การคดิ เชงิ สมานฉันทข์ องนักศกึ ษาในพ้นื ท่ีจังหวัดชายแดนใต้ 321 จริ ะวฒั น์ ตันสกลุ และคณะ คลี่คลายปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวได้ คือ การศึกษา (Siamwalla, 2007) ควบคู่กับแนวทาง “สมานฉันท์ (Reconciliation)” เพื่อเป็นทางเลือกในการแสวงหาข้อยุติความขัดแย้งโดยสันติ (Promphakping & Sirithorn, 2005) กลไกทางการศกึ ษาสามารถขบั เคลอ่ื นเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสมานฉนั ทใ์ นสงั คมภายใตค้ วามขดั แยง้ ไดด้ ว้ ยการจดั การเรยี นการสอนควบคกู่ บั วถิ ชี วี ติ ทเ่ี ดก็ เรยี นรู้ ใหส้ ทิ ธคิ วามเสมอภาคกบั ทกุ คน สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การยอมรบั ในคณุ คา่ วฒั นธรรมของตนเองและผอู้ นื่ เหน็ ไดจ้ ากหลายประเทศทผี่ า่ นสถานการณ์ ปญั หาความขดั แยง้ มาไดด้ ว้ ยดี โดยใชก้ ลไกทางการศกึ ษาเพอื่ ปลกู ฝงั และปอ้ งกนั ความขดั แยง้ ในสงั คม ระยะยาวใหก้ บั เดก็ และเยาวชนของตน เชน่ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประเทศเกาหลใี ต้ ไดม้ กี ารสอดแทรก เนอื้ หาสาระตา่ ง ๆ ไวใ้ นหลกั สตู รตงั้ แตร่ ะดบั อนบุ าลถงึ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เพอื่ ปรบั เปลย่ี นทศั นคติ ความเช่ือในการแกป้ ัญหาโดยไมใ่ ช้ความรนุ แรง (Chareonwongsak, 2008) การสร้างความสมานฉันท์อย่างยั่งยืนจ�ำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนการศึกษาในระบบโดยการ สอดแทรกเนอื้ หาเก่ียวกับการสง่ เสรมิ แนวคิดสมานฉันท์ การสนทนาแลกเปลีย่ นอย่างสรา้ งสรรค์ และ การปรับเปลีย่ นวธิ คี ดิ เป็นตน้ เพอ่ื ใหบ้ คุ คลในสงั คมสามารถเผชญิ กบั ความขัดแยง้ รา้ ยแรงท่ีจะเกิดข้ึน ในอนาคต (Satha-Anand, 2005; Jitmoud, 2006) สอดคลอ้ งกับแนวคิดของ Wustenberg (2009) ทก่ี ลา่ ววา่ ความหวงั ในการสรา้ งความสมานฉนั ทใ์ นสงั คมภายใตค้ วามขดั แยง้ เปน็ ไปไดย้ าก หากมนษุ ย์ ไม่เปล่ียนกระบวนทัศน์สู่แนวคิดท่ีมุ่งให้มนุษย์อยู่ร่วมกันกับสรรพส่ิงด้วยความสงบ ดังนั้น เราจ�ำเป็น ตอ้ งฝึกฝนวธิ ีคิด วิธกี ารเชื่อมโยง และทำ� ความเขา้ ใจกบั ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลของปัญหา จงึ จะสามารถ แก้ปญั หาความขัดแยง้ อยา่ งย่งั ยนื ได้ หรือเรยี กอกี อยา่ งวา่ “ความคดิ เชิงสมานฉันท์ (Reconciliation Thinking)” การคิดเชิงสมานฉันท์ หมายถึง กระบวนการทางสมองในการจัดกระทำ� กับข้อมูลหรือสิ่งเร้า ท่ีมากระตุ้นท่ีมีจุดมุ่งหมายเฉพาะ โดยการพิจารณาไตร่ตรองอย่างมีเหตุมีผลต่อข้อเท็จจริงหรือ สภาพการณต์ า่ ง ๆ จากขอ้ มลู หรอื หลกั ฐานอยา่ งพนิ จิ พจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ เพอ่ื ประกอบการตดั สนิ ใจ หรอื หาทางเลอื ก หรอื แกป้ ญั หา หรอื เชอื่ ในเหตกุ ารณใ์ ดเหตกุ ารณห์ นง่ึ หรอื สถานการณใ์ ดสถานการณห์ นงึ่ อยา่ งพนิ จิ พิเคราะห์บนพ้นื ฐานความถกู ต้องและชอบธรรม (Rascha, 2013) ส�ำหรบั ลกั ษณะของคนท่ี มีความคิดเชิงสมานฉันท์ ประกอบด้วย 1) ต้ังค�ำถามและหาแนวทางในการแก้ปัญหาได้อย่างสมเหตุ สมผล 2) เสาะแสวงหาขอ้ เทจ็ จริงได้ด้วยตนเองอยา่ งสมเหตุสมผล 3) เคารพความคิดท่แี ตกต่างของ กนั และกนั 4) เผชิญสถานการณ์จรงิ ได้อย่างเข้มแขง็ 5) เข้าใจสถานการณจ์ รงิ เปน็ อยา่ งดี 6) ปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์จริงได้อย่างเหมาะสม 7) แก้ปัญหาหรือสถานการณ์จริงได้ถูกต้องเหมาะสม 8) การเห็นแก่ประโยชนส์ าธารณะมากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นบคุ คล 9) การตระหนกั ในหนา้ ทขี่ องพลเมอื ง ที่มีต่อส่วนรวม 10) การตระหนักและแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และ 11) การเคารพสิทธิ์ ในการแสดงความคิดเหน็ ของผู้อืน่ องคป์ ระกอบของการคดิ สมานฉนั ท์ มี 3 องคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1) การพจิ ารณาไตรต่ รองอยา่ งมเี หตุ มผี ล เปน็ ความสามารถของกระบวนการทางสมอง (Cognitive Process) ทส่ี ามารถปรากฏไดใ้ นลกั ษณะ
วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 322 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 การท�ำงานตามเง่ือนไขอย่างเปน็ ระบบ เป็นกระบวนการทซ่ี บั ซ้อนหลายข้นั ตอนบนฐานการคิดอย่างมี วิจารณญาณ ดังน้ัน การท่ีบุคคลจะมีความสามารถในการพิจารณาไตร่ตรองอย่างมีเหตุมีผลได้นั้น จำ� เปน็ ตอ้ งได้รับการพฒั นาการคิดขน้ั สูง คอื การคิดอย่างมวี จิ ารณญาณ (Critical Thinking) ซึ่งเป็น พนื้ ฐานทส่ี ำ� คญั ของการคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ เพราะฉะนน้ั ในการพฒั นาความสามารถในการคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารพฒั นาการคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณเพอื่ ใหบ้ คุ คลสามารถพจิ ารณาไตรต่ รองอยา่ งมเี หตุ มีผลต่อสถานการณ์หรือปัญหาเป็นอันดับแรก (Samanpan 2006; Facione & Facione, 1998) 2) การแกป้ ญั หาอยา่ งพนิ จิ พเิ คราะห์ เปน็ ความสามารถในการแกป้ ญั หา หรอื คลคี่ ลายสถานการณต์ า่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งถือได้ว่าการคิดแก้ปัญหา (Problem Solving Thinking) เป็นพ้ืนฐานท่ีส�ำคัญของการแก้ปัญหาอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะการคิดแก้ปัญหาเป็นส่ิงส�ำคัญต่อ วิถีการด�ำเนินชีวิตในสงั คมของมนษุ ย์ ซง่ึ จะตอ้ งใชก้ ารคดิ เพอ่ื แกป้ ญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ ตลอดเวลา ทกั ษะและ กระบวนการคิดแก้ปัญหาเป็นทักษะท่ีเก่ียวข้องและมีประโยชน์ต่อการด�ำรงชีวิตที่วุ่นวายสับสนได้ เป็นอย่างดี การคิดแกป้ ัญหาสามารถพัฒนาทัศนคติ วธิ ีคดิ ค่านยิ ม ความรู้ ความเขา้ ใจในสภาพการณ์ ของสังคมได้ดอี ีกดว้ ย (Stanish & Eberle, 1997) และ 3) การเลอื กกระทำ� เพ่ือประโยชนส์ ว่ นรวม เปน็ การใชเ้ หตผุ ลในการเลอื กทจี่ ะกระทำ� พฤตกิ รรมใดพฤตกิ รรมหนง่ึ โดยคำ� นงึ ถงึ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน เหตุผลที่กล่าวถึงนี้จะแสดงให้เห็นเหตุจูงใจ หรือแรงจูงใจท่ีอยู่เบื้องหลัง การกระทำ� ตา่ ง ๆ ของบคุ คล เหตผุ ลของการกระทำ� เพอื่ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม จดั เปน็ เหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรม ระดบั สงู และสง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมทพี่ งึ ประสงคม์ ากกวา่ เหตผุ ลของการกระทำ� เพอื่ ประโยชนส์ ว่ นตวั โดย Meekun (2004) ไดอ้ ธิบายวา่ เหตุผลเชงิ จริยธรรมเป็นความมงุ่ หวงั หรอื เจตนาของบุคคลท่ีใชเ้ พอ่ื การ ตดั สนิ ใจเลอื กทจี่ ะกระทำ� หรอื ไมก่ ระทำ� เมอื่ เผชญิ สถานการณข์ ดั แยง้ ทางจรยิ ธรรม อนั เปน็ สถานการณ์ ทเ่ี ปน็ ผลประโยชนห์ รอื โทษตอ่ ตนเอง หรอื เกยี่ วขอ้ งกบั ผลประโยชนห์ รอื โทษตอ่ ผอู้ น่ื ดงั นนั้ การทบ่ี คุ คล จะเลอื กกระทำ� เพอ่ื ประโยชนส์ ว่ นรวม หมายถงึ บคุ คลนนั้ มเี หตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรมอยใู่ นระดบั สงู ตามทฤษฎี พฒั นาการทางจรยิ ธรรมของ Kohlberg (1976) สว่ นปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ ผวู้ จิ ยั ไดส้ งั เคราะหป์ จั จยั จากทฤษฎตี น้ ไมจ้ รยิ ธรรม ของ Bhanthumnavin (1995) และ Pinpradit (2014) เพ่อื อธิบายว่าพฤติกรรมเหล่านน้ั มสี าเหตุ ทางจติ ใจอะไรบา้ ง โดยไดศ้ กึ ษาตวั แปรทศั นคตติ อ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ สขุ ภาพจติ ประสบการณท์ างสงั คม ความใกลช้ ิดศาสนา การสนับสนุนทางสงั คม ลกั ษณะม่งุ อนาคตควบคุมตน การเหน็ คณุ ค่าในตน และ แรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธิ์ ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจศกึ ษาตวั แปรทส่ี ง่ ผลตอ่ การคดิ สมานฉนั ทข์ องนกั ศกึ ษาในพน้ื ท่ี จังหวัดชายแดนใต้ เพราะสว่ นใหญน่ ับถือศาสนาอสิ ลามและเป็นทรพั ยากรสำ� คญั ในการพัฒนาชุมชน และประเทศในอนาคต ท้ังน้ี ยังสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการคิดของผู้เรียนและการ จัดการศึกษาใหม้ ีประสทิ ธิภาพตอ่ ไป วตั ถุประสงค์ เพอื่ ศึกษาปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ของนักศึกษาในพ้นื ทจ่ี ังหวดั ชายแดนใต้
การคดิ เชิงสมานฉันท์ของนกั ศึกษาในพืน้ ทจี่ ังหวดั ชายแดนใต้ 323 จิระวฒั น์ ตันสกุล และคณะ สมมตฐิ าน ทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ สุขภาพจิต ประสบการณ์ทางสังคม ความใกล้ชิดศาสนา การสนับสนุนทางสังคม ลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตน การเห็นคุณค่าในตน และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ สามารถพยากรณก์ ารคิดเชงิ สมานฉันทข์ องนกั ศกึ ษาในพืน้ ท่ีจงั หวัดชายแดนใต้ กรอบแนวคิด ผวู้ จิ ยั ไดส้ งั เคราะหป์ จั จยั จากทฤษฎตี น้ ไมจ้ รยิ ธรรมของ Bhanthumnavin (1995) เพอ่ื อธบิ าย พฤติกรรมเหล่าน้ัน ว่ามีสาเหตุทางจิตใจอะไรบ้าง ทั้งในส่วนของราก ซึ่งประกอบด้วย สติปัญญา ประสบการณท์ างสังคม และสขุ ภาพจติ ส่วนล�ำตน้ ประกอบดว้ ย เหตผุ ลเชิงจริยธรรม มงุ่ อนาคตและ ควบคุมตนเอง ความเช่ืออ�ำนาจในตน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ ทัศนคติ คุณธรรม และค่านิยม ส่วนดอก และผล เปน็ สว่ นของพฤตกิ รรมทแี่ สดงออก และ Pinpradit (2014) ทไี่ ดศ้ กึ ษาเรอื่ ง ดชั นคี วามไวว้ างใจ สงั คมอยา่ งฉลาดของนกั ศกึ ษา ปรญิ ญาตรี มหาวทิ ยาลยั ในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ ไดศ้ กึ ษาตวั แปรทศั นคตติ อ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ สขุ ภาพจติ ประสบการณท์ างสงั คม ความใกลช้ ดิ ศาสนา การสนบั สนุนทางสงั คม ลักษณะมงุ่ อนาคตควบคมุ ตน การเหน็ คุณคา่ ในตน และแรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ ตัวแปรพยากรณ์ 1. ทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ ตวั แปรเกณฑ์ 2. สขุ ภาพจติ การคดิ เชิงสมานฉันท์ 3. ประสบการณท์ างสงั คม 4. ความใกล้ชิดศาสนา 5. การสนบั สนนุ ทางสังคม 6. ลกั ษณะมงุ่ อนาคตควบคมุ ตน 7. การเห็นคณุ ค่าในตน 8. แรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธ์ิ วธิ ีดำ� เนินการวจิ ัย ประชากรและตัวอย่าง ประชากร คอื นกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ จ�ำนวน 7,382 คน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ยะลา จำ� นวน 8,257 คน มหาวทิ ยาลยั นราธิวาสราชนครนิ ทร์ จำ� นวน 3,599 คน รวมจ�ำนวนท้งั หมด 19,238 คน (Prince of Songkla University, 2017; Yala Rajabhat University, 2017; Princess of Naradhiwas University, 2017) ตวั อยา่ งในการวจิ ยั ครง้ั น้ี จำ� นวน 300 คน จำ� แนกเปน็ มหาวทิ ยาลยั ละ 100 คน โดยใชโ้ ปรแกรม G*Power กำ� หนด Effect Size = 0.15, α = 0.05, Power of Test = 0.95, Number of Predictors = 8 (Wiratchai, 2012) และไดส้ มุ่ แบบหลายขน้ั ตอน (Multi-Stage Random Sampling) โดยการสมุ่ แบง่ ชนั้ ตามคณะตามสดั สว่ นทใี่ กลเ้ คยี งกนั และสมุ่ อยา่ งงา่ ยเพอ่ื ใหไ้ ดต้ วั แทนนกั ศกึ ษาตามขนาดตวั อยา่ ง
วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 324 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 เคร่อื งมือในการวจิ ยั มลี กั ษณะดังนี้ ตอนที่ 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไป ไดแ้ ก่ สถานศกึ ษา เพศ ศาสนา ภมู ลิ ำ� เนา และการมสี ว่ นรว่ มในโครงการ พัฒนาเยาวชน ตอนที่ 2 แบบวดั การคดิ เชิงสมานฉันท์ เปน็ มาตราสว่ นประมาณค่า 6 ระดบั จ�ำนวน 60 ขอ้ ผา่ นการพจิ ารณาความตรง (Validity) จากผทู้ รงคณุ วฒุ ิ จำ� นวน 7 ทา่ น มคี า่ ความตรง 0.71-1.00 และ นำ� ไปทดลองเบอ้ื งตน้ (Try Out) จำ� นวน 120 คน ไดค้ า่ อำ� นาจจำ� แนก โดยวธิ ี Item-Total Correlation มีค่า 0.20-0.62 และมีค่าความเที่ยง (Reliability) โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาด้วยวิธีของครอนบาค (Cronbach’s Alpha) เท่ากบั 0.88 ตอนท่ี 3 แบบวัดปจั จยั ท่ีมีผลตอ่ การคดิ เชิงสมานฉันทข์ องผู้เรยี น มีปจั จยั ทเ่ี กี่ยวข้อง จ�ำนวน 8 ปัจจัย คอื ทัศนคติต่อการคิดเชงิ สมานฉนั ท์ สุขภาพจิต ประสบการณท์ างสังคม ความใกลช้ ิดศาสนา การสนับสนุนทางสังคม ลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตน การเห็นคุณค่าในตน และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ เปน็ มาตราสว่ นประมาณค่า 6 ระดับ จ�ำนวน 80 ข้อ ผา่ นการพิจารณาความตรง จากผูท้ รงคุณวุฒิ จ�ำนวน 7 ท่าน มคี ่าความตรง 0.71-1.00 และนำ� ไปทดลองเบ้ืองต้น จำ� นวน 120 คน ได้คา่ อำ� นาจ จ�ำแนก Item-Total Correlation มีค่า 0.30-0.82 และมีค่าความเท่ียง โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา ด้วยวิธีของครอนบาค เทา่ กบั 0.78-0.94 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู คณะผวู้ จิ ยั ขอความรว่ มมอื ไปยงั ผบู้ รหิ ารมหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ยะลา มหาวทิ ยาลยั นราธวิ าสราชนครนิ ทร์ โดยคณะผวู้ จิ ยั ไดเ้ ดนิ ทางไปขอความรว่ มมอื แต่ละมหาวิทยาลัย ทั้งน้ี เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ ชี้แจงการเก็บข้อมูล และการน�ำส่งเคร่ืองมือวิจัยคืน ตามระยะเวลาทก่ี ำ� หนด จากนน้ั ผวู้ จิ ยั นำ� เครอ่ื งมอื วจิ ยั ฉบบั สมบรู ณไ์ ปคดั เลอื ก เพอ่ื นำ� ไปตรวจใหค้ ะแนน และเตรียมข้อมลู เพื่อการวเิ คราะห์ตอ่ ไป การวเิ คราะหข์ ้อมูล วิเคราะหข์ ้อมูลดว้ ยคอมพวิ เตอร์โปรแกรมสำ� เร็จรูป ดงั น้ี 1. วิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ สุขภาพจิต ประสบการณ์ทางสงั คม ความใกลช้ ิดศาสนา การสนบั สนุนทางสงั คม ลกั ษณะมงุ่ อนาคต ควบคมุ ตน การเห็นคุณค่าในตน และแรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิ์ กบั การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ของผูเ้ รียน โดยใช้ การวเิ คราะห์ค่าสัมประสิทธ์สิ หสัมพนั ธอ์ ย่างงา่ ย (Simple Correlation) 2. วิเคราะห์ตัวแปรทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ สุขภาพจิต ประสบการณ์ทางสังคม ความใกล้ชิดศาสนา การสนบั สนนุ ทางสังคม ลกั ษณะม่งุ อนาคตควบคุมตน การเหน็ คณุ ค่าในตน และ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ ที่สามารถพยากรณ์การคิดเชิงสมานฉันท์ของผู้เรียน โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอย พหคุ ณู แบบขน้ั ตอน (Stepwise Multiple Regression) และสรา้ งสมการพยากรณก์ ารคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ ของผู้เรียน ผลการวิจัย การนำ� เสนอผลการวจิ ัยครง้ั นี้ ผูว้ จิ ยั ได้นำ� เสนอผลการวเิ คราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปร ท่ีศึกษา และปัจจัยท่ีสง่ ผลตอ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ ในตารางท่ี 1 และ 2 ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี
การคิดเชิงสมานฉันท์ของนกั ศกึ ษาในพืน้ ที่จงั หวดั ชายแดนใต้ 325 จริ ะวฒั น์ ตนั สกลุ และคณะ ตารางท่ี 1 คสคทวมวาาบงามสนคสังฉุมคมั ันตมพทนัน์(X(ธ(YX3ร์ ))ะ6ข)คหอววกงา่าานมงรกัทใเกหศศั ล็นกึนช้ ษคคิดุณาตศใิตคนา่อส่าพกใน้นืนาาทรตคีจ่(นXงัิด4หเ()ชXวกงิ ัด7าส)ชรมแาสายลนนแะบั ฉดแสนั นรนทงใุนจต์ (ทูง้Xใา1จ)งใสสฝงัุข่สคภัมมาฤพท(Xจธ5ิติ์)(ล(XXกั82)ษ) กณปับระะกมสางุ่ บรอคกนิดาารเคชณติง์ ตวั แปร Y X1 X2 X3 X4 X5 X6 X7 X8 Y 1.000 X1 0.717** 1.000 X2 0.210** 0.078 1.000 X3 0.682** 0.622** 0.109* 1.000 X4 0.629** 0.561** 0.178** 0.699** 1.000 X5 0.622** 0.554** 0.179** 0.603** 0.603** 1.000 X6 0.484** 0.559** 0.011 0.585** 0.556** 0.531** 1.000 X7 0.484** 0.521** -0.039 0.517** 0.485** 0.446** 0.635** 1.000 X8 0.607** 0.581** 0.152** 0.604** 0.611** 0.549** 0.648** 0.656** 1.000 X 4.645 4.790 3.096 4.799 4.930 4.604 4.646 4.667 4.866 S.D. 0.423 0.503 0.865 0.574 0.626 0.531 0.528 0.512 0.496 C.V. 9.107 10.501 27.939 11.961 12.698 11.533 11.365 10.971 10.193 **p < .01 และ *p < .05 จากตารางท่ี 1 พบวา่ ตัวแปรพยากรณท์ ่ีนำ� มาศกึ ษาทุกตวั มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการคดิ เชิงสมานฉันท์อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง 0.210 ถึง 0.717 สำ� หรบั ตวั แปรพยากรณส์ ว่ นใหญม่ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .01 สำ� หรบั สุขภาพจิต กับ ทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ และสุขภาพจิต กับ ลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตน มคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไมม่ นี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิ นอกจากน้ี ยงั พบวา่ สขุ ภาพจติ กบั การเหน็ คณุ คา่ ในตน มคี วามสัมพนั ธ์ทางลบอยา่ งไม่มนี ัยสำ� คัญทางสถติ ิ คา่ เฉล่ียมคี า่ ตง้ั แต่ 3.096 ถึง 4.930 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานมคี า่ ต้ังแต่ 0.423 ถึง 0.865 และ ค่าสัมประสทิ ธ์ิของการกระจายมคี า่ ต้ังแต่ 9.107 - 27.939 การตรวจสอบภาวะร่วมเส้นตรงพหุของตัวแปรอิสระด้วยกัน (Multicollinearity) ค่า VIF อยรู่ ะหวา่ ง 1.076-2.834 ซงึ่ มคี า่ ตำ�่ กวา่ 10 และคา่ Tolerance อยรู่ ะหวา่ ง 0.395-0.929 ซง่ึ มคี า่ ไมเ่ กนิ 1 แสดงให้เห็นว่าตัวแปรไม่มีความสัมพันธ์กัน และไม่พบปัญหาภาวะร่วมเส้นตรงพหุ สอดคล้องกับ แนวคิดของ Hair, Black, Babin, and Anderson (2010) ดงั นั้น จงึ นำ� ไปสู่การวเิ คราะหก์ ารถดถอย พหคุ ณู โดยใชต้ วั แปรพยากรณท์ ง้ั หมด 8 ตวั แปร ในการอธบิ ายความผนั แปรของตวั แปรเกณฑ์ ซงึ่ พบว่า
วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 326 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ตวั แปรพยากรณ์ 7 ตวั แปรสามารถอธบิ ายความผนั แปรของตัวแปรเกณฑไ์ ด้ ดังตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 ปัจจยั ทส่ี ่งผลตอ่ การคดิ เชิงสมานฉันท์ของนกั ศกึ ษาในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนใต้ ตัวแปรพยากรณ์ b β SEb t p-value ทัศนคตติ อ่ การคิดเชงิ สมานฉนั ท์ (X1) 0.332 0.395 0.040 8.249** .000 ประสบการณ์ทางสงั คม (X3) 0.174 0.263 0.040 4.355** .000 3.479** .001 การสนบั สนนุ ทางสงั คม (X5) 0.131 0.165 0.038 2.403* .017 2.734** .007 สขุ ภาพจิต (X2) 0.042 0.085 0.017 -2.279* .023 1.981* .048 แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (X8) 0.119 0.140 0.044 F = 81.364** ลกั ษณะม่งุ อนาคตควบคมุ ตน (X6) -0.090 -0.112 0.039 ความใกล้ชิดศาสนา (X4) 0.071 0.104 0.036 R = 0.813 R2 = 0.661 Adj. R = 0.653 SEest = 0.249 a = 0.977 Variance Inflation Factor: VIF = 1.076-2.834 Tolerance = 0.395-0.929 Dubin-Watson =1.848 **p < .01 และ *p < .05 จากตารางที่ 2 พบว่า ทศั นคติตอ่ การคิดเชงิ สมานฉันท์ ประสบการณ์ทางสังคม การสนบั สนนุ ทางสังคม สุขภาพจติ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ ลกั ษณะมงุ่ อนาคตควบคุมตน ความใกล้ชิดศาสนา สามารถ พยากรณ์ความคิดเชิงสมานฉันท์ ได้ร้อยละ 65.30 และมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานการพยากรณ์ เทา่ กบั 0.249 โดยทศั นคตติ อ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ทม์ คี า่ สมั ประสทิ ธก์ิ ารถดถอยมากทส่ี ดุ ( β = 0.395) รองลงมา คอื ประสบการณท์ างสงั คม ( β = 0.263) การสนับสนุนทางสังคม ( = 0.165) แรงจูงใจ ใฝส่ ัมฤทธิ์ ( β = 0.140) ความใกลช้ ดิ ศาสนา ( β = 0.104) และสขุ ภาพจติ ( β = 0.085) ในขณะท่ี ลกั ษณะมงุ่ อนาคตควบคมุ ตนมอี ทิ ธพิ ลทางลบตอ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ ( β = -0.112) ซงึ่ สามารถเขยี น สมการพยากรณ์การคิดเชิงสมานฉนั ท์ ในรปู คะแนนดบิ และคะแนนมาตรฐาน ได้ดังน้ี Υˆ = 00..937975Z+10+.3302.2X613+Z03 .+1704.1X635+Z05.1+301.X058+5Z02.0+420X.124+00Z.811- 90X.181-20Z.069+0X06.1+040Z.0471X4 Zˆ = สรปุ ผลการวิจัย ตัวแปรพยากรณ์ 7 ตัวแปร สามารถพยากรณ์การคิดเชิงสมานฉันท์ โดยมีค่าอ�ำนาจในการ พยากรณ์ได้ร้อยละ 65.30 และทศั นคตติ ่อการคิดเชงิ สมานฉนั ทม์ คี ่าสัมประสิทธก์ิ ารถดถอยมากท่สี ุด
การคดิ เชิงสมานฉนั ทข์ องนกั ศกึ ษาในพน้ื ที่จังหวัดชายแดนใต้ 327 จริ ะวัฒน์ ตันสกุล และคณะ อภิปรายผลการวิจัย ผลการวิจัยตามวัตถปุ ระสงค์ พบวา่ ตวั แปรพยากรณ์ ทง้ั 7 ตัวแปร สามารถร่วมกันพยากรณ์ การคดิ เชงิ สมานฉนั ทไ์ ด้ ทัง้ นี้ เน่อื งจากการวิจัยครัง้ นีม้ กี ารสงั เคราะหแ์ นวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยของ นกั วชิ าการหรอื นกั วจิ ยั เกย่ี วกบั ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ทใ์ นบรบิ ทของสงั คมไทย จงึ ทำ� ให้ ตัวแปรทีไ่ ดจ้ ากการสังเคราะหใ์ ช้พยากรณก์ ารคิดเชงิ สมานฉันทไ์ ด้ และยังพบวา่ การคดิ เชิงสมานฉนั ท์ ได้รับอิทธิพลสูงสุดจากทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ เน่ืองจากทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ เปน็ ความรสู้ กึ ของผเู้ รยี นทมี่ ตี อ่ กระบวนการคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ ทม่ี ากระตนุ้ ในการพจิ ารณาไตรต่ รองขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั โดยใชเ้ หตแุ ละผลตอ่ ขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื สภาพการณต์ า่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ รว่ มกบั การพจิ ารณาหลกั ฐาน อย่างรอบคอบ เพือ่ ประกอบการตดั สินใจทจ่ี ะเช่ือในเหตุการณใ์ ดเหตุการณห์ นึ่ง อยา่ งพินจิ พิเคราะห์ บนพน้ื ฐานความถกู ตอ้ งและชอบธรรม และสอดคลอ้ งกบั Rogers (1978) ทไี่ ดก้ ลา่ วถงึ ทศั นคตวิ า่ เปน็ ดชั นชี ว้ี า่ บคุ คลนน้ั คดิ และรสู้ กึ อยา่ งไรกบั คนรอบขา้ ง วตั ถหุ รอื สงิ่ แวดลอ้ ม ตลอดจนสถานการณต์ า่ ง ๆ โดยทศั นคตินัน้ มรี ากฐานมาจากความเช่อื ทอี่ าจส่งผลถึงพฤตกิ รรมในอนาคตได้ เพอ่ื แสดงวา่ ชอบหรอื ไม่ชอบต่อประเดน็ หน่ึง ๆ ซง่ึ ถอื เป็นการสอ่ื สารภายในบุคคล (Interpersonal Communication) ท่ี เปน็ ผลกระทบมาจากการรบั สาร อนั จะมผี ลตอ่ พฤตกิ รรมตอ่ ไป และสอดคลอ้ งกบั กบั ผลการศกึ ษาของ Sangmanee (2001) ซงึ่ ผลการวจิ ัยส่วนหน่งึ พบวา่ เยาวชนมีทศั นคตติ อ่ การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ในสงั คมโดยไมใ่ ชค้ วามรนุ แรงและเชอื่ มนั่ ในแนวทางการจดั การความขดั แยง้ โดยสนั ตวิ ธิ ี มที กั ษะในการ คดิ และวเิ คราะหแ์ นวทางเพอ่ื สนั ตภิ าพและสามารถนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ สำ� หรบั ปจั จยั ดา้ นประสบการณ์ ทางสงั คม เปน็ ความสามารถในการเขา้ ใจผ้อู ่นื มีความเห็นอกเห็นใจผอู้ ื่นดว้ ยการใช้ค�ำพดู ใหเ้ หมาะสม กับสถานการณ์ สามารถคาดเดาความรู้สึกผู้อื่นได้ และไม่ว่าจะกระท�ำการใด จะค�ำนึงถึงความรู้สึก ผู้อื่นเสมอ ซง่ึ จะเหน็ วา่ เมอื่ เยาวชนมคี วามคดิ ทคี่ ำ� นงึ ถงึ ความรสู้ กึ ผอู้ น่ื กจ็ ะสง่ ผลตอ่ องคป์ ระกอบดา้ น การเลือกกระท�ำเพ่ือประโยชน์ส่วนรวมของความคิดเชิงสมานฉันท์ ซ่ึงสอดคล้องกับทฤษฎีต้นไม้ จริยธรรม (Bhanthumnavin, 1995) ซึ่งได้กล่าวว่าประสบการณ์ทางสังคม เป็นส่วนรากของต้นไม้ จริยธรรมรว่ มกบั อกี 2 องค์ประกอบ คอื สุขภาพจิตซึ่งเปน็ ความสามารถในการรจู้ ักตนเอง รวู้ ธิ ีการ ผอ่ นคลายความวติ กกงั วล ความตื่นเต้น และความไม่สบายใจของตนเองอย่างเหมาะสมกบั เหตุการณ์ รวมถงึ รู้วธิ ีการปรับตวั เข้ากบั สงั คมได้ และสติปัญญาซง่ึ เปน็ ความสามารถในการคดิ แยกแยะวา่ ส่ิงใดดี สิ่งใดไม่ดี สิ่งใดถูกส่งิ ใดผิด มสี ติทุกครั้งกอ่ นทำ� งาน และมสี ติในการกระทำ� ของตน สามารถจัดการกบั ปัญหาที่เกิดขึ้นและท�ำงานท่ีได้รับมอบหมายจนส�ำเร็จลุล่วง ตลอดจนใช้วิจารณญาณในการวางแผน เพ่อื แกไ้ ขปัญหาให้สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ได้ ซ่ึงท้งั 3 องค์ประกอบจะทำ� ใหเ้ กิดความรู้เชงิ จรยิ ธรรม บคุ คลจะรวู้ า่ ในสงั คมของตน การกระทำ� ชนดิ ใดดคี วรกระทำ� และการกระทำ� ชนดิ ใดไมด่ คี วรงดเวน้ ซง่ึ สอดคล้องกับลักษณะของเยาวชนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืนด้วยการใช้ค�ำพูดท่ีเหมาะสมกับ สถานการณ์ ส่วนตัวแปรการสนับสนุนทางสังคม ซ่ึงการที่นักศึกษารับรู้ว่าตนเองได้รับการสนับสนุน และช่วยเหลือจากอาจารยผ์ สู้ อน อาจารยท์ ีป่ รกึ ษาและผปู้ กครอง ทัง้ ทางด้านรปู ธรรมและนามธรรม ในเวลาท่นี กั ศึกษาต้องการ สอดคลอ้ งกบั Danielsen (2009) ไดก้ ลา่ ววา่ การท่ีนกั ศกึ ษาร้วู ่าเขาได้รับ
วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 328 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ความชว่ ยเหลอื การสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความเปน็ อยทู่ ด่ี ที งั้ จากมหาวทิ ยาลยั ครอบครวั รวมถงึ เพอ่ื น เหลา่ น้ี เป็นสภาพแวดลอ้ มรอบตัวของนกั ศึกษาซึ่งจะช่วยให้เขาเกิดความสขุ ความพอใจขน้ึ ได้ การท่ีนักศกึ ษา รวู้ า่ พวกเขาไดร้ บั ความเปน็ อยทู่ ด่ี จี ากบรบิ ทสงั คมรอบตวั ซง่ึ มหาวทิ ยาลยั รวมไปถงึ ครอบครวั และเพอ่ื น มีลักษณะเปน็ แหลง่ ใหส้ ิ่งเอ้อื อำ� นวยทางสังคมและให้ความเปน็ อยู่ทด่ี ีตามโครงสรา้ งกบั นักศกึ ษา และ เชื่อว่าอิทธิพลของสภาพแวดล้อมและบุคคลรอบตัวนักศึกษามีส่วนเก่ียวข้องกับการใช้ชีวิตความเป็น นักศึกษาได้อย่างมีความสุข เกิดความเข้าใจกันในความแตกต่างของกลุ่มเพื่อนส่งผลท�ำให้นักศึกษา เกดิ ความคดิ เชงิ สมานฉนั ทข์ น้ึ ตอ่ มา คอื ตวั แปรความใกลช้ ดิ ศาสนา การปฏบิ ตั ติ ามขอ้ บญั ญตั ขิ องศาสนา การศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจหลกั ศรทั ธาของศาสนา และการเขา้ รว่ มกจิ กรรมทางศาสนาทบี่ คุ คลนบั ถอื โดย นักศึกษาส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งศาสนาอิสลามน้ันมองมนุษย์เป็นครอบครัวเดียวกัน คนที่ อยใู่ นครอบครวั เดยี วกนั คงไมต่ อ้ งการใหค้ นใดคนหนงึ่ ในครอบครวั ไดร้ บั ความลำ� บาก ซง่ึ เปน็ การสง่ เสรมิ การคดิ เชงิ สมานฉนั ทข์ ้ึนในตัวนกั ศึกษา ส่วนตวั แปร ลักษณะม่งุ อนาคตควบคุมตน คอื ความสามารถ ควบคุมการกระท�ำของตนเองเพื่อให้เกิดความส�ำเร็จตามเป้าหมาย ได้เห็นว่าการกระท�ำในปัจจุบัน ส่งผลต่ออนาคต เมอ่ื กระทำ� สง่ิ ใดแลว้ กต็ อ้ งยอมรบั ผลทเ่ี กดิ จากการกระทำ� ของตนเอง ตลอดจนมคี วาม มานะและอดทนในการท�ำสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเพ่ือให้งานบรรลุเป้าหมายที่ก�ำหนดไว้ ซ่ึงมีความสัมพันธ์ทางลบกับการคิดเชิงสมานฉันท์เพราะคนท่ีมีลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตนน้ันมักมี ทัศนคติเเละพฤติกรรมท่ีเเตกต่างกันขณะท่ีพบกับประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ซึ่งอาจบอกกับตนเองว่า “คนเราสามารถเปลย่ี นอนาคตของตวั เองไดถ้ า้ เรามคี วามพยายาม” เพราะฉะนนั้ คนทมี่ ลี กั ษณะมงุ่ อนาคต ควบคมุ ตนจะมคี วามพยายามมากกวา่ คนทไี่ มม่ ลี กั ษณะมงุ่ อนาคตควบคมุ ตน ตวั อยา่ งเชน่ โอกาสทเ่ี ขา จะมผี ลการเรยี นสงู ถงึ เเมว้ า่ จะมคี วามสามารถทเ่ี ทา่ ๆ กบั คนอนื่ ซง่ึ ในประเดน็ นอ้ี าจสง่ ผลใหผ้ ทู้ ม่ี งุ่ อนาคต ควบคมุ ตน พยายามทกุ อยา่ งเพอื่ ไปสเู่ ปา้ หมาย และอาจจะไมค่ ำ� นงึ ถงึ ผอู้ น่ื สอดคลอ้ งกบั Wannaviriyawat (2009) ไดก้ ลา่ ววา่ การท่จี ะปฏบิ ตั ิงานใด ๆ ให้ประสบผลสำ� เร็จจะต้องบรหิ ารปัจจัย 3 ประการ คือ การบริหารตนเอง การบริหารคน และการบรหิ ารงาน ให้มีประสิทธิภาพ เพ่ือผลสำ� เร็จอย่างมีคุณภาพ โดยคนเราตอ้ งมเี ปา้ หมายในชวี ติ ทแ่ี นน่ อน เรยี กวา่ มเี ปา้ หมายแหง่ ตน รจู้ กั ควบคมุ ตนหรอื มวี นิ ยั แหง่ ตน ท�ำงานส�ำเร็จได้ด้วยตนเอง ซ่ึงลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตนเป็นส่วนหน่ึงของทัศนคติเชิงจริยธรรม อันได้แก่ ความรู้สึก ความเชื่อ ของบุคคลเก่ียวกับลักษณะหรือพฤติกรรมว่าตนชอบหรือไม่ชอบ ลักษณะน้ันเพียงใด ส่วนมากจะสอดคลอ้ งกับคา่ นิยมของสงั คม สว่ นตัวแปรแรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธ์ิ คือ มี ใจจดจ่อกับส่ิงที่ท�ำและมุ่งกระท�ำอย่างต่อเน่ืองจนส�ำเร็จ มีความเข้มแข็งท้ังทางร่างกายและจิตใจ สามารถกา้ วขา้ มอปุ สรรคตา่ ง ๆ ไปได้ ความมงุ่ มน่ั ทจี่ ะทำ� เรอื่ งตา่ ง ๆ โดยมคี วามละอายเกรงกลวั ตอ่ บาป ความร่วมมือร่วมใจกับสมาชิกในกลุ่มและมีเหตุผลในการแก้ปัญหาขัดแย้งภายในกลุ่มให้งานสามารถ ส�ำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย สอดคล้องกับ Kowatrakul (1998) ท่ีได้กล่าวถึงการพัฒนาคนให้มี ประสทิ ธภิ าพนน้ั ตอ้ งพฒั นาพฤตกิ รรมของคน โดยศกึ ษาถงึ ปจั จยั ของพฤตกิ รรมแลว้ นำ� มาปรบั ปรงุ หรอื พฒั นาใหม้ ขี นึ้ ในบคุ คล จงึ จะเปน็ การพฒั นาทถ่ี กู ตอ้ งและยง่ั ยนื ซงึ่ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของเหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรม คอื การทบ่ี ุคคลใชเ้ หตผุ ลในการเลือกทีจ่ ะกระท�ำหรือเลือกทีจ่ ะไม่กระทำ� พฤตกิ รรมอย่างใดอย่างหนง่ึ
