเปนศูนย โมเมนตแรงลพั ธเ ทา กบั ผลรวมโมเมนตข องแรงยอย 2. วัตถุที่สมดลุ สมบรู ณด วยแรงสามแรงที่ไมขนานในระนาบเดยี วกัน แนวแรงทั้งสามยอมผา นจุดเดยี กัน 3. แรงสองแรงทม่ี ีขนาดเทากนั แตทศิ ทางตรงขา มและกระทาํ บนวัตถเุ ดยี วกนั เรียกวา “แรงคคู วบ” พบวา vF หมุน d - vF ΣΣMrrF ของแรงคูควบ = 0 = Fd ของแรงคคู วบ = คงท่ี น่ันคือ แรงคคู วบทาํ ใหว ตั ถุสมดลุ ตอการเลอื่ นตาํ แหนง แตไมสมดลุ ตอการหมุน (ยกเวน d = 0) 4. กฎของลามี กลาววา กรณสี vFม2ดุลของแรงสามsแiรnFง1θท1ไี่ มขน=านsแinFล2ะθอ2ยใู นร=ะนาsบinFเด3θีย3วกนั จะได Fv1 vF3 และกฎสามเหลย่ี มแทนแรง กลาววา θ3 θ1 θ2 l2 l3 F1 = F2 = F3 l1 l1 l2 l3 เมอ่ื l1 //F1, l2 //F2 และ l3 //F2 วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (108) ________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010
งานและพลงั งาน งาน (W) เทา กับ ผvFลคูณของขนาดขอเงมแ่อื รงกrFับขคนงทาWดที่ ขัง้ ขอ=นงกาดาFรแSกลระcะทoจsิศัดทθใานงแนจวะแไดรง rrrFFF ทิศเดยี วกบั rS θ vS ถา ทตัง้ิศฉตารกงกขบัามกrSับ rS ได W = FS ถา ได W = -FS ถา ได W= 0 กราฟ F - S กรณีขนาดของแรงไมค งท่ี หางานจากพ้นื ทใ่ี ตก ราฟ ดงั น้ี F W = พ้นื ท่ีใตกราฟ F - S (ถา rF // rS ) W + COS θ W = ((ถพา้นื ทrFี)่ × cos -S ทาํ มุม θ กบั rS ) θ กาํ ลงั (P) หมายถงึ อัตราการทาํ งาน หรืองานทีเ่ กดิ ข้ึนหนึ่งหนวยเวลา กาํ ลงั เฉลี่ย Pเฉล่ยี = ∆∆Wt = Fvเฉลี่ย cos θ ∆∆Wt ฉากกบั สrvงั เกตุวา P = Fv กําลังขณะใดๆ P= P = -Fv เม่ือ ∆t → 0 = Fv cos θ P = 0 ถา rF ตง้ั ถา rF ทศิ เดยี วกบั rv และ ถา rF ทิศตรงขา มกับ rv และ พลังงานจลน หมายถงึ พลังงานจากการเคลื่อนท่ขี องวัตถโุ ดย Ek = 12 mv2 พลังงานศกั ย หมายถึง พลงั งานของวตั ถุ ซึง่ ขึ้นกบั ตําแหนง ของวตั ถุ พลังงานศกั ยโ นม ถวง Epg = mgh พลังงานศักยยืดหยนุ Eps = 12 kx2 = 21 Fx = 1 F2 2k หมายเหตุ 1. ระยะ h ตองวดั จากระดับอางอิง (Epg = 0) ถงึ cm. ของวัตถุในการหาพลังงานศักยโ นมถวง 2. ระยะยดื หรือหด x ของสปรงิ วดั จากความยาวเดมิ สปริงขณะทีไ่ มยืดหรือหด 3. Epg = -mgh ถา h ต่ํากวา ระดับอางอิง แต Eps มคี า มากกวาหรอื เทา กับศูนยเ สมอ 4. ขสปนารดิงมขแีอรงงงยานดื ขหอยงุนแFรง=สปkรxิงดแงั ลนะั้นงการนาขฟองFแ-รงxทใ่ี มชีพด น้ืงึ สทป่ี =ริงE=psFแเฉลละ่ยี คSวา=มช นัF1 =k 5. F2 + S 2 โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (109)
ทฤษฎบี ทงานและพลังงาน งานลัพธ (ΣW หรอื W ของ ΣrF ) จะทําใหว ตั ถเุ ปล่ยี นพลงั งานจลน โดยที่ ΣW = ∆Ek = 12 mv2 - 21 mu2 ΣW = งานรวมของทุกแรง (โดยคิดบวก-ลบ) ถา ΣW เปน บวกพลงั งานจลนจ ะเพม่ิ ขน้ึ แตถ าเปน ลบ พลังงานจลนจะลดลง กฎการอนรุ กั ษพลงั งาน ถา Wext เปน งานรวมจากแรงภายนอก (ไมรวมงานของนา้ํ หนกั และงานของ แรงสปริง) พบวา Wext = ∆Ek + ∆Epg + ∆Eps หรือ ΣE1 + Wext = ΣE2 กรณีท่ี Wext = 0 ( vFext = 0 หรอื vFext ⊥ rv ) จะไดก ฎอนุรักษพลงั งานกล (จลน + ศักย = คงที)่ ΣE1 = ΣE2 เชน กรณีวตั ถตุ กตามพ้นื เอียงล่ืน หรอื เคล่ือนท่อี สิ ระภายใตแ รงโนมถว งหรือแรงสปริง ในทนี่ ี้ ΣE = Ek + Epg + Eps หลักการทาํ โจทยงานและพลงั งาน การทําโจทยงาน และพลงั งานไดรวดเรว็ ตองมีความเขา ใจพ้ืนฐานอยา งดี อยางไรกต็ ามอาจมีขั้นตอนทวั่ ไป ดังน้ี ขัน้ ตอนที่ 1 พิจารณาจดุ เร่ิมตน (จดุ ท่ี 1) และจุดสุดทา ย (จดุ ท่ี 2) โดยใหจ ุดตํา่ กวาเปนระดบั อางอิงของ พลังงานศักยโ นมถวง ขน้ั ตอนที่ 2 ใชสมการใดสมการหน่งึ ตอไปน้ี ΣW = Ek หรือ Wext = ∆Ek + ∆Epg + ∆Eps หรอื ∆E1 + Wext = ∆E2 สมการแรกตองคดิ งานของน้าํ หนักและงานสปริง แตสมการที่สองและสามไมตองคดิ งาน นา้ํ หนกั และงานสปริง และถา Wext = 0 จะได ΣE1 = ΣE2 ขั้นตอนท่ี 3 แกส มการหาส่งิ ทีโ่ จทยต องการ หมายเหตุ การใชส มการของงานและพลงั งานเราไมส นใจเวลาของการเคลอื่ นท่ี กรณอี นุรกั ษพลงั งานกล แนะนํา เราสนใจเฉพาะจุดเรม่ิ ตนกับสุดทา ยเทาน้นั แตถา Wext ≠ 0 ตอ งสนใจงานตลดเสน ทาง การเคลื่อนที่ วธิ ที ี่เร็วท่สี ดุ ในการทาํ โจทย คอื มองการเปลีย่ นรปู ของพลงั งานชนิดหนึง่ ไปเปนอีกชนดิ หนง่ึ หรือการเปลย่ี นรูปของงานและพลังงาน แลว ต้ังสมการตามการเปลีย่ นแปลงนนั้ วิทยาศาสตร ฟสิกส (110) ________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010
โมเมนตัม และการชน โมเมนตมั ( rp ) เทา กบั ผลคูณของมวลและความเร็ว คอื rp = mrv โมเมนตมั เปน เวกเตอรทิศเดยี วกับ ความเรแ็วรดงังดนล้ันแลเวะลกาาบรวดกลหรจอืาลกกบฎโมขเอมทนี่สตอัมงตrFอ งค=ดิ mทิศraทาเงรดาวพยบวา ∆rp rF = ∆t = อตั ราการเปล่ยี นแปลงโมเมนตัม ∆rprF = แmrFรr∆งvดtล- = แรงลัพธในชว งเวลาสั้นๆ = m=ru การดล = โมเมนตมั ทเี่ ปลยี่ นไป = กราฟ F - t สาํ หรบั การเคลื่อนทใี่ น 1 มติ ิ กราฟ rF - t ใหพนื้ ที่ใตกราฟเทากับการลด ∆rp โดยตองคดิ เครือ่ งหมายบวก-ลบของพ้ืนที่ดว ย ขอ สังเกต rF มที ศิ เดียวกับการดล ∆rp เสมอ 1. แรงดล 2. เราสามารถแยกคดิ สองแนวได คือ ∆∆∆rrpptyx mrvx ∆--tmmrruuyy rFx = ∆t = mrvy ∆t rFy = = 3. โ∆ดยrpแตหลระือแนrpว2ใช-เคrรpื่อ1งหอามจาหยาบไวดกจ -าลกบ∆แrpทxนท-ศิ ท∆าrpงy หรอื หาขนาดจาก | ∆rp | = p12 + p22 - 2p1p2 cos θ เมือ่ θ เปนมมุ ระหวาง rp1 กบั rp2 โมเมนตมั ของระบบ ระบบทป่ี ระกอบดว ยมวลหลายกอ น มีนิยามวา rpระบบ โมเมนตัมระบบ rpระบบ = (ΣmΣmm1rvrv)1rvc+=m mΣrp2rv2 + ... และ = = แรงลพั ธจากภายนอกระบบ (ไมค ดิ แรงภายใน) จะทําใหระบบเปลี่ยนโมเมนตมั โดยท่ี rFext = ∆rp∆ระtบบ = (Σm) racm โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (111)
และ raกcmฎอน=ุร0ัก)ษโใมนเทม่ีนนแี้ ตรัมงภเามยื่อในแจระงไลมัพมธีผจลาตกอภกายารนเอปกลรย่ี ะนบโบมเเปมนนศตูนมั ยขอพงรบะวบา บโมแเตมอนาตจมั มขีผอลงตระอบกบารคเงปทล่ี ่ยี (นrvโcมmเมนคตงทัมี่ ของมวลแตละกอนในระบบ เชน การชน หรือการระเบิด พบวา ΣrpΣกrvrpอcนกmรอะนกเชบอ นดิน ΣΣrv rrppcmหหลลหังังลชระังนเบดิ = = = เราเรยี กวา กฎการอนุรักษโมเมนตมั ซึ่งจะไดโ มเมนตมั คงท่ีท้งั แกน x และแกน y โดยคงท่ที ั้งขนาดและ ทศิ ทาง นนั่ คอื ΣΣrrpp ΣΣrrpp x กอน = x หลัง y กอน = y หลัง การชนแบบยืดหยนุ (สมบรู ณ) หมายถึง การชนท่ไี มมีการสญู เสียพลงั งานจลนข องระบบ น่นั คอื ΣEk กอนชน = ΣEk หลังชน การชนแบบไมยืดหยนุ หมายถึง การชนท่ีมกี ารสญู เสียพลังงานจลนของระบบ นัน่ คือ ΣEk กอ นชน > ΣEk หลงั ชน พลงั งานทีเ่ สียไปหาไดจ าก ผลตา งพลงั งานจลนกอนชน และหลงั ชน การชนแบบไมยดื หยุน สมบูรณ หมายถึง การชนแบบไมย ืดหยนุ ทีม่ กี ารสูญเสยี พลังงานจลนม าก ซง่ึ เปน การชนท่ภี ายหลังชนวตั ถุติดไปดว ยกนั หมายเหตุ การชนทกุ แบบถา ไมมีแรงลพั ธภายนอก จะเปน ไปตามกฎอนรุ กั ษโมเมนตมั เสมอไมว า จะชนแบบ ยดื หยนุ หรือไม การชนใน 1 มิติ และยืดหยุน rvถ1ามแวลละmrv12 และ m2 วง่ิ เขาชนกันดวยความเรว็ ru1 และ ru2 ตามลาํ ดบั ถา เปน การชนกนั ตรงๆ (1 มติ )ิ และยืดหยนุ จะได และมวลทั้งสองมคี วามเรว็ หลังชน คอื m 1 ru1 m2ru2 m12 1mrv11v+12 +m221rv2m2v12 21 m1u12 + + m2u22 = ...(1) 21 = ...(2) สมการ (1) ใชเ ครือ่ งหมาย บวก-ลบ แทนทิศทาง จาก (1) และ (2) จะไดวา u1 + v1 = u2 + v2 ...(3) ในทางปฏบิ ตั ิ ใชสมการ (1) และสมการ (3) ในการหาคา ทีโ่ จทยตอ งการ โดยสมการ (3) ตอ งใชบ วก-ลบ แทนทศิ ทางดว ย ผลท่ีไดกรณี m1 = m2 จะพบวาเกิดการสลับความเร็ว คือ rv1 = ru2 และ rv2 = ru1 วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (112) ________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
