51 ตอมไรทอที่มีอิทธิพลตอการเจริญเติบโตและพัมนาการของวัยรุนที่สําคัญ ไดแก ตอมใต สมองหรือตอมพิทูอิทารี (Pituitary gland) ตอมเพศ (Gonads) ตอมไทรอยด (thyroid gland) และตอมหมวกไต (adrenal or suprarenal glands) ซ่ึงตอมไรทอแตล ะตอมสงผลตอ การเจริญเตบิ โตและพัฒนาการของวยั รนุ 1.4อารมณทางเพศ (sexuality) หรือความตองการทางเพศ (sexusl desire) ในท่ีนี้จะหมายถึง ความรูสึกของบุคคลที่มีผลมาจากส่ิงเราภายในหรือส่ิงเราภายนอกท่ีเปน ปจจัยทม่ี ากระตนุ ใหเกดิ ความรสู ึกทางเพศขึน้ โดยมีระดับความแตกตา งมากนอ ยตางกัน ขน้ึ อยูกับความสามารถ ในการควบคมุ อารมณแ ละพืน้ ฐานทางดานวฒุ ิภาวะของแตละบคุ คล จากความหมายดังกลา วจะเหน็ ไดวา สิ่งเราภายในและส่ิงเราภายนอกเปนปจจัยสําคัญ ทีจ่ ะสงผลใหอารมณและอารมณทางเพศเกิดขึ้น และเมือ่ วิเคราะหในประเด็นทีเ่ กี่ยวของกับความสําคัญของ อารมณทางเพศกบั วยั รุน แลว สรุปประเด็นท่ีสาํ คญั ได ดังน้ี 1) อารมณทางเพศถือวาเปนสัญชาตญาณในการดํารงเผาพันธุข องมนุษยทีเ่ กิดขึน้ ตาม ธรรมชาติ เปนตัวบงชีป้ ระการหนึ่งทีแ่ สดงใหเห็นถึงความสมบูรณของพัฒนาการทางดานรางกาย จิตใจ และ อารมณของวยั รนุ ที่กาวเขาสูชวงของวัยเจรญิ พันธุมากข้นึ 2) ปจจุบันสื่อหลายรูปแบบทีป่ รากฏอยูในสังคมมีสวนชวยกระตุน แรงขับทางเพศ (Sex drive) ของวยั รนุ ใหเ กดิ อารมณท างเพศไดงายข้ึน การนาํ เสนอภาพหรอื ขอความท่ีเกี่ยวขอ งกบั เร่ืองเพศผา นสือ่ ตาง ๆ เปนปจ จยั หน่ึงทยี่ ่วั ยใุ หว ยั รุนเกิดอารมณทางเพศทเี่ สี่ยงตอ การมีเพศสัมพันธไดงายและเร็วขึ้น โดยส่ือตาง ๆ เหลาน้ีอาจอยใู นรปู แบบของหนังสือหรอื ภาพยนตรบางประเภท รวมไปถงึ ขอ มูลที่ไดจ ากการสบื คน ดว ยระบบ อินเทอรเน็ต ซึ่งผลกระทบจากอารมณทางเพศในแงลบจะมีมากยิ่งขึ้น หากวัยรุนขาดความรูค วามเขาใจในแนว ทางการควบคุมอารมณทางเพศอยางถูกตอง จนในที่สุดอาจนําไปสูพฤติกรรมเสี่ยงตอการมีพศสัมพันธโดยไม ต้งั ใจ และนํามาสูปญหาตา ง ๆ ในสงั คมทเี่ กีย่ วของกับพฤตกิ รรมทางเพศท่ีไมเ หมาะสมของวัยรุนได 3) อารมณทางเพศของวัยรุนหากขาดวิธีการควบคุมทีถ่ ูกตอง จะนําไปสูป ญหา พฤติกรรมทางเพศท่ีไมเหมาะสมของวัยรนุ มากขนึ้ วยั รุน แมจ ะเปน วยั ทีม่ แี รงขบั ทางเพศสูงกวา ทุกวยั และพรอม ทีจ่ ะมีเพศสัมพันธหรือมีบุตรไดก็ตาม แตสังคมและวัฒนธรรมของไทยก็ยังไมยอมรับทีจ่ ะใหวัยรุนชาย-หญิง แสดงพฤติกรรมทางเพศที่ไมเหมาะสมดังกลาว โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธจนกวาจะไดทําการสมรสหรือยู ในชวงวยั ทเี่ หมาะสม อารมณท างเพศทเี่ กดิ ขนึ้ ในชว งการเขาสวู ัยรุน เปน พฒั นาการอยา งหนง่ึ ที่แสดงใหเ หน็ ถึงความพรอมของรางกาย ทีจ่ ะสืบทอดและดาํ รงไวซ งึ่ เผาพันธุ โดยมีส่ิงเราสําคัญใน 2 ลักษณะ ประกอบดวย ลักษณะของปจจัยที่เปนสิง่ เรา ภายใน (intrinsic stimulus) และลกั ษณะของปจจยั ท่ีเปน สง่ิ เรา ภายนอก (extrinsic stimulus) 1) ลกั ษณะของปจ จัยทีเ่ ปน สิง่ เราภายใน ปจจัยทีเ่ ปนสิ่งเราภายใน ในทีน่ ี้หมายถึง สิ่งเราซึง่ เปนผลที่เกิดจากกระบวนการ เปลี่ยนแปลงตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในรางกาย โดยไดรับอิทธิพลมาจากการทํางานของระบบตอมไรทอ ซึ่งผลิต ฮอรโมน ออกมาเพอ่ื กระตุนใหรางกายมีการพัฒนาอยา งเปนระบบตอ เน่อื ง ฮอรโ มนเพศเปน ปจจยั ภายใรทสี่ ําคัญ ที่เปนส่ิงเราใหวัยรนุ มพี ัมนาการของอารมณท างพศเกิดขึ้น และนําไปสูการเกิดความตองการทางเพศตามชวงวัย ในเพศชายฮอรโมนที่เปนปจจัยสําคัญในเรื่องดังกลาว คือ ฮอรโมนเทสโทสเตอโรน สวนในเพศหญิง คือ ฮอรโ มนเอสตราดโิ อล และ ฮอรโ มนฟอลลิควิ ลาร 2) ลกั ษณะของปจ จัยทีเ่ ปนสิง่ เราภายนอก
52 ปจจัยที่เปนสิ่งเราภายนอก ในท่ีน้ีหมายถึง สภาพแวดลอมภายนอกตาง ๆ ที่สามารถ กระตนุ หรือยวั่ ยใุ หผ ทู ร่ี บั รู หรอื ไดร ับการถา ยทอดเกิดความรสู กึ ทเี่ กดิ เปน อารมณท างเพศขนึ้ ประกอบดว ย ส่ือรูปแบบตาง ๆ ท่ีกระตุน หรือย่วั ยใุ หวยั รุนเกดิ อารมณทางเพศ ปจจุบันมีส่ือหลากหลาย รปู แบบโดยเฉพาะ สอ่ื ทางเพศ ไดน าํ เสนอภาพและ/หรอื ขอ ความทีเ่ กย่ี วกบั เพศ ซงึ่ มกั จะนําไปสูการกระตุนหรือ ยัว่ ยุใหผูร ับสือ่ โดยเฉพาะในวัยรุน ความหลากหลายของสื่อในลักษณะดังกลาวทําใหมีผูเ ปรียบเปรยสือ่ ตาง ๆ เหลาน้เี ปน สินคา เพศพาณิชย ซ่งึ นบั วันจะมกี ารผลิตและนํามาเผยแพรใ หเหน็ เพิม่ มากขึ้น สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป ปจจุบันเปนที่ยอมรับกันอยางหนึง่ วา สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมไทยไดเปลีย่ นไปจากเดมิ นับต้ังแตท่ีมีการรับวัฒนธรรมตะวันตกเขาสูสังคมไทย กอใหเกดิ การเปลี่ยนแปลงขนึ้ หลายลักษณะ โดยเฉพาะในประเทศไทยเกิดความเปลีย่ นแปลงทีเ่ กีย่ วของกับเรือ่ ง การคบเพือ่ นตา งเพศของวัยรุนไทย พบวามีอิสระเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ปจจุบันสภาพของครอบครัวไทยมีการ เปลีย่ นแปลงไป ผูปกครองมีเวลาใกลชิดกับบุตรหลานนอยลง ซึง่ เปนผลมาจากสภาพของภาวะเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังพบวา ความมอี สิ ระของสื่อตอ การนําเสนอเรื่องราวทเี่ ก่ียวขอ งกับเพศ จัดไดวาเปนส่ิงเราภายนอกท่ี สําคัญ ที่สามารถที่จะเราและกระตุนใหวัยรุนเกิดความตองการทางเพศขึ้นได โดยเฉพาะหากขาดการดูแลและ การควบคมุ ท่ถี กู ตอ งเหมาะสม คานิยมและพฤตกิ รรมทไี่ มเ หมาะสมในบางลกั ษณะของวยั รนุ ผลจากสภาพทางสังคม และวฒั นธรรมที่เกีย่ วของกับเร่อื งเพศท่เี ปล่ียนไป สงผลใหวยั รนุ ไทยเกดิ คา นิยม และมพี ฤตกิ รรมท่ีไมเหมาะสม ในหลายลักษณะ เปนตนวา คานิยมในเรื่องการแตงกายตามสมัยนิยม (Fashion) ที่มากเกินควรของวัยรุน โดยไม คาํ นงึ ถึงผลกระทบท่อี าจเกิดขึ้น เชน ลักษณะการสวมเสื้อผาที่รัดรูป หรือเปดเผยสัดสวนรางกายของวัยรุนเพศ หญิง ซึ่งการแสดงออกดังกลาวจะกระตุนและยั่วยุใหวัยรุนชายเกิดอารมณทางเพศได นอกจากนี้ยังพบวาวัยรุน มกั จะมีคานิยมท่ีเกย่ี วกบั ความตอ งการในการแสดงออกโดยอิสระ เปนตนวา การเที่ยวเตรในเวลากลางคืน การ สัมผัสรางกายของเพศตรงขาม หรือการจับมือถือแขนอยางเปดเผยในที่สาธารณะ การอยูตามลําพังสองตอสอง หรือการไมใหความสําคัญในเรือ่ งการรักษาพรหมจารี ฯลฯ ซึ่งสิง่ ตาง ๆ เหลานี้ถือวาเปนปจจัยภายนอกทีส่ ามารถจะ กระตุน หรอื ย่ัวยใุ หว ยั รุนเกดิ อารมณทางเพศข้ึนได ความเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ในขณะทีว่ ัยรุน เกิดการเปลีย่ นแปลง ทางเพศ อารมณเ พศหรอื ความตองการทางเพศท่ีเกิดขน้ึ กับวยั รุน ไมวาจะเกดิ จากสิง่ เรา ภายในหรอื ภายนอกก็ตาม มักจะทําใหเกิดการเปลีย่ นแปลงใน 2 ลักษณะสําคัญ ประกอบดวย ลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสภาพ จิตใจ และลกั ษณะการเปลีย่ นแปลงทเี่ กดิ ข้นึ กบั สภาพรางกาย 1) ลกั ษณะการเปลยี่ นแปลงที่เกดิ ข้ึนกบั สภาพจิตใจ โดยปกติขณะที่คนเราเกิดอารมณทางเพศจะพบวา มีจิตนาการที่เกี่ยวของกับเร่ืองเพศ อยูใ นระดับหนงึ่ ซึ่งจะมากหรือนอยหรือมีความแตกตางกัน ยอมขึน้ อยูก ับพื้นฐานความสามารถในการควบคุม อารมณแ ละความรูส ึกของแตล ะคน และโดยท่ัวไปพบวา ความตื่นเตนทางเพศที่เปนพ้ืนฐานของการเกิดอารมณ ทางเพศในเพศหญิงจะเกิดไดชากวาเพศชาย อยางไรก็ตาม ทั้งเพศชายและเพศหญิงเมื่อเกิดอารมณทางเพศขึ้น หากความสามารถในการควบคุมอารณและการจัดการในเรื่องดังกลาวไมดีพอ ก็มักจะสงผลใหเกิดปญหา ทางดานสุขภาพจิตขึ้นได โดยเริ่มจากภาวะทางดานจิตใจที่เกิดความเครียดขึ้น แลวนํามาสูภาวะของความวิตก กงั วลที่เก่ยี วขอ งกบั เรอ่ื งเพศ จนอาจนําไปสูก ารขาดความเช่อื ม่ันในตนเองได 2) ลกั ษณะการเปลยี่ นแปลงท่ีเกดิ ข้นึ กบั สภาพรางกาย
53 ขณะทีส่ ภาพจิตใตมกี ารเปลี่ยนแปลงและแสดงออกถึงความตอ งการทางเพศ ปฏิกิริยา ของรางกายที่แสดงใหเห็นถึงภาวะความเปลีย่ นแปลงดังกลาวของรางกายจะเห็นไดชัดเจนมากขึน้ โดยเฉพาะ รา งกายทแ่ี สดงใหเ หน็ ถงึ ภาวะความเปลย่ี นแปลงดงั กลา วของรา งกาย จะเหน็ ไดช ดั เจนมากขน้ึ โดยเฉพาะบริเวณ อวัยวะเพศที่มีการไหลเวียนของเลือดท่ีสงมามากข้ึน สงผลใหอ วัยวะเพศเกิดการขยายตัว เพศชาย พบวาบรเิ วณองคชาตหรอื ลึงค (penis) จะมีขนาดเพื่มขึ้นและแข็งตัวข้ึน ผนัง ท่ีหุมอณั ฑะ (Scrotum) จะหนาขึน้ ลูกอณั ฑะจะเคล่อื นตวั สูงขึ้น เพศหญิง พบวา บรเิ วณอวยั วะเพศนอกจากจะขยายตวั แลว บรเิ วณชอ งคลอดอาจมีการ ขบั นํา้ หลอ ลนื่ ออกมา รวมทง้ั กลามเนื้อบริวเณดงั กลาวยังอาจเกิดการหดรดั ตัวขึน้ เปน ระยะ นอกจากการเปลี่ยนแปลงบริเวณอวัยวะเพศแลว ผลจากการเกิดอารมณทางเพศยัง สงผลใหการสูบฉีดเลือดของหัวใจเพิ่มขึ้น ทําใหเลือดไหลเวียนเพิม่ ขึน้ เปนผลใหผิวหนังบริเวณทีส่ ังเกตได มี การเปลย่ี นแปลงเปน สแี ดงเพม่ิ ขน้ึ เชน บรเิ วณใบหนา ลาํ คอ อก และหนาทอง นอกจากน้ี ในเพศหญิงหัวนม และเตานมอาจมกี ารขยายตวั ขน้ึ ผลกระทบดานลบที่เกิดข้นึ จากการเกิดอารมณทางเพศของวยั รุน จนนํามาสปู ญ หาทาง สังคมที่เห็นไดชัดอีกประการหนึ่งในปจจุบัน คือ การมีพฤติกรรมทางเพศที่ไมเหมาะสมของวัยรุน ซึ่งนํามาสู ปญหาตาง ๆ ตามมา เปนตนวา การเกิดปญหาการตั้งครรภทีไ่ มพึงประสงคในวัยรุน การเกิดปญหาการติดโรค ทางเพศสัมพันธและโรคเอดสในวัยรุน โดยปญหาเหลานี้ถือวาเปนผลกระทบทีส่ ืบเนื่องมาจากการเกิดอารมณ ทางเพศของวยั รุนทไ่ี มไ ดรบั การควบคุมและจดั การท่ีถกู ตองเหมาะสม ซึ่งผลกระทบดังกลาวถือไดวาเปนปญหา ทางสังคมท่ีสําคัญอีกประการหนึ่งในปจ จบุ นั แนวทางในการจดั การกบั อารมณท างเพศของวัยรุน การจัดการกับอารมณทางเพศของ วัยรุน มแี นวทางการปฏบิ ตั ิทสี่ าํ คญั อยู 2 ลกั ษณะ ประกอบดว ย แนวทางการปฏบิ ัติเพื่อระงับอารมณท างเพศ และ แนวทางการปฏบิ ตั เิ พอ่ื ผอ นคลายความตอ งการทางเพศ 1) แนวทางการปฏิบตั เิ พ่อื ระงบั อารมณท างเพศ แนวทางการปฏิบัติเพื่อระงับอารมณทางเพศ หมายถึง ความพยายามในการที่จะ หลีกเล่ยี งตอ สง่ิ เราภายนอกท่ีมากระตุน ใหอารมณทางเพศมีเพม่ิ มากขนึ้ แนวทางในการปฏบิ ัติ มีดงั น้ี หลีกเลีย่ งการดูหรืออานขอความจากสื่อตาง ๆ ทีม่ ีภาพหรือขอความทีส่ ามารถยัง่ ยุให เกิดอารมณทางเพศ เชน การดูหนังสือ หรือภาพยนตร หรือสื่ออินเทอรเน็ตที่มีภาพหรือขอความทีแ่ สดงออก ทางเพศ ซ่ึงเปนการย่วั ยใุ หเ กดิ อารมณทางเพศ หลีกเลี่ยงการปฏิบัติหรือการทําตัวใหวางหรือปลอยตัวใหมีความสบายเกิดไป เชน การ นอนเลน ๆ โดยไมหลับ การนัง่ ฝนกลางวันหรือนัง่ จิตนาการที่เกีย่ วของกับเรื่องเพศ การอยูใ นสภาพของ บรรยากาศที่มีแสงสีเสียงทีก่ อหรอื ปลุกเราใหเ กดิ อารมณทางเพศ อยางไรก็ตาม แมในทางจิตวิทยาและในทางการแพทยจะมีความเห็นที่สอดคลองกัน วา การบําบัดความใครดวยตนเองโดยทัว่ ไปจะไมกอใหเกิดความผิดปกติทั้งทางรางกายและจิตใจ แตก็ไมควร ปฏิบัติบอยจนเกิดความหมกมุน ตอเรือ่ งดังกลาว ซึง่ จะกอใหเกิดเปนลักษณะนิสัยซึง่ อาจสงผลลบตอบุคลิกภาพ และความเขมแข็งทางดานการควบคุมอารมณที่ดีได ดังนั้น หากมีความจําเปนและไมสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการ ปฏิบัติในเร่อื งดงั กลา วได ควรระลึกและคาํ นึงถึงหลกั การปฏิบตั ิท่เี กย่ี วของใน 3 ลักษณะทีส่ ําคัญ คือ ตองคํานึง
54 ในหลักของความสะอาดเปนพนื้ ฐาน ตอ งคาํ นงึ ถงึ สถานท่ใี นการปฏิบตั ิ คอื ตองมีความเปนสวนตัว ไมประเจิด ประเจอ และตองไมปฏบิ ตั ิดว ยวิธีการทร่ี นุ แรง ซง่ึ อาจกอใหเกดิ บาดแผล หรือมกี ารอกั เสบ หรือตดิ เชอื้ ได 1.5 การปรับตวั ทางเพศเมือ่ เขา สูวัยรุน เมือ่ เขาสูวัยรุน เพือ่ ชวยใหสามารถปรบตัวไดอยางถูกตองและเหมาะสมกับเพศของ ตนดีย่ิงขน้ึ วัยรนุ ควรมแี นวทางในการปฏบิ ัติ ดงั นี้ 1) ศกึ ษาใหเขาใจถึงการเปลย่ี นแปลงทางเพศของรา งกายและจิตใจ เมื่อยางเขาสวู ยั รุน เราจะสังเกตเห็นวามกี ารเปล่ยี นแปลงเกดิ ข้นึ ในตัวเราหลายอยาง บางอยางก็อาจทําใหเราไมสบายใจ เชน วัยรุน ชายบางคนไมอ ยากพดู คยุ กบั เพอ่ื นเพราะอายทเ่ี สยี งแตกพรา สาํ หรบั วยั รนุ หญิงที่มปี ระจาํ เดือนเปน ครงั้ แรกอาจมี ความรูสึกกังวลและมีอาการตาง ๆ เกิดขึ้น แตถาหากไดศึกษาและทําความเขาใจเกี่ยวกับสภาพการเปลี่ยนแปลง ดังกลาว จะทําใหเขาใจและสามารถปฏบิ ตั ิตนไดอ ยางถูกตอ ง 2) ปรับตัวเขากบั เพ่ือนตางเพศใหเหมาะสม วยั รนุ เปนวัยทีม่ ีการเปลีย่ นแปลงทางเพศ หลายอยา งทั้งชายและหญงิ เรมิ่ มคี วามสมั พนั ธก ันทางสังคมมากข้ึน ทําใหช ายและหญงิ ตางมีความสนใจในเพ่ือน ตางเพศมากขึ้น การคบเพือ่ นตางเพศไมใชสิง่ เสียหาย แตตองปฏิบัติตนอยูใ นขอบเขตทีเ่ หมาะสมและรูจัก มารยาทท่คี วรปฏบิ ัติตอ กนั ดงั นี้ ฝายชาย ควรใหเกียรติฝายหญิง ไมเกี้ยวพาราสีหรือฉวยโอกาส มีความบริสุทธิ์ใจ และควรใหค วามชว ยเหลอื ฝา ยหญงิ เชน ชว ยถอื ของ สละทน่ี ง่ั ให ไมแ สดงกริ ยิ าวาจาทไ่ี มเ หมาะสม เชน พูดจา หยาบโลน หรอื ใชกําลังรนุ แรง เปน ตน ฝายหญิง ควรวางตัวใหเหมาะสม สงวนตัว ไมอยูในทีร่ โหฐานกับเพศตรงขามตาม ลาํ พงั ไมไปในท่ีเปลี่ยว แตง ตวั สภุ าพ ไมแ สดงกิริยาวาจาที่ไมเหมาะสม เชน สง เสียงดัง หรือกลา วคาํ ผรุสวาท เปน ตน แสดงความมีนาํ้ ใจและใหเ กียรตฝิ ายชาย 3) ควรรบี ปรึกษาผูใหญเ มื่อมปี ญ หาหรือมีอปุ สรรคใด ๆ เกบ่ี วกบั เรอ่ื งเพศ วัยรนุ สวนมาก มักจะมคี วามวติ กกังวลในเรื่องตา ง ๆ เก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงทางดานรางกายและจิตใจ เมื่อมีปญหาเกิดข้ึนควร จะปรึกษาพอแม ครู ญาติพี่นอง และผูใหญที่ไววางใจ เพราะทานมีประสบการณมากกวาเรา ยอมจะชวยแนะ แนวทางปฏิบัตทิ ถ่ี กู ตอ งใหแกเ ราได 4) ปฏิบัติตามขนมธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม โดยการเคารพเชือ่ ฟงผูใหญ หมั่น ศึกษาเลาเรียน ไมประพฤติไปในทางชูสาวกอนเวลาอันเหมาะสม การยึดมั่นใน ขนมธรรมเนียมประเพณีอันดี งามจะชวยเตอื นใจใหเ ราปฏบิ ัตใิ นทางท่ถี ูก 2. วัยรนุ กบั การคบเพื่อน วัยรุนเปนวัยที่ใหความสําคัญกับเพือ่ นและตองการใหตนเองเปนทีน่ ิยมชมชอบในกลุม เพือ่ น การมีเพอ่ื นทด่ี ีจะทาํ ใหวัยรุน มผี ทู ่ีคอยรว มทุกขรวมสุข ปรบั ทกุ ข ชแ้ี นะแนวทางในการแกไ ขปญหาอยางถูกตอง แตถ า วัยรนุ คบเพื่อนทไ่ี มดีก็จะชักนําไปสูทางที่ไมด ี วยั รุนจงึ ควรรูจกั เลอื กคบเพอื่ นที่ดแี ละสรางความสัมพันธที่ดี กบั เพอ่ื น ซง่ึ จะชว ยใหส ามารถปรบั ตวั ใหเขากบั สงั คมไดต อ ไป 2.1 หลักการคบเพื่อน
55 ควรมีหลักปฏิบัติในการคบเพือ่ น คือวัยรุน ควรพิจารณากลุมเพื่อนที่คบวามีความ ประพฤติเปนอยางไร ถาเพื่อนคนใดประพฤติตนในทางไมดี ก็ควรแนะนําและชักจูงใหเขาประพฤติในทางที่ดี รูจ ักปฏิเสธและไมหลงเชื่อคําชักชวนหรือปฏิบัติตามเพือ่ นที่มีความประพฤติไมดี เชน ชวนใหหนีเรียนเที่ยว กลางคืน เลนการพนัน เสพสารเสพติด เปนตน โดยในการพูดปฏิเสธนั้นใหปฏิบัติดังนี้ พูดดวยน้ําเสียงหนัก แนนมัน่ คง ควรบอกความรูส ึกดีกวาบอกเหตุผลหรือขออาง เพราะความรูสึกเปนเรื่องสวนตัวของแตละบุคคล ถา บอกเหตุผลหรือขออา ง เพื่อนอาจจะนาํ เหตผุ ลอนื่ มาลบลา งใหป ฏิเสธไมได และรูจักแนะนําและชักชวนเพ่ือน ปฏิบัตกิ ิจกรรมทีด่ แี ละมปี ระโยชน เชน เลน กฬี า เลน ดนตรี เรยี นภาษาตา งประเทศ เรียนคอมพิวเตอร เขารวม ในกิจกรรมพัฒนาตาง ๆ ในชุมชน เปนตน โดยเลือกตามความสนใจและความเหมาะสมของตนเอง จะไดเปน การใชเ วลาวา งใหเ กดิ ประโยชน 2.2 หลกั ทว่ั ไปในการผูกมิตร หลักทว่ั ไปในการผูกมิตร มแี นวทางในการปฏบิ ัติ ดังน้ี 1) รูจักยอมรับคําติชม เชน รับฟงความคิดเห็นหรือคําวิพากษวิจารณของผูอื่น เกยี่ วกบั ตวั เราเองดวยความเต็มใจ เปนธรรม ไมล าํ เอียงเขาขา งตนเอง และสามารถควบคุมอารมณไ ด 2) รูจ ักอารมณขัน มองโลกในแงดี และควรเปนคนยิม้ งาย เปนบุคลิกลักษณะที่ดี และเปน เสนหท ่ที ําใหผ ูพบเหน็ หรอื คบคาสมาคมดว ยรูสึกชมชอบ เกิดความสุขและความสบายใจ นับวาเปนส่ิง สาํ คญั ยิ่งอยางหนง่ึ ที่จะนําไปสูการตอ นรับและความรว มมอื ทดี่ ี 3) รจู ักออ นนอ มถอ มตน ไมค ยุ โออ วดความสามารถของตน ไมพดู จาดูถูกหรือยกตน ขม ผูอ่ืน และรจู ักยอมรับขอ บกพรอ งหรอื ความดอยของตนในดา นตาง ๆ 4) รูจ ักรับผิดชอบตอหนาที่ เชน หนาทีส่ ําคัญของนักเรียนคือเรียน ครูมีหนาทีใ่ ห การศกึ ษาอมรมแกน กั เรยี น นกั ศกึ ษา 5) รูจักประนีประนอม เมื่อเกิดปญหาหรืออุปสรรคขึน้ ควรจะมีการประนีประนอม หรือรอมชอมกนั ซ่ึงเปน วธิ ีการหนง่ึ ทีค่ นเราอาจตกลงกนั ไดอ ยา งยุตธิ รรมและมเี หตุผล 6) รูจกั เอาใจเขามาใสใ จเรา ใหคดิ เสมอวาอะไรก็ตามท่ีเราเองไมชอบ ไมตองการให ผูอ ืน่ กระทําตอเรา ก็จงอยา กระทาํ ส่งิ นนั้ ตอ บคุ คลอื่น และถาตองการใหบุคคลอ่ืนกระทําสิง่ ใดตอเราก็จงกระทํา สง่ิ นนั้ ตอเขา 7) รูจักใหกําลังใจคนอืน่ เชน ยกยองใหเกียรติ ใหกําลังใจผูอ ืน่ ดวยการชมเชย รูจ ัก แสดงความชน่ื ชมยนิ ดีตอความสาํ เร็จของเพอื่ นรว มหอง เพ่อื นรวมงาน เปน ตน 8) รูจักไววางใจคนอน่ื คือ รจู กั ไวเ น้อื เช่อื ใจคนอ่นื บางตามสมควร เพราะคนอื่นอาจ มคี วามดอยเกนิ ไปในดา นตาง ๆ ไดเ ชนเดียวกับเรา นอกจากนบ้ี างครัง้ การประเมินคาความสามารถของผูอ่ืนดอย เกินไป อาจนาํ มาซึง่ ความผดิ หวงั ไดดว ย 9) รูจักรวมมือกับคนอืน่ เชน การใหความรวมมือกับหมูคณะในการประกอบ กิจกรรมตา ง ๆ ของสวนรวมดวยความเตม็ ใจ เพราะผทู ี่เหน็ แกตวั หรอื เอาแตไ ดย อ มเปนท่ีรงั เกียจของสงั คม 10) รูจักเคารพสิทธิของผูอ ืน่ เชน ไมควรใชทรัพยสิง่ ของของผูอ ื่นโดยพลการ ไม กาวกา ย หรอื ละเมดิ สิทธซิ งึ่ เปน ผลประโยชนอ นั ชอบธรรมของผอู นื่ 2.3 หลักในการสรางเสริมความสมั พนั ธอนั ดกี บั กลมุ เพือ่ น หลักในการสรางเสรมิ ความสัมพันธอันดีกับกลมุ เพอ่ื น มแี นวทางปฏบิ ัติ ดงั นี้
