การเกดิ บตี ส บีตสเ กดิ จากการแทรกสอดของคลน่ื เสยี งท่ีมคี วามถ่ตี างกนั เลก็ นอ ย (ไมเกนิ 10 Hz) ทาํ ให ไดยนิ เสยี งดัง-คอ ยสลบั กนั ไป คล่ืนบตี สม ีแอมพลจิ ดู ไมส ม่าํ เสมอ ดังรปู ดงั ดงั v คอย ผูฟง ความถ่ีบีตส หาไดจาก fb = |∆f| = fมาก - fนอ ย สําหรับคลื่นลพั ธจ ะมีความถ่ีเฉลี่ย f = f1 + f2 Hz 2 การสนั่ พอง เม่อื กระตุน ระบบใดๆ ดวยความถขี่ องการกระตุน เทากบั ความถ่ธี รรมชาติของระบบ ระบบจะ สน่ั รนุ แรงดวยความถี่ธรรมชาตินั้นๆ เรยี กวา เกิดการส่ันพอ ง (resonance) สําหรบั ระบบท่เี กดิ คล่นื การสัน่ พอง จะเกิดคลนื่ นง่ิ แอมพลจิ ูดสูงจากผลการแทรกสอดของคล่นื ท่ีสะทอ นกลบั ไปกลับมาในระดบั นม้ี ี 3 ระบบ ดงั รปู 1. ลวดปลายตรึง 2 ดา น l n =f1 1 ι = n2λ ; v = fλ n2vι = 2nι T n =f2 2 f= µ n = 1, 2, 3, ... n =f3 3 µ = มวล/ความยาว = m/ι, T = ความตึง สงั เกตวา f1 = 2vι , f2 = 2f1, f3 = 3f1, ... เรียก f1 วาความถีม่ ูลฐาน หรือฮารมอนกิ ท่ี 1 และเรยี ก f2 และ f3 วาฮารมอนิกท่ี 2 และ 3 ตามลําดบั (อาจเรียกความถถ่ี ดั จากมลู ฐานวา โอเวอรโทนท่ี 1, 2, ... ก็ได) 2. หลอดเรโซแนนซป ลายเปด 2 ดา น l n =f1 1 ι = n2λ ; v = fλ f = n2vι ; v = 331 + 0.6 t n =f2 2 n = 1, 2, 3, ... n =f3 3 สังเกตวา f1 = 2vι , f2 = 2f1, f3 = 3f1, ... โดยความถี่ตางๆ มชี ือ่ เรยี กเหมอื นลวดปลายตรึง โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (151)
3. หลอดปลายปด 1 ดาน ι = (2n - 1) λ4 ; v = fλ f = (2n 4-ι1) v ; v = 331 + 0.6 t l n = 1, 2, 3, ... n =f1 1 n =f2 2 n =f3 3 สงั เกตวา f1 = 4vι , f2 = 3f1, f3 = 5f1, ... เรยี ก f1 วา ความถ่หี ลักมูลหรืออารม อนิกท่ี 1 และเรียก f2 และ f3 วา ฮารมอนิกท่ี 3 และ 5 ตามลาํ ดบั (มีอันดับฮารม อนิกเลขคเี่ ทานัน้ ) เราสามารถใชความถ่คี งทกี่ ระตนุ ระบบแลว ปรบั ความยาวลวด หรือหลอดเรโซแนนซ เพ่อื ใหมคี วามยาว พอเหมาะท่ีจะเกิดการสน่ั พองได ดังรปู lmin = λ2 lmin = λ2 lmin = λ4 ∆l = λ2 ∆l = λ2 ∆l = λ2 ในแงการทดลอง เราหาความยาวคลน่ื เสียงจาก ∆ι = λ2 ของหลอดเรโซแนนซ การใชคา lmin จะมี ความคลาดเคลื่อน เนือ่ งจากท่ีปลายเปด ไมใ ชต าํ แหนง ปฏบิ ัพพอดี (end correction) แตจะอยูเลยปลายเปด ออกไปเล็กนอย ความเขม เสียง เสยี งมีพลังงานทาํ ใหเกิดการไดยนิ ความทมุ แหลมของเสียงขนึ้ กับความถี่ (20-20000 Hz) ถา ความถีม่ ากจะเปนเสยี งแหลม แตค วามดงั ของเสยี งขน้ึ กับแอมพลิจูดของเสยี ง บนพน้ื ท่ี A ถามีเสียงตกกระทบ ในแนวตั้งฉากดว ยพลังงาน E ในชว งเวลา t จะมีนิยามปรมิ าณตา งๆ ดังน้ี กาํ ลงั