การชนใน 2 มิติ และยืดหยุน ถา เปนการชนบนระนาบ xy ความเร็วกอนชน และหลังชน จะแยกเปน สองแนว แลว ใชห ลักการอนรุ ักษโมเมนตมัΣΣใrrppนสxyอกกงออแนนนชชนนว โด==ยแตΣΣแลrrppะyxแนหหลลวงังัใชชชนนเครอ่ื งหมายบวก-ลบ แทนทศิ น่นั คือ และถา ยืดหยุน จะได ΣEk กอนชน = ΣEk หลงั ชน กรณที ี่ m2 หยดุ นิ่งกอนชน (u2 = 0) ดงั รูป จะได v1 sin θ1 vv1 y x m1 vu1 m1 θ1 v1 cos θ1 m2 θ2 v2 sin θ2 vv2v2 cos θ2 แกน x m1u1 = m1v1 cos θ1 + n2v2 cos θ2 แกน y m1v1 sin θ1 = m2v2 sin θ2 ถา เปน การชนแบบยืดหยนุ และมวลเทากัน (m1 = m2) พบวา θ1 + θ2 = 90° v1 = u1 cos θ1 แตก ru1 v2 = u1 cos θ2 การชนแบไมย ืดหยนุ สมบรู mณ1 หruล1งั ช+นmm21ruแ2 ละ m2 (ตmิด1กนั +ไปm2จ)ะrvได = ถาเปน 1 มติ ิ ใชบวก-ลบ แทนทิศทาง ถา เปน สองมิตติ องแตกความเร็วเขาสูแนว x และ y กรณี 1 มิติ พบวา ถากอ นชน m2 หยุดนง่ิ จะได ΣΣEEkk m1m+1m2 หลงั ชน = กอ นชน ΣEEkk เสียไป = m1m+2m2 กอ นชน หลักการทาํ โจทยโมเมนตัม = ∆rp ซงึ่ อาจเปนการคํานวณโดยตรง หรอื ∆rp ∆t โจทยโ มเมนตมั จะแยกเปนสองสว น คอื สวนท่ใี ชส มการ rF เสมอ ใชกราฟ rF - t โจทยล กั ษณะนต้ี องระวงั ทศิ ทางของ rF , rp และ โจทยอกี ลกั ษณะหนง่ึ คอื โจทยเกี่ยวกบั กฎอนรุ กั ษโมเมนตมั คอื การชน และการระเบดิ (รวมทงั้ การยงิ ปน และการเดินบนเรอื ) ซ่ึงตองต้งั สมการกฎการอนรุ ักษโ มเมนตมั ใหถ ูกตอ ง และตองใชบวก-ลบ แทนทศิ ทางในแต ละแนว และมีโจทยบางประเภทท่ตี องอาศัยความรเู ร่อื งงาน และพลังงานในการคํานวณภายหลงั การชน โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟสิกส (113)
การเคลื่อนท่แี บบโพรเจกไทล โพรเจกไทล หมายถึง การเคลอ่ื นท่ีอิสระในแนวโคงในบริเวณท่ี rg สมา่ํ เสมอ ซง่ึ เปน การเคลอ่ื นทสี่ องแนว คอื แนวราบและแนวดงิ่ พรอมกัน และมเี สนโคง เปน รปู พาราโบลาคว่ํา การเคลื่อนทแี่ นวราบ (x) ไมม ีแรงกระทํา จึงมี ax = 0 และ vx คงที่เทากบั ux สูตรทใ่ี ช คอื Sx = vxt = uxt การเคล่ือนที่แนวดงิ่ (y) มีแรงกระทํา คือ mrg จึงมีความเรง ray = rg และ rvy ไมค งที่ สตู รที่ใช คอื สูตรการเคลื่อนท่ีแนวดิ่งอิสระ uy + vy vg vy vv Sy = t 2 vu vx = ux vy = uy + gt vS Sy = uy t + 21 gt2 uy Sy เสนทาง Sy = vyt - 12 gt2 = u sin θ รูปพาราโบลา v2y = u2y + 2aSy θ uวxัต=ถุ u cos θ Sx โดยการคดิ เคร่ืองหมายใชห ลกั ของการเคล่ือนทอ่ี สิ ระแนวด่งิ ทผ่ี านมา (กําหนด uy เปนบวก) เทคนคิ การทําโจทยโพรเจกไทล ขหล้นั กัตสอํานคทญั ่ี 1ในกาแรตทกาํ คโจวทามยเโ รพ็วรเจruกไเทปลน สคออื งแกานรวแยถากคruดิ สอทงําแมนุมวθดงักนบั ้ี แนวระดบั จะได ux = u cos θ และ uy = u sin θ แตถ า u อยูแนวระดบั จะได uy = 0 (คลา ยปลอ ยวัตถุตกแนวด่ิง) และ ux = u ขน้ั ตอนที่ 2 ตั้งสมการแนวราบ และแนวดิ่ง เชน Sx = vxt + 21 gt2 Sy = uyt โดย t เปน เวลาทัง้ แนวราบและแนวดง่ิ แลวแกส มการหาสิ่งท่โี จทยตอ งการ นอกจากน้ียังสามารถหา vy จากสูตรอื่นๆ ไดดวย เชน vy = uy + gt และ v2y = u2y + 2gSy สาํ หรับการกระจัดลพั ธ และความเร็วลพั ธ หาไดจ ากผลรวมเวกเตอรย อยในแนวตั้งฉาก คอื S = S2x + S2y และ vy = v2x + v2y วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (114) ________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010
ถา α และ β คอื มุมที่ rS และ rv ทาํ กบั แนวระนาบ เราหาทศิ ทางจาก α = tan-1 SSxy และ β = tan-1 vy vx หมายเหตุ สิง่ สาํ คญั ในการทําโจทยโพรเจกไทล คือ ตอ งมองใหออกวา แนวดิ่งวัตถุเคล่ือนทอี่ ยางไร และ ตองใชเครื่องหมายบวกลบแทนทิศทางไดถูกตอง รูปแบบโพรเจกไทล tH vy = O vu vg u cos θvu vg SY uy = O θ vg u sin θ vu H SY u sin θ θ u cos θ tR แนวดงิ่ ⇒Sxปลอ ยตก แนวด่งิ ⇒ ขวSา xงลงดวย u sin θ แนวดงิ่ ⇒ โยนขRน้ึ ดวย u sin θ ในรูปแรกเราพบวา H = u2 s2ign2 θ = u2g2y และ R = u2 sgin 2θ = 2ugxuy tH = u sgin θ = ugy และ tR = 2tH = 2u sgin θ = 2ugy สังเกตวา Rmax = ug2 เมื่อใช θ = 45° และถา u เทา ๆ กัน R1 = R2 เมอ่ื θ1 + θ2 = 90° นอกจากน้ี ยงั พบวา HR = 14 tan θ หมายเหตุ = rg 1. การเคลอ่ื นท่ีแบบโพรเจกไทลม ีความเรง คงที่ 2. แกรลณะเยีปงิน ขไ้นึปตหารมอื กลฎงอบนนุรพักื้นษเพพลียังงงาใหนแกยลกครอืะยEะkบน+พE้ืนpเอ=ียคงงเทป่ี นซงึ่ Sนxาํ มแาลชะว Sยyแกโดปยญ ทหี่ าSSไดxy = tan θ เม่ือ θ เปน มุมพืน้ เอียง 3. กรณีขวา งวัตถุเปน มมุ เงยจากท่ีสงู เม่อื วัตถุตกตาํ่ กวาจุดเรม่ิ ตน ตอ งใชก ารกระจดั แนวด่งิ เปน ลบ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (115)
การเคลื่อนทเ่ี ปน วงกลม การเคลื่อนท่ีเปน วงกลม หมายถึง การเคลอื่ นทเี่ ปนเสนโคงรอบจุดศูนยก ลางของวงกลม โดยความเรง เเกกิดิดจคาวกาแมกราเรงรงแเปเลขละา ีย่ คสนศูวทาูนศิมยทเกราลงงาสขงอูศ(งนู rคaยcวก า)ลมโาเดรงยว็ วโrFตั ดcถยจุ เอปะrาaเน จคcแมลรจกี่อื งึงานทเรทปที่เี่เปนําปคลในหวี่ยวคานงมวขกาเนรลมงามเทดรได่ีเ็วขกเอปิดจงลจาํ คาเี่ยวปกนานกเมตฉาเรอพรเว็งาปมดะลทีแวยี่ ยิศรนงททเาขศิ งาทเสทาูศงา ขนูนอย้นั งกคลวาางม(เรrF็วc ) ทําให โดยที่ vv ac = vr2 = ω2r Fc = mac = mrv2 = mω2r vac rvFc v = ωr c ω = ∆∆θt = อตั ราเร็วเชิงมุม ω = 2πf = 2Tπ , f = T1 ทาํ ใหเกแิดครงวแามลเะรคง วแานมวเสรมั ง ผในัสแ(นraวt ส) ัมซผง่ึ เสั กดิ วจัตาถกทุ ก่เีาครลเปอ่ื ลนีย่ทน่เี ปแนปวลงงกอลตั มรดาวเรยว็ อตั(ขรนาาเรด็วคไวมาค มงเทร่ีว็ จ)ะโมดีแยรทงี่ แนวสมั พสั ( rFt ) vavatvFct vv Ft = mat rvFc at = ∆∆vt = αr c ω = ∆∆ωt = อตั ราเรงเชงิ มมุ ความเรแงรraงลโัพดธยแ ทล่ี ะความเรง ลพั ธ เม่ือรวม rFc และ rFt จะไดแรงลพั ธ rF และเมื่อรวม rac และ rat จะได F = Fc2 + Ft2 และ a = a2c + a2t กรณีอตั ราเร็วคงท่ี จะมเี ฉพาะ rFc และ rac เทา น้ัน แตถ าอตั ราเรว็ ไมค งท่จี ะมที ้ัง rFc , rac และ rFt , rat วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (116) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
หลักการทําโจทยวงกลม โจทยวงกลมมพี ืน้ ฐานจากกฎการเคลอ่ื นทขี่ อ ที่สองของนิวตนั ซ่ึงมขี ัน้ ตอนการทํา ดังนี้ ขัน้ ตอนที่ 1 ใสแรงกระทําบนวตั ถุที่เราสนใจใหครบ และทิศทางถูกตอ ง ขั้นตอนท่ี 2 แตกแรงเขาสแู นวรัศมวี งกลม (แนว r) และแนวสมั ผสั วงกลม หรอื อาจเปนแนวตั้งฉากกบั ระนาบวงกลม ขน้ั ตอนที่ 3 เราไดว า แรงลพั ธในแนวรศั มี = Fc = mac = mrv2 = mω2r แรงลัพธในแนวสัมผสั = Ft = mat แรงลพั ธใ นแนวตงั้ ฉากกับระนาบวงกลม = 0 ข้ันตอนที่ 4 แกสมการสองสมการจากขั้นตอนที่ 3 เพ่ือหาส่งิ ที่โจทยตอ งการ ตวั อยา งการเคล่อื นทีเ่ ปน วงกลม T = mrv2 N = mg การแกวงวตั ถุบนพืน้ ระดับล่ืน T sin θ = Fc = mrv2 N T cos θ = mg Tv mg การแกวงแบบรปู กรวย h θl θ T cos θ tan θ = vrg2 = ωg2r = agc rT T sin θ vmg ω= g h การเลย้ี วโคงบนถนนราบ fs = Fc = mrv2 Nv fs max = mrv2 max mg fs r C N = mg vmax = µsrg กรณีเปน มอเตอรไ ซด ตอ งเอียงรถทํามมุ θ กบั แนวดง่ิ โดยที่ tan θ = vrg2 tan θ = µs เมือ่ ใช v = vmax โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (117)
การเลีย้ วโคง บนถนนเอยี ง กรณเี ลี้ยวไดพ อดี (fs = 0) N N cos θ Fc = N sin θ = mrv2 θ N sin θ = mg N sin θ หรือ tan θ = vrg2 θ mg เลยี้ วดวย vmax และ vmin (fs = fs max) ได tan θ +µ s = v2mrgax 1 - µs θ tan v2rmgin tan θ -taµnsθ = 1 + µs การโคจร v GMm r2 Fc = mg = rm ac = g = GM M Fc = mg r2 T2 α r3 (กฎ Kepler ขอท่ี 3) Ek = 12 GMr m , Ep = - GMr m วงกลมแนวดงิ่ สนใจการเคล่ือนที่ของลกู ตมุ ในระนาบดงิ่ น้ําหนัก mvg มผี ลใหว ัตถุเปลย่ี นอตั ราเรว็ โดย ระบบจะอนุรกั ษพ ลงั งานกล (Ek + Ep = คงท)่ี ท่ตี ําแหนง ใดๆ (θ = 0° ถึง 180°) vg mg cos θ Fc = T - mg cos θ θT Ft = mg sin θ ความตงึ เชือกไมคงที่ โดยที่ θ Tลาง = Tmax mg sin θ mg Tบน = Tmix Tลาง - Tบน = 6 mg Tลา ง - Tขาง = 3 mg วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (118) ________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010
อตั ราเร็วไมค งท่ี แตพ ลงั งานคงท่ี คือ mgh1 + 21 mv12 = mgh2 + 21 mv22 ทจ่ี ุดบนสุด v = vmin ท่ีจุดลางสุด v = vmax ถา ครบรอบไดพอดีจะมี Tบน = 0 และได vบน = gr vขาง = 3gr vลา ง = 5gr โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (119)