56 1) รจู กั ตนเองและรูจักคนอืน่ วยั รุน ตอ งมคี วามเขาใจในความตอ งการของตนและของ เพอ่ื นยอมรบั สภาพความเปน จรงิ ของตน และยอมรบั ความแตกตา งในตวั เพอ่ื นกบั ตัวเอง ไมอิจฉาริษยาเพื่อนที่มี ฐานะดีกวา หรือมีความสามารถมากกวา และไมยกตนขมทานหรือดูถูกเหยียดหยามเพื่อนที่ดอยกวาตน แตให ยินดีกับความสาํ เรจ็ ของเพ่อื น และคอยชว ยเหลือสนับสนุนเพอื่ นหากมีโอกาส 2) มีมนุษยสัมพันธที่ดี รูจักพูด รูจ ักฟง เรียนรูทีจ่ ะพูดเรื่องตาง ๆ ในจังหวัดที่ เหมาะสม เปดโอกาสใหเพื่อนไดแสดงความคิดเห็น และรับฟงความคิดเห็นของเพื่อน เอาใจใสในตัวเพื่อน และใหความสาํ คัญกับเพื่อนดวยความบรสิ ทุ ธิใ์ จ ตลอดจนมคี วามซื่อสตั ยและจริงใจตอเพอ่ื น 3) การมองโลก ใหมองในแงทีเ่ ปนจริง ไมมองในแงดีจนเกินไป อันอาจถูก หลอกลวงและคดโกงได แตไมม องคนในแงรายจนเกนิ ไป อันจะทําใหเ ปนคนใจแคบ ไมร จู ักการใหอ ภยั 4) มีน้าํ ใจเปนนักกีฬา ยอมรับผิดเมือ่ รูว าตนผิด ปฏิเสธในสิ่งทีต่ นไมสามารถทําได เมื่อใหสัญญาอยางไรไวกับใครก็ตองพยายามทําตามสัญญานัน้ ใหดีทีส่ ุด นอกจากนีย้ ังตองรูจ ักเสียสละและให อภยั แกเ พื่อนเม่ือเกดิ ขอ ผดิ พลาด โดยทาํ ความเขา ใจถึงสาเหตทุ ่ที ําใหเ กดิ ขอผิดพลาดน้นั และรว มมอื กันปรับปรุง แกไ ขตามสาเหตุทเี่ กดิ ข้นึ ตอ ไป หรือสงผลมากระทบ และเมือ่ เกิดอารมณขึ้นก็มักจะพบวาพฤติกรรมการแสดงออก ดังกลาว มักมีการเปลีย่ นแปลงหรือแตกตางไปจากสภาพเดิม ซึ่งสังเกตเห็นไดชัดเจนหรืออาจไมชัดเจน ทั้งนี้ ข้ึนอยกู บั ความสามารถในการปรับสภาพอารมณของแตละบคุ คล เรื่องที่ 3 พฤตกิ รรมท่นี ําไปสกู ารมีเพศสมั พนั ธ ปจจุบันปญหาจากพฤติกรรมทางเพศที่ไมเหมาะสมของวัยรุนมีหลายลักษณะ เชน การมี เพศสมั พันธก อนวัยอันควร การติดเช้อื เอดสแ ละโรคติดตอ ทางเพศสมั พนั ธ รวมท้ังการต้ังครรภท่ีไมพึงประสงค ในวัยรุนทั้งที่มาจากพฤติกรรมทางเพศที่ไมเหมาะสมโดยตรง และมาจากอุบัติภัยทางเพศนับเปนปญหาทางเพศ ของวัยรนุ ทีอ่ ยใู นอนั ดบั ตน ๆ อยางไรกต็ าม มวี ัยรุน ทจ่ี ับคูกันบางคไู มม ีเพศสมั พันธกนั ซ่ึงมีสาเหตหุ ลายประการ เชน พอ แมดูแลเอาใจใสอ บรมส่งั สอนดี พอ แมตดิ ตามดแู ลอยา งใกลช ิด ไมเปดโอกาสใหทงั้ คูไดอ ยูในสถานการณทเ่ี ส่ียง ตอการมีเพศสัมพันธ วัยรุนคิดไปขางหนาเกิดความเกรงกลัววาจะมีปญหาตาง ๆ ตามมามากมาย มีความละอาย ใจและรูสกึ วา ผิด กลัวเสยี ชือ่ เสยี ง และกลัวคนอ่นื จะรู ไมม โี อกาสทจ่ี ะไดก ระทาํ มคี วามยบั ยั้งชั่งใจ เปน ตน การจับคูก ันนั้นสวนใหญจะทําใหการเรียนแยลง การมีคูรักไมใชสัญลักษณของการประสบ ความสําเร็จในชีวิต ไมใชแฟชัน่ หากวัยรุน คนใดยังไมมีคูรักก็ไมควรรูส ึกวาตัวเองดอยกวาเพือ่ นที่มีคนรัก ไม จําเปน ทีจ่ ะตอ งคบกบั ใครสักคนเปน คูรกั เพยี งเพราะตองการใหต นเองเหมือนเพ่อื นคนอืน่ ๆ เทานั้น ความคาดหวังในเรือ่ งความรกั ของผูหญิงและผชู ายทีแ่ ตกตา งกันนั้น เปนส่ิงท่ีวัยรุนท่ีจับคูกัน ไมควรมองขาม เพราะจะทําใหรูว าหญิงและชายจะปฏิบัติตอคนรักตางกัน ผูช ายจะคิดถึงเรื่องการไดสัมผัส ลวงเกินจนถึงขัน้ มีเพศสัมพันธ จึงเปนสาเหตุหนึ่งที่จะทําใหผูห ญิงตองเสียความบริสุทธิก์ อนวัยอันควร และมัก ไมค อยเต็มใจ ซ่งึ วัยรนุ หญงิ จะตองระวังใหด ใี นเรื่องน้ี 1. พฤติกรรมท่ีเส่ียงตอ การมเี พศสมั พนั ธ
57 วัยรุนเปนวัยทีเ่ กิดความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการอยางรวดเร็วในเรือ่ งเพศ บางคนจึงเกิด ความสนใจในเพศตรงขาม สนใจในเรื่องเพศ การจับคูเปนคูรักกัน การเกิดอารมณทางเพศ การดูส่ือลามก การมี เพศสัมพันธกับคูรัก การมีสมั พนั ธกบั หญงิ ขายบริการทางเพศ หรอื การขายบรกิ ารทางเพศ เมือ่ เปนเชนนีผ้ ลเสียทีต่ ามมา ไดแก การมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร ทําใหเกิดความวิตกกังวล เสยี การเรยี นเพราะจะสนใจการเรียนนอยลง เกิดการต้ังครรภท่ีไมพึงประสงค การทําแทง ปญหาลูกไมมีพอ ทารก ถกู ทอดท้ิง โรคตดิ ตอ ทางเพศสัมพนั ธ โรคเอดส เปน ตน เหตุและผลดังกลาวขางตนนี้ มักจะเริม่ จากตัวของวัยรุนเองทีม่ ีพฤติกรรมเสีย่ งตอการมี เพศสัมพันธ ซงึ่ มดี งั นี้ 1. สนใจเรื่องเพศมาก ปกตวิ ัยรนุ ก็จะสนใจเรือ่ งเพศอยูแลวเพราะเปน ธรรมชาติของวัย แตถา หมกมุน กับเรือ่ งนีม้ ากเกินไป และโอกาสหรือสถานการณเอือ้ อํานวยวัยรุน อาจมีเพศสัมพันธโดยไมคิดไมได ตัดสินใจหรือไมไดวางแผนลวงหนา คือปลอยใหเปนไปตามความตองการและอาจไมคิดถึงผลกระทบที่จะ เกดิ ขึ้นภายหลงั 2. มคี วามหมกมุน ในเรื่องเพศ มวี ยั รุน จาํ นวนหนง่ึ โดยเฉพาะวัยรุนชายท่ีหมกมุนในเรื่องเพศ มากเกนิ ไปอาจมีการสําเรจ็ ความใครด วยตนเองบอยครงั้ โดยไมพ ยายามหลกี เล่ยี ง หรอื พยายามจัดการกบั อารมณ ทางเพศ ในผหู ญงิ กอ็ าจมบี า งแตไ มมากเทา ผูชาย บคุ คลประเภทนี้มคี วามเส่ียงตอ อาการมเี พศสัมพันธ 3. ชอบถูกเนื้อตองตัวเพศตรงขาม ผชู ายมักจะยินดที ่ีไดถ กู เน้ือตอ งตวั ผูหญงิ หรือใหผ ูห ญงิ มา ถูกเนอื้ ตอ งตวั ตนเอง สว นผูหญิงที่คิดเชน เดียวกับผชู ายน้ีก็มีบาง การถูกเน้ือตองตัวกันทําใหเกิดอารมณทางเพศ ได ถา มโี อกาสหรอื สถานการณที่เอือ้ อํานวยกอ็ าจถงึ ขั้นการมเี พศสมั พันธก นั ได เรือ่ งนี้มักจะพบเห็นอยูบ อยครัง้ ในหมูวัยรุน ทีม่ ักถือโอกาสถูกเนือ้ ตองตัวกัน ถาถูกผูใ หญดุ หรือเตือนก็จะบอกวาเปนเพือ่ นกัน ไมคิดอะไร ถึงแมวาจะมีบางคนที่ไมไดคิดอะไรจริง ๆ แตก็ไมเหมาะสม เพราะจะถูกมองวาเปนหญิงสาวที่ไมรักนวลสงวนตัว ใหผูช ายถูกเนื้อตองตัวงาย ๆ ผูชายก็ไมเปนสุภาพบุรุษ เพราะชอบหาเศษหาเลยดวยการถูกเนื้อตองตัวผูห ญิง ดังนัน้ นักเรียนควรปองกันและหลีกเลีย่ งไมใหเกิด พฤติกรรมน้ี 4. คดิ วาการมีเพศสมั พันธไมใชเรอื่ งเสยี หาย ไมวา ชายหรอื หญิงที่คิดเชน นจี้ ะเปนผูที่เสี่ยงตอ การมีเพศสัมพันธมาก ผูช ายมักจะคิดเชนนี้ ซึง่ เปนนิสัยที่ติดตัวของผูช ายมาอยูแ ลว แตถาผูห ญิงคิดเชนนีด้ วยก็ นับวาเปนการสนับสนุนใหผูชายสมหวังขึ้น จนเปนเปนปญหาสําคัญปญหาหนึง่ ในครอบครัวและสังคมไทย เพราะเปน ความคดิ ทน่ี าํ ไปสูการมเี พศสัมพันธก อนวยั อนั ควร ซงึ่ จะกอใหเ กดิ ปญ หาตามมามากมาย 5. ดูสือ่ ลามก ปจ จุบนั นี้มสี อ่ื ลามกขายกันมากมายตามทองตลาด วยั รุนหลายคนรูวา แหลงซ้ือ ขายอยูที่ใด การดูสื่อลามกประเภทนีท้ ําใหผูด ูเกิดอารมณทางเพศ วัยรุนเปนวัยที่อยากรูอยากลอง เมื่อดูแลว บางครั้งอาจอยากทดลองทําตามคูพ ระนางในสือ่ ลามกนัน้ ดังวัยรุน ทีม่ ีขาวลงหนาหนังสือพิมพวาไปขมขืนหรือ ไปม่วั สมุ มเี พศสมั พันธกันแลวรบั สารภาพวา ทาํ ตามอยางในสอื่ ลามกทเี่ คยดู 6. เปนคนเจาชู คนเจา ชคู นทชี่ อบมีคูรักหรือสามีภรรยามากกวา 1 คน หรือมีไปเรื่อย ๆ ตาม ความพอใจ วยั รนุ ทีเ่ ปนคนเจา ชูจะมใี จกลาในเรอื่ งนี้ และขาดความรับผิดชอบในส่ิงท่ตี นเองกระทาํ ไมร ักใครจรงิ ถา เบือ่ ก็พรอ มทจี่ ะทอดทง้ิ บุคคลประเภทน้ีจะมีเพศสัมพนั ธงาย ๆ ไมค ดิ อะไรมาก ผหู ญงิ เปน ฝายท่ีตองรับภาระ ในสิ่งที่ทัง้ คูไ ดกระทําลงไป เชน เปนฝายตัง้ ครรภอาจตองไปทําแทง หรือตองคลอดลูกแลวเลีย้ งลูกตามลําพัง เปน ตน จึงตอ งระวังคนเจาชแู ละตองไมเ ปน คนเจา ชู
58 7. เคยมีประสบการณทางเพศมาแลว ไมวาจะเปนผูช ายหรือผูหญิงที่เคยมีประสบการณใน การมีเพศสัมพันธมาแลว ในครั้งตอ ๆ ไปมันจะไมคิดมาก ใจกลาขึ้น ไมกลัว หรือไมก็ติดใจในเพศรสจึงเปน มลู เหตทุ ี่ทาํ ใหเกิดความเส่ยี งตอการมเี พศสมั พันธซา้ํ ไดอกี 8. เสพสารเสพตดิ ผูท่เี สพสารเสพติดจะเกิดอาการมึนเมาเคลิบเคลิ้ม ขาดความรูสึกผิดชอบ ชั่วดี ครองสติไมได จึงมักทําอะไรลงไปแบบไมคิดอะไรมากหรืองง ๆ ไมคอยรูตัว ดังขาวที่พบเห็นบอย ๆ วา วัยรุนไปจัดปารตี้ยาอี ยาบา หรือไมก็ไปดื่มแอลกอฮอล พอมึนเมาเสพสารเสพติด หรือยอมมีเพศสัมพันธเพื่อ แลกกับสารเสพตดิ ในกรณีท่ีติดสารเสพติดแลว 9. ขาดความไตรตรอง บุคคลประเภทนีม้ ักไมคิดถึงผลทีจ่ ะตามมาหรือผลกระทบหลังการมี เพศสัมพันธวาจะเปนอยางไร เปนคนแกปญหาเฉพาะหนาไปวันหนึ่ง ไมคิดถึงอนาคตวาเปนอยางไร ตัดสินใจ โดยขาดสติ 10. อยากรูอ ยากลอง วัยรุนเปนวัยที่อยากรูอยากลองอยูแลว แตถาอยากรูอยากลองเรื่องเพศ น้นั นับวา เปนอนั ตราย ปจจยั ทก่ี ระตุนใหอยากรูอ ยากลองนอกจากจะมาจากตนเองแลว ยังอาจมาจากปจจัยอ่ืน ๆ เชน เพอ่ื นชกั ชวน อา นหนงั สอื ลามก 2. การหลีกเลี่ยงและปองกันตนเองจากสถานการณการเสยี่ งตอการตั้งครรภโดยไมตั้งใจ มีผูหญิงจํานวนไมนอยทีต่ ั้งครรภโดยไมตั้งใจ ทั้งนี้เพราะไมคาดคิดมากอนวาจะมี เพศสัมพนั ธกบั ผชู ายซ่ึงอาจเปน คูร ักของตนเอง เปน เพอ่ื น คนแปลกหนา พอเลี้ยง หรือแมแตญาติของตน และ ไมมีการปองกันการตั้งครรภแตอยางใด ดังนัน้ ผูหญิงควรเรียนรูถึงการหลีกเลี่ยงและปองกันตนเองจาก สถานการณเสีย่ งตอ การตง้ั ครรภโ ดยไมต ั้งใจ ซ่ึงมขี อแนะนําดังน้ี 1. ในกรณเี ม่ืออยูกับคูร ักของตนเอง ควรปฏบิ ตั ิดงั น้ี 1.1 ไมยอมใหคูรักไดสัมผัส จับมือ โอบกอด ถาถูกกระทําเชนนีค้ วรแสดงทาทีไม พอใจและปฏิเสธการกระทําดังกลาวอยางจริงจัง มิฉะนั้นอาจนําไปสูการมีเพศสัมพันธเนื่องจากสภาพแวดลอม เหมาะสมและเปนใจ 1.2 ไมอยใู นทล่ี บั ตาคนสองตอ สอง เพราะคูรกั อาจจะลวงเกินเราได และยิ่งเรามีใจชอบ ฝายชายดวยกอ็ าจจะยนิ ยอมจนถึงขน้ั มีเพศสัมพันธได 1.3 ไมไปเที่ยวกันแบบคางคืน เพราะการคางคืนจะเปนการเปดโอกาสใหฝายชายลวง ละเมิดทางเพศได 1.4 ไมควรดูสื่อลามกโดยเฉพาะกับคูรัก เพราะจะทําใหทั้งสองฝายเกิดอารมณทางเพศ และนําไปสกู ารมีพฤตกิ รรมทางเพศท่ไี มเ หมาะสม 1.5 การไปเทย่ี วในงานวนั สาํ คญั ตา ง ๆ เชน วนั วาเลนไทน วันลอยกระทง วันข้นึ ปใหม ทีเ่ ปนการเทีย่ วในเวลากลางคืน แลวจะไปตอกันในสถานทีท่ ีอ่ าจจะมีเพศสัมพันธกันได ดังนั้นการไปเที่ยวกับ คูร ักในวันสําคัญดังกลาวควรระมัดระวังตัวใหดี ถาเราคิดวาไมนาไววางใจก็ไมควรไปโดยหาทางปฏิเสธอยาง นุมนวล 1.6 การไปเที่ยวงานสังสรรคหรือตามสถานบันเทิงกับคนรักควรระมัดระวังตัวดวย เพราะอาจดม่ื เครื่องดม่ื ทีม่ แี อลกอฮอลแ ลวทาํ ใหม นึ เมาไมร ูส กึ ตัว 1.7 อยาใจออนถาถูกขอที่จะมีเพศสัมพันธดวย อยาหลงคารมเขาเปนอันขาด และไม ตองเขาโกรธ รกั ษาความบริสุทธขิ์ องเราดีกวา หากพลาดพลงั้ ไปแลว กค็ วรระวงั อยา ใหเกิดข้ึนอีก
59 2. ในกรณีเม่ืออยูก บั เพือ่ นชาย ควรปฏิบตั ิดงั นี้ 2.1 อยาใหมาถูกเนือ้ ตองตัวโดยไมจําเปน เพราะถาวันใดทีเ่ พื่อนชายมีโอกาส ผูห ญิง อาจพลาดทา เสยี ทไี ด 2.2 อยางไวใ จใครมากนัก มีเพอ่ื นหลายคนที่หลอกพาเพื่อนไปขมขืน บางรายใหเพื่อน คนอ่ืน ๆ ขม ขนื ดวยตามทีม่ ีขา วใหพ บเหน็ อยูบ อย ๆ 2.3 ไมไปเท่ียวแบบคางคนื ถึงแมจะไปเปน หมูคณะกต็ องระมดั ระวงั 2.4 การไปเที่ยวตามสถานบันเทิงแลวกลับดึกอาจเปนอันตราย ถามีเพื่อนอาสาไปสง บา นกค็ วรระวงั เพราะอาจพาไปท่ีอ่ืนได 3. ในกรณีเมอ่ื อยกู บั คนแปลกหนา ควรปฏิบตั ดิ ังน้ี 3.1 อยาไวใจคนแปลกหนาเปนอันขาด เพราะยังไมรูจักนิสัยใจคอเขาดีพอ ถาหลงเชื่อ อาจถกู เขาหลอกได โดยเฉพาะถา พบกนั ในสถานบนั เทงิ เรงิ รมยเ ขาอาจจะมองเราวาเปนผูหญิงท่ีรักสนุก คงจะมี เพศสมั พนั ธด ว ยไมย าก 3.2 ไมควรเดินทางไปในที่เปลี่ยวยามค่ําคืน เพราะมีผูหญิงถูกคนรายลักพาตัวไปขมขืน มาหลายรายจนนับไมถวนแลวในสถานการณเชนนี้ 3.3 อยาเชื่อคนที่รูจักกันทางอินเทอรเน็ต ถึงแมจะคุยกันจนเหมือนรูจักกันดีแลวก็ตาม เพราะยงั ไมเ คยเหน็ หนากัน ก็ยังคงเปนคนแปลกหนาอยูดี หญิงสาวหลายรายท่ีถูกคนท่ีรูจ ักกันทางอินเทอรเน็ตหลอก ไปขมขืน บางรายมีการถายรปู ไวเพอ่ื ขมขูและตอรองเรือ่ งอ่นื ๆอกี ดว ย 4. ในกรณีเมือ่ อยูกับพอเลี้ยงหรือญาติ ผูห ญิงที่ถูกคนใกลชิดในครอบครัวขมขืนนั้นมีมาก และมักไมยอมบอกใคร บางรายถูกขมขืนมานานนับป บางครั้งเกิดการตั้งครรภ เพราะคนในครอบครัวนั้น ใกลช ดิ เหน็ กนั อยทู ุกวนั หรือพบกันบอ ย ไวใ จกนั มาก ในเรื่องนผี้ ูหญงิ ควรปฏบิ ัติตนดังน้ี 4.1 ใหสงั เกตการณสัมผสั ของบคุ คลเหลา น้นั วา สัมผัสดว ยความเอ็นดูแบบลูกหลานหรือ แบบชูส าว ถามีการสมั ผัสนาน ลบู คลาํ จบั ตองของสงวน ตองระมดั ระวงั อยาเขา ใกล 4.2 ควรนอนในหองท่มี ดิ ชิดใสก ลอนหรอื ลอ็ คกุญแจใหเรยี บรอ ย 4.3 ถา บคุ คลเหลาน้นั มนึ เมาอยาไวใ จ เพราะทําใหขาดสติ และกระทาํ ในสงิ่ ทไี่ มคาดคิด ได 4.4 การแตงตัวอยูบาน การอาบน้ําตองกระทําอยางมิดชิด อยาเปดเผยเรือนรางมากนัก เพราะอาจเปน การยวั่ ยุอารมณท างเพศแกบ ุคคลเหลา นน้ั ได 4.5 ถาถูกบุคคลเหลา นั้นลวนลามควรบอกใหคนในบานทราบ หรือรองตะโกนใหผูอ่ืน ชว ยเหลอื ไมต อ งอายเพราะเขาทาํ ไมถ กู ตอ ง ขอควรคิดเกี่ยวกบั การมเี พศสัมพันธ มีผูหญิงบางคนที่คิดวาการมีเพศสัมพันธเปนเรื่องปกติไมใชเรื่องผิด ไมรับรูถ ึง ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมไทย จึงควรตรวจสอบตนเองวามีความรับผิดชอบตอตนเองและสังคมเพียงใด โดยตอบคาํ ถามเหลา น้ีใหไ ดเสยี กอนทีจ่ ะคิดมเี พศสมั พนั ธ
60 1. ถา ยนิ ยอมมเี พศสมั พนั ธ เราจะยอมรบั กบั ผลทจ่ี ะตามมาไดเ พยี งใด เชน คําครหาของคน ในสังคม ความกลัวคนอน่ื จะลวงรู การตงั้ ครรภ การถกู ผชู ายทง้ิ หลังจากไดเ สยี กนั แลว การเสียความบริสุทธิ์ไป แลวผูชายคนน้ีคือคนทจี่ ะเปนคชู ีวิตของเราหรือไม เปนตน 2. เมอ่ื เรายังไมพ รอมทจี่ ะมีลูกจะปอ งกนั ตนเองอยางไร รวู ิธีปองกนั การต้ังครรภเพยี งใด เม่ือ ปอ งกนั แลว จะผดิ พลาดไดหรือไม ถาพลาดมลี ูกข้ึนมาจะทาํ อยา งไร ผูชายจะรับผดิ ชอบหรือไม ตนเองไมอ ับอาย คนอ่ืน ๆ หรอื ถา จะตอ งไปทําแทง การทําแทงมีอนั ตรายเพียงใด 3. การตั้งครรภท ี่ไมพึงประสงคในวยั รนุ การตัง้ ครรภทีไ่ มพึงประสงคในวัยรุน หมายถึง การตัง้ ครรภที่เกิดขึน้ ในวัยรุน เพศหญิงซึง่ เปนผลสืบเน่ืองมาจากการมีเพศสมั พันธท เี่ กิดข้ึนโดยไมไดตั้งใจ โดยอาจมีสาเหตุสําคัญมาจากพฤติกรรมทางเพศ ที่ไมเ หมาะสมของวยั รุน หรืออาจเกดิ จากการถกู ขม ขนื กระทาํ ชาํ เรา 3.1 ปญหาและผลกระทบของการต้ังครรภที่ไมพ งึ ประสงคในวัยรนุ ปญหาการต้ังครรภทไี่ มพ ึงประสงคผ ลกระทบที่สาํ คัญ ดงั นี้ 1) สงผลกระทบตอวัยรุนที่ตั้งครรภโดยไมพึงประสงคโดยตรง ซึ่งผลกระทบ ดงั กลาวสรา งปญ หาทีต่ ิดตามมา เปน ตน วา ปญหาทางดานจิตใจและอารมณ วัยรุน ทีม่ ีปญหาการตัง้ ครรภทีไ่ มพึงประสงคมักมี ความรูสึกวาตนเองทําผิด เกิดความละอายใจ และมีความคิดวาไมมีใครรักใครตองการอีก ซึ่งบางคนอาจแสดง พฤติกรรมทางเพศทีไ่ มเหมาะสมและรุนแรงขึน้ หรือบางคนอาจไมแสดงออกและมักเก็บกดอยากทําลายชีวิต ตนเอง ฯลฯ ซึ่งภาวะทางจิตใจและอารมณของวัยรุนทีต่ ัง้ ครรภโดยไมพึงประสงคนีจ้ ะมีมากหรือนอยขึ้นอยูก ับ การยอมรับและความเขาใจของคนในครอบครัว ถาครอบครัวยอมรับเขาใจ และใหอภัย ปญหาทางดานจิตใจ และอารมณก จ็ ะลดนอ ยลงได ปญหาทางดานสุขภาพ ปญหาที่มักพบ คือ ปญหาโรคเอดสและโรคติดตอทาง เพศสัมพันธ การมีเพศสัมพันธโดยไมไดมีการปองกันและคุมกําเนิดยอมมีโอกาสใหวัยรุน เพศหญิงไดรับเชือ้ เอดส หรือโรคตดิ ตอทางเพศสมั พันธจากฝา ยชายในอัตราเส่ยี งที่สงู ปญหาทางทําแทง ซ่งึ มกั จะสงผลกระทบตอ ผูท ําแทงไดโดยเปนอันตรายตอชีวิต ซึง่ มักเกิดจากการตกเลือดหรือการติดเชือ้ อยางรุนแรง นอกจากนัน้ ยังเปน อุปสรรคตอการมีบุตรในอนาคต แมการทําแทงจะผานพนไป แตการทําแทงอาจทําใหเกิดการอักเสบเรื้อรังใน โพรงมดลูกและทอมดลูก เปนผลใหโพรงมดลูกและทอมดลูกตีบตัน มดลูกทะลุหรืออักเสบอยางรุนแรงเพราะ เคร่ืองมอื ทาํ แทง ทําใหบางคนตองตัดมดลกู ทง้ิ หรอื การขยายปากมดลกู ขณะทําแทง ทําให ปากมดลูกฉกี ขาด หู รูดของปากมดลูกหลวม เกิดภาวะการณแทงบุตรไดงาย และยังสงผลใหมีปญหาสุขภาพทีต่ อเนือ่ ง โดยเฉพาะ มกั จะพบวามกี ารอักเสบเร้ือรังในชอ งเชิงกราน 2) สง ผลกระทบตอครอบครัวของวัยรุนที่ต้ังครรภโดยไมพึงประสงค มักพบเสมอ วาเมื่อวัยรุนเพศหญิงตัง้ ครรภโดยไมพึงประสงคขึ้น วัยรุน ของเพศชายมักจะไมแสดงความรับผิดชอบตอสิ่งที่ เกดิ ขนึ้ ภาระความผิดชอบจงึ ตกเปนของฝา ยหญิงและครอบครัวเพยี งฝายเดียว ถา ครอบครวั ฝายหญงิ มคี วามเขาใจและ ใหอภัยตอความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และครอบครัวยังพรอมทีจ่ ะรวมแกปญหาการเลีย้ งดูเด็กที่จะเกิดขึน้ ได ก็จะ ชวยลดปญหาทางดานอารมณและจิตใจของวยั รนุ เพศหญงิ ลงไดแตในทางตรงขาม หากครอบครัวของวัยรุนเพศ หญิงไมสามารถยอมรับปญ หาที่เกดิ ขึน้ ดังกลา วกอ็ าจสงผลใหเกดิ ปญหาตา ง ๆ ตามมาได
