การวัดและประเมินผลการศกึ ษา (Educational Evaluation and Measurement) หนงั สอื เลม่ นีเ้ ปน็ ส่วนหนงึ่ ของการจดั การเรียนการสอน ในรายวชิ าเทคโนโลยีการพิมพ์ เรยี บเรยี งโดย นางสาวศศิธร ทองค�ำ รหสั นสิ ติ 60412674 สาขาเทคโนโลยีสอื่ สารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ค�ำ นำ� การเรียบเรียงเอกสารประกอบการสอน รายวชิ าการวัดและประเมนิ ผล การศึกษา (Educational Evaluation and Measurement) เปน็ สว่ นหนึง่ ของการเรียนการสอนใน รายวชิ า เทคโนโลยีสื่อสิง่ พมิ พ์ เรยี บเรยี งโดยนสิ ิตหลกั สูตรศิลปศาสตร์บัณฑติ (สาขาเทคโนโลยีส่อื สาร การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร) ผู้เรยี บเรยี งหวังวา่ การเรียบเรียงครัง้ นจ้ี ะมปี ระโยชนต์ อ่ ผทู้ ่สี นใจไมม่ ากก็ นอ้ ย เรียบเรียงโดย ศศธิ ร ทองค�ำ
สารบญั เรอื่ ง หน้า บทท่ี 1 ความรพู้ ื้นฐานเก่ียวกบั การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา 1 ความหมายของการวดั ผล การประเมินและการสอบ 2-6 ความหมายของคำ�ส�ำ คญั 6-10 ความมุ่งหมายของการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา 10-11 หลกั การส�ำ คัญของการวดั และการประเมนิ ผลการศึกษา 11-13 บทบาทของการวดั และประเมินผลการศึกษา 13-15 ขน้ั ตอนการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา 16-18 ประโยชน์ของการวดั และการประเมนิ ผลการศึกษา 18-19 มาตรฐานของการวัดและประเมนิ ส�ำ หรบั ครู 20 คณุ ธรรมของนักวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา 20-22 ธรรมชาตขิ องการวดั ผลการศึกษา 22-24 บทที่ 2 เรือ่ งเปา้ หมายคุณภาพผเู้ รียน 25 เป้าหมายคณุ ภาพผ้เู รยี น 26-27 พฤติกรรมการศกึ ษาในมาตรฐานการเรียนร้ ู 28 ระดบั ของจดุ มุง่ หมายการศกึ ษา 28-30
เรอ่ื ง หนา้ บทท่ี 3 เรื่องวธิ ีการและเครือ่ งมอื วัดผลการศกึ ษา 31 การทดสอบ 32 การสังเกต 33 การสัมภาษณ์ 33-34 การใช้แบบสอบถามการประเมินการปฏิบตั ิ 34-38 การประเมนิ ตามสภาพจริง 38-42 บทท่ี 4 เรอ่ื งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 43 การเขียนขอ้ ค�ำ ถามวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น 44-46 รปู แบบข้อค�ำ ถามวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 46-54 บทที่ 5 เรือ่ งการสร้างเครอื่ งมอื วัดผลการศึกษา 55 กระบวนการสรา้ งเครอื่ งมือวดั ผลการศึกษา 56-57 การบรหิ ารการสอบ 58-62 บทที่ 6 การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมอื วดั ผล 63 คณุ ลักษณะของเครอื่ งมอื วดั ผลการศึกษาท่ดี ี 64-68 แนวคดิ การตรวจสอบคณุ ภาพเครือ่ งมือวดั ผลการศึกษา 68-72 การวิเคราะหค์ ณุ ภาพแบบทดสอบวดั สมั ฤทธิท์ างการเรียน 72 วธิ กี ารตรวจสอบของแบบทดสอบ 73-87
เรอ่ื ง หน้า บทท่ี 7 เร่ืองคะแนนและการให้ระดบั คะแนน 88 ความหมายของคะแนน 89 วัตถปุ ระสงค์ของการให้คะแนน 89-90 คะแนน 90-99 การใหร้ ะดบั คะแนน 99-112 การรายงานผลการสอบ 112-114 บรรณานุกรม 115
บทท่ี 1 ความรพู้ ้ืนฐานเกย่ี วกบั การวดั และประเมินผลการศึกษา 1 บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกยี่ วกับ การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา
2 บทท่ี 1 ความรู้พนื้ ฐานเกย่ี วกบั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา บทท่ี 1 ความรู้พืน้ ฐานเกยี่ วกบั การวัด และประเมนิ ผลการศึกษา ความหมายของการวดั ผล การประเมินและการสอบ ความหมายของการวัดผล การประเมินและการสอบ เป็นคำ�ท่เี กยี่ วข้องกัน และมกั เรียกรวมกนั วา่ การสอบวัดผล การวัดผลประเมินผล ซงึ่ เป็นค�ำ รวมกันค�ำ ละ 2 คำ� และมีคำ�ซ้ำ�กนั หนึ่งค�ำ รวมมีค�ำ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งทงั้ หมด 3 ค�ำ คอื คำ�วา่ การวดั ผล (Measurement) คำ�ว่าการสอบ (Testing) และค�ำ วา่ การประเมินผล (Evalua- tion) เปน็ ค�ำ ทม่ี คี วามหมายแตกต่างกนั แตม่ ักจะใชค้ วบค่กู ันเสมอ เพื่อให้มคี วาม เข้าใจได้ชัดเจนและถกู ต้อง ของค�ำ ดงั กลา่ ว ได้มผี ้ใู หค้ วามหมายไว้ (มลิวัลย์ ผวิ คราม, 2547) ดังนี้ ความหมายของค�ำ ว่าการวัดผล การวัดผลเปน็ การกำ�หนดจ�ำ นวนหรือปริมาณให้แก่ส่งิ ทีว่ ัดโดยมีเงือ่ นไขหรือกฎ เกณฑ์การวัดผลแบง่ ออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. การวัดทางกายภาพศาสตร์ (Physical Science) เปน็ การวัดเพ่ือหาจำ�นวน ปรมิ าณของสง่ิ ตา่ ง ๆ ท่ีเป็นรูปธรรมมตี วั ตนแน่นอนเชน่ ความยาวน�้ำ หนักพ้ืนทป่ี ริมาตร ขนาดสว่ นใหญ่เป็นการวัดวัตถุสิ่งของการวัดทางด้านน้ีมักเปน็ รปู ธรรมมเี ครอ่ื งมือวดั ท่ใี หผ้ ลเชอื่ ถอื ไดม้ ีหน่วยการวัดแนน่ อนเชน่ เปน็ เมตร เป็นกรมั ซึ่งท�ำ ให้การวดั ทาง กายภาพศาสตร์ได้ผลการวัดท่ถี กู ตอ้ งแมน่ ย�ำ 2. การวดั ทางสังคมศาสตร์ (Social Science) เปน็ การวดั เพือ่ หาจำ�นวนหรือ คุณภาพของสิ่งที่เปน็ นามธรรม ไม่มตี วั ตนแนน่ อน สว่ นใหญเ่ กย่ี วขอ้ งกบั พฤติกรรม ของสิง่ มชี วี ิตท้ังหลาย เครอื่ งมอื ทใี่ ช้วัดมักขาดคุณภาพให้ผลเช่ือถือไดต้ ่�ำ
บทท่ี 1 ความรู้พน้ื ฐานเกีย่ วกับการวัด และประเมนิ ผลการศกึ ษา 3 เช่น การวดั ความรู้ การวัดการปรบั ตัวของ นกั เรียน การวดั ผลการศกึ ษาเป็นสว่ น หน่ึงของการวัดทางดา้ นสงั คมศาสตร์ ซงึ่ ในปัจจบุ นั น้ี การวัดทางดา้ นนพ้ี ยายาม ปรับปรุงวิธีการโดยอาศยั วธิ กี ารทางวิทยาศาสตรเ์ ป็นรากฐานเพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลการวดั ท่ี แนน่ อน ถกู ตอ้ งมากขึ้น การวัดท้งั สองประเภท เปน็ การใชค้ วามพยายามทจ่ี ะกำ�หนดตวั เลขหรือ สัญลกั ษณ์เพือ่ ใช้แทนปรมิ าณหรือคุณภาพของพฤติกรรมความสามารถของบคุ คล ผล การวดั ทไี่ ด้แต่ละครั้งจะแตกต่างกนั มิได้มลี ักษณะหรือคณุ ภาพเหมอื นกนั ทุกครัง้ ไป ทง้ั นย้ี อ่ มขน้ึ กบั วัตถปุ ระสงคข์ องการวดั เครื่องมอื ทีใ่ ชว้ ัด รวมทั้งวธิ ีการวดั ท่ีจะท�ำ ให้ ผลการวัดมีลกั ษณะอย่างไรละเอยี ดหรือหยาบเพยี งใด ซ่งึ การวัดสามารถจำ�แนกระดับ ของความละเอยี ดได้ 4 ระดับ ดังน้ี ระดบั ท่ี 1 มาตรานามบัญญตั ิ (Nominal Scale) เปน็ การก�ำ หนดชอ่ื ให้ กับเรื่องราวหรอื ส่ิงของต่าง ๆ เช่น เพศชาย เพศหญงิ ชัน้ ประถมศกึ ษา อาชีพรบั ราชการ ชาวนา ชาวสวน เป็นตน้ มาตราวดั ระดบั นีเ้ ปน็ เพียงแตก่ ารจดั หมวดหมูส่ ิ่ง ทีม่ ีลักษณะเดยี วกนั เข้าเปน็ ประเภทเดยี วกนั เทา่ นัน้ ซ่งึ นับว่าเป็นมาตรการวดั ที่หยาบ ท่ีสดุ ระดบั ท่ี 2 มาตราจัดอันดบั (Ordinal Scale) เป็นการจดั เรยี งล�ำ ดับของสิ่ง ทอ่ี ยู่ ในหมวดหรอื สกลุ เดียวกนั ให้ลดหลน่ั ตามลำ�ดับปรมิ าณหรอื คุณภาพ เชน่ เก่ง คอ่ นข้างเก่ง กลาง หรอื การจดั อนั ดบั ท่ี 1 2 3 เป็นต้น ซ่งึ การจดั อันดับในมาตรานี้ เปน็ เพยี งการบอกปรมิ าณและคณุ ภาพที่มีมากนอ้ ยตา่ งกันเท่านนั้ แตไ่ มส่ ามารถบอก ได้ว่าแตล่ ะอนั ดับน้นั แตกตา่ งกันมากน้อยเพียงไร และแต่ละชั้นนน้ั หา่ งเท่ากนั หรอื ไม่ ระดับที่ 3 มาตราอันตรภาค (Interval Scale) การก�ำ หนดตัวเลขการวดั ใน ระดบั นี้ เป็นการแบ่งของทอ่ี ยใู่ นลักษณะเดยี วกนั ออกเปน็ ประเภทหรอื ชว่ งท่ีเท่า ๆ กัน เชน่ 1 ช่ัวโมงมี 30 นาที 1 วนั มี 24 ชว่ั โมง ซึง่ การแบง่ เป็นชว่ งเท่า ๆ กัน ใน ลกั ษณะน้ที ำ�ให้ขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ากการวดั มคี วามหมายยงิ่ ขึ้น