การเคลื่อนทแ่ี บบซิมเปลฮารม อนิก การเคลื่อนท่แี บบ SHM หมายถงึ การเคลอื่ นทกี่ ลับไปกลับมาภายใตแรงกระทํา F = -kx เมื่อ x เปน การกระจัดจากตําแหนงสมดลุ โดย F มที ิศตรงขามกับ x ซง่ึ พบวา การสั่นจะมี แอมพลจิ ูด (A) คาบ (T) และ พลังงาน (E) คงทเี่ สมอ โดยท่ี สน่ั T = 2π mk = 1f km ω = 2πf = 2Tπ = ความถีเ่ ชงิ มุม vmax = ωA ที่ x = 0 พน้ื ลน่ื x = -A x x=A vmax = ω2A ท่ี x = ±A สxม=ดุลO vmin = 0 ที่ x = ±A กราฟและเฟส SHM จะมีการกระจดั x ความเร็ว v และความเรง a ที่เวลาใดๆ ดังสมการ avx x = A sin (ωt + ∅) T หรือ 2π v = ωA sin (ωt + ∅ + π2 ) t, ωt = ωA cos (ωt + ∅) a = ω2A sin (ωt + ∅ + π) = -ω2A sin (ωt + ∅) เมือ่ ∅ เปน เฟสเร่ิมตน ของ x (อาจใช x เปน ฟงกชนั cosine ก็ได) สงั เกตวา a มีเฟสนํา v อยู π2 หรือ 90° และ v มเี ฟสนําหนา x อยู 90° นนั่ คอื a มีเฟสนาํ หนา x อยู 180° (เฟสตรงขา ม) ถา เลอื ก ∅ = 0 ไดก ราฟ ดงั รปู ขา งบน ความเรว็ และความเรงท่ีตาํ แหนงใดๆ เราพบวาที่ตําแหนง x ใดๆ จะมขี นาดของความเรว็ และความเรง คือ v = ω A2 - x2 a = ω2x สังเกตวา amax = ω2A ที่ x = ±A และ vmax = ωA ที่ x = 0 สงั เกตดวยวา v และ a จะ max กับ min ท่ตี ําแหนงตางกนั วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (120) ________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010
พลงั งานการส่ัน พบวา Ek + Ep คงทีเ่ สมอ โดยขณะท่ีพลังงานแบบหน่ึงมากสดุ พลังงานอกี แบบหน่งึ จะ นอยสดุ น่ันคือ E = 12 mv2 + 21 kx2 = Ep max = Ek max = 12 kA2 = 12 mω2A2 มวลติดสปรงิ และลูกตมุ มวลติดสปรงิ และลกู ตุมอยา งงา ยเปนตนแบบในการศกึ ษา SHM. มวลติดสปรงิ k T = 2π mk ; k = คาคงที่สปรงิ m SHM คาบจะไมข ้นึ กับการวางตวั สปรงิ และไมข ึ้นกบั แอมพลจิ ดู กรณีแขวน แนวดงิ่ จะไดตาํ แหนงสมดลุ คอื l x0 = mg (แขวนนิง่ ) m k ลกู ตมุ แกวงแบบ SHM. เมอ่ื แกวง ดวยมุมแคบๆ จะไดค าบ T = 2π gl คาบไมข ึน้ กบั มวล m ของลูกตุม และไมขนึ้ แอมพลิจดู (เล็กๆ) หลกั การทําโจทย SHM. ในเบื้องตนตองจดจาํ สมการพนื้ ฐานตา งๆ ใหไ ด โจทยสว นใหญเ ปนการแทนคาสตู ร โดยเฉพาะสูตรคาบ ความเรว็ และความเรง อยา งไรก็ตามสาํ หรับระบบอ่นื ๆ นอกเหนอื จากมวลติดสปรงิ และลกู ตุม จะตองพิสจู นใหได วา แรงลพั ธ F = -kx โดย k เทยี บไดกับคาคงที่สปริง โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (121)
การเคลอ่ื นที่แบบหมุน ปริมาณตา งๆ ของการหมนุ รอบแกนตรงึ ถา αr กค(างเรรทงหี่ )αจvมะนุ ไดรแ(อสαหvกบูตนนแรวหωคกvงมล)น,ุนาต∆ยรθvกงึ าดรวเยคลα่อืrนทคีแ่ งนทวี่ เตรรางสดรคอาะวตัวมยยาราะมรคาเถเเวชรรเาิงปว็ว็ มมเเรเชชมุยีรงิงิ บง มม=คเมุุมทงθียทω,αบr่ี กไraด=า=รว ดกา∆∆∆งัร∆θนtθะrωrtจ้ี ,ัด→คเวชางิ มมrSเมุ ,ร็วωrθrเชงิ →(มมมุมุ เrลvωr็กๆแ=)ละ∆∆αrθrt → ra θ = ω0 + ω t 2 ω = ω0 + αt θ = ω0t + 12 αt2 θ = ωt - 21 αt2 ω2 = ω20 + 2αθ ใชเ ครือ่ งหมายบวก-ลบแทนทศิ ทางโดยให ω0 เปนบวก ดงั นนั้ สาํ หรบั α กรณคี วามเรงใชบวก และกรณี ความหนว งใชล บ โมเมนตความเฉลยี่ (I) หมายถึง ปริมาณท่ีแสดงความเฉื่อยของการหมนุ ของวตั ถเุ กร็งโดยขึ้นกบั รปู รา ง ของวตั ถุและแกนหมุนคา I คลายกับมวล m โดยนยิ ามวา I = Σmiri2 (สําหรบั วัตถเุ กร็ง) ri = ระยะหา งของอนภุ าคมวล mi กับแกนหมุน โมเมนตค วามเฉือ่ ยของวัตถทุ น่ี า สนใจ คือ วงแหวน และทรงกระบอกกลวง I = mr2 (รอบแกนกลาง) ทรงกลมตนั I = 52 mr2 (รอบแกนผานศูนยก ลาง) แผนกลม และทรงกระบอกตัน I = 12 mr2 (รอบแกนผานศูนยก ลาง) พลังงานจลนข องการหมุน วัตถทุ ่ีกาํ ลงั หมนุ จะมพี ลงั งานจลน โดยที่ Ek = 12 Iω2 วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (122) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
โมเมนตมั เชิงมมุ วัตถทุ ่กี ําลงั หมนุ รอบแกนสมมาตรจะมโี มเมนตมั เชิงมมุ rL โดยท่ี rL = Iωr สังเกตวา rL ทศิ เดียวกับ ωr สาํ หรับอนุภาคว่งิ เปนวงกลมพบวา L = mvr = mr2ω นยิ ามทั่วไปสาํ หรบั โมเมนตัมเชงิ มุมของอนุภาครอบจดุ 0 ใดๆ คือ O vr vv rL = rr × mrv r⊥ หรือ L = mvr⊥ m ทอรก เม่อื มีแรงกระทาํ ตอ วัตถุจะเกิดทอรก หรอื โมเมนตร อบจดุ อางองิ 0 ใดๆ โดยนยิ ามวา O vr vF τr = rr × rF r⊥ หรอื τ = Fr⊥ m กฎการหมุน พบวา Στr จากภายนอก ทาํ ใหเ กดิ ความเรงเชิงมุม และเกดิ การเปล่ยี นแปลงโมเมนตมั เชงิ มมุ โดยที่ Στr = lαr = ∆∆rLt การอนรุ ักษโมเมนตมั เชิงมมุ เมอ่ื Στr จากภายนอกรอบจุดหนง่ึ เปนศูนย พบวาโมเมนตัมเชมิ มุมของระบบ จะคงทร่ี อบจดุ นัน้ กลา วคอื ไดก ฎการอนุรักหษรโอื มเมIน1ตωrrLมั 11เชิงม==มุ IrL22ωr 2 การกลงิ้ เม่อื วตั ถกุ ล้ิง (เล่อื น + หมนุ ) พลงั งานจลนรวมหาไดจ าก Ek = 21 mv2cm + 21 Iω2 เมื่อ I และ ω เปน คา ทว่ี ัดรอบศูนยกลางมวล ถา เปน การกลิ้งโดยไมไถล พบวา Scm = 2πr (1 รอบ), Vcm = ωr และ acm = αr และการกลง้ิ ท่ีไมมีการไถลบนพืน้ เอยี ง วตั ถุจะอนุรกั ษณพลังงานกล คอื Ek + Ep = คงที่ หลักการทําโจทยก ารหมนุ เนื่องจากการหมุนมเี น้ือหาทเี่ กย่ี วขอ งหลายแงม ุมจึงดูคอนขางยาก และไมม ีขนั้ ตอนการทําโจทยท่ตี ายตัว ข้นึ กับโจทยกําลังสนใจสง่ิ ใด อยางไรก็ตามเทคนคิ ท่ีจาํ เปน คอื การเปรียบเทยี บกับสตู รการเล่ือนตาํ แหนง เพอ่ื ให จําสูตรไดแ ละเห็นแนวทางในการทําโจทย โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (123)
ขอ สอบกลศาสตร PAT 2 ครั้งท่ี 1 มนี าคม 2552 กําหนดใหคา ตอ ไปน้ใี ชสาํ หรับ ขอ 1-11 g = 9.8 m/s2 h = 6.6 × 10-34 J ⋅ s c = 3 × 108 m/s R = 8.31 J/mol ⋅ K kB = 1.38 × 10-23 J/K NA = 6.02 × 1023 อนุภาค 1. นกั เรียนคนหน่งึ วัดเสน ผานศนู ยก ลางของวงกลมวงหน่ึงได 5.27 เซนตเิ มตร เขาควรจะบนั ทกึ รัศมวี งกลมวงนี้ เปนกเ่ี ซนตเิ มตร 1) 3 2) 2.6 3) 2.64 4) 2.635 2. ชายคนหน่งึ ขบั รถบนทางตรงดว ยอัตราเร็ว 40 กโิ ลเมตรตอชัว่ โมงเปน ระยะทาง 10 กโิ ลเมตร แลวขบั ตอ ดวยอตั ราเรว็ 60 กิโลเมตรตอ ชั่วโมงเปนระยะทางอกี 10 กิโลเมตร และดว ยอัตราเรว็ 80 กิโลเมตรตอ- ช่ัวโมงเปน ระยะทางอีก 10 กิโลเมตร อตั ราเร็วเฉล่ยี ของรถคนั น้ีเปนเทา ใด 1) 60 กโิ ลเมตรตอ ชว่ั โมง 2) มากกวา 60 กิโลเมตรตอ ชวั่ โมง 3) นอ ยกวา 60 กโิ ลเมตรตอช่วั โมง 4) ขอ มูลไมเพียงพอ 3. รถยนตค ันหนง่ึ เมื่อเคล่ือนทด่ี ว ยความเร็ว v0 แลวเบรกโดยมรี ะยะเบรกเทา กับ x0 ถา รถคนั น้ีเคลื่อนทด่ี วย ความเรว็ เปน 2 เทา ของความเร็วเดมิ จะมรี ะยะเบรกเปน เทาใด (กําหนดใหเ หยยี บเบรกดวยแรงเทากนั ทง้ั สองครง้ั ) 1) x40 2) x20 3) 2x0 4) 4x0 4. ชายคนหน่ึงปลอยกอ นหนิ จากหนา ผาแหง หนึ่ง เม่ือกอนหินกอนแรกตกลงไปเปนระยะทาง 2 เมตร เขาก็ ปลอ ยกอ นหินอีกกอนหนึ่งที่มีมวลเทา กันทนั ที ถาไมคิดแรงตานของอากาศ ขอ ใดถูกตอ ง 1) กอนหินท้งั สองกอ นอยูห างกนั 2 เมตรตลอดเวลาที่ตก 2) กอนหินทง้ั สองกอ นอยหู างกนั มากข้นึ เรอ่ื ยๆ 3) กอนหนิ กอนที่สองตกถงึ พ้นื หลงั กอ นแรก 0.4 วินาที 4) กอนหินกอ นแรกตกถงึ พ้นื ดวยความเรว็ ทมี่ ากกวา กอ นท่ีสอง วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (124) ________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010