ของเสียง P = Et วัตต ความเขมเสียง I = AP วตั ต/ ตารางเมตร ระดับความเขม เสยี ง β = 10 log IIo เดซิเบล ความเขม เสียงที่คนฟงไดอยใู นชว ง 10-12 ถงึ 1 W/m2 โดยคา 10-12 เรียกวา Io ตามระดับ ความเขมเสียงทีค่ นฟง ไดอ ยใู นชวง 0 ถงึ 120 dB วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (152) ________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010
ในกรณจี ดุ กาํ เนิดเสียง ซึ่งกาํ ลงั P กระจายเสยี งรอบทิศสมาํ่ เสมอ จะไดค วามเขมเสยี งท่รี ะยะหา ง r จาก แหลง กําเนดิ คอื I= P 4 πr2 ในการเปรียบเทียบผลตางของระดับความเขม เสียง β1 และ β2 ของเสียงทีม่ คี วามเขม I1 และ I2 จะได β1 - β2 = 100 log II21 ที่จดุ หน่งึ ถา มีเสียงจากแหลงกําเนดิ หลายแหลง จะได Iรวม = ∑I = 100 log IรI0วม βรวม สงั เกตวา βรวม ไมเ ทา กับ ∑β ปรากฏการณค อปเพลอร ในกรณีแหลงกําเนดิ เสียง (S) และผฟู งเสียง (O) อยนู ง่ิ ความถ่ีเสียงท่ีผูฟ ง ไดยิน (fo) จะเทา กับความถเ่ี สียงปกตจิ ากแหลง กําเนิด (fs) แตเมอื่ มีการเคล่อื นท่สี มั พัทธก ันระหวางแหลงกาํ เนิดกับผฟู ง จะทาํ ให fo ไมเทา กับ fs เรียกวาเกิด Doppler Effect vo vo S vs vo vo λหลงั fs λหนา ถา v = อตั ราเร็วเสยี ล, vs = อัตราเรว็ แหลง กําเนดิ และ vo = อตั ราเร็วผฟู ง จะไดว า λหนา = v -v s < λปกติ λหลงั = fs v vs + > λปกติ fs fo = fs vv ± vvos ± สงั เกตวา กรณี vo เขา หา S หรอื vs เขา หา O จะมีแนวโนม ที่ fo > fs แตก รณีท่ี vo ออกจาก S หรือ vs ออกจาก O จะมแี นวโนมท่ี fo < fs จึงสรปุ วาใช +vo เม่ือผฟู ง วิ่งเขา ใช -vo เมื่อผฟู ง วง่ิ ออก ใช +vs เมือ่ แหลง กาํ เนดิ วงิ่ ออก และใช -vs เมอื่ แหลง กาํ เนิดวง่ิ เขา ในกรณที ่ี vo และ vs อยใู นแนวตงั้ ฉากกบั ความเรว็ เสยี งทกี่ ําลังรับฟงจะไมเกดิ Doppler Effect และการ เคล่อื นที่ของอากาศ (ลมพัด) อยางเดียว โดยที่ S และ O อยูน ง่ิ ไมท าํ ใหเ กิด Doppler Effect โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (153)
คลนื่ กระแทก เมอื่ แหลง กาํ เนดิ S เคลอื่ นที่ดว ยอตั ราเร็วมากกวาอตั ราเร็วเสียง คลืน่ เสียงจะแทรกสอด กนั เกิดกรวยของคลืน่ กระแทกทมี่ ีมมุ กรวย 2θ ดังรปู tO= o vst θ vs > v vt θ เคร่ืองบนิ หนา คลื่นกระแทก คลนื่ เสียงจาก O จากรูป จะได sin θ = vvs = m1 , m = vvs = เลขมคั คลืน่ น้ําสามารถเกดิ คล่นื กระแทกได วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (154) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