4 บทที่ 1 ความร้พู ืน้ ฐานเกยี่ วกบั การวัด และประเมนิ ผลการศกึ ษา ยงิ่ ขนึ้ เพราะสามารถน�ำ ผลทีไ่ ดไ้ ปเปรียบเทียบ บวก ลบ กันได้ แตม่ าตรา การวดั ระดับนี้ยังมีจดุ อ่อนอยตู่ รงท่ี ศนู ยท์ ่ไี ดจ้ ากการวัดในมาตรานย้ี งั ไมใ่ ช่ศนู ย์แท้ (Abso- lute Zero) แตเ่ ปน็ เพียงศนู ยส์ มมุติเท่าน้ัน เพราะศนู ยใ์ นมาตรา การวัดชนดิ นมี้ ไิ ด้ หมายความว่าไมม่ อี ะไรเลย แตเ่ ป็นการสมมุติว่าไม่มี แท้จรงิ ยังมลี ักษณะทีว่ ดั นัน้ อยู่ บ้าง ระดับที่ 4 มาตราอตั ราสว่ น (Ratio Scale) เปน็ มาตรา การวดั ทีส่ มบรู ณ์ คณุ สมบตั ิของการกำ�หนดตวั เลขในมาตรา การวดั นี้คอื มศี ูนยแ์ ท้และมีช่วงที่เท่ากัน เรียงขึน้ ลงตามลำ�ดับสม่ำ�เสมอ เชน่ การวัดความยาวของส่ิงของ ความยาวเทา่ กบั ศูนยห์ มายความวา่ ไม่มคี วามยาว นำ้�หนกั ศนู ย์แสดงวา่ ไม่มนี �ำ้ หนกั สงิ่ ของที่มี นำ้�หนัก 10 กิโลกรัม แสดงวา่ น้�ำ หนกั เป็น 2 เทา่ ของส่งิ ของ 5 กิโลกรัม เปน็ ตน้ ความหมายของคำ�ว่า การประเมนิ ผล การประเมนิ ผลเป็นกระบวนการ ท่ีทำ�ตอ่ เนอื่ งจากการวดั ผลแลว้ วนิ จิ ฉัย ตัดสนิ ลงสรุป เพอ่ื พจิ ารณาความเหมาะสมหรือหาคุณค่า ของคุณลักษณะและ พฤติกรรมอย่างมกี ฎเกณฑ์และมีคุณธรรม ซง่ึ ในการประเมนิ ผลจะตอ้ งมี องค์ประกอบ หลกั 3 ประการ คือ 1.การวัดผล (Measurement) ท�ำ ให้ทราบสภาพความจรงิ ของสิ่งทจ่ี ะประเมิน ว่ามีปริมาณเท่าไร มีคณุ สมบตั ิอย่างไร เพอื่ ใชเ้ ปน็ ข้อมลู ส�ำ หรบั น�ำ ไปเปรียบเทยี บกับ เกณฑ์ 2.เกณฑ์การพจิ ารณา (Criteria) ในการทีจ่ ะตดั สนิ ว่าสิง่ ใดดี เลว ใชไ้ ด้ หรอื ใช้ ไมไ่ ดน้ น้ั จะตอ้ งมหี ลักเกณฑห์ รือมีบรรทดั ฐานทีต่ ้องการ โดยนำ�ผลการวดั นั้นมาเปรียบ เทยี บกับเกณฑ์ท่กี ำ�หนดไว้ หรือมาตรฐานท่ีต้องการ เกณฑ์การพจิ ารณาในการประเมนิ ผลการศกึ ษาน้นั ก็คือจุดมุ่งหมายของการศกึ ษาน่ันเอง
บทท่ี 1 ความรู้พ้ืนฐานเก่ยี วกับการวัด และประเมินผลการศกึ ษา 5 3. การตดั สนิ ใจ (Decision) เปน็ การชีข้ าดหรือสรุปผลท่ีไดจ้ ากการวัดเทียบกบั เกณฑก์ ารเปรยี บเทยี บระหวา่ งผลการปฏิบตั ิ ซง่ึ ได้จากการวัดกบั เกณฑท์ ่ีก�ำ หนดไวว้ ่า สูงต่�ำ กว่ากนั ขนาดไหน ทง้ั นกี้ ารตัดสนิ ใจท่ดี ตี ้องอาศัยการพิจารณาอยา่ งถี่ถว้ นทกุ แง่ มมุ และกระท�ำ อย่างยตุ ิธรรมโดยอาศัยสภาพและความเหมาะสมต่าง ๆ ประกอบ หรอื ต้องมีคณุ ธรรม การศึกษาเปน็ กระบวนการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นให้เป็นไปในแนวทางทีพ่ งึ ภาพท่ี 1.1 กระบวนการ การศึกษาความรู้พน้ื ฐานเกีย่ วกับการวัดและประเมินผลการศกึ ษา การจัดการศกึ ษาจำ�เปน็ ต้องมจี ุดมงุ่ หมายท่ีชัดเจน เพอื่ ช่วยใหท้ ศิ ทางของการ จัดประสบการณก์ ารเรียนร้หู รือการจัดการเรียนรู้ท่เี หมาะสม การวัดและประเมินเข้า มามีบทบาทในการตัดสินผลการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นวา่ บรรลุผลส�ำ เร็จตามจุดมุ่งหมายท่ี ส�ำ คัญหรือไม่ มากน้อย
6 บทที่ 1 ความรพู้ ื้นฐานเก่ยี วกบั การวดั และประเมินผลการศกึ ษา เพียงไร รวมท้งั ชว่ ยให้สารสนเทศอันเปน็ ประโยชนต์ อ่ การปรบั ปรงุ และพฒั นาผู้เรียน และการสอนของครู การท�ำ ความเขา้ ใจกับการวดั และประเมินจงึ มีความส�ำ คญั อยา่ ง ยงิ่ ในบทนน้ี �ำ เสนอความหมายของคำ�สำ�คัญ ความม่งุ หมายของการวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา หลกั การส�ำ คญั ของการวัดและประเมินผลการศึกษา บทบาทของการ วดั และประเมินผลการศกึ ษา ขัน้ ตอนการวดั และประเมินผลการศกึ ษา ประโยชน์ ของการวัดและการประเมนิ ผลการศึกษา มาตรฐานการวัดและประเมินผลการศึกษา คุณธรรมของนกั วัดและประเมนิ ผลการศึกษา ความหมายของคำ�สำ�คญั ค�ำ สำ�คญั ทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การวดั และประเมินผลการศกึ ษาทใ่ี ช้โดยทัว่ ไป ไดแ้ ก่ การประเมนิ (Assessment) การทดสอบ (Test) การวัดผล (Measurement) และ การประเมนิ คา่ (Evaluation) ซ่ึงค�ำ เหล่านมี้ ีความสมั พันธ์กัน ภาพท่ี 1.2 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคำ�สำ�คญั การประเมนิ ผล การทดสอบ การวดั ผลและการ ประเมนิ คา่ ท่มี า (Nitko & Brookhart, 2011, p.3)
บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกย่ี วกับการวัด และประเมินผลการศึกษา 7 การประเมนิ (Assessment) คือ กระบวนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลซง่ึ ใช้ในการ ตดั สินใจเกี่ยวกับคณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี น หลกั สูตร โครงการ และโรงเรยี น รวมทั้ง นโยบายการศึกษา ตวั อย่างเชน่ การประเมนิ สมรรถนะของผู้เรียน จะหมายถงึ การ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื ทจ่ี ะชว่ ยในการตดั สนิ สมั ฤทธผิ ลของผเู้ รียนตามเปา้ หมายการ เรียนรู้ แบบทดสอบ (Tests) คือ เคร่ืองมือหรือกระบวนการเชิงระบบสำ�หรับสังเกต หรอื บรรยายคณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี นอาจจะใช้การจดั ประเภทหรอื การกำ�หนดเป็นมาตร ตวั เลข แบบทดสอบมคี วามหมายใกลเ้ คยี งกับการประเมิน (Assessment) มาก เม่ือ กล่าวถงึ แบบทดสอบโรงเรียนสว่ นใหญ่จะนกึ ถงึ แบบทดสอบประเภทข้อเขยี น (Paper and Pencil Tests) ซึง่ เป็นชุดคำ�ถามให้ผูเ้ รยี นตอบ และครูจะให้คะแนนแทนแต้มให้ กบั ผู้เรียนในแต่ละค�ำ ถาม การใช้แบบทดสอบลกั ษณะนเี้ ปน็ การบรรยายคณุ ลักษณะ ของผ้เู รียนโดยใชม้ าตรตวั เลข (Numeric scale) หรืออาจจะบรรยายเป็นคะแนน มาตรฐาน T-score เชน่ การทดสอบการศกึ ษาระดบั ชาติหรอื ท่รี ู้จักกันทว่ั ไปในชือ่ ของ ONET (Ordinary National Education Test) คือการทดสอบการศกึ ษาระดบั ชาติ ขนั้ พืน้ ฐานทีถ่ กู จดั สอบขนึ้ โดยสถาบนั ทดสอบทางการศกึ ษาแหง่ ชาติ (องคก์ ารมหาชน) หรอื สทศ. ซึ่งเป็นการจัดสอบนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษา ปีที่ 3 และนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 เพอื่ ชวี้ ดั คุณภาพและมาตรฐานทางการ ศึกษานักเรยี นและโรงเรียน ใบรายงานผลการทดสอบระดับชาตขิ ัน้ พ้นื ฐาน (O-NET) จะแสดงคะแนนของนกั เรยี นรายบคุ คลโดยนกั เรยี นดูผลคะแนนของตนเองในแตล่ ะวิชา วา่ สูงกวา่ หรอื ตำ�่ กวา่ ค่าเฉลี่ยของระดับโรงเรยี น ระดบั สงั กัด และระดบั ประเทศ เพ่ือ ประเมนิ และพัฒนาตนเองให้มีผลการเรยี นดยี งิ่ ขนึ้
8 บทท่ี 1 ความรู้พนื้ ฐานเก่ยี วกับการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา ภาพที่ 1.3 ตวั อยา่ งผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาตขิ ัน้ พ้นื ฐาน (ONET) รายบุคคลด้วย คะแนน มาตรฐาน T-score ที่มา (สถาบันทดสอบทาง การศกึ ษาแหง่ ชาติ (องค์การมหาชน), 2559, หนา้ 1) การใชแ้ บบทดสอบไม่จ�ำ เปน็ ต้องบรรยายคณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี นออกมาเป็น มาตรตวั เลข (Numeric Scale) เสมอไป อาจจะใช้วิธีการสังเกตอย่างเปน็ ระบบ จัดประเภท (Classification Schemes) ผเู้ รียนได้เช่นกัน ถงึ แมว้ า่ แบบทดสอบ จะถกู ออกแบบเพ่ือจัดหาขอ้ มูลผู้เรยี นรายบุคคล แต่ในทางปฏิบตั แิ ล้วเราสามารถใช้ แบบทดสอบสะทอ้ นประสทิ ธิผลของโรงเรยี นไดเ้ ชน่ กนั เช่น การทดสอบการศึกษา ระดับชาติ (Ordinary National Education Test: ONET) โดยสถาบันทดสอบ ทางการศกึ ษาแหง่ ชาติ (สทศ.) จัดสอบนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 และนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 และการวัดความสามารถพน้ื ฐานของผเู้ รียนระดับชาติ (National Test: NT) โดยสำ�นกั ทดสอบทางการศึกษา ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน (สพฐ)
