Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2563

วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Published by MBU SLC LIBRARY, 2021-01-05 02:28:49

Description: 16697-5477-PB (1)

Search

Read the Text Version

ออนไลน์และการใช้กลวิธีการอ่านเชิงอภิปัญญาและกลวิธีการเรียนรู้ค�ำศัพท์ก่อนและหลัง เมื่อพิจารณา คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่าผู้เรียนมีการพัฒนาความสามารถในการอ่านออนไลน์โดยใช้กลวิธี การเรียนรู้ค�ำศัพท์สูงขึ้นตามสมมุติฐานการวิจัย เมื่อจ�ำแนกการใช้กลวิธีการเรียนรู้ค�ำศัพท์ในการอ่าน ออนไลน์จากแบบส�ำรวจการอ่านออนไลน์โดยใช้กลวิธีอภิปัญญาและกลวิธีการเรียนรู้ค�ำศัพท์ พบว่าการ ใชพ้ จนานกุ รมออนไลน์ (Use online dictionary) อยู่ในอันดบั แรก รองลงมาคอื การค้นหาคำ� พอ้ งและค�ำ ตรงกันขา้ มของคำ� (Find the synonyms and antonyms of the words) การคาดเดาความหมายจาก บริบท (Guess meaning from context) การใชแ้ ผนภูมิความหมาย (Use semantic maps) และการ วเิ คราะหห์ นา้ ทขี่ องคำ� (Analyze part of speech, affixes and roots) ท้งั น้ีการเก็บข้อมลู การใชก้ ลวธิ ี การเรียนรู้ค�ำศัพท์จากบันทึกการอ่านพบว่า กลวิธีการเรียนรู้ค�ำศัพท์ในการอ่านออนไลน์ที่ผู้เรียนใช้มาก ท่ีสุด ได้แก่ ใชพ้ จนานุกรมออนไลน์ (Use an online dictionary) รองลงมาคือคน้ หาค�ำพ้องและคำ� ตรง กนั ข้ามของค�ำ (Find the synonyms and antonyms of the words) คาดเดาความหมายจากบรบิ ท (Guess meaning from context) ใช้แผนภมู คิ วามหมาย (Use semantic maps) และวิเคราะหห์ น้าท่ี ของค�ำ (Analyze parts of speech, affixes and roots) 2.4 ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้หลังการเรียนตามรูปแบบการสอน อ่านออนไลน์โดยใช้กลวิธีอภิปัญญาและกลวิธีการเรียนรู้คำ� ศัพท์เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการอ่าน ออนไลน์และการใช้กลวิธีการอ่านเชิงอภิปัญญาและกลวิธีการเรียนรู้ค�ำศัพท์ ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เมื่อ พิจารณารายด้านพบว่า ผู้เรียนมีความพอใจในด้านผู้สอนมากท่ีสุด รองลงมาคือด้านความรู้และด้าน กจิ กรรมการเรียนรู้ 3. การวิเคราะห์ผลการรับรองรูปแบบการสอนอ่านออนไลน์โดยใช้กลวิธีอภิปัญญาและกลวิธีการ เรียนรู้ค�ำศัพท์เพ่ือเสริมสร้างความสามารถในการอ่านออนไลน์และการใช้กลวิธีการอ่านเชิงอภิปัญญา และกลวิธกี ารเรยี นรู้ค�ำศพั ท์ ทผ่ี ูว้ จิ ยั ได้พฒั นาข้ึน ประกอบด้วย 4 องคป์ ระกอบ ได้แก่ 1) หลักการและ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 2) กระบวนการการจัดการเรียนการสอน 3) การวัดและประเมินผล และ 4) เง่ือนไขการน�ำรปู แบบไปใชร้ ปู แบบการสอนน้มี ชี ือ่ เรยี กว่า PPE Model มี 3 ขัน้ คอื 1) Planning (P) ขนั้ การวางแผนการอ่านออนไลน์ 2) Practicing and Monitoring (P) ข้ันการปฏิบัติและตรวจสอบกลวิธี ในการอ่านออนไลน์ 3) Evaluating (E) ข้ันการประเมินการอ่านออนไลน์ และเอกสารประกอบการใช้ รปู แบบ ได้แก่ ค่มู อื การใช้รปู แบบ แผนการจัดการเรยี นรู้ของรปู แบบ หลงั จากผ่านการรับรองรปู แบบจาก ผู้ทรงคณุ วุฒิ 5 คน ผวู้ ิจยั พบวา่ เป็นรปู แบบทเี่ มาะสมอยใู่ นระดบั ดมี าก ท้ังนี้อาจเป็นเพราะว่ารปู แบบการ สอนอา่ นออนไลนโ์ ดยใชก้ ลวธิ อี ภปิ ญั ญาและกลวธิ กี ารเรยี นรคู้ ำ� ศพั ทไ์ ดผ้ า่ นการศกึ ษา วเิ คราะห์ ทง้ั ทฤษฎี ท่ีเก่ียวข้อง ทั้งรูปแบบการสอน ทฤษฎีการอ่านออนไลน์ กลวิธีการอ่านเชิงอภิปัญญา กลวิธีการเรียนรู้ คำ� ศัพท์ ศึกษาความตอ้ งการจำ� เป็นของผู้เรียน และข้อมูลที่เกยี่ วขอ้ งกบั การอ่านออนไลนท์ ่ไี ด้น�ำมาใช้ใน การออกแบบการเรียนการสอน มีการสนทนากลุ่มกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษ 5 คน และผ่าน การตรวจสอบ ปรับแก้หลายครั้ง จนเป็นรูปแบบการสอนอ่านออนไลน์โดยใช้กลวิธีอภิปัญญาและกลวิธี การเรียนรู้ค�ำศัพท์ และมีการสร้างเคร่ืองมือท่ีผ่านการประเมินโดยผู้เช่ียวชาญทางด้านภาษาอังกฤษท้ัง 5 คน และไดน้ ำ� รปู แบบการสอนอา่ นออนไลนโ์ ดยใชก้ ลวธิ อี ภปิ ญั ญาและกลวธิ กี ารเรยี นรคู้ ำ� ศพั ทไ์ ปทดลอง ใชเ้ พือ่ หาประสทิ ธภิ าพ และน�ำผลท่ไี ดม้ าปรบั ปรุงรูปแบบใหม้ ีประสิทธภิ าพตามท่ีต้ังไว้ 75/75 และจงึ น�ำ รปู แบบการสอนอา่ นออนไลนโ์ ดยใชก้ ลวธิ อี ภปิ ญั ญาและกลวธิ กี ารเรยี นรคู้ ำ� ศพั ทไ์ ปใชจ้ รงิ กบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง ในกระบวนการสดุ ทา้ ยผ้วู ิจยั ไดน้ ำ� รูปแบบที่พัฒนาละหาประสทิ ธิภาพแลว้ เสนอตอ่ ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ง้ั 5 คน เพ่ือรับรองรูปแบบ จากกระบวนการทั้งหมดผู้วิจัยได้ด�ำเนินการอย่างเป็นระบบและขอค�ำแนะน�ำจากที่ วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ 45 ปีท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ปรกึ ษา ผเู้ ชย่ี วชาญอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพอื่ พฒั นารปู แบบการสอนอา่ นออนไลนโ์ ดยใชก้ ลวธิ อี ภปิ ญั ญาและกลวธิ ี การเรยี นร้คู ำ� ศพั ท์ให้สามารถน�ำไปใช้ได้จริง ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะเพอื่ น�ำผลวิจยั ไปใช้ 1.1 แนะนำ� ใหผ้ สู้ อนและผทู้ สี่ นใจการสอนอา่ นออนไลนโ์ ดยใชก้ ลวธิ อี ภปิ ญั ญาและกลวธิ กี ารเรยี นรู้ คำ� ศพั ทท์ ีผ่ วู้ จิ ัยได้พัฒนาขึ้นไปใช้กบั ผูเ้ รยี นเพ่ือสง่ เสรมิ ความสามารถในการอ่านออนไลนใ์ นศตวรรษท่ี 21 เนือ่ งจากรูปแบบการสอนน้ีมคี วามเหมาะสมและสง่ เสริมการอา่ นออนไลน์ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 1.2 แผนการเรยี นรกู้ ารอา่ นออนไลนโ์ ดยใชก้ ลวธิ อี ภปิ ญั ญาและกลวธิ กี ารเรยี นรคู้ ำ� ศพั ทเ์ ปน็ การฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นใชค้ วามคดิ และฝกึ ทกั ษะการใชก้ ลวธิ อี ภปิ ญั ญาและกลวธิ กี ารเรยี นรคู้ ำ� ศพั ทจ์ ากกการอา่ นบทความ ออนไลน์ ซ่ึงกลวิธตี ่าง ๆ ตอ้ งใช้เวลาในการฝึกฝน เพื่อใหเ้ กิดประสทิ ธผิ ลอยา่ งแทจ้ ริง ผสู้ อนหรือผูท้ ี่สนใจ สามารถเพ่มิ เวลาในการท�ำกิจกรรม ปรับให้เหมาะสมกบั บริบทของผู้เรียน 2. ข้อเสนอแนะเพอ่ื การวิจยั ครงั้ ต่อไป 2.1 ควรท�ำการศกึ ษาวิจัยอย่างตอ่ เนอื่ งเพอ่ื ดูพัฒนาการและความคงทนในการเรยี นรูต้ ามรปู แบบ 2.2 ควรมีการพัฒนารูปแบบการสอนอ่านออนไลน์โดยใช้กลวิธีอภิปัญญาและกลวิธีการเรียนรู้ คำ� ศพั ทโ์ ดยการน�ำเอา PPE Model ไปใชใ้ นสาขาทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การสอนอ่านภาษาองั กฤษออนไลน์ 46 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

บรรณานุกรม ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ (2556). การทดสอบประสทิ ธภิ าพส่ือหรือชดุ การสอน. วารสารศิลปากรศกึ ษาศาสตร์ วิจยั , 5(1), 7-20. ทิพย์วิมล วังแก้วหิรัญ, พรทิพย์ อ้นเกษม, สุพัฒน์ เศรษฐคมกุล, ประภาพร ชนะจีนะศักด์ิ, ธิดารัตน์ อธปิ ญั จพงษ,์ เกษมพฒั น์ พลู สวสั ด,ิ์ ปยิ ะนนั ต์ ตอ่ แสงธรรม. (2561). การพฒั นาชดุ การเรยี นรนู้ วตั กรรมและ ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ ของต�ำบลสาวชะโงก ส�ำหรบั นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โดยใชก้ ระบวนการ เรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและประสบการณ์อภิปัญญาบูรณาการกับการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ, 18(2), 18-29. มาเรยี ม นลิ พนั ธ.์ุ (2555). วธิ วี จิ ยั ทางการศกึ ษา (พมิ พค์ รงั้ ที่ 7). นครปฐม: คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร วทิ ยาเขตพระราชวงั สนามจันทร์. Central Intelligence Agency. (2014). The CIA world factbook 2015. Canada: Skyhorse Publishing, Inc. Cummins, J. (1991). Interdependence of first-and second-language proficiency in bilingual children. In E. Bialystok (Ed.), Language processing in bilingual children (pp. 70–89). New York: Cambridge University Press. Dick, W., Carey, L., & Carey, J. O. (2005). The systematic design of instruction. (6th ed.). USA: Pearson. Huffman, J. (2014). Reading rate gains during a one-semester extensive reading course. Reading in a Foreign Language, 26(2), 17-33. Kim, H.-I., & Cha, K.-A. (2015). Korean learners’ metacognition in reading using think-aloud procedures with a focus on regulation of cognition. English Language Teaching, 8(6), 178-193. Kruse, K. (2002). Introduction to instructional design and the ADDIE model. Retrieved January 18, 2018, from https://pdfs.semanticscholar.org/9dde/73651c087216677 a930f1f5c2df02de6a5f9.pdf วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 47 ปีท่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ติมเี ดยี เร่อื งการคูณทศนยิ ม กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ สำ� หรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 5 The Development Of Computer Multimedia Lessons About Decimal Multiplication, Group Of Learning Mathematics For Prathomsuksa 5 Students Received : 2020-02-09 Revised : 2020-03-17 Accepted : 2020-05-29 ผูว้ จิ ยั มาหะมัดสาปาร ี หะยีมะเซ็ง1 Mahamadsaparee Hayeemaseng1 [email protected] ชัชวาล ชุมรกั ษา2 Chatchawan Chumruksa2 [email protected] บทคดั ย่อ การวิจัยน้มี ีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ 1) พฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรม์ ัลติมเี ดีย เรอ่ื ง การคณู ทศนิยม กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ส�ำหรับนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ก่อนเรยี นและหลงั เรยี นด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จ�ำนวน 72 คน ที่ก�ำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนกลุ่มซาเบ็ง อ�ำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายข้ันตอน เคร่ืองมือการวิจัย ประกอบด้วย 1)บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เร่ืองการคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำ� หรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 2) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น 3)แบบประเมนิ คุณภาพ บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ใชส้ ถติ คิ า่ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ คา่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจยั พบว่า 1) บทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เร่ือง การคูณทศนิยม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ คณิตศาสตร์ส�ำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 มีประสิทธิภาพ 76.57/75.33 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 2) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ทเี่ รยี นด้วยบทเรียนคอมพวิ เตอร์ มัลติมีเดีย เรื่อง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำ� คัญทางสถติ ิท่ี 0.01 คำ� สำ� คญั : บทเรียนคอมพิวเตอรม์ ลั ติมเี ดีย, ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น, ประสทิ ธิภาพ 1 นิสิตระดบั มหาบัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีและสอ่ื สารการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ Student Master of Education Program in Educational Technology and Communications, Faculty of Education, Thaksin University 2 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. สาขาวชิ าเทคโนโลยแี ละสอ่ื สารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ Assistant Professor Dr. Program in Educational Technology and Communications Faculty of Education Thaksin University 48 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

Abstract The purpose of this research were to 1) Develop computer multimedia lessons on decimal multiplication in mathematics learning group for prathomsuksa 5 students to be effective as per the criteria 75/75 2) Comparison of learning achievement of prathomsuksa 5 students before and after learning by using computer multimedia lessons on decimal multiplication mathematics learning subject. The samples were 72 prathomsuksa 5 students currently studying in the first semester of the academic year 2019 in the group of Sabeng School, Yi-Ngor District, Narathiwat Province by using multi-stage random sampling. The research instruments were the computer multimedia lessons on decimal multiplication, group of learning mathematics for prathomsuksa 5 students , learning achievement and the assessment form for quality of computer multimedia lessons. The statistics used for the data analysis included percentage, average, standard deviation and a t-test Dependent. The result of this research found that 1) The computer multimedia lessons on decimal multiplication, group of learning mathematics for prathomsuksa 5 students achieved the effective value was 76.57/75.33 which was in the set criterion of 75/75. and 2) Learning achievement of prathomsuksa 5 students which learning by using computer multimedia lessons on decimal multiplication, group of mathematics after studying, it was higher than before learning with statistical significance at 0.01. Keywords : Computer Multimedia Lessons, Learning Achievement, Efficiency วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 49 ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

บทนำ� ปจั จบุ นั เทคโนโลยเี ขา้ มามบี ทบาทสำ� คญั กบั วงการศกึ ษาไทยมากขน้ึ ทงั้ ในดา้ นการเรยี นการสอนการ จดั การช้นั เรียน และด้านการบริหารสถานศกึ ษา เปน็ เหตใุ หบ้ ุคลากรทางการศึกษาหนั มาใหค้ วามสนใจใน การใชเ้ ทคโนโลยมี ากขน้ึ โดยเฉพาะดา้ นการเรยี นการสอนทงั้ นส้ี อดคลอ้ งกบั พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาตพิ ทุ ธศักราช 2542 แกไ้ ขเพ่ิมเติมครัง้ ท่ี 3 พุทธศกั ราช 2553 หมวด 9 มาตรา 65 ทีม่ ุง่ เน้นใหม้ กี าร พัฒนาบุคลากรทง้ั ดา้ นผูผ้ ลิต และผใู้ ชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา เพ่ือใหม้ คี วามรู้ ความสามารถ และทักษะ ในการผลติ รวมท้งั การใช้เทคโนโลยีท่เี หมาะสม มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ และมาตรา 67 ท่ีระบุใหร้ ฐั ต้องสง่ เสริมใหม้ ีการวจิ ยั และพัฒนา การผลิตและการพฒั นาเทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษา รวมท้งั การตดิ ตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพ่ือให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับ กระบวนการเรียนรขู้ องคนไทย (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2553, หนา้ 9) เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทส�ำคัญในด้านการจัดการเรียนรู้มากขึ้น โดยน�ำ เอาคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อ เป็นเคร่ืองมือส�ำหรับการเรียนรู้โดยน�ำเสนอในรูปแบบส่ือประสม จดั เนอ้ื หาสาระหรอื ประสบการณใ์ หผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นร ู้ ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยคี อมพวิ เตอรใ์ นปจั จบุ นั ทำ� ใหม้ ลั ตมิ เี ดยี ถกู นำ� ไปใชป้ ระโยชนใ์ นงานดา้ นตา่ ง ๆ มากมาย โดยเฉพาะดา้ นการศกึ ษา นยิ มนำ� มลั ตมิ เี ดยี มาใช้ในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เน่ืองจากต้นทุนการผลิตต่�ำ แต่สามารถสร้างสื่อได้มี คุณภาพสูง สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย ดังน้ันการน�ำสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย มาใช้ในการ จดั การเรียนการสอนจะสามารถกระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความสนใจ สรา้ งความกระตือรือรน้ ในการเรยี นและ การศึกษาเพม่ิ เตมิ ทำ� ให้เกิดประสทิ ธิภาพในการเรียนเพิ่มขึ้น บทเรียนคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ ีเดยี เปน็ ส่อื การ เรยี นรทู้ สี่ ามารถตอบสนองรปู แบบการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นทแี่ ตกตา่ งได้ สามารถทบทวนความรู้ ฝกึ ซำ�้ ได้ ทำ� ให้ บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เหมาะสมทจี่ ะนำ� มาใชเ้ ปน็ สอื่ ในการจดั การเรยี นการสอน (ณฐั กร สงคราม, 2553, น. 1) การน�ำคอมพิวเตอร์มาใช้ในกระบวกการสอนและน�ำเสนอในรูแบบส่ือประสมหรือที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเป็นการน�ำคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นสื่อในการจัดการเรียนการสอน มีการโต้ตอบกัน ได้ในระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์บทเรียนจะมีตัวอักษรภาพกราฟิกภาพน่ิงภาพเคล่ือนไหวภาพจาก วีดทิ ศั น์รวมทง้ั เสยี งประกอบด้วยทำ� ให้ผ้เู รียนสนกุ ไปกบั การเรียนไมร่ ูส้ ึกเบ่อื หนา่ ยเป็นส่ือทส่ี ามารถน�ำมา สอนรายบคุ คลไดเ้ ปน็ อยา่ งดเี พราะเปน็ สอื่ ทสี่ ามารถนำ� เสนอหลายรปู แบบมกี ารสรา้ งบรรยากาศใหส้ มจรงิ และนา่ สนใจ มเี สยี งบรรยายประกอบดว้ ยการนำ� เสนอเนอ้ื หาผเู้ รยี นสามารถศกึ ษาไดต้ ามความสามารถและ พ้นื ฐานความร้ขู องตน สามารถปฏบิ ตั ซิ ำ�้ ไดก้ ่ีครัง้ กไ็ ด้ ชว่ ยในการสรา้ งบทเรยี นสามารถนำ� เสนอเน้อื หาท่มี ี จ�ำนวนมากและรูปแบบการสอนที่สลับซับซ้อนได้ซ่ึงสอดคล้องกับการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้ด้วย ตนเองตามความแตกต่างของแตล่ ะบคุ คล (มนตช์ ัย เทียนทอง, 2545) มลั ตมิ เี ดยี (Multimedia) เปน็ สอ่ื การเรยี นการสอนทมี่ ขี อบเขตกวา้ งขวาง เพม่ิ ทางเลอื กในการเรยี น การสอน สามารถตอบสนองรปู แบบของการเรยี นการสอนของนกั เรยี นทแี่ ตกตา่ งได้ สามารถจำ� ลองสภาพ การณข์ องวชิ าต่าง ๆ เพอื่ การเรียนรูไ้ ด ้ นักเรยี นไดร้ บั ประสบการณต์ รงก่อนการลงมอื ปฏบิ ัติจรงิ สามารถ ที่จะทบทวนข้ันตอนและกระบวนการได้อย่างดี และนักเรียนสามารถที่จะเรียนหรือฝึกซ้�ำได้ จึงกล่าวได้ ว่ามัลติมีเดียมีความเหมาะสมท่ีจะน�ำมาใช้ทางการเรียนการสอน มัลติมีเดียโดยมากจะน�ำมาใช้เพื่อเพ่ิม ทางเลือกในการเรยี นการสอน และให้ตอบสนองรูปแบบการเรยี นทแ่ี ตกตา่ งกนั ของนกั เรียน และดว้ ยการ 50 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ ปีที่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

ออกแบบโปรแกรมปฏสิ มั พนั ธ์เพื่อใหส้ ามารถสื่อได้หลายชนิด ความตอ้ งการของผูเ้ รยี นจงึ ต้องตอบสนอง การเรยี นดว้ ยตนเองแบบเชงิ รกุ ได ้ ดงั นนั้ การใชม้ ลั ตมิ เี ดยี เปน็ สอ่ื ทางการเรยี นการสอนจะเปน็ การสง่ เสรมิ การสอนทม่ี ลี กั ษณะการสอนโดยใชม้ ลั ตมิ เี ดยี ทชี่ ว่ ยใหส้ ามารถนาเสนอเนอ้ื หาไดอ้ ยา่ งลกึ ซงึ้ กวา่ การบรรยาย ปกติ ดงั นนั้ มลั ตมิ ีเดียในปัจจบุ นั นี้อาจกล่าวไดว้ ่าเปน็ ส่อื ท่ีมีบทบาทส�ำคญั ต่อการเรยี นการสอนได้เชน่ กัน (พะวงรัก อนิ ทรธนู, 2555, น. 2) คณิตศาสตร์มีบทบาทส�ำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ท�ำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คดิ อยา่ งมเี หตผุ ล เปน็ ระบบ มแี บบแผน สามารถวเิ คราะหป์ ญั หาหรอื สถานการณไ์ ดอ้ ยา่ งถถ่ี ว้ น รอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาและน�ำไปใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเคร่ืองมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อ่ืน ๆ คณติ ศาสตรจ์ งึ มปี ระโยชนต์ อ่ การดำ� เนนิ ชวี ติ ชว่ ยพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ใหด้ ขี น้ึ และสามารถอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื ได้ อยา่ งมคี วามสขุ (สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ 2551) อกี ทง้ั คณติ ศาสตรย์ งั มบี ทบาทสำ� คญั ในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ท�ำให้เป็นคนคิดอย่างมีเหตุผล มีระบบ ระเบียบมีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างถูกต้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการด�ำรงชีวิตและช่วยพัฒนาชีวิต ได้ดขี ึ้น เพราะคุณภาพชวี ิตที่ดีขึ้นอยู่กับคุณภาพของการคิด เพราะการคิดเปน็ ส่งิ ส�ำคัญและจาเป็นต่อการ ด�ำรงชีวิต หากบุคคลในสังคมมีความสามารถในการคิดก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการด�ำรงชีวิต จะ ท�ำให้สามารถแก้ปัญหารวมท้ังเลือกตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและเหมาะสม ดังนั้นการส่งเสริมการคิดให้ กับเด็กและเยาวชนจึงมีความส�ำคัญอย่างยิ่งเพราะการคิดจะช่วยพัฒนาความคิดให้ก้าวหน้าส่งผลให้สติ ปัญญาเฉยี บแหลมมคี วามรอบคอบสามารถแกป้ ญั หาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถดำ� รงชีวิตอยใู่ นสังคม โลกาภวิ ฒั น์ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและมคี วามสขุ นกั การศกึ ษาทกุ ระดบั และผมู้ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งในการจดั การ ศกึ ษาไดต้ ระหนกั และเลง็ เหน็ ความสำ� คญั ของสาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตรใ์ นปจั จบุ นั เปน็ อยา่ งยงิ่ เนอื่ งจาก คณิตศาสตร์เป็นสาระการเรียนรู้ที่มีลักษณะธรรมชาติ เป็นนามธรรมและมีโครงสร้างท่ีค่อนข้างซับซ้อน ผเู้ รยี นจะเกดิ การเรยี นรแู้ ละมคี วามเขา้ ใจคณติ ศาสตรไ์ ดด้ ี ตอ้ งใชค้ วามคดิ อยา่ งสมเหตสุ มผล แลว้ ตอ้ งศกึ ษา ตามล�ำดับอย่างมกี ระบวนการ (ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2556, น. 292-296) ในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ คณติ ศาสตร์ จำ� เป็นต้องจดั ตามล�ำดับอยา่ งมีกระบวนการ ตอ้ งมีการสรุปเป็นความคิดรวบยอดการจัดการ เรยี นการสอน สาระจ�ำนวนและการดำ� เนนิ การ เร่ือง การคณู ทศนิยม สำ� หรบั นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ผ้สู อนจะพบกบั ปญั หาทน่ี กั เรยี นมีข้อบกพร่องต่าง ๆ หลายประการ เช่น ลืมทดเลข ตั้งเลขไม่ตรงหลัก และยังสับสนในเร่ืองจุดทศนิยม ท�ำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการเรียนการสอนจึงไม่ประสบผลส�ำเร็จ ในการจดั การเรียนรเู้ ร่อื งดังกล่าวเท่าที่ควร กล่าวคือ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นยังอยใู่ นระดบั ทีไ่ มพ่ ึงพอใจ จากหลกั คดิ และสภาพปญั หาขา้ งตน้ ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจทจี่ ะพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอ่ื ง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ส�ำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 เพื่อฝึกทบทวน เนอื้ หา อนั จะส่งผลใหน้ ักเรียนเกดิ ทักษะ ความชำ� นาญในการคิดคำ� นวณ ตลอดจนสง่ เสริมการนำ� ความรู้ ทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในชีวิตประจ�ำวันอีกท้ังเป็นแนวทางในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียให้ มีคุณภาพและสามารถน�ำไปใช้ประโยชนไ์ ดจ้ ริง วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ 51 ปที ่ี 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 1. เพอ่ื พฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง การคณู ทศนยิ มกลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ ส�ำหรับนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 ใหม้ ีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2. เพ่อื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5 กอ่ นเรยี นและหลงั เรียน ดว้ ยบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ลั ตมิ เี ดียเรอ่ื ง การคูณทศนยิ มกลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ สมมตฐิ านการวจิ ยั 1. บทเรียนคอมพวิ เตอร์มลั ติมเี ดีย เรือ่ ง การคูณทศนิยมกลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ส�ำหรบั นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 5 ที่พัฒนาขึ้นมปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 75/75 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย เรือ่ ง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ สูงกวา่ ก่อนเรยี น กรอบแนวคิดการวิจัย จากการวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ทฤษฎกี ารเรยี นรแู้ ละจติ วทิ ยาทเ่ี กย่ี ว กับบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย การพัฒนาบทเรียนตามแนวทางวิธีการเชิงระบบ หลักการออกแบบ บทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลตมิ เี ดยี ตามหลักการ ADDIE Model (มนต์ชยั เทียนทอง, 2545, น. 138-146) และการออกแบบการสอนตามแนวคิดของกาเย่ (Gange’) (บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ และคณะ, 2544, น. 47-55) วเิ คราะหเ์ นอื้ หาการคณู ทศนยิ ม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ และเอกสารงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ทำ� ใหไ้ ดแ้ นวทางในการพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เร่อื ง การคณู ทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ส�ำหรบั นักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 และเพอื่ ให้ เกดิ ประโยชน์ต่อผเู้ รยี น การจดั การเรียนการสอน และคุณภาพของการจดั การเรยี นการสอนต่อไป ผวู้ จิ ยั จงึ ไดเ้ สนอกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั เพอ่ื แสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรทตี่ อ้ งการศกึ ษาในการวจิ ยั เรอื่ ง การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ เี ดีย เร่อื ง การคูณทศนยิ มกล่มุ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตรส์ ำ� หรับ นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ดงั ภาพที่ 1 ตวั แปรอสิ ระ ตัวแปรตาม การเรียนดว้ ยบทเรยี น 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง มัลติมีเดียเรื่อง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระ การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการ การเรยี นรูค้ ณติ ศาสตร์ เรียนร้คู ณติ ศาสตร์ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ การวิจัย 52 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