ขอ สอบสมบตั ขิ องสสาร แกส คลน่ื และเสียง คร้ังที่ 1 มีนาคม 2552 1. ถังใสน า้ํ มีทอขนาดเล็ก ตอ กับวาลวทปี่ ด ไวด ังรปู ผิวนาํ้ ถาไมค ิดถึงความหนืดของนาํ้ เมอื่ เปดวาลว ความดนั สัมบรู ณท จี่ ุด A จะเปนดังขอ ใด A 1) เพิ่มข้นึ 2) คงเดมิ โดยมคี ามากกวาความดนั บรรยากาศ 3) คงเดมิ โดยมีคา เทากบั ความดนั บรรยากาศ 4) ลดลง 2. ขอ ใดคือพลงั งานจลนข องแกสฮีเลยี มในถงั ปดปรมิ าตร 10 ลูกบาศกเ มตรทอ่ี ุณหภูมิ 300 เคลวนิ เม่ือแกสมี ความดันเกจเทากับ 3 × 105 ปาสกาล กําหนดใหค วามดนั 1 บรรยากาศเทากบั 105 ปาสกาล 1) 3.0 × 106 จลู 2) 4.0 × 106 จูล 3) 4.5 × 106 จลู 4) 6.0 × 106 จูล 3. ถา เปรียบเทยี บความรอนกับกระแสไฟฟา อุณหภูมิจะเทียบไดก บั ปริมาณใด 4) พลังงานไฟฟา 1) ความตานทานไฟฟา 2) ศกั ยไฟฟา 3) กาํ ลงั ไฟฟา 4. การแทรกสอดของคลืน่ บนผิวนํา้ จากแหลง กําเนิดอาพนั ธ 2 แหลง ทาํ ใหเ กดิ คล่นื น่ิง พิจารณากรณตี อไปนี้ ก. สนั คลืน่ ซอนทบั สนั คล่ืน ข. สันคลืน่ ซอนทบั ทองคล่ืน ค. ทอ งคลืน่ ซอนทบั ทองคล่นื การซอนทบั กนั กรณใี ดทาํ ใหเ กดิ จุดบพั 1) ก. และ ค. 2) ข. 3) ข. และ ค. 4) ค. 5. เมื่อเสยี งเดินทางจากแหลงกาํ เนิดเสยี งท่หี ยดุ นง่ิ ผา นตวั กลางหน่งึ เขา ไปในอกี ตัวกลางหนึง่ ปรมิ าณใดของ เสียงทไี่ มเปลี่ยนแปลง 1) ความถ่ี 2) ความยาวคลื่น 3) อัตราเรว็ คล่นื 4) ไมมีปริมาณใดทไ่ี มเ ปลยี่ นแปลง โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010 ________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (155)
ครั้งที่ 2 กรกฎคม 2552 1. ออกแรงดงึ เสน ลวดเสนหนึ่งดว ยแรงคงท่ี ถา ใชแ รงเทาเดิมในการดึงเสนลวดชนิดเดียวกันนี้ แตมคี วามยาว และเสน ผานศนู ยก ลางลดลงครึ่งหน่งึ ความยาวท่ีเปลีย่ นไปของเสนลวดเสนนี้เปน อยา งไรเมอ่ื เทยี บกบั เสน ลวดเสน แรก 1) เปน ครึง่ หนึง่ ของความยาวทีเ่ ปล่ียนไปของเสนแรก 2) เทากบั ความยาวทเ่ี ปล่ียนไปของเสนแรก 3) เปน 2 เทา ของความยาวที่เปล่ยี นไปของเสนแรก 4) เปน 4 เทา ของความยาวที่เปลีย่ นไปของเสน แรก 2. ลกู บอลลนู ทําดว ยวสั ดทุ ม่ี มี วล 2M มปี ริมาตร V ภายในบอลลนู บรรจอุ ากาศรอนท่ีมีความหนาแนน ρ อากาศภายนอกบอลลนู มีความหนาแนน ρair ถาลูกบอลลนู ลอยไดพอดี อากาศรอนตอ งมคี วามหนาแนน เทา ใด (ทกุ ปรมิ าณใชหนว ย SI) 1) 2ρair - MV 2) ρ2air + MV 3) ρair - 2VM 4) ρair - MV 3. ลูกปง ปองกาํ ลังลอยขนึ้ จากกน สระนํา้ ในขณะทล่ี กู ปง ปองมอี ตั ราเร็วไมค งท่ี ผลของความหนดื ของนาํ้ จะทาํ ใหอตั ราเรว็ และอัตราเรง ของลกู ปงปองมีการเปล่ียนแปลงอยา งไร 1) อัตราเร็วกาํ ลงั เพ่มิ อัตราเรงกําลงั เพ่ิม 2) อตั ราเรว็ กาํ ลงั เพ่ิม อัตราเรง กําลังลด 