Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2563

วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Published by MBU SLC LIBRARY, 2021-01-05 02:28:49

Description: 16697-5477-PB (1)

Search

Read the Text Version

บทนำ� วิทยาศาสตร์มีบทบาทส�ำคัญยิ่งในปัจจุบัน เพราะวิทยาศาสตร์เก่ียวข้องกับชีวิตของทุกคนทั้งการ ดำ� รงชีวติ ประจ�ำวันและงานอาชีพต่าง ๆ ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ไดม้ าดว้ ยความพยายามของมนษุ ย์ที่ใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific process) ในการสบื เสาะหาความรู้ (Scientific inquiry) การ สบื คน้ ขอ้ มลู และการแกป้ ญั หา การศกึ ษาคน้ ควา้ และการใชค้ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตรต์ อ้ งอยภู่ ายในขอบเขต คุณธรรม จริยธรรม และเป็นท่ียอมรับของสังคม ทุกคนจึงจ�ำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ (Scientific literacy for all) การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ควรพัฒนาผู้เรียนท้ังด้านความรู้ กระบวนการ และเจตคต ิ ผเู้ รยี นทกุ คนควรไดร้ บั การกระตนุ้ สง่ เสรมิ ใหส้ นใจและกระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ มีความสงสัย เกิดคำ� ถามในสิ่งต่าง ๆ รอบตวั มคี วามม่งุ ม่ันและมคี วามสขุ ทีจ่ ะศกึ ษาค้นคว้า สบื เสาะหาความรเู้ พอื่ รวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะหผ์ ลเพอื่ นำ� ไปสคู่ ำ� ตอบของคำ� ถาม สามารถตดั สนิ ใจดว้ ยการ ใชข้ อ้ มูลอยา่ งมเี หตุผล สามารถส่อื สารข้อมูลและสิ่งทีค่ น้ พบจากการเรยี นรูไ้ ปใช้ในชีวิตประจ�ำวัน และให้ ผอู้ นื่ เขา้ ใจได้ (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.), 2554, น.1-2) วทิ ยาศาสตรจ์ งึ ชว่ ยใหม้ นษุ ยพ์ ฒั นาระบบความคดิ มที กั ษะในการคน้ หาความรู้ สามารถแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ระบบ สามารถ ตดั สินใจโดยใช้ข้อมูลทห่ี ลากหลายและมีประจักษพ์ ยานท่ีตรวจสอบได้ วทิ ยาศาสตร์เป็นววิ ัฒนาการของ โลกสมัยใหม่ มนุษย์จึงจ�ำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือจะมีความเข้าใจ ในธรรมชาติและเทคโนโลยีทมี่ นุษย์สรา้ งข้ึน (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2553, น.75) เปา้ หมายการจดั การ เรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรเ์ นน้ การใชว้ ธิ กี ารทผ่ี เู้ รยี นเปน็ ผเู้ สาะแสวงหาความรู้ เพอ่ื ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นทกุ คนมกี าร ร้เู รือ่ งวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) ซ่งึ รวมถึงความรูม้ ิตติ า่ ง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ความรูค้ วาม สามารถทางสตปิ ญั ญา กระบวนการแสวงหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวทิ ยาศาสตร์ กบั เทคโนโลยี (โครงการ PISA ประเทศไทย, 2557, น.61) แตผ่ ลของการจดั การเรยี นการสอนโดยภาพรวม ก็ยังพบว่าการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ ไม่ สามารถท�ำให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของการศึกษาที่วางไว้ ดังจะเห็นได้จากคะแนนการทดสอบ ทางการศกึ ษาแห่งชาตริ ะดบั ขัน้ พน้ื ฐาน (O-NET) ท้ังชนั้ ป.6 ม.3 และม.6 มีคะแนนตำ่� กวา่ คา่ เฉล่ียมาก และจากการประเมินระดบั นานาชาติท้ัง TIMSS (Trends in Mathematics and Science Study) ของ IEA (International Association for the Evaluation of Educational Achievement) และ PISA (Programme for International Students Assessment) ของ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) นกั เรยี นไทยกม็ คี ะแนนตำ�่ กวา่ คา่ เฉลย่ี และตำ่� กวา่ หลายประเทศใน แถบเอเซยี ดว้ ยกนั สะทอ้ นวา่ เดก็ ไทยยงั ขาดทกั ษะในการเรยี นรู้ การคดิ วเิ คราะห์ การจดั การการแกป้ ญั หา การสังเคราะห์ข้อมลู (โชติกา วรรณบรุ ,ี 2561, น. 8) ซึ่งเป็นข้อมลู ทีแ่ สดงถงึ ภาวะถดถอยของการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นไทยวา่ ไทยยงั อยู่หา่ งไกลความเป็นเลิศทางการศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ ปจั จัยหนึ่ง ท่ีเป็นเหตุของภาวะถดถอยดังกล่าว คือ ความไม่ตรงกันของหลักสูตรที่ผู้สร้างหลักสูตรต้ังใจออกแบบไว้ (Intended Curriculum) กบั หลกั สตู รทน่ี ำ� ไปใชจ้ รงิ ในโรงเรยี น (Implemented Curriculum) โดยเฉพาะ ความไม่ตรงกันจะเกิดขน้ึ มากในตอนปลายของระบบโรงเรยี น คอื ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 พบว่ามีความไม่ ตรงกันในด้าน 1) การลดกจิ กรรมภาคปฏิบัติการ 2) การสอนแบบบรรยายแทนการทดลองเพ่มิ ขึน้ 3) การ ลดค่าของวิชาวิทยาศาสตร์ในกรอบโครงสร้างการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย 4) การขาดความเช่ือม ต่อระหว่างระบบโรงเรียนกับระบบมหาวิทยาลัย และ 5) หลักสูตรส�ำหรับนักเรียนท่ีมีเป้าหมายต่างกัน (สนุ ีย์ คลา้ ยนิล, 2555, น.29-47) วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 95 ปีท่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ระบบการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามเปน็ เลศิ จำ� แนกเปน็ 2 แบบคอื 1) แบบทมี่ กี ารเรง่ รดั เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสามารถทแ่ี ทจ้ รงิ ของผเู้ รยี น (Acceleration) คอื ผเู้ รยี นทมี่ คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นใด ดา้ นหนง่ึ สามารถขา้ มไปเรยี นกบั ผเู้ รยี นในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ และทดสอบเพอ่ื ผา่ นเกณฑต์ ามทโ่ี รงเรยี นกำ� หนด กบั กลมุ่ ผเู้ รยี นใหมใ่ นรายวชิ านนั้ ๆ 2) แบบมกี ารเสรมิ หลกั สตู รหรอื เสรมิ กจิ กรรมสำ� หรบั ผเู้ รยี นกลมุ่ นโี้ ดย เฉพาะนอกเหนอื จากกิจกรรมปกติตามท่ีหลกั สูตรก�ำหนด (Enrichment) คือผเู้ รยี นยังเรยี นกับกลุ่มเพื่อน ปกตใิ นหอ้ งเรียน แต่มกี ิจกรรมเสริมพเิ ศษส�ำหรบั ผเู้ รยี นทม่ี ีความเป็นเลศิ เหล่านี้ รูปแบบกจิ กรรมอาจเปน็ กจิ กรรมในหอ้ งเรยี น หรอื เปน็ นอกเวลาเรยี นเฉพาะกลมุ่ นก้ี ไ็ ด้ (Thomson, 2006, p. 47) ซงึ่ การออกแบบ หลักสตู รเป็นสง่ิ สำ� คัญมากทตี่ ้องทำ� ใหส้ อดคลอ้ งกับธรรมชาตขิ องการเรียนรู้ (Nature of learning) ของ ผเู้ รยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ หลกั สตู รทอ่ี อกแบบไวอ้ ยา่ งดจี ะสง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นกลมุ่ นไี้ ดพ้ ฒั นาใหเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ นักวิทยาศาสตร์ศึกษาได้สรุปกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ได้จากการสัมมนา เร่ือง จัดการเรียนการ สอนอย่างไรให้สอดคล้องกับระดับของผู้เรียนท่ีมีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ (Meeting the Needs of the Most Able in Science) เมื่อเดอื นสิงหาคม ค.ศ. 2006 ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แคมบริดจ์ ว่าการจัดหลักสูตรส�ำหรับผู้เรียนท่ีมีความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ต้องให้ความส�ำคัญกับ 1) แนวคิดหลกั ทางวิทยาศาสตร์ (Focus on concepts) ควรให้เนื้อหาทลี่ ึก โดยเน้นไปทกี่ ารสรา้ งความ เขา้ ใจแนวคดิ หลกั มากกวา่ เนน้ ใหท้ อ่ งจำ� 2) การสบื เสาะทางวทิ ยาศาสตร์ (Focus on enquiry) การเรยี น รทู้ มี่ ปี ระสทิ ธภิ าพสำ� หรบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามเปน็ เลศิ ทางวทิ ยาศาสตร์ มกั จะตอ้ งไดเ้ ปน็ ผลู้ งมอื ปฏบิ ตั หิ รอื คน้ หา ค�ำตอบด้วยตนเอง 3) การพัฒนาการคดิ ขั้นสูง (Focus on higher-level thinking) ควรให้ความสำ� คัญ กบั การตงั้ คำ� ถามทกี่ ระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นไดว้ เิ คราะห์ สงั เคราะห์ หรอื ประเมนิ ขอ้ มลู ทก่ี ำ� หนดให้ และใหเ้ ปน็ การ คิดเชิงวทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งแท้จริง 4) อภิปญั ญาและการก�ำกบั ตนเอง (Focus on metacognition and self-regulation) ควรใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ ลอื กกจิ กรรม/งานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย ออกแบบวธิ กี ารสำ� รวจตรวจสอบ/ การแกป้ ญั หา รวมทงั้ การกำ� หนดเกณฑ/์ เงอื่ นไขการทำ� กจิ กรรมดว้ ยตนเอง 5) ผลงานและผฟู้ งั (Focus on product and audience) ผเู้ รยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ ทางวทิ ยาศาสตรจ์ ะสามารถออกแบบกจิ กรรม/ประดษิ ฐ์ ผลงาน และน�ำเสนอผลงานสู่กลุ่มผู้ฟังที่สนใจได้ 6) ความหลากหลายและการให้ตัวอย่าง (Focus on variety and pacing) ต้องใช้กลวธิ กี ารสอนท่ีหลากหลาย และอาจตอ้ งออกแบบหลักสตู รใหแ้ ตกต่างจาก หลกั สตู รปกติ การใหต้ วั อยา่ งกเ็ ปน็ การนำ� เสนอแนวคดิ ใหมเ่ กย่ี วกบั เรอื่ งทก่ี ำ� ลงั จะสอนซง่ึ เปน็ การประหยดั เวลา แต่ควรไปให้เวลามากกับการสะท้อนการคิดและการบรู ณาการเรยี นรู้ (Taber, 2007, pp. 13-14) จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาหลักสูตร วทิ ยาศาสตร์ การจัดการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ และการประเมนิ ผลด้านวิทยาศาสตร์ พบวา่ ตา่ งกเ็ น้น ความสำ� คญั ไปทก่ี ารทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอยา่ งแทจ้ รงิ ดงั นน้ั การสรา้ งหลกั สตู รความเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ จงึ มคี วามจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งศกึ ษาหาขอ้ มลู พนื้ ฐานเพอื่ กำ� หนดองคป์ ระกอบหลกั สตู รที่ จะสามารถบ่มเพาะผเู้ รยี นใหม้ คี วามเปน็ เลิศดา้ นวิทยาศาสตร์อย่างเหมาะสม วตั ถุประสงค์ เพอื่ วเิ คราะหอ์ งคค์ วามรทู้ จ่ี ำ� เปน็ ในการสรา้ งหลกั สตู รความเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตรส์ ำ� หรบั นกั เรยี น ระดบั การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน 96 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ ปที ี่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

วธิ ดี ำ� เนินการวจิ ยั เป็นการวิจัยซ่ึงท�ำการศึกษารวบรวมข้อมูลพ้ืนฐานต่าง ๆ ท่ีจ�ำเป็นในการสร้างหลักสูตรความเป็น เลิศด้านวิทยาศาสตร์ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์ในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6) โดยมีการ ดำ� เนินงาน ดงั นี้ 1. การศึกษาแนวคิดและทฤษฎที ีเ่ กย่ี วขอ้ ง เปน็ การศกึ ษาจากเอกสาร ต�ำรา และงานวจิ ัยที่เก่ยี วข้องกบั การพฒั นาหลกั สตู รความเปน็ เลิศ ด้านวทิ ยาศาสตร์ การจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ เทคนคิ การสอนวทิ ยาศาสตร์ การประเมนิ ผลการ เรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ และบคุ ลกิ ลกั ษณะของนกั เรยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ จากเอกสารตอ่ ไปน้ี โครงการ PISA ประเทศไทย (2557) สถาบนั สง่ เสรมิ อจั ฉรยิ ภาพและนวตั กรรมการเรยี นรู้ (2550) สำ� นกั งาน บริหารและพัฒนาองคค์ วามรู้ (2552) พรพไิ ล เลศิ วิชา และอัครภูมิ จารภุ ากร (2550) พรชยั อินทร์ฉาย (2549) Alsop (2007) American Association for the Advancement of Science: AAAS (1970) Anderson & Stewart (1997) Callard-Szulgit (2010) Cramond (2009) Gilbert & Newberry (2007) Lederman et al (2002) Mangan (1998) Montgomery (2003) National Research Council (2000) Silverman (2009) Subotnik et al (2009) Taber (2007) Taber & Corrie (2007) Thomson (2006) Van Tassel-Baska & MacFarlane (2009) West (2007) Winstanley (2007) 2. การสมั ภาษณบ์ คุ ลากรที่มสี ว่ นเก่ยี วข้องกบั การจัดการศกึ ษา (เน้นวทิ ยาศาสตร์) เป็นการสรุปข้อมูลพื้นฐานส�ำหรับการสร้างหลักสูตรความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ โดยการ สมั ภาษณ์ 1) จดุ ประสงค์ จดุ ประสงคใ์ นการสมั ภาษณ์ เพอ่ื จะไดข้ อ้ มลู และความคดิ เหน็ ของบคุ ลากรทมี่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั การจดั การศึกษาวิทยาศาสตรต์ งั้ แตร่ ะดบั ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1 ถงึ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 6 เก่ยี วกบั สภาพ ของผเู้ รียนท่มี คี วามเปน็ เลิศดา้ นวทิ ยาศาสตร์ 2) ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากร ได้แก่ ผทู้ รงคุณวฒุ ิดา้ นการจัดการศึกษา และบคุ ลากรทางการศึกษา ในสถานศกึ ษา ข้นั พ้นื ฐาน ปีการศึกษา 2558 กลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู เปน็ การเลอื กแบบเจาะจง กำ� หนด 2 กลมุ่ คอื 1) ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ดา้ นการจดั การศึกษาวิทยาศาสตร์ จ�ำนวน 6 คน ไดแ้ ก่ คณาจารยจ์ ากคณะศึกษาศาสตร/์ ครศุ าสตร์ คณะ วทิ ยาศาสตร์ ผู้เข่ียวชาญพิเศษ สสวท. และครแู หง่ ชาติ 2) ผู้บรหิ ารสถานศึกษา จำ� นวน 5 คน ได้แก่ ผอู้ ำ� นวยการโรงเรยี น และรองผอู้ ำ� นวยการฝา่ ยวชิ าการ โรงเรยี นสงั กดั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ (อปท.) และสำ� นกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน (สพฐ.) รวมจ�ำนวน 11 คน 3) เครื่องมอื เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสมั ภาษณ์ การสรา้ งเครอ่ื งมือซึ่งกำ� หนดจดุ มงุ่ หมายและวเิ คราะห์ประเดน็ ค�ำถามด้านต่าง ๆ โดยก�ำหนดประเด็นค�ำถามครอบคลุมด้านคณุ ลักษณะของ ผเู้ รยี นทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษทางวทิ ยาศาสตร์ ลกั ษณะการจดั หลกั สตู รและการจดั การเรยี นการสอน การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และบทบาทครแู ละผบู้ รหิ ารในการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวิทยาศาสตร์ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 97 ปีท่ี 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

4) การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผู้วิจัยด�ำเนินการสัมภาษณ์ด้วยตนเอง พร้อมท้ังบันทึกเทปการสัมภาษณ์ แล้วน�ำข้อมูลมา วิเคราะห์โดยการสรปุ เปน็ ความเรยี ง (Content analysis) 3. การจัดสนทนากลมุ่ ผูเ้ กี่ยวขอ้ งดา้ นการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ เป็นการสรุปข้อมูลพ้ืนฐานส�ำหรับการพัฒนาหลักสูตรความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ โดยการ สนทนากลมุ่ 1) จดุ ประสงค์ จุดประสงค์ในการสนทนากลมุ่ เพือ่ จะได้ข้อมลู และความคิดเห็นของบคุ ลากรที่มสี ่วนเกยี่ วขอ้ ง กบั การจดั การศกึ ษาวทิ ยาศาสตรใ์ นระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ในประเดน็ เกย่ี วกบั สภาพปญั หาและความ ตอ้ งการเกยี่ วกบั ลกั ษณะการจดั หลกั สตู รและการจดั การเรยี นการสอนสำ� หรบั ผเู้ รยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ ดา้ น วทิ ยาศาสตร์ 2) ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ประชากร ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดการศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถาน ศกึ ษาขั้นพื้นฐาน ปีการศกึ ษา 2558 กลุ่มตวั อย่างทใี่ ชใ้ นการเก็บข้อมูล เป็นการเลอื กแบบเจาะจง กำ� หนดเปน็ 2 กลุ่ม คอื 1) ผทู้ รง คณุ วุฒดิ ้านการจดั การศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์ จำ� นวน 4 คน ได้แก่ ทมี วิชาการ โรงเรียนจฬุ าภรณราชวทิ ยาลยั นครศรธี รรมราข 2) ครผู สู้ อนวทิ ยาศาสตรร์ ะดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 ถงึ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรยี นจฬุ าภ รณราชวิทยาลยั นครศรีธรรมราข โรงเรยี นสาธติ เทศบาลวดั เพชรจริก นครศรธี รรมราช โรงเรยี นเทศบาล ๑ (เอง็ เสยี งสามัคคี) สงขลา และโรงเรียนเทศบาล ๕ (วัดหวั ปอ้ มนอก) สงขลา จำ� นวน 18 คน รวมจ�ำนวน 22 คน 3) เครอ่ื งมอื เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู คอื แบบสนทนากลมุ่ ดำ� เนนิ การสรา้ งเครอ่ื งมอื ซงึ่ กำ� หนด จดุ มงุ่ หมายและวเิ คราะหป์ ระเดน็ คำ� ถามดา้ นตา่ ง ๆ โดยกำ� หนดประเดน็ คำ� ถามครอบคลมุ ดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น ี้ คุณลักษณะของผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ ปัญหาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร ์ บทบาทครูและผูบ้ รหิ ารในการจดั การเรียนการสอนเพอ่ื ความเป็นเลิศดา้ นวิทยาศาสตร์ 4) การเกบ็ รวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมลู ผู้วิจัยและผู้ช่วยนักวิจัยเป็นผู้ด�ำเนินการสนทนากลุ่ม พร้อมท้ังบันทึกเทปการสนทนากลุ่มดัง กล่าว แลว้ นำ� ข้อมลู มาวิเคราะหโ์ ดยการสรุปเป็นความเรียง ผลการวิจยั ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลพนื้ ฐานส�ำหรบั การสร้างหลกั สตู รความเปน็ เลิศด้านวทิ ยาศาสตร์ ระดับการ ศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน ขอเสนอผลจากการดำ� เนนิ การวจิ ยั เปน็ 3 ส่วน ดงั น้ี 1. ผลการศกึ ษาแนวคิดและทฤษฎที ี่เก่ียวข้อง เป็นการศึกษาจากเอกสาร ต�ำรา และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ วธิ กี ารสอนวทิ ยาศาสตร์ และการประเมนิ ผลการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ทำ� ใหไ้ ดก้ รอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎใี นเรอื่ งการพฒั นาหลกั สตู รความเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตรร์ ะดบั การศกึ ษา ขนั้ พน้ื ฐาน ดังน้ี 98 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ ปที ี่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

1) ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื ความรู้วิทยาศาสตร์ (Knowledge of science) ซึง่ เปน็ ความรู้เกีย่ วกับเรอ่ื งโลกธรรมชาติ (Knowledge of natural world) และความรู้เกย่ี ว กบั วิทยาศาสตร์ (Knowledge about science) ซ่งึ เป็นความรู้ในเชิงวิธีการ/กระบวนการ ประกอบด้วย 1.กระบวนการคน้ หาความรเู้ ชงิ วทิ ยาศาสตร์ (Scientific enquiry) ซงื่ เนน้ ทก่ี ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และ 2.การอธิบายเชงิ วทิ ยาศาสตร์ (Scientific explanation) หรือคอื การไดม้ าซง่ึ ความรนู้ ั่นเอง 2) สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ ซง่ึ รวมกลมุ่ สมรรถนะหลกั ๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ สมรรถนะในการ ระบปุ ระเดน็ ทางวทิ ยาศาสตร์ (Identify Scientific Issues) การอธิบายปรากฏการณใ์ นเชงิ วิทยาศาสตร์ (Explaining Phenomena Scientifically) และ การใชป้ ระจกั ษพ์ ยานทางวทิ ยาศาสตร์ (Using Scientific Evidence) 3) การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 3.1 การจดั การเรยี นรู้ทเ่ี น้นผูเ้ รียนเปน็ สำ� คัญ ใหผ้ ู้เรยี นมีลักษณะดงั น้ี 1) การคน้ พบและ สรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง (Construct) 2) การคดิ การลงมอื ทำ� และการแสดงออก (Performance) 3) การ มีปฏสิ ัมพนั ธ์กบั เพ่อื นหรือกลมุ่ (Interaction) 4) การเรยี นรู้และปฏิบัติอย่างเป็นกระบวนการ (Process) 5) การมผี ลงานจากการปฏบิ ตั ิ (Product) 6) การมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ (Assessment) 7) การนำ� ความรู้ ไปใช้ประโยชน์ (Application) 3.2 การจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Learning) ผเู้ รยี นมลี กั ษณะสำ� คญั ดงั น ้ี 1) มสี ว่ นรว่ มในประเดน็ คำ� ถามทางวทิ ยาศาสตร ์ 2) ใหค้ วามสำ� คญั กบั ขอ้ มลู หลกั ฐานทสี่ อดคลอ้ งกบั ค�ำถาม 3) อธิบายเชงิ วทิ ยาศาสตร์เพ่อื ตอบค�ำถามทสี่ งสัยโดยมหี ลักฐานหรอื ข้อมูลเชงิ ประจกั ษ์สนบั สนุน 4) เชอื่ มโยงค�ำอธบิ ายของตนกบั องคค์ วามรู้ทางวทิ ยาศาสตร ์ 5) ส่ือสารและให้เหตผุ ลเกยี่ วกับการค้นพบ ของตน 3.3 กระบวนการเรยี นรู้ (Learning Process) ลักษณะกระบวนการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ 1) น�ำผเู้ รียนเขา้ สู่การผ่านสถานการณจ์ รงิ หรอื สถานการณจ์ ำ� ลอง เดก็ จะเรยี นรู้ความหมาย (Search for meaning) และอารมณ์จะถกู ขบั เคลื่อน (Emotional brain) 2) ฝกึ ให้สามารถตง้ั ประเดน็ คำ� ถามและคิด อยา่ งเปน็ ระบบ เพอื่ สรา้ งจดุ เชอื่ มตอ่ (Synapse) ทจี่ ำ� เปน็ ในสมองสำ� หรบั รองรบั กระบวนการคดิ ทร่ี อบดา้ น 3) มีการฝึกพดู เขียน แสดงออก ใช้ศัพทแ์ ละนิยามทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่อื อธิบายส่ิงตา่ งๆและปรากฏการณ์ 4) รจู้ กั และสามารถคน้ ควา้ ใชป้ ระโยชนจ์ ากแหลง่ ขอ้ มลู ความรตู้ า่ ง ๆ ตอ้ งไมเ่ นน้ การเขยี นบรรยายอนั นา่ เบอ่ื หน่าย 5) สรา้ งความเช่อื มโยงระหว่างสาระวชิ ากับชวี ิตประจ�ำวนั ชวี ิตในท้องถน่ิ ชมุ ชน ซง่ึ กระบวนการ ดังกลา่ วทำ� ให้ผเู้ รยี นเขา้ สู่ “โลกแห่งการเรียนร”ู้ ดว้ ยตนเอง และความรูน้ ัน้ กลายเป็นวิธีคดิ และความร้ทู ่ี ติดอย่กู ับตวั อย่างยาวนาน (Long term memory) 2. ผลการสัมภาษณ์บคุ ลากรที่มีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั การจดั การศึกษา (เนน้ วิทยาศาสตร์) การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ระดับ การศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน มีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี 1) คุณลกั ษณะของผู้เรยี นท่มี ีความสามารถพเิ ศษทางวิทยาศาสตร์ 1.1 การมเี มตาคอกนชิ ่นั (Metacognition) เมตาคอกนชิ ่ัน คอื การตระหนกั รูค้ วามคดิ ของตนเอง (awareness) รวมถงึ การควบคมุ ก�ำกบั (control) การคิดของตนเอง นกั เรยี นท่มี ีความสามารถพเิ ศษทางวิทยาศาสตรจ์ ะมลี กั ษณะเฉพาะ คือ รู้จกั ตรวจสอบแนวคดิ และความรขู้ องตนเอง วางแผนก�ำกบั การทำ� งานของตนเองได้ และมีเปา้ หมาย ในชวี ติ ทช่ี ดั เจน โดยมกี ารประเมนิ ตนเองวา่ ตนเองเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งไร มกี ระบวนการตงั้ คำ� ถามและหาคำ� ตอบ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ 99 ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ดว้ ยตนเองตลอดเวลา แมก้ ระทงั่ เวลาทค่ี รอู ธบิ ายกจ็ ะมกี ระบวนการตงั้ คำ� ถามวา่ ความรนู้ น้ั ถกู ตอ้ งมากนอ้ ย เพยี งใด มวี ธิ ีการตรวจสอบความรดู้ ว้ ยวธิ ีการอื่น ๆ ไม่ใช่แค่การรบั ขอ้ มลู จากคนเพียงคนเดยี ว จะมคี วาม สามารถในการอธิบายความเข้าใจของตัวเอง สามารถสร้างข้อโต้แย้งหรือหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งต่าง ๆ จะไม่เชือ่ อะไรง่าย ๆ เป็นคนทมี่ แี ผนการท�ำงานแต่ละวันวา่ ตนเองต้องท�ำงานอะไรให้ส�ำเรจ็ ลุล่วงหรือตอ้ ง คน้ ควา้ หาความรเู้ พมิ่ เตมิ เรอ่ื งอะไรบา้ ง ซงึ่ ความสามารถนม้ี มี าตง้ั แตใ่ นระดบั เดก็ เลก็ หรอื เดก็ ประถม โดย เด็กเหล่านี้จะมีความช่างสงสัย และลังเลในความรู้ท่ีเขาได้รับมาว่ามีความถูกต้องหรือน่าเช่ือถือเพียงใด ดงั นน้ั การมีเมตาคอกนิชัน่ สงู เปน็ ลกั ษณะที่จะสง่ เสริมให้นกั เรียนกลุ่มน้มี ีความสามารถในการแกป้ ัญหา สบื ค้นหาความรู้เพมิ่ เตมิ สามารถประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถือของแหลง่ ข้อมูล และสามารถวางแผนออกแบบ การศกึ ษาทางวทิ ยาศาสตรใ์ นเรอ่ื งทต่ี นเองสนใจได้ โดยการตงั้ คำ� ถามเกย่ี วกบั ความรขู้ องตนเอง และความรู้ ทไี่ ด้รับมา 1.2 การมีจิตวิทยาศาสตร์ (Scientific Mind) คุณลักษณะที่ถูกกล่าวถึงมากส�ำหรับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คือ การมจี ติ วิทยาศาสตร์ในระดบั สงู เช่น ลักษณะของการเปน็ ผูใ้ ฝ่เรยี นรู้ ชา่ งสงั เกต และชอบทจี่ ะค้นคว้า หาความรู้ ทดลอง เพือ่ ให้ได้ค�ำตอบของคำ� ถามท่ีเก่ียวข้องกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือ โจทยป์ ัญหาท่ี ทา้ ทาย นกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นคนท่ีมีความมงุ่ มนั่ เปน็ มนษุ ยเ์ จา้ คำ� ถาม ช่างสงสัย ช่างสังเกต มีความอยากรูอ้ ยากเหน็ และกระตอื รอื ร้น (curious and enthusiasm) ใฝ่รู้ พรอ้ ม ทจ่ี ะเรยี นรู้ รกั การทดลอง กลา้ แสดงออก มวี นิ ยั มคี วามรบั ผดิ ชอบแมไ้ มม่ คี รบู งั คบั และเกบ็ รวมรวมขอ้ มลู หรือสิ่งต่าง ๆ มาหาค�ำตอบด้วยตนเอง ซ่ึงลักษณะดังกล่าวสามารถแสดงออกมาได้ทั้งนักเรียนในระดับ มธั ยมศกึ ษาและประถมศกึ ษา ดงั นน้ั นกั เรยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ ทางวทิ ยาศาสตรจ์ ะมคี ณุ ลกั ษณะพเิ ศษโดย มีจิตวิทยาศาสตรใ์ นระดับสงู มีลักษณะเปน็ คนใฝร่ ู้ ชา่ งสงสัย ชอบทดลองเพื่อหาค�ำตอบ ทั้งยังมคี วามรับ ผิดชอบและรว่ มงานกับผูอ้ ่ืนไดด้ ี 1.3 ความสามารถดา้ นทกั ษะการคิด ทักษะการคดิ เป็นคณุ ลกั ษณะทผ่ี ทู้ รงคุณวฒุ ิทกุ คนเห็นตรงกนั วา่ เป็นลักษณะพิเศษของ ผมู้ คี วามสามารถทางวทิ ยาศาสตร์ โดยนกั เรยี นเหลา่ นจ้ี ะแสดงออกอยา่ งชดั เจนเกยี่ วกบั ความสามารถดา้ น การคิด เป็นผู้ท่ีมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มองความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ได้ สามารถแก้ ปัญหาท่ีซับซ้อนทางวิทยาศาสตร์ได้ สามารถคิดหาวิธีการแก้ปัญหาได้ มีความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบ การทดลอง หรือการศึกษาทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั วทิ ยาศาสตร์ไดด้ ีกวา่ นักเรียนคนอ่ืน ๆ ซึ่งจะสง่ ผลให้สามารถทำ� โครงงานออกมาไดด้ ี จนกระทง่ั ไดร้ บั รางวลั ระดบั ประเทศ แมว้ า่ จะเปน็ นกั เรยี นทมี่ ผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ปานกลาง ในขณะทเี่ ดก็ เกง่ วทิ ยาศาสตรด์ า้ นเนอื้ หาจะไมค่ อ่ ยสนใจทำ� โครงงานเลย โดยอา้ งวา่ เปน็ การเสยี เวลาในการเรียน 1.4 ด้านความรู้ทางเนื้อหา แม้คุณลักษณะด้านความรู้ทางเน้ือหาจะเป็นลักษณะพิเศษของผู้มีความสามารถทาง วิทยาศาสตร์ แต่ผู้ทรงคุณวุฒิทุกคนต่างให้ความเห็นเก่ียวกับความสามารถดังกล่าวน้อย สาเหตุหนึ่งอาจ เนื่องมาจากการมคี วามรู้ทางดา้ นเนื้อหามาก เปน็ ลกั ษณะพเิ ศษท่คี นสว่ นใหญ่ใหค้ วามส�ำคัญอยู่แลว้ โดย มคี วามคดิ วา่ นกั เรยี นทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษตอ้ งมคี วามรทู้ างเนอ้ื หาสงู กวา่ นกั เรยี นทวั่ ไปอยแู่ ลว้ แตจ่ ะให้ ความสำ� คญั เกยี่ วกบั ทกั ษะการคดิ และจติ วทิ ยาศาสตรม์ ากกวา่ “หากใหเ้ ดก็ เรยี นทฤษฎมี ากเกนิ ไปทกั ษะ ชวี ติ จะไมเ่ กดิ สง่ ผลใหเ้ ดก็ เหน็ ความสำ� คญั ของการสอบและสนใจทจ่ี ะจำ� เนอ้ื หาตา่ งๆ มากกวา่ การทำ� ความ เข้าใจ” 100 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

2) การจัดหลักสูตรและการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ การจัดหลักสูตรความเป็นเลิศควรจัดท�ำเป็นหลักสูตรเสริม หรือ กิจกรรมพิเศษเฉพาะส�ำหรับ นักเรียนท่ีมีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ และไม่ควรเป็นการติวความรู้ทางเนื้อหาให้กับเด็ก แต่ควรมี ลกั ษณะเปน็ กจิ กรรมทส่ี ง่ เสรมิ กระบวนการคดิ และฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เพอ่ื สง่ เสรมิ ให้ นกั เรยี นมกี ารพฒั นาไดอ้ ย่างเต็มศักยภาพ โดยมปี ระเดน็ สำ� คัญเกย่ี วกับหลกั สตู รและการจดั การเรียนการ สอนดังน้ี 2.1 หลกั สตู รท่เี น้นกระบวนการคิดและการปฏิบัติ หลักสูตรส�ำหรับนักเรียนผู้มีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ควรเน้นกิจกรรมการลงมือ ปฏิบัติท่ีเน้นกระบวนการ ทั้งกระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือให้เด็กมีการต้ังค�ำถาม การหา ค�ำตอบและการตรวจสอบความรู้ของตนเอง เน้นกระบวนการคิดที่ซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง กระบวนการ เรยี นรู้ของนกั เรียนทีม่ ีความเปน็ เลิศด้านวิทยาศาสตร์เกดิ ขน้ึ ระหวา่ งการแกป้ ัญหา การสร้างสรรคช์ น้ิ งาน การสบื คน้ และการสอื่ สารขอ้ มลู ซง่ึ เปน็ แนวทางจดั การศกึ ษาทเี่ นน้ ใหผ้ เู้ รยี นฝกึ กระบวนการคดิ และทกั ษะ ปฏบิ ตั ิ แลว้ โยงไปสทู่ ฤษฎี เพอื่ ใหน้ กั เรยี นไมเ่ บอ่ื เนน้ การทดลองเพอ่ื ใหเ้ กดิ กระบวนการเรยี นรทู้ ย่ี งั่ ยนื โดย วิธสี อนท่ีแนะน�ำคอื การจัดการเรยี นการสอนแบบโครงงาน (Project based learning) การจดั การเรยี น การสอนแบบการใชป้ ญั หา (Problem based learning) นกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษทางวทิ ยาศาสตร์ ทโี่ รงเรยี นมหดิ ลวทิ ยานสุ รณเ์ คยสะทอ้ นผลการจดั การเรยี นการสอนวา่ รสู้ กึ ชอบกจิ กรรมทมี่ คี วามทา้ ทาย กจิ กรรมสบื เสาะหาความรู้ ซง่ึ นกั เรยี นเปน็ ผลู้ งมอื ปฏบิ ตั หิ าคำ� ตอบดว้ ยตนเอง ดงั ตวั อยา่ งกจิ กรรมการเรยี น การสอนวชิ าเคมใี นรปู แบบ Problem-based learning โดยครตู งั้ โจทยว์ า่ บา้ นทต่ี ง้ั อยรู่ มิ ทะเล พบวา่ วสั ดุ ทใี่ ชท้ ำ� ประตหู นา้ บา้ นเกดิ การกดั กรอ่ น นกั เรยี นจะมวี ธิ กี ารแกไ้ ขปญั หานอี้ ยา่ งไร นกั เรยี นกจ็ ะใชค้ วามรทู้ าง เคมีเก่ยี วกบั ธรรมชาติของวสั ดชุ นิดตา่ งๆ มาอธบิ ายกระบวนการกดั กรอ่ น เป็นตน้ ส่ือและแหล่งเรียนรู้ ควรมีการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ให้เพียงพอ สำ� หรบั นกั เรยี นทตี่ อ้ งการทำ� การทดลองและศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง นอกจากนนั้ แหลง่ ขอ้ มลู ยงั สามารถ เปน็ บคุ คล ผเู้ ชย่ี วชาญในสาขาตา่ งๆทนี่ กั เรยี นสามารถขอคำ� ปรกึ ษาได ้ สอื่ การเรยี นรทู้ น่ี า่ สนใจของนกั เรยี น กลมุ่ นคี้ อื mobile learning ตวั อยา่ งเชน่ webboard ทนี่ กั เรยี นสามารถถา่ ยรปู จากการทดลองและโพสต์ ลงไปเพอื่ สอบถามผรู้ ใู้ หเ้ ขา้ มาตอบหรอื รว่ มแสดงความคดิ เหน็ ครมู บี ทบาทสำ� คญั ในการเตรยี มความพรอ้ ม ดา้ น connectivity และ accessibility ให้นกั เรียนสามารถติดตอ่ กบั ผู้เช่ียวชาญไดโ้ ดยตรง ส�ำหรับกิจกรรมเพ่ิมเติมควรจัดชุมนุมวิทยาศาสตร์ หรือจัดเป็นคาบอิสระ (เรียนรู้ด้วย การค้นคว้าด้วยตนเองโดยมีครูเป็นที่ปรึกษา) แล้วก�ำหนดเป็นปฏิทินการศึกษาเพ่ือติดตามความคืบหน้า รายวิชาเพิ่มเติมที่ควรจัด คือ วิชาสืบเสาะวิทยาศาสตร์ วิชาโครงงาน หรือจัดเป็นกิจกรรมสนุกกับโครง งาน ทักษะกระบวนการควรควบคู่กับการสืบเสาะวิทยาศาสตร์ ควรมีรายวิชาสัมมนาให้กับนักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โดยเปน็ การสนทนาอยา่ งง่าย น�ำหัวขอ้ มาจากข่าวหรือปญั หาธรรมชาติ และนักเรียน ระดับมัธยมศึกษาก็เป็นรายวิชาสัมมนาในหัวข้อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้น และควรใช้ กจิ กรรมสืบเสาะหาความรูท้ างวิทยาศาสตร์ทีม่ ลี ักษณะเปดิ (open-inquiry) ที่ให้ผเู้ รียนมีบทบาทในการ กำ� หนดปญั หา ออกแบบวธิ กี ารศกึ ษาหาคำ� ตอบ อภปิ รายและสรปุ ผลการศกึ ษา รวมทง้ั การนำ� เสนอผลการ ศึกษาต่อสาธารณชน ซ่งึ เป็นวธิ ีการท่เี หมาะสมในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 2.2 หลักสูตรทไี่ มเ่ นน้ การติวเนือ้ หา หลกั สตู รหรอื กจิ กรรมการเรยี นรู้ สำ� หรบั นกั เรยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ตอ้ ง ไมใ่ ชก่ ารตวิ เนอ้ื หาโดยวธิ กี ารบรรยายใหค้ วามรู้ เพราะไมไ่ ดเ้ ปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นคดิ หรอื แสดงออกถงึ ความ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ 101 ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

สามารถพเิ ศษของเขา หลักสูตรควรเป็นแบบไมเ่ นน้ เนือ้ หา (content free) ให้เนน้ กระบวนการคดิ ที่ซับ ซอ้ นอยา่ งตอ่ เนอื่ ง (หอ้ งเรยี นพเิ ศษวทิ ยาศาสตรป์ จั จบุ นั มกั เนน้ เนอ้ื หา (content based) ซง่ึ เปน็ หลกั สตู ร ทผ่ี ดิ ทาง ควรใหเ้ ดก็ ไดค้ ดิ ไปสู่ concept ไมใ่ ชเ่ ปน็ การใหค้ วามรอู้ ยา่ งเดยี ว กจิ กรรมพเิ ศษสำ� หรบั นกั เรยี น กลุ่มนี้ต้องไมถ่ กู จำ� กัดด้วยกรอบเนอ้ื หา หมายถึง นกั เรยี นอาจศกึ ษาลงลกึ ในเนอื้ หาบางอยา่ งทน่ี อกเหนือ จากหลกั สตู ร ถา้ เขามคี วามสนใจ นกั เรยี นแตล่ ะคนยงั มคี วามแตกตา่ งกนั การกำ� หนดงานควรคำ� นงึ ถงึ ความ เหมาะสมกบั ผ้เู รียนท่ีมีความสามารถหรอื ความต้องการทแ่ี ตกตา่ งกันดว้ ย 3) การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรตู้ อ้ งสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรแู้ ละกจิ กรรม การวดั ผล การเรยี นรจู้ งึ ควรมลี กั ษณะเปน็ การวดั กระบวนการคดิ วดั metacognition และวดั ทกั ษะปฏบิ ตั ิ ควรเนน้ การประเมนิ ระหวา่ งทาง (formative assessment) หรอื ถา้ จะใชข้ อ้ สอบกต็ อ้ งเปน็ ขอ้ สอบประเมนิ การคดิ เนน้ การประเมนิ ทกั ษะกระบวนการเปน็ สว่ นใหญ่ มโี จทยส์ ถานการณย์ าวๆ ทใี่ หน้ กั เรยี นอา่ นเพอ่ื วเิ คราะห์ และแก้ปัญหา มีการประเมนิ ภาคปฏิบตั ิ เช่น ประเมนิ การใช้กลอ้ งจุลทรรศน์ เป็นต้น 4) บทบาทครแู ละผูบ้ รหิ ารในการจัดการศกึ ษา 4.1 บทบาทครู ครูมีบทบาทส�ำคัญมากในการจัดการศึกษาให้กับนักเรียนที่มีความเป็นเลิศทาง วทิ ยาศาสตร์ โดยครตู อ้ งเขา้ ใจธรรมชาติ ความสนใจ ความชอบ และรปู แบบการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นทม่ี คี วาม สามารถพเิ ศษทางวทิ ยาศาสตร์ เพอื่ จะออกแบบกจิ กรรมทมี่ คี วามทา้ ทาย และฝกึ กระบวนการคดิ และการ ลงมอื ปฏบิ ตั ใิ หก้ บั นกั เรยี นกลมุ่ น ้ี ครตู อ้ งใหเ้ วลาในการเขา้ ไปพดู คยุ กบั นกั เรยี นเปน็ รายบคุ คลเพอ่ื ทำ� ความ รจู้ กั และเขา้ ใจในศกั ยภาพบางอยา่ งทม่ี ใี นตวั นกั เรยี นแตล่ ะคนเพอ่ื ดงึ ศกั ยภาพนนั้ ออกมา ครตู อ้ งเกง่ รลู้ กึ ร้จู รงิ ในเนือ้ หาวชิ าทรี่ บั ผดิ ชอบ มคี วามสามารถ มีประสบการณ์ มคี วามมน่ั ใจในการสอน มกี ารเตรียมตวั มาอย่างดี เพื่อให้นักเรียนมีความเชื่อม่ันว่าครูสามารถให้ค�ำแนะน�ำเขาได้ ครูควรมีความสามารถพิเศษที่ ทำ� ใหน้ ักเรยี นศรัทธาและนับถอื ครเู ป็น idol ได้ เช่น การมีความสามารถพเิ ศษด้านภาษาองั กฤษ เพ่ือจะ สามารถสืบค้นแหลง่ เรยี นรู้ และติดตอ่ ผเู้ ช่ยี วชาญตา่ งประเทศใหเ้ ขาได้ เป็นตน้ 4.2 บทบาทผบู้ รหิ าร ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษามบี ทบาทสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ในการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั นกั เรยี นทม่ี คี วาม เปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ โดยบทบาทสำ� คญั คอื การพฒั นาครใู หม้ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจในการจดั การศกึ ษาให้ กบั นกั เรยี นทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารจดั กจิ กรรมใหก้ บั นกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ พรอ้ ม ทง้ั สนบั สนนุ ใหม้ กี ารจดั หาสอื่ การเรยี นการสอน การจดั คา่ ยวทิ ยาศาสตร์ และกจิ กรรมเสรมิ พเิ ศษอน่ื ๆ และ ตอ้ งเปน็ ผบู้ รหิ ารเชงิ วชิ าการ ตดิ ตามงานวจิ ยั เปน็ ผไู้ ขวค่ วา้ หาแหลง่ ทนุ และแหลง่ ความรใู้ หมๆ่ เพอ่ื พฒั นา ครแู ละนกั เรยี น อกี ทง้ั ตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาตแิ ละมวี ธิ กี ารสง่ เสรมิ ศกั ยภาพของนกั เรยี นทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ เช่น มพี นื้ ทใี่ นการจดั กจิ กรรม “Talent Show” ในช่วงตอนพกั เท่ียงของทกุ วัน เพอื่ ให้เด็กได้แสดงออกถงึ ความสามารถเฉพาะบุคคล เป็นตน้ 3. ผลการสนทนากล่มุ ผเู้ กีย่ วข้องด้านการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ การสนทนากลมุ่ ครผู สู้ อน ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ และผทู้ มี่ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การจดั การศกึ ษาดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ระดบั การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ประเดน็ ในการสนทนากลมุ่ มรี ายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ 1) คุณลกั ษณะของนักเรียนทม่ี ีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนที่มีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์จะเป็นบุคคลที่มีลักษณะช่างสังเกต ช่างสงสัย มี ค�ำถามตลอดเวลา มที กั ษะการคิดวเิ คราะห์ คดิ แตกตา่ งจากคนอืน่ กล้าคิดนอกกรอบ กล้าแสดงออก มี 102 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ ปีท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

ความคดิ สรา้ งสรรค์ มแี ววตาอยากรู้ มคี วามสนใจใฝ่รู้ กระตือรอื รน้ มคี วามรับผิดชอบในการทำ� งานท่ีได้ รบั มอบหมาย มีความตง้ั ใจในการเรียนในทุกรายวิชา เปน็ ตวั ของตวั เอง ชอบการทดลอง ชอบการสบื ค้น ขอ้ มลู นอกเหนือจากการเรียนรู้ในห้องเรียนเพื่อให้ได้มาซึ่งคำ� ตอบทีต่ นสงสัย แล้วน�ำมาเปรยี บเทยี บกับส่งิ ตา่ ง ๆ รอบตวั เกดิ การตอ่ ยอดความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้ โดยนำ� มาซกั ถาม แลว้ มกี ารประยกุ ตค์ วามรเู้ หลา่ นน้ั ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวัน และสนใจเกย่ี วกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละอปุ กรณต์ า่ ง ๆ ที่เกยี่ วกบั วิทยาศาสตร์ 2) การจัดหลักสตู รและการเรียนการสอน การบริหารจัดการหลักสูตรส�ำหรับเด็กท่ีมีความเป็นเลิศ ควรแยกกลุ่มผู้เรียนเฉพาะ และกลุ่ม ผู้เรียนควรจะผ่านกระบวนการสรรหามาอย่างแท้จริง โดยจัดเป็นหลักสูตรพิเศษนอกเหนือจากรายวิชา พ้ืนฐานและรายวิชาเพิ่มเติมตามหลักสูตรสถานศึกษาท่ีจัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ควรเพ่ิมเติมเน้ือหาให้มากกว่าหลักสูตรส�ำหรับนักเรียนท่ัวไป ควรปูพื้นฐานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ให้แนน่ เนอ่ื งจากนกั เรยี นที่มคี วามเปน็ เลศิ จะมีความสามารถในการเรยี นร้เู รอื่ งราวตา่ งๆในเวลาทสี่ ้นั และ มีความสามารถในการจับใจความได้ดีกว่านักเรียนทว่ั ไป ควรเพ่ิมเติมการฝกึ ทกั ษะการแก้ปญั หา การตง้ั โจทย์ให้ผ้เู รียนได้ฝกึ คิด การให้หาคำ� ตอบโดยผ่านการทำ� โครงงาน 3) การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้ การวัดท่ีดีควรวัดด้วยวิธีการและเคร่ืองมือท่ีหลากหลาย ท่ีส�ำคัญควรเป็นลักษณะที่ให้นักเรียน ได้ฝกึ กระบวนการคิดวิเคราะห์ จะทำ� ใหน้ ักเรยี นมีความเขา้ ใจอย่างแทจ้ ริง ควรมีการประเมินเปน็ ระยะๆ ตลอดเวลาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ทงั้ กอ่ นเรยี น ระหวา่ งเรยี น และหลงั เรยี น ควรมกี ารวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรด์ ้วยการใหน้ ักเรียนท�ำโครงงาน ข้อสอบต้องเปน็ ลกั ษณะแบบขอ้ สอบ PISA ไมค่ วรเป็นขอ้ สอบแบบเลือกตอบ หรอื ถ้าเป็นแบบ เลือกตอบควรมีการให้นักเรียนอธิบายเหตุผลประกอบด้วยว่าท�ำไมจึงตอบตัวเลือกน้ี เช่น ข้อสอบแบบ วนิ จิ ฉยั 2 ระดบั (Two-tier diagnostic test) เปน็ ต้น ควรเน้นให้นักเรยี นไดฝ้ ึกการเขียน การวัดและ ประเมินผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ นอกจากใช้ขอ้ สอบแลว้ ควรจัดให้มกี ารสอบปฏบิ ัตกิ าร (lab) ด้วย ในปัจจบุ นั นักเรียนเหน็ ความส�ำคญั ของการสอบท่ยี ึดติดกับคะแนนมากกวา่ องค์ความรู้ จงึ ควร ใชก้ ารวดั ทกั ษะเขา้ มาชว่ ยเพอื่ กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นอยากเรยี นร ู้ สำ� หรบั นกั เรยี นระดบั ประถมศกึ ษาควรเนน้ เรอ่ื งกระบวนการเรยี นรู้ ตอ้ งฝกึ ใหน้ กั เรยี นไดป้ ฏบิ ตั จิ รงิ นน่ั คอื เนน้ การวดั และประเมนิ แบบใหน้ กั เรยี นเกดิ การคิดวิเคราะห์มากกวา่ การทอ่ งจำ� 4) บทบาทครแู ละผูบ้ รหิ ารในการจัดการศึกษา 4.1 บทบาทครู ครตู อ้ งเปน็ ผมู้ คี วามแมน่ ยำ� ในเนอ้ื หา มคี วามรหู้ ลายดา้ น ตอ้ งรอู้ ยา่ งแทจ้ รงิ และขวนขวาย ตลอดเวลา เม่ือนักเรียนสอบถามข้อสงสัย ครูต้องหาค�ำตอบให้ได้ทันที เตรียมตัวให้พร้อมในการเป็น ที่ปรึกษา นอกจากน้ีต้องเป็นนักวางแผน นักกิจกรรม นักออกแบบท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ ครูต้องเป็น ผแู้ นะนำ� ทด่ี ี ไมใ่ ชผ่ บู้ อก มหี นา้ ทเี่ ปน็ ผกู้ ระตนุ้ และสรา้ งแรงบนั ดาลใจใหแ้ กน่ กั เรยี น มกี ารเสรมิ แรง ใหก้ ำ� ลงั ใจใหน้ กั เรยี นในการคดิ ตอ่ ยอดเรอื่ งตา่ ง ๆ ใจเยน็ รอคอยการเปลยี่ นแปลงได ้ ครตู อ้ งสอนในสงิ่ ทเ่ี ดก็ อยากรู้ อย่าสอนในส่ิงท่ีครูอยากบอก เป็นโค้ชท่ีดี ต้องวิเคราะห์นักเรียนเพื่อจะแยกแยะความแตกต่างของเด็ก แต่ละคนได้ มเี ทคนคิ ในการใหเ้ ด็กได้แสดงบทบาทอยา่ งเต็มท่ี มีเทคนคิ การสอน ถ่ายทอดเปน็ มที ักษะใน การสอ่ื สาร มเี ทคนคิ ในการใชค้ ำ� ถามเพอ่ื กระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นคดิ ตอ่ และควรจดั การเรยี นการสอนในลกั ษณะ team teaching เพอ่ื นกั เรยี นจะไดร้ บั ขอ้ มลู จากครอู ยา่ งชดั เจนและหลากหลายตามความเชย่ี วชาญของครู แต่ละคน วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ 103 ปีที่ 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

4.2 บทบาทผู้บริหาร ให้การสนบั สนนุ ท้ังเรือ่ งสือ่ อปุ กรณ์ และงบประมาณ เป็นผกู้ �ำกบั อ�ำนวยความสะดวก นเิ ทศ ตดิ ตาม สอบถามครเู กยี่ วกบั ปญั หา ความตอ้ งการในการจดั การเรยี นการสอน สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การจดั อบรมเพอื่ พฒั นาคร ู ตอ้ งเขา้ ใจวา่ การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรม์ งุ่ เนน้ ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความ เขา้ ใจโดยผ่านกระบวนการไม่ใช่โดยการท่องจ�ำ สรุปผลการวิจัย การศกึ ษาขอ้ มลู พน้ื ฐานทจี่ ำ� เปน็ ในการสรา้ งหลกั สตู รความเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตรส์ ำ� หรบั นกั เรยี น ระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน โดยการศกึ ษาจากเอกสารงานวจิ ยั การสมั ภาษณ์ และสนทนากลมุ่ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ และผเู้ ก่ยี วขอ้ งกบั การจดั การศกึ ษาวิทยาศาสตร์ มขี อ้ มูลพ้ืนฐานทจ่ี �ำเปน็ ดงั นี้ 1) คุณลักษณะของผู้เรียนท่ีมีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การมีเมตาคอกนิชั่น (Metacognition) ไดแ้ ก่ การตระหนกั รแู้ ละการควบคมุ กำ� กบั ความคดิ ของตนเอง การตรวจสอบการเรยี น ร้ขู องตนเองและการประเมนิ ตนเอง การมีจิตวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Mind) ไดแ้ ก่ ใฝ่เรยี นรู้ ช่างสงั เกต ชา่ งสงสยั กลา้ ทดลอง กล้าแสดงออก กล้าพดู กล้าถาม มีความกระตอื รอื รน้ ชอบการสบื ค้น และเรยี นรู้ ด้วยตนเอง และเป็นผู้มีความสามารถด้านทักษะการคิด มีความรับผิดชอบ รู้หน้าท่ีของตนเอง สามารถ วางแผนและท�ำงานเปน็ ทีมได้ดี 2) การจดั หลกั สตู รและการเรยี นการสอน หลกั สตู รควรเปน็ แบบไมเ่ นน้ เนอ้ื หา (content free) ไมใ่ ช่ หลกั สตู รตวิ เนอื้ หา แตเ่ ปน็ หลกั สตู รทเ่ี นน้ ใหน้ กั เรยี นมกี ระบวนการคดิ อยา่ งลกึ ซงึ้ ตอ่ เนอื่ ง การจดั การเรยี น การสอนเปน็ ลักษณะให้นกั เรียนไดล้ งมอื ปฏบิ ตั จิ ริง สบื คน้ ขอ้ มลู และเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 3) การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ควรมลี กั ษณะเปน็ การวดั ประเมนิ กระบวนการ ทงั้ การคดิ การ หาค�ำตอบ การตรวจสอบค�ำตอบ และทกั ษะปฏบิ ัติ 4) บทบาทครแู ละผบู้ รหิ ารในการจดั การศกึ ษาใหก้ บั นกั เรยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร ์ ครู : ตอ้ งมคี วามเชยี่ วชาญ(เก่ง)ในเน้อื หาวิชา มคี วามมัน่ ใจในการสอน เขา้ ใจธรรมชาติของนักเรยี น ออกแบบ กิจกรรมที่ท้าทายและให้ผู้เรียนได้ฝึกกระบวนการคิด/การลงมือปฏิบัติ ผู้บริหาร : ต้องเป็นผู้บริหารเชิง วิชาการ ส่งเสริมการพัฒนาครูและสนับสนุนการจัดกิจกรรมท่ีเหมาะสมให้กับนักเรียนท่ีมีความสามารถ พิเศษดา้ นวิทยาศาสตร์ อภิปรายผลการวิจยั จากการศกึ ษารปู แบบการพฒั นาหลกั สตู รของ โอลวิ า (Oliva, 1992) วชิ ยั วงษใ์ หญ่ (2538) ใจทพิ ย์ เช้ือรัตนพงษ์ (2539) และ พนู สขุ อุดม (2556) พบว่า ทุกรูปแบบมขี ั้นตอนในการดำ� เนนิ การท่เี ป็นหลกั การใหญ่ ๆ เหมอื นกัน ซึ่งพบว่าขั้นตอนการศกึ ษาและส�ำรวจขอ้ มลู พืน้ ฐาน (Need Assessment) เปน็ ขน้ั ตอนสำ� คญั และจำ� เปน็ ทจ่ี ะนำ� มากำ� หนดหลกั สตู รเพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ กดิ การเรยี นรตู้ รงตามจดุ มงุ่ หมายของ หลกั สูตรทก่ี �ำหนดไวอ้ ยา่ งแทจ้ ริง นอกจากน้ี สถานศึกษาแตล่ ะแห่งควรจะศกึ ษาหาข้อมูลพื้นฐานส�ำหรับ การสร้างหลกั สตู รสถานศกึ ษาเอง เพอ่ื จะสามารถพฒั นาผ้เู รยี นไดต้ ามบรบิ ทและศกั ยภาพอย่างเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั คำ� กลา่ ววา่ โรงเรยี นจะไดร้ บั ประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ จากหลกั สตู รโดยโรงเรยี นตอ้ งเปน็ ผทู้ ำ� ให้ เกิดสัมฤทธิ์ผลเองมากกว่าทีจ่ ะเป็นเพียงเจา้ ของหลกั สตู รเทา่ นั้น (Eggleston, 1980) เน่ืองจากหลักสตู ร 104 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ ปที ่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

คือพมิ พ์เขียว (blueprint) สำ� หรบั การเรยี นรูข้ องผ้เู รียน ซง่ึ ประกอบดว้ ย จุดมุง่ หมาย กจิ กรรม เนื้อหา และประสบการณใ์ นทุกสงิ่ ทกุ อย่างท่ีจัดขน้ึ ท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษา เพอ่ื สง่ เสริมและสนบั สนุน ใหผ้ ู้เรียนได้เกดิ การพฒั นาตนเองในทุก ๆ ดา้ น (พูนสุข อุดม, 2556, น. 7) ซ่ึงผลการวจิ ัยขอ้ มลู พืน้ ฐาน ทีจ่ �ำเป็นในการสร้างหลกั สตู รความเปน็ เลิศดา้ นวิทยาศาสตร์สำ� หรับนกั เรียนระดับการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน มี ดงั น้ี 1) คุณลักษณะของผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การมีเมตาคอกนิช่ัน การมี จิตวิทยาศาสตร์ มีความรู้ลึกด้านเนื้อหา และมีความสามารถด้านทักษะการคิด ชอบการสืบค้นข้อมูล นอกเหนือจากการเรยี นรู้ในหอ้ งเรียน สอดคล้องกบั ลักษณะสำ� คญั ของบุคคลท่ชี อบการสืบเสาะหาความรู้ (inquiry) คือ มีส่วนร่วมในประเดน็ ค�ำถามทางวิทยาศาสตร์ ให้ความสำ� คัญกบั ขอ้ มูลหลักฐานทีส่ อดคล้อง กบั คำ� ถาม อธิบายเชงิ วิทยาศาสตรเ์ พ่อื ตอบค�ำถามท่ีสงสยั โดยมีหลกั ฐานหรอื ข้อมลู เชิงประจักษ์สนบั สนนุ เชอ่ื มโยงคำ� อธบิ ายของตนกบั องคค์ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ และสามารถสอื่ สารพรอ้ มใหเ้ หตผุ ลเกยี่ วกบั การ คน้ พบของตน (National Research Council, 2000) และผู้มีความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ คือ ผู้ทมี่ ี ความถนดั ทางการเรยี นโดยเฉพาะสำ� หรบั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ อาจไมใ่ ชผ่ ทู้ ไ่ี ดค้ ะแนนสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ สงู แต่มีลกั ษณะพิเศษเฉพาะส�ำหรบั การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (Taber. 2007, pp. 9-12) คอื มคี วามอยาก รอู้ ยากเห็นทางวิทยาศาสตร์ (Scientific curiosity) มีความสามารถทางพทุ ธิปัญญาในขัน้ สูง (Cognitive ability) มคี วามสามารถทางอภปิ ญั ญา (Metacognitive ability) และ มภี าวะผนู้ ำ� (Leadership) นอกจาก นี้ การจะระบวุ า่ นกั เรยี นคนใดมคี วามเปน็ เลศิ ทางวทิ ยาศาสตรน์ น้ั สามารถกระทำ� ได้ 6 วธิ ี คอื 1) การคน้ หา (Provision) 2) การให้ครูคัดเลือก (Teacher nomination) 3) การศกึ ษาประวตั ิ (Profile) 4) การทดสอบ ดว้ ยขอ้ สอบมาตรฐาน (Standardized test) 5) การทำ� รายการตรวจสอบ (Checklist) และ 6) การทำ� มาตรประมาณคา่ (Rating scale) (Thomson, 2006, p. 7-12) 2) การจดั หลักสูตรและการเรียนการสอน การออกแบบหลักสตู รเปน็ สิ่งสำ� คัญมากทจี่ ะตอ้ งท�ำให้ สอดคล้องกับธรรมชาติของการเรียนรู้ (Nature of learning) ของผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศ หลักสูตรที่ ออกแบบไว้อยา่ งดีจะสง่ ผลให้ผู้เรียนกลมุ่ น้ีได้พัฒนาให้เต็มตามศักยภาพ (Taber, 2007, pp. 13-14) ซง่ึ ผลการวิจัยพบว่าหลักสูตรส�ำหรับผู้เรียนท่ีมีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ ควรเป็นหลักสูตรที่เน้น กระบวนการคดิ และทกั ษะการปฏบิ ตั ิ ไมใ่ ชห่ ลกั สตู รทเี่ นน้ เนอ้ื หา ลกั ษณะของหลกั สตู รทจ่ี ะบม่ เพาะผเู้ รยี น ให้มีความสามารถพิเศษทางวทิ ยาศาสตร์ ตอ้ งใหน้ ักเรียนมกี ระบวนการคดิ อย่างลกึ ซ้ึงตอ่ เนื่อง สอดคล้อง กบั เทเบอร์และคอรร์ ี (Taber & Corrie, 2007, p. 73) ท่กี ล่าวว่า หลักสตู รส�ำหรับผเู้ รียนทีม่ คี วามเป็น เลศิ ทางวทิ ยาศาสตรต์ อ้ งไมเ่ นน้ การทอ่ งจำ� แตต่ อ้ งเนน้ กระบวนการคดิ และหลกั สตู รกต็ อ้ งเสรมิ กจิ กรรมที่ เปน็ การสง่ เสรมิ การคดิ สำ� หรบั ผเู้ รยี นกลมุ่ น ้ี สว่ นการจดั การเรยี นการสอนสำ� หรบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามสามารถ พิเศษทางวิทยาศาสตร์ พบว่าควรเป็นลักษณะท่ีให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง สืบค้นข้อมูล และเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง สอดคล้องกับ พรพไิ ล เลิศวชิ า และอัครภมู ิ จารภุ ากร (2550, น. 71-79) ทก่ี ลา่ วว่า การ เรียนรู้ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพสูงจะมีลกั ษณะ ดังน้ี 1) การเรยี นร้เู ม่ือสมองรบั รู้ภาพและเสยี งพร้อมกนั 2) การ เรียนรู้เม่อื มีการสรา้ งแผนภาพความคดิ (Graphic Organize) 3) การเรียนรเู้ มอ่ื ผ่านการปฏิบัติ 4) การ เรยี นรู้เมอ่ื อย่ใู นเหตกุ ารณท์ ่ีคล้ายจรงิ (สถานการณ์จำ� ลอง) และ 5) การเรียนรู้เม่ือทอ่ งจ�ำ-ทำ� ซำ�้ ฝกึ ทกั ษะ นอกจากนี้ ผู้เรียนที่มีความเปน็ เลศิ ควรได้รับการทา้ ทายและไดร้ บั กิจกรรมเสรมิ ไมว่ ่าบรบิ ททางการศึกษา จะเป็นอย่างไร และกจิ กรรมควรเปน็ กจิ กรรมทีผ่ า่ นกระบวนการวจิ ยั โดยไม่ยดึ ติดกับหลกั สูตรภาคบังคับ เนอ่ื งจากถา้ ครผู สู้ อนตอ้ งวติ กกงั วลดว้ ยระยะเวลาทก่ี ำ� หนด และขอบเขตเนอื้ หาทต่ี อ้ งสอนใหค้ รอบคลมุ จะ ท�ำให้ครูเกดิ ความกดดนั หากกิจกรรมเสริมถกู จดั เข้าไปกบั การเรยี นแบบปกติจะเป็น “การสอนเพื่อสอบ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 105 ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