5. ออกแรง rF ขนานกับพืน้ ราบล่นื กระทํากบั กลอง A และ B ท่วี างตดิ กัน ดังรปู vF A B ขอใดถูกตอ ง 1) ถา mA > mB แรงทกี่ ลอ ง A กระทาํ กับกลอ ง B มขี นาดมากกวาแรงทก่ี ลอ ง B กระทาํ กับกลอ ง A 2) ถา mA > mB แรงทกี่ ลอ ง A กระทํากบั กลอง B มขี นาดนอ ยกวา แรงท่ีกลอ ง B กระทาํ กับกลอ ง A 3) แรงทีก่ ลอง A กระทํากับกลอง B มขี นาดเทา กับแรงทีก่ ลอง B กระทาํ กบั กลอ ง A โดยไมข ้ึนกับมวล ของกลอ งทั้งสอง 4) แรงลัพธทก่ี ระทาํ กับกลอง A มขี นาดเทา กบั แรงลัพธท ก่ี ระทํากับกลอ ง B 6. วางกลองใบหน่ึงบนรถกระบะ สัมประสิทธิค์ วามเสยี ดทานสถติ ระหวา งกลอ งกบั พน้ื กระบะเทากบั 0.45 ความเรงสูงสดุ ของรถกระบะทไี่ มทําใหกลอ งไถลไปบนพื้นกระบะมคี าเทา ใด 1) 0.046 m/s2 2) 0.45 m/s2 3) 4.4 m/s2 4) 44 m/s2 7. ชายคนหน่งึ มีมวล 80 กโิ ลกรัม ขับรถไปตามถนนดว ยอัตราเรว็ คงที่ 15 เมตรตอวินาที ถาพ้นื ถนนมหี ลุมทม่ี ี รศั มีความโคง เทา กับ 60 เมตร แรงที่เบาะน่งั กระทาํ กบั ชายคนนี้ ณ ตําแหนงตํา่ สุดของหลมุ เปนเทา ใด 1) 300 N 2) 484 N 3) 784 N 4) 1084 N 8. ถา งานท่ใี ชเ รง วัตถุจากหยดุ นง่ิ ใหม อี ัตราเรว็ v เทา กบั W งานท่ตี อ งใชในการเรงวัตถจุ ากอัตราเร็ว v ไปสู อัตราเรว็ 2v เทากับเทาใด 1) W 2) 2W 3) 3W 4) 4W 9. จงพิจารณาขอความตอไปนี้ ก. งานทเ่ี กดิ จากแรงกระทําในทิศตั้งฉากกบั ความเร็วของวตั ถุมีคาเปน ศนู ยเสมอ ข. เครือ่ งยนตท่ที าํ งานได 4 จูล ในเวลา 5 วนิ าที มกี ําลงั มากกวา เครอื่ งยนตท ่ที าํ งานได 5 จลู ในเวลา 10 วนิ าที ค. เครอ่ื งยนต A มีกําลังมากกวาเครอ่ื งยนต B เปน 2 เทา แสดงวาเครื่องยนต A ทาํ งานไดเ ปน 2 เทา ของเครอ่ื งยนต B มีขอความทถ่ี ูกตอ งกขี่ อ ความ 1) 1 ขอ ความ 2) 2 ขอความ 3) 3 ขอ ความ 4) ไมมขี อความใดถูกตอ ง 10. วตั ถุกอนหนง่ึ วางอยูบนพนื้ ราบ เมือ่ แตกออกเปน 2 กอ น โดยกอ นหนง่ึ มีพลังงานจลนเ ปน 2 เทา ของอีก กอนหนงึ่ กอนทม่ี พี ลงั งานจลนมากกวา มมี วลเปนก่เี ทาของกอนท่ีมพี ลังงานจลนน อยกวา 1) 14 2) 12 3) 2 4) 4 11. จงพิจารณาขอ ความตอไปน้ี ก. ทรงกลมตนั และทรงกลมกลวงทีม่ มี วลเทากัน มีรศั มีเทากนั กลง้ิ โดยไมไถลดว ยอัตราเร็วเทากัน ทรง- กลมตันจะมพี ลังงานจลนมากกวา ทรงกลมกลวง ข. เมอื่ ผกู เชอื กแขวนคอนใหสมดลุ ในแนวระดับได แสดงวาตาํ แหนง ที่ผูกเชือกน้นั เปนตาํ แหนงที่มวล ดานซา ยเทา กับมวลดานขวา ค. ทกุ ตําแหนงบนวัตถหุ มุนมีอัตราเร็วเชงิ มมุ เทา กนั มีขอ ความทถี่ ูกตอ งกข่ี อ ความ 1) 1 ขอความ 2) 2 ขอความ 3) 3 ขอความ 4) ไมมขี อความใดถูกตอง โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (125)
คร้งั ท่ี 2 กรกฎาคม 2552 1. ผลลพั ธข อง 16.74 + 5.1 มีจํานวนเลขนัยสาํ คัญเทากับตัวเลขในขอใด 4) 270.00 1) -3.14 2) 0.003 3) 99.99 2. มาตรวดั ความเร็วบนหนา ปด รถยนตช ี้ทเี่ ลข 60 km/hr หมายความวา อยา งไร 1) ขณะนน้ั รถยนตม คี วามเรว็ เฉล่ยี เทากับ 60 กิโลเมตรตอ ช่วั โมง 2) ขณะน้นั รถยนตม ีอัตราเร็วเฉลี่ยเทากบั 60 กโิ ลเมตรตอ ชั่วโมง 3) ขณะนน้ั รถยนตม คี วามเร็วขณะใดขณะหนงึ่ เทา กบั 60 กโิ ลเมตรตอชวั่ โมง 4) ขณะน้นั รถยนตม อี ตั ราเรว็ ขณะใดขณะหนึง่ เทากบั 60 กโิ ลเมตรตอ ชัว่ โมง 3. เคร่ืองบินลาํ หนง่ึ เคล่ือนที่จากหยดุ นง่ิ ดว ยความเรง a เพ่อื ทะยานข้ึนฟา ดว ยอตั ราเร็ว v ถา เครื่องบนิ ลําน้ี ตอ งการทะยานข้ึนฟา ดวยอัตราเร็ว 2v โดยใชร ะยะทางวิง่ เทา เดมิ จะตอ งเคลอ่ื นทด่ี วยความเรง เทา ใด 1) 2v2 2) 4v2 3) 2a 4) 4a 4. กระสวยอวกาศลําหนึ่งพุง ขน้ึ ฟาในแนวดงิ่ ดว ยความเรว็ คงท่คี า หนงึ่ เมื่อเคลอื่ นท่ขี ึ้นไปไดระยะหน่งึ กป็ ลดถงั เชือ้ เพลงิ เปลา ใบหนงึ่ ท้ิง โดยกระสวยอวกาศยังคงพงุ ขนึ้ ตอไปดว ยความเร็วคงเดิม กราฟความสมั พันธ ระหวางการกระจัดจากพื้นดินกบั เวลาของกระสวยอวกาศ (เสน ทบึ ) และถงั เช้ือเพลิงที่ถกู ปลด (เสนประ) เปนเชนใด การกระจัด การกระจดั 1) 2) เวลา เวลา การกระจัด การกระจัด 3) 4) เวลา เวลา 5. กลอ ง A และกลอง B วางตดิ กันบนพ้นื ราบลืน่ และมแี รงขนาด F กระทาํ กบั กลอง A หรือกลอ ง B ดังรูป กาํ หนดให mA > mB F AB AB F ขอ ใดถูกตอ ง กรณที ่ี 1 กรณีที่ 2 1) แรงปฏิกริ ยิ าระหวางกลอ งในกรณีที่ 1 มากกวา แรงปฏิกริ ยิ าระหวางกลอ งในกรณีท่ี 2 2) แรงปฏิกริ ยิ าระหวา งกลองในกรณที ี่ 1 นอยกวาแรงปฏิกิรยิ าระหวางกลองในกรณีที่ 2 3) แรงปฏกิ ริ ิยาระหวา งกลอ งในกรณีท่ี 1 เทากบั แรงปฏิกิรยิ าระหวางกลอ งในกรณที ่ี 2 4) ทง้ั สองกรณี แรงทก่ี ลอง A กระทํากบั กลอง B มีคาเทา กบั แรงท่กี ลอง B กระทํากบั กลอง A และมี ขนาดเทากับ F วิทยาศาสตร ฟสิกส (126) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
6. วางกลองใบหน่งึ บนรถกระบะ สัมประสทิ ธคิ์ วามเสียดทานสถติ ระหวา งกลอ งกบั พ้นื กระบะเทากับ 0.5 ถา ตองการเรง ความเร็วของรถกระบะจากหยุดน่งิ เปน 20 เมตรตอวนิ าที โดยใชเวลาใหน อยที่สุด และกลอง ไมไ ถลไปบนพน้ื กระบะ จะตอ งใชเวลาเทาใด 1) 2 วินาที 2) 4.1 วินาที 3) 9.8 วินาที 4) 40 วินาที 7. ขอใดกลาวถกู ตองเกี่ยวกบั วตั ถุที่เคล่ือนท่ีเปน วงกลมระนาบอยา งสมาํ่ เสมอ 1) ความเรว็ ของวตั ถุคงท่ี 2) อัตราเร็วของวัตถคุ งที่ 3) แรงทกี่ ระทาํ กบั วัตถุคงท่ี 4) มขี อถูกมากกวา 1 ขอ 8. วตั ถมุ วล 1 กโิ ลกรัม เคล่ือนทเี่ ปนวงกลมอยางสม่ําเสมอบนพนื้ ราบดวยขนาดของความเร็ว 2 เมตรตอ วินาที โดยมีรศั มี 0.5 เมตร งานเนือ่ งจากแรงสูศนู ยกลางเม่อื วตั ถุเคล่ือนทไ่ี ดค รึง่ รอบเปนเทา ใด 1) 0 จูล 2) 2π จลู 3) 4π จลู 4) 8π จลู 9. รถยนตมวล 1 ตนั จะตอ งใชกําลังกีว่ ัตตเ พ่ือเรง ความเร็วจาก 10 เมตรตอวนิ าที เปน 20 เมตรตอ วนิ าที ภายในเวลา 2 วินาที 1) 5 × 103 วตั ต 2) 2.5 × 104 วตั ต 3) 7.5 × 104 วัตต 4) 1.5 × 105 วัตต 10. วัตถุกอนหนง่ึ วางอยูบนพ้นื ลน่ื ตอมาแตกออกเปน 2 ชนิ้ โดยท่ีแตล ะชิน้ มีมวลไมเทากัน จงพิจารณาขอ ความ ตอ ไปน้ี ก. โมเมนตัมของวตั ถกุ อนแตกตวั มีคาเทากบั ผลรวมโมเมนตมั ของวัตถุท้งั สองชนิ้ หลังแตกตัว ข. หลังแตกตวั วตั ถแุ ตละชน้ิ มโี มเมนตัมเทา กนั ค. หลังแตกตวั วัตถุแตล ะช้นิ มีพลงั งานจลนเทากัน มขี อ ความท่ีถูกตองกขี่ อความ 1) 1 ขอ ความ 2) 2 ขอ ความ 3) 3 ขอ ความ 4) ไมมีขอ ความใดถูกตอง คร้ังที่ 3 ตุลาคม 2552 กําหนดให 1. g = 9.8 m/s2 2. h = 6.6 × 10-34 m/s2 3. c = 3 × 108 m/s 4. R (คาคงที่ของแกส) = 8.314 ⋅ J/K ⋅ mol 5. kB = 1.38 × 10-23 J/K 6. NA = 6.02 × 1023 อนภุ าค 1. กาํ หนดให T เปน แรงตงึ ในเสน เชือกมีหนวยเปนนวิ ตัน หรอื กโิ ลกรัมเมตรตอ วนิ าทยี กกําลงั สอง และ µ เปน มวลของเชือกตอหนว ยความยาว มีหนว ยเปน กิโลกรมั ตอ เมตร ปริมาณ T/µ มหี นวยเดียวกับปรมิ าณใด 1) ความเรว็ 2) พลงั งาน 3) ความเรง 4) รากทส่ี องของความเรง โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (127)
2. การขับรถดวยอตั ราเรว็ 50 กิโลเมตรตอ ช่ัวโมง ประสานงากบั รถอีกคันหน่งึ ท่ีแลนสวนมาดว ยอตั ราเร็ว 30 กิโลเมตรตอชวั่ โมง จะเกิดความรนุ แรงใกลเ คยี งกับการตกตึกประมาณก่ชี ัน้ กาํ หนดใหตึก 1 ชนั้ สูง 4 เมตร 1) 4 2) 6 3) 10 4) 15 3. มดตวั หน่ึงเดินไปบนกระดาษกราฟโดยเรมิ่ จากพิกดั (1, 4) เดินไปตามเสน โคง ดงั ภาพ นักเรยี นบันทึกตาํ แหนง ของมดทุกๆ 1 วนิ าที ทศิ เหนอื 7 t=2s 6 5 ทศิ ตะวนั ตก 4 t = 0 s t = 3 s ทศิ ตะวันออก 3 2 1 t=1s 1 2345678 ทศิ ใต ทิศของความเร็วเฉลี่ยในชวงเวลา 0-3 วนิ าที ประมาณไดวาอยใู นทศิ ใด 1) เหนือ 2) ใต 3) ตะวันออก 4) ตะวันตก 4. ชายคนหน่ึงนาํ เชือกไปผกู กับลกู ตุมแลวนาํ มาแกวงเหนือศีรษะเปนวงกลมระนาบขนานกับผิวโลก มอื จับปลายเชอื กนี้ (ก) แรงตึงเชือก (ข) แรงสูศนู ยกลาง (ค) แรงหนศี ูนยก ลาง (ง) นํา้ หนกั จงเลือกแรงทเ่ี พยี งพอตอ การพิจารณาสภาพการเคลอื่ นท่ขี องลกู ตมุ 1) ก., และ ข. 2) ก., ข., และ ง. 3) ก., ข., ค. และ ง. 4) ก. และ ง. วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (128) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
5. การยิงวตั ถแุ บบโพรเจกไทลดว ยความอตั ราเรว็ ตน และมมุ ยงิ เดียวกนั บนดวงจนั ทรทม่ี แี รงโนม ถวงต่ํากวา บนโลก เม่ือเปรยี บเทียบกับบนโลก จะเปน ตามขอ ใด กาํ หนดให เสน ประ แทนแนวการเคลื่อนทบี่ นโลก เสนทบึ แทนแนวการเคลื่อนทบ่ี นดวงจนั ทร 1) ระยะแนวดงิ่ 2) ระยะแนวดงิ่ ระยะแนวระดับ ระยะแนวระดบั 3) ระยะแนวดิง่ 4) ระยะแนวด่ิง ระยะแนวระดบั ระยะแนวระดับ 6. ดาวเทยี มมวล m ที่โคจรรอบโลกที่มมี วล M จะเกดิ แรงสศู ูนยก ลางซงึ่ นําไปสกู ารหาอตั ราเร็วของดาวเทยี ม ทร่ี ัศมโี คจร r จากจุดศนู ยก ลางโลกดังน้ี ถา (1) F = GmM r2 (2) mv2 = GmM r r2 (3) v = GrM จากสมการ (3) จะเห็นไดว า อัตราเร็ววงโคจรทีเ่ พิม่ ขึน้ สมั พันธกับรศั มีวงโคจรทล่ี ดลง ขอ ใดถูก 1) สมการ (3) ใชไ มไ ดถามวลของดาวเทยี มเปลี่ยนแปลงอยตู ลอดเวลา 2) ดาวเทยี มท่กี ําลงั โคจรเปน วงกลมรอบโลก งานเนอ่ื งจากแรงดึงดดู ระหวางมวลมคี าเปนศนู ย 3) จากสมการ (3) ถาตอ งการใหดาวเทียวลดรัศมวี งโคจร เราตอ งทาํ ใหด าวเทยี มจุดระเบดิ เครอ่ื งยนตเ พอื่ ดนั ใหด าวเทียมโคจรเร็วข้ึน 4) ในขณะทดี่ าวเทียมกําลังโคจรเปนวงกลมรอบโลกดวยอตั ราเร็วคงท่ี จะมคี วามเรง เปน ศนู ย โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (129)