3) อัตราเร็วกําลงั ลด อัตราเรงกําลงั เพ่มิ 4) อัตราเรว็ กําลังลด อัตราเรง กําลงั ลด 4. แกส อุดมคตชิ นดิ อะตอมเดยี่ วกาํ ลังขยายตัวอยางชาๆ ในกระบอกสูบ โดยมคี วามดนั คงท่ี P ปริมาตรเปล่ยี น จาก 23VP1(เVป2น -VV21แ)ละอณุ ห2ภ)ูมิเ52ปลP่ีย(Vน2จา-ก T1 เปน T23)แก23สอRุด(Tม2คต-นิ Tไี้ ด1ร) บั พลงั งา4น) คว52าRม(รTอ2น-เทาTใ1ด) 1) V1) 5. คลนื่ ในเสน เชือกทีเ่ วลาตางกัน 0.2 วินาที เปนดงั ภาพ 1m ปลายตรงึ เสนเชอื ก ปลายตรึง จงพิจารณาขอ ความตอ ไปน้ี ก. แหลงกําเนิดคล่นื มีความถ่ีเทา กบั 2.5 เฮิรตซ ข. แหลง กําเนดิ คลนื่ อาจมคี วามถ่ีนอ ยกวา 2.5 เฮิรตซ ค. แหลงกาํ เนิดคล่ืนอาจมีความถ่ีมากกวา 2.5 เฮิรตซ มขี อ ความทถ่ี กู ตองก่ีขอ ความ 1) 1 ขอ ความ 2) 2 ขอ ความ 3) 3 ขอ ความ 4) ไมม ขี อความใดถูกตอ ง วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (156) ________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010
6. การพูดผา นกรวยกระดาษไปยงั ผูฟง ท่อี ยูไกลออกไปจะทาํ ใหผฟู ง ไดยนิ เสยี งทชี่ ัดข้นึ ลกั ษณะดังกลา วอธิบาย ไดดวยสมบัติขอ ใดของคลืน่ เสยี ง 1) การหักเห 2) การสะทอ น 3) การแทรกสอด 4) การเลี้ยวเบน ครั้งที่ 3 ตลุ าคม 2552 1. วตั ถุกอนหนงึ่ มีความหนาแนน ρ0 เมื่อนาํ ไปหยอนลงในของเหลว 4 ชนิด และวตั ถหุ ยุดนงิ่ ไดผ ลดงั รูป เชือกตึง ของเหลว A ของเหลว B ของเหลว C ของเหลว D แรงลอยตัวในของเหลวขอใดมีคาเทา กนั 1) A และ B 2) B และ C 3) A และ D 4) A B และ D 2. แกส อุดมคตชิ นิดหน่งึ บรรจอุ ยูใ นภาชนะทมี่ ีปริมาตรคงตวั ถาลดจาํ นวนโมเลกลุ ของแกสลงคร่งึ หนึ่งโดย รกั ษาความดนั ใหม คี า คงเดมิ ขอใดไมถ กู 1) อุณหภมู ขิ องแกส มีคาเทา เดิม 2) พลงั งานภายในของแกส มีคาเทา เดิม 3) vrms ตอนหลังมคี ามากกวา vrms ตอนแรก 4) พลังงานจลนเฉล่ียของแกสตอนหลงั เปน 2 เทาของตอนแรก 3. แกสในกระบอกสบู ไดร บั ความรอน 300 จลู ทําใหปริมาตรเปล่ยี นแปลงไป 5 × 10-3 ลกู บาศกเ มตร ถา ใน กระบวนการนร้ี ะบบมคี วามดันคงตัว 2 × 105 พาสคลั เครอื่ งหมายของ ∆U และ ∆W เปน อยา งไร ตามลําดับ 1) บวก, บวก 2) บวก, ลบ 3) ลบ, บวก 4) ลบ, ลบ 4. ถา ระดับความเขมเสียงจากแหลงกําเนิดเสียงหนง่ึ เปลี่ยนจาก 20 เดซเิ บลเปน 40 เดซเิ บล ความเขม เสียง เพม่ิ ข้นึ กี่เทา 1) 2 2) 10 3) 20 4) 100 5. หลอดเรโซแนนซปลายปด ดานหนงึ่ มคี วามยาว 2 เมตร ความยาวคลนื่ ของฮารม อนกิ ทส่ี าม เทากบั กีเ่ มตร 1) 1.33 2) 1.6 3) 2.67 4) 4 6. ถงั บรรจนุ ้ําใบหนงึ่ มีรเู ลก็ ๆ 2 รู อยทู ่ขี า งถงั โดยรลู างตาํ่ กวา ระดับนํ้าเปน 2 เทา ของรูบน อัตราเรว็ (v) ของ นาํ้ ทีไ่ หลออกจากรูทัง้ สองสมั พนั ธกนั ตามขอใด 1) vลาง = vบน/2 2) vลา ง = 2 vบน 3) vลาง = 2vบน 4) vลาง = 4vบน โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (157)