(Teach to test)” และส่งเสริมการเรียนรแู้ บบทอ่ งจ�ำ ไม่ได้สง่ เสริมศกั ยภาพของผูเ้ รยี นที่มีความเป็นเลศิ ทางวิทยาศาสตรอ์ ย่างแทจ้ รงิ (Taber, 2007, p. XIV) ซง่ึ สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของ สิวาพร สุวรรณเจรญิ (2552, น. 27-49) ทพ่ี บวา่ การเรยี นรดู้ ว้ ยกจิ กรรมชมุ นมุ เคมชี ว่ ยใหน้ กั เรยี นไดร้ แู้ ละเขา้ ใจบทบาทการเปน็ นกั เคมีและการท�ำงานแบบนกั เคมี ซงึ่ ส่งผลใหน้ กั เรยี นมีทักษะการทดลองดขี นึ้ 3) การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ พบวา่ ควรมลี กั ษณะเปน็ การประเมนิ กระบวนการคดิ และทกั ษะ ปฏบิ ตั ิ และควรเปน็ การประเมนิ เพอื่ พฒั นาไมใ่ ชก่ ารประเมนิ เพอื่ ตดั สนิ ผล โดยเฉพาะการวดั และประเมนิ ผล การเรยี นรจู้ ากการมอบหมายใหน้ กั เรยี นทำ� โครงงาน เนอ่ื งจากจะแสดงใหเ้ หน็ วา่ นกั เรยี นไดฝ้ กึ กระบวนการ คดิ รอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ต์ ตง้ั แตก่ ารกำ� หนดปญั หา การออกแบบ การวางแผน การลงมอื ทำ� และการนำ� เสนอโครง งานหนา้ ช้นั ซึง่ ทำ� ให้นกั เรียนไดม้ ีการรว่ มแลกเปล่ยี นเรียนรู้กันท้ังกับเพือ่ น ครู ผปู้ กครอง และชมุ ชน โดย บูรณาการร่วมกับวชิ าอ่นื ดว้ ย สอดคล้องกับ กิลเบิร์ท นกั วทิ ยาศาสตร์ศกึ ษาที่มที ช่ี ่อื เสียงชาวองั กฤษ ได้ จ�ำแนกการพัฒนาผู้เรียนท่ีมีความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ไว้ 2 ด้าน คือ การพัฒนาคุณภาพภายในตัว ผเู้ รียน (Intrinsic qualities as a learner) และการพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี นภายนอก (Extrinsic qualities as a learner) ซ่ึงการพฒั นาคุณภาพภายในของผเู้ รียน ประกอบดว้ ยลักษณะสำ� คัญ 3 ประการ คือ 1) ความสามารถในการประยุกต์ใช้ศักยภาพทางปัญญาในการก�ำหนดหัวข้อท่ีจะศึกษาตามความสนใจของ ตนเอง 2) ความสามารถในการระบุปรากฏการณห์ รอื เหตกุ ารณท์ ีต่ นเองสนใจโดยเฉพาะ และ 3) ความ สามารถในการสรา้ งคำ� อธบิ ายทางวทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื นำ� เสนอสงิ่ ทตี่ นเองคน้ พบ นอกจากนเ้ี ขายงั โตแ้ ยง้ วธิ กี าร ท่จี �ำแนกผเู้ รยี นท่มี คี วามเป็นเลิศในด้านต่าง ๆ โดยก�ำหนดเกณฑ์ 5-10% บนของนกั เรียนแตล่ ะโรงเรียน เน่อื งจากสภาพโรงเรยี น สภาพเศรษฐกจิ สงั คมของแตล่ ะพื้นทีแ่ ตกตา่ งกัน ผูเ้ รียนท่ีมคี วามเปน็ เลศิ จงึ อาจ ไม่ใช่ผู้เรียนในกลุ่ม 5-10% บนของแต่ละโรงเรียนก็ได้ ดังน้ัน การสนับสนุนผู้เรียนที่มีความเป็นเลิศทาง วทิ ยาศาสตรน์ นั้ ตอ้ งเปน็ การประสานงานรว่ มมอื กนั ระหวา่ งครแู ละผปู้ กครองในการสงั เกต และใหข้ อ้ มลู ที่ เปน็ ประโยชนใ์ นการพฒั นาศกั ยภาพดา้ นวทิ ยาศาสตรข์ องผเู้ รยี นและทำ� ใหค้ วามสามารถดา้ นนยี้ งั คงดำ� รง อยู่ (Gilbert & Newberry, 2007, pp. 21-22) 4) บทบาทครูและผู้บริหารในการจัดการศึกษาให้กับนักเรียนที่มีความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ 4.1) บทบาทครู : ครูต้องมีความเช่ียวชาญ(เก่ง)ในเน้ือหาวิชา มีความม่ันใจในการสอน เข้าใจธรรมชาติ ของนักเรยี น ออกแบบกจิ กรรมทที่ า้ ทายและใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกกระบวนการคดิ /การลงมือปฏบิ ตั ิ สอดคล้อง กบั วจิ ารณ ์ พานิช (2555, น. 15) ทีก่ ล่าวว่า การเรยี นรู้ในปัจจบุ นั ต้องกา้ วขา้ มสาระวชิ าไปสกู่ ารเรียน รู้ “ทกั ษะเพอ่ื การด�ำรงชวี ิตในศตวรรษท่ี 21” (21st Century Skills) ท่ีครสู อนไมไ่ ด้ นักเรียนต้องเรยี นรู้ เอง นน่ั คอื ครตู อ้ งไมส่ อน แตต่ อ้ งออกแบบการเรยี นรแู้ ละอำ� นวยความสะดวก (facilitate) ใหน้ กั เรยี นเรยี น ร้จู ากการลงมือทำ� เอง การเรยี นรู้จะเกดิ จากภายในใจและสมองของนกั เรียนเอง 4.2) บทบาทผบู้ ริหาร : ผบู้ รหิ ารตอ้ งเปน็ ผบู้ รหิ ารเชงิ วชิ าการ สง่ เสรมิ การพฒั นาครแู ละสนบั สนนุ การจดั กจิ กรรมทเี่ หมาะสมใหก้ บั นักเรยี นท่มี ีความสามารถพเิ ศษด้านวิทยาศาสตร์ สอดคลอ้ งกับผลการวจิ ัย ทพ่ี บว่า ตวั ชว้ี ดั สมรรถนะการ บรหิ ารการจัดการเรยี นร้ขู องผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ด้านความรู้การบริหารงานวิชาการ คอื ผู้บรหิ ารมคี วาม รเู้ กยี่ วกบั การบรหิ ารหลกั สตู ร การจดั การเรยี นรู้ ทกั ษะ การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 การวดั และประเมนิ ผล และการวิจัยเพ่ือพฒั นาการเรยี นรู้ ด้านทกั ษะการส่งเสริมสนบั สนุนการจัดการเรยี นรู้ คือ ผบู้ ริหารมคี วาม สามารถในการส่ือสาร การสร้างขวญั และก�ำลังใจทีจ่ ะกระตุน้ ให้เกิดแรงบนั ดาลใจ การบรหิ ารแบบมีส่วน รว่ ม และการพัฒนาครู (ส�ำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2561, น. ฏ-ฐ) 106 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ ปีที่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

สรุปได้ว่า การสร้างและพัฒนาหลักสูตรความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อบ่มเพาะผู้เรียนให้มี ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ จึงมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่ง เน่ืองจากวิทยาศาสตร์มีความส�ำคัญต่อเด็กไม่ เพียงแต่เป็นการปูพ้ืนฐานด้านวิทยาศาสตร์ต้ังแต่เด็กเท่านั้น แต่เป็นการสร้างทักษะและเจตคติที่ส�ำคัญ ต่อการเรยี นรใู้ นอนาคตของคนทกุ คน (Worth, 2010) และเดก็ มีความสนใจทางดา้ นวทิ ยาศาสตรต์ งั้ แต่วยั กอ่ นเขา้ โรงเรียนและจะมกี ารพฒั นาสงู ขนึ้ เมอ่ื อายุ 8 ปี (Leibham et al., 2013) หลกั สูตรทด่ี ีควรมกี าร พัฒนาตลอดเวลา และหลกั สตู รที่ดจี ะตอ้ งมกี ารพัฒนาครผู ้ใู ช้หลักสูตรควบคู่ไปดว้ ยเสมอ ดงั ค�ำกล่าวท่วี า่ “เพชรท่ดี ี ควรมเี ครื่องเจียรนยั ท่ีดนี นั่ คอื หลักสตู ร และชา่ งเจยี รนัยก็คือครนู ัน่ เอง” ดังน้ันหลกั สตู รความ เปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตรย์ อ่ มจะพัฒนาผ้เู รยี นให้สอดคล้องกบั ลกั ษณะของสงั คมในศตวรรษท่ี 21 เพือ่ ให้ นกั เรียนสามารถอยูใ่ นสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ รเู้ ทา่ ทนั และแขง่ ขันกบั นานาชาติได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ 107 ปีที่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พมิ พค์ ร้ังที่ 3. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย. โครงการ PISA ประเทศไทย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2557). กรอบ โครงสร้างการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ PISA 2009. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. ใจทพิ ย ์ เชอ้ื รตั นพงษ.์ (2539). การพฒั นาหลกั สตู ร : หลกั การและแนวปฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพฯ : ภาควชิ าบรหิ าร การศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. โชตกิ า วรรณบรุ ี. (ธนั วาคม 2560-มกราคม 2561). “สภาวะการศกึ ษาไทยปี 2559/2560 แนวทางการ ปฏิรูปการศึกษาไทยเพ่ือก้าวสูย่ คุ ไทยแลนด์ 4.0,” วารสารการศึกษาไทย. 15(142) : 7-11. พรชัย อินทร์ฉาย. (2549). รูปแบบการบริหารงานการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคต. ดุษฎนี ิพนธ์ การศึกษาดุษฎีบณั ฑติ . ชลบรุ ี : มหาวิทยาลยั บูรพา. พรพไิ ล เลิศวชิ า และ อคั รภูมิ จารภุ ากร. (2550). ออกแบบกระบวนการเรียนรโู้ ดยเขา้ ใจสมอง. กรงุ เทพฯ : ดา่ นสุทธาการพิมพ์. พูนสุข อดุ ม. (2556). การพฒั นาหลักสูตร. สงขลา : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ. วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วิถสี รา้ งการเรียนร้เู พือ่ ศษิ ยใ์ นศตวรรษท่ี 21. พิมพ์คร้ังที่ 3. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ สดศร-ี สฤษดิ์วงศ์. วิชัย วงษ์ใหญ่. (2538). “ทฤษฎีและการพัฒนาหลักสูตร,” ใน ประมวลสาระชุดวิชาการพัฒนาระบบ การสอน = Instructional Systems Development หน่วยท่ี 1-4. นนทบุรี : มหาวิทยาลยั สโุ ขทัย ธรรมาธริ าช. สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2554). ครวู ทิ ยาศาสตรม์ อื อาชพี : แนวทางสกู่ ารเรยี น การสอนที่มปี ระสิทธผิ ล. กรงุ เทพฯ : สถาบันฯ. สถาบนั สง่ เสรมิ อจั ฉรยิ ภาพและนวตั กรรมการเรยี นร.ู้ (2550). การจดั การเรยี นรวู้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์ แนวทาง การจัดการเรียนร้ตู ามหลกั BBL ชดุ ส�ำหรับประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ฯ. ส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน). (2552). การจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามหลัก BBL ประถมศึกษาตอนปลาย (วัย 9-12 ปี). กรุงเทพฯ : ส�ำนกั งานฯ. สำ� นกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2561). การพฒั นาตัวช้วี ัดประสิทธภิ าพการจดั การเรียนรูข้ องสถาน ศกึ ษาระดบั การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน. กรงุ เทพฯ : พรกิ หวานกราฟฟคิ . สวิ าพร สวุ รรณเจรญิ . (2552). การใชช้ ดุ กจิ กรรมชมุ นมุ เคมเี พอ่ื พฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ขั้นผสมของนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรยี นธาตุนารายณ์วทิ ยา. (วทิ ยานพิ นธ์ วทิ ยาศาสตร มหาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยอุบลราชธาน)ี . สนุ ยี ์ คลา้ ยนลิ . (2555) การศกึ ษาวทิ ยาศาสตรไ์ ทย : การพฒั นาและภาวะถดถอย. กรงุ เทพฯ : แอดวานซ์ พร้นิ ต้ิง เซอร์วชิ . 108 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ ปที ่ี 20 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Alsop, S. (2007). The emotional lives of fledgling geniuses. In Science Education for Gifted Learners. Keith S. Taber (Eds.). London : Routledge. American Association for the Advancement of Science (AAAS.). (1970). Science Process Approach. New York : Comantary for Teacher. Anderson, O., and Stewart, J. (1997). A neurocognitive perspective on current learning theory and science instructional strategies. Science Education. 81(1), 67–90. Callard-Szulgit, R. (2010). Patenting and Teaching the Gifted. (2nd ed.). Maryland : Rowman & Littlefield Education. Cramond, B. L. (2009). Future problem solving in gifted education. In International handbook on giftedness. Larisa V. Shavinina (Ed.) (pp. 1143-1156). ). DOI 10.1007/978-1-4020- 6162-2-58 : Springer. Eggleston, J. (1980). School-based Curriculum Development in Britain : A Collection of Case Studies. London : Routledge & Kegan Paul. Gilbert, J. K. and Newberry, M. (2007). The characteristics of the gifted and exceptionally able in science. In Science Education for Gifted Learners. Keith S. Taber (Eds.). London : Routledge. Lederman, N. G.; Abd-El-Khalick, F.; Bell, R. L. and Schwartz, R. S. (2002). “Views of Nature of Science Questionnaire: Toward Valid and Meaningful Assessment of Learners’ Conceptions of Nature of Science,” Journal of Research in Science Teaching. 39(6), 497-521. Leibham, M.A., Alexander, J. M. and Johnson, K. E. (2013) “Science interests in preschool boys and girls: Relations to later self-concept and science achievement,” Science Education. 97(4): 574-593. Mangan, M. A. (1998). Brain compatible science. Arlington Heights:Skylight Professional Development. Montgomery, D. (2003). Handwriting difficulties in the gifted and talented? Hand-writing today, 2. Retrieved online at www.warwick.ac.uk/gifted/research/. สืบค้นวันท่ี 20 พฤศจิกายน 2558 National Research Council. (2000). Inquiry and the National Science Education Standards: A Guide for Teaching and Learning. Washington, D.C.: National Academy Press. Oliva, P. F. (1992). Developing the Curriculum. 3rd ed. New York : Harpers Collins. Schwab, J. J. (1962). The Teaching of Science: The Teaching of Science as Enquiry. U.S.A. : Harvard University Press. Silverman, L.K. (2009). The measurement of giftedness. In International handbook on giftedness. Larisa V. Shavinina (Ed.) (pp. 947-970). ). DOI 10.1007/978-1-4020-6162- 2-48 : Springer. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ 109 ปที ี่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Subotnik, R., Orland, Ml, Rayhack, K., Schuck, J., Edmiston, A., Earle, J., Crowe, E., Johnson, P., Carroll, T., Berch, D. and Fuchs, B. (2009). Identifying and Developing Talent in Science, Technology, Engineering, and Mathematics (STEM): An Agenda for Research, Policy, and Practice. In International handbook on giftedness. Larisa V. Shavinina (Ed.) (pp. 1313-1326). DOI 10.1007/978-1-4020-6162-2-69 : Springer. Taber, K. S. and Corrie, V. (2007). Developing the thinking of gifted students through science. In Science Education for Gifted Learners. Keith S. Taber (Eds.). London : Routledge. Taber, K.S. (2007). Science education for gifted learners? In Science Education for Gifted Learners. Keith S. Taber (Eds.). London : Routledge. Thomson, M. (2006). Supporting gifted and talented pupils in the secondary school. London : Paul Chapman Publishing. Van Tassel-Baska, J. and MacFarlane, B. (2009). Enhancing creativity in curriculum. In International handbook on giftedness. Larisa V. Shavinina (Ed.) (pp. 1061-1084). ). DOI 10.1007/978-1-4020-6162-2-54 : Springer. West, A. (2007). Practical work for the gifted in science. In Science Education for Gifted Learners. Keith S. Taber (Eds.). London : Routledge. Winstanley, C. (2007). Gifted science learners with special educational needs. In Science Education for Gifted Learners. Keith S. Taber (Eds.). London : Routledge. Worth, K. (2010). Science in Early Childhood Classrooms : Content and Process. Newton, Massachusetts : Center for Science Education Development, Inc. 110 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ ปที ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชิงส�ำรวจคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 สงั กัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน A Exploratory Factor Analysis of Characteristics of Teachers 4.0 Under the Office of Basic Education Commission Received : 2020-05-09 Revised : 2020-05-21 Accepted : 2020-06-17 ผู้วจิ ยั จฑุ ามาศ จนั ทร์ศร1 Chutamat Chansorn1 [email protected] สนุ ยี ์ เงนิ ยวง2 Sunee Nguenyuang2 บทคัดย่อ การวจิ ยั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื วเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ สำ� รวจคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 สงั กดั สำ� นกั งาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอนสังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน ปีการศกึ ษา 2562 จ�ำนวน 597 คน โดยการสุ่มหลายขนั้ ตอน (Multistage Random Sampling) เครื่องมอื ท่ใี ช้ คอื แบบสอบถามแบบมาตราสว่ นประมาณ (Rating Scale) จำ� นวน 131 ขอ้ คา่ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำ� ถามกบั จดุ หมายของการวัด (IOC) เท่ากบั 0.8 ถงึ 1.0 และ มีคา่ ความเชื่อมน่ั ทั้งฉบบั เท่ากับ 0.991 สถติ ิท่ีใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูลคอื การวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบเชิง สำ� รวจ (Exploratory Factor Analysis : EFA) สกดั องคป์ ระกอบโดยวธิ สี กดั องคป์ ระกอบหลกั (Principal Component) และใช้การหมุนแกนแบบ varimax ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขนั้ พน้ื ฐาน มี 5 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ 1) ดา้ นบุคลกิ ภาพของครูทส่ี ่งเสริมทกั ษะการคิดและนวัตกรรม 2) ด้านความรู้ที่ส่งเสริมทักษะการคิดและนวัตกรรม 3) ด้านการจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมทักษะการคิดและ นวัตกรรม 4) ด้านทักษะการวัดและประเมินผลผู้เรียนศตวรรษที่ 21 และ 5) ด้านทักษะการผลิตและ พัฒนาส่อื เทคโนโลยี โดยมีคา่ นำ�้ หนกั องค์ประกอบมาตรฐานอยรู่ ะหวา่ ง 0.55 – 0.87 อย่างมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .01 ทุกองค์ประกอบสามารถรว่ มกันอธิบายความแปรปรวนของคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 ได้ 73.469% คำ� ส�ำคัญ : การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชิงส�ำรวจ, คุณลักษณะของครู 4.0 1 นกั ศึกษาระดบั มหาบัณฑิต สาขาวิชาประเมนิ ผลและวจิ ัยการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Evaluation and Education Research Program, Faculty of Education, Chiang Mai University 2 อาจารย์ ดร. สาขาประเมนิ ผลและวิจัยการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ Dr. Program Evaluation and Education Research Faculty of Education, Chiang Mai University วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 111 ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Abstract The purposes of this study was to explore the factor characteristics of teacher 4.0 under the office of basic educatin commission by the hypothetical mdel based n empirical data. The research sample consisted of 587 teacher under the office of basic education commission. The Multi-Stage Random Sampling method was used for sampling. Instruments used in research was as follow ; questionnaire ration scale were 131 items. The content validity (IOC) is 0.8 to 1.0. The reliability is 0.991, Exploratory factor analysis with Principal Component extraction and varimax rotation was employed to analyze the data. The research results indicated that there were 5 factors the characteristics of Teachers 4.0 Under the Office of Basic Education Commission consisted of 1) Personality of teachers that promote thinking and innovation skills 2) knowledge of teachers that promote thinking and innovation skills 3) instruction of teachers that promote thinking and innovation skills 4) measurement and assessment of learners in the 21st century and 5) production skills and technology development. In particular. Standardize factor loading between 0.55 – 0.87. All elements are statistically significant at .01 level. The obtained factors accounted for 73.469% of the characteristics of teacher 4.0 under the office of basic educatin commission. Keywords : Exploratory Factor Analysis, Characteristics of Teachers 4.0 112 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

บทน�ำ ประเทศไทยในปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโลกในยุคดิจิตอล ท�ำให้ต้อง มีการเปล่ียนโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากการเน้นการผลิตภาคเกษตรไปสู่การขับเคล่ือนเศรษฐกิจด้วย นวัตกรรม การศึกษาจึงเป็นกระบวนการท่ีส�ำคัญในการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีความรู้ความสามารถ มี ทักษะการประยุกต์ให้ถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ และมีความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างรู้เท่า ทันการเปล่ียนแปลงต่างๆของประเทศก้าวสยู่ ุค 4.0 การจดั การศึกษา 4.0 จ�ำเป็นทต่ี อ้ งเน้นพัฒนาผูเ้ รียน มีทักษะการคิดสร้างสรรค์ แล้วแปรความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นผลผลิตออกมา (ไพฑูรย์ สินลารัตน์และ คณะ, 2559) การศึกษาที่ผา่ นมา เป็นเพียงแคก่ ารใหค้ วามรู้แกผ่ ู้เรียน โดยใหผ้ ้เู รยี นเขา้ ใจเนือ้ หาสาระใด สารหนงึ่ เป็นหลัก ซึ่งไม่เพยี งพอ กระทรวงศึกษาธิการตอ้ งมีแนวทางปฏิรปู การศกึ ษาเพ่ือรองรับการเปน็ Thailand 4.0 ทชี่ ดั เจน (ดาว์พงษ ์ รตั นสุวรรณ, 2559) ด้านการจดั การเรียนรูท้ เ่ี นน้ การพฒั นาผูเ้ รียน 2 เรอื่ งใหญ่ ๆ คือ 1) การจดั การเรยี นรทู้ ่เี ปน็ การศึกษาเชงิ สร้างสรรค์และผลิตภาพ และ 2) การค้นคว้าวิจัย เพอื่ สร้างสรรคผ์ ลงาน ซึง่ ถอื วา่ เปน็ การสร้างสรรคแ์ ละผลิตภาพอกี รปู แบบหน่ึง (ไพฑูรย ์ สนิ ลารัตน์และ คณะ, 2559) การจัดการศึกษาจึงมีบทบาทส�ำคัญในการที่จะพัฒนาเยาวชนซ่ึงเป็นก�ำลังส�ำคัญของประเทศให้ กา้ วสคู่ วามเปน็ Thailand 4.0 แตเ่ ดมิ การศกึ ษาในอดตี นนั้ เปน็ การศกึ ษาทเ่ี รม่ิ จากการรสรา้ งความรู้ สรา้ ง ความเขา้ ใจ รจู้ กั การคดิ วเิ คราะห์ ซงึ่ ในการศกึ ษา 4.0 ไมไ่ ดเ้ พยี งใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะการคดิ วเิ คราะห์ ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ ทา่ นน้ั แตต่ อ้ งเปน็ การสรา้ งใหผ้ เู้ รยี นสรา้ งผลผลติ หรอื นวตั กรรมใหมอ่ อกมาไดโ้ ดยกระบวนการ ศกึ ษา ตอ้ งใหเ้ ดก็ ไดแ้ สวงหาโอกาส นำ� ไปสกู่ ารออกแบบ คดิ วเิ คราะห์ จากนน้ั ลงมอื ปฏบิ ตั แิ ละนำ� สกู่ ารสรา้ ง ผลผลติ ออกมาใชป้ ระโยชน์ ซงึ่ ครผู สู้ อนตอ้ งเปลย่ี นวธิ คี ดิ และรปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน ให้ เสรภี าพเดก็ เลอื กเรยี นตามความถนดั โดยสง่ เสรมิ เตมิ เตม็ ศกั ยภาพของเดก็ ผเู้ รยี นมคี วามกระตอื รอื รน้ และ คดิ คน้ หาความรแู้ ละคำ� ตอบอยตู่ ลอดเวลา (Active Learner) ในการคน้ หาคำ� ตอบจากสถานการณจ์ รงิ ซงึ่ เปน็ การเรยี นการสอนโดยใชเ้ ทคนคิ วธิ กี ารเพอื่ สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถสรา้ งนวตั กรรมและเหน็ ความสำ� เรจ็ ของผลงานนั้น (ไพฑรู ย ์ สินลารตั นแ์ ละคณะ, 2559) การพัฒนาผู้เรียนให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงของประเทศท่ีจะก้าวสู่ยุค 4.0 ครูจึงมีบทบาทส�ำคัญ ในการจัดการศึกษาการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความคุณลักษณะ การคิดวิเคราะห์ คิด สร้างสรรค์ สร้างสรรค์นวัตกรรมและคิดรับผิดชอบต่อผลงานท่ีตนสร้างข้ึน รูปแบบการเรียนการสอน ในแนว Education 4.0 เพอื่ ให้ผเู้ รยี นมที กั ษะการคิดอยา่ งเปน็ ระบบ คดิ ทนั ทีทันใด พยายามเข้าสู่การ เปลยี่ นแปลงและทา้ ทายในสงิ่ ทย่ี งั ไมร่ ู้ คดิ ใหมแ่ ละใชป้ ระโยชนจ์ ากทางเลอื กตา่ งๆ พฒั นาและสนใจตอ่ เปา้ หมายและทา้ ทาย การศกึ ษาตอ้ งใหอ้ สิ ระในการเรยี นแกผ่ เู้ รยี นอยา่ งกวา้ งขวาง ลงมอื ทำ� จนไดผ้ ลงานและ ใชโ้ ลกเป็นหอ้ งเรยี น รปู แบบการสอนประกอบด้วย 1) เนน้ ท่ีจะสร้างจติ วิญญาณ และทกั ษะในการเป็นผู้ ประกอบการ ใหค้ วามสำ� คญั กบั ผลผลิตหรอื บรกิ ารทน่ี ักเรยี นสรา้ งขน้ึ 2) สามารถสอนใหน้ กั เรยี นควบคมุ โครงงานไดเ้ อง รจู้ กั วางแผนงานและกลยทุ ธก์ ารตลาด 3) ครมู บี ทบาทในฐานะผรู้ ว่ มลงทนุ สนบั สนนุ และ แนะแนว 4) เชื่อมโยงกับชมุ ชนเพือ่ สง่ ผลผลิตเข้าชมุ ชน 5) จดั ส่ิงแวดลอ้ มในโรงเรียนใหเ้ น้นผลผลติ 6) สอนใหน้ ำ� ความรมู้ าจากทตี่ า่ งๆ และ 7) สอนใหผ้ เู้ รยี นรจู้ กั วเิ คราะหเ์ กย่ี วกบั โครงการแลว้ ใชท้ กั ษะในการ แก้ปัญหาเปน็ (Zhao Yong, 2012 อา้ งใน ไพฑูรย์ สินลารตั นแ์ ละคณะ, 2559) ออกแบบประกอบดว้ ย 1) การเปิดใจทำ� ความเขา้ ใจปัญหา 2) ต้ังโจทย์ปญั หาใหถ้ ูกตอ้ ง 3) กลา้ คดิ กล้าลองหลาย ๆ แนวคดิ 4) วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 113 ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