บทที่ 1 ความรพู้ ื้นฐานเกย่ี วกับการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา 9 จดั สอบนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3 นอกจากจะใช้เพือ่ ช้วี ัดคุณภาพและมาตรฐาน ทางการศึกษาระดบั นกั เรยี นแลว้ ยงั ใช้ช้ีวดั คณุ ภาพและมาตรฐานทางการศกึ ษา ระดับครู ระดับสถานศกึ ษาหรือโรงเรยี น ระดบั เขตพื้นท่ี ระดับต้นสงั กดั และระดบั ประเทศ ได้อกี ด้วย ตัวอย่างดงั น้ี ภาพที่ 1.4 ตวั อย่างผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาติขนั้ พื้นฐาน (ONET) ระดับโรงเรยี น ท่มี า (สถาบันทดสอบทาง การศึกษาแหง่ ชาติ (องค์การมหาชน), 2559, หนา้ 2) การวัดผล (Measurement) คอื กระบวนการกำ�หนดตวั เลขหรอื คะแนนให้ แกค่ ณุ ลักษณะ (Attribute) หรอื ลกั ษณะเฉพาะ (Characteristic) ของบุคคล โดย ตัวเลขจะชบี้ ง่ ถงึ ความเข้มของคุณลกั ษณะนัน้ ๆ ของแตล่ ะบุคคล ประโยชน์ของการ ก�ำ หนดคา่ เป็นตวั เลข คอื สามารถเรียงลำ�ดับความสามารถหรือคุณลักษณะของบคุ คล ได้ เชน่ เด็กชายอานนั ทม์ ที ักษะการอา่ นสงู กว่าเด็กหญิงภริ มย์ คะแนนทไ่ี ดจ้ ากแบบ ทดสอบทักษะการอา่ นของเดก็ ชายอานนั ทก์ ็จะสูงกวา่ คะแนนทกั ษะการอ่านของเดก็ หญิงภริ มย์ การวัดลักษณะเฉพาะทางการศึกษาและทางจิตวิทยาหลายลักษณะจะใช้ กระบวนการกำ�หนดค่าเปน็ ตัวเลขโดยนับจากค�ำ ตอบท่ถี ูกตอ้ ง หรือแต้มรวมท่ีไดร้ ับ จากแบบทดสอบ
10 บทท่ี 1 ความรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกับการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา การประเมินค่า (Evaluation) คอื กระบวนการตดั สินคณุ ค่าของผลงานหรือ การปฏบิ ัติของผ้เู รยี น เชน่ การประเมินค่าทักษะการเขยี นของเด็กหญงิ ทานตะวันว่า “อยูใ่ นระดบั ด”ี การประเมินค่าการแกโ้ จทย์ปญั หาของเดก็ ชายแสงอาทิตยว์ ่า “อยู่ ในระดบั ดมี าก” เปน็ ตน้ การประเมนิ คา่ อาจจะใช้หรือไม่ใช่ผลของการวดั ผลหรือ แบบทดสอบ กลา่ วคือ อาจจะใชก้ ารนบั การใช้แบบตรวจสอบรายการ การใช้มาตร ประมาณค่า หรอื การสังเกตอย่างมีระบบและบรรยายคุณลกั ษณะออกมาเป็นข้อความ เชิงคณุ ภาพ การประเมินคา่ จะพจิ ารณาจากผลทไี่ ดจ้ ากการวดั และหลักฐานอืน่ ๆ ท่ี เกยี่ วข้องรวมทั้งใชป้ ระสบการณ์ (Nitko & Brookhart, 2011, p.7) วจิ ารณญาณ และความรสู้ กึ นกึ คดิ ของผปู้ ระเมินประกอบการตัดสินใจ (Ebel, 1972, p. 554) ความมุ่งหมายของการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา การวัดและประเมนิ ผลการศึกษาในขอบเขตของการประเมินระดับชน้ั เรยี นถือ เป็นกจิ กรรมส�ำ คัญท่กี ระทำ�เพ่ือประโยชนต์ ่อผูเ้ รยี นเป็นเป้าหมายสำ�คญั ความมุ่งหมาย ของการวดั และประเมนิ ผลการศึกษาในอดตี ที่ผ่านมาจะก�ำ หนดไวด้ ้วยกนั 4 ประการ ด้วยกนั (Popham, 2008, pp. 7-12) ได้แก่ 1. เพอ่ื วินิจฉยั จุดอ่อนจุดแขง็ ของผู้เรียน ผลทีไ่ ด้จากการวินิจฉยั ผ้เู รยี นจะเปน็ ประโยชนต์ ่อครูในการตดั สนิ ใจวางแผนการสอนเพ่ือแกป้ ญั หาจดุ อ่อนของผ้เู รยี น และ เสรมิ จดุ แขง็ ของผู้เรยี นต่อไป 2. เพื่อติดตามความก้าวหน้าของผ้เู รยี น ผลจากการประเมนิ เพอ่ื ตรวจสอบ ความก้าวหนา้ ของผู้เรยี นจะทำ�ใหค้ รไู ด้สารสนเทศในการปรับเปลย่ี นกลวธิ ีการสอนท่ไี ด้ วางแผนไวอ้ ย่างทนั ท่วงที 3. เพือ่ ให้ระดับคะแนนผู้เรียน ผลการให้ระดบั คะแนนของนกั เรยี นจะชว่ ยใหค้ รู ทราบผลลพั ธ์การเรยี นร้ใู นภาพรวมของผเู้ รยี น
บทท่ี 1 ความรพู้ ื้นฐานเก่ียวกับการวัด และประเมนิ ผลการศกึ ษา 11 4. เพ่อื ตัดสนิ ประสิทธิภาพการสอน สารสนเทศท่บี ง่ บอกพัฒนาการของผเู้ รียน ได้แก่ การเปรียบเทียบคะแนนกอ่ นกบั หลงั เรียนจะเปน็ ตวั บง่ ชปี้ ระสทิ ธิภาพการสอน ของครู ความมุง่ หมายของการวัดและประเมินผลการศึกษาในระยะตอ่ มาไดเ้ ริ่ม เปลย่ี นแปลงไปตามบริบทสงั คมที่ได้รบั อิทธพิ ลจากการสอบทม่ี เี ดมิ พันสงู (High-Stake Testing) (McMillan, 2011, pp.10) จนมคี วามมงุ่ หมายเพมิ่ เตมิ ดังน้ี 5. เพ่ือให้ข้อมูลย้อนกลบั เกีย่ วกับผู้เรยี นทั้งเป็นขอ้ มลู ทีจ่ ะวางแผนพัฒนา ศกั ยภาพของผ้เู รยี นให้เต็มตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคลและพฒั นาการจดั กระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล 6. เพอ่ื เตรียมผเู้ รยี นส�ำ หรับการทดสอบทม่ี เี ดิมพนั สูง (High-Stake Testing) ท่ี มีอิทธพิ ลตอ่ ผเู้ รยี นอยา่ งย่ิงส�ำ หรบั การศกึ ษาต่อและการทำ�งานในอนาคต 7. เพ่อื สร้างแรงจงู ใจใหแ้ กผ่ ู้เรยี นให้มคี วามมุ่งม่ันพยายามพัฒนาตนเองให้เตม็ ตามศักยภาพ เตรียมพรอ้ มสำ�หรบั การศึกษาตอ่ และทำ�งานประกอบอาชีพตอ่ ไป หลักการสำ�คญั ของการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา การตดั สนิ ผลการเรยี นรหู้ รือประเมนิ คา่ คุณลกั ษณะของผเู้ รียนไดอ้ ย่างมคี วาม หมาย ครูจะตอ้ งออกแบบการวดั และประเมินผลการศึกษา โดยคำ�นงึ ถึงลกั ษณะของ การวัดและประเมินผลการศกึ ษาท่ีเป็นการวัดทางออ้ ม ประเมนิ ค่าจากข้อมูลบางส่วน ไม่สามารถเก็บขอ้ มลู ได้อยา่ งสมบูรณ์ เป็นการวดั ที่มจี ุดเริม่ ตน้ จากศนู ยส์ มมติ (Arbi- trary Zero) และเปน็ งานเชิงสมั พัทธท์ ต่ี อ้ งเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ รวมทัง้ มีความคลาด เคลื่อนเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งเสมอ หลักการส�ำ คญั ของการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา (Nitko & Brookhart, 2011, p.5) มีดังนี้
12 บทท่ี 1 ความร้พู ืน้ ฐานเกยี่ วกับการวัด และประเมินผลการศึกษา 1. กำ�หนดเป้าหมายการเรียนรู้ท่ตี ้องการวัดและประเมินใหม้ คี วามชัดเจน กอ่ น การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษาครูตอ้ งระบไุ ดช้ ัดเจนจะเก็บรวบรวมข้อมลู ความรู้ (Knowledge) ทกั ษะ (Skill) และการปฏิบตั ิ (Performance) อะไรของผเู้ รียน หรอื เปา้ หมายการเรียนรู้ โดยครูจะตอ้ งกำ�หนดเปา้ หมายการเรียนรู้ใหม้ คี วามชดั เจนและ เฉพาะเจาะจง ซ่งึ จะช่วยใหส้ ามารถเลือกเทคนคิ การวดั และประเมินผลได้อย่างเหมาะ สม 2. เลือกเทคนคิ การวัดและประเมินทส่ี อดคล้องกบั เป้าหมายการเรยี นรูแ้ ตล่ ะ ข้อ อาทิ ตอ้ งการวัดและประเมนิ ผลการแก้ปญั หาทางคณติ ศาสตรข์ องผู้เรยี น ครตู ้อง เลอื กวิธีการวัดและประเมนิ ผลที่สะท้อนการใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ ใกลเ้ คยี งกบั โลกแหง่ ความเปน็ จริงมากท่สี ดุ รวมทั้งการเลอื กใช้เทคนคิ การวัดและ ประเมินตอ้ งมคี วามเป็นไปได้ในทางปฏบิ ตั ิ และมปี ระสทิ ธิภาพที่สุดเทา่ ท่ีจะเปน็ ไปได้ จงึ จะนำ�มาซึ่งผลการประเมนิ ที่มีความหมายกับผู้เรียน 3. เลอื กเทคนิคการวดั และประเมินที่ตอบสนองกบั ความต้องการของผูเ้ รยี น การเลือกใชเ้ ครอ่ื งมือการวัดและประเมนิ ทเ่ี หมาะสมจะสะท้อนตวั อย่างสงิ่ ทีค่ าดหวังให้ เกิดกบั ผู้เรยี นอยา่ งเป็นรูปธรรม เทคนิคการวัดและประเมินผลทีเ่ ลอื กใช้จะต้องชว่ ยให้ ผเู้ รยี นไดร้ ับโอกาสในการประเมนิ ค่าตนเอง โดยเฉพาะการประเมินคา่ เพือ่ ปรบั ปรงุ การ เรียนรขู้ องตนเอง ดังนั้นครคู วรเลอื กวิธีการวัดและประเมนิ ทจี่ ะชว่ ยใหข้ อ้ เสนอแนะท่มี ี ความหมายแกผ่ ้เู รียน และให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับแกผ่ เู้ รยี น การวัดและประเมินผลทีด่ ีก่อให้ เกิดการเรียนรเู้ ช่นกัน 4. ใชต้ วั ชว้ี ดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลายตัวในการวัดและประเมินแตล่ ะเป้า หมายการเรียนรู้ ซ่ึงในการเลอื กเทคนคิ การวัดและประเมนิ จ�ำ เป็นตอ้ งเลือกใหเ้ หมาะ สมและครอบคลมุ กับตวั ชีว้ ัดเหล่านน้ั แต่ละเป้าหมายการเรยี นร้อู าจจะใชว้ ิธีการวัดและ ประเมนิ ผลมากกวา่ สองหรอื สามวธิ ีเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูลให้มีความตรงมากทส่ี ุด