แนวขอสอบ PAT 2 สมบัติของสสาร แกส คลน่ื และเสยี ง 1. ความดนั เกจท่ีระดับความลึก d ในทะเลสาบเทากับ P ความดันสัมบรู ณท ่รี ะดับความลึก 2d เปนไปตามขอ ใด 1) เทากับ 2P 2) เทา กับ P 3) มากกวา 2P 4) นอยกวา 2P 2. เมอื่ เพิม่ ความดันและอุณหภมู ิของแกส อดุ มคตเิ ปน สองเทา จะทําใหพลังงานจลนเฉลย่ี ของโมเลกลุ แกส เพ่มิ ข้นึ เปน ก่ีเทา 1) 23 เทา 3) 52 เทา 2) 2 เทา 4) 4 เทา 3. หลอดเรโซแนนซปลายปดดา นหนึง่ เปด อกี ดา นหนึง่ มกี ารส่นั ใหเสียงความถมี่ ลู ฐาน 1000 Hz เม่ือเปด ปลายที่ปด อยจู ะทาํ ใหความถม่ี ลู ฐานของหลอดเปนเทาใด 1) 2000 Hz 2) 1000 Hz 3) 500 Hz 4) 250 Hz 4. รงั สตี ก คลืน่ ผิวนํ้าเคลอ่ื นทจี่ ากบรเิ วณ P ไปสบู รเิ วณ Q ผาน B รอยตอ AB ระหวา งนํ้าตื้นกบั นํ้าลกึ ดังรปู ขอใด ถูกตอ ง P 1) คลืน่ บรเิ วณ P มคี วามถ่ีนอ ยกวาบรเิ วณ Q 2) คลื่นบริเวณ P มีอัตราเร็วมากกวาคล่ืนบริเวณ Q Q 3) P เปน บรเิ วณนํา้ ลกึ Q เปน บรเิ วณนํ้าต้ืน A รงั สหี ักเห 4) มุมหกั เหมากกวา มมุ ตกกระทบ 5. P แกส อดุ มคตมิ ีการเปลี่ยนแปลงความดัน P และปรมิ าตร V ตามกฎของบอยล ดังกราฟ ขอ ใดสรปุ ไมถกู ตอ ง 1) แกส มอี ณุ หภูมิคงตัว 2) แกสมกี ารคายความรอ น 3) พลังงานภายในของแกสมีคา คงตัว V 4) ผลคณู ความดันและปริมาตรมีคาคงตัว 6. ในการทําใหล วดเสนหน่ึงเกิดความเคน S ตอ งใชงาน W ในการดึง จงหาวา ถา ตอ งการเพ่มิ ความเคน อีก S ตองทํางานเพมิ่ อีกเทาใด 1) 1 W 2) 2 W 3) 3 W 4) 4 W 7. ถงั รปู สเี่ หล่ยี มใบหนงึ่ ภายในบรรจุนํ้าไวนอ ยกวา ครง่ึ หนง่ึ ของความสงู ถาให F1 และ F2 เปนขนาดของ แรงดันจากความดนั เกจของนาํ้ ที่กระทาํ ตอ กน ถังและขางถังดานหนงึ่ เม่ือเพิม่ ระดบั น้ําข้ึนเปน สองเทา แรงดังกลา วจะเปล่ียนไปเปนตามขอใด 1) 2F1 และ 4F2 ตามลาํ ดบั 2) 2F1 และ 2F2 ตามลาํ ดบั 3) 4F1 และ 4F2 ตามลาํ ดับ 4) 4F1 และ 2F2 ตามลาํ ดับ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (158) ________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010