การคดิ เชิงสมานฉันท์ของนักศึกษาในพ้นื ทีจ่ งั หวัดชายแดนใต้ 329 จริ ะวัฒน์ ตันสกลุ และคณะ เหตผุ ลทีก่ ลา่ วถงึ นจ้ี ะแสดงให้เห็นถงึ เหตจุ งู ใจหรอื แรงจงู ใจทอ่ี ยเู่ บอ้ื งหลังการกระท�ำต่าง ๆ ของบคุ คล ซง่ึ สอดคลอ้ งตามที่ The National Reconciliation Commission (2006) ไดก้ ลา่ ววา่ ความสมานฉนั ท์ หมายถึง ความพอใจร่วมกัน ความเห็นพ้องกัน การประนปี ระนอม การไกล่เกลยี่ การท�ำให้ปรองดอง การท�ำให้คืนดีกัน การท�ำให้ลงรอยกัน การกลับสู่ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรในหมู่คู่พิพาท การท�ำให้เรา ยอมรบั ในสิ่งที่ไมย่ อมรบั การทำ� ใหเ้ ข้ากนั ได้และคงเสน้ คงวา และสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ Ministry of Education (2003) ได้ท�ำวิจัยเรื่อง ดัชนีชี้วัดความสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อสังคมไทยโดยใช้ เทคนิคเดลฟาย ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะของคนท่ีมีความสมานฉนั ท์ ประกอบด้วย มีความสามัคคี มคี วามโอบออ้ มอารี รจู้ กั เสยี สละ ใหค้ วามรว่ มมอื กบั ผอู้ น่ื มเี หตมุ ผี ล เปน็ ประชาธปิ ไตย มมี นษุ ยสมั พนั ธ์ มคี วามรคู้ วามคดิ เหน็ ใจผอู้ น่ื เขา้ กบั คนอนื่ ได้ รกั พวกพอ้ ง พยายามเขา้ ใจผอู้ นื่ เหน็ แกส่ ว่ นรวม เปน็ คนท่ี คบคนง่าย มีความเคารพซ่งึ กันและกัน และไม่เห็นแกต่ ัว และ Chareonwongsak (2008) ไดศ้ กึ ษา เกย่ี วกบั การแกป้ ญั หาความขดั แยง้ ในประเทศของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารของประเทศเกาหลใี ต้ โดยการ สอดแทรกทศั คตทิ ถี่ กู ตอ้ งตอ่ ความแตกตา่ ง ทกั ษะการคดิ อยา่ งมเี หตผุ ล และการแสดงออกถงึ ความคดิ เหน็ อยา่ งเหมาะสมโดยไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง ในหลกั สตู รระดับชน้ั ต่าง ๆ อาทิ ช้นั อนุบาลถึงประถมศกึ ษา ปที ี่ 3 จะปลูกฝังจติ ส�ำนกึ การอยู่รว่ มกันในสงั คม ประถมศึกษาปที ่ี 4 ถงึ มัธยมศึกษาตอนต้น ปลกู ฝัง สิทธิและหน้าท่ีของตนในระบอบประชาธิปไตย เคารพกฎหมายบ้านเมือง และการตัดสินใจอย่างมี เหตผุ ล ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ปลกู ฝงั หนา้ ทก่ี ารเปน็ พลเมอื งโลก สนั ตภิ าพ ความเขา้ ใจในวฒั นธรรม ท่ีแตกต่าง และปลูกจิตส�ำนึกในเร่ืองเมตตาธรรมและมนุษยธรรม ซ่ึงการเรียนการสอนจะใช้วิธีการ อภปิ รายในชน้ั เรยี นและยกกรณตี วั อยา่ ง เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชท้ กั ษะการคดิ วเิ คราะหห์ าความจรงิ ตามหลกั เหตผุ ลมากกว่าการใช้อารมณ์ นอกจากนี้ พบว่าการเห็นคุณค่าในตนไม่สามารถพยากรณ์ความคิดเชิงสมานฉันท์ได้ ท้ังนี้ เนอื่ งจากธรรมชาตขิ องนกั ศกึ ษาในสามจงั หวดั ชายแดนใตส้ ว่ นใหญน่ บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม มอี ตั ลกั ษณเ์ ฉพาะ การด�ำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางตามขนมธรรมเนียมประเพณี โดยมีศาสนาอิสลามเป็นแกน และมีการ แสดงตนออกมาดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ เชน่ การแตง่ กาย ภาษา เปน็ ตน้ การปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนาอยา่ งเครง่ ครดั โดยไมส่ ามารถตง้ั คำ� ถามหรอื ขอ้ สงสยั ได้ ซ่งึ สอดคล้องกับ Hasamoh (2009) ซึง่ กล่าววา่ ค�ำสอนและ บทบัญญัติของศาสนาอยู่ในทุกอิริยาบทของมุสลิม รวมถึงการต้ังเจตนาและการนึกคิด ต้องอยู่ใน บทบญั ญัติของอสิ ลามทง้ั สิน้ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนำ� ผลการวิจัยไปใช้ จากผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติต่อการคิดเชิงสมานฉันท์ มีอิทธิพลสูงสุดในการ พยากรณ์การคิดเชิงสมานฉันท์ ดังนนั้ จงึ จ�ำเปน็ ต้องมีแนวทางในการพัฒนาทศั นคตขิ องนักศกึ ษา เช่น การพัฒนาหลกั สูตร หรอื การจัดการอบรมตา่ ง ๆ เพือ่ เรง่ สรา้ งความเขา้ ใจและสรา้ งการรับรทู้ ถี่ ูกตอ้ ง
วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 330 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครงั้ ต่อไป 1. ควรศกึ ษาลกั ษณะสว่ นบคุ คลอนื่ ๆ ซง่ึ อาจจะสง่ ผลตอ่ การคดิ เชงิ สมานฉนั ท์ เชน่ เพศ ศาสนา ระดบั การศกึ ษา การอบรมเล้ยี งดู สังคมกล่มุ เพอ่ื น เป็นตน้ 2. ควรศึกษาเชิงลึกและใช้ระเบียบวิธีวิจัยอ่ืน ๆ เพ่ือตอบค�ำถามปัจจัยที่ส่งผลต่อการคิด เชิงสมานฉันท์ โดยใช้การวิจยั เชิงคุณภาพหรือวิจัยผสมวธิ ี เอกสารอา้ งอิง Bhanthumnavin, D. (1995). Ethical tree theory: Personnel research and development. Bangkok: National Institute of Development Administration. [in Thai] Chareonwongsak, K. (2008). Reconciliation must begin at kindergarten. Retrieved from http://www.kriengsak.com/node/1669 [in Thai] Danielsen, A. G. (2009). School-related social support and students’ perceive life satisfaction. The Journal of Educational Research, 102(4), 303-320. Facione, P. A., & Facione, N. C. (1998). Critical thinking: Assessment ideas. Millbare, CA: The California Academic Press. Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., & Anderson, R. E. (2010). Multivariate data analysis: A Global Perspective (7th ed.). Upper Saddle River, NJ: Pearson Education. Hasamoh, A. (2009). Muslims identity in Rueso Community: Southernmost Provinces of Thailand. Journal of Humanities and Social Sciences, 5(2), 203-230. Jitmoud, S. (2006). The 3 southernmost provinces: From problem to reconciliation (Master’s thesis). Chulalongkorn University, Bangkok. [in Thai] Kohlberg, L. (1976). Moral stages and moralization: The cognitive development approach. In T. Lickona (Ed.), Moral development and behavior (pp. 31-55). New York: Holt, Rinehart and Winston. Kowatrakul, S. (1998). Educational psychology. Bangkok: Chulalongkorn University. [in Thai] Meekun, K. (2004). Method of measuring moral reasoning by using the rating scale methods developed for use with adults. In Seminar productivity of Thai behavioral system to problem solving youth. Miracle Grand Convention Hotel, Bangkok. [in Thai] Ministry of Education. (2003). Research report on reconciliation index and caring for Thai society by using delphi technique. Bangkok: Department of Academic Affairs. [in Thai] Pinpradit, N. (2014). An empirical study of prudent social trust indicator system among undergraduate in The 3 Southernmost Provinces (Research Report). Khon Kaen: Khon Kaen University. [in Thai]