วิธดี �ำเนินการวจิ ยั ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ประชากร ประชากรทใี่ ช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 กล่มุ โรงเรียนซาเบ็ง อำ� เภอ ยงี่ อ จังหวดั นราธิวาส จ�ำนวน 8 โรง ไดแ้ ก่ โรงเรยี นบา้ นจอเบาะ โรงเรียนบ้านกูแว (ประชาอุทิศ) โรงเรียน บา้ นต้นตาล โรงเรียนบา้ นลโุ บะปาเระ โรงเรยี นบา้ นนากอ (มะดากะอุทิศ) โรงเรยี นบ้านแยะ โรงเรียนบ้าน ลุโบะบายะ และโรงเรียนบา้ นปาลอบาต๊ะ ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 จ�ำนวน 168 คน กลุ่มตวั อยา่ ง 1) กลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการหาประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง การคณู ทศนยิ ม กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 ปี ไดแ้ ก่ นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 กลุ่มโรงเรียนซาเบง็ อำ� เภอ ยงี่ อ จังหวดั นราธิวาส ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2562 จำ� นวน 42 คน โดย วิธสี ุ่มแบบหลายขัน้ ตอน (Multi-Stage Random Sampling) 2) กลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ชศ้ กึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นดว้ ยบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ไดแ้ กน่ กั เรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษาช้นั ปีที่ 5 กลมุ่ โรงเรยี นซาเบง็ อำ� เภอยีง่ อ จังหวดั นราธวิ าส ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562 จ�ำนวน 32 คน ไดม้ าโดยการสุ่มอย่างงา่ ย (Random Sample Sampling) ขอบเขตเน้ือหา เน้ือหาที่ใชต้ ามหลกั สตู รการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2562) กลุ่ม สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การคณู ทศนิยม ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2562 ตัวแปรที่ศกึ ษา ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การเรียนดว้ ยบทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลตมิ เี ดยี เรอ่ื ง การคณู ทศนิยม กลุ่มสาระ การเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ สำ� หรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 ตวั แปรตาม ได้แก่ 1) ประสิทธภิ าพของบทเรยี นคอมพิวเตอรม์ ลั ติมีเดีย เร่อื ง การคณู ทศนยิ มกลุม่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตรส์ ำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 2) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ของนกั เรยี น ทเี่ รยี นดว้ ยบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตรช์ นั้ ประถม ศกึ ษาปีที่ 5 เครือ่ งมอื การวิจัย 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่องการคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ส�ำหรับ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที  ่ี 5 ผวู้ จิ ยั ไดด้ ำ� เนนิ การสรา้ งตามหลกั การ ADDIE Model (มนตช์ ยั เทยี นทอง, 2545, หน้า 131-135) ประกอบด้วย คู่มือประกอบการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเรื่อง การคูณ ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 และมเี นอื้ หาบทเรยี นดงั น้ี เร่อื งที่ 1 การคูณทศนิยมกับจ�ำนวน เรอื่ งที่ 2 การคูณทศนยิ มกับทศนยิ ม เรอ่ื งที่ 3 โจทย์ปญั หาการคณู ทศนิยม 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอื่ ง การคณู ทศนิยม กลมุ่ สาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ซึ่งเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ�ำนวน 20 ข้อ โดย ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือในการวิจัยโดยใช้การประเมินดัชนีความสอดคล้อง (IOC) จาก ผู้เช่ยี วชาญ ได้คา่ เฉลีย่ อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 เม่ือทดลองใช้กับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาชั้นปที ่ี 5 ท่ีเรียน วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ 53 ปีท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

เรอื่ ง การคูณทศนิยม จำ� นวน 30 คน แลว้ นำ� มาหาคณุ ภาพไดค้ า่ ความยากง่าย (p) ท่นี ำ� มาใช้อยูใ่ นชว่ ง 0.27-0.63 ค่าอ�ำนาจจ�ำแนก (r) ทน่ี �ำมาใช้อยใู่ นช่วง 0.27- 0.53 และคา่ ความเช่อื ม่นั KR 20 = 0.72 3. แบบประเมนิ คณุ ภาพบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ คณติ ศาสตร์ สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาชนั้ ปที ่ี 5 มลี กั ษณะเปน็ แบบสอบถามมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั โดยมคี ำ� ถามครอบคลมุ เกย่ี วกบั เนอ้ื หาบทเรยี นและเทคโนโลยที างการศกึ ษา โดยในสว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ ง กบั เนอื้ หาไดแ้ ก่ ดา้ นสว่ นนำ� มคี ณุ ภาพในระดบั ดมี าก ( =4.89, S.D. =0.19) ดา้ นเนอ้ื หามคี ณุ ภาพในระดบั ดีมาก ( =4.89, S.D. =0.10) ด้านภาพ เสียง และการใช้ภาษา มคี ุณภาพในระดับดมี าก ( =4.66, S.D. =0.29) และดา้ นแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ มีคุณภาพในระดับดี ( =4.67, S.D. =0.42) ในส่วนทเี่ ก่ยี ว กบั เทคโนโลยีทางการศึกษา ได้แก่ ดา้ นตัวอักษร มคี ณุ ภาพในระดับดมี าก ( =4.50, S.D. =0.67) ดา้ น ภาพนง่ิ มคี ณุ ภาพในระดบั ดี ( =4.16, S.D. =0.76) ดา้ นคณุ ภาพเสยี ง มคี ณุ ภาพในระดบั ดมี าก ( =4.58, S.D. =0.29) ด้านปฏิสมั พันธ์กบั บทเรียน มคี ุณภาพในระดับดี ( =4.11, S.D. =0.26) และด้านกิจกรรม การเรยี นรู้ มีคณุ ภาพในระดบั ดี ( =4.11, S.D. =0.26) การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ในการวจิ ยั ครงั้ นผ้ี วู้ จิ ยั ไดท้ ำ� การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยดำ� เนนิ การทดสอบประสทิ ธภิ าพของบทเรยี น คอมพวิ เตอรม์ ลั ติมีเดยี เรื่อง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ สำ� หรบั นักเรยี นช้นั ประถม ศึกษาปที ่ี 5 โดยดำ� เนินการทดลองตามล�ำดบั ขั้นดังนี้ 1. การทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบเดยี่ ว (1:1) นำ� บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ งการคณู ทศนยิ ม กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร ์ ไปทดลองกบั กลุ่มตวั อย่าง ซ่งึ เป็นนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 5 ภาค เรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรยี นบา้ นตน้ ตาล จำ� นวน 3 คน โดยนกั เรยี น 1 คน ตอ่ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ 1 เครื่อง ในข้ันน้เี ปน็ การทดลองเพื่อหาขอ้ บกพร่องของบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ติมีเดียในด้านต่าง ๆ โดย ใชว้ ธิ ีการสังเกต สมั ภาษณ์ และน�ำขอ้ มลู ทีไ่ ด้ไปปรบั ปรุงแก้ไขบทเรยี น 2. การทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบกลมุ่ (1:10) นำ� บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ทป่ี รบั ปรงุ แกไ้ ขจาก การทดลองครง้ั ท่ี 1 แล้ว ไปทดลองกับกลมุ่ ตัวอย่าง ซง่ึ เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2562 โรงเรียนนากอ (มะดากะอุทิศ) จำ� นวน 9 คน โดยนักเรียน 1 คน ตอ่ เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ 1 เครอื่ ง ให้นักเรียนเรยี นเนื้อหา และทำ� แบบฝกึ หัดระหวา่ งเรียน และเม่อื เรยี นจบให้ท�ำแบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธหิ์ ลงั เรยี น ทำ� แบบนจี้ นครบทงั้ 3 เรอ่ื ง แลว้ จงึ นำ� คะแนนทไ่ี ดไ้ ปวเิ คราะหห์ าแนวโนม้ ประสทิ ธภิ าพ ของบทเรียน และนำ� ข้อบกพร่องไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขเพ่อื น�ำไปทดลองในครงั้ ท่ี 3 ต่อไป 3. การทดสอบประสทิ ธภิ าพภาคสนาม (1:100) นำ� บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ทป่ี รบั ปรงุ แกไ้ ข จากการทดลองครง้ั ท่ี 2 แล้ว ไปทดลองเพ่อื หาประสิทธภิ าพของบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ติมเี ดยี กับกลุ่ม ตัวอย่าง ซ่ึงเปน็ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2561 โรงเรยี นบา้ นแยะ จำ� นวน 30 คน โดยนักเรียน 1 คน ตอ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครอื่ ง ให้นักเรียนเรยี นเน้ือหา และท�ำแบบฝกึ หดั ระหว่างเรยี น และเมอื่ เรียนจบให้ทำ� แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์หลังเรียน ทำ� แบบน้ีจนครบทงั้ 3 เรอื่ ง แล้ว จงึ น�ำคะแนนท่ไี ด้ไปวิเคราะห์หาประสทิ ธิภาพของบทเรยี นคอมพิวเตอรม์ ลั ติมเี ดียตามเกณฑ์ 75/75 4. การดำ� เนนิ การทดลองหาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรอื่ ง การคณู ทศนยิ มสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถม ศึกษาปที ี่ 5 กับนักเรยี นโรงเรยี นบา้ นตน้ ตาล จำ� นวน 32 คน ท�ำการทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test) โดย ให้ผู้เรียนท�ำแบบทดสอบก่อนเรียนท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนและผ่านการหาคุณภาพแล้วโดยผู้เรียน 1 คนต่อการ ใช้คอมพวิ เตอร์ 1 เคร่อื ง เมอ่ื ผูเ้ รยี นเรยี นจบในแต่ละหนว่ ยย่อยแลว้ ใหผ้ ู้เรียนท�ำแบบฝึกทา้ ยหน่วยนน้ั ๆ 54 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

หลังจากที่เรียนครบทกุ หนว่ ยการเรียนแล้วให้ผูเ้ รียนท�ำแบบทดสอบหลังเรียนทันที (Post-test) ดว้ ยแบบ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นที่ผ้วู จิ ยั สร้างขน้ึ ซ่งึ เปน็ ชดุ เดียวกนั กับแบบทดสอบก่อนเรยี น การวิเคราะหข์ ้อมลู ผูว้ จิ ยั ดำ� เนินการกรอกข้อมลู ตามขน้ั ตอนดงั น้ี 1. วิเคราะห์เนื้อหาและตัวช้ีวัดให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลตมิ ีเดยี 2. หาค่าดัชนีความสอดคล้อง หาค่าความยากง่าย ค่าอ�ำนาจจ�ำแนกและค่าความเช่ือมั่นของแบบ ทดสอบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เร่อื ง การคูณทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ สำ� หรบั นักเรียน ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5 3. วเิ คราะหค์ า่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง คา่ เฉลย่ี ของแบบประเมนิ คณุ ภาพบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี 4. วเิ คราะหห์ าคา่ ประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระ การเรยี นรคู้ ณติ ศาสตรส์ ำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที 5ี่ โดยใชส้ ตู รการประสทิ ธภิ าพ (E1/E2) (ชยั ยงค ์ พรหมวงศ์ ,2556, หน้า 11-12) 5. วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน จากการเรียนด้วยบท เรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมีเดยี เร่ืองการคณู ทศนิยม กล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ โดยใช้ t-test แบบ dependent ผลการวิจัย ผลการทดสอบประสิทธภิ าพแบบเดี่ยว (1:1) ผู้วิจัยน�ำบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ส�ำหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ไปทดลองกับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 จ�ำนวน 3 คน โดยแบง่ เปน็ กลมุ่ เกง่ 1 คน กลุ่มปานกลาง 1 คน และกลมุ่ อ่อน 1 คน ผลปรากฏดังตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการ เรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ ส�ำหรบั นักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 จำ� นวน 3 คน จำ�นวนนกั เรียน (n) คะแนนแบบฝกึ หัด (X) คะแนนสอบหลงั เรยี น (F) (3 คน) (35 คะแนน) (20 คะแนน) 70 38 รวมคะแนน 23.33 12.67 คะแนนเฉลี่ย ( ) 66.67 63.33 คา่ รอ้ ยละ (E1/E2) จากตารางท่ี 1 ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ งการคณู ทศนยิ ม กลุ่มสาระการเรยี นรูคณิตศาสตร์ โดยมกี ล่มุ ตวั อย่าง จำ� นวน 3 คน พบวา่ บทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลติมเี ดีย ท่ีสร้างข้นึ มีประสิทธิภาพ 66.67/63.33 ซ่งึ ไมเ่ ป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ 55 ปีท่ี 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ผลการทดลองการทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบกลุ่ม (1:10) ผู้วิจัยน�ำบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เร่ือง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำ� หรับนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 ไปทดลองกบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 จำ� นวน 9 คน โดยแบ่ง เปน็ กลมุ่ เก่ง 3 คน กลุ่มปานกลาง 3 คน และกลมุ่ อ่อน 3 คน แลว้ นำ� คา่ รอ้ ยละของคะแนนเฉลี่ยจากแบบ ฝกึ หดั ระหว่างเรยี นเปรียบเทยี บกับคะแนนเฉลี่ยจากการท�ำแบบทดสอบหลงั เรียน ดังตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอ่ื ง การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการ เรียนรูค้ ณติ ศาสตร์ ส�ำหรบั นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 จำ� นวน 9 คน จำ�นวนนักเรยี น (n) คะแนนแบบฝกึ หดั (X) คะแนนสอบหลงั เรียน (F) (9 คน) (35 คะแนน) (20 คะแนน) 230 128 รวมคะแนน 25.56 14.22 คะแนนเฉลย่ี ( ) 73.02 71.11 คา่ ร้อยละ (E1/E2) จากตารางที่ 2 ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอ่ื งการคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ สำ� หรับนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยมกี ลมุ่ ตัวอย่าง 9 คน พบว่า บทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลติมเี ดียทสี่ รา้ งข้ึนมปี ระสิทธิภาพ 73.02/71.11 ซ่งึ ไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑ์ 75/75 ผลการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (1:100) ผู้วิจัยน�ำบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ส�ำหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ไปทดลองกบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 จำ� นวน 30 คน โดย แบง่ เปน็ กลุ่มเกง่ 10 คน กลุม่ ปานกลาง 10 คน และกลุม่ ออ่ น 10 คน เพอื่ หาประสิทธภิ าพของบทเรยี น ตามเกณฑ์ที่กำ� หนด 75/75 แล้วน�ำค่าร้อยละของคะแนนเฉล่ียจากแบบฝึกหัดระหว่างเรียนเปรียบเทียบ กับคะแนนเฉลย่ี จากการท�ำแบบทดสอบหลงั เรยี นแสดงผลดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการทดสอบบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณติ ศาสตร์ สำ� หรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 จำ� นวน 30 คน จำ�นวนนักเรยี น (n) คะแนนแบบฝกึ หดั (X) คะแนนสอบหลงั เรยี น (F) (30 คน) (35 คะแนน) (20 คะแนน) รวมคะแนน 804 452 26.80 15.07 คะแนนเฉลยี่ ( ) 76.57 75.33 คา่ ร้อยละ (E1/E2) 56 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

จากตารางที่ 3 ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ งการคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร ์ โดยมกี ลมุ่ ตวั อยา่ ง จำ� นวน 30 คน พบวา่ บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ทีส่ ร้างขึ้นมปี ระสิทธภิ าพ 76.57/75.33 ซึง่ เป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 ผลการดำ� เนินการทดลองหาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผู้วิจัยน�ำบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่องการคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ส�ำหรบั นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 ไปทดลองกบั นกั เรยี นจ�ำนวน 32 คน โดยให้ผ้เู รยี นทำ� แบบทดสอบ กอ่ นเรยี น (Pre-test) และเม่อื เรียนครบทกุ หน่วยการเรยี นแลว้ ให้ผูเ้ รียนทำ� แบบทดสอบหลงั เรียน (Post- test) ทนั ที แลว้ นำ� มาวิเคราะหผ์ ล ดงั ตารางท่ี 4 ตารางที่ 4 ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรียนจากการเรยี นดว้ ยบทเรียน คอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดีย เร่ืองการคณู ทศนยิ ม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ สำ� หรบั นักเรียน ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 การทดสอบ N S.D t Sig. 1.91 19.35 .000** ก่อนเรียน 32 5.91 1.89 หลงั เรียน 32 10.97 .000** มนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.01 จากตาราง 4 พบวา่ การทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 คะแนน เฉลี่ย เท่ากับ 5.91 คะแนนและ 10.97 คะแนนตามล�ำดบั และเม่ือเปรียบเทียบระหวา่ งคะแนนก่อนและ หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนสอบหลงั เรยี นของนกั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั 0.01 สรปุ และอภิปรายผล สรุปผลการวิจยั 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เร่ือง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ส�ำหรับนักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 มีประสทิ ธภิ าพ 76.57/75.33 ซง่ึ เปน็ ไปตามเกณฑ์ 75/75 ตามสมมตฐิ านที่ตง้ั ไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง การคูณ ทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรยี นอย่างมีนยั สำ� คัญทางสถิติทีร่ ะดับ 0.01 อภปิ รายผล 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เร่ือง การคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ส�ำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 76.57/75.33 ซ่ึง วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 57 ปีที่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

เปน็ ไปตามเกณฑ์ 75/75 ตามสมมติฐานทตี่ ้ังไว้ เนอ่ื งจากการพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ เี ดยี ครงั้ น้ี ผวู้ ิจัยมีการวางแผนและออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ลั ตมิ เี ดียอย่างเปน็ ขัน้ ตอน มีการศึกษา วิเคราะห์ หลกั สตู ร กำ� หนดจดุ ประสงคข์ องการเรยี น กำ� หนดเนอ้ื หาและกจิ กรรมการเรยี น การออกแบบและพฒั นา บทเรยี นคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ เี ดียดป้ ระยุกต์ใช้หลักการ ADDIE Model (มนต์ชัย เทียนทอง, 2545, น. 138- 146) 5 ขั้นตอน ได้แก่ ข้ันท่ี 1 การวเิ คราะห์ (Analysis) ขั้นที่ 2 การออกแบบ (Design) ขั้นท่ี 3 การ พัฒนาบทเรยี น (Development) ข้ันท่ี 4 การนำ� ไปใช้/ทดลองใช้ (Implementation) และขัน้ ท่ี 5 การ ประเมนิ และปรบั ปรุงแกไ้ ข (Evaluation) นอกจากนผ้ี ู้วจิ ยั ไดใ้ ช้หลักการทฤษฎีการออกแบบการเรยี นการ สอนตามแนวของกาเย่ (บปุ ผชาต ิ ทัฬหิกรณ์ และคณะ, 2544, น. 47-55) 9 ข้ันตอน ไดแ้ ก่ เรา้ ความสนใจ บอกวตั ถปุ ระสงค์ ทบทวนความรเู้ ดมิ การเสนอเนอื้ หาใหม่ ชแี้ นวทางการเรยี นรู้ กระตนุ้ การตอบสนอง ให้ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ทดสอบความรู้ และการจำ� และการนำ� ไปใช้ ถอื เปน็ ทฤษฎกี ารออกแบบการเรยี น การสอน ทมี่ ีรายละเอยี ดในการจดั การเรยี นการสอนท่คี รบถว้ น ตัง้ แต่ขน้ั ตอนแรกจนถึงขัน้ ตอนสดุ ทา้ ย สามารถที่ จะน�ำไปใช้ในการจัดเรียนการสอนในชีวิตประจ�ำวันให้เกิดประสิทธิภาพได้ การออกแบบและพัฒนาบท เรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดีย เรือ่ ง การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ เริ่มจากการนำ� เสนอ บทเรียนที่ผู้วิจัยได้สร้างแรงจูงใจและเร่งเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากเรียนด้วยการใช้ภาพ เสียงบรรยาย เชอื่ มโยงเขา้ ดว้ ยกนั ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นไหวทม่ี สี ว่ นกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นอยากตดิ ตามและสนใจทจ่ี ะเรยี น การนำ� เสนอเนื้อบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ลั ติมเี ดีย เปน็ แบบผสมมีเนื้อหาที่ประกอบไปด้วยตัวอักษร ข้อความ ภาพ เสียง วดี ิทศั น์ ในแต่ละหนว่ ย ผเู้ รียนจะทราบถึงเนอื้ หา ตวั อยา่ งประกอบ การท�ำแบบฝึกหัดระหวา่ งเรยี น สามารถกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้ได้โดยง่าย เพ่ิมบรรยากาศในการเรียนรู้ได้ดีและช่วยให้ผู้ เรยี นเกดิ การตน่ื ตัวอยเู่ สมอ มีการเสริมแรงใหผ้ ูเ้ รยี นทันทีทีผ่ ้เู รยี นท�ำแบบฝกึ หัดเรยี บร้อยแลว้ เป็นการให้ ก�ำลังใจและแรงผลักดันที่ท�ำให้ผู้เรียนสนใจในการเรียน และเม่ือเรียนจบแล้วผู้เรียนจะได้ท�ำแบบทดสอบ เพอื่ ทดสอบความรูค้ วามเข้าใจในการเรียนเนื้อหาทผ่ี า่ นมาของผู้เรียน ผู้เรียนจะไดท้ ราบผลป้อนกลับทนั ที เมือ่ ท�ำแบบทดสอบเรียบรอ้ ยแล้ว เปน็ การแสดงให้เห็นถึงศกั ยภาพในการเรียนของตนเอง นอกจากนบ้ี ท เรียนคอมพิวเตอรม์ ัลติมเี ดียท่ผี วู้ ิจยั พฒั นาข้นึ ได้ผ่านการพิจารณาและแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ ทปี่ รกึ ษา และผา่ นการประเมนิ คณุ ภาพบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี จากผเู้ ชย่ี วชาญ ทงั้ ดา้ นเนอ้ื หาและ ดา้ นเทคโนโลยที างการศกึ ษา ซง่ึ ผลการประเมนิ คณุ ภาพบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ดา้ นเนอ้ื หาอยใู่ น ระดับดีมาก และผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาอยู่ ในระดบั ด ี ทัง้ นไ้ี ดม้ กี ารปรับปรงุ แก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารยท์ ี่ปรกึ ษา และผูเ้ ช่ียวชาญ จึงส่งผลให้ บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง การคณู ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 มีประสิทธภิ าพตามเกณฑท์ กี่ ำ� หนดไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง การคูณ ทศนยิ ม กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ี่ 0.01 เนอื่ งจาก ผวู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี โดยใชท้ ฤษฎกี าร ออกแบบการเรียนการสอนตามแนวของกาเย่ (บปุ ผชาติ ทฬั หกิ รณ์ และคณะ, 2544, น. 47-55) 9 ขั้น ตอน ไดแ้ ก่ เรา้ ความสนใจ บอกวตั ถปุ ระสงค์ ทบทวนความรเู้ ดมิ การเสนอเนอื้ หาใหม่ ชแ้ี นวทางการเรยี นรู้ กระตนุ้ การตอบสนอง ให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั ทดสอบความรู้ และการจำ� และการน�ำไปใช้ ถือเป็นทฤษฎีการ ออกแบบการเรยี นการสอนทมี่ รี ายละเอยี ดในการจดั การเรยี นการสอนทค่ี รบถว้ นตงั้ แตข่ นั้ ตอนแรกจนถงึ ขนั้ ตอนสดุ ทา้ ย ประกอบกบั การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ดงั กลา่ ว ไดผ้ า่ นกระบวนการตรวจสอบ 58 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ ปที ี่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