เรยี นรอู้ ยา่ งรวดเรว็ ผา่ นการทำ� และ 5) ทดสอบจรงิ กบั ผใู้ ช้ กระบวนการจดั การศกึ ษาเพอื่ สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี น ในแนวการศกึ ษา 4.0 ครผู สู้ อนจะตอ้ งเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะทจี่ ะนำ� ไปสกู่ ารสรา้ งแนวความคดิ และสามารถ นำ� ไปใช้ในการสร้างนวัตกรรมได้ การศกึ ษาของไทยเมอ่ื กา้ วเขา้ สศู่ ตวรรษที่ 21 ครจู งึ บทบาทสำ� คญั ในการจดั การศกึ ษาดา้ นหลกั สตู ร ดา้ นการจดั การเรยี นการสอน ดา้ นการประเมนิ การเรยี นร ู้ ดา้ นการจดั การชนั้ เรยี น และดา้ นการนเิ ทศเพอื่ พฒั นาครู (พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยนิ ดีสุข, 2560) เพือ่ พฒั นาผู้เรียนใหม้ กี ารคดิ วิเคราะห์ คิด สรา้ งสรรค์ คดิ ผลติ ภาพและคดิ รบั ผดิ ชอบ เพราะการเรยี นรจู้ ะประสบความสำ� เรจ็ หรอื ไมข่ น้ึ อยกู่ บั คร ู ครู จงึ ตอ้ งมคี วามรทู้ างวชิ าการ มที กั ษะการจดั การเรยี นการสอนดว้ ยการจดั กจิ กรรมทจี่ ะใหผ้ เู้ รยี นไดท้ กั ษะการ คิด วิเคราะห์ แกป้ ัญหา คดิ สร้างสรรค์ คิดผลติ ภาพ การเรียนและการท�ำงานรว่ มกัน มบี ุคลิกภาพ ครู 4.0 จงึ เน้นท่จี ะสรา้ งชมุ ชนแหง่ การสงสยั กระตือรือร้น อยากร้แู ละอยากไดค้ �ำตอบขึ้นในช้ันเรียน จากการศึกษางานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะของครู พบว่า งานวิจัยส่วนใหญ่จะศึกษาองค์ ประกอบคุณลักษณะการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ของครูผู้สอนในสถานศึกษา องค์ประกอบคุณลักษณะ ของครูภาษาอังกฤษในโรงเรียนสังกัดส�ำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา โดยในการศึกษาที่ผ่านมา ไม่มีการศึกษาถึง คุณลักษณะของครู 4.0 ด้วยเหตุน้ีผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง ส�ำรวจคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 เพื่อค้นหาองค์ประกอบและตวั บ่งชคี้ ณุ ลกั ษณะของครู 4.0 สงั กัดส�ำนกั งาน คณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานวา่ มอี งคป์ ระกอบและตวั บง่ ชอี้ ะไรบา้ ง เพอ่ื ใหค้ รผู สู้ อนใชเ้ ปน็ แนวทาง ในการพฒั นาตนเอง นอกจากนีห้ น่วยงานทเ่ี กยี่ วข้องสามารถน�ำผลการวจิ ยั ไปใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู พน้ื ฐานในการ ก�ำหนดแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมคณุ ลกั ษณะของครผู ู้สอนใหม้ กี ารพฒั นาไปส่กู ารเปน็ ครู 4.0 ต่อไป ในอนาคต วัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการ ศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน วธิ ดี ำ� เนินการวจิ ยั ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง ประชากรในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน ปีการศกึ ษา 2562 จำ� นวน 372,632 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2562 การค�ำนวณกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการใช้กลุ่มตัวอย่าง ประมาณ 5 เท่าของจ�ำนวนพารามิเตอร์ การวิจัยคร้ังนี้มีพารามิเตอร์ที่ต้องการประมาณค่าจ�ำนวน 118 พารามิเตอร์ ตามแนวคิด Gold (1980 อ้างถงึ ใน นงลกั ษณ ์ วริ ัชชยั , 2542) กลมุ่ ตัวอย่างจ�ำนวน 587 คน โดยใชว้ ธิ ีการสุ่มแบบหลายขัน้ ตอน (Multi - Stage Random Sampling) เครือ่ งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ นี้ ไดแ้ ก่ แบบสอบถามชนดิ มาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) ท่ี ผ้วู จิ ัยสรา้ งขนึ้ จากการสังเคราะห์เอกสาร กรอบแนวคดิ และงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้องกบั คณุ ลักษณะของครู 4.0 114 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื โดยผทู้ รงคณุ วฒุ คิ า่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ คำ� ถามกบั จดุ หมายของการ วัด (IOC) เทา่ กบั 0.8 ถงึ 1.0 รวบรวมข้อมลู ทไ่ี ด้นำ� มาสรา้ ง เป็นแบบสอบถามตัวบง่ ชี้คุณลักษณะของครู 4.0 สังกดั ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน จำ� นวน 131 ข้อ ทดลองใชแ้ บบสอบถามกับครู สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานและไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง หาค่าความเช่ือมั่น โดยใช้ค่า สัมประสิทธ์ิ แอลฟา (Alpha Coefficient) ของครอนบาค มคี ่าความเชอ่ื มน่ั ท้ังฉบบั เทา่ กบั 0.991 การวิเคราะห์ข้อมลู การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ สำ� รวจคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 สงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการกรศกึ ษา ข้ันพนื้ ฐานตามลำ� ดับดงั น้ี 1. เก็บข้อมูลหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) 2. วิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาค่าสถิติพ้ืนฐาน ค่าสถิติท่ีบ่งบอกความเหมาะสมของข้อมูลที่ใช้ใน การวเิ คราะห์ ค่าไค-สแควร์, คา่ ไคเซอร์-มายเออร์-ออลิล และค่าสถติ ิ Bartlett’s Test of Sphericity 3. วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจ (Exploratory Factor Analysis : EFA) สกัดปัจจัยเพื่อ พจิ ารณาจดั กลมุ่ ตวั แปรดว้ ยวิธกี ารสกัดองคป์ ระกอบ (Factor Extraction) โดยวิธสี กดั องคป์ ระกอบหลกั (Principal Component) ใช้วิธกี ารหมนุ แกนองคป์ ระกอบ (Factor Rotation) แบบออโธกอนอล เพื่อให้ ได้องคป์ ระกอบทีเ่ ปน็ อิสระต่อกันดว้ ยวิธีวารแิ มกซ ์ (Varimax) 4. การตงั้ ชอ่ื องคป์ ระกอบ ภายหลงั จากการหมนุ แกนจะไดอ้ งคป์ ระกอบซง่ึ รวมตวั แปรทสี่ งั เกตไดท้ ่ี มีความหมายร่วมกนั ผลการวิจยั ผู้วิจัยได้ท�ำการหาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ของคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เพ่ือเป็นการตรวจสอบข้อมูลเบ้ืองต้นก่อนการวิเคราะห์องค์ประกอบว่า ข้อมลู ทีไ่ ด้มาน้นั มีความสัมพนั ธ์อย่างเพยี งพอตอ่ การวเิ คราะห์องค์ประกอบหรือ โดยพจิ ารณาค่าความเม หาะสมของข้อมูล คือ คา่ สถติ ขิ องไคเซอร์-ไมเยอร-์ ไอลคิน (KMO) และคา่ สถิตขิ องบารท์ เลทท(์ Bartlett’s Test of Sphericity) ตามตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 คา่ สถิตขิ องไคเซอร์-ไมเยอร-์ ไอลคนิ (KMO) และคา่ สถิติของบารท์ เลทท์(Bartlett’s Test of Sphericity) ขององคป์ ระกอบคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 สงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ข้ันพื้นฐาน Kaiser-Meyer-Olkin Bartlett’s Test of Sphericity Measure of Sampling Adequacy Approx. Chi-Square df Sig 0.96 22432.324 703 .00 จากตารางท่ี 1 พบวา่ คา่ สถติ ิ KMO มคี า่ เทา่ กบั 0.963 ซงึ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ขอ้ มลู ทง้ั หมาดของตวั แปร ตา่ ง ๆ นน้ั มคี วามสมั พนั ธก์ นั อยใู่ นระดบั ดมี าก สามารถนำ� ไปวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 115 ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

สังกดั ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานได้ และจากค่าสถติ ิ Bartlett’s Test พบวา่ คา่ สถิติ ไคสแควร์ ทใ่ี ชก้ ารทดสอบมคี า่ เทา่ กบั 22432.324 ซงึ่ มนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .01 แสดงใหเ้ หน็ วา่ เมตริ กซสื หสมั พันธ์ของตัวแปรตา่ ง ๆ มคี วามสมั พันธ์กัน ดงั นั้น เมตริกซ์สหสัมพันธ์ จึงเหมาะสมท่จี ะใช้ในการ วิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานต่อไป เมื่อน�ำข้อมูลมาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานแล้วสามารถจัดกลุ่มองค์ประกอบได้จ�ำนวน 5 องค์ประกอบ ซ่ึงผลการ วเิ คราะห์องค์ประกอบแสดงผลดงั ตาราง 2 ตารางที่ 2 องค์ประกอบ ตัวแปรคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พนื้ ฐาน จำ� นวนตวั แปร คา่ นำ�้ หนกั องคป์ ระกอบ คา่ ไอเกน คา่ รอ้ ยละของความแปรปรวน และ คา่ รอ้ ยละของความแปรปรวนสะสมในแต่ละองคป์ ระกอบของตัวชวี้ ดั คุณลักษณะของครู 4.0 องค์ ชือ่ องคป์ ระกอบ จำ� นวน คา่ น้ำ� หนัก ค่า รอ้ ยละ ค่ารอ้ ยละ ประกอบท่ี ตัวแปร องค์ประกอบ ไอเกน ของความ ความ แปรปรวน แปรปรวน 1 บคุ ลิกภาพของครูทส่ี ง่ เสรมิ 13 0.57-0.87 19.81 52.13 สะสม ทกั ษะการคิดและนวัตกรรม 52.14 62.55 2 ความรู้ท่สี ง่ เสริมทกั ษะการ 8 0.57-0.81 3.96 10.41 66.98 คดิ และนวตั กรรม 70.73 73.58 3 การจดั กจิ กรรมที่สง่ เสริม 8 0.54-0.71 1.69 4.43 ทกั ษะการคดิ และนวตั กรรม 4 ทกั ษะการวดั และประเมิน 5 0.59-0.67 1.42 3.74 ผลผเู้ รยี น 5 ทักษะการผลิตและพัฒนา 4 0.56-0.70 1.08 2.85 สือ่ เทคโนโลยี จากตาราง 2 พบวา่ ค่าไอเกน (Eigen Value) ซึ่งเปน็ ผลบวกกำ� ลังสองของน�้ำหนักองค์ประกอบ ของตวั แปรทัง้ 38 ตวั แปร ในแต่ละองค์ประกอบที่มีคา่ ไอเกน (Eigen) มากกวา่ 1 ขึน้ ไป ไดอ้ งค์ประกอบ ทัง้ หมด 5 องค์ประกอบ ร้อยละความแปรปรวนสะสมทงั้ 5 องคป์ ระกอบ มีค่าเท่ากบั 73.58 เมอ่ื พจิ ารณาคา่ นำ�้ หนกั องคป์ ระกอบวา่ ตวั แปรแตล่ ะตวั ควรอยใู่ นองคป์ ระกอบใด โดยใชเ้ กณฑก์ าร พจิ ารณคา่ นำ้� หนกั องคป์ ระกอบ (Factor Loading) ตอ้ งมคี า่ มากกวา่ 0.30 แลว้ จงึ พจิ ารณาองคป์ ระกอบ คดั เลอื กเฉพาะตวั แปรทมี่ นี ำ�้ หนกั องคป์ ระกอบ (Factor Loading) สงู สดุ บนองคป์ ระกอบนน้ั พจิ ารณาถงึ จำ� นวนตัวแปรท่รี ว่ มกนั ช้วี ัดค่าความแปรปรวนของแตล่ ะองคป์ ระกอบตง้ั แต่ 3 ตวั ขึ้นไปจากการวิเคราะห์ 116 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ ปีท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

องค์ประกอบเชิงส�ำรวจท�ำให้ได้องค์ประกอบของคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพื้นฐาน ทเ่ี หมาะสมจำ� นวน 5 องค์ประกอบ ประกอบด้วยตวั แปรท้งั สน้ิ 38 ตวั แปร ดงั นี้ องคป์ ระกอบท่ี 1 ดา้ นบุคลกิ ภาพของครทู ่สี ง่ เสริมทักษะการคิดและนวัตกรรม จำ� นวน 13 ตวั บ่งชี้ คือ 1) เปิดรับเทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูล 2) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง 3) รู้เท่าทันส่ือ 4) มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 5) มีความกระตือรือร้นท่ีจะรับความรู้และแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ 6) ใจกว้างและยอมรบั ความคิดเหน็ ของผู้อนื่ 7) มีความอดทนและอดกล้นั 8) เปน็ ผใู้ ห้คำ� ปรกึ ษาและการ สอนแนะกับเพือ่ นร่วมงาน (Coaching and Mentoring) 9) มคี วามยืดหยนุ่ 10) มเี หตุผล 11) มคี วาม ยตุ ธิ รรม 12) เปน็ คนช่างสังเกต และ 13) มคี วามละเอยี ดรอบคอบ มนี �้ำหนกั องคป์ ระกอบต้งั แต่ 0.57 ถึง 0.87 มคี า่ ผลรวมของความแปรปรวน 19.811 คดิ เปน็ รอ้ ยละ52.13 ของความแปรปรวนทง้ั หมด มคี า่ ความ แปรปรวนสะสมร้อยละ 52.14 องค์ประกอบท่ี 2 ด้านความรู้ที่ส่งเสริมทักษะการคิดและนวัตกรรม จ�ำนวน 8 ตัวบ่งชี้ คือ 1) มีความรู้เกีย่ วกับลกั ษณะการจัดการเรยี นรู้ตามแนว Active Learning 2) มีความรู้เกี่ยวกบั ทกั ษะการ คิดวิเคราะห์ 3) ความรู้เกี่ยวกับทักษะการคิดแก้ปัญหา 4) ความรู้เกี่ยวกับทักษะการคิดสร้างสรรค์และ นวัตกรรม 5) ความร้เู ก่ยี วกบั การจดั กิจกรรมการเรยี นรูท้ สี่ ง่ เสริมการคดิ แก้ปัญหา 6) ความร้เู กย่ี วกบั จัด กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ส่ี ง่ เสรมิ การคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม 7) ความรเู้ กยี่ วกบั เทคนคิ การจดั กจิ กรรมการ เรียนรู้แบบบรู ณาการ และ 8) ความรเู้ กยี่ วกบั การประเมินผลในศตวรรษที่ 21 น้�ำหนักองค์ประกอบตัง้ แต่ 0.57 ถงึ 0.81 มีคา่ ผลรวมของความแปรปรวน 3.96 คิดเป็นรอ้ ยละ10.41 ของความแปรปรวนท้ังหมด มี ค่าความแปรปรวนสะสมร้อยละ 62.55 องคป์ ระกอบที่ 3 ดา้ นการจดั กิจกรรมที่สง่ เสรมิ ทักษะการคิดและนวัตกรรม จ�ำนวน 8 ตัวบ่ง ช้ี คือ 1) การออกแบบการจดั การเรียนรตู้ ามแนว Active learning 2) การจัดสภาพแวดลอ้ มทเ่ี อือ้ ต่อ การคิดวิเคราะห์ คดิ แก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์และนวตั กรรม 3) การจัดการเรียนรแู้ บบ Actve Learning 4) การจดั การเรยี นรทู้ สี่ ง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 5) การจดั การเรยี นรทู้ สี่ ง่ เสรมิ ทกั ษะการคดิ แกป้ ญั หา 6) การจัดการเรยี นรู้ทีส่ ่งเสรมิ ทักษะการคิดสร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม 7) มีทกั ษะการสื่อสาร และ 8) การ จดั กิจกรรมท่สี ่งเสริมทกั ษะการทำ� งานเปน็ ทีม มนี �้ำหนกั องคป์ ระกอบต้งั แต่ 0.54 ถึง 0.71 มคี า่ ผลรวม ของความแปรปรวน 1.69 คิดเปน็ ร้อยละ 4.43 ของความแปรปรวนท้งั หมด มีค่าความแปรปรวนสะสม รอ้ ยละ 66.98 องค์ประกอบที่ 4 ด้านทักษะการวดั และประเมินผลผู้เรยี นศตวรรษที่ 21 จ�ำนวน 5 ตวั บง่ ช้ี คอื 1) การใช้วิธีการประเมินผลผู้เรียนท่ีหลากหลาย 2) การวิเคราะห์ผู้เรียนเพ่ือน�ำผลมาปรับปรุงการเรียนรู้ 3) การสะท้อนผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 4) การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง และ 5) การประเมนิ ผลเพอื่ พฒั นาการเรยี นรู้ มนี ำ�้ หนกั องคป์ ระกอบตง้ั แต่ 0.59 ถงึ 0.67 มคี า่ ผลรวมของความแปรปรวน 1.42 คดิ เปน็ ร้อยละ 3.74 ของความแปรปรวนทัง้ หมด มีคา่ ความแปรปรวนสะสมร้อยละ 70.73 องคป์ ระกอบท่ี 5 ด้านทักษะการผลติ และพัฒนาสอื่ เทคโนโลยี จำ� นวน 4 ตัวบ่งชี้ คอื 1) ความรู้ เกย่ี วกบั สอ่ื นวตั กรรมและเทคโนโลยเี พอื่ พฒั นาการเรยี นร ู้ 2) การผลติ เลอื กใชส้ อ่ื นวตั กรรมและเทคโนโลยี ในการสอนทท่ี นั สมัย 3) การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชส้ ่อื นวัตกรรมและเทคโนโลยที ีห่ ลากหลาย และ 4) ทกั ษะ การใชเ้ ทคโนโลยีในการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ มีนำ้� หนักองค์ประกอบตง้ั แต่ 0.56 ถงึ 0.70 มคี ่าผล รวมของความแปรปรวน 1.08 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 2.85 ของความแปรปรวนทงั้ หมด มคี า่ ความแปรปรวนสะสม รอ้ ยละ 73.58 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ 117 ปีที่ 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

สรุปและอภิปรายผล จากสรุปผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจคุณลักษณะของครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน สามารถอภปิ รายผลไดด้ ังนี้ องค์ประกอบที่ 1 “บุคลิกภาพของครูท่ีส่งเสรมิ ทกั ษะการคิดและนวตั กรรม”ประกอบดว้ ย 13 ตัว บง่ ช้ี มคี า่ นำ้� หนักองค์ประกอบต้งั แต่ 0.573 ถึง 0.869 แสดงใหเ้ หน็ ว่าครู 4.0 ควรเปน็ ผทู้ ่ีมีความคิดริเร่ิม สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์และคิดวิจารณ์ รู้เทา่ ทนั สื่อ มีความกระตือรอื รน้ ท่รี ับความรู้และแสวงหาความรู้ ประสบการณใ์ หม่ ๆ สามารถปรบั ตวั ตอ่ การเปลย่ี นแปลง สอดคลอ้ งกบั สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ขั้นพ้นื ฐาน (2553 น. 14-16) กล่าวถงึ คุณลักษณะครู คือเป็นผูท้ ม่ี ีความความคดิ รเิ ร่ิม วิจารณ์และตัดสนิ อย่างมีเหตุผล มีมนษุ ยสมั พนั ธ์ท่ีด ี กระตอื รอื รน้ ทร่ี บั ความรูแ้ ละแสวงหาความรปู้ ระสบการณใ์ หม่ ๆ องค์ประกอบท่ี 2 “ความรทู้ ่สี ่งเสรมิ ทกั ษะการคดิ และนวัตกรรม” ประกอบด้วย 8 ตวั บ่งชี้ นำ้� หนัก องค์ประกอบต้ังแต่ 0.566 ถึง 0.810 แสดงให้เห็นว่าครู 4.0 ควรมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาที่สอน เทคนิควิธีการการสอน การสร้างบรรยากาศท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา และสรา้ งสรรคน์ วตั กรรม สอดคลอ้ งกบั ทวศี กั ด ิ์ จนิ ดานรุ กั ษ์ (2560 น. 14-29) กลา่ ววา่ ครใู นยคุ การศกึ ษา 4.0 ควรมีความรคู้ วามเข้าใจในวชิ าหรอื เนื้อหาท่ีสอน กรอบความคดิ ของเน้ือหาท่สี อน และมคี วามรดู้ ้าน เทคนิค วธิ กิ ารสอน เช่นเดียวกบั Clark (1995 pp. 4-6) ครจู ำ� เปน็ ต้องมีความร้ใู นเน้ือหาวิชา วธิ กี ารสอน มีความรู้ในเร่ืองนักเรียนและคุณลักษณะของนักเรียน มีความรู้ในบริบททางการศึกษา และมีความรู้ใน เปา้ หมายของการศกึ ษาและคา่ นิยมต่าง ๆ องค์ประกอบที่ 3 “การจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมทักษะการคิดและนวัตกรรม” ประกอบด้วย 8 ตัว บ่งชี้ มีน�้ำหนักองค์ประกอบต้ังแต่ 0.539 ถึง 0.711 แสดงให้เห็นว่าครู 4.0 ควรมีการออกแบบการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนว Active Learning ครูจัดสภาพแวดล้อมท่ีให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติโดย ใช้กระบวนการการคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม จัดกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนได้ แลกเปลย่ี นประสบการณโ์ ดยการพู การเรยี น การอภปิ รายกบั เพอื่ น ๆ สอดคลอ้ งกบั พาสนา จลุ รตั น์ (2561) บทบาทของครผู สู้ อนในยคุ 4.0 คอื ครมู หี นา้ ทว่ี างแผนการจดั การเรยี นรู้ ออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ และ เตรียมสอ่ื อุปกรณ์การเรยี นร้ใู ห้เหมาะสม เชเ่ ดยี วกบั แนวคิดวธิ ีการเรยี นการสอนในแบบ CCPR Model (ไพฑรู ย ์ สนิ ลารตั น์ และคณะ. 2559 น. 67-68) กลา่ ววา่ การจดั การเรยี นรแู้ บบ Criticality_Based เนน้ การ คดิ วเิ คราะหว์ จิ ารณเ์ ปน็ หลกั Creativity-Based การจดั กจิ กรรมทเี่ นน้ การสนบั สง่ เสรมิ ใหผ้ คู้ ดิ อะไรใหม่ ๆ มีมุมมองใหม่ ฝึกท�ำงานใหม่เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดใหม่ Productivity-Based การจัดกิจกรรม โดยการแสวงหาวิธีการต่างๆมีเป้าหมายให้ผ้เู รียนไดส้ ร้างสรรคผ์ ลงาน และ Responsibility-Based การ จดั กจิ กรรมในการสอนใหผ้ ู้เรียนมีความรบั ผดิ ชอบ คณุ ธรรม จริยธรรมและความเสียสละ รวมท้งั ครูผู้สอน ควรจดั การเรยี นรทู้ เ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งแทจ้ รงิ ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ และรวู้ ธิ แี สวงหาความรู้ ดว้ ยตนเองจากแหลง่ ความรตู้ า่ งๆ จนทำ� ใหผ้ เู้ รยี นสามารถนำ� องคค์ วามรทู้ มี่ อี ยมู่ าบรู ณาการเชงิ สรา้ งสรรค์ เพื่อสรา้ งผลผลิตหรอื นวตั กรรมต่างๆข้นึ ได้ องคป์ ระกอบท่ี 4 “ทกั ษะการวดั และประเมินผลผ้เู รียนศตวรรษท่ี 21” ประกอบด้วย 5 ตัวบ่งช ี้ มีน้�ำหนกั องคป์ ระกอบตง้ั แต่ 0.594 ถึง 0.667 แสดงใหเ้ ห็นว่าครู 4.0 ควรมคี วามรู้ ความเข้าใจหลกั และ วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผลผเู้ รยี น มที กั ษะการวดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ โดยใชเ้ ครอื่ งมอื ทหี่ ลากหลาย และนำ� สะทอ้ นผลการจดั การเรยี นรมู้ าปรบั ปรงุ และพฒั นาการจดั การเรยี นการสอน สอดคลอ้ งกบั หลกั สตู ร 118 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ ปที ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน 2551 (2551 น. 28) การวัดและประเมินผลการเรียนรูเ้ ป็นกระบวนการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒาการ ความก้าวหน้า และความส�ำเร็จทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการ พฒั นาและเรียนรอู้ ยา่ งเต็มศกั ยภาพ เช่นเดียวกบั ไพฑรู ย์ สินลารตั น์ และคณะ (2560 น. 105-111) กล่าว ถึง 7 วิธีการวดั และประเมินผลโรงเรียนผลิตภาพ เป็นการประเมินทีเ่ น้นให้ผู้เรยี นปฏบิ ัตซิ ึง่ อาจจะปฏบิ ัติ ในหอ้ งเรียนหรอื นอกหอ้ งเรียน การประเมนิ ผเู้ รียนได้หลายมิติ เช่น ความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ การคดิ และคุณลักษณะต่าง ๆ วิธีการในการประเมินผลประกอบด้วย การสังเกต การสัมภาษณ์ การตรวจงาน การรายงานตนเองของนักเรียน การบันทึกจากผู้ท่ีเก่ียวข้อง การใช้ข้อสอบแบบเน้นการปฏิบัติจริงและ การประเมินโดยใช้แฟม้ สะสมงาน องคป์ ระกอบท่ี 5 “ทักษะการผลติ และพฒั นาส่อื เทคโนโลยี” ประกอบด้วย 4 ตวั บ่งช ี้ มีน�ำ้ หนกั องค์ประกอบต้ังแต่ 0.557 ถึง 0.696 แสดงให้เห็นว่าครู 4.0 ควรมีความรู้เกี่ยวกับสื่อนวัตกรรมและ เทคโนโลยี สามารถผลิต/เลือกใช้สื่อนวัตกรรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยและหลากหลายน�ำมาใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมกับผู้เรียน และการใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบ วัดและประเมินผลการเรียนรู้ สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) ได้ก�ำหนดยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและใช้ส่ือและเทคโนโลยีคือ ยุทธศาสตร์ท่ี 5 ส่งเสริมและพัฒาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพ่ือการศึกษาโดยการพัฒนาระบบเครือข่าย เทคโนโลยีดิจิทัลเพ่ือการศึกษาและการบริหารจัดการท่ีทันสมัยและไม่ซ้�ำซ้อนให้ผู้รับบริการสามารถ เข้าถึงได้อยา่ งทั่วถงึ และมปี ระสทิ ธภิ าพ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน�ำผลการวิจัยไปใช้ จากผลการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ สำ� รวจคณุ ลกั ษณะของครู 4.0 สงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พบวา่ คา่ น�้ำหนักของตัวแปรท�ำให้ได้องคป์ ระกอบของคุณลกั ษณะของครู 4.0 สงั กัด สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน ท่ีเหมาะสมจำ� นวน 5 องค์ประกอบ ประกอบดว้ ยตัวแปร ทั้งส้ิน 38 ตัวแปร ซ่ึงครูผู้สอนสามารถน�ำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองท้ังด้านความรู้ ด้านการ จัดการเรียนการสอน การวัดประเมินผล สอ่ื และเทคโนโลยี และการพฒั นาตนเองเพ่อื ให้ผเู้ รียนเกิดทกั ษะ การคดิ และนวตั กรรมต่อไป ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้งั ต่อไป การวิจัยครั้งน้ีผู้วิจัยได้ท�ำการวิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะครู 4.0 สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน โดยใชว้ ธิ วี เิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ สำ� รวจ ควรมรี ปู แบบวธิ กี ารจดั การเรยี น การสอนเพอื่ ใหเ้ กดิ ผลเปน็ รปู ธรรมเพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ คดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรมซงึ่ สอดคลอ้ งกับการศึกษาไทย 4.0 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 119 ปที ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2560). แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรงุ เทพฯ: พรกิ หวานกราฟฟคิ . กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2552). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน 2551. กรงุ เทพมหานครฯ: โรงพมิ พ์ ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย. ดาวนพ์ งษ์ รตั นสวุ รรณ. (2559). การบรรยายพเิ ศษ เรื่อง “ประเทศไทยกับการก้าวไกลทางการศึกษา”. การประชุมวิชาการเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาเขตภาคกลางเพื่อการพัฒนาบัณฑิตอุดมศึกษา ประจำ� ปี 2559. สบื คน้ จาก http:// www.kroobannok.com/79814. ทวีศักด์ิ จินดานุรักษ์. (2560). ครูและนักเรียนในยุคการศึกษาไทย 4.0. วารสารมหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธริ าช, 7 (2), 14-29. นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2542). โมเดลลิสเรล: สถิติการวิเคราะห์ส�ำหรับการวิจัย (พิมพ์ครั้งท่ี 3). กรุงเทพ มหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พาสนา จุลรัตน์. (2561). การจัดการเรียนรู้ส�ำหรับผู้เรียนในยุคThailand 4.0. วารสารมหาวิทยาลัย ศลิ ปากร, 11(2), 2363-2380. พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข. (2560). ทักษะ 7C ของครู 4.0. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ไพฑรู ย ์ สนิ ลารตั นแ์ ละคณะ. (2559). การศกึ ษา 4.0 เปน็ ยง่ิ กวา่ การศกึ ษา (พมิ พค์ รง้ั ที่ 3). กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ไพฑูรย์ สนิ ลารตั น์และคณะ. (2560). โรงเรยี น 4.0: โรงเรยี นผลติ ภาพ (พิมพ์ครัง้ ที่ 2). กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ไพฑูรย์ สินลารัตน์และคณะ. (2560). ก่อนถึงโรงเรียน 4.0: โรงเรียนสร้างสรรค์ (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. รัศมี เลิศอารมย์. (2549). ปัจจัยท่ีส่งผลต่อสมรรถภาพครูวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนในเครือมูลนิธิคณะ เซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรงุ เทพฯ อภภิ า ปรชั ญพฤทธ.ิ์ (2560). การพฒั นารปู แบบการผลติ ครเู พอื่ รองรบั การศกึ ษายคุ 4.0. วารสารรม่ พฤกษ์ มหาวิทยาลัยเกรกิ , 35(3), 102-135. Clark, Onristopher M. (1995). Thoughtful Teaching. London : Cassell. 120 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ปีที่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

การสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปตั ตานี สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ตามกระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ งั คม The Construction of Textbook for Third Grade Students to Promote Reading On a Series of The Legend of Pattani, Pattani Province Based On Creative Society Paradigm Received : 2020-05-17 Revised : 2020-05-26 Accepted : 2020-07-20 ผวู้ ิจัย นายูฮนั กูจ1ิ Nayuhan Kuji1 [email protected] Phatchalin Jeennoon2 พชั ลนิ จ์ จีนนนุ่ 2 Montana Pipatpen3 มณฑนา พิพฒั น์เพญ็ 3 บทคดั ยอ่ งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์กระบวนการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ต�ำนาน เมืองปตานี จงั หวัดปตั ตานี ตามกระบวนทศั นส์ ร้างสรรค์สังคม โดยใช้วธิ ีวิจยั เชงิ ปฏิบัติการแบบมีสว่ นร่วม 2) วิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ทักษะการอ่านจับใจความและกระบวนการสร้างองค์ความรู้จากการอ่าน ด้วยตนเอง โดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง 3) วิเคราะห์ผลของการเรียนรู้การอ่านจับใจความ จากหนังสือส่งเสริมการอ่านที่มีต่อการปรับเปล่ียนจิตส�ำนึกรักถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง โดยสะท้อนผล จากกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการวจิ ยั พบวา่ การสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น เปน็ กระบวนทศั นใ์ นการสรา้ งสรรคค์ วามรแู้ ละ ความจรงิ ในการเลา่ เรอื่ งตำ� นานของทอ้ งถน่ิ ภายใตก้ ระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ งั คมทอี่ ยบู่ นพนื้ ฐานของความ เขา้ ใจซงึ่ กนั และกนั โดยเนน้ การสรา้ งความรกั ความสามคั คี และการปลกู ฝงั ใหเ้ ยาวชนมจี ติ สำ� นกึ รกั ถน่ิ ฐาน บ้านเกิดของตนเอง กระบวนการเรียนรู้ทักษะการอ่านจับใจความตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง พบว่า นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้โดยใช้วิธีการท่ีหลากหลาย ได้แก่ การตั้งค�ำถาม การเรียนรู้แบบร่วมมือ และการลงมอื ปฏิบัติ ผลของการเรยี นรู้การอ่านจับใจความ ท�ำให้นักเรียนมคี วามเขา้ ใจในการอ่านมากขึ้น นอกจากนย้ี งั สง่ ผลใหน้ กั เรยี นเกดิ ความภาคมู ใิ จในบา้ นเกดิ ของตนเอง และเกดิ ความสามคั คใี นการอยรู่ ว่ ม กนั ในสงั คมมากข้ึน ค�ำส�ำคญั : หนงั สือสง่ เสริมการอา่ น, ต�ำนานเมอื งปตานี, กระบวนทัศนส์ ร้างสรรคส์ งั คม 1 นสิ ติ หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑติ สาขาภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ Students Department of Education in Thai Language 2 ผศ.ดร., อาจารย์ประจำ�คณะมนุษยศาสตร์ ประธานกรรมการทปี่ รกึ ษาวิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยทักษณิ Assistant Professor, Ph.D.Faculty Of Humanities and Social Sciences Thaksin University 3 ผศ.ดร., อาจารยป์ ระจำ�คณะศกึ ษาศาสตร์ ประธานกรรมการทป่ี รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ Assistant Professor, Ph.D.Faculty Of Faculty of Education, Thaksin University วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ 121 ปีท่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Abstract This research aimed to 1) analyze processes in constructing a Textbook to promote reading on legendary series of Pattani, Pattani Province based on creative society paradigm. 2) Analyze learning process, reading comprehension skills and process of creating knowledge from self-reading by using constructivist theory. 3) Analyze the effect of learning, reading comprehension skills, from book to promote reading toward the change in the consciousness to love own homeland by reflecting the result of learning activities. The results of the research showed that the construction of a reading promotion was a paradigm in creating knowledge and tact in the telling of local legends under the paradigm of creating a society based on mutual understanding. By focusing on creating love, unity and cultivating young people with a sense of love for their homeland. The process of learning comprehension skills based on the constructivist theory found that students can learn how to use a variety of methods, including questioning, collaborative learning, and practical learning. Consequently, this promoted reading has made students more understanding of reading comprehension. In addition, it can result in students’ pride in their own homeland to create unity in living together in society. Keywords : The construction of a reading promotion, the legendary series of Pattani, the creative social paradigm 122 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ ปีท่ี 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

บทน�ำ การอ่านถือเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อแสวงหาความรู้ การอ่านเป็นทักษะพ้ืนฐานของการศึกษา ท่ีมีความส�ำคัญอันจะส่งผลให้นักเรียนได้เพ่ิมพูนความรู้ ความเข้าใจ และสามารถพัฒนาสติปัญญาต่อไป ดังที่ สมชาย หอมยก (2550 : 38) ไดใ้ หค้ วามสำ� คัญของการอ่านว่า การอ่านช่วยเพม่ิ เติมความรู้ ความคดิ และประสบการณ์ การอา่ นชว่ ยสง่ เสรมิ วจิ ารณญาณในการรบั สาร เพอื่ ใหส้ ามารถตดิ ตามความเคลอื่ นไหว และการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ของสังคม ท้ังยงั ทำ� ใหม้ ีโลกทศั น์ท่ีกว้างไกล แม้วา่ การอา่ นจะเป็นประตสู ู่โลกกวา้ ง ท�ำใหค้ นฉลาด ร้จู กั คิด และมีโลกทศั น์กวา้ ง แต่คนสว่ นใหญ่ ไมใ่ หค้ วามสำ� คญั กบั การอา่ นเพอื่ การเรยี นรู้ การอา่ นจงึ กลายเปน็ ปญั หาทสี่ ำ� คญั ในการเรยี นรู้ คอื เมอ่ื อา่ น แลว้ จับใจความส�ำคญั ไมไ่ ด้ ไมส่ ามารถสรปุ ประเด็นได้ ไม่สามารถแยกความรู้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ คิดเห็น และ แยกใจความสำ� คญั กบั ใจความรองได้ ผอู้ า่ นจงึ ไมไ่ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากการอา่ นเทา่ ทคี่ วร ดงั ที่ ศริ วิ รรณ เสนา (2541 น. 40) กล่าวว่า ความเขา้ ใจในการอ่านถอื เปน็ หวั ใจส�ำคัญของการอ่าน ถา้ ผอู้ ่านไม่สามารถเขา้ ใจ ในสิ่งท่ีอ่านและไม่สามารถจับใจความส�ำคัญของส่ิงท่ีอ่านได้ ผู้อ่านก็ไม่สามารถ ท่ีจะน�ำสาระความรู้และ ข้อเสนอไปใช้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้การอ่านน้ันถือเป็นการอ่านท่ีไม่สมบูรณ์ หากนักเรียน จับใจความจากส่งิ ที่อา่ นไม่ได้ ประสทิ ธภิ าพของการอา่ นกจ็ ะลดนอ้ ยลง การศกึ ษากจ็ ะไม่ได้รบั การพัฒนา เทา่ ทค่ี วร โดยเฉพาะการอา่ นจบั ใจความในระดบั ประถมศกึ ษา ซง่ึ เชอ่ื มโยงกบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของ นักเรียนในระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ผลการทดสอบความสามารถด้านภาษาซ่ึงอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้าง ตำ่� จะเห็นไดจ้ ากการทดสอบความสามารถพ้นื ฐานของผูเ้ รียนระดับชาติ (National Test : NT) ในปีการ ศกึ ษา 2560 พบวา่ ผลการทดสอบความสามารถพ้นื ฐานดา้ นภาษาระดบั ประเทศ มีคะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละ 52.67 ระดับคณุ ภาพพอใช้ ระดับเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาปัตตานี เขต 1 มคี ะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 40.64 ระดบั คณุ ภาพพอใช้ จะเห็นได้ว่า ผลการทดสอบความสามารถพื้นฐานของผูเ้ รยี นระดับชาติ และ ระดับเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 1 อยู่ในเกณฑพ์ อใช้ ซง่ึ อยู่ในเกณฑท์ ค่ี ่อนขา้ งต�่ำ การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรูภ้ าษาไทย กำ� หนดให้สาระและมาตรฐานสาระการเรยี นรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้ กระบวนการสร้างความร้แู ละความคดิ เพื่อน�ำไปใช้ตัดสนิ ใจ แก้ปญั หาในการดำ� เนินชวี ิตและมีนิสัยรักการ อา่ น จะเหน็ ว่า มาตรฐานการเรียนรกู้ ารอา่ นเป็นพื้นฐานส�ำคัญในการแสวงหาความรู้ และนำ� ความรู้จาก การอา่ นไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั เปน็ สงิ่ สำ� คญั ดงั นน้ั การจดั การเรยี นรขู้ องนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปีท่ี 3 จ�ำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน โดยเฉพาะการอ่านจับใจความจาก ส่ือตา่ ง ๆ ซงึ่ ถือเป็นหัวใจส�ำคญั ในการเรยี นรู้ เพราะเมือ่ นกั เรยี นมคี วามบกพรอ่ งในดา้ นการอา่ น คอื ขาด ความเข้าใจในการอ่าน จึงไมส่ ามารถจับใจความจากเร่อื งทอ่ี ่านได้ ประสทิ ธิภาพในด้านการเรยี นรกู้ จ็ ะลด น้อยลง และส่งผลต่อประสิทธภิ าพในดา้ นการเรยี นในสาระการเรยี นรอู้ ่นื ๆ ลดนอ้ ยลงด้วยเช่นกัน แนวทางในการพฒั นาและแกไ้ ขปญั หาการอา่ นทเี่ หมาะสมกบั นกั เรยี นระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษา คอื การ ให้นกั เรยี นไดฝ้ ึกทักษะการอ่านบอ่ ย ๆ มหี นงั สือส่งเสริมการอา่ น เพื่อให้นกั เรียนไดฝ้ ึกทักษะการอ่านโดย เฉพาะ อยา่ งยงิ่ หนงั สอื ทเี่ กย่ี วกบั เรอ่ื งใกลต้ วั ของผเู้ รยี น เชน่ เรอ่ื งราวในทอ้ งถน่ิ ของตนเอง ซง่ึ จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี น เกดิ ความสนใจมากขนึ้ การอา่ นหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นทเี่ หมาะสม โดยเฉพาะเรอื่ งราวทใ่ี กลต้ วั ในทอ้ งถนิ่ มาสรา้ งเปน็ องคค์ วามรู้ สง่ เสรมิ ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ทกั ษะในการอา่ นและมนี สิ ยั รกั การอา่ นยงิ่ ขนึ้ สามารถสะทอ้ น ภาพของทอ้ งถนิ่ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน หนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นจงึ นบั วา่ มคี วามสำ� คญั ตอ่ ผเู้ รยี นอยา่ งมากสามารถ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ 123 ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

พัฒนาใหผ้ เู้ รยี นได้เรยี นรจู้ ากสิ่งทอี่ ยูใ่ กล้ตวั และฝึกปฏิบัติในสงิ่ ทีท่ ำ� ได้ ทำ� ให้ผู้เรยี นคดิ เป็น ท�ำเปน็ เกิด การใฝร่ ้ใู ฝเ่ รียน และพัฒนาตนเองได้เป็นอยา่ งดี ดงั นน้ั หนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นทเี่ ปน็ เรอื่ งราวเกยี่ วกบั ทอ้ งถน่ิ ของผเู้ รยี นนนั้ จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความ สนใจมากขึ้น และสามารถสร้างจติ สำ� นกึ รักถ่นิ ฐานบา้ นเกดิ ของตนเอง เนื่องจากเปน็ เร่อื งท่เี กยี่ วขอ้ งและ ใกลต้ วั ทำ� ใหผ้ ู้เรียนมคี วามรู้ เขา้ ใจความหลากหลายของประเพณี และวัฒนธรรมของชมุ ชนได้ดีขึน้ โดย เฉพาะวัฒนธรรมในศาสนาแต่ละศาสนาในชุมชน ซ่ึงมีวิถีปฏิบัติในชีวิตประจ�ำวันแตกต่างกัน นับต้ังแต่ ภาษาพูด ภาษากาย กิจวัตรทางศาสนา โดยเฉพาะความแตกต่างด้านภาษาไม่สามารถใช้ภาษาสื่อสาร กันได้ ท�ำใหเ้ กดิ ชอ่ งว่างในการสรา้ งความสัมพันธท์ ี่ดีต่อกนั และความเข้าใจผิดเกย่ี วกบั หลกั การ คนบาง ส่วนมองวา่ เปน็ ชาวมลายู ก็ควรใชภ้ าษามลายใู นการสอ่ื สาร ซ่งึ เป็นความเขา้ ใจผิดทีท่ ำ� ใหผ้ ูเ้ รียนส่วนหนง่ึ ปิดก้นั ตวั เองไมย่ อมเรยี นรภู้ าษาอีกภาษาหนึ่ง การสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นเพอื่ พฒั นาทกั ษะการอา่ นจบั ใจความ ตามกระบวนทศั นส์ รา้ งสรรค์ สงั คม จึงมิใชเ่ ป็นการจดั การเรยี นรเู้ พอื่ พัฒนาทักษะการอา่ นเพียงอย่างเดียวเทา่ นัน้ แตย่ งั เป็นการจดั การ เรยี นรเู้ พอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนรแู้ ละเกิดความภาคภูมิใจในถ่นิ ฐานบา้ นเกดิ ของตนเองอีกด้วย โดยผู้วจิ ยั ได้ใช้ วิธีวิจัยเชิงปฏบิ ตั ิการแบบมสี ่วนรว่ ม (Participatory Action Research : PAR) ซึ่งเป็นการวิจัยประเภท หนงึ่ ทเ่ี นน้ การแกไ้ ขปญั หาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั บรบิ ทของนกั เรยี นและโรงเรยี น เปน็ งานวจิ ยั ทผี่ วู้ จิ ยั เขา้ ไป มสี ว่ นรว่ มในการจดั การเรยี นการสอนดว้ ยตนเอง เพอ่ื เกบ็ รวบรวมประเดน็ ปญั หาและสง่ิ ทตี่ อ้ งการสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ น�ำไปสกู่ ารจดั การเรียนรทู้ เ่ี หมาะสมกบั บรบิ ทต่าง ๆ แนวทางการจดั การเรยี นการ สอนน้ี ครจู งึ ไมใ่ ชผ่ รู้ ู้ แตต่ อ้ งเปน็ ผรู้ ว่ มเรยี นรไู้ ปพรอ้ มกบั นกั เรยี น และชมุ ชน ครตู อ้ งสรา้ งความรขู้ นึ้ มาใชเ้ อง เพอ่ื ทำ� หนา้ ทีใ่ นการเป็นผู้อำ� นวย (วิจารณ์ พานชิ . 2556 น. 52) ดงั นัน้ การสรา้ งหนงั สือส่งเสรมิ การอ่าน เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการอา่ นจบั ใจความ จงึ เปน็ การเรยี นรเู้ พอื่ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง ผเู้ รยี นและ ผวู้ จิ ยั เรยี นรรู้ ว่ มกนั ตลอดจนบคุ คลเกย่ี วขอ้ งในการสรา้ งความตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ในการเรยี นรเู้ รอ่ื งราว ตา่ ง ๆ ผา่ นการอา่ นไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความตระหนกั เหน็ ความสำ� คญั ของเนอ้ื หาทไี่ ด้ เรียนรู้ และช่วยใหผ้ ู้เรยี นรู้จักประยุกต์ นำ� ไปใช้ในชีวิตจริงได้ หนงั สือสง่ เสรมิ การอ่านทีส่ ร้างข้ึน จึงมีความ สอดคลอ้ งกบั แนวทางแกป้ ญั หาการอา่ น เปน็ หนงั สอื ทเ่ี ขยี นขน้ึ มาเพอื่ มงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นาทกั ษะการอา่ น และมนี สิ ยั รักการอา่ นมากยิง่ ขึ้น ช่วยส่งเสรมิ การเรียนรู้ให้ผเู้ รยี นรจู้ ักคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเอง รู้จกั ใช้ เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และสามารถเสริมสร้างทักษะการอ่านจับใจความได้ เน่ืองจากหนังสือส่งเสริม การอา่ นดงั กล่าว เปน็ เรอื่ งทใ่ี กลต้ ัวทผี่ เู้ รยี นมคี วามสนใจ เพราะเปน็ เรอ่ื งเลา่ ในชมุ ชนเกย่ี วกบั บุคคล สถาน ที่ ความเช่ือ สภาพแวดลอ้ ม ลกั ษณะภูมิศาสตร์และประวตั ิศาสตรเ์ กย่ี วกับการปกครอง ทั้งเป็นภูมิปญั ญา ท่ีบอกเล่าเรอ่ื งราวของเมอื งปตานี จงั หวัดปัตตานี และชว่ ยปลกู จิตสำ� นึกให้รกั ถ่นิ ฐานบา้ นเกิดของตนเอง ค�ำถามการวจิ ัย ประเดน็ คำ� ถามสำ� คัญ คือ เง่อื นไขและกระบวนการสรา้ งหนังสอื สง่ เสริมการอ่าน ชดุ ต�ำนานเมือง ปตานี จังหวัดปัตตานี ตามกระบวนทัศน์สร้างสรรค์สังคมเป็นอย่างไร และผลของการจัดการเรียนรู้เพื่อ พฒั นาทักษะการอ่านจับใจความจากหนังสอื สง่ เสรมิ การอ่าน ชุด ตำ� นานเมืองปตานี จังหวดั ปัตตานี ตาม กระบวนทศั นส์ ร้างสรรคส์ งั คมเป็นอยา่ งไร 124 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

วัตถุประสงค์การวจิ ัย 1. เพอื่ วเิ คราะหเ์ งอ่ื นไขและกระบวนการสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปัตตานี ตามกระบวนทศั นส์ รา้ งสรรค์สังคม 2. เพอื่ วเิ คราะหก์ ารเรยี นรทู้ กั ษะการอา่ นจบั ใจความและกระบวนการสรา้ งองคค์ วามรจู้ ากการอา่ น ด้วยตนเอง 3. เพ่ือวิเคราะห์ผลของการเรียนรู้การอ่านจับใจความจากหนังสือส่งเสริมการอ่านท่ีมีต่อการปรับ เปล่ยี นจติ ส�ำนกึ รกั ถิน่ ฐานบา้ นเกดิ ของตนเอง วธิ ีการด�ำเนนิ การวจิ ัย ขัน้ ที่ 1 กระบวนการสร้างหนงั สือส่งเสริมการอ่านตามกระบวนทัศนส์ รา้ งสรรคส์ ังคม 1. กล่มุ ผใู้ ห้ขอ้ มูล การคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลหลัก ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการคัดเลือกท่ีเรียกว่า การคัดเลือกตัวอย่างเชิงทฤษฎี (Theoretical Sampling) โดยเลือกกลุ่มผใู้ ห้ขอ้ มลู หลัก ไดแ้ ก่ 1) นกั วิชาการภมู ปิ ัญญาท้องถ่ิน จ�ำนวน 2 ท่าน 2) ผู้น�ำชุมชนหรือปราชญ์ชาวบ้าน จ�ำนวน 1 ท่าน และ3) บุคคลซึ่งอยู่ในพื้นท่ีจังหวัดปัตตานี จ�ำนวน 2 ท่าน เพ่ือเปิดพ้ืนท่ีให้เจ้าของวัฒนธรรมได้เป็นผู้บันทึกวัฒนธรรมของตนเองในการสร้างสรรค์ ความร้ชู ุดใหม่ ทงั้ นี้ เน่อื งจากกระบวนทศั น์นี้ไม่ไดเ้ ชือ่ เพยี งว่าความจรงิ ถกู สรา้ งขน้ึ มาจากปฏสิ ัมพันธข์ อง คนในบรบิ ทสงั คมเทา่ นน้ั แตย่ งั เชอื่ วา่ คนทเี่ ขา้ มาปฏสิ มั พนั ธก์ นั สามารถตอ่ รองความหมายและสรา้ งความ จรงิ ชุดใหม่ได้ ดงั น้นั การวจิ ัยภายใต ้ กระบวนทศั น์น้ีจึงใหค้ วามส�ำคัญกับการท�ำใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ การเปดิ พน้ื ทีใ่ ห้กับความจรงิ และความร้ซู ่ึงไม่เคยมีมากอ่ น เพอื่ ศกึ ษาเง่ือนไขและกระบวนการ สรา้ งหนงั สอื สง่ เสริมการอา่ น ชุด ต�ำนานเมืองปตาน ี จงั หวัดปัตตานีตามกระบวนทัศนส์ รา้ งสรรคส์ งั คม 2. เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั และการตรวจสอบคณุ ภาพ การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิครั้งนี้ ผูว้ ิจยั มกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยการใชแ้ บบสมั ภาษณเ์ ชิงลึก (Indepth Interview) ส�ำหรับสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชุด ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปัตตานี ส�ำหรบั นักเรยี น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในการสมั ภาษณผ์ ้ใู หข้ อ้ มลู หลัก ทัง้ 5 คน ซึง่ ประกอบด้วย นกั วชิ าการภมู ปิ ญั ญา ทอ้ งถน่ิ จ�ำนวน 2 คน ผู้นำ� ชุมชนหรือปราชญช์ าวบา้ น จำ� นวน 1 คน และคนทอี่ าศัยอยูใ่ นพน้ื ที่จังหวดั ปัตตานี จ�ำนวน 2 คน มีการก�ำหนดแนวค�ำถามในการสัมภาษณ์ และหัวข้อในการสนทนาไว้เป็นหัวข้อ กว้าง ๆ และเป็นค�ำถามปลายเปดิ เพ่ือใหผ้ ู้วจิ ยั ได้พูดคยุ กบั ผู้ใหข้ อ้ มูลหลักอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ มีการเปิด ประเดน็ สนทนาเพอื่ ใหก้ ารเขา้ ถงึ ปรากฏการณม์ ลี กั ษณะเปดิ กวา้ ง ครอบคลมุ ประเดน็ ซงึ่ ตวั อยา่ งประเดน็ คำ� ถามทใ่ี ชใ้ นการสัมภาษณ์ เช่น การเช่อื มโยงคำ� ถามเพื่อเปิดโอการสใหผ้ ใู้ หข้ อ้ มลู เล่าประวัติความเป็นมา ของตำ� นานในแตล่ ะเรอื่ ง เพอ่ื ศกึ ษาลกั ษณะของโครงสรา้ งของตำ� นานมลี กั ษณะอยา่ งไรบา้ ง การเปดิ โอกาส ใหผ้ ใู้ หข้ อ้ มลู ไดม้ สี ว่ นรว่ มในการสรา้ งสรรคอ์ งคป์ ระกอบในทางวรรณกรรม เชน่ การถามความเหมาะสมของ ตัวละครในการด�ำเนินเรือ่ งควรมีลกั ษณะอยา่ งไรบ้าง ตลอดจนการเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเหน็ ในการ กำ� หนดกจิ กรรมการเรยี นการสอนควรมลี กั ษณะอยา่ งไรบา้ ง เพอ่ื สรา้ งความตระหนกั ใหน้ กั เรยี นเหน็ ความ สำ� คญั การเรยี นรเู้ รอื่ งราวประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ เปน็ ตน้ โดยมวี ธิ กี ารสรา้ งและหาคณุ ภาพของเครอื่ งมอื ดงั น้ี วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ 125 ปที ่ี 20 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

1. การสรา้ งหนังสอื ส่งเสริมการอ่าน มลี �ำดับขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษารายละเอยี ดเกย่ี วกบั หลกั การและวิธีการสรา้ งหนังสือส่งเสริมการอา่ น จากต�ำราตา่ ง ๆ ศกึ ษาหลกั ทฤษฎแี ละจติ วทิ ยา ศกึ ษางานวจิ ยั ตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น 2) ศกึ ษาหลกั สตู ร คมู่ อื การจดั การเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ตามหลกั สตู รแกนกลาง การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 และหลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี นประชาอทุ ศิ บา้ นโคกมว่ ง ศกึ ษา คำ� อธบิ ายรายวชิ า ตัวช้วี ดั คมู่ ือครู แบบเรียนและเนอื้ หากล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยชนั้ ประถมศกึ ษา ปที ่ี 3 ท่ีเกี่ยวข้องกบั การอา่ นจบั ใจความ เพื่อก�ำหนดขอบเขตเนือ้ หาของบทเรยี น และก�ำหนดพฤตกิ รรม ทต่ี อ้ งการ 3) เลือกเนื้อหาท่ีจะน�ำมาสอน คือ เรื่องการอ่านจับใจความ ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนประชาอุทิศบ้านโคกม่วง แล้วแบ่งเนื้อหาท่ีจะสอนออกเป็นตอนย่อย ๆ โดยก�ำหนดจุด ประสงค์การเรียนรู้ไว้เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินผลของเน้ือหาแต่ละ ตอนท่ใี ช้ในบทเรียน 4) แบง่ เนอื้ หาแตล่ ะตอนออกเปน็ เลม่ เรยี งลำ� ดบั จากเหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตรท์ เี่ กดิ ขน้ึ กอ่ น และหลงั แล้วก�ำหนดเนอ้ื หาของแต่ละกจิ กรรมให้ตรงตามจดุ ประสงค์ทกี่ ำ� หนดไว้ 5) สร้างหนังสอื ส่งเสริมการอา่ น ชุด ต�ำนานเมืองปตานี จำ� นวน 6 เล่ม ไดแ้ ก่ เรือ่ งที่ 1 ตำ� นาน ลงั กาสุกะ เร่อื งที่ 2 ต�ำนานเมืองปตาน ี เรือ่ งที่ 3 ต�ำนานปนื ใหญ่ พญาตานี เรือ่ งท่ี 4 ตำ� นานมสั ยดิ กรือ เซะ เร่ืองที่ 5 ต�ำนานเจ้าแมล่ ิม้ กอเหน่ยี ว และเร่อื งท่ี 6 ตำ� นานรายากูนิง ใชเ้ วลาในการสอน 20 ช่ัวโมง ซงึ่ แตล่ ะเลม่ ประกอบดว้ ยกจิ กรรมการเรยี นรู้ ดงั น้ี กจิ กรรมเตมิ คำ� ลงในชอ่ งวา่ ง กจิ กรรมจบั ใจความ กจิ กรรม ตอบคำ� ถามจากเรอ่ื ง กจิ กรรมเรยี งลำ� ดบั เหตกุ ารณ์ กจิ กรรมเขยี นแผนภาพโครงเรอ่ื ง และกจิ กรรมเลา่ เรอ่ื ง จากภาพ โดยใช้กระบวนการสรา้ งหนังสอื สง่ เสรมิ การอ่านตามกระบวนทัศน์สรา้ งสรรค์สังคม 6) หาคุณภาพของหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชุด ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวัดปัตตานี เพ่อื พฒั นา ทักษะการอ่านจับใจความ ส�ำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เสนอต่อประธาน และคณะกรรมการ ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสมของการใช้ภาษา ความสอดคล้องของ เน้ือหา จุดประสงค์การเรียนรู้ และการวดั ผลและประเมนิ ผลแล้วนำ� มาปรบั ปรุงแก้ไข นำ� หนงั สือส่งเสรมิ การอ่าน ชุด ต�ำนานเมอื งปตานี จังหวดั ปตั ตานี ส�ำหรบั นักเรยี นชน้ั ประถม ศกึ ษาปที ี่ 3 ทป่ี รบั ปรุงแก้ไขแลว้ เสนอต่อผู้เชยี่ วชาญ 3 คน เพอื่ ตรวจสอบหาคุณภาพความถกู ตอ้ งของ เนอ้ื หา ความเหมาะสมของการใชภ้ าษา การวดั ผลและประเมนิ ผล ซง่ึ การใหค้ ะแนนม ี 3 คา่ คอื + 1 หมาย ถึง มีความสอดคลอ้ ง - 1 หมายถงึ ไม่สอดคลอ้ ง 0 หมายถงึ ไมแ่ น่ใจว่าสอดคลอ้ ง แลว้ นำ� คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ มาหาคา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง โดยผเู้ ชย่ี วชาญทม่ี ตี อ่ หนงั สอื สง่ เสรมิ การอ่าน ชดุ ต�ำนานเมืองปตานี จงั หวดั ปัตตานี (Index of Item-Objective Congruence: IOC) (พสิ ณุ ฟองศรี. 2550 น. 287) โดยใชส้ ูตร เมอ่ื แทน ดัชนคี วามสอดคล้อง แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผเู้ ช่ียวชาญ แทน จำ� นวนของผู้เชี่ยวชาญ ค่า ท่ีเหมาะสมอยูร่ ะหว่าง 0.5 - 1.00 126 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ ปที ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