61 3) สง ผลกระทบตอ สงั คมและประเทศชาติ การต้ังครรภท่ีไมพึงประสงคของวัยรุนทํา ใหเกิดปญหาทางสังคมตาง ๆ ตามมาดังที่ไดกลาวมาแลว นอกจากนี้ ประเทศชาติตองสูญเสียงบประมาณ บางสวนทีต่ องนํามาใชเพือ่ การบําบัดรักษา ดูแลสุขภาพของวัยรุนเพศหญิงที่ตัง้ ครรภโดยไมพึงประสงค ตองจัด งบประมาณในการเล้ียงดูประชากรสว นหนึง่ ท่เี กิดจากพวงของปญหาดังกลาว 3.2 การปอ งกนั การตั้งครรภท ไี่ มพงึ ประสงคใ นวัยรุน การปอ งกนั มแี นวทางในการปฏบิ ัติ ดงั นี้ 1) ตอ งรจู ักหลกี เล่ียงสถานการณท ่ีเอื้ออํานวยใหเ กดิ การมเี พศสมั พันธ มักพบวาการมี เพศสัมพันธทีไ่ มไดตัง้ ใจของวัยรุนมักจะเกิดจากสถานการณหรือบรรยากาศทีเ่ อือ้ ใหเกิดโอกาสตอการมี เพศสมั พนั ธ เชน การอยูตามลําพังสองตอสองในท่ีลับตาคน หรือการเขารวมในกิจกรรมพบปะสังสรรคทีม่ ีการดืม่ เครอ่ื งผสมแอลกอฮอล เปน ตน 2) ตองรูจ ักใชทักษะในการปฏิเสธเพือ่ แกไขสถานการณเสีย่ งตอการมีเพศสัมพันธ วิธีการหลีกเล่ียงและแกไขสถานการณดังกลาว ฝายหญิงตองนําทักษะการปฏิเสธไปใช ซึง่ การปฏิเสธของฝายหญิง จะเปนสัญญาณเตือนใหฝายชายหยุดแสดงพฤติกรรมทางเพศที่ไมเหมาะสมออกมา แนวทางในการใชคําพูดที่ เปน ทกั ษะของการปฏเิ สธ มหี ลายขอความ เชน “หยุดนะ อยาทําแบบนี้” ฉันไมชอบหยุดนะ” “อยานะ ฉันจะ ตะโกนใหลัน่ เลย” “คุณไมมีสิทธิท์ ีจ่ ะทําแบบนี”้ และอื่น ๆ ตามความเหมาะสมซึ่งคําพูดทีเ่ ปนทักษะในการ ปฏิเสธมกั จะมคี ําวา “ไม” “อยา ” หรือ “หยดุ ” 3) ตองรูจักใหเ กียรติซ่งึ กนั และกนั การทีฝ่ ายหญงิ และฝายชายนําหลักความเสมอภาค ทางเพศ และการวางตัวที่เหมาะสมตอเพศตรงขามมาใช ถือวาเปนการใหเกียรติซ่ึงกันและกัน ซ่ึงจะชวยปองกัน อารมณใ นขณะพบปะพูดคยุ กันไมใ หพฒั นาไปสูค วามตองการทางเพศได 4) ตองระมัดระวังในเรือ่ งการแตงกาย ปจจุบันรูปแบบการแตงกายของวัยรุน โดยเฉพาะวัยรุนเพศหญิงมักนิยมสวมเสือ้ ผาทีร่ ัดรูปหรือนอยชื้นเกินไป ซึง่ การแตงกายดังกลาวจะทําใหเห็น รูปรางสดั สว นชดั เจนขน้ึ การแตง กายในลกั ษณะดงั กลา วจะสงผลเราใหเพศตรงขามเกิดอารมณและขาดความย้ัง คดิ อาจนําไปสูก ารแสดงพฤติกรรมการลวงละเมดิ ทางเพศที่เปนอันตราย จนถึงการต้ังครรภท่ีไมพึงประสงคใน เพศหญิงได 5) ควรหลีกเลีย่ งการเดินทางตามลําพังในยามวิกาลหรือในเสนทางที่เปลี่ยว จาก สถิติของวัยรุน เพศหญิงพบวา อันตรายทีไ่ ดรับจากการถูกขมขืนมักเกิดขึน้ ในยามวิกาลหรือในเสนทางทีเ่ ปลีย่ ว ผคู นสัญจรนอ ย ดงั น้นั วิธีการปองกนั ท่ดี ีทสี่ ุดหากจําเปนจะตองเดินทางในสถานการณดังกลาว ควรจะมีเพ่ือน หรอื ญาตริ วมเดินทางไปดว ยเพ่อื ปองกันอันตรายที่อาจเกดิ ขน้ึ 4. ความรเู บ้อื งตอ งเกี่ยวกบั กฎหมายคมุ ครองสิทธิผถู กู ลวงละเมิดทางเพศ กฎหมายไดร ะบฐุ านความผดิ เกย่ี วกบั การถกู ลว งละเมดิ ทางเพศไว 2 ลกั ษณะ ดงั นี้ 4.1 ความผิดฐานขมขนื กระทาํ ชําเรา ผทู ข่ี มขนื กระทาํ ชําเราเดก็ หญิงอายไุ มเกนิ 15 ป ซ่ึงมิใชภ รรยาตน โดยเด็กหญิงน้ันจะ ยินยอมหรือไมก็ตาม ตองระวางโทษจําคุกตัง้ แต 4-20 ป และปรับตัง้ แต 8,000-40,000 บาท (ประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 277 วรรคหนึ่ง)
62 ถาการกระทําความผิดตามวรรคแรก เปนการกระทําแกเด็กหญิงอายุไมเกิน 13 ป ตองระวางโทษจําคุกตั้งแต 7 ป ถึง 20 ป และปรับตัง้ แต 14,000-40,000 บาท หรือจําคุกตลอดชีวิต (ประมวล กฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง) ถาการกระทําผิดตามวรรคแรกหรือวรรคสอง ไดกระทําโดยรวมกระทําความผิด ดวยกนั อนั มีลักษณะเปน การโทรมเด็กหญงิ (คือรวมกันกระทําความผดิ ต้งั แต 2 คนขึ้นไป) โดยเดก็ หญงิ นน้ั ไมย นิ ยอม หรือไดกระทําโดยมีอาวุธ เชน อาวุธปน หรือวัตถุระเบิด หรือโดยการใชอาวุธอ่ืน ๆ ตองระวางโทษจําคุกตลอด ชีวิต (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม) แตมีขอยกเวน คือ ถาการกระทําดังกลาวขางตนเปนการกระทําทีช่ ายกระทํากับ เด็กหญิงอายุมากกวา 13 ป แตไมเกิน 15 ป โดยเด็กหญิงนัน้ ยินยอม และภายหลังศาลอนุญาตใหสมรสกัน ผกู ระทาํ ผดิ ไมต องรบั โทษ และถาศาลอนุญาตใหสมรสกันในระหวางที่ผูกระทําผิดกําลังรับโทษในความผิดน้ัน อยู ศาลตอ งสัง่ ปลอ ยผกู ระทาํ ความผิดน้ันไป (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคส่ี) ถา เปน การกระทาํ ชาํ เราเดก็ หญิงอายุยังไมเกิน 15 ป ซึง่ มิใชภรรยาของตน โดยเด็กหญิง นั้นจะยินยอมหรือไมก็ตาม หรือเปนการกระทําแกเด็กอายุไมกิน 13 ป แลวเปนเหตุใหเด็กหญิงไดรับอันตราย สาหัส เชน ไดรับบาดเจ็บสาหัส ผูกระทําตองระวางโทษตั้งแต 15 ป ถึง 20 ป และปรับตัง้ แต 30,000-40,000 บาท หรอื จาํ คกุ ตลอดชวี ติ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 ทวิ (1) ) และหากเดก็ นน้ั ถงึ แกค วามตาย ผกู ระทาํ ตองระวางโทษประหารชีวติ หรอื จําคกุ ตลอดชวี ติ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 ทวิ (2) ) หากการกระทาํ ชาํ เราเดก็ หญงิ อายุยังไมเกิน 3 ป หรือการกระทําแกเด็กหญิงอายุยังไม เกนิ 15 ป ดังกลาวขา งตน ไดร วมกระทําความผิดดว ยกนั อันมีลักษณะเปนการโทรมหญิง หรือกระทาํ โดยมีอาวุธ ปน หรือวัตถุระเบิดหรือโดยการใชอาวุธ และเปนเหตุใหเด็กหญิงผูถ ูกระทําไดรับอันตรายสาหัส ผูก ระทําตอง ระวางโทษประหาชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิต และหากเด็กหญิงที่ถูกกระทําถึงแกความตาย ผูกระทําตองไดรับ โทษประหารชวี ติ และหากเด็กหญิงทีถ่ กู กระทําถงึ แกความตาย ผูกระทําตองไดรับโทษประหารชีวิต (ประมวล กฎหมายอาญามาตรา 277 ตร)ี 4.2 ความผดิ ฐานกระทาํ อนาจารตอ เดก็ ผูท่กี ระทาํ อนาจารแกบุคคลอายุตา่ํ กวา 15 ป โดยขูเข็ญดวยประการใด ๆ โดยใชกําลัง ประทุษราย โดยบุคคลนัน้ อยูในภาวะทีไ่ มสามารถขัดขืนได หรือโดยทําใหบุคคลนั้นเขาใจผิดวาตนเปนบุคคล อื่นตองระวางโทษจําคุกไมเกิน 10 ป หรือปรับไมเกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทัง้ ปรับ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคหนงึ่ ) ถา การกระทาํ อนาจารนน้ั กระทาํ ตอ เดก็ อายไุ มเ กนิ 15 ป และผูกระทําผิดไดกระทํา โดยการขูเ ข็ญดวยประการใด ๆ โดยใชกําลังประทุษราย โดยบุคคลนั้นอยูในภาวะทีไ่ มสามารถขัดขืนได หรือ โดยทาํ ใหบ คุ คลนัน้ เขาใจผดิ วา ตนเปน บคุ คลอื่น มโี ทษหนกั คอื ผกู ระทําตอ งระวางโทษจําคุกไมเกิน 15 ป หรือ ปรับไมเกิน 30,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคสอง) หากการกระทํา ดังกลาวขางตน เปนเหตุใหผูถูกกระทําไดรับอันตรายสาหัส ผูกระทําอนาจารตองระวางโทษจําคุกตั้งแต 5 ป ถึง 20 ป และปรบั ตง้ั แต 10,000-40,000 บาท และหากผูถูกกระทําถึงแกความตาย ผูกระทําตองระวางโทษประหาร ชวี ิต หรอื จําคุกตลอดชีวติ (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 280)
63 การขมขืนกระทําชําเราผูเยาว และการกระทําอนาจารแกเด็กอายุไมเกิน 15 ป โดยเด็ก นั้นจะยนิ ยอมหรอื ไมก ต็ าม เปน ความผดิ อาญาแผน ดนิ ไมส ามารถยอมความกนั ได แตถาเปน การขม ขนื กระทาํ ชําเราหญิงท่มี ิใชภรรยาตน โดยเด็กหญิงนั้นไมใชผูเยาว และการกระทาํ อนาจารแกบ คุ คลอายตุ าํ่ กวา 15 ป ท้ังสองกรณีนี้ ถา มิไดก ระทําตอ หนา ธารกํานัล คือในท่ีเปดเผย และไมเปนสาเหตุใหผูถ ูกกระทําไดรับอันตรายสาหัสหรือถึงแกความตาย หรือมิไดเปนการกระทําแก ผสู บื สนั ดาน คอื ลกู หลาน เหลนของตนเอง มใิ ชเ ปน การกระทาํ ตอ ศิษยซ่ึงอยูในความดูแล มิใชเปนการกระทํา ตอผูอยูในความควบคุมตามหนาที่ราชการ หรือมิใชเปนการกระทําตอผูอยูใ นความพิทักษหรือในความอนุบาล กรณีท้ังหมดท่กี ลาวมาเปนความผิดอันยอมความได คือเปน กรณีทผ่ี เู สยี หายหรอื ผูถกู กระทําและผกู ระทําความผิด ตกลงหรือสมคั รใจไมเ อาความตอ กัน กเ็ ปน อันเลิกแลวตอกัน (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 281) กจิ กรรม 1. สรีระรางกายที่เกี่ยวของกับการสืบพันธุของเพศหญิงและเพศชาย มีอะไรบาง จงอธิบายพอสังเขป เพศหญิง________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ เพศชาย________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ _____________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ 2. เขยี นสรปุ เกี่ยวกบั การเปลย่ี นแปลงเพอ่ื เขา สวู ัยหนุมสาว เพศหญงิ ________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ เพศชาย________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ 3. วิธกี ารหลีกเลยี่ งพฤติกรรมท่ีนําไปสกู ารมีเพศสมั พนั ธกอนวยั อันควรมีอะไรบา ง ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________
64 เรื่องที่ 4 สขุ ภาพทางเพศ “ความสขุ ”เปน ส่ิงทม่ี นุษยทกุ คนตอ งการไมเคยถูกจํากัดดวยเพศ วยั ชนชาติ “สขุ ภาวะทางเพศ”กเ็ ปนเรอื่ งทีท่ ุกคนลว นตองการเชนกนั แผนงานสรางเสริมภาวะทางเพศ โดยสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสรางเสริมสุขภาพ (สส.)และ มูลนิธิสรางความเขาใจเรือ่ งสุขภาพผูหญิง (สคส.)ไดดําเนินงานผลักดันวาระการสรางสุขภาวะทางเพศขึ้นอยาง ตอ เน่อื ง เพราะสขุ ภาวะทางเพศไมไ ดม ีความหมายแคบๆแคเรอื่ งเพศสมั พนั ธแตมคี วามหมายลึกซึ้งและมิติท่ีกวาง กวา นัน้ เรื่องเพศจึงไมใชแคเรื่องของเนื้อตัวรางกายแตยังหมายถึงความรับผิดชอบการดูแลสุขภาพรางกายการ สรางความสัมพันธที่ดีระหวางกันการเคารพสิทธิกันและกันและความเทาเทียม เพราะสังคมนั้นมีความ หลากหลายทางเพศมากวา แคห ญงิ หรอื ชาย ผทู ี่มีสุขภาวะทางเพศท่ดี กี จ็ ะปฏิบตั ิตอคนท่มี ีวถิ ที างเพศแตกตางจากตวั เองดวยความเคารพไมวาจะเปน สาวประเภทสองหรือหญิงรักหญิงชายรักชาย หรือผูที่รักสองเพศและยังปฏิบัติกับเพือ่ คูร ักหรือชายทีส่ ําคัญคือมี ความรับผดิ ชอบตอ สงั คมและตนเองในเร่ืองการมีเพศสัมพนั ธท ี่ปลอดภยั สังคมจําเปนตองลบความคดิ ทางลบวา เรอื่ งเพศเปน เรอ่ื งเพศเปนเรือ่ งสกปรก อนั ตรายทต่ี อ งหลกี ใหหา ง แตความจริงเราจําเปนตองศึกษาเรียนรูใ หเขาใจเพราะเรือ่ งเพศเปนสิง่ ทีส่ ามารถแสดงออกอยางอิสระมีความสุข บนพน้ื ฐานของความปลอดภยั เพอ่ื ดาํ เนินชวี ติ ไดอยา งเปนสขุ แผนงานสรา งเสริมสขุ ภาวะทางเพศไดจ ัดทาํ ความรูสุขภาวะทางเพศในแตละชวงวัยไวเพราะแตละชวง วยั กจ็ ะมคี วามสนใจและความตอ งการตา งกนั ในวัยเด็กเปนชวงเวลาแหงการสรางพื้นฐานสุขภาวะทางเพศที่ดีได เด็กเล็ก อายุ 5-8 ป เริ่มรับรูไ ดถึง บทบาททางเพศวา สงั คมสรา งใหห ญงิ ชายมคี วามแตกตา งกนั ดว ยกจิ กรรม ดว ยการกาํ หนดกรอบ กฎเกณฑต า งๆท่ี ชายทาํ ได หญงิ ทําไมได หญิงทําได ชายทําไมได ซึ่งขดั ขวางพัฒนาการและสรางความเขาใจผิดๆใหเดก็ วันแรกรุน อายุ 9-12 เปนชวงวัยที่ตองเตรียมความพรอมเพือ่ กาวเขาสูว ัยรุน ซึง่ ชวงนีเ้ ปนวัยแหงการ เปลี่ยนแปลงการไดรับขอมูลทีถ่ ูกตองและพรอมใช จึงเปนสิง่ ทีท่ ําใหเด็กมีภูมิคุมกันทีจ่ ะเขาสูว ัยรุน ไดอยาง สวยงามจาํ เปน ตองเขาใจและอธบิ ายถงึ การเปล่ยี นแปลงนน้ั และเปดโอกาสใหเด็กรับผิดชอบในครอบครัวใหเด็ก ไดต ัดสินใจดวยตวั เองและรับผิดชอบผลท่จี ะตามมาไมใชต ดั สินใจแทนทุกอยา ง เด็กวัยนเ่ี รมิ่ จะมกี ารเปลี่ยนแปลงทางอารมณ และความรูสึกทางเพศ ไมใชเร่ืองผิดแตการใหขอมูลและ ความรทู ีถ่ ูกตอ งเปน สิ่งจาํ เปนการตอบคําถามแบบตรงไปตรงมา เปดโอกาสใหเด็กไดเรียนรูในสิง่ ทีเ่ หมาะทีค่ วร เปนเรื่องท่ีควรสง เสรมิ เมอ่ื กาวเขาสูวัยรนุ ชวงอายุ 13-18 ป ชวงแหงการเปลี่ยนแปลงในทุกๆดาน จําเปนตองไดรับขอมูลเรื่อง เพศอยา งถกู ตองและรอบดา น เพ่ือใหเ ทา ทนั การเปล่ยี นแปลงของตัวเอง ทั้งดา นกายใจและอารมณ จาํ เปนตอ งสรา งทักษะของเพศสมั พนั ธที่ปลอดภยั รวมไปกบั ความรับผดิ ชอบเพอ่ื ใหสามารถแยกแยะได วา เซ็กซไ มใ ชแ คเร่อื งสนุกแตม ีผลทจ่ี ะตามมาอกี มากมาย การใหความรอู ยา งตรงไปตรงมาไมทําใหเรื่องเซ็กซเปน ความผดิ ละอาย ทําใหเ กดิ เพศสัมพนั ธทป่ี ลอดภัยและมคี วามรับผดิ ชอบขึ้นได
65 ผูใ หญจําเปนตองเขาใจกระบวนการเรียนรูของมนุษยวาตองใชเวลาในการสัง่ สมความรูประสบการณ ความภูมิใจในตัวเองจึงสามารถมีเพศสัมพันธที่มีความสัมพันธทีม่ ีความปลอดภัยและเปนสุขได “การใหขอมูล ไมไดเปนการชีโ้ พรงใหกระรอก แตเ ปน การสรางความเขา ใจและทกั ษะในชีวิตใหเ ด็กสามารถเติบโตเปนผูใหญท่ี เขา ใจและมีความรบั ผิดชอบได วิธีการปฏบิ ัตเิ พ่ือการมีสขุ ภาพทางเพศท่ีดี ควรคาํ นงึ ถึง การมีเพศสัมพันธที่ปลอดภัย โดยไมเปลีย่ นคูหรือมีเพศสัมพันธกับบุคคลทีไ่ มใชสามีภรรยาของตน ถา คิดจะมีเพศสัมพันธกบั บคุ คลทไ่ี มใ ชคขู องตนควรปองกันความไมป ลอดภยั ทอี่ าจเกดิ ขน้ึ โดยใชถ งุ ยางอนามัย เนนการรักษาความสะอาดสวนบุคคล เมือ่ มีเพศสัมพันธแลวควรตองรีบทําความสะอาดสวนบุคคลไม หมกั หมม เพราะจะทาํ ใหเกดิ เชื้อโรคซ่งึ เปนตนเหตุของอาการคันจนลกุ ลามเปนโรคที่อวัยวะเพศได ควรมีเพศสัมพันธแบบธรรมชาติ ไมผิดธรรมชาติของคนปกติ เชนการใชวัตถุแปลกปลอมในการรวม เพศ การรว มเพศโดยใชว ัตถุเลยี นแบบธรรมชาตเิ ชน ตกุ ตายาง ใหคาํ นงึ ถึงความปลอดภัย การคมุ กาํ เนดิ เปนสวนหนึง่ ของการวางแผนครอบครัวในเรือ่ งระยะทีพ่ รอมจะมีบุตรเมือ่ ใดคํานวณบุตรที่จะมีกี่คน หรือระยะหางของการมีบุตรเวนนานเทาใด ทั้งนีเ้ พื่อใหเหมาะสมกับความพรอมและความตองการของคูสมรส การคุมกาํ เนดิ เปนวธิ ีการปฏบิ ตั ิเพื่อปองกันการตัง้ ครรภ การวางแผนครอบครัวและการคุมกําเนิด การวางแผนครอบครัวละการคุมกําเนิด (Family Planning and Birth Control) คือการที่ คูสมรสวางแผนใน เรือ่ งการมีบุตรวาจะมีบุตรเมื่อใด จะมีบุตรกีค่ น แตละคนจะเวนนานเทาใดทัง้ นี้เพื่อใหเหมาะสมกับความพรอม และความตอ งการของคสู มรส สว นการคมุ กําเนดิ นัน้ เปน วธิ กี ารเพ่ือมิใหเ กดิ การตั้งครรภซ ง่ึ มีอยูห ลายวิธี 1.การใชถุงยางอนามัย (Condom) ถุงยางอนามัยมีลักษณะเปนถุงทีท่ ําดวยยางบางๆยืดได ใชสวมอวัยวะ เพศชายขณะที่แข็งตัวพรอมทีจ่ ะรวมเพศ การใชถุงยางอนามัยเปนการปองกันไมใหตัวอสุจิเขาไปในโพรงมด ลูกผสมกับไขของผายหญิงได เพราะถูกถุงยางปองกันไว ตัวอสุจิและน้าํ อสุจิจะอยูใ นถุงยางอนามัย เมือ่ ใชเสร็จ แลวจะถอดออกใหใชกระดาษชําระจับขอบถุงยางใหกระชับอวัยวะเพศกอนแลวจึงถอดถุงยางออกแลวนําไปทิง้ ถงั ขยะ มีการผลิตถุงยางอนามัยสําหรับผูห ญิงใชเหมือนกันขนาดใหญกวาถุงยางอนามัยที่ผูช ายใชแตไมคอย ไดร ับความนยิ ม 2.การรับประทานยาเม็ดคุมกําเนิด(Contraceptive Pill) ยาเม็ดคุมกําเนิดจะประกอบดวยฮอรโมน สังเคราะห 2 ชนิด คือ เอสโตรเจน โพรเจสเทอโรน ซึง่ จะออกฤทธิ์คลายกับฮอรโมนที่มีอยูตามธรรมชาติใน รางกายของผูหญิง และสรางกลไกตางๆ ในรางกายเพื่อที่จะปองกันการตั้งครรภดวยการปองกันไมใหไขสุกและ ยับยั้งการตกไข ตลอดจนทําใหมูกบริเวณ ปากมดลูกเหนียวขนจนตัวอสุจิจะผานเขาสูโพรงมดลูกไดยาก แตถา กลไกทง้ั 2 ประการนี้ไมไดผล มันจะเปลีย่ นแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกไมใหเหมาะสมสําหรับการฝงตัวของไขทีถ่ ูก ผสมแลว ยาเมด็ คมุ กาํ เนิดทใ่ี ชอ ยทู ั่วไปมี 3 แบบ คือ 2.1 แบบ 21 เม็ด ยาเม็ดในแผงจะประกอบดวยฮอรโมนทัง้ หมด การเริม่ รับประทานยาเม็ดแรกใหเริ่ม ตรงกับวันของสัปดาหทีร่ ะบุแผงยา เชน ประจําเดือนมาวันแรกคือวันศุกรก็เริ่มกินที่ “ศ” หรือวันศุกร โดย รับประทานวันละ 1 เม็ดเปนประจําทุกวันตามลูกศรชี้จนหมดแผง หลังจากนัน้ ใหหยุดใชยา 7 วัน เมื่อหยุดยาไป