ของผ้เู ชีย่ วชาญในแต่ละดา้ นทไี่ ด้ใหข้ ้อเสนอแนะและผวู้ จิ ยั น�ำมาปรับปรงุ แกไ้ ข นอกจากนั้นผวู้ จิ ยั ยงั มกี าร วางแผนและออกแบบบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี อยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนในการออกแบบและพฒั นาบทเรยี น คอมพิวเตอร์มลั ตมิ เี ดียโดยประยกุ ต์ใช้หลักการ ADDIE Model (มนต์ชัย เทียนทอง, 2545, น. 138-146) สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ นพรัตน์ ค�ำสโุ พธ (2553, น. 73) ไดพ้ ฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วย สอน กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ เรอื่ ง การคูณ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านหนองกระบอก ราษฎร์อทุ ศิ วิทยา อ�ำเภอโพนนาแกว้ สำ� นกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาสกลนคร เขต 1 ผลการศกึ ษา พบวา่ บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนมีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ โดยมีค่าประสิทธภิ าพเทา่ กบั 83.04/85.42 ผล สัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน สงู กวา่ กอ่ นไดร้ บั การจดั การเรยี นรู้ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.01 และนกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจ ตอ่ การเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน โดยรวมอยใู่ นระดับมากทส่ี ดุ พรทวี มีศร (2561, น. 1-12) ได้วจิ ยั เรอื่ ง การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนคณติ ศาสตร์ เร่อื ง ความน่าจะเป็น ส�ำหรบั นกั เรียน ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นคา่ ย อำ� เภอบ้านคา่ ย จังหวัดระยอง ปี การศกึ ษา 2561 มีวัตถุประสงค์ เพือ่ พฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนวิชาคณติ ศาสตร์ เรื่อง ความนา่ จะเปน็ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ 80/80 เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นกอ่ นและหลงั เรยี น และเพอื่ ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นทเี่ รยี น ดว้ ยบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง ความนา่ จะเป็น ผลการวจิ ัยพบว่า ประสทิ ธภิ าพ บทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน เรอ่ื งความนา่ จะเปน็ สำ� หรบั นกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 5 มปี ระสทิ ธภิ าพ เทา่ กบั 81.15/81.74 ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นทเี่ รยี นดว้ ยบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนวชิ า คณิตศาสตร์ เรอ่ื ง ความน่าจะเปน็ อยู่ในระดบั ดี ( = 4.32, S.D.= 0.70) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมรี ะดบั นยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ี่ .05 และ ปาจรยี ์ วชั ชวลั คุ (2555, น. 33-39) ไดว้ จิ ยั เร่ือง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลติมเี ดยี เรอ่ื ง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งรปู เรขาคณิตสองมิติและสาม มิติ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ 1) สร้างบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ัลตมิ เี ดีย เรื่อง ความสัมพันธ์ ระหวา่ งรปู เรขาคณติ สองมติ แิ ละสามมติ ชิ น้ั มธั ยมศกึ ษาศกึ ษาปที ่ี 1 ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพตาม เกณฑ์ 80/80 2) เปรยี บเทยี บคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นดว้ ยบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอ่ื งความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งรปู เรขาคณติ สองมติ แิ ละสามมติ ิ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 และ 3) ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ทมี่ ตี อ่ บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอ่ื งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรปู เรขาคณติ สองมติ แิ ละ สามมติ ิ ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอ่ื ง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรปู เรขาคณติ สอง มติ แิ ละสามมติ ิ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 มปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2)คะแนนทดสอบหลงั เรยี นดว้ ยบท เรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี เรอื่ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรปู เรขาคณติ สอง มติ แิ ละสามมติ ชิ น้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 สงู กวา่ คะแนนทดสอบกอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ี่ ระดบั .01 และ 3)ความพงึ พอใจของนกั เรยี น ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ทม่ี ตี ่อบทเรยี นคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียเร่อื งความสมั พนั ธร์ ะหว่างรูปเรขาคณติ สอง มิตแิ ละสามมิติ โดยภาพรวมมีคา่ เฉลย่ี อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.57 ) และสอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของ สุรีรตั น์ แสนนอก (2559, น. 829-835) ได้วจิ ยั เร่อื ง ผลการใชบ้ ทเรียนมลั ติมเี ดยี เรื่อง ปรมิ าตรของปรซิ มึ วชิ าคณติ ศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือพฒั นาบทเรียนมัลตมิ ีเดยี เรอื่ ง ปริมาตรของ ปริซึม วชิ าคณิตศาสตร์ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และเพือ่ เปรยี บเทียบผล สัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนระหว่างกลุ่มที่เรียนด้วยบทเรียนมัลติมีเดียกับกลุ่มที่เรียนด้วยการสอน แบบปกติ ผลการศกึ ษา พบวา่ ประสทิ ธภิ าพของบทเรยี นมลั ตมิ เี ดยี เรอ่ื งปรมิ าตรของปรซิ มึ วชิ าคณติ ศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 มคี ่าเท่ากบั 77.08/76.09 เปน็ ไปตามเกณฑ์ท่ีก�ำหนดไว้ที่ 75/75 ผลสัมฤทธิ์ทางการ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ 59 ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

เรียนของนักเรียนกลุ่มที่เรียนด้วยบทเรียนมัลติมีเดีย เรื่อง ปริมาตรของปริซึมสูงกว่ากลุ่มท่ีเรียนด้วยการ สอนแบบปกตอิ ยา่ งมนี ยั ส�ำคัญทางสถติ ิท่ีระดบั .05 ข้อเสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะในการนำ� ผลการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ 1. สถานศึกษากลมุ่ โรงเรยี นซาเบง็ อำ� เภอย่งี อ จังหวดั นราธิวาส จำ� นวน 8 โรง ไดแ้ ก่ โรงเรยี นบ้าน จอเบาะ โรงเรยี นบา้ นกแู ว (ประชาอทุ ศิ ) โรงเรยี นบา้ นตน้ ตาล โรงเรยี นบา้ นลโุ บะปาเระ โรงเรยี นบา้ นนากอ (มะดากะอทุ ศิ ) โรงเรยี นบ้านแยะ โรงเรียนบ้านลโุ บะบายะ และโรงเรียนบ้านปาลอบาตะ๊ สามารถน�ำบท เรยี นคอมพิวเตอรม์ ัลติมเี ดีย เรือ่ ง การคูณทศนยิ ม กล่มุ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ ส�ำหรบั นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 5 ไปใช้ในการแกป้ ญั หาการเรียนการสอนวชิ าคณติ ศาสตร์ได ้ โดยบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ มลั ตมิ เี ดยี เหมาะสำ� หรบั การเรยี นรายบคุ คล สามารถเรยี นไดท้ กุ ท่ี ทกุ เวลา โดยทนี่ กั เรยี นไมต่ อ้ งเรยี นพรอ้ ม กัน สามารถเรยี นไปตามความสารถของตนเอง 2. ผูบ้ ริหารสถานศกึ ษากลุม่ โรงเรยี นซาเบง็ อำ� เภอยงี่ อ จงั หวัดนราธวิ าส ควรสง่ เสรมิ ให้ครผู ้สู อน วชิ าคณติ ศาสตร์ และวชิ าอน่ื ๆ พฒั นาสอื่ การเรยี นการสอนทม่ี คี วามหลากหลาย เชน่ บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ มลั ตมิ ีเดีย หนังสอื อิเลก็ ทรอนิกส์ บทเรียนอีเลริ น์ น่งิ เปน็ ตน้ เพ่อื ประโยชนใ์ นการจัดการเรยี นรตู้ อ่ ไป ขอ้ เสนอแนะในการทำ� วิจยั ตอ่ ไป 1. ควรพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์มัลตมิ เี ดยี ในรายวชิ าอ่นื ๆ เพมิ่ เตมิ เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ กดิ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง เพม่ิ เตมิ จากการเรียนในหอ้ งเรียน 2. ควรวจิ ยั และพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ ในรปู แบบ อนื่ ๆ เชน่ รูปแบบเกม รปู แบบแอพลเิ คช่นั ฯลฯ 60 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ ปที ี่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. สืบค้นเม่ือ 8 เมษายน 2560 จาก, http://www.qa.kmutnb.ac.th/upload_files/pakadout/Orther/Edu_Law_v353.pdf. ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ (2556). “การทดสอบประสทิ ธภิ าพสอื่ หรอื ชดุ การสอน”, วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตร์ วจิ ัย. 5(1), 10-12. ณฐั กร สงคราม. (2553). การออกแบบและพฒั นามลั ตมิ เี ดยี เพอื่ การเรยี นร.ู้ กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. นพรตั น ์ คำ� สโุ พธ. (2553). การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การคณู ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3. (วิทยานพิ นธ์ปริญญาครุศาลตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยราซภัฏ สกลนคร). บุปผชาต ิ ทฬั หิกรณ ์ สกุ รี รอดโพธ์ทิ อง ชยั เลศิ พิชิตพรชยั และ โสภาพรรณ แสงศัพท์. (2544). ความรู้ เกี่ยวกับส่ือมัลติมีเดียเพ่ือการศึกษา. กรุงเทพฯ : ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ กระทรวง ศกึ ษาธิการ. ประพนั ธ์ศิร ิ สุเสารจั . (2556). การพัฒนาการคดิ . กรุงเทพฯ : ห้างหนุ้ ส่วนจ�ำกัด 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง. ปาจรีย์ วัชชวัลคุ. (2555). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างรูป เรขาคณิตสองมิตแิ ละสามมิติ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1. กรงุ เทพฯ : กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนสตรีวทิ ยา เขตพืน้ ทก่ี ารศึกษากรงุ เทพมหานคร เขต 1 ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐาน. พรทว ี มศี ร. (2561). การพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนคณิตศาสตร์ เร่ือง ความนา่ จะเปน็ ส�ำหรับ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนบา้ นคา่ ย อำ� เภอบ้านค่าย จงั หวดั ระยอง ปกี ารศกึ ษา 2561. กรงุ เทพฯ. โครงการหลกั สตู รศกึ ษาศาสตรม์ หาบณั ฑติ สาขาวชิ าคณติ ศาสตรศ์ กึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคำ� แหง. พะวงรกั อินทรธนู. (2555). การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ลั ติมเี ดีย เรอ่ื ง การเพาะเห็ด ตามหลักสูตร การเกษตรเพอ่ื อาชพี สำ� หรบั ผเู้ รยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 5. (สารนพิ นธป์ รญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ). มนต์ชัย เทียนทอง. (2545). การออกแบบและพัฒนาคอร์สแวร์ส�ำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน. กรงุ เทพฯ : ภาควชิ าคอมพวิ เตอรศ์ กึ ษา คณะครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรม สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนือ. สรุ รี ัตน์ แสนนอก. (2559). “ผลการใช้บทเรยี นมัลติมีเดีย เร่ือง ปรมิ าตรของปริซึม วิชาคณติ ศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3”. การประชมุ วชิ าการและเสนอผลงานวจิ ยั ระดบั ชาตคิ รงั้ ที่ 3 กา้ วสทู่ ศวรรษท่ี 21: บูรณาการงานวิจัย ใช้องค์ความรู้สู่ความยั่งยืน. ณ วิทยาลัยนครราชสีมา อําเภอเมือง จังหวัด นครราชสีมา 17 มถิ ุนายน 2559. หน้า 829-835. สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2551). พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ : ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. สืบค้นเม่ือ 12 พฤศจิกายน 2558, จาก https://www.mwit.ac.th/~person/01-Statutes/ National Education. pdf. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ 61 ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

การพัฒนาแบบวดั ความพอเพียง ส�ำหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิรก์ The Development Of Sufficiency Scale Grade 11TH Students Based On Kohlberg’s Theory Received : 2020-03-16 Revised : 2020-04-23 Accepted : 2020-12-04 ผู้วิจยั ณัฎฐา มูลปา1 Nattha Mulpa1 [email protected] สุรีพร อนศุ าสนนนั ท2์ Sureeporn Anusasananan2 สมพงษ์ ปน้ั หุ่น3 Sompong Panhoon3 สรพงษ์ เจริญกฤตยาวุฒ4ิ Sorrapong Charoenkittayawut4 บทคดั ยอ่ การวิจยั ครัง้ น้ีมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พือ่ 1) เพ่อื สร้างแบบวัดความพอเพยี งสำ� หรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษา ปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก 2) เพ่ือตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ก์ และ 3) เพื่อสร้างเกณฑ์ปกตแิ ละคมู่ อื การใชแ้ บบวดั ความพอ เพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ก์ กลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา ปที ี่ 5 โรงเรียนในสำ� นักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 7 จำ� นวน 1,241 คน ซึ่งเลอื กมาโดยวธิ ี การสุม่ แบบหลายขัน้ ตอน แบบวัดที่พัฒนาขึ้น มี 3 ฉบับ ไดแ้ ก่ แบบวัดความพอประมาณ แบบวัดความมี เหตผุ ลและแบบวดั การมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี ขอ้ คำ� ถามเปน็ สถานการณใ์ หเ้ ลอื กตอบ 5 ตวั เลอื ก ซง่ึ แตล่ ะตวั เลอื กแทนระดบั ขนั้ พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ก์ 5 ขนั้ และใหค้ ะแนนตามระดบั ขนั้ พฤตกิ รรม ของโคลเบริ ์ก ผลการวจิ ัยพบว่า แบบวัดความพอเพียงส�ำหรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามทฤษฎีของโคล เบิร์กมีความตรงเชิงเน้ือหาโดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องของเน้ือหากับตัวชี้วัด (IOC) เท่ากับ .67-1.00 ค่าอ�ำนาจจ�ำแนกของแบบวัดโดยการทดสอบที (t-test) มีค่าตั้งแต่ 2.04 -21.22 ค่าความเท่ียงเท่ากับ .916 คา่ ความตรงตามสภาพ เทา่ กบั .88 และมีความตรงเชิงโครงสรา้ ง พบวา่ โมเดลมีความสอดคลอ้ งกับ ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ พจิ ารณาไดจ้ าก พจิ ารณาจากคา่ ไค-สแควร์ (Chi-square) เทา่ กบั 1805.64 (p = .000) ค่า RMSEA เท่ากับ .046 ค่า CFI มีค่าเทา่ กับ .98 ค่า GFI มีคา่ เท่ากบั .89 ค่า และค่า RMR มีค่าเท่ากับ .43 ตามลำ� ดับ เกณฑป์ กตขิ องแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎขี อง โคลเบริ ์ก มคี ะแนนที (T-score) ต้งั แต่ T19 ถึง T77 ค�ำส�ำคัญ : แบบวดั ความพอเพียง, ความพอเพยี ง, ความพอประมาณ, ความมเี หตุผล, มภี มู คิ ุม้ กันในตัวท่ดี ี 1 นิสติ ระดับปริญญาโท สาขาวจิ ยั วดั ผลและสถิติการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา M.Ed. Educational Research, Measurement and Statistics, Faculty of Education, Burapha University 2 ,3 ,4 อาจารย์ภาควิชา วิจยั และจติ วิทยาประยุกต์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา Lecturer, Faculty of Education, Burapha University 62 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ปีที่ 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

Abstract The purpose of this study were: 1) to study create sufficiency scale for grade 11TH based on Kohlberg’s theory. 2)  to examine the quality of sufficiency scale for grade 11TH based on Kohlberg’s theory and to create norms and manual of sufficiency scale for grade 11TH based on Kohlberg’s theory. The sample is 1,241 grade 11TH student of schools under the Secondary Education Service Area Office 7 which were employing multi-stage sampling. The situational stems and five level choices of Kohlberg’s theory 5 stage. The results showed that; sufficiency scale for grade 11TH based on Kohlberg’s theory of all scales were high (IOC were range from .67 to 1.00) The t-test results showed high discrimination power of each question (t-values were range from 2.04 to 21.22 at .05 ang .01 significant level). The internal consistency of scales by using the Cronbach’s alpha coefficient all scales were .916, The results of confirmatory factor analysis revealed the good construct validity of sufficiency scale for grade 11TH based on Kohlberg’s theory. The fitness indices of the sufficiency scale for grade 11TH based on Kohlberg’s theory model to empirical data were 2 = 1805.64 (p = .000), RMSEA = .046, CFI = .98, GFI = .89, RMR = .43 respectively. Norm of the development of sufficiency scale for grade 11TH based on Kohlberg’s theory is Mean = 209.95, S.D. = 16.30, Raw score 103 to 229 and T-score T19 to T77. Keyword : Sufficiency Scale, Sufficiency, Moderation, Reasonableness, Self-immunity วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ 63 ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

บทนำ� ความพอเพียงถือเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ไดก้ ำ� หนดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ซ่งึ ความพอเพียงตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง จะประกอบดว้ ย 3 ห่วง 2 เง่อื นไข ได้แก่ ความพอ ประมาณ มภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ แี ละความมเี หตผุ ล โดยตอ้ งควบคไู่ ปกบั เงอ่ื นไขของความรแู้ ละคณุ ธรรม การ พฒั นาแบบวดั ความพอเพียง ส�ำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก สาเหตทุ ี่กล่มุ ตัวอยา่ งเปน็ นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เพราะกำ� ลงั อยู่ในชว่ งวยั ร่นุ มคี วามเปน็ ตวั ของตัวเอง เปน็ วัยที่ สร้างความสัมพันธ์ใหม่และพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับเพื่อนเกิดค่านิยมและหลักการใช้ชีวิต และด้วย จงั หวดั สระแกว้ มกี ารพฒั นาของเศรษฐกจิ และสงั คมเปน็ อยา่ งมาก โดยเฉพาะการเปน็ เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ ท�ำให้เกดิ การพฒั นาความเจรญิ ความสะดวกสบายไดเ้ ข้าถงึ โดยงา่ ย อาจท�ำใหเ้ กดิ กระแสบรโิ ภคนิยม เกดิ กเิ ลส เกดิ ความอยากได้อยากมี ใช้จ่ายโดยไมค่ �ำนึงถงึ การประหยัดอดออมและความจำ� เป็น ซง่ึ น�ำไปส่กู าร ขาดสตยิ ้งั คดิ ฟุม่ เฟอื ย ขาดคณุ ธรรม จริยธรรมดา้ นความพอเพียงเปน็ อยา่ งมาก แบบวัดความพอเพียงท่ีพัฒนาขึ้นเป็นแบบวัดสถานการณ์ ซึ่งข้อค�ำถามจะเป็นการยกตัวอย่าง สถานการณ์มา ใหผ้ ู้ตอบเลือกตอบ โดยมี 5 ตัวเลือก โดยแต่ละตัวเลอื กแทนพฤติกรรมในแต่ละขนั้ ทฤษฎี ของโคลเบริ ก์ 5 ขนั้ ข้นั แรก คอื 1) ขั้นพฤตกิ รรมขึ้นอยกู่ ับการลงโทษและการเช่ือฟงั 2) ขั้นพฤติกรรม ขึ้นอยู่กับความพอใจและการใฝ่หารางวัล 3) ขั้นพฤติกรรมขึ้นอยู่กับการท�ำตามท่ีผู้อื่นเห็นชอบ 4) ขั้น พฤตกิ รรมขนึ้ อยกู่ บั การทำ� ตามกฎหมายหรอื ระเบยี บทางสงั คม และ 5) ขน้ั พฤตกิ รรมขนึ้ อยกู่ บั การทำ� ตาม สญั ญาสงั คม เนอ่ื งจากกล่มุ ตัวอย่างเปน็ นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 จึงยงั ไมถ่ งึ ข้นั ที่ 6 คอื ข้ันพฤติกรรม ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ของตน ซ่ึงเป็นพฤติกรรมที่บุคคลปฏิบัติจากจิตส�ำนึกท่ีดีงามของตน โดยไม่ต้องการ ผลตอบแทนใด ๆ และพฤติกรรมนั้นเป็นพฤติกรรมท่ีคนท่ัวโลกยอมรับว่าเป็นความถูกต้องดีงาม (อัชรา เอบิ สขุ สิริ, 2559) จากการศกึ ษายงั ไมพ่ บงานวจิ ยั ทเี่ ปน็ การพฒั นาแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา ปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบริ ์ก ยังขาดเคร่ืองมอื วดั ลักษณะทางจติ และพฤตกิ รรม ในบริบทของการดำ� รง ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล องค์ความรู้ที่เกี่ยวกับสาเหตุและผลของความพอ เพียงของบุคคลน้ัน ต้องสร้างจากการท�ำวิจัยอีกเป็นจ�ำนวนมาก และการวิจัยท่ีน่าเช่ือถือจะต้องเริ่มโดย มีเครื่องมือต่าง ๆ ท่ีมีมาตรฐานสูง โดยต้องผ่านการสร้างและการพิสูจน์คุณสมบัติด้วยวิชาการท่ีทันสมัย (ดวงเดอื น พันธุมนาวิน, 2551) โดยงานวิจยั สว่ นใหญจ่ ะเนน้ การศกึ ษาแนวทางในการปลูกฝังและศึกษา ปัจจัยของลักษณะความพอเพียงเท่านั้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการพัฒนาแบบวัดความพอเพียง ส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก ซึ่งสอดคล้องกับสำ� นักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานทมี่ กี ารดำ� เนนิ การวดั และประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคซ์ ง่ึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการ จดั การเรยี นรแู้ ละการประเมนิ ผเู้ รยี น เพอื่ ใหผ้ า่ นเกณฑต์ ามทส่ี ถานศกึ ษากำ� หนดทกุ ระดบั การศกึ ษา (สำ� นกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ใหโ้ รงเรยี นทกุ โรงเรยี นในสงั กดั เปน็ โรงเรยี นคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ซงึ่ ผลการวจิ ยั ทำ� ใหไ้ ดแ้ บบวดั ความ พอเพียงส�ำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบิร์กทีม่ คี ณุ ภาพ ขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการนำ� เครอื่ งมอื ทพี่ ฒั นาไปใชซ้ งึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ คณะผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ครผู สู้ อน ตลอดจนผทู้ เ่ี กยี่ วขอ้ ง ทจี่ ะนำ� แบบวดั ไปใช้ เพอ่ื เปน็ การสง่ เสริม พัฒนา แก้ไขข้อบกพร่อง รวมถงึ มีการจดั กจิ กรรมที่เสริมสรา้ ง คุณลักษณะด้านความพอเพยี ง ใหน้ กั เรียนมคี ณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามที่สถานศกึ ษากำ� หนด สามารถ 64 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ด�ำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นแนวทางในการสร้างและพัฒนา แบบวัดคณุ ธรรมจริยธรรมหรอื คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ในด้านอนื่ ๆ ระดับช้นั อ่นื ๆ ต่อไป กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัยการพัฒนาแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ์ก ภาพที่ 2 โมเดลการวัดแบบวดั ความพอเพยี งส�ำหรับนกั เรียน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 65 ปที ่ี 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