2. สรา้ งแบบทดสอบวดั ระดบั ความเขา้ ใจในการอา่ น โดยการใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชดุ ตำ� นาน เมอื งปตานี จงั หวัดปตั ตานี เพอ่ื พัฒนาทักษะการอ่านจบั ใจความ ส�ำหรับนกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 จากนั้นทดสอบค่าคุณภาพของเคร่ืองมือวัดผล โดยการหาค่าความตรงของเคร่ืองมือเพราะความ ตรงจะเปน็ เคร่อื งมือยืนยันว่าเครอ่ื งมอื สามารถวัดสงิ่ ทตี่ อ้ งการวัดไดจ้ ริง โดยการหาค่า IOC ของขอ้ สอบ กอ่ นเรียนและหลังเรยี น โดยใชส้ ตู ร (ไสว ข้อมงคลอดุ ม. 2540 น. 3) IOC = เม่ือ IOC = ดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงค์ = ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญซ่ึงพิจารณา ข้อค�ำถามแตล่ ะขอ้ ว่าตรงตามจดุ ประสงคห์ รือไม่ ซึ่งคะแนนความคดิ เหน็ เป็น ดังนี้ +1 เมือ่ แน่ใจว่าขอ้ สอบวดั ไดต้ รงจุดประสงค์ - 1 เมื่อแนใ่ จว่าขอ้ สอบวดั ไดไ้ ม่ตรงจุดประสงค์ 0 เม่ือแนใ่ จหรอื ตัดสนิ ใจไมไ่ ด้ = จำ� นวนผู้เชียวชาญที่ตรวจสอบ คา่ IOC ของข้อสอบแต่ละข้อควรมคี า่ 0.5 - 1.00 ซ่ึงแสดงวา่ ผเู้ ชย่ี วชาญทกุ คนมีความคิดเหน็ ตรง กนั วา่ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั กบั เครอื่ งมอื วดั มคี วามสอดคลอ้ งกนั สามารถนำ� เครอื่ งมอื วดั ผลประเมนิ ผล ไปใช้กบั นักเรยี นได้ 3. วธิ กี ารดำ� เนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ในการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านตามกระบวนทัศน์สร้างสรรค์สังคม ผู้วิจัยใช้กระบวนทัศน์ทาง ความรู้แบบสร้างสรรค์สงั คม (Social Constructivism) โดยใช้กระบวนทัศนท์ ่มี คี วามหลากหลายในการ สรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นเพอื่ ใหก้ ระบวนการสรา้ งหนงั สอื ทมี่ ขี อ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ขอ้ มลู ทผี่ า่ น การสบื คน้ มหี ลกั ฐาน เอกสาร และเปน็ ชดุ ความรทู้ เี่ กดิ ขน้ึ ภายใตก้ ระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ งั คมทมี่ กี ารเรยี น รรู้ ว่ มกนั ระหวา่ งผวู้ จิ ยั และผเู้ ปน็ เจา้ ของประสบการณ์ ซง่ึ ไดน้ ำ� ประสบการณข์ องตนเองมาสรา้ งเปน็ ความรู้ เพอื่ เปดิ พนื้ ทใี่ หค้ วามรู้ และความจรงิ เปน็ ทยี่ อมรบั ในเชงิ สรา้ งสรรค์ และศกึ ษารปู แบบการสรา้ งหนงั สอื เพอื่ ใหม้ คี วามเหมาะสมสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยใชว้ ธิ กี ารศกึ ษาองคป์ ระกอบทางวรรณกรรม เพ่ือเป็นแนวทางในการสรา้ งหนงั สือส่งเสริมอา่ น ชุด ตำ� นานเมืองปตานี จงั หวดั ปัตตานี สำ� หรบั นกั เรยี น ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยศึกษาความส�ำคัญของหนังสือส่งเสริมการอ่านที่สามารถเสริมสร้างสติปัญญา ความรู้ และความมรี ะเบียบวินยั ท่มี ีความส�ำคญั ในการสร้างสรรคส์ ังคมและความเจรญิ ของประเทศชาติ และพบวา่ ประเภทของหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นทมี่ คี วามเหมาะสมสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมประถมศกึ ษา ปที ี่ 3 จะเป็นหนงั สอื นิทานภาพ มีตัวละคร มีเนือ้ เรอ่ื ง โดยใชภ้ าพประกอบ ซ่งึ ผวู้ ิจยั คัดเลอื กเนอ้ื เรอื่ งเก่ียว กบั ตำ� นานประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ โดยมโี ครงเรอ่ื งทไ่ี ดจ้ ากการสมั ภาษณข์ องผใู้ หข้ อ้ มลู หลกั และเอกสารทไ่ี ด้ คดั เลอื กเพอ่ื เปน็ แนวทางในการกำ� หนดกรอบเนอ้ื หาของการวจิ ยั เนอื่ งจากการนำ� เรอื่ งราวทใ่ี กลต้ วั ผเู้ รยี น หรอื เปน็ เรอ่ื งราวทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ทอ้ งถน่ิ ของตนเองนน้ั จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นนน้ั เกดิ ความสนใจในการอา่ นเพมิ่ มาก ข้นึ จึงเปน็ แนวทางหนงึ่ ทจ่ี ะสามารถพฒั นาทักษะการอ่านจบั ใจความ ของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 ไดเ้ ป็นอย่างดี ส่วนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการสะทอ้ นผลจะดำ� เนนิ ไปพร้อม ๆ กับการสร้างหนงั สอื ส่ง เสรมิ การอา่ น และนำ� ขอ้ มูลทไ่ี ดม้ าวิเคราะห์ตคี วามตามแนวทางการวจิ ยั เชิงคุณภาพตอ่ ไป วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ 127 ปที ่ี 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ดงั นนั้ กระบวนการสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นตามกระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ งั คม จงึ เปน็ การรว่ ม กันสร้างความรู้ การมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการขั้นตอนในการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน โดยการ วจิ ยั ทล่ี งรายละเอยี ดถงึ กระบวนการในการสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นทมี่ กี ารหยบิ ยกประเดน็ เนอ้ื หาและ เรอื่ งราวมาศกึ ษารว่ มกนั นนั้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรคค์ วามรู้ ถกู แสดงใหเ้ หน็ พรอ้ มกบั การวพิ ากษร์ ว่ มกบั ตัวบท (Text) ซงึ่ ไมไ่ ดห้ มายถงึ เอกสารที่มกี ารศกึ ษาเพยี งอยา่ งเดียว แต่รวมไปถงึ ปรากฏการณ์ของการ เลา่ เรอ่ื งจากผรู้ ว่ มวจิ ยั ซงึ่ ถกู เชอื่ มโยงกบั ทฤษฎเี พอ่ื แสดงใหเ้ หน็ เหตแุ ละปจั จยั ของปรากฏการณท์ ปี่ รากฏ อย่เู บื้องหน้า ขน้ั ท่ี 2 การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเองตามแนวทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ ซิ มึ 1. กลุม่ เป้าหมาย กลมุ่ เปา้ หมาย คือ นกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนประชาอทุ ศิ บ้านโคกมว่ ง ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 อ�ำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ส�ำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 1 ได้มาโดยการเลือกกลมุ่ ตวั อย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. เครอื่ งมอื วิจัย 2.1 หนังสือสง่ เสรมิ การอ่าน ชดุ ต�ำนานเมืองปตานี จงั หวดั ปตั ตานี สำ� หรบั นักเรียนชน้ั ประถม ศึกษา ปที ่ี 3 จำ� นวน 6 เล่ม ได้แก่ เลม่ ท่ี 1 ตำ� นานลังกาสุกะ, เลม่ ที่ 2 ต�ำนานเมืองปตานี, เล่มที่ 3 ตำ� นาน ปนื ใหญพ่ ญาตาน,ี เลม่ ที่ 4 ตำ� นานมสั ยดิ กรอื เซะ, เลม่ ท่ี 5 ตำ� นานเจา้ แมล่ มิ้ กอเหนย่ี ว และเลม่ ที่ 6 ตำ� นาน รายากนู ิง 2.2 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี นรขู้ องนกั เรยี น โดยผวู้ จิ ยั สรา้ งแบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี น รขู้ องนกั เรยี น เพื่อใชว้ ัดกระบวนการเรยี นรทู้ กั ษะการอ่านจบั ใจความ โดยใชห้ นังสอื ส่งเสริมการอา่ น ชดุ ต�ำนานเมืองปตานี จงั หวดั ปัตตานี สำ� หรับนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3 2.3 แบบทดสอบการวดั ความเขา้ ใจในการอา่ น เพอื่ วดั ระดบั ความเขา้ ใจในการอา่ น 3 ระดบั ดงั นี้ 2.3.1 การอ่านขั้นข้อเท็จจริง (Factual Level) 2.3.2 การอา่ นขน้ั ตคี วาม (Interpretative Level) 2.3.3 การอา่ นขั้นประเมินคา่ (Evaluation Level) 2.4 แผนการเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยใชร้ ปู แบบการสอน ตามทฤษฎคี อนสตรัคตวิ ิสซมึ จำ� นวน 8 แผนการเรยี นรู้ ดังนี้ แผนการเรยี นรทู้ ่ี 1 ปฐมนิเทศกอ่ นเรยี น และทดสอบความรพู้ ื้นฐาน เพ่อื วดั ระดับความเขา้ ใจใน การอา่ นจับใจความกอ่ นเรียน ใชเ้ วลาเรยี น 1 ช่ัวโมง แผนการเรยี นร้ทู ่ี 2 เรอ่ื งท่ี 1 ตำ� นานเมืองลังกาสุกะ ใช้เวลาเรียน 3 ช่ัวโมง แผนการเรียนร้ทู ่ี 3 เรอ่ื งที่ 2 ตำ� นานเมืองปตานี ใช้เวลาเรียน 3 ชว่ั โมง แผนการเรียนรู้ท่ี 4 เรอ่ื งท่ี 3 ต�ำนานปืนใหญ่ พญาตานี ใชเ้ วลาเรียน 3 ชัว่ โมง แผนการเรียนรู้ที่ 5 เร่อื งท่ี 4 ตำ� นานมสั ยิดกรือเซะ ใช้เวลาเรยี น 3 ช่วั โมง แผนการเรยี นรู้ที่ 6 เรื่องที่ 5 ต�ำนานเจ้าแมล่ มิ้ กอเหนยี่ วใชเ้ วลาเรยี น 3 ช่ัวโมง แผนการเรียนรทู้ ี่ 7 เร่อื งท่ี 6 ต�ำนาน ตำ� นานรายากนู งิ ใช้เวลาเรียน 3 ช่ัวโมง แผนการเรียนรู้ท่ี 8 สรุปผลการเรียนรู้ และทดสอบวัดระดับความเข้าใจใจการอ่านจับใจความ หลังเรยี น ใชเ้ วลาเรียน 1 ชวั่ โมง 128 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

3. วธิ กี ารด�ำเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 3.1 ทดสอบวดั ระระดบั ความเขา้ ใจในการอา่ นกอ่ นเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ระดบั ความเขา้ ใจ ในการอ่านผ้วู ิจัยสรา้ งขนึ้ บนั ทกึ ผลคะแนนกอ่ นเรียน 3.2 ช้ีแจงวัตถุประสงค์ และรายละเอียดของการใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ต�ำนานเมือง ปตานจี งั หวดั ปัตตานี 3.3 ด�ำเนินจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้หนงั สือส่งเสรมิ การอา่ น ชดุ ตำ� นานเมืองปตานี จังหวดั ปตั ตานี สำ� หรับนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ใช้เวลา 20 ชั่วโมง โดยจดั การ เรยี นการสอนตามทฤษฎกี ารสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง มขี น้ั ตอนในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 4 ขน้ั ตอน ดงั น ้ี ขน้ั ท่ี 1 ข้ันกำ� หนดประเด็นปัญหาท่ีนักเรียนสนใจ ในขน้ั นคี้ รูจะเปน็ ผูเ้ ตรียมความพร้อมให้กบั นักเรียน โดยการน�ำเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ โดยใช้ค�ำถามน�ำเข้าสู่บทเรียน เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ การเรียนรมู้ ากขน้ึ ขนั้ ที่ 2 ข้นั ทบทวนความรเู้ ดิม ในข้ันน้ีครทู บทวนความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น โดยการแลกเปล่ียน เรยี นรูร้ ่วมกนั ครูจะจดั กิจกรรมในระดบั กลมุ่ ยอ่ ย เพ่ือใหน้ กั เรยี นได้รว่ มกันคดิ ค้นหาคำ� ตอบ ขั้นที่ 3 ขั้นแสวงหาหนทาง ทางเลือกด้วยกระบวนรู้คิด (Cognition) ในข้ันน้ีครูจะน�ำสื่อการ เรยี นรู้ทคี่ รเู ตรียม คือ หนังสือส่งเสริมการอ่าน โดยใชข้ ัน้ ตอนการอา่ นการวดั ระดับความเข้าใจในการอา่ น จากกจิ กรรมสง่ เสรมิ การอา่ น ซง่ึ นกั เรยี นจะใชค้ วามรเู้ ดมิ และความรทู้ ไี่ ดเ้ รยี นรใู้ หม่ มาเชอ่ื มโยงในการตอบ ค�ำถามจากกจิ กรรมการอ่านเพอื่ จับใจความ จากแนวทางการวดั ระดับความเขา้ ใจในการอ่าน 3 ระดบั ดงั กล่าว ผวู้ ิจยั ได้ปรับใชใ้ นการสอน อ่านและจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ารเรียนรู้เพอื่ พัฒนาทักษะการอา่ นจบั ใจความ โดยใชห้ นังสอื สง่ เสรมิ การ อ่าน ชุด ตำ� นานเมืองปตานี จงั หวดั ปตั ตานี สำ� หรับนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยแบ่งกิจกรรมการ เรียนรอู้ อกเปน็ 4 ขนั้ คือข้ันท่ี 1ข้นั เรยี นรคู้ ำ� ศพั ท์ (ทบทวนความรเู้ ดิม) ได้แก่ กิจกรรมที่ 1 เตมิ ค�ำลงใน ช่องวา่ ง, กจิ กรรมท่ี 2 จับใจความ ขั้นท่ี 2 ขัน้ จบั ประเด็น (เชอ่ื มโยงปฏิสมั พันธ์) ไดแ้ ก่ กิจกรรมท่ี 3 ตอบ ค�ำถามจากเรื่อง,กจิ กรรมที่ 4 การเรียงล�ำดบั เหตกุ ารณ ์ ข้ันที่ 3 ขนั้ สรุป (สรุป) ได้แก่ กิจกรรมท่ี 5 เขยี น แผนภาพโครงเรอ่ื ง ขนั้ ท่ี 4 ข้นั ฝึกทกั ษะและนำ� ไปใช้ (ฝกึ ทกั ษะและนำ� ไปใช)้ ไดแ้ ก่ กจิ กรรมท่ี 6 เลา่ เรื่อง จากภาพ ขนั้ ที่ 4 ขนั้ สรุปและน�ำไปใช้ ขนั้ ตอนนีน้ ักเรียนในแต่ละกลมุ่ ย่อยจำ� น�ำเสนอวิธกี าร และค�ำตอบ ทไ่ี ดม้ านำ� เสนอในระดบั ชนั้ เรยี น ซง่ึ ในขนั้ นจ้ี ะทำ� ใหค้ รไู ดต้ รวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นในแตค่ น โดยท่ี ครูสามารถนำ� เสนอวธิ กี ารหรือแนวค�ำตอบอืน่ ๆ เพมิ่ เตมิ จากนักเรียนได้ กระบวนการจดั การเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความร้ดู ้วยตนเอง ครูจะเป็นเพียงผู้อ�ำนวยความ สะดวกและคอยช้ีแนะแนะแนวทางเพื่อให้กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยยึดแนวทาง การการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ในการจัดการเรียนรู้บนฐานกระบวนทัศน์ สร้างสรรคส์ งั คม มีจดุ เนน้ ในการใหค้ วามรว่ มมอื ของทุกฝา่ ย ได้แก่ ครูและนกั เรยี น ได้เขา้ มามีส่วนร่วมใน ทกุ กระบวนการของการจดั การเรยี นรู้ โดยคำ� นงึ ถงึ ความตอ้ งการและความเหมาะสมในการนำ� เสนอขอ้ มลู และออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรรู้ ว่ มกนั เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการสรา้ งองคค์ วามรกู้ ารการอา่ นดว้ ยตนเอง โดย ครจู ำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารจดั ทำ� แผนการจดั การเรยี นรใู้ หต้ รงตามเงอื่ นไขหลกั สตู รของสถานศกึ ษาภายใตน้ โยบาย ของรัฐ การเลอื กใช้รปู แบบวิธกี ารสอน และการสรา้ งรปู แบบการจัดการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมต่อบริบทต่าง ๆ ของผเู้ รยี น เพอื่ สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ การปฏบิ ตั กิ ารสอน และการวเิ คราะห์ สะทอ้ นผลเพอ่ื หาวธิ กี ารสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง และเพอื่ หาแนวทางแกไ้ ขหรอื พฒั นาทงั้ ตวั นกั เรยี นและครู วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 129 ปีที่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ผสู้ อน ซึ่งเป็นจดุ เดน่ ในการจดั การเรียนรู้ตามกระบวนการจดั การเรยี นรู้แบบสร้างสรรคส์ ังคม ครจู ึงต้องมี การเรียนรู้รว่ มกันกบั นักเรยี น เพือ่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปพรอ้ มกนั 3.4 ประเมนิ ผลสะท้อนผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ลงในบนั ทกึ หลังสอนของแผนการจัดการ เรยี นรู้ 1) สะท้อนผลกระบวนการเรียนรู้ทักษะการอ่านจับใจความและกระบวนการสร้างองค์ ความรูจ้ ากการอา่ นด้วยตนเอง 2) สะทอ้ นผลการเรยี นรกู้ ารอา่ นจบั ใจความทม่ี ผี ลตอ่ การปรบั เปลย่ี นจติ สำ� นกึ รกั ถนิ่ ฐาน บา้ นเกิดของตนเอง 3.5 ทดสอบหลงั เรยี นด้วยแบบทดสอบการวดั ความเข้าใจในการอ่านที่ผา่ นการหาคา่ IOC จาก ผู้เช่ยี วชาญท้งั 3 ทา่ น 4. การวเิ คราะหข์ ้อมลู กระบวนการสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปตั ตานี ตามกระบวนทศั น์ สรา้ งสรรคส์ งั คม เปน็ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม โดยอาศยั วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณใ์ น การวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งของตำ� นาน ผวู้ จิ ยั จำ� เปน็ ตอ้ งมคี วามเขา้ ใจขอ้ มลู และตระหนกั ถงึ ความละเอยี ดออ่ นข องข้อมูลท่ไี ด้จากผู้ให้ข้อมูลหลัก ดงั น้ัน ผ้วู ิจยั จึงตอ้ งมีความไวเชิงทฤษฎี (Theoretical sensitivity) เพ่อื ให้ได้ข้อมลู ทค่ี รบถว้ นสมบรู ณ์ (มณฑนา พพิ ัฒเพญ็ . 2557 น. 312) มคี วามตระหนกั ในการเข้าถงึ ข้อมูล เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัย และได้โครงสร้างในการสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ต�ำนาน เมอื งปตานี จงั หวัดปัตตานี โดยอาศยั หลักการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วย การวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ ง (Structural Analysis) เปน็ หลกั ส�ำคัญ รวมไปถึงการสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ (Indepth Interview) เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ ซึ่งผู้วิจัยจะวิเคราะห์และตีความอย่างละเอียดในประเด็น ท่ีศึกษา (มณฑนา พิพัฒเพ็ญ. 2552 น. 71-83) โดยการน�ำเสนอข้อมูลด้วยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) ดังน้ี 1. การวเิ คราะหโ์ ครงสร้างของตำ� นาน ได้แก่ 1.1 การวเิ คราะหข์ ้อมูลจากเอกสาร ผู้วจิ ยั ไดศ้ กึ ษาต�ำนานที่มเี รือ่ งเล่าต้ังแตร่ ัชสมยั ที่ 1 จนถงึ รชั สมยั ท่ี 9 แหง่ ราชวงศ์ศรีวงั สา แห่งราชอาณาจกั รลงั กาสุกะและปตานี ดารสุ สลาม เนื่องจากเปน็ ช่วง เวลาทม่ี เี หตกุ ารณส์ ำ� คญั ทางประวตั ศิ าสตรข์ องทอ้ งถนิ่ จงั หวดั ปตั ตานี ดงั ทยี่ งั มโี บราณสถานใหส้ บื ประวตั ิ ความเปน็ มามายาวนานจนถงึ ปจั จุบัน สถานทเ่ี หลา่ นย้ี ังคงได้รบั การกลา่ วขานจากคนรนุ่ หลัง และเปน็ ยคุ ที่มีความส�ำคัญท่ีสามารถท�ำให้เห็นพัฒนาการที่มีการเปล่ียนแปลงจากราชอาณาจักรลังกาสุกะ มาสู่ราช อาณาจกั รปตานี ดารสุ สลาม ด้วยเหตุน้ีผวู้ ิจัยจึงได้คัดเลอื กต�ำนานท่มี สี ถานท่โี ดดเดน่ ของชมุ ชน มาสรา้ ง หนงั สอื ส่งเสรมิ การอ่าน เพื่อใหน้ ักเรียนไดต้ ระหนกั เหน็ คุณคา่ ของโบราณสถานอันเปน็ เร่ืองราวทีแ่ สดงให้ เหน็ ความเปน็ เอกลกั ษณ์ และความโดดเดน่ ของชมุ ชน 1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ของผู้ให้ข้อมูลหลัก ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ช่วงเวลาของ เหตกุ ารณใ์ นการกำ� หนดเรยี งจดั ลำ� ดบั เลม่ โดยการไลล่ ำ� ดบั เหตกุ ารณข์ องตำ� นานจากเลม่ ที่ 1 จนถงึ เลม่ ที่ 6 เพอ่ื เชอ่ื มโยงเหตกุ ารณข์ องตำ� นานในแตล่ ะเลม่ และมกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทไ่ี ดข้ องตำ� นานในแตล่ ะเรอื่ ง มาวิเคราะห์โครงสร้างโดยอาศัยวิธีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ ในการเชื่อมโยงเหตุการณ์ของต�ำนานใน แต่ละเรือ่ ง จากการเล่าเรือ่ งของผูใ้ ห้ขอ้ มลู โดยท่ผี วู้ ิจัยมีการก�ำหนดประเดน็ คำ� ถาม เพอื่ น�ำไปสกู่ ารสร้าง หนังสือสง่ เสรมิ การอ่าน ตามกระบวนทศั น์สรา้ งสรรค์สงั คม และพิจารณาถงึ ความเหมาะสมทางดา้ นของ เนอื้ หาทางประวตั ศิ าสตร์ ใหม้ คี วามเหมาะสมสำ� หรบั ผเู้ รยี น โดยผวู้ จิ ยั และผใู้ หข้ อ้ มลู ไดค้ ำ� นงึ และพจิ ารณา 130 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ ปที ี่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

เนอื้ หาร่วมกนั ในการกำ� หนดขอบเขต เน้อื หา และความเหมาะสมในการนำ� เนอ้ื หาทางประวัติศาสตรม์ า สร้างหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ทัง้ น้เี พือ่ ให้มีความเหมาะสมสำ� หรบั นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 2. การสรา้ งสรรคอ์ งคป์ ระกอบทางวรรณกรรม ในการก�ำหนดเนื้อหาของต�ำนานเพ่ือน�ำมาสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน ผู้วิจัยมีการเลือก โครงสร้างที่มีลักษณะร่วมกัน และโครงสร้างของต�ำนานในบางส�ำนวนอาจจะไม่ปรากฏในเอกสารหลักที่ ผวู้ จิ ยั ไดก้ ำ� หนดกรอบในการศกึ ษา แตจ่ ะปรากฏในสว่ นทผี่ วู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาขอ้ มลู เชงิ ลกึ จากการสมั ภาษณข์ อง ผู้ให้ข้อมูลหลัก ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงต้องอาศัยหลักการเชื่อมโยงเหตุการณ์จากส�ำนวนต่าง ๆ ที่ปรากฏท้ังใน เอกสารหลักฐานที่ปรากฏมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและเช่ือมโยงเหตุการณ์ และน�ำข้อมูลท่ีได้จากการ สัมภาษณ์มาเป็นข้อมูลหลัก โดยข้อมูลเหล่าน้ันได้ผ่านการการเล่าหรือมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ ผใู้ ห้ข้อมูลหลกั ได้นำ� มาเลา่ ดังน้ัน ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการมสี ่วนร่วมของการวจิ ัย จงึ เปน็ ขอ้ มูลหลักทผ่ี ้วู จิ ยั ได้ คดั เลอื กเน้อื หา ซึ่งเปน็ ประวัตศิ าสตร์ในเชงิ สรา้ งสรรค์ โดยผู้วิจยั ไดย้ ดึ หลกั ความเหมาะสมของเน้อื หาเพือ่ ให้เข้ากบั บริบทของผ้เู รยี นทอี่ ย่ใู นพื้นท่สี ามจงั หวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อได้เน้ือหาทเ่ี ปน็ โครงสรา้ งหลัก ผู้วจิ ยั มกี ารศกึ ษาองค์ประกอบทางวรรณกรรมเพ่อื เป็นแนวทาง ในการสร้างสรรค์หนังสอื ส่งเสริมการอา่ น ตามหลักการสร้างสรรค์หนงั สือส่งเสรมิ การอ่าน โดยไดท้ �ำการ ศกึ ษาองคป์ ระกอบที่สำ� คัญ ไดแ้ ก่ โครงเร่ือง ตัวละคร ฉาก บทสนทนา แก่นเรื่อง รวมถึงลกั ษณะและการ ออกแบบรูปเล่ม 3. การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเองตามแนวทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ ซิ มึ ผู้วิจัยน�ำหนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดต�ำนานเมืองปตานี จังหวัดปัตตานี มาจัดการเรียนรู้โดย ใช้กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเองตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม และวิเคราะห์ผลของการเรียนรู้ ทักษะการอ่านจับใจความและกระบวนการสร้างองคอ์ งคค์ วามรู้จากการอ่านดว้ ยตนเอง และวิเคราะหผ์ ล ของการเรียนรู้การอ่านจับใจความจากหนังสือส่งเสริมการอ่านท่ีมีต่อการปรับเปลี่ยนจิตส�ำนึกรักถิ่นฐาน บ้านเกิดของตนเอง จากการสะท้อนผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านชุด ต�ำนานเมืองปตานี จงั หวดั ปตั ตานี ส�ำหรับนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใช้วิธกี ารวเิ คราะห์ข้อมูลเชงิ คณุ ภาพนำ� เสนอข้อมลู ขณะจัดการเรยี นการสอนตามแนวทฤษฎีการสรา้ งความร้ดู ว้ ยตนเอง ทไ่ี ด้จากการ จดบันทึกแบบสังเกตพฤติกรรมในแต่ละแผนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ในแต่ละเล่ม แล้วน�ำมาวิเคราะห์ว่า การจัดการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง มีแนวทางในการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ และสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้จากการอ่านของ นักเรยี นอย่างไร แล้วเขยี นวิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะการบรรยาย แล้วน�ำมาวเิ คราะหผ์ ลการจดั การเรยี น รู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรดู้ ้วยตนเอง โดยใชห้ นังสือสง่ เสริมการอา่ น ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จังหวดั ปตั ตานที มี่ ผี ลตอ่ การปรบั เปลยี่ นจติ สำ� นกึ รกั ถน่ิ ฐานบา้ นเกดิ ของตนเองอยา่ งไร เมอ่ื จดั กระบวนการเรยี นรู้ ครบทงั้ 6 เลม่ จงึ วดั ระดบั ความเขา้ ใจในการอา่ นโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ระดบั ความเขา้ ใจใน การอา่ นทผ่ี า่ น การหาค่า IOC จากผ้เู ช่ยี วชาญ สรุปผล 1. กระบวนการสรา้ งหนงั สือสง่ เสรมิ การอา่ นตามกระบวนทัศน์สรา้ งสรรคส์ ังคม การสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านตามกระบวนทัศน์สร้างสรรค์สังคม เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ ความรู้ร่วมกันท้ังผู้ให้ข้อมูลและผู้วิจัย เป็นการเปิดพื้นท่ีเพื่อการสร้างสรรค์ความรู้ตามกระบวนทัศน์แนว วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 131 ปีท่ี 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ใหมท่ เี่ ปดิ โอกาสใหเ้ จา้ ของความรหู้ รอื เจา้ ของประสบการณไ์ ดเ้ ลา่ ตำ� นานของทอ้ งถนิ่ ดงั นน้ั การสรา้ งองค์ ความรู้ท่ีเกิดข้ึนในงานวิจัยล้วนเป็นข้อมูลท่ีผู้วิจัยและผู้ให้ข้อมูลได้ร่วมกันสร้างข้ึนมา นอกจากนี้ผู้วิจัยใน ฐานะท่ีเป็นส่วนหน่ึงของผู้ด�ำเนินการในการวิจัย ก็ท�ำหน้าที่ในการศึกษาข้อมูลจากเอกสารและหลักฐาน ตา่ ง ๆ ตามหลักการศึกษาข้อมลู ทางประวตั ิศาสตร์โดยใช้แนวคิดและทฤษฎีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ ในการเช่ือมโยงและหาความสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ มาใช้ประกอบเพ่ือเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ หนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ภายใตก้ ระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ งั คม โดยมกี ระบวนการขน้ั ตอนการสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอ่าน ชุด ต�ำนานเมอื งปตานี จงั หวดั ปัตตานี สำ� หรบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ดังนี้ 1) การวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งตำ� นาน ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาขอ้ มลู เกยี่ วกบั ตำ� นานตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง โดยมกี าร ศกึ ษาจากเอกสารตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ประวตั ศิ าสตรข์ องเมอื งปตานี เพอื่ เปน็ ขอ้ มลู ในการเลอื กตำ� นานของ เมืองปตานี จากการศกึ ษา พบวา่ ต�ำนานบางเรอื่ งจะมกี ารเลา่ ทีแ่ ตกตา่ งกัน แตเ่ นื่องจากการสรา้ งหนังสอื สง่ เสรมิ การอา่ นทผ่ี วู้ จิ ยั ไดน้ ำ� มาใชเ้ พอ่ื เปน็ ขอ้ มลู ในการเขยี นเรอ่ื งนนั้ เปน็ การเกบ็ ขอ้ มลู ทผี่ วู้ จิ ยั ไดเ้ ปดิ พนื้ ท่ี ในการสรา้ งสรรค์ให้เจา้ ของประสบการณห์ รอื ผทู้ ่เี กยี่ วข้องที่มสี ่วนได้สว่ นเสยี เป็นผเู้ ล่าเรือ่ งโดยใชท้ ฤษฎี การสร้างสรรค์บนกระบวนทัศน์สร้างสรรค์สังคม ข้อมูลท่ีได้จึงเป็นข้อมูลที่ผู้วิจัยได้เปิดโอกาสให้เจ้าของ เรอ่ื งไดเ้ ลา่ และแสดงความรแู้ ละความจรงิ ของตน เพอื่ ใหเ้ ปน็ พน้ื ทขี่ องความรหู้ รอื ชดุ ขอ้ มลู ทเี่ คยกลายเปน็ เสยี งเงยี บ กลบั มพี นื้ ทอี่ กี ครง้ั ผวู้ จิ ยั นำ� ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมมาวเิ คราะหแ์ ละใชข้ อ้ มลู จากเอกสารมาประกอบใน การก�ำหนดโครงสรา้ งของเรือ่ งเป็นหลัก 2) การสรา้ งสรรคอ์ งค์ประกอบของหนงั สือส่งเสรมิ การอา่ น ชุด ต�ำนานเมืองปตานี จังหวัดปตั ตานี ส�ำหรับนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3 ตามกระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ ังคมในสร้างหนงั สอื ส่งเสรมิ การอ่าน ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปตั ตานี สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปที ่ี 3 ตามกระบวนทศั นส์ รา้ งสรรค์ สังคม ผู้วิจัยศึกษาองค์ประกอบในทางวรรณกรรม โดยศึกษาองค์ประกอบที่ส�ำคัญ ได้แก่ โครงเร่ือง ตวั ละคร ฉาก บทสนทนา แกน่ เรอ่ื ง รวมถงึ ลกั ษณะและการออกแบบรปู เลม่ เพอื่ เปน็ แนวทางในการเขยี น โดยค�ำนึงถึงความเหมาะสมของเนอื้ หาในการน�ำเสนอเปน็ หลกั และกำ� หนดสถานการณ์เพอ่ื ให้นกั เรียนได้ เรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรผ์ า่ นตวั ละครทเี่ ปน็ ผเู้ ลา่ เรอื่ งอกี ครงั้ การสรา้ งสถานการณท์ นี่ กั เรยี นสามารถสมั ผสั และ เปน็ เรอื่ งทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ปิ ระจำ� วนั ของนกั เรยี นใหม้ ากทส่ี ดุ เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นไดส้ มั ผสั บรรยากาศในการเขา้ ไป เป็นส่วนหนง่ึ ท่เี ป็นผู้เรียนรู้เรอ่ื งราวของต�ำนานที่มีเน้อื หาทางดา้ นประวตั ศิ าสตรท์ ้องถิน่ 2. กระบวนการสรา้ งทกั ษะการอา่ นจบั ใจความ และการสรา้ งองคค์ วามรจู้ ากการอา่ นดว้ ยตนเอง การสร้างทักษะการอ่านจบั ใจความ และกระบวนการสรา้ งองค์ความร้จู ากการอ่านดว้ ยตนเอง ใน งานวิจัยนี้ได้น�ำหลักเรียนรู้ตามทฤษีคอนสตรัคติวิสซึม (Constructivist Theory) เป็นทฤษฎีการสร้าง ความรู้ด้วยตนเองและมุ่งการสร้างความรู้ใหม่ กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยปรับใช้เพื่อให้สอดคล้อง ตามแนวคดิ คอนสตรัคตวิ สิ ซึม มี 4 ข้นั ตอน ได้แก่ การกำ� หนดประเดน็ ปัญหา การทบทวนความร้เู ดิม การ แสวงหาหนทาง ทางเลอื กด้วยกระบวนร้คู ิด และข้นั สรปุ และน�ำไปใช้ พบว่า กระบวนการเรียนรเู้ กิดขน้ึ ได้ ด้วยวธิ ีการท่หี ลากหลายในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ การตงั้ ค�ำถาม เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นไดแ้ สดงความคิด เหน็ ท�ำใหผ้ เู้ รียนได้ใชฝ้ ึกทกั ษะการคดิ น�ำไปส่กู ารพัฒนากระบวนการคดิ ของผูเ้ รียน การเรียนรทู้ เ่ี กดิ จาก การรว่ มมอื ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นมกี ารปรบั เปลยี่ นโครงสรา้ งความรขู้ องตนเอง และทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรดู้ ว้ ย การสรา้ งความหมายใหม่ และการใหผ้ เู้ รยี นนน้ั ลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรจู้ ากสงิ่ ทตี่ นเอง ไดป้ ฏิบัติ เช่น การได้อ่าน และการทำ� กจิ กรรมการเรียนรู้ หนังสอื ส่งเสรมิ การอา่ น ล้วนเปน็ กระบวนการท่ี ทำ� ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากสิ่งท่ีได้ปฏบิ ตั แิ ละนำ� ไปใชจ้ ริง 132 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ ปที ี่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