7. จากรูป ดึงมวล m สองกอ น ดวยแรง T1 และ T2 มวลทงั้ สองกอนเริม่ เคลอ่ื นที่ขึน้ จากพ้นื พรอมกัน และ เคลอื่ นท่ขี ้ึนดวยอัตราเร็วคงตัวเดียวกัน ขอใดถกู เพดาน ก. แรง T1 มีคามากกวาแรง T2 T1 T2 ข. กําลงั ของแรง T1 นอยกวากําลงั ของแรง T2 ค. งานของแรง T1 เทา กบั งานของแรง T2 รอกเบา mm ง. ถาวัตถทุ อี่ ยูบนพ้นื ดนิ มีพลงั งานศักยโนม ถว งเปน พนื้ ศนู ย มวลแตละกอนตางกม็ ีการอนรุ กั ษพลังงานกล 1) ก. 2) ก. และ ข. 3) ก. และ ค. 4) ก. และ ง. 8. มวลกอนหน่ึงถูกปลอยจากทสี่ ูงตกลงมากระทบกบั สปรงิ ตัวหน่งึ ซ่งึ เบามาก และตง้ั อยบู นพน้ื แขง็ แรง ผลของ การกระทบทําใหสปรงิ หดส้ันเปนระยะทาง h หลังจากน้ันมวลกอ นนีก้ ถ็ กู สปรงิ ดนั ข้นึ ทําใหมวลเคล่อื นที่ กลับมาที่ความสูงท่ปี ลอย m v hm มวล m มอี ตั ราเรว็ v มวล m อยทู ่ีตําแหนง ตํ่าทีส่ ดุ ขณะเร่ิมสัมผัสปลายสปรงิ สปรงิ หดเปน ระยะทาง h ขอใดถกู 1) ขณะอยทู ่ตี าํ แหนง ต่ําสุด มวลไมอ ยูภายใตสภาวะสมดุลแรง 2) ระยะหดของสปริงสามารถคํานวณไดจ ากการอนุรกั ษของผลรวมระหวางพลังงานจลนและพลงั งานศักย โนมถว ง 3) ขณะอยทู ่ีตาํ แหนง ตา่ํ สดุ พลังงานศักยยดื หยุน ในสปรงิ มคี าเปน ศนู ย 4) ขณะอยูทีต่ ําแหนง ต่าํ สุด มวลมีความเรง เปน ศูนย 9. นายอวนและนายผอมยืนอยูบนพนื้ นาํ้ แขง็ ลนื่ นายอวนมมี วล 80 กโิ ลกรัม นายผอมมมี วล 40 กโิ ลกรัม ท้ัง สองคนออกแรงเลน ชกั เยอ กนั ในจงั หวะท่นี ายอวนออกแรงดงึ เชอื ก จนตนเองมีอัตราเร็ว 0.2 เมตรตอ วินาที นายผอมจะมอี ตั ราเร็วกีเ่ มตรตอวินาที 1) 0.1 2) 0.2 3) 0.4 4) 0.6 วิทยาศาสตร ฟส ิกส (130) ________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010
10. ดนิ นา้ํ มนั กอนหน่งึ มวล M ถูกนํามาปน เปน ทรงกลมหลายลูกและเสยี บกับไมเ สยี บลูกช้นิ กําหนดใหแ กนหมนุ ผา นกงึ่ กลางไมเสยี บลูกช้นิ และต้ังฉากกบั แกนไม รปู ในขอ ใดมโี มเมนตความเฉ่ือยสงู สุด แกนหมุน แกนหมุน 1) 2) M2 M2 M2 M2 แกนหมุน แกนหมุน 3) M2 4) M4 M4 M4 M4 M4 M4 11. รถยนตค ันหน่งึ มีมวล 1,000 กิโลกรัม ลอรถยนตรศั มี 10 เซนตเิ มตร 20 เซนติเมตรแตละลอ รบั มวล 250 กิโลกรมั จงคาํ นวณทอรกข้ันต่ําสุดที่ตองใหแ กลอหนา แตล ะลอ เพ่ือใหปนฟุตบาทซึง่ สูง 10 เซนติเมตรได 20 เซนติเมตร 1) 25g 3 2) 25g 3) 25g 2 4) 25g / 2 โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส ิกส (131)
แนวขอสอบ PAT 2 กลศาสตร 1. ขอใดตอไปนถ้ี กู ตอ งเกีย่ วกับอตั ราเรว็ เฉลี่ยและความเร็วเฉลย่ี 1) อตั ราเร็วเฉลี่ยเทากบั ขนาดของความเร็วเฉล่ีย 2) อัตราเรว็ เฉลย่ี มากกวาขนาดของความเรว็ เฉล่ีย 3) เมื่อความเร็วเฉล่ียเปนศูนยอ ัตราเร็วเฉลีย่ จะเปน ศนู ย 4) เม่อื อตั ราเรว็ เฉลย่ี เปนศนู ยความเรว็ เฉลี่ยจะเปน ศนู ย 2. ปลอ ยวัตถุ A ตกจากดาดฟาตกึ หลงั จากนั้น 2 s ก็ขวา งวัตถุ B ตามลงมาจากจดุ เดยี วกัน ถาความสูงของ ตกึ มีคามากพอ จะตองขวา งวตั ถุ B ดว ยอัตราเร็วตนมากกวาคาใด จึงจะทาํ ใหว ตั ถุ B ชนวัตถุ A ได (ใช g = 9.8 m/s2) 1) 4.9 m/s 2) 9.8 m/s 3) 19.6 m/s 4) 29.4 m/s 3. แขวนวตั ถุกอ นหน่งึ ดว ยเชอื กเสนสั้น A และเสน ยาว B ไวกับเพดานตางระดับ ดังรูป ถา มุม β มากกวา มุม ∝ β โดยเชอื กเบาและวตั ถหุ นัก ขอ ใดตอ ไปนีส้ รปุ ไดถูกตอง α 1) เชือก A มคี วามตงึ เทา กบั เชอื ก B 2) เชือก A มีความตึงมากกวาเชือก B AB 3) เชือก B มีความตงึ เปน สองเทา ของเชือก A 4) เชือก B มคี วามตงึ มากกวา เชอื ก A 4. รถยนตคันหนง่ึ ขณะกาํ ลงั แลน ดว ยอัตราเรว็ v0 บนถนนตรง คนขบั เหยียบเบรกจนรถไถลไปไดร ะยะทาง S0 กอ นหยุด ถารถคนั น้บี รรทกุ จนมมี วลเพิ่มขึ้นเปน 3/2 เทาของมวลเดมิ และแลน บนถนนเดมิ ดวยอตั ราเร็ว v0/2 เมอ่ื รถถูกเบรกใหไ ถลจนหยดุ ระยะเบรกครง้ั ใหมเ ปนเทา ใด 1) 43 S0 3) 23 S0 4) S40 2) S0 5. วตั ถุมวล m วิ่งดวยอตั ราเรว็ u บนพื้นราบลื่นเขาชนสปริงเบาท่มี คี าคงตวั สปริง k ทําใหส ปรงิ ยุบตวั ไดมาก ทส่ี ดุ คา หนงึ่ ถาเพิ่มอัตราเร็วของวตั ถุเปน สองเทา จะตองใชส ปรงิ ตวั ใหมท ่ีมคี า คงตัวสปริงเทาใดจงึ จะทําให ระยะยบุ ตวั มากสดุ ของสปรงิ มคี าเทาเดมิ mu k พ้นื ลน่ื 1) 8k 2) 4k 3) 2k 4) k วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (132) ________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010
6. ปลอ ยวัตถุ A และ B ทีเ่ หมอื นกนั จากยอดพนื้ เอียงลืน่ ซงึ่ ถกู ตรึงไวกับพนื้ ราบ ถา มมุ เอียงดานซา ยมคี าเปน 2θ และดานขวาเปน θ ขอความใดตอไปนถ้ี ูกตอง AB 2θ θ 1) A และ B ถงึ พน้ื ลางพรอมกัน ถามีมวลเทากัน 2) A ถึงพื้นลา งกอ น B ถา A และ B มมี วลเทากนั 3) A และ B ถงึ พืน้ ลางดว ยอัตราเร็วเทากนั เสมอ 4) A ถึงพนื้ ลางดว ยอัตราเรว็ มากกวา B ถา A มีมวลมากกวา B 7. วัตถุมวล m วงิ่ ดว ยความเร็ว v0 เขาชนวัตถมุ วล 2m ทีว่ ่ิงอยดู านหนาดวยความเรว็ v20 ในทิศทาง เดียวกัน ถา การชนเปน แบบไมย ืดหยุนสมบรู ณ และไมค ํานงึ ถึงแรงเสยี ดทานใดๆ ระบบของวัตถสุ องกอ นนม้ี ี การสญู เสียพลงั งานจลนจากการชนไปกเ่ี ปอรเ ซ็นตข องพลงั งานจลนเดมิ 1) 100% 2) 89% 3) 75% 4) 11% 8. ขอ ใดตอไปน้ีเปนจรงิ สําหรับการเคล่ือนที่แบบโพรเจกไทลของวัตถใุ นอากาศใกลผ วิ โลก เมื่อไมค ดิ ผลของ แรงตา นอากาศ 1) วัตถุเคลือ่ นทเ่ี ปน เสน โคงพาราโบลาดว ยความเรงไมคงตัว 2) วัตถเุ คล่อื นท่เี ปน เสนโคง ไฮเปอรโ บลาดวยความเรงคงตัว 3) วัตถุมีความเร็วแนวดงิ่ และแนวราบไมคงตัว 4) มุมระหวา งความเรว็ และความเรงเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา 9. ถา ขณะเกิดระบบสรุ ยิ ะดวงอาทิตยม ีมวลเปนสองเทา ของท่เี ปน อยูขณะน้ี แตรัศมีวงโคจรของโลกรอบดวง อาทติ ยเ ทากบั ขณะน้ี คาบการโคจรซงึ่ ประมาณวาเปน วงกลมของโลกรอบดวงอาทิตยจะเปนกเ่ี ทา ของปจ จุบัน 1 4) 21 เทา 1) 2 เทา 2) 2 เทา 3) 2 เทา 10. รถยนตคันหนงึ่ กําลงั เคลอื่ นทบี่ นพน้ื ราบไปทางทิศตะวันออก โดยมีความเร็วลดลงเร่อื ยๆ ขอ ใดถกู ตอ ง เกี่ยวกบั การหมุนของลอ รอบแกนหมนุ 1) มีความเร็วเชิงมมุ ทิศตะวนั ออกและความเรง เชิงมมุ ทิศตะวนั ตก 2) มโี มเมนตัมเชงิ มุมทิศเหนอื และความเรงเชงิ มมุ ทศิ ใต 3) มีทอรก ลัพธกระทาํ ทิศเหนอื และความเรง เชงิ มุมทศิ ใต 4) มโี มเมนตมั เชงิ มมุ และทอรกลัพธท ศิ เหนือ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (133)
11. กราฟความเรง ของวตั ถุซงึ่ กาํ ลังเคลื่อนทเี่ ปนเสน ตรงในทศิ +x ในรูปใดที่แสดงวาวตั ถกุ าํ ลังเคลอื่ นท่ีชา ลง ความเรง ความเรง ความเรง เวลา เวลา เวลา ข. ค. ก. 1) ข. และ ค. 2) ก. และ ข. 3) ก. และ ค. 4) ก., ข. และ ค. 12. ยงิ วัตถจุ ากพืน้ ออกไปแบบโพรเจกไทล พบวา วตั ถอุ ยใู นอากาศไดนาน T และไดพ ิสยั การยงิ R ถา เพิม่ ความเร็วตนการยงิ เปน สองเทาแตท ศิ เดิม จะไดเ วลาในอากาศและพสิ ยั การยงิ เปน ไปตามขอ ใด 1) 2T และ 2R ตามลาํ ดบั 2) 2T และ 4R ตามลาํ ดบั 3) 4T และ 2R ตามลาํ ดับ 4) 4T และ 4R ตามลําดบั 13. มวลกอ นหนงึ่ ติดกับปลายสปริงและกาํ ลงั เคลอื่ นทแี่ บบซิมเปล ฮารมอนิกดว ยแอมพลิจูด A ขณะมขี นาดการ กระจัดเปน เทา ใด พลงั งานจลนจงึ มีคาเปน สองเทาของพลังงานศักยย ืดหยุนขณะน้นั 1) A3 2) A2 A A 3) 3 4) 2 14. ปลอ ยลกู ตมุ เลก็ ๆ มวล m ใหเ รม่ิ แกวงลงมาจากมมุ ท่ีเชอื ก ซึ่งยาว l ทํากบั แนวดิ่งเทา กบั θ0 ดังรปู ขนาดความเรง เชิงมุมของลูกตมุ รอบจุด 0 ทันทีทเ่ี ร่มิ ปลอ ยเปนเทา ใด O vg θo l m 1) ศูนย 2) g sin θ 3) g 4) g cos θ l l l วิทยาศาสตร ฟส ิกส (134) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