วัตถุประสงคข์ องการวิจัย 1. เพ่ือสร้างแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก 2. เพอื่ ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามทฤษฎี ของโคลเบิรก์ 3. เพื่อสร้างเกณฑ์ปกติและคู่มือการใช้แบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิรก์ วิธีด�ำเนนิ การวิจัย ขอบเขตการวิจัย 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ก�ำลังศึกษาในโรงเรียน จังหวัดสระแก้ว ปีการศึกษา 2561 สังกัดส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 7 จ�ำนวน 14 โรงเรียน นักเรยี นจ�ำนวน 2,231 คน กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรยี นที่กำ� ลังศกึ ษาช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ของโรงเรยี น ในจงั หวัดสระแก้ว สังกดั สำ� นกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 7 ปกี ารศึกษา 2561 จ�ำนวน 9 โรงเรียน นกั เรียนจ�ำนวน 1,241 คน โดยการสุม่ แบบหลายขนั้ ตอน 2. เคร่ืองมือที่ใช้ในการพัฒนา การพฒั นาแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ก์ ทใี่ ช้ ในการวิจัยครัง้ น้ี เปน็ แบบวัดสถานการณ์ 5 ตวั เลือก โดยแต่ละตวั เลือกแทนระดับขน้ั ทฤษฎีของโคลเบริ ก์ จ�ำนวน 48 ข้อ จ�ำแนกองค์ประกอบไดเ้ ปน็ 3 องคป์ ระกอบ 16 ตวั บ่งชี้ ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี 1. ความพอประมาณ ประกอบด้วย 6 ตัวบ่งช้ี ได้แก่ 1. ใช้ทรัพย์สินของตนเองให้สอดคล้องกับ ความจ�ำเป็นตามศักยภาพของตน, 2. ใช้ทรัพย์สนิ ของตนเองอย่างประหยัด คมุ้ ค่าและเกบ็ รักษาดูแลอย่าง ดี รวมทงั้ การใช้เวลาอยา่ งเหมาะสม, 3. ใชท้ รัพยากรของส่วนรวมใหส้ อดคลอ้ งกับความจ�ำเป็นอยา่ งคุ้มคา่ โดยไม่สง่ ผลกระทบกบั ผู้อนื่ , 4. ใชท้ รัพยากรของสว่ นรวมอยา่ งประหยัด ค้มุ คา่ และเกบ็ รกั ษาดูแลอย่างดี, 5. สามารถพง่ึ ตนเองได้ ดำ� รงชวี ติ อยา่ งเรียบง่าย เพิม่ รายได้ ลดรายจา่ ย พออยพู่ อกิน และ 6. ดำ� รงชวี ติ สมควรตามอตั ภาพและฐานะของตน ไมห่ ลงใหลตามกระแสนิยม 2. ความมเี หตุผล ประกอบดว้ ย 4 ตัวบ่งช้ี ไดแ้ ก่ 1. ปฏิบัตติ นและตัดสนิ ใจเกีย่ วกับระดับความพอ เพยี งดว้ ยความรอบคอบ มกี ารทบทวน ไตรต่ รองดว้ ยเหตแุ ละผล คำ� นงึ ถงึ ผลทจี่ ะเกดิ ตามมาอยา่ งรอบดา้ น, 2. มีคุณธรรมและใช้เหตผุ ลในการตัดสินใจ ปฏบิ ตั ติ นไมเ่ อาเปรียบผอู้ ่นื และไมท่ ำ� ให้ผู้อ่นื เดอื ดรอ้ น, 3. มี จติ สำ� นกึ ที่ดี เอื้ออาทรและค�ำนงึ ถงึ ผลกะทบทีม่ ีต่อตนเอง ผู้อน่ื และสิง่ แวดล้อมและ 4. เปน็ แบบอย่างทดี่ ี 3. ภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัว ประกอบด้วย 6 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1. ก�ำหนดเป้าหมายในการปฏิบัติงานหรือ การด�ำเนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ ในชีวติ ประจำ� วัน, 2. วางแผนการเรยี น การท�ำงานและการใชช้ วี ิตประจ�ำวนั บน พน้ื ฐานของความรู้ ขอ้ มลู ขา่ วสาร, 3. รเู้ ทา่ ทนั การเปลยี่ นแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ ม, 4. การเลอื ก ที่จะรบั หรือไมร่ บั สิง่ ตา่ ง ๆ ทัง้ ทางบวกและทางลบ, 5. ยอมรับและปรับตัว เพ่ืออยู่ร่วมกบั ผูอ้ ื่นไดอ้ ยา่ งมี ความสุข และ 6. การมีความรกั ใหแ้ กก่ นั และกัน การรู้จกั แบ่งปันและมคี วามสามัคคีกันและการตรวจสอบ สว่ นที่เปน็ จุดแขง็ และจุดออ่ นของตวั เอง 66 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ ปีท่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

ผลการวิจัย ผู้วิจัยสร้างแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก ประกอบไปด้วย แบบวัดความพอเพียงท้งั หมด 3 ฉบบั ฉบบั ท่ี 1 แบบวดั ดา้ นความพอประมาณ จ�ำนวน 18 ข้อ, ฉบบั ที่ 2 แบบวดั ดา้ นความมีเหตุผล จำ� นวน 12 ข้อและฉบบั ที่ 3 แบบวดั ดา้ นการมีภูมคิ มุ้ กนั ในตัวที่ดจี ำ� นวน 18 ขอ้ รวมทง้ั สิ้น 48 ข้อ 1. คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของข้อค�ำถาม ผลการตรวจสอบคณุ ภาพของแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ตามทฤษฎี ของโคลเบริ ก์ จำ� นวน 48 ขอ้ มคี ่าดชั นคี วามสอดคล้องของข้อค�ำถามตงั้ แต่ 0.67 ถงึ 1.00 2. การวิเคราะห์ค่าอ�ำนาจจ�ำแนกรายข้อ, ค่าความเท่ียงและ ค่าความคลาดเคล่ือนมาตรฐานของ การวัด (SEM) ดังตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์ค่าอ�ำนาจจ�ำแนกรายขอ้ , ความเทย่ี งและ SEM แบบวัดความพอเพยี ง การทดลอง อำ�นาจจำ�แนกรายขอ้ ความเทย่ี ง SEM ครงั้ ที่ 1 2.10 ถงึ 9.52 .946 6.12 ครงั้ ที่ 2 3.06 ถึง 21.92 .935 5.81 ครง้ั ที่ 3 (ใชจ้ รงิ ) 2.04 ถึง 21.22 .916 5.09 จากตารางท่ี 1 พบวา่ อำ� นาจจำ� แนกรายขอ้ การทดลองครงั้ ท่ี 1 มคี า่ ระหวา่ ง 2.10 ถงึ 9.52, การทดลอง ครง้ั ท่ี2มคี า่ ระหวา่ ง3.06ถงึ 21.92และการทดลองครง้ั ที่3(ใชจ้ รงิ )มคี า่ ระหวา่ ง2.04ถงึ 21.22คา่ ความเทยี่ ง การทดลองครงั้ ท่ี 1 มคี า่ เทา่ กบั .946, การทดลองครง้ั ท่ี 2 มคี า่ เทา่ กบั .935 และการทดลองครงั้ ที่ 3 (ใชจ้ รงิ ) มี คา่ เทา่ กบั .916 คา่ SEM การทดลองครง้ั ที่ 1 เทา่ กบั 6.12, การทดลองครง้ั ท่ี 2 มคี า่ เทา่ กบั 5.81และการทดลอง คร้งั ท่ี 3 (ใชจ้ รงิ ) มคี ่าเท่ากับ 5.09 3. การวิเคราะห์ความตรงตามสภาพ โดยการน�ำคะแนนจากการใช้แบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตาม ทฤษฎีของโคลเบิร์กและคะแนนแบบวัดการอยู่อย่างพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของ แกว้ ใจ อตุ ะมะ (2544) พบวา่ คา่ สถติ พน้ื ฐานของคะแนนทไี่ ดจ้ ากแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบริ ์ก คือ = 210, SD = 21.42 และคา่ สถติ พื้นฐานของคะแนนท่ี ไดจ้ ากแบบวดั การอยอู่ ย่างพอเพยี งสำ� หรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ของแกว้ ใจ อุตะมะ คือ = 93, SD = 9.11 เมอื่ คำ� นวณหาคา่ สหสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคะแนนจากแบบวดั ความพอเพยี งทงั้ สองฉบบั มคี า่ เทา่ กบั .835 ทีร่ ะดับนยั สำ� คัญทางสถติ ิ .01 4. การวิเคราะห์ความตรงเชิงโครงสรา้ ง ผู้วิจัยน�ำข้อค�ำถามของแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎี ของโคลเบริ ก์ ดำ� เนนิ การตรวจสอบความตรงเชงิ โครงสรา้ ง ดว้ ยการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั อนั ดบั สอง และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยนื ยันอันดบั สาม วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 67 ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

1. การวิเคราะห์องค์ประกอบของแบบวัดความพอเพียงท้ัง 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบ ดา้ นความพอประมาณ ขอ้ คำ� ถามจำ� นวน 18 ขอ้ , องคป์ ระกอบดา้ นความมเี หตผุ ล ขอ้ คำ� ถามจำ� นวน 12 ขอ้ และองค์ประกอบด้านมีภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี ข้อค�ำถามจ�ำนวน 18 ข้อ ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง ยืนยันอันดับสอง พบว่า โมเดลด้านความพอประมาณ ด้านความมีเหตุผลและด้านมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีมี ความสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ 2. การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสาม น�ำผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน อันดับสอง มาวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก จ�ำนวน 3 องค์ประกอบ คือองค์ประกอบด้านความ พอประมาณ, องค์ประกอบด้านความมีเหตุผล และองคป์ ระกอบดา้ นมภี มู ิคุม้ กันในตัวท่ดี ี จ�ำนวน 48 ขอ้ ผลปรากฏดังภาพท่ี 3 ภาพที่ 3 โมเดลองค์ประกอบแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ตามทฤษฎขี อง โคลเบิรก์ 68 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ ปีท่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพท่ี 3 พบว่า องค์ประกอบด้านความพอประมาณ จ�ำนวน 18 ข้อ มคี า่ สมั ประสทิ ธน์ิ ำ�้ หนกั องคป์ ระกอบคะแนนมาตรฐานมคี า่ เปน็ บวก มคี า่ ตงั้ แต่ .16 ถงึ 1.00 องคป์ ระกอบ ดา้ นความมเี หตผุ ล จ�ำนวน 11 ข้อ มคี ่าสัมประสิทธ์นิ �ำ้ หนักองคป์ ระกอบคะแนนมาตรฐานมคี า่ เปน็ บวก มี ค่าตัง้ แต่ .41 ถึง .97 และองคป์ ระกอบดา้ นมีภมู คิ ุ้มกนั ในตวั ท่ดี ี จำ� นวน 17 ขอ้ มีค่าสัมประสทิ ธิ์น�ำ้ หนัก องค์ประกอบคะแนนมาตรฐาน มีค่าเปน็ บวก มีคา่ ตัง้ แต่ .29 ถึง 1.00 การตรวจสอบความสอดคล้องขององค์ประกอบของแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก พบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พจิ ารณาได้จากคา่ ( 2/df) มีคา่ เทา่ กับ 2.663, RMSEA มคี า่ เท่ากับ .046, CFI มีคา่ เทา่ กบั .98, GFI มคี า่ เท่ากับ .89, RMR มีคา่ เทา่ กบั .43 แสดงให้เหน็ วา่ โมเดลมีความสอดคล้องกับขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ ผลการวิเคราะห์องคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยันอนั ดับสาม พบวา่ สมั ประสิทธนิ์ �ำ้ หนักองค์ประกอบคะแนน ดิบของแบบวัดความพอเพียงขอ้ ค�ำถาม 2 ข้อ คือข้อ R3 และ P1 ท่ีคา่ น�้ำหนกั องคป์ ระกอบน้อยมากจึง ตอ้ งตัดทงิ้ ท�ำใหเ้ หลอื ข้อคำ� ถาม 46 ขอ้ ผลการสรา้ งเกณฑป์ กติ ผูว้ จิ ัยนำ� แบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบิร์กที่ผา่ น เกณฑค์ ่าอ�ำนาจจำ� แนก ค่าความเท่ียง ค่าความตรงตามสภาพ และความตรงเชิงโครงสรา้ ง ทงั้ สน้ิ จำ� นวน 46 ข้อ นำ� ไปทดลองใช้ครง้ั ที่ 3 กบั กลุ่มตวั อยา่ งจำ� นวน 500 คน นำ� ผลการเกบ็ ข้อมลู ทไี่ ดไ้ ปตรวจสอบค่า อำ� นาจจำ� แนก, ค่า SEM และคา่ ความเทยี่ ง การวเิ คราะหค์ า่ อำ� นาจจำ� แนก โดยการทดสอบที (Independent Sample t-test) ฉบบั ท่ี 1 แบบวดั ดา้ นความพอประมาณ จำ� นวน 18 ขอ้ คา่ อำ� นาจจำ� แนก มคี า่ ตงั้ แต่ 5.04 ถงึ 11.62 ความเทย่ี ง มคี า่ .809 และ คา่ SEM เทา่ กบั 3.44 ฉบบั ที่ 2 แบบวดั ดา้ นความมเี หตผุ ล จำ� นวน 11 ขอ้ คา่ อำ� นาจจำ� แนก มคี า่ ตง้ั แต่ 2.24 ถงึ 12.64 ความเทยี่ ง มคี ่า .777 และคา่ SEM เท่ากบั 2.85 ฉบบั ที่ 3 แบบวดั ดา้ นการมีภมู คิ ุ้มกันในตวั ท่ดี ี จำ� นวน17ขอ้ คา่ อำ� นาจจำ� แนก มคี า่ ตงั้ แต่2.04ถงึ 21.22ความเทย่ี งมคี า่ .816และคา่ SEMเทา่ กบั 2.85และ เมอ่ื พจิ ารณาขอ้ ค�ำถามของแบบวดั ความพอเพยี งทั้งสามฉบบั พบวา่ มีค่าความเที่ยง .916 และค่า SEM เท่ากับ 5.09 ตารางท่ี 2 การแปลผลเกณฑป์ กติระดบั ทอ้ งถิ่นของแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษา ปที ี่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิรก์ คะแนนที ระดบั ความพอเพยี ง ตั้งแต่ T67 ข้นึ ไป ขึน้ อยูก่ บั การทำ�ตามสญั ญาสังคม T66 - T55 ขึ้นอยกู่ ับการทำ�ตามกฎหมายหรือระเบยี บทาง สังคม T54 - T43 ข้นึ อยู่กบั การทำ�ตามทีผ่ อู้ น่ื เหน็ ชอบ T42 - T31 ขน้ึ อยกู่ บั ความพอใจและการใฝ่หารางวลั ตำ่ �กว่า T30 ข้ึนอยกู่ ับการลงโทษและการเชื่อฟงั วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ 69 ปที ี่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

กทกพ แลาฎ�ำอรตะหใทจกามแมำ�าาตลรจสยเะาาญัชหมกกื่อญราทตอืฟราาี่ผรใังสรอู้ฝะาังืน่ห่เงคบเาทมหยีรี่ น็บา2นงชทวักพอาลัเบบรงแสียวนลา่ังนคกัะทนมนเีไ่รกั ดกั ียนเ้คเรนรกั ยีะยีทเนแรนไี่ ียนทดทนนี่ไค้ ไ่ี ดทดทะ้คค้ี่ไแี ดะระนแค้ะแนนะหนทแนวนีนา่ทรทงะนีี ตตหทTำ้งั่�วี6แกร6า่ -ะตวงา่ห่TTTว5T465า่2370งม-ขมรีTTนึ้รีะ53ะไ41ดปดม-บั บั รีมTคคะ4รีว3วดะาามบัดมมีรับคพพะวคอดอาวเบัเมพาพคพมียยี วพงองขาเขอพม้นึ นึ้เพพยีอองอยียยขเงูก่ กู่พึน้ขบั บั ียึ้นอกกงยอาาขูก่ยรรึน้ ับท่กูลอบัคำ�งยตโวกทกู่าาาษบัมมร อภิปรายผล การวจิ ยั ครงั้ นเ้ี ปน็ การพฒั นาแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ตามทฤษฎี ของโคลเบิร์ก ตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานของส�ำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกระทรวงศึกษาธิการ มีประเด็นที่น่า สนใจน�ำมาอภปิ ราย ดังน้ี 1. การสร้างแบบวดั ความพอเพียงส�ำหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบริ ์กมี ประเด็นการอภิปรายดังน้ี วิธีการสร้างแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก ผวู้ จิ ยั ไดว้ เิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบของคณุ ลกั ษณะการอยอู่ ยา่ งพอเพยี ง ตามหลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานของ สำ� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประกอบดว้ ย 3 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ลและการมภี มู คิ มุ้ กนั ทดี่ ใี นตวั ในแตล่ ะ ด้านมีจ�ำนวน 6 ตวั บง่ ชี ้ 4 ตัวบ่งชี้ และ 6 ตัวบ่งช้ี ตามลำ� ดับ มขี อ้ คำ� ถามทั้งสน้ิ 48 ข้อ แบบวัดความพอเพียงที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบวัดสถานการณ์ มีองค์ประกอบและตัวบ่งช้ีตาม คุณลักษณะการอยู่อยา่ งพอเพียง ตามหลกั สตู รการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐานของส�ำนกั วิชาการและมาตรฐานการ ศกึ ษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ซงึ่ ผ้วู จิ ัยยังไม่พบรายงานการ วิจัยท่ีมีการสร้างหรือพัฒนาแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของ โคลเบิรก์ ที่มีข้อคำ� ถามเปน็ แบบวัดสถานการณ์ และตวั เลือก 5 ตวั เลอื กแทนข้ันต่าง ๆ ตามทฤษฎขี อง โคลเบริ ก์ เพื่อวัดความพอเพยี งของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 วา่ มรี ะดับความพอเพียงอยู่ในระดบั ขั้น ใดตามทฤษฎีของโคลเบริ ก์ สอดคล้องกบั อรพนิ ทร์ ชูชม (2545) ทใี่ ห้ความหมายแบบวดั สถานการณไ์ ว้ว่า เปน็ การวัดบคุ ลิกภาพแบบรายงานของตนเอง โดยมีสิ่งเร้าท่เี ปน็ สถานการณจ์ ำ� ลอง ประกอบไปด้วยภาพ หรือเหตกุ ารณ์เรอื่ งราวทเี่ ขียนขึ้น แลว้ ให้ผู้ตอบสมมตติ วั เองวา่ ถา้ ตนอยใู่ นเหตกุ ารณ์น้นั หรือเป็นบคุ คล นน้ั ทอี่ ยใู่ นสถานการณน์ นั้ จะมกี ารตอบสนองตอ่ เหตกุ ารณอ์ ยา่ งไร และโดยสว่ นใหญ่ การสรา้ งหรอื พฒั นา เครื่องมอื วัดคุณลักษณะการอย่อู ย่างพอเพียงจะเป็นส�ำหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนตน้ และรปู แบบของแบบวดั สว่ นใหญจ่ ะเปน็ แบบสอบถาม มสี ว่ นนอ้ ยทเี่ ปน็ แบบวดั สถานการณแ์ ละตวั เลอื กไม่ ไดแ้ ทนขน้ั ต่าง ๆ ตามทฤษฎีของโคลเบริ ก์ ดังเช่น งานวิจัยของ ชลิดา ลุนสะแกวงษ์ (2558) เร่ือง การพัฒนาเคร่ืองมือวัดคุณลักษณะการ อยู่อย่างพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ปราณี เขม็ วงษ์ (2553) เรอ่ื งการสรา้ งแบบวดั คณุ ลกั ษณะความพอเพยี งตามปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพียง สำ� หรับนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 แก้วใจ อตุ ะมะ (2544) เร่อื งการสร้างเครอ่ื งมือ วดั การอยอู่ ยา่ งพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 สนั ทดั สทุ ธพิ งษ์ (2555) เรอ่ื งการพฒั นาแบบ 70 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

วดั คณุ ลกั ษณะตามแนวปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สวุ รรณา อรรถชิตวาทิน (2552) เร่ืองการสร้างแบบวัดทักษะการคิดขั้นสูงด้านการด�ำเนินชีวิตของนักเรียนช่วงชั้น ที่ 3 มนลดา กลอ่ มแกว้ (2555) เรื่องการสร้างแบบวัดทักษะชวี ิตส�ำหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สังกดั สำ� นักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 1 กรงุ เทพมหานคร ดงั นน้ั ผูว้ จิ ยั จงึ สนใจสร้างแบบวดั ความพอเพียงสำ� หรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบริ ์ก จำ� นวนท้ังสน้ิ 48 ขอ้ แบง่ เป็น ดา้ นความพอประมาณ จ�ำนวน 18 ข้อ ด้านความมีเหตผุ ล จำ� นวน 12 ข้อ และดา้ นการมีภมู คิ ุ้มกัน ในตวั ที่ดี จำ� นวน 18 ข้อ 2. การหาคุณภาพของแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของ โคลเบริ ์ก มีประเด็นอภิปรายดงั น้ี 2.1 ความตรงเชิงเนื้อหา เป็นการตรวจสอบเน้ือหาตามนิยามของทฤษฎีที่ศึกษาให้ผู้เช่ียวชาญ จ�ำนวน 3 ทา่ น พิจารณาขอ้ คำ� ถาม ใหค้ ำ� แนะน�ำส�ำหรบั แก้ขอ้ คำ� ถามใหม้ ีความเหมาะสมยงิ่ ขน้ึ ให้คะแนน ความสอดคลอ้ งกบั นยิ าม แลว้ นำ� มาคำ� นวณคา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งขอ้ คำ� ถามกบั นยิ าม โดย แบบวัดความพอเพยี งสำ� หรบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบริ ก์ มีคา่ IOC ตัง้ แต่ .67 ถงึ 1.00 และคดั เลือกข้อค�ำถามท่มี ีคา่ IOC ตงั้ แต่ .50 ข้นึ ไป ซ่งึ แบบวัดท่ผี วู้ ิจยั สรา้ งผา่ นเกณฑ์คา่ IOC ทุกข้อ แล้ว จงึ นำ� ไปทดลองใชก้ ับกลุ่มตวั อยา่ งครงั้ ที่ 1 ตอ่ ไป ดังท่ี สรุ พี ร อนุศาสนนันท์ (2558) ได้กลา่ วไวว้ ่า ข้อสอบ ท่มี คี า่ ดัชนคี วามสอดคล้อง ตัง้ แต่ 0.5-1.0 เก็บไวใ้ ช้ได้ ข้อสอบที่มคี ่าดชั นีความสอดคล้อง ต่�ำกว่า 0.5 ควร ปรบั ปรุงหรอื ตัดทง้ิ จงึ อาจกล่าวได้ว่า แบบวัดท่ีสร้างขึ้นมีคา่ ความตรงเชิงเนอื้ หาท่เี ชอื่ ถือได้ 2.2 คา่ ความเท่ยี งและค่าความคลาดเคลือ่ นมาตรฐานของแบบวดั (SEM) ผูว้ จิ ยั ได้น�ำคะแนนท่ี ได้จากการใช้แบบวัดความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบิร์ก กับกลมุ่ ตัวอยา่ งที่เปน็ นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 จ�ำนวน 3 คร้ัง มาวิเคราะห์ไดผ้ ลดงั นี้ ครั้งที่ 1 ทดลองใช้กับกล่มุ ตวั อย่าง จ�ำนวน 111 คน ข้อค�ำถามจ�ำนวน 48 ขอ้ ฉบับที่ 1 แบบวัด ดา้ นความพอประมาณ มคี า่ ความเทยี่ งเทา่ กบั .884 และมคี า่ SEM เทา่ กบั 3.42, ฉบบั ท่ี 2 แบบวดั ดา้ นความ มีเหตุผล มีค่าความเทยี่ งเท่ากบั .829 และมคี ่า SEM เทา่ กบั 3.25 ฉบบั ท่ี 3 แบบวัดด้านการมีภมู ิคุ้มกัน ในตวั ทีด่ ี มีคา่ ความเที่ยงเท่ากบั .855 และมีคา่ SEM เท่ากับ 3.85 และแบบวัดความพอเพียงทั้งสามฉบับ มีค่าความเทีย่ งเท่ากับ .946 และค่า SEM เทา่ กับ 6.12 ครัง้ ท่ี 2 ทดลองใชก้ ับกลมุ่ ตัวอยา่ ง จำ� นวน 630 คน ขอ้ ค�ำถามจ�ำนวน 48 ขอ้ ฉบับที่ 1 แบบวดั ดา้ นความพอประมาณ มคี า่ ความเทย่ี งเทา่ กบั .877 และมคี า่ SEM เทา่ กบั 3.32, ฉบบั ที่ 2 แบบวดั ดา้ นความ มเี หตผุ ลมคี า่ ความเทยี่ งเทา่ กบั .766 และมคี า่ SEM เทา่ กบั 2.63 ฉบบั ที่3 แบบวดั ดา้ นการมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทด่ี ี มคี า่ ความเทย่ี งเทา่ กบั .851 และมคี า่ SEM เทา่ กบั 3.21 และแบบวดั ความพอเพยี งทงั้ สามฉบบั มคี า่ ความ เทยี่ งเท่ากบั .935 และคา่ SEM เทา่ กับ 5.81 ครงั้ ที่ 3 ใช้จริงกับกลมุ่ ตวั อย่าง จำ� นวน 500 คน ซึ่งขอ้ คำ� ถามจำ� นวน 46 ขอ้ ฉบับที่ 1 แบบวัด ดา้ นความพอประมาณ มคี า่ ความเทย่ี งเทา่ กบั .877 และมคี า่ SEM เทา่ กบั 3.32, ฉบบั ที่ 2 แบบวดั ดา้ นความ มเี หตผุ ล มคี า่ ความเทย่ี งเทา่ กบั .766 และมคี า่ SEM เทา่ กบั 2.63 ฉบบั ที่ 3 แบบวดั ดา้ นการมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ท่ดี ี มีค่าความเทยี่ งเท่ากับ .851 และมคี ่า SEM เท่ากบั 3.21 และแบบวัดความพอเพียงทั้งสามฉบับ มคี ่า ความเทยี่ งเท่ากับ .935 และค่า SEM เทา่ กับ 5.81 2.3 ค่าอ�ำนาจจำ� แนกรายขอ้ โดยการทดสอบที ผ้วู ิจยั ไดน้ ำ� คะแนนท่ีไดจ้ ากการใช้แบบวัดความ พอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก กับกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นนักเรียน ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 จำ� นวน 3 ครัง้ มาวิเคราะหไ์ ด้ผลดังนี้ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ 71 ปีที่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