3. ผลการเรยี นรกู้ ารอา่ นจบั ใจความ โดยใชจ้ ากหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ นทมี่ ผี ลตอ่ การปรบั เปลย่ี น จติ ส�ำนกึ รกั ถนิ่ ฐานบ้านเกิดของตนเอง ผลการเรียนรู้การอ่านจับใจความ โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ต�ำนานเมืองปตานี จังหวัด ปตั ตานสี ำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ผวู้ จิ ยั ไดใ้ ชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ อา่ น ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปตั ตานี จำ� นวน 6 เลม่ ไดแ้ ก่ ตำ� นานลงั กาสกุ ะ ตำ� นานเมอื งปตานี ตำ� นานปนื ใหญ่ พญาตานี ตำ� นานมสั ยดิ กรือเซะ ต�ำนานเจ้าแม่ล้ิมกอเหน่ียว และต�ำนานรายากูนิง ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการเรียนรู้ตาม ทฤษฎีคอนสตรคั ตวิ ิสซึม (Constructivist Theory) ซ่งึ เปน็ กระบวนการสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง จากการ ศกึ ษาพบว่า การใช้หนงั สือสง่ เสรมิ อ่าน ชดุ ต�ำนานเมืองปตานี จังหวัดปตั ตานี มีผลท�ำใหน้ กั เรียนสามารถ อา่ นจบั ใจความได้ ซง่ึ สงั เกตไดจ้ ากกระบวนการเรยี นรตู้ ามขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรแู้ บบมสี ว่ นรว่ ม พบวา่ นักเรยี นมีปฏิกิรยิ าโต้ตอบและสามารถตอบค�ำถาม และจับใจความสำ� คัญของเรือ่ งท่ีอา่ นได้ และนกั เรยี น สามารถทำ� กจิ กรรมการเรยี นรหู้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ตามกจิ กรรมการเรยี นรทู้ วี่ ดั ระดบั ความเขา้ ใจในการ อา่ น โดยมกี จิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ี 1 – 6 ทวี่ ดั ระดบั ความเขา้ ใจในการอา่ น 3 ระดบั คอื การอา่ นขน้ั ขอ้ เทจ็ จรงิ (Factual Level) การอา่ นขน้ั ตคี วาม (Interpretative Level) และการอ่านข้นั ประเมินค่า (Evaluation Level) นอกจากน้ีสิ่งที่ปรากฏจากกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านจับใจความ สามารถสะท้อนผลจากการ จดั กจิ กรรม การเรยี นรู้ โดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปตั ตานี สำ� หรบั นกั เรยี น ช้ันประถมศึกษา ปีที่ 3 ตามกระบวนทัศน์สร้างสรรค์สังคม พบว่า หลังจากมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชห้ นังสอื สง่ เสรมิ การอ่าน ชดุ ตำ� นานเมืองปตานี จงั หวัดปตั ตานี จำ� นวน 6 เลม่ พบวา่ นกั เรยี นมี เจตคตทิ ดี่ ีต่อหนงั สอื สง่ เสรมิ การอ่าน ชุด ตำ� นานเมอื งปตานี จังหวัดปัตตานี คือ นกั เรยี นมีจิตสำ� นึกที่ดตี อ่ ถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง นักเรียนเกิดความตระหนักเห็นความส�ำคัญในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ได้แก่ การตระหนักรู้คุณค่าของภูมิปัญญาท่ีบรรพบุรุษได้ร่วมกันสร้าง ท�ำให้เกิดความรักความสามัคคีใน การอยู่ร่วมกนั นอกจากนี้กระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการการอ่าน ชุด ต�ำนานเมือง ปตานี จังหวดั ปตั ตานี ท�ำให้นักเรียนเกดิ การเรียนรู้ ดงั น้ี 1. การจัดการเรียนรู้ตามทฤษีคอนสตรัคติวิสซึม โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ต�ำนานเมือง ปตานี จังหวัดปัตตานี เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความเห็นและกล้า แสดงออกมากขึ้น สง่ ผลใหน้ กั เรียนเกดิ การเรยี นรู้มากข้ึน 2. การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชห้ นงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ทจ่ี ดั การเรยี นรโู้ ดยใชท้ ฤษฎกี ารสรา้ งความรดู้ ว้ ย ตนเอง เป็นกระบวนการจดั การเรียนรู้ ทที่ ำ� ใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนรูไ้ ดโ้ ดยใช้วธิ ีการที่หลากหลาย เพือ่ ให้ ผู้เรยี นไดพ้ ฒั นาทักษะการอา่ น และสามารถสร้างองค์ความรู้จากการอ่านได้ด้วยตนเอง 3. การจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุด ต�ำนานเมืองปตานี จังหวัดปัตตานี มีผลท�ำให้ผู้เรียนมีจิตส�ำนึกและเกิดความภาคภูมิใจในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง ท�ำให้ นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรแู้ ละเขา้ ใจในความหลากหลายของประเพณี และวฒั นธรรมในแตล่ ะศาสนาทอ่ี าศยั อยู่ ร่วมกันภายใตส้ งั คม พหวุ ัฒนธรรมไดด้ ยี ิ่งขึ้น สง่ เสริมให้นักเรียนเกดิ ความรกั ความสามัคคีในการอยู่รว่ ม กันมากข้นึ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 133 ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

อภปิ รายผล การสรา้ งหนงั สอื สง่ เสรมิ การอา่ น ชดุ ตำ� นานเมอื งปตานี จงั หวดั ปตั ตานี สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถม ศกึ ษาปที ี่ 3 ตามกระบวนทศั น์สรา้ งสรรค์สังคม เปน็ การวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม กระบวนการ ในการสร้างความรู้ จึงเป็นความร้ชู ุดใหม่ที่ผู้วิจัยและผู้ใหข้ ้อมลู รว่ มสร้างขน้ึ มา โดยขอ้ มูลทีไ่ ด้มาน้ัน อาจ เป็นข้อมูลชุดใหม่หรืออาจไม่ตรงกับความรู้ที่มีอยู่เดิม ท้ังน้ีผู้วิจัยได้มีการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ประกอบเพ่ือให้ผู้วิจัยน้ันสามารถเข้าใจเนื้อหาของต�ำนานท่ีมีเรื่องราวเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ในระหว่างท่ีผู้ให้ข้อมูลได้เล่าต�ำนานต่าง ๆ กระบวนการวิธีการนี้จึงท�ำให้ผู้วิจัย สามารถใช้หลักการทางประวัติศาสตร์ในการเช่ือมโยงเหตุการณ์ และการสร้างโครงสร้างของต�ำนานใน แต่ละเรอื่ งตามท่ีผใู้ ห้ขอ้ มูลได้ให้ไว้ การจากเล่าตำ� นานของผู้ให้ข้อมูลน้ัน พบว่า ในบางครงั้ กเ็ ปน็ ขอ้ มูลที่มี การอา้ งอิงไวแ้ ล้วในเอกสารทางวชิ าการ และเปน็ ข้อมลู ทไ่ี ดม้ าดว้ ยวิธที างประวตั ศิ าสตร์ ดังนั้น ชดุ ความรู้ ท่สี ร้างขน้ึ ถกู สร้างขน้ึ มาจึงสามารถให้ความหมายของชุดความรูไ้ ด้อยา่ งชัดเจน การศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ท�ำให้ผู้วิจัยมีการค้นพบข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหา ท่หี ลากหลายในชุดขอ้ มลู เดียวกัน ถงึ แม้ว่าผู้วิจัยมีความกังวลในการนำ� เสนอความรูท้ ี่เปน็ ตำ� นาน มาใช้ใน การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน เนอื่ งจากเกดิ ความหวาดระแวงในการใหช้ ดุ ความรหู้ รอื ขอ้ มลู ทมี่ มี มุ มอง เพยี งดา้ นเดยี วเทา่ นนั้ แตเ่ มอ่ื ผวู้ จิ ยั ไดล้ งพน้ื ทที่ ำ� การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารโดยเปดิ พน้ื ทใ่ี นการเรยี นรเู้ รอ่ื งราวท่ี เปน็ ตำ� นานเกยี่ วกบั ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ทำ� ใหพ้ นื้ ทใี่ นการสรา้ งสรรคค์ วามรเู้ นอ้ื หาทางประวตั ศิ าสตรบ์ น กระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ งั คมกลบั มคี วามหมายและเปน็ การเปดิ โอกาสเพอื่ ใหค้ วามจรงิ หรอื ชดุ ขอ้ มลู ทเี่ คย เป็นเสียงเงียบกลับมีพื้นที่อีกครั้งในการสร้างความหมายใหม่ภายใต้งานวิจัยตามกระบวนทัศน์สร้างสรรค์ สงั คมขน้ึ มาครง้ั ดงั ท่ี อนนั ต์ วฒั นานกิ ร (2531 น. 41) กลา่ ววา่ เมอื งปตานเี คยเปน็ ดนิ แดนทมี่ ปี ระวตั ศิ าสตร์ รากเหง้ามายาวนาน ต้ังแต่ดินแดนราชอาณาจักรลังกาสุกะ หลังจากท่ีมีการต้ังเมืองปตานี ดารุสสลาม ขน้ึ ชอ่ื ของเมอื งลังกาสุกะ กห็ ายไปจากหน้าประวตั ิศาสตร์เอเซียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ปรากฏช่อื เมอื งปตานี โดดเดน่ ข้ึนมาแทนที่ และทำ� ใหพ้ ื้นทสี่ าธารณะดา้ นการส่งเสริมและสบื ทอดมรดกทางวฒั นธรรมอนั หลาก หลาย ไดถ้ ูกลดทอนความสำ� คัญและแทนทด่ี ว้ ยภาพความขดั แยง้ รนุ แรง ผลลัพธ์ที่เกดิ ขึน้ คือการที่อนชุ น รนุ่ หลงั ในพน้ื ทเ่ี องขาดความภาคภมู ใิ จในประวตั ศิ าสตรค์ วามเปน็ มาของตน (อสิ มาอลี เบญจสมทิ ธ.ิ์ 2558 น. ค�ำนยิ ม) กระบวนการสรา้ งสรรคห์ นงั สอื ตามกระบวนทศั นด์ งั กลา่ ว ผวู้ จิ ยั จงึ มน่ั ใจในชดุ ความรทู้ ไ่ี ดส้ รา้ งสรรค์ ในการมาน�ำมาใช้และเผยแพร่เพ่ือให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป เนื่องจาก การสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่านที่มีเนื้อหาทางด้านประวัติศาสตร์นั้นนับว่ามีความส�ำคัญยิ่งสำ� หรับการ ปลกู ฝงั เพอื่ ใหเ้ ยาวชนมจี ติ สำ� นกึ ทด่ี ตี อ่ บา้ นเกดิ ของตนเอง เนอ่ื งจากการเรยี นรเู้ รอ่ื งราวทางประวตั ศิ าสตร์ นัน้ ท�ำให้ผู้เรยี นไดเ้ ห็นคุณคา่ และความส�ำคัญของประวตั ศิ าสตร์ ซึง่ จากการศึกษา พบวา่ การน�ำหนังสือ สง่ เสรมิ การอา่ นทเ่ี ปน็ เรอ่ื งราวประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถน่ิ ทม่ี กี ารสอดแทรกความรทู้ างวฒั นธรรม และประเพณี ท่ีมีความหลากหลายในแต่ละศาสนาน้ัน ท�ำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เข้าใจ และเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้อง ถ่ิน ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในบ้านเกิดของตัวเอง ตลอดจนเข้าใจสภาพบริบทของพื้นที่ มากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากผลการจัดกิจกรรมโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดต�ำนานเมืองปตานี จังหวัด ปัตตานี ในแต่ละเล่มท่ีกล่าวถึงความส�ำคัญของประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนแสดงให้เห็นความส�ำคัญ ของโบราณสถานในแต่ละต�ำนานท่ีมีความแตกต่างกัน เช่น ต�ำนานมัสยิดกรือเซะ นักเรียนได้เรียนรู้และ 134 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ ปที ี่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

เห็นความสำ� คัญของภูมิปญั ญาชาวบา้ นในการใช้วสั ดุในการสร้างมสั ยิดกรือเซะ ตำ� นานปืนใหญ่ พญาตานี ทำ� ใหน้ กั เรยี นเกดิ ความภาคภมู ใิ จในสญั ลกั ษณข์ องจงั หวดั ปตั ตานี และเหน็ ความสำ� คญั ในการปกปอ้ งบา้ น เมืองที่มีมาตง้ั แตอ่ ดีต โดยจะเห็นว่าการสรา้ งปืนใหญน่ นั้ เป็นการแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความพร้อมในการเตรยี ม อาวธุ ยุทโปกรณไ์ ว้ใชส้ ำ� หรับปกปอ้ งบา้ นเมือง และต�ำนานเจา้ แม่ล้มิ กอเหนี่ยว แสดงให้เหน็ ถึงความหลาก หลายของวฒั นธรรมและประเพณใี นแตล่ ะศาสนา ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรใู้ นการอยรู่ ว่ มกนั ภายใตส้ งั คมแหง่ พหวุ ัฒนธรรม ข้อมลู ทผี่ วู้ ิจัยไดเ้ รียนรู้ คอื หากคนเรามีความรคู้ วามเข้าใจสภาพแวดล้อมในพื้นทีบ่ า้ นเกิด ก็จะทำ� ใหเ้ กิดความหวงแหนและจะทำ� ให้เกิดการพัฒนาบา้ นเกดิ ของตนเองได้ดขี ึ้น การที่เราไมร่ ทู้ ีม่ าและ อดีตของเราน้ัน เป็นเหตุผลหนึ่งที่ท�ำให้คนในปัจจุบันนั้นไม่ตระหนักและรักบ้านเกิดของตัวเอง เม่ือเกิด ปัญหากไ็ ม่ได้คดิ หาทางออกในการแกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน�ำงานวิจัยไปใช้ 1. ครคู วรมกี ารอธบิ ายในขน้ั ตอนในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรใู้ หล้ ะเอยี ด ชดั เจน เนอ่ื งจากนกั เรยี น ไมค่ ุ้นเคยกับการจดั การเรยี นการสอนตามกระบวนการแนวใหม่ทค่ี ณุ ครไู ด้ปรบั ใชใ้ นกจิ กรรมการเรียนรู้ 2. การจัดกิจกรรมในการเรียนรู้ในข้ันตอนให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ครูควรเพ่ิมเวลาในการจัด กจิ กรรมการเรยี นการสอน เพอื่ ใหน้ กั เรยี นไดม้ เี วลาในการคดิ และแสดงความคดิ เหน็ ในการทำ� กจิ กรรมการ เรียนรู้ให้มากขึน้ ครูไมค่ วรเร่งรีบจนนักเรียนไม่สามารถแสดงความคดิ เหน็ ในการท�ำกจิ กรรมการเรียนรู้ 3. ครูควรสนับสนุนนักเรียนในทางบวก ชื่นชมนักเรียนในการตอบค�ำถาม เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้เพ่ิมข้ึน แต่ไม่ควรชี้แนะแนวทางหรือค�ำตอบให้กับนักเรียนในระหว่างท�ำกิจกรรม เพื่อให้ นกั เรียนไดเ้ กดิ แนวคิดของตนเอง ขอ้ เสนอแนะสำ� หรบั การท�ำวิจัยตอ่ ไป 1. ควรมีการจดั กระบวนการเรยี นรู้ โดยใช้หนงั สอื ส่งเสริมการอา่ น เพื่ออา่ นจับใจความ ควบคกู่ ับ การเรยี นรู้ด้วยวิธอี นื่ ๆ ท่หี ลากหลาย 2. ควรศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้หนงั สอื ส่งเสรมิ การอา่ นเพื่ออ่านจบั ใจความไปใชใ้ น การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ในช้นั อื่น ๆ หรอื ทกุ ระดับช้นั 3. ควรศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ทฤษฎีการสร้างความรู้ไปใช้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ อนื่ ๆ เชน่ คณติ ศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เป็นตน้ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 135 ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ : ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กัด. ณฐั ชรกิ า ขวญั เดอื น. (2558). การจดั การเรยี นรเู้ พอื่ สง่ เสรมิ กระบวนการคดิ ทางชวี วทิ ยาของนกั เรยี นชนั้ มธั ยม ศกึ ษาปที ่ี 4 บนฐานกระบวนทศั นส์ รา้ งสรรคส์ งั คม. วทิ ยานพิ นธก์ ารศกึ ษามหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ . ทิศนา แขมมณี. (2557). ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรเู้ พื่อจัดกระบวนการเรียนรทู้ ี่มปี ระสิทธิภาพ. (พมิ พ์ คร้งั ท่ี 18) กรงุ เทพฯ : สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. มณฑนา พพิ ฒั น์เพญ็ . (2552). พลวัตของการศึกษาในชุมชนไทย. สงขลา : มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ. มณฑนา พพิ ฒั น์เพ็ญ. (2557). “ทบทวนอัตลักษณ์แหง่ ตัวตนของครูภายใตว้ ิธีคดิ ของการศกึ ษาสมยั ใหม่” วารสารพฤตกิ รรมศาสตรเ์ พือ่ การพัฒนา. 6 (1), 301 -320. วจิ ารณ์ พานิช. (2556). วธิ ีสรา้ งการเรียนรเู้ พอื่ ศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ : ตถาตาพบั บลิเคชนั . ศริ วิ รรณ เสนา. (2541). การศกึ ษาลกั ษณะของเนื้อความสำ� หรบั ฝกึ คดั ลายมอื ท่ีสง่ ผลตอ่ พฒั นาการและ ความเขา้ ใจ ในการอา่ นของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4. ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (การประถมศกึ ษา). กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร. สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน. (2560). คมู่ อื การจดั สอบวดั ความสามารถพนื้ ฐานของผเู้ รยี น ระดบั ชาติ (National Test: NT) ปกี ารศกึ ษา 2560. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ข้ันพน้ื ฐานกระทรวงศกึ ษาธกิ าร. สมชาย หอมยก. (2550). ภาษาไทยเพือ่ การส่อื สาร. ปทมุ ธานี : มหาวทิ ยาลยั วไลยอลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . สมพร แพง่ พพิ ฒั น.์ (2555). ภาษาไทยเพอ่ื การสอื่ สารและการสบื คน้ . พมิ พค์ รง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์ อนนั ต์ วัฒนานิกร. (2531). ประวัติเมอื งลงั กาสุกะ เมืองปัตตาน.ี กรุงเทพฯ : โรงพมิ พม์ ิตรสยาม. อิสมาอลี เบญจสมิทธ.์ิ (2558). มองประวัติศาสตร์ปตั ตานีผา่ นภาพถา่ ย. ปัตตานี : สมิลันเพรส ปตั ตาน.ี Dallmann, Martha and Others. (1978). The Teaching of Reading. 5th ed New York : Holt, Rienhart and Winston. 136 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

การสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ในหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการศกึ ษา วชิ าเอกการศกึ ษาเพอ่ื การพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ Research Synthesis in A Master’s Degree Program In Development Education Of The Faculty Of Education, Chiang Mai University Received : 2020-02-06 Revised : 2020-02-21 Accepted : 2020-06-25 ผวู้ ิจยั พิสิษฏ์ นาส1ี Pisith Nasee1 [email protected] บทคัดย่อ บทความน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือน�ำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “การสังเคราะห์งานวิจัยในหลักสูตรศึกษา ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการศกึ ษา วชิ าเอกการศกึ ษาเพอื่ การพฒั นา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่” จำ� นวน 22 เรอ่ื ง ในชว่ งปี 2558-2561 การวิจยั ใช้ระเบยี บวิจัยเชิงคณุ ภาพและใชแ้ นวคิดหลัก คือ การสังเคราะห์งานวิจัยและการศึกษาเพ่ือการพัฒนา (Development Education: DE) การวิจัย มีข้อค้นพบหลัก ได้แก่ 1. งานวิจัยท้ังหมดมีแนวโน้มเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษา กระบวนการ/การถอดบทเรียน มุ่งเน้นในประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรม ด�ำเนินการในภาคเหนือโดย เฉพาะจงั หวดั เชยี งใหม่ มพี นื้ ทว่ี จิ ยั ในโรงเรยี น และมงุ่ ศกึ ษากบั นกั เรยี น นกั ศกึ ษามากทสี่ ดุ 2. วตั ถปุ ระสงค์ หลกั ของงานวจิ ยั ทงั้ หมดสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ สามกลมุ่ ไดแ้ ก่ เพอ่ื ศกึ ษากระบวนการ/การถอดบทเรยี น เพื่อออกแบบแผนการเรียน/แผนกิจกรรมและหาผลสัมฤทธ์ิ และเพ่ือส�ำรวจประเด็นทางสังคม 3. การ สังเคราะห์ได้สะท้อนประเด็นปัญหาด้านการพัฒนาและการศึกษาหลายระดับของประเทศไทยในบริบท ประเทศก�ำลังพัฒนา โดยเฉพาะในภาคเหนือซ่ึงเป็นชายขอบของการพัฒนา นอกจากนี้ยังสะท้อนการใช้ แนวคิด DE หลายระดับ ต้ังแต่ความหมายในยุคหลังสงครามโลกคร้ังท่ีสองมาจนถึงยุคปัจจุบัน แม้จะมี ข้อเสนอให้ DE ยุคนีม้ ุ่งเน้นแนวคิดเชิงวพิ ากษม์ ากข้นึ ทั้งในประเทศไทยและในระดับนานาชาติกต็ าม ซง่ึ การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้าน DE ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศและความเคล่ือนไหวในระดับ นานาชาติจึงจ�ำเป็นตอ้ งไดร้ ับการพิจารณาตอ่ ไป คำ� สำ� คญั : การสงั เคราะหง์ านวจิ ยั , การศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นา, ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการศกึ ษา 1 ปรชั ญาดุษฎบี ัณฑิต (สังคมศาสตร์) สังกัด สาขาวิชาสงั คมศาสตรก์ ารศึกษา ภาควชิ าพื้นฐานและการพัฒนาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 239 ถ.หว้ ยแก้ว ต.สุเทพ อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม่ โทรศพั ท์ 053 944 219 อีเมล [email protected] Ph.D. (Social Science), Division of Social Science Education, Department of Educational Foundations and Development, Faculty of Education, Chiang Mai University, 239 Huay Kaew Rd., Suthep, Mueang, Chiang Mai, Telephone +66 5394 4219, E-mail: [email protected] วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ 137 ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Abstract This article aims to discuss the main findings of the research synthesis in a master’s degree program in Development Education (DE) of the Faculty of Education, Chiang Mai University. Data were collected from 22 theses conducted between 2015 and 2018. The study employs a qualitative method and the concepts of research synthesis and Development Education. The findings reveal that 1) the theses tend toward the qualitative method aiming to study the working process/lesson learned, focusing on social and cultural issues centering in the North, especially Chiang Mai. Additionally, they tend to study in schools and having students as participants. 2) The main research objectives can be grouped into three groups; to study the working process/lesson learned, to develop lesson plans/activity plans and assess the effectiveness, and to survey the social issues. 3. The study shows different degrees of the problem in development and education in Thailand, especially in the North which implies the development process in marginal areas. Furthermore, it signifies that the meaning of DE from the post-WWII is still brought into play although there is evidence to suggest that DE at present should be in line with the postmodernist perspective and critical theory. However, in the future, research to serve the construction of knowledge on DE in Thailand and, at the same time, link closely with the DE movements on the international level should be considered. Keywords : Research Synthesis, Development Education, Master’s Degree in Education 138 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ปีที่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

บทน�ำ การพัฒนาเป็นแนวคิดหน่ึงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในการขับเคลื่อนโลกปัจจุบัน ซ่ึงมาพร้อม กับแนวคิดการสร้างความทันสมัย (Modernization) โดยอย่างช้าท่ีสุดภายหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 ประเทศไทยได้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาตามแนวทางของประเทศมหาอ�ำนาจตะวันตก (ตัวอย่างท่ีชัดเจน คอื การเกดิ ขึ้นของแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาตฉิ บบั ที่ 1 พ.ศ. 2504 -2506) ซ่งึ ผูกโยงเข้ากบั แนวคดิ การสรา้ งชาติด้วย (ผาสุก พงษ์ไพจิตร และครสิ เบเกอร์, 2546; ชยั รัตน์ เจริญสนิ โอฬาร, 2549) จนถงึ ปจั จบุ นั ประเทศไทยถกู จดั ใหอ้ ยใู่ นกลมุ่ ประเทศกำ� ลงั พฒั นา (developing country) ตามเสน้ ทางการ พัฒนาน้ี ในระยะท่ีผ่านมาสังคมไทยได้มีประสบการณ์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโครงการพัฒนาอย่างมากมาย (ทั้งได้รับผลประโยชน์ ได้รับผลกระทบ และสูญเสียผลประโยชน์) จนถึงปัจจุบัน (ในรัฐบาลของ พลเอกประยุทธ์ จนั ทร์โอชา) ประเทศไทยมีโครงการพัฒนาระดับชาติมากมาย ซ่ึงเช่อื มโยงกบั กระแสการ พัฒนาในระดบั โลกซงึ่ มอี ยหู่ ลากหลายมติ ิ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การศกึ ษา วฒั นธรรมและส่ิงแวดล้อม (ตัวอย่างแผนการพัฒนาระดับโลกท่ีได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในปัจจุบัน เช่น the Sustainable Development Goals 2015-2030 (SDGs) ท่ปี ระกาศโดยองค์การสหประชาชาติ ดูเวบ็ ไซต์ https:// sustainabledevelopment.un.org) ปรากฏการณ์นี้น�ำไปสู่การศึกษาเร่ืองการพัฒนารวมถึงประเด็น ปัญหาท่ีเกี่ยวข้องโดยใช้แนวคิดและวิธีวิทยาที่หลากหลาย ในประเทศไทยการศึกษาเร่ืองการพัฒนาได้ รับการขับเนน้ ในหลายภาคสว่ น ในระดบั อดุ มศึกษามีการใหท้ นุ วจิ ัยเพ่อื ศกึ ษาดา้ นการพฒั นาทีส่ อดคล้อง กับแผนพัฒนาประเทศและแผนการระดับโลกอย่าง SDGs อยา่ งเข้มข้น (ดูตวั อย่างแผนการให้ทุนวิจัยของ สำ� นักงานการวิจยั แหง่ ชาติ หรือ วช. (www.nrct.go.th, www.nriis.nrct.go.th ปงี บประมาณ 2563- 2564) รวมถงึ ไดร้ ับการพัฒนาเป็นหลักสูตรและวิชาสำ� หรับการเรียนการสอนในระดับข้นั พื้นฐานไปจนถงึ ระดับอุดมศึกษาทวั่ โลก ภายใตช้ อ่ื Global Studies Development Studies Global Education Global Development Education Global Citizenship Education และ Development Education เปน็ ต้น (Dillon, 2016) แนวคิด Development Education หรอื DE เปน็ ส่วนหนง่ึ ของความเคล่อื นไหวขา้ งตน้ และเปน็ แนวคดิ ทไี่ ดร้ บั ความสนใจมาอยา่ งยาวนานในประเทศไทยเนอ่ื งจากบรบิ ทของการเปน็ ประเทศกำ� ลงั พฒั นา โดยอย่างช้าที่สุดในช่วงต้นทศวรรษ 2520 ได้ปรากฏรายวิชาเก่ียวกับ DE ในระดับอุดมศึกษาของคณะ ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช ในช่อื ภาษาไทยว่า “พฒั นศกึ ษา” (ตงั้ แตป่ ี 2524 ดู วจิ ติ ร ศรสี อ้าน, ณรงคศ์ กั ดิ์ ธนวิบูลยช์ ยั และสิรวิ รรณ ศรพี หล, 2552) เนอื่ งจาก DE มคี วามส�ำคัญในฐานะที่ การศึกษาเป็นกิจกรรมและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ จากนั้นแนวคิด DE ได้ขยาย สู่การศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาในอีกหลายมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครนิ ทรวิโรฒ มหาวิทยาลยั ศิลปากร มหาวิทยาลยั นเรศวร มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ โดยใชช้ ือ่ ในภาษา ไทยท่ตี า่ งกัน คือ “พัฒนศกึ ษา” “พฒั นศกึ ษาศาสตร”์ และ “การศึกษาเพือ่ การพฒั นา (คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552; คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2556; คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, 2557; คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม,่ 2556) วตั ถุประสงค์ของหลกั สูตร เหล่านค้ี อื เพอ่ื ผลิตบคุ ลากรทางการศึกษา นกั วจิ ัย นกั วชิ าการ และนกั พัฒนาทเ่ี ชย่ี วชาญในประเด็นการ ศกึ ษากบั การพฒั นา รวมถงึ การเปน็ ผนู้ ำ� ในการปฏริ ปู การศกึ ษาและการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยใ์ หส้ อดคลอ้ ง กับแนวทางการพฒั นาประเทศและของโลก วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 139 ปที ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