66 ประมาณ 2-3 วนั ก็จะมเี ลือดประจําเดือนมาและเมอ่ื หยดุ จนครบ 7 วันแลวไมวาเลอื ดประจําเดือนจะหมดหรือไมก็ ตามใหเ ริม่ แผงใหมท ันที 2.2 แบบ 28 เมด็ ยาเม็ดในแผงหน่ึงจะประกอบดวยฮอรโ มน 21 เม็ด และสวนทีไ่ มใชฮอรโมนอีก 7 เม็ด ซึง่ มักจะมีขนาดเล็กหรือใหญกวา 21 เม็ดแรก การเร่ิมรับประทานยาแผงแรกใหเริ่มรับประทานยาในวันแรกท่ี ประจาํ เดอื นมา โดยรับประทานยาเม็ดแรกในสว นท่รี ะบวุ าเปน จดุ เรม่ิ ตน 1 แลวรับประทานทุกวันตามลูกศรชีจ้ น หมดแผง โดยเมื่อรับประทานหมดแผงแลวใหรับประทานยาแผงใหมตอไปเลยทันทีไมวาประจําเดือนจะหมด หรือยงั กต็ าม วธิ รี บั ประทานแบบ 28 เมด็ จะคอ นขา งสะดวกกวา แบบ 21 เมด็ ทไ่ี มตอ จดจาํ วนั ท่ีตองหยดุ ยา ถาลืมรับประทาน 1 เม็ด ใหรับประทานทันทีเมือ่ นึกได และรับประทานเม็ดตอไปเวลาเดิม ถาลืม รบั ประทาน 2 เม็ด ใหรบั ประทานยาวันละ 2 เม็ด ติดตอกันไปเปนเวลา 2 วันโดยแบงรับประทานตอนเชา 1 เม็ด ตอนเยน็ 1 เม็ด และใชวิธีการคุมกําเนิดแบบอื่นรวมดวย เชนใชถุงยางอนามัยเปนเวลา 7 วัน ถาลืมรับประทาน 3 เม็ดขึน้ ไป ควรหยุดยาและรอใหเลือดประจําเดือนมากอนแลวคอยเริม่ แผงใหมและใชวิธีการคุมกําเนิดแบบอืน่ รวมดว ย 2.3 แบบรับประทานหลังรวมเพศภายใน 24 ชัว่ โมง แตเดือนหนึ่งไมควรใชเกิน4 ครัง้ ยานีใ้ ชกินทันที หรอื ภายใน 24 ชั่วโมงหลังรว มเพศ และควรกินยาอีกหนึ่งเม็ดในเวลา 12 ชวงโมงตอมายาเม็ดนีม้ ักมีปริมาณของ ฮอรโมนเอสโตรเจน (Estrogen) สูง การใชยาชนิดนี้ใหผลเสียมากกวาผลดี พบวาเปนอาการขางเคียง คือ คลื่นไส อาเจยี น มเี ลือดออกมากกวาปกติ และทาํ ใหทอ นาํ ไขเ คลื่อนไหวชา อันเปน เหตุทาํ ใหเ กิดทอ งนอกมดลูกได 3.การฝงยาเม็ดคุมกําเนิดใตผิวหนัง ยาประเภทนีม้ ีสวนประกอบของเอสโตรเจนสูงมีฤทธิท์ ําใหไขที ผสมแลว ไมสามารถฝงตัวไดในผนังมดลูก เปนยาเม็ดคุมกําเนิดชนิดฝงไวใตผิวหนังบริเวณดานใตทองแขนของ ฝายหญงิ มีลกั ษณะเปน แคปซูลเลก็ ๆ 6 อัน ยาจะซึมจากแคปซูลเขาสูรางกายอยางสม่ําเสมอ สามารถคุมกําเนิดได นานถึง 5 ป ตวั ยาท่ใี สใ นแคปซูลเปน ชนิดเดียวกบั ยาเม็ดคุมกาํ เนิดแบบ 21 เมด็ 4.การใสหวงอนามัย (Iucd :: Intra Uterine Contraceptive Device) ใชโดยการใสหวงอนามัยไวในโพรง มดลกู ซึ่งแพทยจะเปนผใู สห วงให สามารถคมุ กาํ เนิดได 3-5 ป แลวจึงมาเปลีย่ นใหมแตก็มีบางชนิดทีต่ องเปลี่ยน ทกุ ๆ 2 ป วิธนี ไี้ มเ หมาะสําหรับผหู ญงิ ท่ียังไมเ คยมบี ุตร 5.การฉีดยาคุมกําเนิด ใชกับผูหญิงฉีดครั้งหนึ่งปองกันไดนาน 3 เดือน อาจมีขอเสียอยูบ างคือเมื่อ ตองการมีบตุ รอาจตอ งใชเ วลานานกวา จะตง้ั ครรภ และไมเหมาะสําหรับผทู ่มี ีประจาํ เดือนมาไมสม่ําเสมอ 6.การนับระยะปลอดภัย (Count safe Period) คอื นับวนั กอ นประจําเดือนมา 7 วนั และหลงั ประจําเดือนมา 7 วนั เพราะไขย ังไมส ขุ และเยื่อบโุ พรงมดลกู กาํ ลงั เปลย่ี นแปลง แตถ าประจําเดือนมาไมแนนอน การคุมกําเนินวิธี นี้อาจผิดพลาดได 7.การหลัง่ อสจุ ภิ ายนอก คือการหลัง่ น้ําอสุจิออกมานอกชองคลอด แตก็อาจมีน้าํ อสุจิบางสวนเขาไปใน ชองคลอดได วธิ ีนี้จงึ มีโอกาสต้ังครรภไดสงู 8. การผาตัดทําหมัน เปนการคุมกําเนิดแบบถาวร ดังนั้นผูท ี่คิดจะทําหมันจะตองแนใจแลววาจะไมมี บุตรอกี ซง่ึ สามารถทาํ ไดทั้งผูหญงิ และผูชาย 8.1 การทาํ หมนั ชาย ทาํ โดยแพทยใ ชเ วลาประมาณ 10 นาที โดยการใหผ ทู ี่จะทาํ หมันนอนบนเตียงผาตัด มีมา นกน้ั มิใหเหน็ ขณะท่แี พทยก าํ ลงั ผาตัดเจาหนาท่ีจะโกนขนบริเวณอวัยวะเพศออกเล็กนอยแลวแพทยจะฉีดยา ชาเฉพาะท่ี แลว จงึ เจาะถงุ อัณฑะเพอ่ื ผกู ทอ อสุจิโดยไมตองเย็บ หามแผลถูกนํ้า 3 วัน หลังทําหมันชายแลวจะตอง คมุ กาํ เนิดแบบอ่นื ไปกอ นฝา ยชายจะหล่ังน้าํ อสุจปิ ระมาณ 15 ครัง้ แลวน้ําอสุจิครัง้ ที่ 15 หรือมากกวาไปใหแพทย
67 ตรวจวายังมีตัวอสุจิหรือไม ถาแพทยตรวจวาไมมีตัวอสุจิแลวก็สามารถมีเพศสัมพันธไดโดยไมตองใชการ คมุ กําเนดิ แบบอ่ืนอกี ตอ ไปเลย 8.2 การทาํ หมันหญิง แบง ออกเปน 2 แบบคือ 1.การทําหมันเปยก คือการทําหมันหลังคลอดบุตรใหมๆภายใน 24-48 ชั่วโมงเพราะจําทําได งา ยเนือ่ งจากมดลกู ยงั มีขนาดใหญแ ละลอดตวั สงู โดยขอบบนอยสู ูงเกือบถงึ สะดอื วธิ นี จ้ี ะผาตัดทางหนา ทอง 2.การทําหมันแหง คือการทําหมันในระยะปกติขณะที่ไมมีการตั้งครรภหรือหลังการคลอด บุตรมานานแลว มดลูกจะมีขนาดแกติและอยูลึกลงไปในอุงเชิงกราน การทําหมันแหงอาจทําไดหลายวิธี เชน ผาตัดทางดานหนาทอง ผาตัดทางชองคลอด โดยใชเครือ่ งมือตางๆทีท่ ันสมัยชวยการไปรับบริการทําหมันนี้ สามารถไปรับบริการไดในหลายหนวยงานที่ใหบริการทางดานสาธารณสุขทั้งของภาครัฐและเอกชน เชน โรงพยาบาลตา งๆ สมาคมพฒั นาประชากรและชมุ ชน สมาคมวางแผนครอบครวั แหง ประเทศไทย สมาคมทําหมัน แหงประเทศไทย เปนตน 9.การคุมกําเนินดวยยาเม็ดคุมกําเนิดฉุกเฉิน เปนการปองกันการตั้งครรภเฉพาะฉุกเฉินเชน การมี เพศสัมพนั ธโ ดยไมไดใชการปอ งกนั วธิ อี ่นื มากอ น ใชถ งุ ยางอนามยั เสรจ็ แลวไมแ นใ จวารวั่ หรอื แตก ลืมกนิ ยาแบบ ประจําวันติดตอกันสองวัน ใสหวงอนามัยแตหวงหลุด มีเพศสัมพันธในชวงที่ไมปลอดภัย กรณีถูกขมขืน ซึ่ง องคกรอนามัยโลกไดใหการรับรองวาการกินยาเม็ดคุมกําเนิดแบบฉุกเฉินเปนวิธีที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ในการปอ งกันการต้งั ครรภไดระดับหนึง่ ยาเมด็ คมุ กาํ เนิดฉุกเฉินจะมปี ระสิทธิภาพสูงกต็ อเมอ่ื มกี ารนาํ มาใชต ามขอบง ชที้ ีก่ ําหนดไว และใชเ ทาที่ จําเปนเทานัน้ สําหรับผลคางเคียงทีเ่ กิดขึน้ บอย คือ การมีรอระดูผิดปกติ คลืน่ ไสอาเจียน แตหากใชบอยละ ตอ เนือ่ งมีโอกาสตง้ั ครรภนอกมดลูกได การทาํ แทง การทําแทง หมายถึง การทาํ ใหก ารตง้ั ครรภส ิ้นสดุ กอ นอายคุ รรภ 28 สัปดาหสําหรับในประเทศไทยการ ทําแทง ยงั ไมเ ปนเรอื่ งท่ผี ดิ กฎหมายไมว า จะกระทําโดยแพทยปรญิ ญาหรือหมอเถ่ือนก็ตาม กฎหมายจะอนุญาตให ทําแทงได 2 กรณี คือ กรณีถูกขมขืนและกรณีตั้งครรภนัน้ เปนอัตราตอสุขภาพของมารดาและทารกในครรภ เทานั้น เมื่อเกิดการตัง้ ครรภไมพึง่ ประสงคเด็กวัยรุนจะเกิดความกังวลจากความไมพรอมทีจ่ ะเปนผูร ับผิดชอบ กับการมีบตุ ร จึงคิดหาวิธีการทาํ ลายเดก็ ในครรภ โดยการทําแทง กับหมอเถื่อนทีผ่ ิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม เพราะใน สังคมไทยไมเปดใหมีการทําแทงแบบเสรี นอกจากการตั้งครรภในครัง้ นัน้ แพทยพิจารณาใหทําแทงได ในกรณี อาจเกิดอันตรายถงึ ชวี ติ ผูเปนแม เชนการทอ งนอกมดลกู ครรภเปน พษิ ทองไขปลาดุก หรือในกรณีที่แมไดรับเช้ือ โรคหลังจากการตั้งครรภแลว เชน ไดรบั เชอื้ หดั เยอรมนั การทําแทงโดยทัว่ ไปของเด็กวัยรุนจะทําแทงกับผูท ีไ่ มมีความรูดานการแพทยที่แทจริง จึงทําใหเกิด อันตรายกับผูม าทําแทง เชน เกิดการตกเลือด หรือไดรับอันตรายอาจเกิดการติดเชือ้ โรค จากเครื่องมือ อุปกรณที่ นาํ มาใช เกดิ ความสกปรกจากการใชอ ปุ กรณ สถานทจ่ี นทําใหม ารดาเปนบาดทะยักไดดวย การแทง บตุ รทีท่ ําใหเกดิ อันตรายตอ สุขภาพของผูเปนแมเน่อื งจากมีบางสว นของทารกหรือรกหลงเหลือ อยจู ึงตอ งนาํ สวนที่เหลอื ออกจากมดลกู ใหห มดโดยแพทยตองใชเคร่ืองดูดหรือใชวิธีขูดจากโพรงมดลูก หรืออาจ ตองใชฮอรโมนทีใ่ หใหมดลูกเกิดการบีบตัวขับสวนที่คางออกและในบางกรณีแพทยตองใชยาปฏิชีวนะเพื่อการ รกั ษาหรอื ปอ งกนั การติดเชื้อ
68 ตดิ เช้ือ HIVS สวนใหญเ กิดจากการมีเพศสมั พันธก บั บคุ คลอืน่ ทไ่ี ดร ับเชื้อไวรัส HIV ในรางกายรองลงมาเกิดจาการใช สารเสพติดชนดิ ฉีดเขา เสนเลอื ดทําใหไดร ับเชื้อ HIV จากเลือดท่ีสัมผสั หรือเลือดท่ีไดร บั เขาสรู า งกาย บคุ คลท่มี ีโอกาสไดร บั เชื้อไวรัส HIV VS โดยไมไดเกิดจากการมีเพศสัมพันธและไมไดใชเข็มฉีดยาใดๆ สวนหนึ่งจะเกิดกับบุคคลสวนหนึง่ ทางการแพทย ที่มีโอกาสสัมพันธน้าํ เลือดน้าํ เหลือง ที่คัดหลั่งจากผูป วยโดย ไมไ ดป อ งกนั ตนเองโดยการใชถ ุงมอื กอนสมั ผัสกับผูปว ยจงึ มีโอกาสไดร ับหรือติดเชอื้ HIV VS ได การตงั้ ครรภเม่ือไมม ีความพรอม การมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร เปนปญหาของสังคมไทยมากขึ้น ทัง้ นีเ้ พราะคานิยมในเรือ่ ง การรัก นวลสงวนตัวของเพศหญิง หรือการเห็นคุณคาในการรักษาความบริสุทธิ์ของตนจนถึงวัยแตงงาน เด็กวัยรุน ปจจุบันไมไดคํานึงถึง ทั้งนี้อาจเปนเพราะการดูแลเอาใจใสใหการอบรมจากบิดามารดามีนอยลง เด็กยุคใหมรับ อารยะธรรมความกาวหนาหรืออิทธิพลตางประเทศมากขึน้ จึงไมคอยเชือ่ ฟงบิดามารดา จึงเปนสิ่งจําเปนที่ตอง ปลูกฝง ใหเกดิ จติ สํานกึ โดยครอบครวั ชมุ ชนโรงเรียนสถาบันท่มี ีสว นเก่ียวขอ งควรเขามามีบทบาทรณรงคปองกัน ปญหานี้รวมกัน การมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร เปนพฤติกรรมที่กอใหเกิดปญหาตางๆตามมาในชีวิตตลอดจนเปน ปญหาหรือภาระแกสังคม ชุมชนดวย เชนเกิดการติดโรคทางเพศสัมพันธและยังเปนบุคคลแพรเชื้อโรคทาง เพศสัมพันธแกคนอื่นดวยถาบุคคลนัน้ ใหบริการทางเพศการตัง้ ครรภเมือ่ ไมมีความพรอมหรือตัง้ ครรภโดยไม คาดคิดนอกจากจะสงผลกระทบตอชีวิตของตนเองแลว ยัง สงผลกระทบตอครอบครัว ทําใหบิดามารดา ญาติพี่ นอ งอบั อายเสยี ใจรวมสงผลกระทบตอ สังคม เชน ปญ หาเดก็ ถกู ทอดทงิ้ เพราะพอ แมไมตอ งการบุตร หรือไมพรอ ม จะรบั เลี้ยงดูบุตรเนอื่ งจากยงั ไมม อี าชพี เรียนไมจ บ ดังนัน้ จึงตองใหคําแนะนําอบรมสั่งสอนใหพฤติกรรมตนอยูในกรอบของสังคมที่ดีไมยุง เกี่ยวเรือ่ ง เพศสัมพันธปองกันตนเองไมปลอยตัวใหมีเพศสัมพันธในวัยทีย่ ังไมสมควรใหตัง้ ใจศึกษาเลาเรียน และสามารถ ประกอบอาชพี จนเล้ยี งตัวเองไดแลว จึงคดิ มีครอบครวั ภายหลัง 1.สอนความรูเ รือ่ งเพศ เพศสัมพันธและการคุมกําเนิดแกเด็กนักเรียนนักศึกษาที่กําลังกาวเขาสูว ัยรุน พรองทง้ั ชใ้ี หเห็นขอดีขอเสียขอกงการมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร และการตั้งครรภเมื่อไมพรอม โดยเนนย้าํ ให เห็นผลเสีย ไดแก การสูญเสียโอกาสในการศึกษา และการประกอบอาชีพการงานที่ดี ตลอดจนโอกาสในการเจอ คคู รองท่ีดีในอนาคต 2.สอนวยั รุนชายใหม คี วามรบั ผิดชอบและใหเ กียรติผหู ญิง เนอ่ื งจากในสังคมไทยยัง ยกยองเพศชายวา เปนเพศที่แข็งแรงกวาจึงควรสอนใหผูชายมีความคิดที่จะปกปองชวยเหลือ เพศหญิงมากกวานอกจากนี้เพศชาย จะตองใหเกียรติผูหญิงและมีความรับผิดชอบในการกระทําของตนเองปญหาการทําแทงสวนใหญพบวาฝายชาย ไมย อมรบั การต้ังครรภ 3.ปลูกฝงคานิยมในการรักนวลสงวนตัวตัง้ แตวัยเด็ก และเนนย้าํ มากขึ้นในวัยรุน ไดแกการแตงกายให สุภาพ ไมแ ตง กายลอ แหลม ยั่วยอุ ารมณเพศตรงขามซ่งึ เปน เหตุใหเกิดการขมขนื กระทําชาํ เรา 4.สอนใหรูจ ักการปฏิเสธในสถานการณทีไ่ มเหมาะสมไดแกปฏิเสธทีจ่ ะไปเทีย่ วตอหลังเลิกเรียน ปฏิเสธทจี่ ะไปไหนๆกบั เพ่อื นชายตามลาํ พงั ไมเปดโอกาสใหเพศตรงขา มถกู เน้ือตองตัว เปนตน แนวทางการแกไขปญหาการตัง้ ครรภไมพึง่ ประสงคนีค้ งตองเริ่มจากการปลูกฝงนิสัยตัง้ แตวัยเด็กให สอดคลอ งกบั สภาพสังคมในยุคโลกาภวิ ฒั นน้ี เช่ือวา ปญหาการทาํ แทง ผดิ กฎหมายอาจเบาบางลงไป
69 บทที่ 4 สารอาหาร สาระสาํ คัญ ความตองการสารอาหาร ตาม เพศ วัยของรางกาย เปนความตองการสารอาหารในบุคคลแต ละชวง และแตล ะเพศ ยอ มมีความแตกตางกนั เปน ท่ยี อมรบั กันทั่วไปแลววา อาหารมีสวน สําคัญ อยางมากในวัยเด็กทั้งในดานการเจริญเติบโตของรางกายและการพัฒนาการในดานความสมพันธ ของระบบการเคลื่อนไหวของรางกาย ผลการเรียนรูท ค่ี าดหวงั 1. วิเคราะหปญหาสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคอาหารไมถูกหลักโภชนาการ 2. บอกสารอาหารที่รางกายตองการตามเพศ 3. อธิบายวิธีการประกอบอาหารเพื่อรักษาคุณคาของอาหาร ขอบขา ยเนอ้ื หา เร่ืองที่ 1. สารอาหาร เรือ่ งที่ 2. วิธีการประกอบอาหารเพื่อคงคุณคาของสารอาหาร เร่ืองที่ 3. ความเชื่อและคานิยมเกี่ยวกับการบริโภค เรื่องที่ 4. ปญ หาสขุ ภาพทีเ่ กิดจากการบริโภคอาหารไมถูกหลัก โภชนาการ
70 เรอื่ งที่ 1 สารอาหาร ปริมาณความตองการสารอาหาร ตาม เพศ วัยและสภาพรางกาย ความสําคัญของอาหาร และความตองการสารอาหารในบุคคลแตละชวง และแตละเพศ มีความแตกตางกันตามธรรมชาติ ดังนั้น ปริมาณของสารอาหารที่ควรไดรับในแตละบุคคลจะแตกตางกัน 1. ความตองการสารอาหารในวยั เดก็ เปนทีย่ อมรับกันทัว่ ไปแลววา อาหารมีสวน สําคัญอยางมากในวัยเด็กทัง้ ในดานการ เจริญเติบโตของรางกายและการพัฒนาการในดานความสัมพันธของระบบการเคลือ่ นไหวของ รางกายตลอดจนในดานจิตใจ และพฤติกรรมในการแสดงออกและปจจัยทีม่ ีสวนสําคัญทีท่ ําใหเด็ก ไดร ับอาหารที่ถูกหลักทางโภชนาการ ไดแก 1.ครอบครวั ที่คอยดแู ลและเปนตัวอยางที่ดี 2.ตัวเด็กเอง ท่ีจะตอ งถูกฝกฝน 3.สิ่งแวดลอมทําใหเกิดการเอาอยางคนขางเคียง สําหรับอาหารที่ถูกหลักโภชนาการในวัยเด็กนั้น เราทราบดีอยูแ ลววาเด็กตองการอาหาร ครบทัง้ 6 ประเภท เพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่มีสิง่ ทีต่ องคํานึงถึงคือ อาหารทีใ่ หเด็กควร คิดถงึ 3 ประเดน็ ดว ยกนั คอื 1.อาหารท่ีใหโ ปรตีน ไดแ ก นม ไข เนอื้ สตั ว ตลอดจนโปรตนี จากพืชพวกถ่ัวเขียวถ่ัวเหลือง ดวู า ไดร ับเพียงพอหรอื ยัง 2.อาหารทใี่ หพลังงาน ไดแ กข า ว แปง นา้ํ ตาล ไขมัน และน้าํ มัน ดวู า เพียงพอหรอื ไม อาหาร ในกลุม นี้ สวนน้าํ อัดลม หรือขนมหวาน ลูกกวาดตางๆควรจํากัดลง เพราะประโยชนนอยมากและ บางทีทําใหมีปญ หาเรื่องฟน ผดุ วย 3.อาหารที่ใหวิตามินและเกลือแรไดแก พวก ผัก ผลไม และอาหารทีม่ ีใยอาหารทีม่ ีสวนทํา ใหเกบ็ ไมท องผกู 2. ความตองการอาหารของเด็กวัยเรียน ในปจจุบันภาวะของความเรงรีบในสังคมอาจจะทําใหพอแมหรือผูป กครองละเลยเรือ่ ง อาหารเชาของเด็กวัยเรียน ซึง่ เด็กวัยเรียนเปนวัยทีร่ างกายเจริญเติบโตตองการอาหารเชาของเด็กวัย เรียนซึ่งมักจะเปนปญหาของบางครอบครัวทีต่ องเรงรีบในตอนเชาของแตละวัน โดยเฉพาะ ครอบครัวในเมืองใหญๆเชน กรุงเทพมหานคร และครอบครัวรุน ใหมที่พอแมทํางานทัง้ คู ไมมีแม ครัวหรือคนรับใชที่จะหุงหาอาหารในตอนเชา ดังนัน้ ในปจจุบันภาวะของความเรงรีบในสังคมอาจจะทําใหพอแมหรือผูป กครองละเลย เรือ่ งอาหารเชาของเด็กวัยเรียน ซึ่งเด็กวัยเรียนเปนวัยทีร่ างกายกําลังเจริญเติบโต ถาเด็กไมไดกิน อาหารเชา จะทําใหเด็กขาดสมาธิในการเรียน สมองมึน งวง ซึม และถาเด็กอดอาหารเปนเวลานานๆ
71 ติดตอกัน จะทําใหมีผลเสียตอระบบการยอยอาหาร และเปนโรคขาดสารอาหารไดดังนัน้ การเลือก อาหารเชาทีเ่ ด็กวัยเรียนควรไดกินและหาไดงายคือ นมสด 1 กลอง ขาวหรือขนมปง ไข อาจจะเปน ไขดาว ไขลวก หรือไขเจียว ผลไมทีห่ าไดงาย เชน กลวยน้าํ วา มะละกอ หรือสม เทานีเ้ ด็กก็จะ ไดรับสารอาหารที่เพียงพอแลวจึงอยากจะใหพอแมหรืผูป กครองไดตระหนักถึงเด็กๆในการที่จะ เตรียมอาหารเชาที่มีคุณคาทางโภชนาการ 3. ความตองการสารอาหารในวยั รุน วยั รนุ เปน วนั ท่ีมกี ารเจริญเติบโตในดานรางกายอยางมากและในวัยน้ีเองที่การเปลี่ยนแปลง ทางอารมณและจิตใจคอนขางสูงมีกิจกรรมตางๆคอนขางมากทั้งในดานสังคมกีฬาและบันเทิงความ ตองการสารอาหารยอมมีมากขึน้ เปนธรรมดาซึง่ จะตองคํานึงทัง้ ปริมาณและคุณภาพใหถูกหลัก โภชนาการ สาํ หรับปจ จัยท่ีสําคัญ มดี ังนี้ 1.ครอบครัว การปลูกฝงนิสัยการรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ควรเริ่มตนมาจาก ที่บานสําหรับวัยรุนที่อาจชอบรักสวยรักงาม อาจพยายามจํากัดอาหารลง ซึ่งคนในครอบครัวจะตอง ใหคําแนะนําเพื่อไมไปจํากัดอาหารที่มีคุณคาและมีความจําเปนตอรางกาย 2.ตัววัยรุน เอง จะเริม่ มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปโดยมีความคิดความเห็นเปนของตัวเองมากขึน้ การใหความรูเกี่ยวกับโภชนาการมีความจําเปนเพือ่ ชีใ้ หเห็นความสําคัญของการรับประทานอาหาร ทม่ี คี ุณคาทางโภชนาการอยางสมํ่าเสมอซง่ึ จะมีผลตอ ตวั วัยรุนเองโดยตรง 3.สงิ่ แวดลอมในโรงเรยี นหรอื สถานศึกษาอทิ ธพิ ลจากเพอื่ นฝูงมีสวนที่ทําใหวัยรุนเอาอยาง กันไมวาจะเปนเรื่องการรับประทานอาหารตลอดจนการบริโภคสารอันตราย เชน เหลา บุหรี่ และยา เสพตดิ การดูแลอยางใกลชิดตลอดจนการสนับสนุนใหวัยรุน เลนกีฬา หรือทํากิจกรรมทีม่ ีประโยชน จะมีผลทางออมทําใหนิสัยทีด่ ีในการบริโภคอาหารไมถูกเบีย่ งเบนไปความตองการอาหารทีใ่ ห โปรตีนพลังงาน และวิตามินตองเพียงพอสําหรับวัยรุน วิตามินตองเหมาะและโดยเฉพาะอยางยิ่ง อาหารที่มีเกลอื แรป ระเภทแคลเซียมและเหล็กตอ งเพยี งพอกับวัยรนุ ในวยั ตางๆ 4. ความตองการสารอาหารในวัยผใู หญ ผูใหญถึงแมจะหยุดเจริญเติบโตแลว รางกายก็ตองการสารอาหารอยางครบถวน เพือ่ นําไป ทํานุบํารุงอวัยวะ และเนือ้ เยือ่ ตางๆ ของรางกาย ใหคงสภาพการทํางานทีม่ ีสมรรถภาพตอไปและ ปจจัยสําคัญอยางหนึง่ ที่จะทําใหวัยผูใหญยังคงแข็งแรงไดแก การบริโภคอาหารที่ถูกตองตามหลัก โภชนาการซึ่งในวัยนีเ้ นือ่ งจากเปนวัยทํางานมีเงินทองทีจ่ ะจับจายไดมากขึน้ โดยมากจะทําใหเกิด ภาวะโภชนาการกินเปนสวนใหญ เพราะถือเปนความสุขอยางหนึง่ ของคนบางกลุมทีค่ ิดวาอุตสาห หาเงินทองแทบแยจึงตองรับประทานอาหารที่มีราคาแพงและสวนใหญจะเต็มไปดวยไขมันใน ปริมาณทีม่ ากเกินไปดังนั้นสิง่ ทีเ่ ปนหัวใจในการควบคุมเรื่องอาหารการกินในผูใหญก็คือการ