บทท่ี 1 ความรพู้ ้ืนฐานเกี่ยวกบั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา 13 5. สามารถตีความหรอื ชว่ ยผ้เู รยี นตคี วามผลการวดั และประเมนิ ภายใตข้ ้อ จ�ำ กัดของผลการประเมนิ นนั้ ๆ ถึงแม้ว่าการวางแผนการวัดและประเมินได้คำ�นึงถึงสภาพจริงเพื่อให้ผลการ วดั และประเมินมีความหมายท่ีสดุ แลว้ ก็ตาม ในทางปฏบิ ตั ิการเลือกใช้วิธีการวัดและ ประเมินเพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มูลคณุ ลักษณะตา่ ง ๆ จากผเู้ รียน อาทิ การใชแ้ บบทดสอบ หรอื การออกแบบงานกเ็ ป็นเพยี งตัวแทนความรหู้ รอื ตัวแทนการปฏิบัตขิ องผู้เรียน เท่านนั้ ยอ่ มมีความคลาดเคล่อื นเกิดขึน้ ไมม่ ากกน็ ้อย ดงั น้ันการตคี วามผลการวัดและ ประเมนิ จงึ ต้องระมดั ระวงั ภายใต้ข้อจำ�กัดเหลา่ นัน้ บทบาทของการวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา บทบาทสำ�คญั ของการวัดและประเมินผลการศึกษา แบง่ ออกตามช่วงเวลาได้ 3 ชว่ งเวลา ดังน้ ี 1. การวัดและประเมินผลกอ่ นเรียน (Pre Assessment) เป็นการตรวจสอบ และประเมนิ ความรู้ความสามารถที่มอี ยู่เดมิ ของผเู้ รยี นเพ่อื ใหไ้ ดส้ ารสนเทศของผู้เรียน ส�ำ หรับนำ�ไปวางแผนในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ อาจท�ำ ไดส้ องลักษณะ คอื (1) การ วดั และประเมินความพรอ้ มและ พ้ืนฐานของผู้เรียนเพื่อเป็นการตรวจสอบความพรอ้ ม และพ้ืนฐานท่จี ะเรียนเน้ือหาต่อไป (2) การวดั และประเมนิ ความรอบรใู้ นเรื่องทจ่ี ะ เรียนก่อนการเรียน เพอ่ื เปน็ การตรวจสอบว่าผ้เู รยี นมคี วามร้แู ละทกั ษะในเรื่องทีเ่ รียน มากน้อยเพียงไรเพอื่ ใหเ้ ห็นสภาพกอ่ นเรียน 2. การวัดและประเมนิ ผลระหว่างเรียน (Formative Assessment) เปน็ ประเมินผลในชว่ งทก่ี ำ�ลงั ด�ำ เนนิ การเรยี นการสอนในเนอื้ หาต่างๆ ของหลักสตู ร เพ่อื ตรวจสอบพฒั นาการของผู้เรยี นสารสนเทศที่ไดจ้ ากการประเมินจะนำ�ไปปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพรอ่ งของผเู้ รยี น และส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีความรู้และเกิดพฒั นาการสงู สดุ ตาม ศกั ยภาพ และนอกจากน้ยี ังชว่ ยให้ครพู ิจารณาหาจดุ อ่อนการสอนของตนและปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้เหมาะสมตอ่ ไป
14 บทที่ 1 ความรู้พืน้ ฐานเกีย่ วกับการวัด และประเมนิ ผลการศกึ ษา 3. การวดั และประเมนิ ผลหลงั เรยี นหรือการวดั และประเมินผลรวม (Summa- tive Assessment) เป็นการประเมนิ ผลรวบยอดหลงั จากด�ำ เนินการสอนจนจบกล่มุ เน้อื หาท้งั หมดหรือเมื่อผูเ้ รยี นเรยี นจบในรายวชิ านัน้ เชน่ การวัดและประเมินผลกลาง ภาค ปลายภาค หรือปลายปี มจี ุดประสงคส์ �ำ คัญเพอื่ สรปุ ผลการเรียน ภาพท่ี 1.4 เป็นการเปรียบเทียบบทบาทของการวัดและประเมนิ ผลกอ่ น เรียน การวัดและประเมนิ ผลระหว่างเรยี น และการวัดและประเมินผลหลงั เรยี น โดย ใชค้ �ำ ถามน�ำ วัดและประเมนิ ทำ�ไม (Why assess?) วัดและประเมนิ เม่อื ไร (When assess?) วัดและประเมนิ อะไร (What assess?) และวัดและประเมนิ อย่างไร (How assess?) จากภาพดงั กลา่ วแสดงใหเ้ ห็นถึงความเช่ือมโยงของการวัดและประเมินผล ทง้ั สามรูปแบบทม่ี สี ว่ นเสริมเตมิ เต็มซง่ึ กนั และกนั จนกล่าวได้วา่ ท้ายท่ีสุดการวัดและ การประเมินการศึกษาจะมีสว่ นชว่ ยสนบั สนนุ การเรยี นรู้ของผเู้ รียน
บทท่ี 1 ความรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกบั การวัด และประเมนิ ผลการศึกษา 15 ภาพที่ 1.5 การเปรยี บเทยี บบทบาทของการวดั และประเมินผลการศกึ ษา ท่มี า (Gareis & Grant, 2015, p.7)
16 บทที่ 1 ความร้พู ืน้ ฐานเกีย่ วกับการวัด และประเมนิ ผลการศึกษา ข้ันตอนการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา การวดั และประเมินผลการศกึ ษาหรอื ผลการเรยี นร้ขู องผู้เรยี นเปน็ กระบวนการ กำ�หนดค่าเปน็ ตวั เลขอยา่ งมีกฎเกณฑ์เพื่อใชเ้ ป็นตัวแทนความสามารถจากการเรียนรู้ ของผ้เู รยี นเพ่อื นำ�มาใชใ้ นการตัดสนิ คณุ ค่าผลการเรยี นรู้ที่เกิดข้นึ วา่ มคี ณุ คา่ มากนอ้ ย เพียงไร การวัดและประเมินผลใหม้ ปี ระสิทธิภาพควรเริ่มตน้ การด�ำ เนนิ กิจกรรมด้วย การตอบคำ�ถามหลัก 4 ค�ำ ถาม ไดแ้ ก่ (1) วัดและประเมนิ ผลไปทำ�ไม (2) วัดและ ประเมินผลอะไร (3) วดั และประเมินผลอย่างไร และ (4) ตดั สินผลดว้ ยวธิ ีใด การ ตอบค�ำ ถามดงั กลา่ วจะกำ�หนดทิศทางและกรอบของกระบวนการวดั และการประเมิน ให้ดำ�เนินไปอย่างเป็นระบบ ซึง่ สามารถสรุปข้นั ตอนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ได้ 7 ขั้นตอน ดังนี้ (ศริ ชิ ัย กาญจนวาส,ี 2543, หน้า 56-60) ตารางที่ 1.1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งแนวคิดพ้ืนฐานและข้นั ตอนสำ�คัญของการวัดและประเมิน
บทที่ 1 ความรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกับการวดั และประเมินผลการศึกษา 17 จากตารางอธิบายขน้ั ตอนการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามล�ำ ดบั ขน้ั ได้ ดงั น้ี 1. กำ�หนดจดุ ม่งุ หมายของการวดั และประเมนิ ข้ันตอนแรกของการวัดและประเมินผลการเรยี นรขู้ องผู้เรียนคือการก�ำ หนดจุด มุ่งหมายของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ โดยพิจารณาว่าตอ้ งการจดั ตำ�แหนง่ วินจิ ฉัย ดพู ัฒนาการ พยากรณ์ หรือรกั ษามาตรฐาน และประเมนิ เพ่ือตดั สินผลการ เรยี นหรือปรบั ปรงุ การเรียนการสอน ซงึ่ คำ�ถามเหลา่ นี้จะช่วยให้ผู้ประเมนิ ทราบเป้า หมายของการวัดและทิศทางการวดั และประเมินไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 2. วเิ คราะหเ์ ป้าหมายของการเรียนร้ทู ่ตี ้องการให้เกิดขนึ้ ผ้ปู ระเมินจะตอ้ งศกึ ษาท�ำ ความเขา้ ใจเปา้ หมายของการเรียนรู้หรอื ผลการเรียน รู้ทคี่ าดหวงั และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ และเนอื้ หา และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือเป็นแนวทางในการสร้างเครอ่ื งมือ 3. สร้างเครอื่ งมือ การสรา้ งเครอ่ื งมือเพื่อวดั ผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนมีขัน้ ตอนที่ควรด�ำ เนนิ การ ไดแ้ ก่ ออกแบบการสร้าง ลงมือสร้าง ทดลองใช้ และตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่ือง มือ 4. เก็บรวบรวมขอ้ มลู กระบวนการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเพ่ือประเมนิ ผลการเรียนรูข้ องผเู้ รยี นนั้นต้อง ยดึ ถอื หลักการว่า ผู้เรยี นทกุ คนจะต้องได้รบั ความยุติธรรมเทา่ กันในการแสดงความ สามารถจากการเรียนร้ตู ามทเี่ คร่อื งมือตอ้ งการวัด น่ันคือ ผ้ปู ระเมินจะต้องจัดส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ เช่น สถานที่ แสงสว่าง เสยี ง กลิ่น การถา่ ยเทอากาศ และ สิ่งแวดลอ้ มทางจติ วทิ ยา เชน่ บรรยากาศท่ีไม่สรา้ งความเครียด ความวติ กกังวล เป็นตน้ ใหส้ ิ่งแวดลอ้ มดังกล่าวสง่ เสริมให้ผูเ้ รียนแสดงความสามารถทม่ี อี ยู่ใหเ้ ต็มตาม ศักยภาพ