อยา่ งไรกต็ ามแนวคดิ DE ในประเทศไทยยงั อยใู่ นสถานะองคค์ วามรชู้ ายขอบเพราะเทา่ ทผี่ า่ นมาถกู พูดถึงในระดับอุดมศึกษาเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ได้มีการเช่ือมโยงระหว่างแนวคิดทฤษฎีกับการขับเคลื่อนใน ภาคประชาสงั คม (ภาคปฏบิ ตั กิ าร) รวมถงึ การเชอ่ื มโยงระหวา่ งสถาบนั อดุ มศกึ ษาในฐานะผผู้ ลติ องคค์ วามรู้ ดา้ น DE กับภาคส่วนอนื่ ๆ เช่น สถานศึกษา (กลมุ่ เด็ก เยาวชน และผ้ใู ห้การศกึ ษา) และชมุ ชน ดังนนั้ หาก จะต้องพจิ ารณาตอ่ ไปว่าจะท�ำอยา่ งไรให้แนวคดิ DE ยงั มคี วามสำ� คญั ตอ่ การสร้างองคค์ วามรู้เกี่ยวกับการ พฒั นาและการศกึ ษา รวมถงึ การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษท่ี 21 ไปจนถงึ สามารถขยายขอบเขต แนวคดิ ไปส่พู น้ื ทปี่ ฏิบตั กิ ารอืน่ ๆ จำ� เปน็ ต้องมีการทบทวนสถานภาพองคค์ วามรู้ รวมถงึ แนวคิด วิธีวทิ ยา จากงานวจิ ยั กอ่ นหนา้ นเ้ี พอื่ สรา้ งขอ้ ถกเถยี งและหาทางเลอื กใหก้ บั ศาสตรก์ ารศกึ ษาดงั กลา่ ว คำ� ถามเหลา่ นี้ จงึ เปน็ ทมี่ าของการวจิ ยั เพอ่ื สงั เคราะหข์ อ้ มลู พนื้ ฐานและสาระของงานวจิ ยั ในสาขาวชิ าการศกึ ษา วชิ าเอก การศึกษาเพ่อื การพัฒนา โดยเลือกศึกษาในส่วนของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ เนือ่ งจากมี ประเดน็ ทส่ี อดคลอ้ งกบั การพฒั นาของภาคเหนอื ซงึ่ มบี รบิ ทเฉพาะทง้ั ในเชงิ พน้ื ท่ี ประวตั ศิ าสตร์ สงั คมและ วฒั นธรรม (รวมถึงการต้งั อย่ใู นสว่ นภูมิภาคซ่งึ เป็นชายขอบของการพัฒนา) โดยทงั้ นี้ยังมีนัยของการเช่ือม โยงกับการพัฒนาในระดบั ประเทศและระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในบรบิ ทของภมู ิภาคลมุ่ แมน่ ้�ำโขงตอน บน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการขยายความเข้าใจในความส�ำคัญและพลวัตของแนวคิด DE ในประเทศไทย ให้มากขึน้ วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานและสาระของงานวิจัยในระดับมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการศึกษา วิชาเอกการศึกษาเพอ่ื การพฒั นา ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ และ เพอื่ สรา้ งประเด็นอภปิ รายและข้อเสนอแนะตามสาระท่ไี ด้จากการสังเคราะห์งานวิจยั ดงั กลา่ ว วธิ ดี ำ� เนินการวิจยั การวจิ ัยใช้ระเบยี บวธิ ีวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ด�ำเนินการระหว่างเดือนมนี าคม พ.ศ. 2562 ถึง กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2563 การวจิ ยั นไี้ ดร้ บั การยกเวน้ การพจิ ารณาจรยิ ธรรมการวจิ ยั จากคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในคน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนอ่ื งจากเปน็ การวจิ ัยเอกสาร การวิจัยใชแ้ นวคดิ การสังเคราะหง์ านวิจัยและ การศกึ ษาเพือ่ การพัฒนา (Development Education) เป็นแนวคดิ หลัก โดยมกี ารทบทวนวรรณกรรม ดงั น้ี 1. แนวคิดการสงั เคราะห์งานวจิ ัย การสงั เคราะห์งานวจิ ยั (Research Synthesis) คอื การศกึ ษารวบรวมงานวิจยั ทีม่ อี ยู่แล้วและนำ� มาอธบิ ายให้เหน็ ประเด็นส�ำคญั ทพี่ บจากงานวิจัยเหลา่ น้ัน เพอ่ื ให้เหน็ ภาพรวมของการวิจยั ในเรื่องใดเรือ่ ง หน่ึง หรือเพ่ือให้เห็นแบบแผนของปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหน่ึงอันเป็นผลมาจากงานวิจัยเหล่าน้ัน ใน การสงั เคราะหง์ านวจิ ยั นน้ั ต้องผา่ นกระบวนการวิเคราะหด์ ว้ ยวิธกี ารทางสถิติ หรอื การวิเคราะหข์ ้อมลู เชิง คณุ ภาพ การสงั เคราะหง์ านวิจยั จึงมคี วามสำ� คัญในการจะช่วยให้พบค�ำตอบของปัญหา ในขณะทงี่ านวจิ ยั มีปริมาณเพ่ิมขึ้นและเป็นประเด็นปัญหาเรื่องเดียวกัน จึงจ�ำเป็นต้องมีการรวบรวม วิเคราะห์และท�ำการ สงั เคราะหเ์ พือ่ ให้เกดิ องคค์ วามรแู้ ละคำ� ตอบของปัญหาน้นั ๆ ได้อยา่ งชัดเจน เพอ่ื น�ำความรู้หรือข้อมลู ท่ี ได้ไปใช้ประโยชนต์ อ่ ไป (ศกร พรหมทา, 2557, น. 35-38) 140 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ ปที ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

กระบวนการสังเคราะห์งานวิจยั มีขอบเขตการด�ำเนนิ งานครอบคลุมในเร่อื งตา่ ง ๆ ได้แก่ (1) การ สงั เคราะหแ์ นวคดิ ทฤษฎี หลกั การของศาสตร์ (2) การสงั เคราะหร์ ะเบยี บวธิ วี จิ ยั และ (3) การสงั เคราะหข์ อ้ คน้ พบจากงานวจิ ยั (สวรส., 2561, น. 3) โดยทว่ั ไปการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั สามารถจำ� แนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ การสังเคราะหเ์ ชงิ ปริมาณ (Quantitative Research Synthesis) และการสงั เคราะห์เชงิ คุณลกั ษณะ หรอื เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research Synthesis) การสงั เคราะหเ์ ชงิ ปรมิ าณเปน็ การวเิ คราะหจ์ ำ� นวน ตัวเลข สถิติ ในประเดน็ หวั ข้อทีป่ รากฏอยใู่ นงานวิจัย แลว้ น�ำมาจัดกลมุ่ และหมวดหมู่ทำ� ใหไ้ ดข้ ้อสรุปใหม่ การสงั เคราะหเ์ ชิงปริมาณจงึ เปน็ การวิเคราะหผ์ ลวเิ คราะห์ (Analysis of Analysis) หรอื การวิเคราะห์เชงิ ผสมผสาน (Integrative Analysis) หรือการวจิ ัยงานวจิ ัย (Research of Research) สว่ นการสังเคราะห์ เชงิ คณุ ภาพเปน็ การอา่ นวเิ คราะหร์ ายงานการวจิ ยั ในประเดน็ หวั ขอ้ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งแลว้ นำ� มาเขยี นสรปุ เขา้ ดว้ ย กันเป็นองค์ความรู้ของผู้วิจัย ลักษณะการสังเคราะห์งานวิจัยนี้ส่วนใหญ่จะพบในรายงานการวิจัยบทท่ีว่า ดว้ ยเอกสารและการวิจัยท่ีเกย่ี วข้อง (ศกร พรหมทา, 2557, น. 36; สวรส., 2561, น. 1) วธิ กี ารสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ทน่ี ยิ มใชก้ นั มี 2 วธิ ี ไดแ้ ก่ (สวรส., 2561, น. 4-5) 1. การสงั เคราะหเ์ นอ้ื หา สาระ ประกอบดว้ ยสว่ นทีเ่ ป็นลกั ษณะงานวจิ ัย รายละเอียด วธิ กี ารดำ� เนินการวิจยั และผลการวจิ ยั โดยใช้ เทคนคิ การวเิ คราะหอ์ ภมิ าน (Meta-Analysis) ซง่ึ เปน็ วธิ กี ารสงั เคราะหเ์ ชงิ ปรมิ าณทต่ี อ้ งใชร้ ะเบยี บวธิ ที าง สถติ ิ เปน็ การนำ� เสนอข้อค้นพบจากงานวิจัยทกุ เรือ่ งในหนว่ ยมาตรฐานเดียวกนั และบูรณาการข้อคน้ พบ ของรายงานการวิจัยที่น�ำมาสังเคราะห์ท้ังหมด พร้อมทั้งแสดงให้เห็นความเก่ียวข้องระหว่างลักษณะงาน วิจัย สามารถด�ำเนนิ การแบบง่าย ๆ โดยวธิ กี ารแจงนบั 2. การสงั เคราะหเ์ นอ้ื หาสาระเฉพาะสว่ นท่เี ปน็ ข้อ คน้ พบของรายงานการวจิ ยั โดยใช้วิธีการสังเคราะหด์ ว้ ยวิธกี ารบรรยายเชิงคณุ ภาพ จะไดบ้ ทสรุปรวมข้อ คน้ พบของรายงานการวิจัยท่นี ำ� มาสงั เคราะห์ โดยอาจยังคงสาระของงานวิจัยของแต่ละเร่อื งไวด้ ้วย หรือ อาจน�ำเสนอบทสรปุ รวมลักษณะรวมโดยไมค่ งสาระของงานวิจัยแตล่ ะเรื่องกไ็ ด้ การสงั เคราะหง์ านวจิ ยั จงึ มคี วามเหมาะสมในการชว่ ยทบทวนสถานภาพองคค์ วามรู้ รวมถงึ แนวคดิ ทฤษฎี วธิ วี ทิ ยาในการวจิ ยั ดา้ น DE ในระดบั มหาบณั ฑติ ของคณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารสรา้ งขอ้ ถกเถยี งและน�ำเสนอแนวทางในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ จากการทบทวนวรรณกรรม ข้างต้นผู้วิจัยใช้การสังเคราะห์เชิงคุณภาพ (qualitative research synthesis) ด้วยวิธีการบรรยายเชิง คณุ ลักษณะ มีประเด็นครอบคลมุ ประเด็นการวจิ ยั แนวคดิ ทฤษฎี ระเบยี บวธิ วี ิจยั ขอ้ ค้นพบ และนำ� มา สรปุ รวม อย่างไรกต็ ามเนอื่ งจากการวจิ ัยท้ังหมดมคี วามหลากหลาย จงึ ไดน้ �ำวธิ ีการเชิงปริมาณเขา้ มาชว่ ย เพอื่ จดั กลมุ่ และแสดงคา่ รอ้ ยละในประเภทการวจิ ยั วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ประเดน็ วจิ ยั หลกั จงั หวดั ทเ่ี ปน็ พน้ื ท่ี วิจยั พื้นท่ีวิจยั หลัก และกลมุ่ ตัวอย่าง ซ่ึงจะชว่ ยทำ� ใหเ้ ห็นแนวโน้มของการวจิ ัยไดช้ ดั เจนย่ิงขึน้ 2. นิยามและแนวคดิ DE ในบริบทของประเทศไทย นพพร จันทรนำ� ชู (2559) อธบิ ายว่า DE เปน็ ศาสตร์ทีม่ ีความเปน็ พลวัตเพ่อื ตอบสนองตอ่ ประเดน็ ปัญหาทางการศึกษา/การพัฒนาท่ีเปล่ียนแปลงไป โดยนัยเช่นนี้จึงเป็นศาสตร์ที่มีขอบเขตกว้างและเช่ือม โยงศาสตร์กับสาขาวิชาต่าง ๆ ในการศึกษาประเด็นปัญหาทางการพัฒนาที่เกิดข้ึนในสังคม ความรู้ด้าน DE จึงเป็นกระบวนการที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างมีพลวัต โดยประเทศไทยได้น�ำเข้าแนวคิดนี้และสร้าง เป็นสาขาวิชาทางการศึกษาในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ดังปรากฏในหลายมหาวิทยาลัยไม่ว่า จะเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัย นเรศวร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (ดู วิจิตร ศรีสอ้าน, ณรงค์ศักดิ์ ธนวบิ ลู ยช์ ยั และสริ วิ รรณ ศรพี หล, 2552; คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2552; คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2556; คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2557; คณะศึกษาศาสตร์ วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ 141 ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ 2556) ซง่ึ เนน้ ยำ้� ถงึ ความสำ� คญั ของแนวคดิ นแี้ ละศกั ยภาพเพอื่ การผลติ นกั วชิ าการ นักพัฒนา และนกั การศกึ ษาเพ่อื เป็นส่วนหนงึ่ ในการพัฒนาประเทศ ในที่น้ี นพพร จนั ทรนำ� ชู (2559, น. 152-153) ไดแ้ บ่งความหมายของ DE ในประเทศไทยออก เป็น 3 ชว่ งตามบริบททางประวัตศิ าสตรด์ ังนี้ ยคุ แรก คือ ตัง้ แตส่ ้นิ สดุ สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 เป็นตน้ มาจนถึง ทศวรรษ 2520 เรียกว่ายุคศาสตร์แห่งการศึกษาเพ่ือการพัฒนามนุษย์ให้น�ำไปสู่การพัฒนาประเทศ น่ัน คือการพัฒนาประเทศไปสู่ความทนั สมยั (Modernization) โดยมตี ้นแบบจากสังคมตะวนั ตก มงุ่ เนน้ การ พฒั นามนษุ ย์ดว้ ยทักษะ ความรสู้ มัยใหมท่ ีส่ อดคลอ้ งกับกระบวนการพฒั นาประเทศไปสกู่ ารเป็นประเทศ อุตสาหกรรม ในยคุ ท่ี 2 คือ ตง้ั แตท่ ศวรรษ 2520 ถงึ ทศวรรษ 2530 เรียกว่ายคุ ศาสตรแ์ หง่ การเรยี นรเู้ รอื่ ง การพฒั นา หมายถงึ ยคุ ทเี่ กดิ การตงั้ คำ� ถามเกย่ี วกบั กระบวนการพฒั นาทผี่ า่ นมาในยคุ Modernization ตาม แบบตะวนั ตกซึง่ ไม่สามารถท�ำให้บรรลุได้จรงิ มหิ นำ� ซำ�้ ยังเกดิ ผลกระทบในด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย DE จงึ หมายถงึ ศาสตรท์ เ่ี รยี นรเู้ รอ่ื งการพฒั นาเพอ่ื ใหท้ กุ คนในสงั คมมคี วามเขา้ ใจกระบวนการพฒั นา เขา้ ใจ การเปลย่ี นแปลงทางสังคมในระดบั ชมุ ชน ระดบั ประเทศ และระดบั โลก รวมทัง้ ผลกระทบจากการพัฒนา ท่สี ่งผลต่อปัจเจกบคุ คลและชุมชน ในยคุ ที่ 3 ถอื เป็นยคุ รว่ มสมยั คือเริ่มตัง้ แตท่ ศวรรษ 2530 จนถึงปจั จุบนั เรยี กวา่ ยคุ ศาสตร์แห่งการ สร้างความรู้ใหม่ หมายถึงการท่ี DE ได้เคล่ือนตัวมาสู่การเป็นศาสตร์ของการตั้งค�ำถามต่อความรู้ท่ีเป็น ผลผลติ จากการจดั ระเบยี บสรรพสง่ิ ใหเ้ ปน็ ระบบ เพอ่ื ใหส้ ามารถจดั การควบคมุ เพอ่ื ตอบสนองตอ่ เจตจำ� นง ร่วมกันของกลุ่มผลประโยชน์ผ่านภาคปฏิบัติการทางสังคมที่ท�ำให้คนยอมรับการจัดระเบียบและระบบท่ี สรา้ งข้ึนโดยไมต่ ั้งค�ำถาม DE ในความหมายนจี้ งึ มุ่งท่กี ารเปิดพื้นทีใ่ ห้ปจั เจกบุคคลและชุมชนได้เขา้ มาเป็น สว่ นหนงึ่ ของการสรา้ งความรู้ และเปน็ การสรา้ งความรทู้ ห่ี ลากหลายโดยการตคี วามจากประสบการณข์ อง ผู้ท่ีเคยถูกท�ำให้เป็นเสียงเงียบ (voiceless) ให้เป็นที่รับรู้ และเป็นกรอบส�ำหรับท�ำความเข้าใจกับความ หมายและคณุ คา่ เชงิ บรรทดั ฐานซงึ่ อยเู่ บอ้ื งหลงั การใหค้ วามหมายนน้ั (นภาภรณ์ หะวานนท,์ 2552 อา้ งองิ ใน นพพร จนั ทรน�ำชู, 2559, น.153) นอกจากน้ี DE ยังเป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (active learning process) ท่ีอยู่บนฐานของความสมานฉันท์ ความเทา่ เทียม และความร่วมมือ เพอ่ื ให้ทุกคนตระหนกั ถึง ผลของการพัฒนาท่ผี ่านมาและการพัฒนามนุษยอ์ ย่างย่ังยืน ผา่ นการทำ� ความเข้าใจสาเหตแุ ละผลกระทบ จากกระแสโลกาภวิ ัตนท์ เี่ กย่ี วข้องกบั คนแต่ละกลมุ่ นอกจากน้ี DE ยงั สนบั สนนุ การมสี ว่ นรว่ มอยา่ งเตม็ ท่ี ของทกุ คนเพอื่ ขจดั ความยากจน ตอ่ สกู้ บั การถกู กดี กนั และนำ� ไปสกู่ ารกำ� หนดนโยบายเพอื่ ความยง่ั ยนื ทาง เศรษฐกจิ สังคม สิ่งแวดลอ้ ม และสิทธิมนุษยชน (Development Education.ie, 2007 อ้างอิงใน นพพร จนั ทรนำ� ชู, 2559, น. 153) 3. นิยามและแนวคิด DE ในบรบิ ทนานาชาตเิ ปรียบเทียบกับประเทศไทย ในขณะท่ี DE ในประเทศไทยขับเคลอ่ื นเขา้ สู่ยคุ ทสี่ ามตามความเห็นของนพพร จนั ทรน�ำชู (2559) แตข่ อบเขตของการขบั เคลอื่ นยงั เนน้ ไปทรี่ ะดบั อดุ มศกึ ษาโดยเฉพาะระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา ในระดบั นานาชาติ แนวคดิ DE มคี วามเคลอื่ นไหวทน่ี า่ สนใจ เนอื่ งจากเปน็ ทงั้ แนวคดิ ทปี่ รากฏในวงวชิ าการและในยทุ ธศาสตร์ การพัฒนาประเทศ รวมถึงบทบาทในฐานะกระบวนการทางการศึกษา (educational process) ซง่ึ แพร่ หลายอย่างมากในแถบประเทศยโุ รป เช่น อังกฤษ ไอร์แลนด์ และสโลวาเกยี และประเทศเศรษฐกิจใหม่ อยา่ งอินเดีย บราซิลและแอฟรกิ าใต้ จงึ ทำ� ให้ DE มีความแตกต่างหลากหลายในการตคี วามแนวคิดและ การเชอ่ื มโยงสภู่ าคปฏบิ ตั ิการ ซึง่ แนน่ อนว่าจ�ำเปน็ ตอ้ งพจิ ารณาตามบรบิ ทเฉพาะของแต่ละพนื้ ที่ ตัวอย่างของการน�ำแนวคิด DE เข้าสู่ยุทธศาสตร์ของการพัฒนาสังคม จากทั้งภาครัฐและองค์กร พัฒนาเอกชน (NGOs) ในยุโรป เช่น ในแผนงาน “Strengthening Ireland’s Contribution to a 142 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ปีท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Sustainable and Just World through Development Education 2017-2023 ขององค์กร Irish Aid ในไอรแ์ ลนด์ แผนงานของDevelopment Awareness Raising and Education หรอื DARE Forum ซ่ึงมีตวั แทนของ NGOs ทัว่ ทวีปยุโรป องคก์ ร Irish Development Education Association (IDEA) ใน ไอร์แลนด์ และยุทธศาสตรร์ ะดับชาติของสโลวาเกยี (the Slovak National Strategy) เป็นต้น (Dillon, 2016) นอกจากนแ้ี นวคดิ DE ยงั ถกู น�ำไปใช้ในฐานะกระบวนการทางการศึกษาอกี ดว้ ย เช่นที่นำ� เสนอโดย องคก์ ร Trócaire (ในไอรแ์ ลนด)์ ทใ่ี ช้ DE เปน็ เครอื่ งมอื หนง่ึ ในการสรา้ งความตระหนกั ใหก้ บั ผเู้ รยี นในประเดน็ ปัญหาส�ำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความไม่เสมอภาคทางเพศ วิกฤตการณ์ของมนุษยชน และการเปลีย่ นแปลงสภาพอากาศ ผา่ นมมุ มองสิทธมิ นษุ ยชน (Human Rights) โดยมเี ป้าหมายเพ่ือการ เปลี่ยนแปลงโลกและมองเห็นว่าการท�ำงานร่วมกับเด็กและเยาวชนรวมถึงผู้ให้การศึกษาจะเป็นหนทาง หนง่ึ ของการสรา้ งการเปลย่ี นแปลง โดยสง่ เสรมิ ใหพ้ วกเขาตระหนกั ถงึ บทบาทอนั ทรงพลงั ทพ่ี วกเขามี เพอ่ื สรา้ งสังคมทเี่ สมอภาคมากขน้ึ นอกเหนอื จากน้โี ปรแกรมอบรม DE ท่พี ฒั นาขนึ้ โดย Trócaire ยงั มคี วาม ส�ำคัญในแง่ของการสร้างทักษะอ่ืน ๆ ส�ำหรับโลกอนาคต เช่น การคดิ เชงิ วพิ ากษจ์ ากมมุ มองที่หลากหลาย (Trócaire, 2018) จากตวั อยา่ งการเคลอ่ื นไหวของแนวคดิ DE ในระดบั นานาชาตทิ ำ� ใหเ้ หน็ อทิ ธพิ ลจากนกั ทฤษฎแี ละ นักปฏิบัติการที่สำ� คัญทั่วโลก นอกจากนยี้ งั รวมถึงนักคิดจากซีกโลกใต้ (Global South) ซึ่งแฝงอุดมการณ์ ของการปลดปลอ่ ย (liberation) เชน่ Paulo Freire (บราซลิ ) Ajay Kumar (อนิ เดยี ) และ Catherine Odora Hoppers (แอฟรกิ าใต)้ (Andreotti, 2008; Skinner, Blum & Bourn, 2013; Khoo & McCloskey, 2015) DE เชน่ นถ้ี กู ใหม้ คี วามหมายครอบคลมุ การตอบโตท้ างการศกึ ษาตอ่ ประเดน็ การพฒั นา สทิ ธมิ นษุ ยชน ความยุติธรรม และการเป็นพลเมืองโลก นอกจากนี้คือการมุ่งน�ำเสนอมุมมองเชิงซ้อนด้านการพัฒนาใน ระดบั สากลและสทิ ธมิ นษุ ยชนในพน้ื ทที่ างการศกึ ษา การสง่ เสรมิ เสยี งและมมุ มองของผคู้ นทถี่ กู เบยี ดขบั จาก การมสี ว่ นแบง่ อยา่ งยตุ ธิ รรมในผลประโยชนข์ องการพฒั นามนษุ ยใ์ นระดบั สากล นอกจากนย้ี งั เปน็ กระบวน การทางการศกึ ษาตลอดชวี ติ ซง่ึ มงุ่ หวงั ใหเ้ กดิ ความตระหนกั และความเขา้ ใจทม่ี ากขนึ้ ตอ่ การเปลย่ี นแปลง ท่ีเกดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเรว็ โดยท�ำการทา้ ทายกระบวนการสรา้ งภาพเหมารวม และส่งเสริมการคดิ ท่เี ป็นอิสระ มีวิจารณญาณ ในที่นี้จะเห็นไดว้ ่ามกี ารเน้นย�้ำบทบาทของ DE ในการเปน็ แนวทางเพื่อคน้ หาสาเหตุหรอื ต้นตอของความไม่เท่าเทียมท่ีเกิดข้ึนบนโลกใบนี้รวมถึงแนวทางแก้ไข และไม่ได้พูดถึงเฉพาะประเทศที่ ก�ำลังพัฒนาเท่าน้ัน แต่หมายถึงความสัมพันธ์ในระดับโลกและการขับเคลื่อนสู่ปฏิบัติการเพื่อสร้างโลกท่ี ยุติธรรมและเท่าเทียมมากขนึ้ ความหมายของ DE ข้างตน้ มคี วามสอดคลอ้ งกบั ความหมายในยุคท่ีสามของ DE ในประเทศไทย (ดู นพพร จนั ทรนำ� ช,ู 2559) ในระดบั ทพ่ี ดู ถงึ มมุ มองแบบหลงั สมยั ใหมแ่ ละทฤษฎเี ชงิ วพิ ากษ์ (Critical Theory) ในภาพรวมจะเหน็ ไดว้ า่ แนวคดิ DE เปน็ สว่ นหนงึ่ ของความเคลอ่ื นไหวในประเดน็ ปญั หาดา้ นการพฒั นาและ การศึกษาท่ีเช่ือมโยงกันในระดับโลก และเป็นแนวคิดท่ีได้รับความสนใจมาอย่างยาวนานในประเทศไทย เนอื่ งจากบรบิ ทของการเปน็ ประเทศกำ� ลงั พฒั นา อยา่ งไรกต็ ามแนวคดิ DE ในประเทศไทยยงั อยใู่ นสถานะ ชายขอบและยงั ขาดการเชอื่ มโยงในอกี หลายมติ ิ ไม่วา่ จะเป็นในภาคปฏบิ ตั ิการ (เชน่ เชิงยุทธศาสตร์และ กระบวนการทางการศกึ ษา) รวมไปถงึ การเชอื่ มโยงระหวา่ งสถาบนั อดุ มศกึ ษา (ผผู้ ลติ องคค์ วามดา้ น DE ใน ไทย) กบั สถานศกึ ษาหรอื ชมุ ชน การนำ� แนวคดิ DE มาใชใ้ นการวจิ ยั นจี้ งึ จะชว่ ยใหก้ ารวเิ คราะหผ์ ลการวจิ ยั และการสรา้ งขอ้ เสนอแนะตอ่ การพฒั นางานวจิ ยั ดา้ น DE ในอนาคตมที ศิ ทางทสี่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ ของประเทศไทยและความเคล่อื นไหวในระดับนานาชาตมิ ากข้ึน วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 143 ปที ่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ประชากร ประชากรในการวจิ ยั ครงั้ น้ี ไดแ้ ก่ วทิ ยานพิ นธใ์ นระดบั มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการศกึ ษา วชิ าเอกการ ศกึ ษาเพอื่ การพฒั นา ของคณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ซงึ่ สามารถสะทอ้ นภาพความเคลอื่ นไหว ได้ใน 2 มิติ คอื มิตเิ ชิงวชิ าการของการศึกษาด้าน DE และมิตขิ องประเดน็ ปัญหาทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการพฒั นา และการศึกษา โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ กลมุ่ ตัวอย่าง การวจิ ยั นเ้ี ปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพจงึ เปน็ การเลอื กเปา้ หมายตามคณุ สมบตั ทิ จ่ี ะศกึ ษา คอื วทิ ยานพิ นธ์ ในระดับมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา วิชาเอกการศึกษาเพื่อการพัฒนา ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ จ�ำนวน 22 เร่ือง ซ่งึ เปน็ จำ� นวนท้ังหมดทีผ่ ลติ ข้นึ ในระหวา่ งปี 2558-2561 (เปดิ รับ นกั ศกึ ษาระหว่างปกี ารศึกษา 2556-2558 และปิดรบั นักศกึ ษาตอ่ เนอื่ งจนถงึ ปีการศึกษา 2562) ตวั แปรท่ศี กึ ษา ตวั แปรทศี่ กึ ษา ไดแ้ ก่ วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ของการวจิ ยั เนอื่ งจากวทิ ยานพิ นธท์ งั้ 22 เรอ่ื งมคี วามหลาก หลาย วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ของการวจิ ยั จงึ ถกู นำ� มาใชเ้ ปน็ หนว่ ยการวเิ คราะหห์ ลกั ในเชงิ คณุ ลกั ษณะ ซง่ึ สามารถ น�ำไปสู่การวิเคราะห์บริบทของการสร้างค�ำถามและกรอบคิดการวิจัย เคร่ืองมือท่ีใช้ วิธีการเก็บรวบรวม ขอ้ มลู และแนวการสรปุ และอภิปรายผลได้ โดยสามารถจดั กลมุ่ ไดเ้ ปน็ 3 วัตถุประสงค์หลกั ดงั นี้ 1) เพื่อ ศึกษากระบวนการ/การถอดบทเรยี น 2) เพือ่ ออกแบบแผนการเรียน/แผนกจิ กรรมและหาผลสัมฤทธ์ิ และ 3) เพ่อื สำ� รวจประเดน็ ทางสงั คม วิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เนื่องจากยังไม่มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยทั้งหมดบนฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัย เชียงใหม่ (CMU e-theses) ผู้วิจัยจึงท�ำเรื่องผ่านคณะศึกษาศาสตร์เพ่ือขอความอนุเคราะห์ใช้เอกสาร ดังกล่าวจากบณั ฑิตวิทยาลัยโดยตรง เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวิจัย การวจิ ยั นใ้ี ชต้ ารางบนั ทกึ และวเิ คราะหค์ ณุ ลกั ษณะงานวจิ ยั ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ออกแบบเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ โดยเนื้อหาสาระจากงานวิจัยในหลักสูตรดังกล่าวจะถูกจัดแยกตามองค์ประกอบ 11 ด้าน ได้แก่ 1) ปีท่ีทำ� การวิจัย 2) วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั 3) ความสำ� คญั ของหวั ข้อวจิ ัย 4) ประเภทการวจิ ยั 5) ประเดน็ หลกั ในการวจิ ยั 6) แนวคดิ ทฤษฎีที่ใช้ 7) ระเบียบวิธวี ิจยั 8) จงั หวัดทีเ่ ป็นพ้นื ทีว่ ิจยั 9) พ้ืนที่ วจิ ยั หลกั 10) ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง และ 11) ขอ้ คน้ พบหลัก การวเิ คราะหข์ ้อมลู ขัน้ ตอนการวิเคราะห์ข้อมูลมดี ังน้ี 1. อา่ นวทิ ยาพนธ์ทั้ง 22 เรือ่ งเพ่อื ให้เหน็ ภาพรวมเบื้องต้น 2. วเิ คราะห์วิทยานพิ นธท์ ้งั 22 เร่อื งโดยใชต้ ารางบันทกึ คุณลักษณะงานวจิ ยั (11 องคป์ ระกอบ) 3. วเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณเพือ่ แสดงแนวโนม้ การวจิ ยั ในองค์ประกอบทั้ง 11 ด้าน 4. วเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพโดยเลอื กองคป์ ระกอบดา้ นวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั มายกระดบั และ จัดกลุ่มใหมเ่ ป็น 3 กล่มุ วัตถุประสงค์หลัก (จ�ำนวนกลมุ่ เป็นไปตามสภาพความเปน็ จรงิ ) 5. วเิ คราะหข์ ้ามระหวา่ งข้อมลู เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพเพอื่ หาความเช่ือมโยง 6. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจาก 3 กลุ่มวัตถุประสงค์หลักกับแนวคิดทฤษฎีด้านการศึกษาและ การพัฒนาทไ่ี ด้ทำ� การทบทวนไว้ 144 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563