72 ควบคุมน้ําหนักตัวใหเหมาะสมและทานสามารถคํานวณไดจากสูตร ดัชนีความหนาของรางกายซึง่ มีรายละเอียดในหัวขอเรือ่ งการควบคุมน้ําหนักตัว สําหรับคําแนะนําการรับประทานอาหารที่ ถูกตองในผูใ หญขอแนะนาํ ดงั นี้ 1.ใหบริโภคอาหารหลายชนิด เนือ่ งจากไมมีอาหารชนิดใดชนิดหนึง่ ทีใ่ หคุณคาทาง โภชนาการไดครบถวน 2 .บรโิ ภคอาหารในปริมาณทพี่ อเหมาะเพื่อใหนา้ํ หนักอยใู นเกณฑท ่ตี อ งการ 3. หลีกเลี่ยงการรับประทานที่มีไขมันมากเกินไป 4. บริโภคอาหารที่มีปริมาณของแปงและกากใยใหเพียงพอ 5. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ปรุงดวยปริมาณน้ําตาลจํานวนมาก 6. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารเค็มมากเกินไป 7. ถา ด่มื เคร่ืองดม่ื ที่มแี อลกอฮอลเปน ประจํา ขอใหด ม่ื แตพอประมาณ 8. ความตองการสารอาหารในวัยผูสูงอายุ ผูส ูงอายุในทีน่ ีห้ มายถึงผูท ี่อยูใ นวัย 60 ปขึ้นไป ซึ่งในปจจุบันเปนปที่จะเกษียณอายุของ ทางราชการ แตในอนาคตจะมีคนอายุ 60 ป แตยังแข็งแรงทัง้ สุขภาพกายสุขภาพจิตความคิดความ อานการตดั สนิ ใจยังดอี ยูม ีจาํ นวนมากข้นึ เรือ่ ยๆผสู ูงอายนุ า จะขยบั ไปอยทู ี่ 65 ปข น้ึ ไป สําหรับปญหาเรือ่ งอาหารการกินหรือโภชนาการในวัยนี้มีขอคิดอยูว าขอใหรับประทาน อาหารใหครบหมูแ ละควบคุมปริมาณโดยดูจากการควบคุมน้ําหนักตัวไมใหมากขึน้ และกรณี นาํ้ หนกั เกนิ อยแู ลว ควรจะลดน้ําหนักใหลงมาตามที่ควรเปนดวยเพราะโครงสรางของทานเสื่อมตาม วัยถายังตองแบกน้ําหนักมากๆจะเปนปญหาได ขอแนะนําในการดูแลเรือ่ งอาหารในผูส งู อายุมดี ังน้ี 1.โปรตีนคุณภาพควรใหรับประทานไขวันละ 1 ฟอง และดืม่ นมอยางนอยวันละ 1 แกว สาํ หรบั โปรตีนจากเนื้อสตั วค วรลดนอ ยลง เพราะสว นใหญจ ะตดิ มนั มากบั เนอ้ื สตั วด ว ย 2.ไขมันควรใชน้ํามันถัว่ เหลืองหรือน้าํ มันขาวโพดในการปรุงอาหารเพราะเปนน้าํ มันพืชที่ มกี รดไลโนเลอกิ 3.คารโบไฮเดรตคนสูงอายุควรรับประทานขาวใหลดลงและไมควรรับประทานน้าํ ตาลใน ปริมาณที่มาก 4.ใยอาหารคนสูงอายุควรรับประทานอาหารทีเ่ ปนพวกใยอาหารมากขึน้ เพือ่ ชวยปองกัน การทองผูกเชือ่ กันวาชวยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดและลดอุบัติการของการเกิดมะเร็งของ ลําไสใ หญลงได 5.น้ําดื่มคนสูงอายุควรรับประทานน้ําปริมาณ 1 ลิตรตลอดทั้งวันแตทัง้ นี้จะปรับเองได ตามแตความตองการของรางกายโดยใหดูวาปสสาวะมีสีเหลืองออนๆเกือบขาวแสดงวาน้าํ ใน
73 รางกายเพียงพอแลวสวนเครื่องดื่มแอลกอฮอลรวมทั้งน้าํ ชากาแฟควรงดเวนเสียถาระบบยอยอาหาร ในคนสูงอายุไมดีทานควรแบงเปนมื้อยอยๆแลวรับประทานทีละนอยแตหลายมื้อจะดีกวาแตอาหาร หลกั ควรเปน ม้ือเดยี ว 6.ความตองการสารอาหารในสตรีตั้งครรภ สตรีตัง้ ครรภนอกจากตองมีสารอาหารทัง้ 6 ประเภทไดแกโปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร และน้าํ ในอาหารทีร่ ับประทานเปนประจําใหครบทุกประเภทแลว สตรีตัง้ ครรภ ตองทราบอีกวาควรทีจ่ ะเพิม่ สารอาหารประเภทใดจึงจะทําใหเด็กในครรภไดรับประโยชนสูงสุด ดงั น้ี 1.อาหารที่ใหโปรตีน ไดแกไข นม เนื้อสัตว เครือ่ งในสัตวและถั่วเมล็ดแหง สตรีตัง้ ครรภ จึงควรรับประทานไขวันละ 1-2 ฟอง นมสดวนั ละ 1-2 แกว เนือ้ สัตวบกและสัตวทะเล ซึ่งจะไดธาตุ ไอโอดีนดวยอาหารประเภทเตาหูและนมถั่วเหลือง ก็มีประโยชนในการใหโปรตีนไมแพเนื้อสัตว เชน กัน 2.อาหารทีใ่ หพลังงาน ไดแก ขาว แปง น้าํ ตาล ไขมันและน้าํ มัน สตรีตัง้ ครรภควร รับประทานขาวพอประมาณรวมกับอาหารทีใ่ หโปรตีนดังกลาวแลว ควรใชน้ํามันพืชซึง่ มีกรด ไขมันจําเปน ในการประกอบอาหาร เชนน้ํามันถั่วเหลือง น้ํามันขาวโพด สตรีตั้งครรภควรจะตอง รับอาหารที่จะใหพลังงานมากขึ้นวันละปริมาณ 300 แคลลอรี่ 3.อาหารทีใ่ หวิตามินและเกลือแร สตรีตั้งครรภตองการอาหารทีม่ ีวิตามินและเกลือแร เพิ่มขึ้นควรรับประทานอาหารประเภทผักและผลไมทุกๆวันเชนสม มะละกอ กลวย สลับกันไป จะ ไดใยอาหารเพื่อประโยชนในการขับถายอุจจาระดวย เหลือแรที่สําคัญควรรับประทานเพิ่มไดแก แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และไอโอดีน สวนวิตามินไดแกกลุมทีล่ ะลายใน ไขมนั เชน เอ ดี อี เค และท่ีละลายในนํา้ ไดแ กวติ ามินบีและวิตามินซี 4.โภชนาการบัญญตั ิ 9 ประการ ขอปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย รางกายเราตองการอาหารทีม่ ีอยูใ นอาหารตางๆ เพื่อใหมีสุขภาพทีด่ ีแตเราจะตองรูว าจะกิน อยางไร กินอาหารอะไรบางมากนอยเพียงใดจึงจะไดสารอาหารครบเพียงพอกับความตองการของ รางกายขอปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย 9 ขอหรือโภชนาการบัญญัติ 9 ประการนี้ จะชวยไดถ าทา นปฏิบตั ิตามหลกั ดังตอไปนี้ 1.กินอาหารครบ 5 หมแู ตล ะหมใู หห ลากหลายและหมน่ั ดแู ลนาํ้ หนกั ตวั 2.กินขาวเปนอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแปงเปนบางมื้อ 3.กินพชื ผกั ใหมากและกินผลไมเ ปน ประจาํ 4.กนิ ปลา เน้อื สตั วท ีไ่ มติดมัน ไข ถั่วเมล็ดแหง เปนประจํา 5.ดื่มนมใหเหมาะสมตามวัย
74 6.กินอาหารที่มีไขมันพอสมควร 7.หลกี เลย่ี งการกนิ อาหารรสหวานจดั และเคม็ จดั 8.กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปอน 9.งดหรอื ลดเคร่ืองดมื่ ทม่ี แี อลกอฮอร 5. สารตานอนุมลู อสิ ระ ในรางกายของคนเราเซลลจะผลิตสารชนิดหนึง่ เพื่อทําลายเนื้อเยื่อตนเองเพิม่ มากขึ้น สาร นั้นเรียกวาอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระนี้เปนตัวการสําคัญทีท่ ําใหเกิดปญหาทางสุขภาพหลายประการ ทั้งภาวะความจําเสื่อม โรคมะเร็งเปนตน ในขณะเดียวกันรางกายก็สามารถจัดการกับอนุมูลอิสระไดโดยสรางสารตานอนุมูลอิสระ ออกมาในกระแสเลือด เพือ่ จับกับอนุมูลอิสระไดถึง 99.9 % คงเหลือทําลายเซลลอยูเ พียง 0.1% แต กระนั้นกท็ าํ ใหเ ซลลเกิดการบาดเจบ็ และยิ่งนานวันรอยแผลก็สะสมมากข้ึน เมื่อคนเราแกลงรางกาย ก็จะสรางสารตานอนุมูลอิสระลดลงรางกายจะตองการสารตานอนุมูลอิสระมากขึน้ เพือ่ สงผลให อายุยืน สุขภาพแข็งแรงตอตานโรคชรา โรคมะเร็ง เปนตน สารตา นอนุมูลอสิ ระท่สี าํ คญั ทีเ่ ราพบในแหลงอาหาร มดี ังน้ี 1.เบตา-แคโรทีน มีมากในแครอท และผักสีเหลืองสมผักสีเขียวเขมตางๆเชนมะเขือเทศ ฟกทอง ตาํ ลึง ผักบุง ผกั กวางตงุ ผกั คะนา ยอดแค เปนตน 2.วิตามินซี มีมากในฝรัง่ สม มะขามปอม มะนาว มะเขือเทศ ผัก ผลไมสด ตางๆ ผักคะนา และกระหลา่ํ ดอกมวี ิตามินซีสูงมาก วติ ามนิ ซี ถูกทาํ ลายไดง า ย ดวยความรอนความขึ้นและแสง 3.วิตามินอี มีในรําละเอียด ในพวกธัญพืชทีไ่ มขัดขาว ขาวโพด ถั่วแดง ถัว่ เหลือง ผักกาดหอม เมล็ดทานตะวัน งา นา้ํ มนั รํา น้ํามนั ถ่ัวลิสง น้าํ มนั จากเมลด็ พืชตางๆ 4.ซีลิเนียม พบในอาหารทะเลเนื้อสัตวธัญพืชทีไ่ มขัดขาวนอกจากนีย้ ังมีสารที่พบในผัก ผลไมที่มีคุณสมบัติในการตานสารอนุมูลอิสระซึ่งสามารถจับกับอนุมูลอิสระลดอันตรายไมใหเกิด โรคมะเร็งได พบไดมากในตระกูลสม องุน และผลไมสดอื่นๆรวมทัง้ ผักผลไมตางๆ เชน กระเทียม ผักตระกลู ผกั กาด
75 ตวั อยา ง ประเภทและจํานวนของอาหารที่คนไทยควรกินใน 1 วนั สําหรับเด็กอายุ 6 ปข ึ้นไปถงึ วยั ผใู หญแ ละผสู ูงอายโุ ดยแบงตามการใหพ ลังงาน กลุมอาหาร หนว ยครวั เรอื น พลังงาน (กโิ ลแคลอรี) 1,600 2,000 2,400 ขาว – แปง 1 ทัพพี = 60 กรัม หรอื คร่งึ ถวยตวง 8 ทัพพี 10 ทัพพี 12 ทัพพี ผัก 1 ทพั พี = 40 กรมั หรอื ครงึ่ ถว ยตวง 4 (6) ทัพพี 5 ทัพพี 6 ทัพพี ผลไม 1 สว น = สม เขยี วหวาน 1 ผล หรอื 3 (4) สว น 4 สว น 5 สว น กลวยนํ้าวา 1 ผล หรอื เงาะ 4 ผล เนอ้ื สัตว 1 ชอ นกนิ ขา ว = ปลาทคู รง่ึ ตวั หรอื 6 ชอ น 9 ชอ น 12 ชอ น ไขครงึ่ ฟอง หรอื ไกค รึง่ นอง กินขาว กินขา ว กนิ ขา ว นม 1 แกว = 250 ซีซี 2 (1) แกว 1 แกว 1 แกว นํา้ มัน นาํ้ ตาล และ ชอนชา ใชแตน อ ยเทา ทจ่ี ําเปน เกลอื หมายเหตุ เลขใน ( ) คือปรมิ าณท่แี นะนาํ สาํ หรับผใู หญ 1,600 กโิ ลแคลอรี สาํ หรับ เดก็ อายุ 6-13 ป หญิงวัยทํางานอายุ 25-60 ป ผูสูงอายุ 60 ปข น้ึ ไป 2,000 กโิ ลแคลอรี สําหรบั วัยรุน หญิง-ชาย อายุ 14-25 ป วยั ทาํ งานอายุ 25-60 ป 2,400 กโิ ลแคลอรี สาํ หรับ หญงิ -ชาย ที่ใชพลังงานมากๆ เชน เกษตรกร ผูใชแรงงาน นักกฬี า สรปุ อาหารเปนปจจัยทีม่ ีผลตอการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย การรับประทาน อาหารควรยึดหลักโภชนาการ เพื่อใหไดพลังงานและสารอาหารทีพ่ อเพียง วัยรุน เปนวัยที่กําลัง เจริญเติบโตจึงควรบริโภคอาหารใหถูกตองตามหลักโภชนาการ
76 เรื่องท่ี 2 วิธีการประกอบอาหารเพ่อื คงคณุ คาของสารอาหาร 2.1 หลกั การปรุงอาหารท่ีถกู สขุ ลกั ษณะ เพือ่ ใหไดอาหารทีส่ ะอาด ปลอดภัย และมีคุณคาทางโภชนาการ มีหลักการปรุง อาหารทีถ่ กู สุขลักษณะ โดยคาํ นงึ ถงึ หลัก 3 ส คอื สงวนคุณคา สุกเสมอ สะอาดปลอดภยั สงวนคุณคา คือ การปรุงอาหารจะตองปรุงดวยวิธีการปรุง ประกอบเพือ่ สงวนคุณคาของ อาหารใหมปี ระโยชนเ ต็มท่ี เชน การลางใหสะอาดกอนห่ันผกั การเลอื กใชเ กลือเสรมิ ไอโอดนี สุกเสมอ คือ ตองใชความรอนในการปรุงอาหารใหสุกโดยเฉพาะอาหารประเภทเนือ้ สัตว ทั้งนี้เพื่อตองการจะทําลายเชื้อโรคที่อาจปนเปอนมากับอาหาร การใชความรอนจะตองใชความรอน ในระดับทีส่ ูง ในระยะเวลานานเพียงพอทีค่ วามรอนจะกระจายเขาถึงทุกสวนของอาหาร ทําให สามารถทําลายเชื้อโรคไดอยางมีประสิทธภิ าพ สะอาดปลอดภัย คือ จะตองมีการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานของอาหารกอนการปรุง ประกอบวาอยูในสภาพทีส่ ะอาด ปลอดภัย ไดมาตรฐาน เชน เนื้อหมูสด ตองไมมีเม็ดสาคู (ตัวออน พยาธิตัวตืด) น้ําปลา จะตองมีเครื่องหมาย อย.รับรอง เปนตน และจะตองมีกรรมวีธีขัน้ ตอนการปรุง ประกอบอาหารทสี่ ะอาด ปลอดภัยและถกู สขุ ลักษณะ มีผปู รุง ผูเสิรฟอาหารที่มีสุขวิทยาสวนบุคคล ที่ดี รูจ ักวิธีการใชภาชนะอุปกรณและสารปรุงแตงรสอาหารที่ถูกตองเชน วีการสดปริมาณสารพิษ กําจัดศัตรูพืชที่ตกคางในผักสด การใชชอนชิมอาหารเฉพาะในการชิมอาหารระหวางการปรุงอาหาร 2.2 หลกั การทาํ อาหารใหส ะดวกและรวดเรว็ อาหารทีป่ รุงเองนอกจากจะประหยัดแลวยังไดอาหารทีส่ ะอาด สด ใหม มีรสถูกปากและ ลดความเสี่ยงจากการมีสารเคมีปนเปอ นแต เวลา มักจะเปนขอจํากัดในการลงมือทําอาหาร แมบาน อาจมีวิธีการเตรียมอาหารพรอมปรุงในวันหยุด เก็บไวในตูเ ย็นแลวนํามาปรุงใหมไดโดยใชเวลา นอยแตไดคุณคามากเริม่ จากอาหารประเภทเนือ้ สัตว เชน หมู ไก กุง ปลา เมือ่ ซื้อมาจัดเตรียมตาม ชนิดที่ตองการปรุงหรือหุงตมแลวทําใหสุก ดวยวิธีการตมหรือรวน แลวแบงออกเปนสวนๆตาม ปริมาณที่จะใชแตละครั้ง แลวเก็บไวในตูเย็น ถาจะใชในวันรุง ขึ้น หรือเก็บไวในชองแชแข็งถาจะ เก็บไวใชนาน เมื่อตองการใชก็นําออกมาประกอบอาหารไดทันที โดยไมตองเสียเวลา รอใหละลาย เหมือนการเก็บดบิ ๆ ทั้งชน้ิ ใหญโดยไมห นั่ การเตรียมลวงหนาวิธีน้ี นอกจากจะสะดวก รวดเร็วแลว ยังคงรสชาติและคุณคาของอาหารอีกดวย 2.3 หลักการเก็บอาหารใหสะอาดปลอดภัย การเก็บอาหารตามหลักการสุขาภิบาลอาหารมีวัตถุประสงคเพือ่ ยืดอายุของอาหารที่ใช บริโภค โดยจะตองอยูในสภาพที่สะอาดปลอดภัยในการบริโภค หลักการในการเก็บอาหารให คาํ นึงถึงหลกั 3 ส. คือสัดสว นเฉพาะ สิง่ แวดลอ มเหมาะสม สะอาดปลอดภัย
77 สัดสวนเฉพาะ คือ ตองเก็บอาหารใหเปนระเบียบ แยกเก็บตามประเภทอาหารโดยจัดให เปนสัดสวนเฉพาะไมปะปนกัน มีฉลากซื้อหรือเครื่องหมายอาหารแสดงกํากับไว สิง่ แวดลอมเหมาะสม คือ ตองเก็บอาหารโดยคํานึงถึงการจัดสภาพสิง่ แวดลอมให เหมาะสมกับอาหารแตละประเภทโดยคํานึงถึงอุณหภูมิความชื้นเพื่อชวยทําใหอาหารสดสะอาดเก็บ ไดนานไมเนาเสียงายสิง่ แวดลอมของอาหารจะจัดการใหอยูใ นสภาพทีจ่ ะปองกันการปนเปอ นได เชน การเกบ็ อาหารกระปอ งในบริเวณทม่ี ี อาหารหมุนเวียน สงู จากพ้นื อยา งนอย 30 ซม. การเก็บนม พาสเจอไรสไวในอุณหภมู ติ ํ่ากวา 7 องศาเซลเซยี ส เปน ตน สะอาดปลอดภัย คือ ตองเก็บอาหารในภาชนะบรรจุทีถ่ ูกสุขลักษณะ สะอาด ปลอดภัย มี การทําความสะอาดสถานที่เก็บอยางสม่ําเสมอไมเก็บสารเคมีที่เปนพิษอื่นๆเชน การใชถุงพลาสติก/ กลองพลาสติกสําหรับบรรจุอาหารในการบรรจุอาหารที่เก็บไวในตูเย็น/ตูแชแขง็ เปน ตน 2.4 อุณหภมู ิเทาไหรจ ึงจะทาํ ลายเชอ้ื โรคได เชื้อจุลินทรียมีอยูทั่วไปตามสิ่งแวดลอมมนุษย สัตว อาหาร ภาชนะอุปกรณและสามารถจะ ดํารงชีวิตอยูไ ดในชวงอุณหภูมิต่ํากวา 0 องศาเซลเซียส จนถึง 75 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะ เชือ้ จุลินทรียท กี่ อใหเกิดโรคระบาดทางเดินอาหารมักจะเปนเชื้อจุลินทรียที่สามารถเจริญเติบโตไดดี ทอ่ี ณุ หภมู หิ อ งประมาณ 25 องศาเซลเซียส ถึง 40 องศาเซลเซยี ส ฉะนัน้ การทําลายเชือ้ จุลินทรียทีก่ อใหเกิดโรคระบบทางเดินอาหารจําเปนจะตองกําหนด ชวงอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อจะไดแนใจวาเชือ้ จุลินทรียถูกทําลายจนหมดสิ้นในขบวนการผลิต อาหารทางอุตสาหกรรมการทําลายเชือ้ โรคจําเปนตองอาศัยอุณหภูมิทีเ่ หมาะสมควบคูไปกับ ระยะเวลาที่เหมาะสมจึงจะมีประสิทธิภาพในการทําลายทีด่ ี คืออุณหภูมิทีส่ ูงมากใชระยะเวลาสัน้ (121องศาเซลเซยี สเปน เวลา 1 นาที)และอุณหภูมิทีต่ ่าํ ใชระยะเวลานาน(63 องศาเซลเซียส เปนเวลา 30 นาที)ทัง้ ทีย่ ังมีปจจัยอืน่ ทีเ่ กีย่ วของในการควบคุมไดแกปริมาณเชื้อจุลินทรียประเภทของอาหาร คาความเปนกรด ดาง ความชื้น สําหรับในการปรุงประกอบอาหารในครัวเรือนอุณหภูมิที่สามารถทําลายเชือ้ จุลินทรีย คือ 80 องศาเซลเซียส-100 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิน้าํ เดือด)เปนเวลานาน 15 นาทีสําหรับอุณหภูมิใน ตูเ ย็น 5 องศาเซลเซียส-7องศาเซลเซียส เชื้อจุลินทรียสามารถดํารงชีวิตอยูไ ด และสามารถเพิ่ม จาํ นวนไดอ ยา งชาในขณะที่อณุ หภูมแิ ซแ ขง็ ต่ํากวา 0 องศาเซลเซยี ส เช้ือจลุ นิ ทรยี ส ามารถดํารงอยูได แตไ มเพิม่ จํานวนอุณหภูมิท่ีเช้ือจุลินทรียตายคือ-20องศาเซลเซียส และฉะนั้นเพือ่ ความปลอดภัยใน การบริโภคอาหารโดยเฉพาะอาหารเนื้อสัตวควรปรุงอาหารใหสุกเสมอโดยทั่วทุกสวนที่อุณหภูมิสูง กวา 80 องศาเซลเซียส ข้นึ ไปหรอื สกุ เสมอ สะอาด ปลอดภัย 2.5 อณุ หภมู ิทีเ่ หมาะสมในการเก็บอาหารสดประเภทเนื้อสัตว