18 บทที่ 1 ความร้พู ืน้ ฐานเก่ยี วกับการวัด และประเมนิ ผลการศึกษา 5. วเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้ประเมนิ สามารถนำ�ข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการวดั มาเรยี งล�ำ ดบั หรือค�ำ นวณสถติ พิ น้ื ฐาน เช่น คา่ เฉล่ีย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน รูปทรงการแจกแจง เปน็ ตน้ ค่าสถิตติ า่ ง ๆ จะชว่ ยใหผ้ ปู้ ระเมนิ เกดิ ความเขา้ ใจในผลการเรยี นร้โู ดยทั่วไปของผเู้ รยี น 6. ตัดสนิ คณุ คา่ ของผลการเรยี นรู้ ผลการวดั จะไรค้ วามหมายหากไม่มีการเปรียบเทียบกบั สิง่ ใดส่ิงหน่งึ ซ่งึ ขน้ึ อยู่ กบั วา่ ผ้ปู ระเมนิ ต้องการแปลความหมายแบบองิ กลุม่ หรอื อิงเกณฑ์ ซึ่งจะกลา่ วราย ละเอียดต่อไป 7. รายงานและน�ำ ผลไปใชใ้ นการพัฒนาและปรบั ปรงุ ผลการเรียนรู้ ข้ันตอนสดุ ทา้ ยเป็นการรายงานและน�ำ ผลการประเมนิ ไปใชใ้ นการพฒั นาและปรบั ปรุง ผลการเรียนรู้ ซ่งึ ผลการประเมนิ จะเป็นท้ังสารสนเทศสำ�หรับผู้เรียนในการพฒั นา ปรับปรุงการเรยี นร้ขู องตนเอง และในขณะเดยี วกันกเ็ ปน็ สารสนเทศให้ผสู้ อนในการ พัฒนาและปรับปรงุ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพยิ่งขน้ึ ประโยชนข์ องการวัดและการประเมนิ ผลการศกึ ษา สารสนเทศจากการประเมินผลการศกึ ษาเป็นข้อมูลท่ีมปี ระโยชนต์ อ่ บคุ คล หลายฝา่ ยท่ีมหี น้าทแ่ี ละความรับผดิ ชอบต่อกัน สรุปไดด้ ังนี้ (ปน่ิ วดี ธนธานี, 2549, หนา้ 2; ศริ ิเดช สุชีวะ, 2546, หนา้ 60-61; ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ, 2539, หน้า 29; ยรรยง ยรรยงเมธ, มปพ., หนา้ 17-19) 1. ผเู้ รยี น การวัดและประเมินผลจะช่วยให้ผู้เรียนทราบความกา้ วหน้าและผลของการ เรียนรู้ทั้งส่วนย่อยและส่วนรวม เพือ่ เป็นขอ้ มลู ในการปรับปรงุ แก้ไข สง่ เสริม และ พฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รยี นใหป้ ระสบความสำ�เรจ็ สงู สุด นอกจากนกี้ ารประเมนิ ผลยัง ช่วยให้ผเู้ รียนมีเปา้ หมายในการเรียน และช่วยสรา้ งแรงจงู ใจให้ผเู้ รยี นด้วย
บทท่ี 1 ความรูพ้ ้ืนฐานเกี่ยวกบั การวัด และประเมนิ ผลการศึกษา 19 2. ครูผ้สู อน การวัดและประเมนิ ผลจะชว่ ยให้ครรู ู้จกั ผเู้ รยี นและเขา้ ใจผเู้ รียนไดด้ ี ท�ำ ให้ ทราบจุดออ่ นทตี่ ้องแกไ้ ขและซ่อมเสริมให้ผเู้ รยี น นอกจากนยี้ งั ชว่ ยใหค้ รูสามารถ พิจารณาข้อบกพร่องดา้ นการสอน ท�ำ ให้มแี นวทางในการปรบั ปรุงเพือ่ เพ่มิ พนู ประสิทธิภาพการสอนของตนเอง โดยอาจจะน�ำ ข้อมลู ที่ไดจ้ ากการวดั ผลประเมนิ ผล การศกึ ษามาท�ำ การวจิ ัยเพือ่ ใหไ้ ด้แนวทางปฏบิ ตั ิที่ถกู ต้องยง่ิ ขนึ้ 3. ครปู ระจ�ำ ช้นั และครแู นะแนว การวดั และประเมินผลจะช่วยใหค้ รูมขี อ้ มูลส�ำ หรับการพิจารณาการท�ำ ความ เขา้ ใจผู้เรยี นไดเ้ ป็นรายคน ซ่ึงช่วยใหค้ รูสามารถแนะแนวเกี่ยวกบั การเลือกโปรแกรม การเรยี น การเขา้ กลุ่มกจิ กรรมพิเศษ ตลอดจนการตดั สนิ ใจเกย่ี วกบั อนาคตของ นักเรยี น 4. ผ้บู ริหาร การวัดและประเมนิ ผลจะเปน็ ขอ้ มลู ใหผ้ บู้ ริหารพิจารณาประสิทธิภาพของการ จัดการตลอดท้ังระบบว่ามีจดุ บกพรอ่ งตรงไหน เช่น คณุ ภาพของครู ความเหมาะสม ของหลกั สตู ร ประสิทธภิ าพของการสอน ระบบการนิเทศติดตามผล และคณุ ภาพ ของนกั เรยี น เปน็ ตน้ ซ่ึงข้อมูลเหล่านลี้ ้วนมีประโยชนต์ ่อการปรบั ปรุงระบบการ บริหาร และการวางแผนในคราวตอ่ ไป 5. ผ้ปู กครอง การวดั และประเมนิ ผลจะช่วยให้ผปู้ กครองทราบวา่ ผเู้ รยี นมคี วามก้าวหนา้ และ มผี ลการเรียนร้มู ากนอ้ ยเพียงใด มีจุดเด่น-จดุ ดอ้ ยเรือ่ งใด ควรจะเอาใจใสใ่ หค้ วามช่วย เหลอื ร่วมกบั ทางโรงเรียนอยา่ งไร นอกจากน้ียงั เปน็ ขอ้ มลู ทชี่ ว่ ยตัดสนิ ใจในการส่งเสรมิ การศึกษาตอ่ และการเลอื กอาชีพของบุตรหลานดว้ ย
20 บทท่ี 1 ความรู้พื้นฐานเก่ยี วกับการวดั และประเมินผลการศกึ ษา มาตรฐานการวดั และประเมนิ ส�ำ หรับครู ในปี ค.ศ. 1990 the American Federation of Teachers, the National education Council on Measurement in Education และ the National Edu- cation Association (1990) ไดต้ พี มิ พ์ชดุ ของมาตรฐานสมรรถะการประเมนิ การ ศกึ ษาของครู มาตรฐานดงั กล่าวสรา้ งใหค้ รูมคี วามเป็นมอื อาชพี โดยระบขุ อบเขต ของความรู้หรอื ทักษะการวดั และประเมินไว้ดว้ ยกัน 7 ด้าน (McMillain, 2011, p.23; AFT, NCME, & NEA, 1990; Brookhart, 2011) ดงั นี้ 1. เลอื กใชว้ ธิ กี ารประเมนิ ได้เหมาะสมกับการใชป้ ระโยชนผ์ ลการประเมินใน การตดั สินใจทางการสอน 2. พฒั นาวธิ กี ารประเมินไดเ้ หมาะสมกบั การใช้ประโยชนผ์ ลการประเมนิ ในการ ตัดสินใจทางการสอน 3. บรหิ ารจดั การ การใหค้ ะแนน และการแปลความหมายของผลผลิตทั้งทเี่ กดิ จากการประเมนิ ของครูและจากหน่วยงานภายนอก 4. การใช้ผลการประเมนิ เพอ่ื การตัดสนิ ใจปรบั ปรุงพัฒนาผูเ้ รยี นรายบุคคล การ วางแผนการเรยี นการสอน การพัฒนาหลักสตู ร และการใหข้ อ้ เสนอแนะในการปรับปรุง โรงเรียน 5. พัฒนากระบวนการให้ระดับคะแนนที่มคี วามตรง 6. ส่อื สารผลการประเมนิ กบั ผู้เรียน พ่อแม่ นักการศึกษา และผูเ้ กี่ยวขอ้ ง 7. ตระหนกั ถงึ การใช้สารสนเทศในการประเมินและวธิ ีการประเมนิ ทไี่ ม่เหมาะ สม ผิดจรรยาบรรณ ผิดกฎหมาย คุณธรรมของนกั วัดและประเมินผลการศึกษา นกั วัดและประเมนิ ผลการศึกษามีความส�ำ คัญมาก เน่ืองจากมบี ทบาทในการ ตดั สนิ คุณค่าผลการเรียนรู้ของผู้เรยี น บางการสอบเปน็ เสมือนการตัดสินชวี ิตของคน อาทิ การสอบเขา้ ศึกษาต่อ การสอบเขา้ ทำ�งาน เปน็ ต้น
บทท่ี 1 ความร้พู นื้ ฐานเก่ียวกับการวัด และประเมนิ ผลการศกึ ษา 21 บ่อยคร้งั ท่ีมกั จะทราบขา่ วว่า กรรมการบอกข้อสอบแก่ผูเ้ ขา้ สอบ โดยเฉพาะการสอบ คดั เลอื ก การโกงการตรวจคะแนน การน�ำ แบบทดสอบไปขาย หรอื ทำ�แบบทดสอบ หาย เป็นต้น พฤตกิ รรมเช่นนเี้ กดิ ข้นึ เพราะผูท้ ำ�การวดั และประเมนิ ผลการศึกษาขาด คณุ ธรรมคณุ ธรรมของนักวัดและประเมินผลการศึกษา จงึ ถือเป็นเร่อื งส�ำ คัญอยา่ งยงิ่ ผ้ทู ่จี ะทำ�การวัดและประเมนิ ผลการศึกษาควรมคี ุณลักษณะดงั น้ี (สมนึก ภทั ทยิ ธนี, 2546, หนา้ 10) 1. มคี วามซ่ือสัตย์สุจริต คอื เป็นผู้มจี ิตใจบรสิ ุทธ์ติ อ่ งานวดั ผล ไมค่ ดโกงไมเ่ หน็ แก่ สินจา้ งรางวลั ไม่เห็นแกท่ รัพย์สนิ เงนิ ทอง เชน่ ไม่นำ�แบบทดสอบไปขายหรอื คดั ลอกขอ้ สอบออกไปจากหอ้ งสอบ หรือแก้คะแนนในระเบยี นบันทึกคะแนน 2. มีความยุตธิ รรม คอื ใหค้ วามยตุ ิธรรมแกผ่ ู้ไดร้ บั การวดั ผลทุกคน เชน่ การ ตรวจให้คะแนนต้องไม่มคี วามลำ�เอียงสำ�หรับนักเรยี นบางคน หรอื ไม่ใช้อารมณใ์ นการ ตรวจให้คะแนนในการท�ำ งานดา้ นวดั ผลน้ีตอ้ งใชเ้ ทคนิคการวดั ผลอยา่ งถกู วิธแี ละมี ความเปน็ ธรรมแก่นกั เรียนทุกคน 3. มคี วามขยนั และอดทน คอื งานด้านการวัดผลมักจะกระทำ�ในช่วงส้นั ๆ หรอื ต้องท�ำ การวัดผลอย่างสม�ำ่ เสมอตลอดเวลา ดงั นั้น ต้องทำ�ด้วยความขยนั อดทน มี ความมมุ านะไมเ่ ฉ่อื ยชา บางครง้ั ครเู กิดความเบือ่ หน่ายไมไ่ ด้ท�ำ การวดั ผลตามทร่ี ะบไุ ว้ ในระเบยี บการประเมินผล 4. มีความละเอียดถถี่ ้วนและรอบคอบ คือ งานด้านอืน่ ๆ บางอย่างหากทำ�ผดิ พลาด อาจจะมีการแกไ้ ขได้ แตง่ านด้านวัดผลตอ้ งมีความละเอยี ดถถี่ ว้ น ตอ้ งใช้ความ สขุ ุมรอบคอบ เพราะถ้าเกดิ ความผดิ พลาดจะเกดิ ปญั หาตามมามากมาย เชน่ การเต รียมแบบทดสอบ การบรรจุซอง การกรอกคะแนน การตัดสินผล เป็นตน้ สิง่ เหล่านี้ ต้องทำ�ดว้ ยความระมัดระวงั และเรยี บร้อย
22 บทท่ี 1 ความรูพ้ ้นื ฐานเกยี่ วกับการวัด และประเมินผลการศึกษา 6. ตรงตอ่ เวลา คอื ทำ�งานด้านวัดผลให้เสรจ็ เรยี บร้อยตามเวลาทก่ี ำ�หนด เชน่ การนดั หมายส่งตน้ ฉบับข้อสอบ การส่งคะแนน การนัดวนั เวลาสอบนกั เรียนอย่างมี หลกั เกณฑ์ มกี ารวางแผนล่วงหนา้ และทำ�งานอย่างมีระบบ 7. สนใจเทคนิคการวัดผลอยา่ งสมำ่�เสมอ คือ เม่อื มงี านดา้ นวัดผล พยายาม ใชเ้ ทคนิคการวดั ผลอย่างเหมาะสมในเชิงวชิ าการ มใิ ช่พยายามทำ�เพอ่ื ใหง้ านเสร็จตาม ก�ำ หนดเพยี งอย่างเดยี วหรือทำ�แบบ “สุกเอาเผากิน” ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา การวดั และประเมินผลที่ใชใ่ นสถานศกึ ษามีท้งั การวดั ด้านกายภาพศาสตรแ์ ละ การวัดทางสงั คมศาสตร์ผ้สู อนจึงตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาตขิ องการวัดผลทงั้ 2 ประเภทเปน็ อย่างดีไม่เช่นน้ันการแปลความหมายอาจเกิดความสบั สนกนั ไดเ้ พราะถ้าเปน็ การวัด ทางด้านสงั คมศาสตรอ์ าจแปลความหมายไม่ชัดเจนและแนน่ อนเหมือนการวดั ทางดา้ น กายภาพศาสตรก์ ารวดั จำ�เปน็ ต้องมกี ารตรวจวัดหลาย ๆ ด้านและหลาย ๆ คร้ังเพอ่ื ให้ไดผ้ ลทนี่ ่าเช่ือถอื ยิ่งขึ้นการวดั และประเมนิ ผลทางการศกึ ษามีลักษณะทส่ี �ำ คญั 5 ประการ ดังน้ี 1. การวดั ผลการศึกษาเป็นการวดั ทางออ้ ม (Indirect Measurement) คุณลกั ษณะท่ตี รวจวัดในทางการศกึ ษาเช่นผลสัมฤทธิท์ างการเรียนสติปญั ญาความ ถนัดความสนใจบคุ ลิกภาพเจตคตขิ องผเู้ รยี นนนั้ มลี ักษณะเป็นสภาพทางจิตวทิ ยาใน ตวั นักเรยี นเปน็ นามธรรมท่ีไม่สามารถวดั ได้โดยตรงเพราะไม่สามารถสงั เกตเห็นหรือ สมั ผสั ไดว้ ิธีการตรวจวัดจงึ เร่ิมโดยการแปลงคณุ ลกั ษณะนัน้ ออกมาเปน็ พฤติกรรมท่ีวัด ไดส้ ังเกตไดจ้ ากน้ันจึงใช้เครือ่ งมอื เป็นเรื่งเร้าแกผ่ เู้ รียนเพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนตอบสนองโดยแสดง พฤติกรรมตา่ ง ๆ ออกมาผสู้ อนจงึ สามารถตรวจวัดพฤติกรรมนัน้ ๆ ได้ในเชงิ ปริมาณ หรอื เชิงคณุ ภาพแล้วแต่กรณผี ลทีไ่ ด้ผสู้ อนจะน่าไปอ้างองสรุปกลับไปยงั คณุ ลกั ษณะที่ ประสงค์จะตรวจสอบนนั้ อีกครั้งเราจงึ กล่าววา่ การวดั ผลการศึกษาเป็นการวดั ทางอ้อม
บทที่ 1 ความร้พู ้นื ฐานเกยี่ วกบั การวัด และประเมนิ ผลการศึกษา 23 2. การวัดผลการศึกษาเป็นการวดั ที่ไมส่ มบรู ณ์ (Imperfect Measurement) การจดั การเรียนการสอนในชั้นเรียนเป็นการจัดตามเนอ้ื หาและจดุ มงุ่ หมายที่กำ�หนด ไว้ในหลกั สตู รระดบั ชน้ั ตา่ ง ๆ เนื้อหาและพฤตกิ รรมที่ตอ้ งการใหเ้ กดิ ขนึ้ แก่นักเรยี นจะ มีอยมู่ ากมายซงึ่ ผู้ทีฬาหน้าทีว่ ดั ผลและประเมินผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนคงไมส่ ามารถ ตรวจวดั หรอื ทดสอบใหค้ รอบคลมุ หรือครบถ้วนในทุกประเดน็ ของเน้อื หาและพก พฤติกรรมที่ต้องการใหเ้ กิดขน้ึ เนอ่ื งจากขอ้ จำ�กัดของเวลางบประมาณค่าใช้จ่ายและ สภาพการณท์ ่เี ปน็ จริงในทางปฏบิ ตั นิ ั้นครจู ะเลอื กข้อสอบบางข้อท่เี ปน็ ตัวแทนของ เนอ้ื หาและจุดมงุ่ หมายดงั นนั้ การวดั ผลการศึกษาจึงเป็นการวดั ทไี่ มส่ มบูรณไ์ ม่ครบถว้ น ทง้ั หมด 3. การวัดผลการศึกษาเปน็ การวดั เชงิ ปริมาณและการประเมนิ ผลแสดงเชิง คณุ ภาพในกระบวนการของการวัดผลทใ่ี ชเ้ ครอ่ื งมอื เพ่อื ตรวจวัดคณุ ลักษณะท่ตี ้องการ จะแสดงผลในรปู ของจำ�นวนหรือตัวเลขโดยเฉพาะการวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นที่ครู นยิ มใช่แบบทดสอบเป็นเครื่องมอื หลักในการวัดผลท่ไี ด้คอื คะแนน (Score) จากแบบ ทดสอบรวมกับคะแนนจากการวดั ครัง้ ก่อน ๆ เพอ่ื ใช้เป็นขอ้ มลู ในการประเมินผลซึง่ ผล การประเมินจะแสดงในเชิงคณุ ภาพเชน่ ผา่ นไม่ผา่ นหรอื ประเมนิ เป็นระดบั คะแนน A B C D E (ได้มากปานกลางควรปรบั ปรงุ ตอ้ งแกไ้ ข) 4. การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดเชงิ สัมพนั ธ์ (Relative Measurement) จาน วนหรือตัวเลขที่ไดจ้ ากการวตั ผลทเ่ี รยี กวา่ คะแนน (Score) นน้ั มีระดบั การวดั ไดส้ ูงสดุ ในมาตราอนั ตรภาค (Interval Scale) เทา่ นั้นซงึ่ เป็นมาตรการที่ไมม่ ีศนู ย์แท้ (Non absolute Zero) หมายความว่าเลข 0 ในการวดั ผลการศกึ ษาไมไ่ ดม้ ีความหมายวา่ ไมม่ ี คณุ ลักษณะที่วดั เน่อื งจากเครือ่ งมือทใ่ี ช้วัดผลไม่สามารถจะวัตลงไปได้ครบถว้ นจนถึง จดุ ทเ่ี ปน็ ศนู ย์แทจ้ รงิ เปน็ ผ้เู รยี นทีส่ อบได้คะแนนจากการทดสอบดว้ ยแบบทดสอบฉบับ หนงึ่ ไมไ่ ด้หมายความวา่ ผเู้ รียนไม่ไดม้ คี วามร้คู วามเข้าใจในเน้อื หาทเี่ รยี นไปเลยบอกได้ เพยี งวา่ นักเรยี นผนู้ ี้ทาขอ้ สอบไมถ่ กู เลยแมแ้ ตข่ อ้ เดยี ว
24 บทที่ 1 ความร้พู ื้นฐานเกี่ยวกับการวัด และประเมนิ ผลการศกึ ษา เพราะแบบทดสอบที่ใชว้ ัดผลไมส่ ามารถจะบรรจเุ นอ้ื หาทั้งหมดทุกแต่ใชต้ วั อย่างของ เน้ือหาและพฤติกรรมมาสอบวัดเท่านั้นดังน้ันในการจะแปลความหมายของผลการวดั ทางการศกึ ษาจึงตอ้ งค�ำ นึงถึงความสมั พันธ์ระหว่างคะแนนทไี่ ด้กับเกณฑใ์ ดเกณฑ์หน่งึ 5. การวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษาเปน็ กระบวนการทม่ี ีความคลาดเคลอ่ื น (Error of Measurement) การวดั ผลทางการศกึ ษาเป็นการวัดดา้ นจติ วทิ ยาซง่ึ มี ตวั แปรทเี่ ขา้ มาเก่ียวขอ้ งมากโอกาสทจ่ี ะเกิดความคลาดเคลือ่ น (Error) หรอื ความผดิ พลาดซึง่ มอี ยูส่ ูงเน่ืองจากผดู้ ำ�เนินการวัดผลไม่สามารถควบคมุ ตวั แปรตา่ ง ๆ ไดค้ รบ ถ้วนดงั นั้นคะแนนทไ่ี ด้จากการวดั (Obtained Score) จะเป็นผลรวมของคะแนน 2 ส่วนคอื คะแนนท่ีแทจ้ รงิ (True Score) กบั คะแนนท่คี ลาดเคล่ือน (Error) โดยคะแนน ทีค่ ลาดเคลือ่ นนี้อาจเป็นไปในทางบวกหรอื ทางลบก็ได้ (นางมลวิ ัลย์ ผวิ คราม,2547)
บทที่ 2 เปา้ หมายคุณภาพผเู้ รียน 25 บทที่ 2 เป้าหมายคุณภาพผู้เรยี น
26 บทท่ี 2 เปา้ หมายคณุ ภาพผเู้ รยี น บทที่ 2 เป้าหมายคุณภาพผู้เรียน เปา้ หมายคุณภาพผ้เู รียน การจดั การศกึ ษาระดับการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ได้แบ่งการศึกษาเป็น 3 ระดับ ไดแ้ ก่ 1. ระดับประถมศกึ ษา (ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 1-6) เปน็ ระดบั การศึกษาทม่ี ุง่ เนน้ ทกั ษะพน้ื ฐานดา้ นการอ่านการเขยี น การคิดคำ�นวณ การคิดพ้ืนฐาน การตดิ ตอ่ ส่ือสาร กระบวนการเรยี นรทู้ างสังคม และพนื้ ฐานความเป็นมนษุ ย์ การพฒั นาคณุ ภาพ ชวี ิตอยา่ งสมบรู ณแ์ ละสมดลุ ท้งั ดา้ นร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สงั คม และวฒั นธรรม โดยเนน้ จัดการเรยี นรู้แบบบูรณาการ 2. ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ (ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1-3) เป็นระดบั การศกึ ษา ที่มุง่ เนน้ ให้ผูเ้ รยี นไดส้ ำ�รวจความถนดั และความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนา บคุ ลกิ ภาพสว่ นตนมที กั ษะในการคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ คดิ สรา้ งสรรค์ และคดิ แก้ ปญั หา มีทกั ษะในการด�ำ รงชวี ิต 3. มีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพ่ือเป็นเครือ่ งมอื ในการเรยี นรู้ มคี วามรับผดิ ชอบ ต่อสงั คม มคี วามสมดลุ ท้งั ด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมคี วามภมู ิใจในความ เปน็ ไทย ตลอดจนใชเ้ ปน็ พน้ื ฐานในการประกอบอาชพี หรือการศึกษาต่อ 4. ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย (ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4-6) เป็นระดับการศึกษา ทีม่ ุ่งเนน้ การเพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะดา้ น สนองตอบความสามารถ ความถนดั และความสนใจของผเู้ รยี นแตล่ ะคน ทงั้ ด้านวชิ าการ และวชิ าชีพ มีทกั ษะ มที ักษะ ในการใชว้ ิทยาการและเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการคดิ ขัน้ สูง สามารถน�ำ ความรูไ้ ป ประยุกต์ใช้ให้เกดิ ประโยชน์ในการศกึ ษาต่อ และการประกอบอาชพี มงุ่ พฒั นาตนและ ประเทศตามบทบาทของตน สามารถเป็นผู้นำ� และผูใ้ ห้บริการชุมชนในดา้ นตา่ ง ๆ