8. แหลง กาํ เนิดเสยี งอาพนั ธเฟสตรงกัน S1 และ S2 วางหา งกัน 2 m ทั้งคใู หเ สยี งทม่ี ีความถี่ 692 Hz โดย ขณะน้ันอากาศมอี ุณหภูมิ 25°C จดุ P เปน ตาํ แหนงใดๆ ดา นหนาแหลงกาํ เนดิ โดยมรี ะยะหา งจาก S1 และ S2 เปน r1 และ r2 ตามลําดับ คา r1 และ r2 ในขอใดทที่ ําใหจ ดุ P เปนตาํ แหนง ทีเ่ สยี งดงั มากที่สดุ 1) r1 = 2.5 m และ r2 = 2.5 m 2) r1 = 2.5 m และ r2 = 2.25 m 3) r1 = 1.5 m และ r2 = 1.25 m 4) r1 = 1.5 m และ r2 = 2.5 m 9. อตั ราเรว็ เฉลย่ี แบบ rms ของแกสอดุ มคตใิ นถึงใบหนง่ึ มคี า เทากบั v ถา เพิ่มปรมิ าณ (จาํ นวนโมล) ของแกส และอุณหภูมิของแกสเปน สองเทาจะไดอ ัตราเรว็ เฉลยี่ แบบ rms ของโมเลกุลเปนเทา ใด 1) 2 v 2) 2 v 3) 2 2 v 4) 4 v 10. ถา ใชลวดท่มี คี วามยาว l แขวนมวล M ไวกบั เพดาน จะทําใหล วดเกดิ ความเคน S และความเครยี ด ∅ จงหาวา ถา ใชลวดแบบเดียวกัน แตม คี วามยาว 2 l แขวนมวลกอนเดมิ ไวกบั เพดานจะทําใหล วดเกิดความเคน และความเครียดเทาใด 1) S และ ∅ ตามลําดบั 2) 2S และ ∅ ตามลําดับ 3) S และ 2∅ ตามลําดับ 4) 2S และ 4∅ ตามลําดับ 11. ที่ระยะหา ง r จากแหลงกาํ เนิดเสียงตัวหนึง่ วดั ระดบั ความเขมเสยี งได 80 dB ที่ระยะหาง 10r จะวัดระดับ ความเขม เสยี งไดเทา ใด 1) 70 dB 2) 60 dB 3) 50 dB 4) 40 dB 12. จากรปู ถา ลูกสบู (ลื่น) และภาชนะเปน ฉนวนความรอ นที่ แกส สมบูรณ เมอ่ื วางตมุ นาํ้ หนกั กอ นหน่งึ บนลกู สูบเพ่อื อัดแกส ขอ ใดตอไปนเ้ี ปนจรงิ 1) แกส มีอุณหภมู ิคงตวั เพราะภาชนะเปนฉนวน 2) แกสมีอุณหภมู ิสงู ข้นึ เพราะความดันแกสเพ่ิมขน้ึ 3) แกส มีอณุ หภูมคิ งตวั เพราะความดันเพ่มิ แตปริมาตรลด 4) แกสมีอณุ หภูมสิ ูงขึ้น เพราะมกี ารทํางานใหกบั แกส 13. ขณะท่อี ากาศนิ่งอากาศมคี วามดัน P0 ถา มีลมพัดทาํ ใหอ ากาศเคล่ือนท่ดี ว ยอัตราเรว็ v อากาศจะมคี วามดัน เทาใด กําหนดใหอากาศมีความหนาแนน ρ คงตวั 1) P0 - 21 ρv2 2) P0 + 21 ρv2 3) 21 ρv2 4) ρv2 14. ขณะท่แี หลง กาํ เนิดเสียงกําลงั เคลอ่ื นที่ วดั ความยาวคลนื่ เสยี งดานหนา และดานหลังแหลง กําเนิดไดเ ทากบั a และ b ตามลาํ ดบั ถา เสยี งมอี ัตราเรว็ v จงหาอตั ราเร็วของแหลงกําเนิดเสียง (b - a)2 v 1) (ba-+ab)v 2) (a + b)v 3) a2 + b2 4) (b -ba)v b-a โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 ________________________ วิทยาศาสตร ฟสิกส (159)
15. จากรปู แสดงหนาคล่ืนตรงของคลืน่ ผวิ น้าํ ท่ีเคลือ่ นท่ผี านรอยตอระหวา งนาํ้ ต้ืนและน้ําลกึ ถา จะทาํ ใหเกดิ การ สะทอ นกลับหมดจะตอ งมีมุมตกกระทบเทา ใด และคลน่ื เคลื่อนท่อี ยา งไร A 456°0° B 1) มากกวา arc sin 23 และเคลอื่ นทีจ่ าก B ไป A 2) มากกวา arc sin 23 และเคล่อื นทจ่ี าก A ไป B 3) นอ ยกวา arc sin 23 และเคลื่อนทจ่ี าก A ไป B 1 4) นอ ยกวา arc sin 2 และเคลื่อนที่จาก B ไป A วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (160) ________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160