ครง้ั ที่ 1 ทดลองใชก้ ับกลุ่มตัวอย่าง จ�ำนวน 111 คน ข้อค�ำถามจำ� นวน 48 ขอ้ ฉบบั ท่ี 1 แบบวัด ดา้ นความพอประมาณ จำ� นวน 18 ขอ้ มคี า่ ทตี ง้ั แต่ 2.27 ถงึ 8.64 ฉบบั ที่ 2 แบบวดั ดา้ นความมเี หตผุ ล จำ� นวน 12ขอ้ มคี า่ ทตี ง้ั แต่2.10ถงึ 9.52ฉบบั ที่3แบบวดั ดา้ นการมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ีมคี า่ ทตี งั้ แต่2.16ถงึ 9.93พบวา่ ข้อคำ� ถามทกุ ข้อ กล่มุ สูงและกลุ่มต�่ำแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 และ .05 แสดงวา่ ขอ้ คำ� ถามทกุ ขอ้ มอี �ำนาจจำ� แนก ครั้งท่ี 2 ทดลองใช้กบั กลมุ่ ตัวอยา่ ง จ�ำนวน 630 คน ขอ้ ค�ำถามจ�ำนวน 48 ข้อ ฉบับท่ี 1 แบบวดั ดา้ นความพอประมาณ จำ� นวน 18 ขอ้ มคี า่ ทตี ง้ั แต่ 6.29 ถงึ 12.84 ฉบบั ที่ 2 แบบวดั ดา้ นความมเี หตผุ ล จำ� นวน 12 ขอ้ มคี า่ ทตี ง้ั แต่ 3.06 ถงึ 9.09 ฉบบั ท่ี 3 แบบวดั ดา้ นการมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี มคี า่ ทตี ง้ั แต่ 5.01 ถงึ 21.92 พบวา่ ขอ้ คำ� ถามทกุ ขอ้ กลมุ่ สงู และกลมุ่ ตำ่� แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .01 และ .05 แสดงวา่ ข้อค�ำถามทุกข้อมอี �ำนาจจ�ำแนก ครงั้ ท่ี 3 ใชจ้ ริงกับกลุ่มตัวอย่าง จำ� นวน 500 คน ซงึ่ ข้อค�ำถามจำ� นวน 46 ขอ้ ฉบับที่ 1 แบบวัด ดา้ นความพอประมาณ จำ� นวน 18 ขอ้ มคี า่ ทตี งั้ แต่ 5.04 ถงึ 11.62 ฉบบั ที่ 2 แบบวดั ดา้ นความมเี หตผุ ล จำ� นวน 11 ขอ้ มคี า่ ทตี ง้ั แต่ 2.24 ถงึ 12.64 ฉบบั ท่ี 3 แบบวดั ดา้ นการมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทด่ี ี มคี า่ ทตี ง้ั แต่ 5.01 ถงึ 21.92 พบวา่ ขอ้ คำ� ถามทกุ ขอ้ กลมุ่ สงู และกลมุ่ ตำ่� แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 และ .05 แสดงวา่ ขอ้ ค�ำถามทุกข้อมอี ำ� นาจจำ� แนก 2.4 ความตรงตามสภาพ ผวู้ จิ ยั หาคา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธ์ ระหวา่ งแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนกับแบบวัดการอยู่อย่างพอเพียง ส�ำหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ของแกว้ ใจ อตุ ะมะ (2544) พบค่าสมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พันธ์ ระหว่าง ระหวา่ งแบบวดั ความพอเพยี งส�ำหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ก์ ทีผ่ ู้วจิ ัยสร้าง ขน้ึ กบั แบบวดั การอยอู่ ยา่ งพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ของแกว้ ใจ อตุ ะมะ (2544) เทา่ กบั .858 ท่รี ะดับนัยสำ� คัญทางสถติ ิ .01 แสดงวา่ แบบวดั ความพอเพยี งทผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งมีความตรงตามเกณฑ์ ซึ่ง สอดคลอ้ งกับชลดิ า ลนุ สะแกวงษ์ (2558) ไดท้ �ำการศกึ ษาการพฒั นาเคร่อื งมอื วัดคุณลกั ษณะการอยอู่ ยา่ ง พอเพียงส�ำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 2.5 ความตรงเชิงโครงสร้าง ผู้วิจัยได้น�ำแบบวัดความพอเพียงท้ัง 3 ฉบับ จ�ำนวน 48 ข้อ ซึ่ง ผา่ นการวิเคราะห์หาค่าอ�ำนาจจำ� แนกแลว้ ไปทดสอบกับกลมุ่ ตัวอยา่ ง จำ� นวน 630 คน น�ำผลมาวเิ คราะห์ หาความตรงเชิงโครงสร้างด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับสอง (Second-order factor analysis) ตรวจสอบความสอดคลอ้ งขององคป์ ระกอบดา้ นความพอประมาณ พจิ ารณาไดจ้ ากคา่ ไค-สแคว ร์สัมพัทธ์ ( 2/df) มีคา่ เทา่ กบั 2.21 คา่ ความคลาดเคลอื่ นในการประมาณค่าพารามเิ ตอร์ (RMSEA) มคี า่ เทา่ กบั .044 ดชั นวี ดั ระดบั ความสอดคลอ้ งเปรยี บเทยี บ (CFI) มคี า่ เทา่ กบั .99 ดชั นวี ดั ระดบั ความกลมกลนื (GFI) มคี ่าเท่ากบั .97 ดชั นวี ดั ระดับความกลมกลืนท่ปี รบั แก้ (AGFI) มคี ่าเท่ากบั .94 และดัชนรี ากของค่า เฉล่ียก�ำลังสองของส่วนที่เหลอื (RMR) มีค่าเท่ากับ .031 ตรวจสอบความสอดคล้องขององคป์ ระกอบด้าน ความมีเหตผุ ล พจิ ารณาได้จากค่าไค-สแควรส์ ัมพทั ธ์ ( 2/df) มีค่าเท่ากับ 2.04 ค่าความคลาดเคลือ่ นใน การประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) มคี า่ เทา่ กับ .041 ดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรยี บเทยี บ (CFI) มีค่าเท่ากับ .98 ดัชนวี ดั ระดบั ความกลมกลนื (GFI) มคี า่ เท่ากับ .98 ดชั นีวัดระดบั ความกลมกลนื ท่ีปรับ แก้ (AGFI) มคี ่าเท่ากับ .96 และดชั นีรากของค่าเฉล่ียกำ� ลังสองของสว่ นท่เี หลือ (RMR) มีคา่ เทา่ กบั .027 ตรวจสอบความสอดคลอ้ งขององคป์ ระกอบดา้ นมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี พจิ ารณาไดจ้ ากคา่ ไค-สแควรส์ มั พทั ธ์ ( 2/df) มีค่าเท่ากับ 2.497 ค่าความคลาดเคลอื่ นในการประมาณค่าพารามเิ ตอร์ (RMSEA) มีคา่ เทา่ กับ 72 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีท่ี 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

.049 ดชั นีวัดระดับความสอดคล้องเปรยี บเทียบ (CFI) มคี า่ เท่ากับ .96 ดัชนวี ดั ระดับความกลมกลนื (GFI) มีคา่ เทา่ กับ .96 ดัชนีวดั ระดบั ความกลมกลืนทป่ี รับแก้ (AGFI) มคี ่าเทา่ กับ .93 และดัชนีรากของคา่ เฉลีย่ กำ� ลงั สองของสว่ นทเ่ี หลอื (RMR) มคี า่ เทา่ กบั .031 แสดงใหเ้ หน็ วา่ โมเดลดา้ นความพอประมาณ ดา้ นความ มเี หตุผลและด้านมภี มู คิ มุ้ กันในตัวทด่ี มี คี วามสอดคล้องกบั ข้อมูลเชงิ ประจักษ์ 2.6 การวิเคราะห์องค์ประกอบความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎี ของโคลเบริ ก์ ดว้ ยการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั อนั ดบั สาม ผวู้ จิ ยั ดำ� เนนิ การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ เชิงยืนยันอันดับสาม เพ่ือตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก จ�ำนวน 3 องค์ประกอบ ข้อค�ำถามขององค์ประกอบด้าน ความพอเพียง จ�ำนวน 18 ขอ้ องคป์ ระกอบด้านความมเี หตุผล จ�ำนวน 12 ข้อ และองค์ประกอบด้านมี ภมู คิ ุม้ กนั ในตวั ท่ดี ี จ�ำนวน 18 ขอ้ รวมขอ้ คำ� ถามท้ังสนิ้ จ�ำนวน 48 ข้อ การตรวจสอบความสอดคลอ้ งของ องค์ประกอบของแบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบริ ์ก พบ วา่ โมเดลมคี วามสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ พจิ ารณาไดจ้ ากคา่ ไค-สแควรส์ มั พทั ธ์ ( 2/df) มคี า่ เทา่ กบั 2.663 คา่ ความคลาดเคลอ่ื นในการประมาณคา่ พารามเิ ตอร์ (RMSEA) มคี า่ เทา่ กบั .046 ดชั นวี ดั ระดบั ความ สอดคลอ้ งเปรียบเทียบ (CFI) มีค่าเท่ากับ .98 ดัชนวี ดั ระดบั ความกลมกลืน (GFI) มีคา่ เท่ากับ .89 ดัชนีวดั ระดับความกลมกลืนทีป่ รับแก้ (AGFI) มคี า่ เท่ากบั .84 และดัชนรี ากของคา่ เฉล่ยี กำ� ลังสองของสว่ นทเ่ี หลือ (RMR) มคี า่ เทา่ กบั .43 แสดงใหเ้ หน็ วา่ โมเดลมคี วามสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ ผลการวเิ คราะหอ์ งค์ ประกอบเชงิ ยนื ยนั อนั ดบั สาม พบวา่ สมั ประสทิ ธน์ิ ำ�้ หนกั องคป์ ระกอบคะแนนดบิ ของแบบวดั ความพอเพยี ง ส�ำหรับนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ์ก มีขอ้ คำ� ถาม 2 ขอ้ ไดแ้ ก่ ขอ้ 3 ดา้ นความมี เหตุผล และ ขอ้ 1 ด้านมีภมู ิคุ้มกนั ในตัวทด่ี ี ท่คี ่าน้ำ� หนักองคป์ ระกอบนอ้ ยมากจงึ ต้องตัดท้งิ ทำ� ใหเ้ หลือข้อ ค�ำถาม 46 ข้อ ผลท่ไี ด้ คอื คา่ สัมประสทิ ธิ์นำ้� หนกั องคป์ ระกอบเปน็ บวกทกุ องค์ประกอบ มีค่าต้ังแต่ .94 ถงึ .96 สมั ประสทิ ธน์ิ ำ้� หนกั องคป์ ระกอบคะแนนมาตรฐานเรยี งตามลำ� ดบั คา่ นำ�้ หนกั องคป์ ระกอบจากมาก ไปน้อย คือ ดา้ นมภี มู คิ มุ้ กนั ในตัวที่ดี ดา้ นความพอประมาณและด้านความมีเหตุผล มีคา่ .96, .94 และ .94 ตามล�ำดับ โดยมคี ่าก�ำลงั สองของสมั ประสทิ ธส์ิ หสัมพนั ธ์ (R2) เท่ากบั .93, .89 และ .89 ตามล�ำดบั 3. การสรา้ งเกณฑป์ กติ ผวู้ จิ ยั เกบ็ ขอ้ มลู กบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง จำ� นวน 500 คน เพอ่ื สรา้ งเกณฑป์ กตริ ะดบั ทอ้ งถน่ิ (Local norm) การแปลผลคะแนนในรปู คะแนนที (T-score) แลว้ นำ� มาแปลผลเทยี บกบั เกณฑ์ พบ วา่ คะแนนแบบวัดความพอเพียงสำ� หรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิรก์ ดา้ นความ พอประมาณ มคี ะแนนเฉลยี่ เทา่ กบั 82.73 คะแนน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 7.90 มคี ะแนนดบิ ตงั้ แต่ 32 คะแนน ถึง 90 คะแนน มคี ะแนนที ต้ังแต่ Tม1ีค9 ะถแงึ นTน66ดดิบ้าตนงั้ คแวตา่ ม18มีเคหะตแผุ นลนมถีคึงะแ5น5นคเะฉแลน่ยี นเท า่ มกคี ับะแ5น1.น3ท7ี คะแนน สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 3.83 เแตทบัง้ า่แบกตวบั ่ ดัTค619.ว6ถา6งึมพTม6อีค7เะดพแ้ายีนนงนสมดำ�ภี ิบหูมตรคิ บังั้ ้มุ แนกตักนั ่ เ3ใรน3ียตนคัวชะท้ันแดี่ มนี ธัมนยีคมถะึงศแกึน8ษ4นาเคฉปะลีทแี่ย่ี 5นเทนต่า าก มมับทคี ฤ7ะษ5แ.นฎ7นขี1อทคงี ะตโคแัง้ ลนแเตนบ่ ริT ส์ก19ว่ทนถง้ั เงึสบาTย่ีม7งฉ7เ บบ แบันลมมะาคคี ตะะรแแฐนนานนน เฉล่ียเทา่ กบั 209.95 คะแนน สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 16.30 มีคะแนนดบิ ต้ังแต่ 103 คะแนน ถึง 2ขขกกก2นึ้้ึนาบัารร9ออคลทยยวคง�ำากูู่่กะโตมทบับัแาพษกกนมอาาแนกรรใล ฎจทท ะมแหำ��ำกลคีมตตาะะาาารกแยมมเชานหสท่อืรนญัร่ผี ใฟอืทู้อฝญังร่หน่ืตี ะาง้ัเาสเหแรบงั น็าตยีคงช่ บมวTอลัท1นบ9าแกัถงนลเสึงรกัะังียTเนครน7ักมีย7ทเนนรนี่ไทยีกัดกั นีไ่เ้คเรดรทะียค้ยี แ่ีไนนะดนทแท้คน่ีไนไ่ีะดทดนแ้คีร้คนทะะะนีหแรแทนวะนา่ีหนนตงวท�่ำท่าTกี ีรงต6วะ6ง้ัTา่-หแ4TTว2ต5า่3-่50TงTมม6T37รีีร15ขะะ4ม-้นึดดีรTบัับไะป4ดคค3ับววมมาาคีรีรมมะะวพพาดดมออบัับพเเคคพพอววียยี เาาพงงมมขขียพพนึ้้นึ งออออขเเยยึ้นพพกู่กู่อียยี บับัยงงู่ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ 73 ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

จะเห็นว่าคะแนนมีลักษณะการแจกแจงท่ีเหมาะสมในการน�ำมาสร้างเกณฑ์ปกติ สอดคล้องกับ ศิรชิ ัย กาญจนวาสี (2556) ที่กล่าวถงึ การกำ� หนดเกรดผลการเรยี นรู้ไวว้ ่า การประเมนิ ผลการเรยี นรู้เป็นก ระบวนการตัดสินคณุ ค่าการเรียนร้ขู องผู้เรยี น อาจประเมินแบบอิงกลุ่ม โดยเปรียบเทียบกับความสามารถ ของกลมุ่ หรอื ปกตวิ สิ ยั (Norm) หรอื อาจประเมนิ แบบองิ เกณฑ์ โดยเปรยี บเทยี บกบั เกณฑม์ าตรฐานหรอื จดุ ตดั (Cut-Scores) การประเมนิ ผลการเรยี นรทู้ ดี่ จี ะตอ้ งอาศยั การวดั ผลทคี่ รอบคลมุ ดว้ ยวธิ ที หี่ ลากหลาย มี ผลการวัดท่ีแม่นยำ� เช่อื ถอื ได้ มวี ิธกี ารแปลความหมายที่เหมาะสมและใชว้ ิธีการตัดสนิ คุณคา่ ที่ยุตธิ รรม ดงั น้ัน ในการสรา้ งเกณฑป์ กตใิ นงานวิจัยนี้จงึ เป็นเกณฑ์ปกตริ ะดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 การแปลความหมาย จึงเปรียบเทียบกับภายในกลุ่มเท่าน้นั และสอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ของ ปราณี เขม็ วงษ์ (2553) เรอื่ ง การ สรา้ งแบบวดั คณุ ลกั ษณะความพอเพยี งตามปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปที ี่ 6 จงั หวัดนครสวรรค์ สันทัด สทุ ธิพงษ์ (2555) เรือ่ งการพฒั นาแบบวัดคณุ ลักษณะตามแนวปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงส�ำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายพระมหาวิเชาว์ ปญฺญาวชิโรและคณะ (2548) เร่ืองการศึกษาเหตุผลเชิงจริยธรรมและเจตคติเชิงจริยธรรมของนิสิต มหาวิทยาลัยสงฆ์และนิสิต นักศึกษามหาวทิ ยาลัยรัฐบาล อาชวภ์ ูริชญ์ นอ้ มเนียนและสมบรู ณ์ ศิริสรรหริ ญั (2558) เรื่องศึกษาการใช้ เหตุผลเชงิ จรยิ ธรรมของนักเรียนโรงเรียนนายรอ้ ยต�ำรวจ และชุติมา สังทรพั ย์ (2559) เร่อื ง พฤตกิ รรมเชิง จรยิ ธรรมของนกั เรยี นโรงเรยี นสจุ รติ สงั กดั สำ� นกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาชลบรุ ี เขต 3 ทดี่ ำ� เนนิ การสร้างเกณฑ์ปกตริ ะดบั ท้องถ่ิน (Local Norm) เป็นคะแนนมาตรฐานในรูป T-score ขอ้ เสนอแนะ 1. การใช้แบบวัดความพอเพียงสำ� หรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ์ก ผใู้ ช้ ควรศึกษาคู่มอื การใช้ใหเ้ ข้าใจกอ่ นลว่ งหนา้ เพอื่ การดำ� เนินการสอบเป็นไปดว้ ยความถูกต้อง และใหผ้ เู้ ขา้ สอบปฏบิ ตั ติ ามคำ� แนะนำ� ของคมู่ อื อยา่ งเครง่ ครดั อธบิ ายวธิ กี ารสอบใหผ้ เู้ ขา้ สอบเขา้ ใจตรงกนั เพอ่ื ปอ้ งกนั ความคลาดเคลอ่ื นอนั เกิดจากการดำ� เนนิ การสอบ 2. แบบวดั ความพอเพยี งสำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบริ ก์ ทพ่ี ฒั นาขน้ึ เป็นแบบวดั ท่มี ีคณุ ภาพและเป็นมาตรฐาน โรงเรยี นหรอื หน่วยงานทางการศึกษา สามารถนำ� แบบวัดความ พอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก ฉบับน้ีไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อวัด ความพอเพยี งของนกั เรยี นระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 เพือ่ ทราบระดบั ความพอเพยี งของนกั เรยี น ซ่งึ เปน็ จดุ หมายและสมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 3. ผู้บริหาร ครู ตลอดจนผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง สามารถใช้แบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ตามทฤษฎขี องโคลเบิร์ก ทผ่ี ู้วจิ ยั พัฒนาขึน้ ร่วมกบั การสงั เกต และการสัมภาษณ์ เพ่ือ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทตี่ รงตามความจรงิ มากขน้ึ และนำ� ขอ้ มลู ทไี่ ดเ้ พอ่ื ประกอบการดำ� เนนิ การหาแนวทางในการสง่ เสรมิ พฒั นา ปรบั ปรงุ หรอื แกไ้ ขคณุ ลกั ษณะดา้ นความพอเพยี งของนกั เรยี นใหม้ รี ะดบั ความพอเพยี งทด่ี ขี น้ึ 4. การน�ำแบบวัดความพอเพียงส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามทฤษฎีของโคลเบิร์ก ทพ่ี ัฒนาขน้ึ ไปใชก้ บั นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนในพืน้ ทีอ่ ่นื ๆ ควรมีการนำ� ไปทดลองใช้ และ ท�ำการตรวจสอบคุณภาพและสร้างเกณฑ์ปกติของแบบวัดความพอเพียงเสียก่อน เพื่อให้เหมาะสมกับ นกั เรยี นในพน้ื ท่นี นั้ ๆ 74 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

บรรณานกุ รม แกว้ ใจ อุตะมะ. (2544). การสร้างเคร่ืองมอื วดั การอยอู่ ย่างพอเพยี ง สำ� หรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี 4. (กศ.ม.), มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม คณะกรรมการโครงการเฉลมิ พระเกยี รตขิ องสภานติ บิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติ รวบรวมกฎหมายทสี่ นบั สนนุ ในโครงการ อันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ. (2560). ศาสตร์ของพระราชา: ผู้น�ำโลกใน การพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมกฎหมายสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริในพระบาท สมเดจ็ พรปรมนิ ทรมาภมู พิ ลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชงิ่ จ�ำกดั (มหาชน). ชลดิ า ลนุ สะแกวงษ.์ (2558). การพัฒนาเคร่ืองมอื วัดคุณลกั ษณะการอย่อู ยา่ งพอเพยี งส�ำหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. (วทิ ยาศาสตร มหาบัณฑิต), มหาวิทยาลยั บูรพา, ชลบรุ .ี ชุติมา สังทรพั ย์. (2559). พฤตกิ รรมเชิงจริยธรรมของนักเรยี นโรงเรยี นสุจริต สังกัดส�ำนักงานเขตพนื้ ท่ีการ ศึกษาประถมศกึ ษาชลบรุ ี เขต 3. (การศึกษามหาบัณฑิต), มหาวทิ ยาลัยบรู พา, ดวงเดือน พันธุมนาวนิ . (2551). จติ พอเพยี ง เครอ่ื งมอื วดั ทางพฤตกิ รรมศาสตร.์ กรุงเทพฯ: ศนู ยส์ ง่ เสริม และพัฒนาพลงั แผน่ ดินเชงิ คุณธรรม (ศนู ยค์ ุณธรรม). ปราณี เข็มวงษ์. (2553). การสร้างแบบวัดคุณลักษณะความพอเพียงตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 จงั หวดั นครสวรรค.์ วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตรว์ จิ ยั , 1(2), 294-306. พระมหาวเิ ชาว์ ปญญฺ าวชโิ รและคณะ. (2548). การศกึ ษาเหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรมและเจตคตเิ ชงิ จรยิ ธรรมของ นสิ ติ มหาวทิ ยาลยั สงฆแ์ ละนสิ ติ นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั รฐั บาล. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . มนลดา กล่อมแก้ว. (2555). การสรา้ งแบบวดั ทักษะชีวิตสำ� หรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย สงั กัด สำ� นกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 1 กรงุ เทพมหานคร. (บณั ฑติ วทิ ยาลยั ), มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ, กรงุ เทพฯ. ศริ ิชัย กาญจนวาส.ี (2556). ทฤษฎกี ารทดสอบดั้งเดิม. กรงุ เทพฯ โรงพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . สันทดั สุทธิพงษ์. (2555). การพัฒนาแบบวัดคุณลกั ษณะตามแนวปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส�ำหรับ นักเรยี นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย. มหาวทิ ยาลัยราชภัฎนครศรธี รรมราช, สำ� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). แนวทางการพฒั นา การวดั และประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ตามหลกั สตู รแกนกลาง การศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จ�ำกัด. สรุ พี ร อนศุ าสนนนั ท.์ (2558). การวดั และประเมนิ ในชน้ั เรยี น. ชลบรุ :ี โรงพมิ พ์ บรษิ ทั เกท็ กดู๊ ครเี อชนั่ จำ� กดั . สุวรรณา อรรถชิตวาทิน. (2552). การสร้างแบบวัดทักษะการคิดขั้นสูงด้านการด�ำเนินชีวิตของนักเรียน ช่วงชัน้ ท่ี 3. (กศ.ม.), มหาวทิ ยาลัยศรีนครินวโิ รฒ กรุงเทพฯ. อรพนิ ทร์ ชชู ม. (2545). เอกสารคำ� สอน วชิ า วป 502 การสรา้ งและพฒั นาเครอื่ งมอื วดั ทางพฤตกิ รรมศาสตร.์ กรุงเทพฯ: สถาบนั วิจัยพฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. อชั รา เอบิ สขุ สิริ. (2559). จิตวิทยาส�ำหรับครู. กรงุ เทพฯ ส�ำนักพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั อาชว์ภูริชญ์ น้อมเนียนและสมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ. (2558). การศึกษาการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมของ นักเรียนโรงเรียนนายรอ้ ยตำ� รวจ. E-Journal, Slipakorn University, 2, 2140-2154. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 75 ปที ี่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

การพัฒนาแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จริงเสรมิ ในคมู่ ือการใชโ้ สตทศั นูปกรณ์ ส�ำหรับบคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ัยสงขลา Development of Augmented Reality Application in Audio Visual Equipment Manual for Personnel of Rajamangala University of Technology Srivijaya Songkhla Received : 2020-08-03 Revised : 2020-09-25 Accepted : 2020-11-09 ผวู้ ิจัย ภควัต จันทรรัศม1ี Pakawat Jantararussamee1 [email protected] ชัชวาล ชุมรักษา2 Chatchawan Chumruksa2 เรวดี กระโหมวงศ3์ Rewadi Krahomvong3 บทคัดยอ่ งานวจิ ยั นมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ 1) พฒั นาแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ 80/80 2) ศกึ ษาผลการ ใชง้ านแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณฯ์ 3) ศกึ ษาความพงึ พอใจของบคุ ลากร ท่ีมีต่อแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ฯ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุคลากรของ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา จำ� นวน 69 คน ทไี่ ดจ้ ากการเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจง เคร่ืองมือการวิจัยคือ 1) แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากร มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชัยสงขลา 2) แบบประเมนิ คณุ ภาพของแอปพลิเคชนั ความเป็นจริง เสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ฯ 3) แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้การใช้งานโสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับ บุคลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชัยสงขลา 4) แบบสอบถามความพงึ พอใจตอ่ แอปพลิเคชนั ความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ฯ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทแี บบไมเ่ ปน็ อิสระตอ่ กัน และการทดสอบค่าทแี บบกลมุ่ เดียว 1 นิสติ ระดับมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสือ่ สารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ Student Department of Educational Technology and Communications, Faculty of Education, Thaksin University 2 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร. สาขาวิชาเทคโนโลยีและสอ่ื สารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ Assistant Professor Dr. Program in Educational Technology and Communications, Faculty of Education, Thaksin University 3 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. สาขาวชิ าการวิจยั และประเมิน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ Assistant Professor Dr. in Evaluation and Research Program, Faculty of Education, Thaksin University 76 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ ปที ่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

ผลการวิจัยพบว่า 1) แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ฯ มีค่า ประสทิ ธิภาพ 84.44/82.40 ซ่ึงเปน็ ไปตามเกณฑส์ มมตฐิ านของการวิจยั ทตี่ ้ังไว้ 80/80 2) ผลการใช้งาน ของบุคลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชยั สงขลา หลงั จากเรยี นรกู้ ารใช้งานด้วย แอปพลเิ คชนั ความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ฯ มีความรู้สูงกว่าก่อนใช้งานอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .01 3) ระดับความพึงพอใจของบุคลากรท่ีมีต่อแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา เฉลี่ยอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( =4.54) ซึ่งสงู กว่าเกณฑ์ ( =3.51) อยา่ งมนี ยั ส�ำคัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .01 คำ� ส�ำคญั : ความเป็นจรงิ เสรมิ , คมู่ ือการใช้โสตทศั นปู กรณ์ Abstract This research aimed to 1) develop an augmented reality application in audio visual equipment manual for personnel of Rajamangala University of Technology Srivijaya Songkhla to have the efficiency of 80/80, 2) study the effectiveness of the augmented reality application in audio visual equipment manual, and 3) study the satisfaction on the augmented reality application in audio visual equipment manual. The research samples were 69 personnel in Rajamangala University of Technology Srivijaya Songkhla, selected by purposive sampling selection. The instruments in this research included 1) an augmented reality application in audio visual equipment manual for personnel of Rajamangala University of Technology Srivijaya Songkhla, 2) an assessment form of overall quality of the augmented reality application in audio visual equipment manual, 3) an achievement test of the participants’ learning outcome, and 4) a satisfaction questionnaire on the augmented reality application in audio visual equipment manual. The data were analyzed using statistics, including percentage, arithmetic mean, standard deviation, t-test dependent and one sample t-test. The result showed that 1) the augmented reality application in audio visual equipment manual obtained the efficiency of 84.44/82.40, which exceeded the expected efficiency of 80/80, 2) the personnel achieved higher outcome scores after using the augmented reality application in audio visual equipment manual at the significant level of .01, and 3) the personnel showed the highest level of satisfaction (=4.54) on the use of the augmented reality application in audio visual equipment manual, which was higher than the accepted level (=3.51) with statistical significance at the .01 level. Keywords : Augmented reality, Audio visual equipment manual วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 77 ปีท่ี 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

บทนำ� กระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศภายใต้ ประเทศไทย 4.0 เป็นอีกนโยบายหนึ่งท่ีเป็นการวาง รากฐานการพฒั นาประเทศในระยะยาว เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ในการขบั เคลอื่ นไปสกู่ ารเปน็ ประเทศทม่ี งั่ คงั่ มน่ั คง และย่งั ยืน ตามวสิ ยั ทัศน์รฐั บาลเปน็ รปู แบบที่มีการผลักดนั การปฏริ ปู โครงสร้างเศรษฐกจิ การปฏริ ปู การ วจิ ยั และการพฒั นา และการปฏริ ปู การศกึ ษาไปพรอ้ มกนั เปน็ การผนกึ กำ� ลงั ของทกุ ภาคสว่ นภายใตแ้ นวคดิ ประชารัฐ ท่ีผนึกก�ำลังกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนาและบุคลากรท้ังในและระดับโลก ประเทศไทย 4.0 เปน็ การสร้างสรรคน์ วตั กรรมส่งิ ใหม่ๆ ในการพฒั นาอย่างยัง่ ยืน โดยอยูบ่ นหลกั ปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยการนำ� เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เขา้ มาใช้ (สดุ ปฐพี เวยี งส.ี สบื คน้ เมอื่ 25 สงิ หาคม 2559, จาก http://www.sudpatapee .com) ปจั จบุ นั นเ้ี ทคโนโลยสี ารสนเทศไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทอยา่ งแพรห่ ลายในทกุ องคก์ ร รวมทงั้ มกี ารพฒั นา ส่ือการเรยี นการสอน ทางดา้ นการศึกษา มกี ารคน้ คว้าและพัฒนาสื่อการเรยี นการสอนท่เี รยี กว่า ความจรงิ เสริม (Augmented Reality) ท่ีสามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาคู่มือ ท�ำให้ผู้เรียนหรือผู้ใช้งานได้ สมั ผัสประสบการณใ์ หม่ในมิติทีเ่ สมือนจรงิ Augmented Reality หรือ AR เป็นเทคโนโลยีทีผ่ สานเอาโลก แหง่ ความจรงิ (Reality) และความเสมือนจริง (Virtual) เขา้ ดว้ ยกนั โดยผา่ นวัสดตุ ่าง ๆ เช่น Webcam, Computer, Pattern, Software และอปุ กรณอ์ นื่ ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ซงึ่ ภาพเสมอื นจรงิ นนั้ จะแสดงผา่ นหนา้ จอ คอมพิวเตอร์ มอนิเตอร์ โปรเจคเตอร์ หรือโทรศพั ทม์ ือถอื ในปจั จุบนั โดยภาพท่ปี รากฏข้นึ จะมีปฏิสมั พันธ์ กบั ผู้ใช้งานได้ทนั ทอี าจมีลักษณะท่ีเป็นภาพนิง่ ภาพ 3 มิติ ภาพเคล่อื นไหว และรวมถงึ ภาพเคลอ่ื นไหวที่ มเี สยี งประกอบ (ไพฑูรย์ ศรฟี ้า, 2556, น.1) นอกจากนย้ี ังพบว่ามไี ดม้ ีการพัฒนาและประยกุ ตเ์ ทคโนโลยี Augmented Reality หรอื AR ในหลากหลายเนอื้ หาวชิ า ทำ� ให้ผใู้ ช้งานไดเ้ ห็นภาพนงิ่ จากหนงั สือกลาย เปน็ ภาพเคลือ่ นไหวท่มี ที ั้งภาพและเสียง ดงั เช่น งานวิจยั ของสุพจน์ พว่ งศริ ิ (2559, น.3) ได้พฒั นาค่มู ือ ความจริงเสรมิ เรือ่ ง การใช้เครอื่ งวดั ปริมาณไขมนั ในรา่ งกาย ผลการวิจัยพบวา่ สอื่ และเนือ้ หามีคุณภาพ อยู่ในระดับดีมาก ผู้เรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญท่ี ระดับ .05 และผูเ้ รียนมีความพึงพอใจต่อคมู่ อื ความจรงิ เสริมอยใู่ นระดับมาก งานวจิ ัยของวิพงษช์ ัย ร้อง ขันแก้ว (2562, น.55) ได้พัฒนาคมู่ ือความจรงิ เสมอื น เรอ่ื งโปรแกรมนันทนาการส�ำหรับครสิ ตจักร พบวา่ คุณภาพของคู่มือความจริงเสมือนด้านเน้ือหาโดยรวมอยู่ในระดับดีมากและด้านสื่อโดยรวมอยู่ในระดับดี ประสิทธิภาพของคู่มือความจริงเสมือนเรื่องโปรแกรมนันทนาการส�ำหรับคริสตจักร มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ท่ีก�ำหนด 80/80 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจากคู่มือความจริงเสมือนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ความพึงพอใจต่อคู่มือความจริงเสมือน โดยรวมอยู่ในระดับ มาก และงานวิจยั ของ ปภาณนิ สนิ โน (2558, น.86) ไดพ้ ัฒนาชดุ การสอนความเป็นจริงเสริม เรือ่ ง ชนิด พรรณไม้ สำ� หรับนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 พบว่า ชุดการสอนความเป็นจรงิ เสริม เรอื่ ง การศึกษา ชนดิ พรรณไม้ ส�ำหรับนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 มีประสิทธิภาพสูงกวา่ เกณฑท์ ่กี �ำหนด 80/80 ส่วน ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 และระดบั ความพงึ พอใจของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 ต่อชดุ การสอนความเป็นจริงเสรมิ เร่อื งชนิดพรรณไม้อยู่ในระดบั มากทสี่ ดุ ซงึ่ จะเหน็ ไดว้ า่ การใชส้ อื่ ความเปน็ จรงิ เสรมิ (Augmented Reality) จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรสู้ กึ แปลกใหมแ่ ละเกดิ ความนา่ สนใจจากการลงมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองและดว้ ยความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยที �ำให้ เทคโนโลยีความเปน็ จริงเสรมิ มปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ และอปุ กรณท์ ใี่ ช้กบั เทคโนโลยี ความเป็นจริงเสรมิ เช่น คอมพวิ เตอรแ์ บบพกพา โทรศัพท์มือถอื ทมี่ ขี นาดเล็กกะทัดรดั จึงมีแนวโนม้ ใน 78 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ ปที ี่ 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

การน�ำเทคโนโลยคี วามเป็นจริงเสริมมาใชใ้ นการเรยี นรมู้ ากย่ิงข้ึน (Kangdon Lee, 2012, pp.13-21) ซ่งึ สอดคลอ้ งกับธานินทร์ อนิ ทรวิเศษ (2560, น.114-115) การใชส้ ือ่ เทคโนโลยีเสมอื นจริง (Augmented Reality : AR) เป็นการน�ำระบบเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนมาผนวกกับเทคโนโลยีภาพเพื่อสร้างส่ิง ที่เสมือนจริงให้กับผู้ใช้งานโดยท่ีสื่อเสมือนจริงน้ันจะอยู่ในรูปของข้อความ เสียง รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอ ทำ� ให้ผู้ใชง้ านเห็นภาพเสมือนจรงิ ร่วมกบั การเรียนรู้ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเรียนร้ไู ดด้ ีขึ้นและจดจำ� ไดด้ ีขึน้ การพฒั นาแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ เปน็ การพฒั นาสอื่ การเรยี น รู้ ให้ทันสมัยและผ้เู รียนสามารถนำ� ไปใช้ไดจ้ รงิ เขา้ ใจง่าย ศึกษาแล้วเห็นภาพไดอ้ ยา่ งชดั เจน และสามารถ นำ� ไปปฏบิ ตั ไิ ดเ้ พราะการปฏบิ ตั บิ างกจิ กรรมไมส่ ามารถอธบิ ายไดด้ ว้ ยตวั หนงั สอื เพยี งอยา่ งเดยี ว จงึ มคี วาม จำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งพฒั นาใหค้ มู่ อื หรอื หนงั สอื สามารถแสดงภาพเสมอื นประกอบเนอื้ หาทเ่ี ปน็ ตวั หนงั สอื ไมว่ า่ จะเปน็ ภาพน่งิ ภาพเคล่ือนไหวและวดิ ีโอ โดยจะเปน็ ลักษณะการใช้งานผา่ นระบบ AR Code น�ำเสนอผ่าน แอปพลิเคชัน V-Player ซึง่ สามารถใชง้ านไดท้ ั้งในระบบปฏบิ ตั ิการ IOS และ Android โดยการประยกุ ต์ การใชง้ านผา่ นโทรศพั ทม์ อื ถอื ทง้ั นใี้ นฐานะผวู้ จิ ยั ทเี่ ปน็ นกั วชิ าการโสตทศั นศกึ ษาและปฏบิ ตั งิ านอยทู่ างดา้ น โสตทศั นูปกรณ์ของห้องประชุมและหอ้ งเรยี นโดยตรงท�ำใหไ้ ดท้ ราบถงึ ปญั หาและอปุ สรรคท่ีเกดิ ข้ึนจริงใน การใช้งานโสตทศั นปู กรณ์ พบว่าบคุ ลากรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั สงขลา ส่วนมากไม่ คนุ้ เคยกบั อปุ กรณโ์ สตทศั นปู กรณใ์ นหอ้ งเรยี น ซงึ่ ทางมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ไดม้ ี การจดั หาและปรบั ปรงุ โสตทศั นปู กรณใ์ หม้ คี วามทนั สมยั และมคี วามกา้ วหนา้ อยตู่ ลอดเวลา จงึ อาจทำ� ใหเ้ กดิ เป็นปัญหาและอปุ สรรคในการใช้งานอปุ กรณ์โสตทศั นปู กรณ์ และจากการสมั ภาษณบ์ คุ ลากรที่ใชง้ านโสต ทัศนปู กรณข์ องมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ส่วนใหญ่พบวา่ ไมส่ ามารถใช้งานอุปกรณ์ โสตทศั นูปกรณป์ ระจำ� ห้องเรียนได้ ประกอบกับยังไม่มคี ่มู ือการใชง้ านโสตทัศนูปกรณป์ ระจำ� หอ้ งเรียน จากปญั หาดงั กลา่ วผวู้ จิ ยั จงึ ไดพ้ ฒั นาแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา เพ่ือให้บุคลากรมีความรู้เก่ียวกับการ ใช้งานอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ประจ�ำห้องเรียน โดยการน�ำเอาส่ือมัลติมีเดียที่มีทั้งภาพและเสียงการใช้ โสตทัศนูปกรณ์ แล้วน�ำส่ือมัลติมีเดียไปใช้งานผ่านโปรแกรมออนไลน์ Vidinoti ซึ่งจะประกอบไปด้วย (V-Director) เป็นตวั สรา้ งสำ� หรบั ผู้พัฒนาส่อื และ (V-Player) เป็นตัวอ่านส�ำหรบั ผใู้ ช้งาน โดยผู้ใช้งานจะ ต้องใช้อุปกรณ์ Smartphone หรือ Tablet ทมี่ กี ลอ้ งถา่ ยภาพพร้อมเชอื่ มต่อระบบอินเตอร์เนต็ และติดตง้ั แอปพลเิ คชัน (V-Player) แล้วเปิดใช้งาน โดยการน�ำไปส่องท่รี ูปภาพอปุ กรณโ์ สตทศั นูปกรณใ์ นเลม่ คมู่ ือ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณฯ์ แลว้ จะแสดงขอ้ มลู ในรปู แบบวดิ โี อขน้ั ตอน การใชง้ านอปุ กรณโ์ สตทศั นปู กรณเ์ บอื้ งตน้ ดว้ ยคณุ สมบตั ขิ องแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การ ใช้โสตทัศนูปกรณ์ฯ เปน็ เทคโนโลยีสมยั ใหมท่ ม่ี สี ะดวกในการใชง้ านและทนั สมยั ใหม่กบั ยคุ ปัจจบุ ัน วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1. เพ่ือสร้างและหาประสิทธิภาพแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ สำ� หรบั บุคลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ัยสงขลา ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ 80/80 2. เพื่อศึกษาผลการใช้งานแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับ บุคลากรมหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา 3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรที่มีต่อแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนปู กรณ์ ส�ำหรบั บุคลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ยั สงขลา วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ 79 ปที ี่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

สมมติฐานของการวิจยั 1. แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา มปี ระสิทธิภาพ 80/80 2. ผลการใช้งานแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ของบุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา มีความรู้เก่ียวกับการใช้งานโสตทัศนูปกรณ์คะแนนหลัง ใช้งานสงู กว่ากอ่ นใช้งาน 3. บคุ ลากรมคี วามพงึ พอใจตอ่ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บุคลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชัยสงขลา อยใู่ นระดับมาก (=3.51) กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ตัวแปรตาม ตวั แปรต้น ประสทิ ธภิ าพของแอปพลิเคชันความ เป็นจรงิ เสรมิ ในคู่มือการใช้โสตทศั นูปกรณ์ แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือ ผลการใชง้ านแอปพลิเคชนั ความ การใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากร เป็นจริงเสรมิ ในคู่มอื การใช้โสตทศั นปู กรณ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรี ความพงึ พอใจต่อแอปพลิเคชันความ วิชยั สงขลา เปน็ จริงเสรมิ ในคมู่ ือการใช้โสตทศั นูปกรณ์ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย วิธกี ารด�ำเนนิ การวจิ ยั ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1. ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ บุคลากรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ปกี ารศึกษา 2562 จำ� นวน 689 คน 2. กล่มุ ตัวอยา่ งทใ่ี ช้ในการวิจัย โดยแบง่ ออกเป็น 2 กล่มุ คอื 2.1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพ ได้แก่ บุคลากรส�ำนักงานอธิการบดี กองกลาง ส�ำนักงานนิติการ ส�ำนักส่งเสริมและงานวิชาการทะเบียน คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลย ี คณะศิลปศาสตร์ คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ และคณะบริหารธุรกจิ ของมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล ศรวี ชิ ยั สงขลา ซงึ่ ไดม้ าจากวธิ กี ารเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจงโดยวธิ กี ารอาสาสมคั รและบคุ ลากรทตี่ อ้ ง ใชง้ านอปุ กรณ์โสตทัศนปู กรณ์ จ�ำนวน 39 คน 80 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในศึกษาผลการใช้งานและความพึงพอใจ ซ่ึงได้มาจากวิธีการเลือกกลุ่ม ตวั อยา่ งแบบเจาะจง ไดแ้ ก่ บคุ ลากรคณะบรหิ ารธรุ กจิ ของมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา โดยวธิ ีการอาสาสมัครและบคุ ลากรทต่ี ้องใช้งานอุปกรณ์โสตทศั นปู กรณ์ จำ� นวน 30 คน เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย 1. แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัย เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชยั สงขลา 2. แบบประเมนิ คณุ ภาพของแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา โดยผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นเนอ้ื หาและผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นสอื่ 3. แบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรกู้ ารใชง้ านโสตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยี ราชมงคลศรวี ชิ ัยสงขลา เปน็ แบบเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จำ� นวน 20 ข้อ เป็นแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ กอ่ นใช้งานและหลังใช้งาน 4. แบบสอถามความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ สำ� หรับบคุ ลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชยั สงขลา การสรา้ งและพฒั นาเครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการวิจัย 1. การสร้างและพัฒนาแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับ บุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ทั้งน้ีผู้วิจัยได้น�ำข้ันตอนในการพัฒนาได้น�ำหลัก การออกแบบและพฒั นาส่อื อยา่ งมีระบบตามหลักการของ (ADDIE Model) ของสมจติ จันทรฉ์ าย (2557, น.11) ซึง่ ประกอบดว้ ยกจิ กรรม 5 ข้ันตอนดังน้ี 1.1 ขนั้ การวิเคราะห์ (Analyze) ผู้วิจัยศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลท่เี กย่ี วกับดา้ นโสตทศั นปู กรณ์ ของคณะบริหารธรุ กิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชยั สงขลา โดยการวเิ คราะห์ปัญหา อุปกรณ์ ผู้ใชง้ าน และสัมภาษณส์ อบถามข้อมลู เพือ่ ใหผ้ ูว้ ิจัยได้ทราบถึงคุณลกั ษณะของผ้ใู ช้งาน รวมทัง้ วิเคราะห์ อปุ กรณโ์ สตทศั นปู กรณท์ ปี่ ระจำ� หอ้ งเรยี นโดยกำ� หนดเนอื้ หาและจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ของเนอ้ื หาในแตล่ ะ หนว่ ยของแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณฯ์ แลว้ นำ� ขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าประยกุ ตใ์ ช้ กบั แอปพลเิ คชันความเปน็ จรงิ เสรมิ 1.2 ขน้ั การออกแบบ (Design) น�ำขอ้ มูลที่ไดจ้ ากข้นั ตอนการวิเคราะห์มาออกแบบเนอ้ื หาและ ส่ือมัลติมีเดีย โดยให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อน�ำมาพัฒนาแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ รวมไปถงึ ขนั้ ตอนการออกแบบแผนผงั งาน (Flowchart) และออกแบบสตอรบี่ อรด์ (Storyboard) ซง่ึ หลกั การใชง้ านจะเปน็ การออกแบบนำ� เสนอความรใู้ นลกั ษณะทเ่ี ปน็ ภาพวดิ โี อของจรงิ เสรมิ จากคมู่ อื ธรรมดา จะ ช่วยให้ผเู้ รยี นในเนื้อหาดงั กลา่ วมีประสิทธภิ าพ เกิดการส่งเสรมิ การเรียนรู้ใหม้ ีความชดั เจนมากยงิ่ ข้นึ 1.3 ข้ันการพัฒนา (Development) ด�ำเนินการสร้างและพัฒนาแอปพลิเคชันความเป็นจริง เสริมในคมู่ อื การใชโ้ สตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ัยสงขลา ตาม ข้ันตอนท่ีผู้วิจัยได้ออกแบบไว้ตามสตอร่ีบอร์ด (Story Board) และแผนผังงาน (Flowchart) ที่จัดท�ำ ไว้ปรับปรุงแก้ไขการใช้งาน พร้อมกับพัฒนาเล่มคู่มือ แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ท่ีพัฒนาเรียบร้อยแล้วให้ ผู้เช่ียวชาญประเมินด้านเนื้อหาและด้านส่ือ เพื่อท�ำการประเมินคุณภาพของแอปพลิเคชันความเป็นจริง เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณฯ์ ผลการประเมนิ อยใู่ นระดบั มคี ณุ ภาพดมี าก ( =4.87, S.D.=0.21) แลว้ ทำ� การทดลองหาประสทิ ธภิ าพสอ่ื 3 ครงั้ คอื การหาประสทิ ธภิ าพแบบเดย่ี ว (1:1) มคี า่ เทา่ กบั 78.68/78.35 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ 81 ปีที่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