บทท่ี 2 เปา้ หมายคุณภาพผู้เรียน 27 หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไดก้ �ำ หนดเปา้ หมาย คุณภาพผู้เรียนไวใ้ นรูปของ วสิ ัยทัศน์ จดุ มุ่งหมาย สมรรถนะส�ำ คญั ของผ้เู รยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ และ มาตรฐานการเรยี นรู้ ซงึ่ เป็นกรอบภาพรวมของการ พฒั นาคณุ ภาพของผู้เรียน แต่ละกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ในหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษา ขั้นพน้ื ฐานฯ ได้ก�ำ หนด องคค์ วามรู้ ทกั ษะส�ำ คัญและคณุ ลกั ษณะที่ส�ำ คัญ ทเี่ ป็นจุดเน้นในการพฒั นาผู้ เรียน ดงั นี้ ภาพท่ี 2.2 จดุ เนน้ ในการพฒั นาผเู้ รียนแต่ละกล่มุ สาระการเรียนรู้
28 บทท่ี 2 เป้าหมายคุณภาพผู้เรยี น พฤตกิ รรมการศกึ ษาในมาตรฐานการเรยี นรู้ การกำ�หนดเป้าหมายการศึกษาในลกั ษณะของมาตรฐานการเรียนรู้ และตัว ชีว้ ดั คุณภาพผเู้ รียนนั้น จะน�ำ สูก่ ารสอนผู้สอนจะต้องแปลงตวั ช้ีวดั ให้อย่ใู นรปู จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งตอ้ งแสดงพฤติกรรมทมี่ งุ่ หวงั ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รียนที่ชัดเจน บลูม (Benjamin S. Bloom) และคณะ ได้รวบรวมและจำ�แนกพฤติกรรมทางการศึกษาที่ จะน�ำ มากำ�หนดเป็นเปา้ หมายการศึกษาใหเ้ ปน็ หมวดหมู่ ผลงานของบลมู และคณะได้ พิมพเ์ ปน็ หนงั สือเผยแพร่เม่อื ปี ค.ศ. 1956 โดยจำ�แนกเปา้ หมายการศกึ ษาออกเปน็ 3 หมวดหมู่ ดังนี้ (Bloom, Madaus & Hasting, 1981, p.10) 1. พทุ ธพิ ิสัย (Cognitive Domain) เปน็ พฤติกรรมทางสมอง หรือพฤติกรรม ทางปัญญา ซงึ่ จะพัฒนาขึ้นหลังจากที่บุคคลได้เรยี นรหู้ รอื มีประสบการณจ์ ากการเรียนรู้ 2. จติ พิสัย (Affective Domain) เปน็ พฤตกิ รรมดา้ นจติ ใจ เช่น ความสนใจ ความรบั ผดิ ชอบ เจตคติ การปรับตวั ในสถานการณต์ า่ ง ๆ การยอมรบั กฏเกณฑ์ของ สังคม กล่าวไดว้ ่าพฤตกิ รรมดา้ นนเ้ี ป็นพน้ื ฐานการเกิดบคุ ลิกภาพของบุคคล หรือเปน็ สง่ิ ทส่ี ร้างลกั ษณะนิสยั ของคนนน่ั เอง 3. ทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain) เปน็ พฤติกรรมด้านการปฏบิ ตั ิ (Doing) ซ่ึงเกิดขึน้ จากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกลไกของกล้ามเนื้อทีท่ ำ�งานสมั พันธก์ บั จิตใจ แตท่ ้งั น้ียอ่ มสบื เนือ่ งมาจากการมีพฤตกิ รรมด้านปัญญาพรอ้ มแล้ว พฤติกรรม ด้านน้ีมคี วามส�ำ คญั เพราะจะเปน็ การแสดงว่าบุคคลมีความสามารถ และพรอ้ มท่ีจะ ปฏบิ ตั ิงานหรอื กิจกรรมเพอื่ การดำ�รงชีวติ ต่อไป ระดับของจุดมุ่งหมายการศกึ ษา เปา้ หมายคุณภาพผู้เรยี นหรือเป้าหมายการศึกษาเปน็ จดุ มุง่ หมายปลายทาง ของการจัดการเรียนการสอน ผูส้ อนจะต้องก�ำ หนดเป้าหมายการศึกษาในรูปของจุด ประสงค์การเรยี นรู้เพื่อเป็นแนวทางการจดั กิจกรรมการสอนส�ำ หรับผู้สอน ระดับตั้งแต่ ระดบั หลกั สูตรจนถึงระดบั การเรยี นการสอน ดังนี้
บทท่ี 2 เป้าหมายคณุ ภาพผเู้ รยี น 29 ภาพท่ี 2.6 ระดับจดุ มุ่งหมายการศึกษา จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives) เปน็ จดุ มุ่งหมายของการ เรียนการสอน หมายถึง จดุ มุ่งหวงั หรอื จดุ คาดหวงั ทตี่ ้องการให้ผู้เรียนเปลย่ี นแปลง พฤตกิ รรมในลักษณะท่กี วา้ งสุดจนกระทั่งสังเกตได้ จงึ ไดม้ กี ารก�ำ หนดจดุ ประสงคท์ ่ี ชดั เจนข้นึ ซงึ่ เราเรียกวา่ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ตรงกับคำ�วา่ Behavioral Ob- jective หมายถึงจดุ ประสงค์ของการเรยี น (การสอน) ทีเ่ ขียนในลกั ษณะคาดหวังถึง พฤตกิ รรมท่ผี ู้เรยี นสามารถกระทำ�ไดห้ รือแสดงออกได้ ภายหลงั จากผ่านกิจกรรมการ เรียนการสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังน้ันพฤติกรรมทีร่ ะบุในจุดประสงคช์ นดิ นีจ้ ึงเป็น ส่งิ ท่ีตอ้ งสงั เกตได้หรือวัดได้ภายหลังจากสิน้ สดุ การเรียนการสอน หรอื อาจจะใช้เวลา สังเกตบา้ งแต่ไม่นานเกินไป จุดประสงค์ชนิดน้ีจงึ ต่างกับจดุ ประสงคท์ ่วั ไป (General Objective) ซ่งึ โดยทว่ั ไปแลว้ จดุ ประสงค์ของการเรียนรู้จ�ำ แนกออกเป็น 2 ชนิด (ป่ินวดี ธนธานี, 2549, หน้า 23-24) คอื 1. จุดประสงคท์ ่วั ไป (General Objectives) เป็นประโยคท่ีคาดหวัง พฤติกรรมของผเู้ รียนในเปา้ หมายโดยรวม จึงใชค้ ำ�กรยิ าท่ีมีความหมายกว้าง หรอื มี ความหมายคลมุ เครอื แสดงถึงพฤตกิ รรมภายในทยี่ ังสงั เกตและวดั ตรงๆ ไม่ได้
30 บทท่ี 2 เป้าหมายคุณภาพผู้เรยี น ตัวอย่างค�ำ กรยิ า ด้านพุทธิพิสัย เชน่ รู้ มคี วามรู้ เขา้ ใจ แก้ปัญหา วิเคราะห์ คาดคะเน เป็นตน้ ตวั อย่าง กรยิ าด้านจติ พิสยั เชน่ มีความสุข มีความสนุกสนาน เห็นความ ส�ำ คัญ เห็นคณุ คา่ ตระหนัก ภมู ใิ จ ซาบซึง้ พอใจ สนใจ มีจิตส�ำ นกึ รบั ผิดชอบ เปน็ ตน้ ตวั อย่างกรยิ าดา้ นทักษะพิสัย เช่น นำ�ไปใช้ ปฏิบัตกิ าร กระท�ำ ทดลอง ป้องกันรกั ษา เปน็ ต้น จุดประสงค์ ชนดิ นม้ี ชี ่ือเรียกอกี อย่างวา่ จุดประสงคป์ ลายทาง (Terminal Objectives) สงั เกตไดจ้ ากจุดประสงค์ของหนว่ ยการเรียน จุดประสงค์ ของวิชา หรอื จุดประสงค์กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ซึ่งในปจั จบุ ันเรยี กวา่ มาตรฐานการ เรียนรู้ ซึ่งมีตวั อยา่ งดงั น้ี (สำ�นักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำ�นกั งานคณะ กรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐานกระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551ก, หนา้ 2) 2. จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม (Behavioral Objectives) เป็นประโยคที่คาด หวงั พฤติกรรมของผเู้ รยี นในเปา้ หมายที่เฉพาะเจาะจง ใช้ค�ำ กรยิ าทีม่ ีความหมายชัด เรียกว่าพฤติกรรมภายนอกซ่ึงเป็นตัวบง่ ช้ีของพฤตกิ รรมภายใน สงั เกตได้ง่ายและวัด ง่ายโดยเฉพาะสามารถวัดได้ทนั ทีหลงั จากกิจกรรมการเรียนจบลง หรือสามารถวัดได้ ในห้องเรยี น ตวั อย่างค�ำ กรยิ าทน่ี ำ�มาใชเ้ ขยี นจดุ ประสงค์ เช่น บอก อธิบาย เล่า สรปุ เขยี น แปลความหมาย ใหน้ ยิ าม ตดั สนิ สาธติ ประดิษฐ์ รอ้ ง ร�ำ พิมพ์ วาด เปน็ ต้น จดุ ประสงคช์ นดิ นอ้ี าจจะเรยี กชอ่ื อกี อย่างวา่ จดุ ประสงค์นำ�ทาง (Enroute Objectives) จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมเปน็ จดุ ประสงค์ของเน้อื หาทีเ่ ตรียมไว้เพอื่ การ สอน หรือปจั จุบนั เรียกวา่ ตัวชีว้ ดั
บทท่ี 3 วิธกี ารและเคร่อื งมือที่ใช้ในการวดั ผลการศกึ ษา 31 บทที่ 3 วธิ ีการและเครอ่ื งมือ ทใี่ ช้ในการวดั ผลการศกึ ษา
32 บทท่ี 3 วธิ กี ารและเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวดั ผลการศกึ ษา บทท่ี 3 วิธีการและเครอ่ื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวัดผลการศกึ ษา การวัดผลการศึกษา ไมว่ า่ จะเปน็ พฤติกรรมการศึกษาด้านพทุ ธพิ สิ ยั จติ พิสัย หรอื ทกั ษะพิสยั มีลักษณะเป็นการวัดทางอ้อมและวดั เฉพาะพฤติกรรมสว่ นหน่งึ เพ่ือสรปุ อ้างอิงถึงพฤตกิ รรมส่วนรวม ดังน้ันจงึ มปี ัญหาเรื่องเคร่อื งมือวดั คณุ ลักษณะ ของพฤติกรรมทไ่ี มส่ ามารถวดั ไดโ้ ดยตรงหรอื วดั ไดอ้ ย่างสมบรู ณเ์ หมอื นดงั เช่นการ วดั ทางกายภาพ ทำ�ให้ลกั ษณะของเครอื่ งมอื ตา่ งๆ ทใ่ี ชใ้ นการวดั เปน็ เพยี งสงิ่ เรา้ หรอื สถานการณท์ ่กี ำ�หนดขน้ึ มาเพือ่ ใหผ้ ้เู รียนแสดงออกหรอื ตอบสนองในลกั ษณะทตี่ ้องการ ทั้งนีเ้ พือ่ ใหเ้ ลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกับสงิ่ ทีจ่ ะทำ�การวัด วธิ กี ารและเครอ่ื งมือการ วัดผลการศึกษาทีค่ รนู ำ�มาใช้มีหลายวิธี ในท่ีน้จี ะกลา่ วถงึ ด้วยกนั 6 วิธี ได้แก่ การ ทดสอบ การสงั เกต การสัมภาษณ์ การใชแ้ บบสอบถาม การประเมนิ การปฏิบตั ิ และการประเมินตามสภาพจรงิ การทดสอบ การสอบหรือการทดสอบ (Testing) คอื กระบวนการวดั ผลการศกึ ษาทนี่ �ำ แบบ ทดสอบมาเป็นสิง่ เรา้ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นแสดงออก ซงึ่ พฤติกรรมทางดา้ นความรู้ ความคิด และความสามารถทีเ่ ปน็ ผลมาจากการเรยี น ดงั น้นั การทดสอบจงึ ใช้เครอ่ื งมือทเี่ รียกวา่ แบบทดสอบ (test) ซ่งึ เป็นชุดของค�ำ ถาม งาน หรือสถานการณใ์ ด ๆ ทก่ี �ำ หนดข้นึ มา เพื่อเรา้ ให้ผูเ้ รียนแสดงพฤตกิ รรมตอบสนองในลักษณะต่าง ๆ จนครสู ามารถสังเกตได้ หรือวดั ได้