78 อาหารเนื้อสัตวสด เปนอาหารที่มีความเสี่ยงสูง เพราะมีปจจัยเอื้อตอการเนาเสียไดงาย คือมี ปริมาณสารอินทรียสูง มีปริมาณน้าํ สูง ความเปนกรดดางเหมาะสมในการเจริญเติบโตของ เชื้อจุลนิ ทรยี การเก็บเนื้อสัตวสดที่ถูกสุขลักษณะ คือตองลางทําความสะอาดแลวจึงหัน่ หรือแบง เนื้อสัตวเปนชิ้นๆขนาดพอดีที่จะใชในการปรุงประกอบอาหารแตละครัง้ แลวจึงเก็บในภาชนะที่ สะอาดแยกเปนสัดสวนเฉพาะสําหรับเนือ้ สัตวสดทีต่ องการใชใหหมด ภายใน 24 ชั่วโมงสามารถ เก็บไวในอุณหภูมิตูเ ย็นระหวาง 5 องศาเซลเซียส -7 องศาเซลเซียสในขณะที่เนือ้ สัตวสดที่ตองการ เก็บไวใชนาน (ไมเกิน7วัน)ตองเก็บไวในอุณหภูมิตูแ ชแข็ง อุณหภูมิต่ํากวา 0 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ เมือ่ จะนํามาใชจําเปนจะตองนํามาละลายในไมโครเวฟ แตถาละลายในน้าํ เย็นจะตองเปลีย่ นน้าํ ทุก 30 นาที เพือ่ ใหอาหารยังคงความเย็นอยูแ ละน้ําทีใ่ ชละลายไมเปนแหลงสะสมของเชื้อจุลินทรียที่ อาจจะปนเปอนมาทําใหมีโอกาสเพิ่มจํานวนไดมากขึ้นจนอาจจะเกิดเปนอันตรายได สรุปอุณหภูมิทีเ่ หมาะสมในการเก็บอาหารเนื้อสัตวสดคืออุณหภูมิตูเย็นต่ํากวา 7 องศา เซลเซยี สในกรณที จี่ ะใชภายใน 24 ช่วั โมง และต่ํากวา 0 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิแชแข็ง) ในกรณีท่ี จะใชภายใน 7 วันซึ่งเปนอุณหภูมิทีเ่ ชื้อจุลินทรียยังคงดํารงชีวิตอยูไ ดแตมีอัตราการเจริญเติบโตต่ํา จนถึงไมม กี ารเจรญิ เตบิ โตทาํ ใหส ามารถเก็บรักษาเนื้อสตั วใ หสด ใหม สะอาด ปลอดภัย 2.6 ภาชนะบรรจุอาหารสําคัญอยางไร ภาชนะบรรจุอาหารเปนปจจัยสําคัญทีเ่ สีย่ งตอการปนเปอนเชือ้ โรค สารเคมีทีเ่ ปนพิษกับ อาหารที่พรอมจะบริโภค ทัง้ นี้ สามารถจะกอใหเกิดการปนเปอ นไดทุกขั้นตอน ตัง้ แตขัน้ ตอนการ เกบ็ อาหารดบิ ข้ันตอนการเสริ ฟใหกับผบู ริโภค ขั้นตอนการเก็บอาหารดิบถาภาชนะบรรจุทําดวยวัสดุทีเ่ ปนพิษหรือภาชนะทีป่ นเปอ นเชื้อ โรคก็จะทําใหอาหารที่บรรจุอยูป นเปอนไดโดยเฉพาะภาชนะบรรจุอาหารเนือ้ สัตวสด เมือ่ ใชแลว ตองลางทําความสะอาดใหถูกตองกอนจะนํามาบรรจุเนือ้ สัตวสดใหมเพราะอาจจะเปนแหลงสะสม ของเช้อื จุลนิ ทรียไดงายขน้ั ตอนการปรุงประกอบอาหารถาภาชนะอุปกรณที่ใชในการปรุง ประกอบ อาหาร ถาภาชนะอุปกรณทีใ่ ชในการปรุงประกอบมีการปนเปอ นดวยสารเคมีทีเ่ ปนพิษ ก็สามารถ ปนเปอ นอาหารที่ปรุงประกอบไดเชน ตะแกรงทาสีบรอนดเวลาปงปลา สีบรอนด และสารตะกัว่ ก็ อาจจะปนเปอนกับเนื้อปลาไดใชภาชนะพลาสติกออนใสน้ําสมสายชูทําใหมีการปนเปอนสาร พลาสติกออกมากับน้ําสมสายชูทําใหมีการปนเปอนสารพลาสติกออกมากับน้ําสมสายชูได ขัน้ ตอนการเสิรฟอาหารพรอมบริโภคอาหารปรุงสําเร็จถาภาชนะทีใ่ ชลางไมสะอาดมีการ ปนเปอ นเชื้อจุลินทรียสารเคมีทีเ่ ปนอันตรายก็จะปนเปอนอาหารจนอาจกอใหเกิดอันตรายกับ ผบู รโิ ภคได
79 ฉะนั้นเพอ่ื ใหไดภาชนะอุปกรณท ี่สะอาด ปลอดภัย สิ่งสําคญั ก็คอื จะตองรจู กั วิธีการเลือกใช ภาชนะอุปกรณทีถ่ ูกตองไมทําจากวัสดุที่เปนพิษและใชใหเหมาะสมกับประเภทของอาหารรวมทัง้ ตองรูจกั วิธีการลางและการเกบ็ ภาชนะอปุ กรณใ หถ กู ตอง เร่อื งท่ี 3 ความเชอื่ และคานยิ มเก่ียวกับการบรโิ ภค คานิยม (Value) หมายถึง ลักษณะดานสังคมซึง่ มีความเชือ่ ถือ (Beliefs) กันอยาง กวางขวาง ซึ่งเปนแนวทางในการพิจารณาพฤติกรรมทีเ่ หมาะสม โดยมีการยอมรับอยางแพรหลาย จากสมาชิกของสังคม หรือหมายถึง ความเชือ่ ถือของสวนรวมซึ่งมีมานาน โดยมีจุดมุง หมายเพื่อ การมีชีวิตอยูร วมกันเปนความรูสึกเกี่ยวกับกิจกรรม ความสัมพันธกัน หรือจุดมุง หมายซึ่งมี ความสําคัญตอลักษณะหรือความเปนอยูข องชุมชน สิ่งทีค่ นกลุม หนึง่ หนึง่ วาอะไรก็ตามทีค่ นใน สังคมสวนใหญชอบ ปรารถนาหรือตองการใหเปน ในปจจุบันเรามักจะใหยินวาคนไทยมีคานิยมชอบใชของตางประเทศ ชอบ เลียนแบบชาวตางประเทศโดยรับเอาวัฒนธรรมของตางประเทศเขามามาก โดยลืมคิดถึงความ เสียหายทีจ่ ะเกิดขึ้น ซึง่ คําวา “คานิยม” ถือวาเปนปจจัยภายนอกซึ่งเปนปจจัยที่มีอิทธิพลตอ ความรูสึกนึกคิดของบุคคลเปนสิ่งทีเ่ กิดขึ้นจากการเรียนรู หรือสิ่งอื่นใดก็ตามที่เปนตัวกํากับหรือ ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลเปนสิ่งที่เกิดขึน้ จากการเรียนรู หรือสิ่งอื่นใดก็ตามทีเ่ ปนตัวกํากับหรือ ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลทีอ่ ยูใ นสังคมนั้น ๆ ซึง่ ความสําเร็จหรือความลมเหลวของธุรกิจทาง การตลาดขึน้ อยูกับความสอดคลองกับคานิยมเปนสําคัญ ดังนั้น คานิยมจึงเกี่ยวของกับการ ตอบสนองตอสิง่ กระตุนดวยวิธีทีม่ ีมาตรฐาน ซึง่ บุคคลจะถูกกระตุน ใหมีสวนรวมในพฤติกรรม เพอ่ื ใหบรรลคุ า นยิ ม และความเก่ยี วขอ งกบั พฤตกิ รรมผูบ ริโภคและกลยุทธทางการตลาด ในขณะท่ี แตละชัน้ ของสังคมจะมีลักษณะของคานิยมและพฤติกรรมในการบริโภคจะแตกตางกันออกไป ตัวอยางคานิยมกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย มีดังนี้ 1. กลุม คา นยิ มความรํ่ารวย และนยิ มใชของจากตา งประเทศ จดุ เดนทเ่ี ปน นิสยั ของคนไทย ชอบทําตัววาตัวเองเปนคนร่าํ รวยเนือ่ งมาจากการใชสินคา สินคาที่นิยมใชจะเปน สินคาที่นําเขามาจากตางประเทศเทานั้น
80 สวนที่เกยี่ วขอ งกับพฤติกรรมการบรโิ ภค เปนบุคคลทีช่ อบใชของแพง ๆ ทําใหคนอืน่ มองวาตัวเองเปนผูท ี่ร่าํ รวย ตองการ ใหคนยกยองนับถือ เปนคนที่ตองมีเกียรติ ตองการเปนผูน ําในการใชสินคา นิยมใชสินคาที่นําเขา มาเทา นนั้ มองวาสินคาในประเทศเปนสินคาที่ไมมีคุณภาพ ไมม ีมาตรฐาน เปนสินคาดอยคุณภาพ จะรูสึกภูมิใจทุกครั้งเมือ่ ไดใชสินคาทีเ่ ปนสินคาจากตางประเทศ ชอบไปเที่ยวตางประเทศเพ่ือไป ซือ้ สินคา บางครั้งซื้อมาแลวก็ไมไดใชประโยชนก็จะซือ้ หรือบางครั้งอาจจะไมมีเวลาไปเที่ยว ตางประเทศก็ชอบฝากใหคนอื่นซื้อ มีความเปนตางชาติสูงมาก จะเปนบุคคลที่เนนการแตงกายดี ตง้ั แตศ ีรษะจรดเทา เพ่ือเสริมสรา งบุคลกิ ภาพ สรางความนาเชือ่ ถือ นิยมใชบัตรเครดิตการด ชอบ ความสะดวกสบายไมชอบการรอคอยนาน ๆ ชอบสังคมกับเพื่อนที่มีฐานะร่าํ รวย เทาเทียมกัน ไม ชอบคบหาสมาคมกันคนที่ดอยกวาหรือจนกวา ทําอะไรคิดถึงตัวเองมากกวาคนอื่น บางครั้งอาจจะ ประสบกับปญหาทางดานการเงินแตกลัววาคนอื่นจะรูถึงฐานะของตนเองตองยอมกูเ งินเพื่อพยุง ฐานะของตนเองก็ยอมเพื่อรักษาภาพลักษณของตนเอง โดยไมตองการใหใครมามองวาตัวเองจน ลําบากหรอื ตา่ํ ตอ ยกวาคนอนื่ ผลกระทบกับคานยิ มแบบนี้ ลักษณะแบบนี้ ควรจะปรับปรุงแกไขเพื่อสังคมจะไดดีขึน้ โดยเฉพาะคนรุนใหม ไมควรใหฟุง เฟอซึ่งจะเปนการสรางคานิยมทีไ่ มดี และถือวาคานิยมแบบนีจ้ ะเปนอันตรายตอ ประเทศชาติอยางมาก ซึง่ อาจกอใหเกิดความเสียหาย เทากับวาประเทศของเราไดตกไปเปน เมืองขึ้นของตางชาติ ซึ่งเปนการยากทีเ่ ราจะกูประเทศชาติกลับคืนมาได ซึ่งควรจะไดมีการ ปรับปรุงแกไข 2. คานิยมสุขภาพดี จุดเดน ที่เปน นสิ ยั ของคนไทย เปน บุคคลท่รี กั ษาสขุ ภาพของตนเอง และครอบครวั เพอ่ื ทีจ่ ะไดมีชวี ิตยืนยาว สวนท่ีเกี่ยวของกับพฤติกรรมการบรโิ ภค พฤติกรรมของบุคคลทมี่ ีคา นิยมสุขภาพดี มักจะเปนคนที่ดูแลตนเองเปนอยางดี มี การออกกําลังกายอยางสม่าํ เสมอ ชอบความสะอาด ไปพบแพทยเปนประจํา มีการพักผอนอยาง เพียงพอเลือกรับประทานอาหารทีม่ ีคุณคา มีประโยชนตอรางกาย เพือ่ ทําใหสุขภาพแข็งแรง รวมทั้งดูแลคนในครอบครัวดวยตองการใหคนในครอบครัวปราศจากโรคภัยไขเจ็บ ตองการมีชีวิต ทีย่ ืนยาว มีรางกายทีแ่ ข็งแรงและสมบูรณ ชอบพักผอนอยูก ับบาน และทานอาหารในบานเพราะ เนนความสะอาด ชอบดูหนังฟงเพลงอยูในบาน สินคาที่นิยมบรโิ ภค ไดแ ก
81 1. อาหารมังสวิรัติ 2. อาหารเสริม 3. นมท่มี แี คลเซียม เพื่อเสริมสรางกระดกู 4. นมพรอ งมนั เนย, โยเกริ ต 5. วติ ามนิ ตา งๆ เชน วิตามินซ,ี วิตามินบี ฯลฯ 6. ผกั ปลอดสารพิษ 7. ดมื่ น้าํ ผลไม 8. ดืม่ น้าํ แร 9. โสมเกาหลี, เหด็ หลนิ จอื 10. ไกตุน ยาจนี , ไกดํา 11. ยารกั ษาโรค (จากแพทยสั่ง) ผลกระทบกบั คานยิ มแบบนี้ เปนคานิยมทีด่ ีนาจะมีการสนับสนุนเพราะจะทําใหคนมีสุขภาพดีขึน้ เพื่อชีวิต ความ เปนอยูในครอบครัวดีขึ้น และทําใหครอบครัวมีความสุขมากขึ้น บคุ คลทมี่ ีคา นิยมแบบน้ี เปนบุคคลที่มีฐานะในระดับ B ขึ้นไป และเปน ผูดูแลเอาใจใสตอ สุขภาพ กลุมเปาหมาย เปนกลุมวัยกลางคนที่เนนดูแลสุขภาพใหแข็งแรงปลอดจาก โรคภยั ไขเจบ็ 3. คานยิ มรกั ความสนกุ จดุ เดนทเ่ี ปนนสิ ัยของคนไทย เปนบุคคลทีร่ ักความสนุก มีความรืน่ เริงอยูต ลอดเวลา ชอบ ENTERTAIN ชอบ สังสรรคไมวาจะเปนเทศกาลใดก็ตาม สวนที่เก่ียวขอ งกับพฤติกรรมการบริโภค ลักษณะของพฤติกรรมบุคคลจะเปนบุคคลทีร่ ักสนุก ชอบความรืน่ เริง มีความ สังสรรคในหมูญ าติพีน่ อง เพื่อนฝูงอยูต ลอดเวลา ไมวาจะเปนการจัดปารตี้ทุกสิน้ เดือน หรือเปน เทศกาลตา งๆ เชน วันขึน้ ปใหม, วนั ตรษุ จนี , วนั สงกรานต ฯลฯ ทุกเทศกาลก็จะมีความสนุกสนาน ตลอดเวลา
82 สินคาท่นี ิยมบรโิ ภค ไดแก 1. รับประทานอาหารทุกชนิด เชน อาหารกับแกลม อาจทําทานเอง หรือไป ทานนอกบาน 2. เคร่ืองดื่มทุกชนดิ เชน นํ้าอัดลม 3. ผลไมตาง ๆ (ผลไมไ ทยและผลไมนาํ เขา) 4. ขนมคบเคี้ยวตาง ๆ 5. ดื่มสุรา (ผลิตในประเทศไทยและนําเขาจากตางประเทศ) 6. ชอบรอ งเพลง KARAOKE (อาจจะรอ งเพลงอยใู นบา น หรือตาม สถานเรงิ รมยต าง ๆ) 7. ชอบดูภาพยนตร 8. ชอบไปรับประทานอาหาร และฟงเพลงตามโรงแรม, หองอาหารตาง ๆ และตามคาเฟ 9. ชอบไปเทย่ี วตามสถานที่ในตา งจังหวัด เชน ไปนํา้ ตก, ภูเขา และทะเล ผลกระทบกบั คา นยิ มแบบน้ี บุคคลทีม่ ีคานิยมแบบนีอ้ ยางนอยก็นาจะสนับสนุน เพราะทําใหเกิดสภาพคลอง ทาง การเงินทําใหเงินทองไมไหลออกนอกประเทศ มีการใชจายภายในประเทศ ซึง่ เปนการกระจาย รายไดไปยังสถานทองเที่ยวตางๆ ภายในประเทศไดเปนอยางดี ทําใหมีการจับจายใชสอยและเปน การสรางรายไดใหกับชุมชนตางๆ และแหลงทองเที่ยวตางๆ ทําใหคนมีอาชีพมากขึ้นซึง่ จะทําให เกิดการหมุนเวียนทางดานการเงินอาจสงผลใหภาวะทางเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น 4. คา นิยมบริโภคนิยม จดุ เดนท่ีเปน นิสัยของคนไทย เปน บุคคลท่มี ีนสิ ัยชอบบรโิ ภคเปนหลกั ซงึ่ ไมไ ดคาํ นงึ ถึงคณุ ภาพ สวนทเ่ี กีย่ วของกบั พฤตกิ รรมการบริโภค ลักษณะพฤติกรรมการบริโภคชอบรับประทานอาหารนอกบาน พยายามสรรหา รานอาหารทีอ่ รอยๆ ไมวาจะอยูใกลหรือไกล ถาขึ้นชือ่ ในระดับ เชลลชวนชิม, แมชอยนางรํา และไมลองไมรู ซึ่งมีใบรับประกัน ชอบทีจ่ ะไปทดลองชิมดูวาอรอยสมชือ่ หรือเปลา ชอบ รา นอาหารท่มี ลี ักษณะสะอาด มีความสะดวกสบาย มีทีจ่ อดรถสะดวก บางครัง้ บริโภคมากจนเกิน
83 ความจําเปนและมีผลตอสุขภาพ ทําใหเกิดโรคตางๆ ไดงาย เชน โรคไขมันอุดตัน โรคเบาหวาน ความดนั อาหารไมยอยอาหารเปนพิษ ฯลฯ สินคา ที่นยิ มบรโิ ภค ไดแ ก 1. อาหารทุกชนิด เชน รา นอาหารดงั ๆ 2. อาหาร fast food เชน KFC, McDonald 3. รานอาหารญป่ี ุน เชน Oishi, ฟจู ิ 4. รานไอศกรมี เชน Swensens 5. ขนมขบเคี้ยวตางๆ 6. เครื่องดืม่ ทกุ ชนิด 7. สุรายี่หอตา งๆ ผลกระทบกับคานิยมแบบนี้ บุคคลทีม่ ีคานิยมแบบนี้ อาจจะปน ทอนสุขภาพได เพราะไมไดระมัดระวังใน เรอ่ื ง ของการรับประทานอาหาร ควรจะมีการปรับปรุงแกไขเพื่อใหมีสุขภาพแข็งแรง และมีชีวิตทีย่ ืน ยาวได ผูท ีม่ ีคานิยมบริโภคแบบนี้ ถาเปนผูส ูงอายุจะทําใหเกิดอันตรายตอสุขภาพ เชน มักจะพบ กบั โรคภยั ไขเ จบ็ ตางๆ และมกั จะมีอายสุ ั้น เรื่องที่ 4 ปญหาสุขภาพท่ีเกดิ จากการบรโิ ภคอาหารไมถ กู หลัก โภชนาการ ปจจุบันการดําเนินชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะในเขตเมือง เปนไปอยางเรงรีบ ทําใหการ บริโภคอาหาร ก็เนนอาหารตามทีร่ ับประทานไดสะดวกรวดเร็ว เชน อาหารฟาสตฟูดส (Fast Food) ทําใหเกิดปญหาโรคอวน และโรคอืน่ ๆอีกมาก ดังนัน้ จึงควรทําความเขาใจถึงองคประกอบสําคัญ ดงั น้ี 1) อาหาร (Food) หมายถึงสิ่งที่เรากินไดและมีประโยชนตอรางกาย สิง่ ที่กินไดแตไมเปน ประโยชนห รือใหโ ทษแกร างกาย อาทิ สุรา เหด็ เมา เราก็ไมเรียกสิ่งน้นั วาเปนอาหาร 2) โภชนาการ (Nutrition) มีความหมายกวางมากกวาอาหาร โภชนาการ หมายถึง เรือ่ ง ตางๆที่วาดวยอาหาร อาทิ การจัดแบงประเภทสารอาหาร ประโยชนของอาหาร การยอยอาหาร โรค ขาดสารอาหาร เปนตน โภชนาการเปนวิชาสาขาหนึง่ ซึง่ มีลักษณะเปนวิทยาศาสตรประยุกต ที่ กลาวถึงการเปลีย่ นแปลงตางๆของอาหารทีเ่ รารับประทานเขาไปเพือ่ ใชประโยชนในดานการ เจริญเติบโตและซอมแซมสวนตางๆของรางกาย
84 3) สารอาหาร ( Nutrient) หมายถึง สารเคมีที่เปนสวนประกอบสําคัญในอาหาร สารเคมี เหลานี้มีความสําคัญและจําเปนตอรางกาย อาทิ เปนตัวทําใหเกิดพลังงานและความอบอุนตอรางกาย ชวยในการเจริญเติบโต ชวยซอมแซมสวนทีส่ ึกหรอทําใหรางกายทํางานไดตามปกติ เมือ่ นําอาหาร มาวิเคราะหจะพบวามีสารประกอบอยูม ากมายหลายชนิด ถาแยกโดยอาศัยหลักคุณคาทาง โภชนาการจะแบงออกเปน 6 ประเภท ไดแกโปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมนั วติ ามิน เกลอื แร และนํา้ 4) พลังงานและแคลอรี่ ไขมัน คารโบไฮเดรต และโปรตีน ใหประโยชนแกรางกายหลายอยางทีส่ ําคัญคือ การใช พลังงานแกรางกาย พลังงานในที่นี้หมายถึงพลังงานที่รางกายจําเปนตองมี ตองใชและสะสมไว เพื่อ ใชในการทํางานของอวัยวะทั้งภายในและภายนอกรางกาย นักวิทยาศาสตรวัดปริมาณของพลังงานหรือกําลังงานทีไ่ ดจากอาหารเปนหนวยความรอน เรยี กวา แคลอร่ี โดยกาํ หนดวา 1 แคลอรี่ เทากับปริมาณความรอนที่ทําใหน้ํา 1 กรัม มีอุณหภูมิสูงขึน้ 1 องศาเซลเซียส แตในทางโภชนาการพลังงานที่ไดรับจากการอาหารทีก่ ินเขาไป 1 แคลอรี่ (ใหญ) เทา กบั ปริมาณ ความรอ น ทีท่ าํ ใหนาํ้ 1 กโิ ลกรัม มอี ณุ หภมู ิสูงข้นึ 1 องศาเซลเซยี ส 5) อาหารหลัก 5 หมู อาหารเปนสิ่งจําเปนยิง่ สําหรับการเจริญเติบโต การบํารุงเลี้ยงสวน ตางๆของรางกาย มักพบวาบางคนเลือกที่จะกินและไมกินอาหารอยางหนึง่ อยางใด ซึง่ เปนการ กระทําที่ไมถูกตอง หากไมกินอาหารตามความตองการของรางกาย การกินอาหารตองคํานึงถึง คุณคาของสารอาหารมากกวา ความชอบหรือไมชอบ การเลือกกินหรือไมกินอาหารเกิดจากสาเหตุ หลายประการ ดังนี้ ความคุนเคย เราจะเลือกอาหารที่เราคุนเคยหรือกินอยูเปนประจํา และจะไมเลือกกินอะไรที่ ไมคุนเคยดังนั้นจึงมีอาหารอีกหลายอยางที่เรายังไมเคยกิน ซึง่ อาจจะอรอยถกู ปากกไ็ ด รสชาติ หรือความ “อรอย” เปนเหตุผลทีค่ นเราเลือกอาหาร ความอรอยของแตละคนจะไม เหมือนกัน อาหารอยางหนึ่งบางคนจะบอกวาอรอยแตบางคนจะเฉยๆ หรือไมอรอย ลักษณะเฉพาะของเนือ้ อาหาร อาทิ บางคนชอบอาหารกรอบ อาหารนุม บางคนชอบเคีย้ ว อาหารพวกเน้อื ที่เหนยี วๆ เปน ตน ทัศนะคติ ของคนไทยครอบครัวหรือเพื่อนจะมีอิทธิพลตอความชอบไมชอบอาหารของ ทาน อาทิในครอบครัวที่พอไมกินตนหอมหรือผักชีเลย ไปกินอาหารที่ไหนก็จะเขีย่ ตนหอมผักชี ออกจากจานทุกครั้ง ลูกๆก็จะเลียนแบบกลายเปนไมชอบไปดวย ดังนั้นเพือ่ สุขภาพเราจึงควรลองกินอาหารที่ไมเคยกินทีละอยางสองอยางโดยคํานึงถึง ประโยชนของมันมากกวา เมือ่ ไดลองกินแลวอาจะพบวาจริงๆ แลวมันก็อรอยไมแพอาหารจาน โปรด และไมเกิดปญหาสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคอาหารไมถูกหลักโภชนาการดวย ปญหาจากการบริโภคอาหารไมถูกหลักโภชนาการไดแ ก
85 - ภาวะทุพโภชนาการ - ภาวะโภชนาการเกิน (โรคอว น) ภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition) ภาวะทุพโภชนาการ หมายถึง ภาวะทีร่ างกายไดรับสารอาหารผิดเบีย่ งเบนไปจากปกติ อาจ เกิดจากไดรับสารอาหารนอยกวาปกติหรือเหตุ ทุติยภูมิ คือเหตุเนือ่ งจากความบกพรองตางจากการ กนิ การยอยการดูดซึมในระยะ 2-3 ปแรกของชีวิต จะมีผลกระทบตอระดับสติปญญา และการเรียน ภายหลัง เนื่องจากเปนระยะทีม่ ีการเจริญเติบโตของสมองสูงสุด ซึง่ ระยะเวลาทีว่ ิกฤติตอพัฒนาการ ทางรางกายของวัยเด็กมากที่สุดนั้นตรงกับชวง 3 เดือนหลังการตัง้ ครรภจนถึงอายุ 18-24 เดือนหลัง คลอด เปนระยะทีม่ ีการปลอกหุม เสนประสาทของระบบประสาท และมีการแบงตัวของเซลล ประสาทมากที่สุด เมื่ออายุ 3 ป มผี ลกระทบตอการเจรญิ เติบโต ถงึ รอยละ 80 สําหรับผลกระทบทาง รางกายภายนอกทีม่ องเห็นไดคือเด็กมีรูปรางเตีย้ เล็ก ซุบผอม ผิวหนังเหี่ยวยนเนื่องจากไขมันชั้น ผิวหนัง นอกจากนอี้ อวยั สะภายในตา งๆ ก็ไดรับผลกระทบเชน กัน 1. หวั ใจ จะพบวา กลา มเนอ้ื หวั ใจไมแ นน หนา และการบบี ตวั ไมด ี 2. ตับ จะพบไขมันแทรกอยูในตับ เซลลเนือ้ ตับมีลักษณะบางและบวมเปนน้าํ สาเหตุให ทํางานไดไมดี 3. ไต พบวา เซลลทัว่ ไปมลี ักษณะบวมนํ้าและตดิ สีจาง 4. กลามเนื้อ พบวาสวนประกอบในเซลลลดลง มีน้ําเขาแทนที่ นอกจากการขาดสารอาหารแลวการไดรับอาหารเกิน ในรายทีอ่ วนฉุก็ถือเปนภาวะทุพโภชนาการ เปนการไดรับอาหารมากเกินความตองการ พลังงานทีม่ ีมากนัน้ ไมไดใชไป พลังงานสวนเกิน เหลานั้นก็จะแปลงไปเปนคลอเรสเตอรรอลเกาะจับแนนอยูตามสวนตางๆของรางกาย และอาจ ลุกลามเขา สเู สนเลอื ด ผลทีต่ ามมากค็ ือ โรคอวน โรคเบาหวาน โรคหวั ใจ และโรคตางๆ การประเมินสภาวะโภชนาการ 1. ประวัติ ที่นําเด็กมาจากโรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุชักนําใหเกิดภาวะขาดสารอาหาร 2. การตรวจรางกาย เพือ่ หารองรอยการผิดปกติซึ่งเกิดจากการขาดสารอาหารและวิตตามิน การตรวจรางกาย เพือ่ ประเมินสภาวะโภชนาการของเด็กแบงไดเปน 2 ตอน คือ การตรวจรางกาย ทั่วไป กับการตรวจโดยการวัดความเจริญทางรางกาย การตรวจรางกายทั่วไปโดยแพทย จะเปนแนวทางชวยประเมินสภาวะของเด็ก และ เปนแนวทางวินิจฉัยการขาดสารอาหารและวิตามิน การตรวจโดยการวัดความเจริญทางรางกาย เปนการวัดขนาดทางรางกายคือ สวนสูง และนา้ํ หนกั เพ่อื บอกถงึ โภชนาการของเดก็ ภาวะโภชนาการเกิน