15. คานสมา่ํ เสมอหนกั W ถกู ยดึ ไวด ว ยบานพับ 0 และเชือก 432ด1))))ังรททททปู ศิิศศิศิ แรCDArrrBrงท่ีบานพบั 0 กระทําตอปลายคานอยูในทศิ ใด Av vB Cv O Dv 16. ปน ใหญกระบอกหน่ึงมวล M (รวมกระสนุ ) วางนิ่งบนพืน้ ลืน่ ถาปน กระบอกนีย้ งิ กระสุนปนมวล m ออกไปใน แนวระดับดว ยอตั ราเร็ว v เทยี บกบั พื้น จงหาพลงั งานจลนของปนใหญห ลงั จากยิงไปแลว 3) 21 mM2v2 4) 21 (Mm2-vm2 ) 1) 12 (M - m)v2 2) 21 Mv2 17. ทรงกลมตนั สองใบ A และ B กาํ ลงั กลิ้งลงตามพื้นเอียง B โดยไมไถล ดังรปู ถา A มมี วลและรศั มีเปน สองเทา ของ B และ B มคี วามเรงของศนู ยกลางมวลเทากับ A 2 m/s2 ความเรง ของ A มีคา เทาใด 1) 2 m/s2 2) 4 m/s2 3) 6 m/s2 4) 8 m/s2 18. ในการเพมิ่ อัตราเร็วของวัตถุกอ นหนึ่งจาก 2 m/s เปน 4 m/s ตองทาํ งาน 30 J ถาตอ งการเพิ่มอตั ราเรว็ ของวตั ถนุ จ้ี าก 4 m/s เปน 6 m/s ตอ งทาํ งานเทาใด 1) 30 J 2) 40 J 3) 50 J 4) 60 J 19. กลอ งใบหนงึ่ ต้ังอยูบนพื้นรถ ซงึ่ กําลังแลน บนถนนตรงดว ยความเรง a สัมประสทิ ธิค์ วามเสียดทานสถิต และ สัมประสทิ ธ์คิ วามเสียดทานจลนร ะหวางกลอ งกบั พืน้ รถเทากับ 0.4 และ 0.3 ตามลาํ ดับ ความเรง a มากท่สี ุด เปน เทาใดที่กลอ งยังคงอยนู ่ิงเทียบกับรถ 1) 5 m/s2 2) 4 m/s2 3) 3 m/s2 4) 2 m/s2 20. วางบันไดหนัก W พาดกบั ผนงั ในลกั ษณะดงั รูป เงื่อนไขในขอ ใดท่ีไมส ามารถทําใหบ ันไดสมดลุ อยูได 1) มุม θ มากเกินไป 2) พน้ื และผนงั ฝด θ 3) พืน้ ฝด และผนงั ลนื่ 4) พืน้ ลนื่ และผนังฝด โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส ิกส (135)
สมบตั เิ ชงิ กลของสาร ความยืดหยุน หมายถึง ความสามารถในการคืนกลบั สภาพเดมิ ของรูปรา งของวตั ถภุ ายหลงั หยุดแรงกระทาํ แรงยดื หยุน ในกรณีวตั ถมุ กี ารเปล่ียนแปลงความยาวไปขนาด ∆L เราพบวามแี รงยดื หยุนกระทาํ กลบั โดยท่ี ขนาดแรงกระทาํ กลบั F = k∆l เครวียากมวเา คนHo(oSk)eเ’ทsาlกaบัwอโตัดรยาสkวเนปขน นคาาดคแงรทงีก่ เาครนแภปารยผในันตวัตรงถทุ (ข่ี เชนึ้ นกับแชรนงดิตขงึ อrTงว)ัตตถอุ แพล้ืนะทรีห่ ปู นราาตงัดขอนงน่ัวตัคถือุ ความเคน S = AF ; vF ⊥ A ความเครยี ด (∅) เทากับ อัตราสวนขนาดความยาวทีเ่ ปลย่ี นไปตอ ความยาวเดิม นนั่ คอื ความเครยี ด ∅ = ∆l l เม่ือ l เปนความยาวเดมิ ของวตั ถุ มอดูลัสของยงั (Y) เทากับ อตั ราสว นของความเคนตอ ความเครยี ด กลา วคอื Y = S = AF∆ll ∅ คา มอดลู ัสของยังขึ้นกบั ชนิดของวัตถุ S และ Y มีหนวยเดยี วกัน คือ N/m2 หรอื พาสคาล แตค วามเครียด ไมมีหนว ย กราฟ F - l และ S - ∅ เราสามารถเขยี นกราฟแสดงสมบัตยิ ืดหยนุ ดงั นี้ ขดี จาํ กดั แปรผันตรง ขีดจาํ กดั แปรผนั ตรง F s k ขคดีวจามํากยดัืดหยนุ Y ขคีดวจามาํ กยดัืดหยุน W = งาน WV =งานตอ ปรมิ าตร ∆l ∅ ความชนั = k ความชนั = Y พนื้ ที่ = งาน = Ep พื้นที่ = ปรงมิ าานตร = 21 S∅ ยดื หยนุ = 12 F∆l = 12 k(∆l)2 วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (136) ________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010
ความดันของเหลว หมายถงึ ขนาดของแรงดันของเหลวตอ หนงึ่ หนว ยพน้ื ทตี่ ง้ั ฉาก P = AF ; vF ⊥ A Pext ท่รี ะดับลึก h จากผิวของเหลว พบวา h ความดนั เกจ Pg = ρgh ความดนั รอม P = ρgh + Pext ρ กรณี Pext = Pa P = ρgh + Pa กฎของพาสคาล กลาววา ความดนั จากภายนอกทเี่ พิ่มใหกับของเหลวจะไปเพมิ่ ท่ีทุกๆ จดุ ในของเหลวนน้ั นน่ั คือ Pใหม = Pเดมิ + Pเพิม่ หลักการเทา กนั ของความดนั พบวา ทร่ี ะดับเดยี วกันในของเหลวชนิดเดยี วกนั และเชื่อมตอกนั จะมคี วาม ดนั รวมกนั คือ PA = PB เมอ่ื A และ B อยูระดบั เดียวกัน กาคํานวณแรงดัน ถาบนพ้ืนท่ี A มคี วามดันคงท่ี พบวา ขนาดแรงดนั F = PA ในกรณีความดันของเหลวบนพื้นทไี่ มค งที่ พบวา F = PA = PcmA กรณเี ขือ่ นตรง ยาว l มนี าํ้ ลกึ H จะไดแ รงดนั เขอ่ื น F = 21 ρgH2L (การหาแรงดันเข่ือนไมนิยมคิด Pa) กรณเี ขื่อนเอยี งมมุ θ กบั พ้นื พบวา Fx = F sin θ = 21 ρgH2L Fy = F cos θ = 12 ρgH2L cot θ F = 21 ρgHAเอียง โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (137)
เครอื่ งอดั ไฮดรอลิกส จากกฎของพาสคาล หรอื หลกั การเทา กันของความดนั เราได (ถา ประสิทธิภาพ 100%) W F Fa = WA a การไดเปรยี บเชิงกล = WF (ปฏบิ ตั )ิ = Aa (ทฤษฎ)ี A Hh ของเหลว งาน Fh = WH = ∆Ep โดยท่ี AH = ah แรงลอยตวั Br วัตถทุ ี่จมในของเหลว (หรืออากาศ) จะมีแรงลอยตวั โดยที่ ขนาดแรงลายตวั B = ขนาดน้าํ หนักของเหลวทมี่ ปี ริมาตรเทา กับสว นท่ีจมของวตั ถุ หรอื B = ρเหลว Vจม g แรงลอยตวั มีแนวผา นจุดศนู ยกลางของปริมาตรสว นจมเสมอ การชง่ั วัตถุ พจิ ารณาการชัง่ วตั ถุ ดังรปู ตวั บนอา นได T = mg - B N ตัวลางอานได T N = Mg + B = (M + m)g - T Mm B N ความตงึ ผิว ผวิ ของเหลวบริเวณแนวสมั ผสั จะมแี รงตงึ ผวิ กระทําตอแนวสมั ผัสนัน้ ในทศิ ทางตง้ั ฉากกบั แนวสมั ผัส และขนานกบั ผิวของเหลว โดยท่ี ขนาดแรงตึงผิว F = γl เมือ่ γ เปน ความตึงผวิ และ l เปน ความยาวแนวสมั ผัสรวม คา γ ข้นึ กับชนิดของเหลว, ความบรสิ ทุ ธ์ิ และอุณหภมู ิ (T ตํา่ หรอื บริสุทธิ์ γ จะมาก) ความหนืด เมื่อวัตถุเคลือ่ นทใ่ี นของเหลว (หรือแกส ) จะเกดิ แรงเสียดทานตาน เรียกวา แรงหนืด โดยท่ี ขนาดแรงหนืด f α v หรอื f = kv แรงหนืดมีทศิ ตรงขา มกับความเร็ว เมอื่ k เปน คาคงท่ี ซงึ่ ขึ้นกับชนดิ ของเหลว และรปู รา งวตั ถุ วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (138) ________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010
การไหลของของเหลว การไหลอดุ มคตแิ ทนดวยเสนกระแสการไหลที่เปน ระเบียบ เราพบวา อตั ราการไหล (ปริมาตร/เวลา) หรอื Av มีคา คงท่ี ดังนน้ั A1v1 = A2v2 A2 v2 สังเกตวา คา ρAv เปนมวลตอ เวลา และพบดวยวา P2 P + 21 ρv2 + ρgh = คงท่ี A1 ρ h2 หรือ P1 + 21 ρv12 + ρgh1 = P2 + 21 ρv22 + ρgh2 P1 v1 เรียกวาสมการแบรนลู ลี ในกรณที ี่ h เทากนั เม่ือ v มากแลว P จะนอย h1 ระดับอา งอิง Ep = O ตวั อยา งการไหล น้ํารว่ั จากรเู ลก็ ๆ พบวา h v = 2gh H v โพรเจกไทล h = H2 R Rmax เมอ่ื P1 v1> v2 P2> P1 v2 R1 = R2 เมื่อ h1 + h2 = H ปก เครื่องบนิ P2 - P1 = 21 ρ(v12 - v22 ) แรงยก F = 12 ρA(v12 - v22 ) โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (139)
สมบัติของแกส และทฤษฎีจลน ความรอ น (Q) เปนพลังงานรปู หนึ่ง ซง่ึ ถายเทไดเ นื่องจากผลตางของอณุ หภูมิ โดยสามารถเปลี่ยนเปน พลังงานหรอื งานในรูปอื่น พลงั งานกลสามารถเปล่ียนเปนความรอ นได เชน การพลกิ กลบั ไปกลับมาของลูกเหลก็ ที่ บรรจใุ นทอ PVC จะได Q = nmgh × e% เมือ่ e คอื เปอรเซน็ ตการเปลีย่ นเปนความรอ น และ n คอื จํานวนครั้งของการพลกิ กลบั m คือ มวลรวม ของลกู เหลก็ การเปลย่ี นอุณหภมู ิ อุณหภูมิ (T) แสดงระดบั ความรอนไมไ ดแสดงปรมิ าณความรอ น (คลายระดับนํ้ากับ ปรมิ าณนํ้า) ความรอนทําใหเกดิ การเปลย่ี นอณุ หภมู ไิ ด โดยที่ Q = mc∆T = C∆T เมอื่ c = ความจุความรอ นจาํ เพาะ (J/kg.K) และ C = ความจคุ วามรอ น (J/K) การเปล่ียนสถานะ ความรอนทาํ ใหเกดิ การเปลีย่ นสถานะที่อณุ หภมู ิคงทีค่ าหน่งึ ซึง่ เปน จดุ เปล่ียนสถานะ โดยที่ Q = ml เม่อื l = ความรอ นแฝงจาํ เพาะของการเปล่ยี นสถานนะนัน้ (J/kg) การถา ยเทความรอน ความรอ นไหลจากวัตถุท่มี อี ณุ หภมู สิ งู ไปยังวัตถุท่มี ีอณุ หภูมิต่ําจนกระทั่งสมดลุ ความรอ น (T เทากนั ) หลักการถา ยเทความรอ น คอื Qให = Qรับ ในการหาอณุ หภูมสิ ุดทา ย (ผสม) ของของแขง็ หรือของเหลวจากหลกั ขางบนเมือ่ ไมม กี ารเปลี่ยนสถานะ เราพบวา Tผสม = ΣΣmmccT (K หรือ °C) ผลท่ไี ด คือ อุณหภมู ิเฉลี่ยแบบถว งนํ้าหนกั ดวยคา mc กฎของแกส การทดลองหาความสมั พนั ธร ะหวา งความดนั (P) ปริมาตร (V) อุณหภูมิ (T) และปริมาณ (n, N) ของแกส พบวา PV = nRT = NkT วิทยาศาสตร ฟสิกส (140) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