บทท่ี 3 วิธกี ารและเครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวดั ผลการศกึ ษา 33 การสงั เกต การสังเกต (Observation) คือวธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในหอ้ งเรยี นท่สี ำ�คัญ มาก (Airasian, 1997) ครจู ะใชป้ ระสาทสมั ผัสโดยเฉพาะตาและหูสงั เกตการทำ�งาน และติดตามความก้าวหนา้ ของนักเรยี น รวมทงั้ เพ่ือปรับวธิ ีการสอน ขอ้ มลู จะถูกบันทกึ อยใู่ นรูปของมาตรประมาณค่า แบบตรวจสอบรายการ การบรรยายแบบเรยี งความ การบนั ทึกระเบียนพฤติการณ์ เปน็ ต้น (Hart, 1994) การสงั เกตมีบทบาทมากใน การวดั ผลการศกึ ษา เพราะครูตอ้ งใชต้ ลอดเวลาท่ีสอน และต้องใชป้ ระกอบกับวธิ ีการ วัดผลอื่น ๆ เชน่ ใช้ประกอบการสมั ภาษณ์ ใชป้ ระกอบการวัดภาคปฏบิ ัติ เป็นตน้ กลา่ วได้วา่ ครูใช้การสงั เกตเพ่ือวดั พฤติกรรมทกุ ดา้ น ดังน้ี 1. ด้านพทุ ธิพิสัย หรอื ด้านปัญญา ครตู อ้ งสงั เกตพฤติกรรมของผเู้ รยี นในขณะ ทีส่ อน ซึ่งผเู้ รียนจะต้องแสดงออกถงึ ความรู้เพราะความคิดซ่งึ เปน็ ผลของการเรยี นรู้ 2. ดา้ นจติ พสิ ยั หรือด้านความรสู้ ึก ตลอดจนคณุ ธรรมต่าง ๆ ซ่งึ ผเู้ รยี นจะ แสดงออกมาทางการพดู และแสดงออกทางการประพฤติปฏิบัติ จนทำ�ให้ครรู ับรไู้ ดด้ ว้ ย การสงั เกต 3. ด้านทักษะพิสยั หรอื ด้านการปฏบิ ตั ิ ซึง่ ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติหรอื มสี ว่ นรว่ มในการปฏิบตั ิงาน และกจิ กรรมต่าง ๆ ประกอบการเรยี น หรอื ตอ้ งลงมอื ปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง ครูจงึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งติดตามสงั เกตความสามารถในการปฏบิ ตั ขิ องผู้ เรียนรู้ และพิจารณาคุณภาพของผลงาน เพอ่ื น�ำ ข้อมลู ไปใช้ในการประเมนิ ผลการผา่ น จุดประสงค์ของการเรียน หรอื ประเมนิ ผลรวม ตลอดจนการปรับปรุงแกไ้ ขผเู้ รยี นท่ีมี ข้อบกพรอ่ งในการปฏบิ ัตงิ านหรือกจิ กรรม การสมั ภาษณ์ การสมั ภาษณ์ (Interview) เปน็ วธิ กี ารใชเ้ ทคนคิ การสนทนาซกั ถามอย่างมี จดุ มุ่งหมาย เพ่ือศกึ ษาข้อเท็จจริงเก่ียวกับสถานภาพสว่ นตัว ประสบการณต์ า่ ง ๆ ความรู้สึกหรอื ความคดิ เหน็ ตอ่ สิง่ ใด ๆ รวมท้ังความรคู้ วามคดิ ดา้ นวชิ าการของบคุ คล
34 บทท่ี 3 วิธกี ารและเคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวดั ผลการศกึ ษา เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ประกอบการสมั ภาษณ์ จะเปน็ แบบบันทกึ คำ�ใหส้ มั ภาษณ์ ซึ่งผู้ สัมภาษณส์ รา้ งขึ้นมาเพ่อื อ�ำ นวยความสะดวกในการรวบรวมขอ้ มลู ลักษณะของแบบ สมั ภาษณ์อาจจะคล้าย ๆ กับแบบสอบถาม นอกจากน้ยี ังมเี ครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ประกอบใน การสมั ภาษณ์ซึ่งเป็นสอ่ื ประเภทเทปบันทึกเสียงหรือวีดทิ ศั น์ ซ่ึงนำ�มาอ�ำ นวยความ สะดวกในการบนั ทึกรายละเอียดของขอ้ มูลด้านตา่ ง ๆ ช่วยให้ผูส้ มั ภาษณพ์ จิ ารณา ย้อนทวนข้อมลู ไดแ้ ละสามารถสรุปข้อมลู ได้อย่างถกู ตอ้ งชดั เจน ประเภทของการสมั ภาษณ์ 1.การสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง (Structured Interview) เป็นการ สมั ภาษณ์ที่ต้องเตรยี มรายการคำ�ถามไว้เป็นแนวทาง โดยสร้างเป็นแบบฟอร์มคลา้ ย ๆ กบั แบบสอบถาม มีสว่ นของค�ำ ถาม และชอ่ งว่างสำ�หรบั บนั ทกึ ค�ำ ตอบ ซ่งึ ค�ำ ถาม น้นั อาจจะเป็นแบบใหต้ อบเสรี หรือเปน็ แบบก�ำ หนดค�ำ ตอบใหเ้ ลอื กก็ได้ ดงั นัน้ จึง อาจจะพัฒนาแบบฟอร์มไปเปน็ แบบสอบถามแทนการสัมภาษณไ์ ด้ การสมั ภาษณแ์ บบ นเ้ี หมาะสำ�หรบั ศึกษาหาขอ้ มลู ทั่วไป ทกุ ๆ ดา้ น บรรยากาศการสมั ภาษณค์ อ่ นขา้ ง เป็นทางการ คอื ตอ้ งมีการนดั หมายเวลากบั ผูถ้ กู สมั ภาษณ์ และผถู้ ูกสัมภาษณจ์ ะรูจ้ ุด ประสงค์ของการสัมภาษณ์ล่วงหน้า ดังนนั้ จึงอาจจะควบคมุ เวลาการสัมภาษณ์ได้ค่อน ข้างแน่นอน และสามารถประมวลสรปุ คำ�ตอบไดส้ ะดวก 2.การสมั ภาษณ์แบบไม่มโี ครงสร้าง (Unstructured Interview) เป็นการ สมั ภาษณท์ ไี่ มต่ ้องมีแบบฟอร์มบังคับ หรอื ไม่ตอ้ งเตรยี มรายการขอ้ คำ�ถามเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายตอ้ งมสี ัมพันธภาพท่ดี ตี ่อกนั รูปแบบนเี้ หมาะสำ�หรบั ใชว้ ัดแนวความคดิ ความเชื่อ ความรสู้ กึ ท่อี ย่ใู นระดบั ลึกจึงอาจจะตอ้ งใช้เวลาสัมภาษณน์ าน ลกั ษณะของ แบบสมั ภาษณแ์ บบไมม่ ีโครงสรา้ งจงึ เพียงกำ�หนดประเด็นไว้เทา่ นนั้ ลกั ษณะค�ำ ถามนัน้ ผสู้ ัมภาษณ์จะเปน็ ผูต้ งั้ เองตามสถานการณ์จะเออ้ื อำ�นวย การสัมภาษณใ์ นลักษณะนี้ผู้ สมั ภาษณจ์ งึ ต้องมีประสบการณส์ งู
บทที่ 3 วธิ กี ารและเคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการวัดผลการศกึ ษา 35 การใช้แบบสอบถาม การใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นวิธกี ารที่ใชว้ ดั พฤติกรรมภายใน ของผเู้ รียนเกี่ยวกับความรสู้ ึก ความคดิ เหน็ เจตคติ ความสนใจ ฯลฯ ซงึ่ กล่าวได้ ว่าเป็นพฤติกรรมดา้ นจิตพิสัยน่นั เอง นอกจากน้ียงั เหมาะส�ำ หรบั ศึกษาด้านขอ้ มูลสว่ น ตวั ของบุคคลด้วยแบบสอบถามที่สมบูรณ์ควรมสี ่วนประกอบ 4 ส่วน คอื สว่ นที่ 1 ชื่อของแบบสอบถาม จะมไี วท้ ีส่ ่วนบนสุดด้านหน้าของ แบบสอบถาม ส่วนที่ 2 ค�ำ ช้แี จงในการตอบแบบสอบถาม เปน็ สว่ นท่ีจะบอกจดุ ประสงค์ ของการสอบถามการขอความร่วมมอื ในการตอบ และท�ำ ความเข้าใจวิธีการตอบที่ถูก ตอ้ ง ส่วนท่ี 3 คำ�ถามเก่ียวกับสถานภาพของผู้ตอบ ในกรณีท่จี �ำ เป็นตอ้ งจำ�แนก ขอ้ มลู ตามสถานภาพ ตอ้ งมคี �ำ ถามส่วนนี้ดว้ ย เช่นค�ำ ถามเก่ยี วกบั เพศ อายุ ชน้ั เรียน อาชพี ของบิดา-มารดา รายได้-รายจา่ ย คะแนนผลสัมฤทธิ์เฉลย่ี เปน็ ต้น ส่วนที่ 4 ค�ำ ถามเกี่ยวกบั ข้อมลู หลัก (Main Body) เป็นคำ�ถามตามจดุ ประสงคท์ ตี่ ้องการศึกษาในครัง้ นน้ั เชน่ ความคดิ เหน็ เกีย่ วกับโครงการอาหารกลางวนั ของโรงเรียน ความสนใจในการเรยี นวชิ าตา่ ง ๆ ของนักเรียน เป็นตน้ ประเภทของแบบสอบถาม แบบสอบถามแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท ดังนี้
36 บทท่ี 3 วิธีการและเครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการวดั ผลการศกึ ษา ตารางที่ 3.3 การแบง่ ประเภทของแบบสอบถาม 1. แบบคำ�ถามปลายเปดิ (Opened Form) เปน็ ค�ำ ถามท่ผี ตู้ อบต้องเตรยี ม เขียน คำ�ตอบเอง ค�ำ ถามอาจจะมลี ักษณะเป็นค�ำ ถามแคบซ่งึ มีค�ำ ตอบจ�ำ กดั หรอื เป็น ค�ำ ถามกวา้ งทต่ี อบได้ และไม่จ�ำ กัดความยาวของคำ�ตอบ 2. แบบคำ�ถามปลายปดิ (Closed Form) เป็นแบบค�ำ ถามที่กำ�หนดตวั เลือก ไวใ้ หต้ อบ แบบสอบถามแบบค�ำ ถามปลายปดิ เป็นท่นี ิยมใชก้ นั มากทั้งในดา้ นการวัดผล การศึกษาและดา้ นการวิจยั เนื่องจากมีลกั ษณะเป็นปรนยั สูง มคี �ำ ถามและค�ำ ตอบ ท่ีเฉพาะเจาะจง ชว่ ยให้การรวบรวมค�ำ ตอบและการน�ำ เสนอขอ้ มลู จากค�ำ ตอบท�ำ ได้ สะดวก ซึ่งตวั เลือกของแตล่ ะข้ออาจจะอยูใ่ นรปู แบบของเลอื กตอบ ตรวจสอบรายการ มาตราส่วนประมาณค่า การจัดอนั ดับ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148