86 เมื่อคนเราบริโภคอาหารชนิดใด ชนิดหนึ่ง เกินความตองการของรางกาย จะทําใหเกิดภาวะ โภชนาการเกนิ จนเกดิ โรคได และโรคที่เกิดจากภาวะโภชนาการเกิน เปนสาเหตุของการสูญเสียชีวิต เปนจํานวนไมนอย และเปนตนเหตุของการเจ็บปวยที่ตองเสียคาใชจายในการรักษายาวนานเชน โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด ตลอดจนโรคอว น เปน ตน โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด (Cardiovascular Disease) โรคหัวใจและหลอดเลือด เปนสาเหตุการตายทีส่ ําคัญในลําดับตนๆ ของประชาชนไทยมา โดยตลอด โรคดังกลาวเปนการเปลีย่ นแปลงทางอายุรศาสตรทีเ่ กีย่ วของกับหัวใจและหลอดเลือด ซึง่ จะหมายรวมถึงโรคตางๆ และภาวะอาการของโรค เชน โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronany heart disease) ภาวะหลอดเลือดหัวใจแข็ง (Arterioselerosis) และอาการความดันเลือดสูง (Hypertension) เปนตน โรคทีส่ ําคัญในกลุม นี้คือ โรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งจัดวาเปน โรคที่เปนสาเหตุของการปวย และการตายที่สูงของประชาชนชาวไทยในปจจุบัน โรคเลอื ดหวั ใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ เปนโรคชนิดหนึ่งที่เกิดจากหลอดเลือดแดงหัวใจแข็ง ตีบ ตัน ขาด ความ ยืดหยุน หลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน หรือเกิดจากลิม่ เลือดอุดตันหลอดเลือดหัวใจ จนทําให กลามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือทําใหกลามเนื้อหัวใจตาย โรคนี้เปนสาเหตุสําคัญของอัตราการปวย การตาย ของคนไทยในปจจุบัน และมีแนวโนมจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต สาเหตุ 1. กรรมพันธุ ผทู พี่ อแม ปยู า ตายาย ปวยเปนโรคหลอดเลือดหวั ใจจะมีความเส่ียงมากกวา ไขมนั ในหลอดเลือด ถา สงู กวา ปกติจะทาํ ใหหลอดเลือดแขง็ เสย่ี งตอการเปนโรคหลอดเลอื ดหัวใจ 2. ความดนั เลอื ดสงู 3. เบาหวาน ผูที่เปนเบาหวานมักจะเปนโรคหลอดเลอื ดหวั ใจดว ย 4. ความอวน ความอวนกับโรคหลอดเลือดหัวใจ มักจะเกิดขึ้นดวยกันเสมอ โดยเฉพาะ คนอว นทพ่ี งุ มกั จะมไี ขมนั ในเลอื ดสงู จนเปน โรคหลอดเลอื ดหวั ใจดว ย 5. ออกกําลังกายนอยหรือขาดการออกกําลังกาย การไหลเวียนเลือดไมคลองพอ การเผา ผลาญพลังงานนอย ทําใหสะสมไขมันจนกลายเปน โรค 6. ความเครียด และความกดดันในชีวิต อาจสงผลทําใหเปนโรคนี้ได 7. การสูบบหุ ร่ี สารนโิ คตนิ และทารจ ากควนั บุหรมี่ ผี ลตอการเกดิ โรคนี้ นอกจากสาเหตุที่สําคัญดังกลาว ซึง่ จัดวาเปนปจจัยทีส่ ามารถเปลีย่ นแปลงได อาจมีปจจัยเสีย่ งอืน่ ๆ ที่เปนสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เชน เพศ อายุ เชื้อชาติ เปนตน จากการศึกษาพบวา เพศชายเสีย่ งตอการเกิดโรคนีม้ ากกวาเพศหญิง ยกเวนผูห ญิงในวัยหมดประจําเดือนเนือ่ งจากมี
87 ระดับฮอรโมนเอสโตรเจนลดลง มีไขมันในเลือดสูง สําหรับอายุพบวามีอัตราการเกิดโรคนีส้ ูงมาก ในผูส งู อายุ และเชื้อชาตพิ บวาในคนผิวดํามีอัตราการเกิดโรคนี้มากกวาคนผิวขาว อาการ 1. เจบ็ หนา อกเปน ๆ หายๆ หรือเจบ็ เมื่อเครียด หรือเหนื่อย ซึง่ เปนลกั ษณะอาการเรมิ่ แรก 2. เจ็บหนาอกเหมือนมีอะไรไปบีบรัด เจ็บลึกๆ ใตกระดูกดานซายราวไปถึงขากรรไกร และแขนซายถึงนิ้วมือซาย เจ็บนานประมาณ 15-20 นาที ผูป วยอาจมีเหงือ่ ออกมาก คลื่นไสหายใจ ลําบาก รูส ึกแนนๆ คลายมีเสมหะติดคอ บางครั้งมีอาการคัดจมูกคลายเปนหวัด เมื่อเปนมากจะมี อาการหนามืดคลายจะเปนลม และอาจถึงขัน้ เปนลมได บางครัง้ พอเหนื่อยก็จะรูส ึกงวงนอนและ เผลอหลบั ไดง า ย 3. ผปู ว ยมอี าการหัวใจส่ัน หวั ใจเตนไมสมํ่าเสมอ 4. ในกรณีที่รุนแรง อาการเจ็บหนาอกจะรุนแรงมาก มักจะเกิดจากการทีม่ ีลิม่ เลือดไปอุด ตันบริเวณหลอดเลือดที่ตีบ ทําใหเกิดกลามเนือ้ หัวใจตาย ผูป วยอาจมีอาการหัวใจวาย ช็อก หัวใจ หยดุ เตน ทําใหเ สยี ชีวติ อยางกะทนั หันได การปองกัน 1. หากพบวาบุคคลในครอบครัวมีประวัติเปนโรคนี้ ควรเพิม่ ความระมัดและหลีกเลีย่ ง จากปจจัยเสย่ี ง เพราะอาจกระตุน การเกดิ โรค 2. ลดอาหารท่ที าํ จากน้าํ มันสัตว กะทิจากมะพราว นํ้ามนั ปาลม และไขแดง 3. ไมควรรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด 4. ลดอาหารจําพวกแปง คารโบไฮเดรต รับประทานอาหารพวกผัก ผลไมมากๆ 5. งดอาหารไขมนั จากสตั วแ ละอาหารหวานจดั 6. ออกกําลังกายอยางสม่ําเสมอ 7. พักผอ นใหเพยี งพอวนั ละ 6-8 ชั่วโมง และหาวิธีผอนคลายความเครียด 8. หลีกเลีย่ งหรืองดการสบู บุหร่ี โรคอว น (Obesity) โรคอวนเปนสภาวะทีร่ างกายมีไขมันสะสมตามสวนตางๆ ของรางกายมากเกินกวาเกณฑ ปกติ ซึ่งตามหลักสากลกําหนดวาผูชายไมควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกวา 12-15% ของ น้ําหนักตัว ผูห ญิงไมควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกวา 18-20% ของน้ําหนักตัว ซึ่งการตรวจนี้ หากจะใหไดผลแนนอนควรไดรับการตรวจจากหองปฏิบัติการ แตนักเรียนอาจประเมินวาเปนโรค
88 อว นหรือไมด วยวธิ ีงายๆ ดวยวธิ ีตรวจสอบกบั ตารางนาํ้ หนกั และสวนสูงของกรมอนามัย ดังตารางที่ เรยี นมาแลว สําหรับในผูใ หญอาจประเมินไดจาก การหาคาดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) ไดจาก สตู รดังนี้ _ นํา้ หนัก (กโิ ลกรัม) BMI สว นสงู 2 (เมตร) คา ทไี่ ดอยูระหวา ง 18.5-24.9 ถอื วาอยูใ นเกณฑป กติ ไมอ วนหรือผอมเกินไป สาเหตุ 1. กรรมพนั ธุ 2. การรับประทานอาหารเกินความตองการของรางกาย และมีพฤติกรรมการรับประทาน อาหารทไ่ี มด ี เชน กินจุบจบิ 3. ขาดการออกกําลังกาย 4. สภาวะทางจิตและอารมณ เชน บางคนเมือ่ เกิดความเครียดก็จะหันไปรับประทาน อาหารมากจนเกินไป 5. ผลขางเคียงจากการไดรับฮอรโมนและการรับประทานยาบางชนิด เชน ยาคุมกําเนิด ฮอรโ มนสเตียรอยด เปนตน อาการ มีไขมันสะสมอยูใ นรางกายจํานวนมาก ทําใหมีรูปรางเปลีย่ นแปลงโดยการขยายขนาดขึ้น และมนี าํ้ หนกั ตวั มากขึ้น การปองกัน 1. กรรมพันธุ หากพบวามีประวัติของบุคคลในครอบครัวเปนโรคอวน ควรตองเพิม่ ความ ระมัดระวัง โดยมีพฤติกรรมสขุ ภาพในเรอื่ งตางๆ ที่เก่ยี วของกบั โรคอว นอยา งเหมาะสม 2. รับประทานอาหารแตพอสมควรโดยเลือกรับประทานอาหารทีม่ ีประโยชน หลีกเลีย่ งอาหารรส หวานและอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานผักและผลไมมากๆ และหลากหลาย 3. ออกกําลังกายสม่ําเสมออยางนอยสัปดาหละ 3 วนั วนั ละ 30 นาที 4. หาวิธีการควบคุมและจัดการความเครียดอยางเหมาะสม พักผอนใหเพียงพอ 5. การใชยาบางชนิดทีอ่ าจมีผลขางเคียง ควรปรึกษาแพทย และใชยาตามทีแ่ พทยแนะนําอยาง เครงครัด
89 การดูแลสขุ ภาพและมีพฤติกรรมบรโิ ภคที่ถูกตอง “ไมตามใจปากและไมตามใจอยาก” โรค อวนก็อาจไมมาเยือน การลดความอวนก็ไมจําเปน
90 บทที่ 5 โรคระบาด สาระสาํ คญั การมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การปองกัน และการรักษาโรคติดตอที่แพร ระบาดและเปน ปญ หาตอ สขุ ภาพของประชาชนในชุมชน จะชว ยใหรวู ิธปี องกนั ตนเองและครอบครัว และรวมมือ ปอ งกันการแพรกระจายเชือ้ โรคไปสูบุคคลอนื่ อันจะเปน แนวทางสาธารณสุขของประเทศได ผลการเรียนรูทค่ี าดหวัง เพ่อื ใหผูเรียนสามารถ 1. บอกความหมาย ความสาํ คญั และการแพรก ระจายของเชอ้ื โรคได 2. อธิบายสาเหตุ อาการ การปองกัน และการรกั ษาโรคติดตอท่แี พรระบาดและเปน ปญหา สาธารณสขุ ได ขอบขายเนื้อหา ความหมาย ความสาํ คญั และการแพรก ระจายของเชอ้ื โรค โรคทเี่ ปนปญ หาสาธารณสุขของประเทศ เรอ่ื งท่ี 1 เรือ่ งที่ 2 เรื่องที่ 1 ความหมาย ความสาํ คญั และการแพรก ระจายของเชอ้ื โรค ความหมายและความสาํ คญั โรคติดตอจัดเปนปญหาสาธารณสุขทีส่ ําคัญของประเทศ เมือ่ เกิดการระบาดจะนํามาซึง่ ความสูญเสีย สุขภาพ ชีวิต และมีผลกระทบตอเศรษฐกิจของประเทศอยางมาก เพราะขณะเจ็บปวยบุคคลนัน้ ไมสามารถเรียน
91 หรือทํางานไดตามปกติ ซึ่งจะทําใหเสียการเรียนและรายไดตามที่เคยไดรับ นอกจากนี้ ในขณะเจ็บปวยก็จะเปน ภาระของบุคคลใกลชิดหรือคนในครอบครัวในการดูแลผูป วย รวมทั้งเสียเงินในการรักษาพยาบาล ซึ่งใน ระดับชาติ ประเทศชาติตองเสียงบประมาณในการดูแลรักษาผูปวย คาเวชภัณฑ คาบุคลากร รวมถึงตองสราง อาคารสถานที่ในการดูแลผูป วย ซึ่งเปนการสูญเสียทรัพยากรที่จะสามารถนําไปใชพัฒนาประเทศดานอืน่ ๆ ได โรคติดตอสวนใหญสามารถปองกันได หากทุกคนเห็นความสําคัญ ตระหนักถึงอันตรายของโรคและมีสวนรวม ในการปองกนั แกไขปญ หาโรคตดิ ตอ ทเี่ กดิ ขน้ึ 1.1 ความหมายของโรคติดตอ โรคตดิ ตอ หมายถึง โรคทเ่ี กดิ จากเชอ้ื โรคแลวสามารถตดิ ตอ จากคนไปสบู ุคคลอืน่ ได หรอื อาจ ติดตอระหวางคนสูค น หรือสัตวสูค นได หรือติดตอระหวางสัตวดวยกันเองได โดยมีพาหะ เชน คน สัตว หรือมี ตวั กลางนําเชอ้ื โรค เปน ตน โรคระบาดเปนโรคติดตอที่แพรกระจายไปยังคนอื่น ๆ ไดรวดเร็ว บางโรคตองใชเวลาในการ รักษาเปนเวลายาวนานและใชวิธีรักษาทีซ่ ับซอน สิน้ เปลือ้ งคาใชจายในการรักษาเปนจํานวนมาก โดยโรคทีเ่ ปน สาเหตุของการเจ็บปวยและเสียชีวิตที่นับวาสําคัญ ไดแก ไขมาลาเรีย โรคไขหวัดนก โรคซารส โรค อหิวาตกโรค และโรคไขห วัดใหญสายพันธใุ หม 2009 ลักษณะของโรคตดิ ตอ 1. เชือ้ โรคสามารถแพรกระจายไปยังบุคคลอืน่ ไดอ ยา งรวดเร็ว 2. การแพรกระจายของโรคมักเกิดจากพฤติกรรมของบุคคลหรือปญหาสุขาภิบาล สงิ่ แวดลอม 3. มีอัตราการเจบ็ ปว ยคอนขางสงู และโอกาสท่จี ะเกิดโรคเปน ไดท ุกเพศทุกวยั โรคตดิ ตอ ที่ควรทราบและตองแจงความ โรคตดิ ตอ ที่ควรทราบมี 14 โรค ไดแ ก ไขท รพิษ กาฬโรค ไขเ หลือง โรคอหิวาตกโรค โรคบาด ทะยดั ในเดก็ เกดิ ใหม โรคคอตีบ โรคโปลิโอ โรคพิษสุนัขบา โรคไขสมองอักเสบ ไขรากสาดใหญ โรคแอนแทรกซ โรคทรคิ โิ นซสี โรคไขกาฬหลงั แอน โรคคุดทะราดระยะติดตอ 1.2 ชนดิ ของเชอ้ื โรค เชื้อโรคทต่ี ดิ ตอไดแ บงออกเปน 5 ชนิด คือ แบคทีเรีย ไวร สั ริกเกตเซยี รา ปรสิต แบคทีเรีย จัดอยูใ นจําพวกพืชเซลลเดียว มีขนาดเล็กมากตองใชกลองจุลทรรศนขยายจึงจะ มองเห็นได สามารถดํารงชวี ติ อยูไดใ นสภาวะแวดลอมแทบทุกอยาง ไวรัส ไมสามารถมองเห็นดวยตาเปลา ตองดูดวยกลองจุลทรรศนชนิดพิเศษ เชือ้ ไวรัสจะมีอยู ทวั่ ไปในอากาศโรคทีเ่ กดิ จากเชอื้ ไวรสั มหี ลายโรค เชน ไขหวดั หดั ไขทรพษิ คางทูม ไขเลือดออก อีสกุ อใี ส เปนตน ริกเกตเซีย มีขนาดเล็กกวาแบคทีเรีย สามารถมองเห็นดวยกลองจุลทรรศนมักอาศัย อยู รวมกับส่ิงมีชีวิตอ่ืน ๆ เชน เห็บ หมัด เหา พยาธิไสเดือน เปนตน โรคทีเกิดจากเช้ือโรคชนิดน้ีไดแก ไข รากสาดใหญ
92 รา เปน เชอ้ื โรคทจ่ี ดั อยใู นจาํ พวกพืช สามารถมองเห็นไดดวยกลองจุลทรรศน เชน ยีสต สามารถ นาํ มาใชใ นการทาํ ขนมปง แตสวนใหญทาํ ใหเ กิดโรคผวิ หนงั ตา ง ๆ เชน กลาก เกลือ้ น นํา้ กัดเทา ปรสติ จดั อยใู นจําพวกสัตว มีขนาดใหญกวาชนิดอ่ืน ๆ มีท้ังพวกเซลลเดียวและพวกหลายเซลล เชน เชอ้ื บดิ พยาธใิ บไม พยาธปิ ากขอ พยาธติ วั ตดื 1.3 การแพรกระจายของเชื้อโรค มี 2 ลักษณะคอื 1. การสัมผัสโดยตรง หมายถึง การแพรจากแหลงหนึง่ ไปยังแหลงหนึง่ โดยไมมีพาหะเปน ตวั นํา สมั ผสั โดยตรงจากผูปวย หรือนํ้าลาย นา้ํ เหลอื ง หนอง เลอื ด เชื้อโรคเขาสรู างกายแลวทําใหเ กิดโรคได 2. การสัมผัสทางออม หมายถึง การแพรโดยมีพาหะเปนตัวนํา เชน หากเชื้อโรคปะปนอยู ในนํ้า อาหาร เม่อื เรารบั ประทานอาหาร ด่ืมนา้ํ หรอื ยุงกัด เช้อื โรคกจ็ ะเขาสรู า งกายได การเขา สรู า งกายของเชื้อโรค การเขาสรู า งกายของเช้ือโรคสามารถเขา สูรา งกายได 6 ทางดว ยกนั คอื 1. ระบบทางเดนิ หายใจ เมื่อเราหายใจเอาเชื้อโรคที่ลอยอยูใ นอากาศเขาสูร างกายทําใหเกิด โรคได เชน ปอดบวม ไขหวัด ไขหวัดใหญ วัณโรค เปนตน เมื่อไอหรือจามควรปดปาก ปดจมูก นอกจากนี้การ บว นนาํ้ ลายหรือเสมหะสามารถทาํ ใหเชอ้ื โรคแพรกระจายเขา สรู า งกายได 2. ระบบทางเดินอาหาร เชื้อโรคบางชนิดอาศัยอยูในน้ําและอาหาร เมื่อเรารับประทานน้ํา หรืออาหารทีม่ ีเชือ้ โรคเขาไปเชือ้ โรคจะปนเปอ นเขาสูร างกายทําใหเกิดโรคติดตอได เชน อหิวาตกโรค บิด อจุ จาระรวง 3. ผิวหนัง เชือ้ โรคบางชนดิ สามารถเขา สรู างกายโดยผา นผิวหนังไดโดยวธิ ีการตาง ๆ เชน 1) จากการรับเลือดหรือฉีดยา เชน โรคเอดส โรคตับอกั เสบชนดิ บี 2) โดยการสัมผัส เชน โรคกลาก โรคเกลอื้ น 3) ถูกสตั วหรือแมลงกดั เชน ไขเ ลือดออก ไขม าลาเรีย 4) เขาทางรอยขีดขว นหรอื บาดแผล เชน บาดทะยัก 5) โดยการไชทะลผุ า นทางผวิ หนงั เชน พยาธปิ ากขอ 4. ทางเพศสัมพันธ ติดตอโดยการรวมประเวณีกับผูปวยทําใหติดโรคได เชน โรคเอดส กามโรค 5. ทางสายสะดือ โรคทีต่ ิดตอไดทางสายสะดือโดยติดตอจากมารดาสูล ูกที่อยูในครรภ คือ ซิฟล ิส หดั เยอรมนั 6. ทางเยอ่ื บตุ า ง ๆ เช้ือโรคบางชนิดสามารถเขาสูท างเย่ือบุตาง ๆ ได เชน เยื่อบุปาก เย่ือบุตา ทาํ ใหเกดิ โรคเชอ้ื ราในชอ งปาก โรคตาแดง
93 เร่ืองที่ 2 โรคท่เี ปน ปญหาสาธารณสขุ ของประเทศ ปจ จบุ ันมีโรคตดิ ตอท่แี พรร ะบาดจากคนสูคน และจากสัตวส ูคน ซ่ึงทาํ ใหเกิดการเจ็บปวยและ เสียชีวิตแกประชาชนจํานวนมาก โดยมีการแพรกระจายเชื้อโรคอยางรวดเร็ว จากชุมชนไปสูเมือง และจากเมือง แพรก ระจายไปยงั ประเทศตา ง ๆ เนอ่ื งจากการเดินทางติดตอระหวางกันสามารถทําไดงายและสะดวกรวดเร็ว ทํา ใหการแพรกระจายโรคเปนไปอยางรวดเร็วดวยเชนกัน โรคระบาดซึ่งเปนปญหาสาธารณสุขสําคัญของประเทศ ในปจจุบันไดแก โรคซารส โรคไขหวัดนก โรคมาลาเรีย โรคอหิวาตกโรค โรคชิคุนกุนยา โรคไขหวัด ใหญแ ละไขหวดั ใหญสายพนั ธุใหม 2009 เปนตน โรคซารส โรคซารส เกิดขน้ึ ครง้ั แรกในประเทศจีน เม่ือเดือนพฤศจิกายน ป พ.ศ. 2545 (ค.ศ.2002) และ เร่ิมแพรระบาดไปท่ัวโลกในตนป พ.ศ. 2546 (ค.ศ.2003) องคการอนามัยโลก (WHO) ไดรับรายงานเก่ียวกับผูที่ สงสัยวาจะปวยเปนโรคซารสมากกวา 2500 ราย จากเกือบ 20 ประเทศทัว่ โลก โดยผูป วย สวนใหญเปนผูท ีเ่ คย เดินทางไปยงั พน้ื ท่ที ่ีมีการระบาดของโรคในชวง 10 วัน กอนเริม่ แสดงอาการ และเปนผูท ี่อยูใ กลชิดกับผูทีส่ งสัย วา จะปวยเปนโรคซารส จาํ นวนผูเสียชวี ิตท้ังหมดทีร่ ายงานทว่ั โลกในเดอื นเมษายน ป 2546 มมี ากกวา 100 ราย เชือ้ ไวรัสซารส หองปฏิบัติการขององคการอนามัยโลก (WHO) ไดตรวจพบเชื้อไวรัสชนิด ใหมในผูป วยโรคซารส เรียกวา เชือ้ โคโรนาไวรัส เชือ้ ไวรัสซารสมีการกลายพันธุไดเร็ว ปจจุบันพบวา มีอยาง นอ ย 19 สายพันธุ เชื้อที่กลายพันธุอาจมีการกออันตรายรุนแรงขึ้นหรืออาจออนตัวลง แตสามารถอยูใ นคนเราได ยาวนาน ระยะฟกตัว องคการอนามัยโลกกําหนดระยะฟกตัวของเชื้อไวรัสซารสอยูในระยะ 2-7 วัน ไมเกนิ 10 วนั จึงมกี ารกักบรเิ วณผูต ดิ เชื้อเพอ่ื เฝาดูอาการเปนระยะเวลา 10-14 วนั อาการ อาการสําคญั ของผูปว ยโรคซารส ไดแก มไี ขต วั รอ น หนาวสั่น ปวดเม่ือยกลามเน้ือ ไอ ปวดศีรษะ และหายใจลาํ บาก สวนอาการอ่นื ทอี่ าจพบไดม ีทองเดิน ไอมีเสมหะ นาํ้ มูกไหล คล่ืนไสอ าเจียน ผูป วยที่สงสัยวาจะเปนโรคซารส ผูป วยมีอาการปวยเกีย่ วกับโรคทางเดินหายใจและสงสัยวา จะเปนโรคซารส ตอ งมีอาการตามเกณฑที่ WHO กาํ หนดไวคอื 1. มีไขสูงเกนิ 30 Cํ หรอื 100.4 Fํ และ 2. มอี าการไอ หายใจตดิ ขดั และ 3. ในชวง 10 วันกอนมีอาการ เคยไปหรืออาศัยอยูใ นพื้นทีท่ ี่มีการระบาดของโรค หรือ ใกลชิดกบั ผูท่มี อี าการปว ยเกีย่ วกบั โรคทางเดนิ หายใจซ่ึงเดินทางไปในพืน้ ทีท่ ี่มีการระบาดของโรค หรือผูท ี่สงสัย วา จะเปนโรคซารส แมวาผูปวยที่มีอาการขางตนและมีอาการคลายกับปอดบวมหรือปอดอักเสบปรากฏในฟลม เอ็กซเรย ก็ไมไดแสดงวาจะตองเปนโรคซารส นอกจากตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดใหมเทานัน้ จึงจะสรุปได วาเปนโรคซารส การแพรกระจายของเชื้อโรค เช้ือโรคซารสติดตอ ไดทางระบบหายใจ และอาจตดิ ตอทางอาหารการกนิ ไดอกี ดว ย เนื่องจากมี การศกึ ษาพบวา เชอื้ นมี้ อี ยใู นนํ้าเหลอื ง อจุ จาระและปสสาวะของผปู วย เมื่ออาการปว ยยา งเขาสปั ดาหที่ 3