การหาประสทิ ธภิ าพแบบกลมุ่ (1:10) มคี า่ เทา่ กบั 82.24/80.55 และหาประสทิ ธภิ าพภาคสนาม (1:100) มี คา่ เทา่ กบั 84.44/82.40 ตามแนวคิดของ (ชยั ยงค ์ พรหมวงศ์, 2556, น.11-12) เพือ่ ทดสอบประสทิ ธภิ าพ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าช มงคลศรีวิชยั สงขลา ใหไ้ ด้ตามเกณฑ์ 80/80 ตามสมมติฐานทต่ี ั้งไว้ 1.4 ขั้นการน�ำไปใช้ (Implement) น�ำแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ทผี่ า่ นการประเมนิ ดา้ นเนอ้ื หา และส่ือ จากผเู้ ชี่ยวชาญแลว้ วา่ มีคณุ ภาพอยู่ในเกณฑ์ และผลการหาค่าประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตรงตามสมมตฐิ านทต่ี งั้ ไว้ นำ� ไปใชท้ ดลองกลบั กลมุ่ ตวั อยา่ งจำ� นวน 30 คน ทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาผลการ ใชง้ านโดยการทดสอบกอ่ นใช้งานและหลังใชง้ าน พร้อมท้ังศกึ ษาความพงึ พอใจ 1.5 ขน้ั การประเมนิ ผล (Evaluation) ในข้ันตอนนเ้ี ปน็ ข้ันตอนท่ีผู้วจิ ยั ไดน้ �ำผลการทดสอบกอ่ น ใชง้ านและหลงั ใชง้ าน และผลของการศกึ ษาความพงึ พอใจจากแบบสอบถามความพงึ พอใจตอ่ แอพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลามาประเมินผลและปรบั ปรงุ่ แก้ไข ซง่ึ จะไดเ้ ลม่ คมู่ อื แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ัยสงขลา ดงั ภาพที่ 2 ภาพที่ 2 ตัวอยา่ งเล่มคมู่ ือ แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มอื การใช้โสตทัศนปู กรณ์ ส�ำหรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชยั สงขลา 2. การสรา้ งแบบประเมนิ คณุ ภาพของแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชัยสงขลา มีขัน้ ตอนดงั นี้ 2.1 ศกึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เพอื่ ใชใ้ นการสรา้ งแบบประเมนิ กำ� หนดรปู แบบของแบบ ประเมนิ พร้อมรวบรวมข้อมลู 2.2 กำ� หนดรปู แบบของแบบประเมนิ สำ� หรบั เปน็ แนวทางในการสรา้ งแบบประเมนิ ทส่ี ามารถให้ ผลลพั ธข์ องการประเมนิ เปน็ ไปตามความตอ้ งการ โดยแบง่ ออกเปน็ แบบประเมนิ ดา้ นเนอ้ื หาและดา้ นสอื่ มี ลกั ษณะเปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เปน็ 5 ระดับ 82 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ปที ี่ 20 ฉบบั ท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

2.4 นำ� แบบประเมนิ ไปให้อาจารย์ทีป่ รึกษาวิทยานพิ นธ์ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง และด�ำเนนิ การ ปรับปรุงแก้ไขแบบประเมินตามค�ำแนะน�ำ แล้วขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ตรวจสอบความ เหมาะสมและหาค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบประเมนิ คุณภาพดา้ นเน้อื หาและดา้ นส่ือ โดยนำ� คะแนนของแบบประเมนิ แต่ละข้อของผเู้ ชยี่ วชาญทงั้ หมดมาหาคา่ เฉลี่ยเพื่อพจิ ารณาดัชนีความสอดคล้อง โดยเลอื กข้อสอบที่มคี ่าเฉลีย่ ต้งั แต่ 0.50 ข้นึ ไป 2.5 จัดพิมพ์แบบประเมินคุณภาพส่ือแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา หลังจากปรับปรุงแก้ไข เรียบรอ้ ยแล้วนำ� ไปใชใ้ นการประเมนิ คุณภาพส่ือ 3. การสร้างแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนปู กรณ์ สำ� หรับบุคลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา มลี ำ� ดับการสร้างดังน้ี 3.1 ศึกษาเอกสารทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลการเรยี นรู้ 3.2 สรา้ งตารางวิเคราะหห์ ลกั สูตร เพอ่ื กำ� หนดจ�ำนวนขอ้ คำ� ถามให้ครอบคลุมเน้ือหาการเรียนรู้ 3.3 สรา้ งแบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้ การใช้งานโสตทัศนปู กรณส์ ำ� หรับบคุ ลากรมหาวิทยาลัย เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา เป็นแบบเลอื กตอบชนดิ 4 ตวั เลอื ก ออกแบบทดสอบทง้ั หมด 40 ขอ้ โดยนำ� ไปใชง้ านจรงิ จ�ำนวน 20 ขอ้ เป็นแบบทดสอบวัดผลการเรียนรูก้ อ่ นใชง้ านและหลงั ใช้งาน 3.4 น�ำแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึนเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสมในส่วนของโครงสร้าง เนื้อหา ภาษาท่ีใช้ แล้วปรับปรุงแก้ไขข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา แลว้ ขอความอนเุ คราะหผ์ เู้ ช่ยี วชาญจ�ำนวน 3 คน ประเมนิ ความสอดคลอ้ งของจุดประสงค์การเรยี นรู้ มา หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยน�ำผลรวมของคะแนนของข้อสอบแต่ละข้อของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด มาหาคา่ เฉล่ียเพือ่ พิจารณาดัชนคี วามสอดคลอ้ ง โดยเลอื กข้อสอบทม่ี ีคา่ เฉลี่ยตั้งแต่ 0.50 ข้นึ ไป 3.5 นำ� แบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรู้ ทผี่ เู้ ชย่ี วชาญพจิ ารณาเหน็ วา่ สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคก์ าร เรียนรู้ ไปทดลองใช้กบั กลุ่มตัวอย่างจำ� นวน 20 คน น�ำคะแนนมาวเิ คราะหห์ าคา่ ความยากง่าย ค่าอำ� นาจ จ�ำแนก และคา่ ความเชื่อมน่ั 3.6 หาค่าความยากงา่ ย (p) โดยคัดเลือกข้อสอบที่มคี า่ ความยากงา่ ย (p) ต้งั แต่ 0.20-0.80 และ หาค่าอำ� นาจจ�ำแนก (r) พิจารณาแบบทดสอบวดั ผลการเรียนรเู้ ปรยี บเทยี บกบั เกณฑ์โดยหาคา่ (r) ที่มีค่า ไม่ต่�ำกว่า 0.20 ข้นึ ไป 3.7 น�ำแบบทดสอบวดั ผลการเรียนรไู้ ปหาคา่ ความเชอ่ื ม่ัน (Reliability) โดยใชส้ ตู ร KR-20 ผล การวเิ คราะหค์ ่าความเช่ือมน่ั ของแบบทดสอบวัดผลการเรยี นรูก้ ่อนใชง้ านกับหลงั ใชง้ าน มีค่าเท่ากับ 0.72 3.8 น�ำแบบทดสอบวัดผลการเรยี นร้ทู ี่ผ่านเกณฑก์ ารวิเคราะห์แล้ว จำ� นวน 20 ข้อ เพื่อน�ำไปใช้ กับกลมุ่ ตัวอยา่ งในการทดลองวจิ ยั โดยเปน็ แบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้ก่อนใชง้ านและหลังใช้งาน 4. การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทศั นูปกรณ์ สำ� หรบั บุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ยั สงขลา โดยมวี ธิ กี ารสรา้ งดงั นี้ 4.1 ศกึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพอื่ ใชใ้ นการสรา้ งแบบสอบถามความพงึ พอใจการใชง้ าน ของผู้ใช้งานแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ัยสงขลา 4.2 ออกแบบและสรา้ งแบบสอบถาม โดยเปน็ แบบวดั ความพงึ พอใจของผใู้ ชง้ านซงึ่ แบบสอบถาม มี 3 ดา้ น ประกอบดว้ ยด้านเนอ้ื หา ดา้ นส่อื และดา้ นการใช้งาน ขอ้ คำ� ถามเป็นแบบคำ� ถามปลายปดิ ซึง่ เปน็ แบบสอบถามแบบมารตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) เป็น 5 ระดับ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ 83 ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

4.3 น�ำแบบสอบถามความพงึ พอใจไปใหอ้ าจารย์ท่ปี รึกษาวิทยานิพนธ์ ตรวจสอบความถูกต้อง และใหค้ ำ� แนะนำ� ในการปรับเปล่ียนขอ้ ความใหส้ อดคล้องกับคำ� ถาม และด�ำเนินการปรับปรงุ แกไ้ ขตามค�ำ แนะน�ำ 4.4 ขอความอนเุ คราะห์ผ้เู ชี่ยวชาญ 3 คน ตรวจสอบหาความสอดคลอ้ งของค�ำถาม โดยหาคา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) แลว้ นำ� ผลรวมของคะแนนแบบสอบถามความพงึ พอใจแตล่ ะขอ้ ของผเู้ ชยี่ วชาญ ทัง้ หมดมาหาค่าเฉลย่ี เพ่ือพิจารณาดชั นีความสอดคล้อง โดยเลอื กขอ้ คำ� ถามทม่ี คี า่ เฉล่ยี ตัง้ แต่ 0.50 ขน้ึ ไป 4.5 น�ำแบบสอบถามความพึงพอใจที่คัดเลือกไว้ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาหา ประสิทธิภาพ เพื่อหาค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) ของแบบสอบถามความพึงพอใจทั้งฉบับ โดยใช้สูตร สมั ประสทิ ธอ์ิ ลั ฟา (Alpha-Coefficient) ตามวธิ กี ารของครอนบาค ผลทไ่ี ดค้ อื แบบสอบถามความพงึ พอใจ ต่อแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคูม่ อื การใช้โสตทศั นูปกรณ์ สำ� หรับบุคลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัยสงขลา มคี า่ ความเชอ่ื มั่นเทา่ กบั 0.87 4.6 จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจที่ผ่านการปรับปรุงและแก้ไขเรียบร้อยแล้วเพ่ือน�ำไป ใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ัยสงขลา วิธกี ารดำ� เนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. ผวู้ จิ ยั ตดิ ตอ่ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ เพอื่ ขอหนงั สอื ขอความอนเุ คราะหไ์ ปยงั คณบดี คณะบรหิ ารธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ในการขอความรว่ มมอื ในการเกบ็ ขอ้ มลู งานวิจยั 2. การทดลองหาประสิทธิภาพส่ือแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา จะต้องให้ผู้เช่ียวชาญประเมินคุณภาพ ส่ือในด้านเน้ือหาและด้านส่ือก่อนท่ีจะหาประสิทธิภาพสื่อ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้แต่ละครั้งจะไม่ซ้�ำ กนั และกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใช้ในการหาประสิทธภิ าพสือ่ จะไมซ่ ้�ำกบั กลุม่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการศกึ ษาผลการใชง้ าน และศึกษาความพึงพอใจ โดยการเลอื กกลมุ่ อยา่ งแบบเจาะจงโดยวิธีการอาสาสมคั รและบุคลากรทจี่ ะตอ้ ง ใชง้ านอปุ กรณ์โสตทศั นปู กรณ์ 3. ทดลองหาประสิทธิภาพแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับ บุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา โดยทดลอง 3 คร้ังดังน้ี 3.1) การทดลองหา ประสิทธิภาพแบบเดี่ยว (1:1) จำ� นวน 3 คน 3.2) การทดลองหาประสทิ ธภิ าพแบบกล่มุ (1:10) จำ� นวน 9 คน 3.3) การทดลองหาประสทิ ธิภาพภาคสนาม (1:100) จำ� นวน 27 คน 4. ตรวจสอบปญั หาและขอ้ บกพรอ่ งตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ พรอ้ มกบั การปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหแ้ อปพลเิ คชนั ความ เปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพไมต่ �่ำกวา่ เกณฑ์ 80/80 เพ่อื นำ� ไปใช้ในการด�ำเนนิ การทดลอง 5. การศึกษาความร้เู กย่ี วกบั แอปพลเิ คชนั ความเป็นจรงิ เสรมิ ในคู่มือการใช้โสตทัศนปู กรณ์ สำ� หรบั บุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชยั สงขลา โดยเลือกใชก้ ลมุ่ ตัวอยา่ งแบบเจาะจงโดยวิธีการ อาสาสมคั รและบุคลากรทีจ่ ะต้องใชง้ านอปุ กรณโ์ สตทัศนปู กรณ์ จากบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลศรีวชิ ยั สงขลา จ�ำนวน 30 คน ส�ำหรับใชใ้ นศกึ ษาผลการใช้งานและศึกษาความพงึ พอใจ 6. ผู้วิจัยต้องด�ำเนินการทดลองโดยการให้บุคลากร 1 คน ต่อหน่ึงโมบายดีไวซ์และเล่มคู่มือ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าช มงคลศรวี ิชยั สงขลา พรอ้ มอธบิ ายขัน้ ตอนการใช้งานใหบ้ ุคลากรทราบ 84 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ปที ่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

7. การวัดผลการใช้งานโดยใช้แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ก่อนและหลัง โดยผ่านระบบ Google Forms ในการเก็บข้อมูลก่อนใช้งานและหลังใช้งานแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทศั นูปกรณ์ สำ� หรบั บุคลากรมหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ิชัยสงขลา 8. ให้บุคลากรท�ำแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้ โสตทัศนปู กรณ์ สำ� หรับบุคลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชยั สงขลา หลงั จากการใชง้ าน 9. ทำ� การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและน�ำผลคะแนนที่ได้มาวเิ คราะหค์ า่ ทางสถติ ติ อ่ ไป ซึ่งในการใช้งานแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวิชัยสงขลา แสดงดังภาพที่ 3 ภาพที่ 3 การใช้งานแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ ือการใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ ส�ำหรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ยั สงขลา การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถติ ิที่ใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล การวเิ คราะห์ขอ้ มูลในการวิจัยครง้ั นี้ ผวู้ ิจัยไดใ้ ช้การวิเคราะหข์ ้อมลู เป็นดงั นี้ 1. สถิตทิ ีใ่ ช้ในการหาคณุ ภาพเครอ่ื งมอื 1.1 วเิ คราะหค์ วามเทยี่ งตรงเชงิ เนอ้ื หา โดยการหาคา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง IOC (Index of Item Objective Congruence) ของแบบประเมินคุณภาพสือ่ แบบทดสอบวัดความรกู้ ่อนใชง้ านกบั หลังใช้งาน และแบบสอบถามความพงึ พอใจของแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ิชัยสงขลา 1.2 วเิ คราะห์หาค่าความยากงา่ ย (p) และค่าอำ� นาจจ�ำแนก (r) ของแบบทดสอบรายข้อ และหา คา่ ความเชอื่ มนั่ ของแบบทดสอบวดั ความรู้ โดยใชส้ ตู รของคเู ดอรแ์ ละรชิ ารด์ สนั (Kuder and Richardson) สตู ร KR-20 (บุญชม ศรสี ะอาด, 2556, น.103-104) 1.3 วเิ คราะหห์ าคา่ ความเชอื่ มนั่ (Reliability) โดยหาตามวธิ ขี องครอนบาค (Cronbach) ใชส้ ตู ร สมั ประสิทธ์ิแอลฟา ( -Coefficient) ของแบบประเมนิ คุณภาพสื่อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าช มงคลศรีวชิ ยั สงขลา วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ 85 ปีท่ี 20 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

1.4 วิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 โดยใช้เทคนิคการทดลองหาประสิทธภิ าพ E1/E2 (ชัยยงค์ พรหมวงศ,์ 2556, น.10) 2. สถิติทใี่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล 2.1 วิเคราะหห์ าคณุ ภาพแอปพลิเคชนั ความเป็นจริงเสริมในคู่มอื การใช้โสตทัศนปู กรณ์ ส�ำหรับ บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา โดยหาคา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน จาก แบบประเมินคุณภาพผู้เช่ยี วชาญ 2.2 วเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บความรขู้ องบคุ ลากรกอ่ นใชง้ านกบั หลงั ใชง้ าน แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา โดย หาค่าเฉล่ยี สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบคา่ ทีแบบไมเ่ ปน็ อสิ ระตอ่ กัน (t-test Dependent) 2.3 วเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจทม่ี ตี อ่ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ัยสงขลา โดยหาคา่ เฉลย่ี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน รอ้ ยละ และเปรยี บเทยี บคา่ เฉลย่ี ความพงึ พอใจทรี่ ะดบั มาก ( =3.51) ดว้ ยการทดสอบคา่ ทแี บบกลมุ่ เดยี ว (One sample t-test) สรปุ ผลผลการวิจยั การพัฒนาแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวชิ ัยสงขลา สรปุ ผลการวจิ ัย ดงั น้ี 1. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ผลจากการประเมินคุณภาพ จาก ผู้เช่ยี วชาญด้านเนอื้ หาและด้านส่ือ แอปพลิเคชนั ความเป็นจริงเสริมในค่มู อื การใชโ้ สตทศั นูปกรณ์ ส�ำหรับ บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา มคี ณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดมี าก ( =4.87, S.D.=0.21) แล้วน�ำมาหาประสิทธิภาพภาคสนามโดยใช้สูตร E1/E2 เพ่ือตอบสมมติฐานของการวิจัย ซึ่งผลท่ีได้มีค่า ประสทิ ธิภาพ 84.44/82.40 ดังตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 ผลการทดลองหาประสิทธภิ าพภาคสนาม ของแอปพลิเคชนั ความเป็นจริงเสรมิ ในคู่มอื การใช้ โสตทศั นปู กรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ัยสงขลา ผใู้ ชง้ าน แบบทดสอบระหว่าง E1 แบบทดสอบ E2 ประสิทธิภาพ (n) การใชง้ าน 84.44 หลงั การใชง้ าน (E1/E2) 27 (25 คะแนน) (20 คะแนน) 21.11 82.40 84.44/82.40 16.48 จากตารางท่ี 1 ปรากฏผลว่าการเรียนรู้ด้วยแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ผลการทดลองหาประสทิ ธภิ าพ ภาคสนามได้ค่าประสิทธิภาพ 84.44/82.40 ซง่ึ สูงกว่าเกณฑท์ กี่ ำ� หนด 80/80 สอดคลอ้ งกับสมมตฐิ านที่ ก�ำหนดไว้ 86 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

2. การเปรียบเทียบความรู้ก่อนใช้งานและหลังใช้งานด้วยแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือ การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ ของบคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ปรากฏผลดงั ตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 ผลการวเิ คราะหก์ ารเปรยี บเทยี บความรกู้ อ่ นใชง้ านและหลงั ใชง้ านดว้ ยแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา คะแนนแบบทดสอบ n กลุ่มทดลอง วัดความรู้ S.D. ΣD ΣD2 t Sig. ก่อนใชง้ าน 30 10.27 2.60 162 1020 13.218 .00** หลงั ใช้งาน 30 15.67 2.06 จากตารางท่ี 2 ผลการวเิ คราะหก์ ารเปรยี บเทยี บความรเู้ กยี่ วการใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากร มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ด้วยการทดสอบคา่ t กรณีกลุม่ ตวั อยา่ งทไ่ี ม่อิสระจากกัน พบว่า กล่มุ ตัวอย่างท่ีใชง้ านแอปพลเิ คชันความเปน็ จริงเสรมิ ในคูม่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณฯ์ หลังจากเรียน รกู้ ารใชง้ านดว้ ยแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณฯ์ มคี วามรสู้ งู กวา่ กอ่ นการใช้ งานอยา่ งมีนัยสำ� คัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ตรงตามสมมตฐิ านท่ีผวู้ ิจัยไดต้ ้งั ไว้ 3. ระดับความพึงพอใจของบุคลากรท่ีมีต่อ แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนปู กรณ์ สำ� หรับบคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ยั สงขลาดังตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของบุคลากรที่มีต่อ แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือ การใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ที่ ระดบั มาก ( =3.51) หัวข้อ กลุ่มทดลอง n S.D. t ระดบั ความพึงพอใจของบคุ ลากร ทม่ี ีต่อแอปพลเิ คชนั 30 4.54 0.53 10.62** ความเปน็ จรงิ เสริมในคมู่ ือการใชโ้ สตทัศนปู กรณฯ์ จากตารางที่ 3 แสดงให้เหน็ ถงึ ระดบั ความพงึ พอใจของบุคลากรทม่ี ีต่อ แอปพลิเคชันความเปน็ จริง เสรมิ ในคมู่ ือการใชโ้ สตทศั นูปกรณ์ สำ� หรับบคุ ลากรมหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ัยสงขลา เฉลยี่ อยใู่ นระดบั 4.54 ซงึ่ อยใู่ นระดบั พงึ พอใจมากทส่ี ดุ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ตรงตามสมมตฐิ าน ท่ผี ้วู ิจัยได้ต้ังไว้ วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 87 ปีที่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