เม่อื n = จาํ นวนของโมล = มMวล , N = จํานวนโมเลกุล = nNA, R = 8.31 J/mol.K, k = 1.38 × 10-23 J/K = NRA ขอสังเกต ถา n, T คงท่ี ได P α V1 (กฎของบอยล) ถา n, P คงท่ี ได V α T (กฎของชารล) ถา n, V คงท่ี ได P α T (กฎของเกย-ลุสแชค) P V slope = nPR P slope = nVR P α V1 V T(K) T(K) จากกฎของแกส เราพบวา NnPP1111VVTT1111 nNPP2222VVTT2222 = = mP11VT11 = mP22VT22 ρP11T1 = ρP22T2 สองสมการสดุ ทา ยใชก บั แกสชนดิ เดยี วกัน กฎของแกสจะเปนจรงิ สําหรบั แกสอุดมคตเิ ทานั้น สาํ หรับแกส จรงิ จะใชไดดถี าอณุ หภมู สิ งู และความดันต่าํ แบบจาํ ลองของแกส สําหรบั แกสอดุ มคติ เรามแี บบจําลองวา 1. ปรมิ าตรของโมเลกุลนอ ยมากเม่ือเทียบกบั ปรมิ าตรภาชนะ 2. ไมม ีแรงยึดเหนย่ี วระหวา งโมเลกุล 3. โมเลกลุ เคลอื่ นทแ่ี บบราวเนียนไรท ศิ ทางท่ีแนนอนและเกดิ การชนแบบยดื หยุน คา เฉลีย่ เน่ืองจากโมเลกุลของแกสมอี ตั ราเร็วหลากหลาย จึงศกึ ษาการเคล่อื นท่ขี องโมเลกลุ ดวยคาเฉลยี่ ดงั นี้ อัตราเร็ว v = ΣNv อตั ราเรว็ กําลงั สองเฉลยี่ v2 = Σ(Mv)2 พลงั งานจลนเฉล่ยี Ek = ΣNEk = 21 mv2 รากทส่ี องของคาเฉลีย่ ของกําลงั สองของอตั ราเรว็ vrms = v2 โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (141)
ทฤษฎจี ลนของแกส เปนการศึกษาการเคลือ่ นทีข่ องโมเลกลุ สมั พนั ธกับปริมาณท่ีวัดไดจากการทดลอง โดยพบความจรงิ ตามสมการตอไปนี้ PV = 13 mNv2 = 13 mNv2rms = 23 NEk Ek = 23 kT = 12 mv2rms 3mkT vrms = 3P = 3MRT = ρ U = ∑Ek = NEk = 23 PV (PV = nRT = NkT) ในทนี่ ี้ m = มวลของหน่ึงโมเลกลุ , M = มวลของ 1 โมล (kg) และ U คอื พลังงานภายในหรอื ผลรวม พลงั งานจลนของโมเลกุล โดยในระดับนี้สนใจการเคลื่อนทแ่ี บบเลื่อนตาํ แหนงของโมเลกลุ เทา น้ัน ไมส นใจการหมุน สังเกตวา Ek แปรโดยตรงกบั อุณหภมู ิ T เทา นนั้ ไมข้ึนกบั ชนิดของแกส ความจคุ วามรอ นจําเพาะของแกส แกสมีคาความจุความรอ นได 2 แบบ คือ แบบปริมาตรคงที่ (cy) และ แบบความดันคงท่ี (cp) โดยพบวา cy = 23MR cp = cy + MR = 25MR ในทน่ี ้ีเปน คา c ของแกสอะตอมเดีย่ ว คอื แกส เฉ่ือย การผสมแกส เมอื่ นาํ แกส ท่ี P, V, T ตา งกันมาผสมกัน โดยไมท ําปฏิกริ ิยา ใชหลกั วา ∑Uกอ นผสม = ∑Uหลังผสม และพบวา Pผสม = ΣVผ(PสVม) Tผสม = ΣΣ(nnT) ในท่ีน้อี ณุ หภูมิ T เปน K หรอื °C กไ็ ด งานทแ่ี กส ทาํ เม่อื แกสมีการเปล่ียนแปลงปริมาตรจะเกิดงานของแกส ขึน้ โดยพบวา P W>O B งานทีแ่ กส ทํา W = P∆V = P(V2 - V1) เม่ือ P คงที่ W<O W = พนื้ ทใี่ ตกราฟ P - V AW V สังเกตวา ถา ปริมาตรเพิม่ แกสทาํ งาน W เปน บวก แตถา ปรมิ าตรลด แกส ทาํ งาน W เปนลบ (เราทํางาน ใหแ กส) และถา ปริมาตรคงทีต่ ลอดเวลาได W เปน ศนู ย วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (142) ________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010
กฎขอ ทหี่ นง่ึ ของเทอรโ มไดนามิกส เม่ือใหค วามรอน ∆Q ตอระบบใดๆ ระบบจะใชค วามรอนสว นหนึ่ง ในการทาํ งาน (∆W) และอีกสว นหน่ึงเพม่ิ พลังงานภายใน (∆U) จากกฎอนรุ กั ษพ ลังงานจะไดกฎขอ ที่หนง่ึ ของ เทอรโมไดนามิกส ดงั น้ี ∆Q = ∆U + ∆W โดยท่ี ∆Q เปน บวกเม่อื ระบบไดร บั ความรอน และเปนลบเมอื่ ระบบคายความรอ น และ ∆U เปนบวกเมอ่ื U เพมิ่ และ ∆U เปน ลบ เมอ่ื U ลด สาํ หรบั ระบบแกส อะตอมเดี่ยว พบวา ∆U = 23 ∆(PV) = 23 (P2V2 - P1V1) = 23 nR∆T (เม่ือ n คงท)ี่ ดังนน้ั สาํ หรบั ระบบแกส ที่โมลคงทจ่ี ะมี ∆U เปนบวก เม่อื T เพมิ่ เปน ลบ เมือ่ T ลด และเปนศูนยเมอ่ื T คงท่ี ขอ สังเกต มกี รณีท่ีนา สนใจ ดงั นี้ 1. ถา P คงท่ี ได ∆Q = 23 P∆V + P∆V = 52 P∆V = 52 nR∆T 2. ถา V คงท่ี ได ∆Q = ∆U = 23 V∆P = 23 nR∆T (∆W = 0) 3. ถา T คงที่ ได ∆Q = ∆W (∆U = 0) (ความรอ นเปลีย่ นเปน งาน) 4. ถา ∆Q = 0 ได ∆U = -∆W (เชน อัดแกส อยางรวดเร็วจะทาํ ใหแกส รอ นข้นึ ) โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (143)
ปรากฎการณค ลื่น การเคลอื่ นท่ีแบบคลน่ื การถา ยโอนพลังงานโดยการแผกระจายการรบกวนไปตามตวั กลาง โดยตวั กลางไม เคลอื่ นที่ไปพรอ มกบั คลนื่ คลืน่ กล คลื่นท่ตี อ งอาศัยตัวกลางในการเคลือ่ นท่ี เชน คล่ืนเชือก คล่นื น้าํ คล่ืนเสยี ง คลื่นแมเ หล็กไฟฟา คลน่ื ท่ีไมอ าศยั ตัวกลางในการเคลอ่ื นที่ เชน คลนื่ แสง คลืน่ วทิ ยุ คล่ืนตามขวาง คลืน่ ทีม่ ีการสนั่ ของตัวกลางในแนวต้งั ฉากกับการเคลือ่ นทีข่ องคล่นื เชน คลน่ื เชอื ก คลน่ื น้ํา คล่นื แมเ หล็กไฟฟา ( E และ B ส่ัน) คล่ืนตามยาว คลืน่ ที่มกี ารส่นั ของตัวกลางขนานกบั ทิศทางของการเคลอ่ื นทขี่ องคลนื่ เชน คลืน่ เสยี ง คลื่นรปู ชายน เกิดจากการส่นั ของแหลง กําเนดิ SHM. ทาํ ใหต วั กลางสน่ั แบบ SHM. และไดคลน่ื รปู รา งเปน กราฟรูปซายน (หรอื โคซายน) สนั คล่ืน λ อตั ราเร็ว v x S การกระจัด y แอมพลจิ ดู A ทอ งคลืน่ ปริมาณของคลื่น การกระจัด y(x, t) = A sin (2πx/λ - 2πft) ทต่ี าํ แหนง ใดๆ y = A sin (ωt + ∅) ความถ่ี f = จํานวนรอบ/เวลา = จาํ นวนลูกคลน่ื /เวลา คาบ T = เวลา/รอบ = เวลา/ลูกคลื่น ความถี่เชิงมมุ ω = 2πf = 2π/T แอมพลิจูด A = ขนาดของการกระจัดมากทสี่ ดุ ความยาวคลืน่ λ = ระยะหางระหวา งสนั คลืน่ หรือระหวา งทองคลน่ื ติดกนั = 1 ลูกคลื่น หนาคลื่น คอื แนวที่ลากผานสนั คลืน่ เดยี วกนั หรอื ทอ งคลื่นเดยี วกัน รงั สี คือ ทิศทางแสดงการเคล่ือนทข่ี องคลื่น ซึ่งต้งั ฉากกับหนา คลืน่ เสมอ v = St = λT = fλ อัตราเรว็ เฟสของคลนื่ ∅ = มมุ ทีก่ ําหนดตาํ แหนง เพอื่ บอกสภาวะสน่ั ของคล่ืน โดย กําหนดสอดคลอ งกบั กราฟซายน หรอื สอดคลอ งกับ เฟสของ SHM. พลงั งานคลื่น E α A2 วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (144) ________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
ความตางเฟส ∆∅ = 2π ∆x (ระหวา ง 2 ตาํ แหนง ที่เวลาเดียวกัน) λ ∆∅ = 2 πf∆t (ระหวา ง 2 เวลาท่ตี ําแหนงเดยี วกัน) เฟสตรงกัน ∆∅ = (เลขคู)π และ ∆x = (จํานวนเตม็ )λ เฟสตรงขาม ∆∅ = (เลขค)่ี π และ ∆x = (เลขค่ี) λ2 เฟสตรงกันสั่นเหมือนกัน เฟสตรงขา มกันสัน่ ตรงขา มกนั สมบัติของคลนื่ คลื่นมีสมบตั พิ น้ื ฐานสาํ คัญ คอื การสะทอน การหกั เห การเลยี้ วเบน และการแทรกสอด การสะทอน และการหกั เหเปน สมบัตริ วมระหวา งอนภุ าคและคลื่น การสะทอ น คลนื่ เกดิ การสะทอนเมอื่ กระทบส่งิ กดี ขวาง หรือรอยตอ ระหวา งสองตวั กลาง กฎการสะทอน คือ มมุ ตกกระทบ θ1 = มุมสะทอน θ2 เมอ่ื θ1 และ θ2 อยใู นระนาบเดียวกนั เสนแนวฉาก รงั สีตก รังสสี ะทอน θ1 θ2 ผวิ สะทอน θ1 และ θ2 เปน มมุ ทรี่ งั สีทํากบั เสนแนวฉาก หรอื หนา คลื่นกระทาํ กบั ผิวสะทอ น กฎการสะทอนเปนจรงิ ทุกผวิ สะทอ น คลืน่ เชือกสะทอ นปลายอสิ ระ โดยไมเปลยี่ นเฟสแตปลายตรึงจะ สะทอ นกลับเฟสไป 180° (กลับเปนเฟสตรงขา ม) การหักเห การหักเหเกิดเมอ่ื คลน่ื เคลอื่ นท่ผี านจากตวั กลางหนงึ่ ไปยงั อกี ตัวกลางหนึ่ง โดยมีมมุ ตกกระทบไม เปนศนู ย (หนาคลนื่ ไมขนานกบั รอยตอ) การเปลย่ี นทศิ ทางของคลื่นเปน เพราะความแตกตา งของอตั ราเรว็ คลื่น เชน คล่ืนน้ําพบวา vนา้ํ ลกึ > vน้ําตืน้ จึงเกิดการหักเห ดังรปู v1 หนา คลื่นตก v1 รังสีตกกระทบ นา้ํ ตน้ื θ1 λ1 นํา้ ลกึ θ1 λ2 θ1 รอยตอ λ1 นา้ํ ลกึ θ2 θ2 (เบvน2 อ>อvก1) θ1 นํา้ ตืน้ λ2 θ2 θ2 รังสหี กั เห หนา คลนื่ หักเห (เvบ2นเ<ขvา )1 โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (145)