94 การปองกันและรักษา โรคนี้ติดตอไดโดยการสัมผัสละอองน้ําลาย เสมหะ เขาทางปากและจมูก แตเดิมเชื่อวา เชื้อ ไวรัสโคโรนาจะมชี วี ิตอยูนอกรางกายมนุษยไดไมเ กนิ 3 ชั่วโมง แตจากขอมูลการศึกษาใหม ๆ พบวา เชื้อนี้อยูได นานกวา 1 วัน โดยเฉพาะในอุจจาระและปสสาวะจะอยูไ ดนานหลายวัน การปองกัน ทีด่ ีทีส่ ุดไดแก การลาง มือ การปฏบิ ัตติ ามหลกั สขุ อนามยั อยา งเครงครดั และการใสห นา กากอนามัย ในการปอ งกันโรคซารส นัน้ มีขอแนะนําดังนี้ 1. รกั ษาสขุ ภาพใหแ ขง็ แรงอยเู สมอดว ยการรบั ประทานอาหารทม่ี ปี ระโยชน ออกกําลัง กายสมาํ่ เสมอ พกั ผอ นใหเ พยี งพอ พยายามลดความเครยี ด และไมเ สพสารเสพตดิ 2. ใชผาปดปากปดจมูกทุกครัง้ เมือ่ ไอหรือจาม ขณะทีเ่ ปนหวัดควรใชหนากากอนามัยอยู เสมอ 3. รกั ษาความสะอาดของมอื อยเู สมอ ดว ยการลา งมอื บอ ย ๆ ดว ยนาํ้ สบู 4. ไมควรใชม อื ขย้ตี า แคะจมูก แคะฟน หากมีความจําเปน ตองลา งมอื ใหส ะอาดทงั้ กอนและ หลงั การกระทาํ ดงั กลา ว 5. อยาใชผาเช็ดตัวหรือผาเช็ดหนารวมกับผูอ ืน่ ถาใชกระดาษเช็ดน้าํ มูกควรทิง้ ในถังขยะมี ฝาปด 6. ใชชอนกลางเมื่อรับประทานอาหารรวมกบั ผูอน่ื 7. รักษาความสะอาดของบานเรือน ของใชในบาน เชน โทรศัพทควรเช็ดดวยผาชุบ น้ํา สะอาดบิดหมาดหรอื แอลกอฮอล 8. เปด ประตูหนาตางใหอากาศภายในบา นถายเทไดส ะดวก 9. หากมอี าการไข ไอ หรอื จาม ควรหลกี เลยี่ งสถานท่ที ี่มีคนหนาแนนหรือการระบายอากาศ ไมด ี และควรไปพบแพทยทันที 10. ในขณะเดนิ ทางอยบู นรถโดยสารไมค วรอยูใกลชดิ ผูที่เปนไข ไอ หรือจาม 11. หลีกเล่ยี งการคลุกคลใี กลชิดกบั ผูป ว ย และผูท่เี ดินทางมาจากประเทศท่ีมีการระบาด 12. งดหรือหลีกเลีย่ งการเดินทางไปตางประเทศ โดยเฉพาะประเทศทีม่ ีการแพรระบาดของ โรคนี้ การรักษา สวนใหญจะเปนการรักษาตามอาการและใชอุปกรณชวยการหายใจ (ในรายท่ีมี ภาวะหายใจลมเหลว) ไดมีการทดลองใชเซรุม จากผูป วยทีห่ ายจากโรค ซึ่งพบวาจะไดผลหากใหเซรุมในระยะ สัปดาหแรกของโรคในปจจุบันมีการทดลองผลิตยาตานไวรัสซารสโดยเฉพาะ ซึง่ อยูใ นระหวางการพัฒนาและ คาดวา จะสามารถนาํ มาใชไ ดใ นอนาคตอนั ใกล
95 โรคไขม าลาเรยี (Malaria) ไขมาลาเรียหรอื ไขจ บั สน่ั เปน โรคติดตอ ท่ีเกิดจากเชอ้ื ปรสติ จาํ พวกโปรโตซวั ชอ่ื พลาสโม เดียม (Plasmodium) ซึง่ เกิดจากยุงกนปลองเปนพาหะนําโรคมาสูค น และเปนโรคที่มีสถิติการระบาดสูงมาก โดยเฉพาะในภาคใตและในจงั หวดั ท่ีเปนปาเขาทีม่ ฝี นตกชุกอยบู อย ๆ สาเหตุ ยุงกนปลองเปนพาหะนําโรคเมือ่ ยุงกัดคนทีเ่ ปนไขมาลาเรียแลวไปกัดคนอืน่ ก็จะแพรเชื้อ ใหกับคนอน่ื ๆ ตอไป อาการ ผทู ี่ไดร บั เชื้อไขม าลาเรยี จะมีอาการวิงเวียนศีรษะ ออนเพลีย มีไขสูง หนาวส่ัน อาเจียน และมี เหง่ือมาก บางรายที่เปน ชนดิ รุนแรงมไี ขสูงขน้ึ สมอง อาจมีอาการเพอ ชัก หมดสตหิ รอื ตายในท่ีสุด บางรายไมตาย แตเพอคลัง่ เสียสติ และความจาํ เสื่อม การติดตอ ติดตอโดยยุงกนปลอ งตัวเมยี ไปกัดและกนิ เลอื ดคนท่เี ปนไขม าลาเรยี แลวไดรับเช้ือมาลาเรียมา จากคนทเ่ี ปนไข เช้อื นน้ั จะเจริญในตัวยงุ ประมาณ 10 วนั กจ็ ะมอี าการไขม าลาเรยี การปอ งกนั 1. นอนในมุงอยาใหยุงกัดได 2. ทาํ ลายแหลง เพาะพนั ธยุ ุง เชน ภาชนะทมี่ นี าํ้ ขงั ใหห มดไป 3. เมื่อเขาปา หรือแหลง ท่มี ไี ขม าลาเรียระบาด ระวังอยาใหยงุ กดั โดยใชยากนั ยุงทา 4. ผอู ยใู นพนื้ ทแี่ หลงไขมาลาเรียระบาดควรปลกู ตนตะไครหอมไวก นั ยงุ 5. ถาสงสัยวาเปนไขมาลาเรีย ควรไปรับการตรวจเลือด และรับการรักษาเพื่อปองกันการ แพรตอไปยงั ผอู ื่น การรกั ษามาลาเรยี เนอ่ื งจากในปจจุบันพบเช้อื มาลาเรียทดี่ ้อื ตอยา และอาจมีโรคแทรกซอ นรายแรง (เชน มาลาเรยี ขน้ึ สมอง) โดยเฉพาะอยา งยิง่ สาํ หรับผทู ่ีอยูในเมอื ง ซึ่งไมมภี ูมติ า นทานโรคน้ี ดงั นน้ั ถา หากมอี าการนา สงสยั เชน มีไขหลังกลับจากเขตปาเขาหรือเขตมาลาเรีย ก็ควรรีบไป หาหมอเพื่อตรวจหาเชอ้ื โรคไขหวดั นก (Avian Influenza หรอื Bird Flu) เม่ือ 20 ปที่ผานมา ไดเกิดโรคระบาดที่เกิดจากเชือ้ ไวรัสชนิด H5N1 ทีเ่ รียกวาไขหวัดนกและ ระบาดไปทัว่ โลก เดิมเชือ้ ไขหวัดนกเปนเชื้อไวรัสโดยธรรมชาติจะติดตอในนกเทานัน้ โดยเฉพาะนกปา นกเปดน้ํา จะเปนพาหะของโรค เชือ้ จะอยูใ นลําไสนก โดยที่ตัวนกไมมีอาการ แตเมือ่ นกเหลานีอ้ พยพไปตาม แหลง ตา ง ๆ ทัว่ โลก กจ็ ะนําเช้ือนน้ั ไปดวย เม่ือสัตวอ่นื เชน ไก เปด หมู หรือสัตวเลี้ยงอื่น ๆ ไดรับเช้ือไขหวัดนก กจ็ ะเกดิ อาการ 2 แบบ คือ 1. หากไดรบั เชื้อชนดิ ไมร นุ แรงสตั วเลี้ยงนั้นอาจจะมีอาการไมม ากและหายไดเอง
96 2. หากเช้ือทไ่ี ดร บั มีอาการรุนแรงมากก็จะทําใหสัตวเ ลี้ยงตายไดภายใน 2 วนั ปจจุบันมีการระบาดของไขหวัดมากกลับมาอีกครั้ง โดยเชื้อโรคไดแพรไปทั่วโลก เกิด การระบาดของเช้อื ไขหวดั นกชนดิ H5N1 ในไกและแพรก ระจายสูคนทาํ ใหมีผเู สียชีวิตจํานวนมากท่ัวไป จนมีการ เฝาระวังโดยหากทราบวามีไกต ายดว ยเช้อื ไขห วัดนก จะตองรบี แจง เจา หนาทีร่ ฐั และมกี ารควบคุมการแพรเ ชื้อโรค ดวยการทําลายไกในพื้นที่นั้น ๆ ทันที เชน การฝงกลบและฉีดพนสารฆาเชื้อเพือ่ ตัดวงจรการแพรระบาดสูค น ตอ ไป โรคไขหวดั นก เปน โรคติดตอ ของสตั วปก ตามปกติโรคน้ตี ิดตอ มายังคนไดไ มง ายนกั แตคนที่ สัมผัสใกลชิดกบั สัตวท ่ีเปน โรคอาจตดิ เชื้อได สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเอ็ชไฟวเอ็นวัน (H5N1) พบในนก ซึง่ เปนแหลงเชือ้ โรคในธรรมชาติ โรคอาจแพรมายังสตั วปก ตา ง ๆ ได เชน ไกท เี่ ลย้ี งอยใู นฟารม เลี้ยงตามบา นและไกช น รวมทั้งเปดไลท งุ ดวย ระยะฟกตวั ระยะฟกตวั ในคน 1 ถงึ 8 วนั อาการ ผูป วยมีอาการคลายไขหวัดใหญ ไขสูง หนาวสัน่ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกลามเนือ้ ออนเพลีย เจ็บคอ ไอ ผูป วยเด็กเล็ก ผูส ูงอายุ หรือผูท ี่มีโรคประจําตัว หากมีภูมิคุม กันไมดี อาจมีอาการรุนแรงได โดยจะมี อาการหอบ หายใจลาํ บาก เนอ่ื งจากปอดอกั เสบรนุ แรง การติดตอ โดยการสัมผัสซากสัตวปกที่ปวยหรือตาย เชื้อทีอ่ ยูใ นน้ํามูก น้าํ ลาย และมูลสัตวปวย อาจติด มากับมือ และเขา สรู างกายทางเยือ่ บุของจมูกและตา ผูที่เส่ียงตอโรคไขหวัดนก ไดแก ผูที่ทํางานในฟารมสัตวปก ผูท่ฆี าหรอื ชําแหละสตั วปก ผูเ ลี้ยงสตั วปก ในพืน้ ที่ทเี่ กดิ โรคไขหวดั นกระบาด การปอ งกนั 1. รบั ประทานอาหารประเภทไกและไขที่ปรุงสุกเทานั้น โดยเฉพาะชวงที่มีการระบาดของ โรค 2. ควรเลือกซ้ือไกสดทไ่ี มม ีลักษณะบง ชวี้ า อาจตายดวยโรคติดเชอ้ื เชน เน้ือมีสีคลํ้า มีจุด เลือดออก สําหรับไข ควรเลอื กฟองทไ่ี มม ีมูลไกต ดิ เปอ นท่เี ปลือกไข กอ นปรงุ ควรนาํ มาลา งใหสะอาด 3. ไมเ ลน คลุกคลหี รือสมั ผัสตวั สัตว นํ้ามูก น้าํ ลาย มูลของไกและสัตวปก โดยเฉพาะสัตวที่ ปวยหรือตาย รวมทง้ั บรเิ วณทเี่ ลี้ยงสัตวปก ดว ย
97 4. อาบน้ําใหสะอาดและเปลีย่ นเสื้อผาทุกครั้งหลังสัมผัสหรือคลุกคลีกับสัตวปก ทุก ชนดิ 5. หามนาํ สตั วป ก ท่ีปวยหรอื ตายมารบั ประทาน หรือปรุงเปนอาหารอยางเดด็ ขาด 6. รักษาความสะอาดในบาน ในสถานประกอบการ และบริเวณรอบ ๆ ใหสะอาด อยู เสมอ 7. กําจัดสัตวที่ปวยหรือตายผิดปกติ ดวยการเผาหรือฝงอยางถูกวิธีและราดดวยน้าํ ยาฆาเชือ้ โรคหรือโรยดวยปูนขาว 8. หากพบไก เปด หรือสตั วป ก ตายจาํ นวนมากผดิ ปกตใิ หรีบแจงเจา หนาที่ ผูนาํ ชมุ ชน ทันที ผลกระทบเมื่อมกี ารระบาดของไขห วดั นก 1. เมื่อเกิดการระบาดของไขหวัดนกจากคนสูคน เชื้อจะติดตอโดยการจามหรือไอ จากนั้น คนท่ไี ดรับเชือ้ อาจจะแพรเช้ือโดยที่ยังไมมีอาการ ทําใหเช้อื ระบาดไปท่วั โลกไดอ ยา งรวดเรว็ 2. ประมาณวาจะมปี ระชากรโลกตดิ เชอ้ื รอ ยละ 25-30 โดยคาดวา จะมีคนเสยี ชวี ิตจากการติด เชอื้ น้ีประมาณ 2 – 7.4 ลานคนท่ัวโลก ซึง่ หากเช้ือมีความรุนแรงก็อาจจะมคี นเสียชีวิตมากกวา นี้ 3. จํานวนเตียงของโรงพยาบาลจะไมเพียงพอ ทําใหขาดบุคลากรดานการรักษาพยาบาล รวมทง้ั การดูแลรักษาจะไมท ัว่ ถงึ 4. จะขาดแคลนเวชภณั ฑ ยาปฏชิ ีวนะหรือวคั ซนี ทใ่ี ชในการรักษา 5. เกิดปญ หาตอเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศนัน้ ๆ 6. การชวยเหลือจากนานาชาติอาจทําไดนอยลง เนือ่ งจากแตละประเทศก็ตองดูแลและ หวงใยประชาชนของตนเอง สรปุ คนตดิ เชื้อโรคไขหวดั นกไดอยา งไร เมือ่ นําปาหรือนกน้ําอพยพไปอาศัยที่ใดก็จะถายอุจจาระทีม่ ีเชือ้ โรค สัตวเลีย้ ง เชน ไก เมือ่ ไดรับเชือ้ โรคก็จะเกิดการติดเชือ้ ซึง่ สามารถแพรสูค นได เมือ่ ไกตายหรือปวย อาจมีการสัมผัสไกเหลานัน้ หรือ นําไปบริโภคโดยทีไ่ มไดทําใหสุกเสียกอน ก็จะทําใหคนติดเชื้อไขหวัดนกจากไก นอกจากนีก้ ารติดตออาจเกิด ขณะทาํ การเชอื ดไก ถอนขนไกห รอื ทําความสะอาดเครอื่ งในไกได อยา งไรกต็ าม โรคไขหวดั นกเปน โรคติดตอของสตั วป ต ามปกติ เช้ือโรคนจี้ ะติดตอมายงั คนได ไมงายนัก หากมีการระมัดระวังไมสัมผัสไกปวย ไกตายหรือไกที่มีเชื้อโรคโดยตรง หรือรับประทานไกทีป่ รุงสุก ในอุณหภูมิ 70 ํC ข้นึ ไปก็จะปลอดภยั จากโรคไขห วัดนกได
98 อหวิ าตกโรค อหิวาตกโรค (Cholera) คือ โรคระบาดชนิดหนึง่ มีอาการทองรวง อาเจียน รางกายจะขับน้ํา ออกมาเปน จาํ นวนมาก อหวิ าตกโรคเปน โรคในระบบทางเดินอาหารทเี่ กดิ ขึ้นเฉยี บพลัน เกิดจากเชื้อแบคทเี รยี ใน สาย พันธุเ ฉพาะชื่อ ไวบริโอ คอเลอรี (Vibrio cholerae) โดยทัว่ ไปมีอาการไมมาก แตประมาณ 1 ใน 10 ราย อาจเกิด อาการทอ งเสยี อยา งรนุ แรง อาเจียน และเปน ตะคริวที่ขาได เปนผลไมเกิดการสูญเสียนํ้าและเกลือแรอยางรวดเร็ว เกิดภาวะขาดนา้ํ และหมดสติ ถาไมไดรบั การรกั ษาอาจถึงแกช วี ติ การติดตอและแพรกระจายของเชอ้ื โรค อหิวาตกโรคติดตอไดจากการรับประทานอาหารหรือดืม่ น้าํ ที่ปนเปอ นอุจจาระหรืออาเจียน ของผตู ิดเชือ้ หรือโดยการรับประทานหอยดบิ ๆ จากแหลงนํ้าที่มีเช้ือนี้ แตไมติดตอโดยการ สัมผัสผิวเผินกับผูติด เชอื้ การระบาดมกั เกดิ ในบรเิ วณท่มี ีระบบทอ ระบายอุจจาระและแหลง นาํ้ สะอาดไมเ พยี งพอ ไมก่ีป มานี้โรคอหิวาตกโรคเกิดระบาดตอเนื่องกันหลายครั้งในพื้นที่บางแหงของทวีปแอฟริกา เอเชีย อเมริกาใต และ อเมรกิ ากลาง (แมตามปกติจะมีแหลงน้าํ สะอาดพอเพียง แตอหิวาตกโรคก็อาจเกิดขึ้นหลังจากมีภัยธรรมชาติ เชน แผนดินไหวหรือน้ําทวมได) อยางไรก็ดี ผูท ี่เขาไปในบริเวณแพรระบาด ของโรค แตระมัดระวังเรือ่ งการกิน อาหารก็มคี วามเสีย่ งทจ่ี ะตดิ เช้อื นอ ย ระยะเวลาฟกตวั ผูท ีไ่ ดรับเชื้อจะเกิดอาการไดตัง้ แต 24 ชัว่ โมง ถึง 5 วัน แตโดยเฉลี่ยแลวจะเกิดอาการภายใน 1-2 วนั อาการ 1. เปนอยางไมรุนแรง พวกนีม้ ักหายภายใน 1 วัน หรืออยางชา 5 วัน มีอาการถายอุจจาระ เหลวเปนน้ํา วันละหลายครั้ง แตจํานวนอุจจาระไมเกินวันละ 1 ลิตร ในผูใ หญอาจมีปวดทองหรือเคลื่อนไส อาเจยี นได 2. เปนอยางรุนแรง อาการระยะแรก มีทองเดิน มีเนือ้ อุจจาระมาก ตอมามีลักษณะเปนน้ํา ซาวขา ว เพราะวา มมี ูกมาก มีกล่นิ เหม็นคาว ถายอุจจาระไดโ ดยไมม อี าการปวดทอง บางครง้ั ไหลพุงออกมาโดยไม รูสึกตัว มีอาการอาเจียนโดยไมคลื่นไส อุจจาระออกมากถึง 1 ลิตรตอชัว่ โมง และจะหยุดเองใน 1-6 วัน ถาไดน้ํา และเกลือแรชดเชยอยางเพียงพอ แตถาไดน้ําและเกลือแรทดแทนไมทันกับที่เสียไป จะมีอาการขาดน้าํ อยางมาก ลุกนง่ั ไมไหว ปส สาวะนอย หรือไมมเี ลย อาจมอี าการเปน ลม หนา มดื จนถงึ ชอ็ ก ซ่ึงเปนอันตรายถึงชวี ิตได ขอ ควรปฏิบตั ิเม่ือเกิดอาการทองเสีย 1. งดอาหารท่ีมีรสจัดหรือเผด็ รอ น หรือของหมกั ดอง 2. ดม่ื นาํ้ ชาแกแ ทนนาํ้ บางรายตอ งงดอาหารชว่ั คราว เพอ่ื ลดการระคายเคอื งในลาํ ไส 3. ดม่ื น้ําเกลือผง สลับกับน้าํ ตมสุก ถา เปน เด็กเล็กควรปรึกษาแพทย
99 4. ถาทอ งเสยี อยางรุนแรง ตองรบี นาํ สงแพทยด ว น การปองกนั 1. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม ๆ และดื่มน้ําสะอาด เชน น้ําตมสุก ภาชนะที่ใสอาหาร ควรลางสะอาดทุกครั้งกอนใช หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง สุก ๆ ดิบ ๆ อาหารที่ปรุงทิ้งไวนาน ๆ อาหารที่มี แมลงวนั ตอม 2. ลางมือฟอกสบูใหส ะอาดทุกครงั้ กอ นกินอาหารหรือกอนปรุงอาหารและหลงั เขาสวม 3. ไมเทอุจจาระ ปสสาวะและสิ่งปฏิกูลลงในแมน้าํ ลําคลอง หรือทิ้งเรีย่ ราด ตองถายลงใน สวมที่ถูกสขุ ลกั ษณะและกําจัดส่ิงปฏิกลู โดยการเผาหรอื ฝง ดิน เพอื่ ปองกันการแพรของเช้อื โรค 4. ระวังไมใหนา้ํ เขาปาก เมอ่ื ลงเลนหรืออาบนํ้าในลําคลอง 5. หลกี เล่ียงการสมั ผัสผปู ว ยทีเ่ ปนอหิวาตกโรค 6. สาํ หรบั ผทู ่สี มั ผสั โรคน้ี ควรรบั ประทานยาท่ีแพทยใ หจนครบ การรกั ษาทางการแพทย การรักษาฉุกเฉิน คือ การรักษาภาวะขาดน้ําโดยดวน ดวยการใหน้ําและเกลือแรทดแทนการ สูญเสียทางอจุ จาระ ถาผปู ว ยอยูใ นภาวะขาดน้ํารนุ แรง ตองใหน้าํ ทางเสน โลหิตอยา งเรงดว น จนกวาปริมาณนํ้าใน รา งกาย ความดนั โลหติ และชพี จรจะกลบั สภู าวะปกติ สาํ หรับผปู ว ยในระดับปานกลางทวั่ ไป การใหด ืม่ นาํ้ เกลือแรทดแทนจะใหผลดี สวนผสมของ นํ้าเกลือแรส ูตรมาตรฐานไดแก กลูโคส 20 ก. โซเดียมคลอไรด 3.5 ก. โปแตสเซยี ม 1.5 ก. และโตรโซเดยี มซิเทรต 2.9 ก. หรือโซเดียมไบคารบ อเนต 2.5 ก. ตอ นา้ํ สะอาด 1 ลติ ร โรคชคิ นุ กนุ ยา (Chikungunya) การติดเชื้อ Chikungunya virus เดิมมีรกรากอยูในทวีปอาฟริกา ในประเทศไทยมีการตรวจพบ ครั้งแรกพรอมกับที่มีไขเลือดออกระบาดและเปนครั้งแรกในทวีปเอเชีย เมื่อ พ.ศ. 2501 โดย Prof.W McD Hamnon แยกเชอ้ื ชคิ นุ กนุ ยา ไดจ ากผปู ว ยโรงพยาบาลเดก็ กรงุ เทพมหานคร ลักษณะโรค โรคชิคุนกุนยา เปนโรคติดเชือ้ ไวรัสชิคุนกุนยาทีม่ ียุงลายเปนพาหะนําโรค มีอาการคลายไข แดง แตตางกันที่ไมมีการรั่วของพลาสมาออกนอกเสนเลือด จึงไมพบผูปวยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงมีอาการ ชอ็ ก สาเหตุ เกิดจากเช้ือไวรัสชคิ นุ กนุ ยา (Chikungunya virus) โดยมยี งุ ลาย เปน พาหะนาํ โรค วธิ ีการติดตอ ติดตอกันไดโดยมียุงลาย Aedes aegypti เปนพาหะนําโรคทีส่ ําคัญ เมือ่ ยุงลายตัวเมียกัดและดูด เลือดผูป วยที่อยูใ นระยะไขสูง ซึง่ เปนระยะที่มีไวรัสอยูใ นกระแสเลือด เชือ้ ไวรัสจะเขาสูก ระเพาะยุง และเพิม่
100 จาํ นวนมากขน้ึ แลว เดนิ ทางเขา สูต อมน้าํ ลาย เมือ่ ยุงทีม่ ีเชือ้ ไวรัสชิคุนกุนยาไปกัดคนอืน่ ก็จะปลอยเชื้อไปยังคนที่ ถูกกดั ทําใหคนน้ันเกิดอาการของโรคได ระยะฟกตัว โดยทว่ั ไปประมาณ 1-12 วัน แตท ่ีพบบอ ยประมาณ 2-3 วนั ระยะตดิ ตอ ระยะไขส ูงประมาณวนั ที่ 2-4 เปนระยะท่ีมีไวรัสอยูในกระแสเลือดมาก อาการและอาการแสดง ผปู วยจะมอี าการไขสูงอยา งฉับพลัน มผี นื่ แดงข้ึนตามรางกายและอาจมีอาการคันรวมดวย พบ ตาแดง (conjunctiva injection) แตไ มค อ ยพบจดุ เลอื ดออกในตาขาว สวนใหญแลวในเด็กจะมีอาการไมรุนแรงเทาใน ผูใ หญ ในผใู หญอาการที่เดนชัดคืออาการปวดขอ ซึ่งอาจพบขออักเสบได สวนใหญจะเปนที่ขอเล็ก ๆ เชน ขอมือ ขอเทา อาการปวดขอจะพบไดหลาย ๆ ขอ เปลี่ยนตําแหนงไปเรื่อย ๆ อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับขอ ไมไ ด อาการจะหายภายใน 1-12 สปั ดาห ผปู ว ยบางรายอาจมีอาการปวดขอเกิดขึ้นไดอีกภายใน 2-3 สัปดาหตอมา และบางรายอาการปวดขอ จะอยไู ดนานเปนเดอื นหรือเปน ป ไมพบผูปวยท่ีมีอาการรุนแรงถึงช็อก ซึ่งแตกตางจาก โรคไขเลอื ดออก โรคนจี้ ะพบมากในฤดฝู น เมอ่ื ประชากรยงุ เพิม่ ขนึ้ และมีการตดิ เช้อื ในยุงลายมากขึ้น พบโรคนี้ ไดใ นทุกกลุมอายุ ซ่ึงตางจากไขเ ลือดออกและหัดเยอรมนั ทส่ี วนมากพบในผอู ายนุ อยกวา 15 ป ในประเทศไทยพบ มีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา 6 คร้ัง ในป พ.ศ. 2531 ที่จังหวัดสุรินทร พ.ศ. 2534 ทีจ่ ังหวัดขอนแกนและ ปราจนี บุรี ในป พ.ศ. 2536 มกี ารระบาด 3 ครั้ง ที่จังหวัดเลย นครศรีธรรมราช และหนองคาย และกลับมาระบาด อกี ในป พ.ศ. 2551 การรักษา ไมม กี ารรกั ษาทจ่ี าํ เพาะเจาะจง (specific treatment) การรักษาเปนการรักษาแบบประคับประคอง (supportive treatment) เชน ใหย าลดอาการไข ปวดขอ และการพกั ผอ น การปองกัน การปอ งกนั ท่ดี คี วรปฏบิ ัติเชน เดยี วกับการปอ งกันโรคไขเลือดออก คือ ทําลายแหลงเพาะพันธุ ยุงลาย และนอนกางมุง หรือนอนในหองที่มีมุง ลวด หากตองออกไปในทีม่ ียุงชุกชุม ควรทายากันยุงปองกันทุก ครัง้ โรคไขห วัดใหญและไขห วดั ใหญส ายพนั ธใุ หม 2009 โรคไขหวัดใหญ โรคไขหวัดใหญ เปนโรคติดเชือ้ ระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชือ้ ไวรัส พบไดทั้งเด็กและ ผูใ หญ สามารถติดตอกนั ไดงา ยจะมีอาการรุนแรงกวาโรคหวดั ธรรมดา ผูปวยจะมีไขส ูง ปวดศรี ษะ ปวดเมื่อยกลามเนอื้ ออ นเพลีย คัดจมูก น้ํามูกไหล ตาแดง ไอ จาม บางรายอาจมีอาการคลืน่ ไส อาเจียน เบื่ออาหาร ทองเดิน และอาจมีโรคแทรกซอนได เชน หลอดลมอักเสบ กลามเนื้อหัวใจอักเสบ ปวดบวม ตอมทอนซิลอักเสบ เปนตน ซึ่งภาวะแทรกซอนเหลานีม้ ักเกิดในเด็กเล็ก คน สูงอายุ ผูปวยเบาหวาน คนท่ีสูบบุหรี่จัด หรือผูปว ยทีเ่ ปนโรคปอดเรื้อรัง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181