อภปิ รายผล การพัฒนาแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ผู้วิจัยขอน�ำเสนอการอภิปรายผล ตามวัตถุประสงค์ของ การวิจยั ดงั น้ี 1. แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัย เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา มปี ระสทิ ธภิ าพ 84.44/82.40 หมายความวา่ ผลการใชง้ านแอปพลเิ คชนั ความเป็นจรงิ เสริมในคมู่ อื การใชโ้ สตทัศนปู กรณฯ์ บคุ ลากรทำ� แบบทดสอบระหวา่ งใช้งานได้คะแนนเฉลย่ี 21.11 จากคะแนนเตม็ 25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.44 และทำ� แบบทดสอบหลงั ใชง้ านไดค้ ะแนนเฉล่ีย 16.48 จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละ 82.40 แสดงว่าแอปพลเิ คชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือ การใช้โสตทัศนปู กรณ์ สำ� หรับบุคลากรมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา มีประสิทธิภาพสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ซึ่งสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานทางการวิจยั ทตี่ ัง้ ไว้ ทัง้ นเ้ี น่อื งจากขน้ั ตอนในการพฒั นา ได้ นำ� หลกั การออกแบบและพัฒนาสือ่ อยา่ งมีระบบตามหลกั การของ (ADDIE Model) ของสมจติ จนั ทร์ฉาย (2557, น.11) ซง่ึ ประกอบดว้ ยกจิ กรรมในการด�ำเนินงาน 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) ข้ันการวิเคราะห์ (Analyze) ผวู้ จิ ยั ศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วกบั ดา้ นโสตทศั นปู กรณ์ ของมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา โดยการวเิ คราะหป์ ญั หา อุปกรณ์ ผ้ใู ช้งาน และสมั ภาษณส์ อบถามข้อมูล เพื่อให้ผูว้ จิ ัยไดท้ ราบถึง คณุ ลกั ษณะของผใู้ ชง้ าน รวมทง้ั วเิ คราะหอ์ ปุ กรณโ์ สตทศั นปู กรณท์ ป่ี ระจำ� หอ้ งเรยี น โดยกำ� หนดเนอื้ หาและ จุดประสงค์การเรียนรู้ 2) ข้นั การออกแบบ (Design) นำ� ขอ้ มลู ท่ไี ดจ้ ากข้นั ตอนการวเิ คราะห์มาออกแบบ เนอ้ื หาและสอื่ มลั ตมิ เี ดยี โดยใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ เพอ่ื นำ� มาพฒั นาแบบทดสอบวดั ความ รู้ รวมไปถงึ ขน้ั ตอนการออกแบบสอ่ื ความเปน็ จรงิ เสรมิ และรปู แบบการใชง้ าน ซงึ่ เปน็ การออกแบบนำ� เสนอ ความรู้ในลักษณะที่เปน็ ภาพวดิ ีโอของจรงิ เสริมจากเลม่ คู่มือธรรมดา จะช่วยใหผ้ ้เู รียนในเนอ้ื หาดังกล่าวมี ประสิทธิภาพ เกดิ การส่งเสริมการเรียนรู้ให้มคี วามชดั เจนมากยงิ่ ข้ึน 3) ขัน้ การพัฒนา (Development) ดำ� เนนิ การสรา้ งและพฒั นาแอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ตามขน้ั ตอนทผี่ วู้ จิ ยั ไดอ้ อกแบบไวต้ ามสตอรบี่ อรด์ (Story Board) ทจี่ ดั ทำ� ไวป้ รบั ปรงุ แกไ้ ขการใชง้ าน พรอ้ มกบั พฒั นาเลม่ คมู่ อื แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา พฒั นาเรยี บรอ้ ยแลว้ ให้ผ้เู ช่ยี วชาญประเมินด้านเน้ือหาและด้านสอ่ื เพือ่ ท�ำการประเมนิ คุณภาพของ แอพลิเคชนั ความเป็นจริง เสรมิ ในคู่มือการใช้โสตทัศนปู กรณ์ฯ ผลการประเมนิ อยใู่ นระดบั มคี ณุ ภาพดีมาก (=4.87, S.D.=0.21) แลว้ ทำ� การทดลองหาประสทิ ธภิ าพสอ่ื 3 ครง้ั คอื การหาประสทิ ธภิ าพแบบเดยี่ ว (1:1) มคี า่ เทา่ กบั 78.68/78.35 การหาประสทิ ธภิ าพแบบกลมุ่ (1:10) มคี า่ เทา่ กบั 82.24/80.55 และหาประสทิ ธภิ าพภาคสนาม (1:100) มี ค่าเท่ากับ 84.44/82.40 ตามแนวคิดของ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2556, น.11-12) เพอ่ื ทดสอบประสิทธภิ าพ แอพลเิ คชนั ความเป็นจรงิ เสรมิ ในคูม่ อื การใช้โสตทศั นปู กรณ์ สำ� หรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลศรีวชิ ยั สงขลา ใหไ้ ด้ตามเกณฑ์ 80/80 ตามสมมตฐิ านทีต่ ้ังไว้ 4) ข้นั การน�ำไปใช้ (Implement) น�ำ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าช มงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ทผี่ า่ นการประเมนิ ดา้ นเนอื้ หาและสอื่ จากผเู้ ชย่ี วชาญแลว้ วา่ มคี ณุ ภาพอยใู่ นเกณฑ์ และ ผลการหาคา่ ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ตรงตามสมมตฐิ านทต่ี งั้ ไว้ นำ� ไปใชท้ ดลองกลบั กลมุ่ ตวั อยา่ งจำ� นวน 30 คน ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาผลการใชง้ านโดยการทดสอบกอ่ นใชง้ านและหลงั ใชง้ าน และศกึ ษา 88 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ความพึงพอใจ 5) ข้นั การประเมนิ ผล (Evaluation) ในข้นั ตอนนี้เป็นขนั้ ตอนท่ีผูว้ ิจัยได้น�ำผลการทดสอบ กอ่ นใชง้ านและหลงั ใชง้ าน และผลของศกึ ษาความพงึ พอใจจากแบบประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ แอพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา มาประเมินผลและปรบั ปร่งุ แกไ้ ข จากข้ันตอนการพัฒนาส่ือแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ฯ ตามรูป แบบของ ADDIE Model นนั้ สง่ ผลใหแ้ อปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา สามารถน�ำไปใช้สำ� หรับการเรยี นร้ไู ดจ้ ริง อย่างมี ประสิทธิภาพ ซง่ึ สอดคล้องกบั งานวิจยั ของสุพจน์ พ่วงศิริ (2559, น.83-84) ที่ศกึ ษาการพฒั นาคมู่ อื ความ จรงิ เสรมิ เรอื่ ง การใชเ้ ครอ่ื งวัดปริมาณไขมนั ในร่างกาย ส�ำหรับนสิ ติ สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ช้นั ปีที่ 1 คณะพลศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ท่ไี ดน้ �ำรปู แบบของ ADDIE Model มาเป็นหลักการใน การสรา้ งคู่มอื ความเป็นจริงเสรมิ คณุ ภาพด้านส่ือโดยรวมอยูใ่ นระดบั ดีมาก มีคา่ เฉลย่ี เท่ากับ 4.92 และ ในการหาประสิทธภิ าพสอื่ ผูว้ จิ ัยได้น�ำหลักการทดสอบประสิทธิภาพสอ่ื หรือชุดการสอนของ ศ.ดร.ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ มาใช้ในการหาประสิทธิภาพพบวา่ ประสิทธิภาพของค่มู อื ความจรงิ เสริม เร่อื ง การใช้เครื่องวัด ปริมาณไขมันในร่างกาย สำ� หรบั นิสติ สาขาวชิ าสาธารณสุขศาสตร์ ช้นั ปที ่ี 1 คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัย ศรนี ครินทรวโิ รฒ ท่ีผวู้ จิ ัยสร้างขึ้นมีประสทิ ธิภาพเท่ากบั 81/82 ซง่ึ มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ทกี่ �ำหนดคือ 80/80 และสอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของวพิ งษช์ ยั รอ้ งขันแก้ว (2563, น.62) ทศ่ี กึ ษาการพฒั นาค่มู ือความ จริงเสมือนเร่ืองโปรแกรมนันทนาการส�ำหรับคริสตจักร ผลการหาประสิทธิภาพคู่มือความจริงเสมือน ใน การทดลองครง้ั ที่ 1 ซึง่ เปน็ การประเมินและตรวจสอบคณุ ภาพคู่มอื ความจรงิ เสมือน เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ ดยี ่งิ ข้ึน ผลการทดลองคร้งั ท่ี 2 คูม่ ือความจรงิ เสมือน มปี ระสทิ ธภิ าพ (E1/E2) 83.20/85.40 และในการ ทดลองครง้ั ท่ี 3 มปี ระสทิ ธภิ าพ (E1/E2) 84.30/88.50 สรปุ ไดว้ า่ คมู่ อื ความจรงิ เสมอื นมปี ระสทิ ธภิ าพตาม เกณฑ์ทีก่ �ำหนด 80/80 สอดคล้องกบั สมมตฐิ านท่ีต้ังไว้ 2. การทดสอบวัดความรู้เก่ียวกับการใช้งานโสตทัศนูปกรณ์ ก่อนและหลังการใช้งานด้วย แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลศรีวิชัยสงขลา หลังจากเรียนรู้การใช้งานด้วยแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสต ทัศนูปกรณฯ์ มีความร้สู งู กว่ากอ่ นใช้งาน อยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .01 เป็นผลมาจากสอื่ ความเปน็ จริงเสริมที่พัฒนาน้ัน เป็นเทคโนโลยีท่ีความเป็นจริงเสริมเป็นตัวขยายช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถเข้าใจและ จดจำ� เนอ้ื หาการใชง้ านโสตทศั นปู กรณ์ โดยท ี่ โนโยดมและวองวอสกติ (Noyudom & Wongwatkit, 2018, pp.132-180) กล่าวว่า ส่ือการสอนท่ีมีเนื้อหาประกอบด้วย ภาพน่ิงวิดีโอหรือภาพเคล่ือนไหว ประกอบ กบั ตัวอักษรที่ชัดเจน มเี สียงประกอบจะเปน็ การกระตุน้ ความสนใจของผ้เู รียน ใหเ้ กดิ ความสนใจใคร่รู้ ใน เร่ืองน่ันรวมถึงสามารถทวนซำ�้ ได้ตามความตอ้ งการ จนเกดิ ความม่ันใจและเกดิ ทกั ษะเมอ่ื น�ำไปปฏิบตั ิ ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ัยของสพุ จน์ พ่วงศิริ (2559, น.85) ทศ่ี กึ ษาการพัฒนาคมู่ อื ความจรงิ เสริม เร่ือง การ ใช้เคร่ืองวัดปริมาณไขมันในร่างกาย ส�ำหรับนิสิตสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ช้ันปีท่ี 1 คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 12.10 มีคะแนนค่าเฉลย่ี หลังเรียนเท่ากบั 18.37 การวิเคราะห์ t-test ระหวา่ งกอ่ นเรยี นและหลังเรียน มี ความแตกตา่ งอยา่ งมีนยั สำ� คัญทางสถิติทร่ี ะดับ 0.05 สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของเฟลค็ และไซมอน (Fleck & Simon, 2013) ได้ศกึ ษาสภาพแวดล้อมเสมอื นจรงิ ในการเรียนรดู้ าราศาสตรข์ องนักเรียนระดับประถม ศกึ ษารว่ มกบั กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ผลปรากฏวา่ การเรยี นทงั้ สองแบบ นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธสิ์ งู กวา่ วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 89 ปที ่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิ ทงั้ นยี้ งั พบวา่ เทคโนโลยเี สมอื นจรงิ ชว่ ยเพม่ิ ปฏสิ มั พนั ธ์ ในการรบั รขู้ อง ผ้เู รยี น ทำ� ให้ผ้เู รยี นลดความซับซ้อนในการสร้างความเขา้ ใจทางวทิ ยาศาสตร์ และสภาพแวดล้อมจากการ เรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีเสมือนจริงนี้ และยังช่วยให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ความเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง อีกดว้ ย สอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของวพิ งษ์ชัย ร้องขันแกว้ (2563, น.55) ทีศ่ ึกษาการพัฒนาคูม่ อื ความจริง เสมอื นเรอื่ งโปรแกรมนนั ทนาการสำ� หรบั ครสิ ตจกั ร พบวา่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นจากคมู่ อื ความจรงิ เสมอื น หลังเรียนมีค่าเฉล่ียสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และยังสอดคล้องกับงานวิจัย ของปภาณนิ สินโน (2558, น.87) ทศี่ ึกษาชดุ การสอนความเปน็ จริงเสริม เร่อื ง การศกึ ษาชนิดพรรณไม้ ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิเคราะห์คะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า ผ้เู รยี นมีคะแนนหลังเรียนสงู่ กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั 0.05 แสดงวา่ ผเู้ รียนเกดิ การ เรยี นรูห้ ลงั เรยี นเพมิ่ ข้ึนมากกวา่ ก่อนเรยี น 3. ความพงึ พอใจของบุคลากรทม่ี ีตอ่ แอปพลิเคชันความเป็นจรงิ เสรมิ ในคมู่ ือการใชโ้ สตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของ บคุ ลากร ทีม่ ีต่อแอปพลิเคชนั ความเปน็ จริงเสริมในคู่มือการใชโ้ สตทัศนูปกรณ์ฯ อยใู่ นระดับพงึ พอใจมาก ทสี่ ดุ ( =4.54, S.D.=0.53) อย่างมีนยั ส�ำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01 ตรงตามสมมตฐิ านท่ีต้งั ไว้ โดยพบว่า บคุ ลากรมคี วามพงึ พอใจในดา้ น ขนาดรปู เล่มค่มู อื มคี วามเหมาะสม เฉลีย่ อยใู่ นระดับ 4.73 รองลงมา ภาพ ประกอบเน้ือหามีความชัดเจนเหมาะสม, ส่ือมคี วามเหมาะสมในการนำ� ไปใชง้ าน, สามารถนำ� คมู่ อื ไปใช้ใน การปฏบิ ตั ิได้จรงิ เฉล่ยี อยใู่ นระดบั 4.63 และอธบิ ายเน้อื หาชดั เจนเขา้ ใจง่าย, คณุ ภาพของสอ่ื มัลติมีเดียมี ความชัดเจน, สามารถมองเห็นภาพและจินตนาการตามเนื้อหาที่เรียนได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง, ท�ำให้ สามารถน�ำความรูไ้ ปปฏิบตั ไิ ด้รวดเรว็ มากยงิ่ ขน้ึ เฉลี่ยอยใู่ นระดบั 4.57 ผลการวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับ งานวิจัยของสุพจน์ พ่วงศิริ (2559, น.85) ท่ีศึกษาการพัฒนาคู่มือความจริงเสริม เรื่อง การใช้เครื่องวัด ปรมิ าณไขมนั ในรา่ งกาย สำ� หรบั นสิ ติ สาขาวชิ าสาธารณสุขศาสตร์ ช้นั ปที ี่ 1 คณะพลศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ พบว่าโดยภาพรวมผเู้ รยี นมีระดับความพึงพอใจอยใู่ นระดับมาก มีค่าเฉล่ียเท่ากบั 4.47 ค่า S.D. เท่ากับ 0.52 ด้านสื่อมีความพึงพอใจมากท่ีสุด ค�ำอธิบายการใช้ส่ือได้อย่างชัดเจน รูปแบบสื่อ สวยงามนา่ ใช้ ส่ือชิน้ นม้ี ีความแปลกใหม่ นา่ สนใจ ผู้เรียนสามารถเรยี นร้ไู ด้อยา่ งสนุกสนาน การใชง้ านงา่ ย และสะดวกต่อการเรียนรู้ ส่ือมีความเหมาะสมในการน�ำไปใช้ในการเรียนการสอนและส่ือมีความทันสมัย มคี ่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 คา่ S.D. เทา่ กบั 0.50 ตามลำ� ดบั สอดคล้องกบั งานวจิ ัยของศกั ดนิ นท์ พ่มุ พฤกษ์ (2559, น.102) ท่ีศึกษาการพัฒนาหนังสือความจริงเสริม วิชา การกระจายเสียงและแพร่ภาพส�ำหรับ นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย พบว่า ระดับความพึงพอใจอยู่ ในระดับมากทส่ี ุด มีคา่ เฉลย่ี เทา่ กบั 4.63 ค่า S.D. เท่ากบั 0.48 โดยภาพรวมผู้เรียนมรี ะดบั ความพงึ พอใจ อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด และยังสอดคล้องกับงานวจิ ัยของปภาณิน สินโน (2558, น.87) ท่ีศึกษาชดุ การสอน ความเป็นจรงิ เสริม เรื่อง การศึกษาชนดิ พรรณไม้ ส�ำหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 พบวา่ โดยภาพ รวมผ้เู รียนมรี ะดบั ความพึงพอใจ อย่ใู นเกณฑ์พึงพอใจระดบั มากทสี่ ดุ สรปุ ไดว้ า่ แอปพลเิ คชนั ความเปน็ จรงิ เสรมิ ในคมู่ อื การใชโ้ สตทศั นปู กรณ์ สำ� หรบั บคุ ลากรมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั สงขลา ทพ่ี ฒั นาขนึ้ มาในครง้ั น้ี มคี ณุ ภาพตามเกณฑท์ ก่ี ำ� หนดไวแ้ ละสามารถนำ� ไปใช้งานไดจ้ ริง 90 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ ปีที่ 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะในการน�ำผลการวิจยั ไปใช้ประโยชน์ 1. เนื่องจากคุณสมบัติของแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับ บุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ช่วยให้บุคลากรได้พบประสบการณ์ใหม่ในการ เรียนรู้และสามารถน�ำสื่อความเป็นจริงเสริมไปประยุกต์สร้างเครื่องมือทางด้านการศึกษา เพ่ือสนับสนุน ให้เกิดการเรียนรู้แบบใหม่ ที่เหมาะสมกับในยุคสมัยปัจจุบันแมีประโยชน์ต่ออาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างมาก และเหมาะสมสำ� หรบั เปน็ ส่ือการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 2. การใช้งานแอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ควรอยู่ในพื้นที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ ความเรว็ ในการ Download 10 Mbps และ Upload 3 Mbps ขึน้ ไป หรือเชอ่ื มต่อสัญญาณ Wi-Fi จะ ได้การแสดงผลท่มี ปี ระสิทธิภาพ 3. สามารถน�ำข้อมูลไปท�ำแผ่นพับ แอปพลิเคชันความเป็นจริงเสริมในคู่มือการใช้โสตทัศนูปกรณ์ ส�ำหรับบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา ติดตั้งไว้ในห้องเรียนเพ่ือท�ำให้เกิดความ ชดั เจนและเข้าใจง่าย เหมาะสมกับการใชง้ านจริง ข้อเสนอแนะในการทำ� วิจัยตอ่ ไป 1. เทคโนโลยีความเป็นจรงิ เสริมจะเขา้ มามีบทบาทเพิ่มมากข้ึน ควรมีการศกึ ษาและพฒั นาความรู้ รูปแบบเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมเสมือนในเนื้อหาอ่ืนๆ ที่ใกล้เคียงกันหรือบูรณาการร่วมกับรูปแบบ สอื่ ประเภทอน่ื ๆ เพ่ือสง่ เสริมการเรยี นรู้ที่หลากหลายมากข้ึน 2. การศึกษาครั้งนีใ้ ชโ้ ปรแกรมออนไลนข์ อง Vidinoti ซึง่ หากมีการน�ำไปใช้งานจรงิ จ�ำนวนมาก ๆ อาจ จะตอ้ งมคี ่าใช้จ่ายดงั นัน้ ในการศึกษาครั้งต่อไปควรศึกษาโปรแกรมทม่ี ีความเหมาะสมในการใชง้ าน วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ 91 ปีท่ี 20 ฉบับท่ี 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

บรรณานกุ รม ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ (2556). การทดสอบประสทิ ธภิ าพสอ่ื หรอื ชดุ การสอน. วารสารศลิ ปากรศกึ ษาศาสตร์ วิจัย, 5(1), 7-20. ธานนิ ทร์ อนิ ทรวเิ ศษ. (2560). การพฒั นาสอ่ื เสมอื นจรงิ เรอ่ื ง แหลง่ เรยี นรลู้ มุ่ นำ้� คลองทา่ แนะ จงั หวดั พทั ลงุ ตามแนวคดิ เมนทอลโมเดล (วิทยานพิ นธ์การศึกษามหาบัณฑติ ). สงขลา: มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ. นติ ิศกั ด์ิ เจรญิ รปู . (2560). “การประยกุ ต์ใช้ความเป็นจริงเสริมเพ่อื นำ� เสนอข้อมลู แหล่งทอ่ งเที่ยว : กรณี ศกึ ษาวัดพระแก้ว จังหวดั เชียงราย.” วารสารวทิ ยาการจัดการสมัยใหม่, 10(1), 13-30. บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2556). วธิ กี ารทางสถติ สิ ำ� หรบั การวจิ ยั เลม่ 1 (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 5). กรงุ เทพฯ: สวุ รี ยิ าสาสน์ . ปภาณนิ สินโน. (2558). ชุดการสอนความเป็นจรงิ เสรมิ เรื่อง การศึกษาชนดิ พรรณไม้ ส�ำหรับนกั เรียน ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 (วิทยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต). ปทมุ ธานี: มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี. ไพฑูยร์ ศรีฟ้า. (2556). เรื่อง แนวคิดในการการผลิตส่ือความจริงเสมอื น (Augmented Reality). เอกสาร ประกอบการบรรยาย, กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. วพิ งษช์ ยั รอ้ งขนั แกว้ . (2563). การพฒั นาคมู่ อื ความจรงิ เสมอื น เรอ่ื ง โปรแกรมนนั ทนาการสำ� หรบั ครสิ ตจกั ร. วารสารมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธนบรุ ,ี 14(2), 55-65. ศกั ดนิ นท์ พมุ่ พฤกษ.์ (2559). การพฒั นาหนงั สอื ความจรงิ เสรมิ วชิ า การกระจายเสยี งและแพรภ่ าพสำ� หรบั นกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรี คณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อสี เทริ น์ เอเชยี (วทิ ยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตร มหาบัณฑติ ). ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุร.ี สมจติ จันทร์ฉาย. (2557). การออกแบบและพฒั นาการเรียนการสอน. นครปฐม: เพชรเกษมพร้ินติ้ง. สมนึก ภัททิยธนี. (2551). การวดั ผลการศึกษา (พมิ พค์ รงั้ ที่ 5). กาฬสนิ ธ:์ุ ประสานการพมิ พ.์ สพุ จน์ พว่ งศริ .ิ (2559). การพฒั นาคมู่ อื ความจรงิ เสรมิ เรอ่ื ง การใชเ้ ครอ่ื งวดั ปรมิ าณไขมนั ในรา่ งกาย สำ� หรบั นิสิตสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ชั้นปีท่ี 1 คณะพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (วทิ ยานิพนธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑติ ). ปทมุ ธาน:ี มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ .ี สุดปฐพี เวียงส.ี (2559). ประเทศไทย 4.0 โมเดลพัฒนาเศรษฐกจิ ใหม.่ สืบค้นเม่อื 21 สิงหาคม 2559, จาก http://www.sudpatapee.com/index.php/2014-08-15-15-18-27/item/176-4-0 Fleck, S. & Simon, G. (2013). “An Augmented Reality Environment for Astronomy Learning in Elementary Grades: An Exploratory Study”. Proceeding IHM ‘13 Proceedings of the 25th Conference on l’Interaction Homme-Machine. Retrieved August 25, 2017, from https:// www.researchgate.net/publication/258518453 Juan, C., Beatrice, F. & Cano, J. (2008). An Augmented Reality System for learning the interior of Human Body. ICALT ‘08 Proceedings of the 2008 Eighth IEEE International Conference on Advanced Learning Technologies (p. 186-188). Retrieved August 11, 2017, from https://ieeexplore.ieee.org/stamp/stamp.jsp?tp=&arnumber=4561662. Kangdon Lee. (2012). Augmented Reality in Education and Training. TechTrends, 56 (2), 13–21. Noyudom, A. & Wongwatkit, C. (2018). Effectiveness of interactive mobile application instruction on students’knowledge on eye cleaning. Journal of nursing health care, 36(2), 132-180. 92 วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ ปีที่ 20 ฉบบั ที่ 2 เดอื น กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563

การวิเคราะหค์ วามรสู้ ำ� คญั สำ� หรบั การสร้างหลักสูตรความเป็นเลศิ ด้านวิทยาศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน An Analysis of Essential Fundamental Information for Constructing Basic Education Curriculum for Science Excellence Received : 2019-01-29 Revised : 2020-02-07 Accepted : 2020-07-01 ผู้วจิ ัย พูนสขุ อุดม1 Poonsuk Udom1 [email protected] สมจติ ร อดุ ม2 Somchit Udom2 บทคัดยอ่ การศึกษานี้เป็นส่วนหน่ึงของงานวิจัยเรื่อง การสร้างและพัฒนาหลักสูตรความเป็นเลิศด้าน วิทยาศาสตร์ (แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ต้ังแต่ระดับอนุบาลศึกษาไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพอื่ บม่ เพาะผเู้ รยี นใหม้ คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร)์ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ วเิ คราะหอ์ งคค์ วามรทู้ จี่ ำ� เปน็ ใน สรา้ งหลกั สตู รความเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตรส์ ำ� หรบั นกั เรยี นระดบั การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน (ชนั้ ประถมศกึ ษา ปที ี่ 1 – ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6) เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากการวเิ คราะหแ์ นวคดิ และทฤษฎจี ากเอกสาร ตำ� ราและ งานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั การพฒั นาหลกั สตู รความเป็นเลิศดา้ นวทิ ยาศาสตร์ การสมั ภาษณ์ และการสนทนา กลุ่ม ซงึ่ มีผใู้ ห้ข้อมลู พนื้ ฐานรวม 33 คน ไดแ้ ก่ ผทู้ รงคุณวฒุ ดิ า้ นการจัดการศึกษาวทิ ยาศาสตร์ 10 คน ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา 5 คน ครูผู้สอนวทิ ยาศาสตร์ 18 คน เคร่ืองมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ แบบบันทกึ ภาคสนาม วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยการวเิ คราะห์เชิงเนอ้ื หา ผลการศกึ ษาพบวา่ ขอ้ มลู พน้ื ฐานสำ� หรบั การพฒั นาหลกั สตู รความเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ประกอบดว้ ย 1) คณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี นทม่ี คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร ์ คอื การ มเี มตาคอกนชิ ่นั (Metacognition) การมจี ติ วทิ ยาศาสตร์ และมคี วามสามารถดา้ นทกั ษะการคิด 2) การ จัดหลกั สูตรและการเรียนการสอน หลกั สูตรควรเป็นแบบไม่เนน้ เน้อื หา เนน้ กระบวนการคดิ ที่ให้นกั เรยี น ได้ลงมือปฏิบัติจริง และเรียนรู้ด้วยตนเอง 3) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ควรเป็นการวัดประเมิน กระบวนการคดิ และทกั ษะปฏบิ ตั ิ 4) บทบาทครแู ละผบู้ รหิ ารในการจดั การศกึ ษาใหก้ บั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวิทยาศาสตร์ ครู : ต้องมีความแม่นย�ำในเนื้อหา มคี วามมั่นใจในการสอน เข้าใจธรรมชาตินักเรียน ออกแบบกจิ กรรมทท่ี า้ ทายและใหผ้ เู้ รยี นไดฝ้ กึ กระบวนการคดิ /การลงมอื ปฏบิ ตั ิ ผบู้ รหิ าร:ตอ้ งเปน็ ผบู้ รหิ าร เชงิ วชิ าการ สง่ เสรมิ การพฒั นาครแู ละสนบั สนนุ การจดั กจิ กรรมทเี่ หมาะสมใหก้ บั นกั เรยี นทมี่ คี วามสามารถ พิเศษด้านวทิ ยาศาสตร์ คำ� สำ� คญั : หลกั สตู รความเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร,์ คณุ ลกั ษณะผเู้ รยี นทมี่ คี วามเปน็ เลศิ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ 1 รองศาสตราจารย์ ดร. สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ Associate Prof. Dr. Department of Curriculum and Instruction, Faculty of Education, Thaksin University 2 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. หลกั สตู รประกาศนยี บตั รบณั ฑิต สาขาวชิ าชพี ครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ Assitant Professor Dr. Graduate Diploma Program in Teaching Profession, Faculty of Education, Thaksin University วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 93 ปที ่ี 20 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Abstract This study was a part of research entitled “The Construction and Development of Curriculum for Science Excellence (Science Programs from Kindergarten toward Upper Secondary Levels for Cultivating Learners’ Science Excellence)”. It was aimed at analyzing necessary knowledge exploring fundamental information needed for constructing basic educational science excellence curriculum (Primary grade 1 to Secondary grade 6). Data were collected by an analysis of concepts, and theories reviewed from documents, texts, and researches relevant to the construction of basic educational science excellence curriculum. In addition, interviews and a focus group were undertaken with 33 informants comprising 10 experts in science education management, 5 school administrators, and 18 science teachers. Instrument for data collection was field-notes form. Data were analyzed using content analysis. It was found from the study that fundamental information needed for constructing basic educational science excellence curriculum consisted of, 1) learners’ attributes pertaining to science excellence including meta-cognition, scientific mind, and thinking abilities, 2) curriculum and instruction preparation which should not be content-based, but rather focused on thinking process allowing learners to have hand-on experience and autonomous leaning opportunity, 3) learning measurement and evaluation which should be based on an observation of thinking process and practicing skills, and 4) roles of teachers and administrators regarding educational management for students with science excellence. This involved teachers with content accuracy, instruction confidence, understanding of learners’ nature, capability of learning activity design that could challenge learners’ thinking and practices. At the same time, administrators should be academic-based with full support of teacher development and learning activity management appropriate to students with science excellence. Keywords : curriculum for science excellence, students with science excellence’s attributes 94 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ ปีที่ 20 ฉบับท่ี 2 เดือน กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563