การหักเหเปนไปตามกฎของสแนลล คอื sin θ1 = vv21 = λ1 sin θ2 λ2 เมอื่ θ1 และ θ2 เปน มมุ ตกกระทบและมุมหักเห ตามลาํ ดบั (รงั สที ํากับเสนแนวฉาก หรือหนา คล่ืนทํากบั รอยตอ ) มีขอ สรปุ ท่ีสําคัญ คือ ก) รังสเี บนออกจากเสนปกติ (θ2 > θ1) เมอื่ v2 > v1 รังสีเบนเขาหาเสน ปกติ (θ2 < θ1) เมอื่ v2 < v1 ข) การหักเหไมเปลยี่ นความถี่ และเฟส ดังนนั้ λนาํ้ ลึก > λนํา้ ตน่ื ค) กรณี θ1 = 0 คอื หนา คล่นื ขนานกบั รอยตอจะไมเกดิ การหกั เห เพราะทศิ ของคล่ืนยังคงเดมิ ถึงแม v และ λ จะเปลย่ี นไป ง) กรณีคลืน่ จากนา้ํ ต้นื ไปน้าํ ลกึ จะมีมุม θ1 ทที่ าํ ให θ2 = 90° เรียก θ1 นี้วา มมุ วกิ ฤติ หรอื θc โดยท่ี sin θc = vv21 = λ1 λ2 สะทอนกลบั หมด น้าํ ตนื้ θc น้ําลึก θ2 = 90° ถา θ1 > θc จะเกดิ การสะทอ นกลับหมด ซงึ่ จะเกดิ ขึ้นในกรณคี ลืน่ เคลอ่ื นท่จี ากนํา้ ตืน้ ไปนา้ํ ลึกเทา นัน้ การเล้ียวเบน คลน่ื เกดิ การเปลีย่ นทิศทางเลยี้ วเบนออ มสง่ิ กีดขวางหรือชองเปดได การเล้ียวเบนเกิดข้นึ อยางชัดเจนหรือเล้ยี วเบนดีเมือ่ ขนาดความยาวคลื่นมากกวาหรือเทากบั ขนาดชองเปด หรอื สิง่ กีดขวาง การเล้ยี วเบน ไมเปลย่ี นเฟส และไมเปล่ยี นอตั ราเร็วคล่นื ขนาดชองใหญ > λ ขนาดชอ งเล็ก < λ ขนาดสง่ิ กีดขวาง < λ การแทรกสอด เม่อื คลน่ื เคลือ่ นที่มาพบกันจะเกิดการรวมกนั ไดตามหลกั การซอนทบั คอื การกระจดั ลัพธ เทากับผลรวมของการกระจดั ยอย คือ y = ∑yi ซง่ึ เปนจรงิ สําหรบั คลนื่ ทีม่ แี อมพลจิ ูดนอยๆ การซอ นทับของคลื่น ทีม่ คี วามถ่เี ดียวกัน เรียกวา การแทรกสอด การซอ นทับของคลนื่ มที ั้งแบบเสรมิ กัน (เม่ือเฟสตรงกนั ) และแบบ หกั ลางกัน (เมอื่ เฟสตรงขามกัน) วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (146) ________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
คล่ืนน่งิ เม่ือคลน่ื รปู ซายน 2 ขบวนท่เี หมือนกันทกุ ประการเคลอ่ื นทสี่ วนกันในตัวกลางหนึง่ จะเกิดการแทรก สอดทําใหเ กดิ คลื่นน่ิง ซึ่งประกอบดวยตาํ แหนง บพั (node) และปฏบิ ัพ (antinode) สลบั กนั โดยบพั เปนจุดทีเ่ กดิ จากการแทรกสอดแบบหักลางตลอดเวลา (ตวั กลางไมส ่ัน) และปฏบิ พั เปนตาํ แหนง ท่แี ทรกสอดเสรมิ กันตลอดเวลา (ตัวกลางสนั่ ตลอดเวลา) ปฏิบัพ λ2 t = o หรอื T บพั λ2 t = T2 คล่นื นงิ่ ไมมีการเคล่อื นท่ี (v = 0) แตม กี ารสนั่ ของปฏบิ ัพดวยคาบและความถ่ีเดยี วกบั คลนื่ ยอย และมี แอมพลจิ ูดเทา กบั ผลรวมของคล่นื ยอย การเกดิ คลนื่ นงิ่ มคี วามจริง ดังนี้ ก) ปลายอิสระของเชือก และขอบถาดคลน่ื นาํ้ เปน ตาํ แหนงปฏิบพั เสมอ ข) ปลายตรึงของเชอื ก และปลายเชอื กทีต่ อกับแหลง กําเนิดเปน บัพเสมอ ค) ท่จี ดุ กาํ เนดิ คล่นื นํ้าอาจเปน บัพ หรอื ปฏบิ พั กไ็ ด การแทรกสอดของคลื่นนาํ้ อาพันธ คลื่นนาํ้ วงกลมจากจดุ กําเนดิ S1 และ S2 ท่ีมกี ารสน่ั ดวยความถี่ เทากนั และมคี วามตา งเฟสคงท่ี เรียกวา คลนื่ อาพันธ เมอื่ แทรกสอดกันจะทําใหเกิดริว้ การแทรกสอดเปน แนวบัพ และปฏบิ ัพอยางเปนระเบยี บในกรณีแหลงกาํ เนดิ อาพันธเ ฟสตรงกันจะได ดงั รูป (แนวสุดทา ย) A3 N3 A2 N2 NNAAA10111 (แนวปฏบิ ัพกลาง) S1 d N3 A2 N2 S2 λ A3 แนวปฏิบัพ An (n = 0, 1, 2, ...) หาไดจากเง่ือนไขของจุด P คือ path diff. = |S1P - S2P| = nλ แนวบพั Nn (n = 1, 2, ...) หาไดจากเง่ือนไขของจดุ P คือ path diff. = |S1P - S2P| = n - 12 λ ในกรณแี หลงกาํ เนดิ อาพนั ธเ ฟสตรงขา มกันแนวกลางจะเปน N0 และเงอ่ื นไขตองสลับกับกรณเี ฟสตรงกนั กรณจี ดุ P อยไู กล (r >> d) โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (147)
S1 P ประมาณวา |S1P - S2P| = d sin θ จึงได rx แนว An คอื d sin θ = nλ d θ Ao 21 l แนว Nn คอื d sin θ = n - λ S2 เมอื่ sin θ = xr ≈ x ถา θ นอ ย อนั ดบั (n) ของแนวบัพ และปฏบิ พั สุดทาย (ดานขาง S1 และ S2) ι หาไดจากเงอื่ นไข |S1P - S2P| = d หรอื ใช sin θ = sin 90° = 1 โดยจํานวนแนวทัง้ หมดตองคดิ ทัง้ 2 ขางของ A0 สาํ หรับตาํ แหนงปฏิบัพท่อี ยูบนเสน ตรง S1S2 จะเปน คลืน่ นงิ่ สอดคลองกับหลักการทัว่ ไปทกี่ ลาวมาแลว นอกจากน้ีเรายงั สราง S1 และ S2 ไดจากการใหค ล่ืนหนา ตรงเลี้ยวเบนผา นชอ งเปด แคบๆ 2 ชอ งก็ได (การแทรก สอดของชองค)ู การเลยี้ เบนผานชอ งเด่ยี ว คลนื่ นาํ้ หนาคล่นื ตรงเม่อื เล้ยี วบนผานชองแคบเดย่ี วท่ีมคี วามกวาง d > λ จะเกดิ รว้ิ การแทรกสอดบัพและปฏบิ พั ดังรปู N2 A1 N1 โดยตําแหนง Nn ทีอ่ ยูไกล สอดคลองกับเง่อื นไข λ d Ao d sin θ = nλ N2 A1 N1 และตาํ แหนงปฏบิ พั An ท่อี ยไู กล ต้ังแต A1, A2, ... ประมาณวา สอดคลองกบั เงื่อนไข P d sin θ = n + 21 λ ; n = 1, 2, ... r λd x โดยท่ี sin θ = xr เมอ่ื r >> d และ sin θ = x ถา θ นอยๆ θ Ao ι l การเลีย้ วเบนอธบิ ายดว ยหลกั ของฮอยเกนสท่ีกลาววาทุกจุดบนหนาคล่ืนเสมือนเปนแหลงกําเนิดคล่ืนผลิต หนาคล่ืนถดั ไป วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (148) ________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010
คล่ืนเสียง เสยี ง เสยี งเปน คลน่ื กลตามยาว เกิดจากการส่นั สะเทือนของวตั ถุ ทําใหเกิดสว นอดั และสวนขยายเคล่ือนที่ ไปตามตวั กลางคลายคล่ืนตามยาวในสปริง อดั อัด อัด อดั ขยาย อดั ขยาย อัด เสียง ลําโพง ขยาย ขยาย คลื่นความดนั ของเสียง สวนอัดจะมีความดนั สูง (P > Pa) ขยายจะมคี วามดันตาํ่ (P < Pa) กรณีลําโพงสั่นแบบ SHM จะไดคลื่น ความดนั รูปซายนเคลื่อนท่ีไปดวยอัตราเร็วคาหน่งึ แตค ลน่ื เสยี งอาจแทนดว ยคลนื่ การกระจัดการสน่ั ของโมเลกลุ โดยพบวา ตาํ แหนง กลางสวนอัดและสวนขยายจะมกี ารกระจดั เปน ศนู ย และคลื่นความดันจะมีเฟสตา งกับคลืน่ การ กระจัดอยู 90° ดงั รปู คล่ืนความดันของเสียง v คลื่นกระจดั กระจายของเสียง λ/4 แอมพลิจดู คลื่นความดนั จะแปรผนั ตรงกบั แอมพลิจดู คล่ืนการกระจัดสวนปริมาณอ่นื ๆ เชน f, λ, v มีคา เทา กนั อัตราเร็วเสียง อตั ราเรว็ เสียงขน้ึ กับสถานะและชนดิ ของตวั กลาง โดยทว่ั ไปอตั ราเร็วเสยี งในของแข็ง มากกวาในของเหลว และในของเหลวมากกวาในแกส สาํ หรับแกส ชนดิ หนึ่งพบวา อัตราเรว็ v เสยี งขึ้นกบั อุณหภมู ิ T (เคลวิน) โดยท่ี v α T ดงั นนั้ vv21 = TT12 สาํ หรับในอากาศ v α T เชนเดียวกนั โดยท่ีถา อณุ หภมู ิไมสูงหรือต่ํากวา ปกติมากนักจะไดคาประมาณ อัตราเรว็ เสียงในอากาศ คือ v = 331 + 0.6 t เมื่อ t = อณุ หภูมหิ นว ย °C และ 331 m/s เปน อัตราเร็วเสียงในอากาศอณุ หภูมิ 0°C หรือ 273 K โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (149)
การสะทอนของเสียง เสียงเกดิ การสะทอ นภายใตก ฎการสะทอน (มุมตก = มมุ สะทอน) เชน เดียวกับคล่นื นาํ้ การสะทอนทําใหเกดิ เสียงกอง และสามารถนําไปหาระยะหา งของสง่ิ ตา งๆ ได (จากสมการ S = vt) คลืน่ เสียงท่ี เดินจากอากาศกระทบผวิ สะทอน จะเกิดการสะทอนแบบไมเปลี่ยนเฟสสําหรบั คลืน่ ความดัน แตจะสะทอ นแบบ กลับเฟส 180° สําหรบั คลนื่ การกระจัด การหกั เหเปนไปตามกฎของสเนลล sin θ1 = vv21 = λ1 sin θ2 λ2 สาํ หรับอากาศทีอ่ ุณหภูมติ างกันจะไดอตั ราสว นอัตราเรว็ คือ vv12 = TT12 = 331 + 0.6 tt21 331 + 0.6 สังเกตวา เสยี งเดินทางจากบริเวณอากาศเย็นไปสูอ ากาศรอน รังสจี ะเบนออกจากเสน แนวฉาก และจะเบน เขาหาเสน แนวฉากเม่ือเดนิ ทางจากอากาศรอ นไปสูอากาศเย็น สาํ หรบั กรณีจากเย็นไปสูรอนอาจเกดิ การสะทอ นกลบั หมดได ถา มมุ ตกกระทบโตกวา มุมวิกฤติ θc โดยท่ี θc หาไดจาก sin θc = vv21 = λ1 = TT21 = 331 + 0.6 tt21 เมอื่ T2 > T1 λ2 331 + 0.6 การแทรกสอด เราอธิบายการแทรกสอดของเสียงดว ยคลืน่ ความดนั สําหรับการแทรกสอดของคล่นื อาพนั ธข องเสยี งทาํ ใหเกิดคล่ืนน่งิ เราพบวา ปฏบิ ัพของความดัน = บัพของการกระจัด = เสยี งดัง บัพของความดัน = ปฏบิ ัพของการกระจดั = เสยี งคอ ย สําหรับท่ผี วิ สะทอนจะเปนบัพของการกระจดั หรือปฏบิ พั ของความดันเสมอ ในกรณีการแทรกสอดของคลน่ื อาพนั ธเ ฟสตรงกันจากลําโพงสองตวั จะไดแ นวกลางเปน ปฏิบัพของความดนั และแนวตางๆ ดา นหนาลาํ โพงสอดคลองกบั สมการทีก่ ลา วมาในบทท่แี ลว คือ แนวปฏิบัพความดนั ท่ี n |S1P - S2P| = nλ (ดัง) 21 แนวบัพความดนั ที่ n |S1P - S2P| = n - λ (คอ ย) นอกจากน้ีเรายงั ประมาณ |S1P - S2P| ≈ d sin θ ได เม่ือ P เปนจดุ ท่ีอยูไกล และ sin θ ≈ x ไดถ า ι มมุ θ นอย สาํ หรับการหาแนวบัพและปฏบิ พั ท้งั หมดหาไดโ ดยใชเ งอ่ื นไขและวิธกี ารเดยี วกบั คล่นื น้าํ คือ ให θ = 90° (ดูบทเรอ่ื งคลื่น) การเลยี้ วเบน เสยี งเล้ยี วเบนไดเ ชน เดียวกบั คลืน่ ทว่ั ไปและเล้ียวเบนไดดี เพราะเสียงมคี วามยาวคลื่นมาก และมขี นาดพอๆ กับวตั ถหุ รอื ชอ งเปด สาํ หรับการเลย้ี วเบนและแทรกสอดของเสียงผานชอ งคูแ ละชอ งเดียว เกิดไดเชนเดียวกับคลน่ื นํา้ แตมกั ไมถ กู สนใจ เพราะทําการทดลองไดย าก วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (150) ________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160