การคดิ เชงิ สมานฉันทข์ องนกั ศึกษาในพนื้ ทจ่ี ังหวัดชายแดนใต้ 331 จริ ะวฒั น์ ตันสกลุ และคณะ Princess of Naradhiwas University. (2017). Division of academic and affair office. Retrieved from http://academic.pnu.ac.th/ [in Thai] Prince of Songkla University. (2017). Education services division. Retrieved from http:// regist.pn.psu.ac.th/main/ [in Thai] Promphakping, B., & Sirithorn, P. (2005). How to reconciliation to problem solving with non-violence. Khon Kaen: Khon Kaen University. [in Thai] Rascha, T. (2013). A Model of developing reconciliation thinking for the student teachers at Prince of Songkla University (Doctoral dissertation). Khon Kaen University, Khon Kaen. [in Thai] Rogers, D. (1978). The psychology of adolescence. New York: Appleton Century-Crofts. Satha-Anand, C. (2005). Peaceful ways in the Three Southern Border Provinces of Thailand: understanding the reconciliation concept. Retrieved from http:// www.midnightuniv.org/midnight2545/ document9540.html [in Thai] Samanpan, T. (2006). The Effect of using an Instructional model emphasizing citical thinking processes and flexible learning on developing critical reading ability in english (Doctoral dissertation). Khon Kaen University, Khon Kaen. [in Thai] Sangmanee, R. (2001). The Development of general education courses to enhance mutual understanding for Higher Education Institutions in the Southern Border Provinces (Doctoral dissertation). Sukhothai Tammathirat Open University, Nonthaburi. [in Thai] Stanish, B. & Eberle, B. (1997). Be a problem solver. Waco, TX: Prufrock Press. Siamwalla, A. (2007). Conflict between development and society in 3 Southernmost Province. Bangkok: Nolas Plus. The National Reconciliation Commission. (2006). Report of the National Committee for Reconciliation (Governing Body): Overcoming violence with reconciliation power. Bangkok: Cabinet and Royal Gazette Publishing Office. [in Thai] Wannaviriyawat, N. (2009). Buddhist style administration in Pra Priyattidhama Schools Mueang Chiang Mai District (Master’s thesis). Chiang Mai University, Chiang Mai. [in Thai] Wiratchai, N. (2012). Accurate and modern methods for determining sample size. In the Research Zone Project. National Research Council of Thailand. Retrieved from http://lllskill.com/web/files/GPower.pdf [in Thai] Wustenberg, K. R. (2009). The political dimension of reconciliation: A theological analysis of ways of dealing with guilt during the transition to democracy in South Africa and (East) Germany. Berlin: Win. B. Eerdmans Publishing. Yala Rajabhat University. (2017). Academic service division. Retrieved from http:// eduservice.yru.ac.th/newweb/ [in Thai]
บทควา มวจิ ยั มาตรการเพื่อขับเคลื่อนการเข้าถึงสิทธิชุมชนของชุมชนประมงพ้ืนบ้าน อา่ วปัตตานี RFiesghuelraftoolkryAAropupnrodaPcahtetasntioBaAyccess to the Community Rights of วารณุ ี ณ นคร1* Warunee Na nakorn1* Abstract This article aims to study the problems and needs regarding the community rights of fisherfolk around Pattani Bay and to propose an approach for propelling access to the rights. Participatory Action Research (PAR), the Future Search Conference, and the qualitative analysis were employed in the study. The study’s samples include representatives of the fishermen, community leaders, and government officials. The research found that: Problems with community rights included the violation of rights and management and development of restoring resources eventually affecting economic rights. To repond to the community’s needs, there should be a decentralization of power, income increases, and rights of sustainable natural resources management under the authority of government 1สาขาการปกครอง คณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี ต.รสู ะมแิ ล อ.เมอื ง จ.ปัตตานี 94000 1Government, Faculty of Political Science, Prince of Songkla University, Pattani Campus, Rusamilae Sub-district, Muang District, Pattani Province 94000 *ผู้ให้การติดต่อ (Corresponding e-mail: [email protected]) รบั บทความวนั ที่ 11 กรกฎาคม 2562 แก้ไขวนั ที่ 3 มนี าคม 2563 รบั ลงตีพิมพ์วันท่ี 7 พฤษภาคม 2563 Hatyai Academic Journal 18(2): 333-351
วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 334 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 officials. To propel the access to the rights, decentralizations of power to the locals should be inplemented. A large proportion of management power is given to the fishermen with responsible fisheries. The two keys to success are utilizing data about the real needs of the community to design planning and law enforcement in the area under cooperation of local villagers and the government. Keywords: Community Rights, Folk Fishermen, Future Search Conference บทคดั ย่อ บทความน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาสิทธิชุมชนและความต้องการด้านสิทธิชุมชน ของชาวประมงพื้นบ้านอ่าวปัตตานี และเสนอมาตรการเพื่อการขับเคลื่อนการเข้าถึงสิทธิชุมชน ของชาวประมงพ้ืนบ้านอ่าวปัตตานี โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ร่วมกับเทคนิค การคน้ หาภาพอนาคตรว่ มกนั และการวเิ คราะหเ์ ชงิ คณุ ภาพ กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ ตวั แทนชาวประมง พ้นื บ้าน ผนู้ �ำชมุ ชน และเจา้ หน้าทภี่ าครฐั ผลการวจิ ยั พบว่า ปญั หาดา้ นสทิ ธิชุมชน ประกอบด้วย การละเมดิ สทิ ธชิ มุ ชน การจดั การและพฒั นา ดา้ นการอนรุ กั ษ/์ ฟน้ื ฟู ดา้ นการใชท้ รพั ยากร สง่ ผลตอ่ สทิ ธทิ างเศรษฐกจิ สำ� หรบั ความตอ้ งการดา้ นสทิ ธชิ มุ ชนในอา่ วปตั ตานี คอื ชมุ ชนไดร้ บั การกระจาย อ�ำนาจและรายได้เพ่ิมขึ้น และมีสิทธิในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพ้ืนท่ีอย่างย่ังยืน ภายใต้การทำ� หนา้ ที่ของเจ้าหน้าทภ่ี าครฐั อยา่ งเป็นธรรม มาตรการขบั เคล่อื นสทิ ธชิ ุมชน คือ การ ให้ชุมชนด�ำเนินการด้านสิทธิชุมชนและกระจายอ�ำนาจแก่ท้องถ่ิน โดยให้สัดส่วนและอ�ำนาจ การบรหิ ารจดั การแกช่ าวประมงทท่ี ำ� ประมงแบบรบั ผดิ ชอบ โดยเงอ่ื นไขแหง่ ความสำ� เรจ็ สองประการ คือ การใช้ข้อมูลและความต้องการท่ีแท้จริงจากชุมชนมาวางแผนโครงการ และการบังคับใช้ กฎหมายในพื้นทค่ี วรบรู ณาการร่วมระหวา่ งภาคประชาชนและภาครฐั คำ� ส�ำคัญ: สทิ ธชิ มุ ชน ประมงพ้นื บา้ น การคน้ หาภาพอนาคต บทนำ� สถานการณท์ ร่ี ฐั เปน็ ผมู้ อี ำ� นาจเหนอื ชมุ ชนในการกำ� หนดการบรหิ ารจดั การในชมุ ชนจนละเมดิ สทิ ธหิ รอื ลดทอนการเขา้ ถงึ สทิ ธชิ มุ ชนของคนในชมุ ชนดง้ั เดมิ เกดิ ขน้ึ เรอ่ื ยมาทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ ท�ำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถ่ินของตน เป็นไปได้ยากและถูกเพิกเฉยจากภาครัฐ จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีของชุมชนทั้งประเด็นด้าน เศรษฐกจิ สงั คม สง่ิ แวดลอ้ ม และความสมั พนั ธใ์ นชมุ ชน ซงึ่ เปน็ ปญั หาลงลกึ ไปในระดบั วถิ ชี วี ติ ของผคู้ น ทง้ั ด้านความเปน็ อยู่ ปากทอ้ ง การประกอบอาชพี และสขุ ภาพอนามัย ซึ่งปญั หาเหลา่ น้ียังคงวนเวยี น เป็นวัฏจกั รในระดบั สงั คมตอ่ ไป เป็นปัญหาความยากจน ปัญหาสังคม ปัญหาความขดั แยง้ และปญั หา สงิ่ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ ทรี่ ฐั จะตอ้ งแกไ้ ขปญั หาตอ่ ไป เหน็ ไดจ้ ากกรณี โครงการกอ่ สรา้ งเหมอื งในหลายพน้ื ท่ี
การเขา้ ถึงสทิ ธชิ มุ ชนของชมุ ชนประมงพื้นบา้ นอ่าวปตั ตานี 335 วารุณี ณ นคร ไมว่ า่ จะเปน็ เหมอื งแรแ่ ละโรงไฟฟา้ ถา่ นหนิ ของการไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แหง่ ประเทศไทย (กฟผ.) อำ� เภอแมเ่ มาะ จังหวัดล�ำปาง เหมืองดีบุกอ�ำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เหมืองแร่โปแตซแหล่งอุดรใต้ จังหวัดอุดรธานี ประเด็นการช่วงชิงการถือครอง การใช้ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติระหว่าง ภาคส่วนต่าง ๆ ผ่านทางกฎหมาย กรณีป่าชุมชนจนเกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิของชุมชนท่ีอยู่ กบั ปา่ มาตง้ั แตด่ ง้ั เดมิ และกรณกี ฎหมายอทุ ยานแหง่ ชาตทิ ก่ี ระทบตอ่ สทิ ธชิ มุ ชนของชาวเล ซงึ่ ถกู จบั กมุ จากการทำ� ประมงด้วยวิถดี ้งั เดมิ (Thapdacha, 2017) ในสงั คมไทยความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั กบั ทนุ ทมี่ ลี กั ษณะเปน็ แบบพนั ธมติ รทางอำ� นาจ ทำ� ใหร้ ฐั มอี ำ� นาจอยา่ งไมจ่ ำ� กดั ในการจดั การทรพั ยากร ผกู ขาดทศิ ทางการพฒั นาเศรษฐกจิ และใชค้ วามรนุ แรง กับประชาชน (Satha-anand, 2010) อุปสรรคในการเขา้ ถึงสทิ ธใิ นทรัพยากรในชมุ ชนของชาวประมง มักมาจากอปุ สรรคด้านการขาดความรดู้ า้ นกฎหมาย ระเบียบ (Ginkel, 2009) กรณเี หล่าน้ีจะเหน็ วา่ รัฐอยู่ในฐานะผู้กุมกฎหมายมองข้ามสิทธิชุมชนดั้งเดิม และอ�ำนวยความยุติธรรมให้แก่เอกชนท้ังที่ ทรัพยากรหรอื พืน้ ท่อี ยู่อาศัยนัน้ ชาวบา้ นเป็นผู้มสี ว่ นในการใช้ การรกั ษาไว้ และมีสิทธชิ ุมชนเปน็ สิทธิ ในการทำ� กนิ ของคนทอี่ ยใู่ นพนื้ ทที่ อ่ี าศยั และพงึ่ พงิ ทรพั ยากรธรรมชาติ เปน็ สงิ่ ทห่ี ลอ่ เลย้ี งชวี ติ ชาวบา้ น มาต้ังแตอ่ ดีตถงึ ปจั จุบนั นอกจากนี้ การรวมศนู ยข์ องรฐั ระดบั นโยบายซงึ่ เหน็ ไดจ้ ากโครงการพฒั นาขนาดใหญท่ ลี่ ะเลย การมสี ว่ นรว่ มตดั สนิ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ จากชมุ ชน แมโ้ ครงการอาจจะบรรลเุ ปา้ หมายทางดา้ นเศรษฐกจิ แต่ กลบั สง่ ผลกระทบดา้ นลบกบั ชมุ ชนตามมา เชน่ โครงการ Sea Food Bank ภายใตน้ โยบายแปลงสนิ ทรพั ย์ ให้เป็นทุนในยุครัฐบาลทักษิณ ชิณวัตร ที่ส่งเสริมให้มีการออกโฉนดทะเล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนให้ทะเล ที่เป็นท่ีสาธารณะกลายเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล มีพ้ืนท่ีได้รับผลกระทบจากโครงการนี้เป็นวงกว้าง ในทะเลอ่าวไทยตอนลา่ ง ตงั้ แตจ่ งั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ในกรณกี ารตอ่ สกู้ บั การขยายตวั ของคอกหอยแครง ทอี่ า่ วบา้ นดอน ลงมาจนกระทงั่ อา่ วปตั ตานี ปจั จยั ทน่ี ำ� มาสปู่ ญั หาความขดั แยง้ เนอื่ งจากการเลยี้ งหอยแครง ส่งผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้านท้ังเรื่องของปัญหาทรัพยากร เขตท่ีท�ำกิน อุปกรณ์การท�ำประมง โดยคขู่ ดั แยง้ คอื ชาวประมงพน้ื บา้ นกบั นายทนุ ผเู้ ลยี้ งหอยแครง ชาวประมงพนื้ บา้ นกบั ชาวบา้ นดว้ ยกนั และนายทุนผ้เู ล้ยี งหอยแครงกับเจา้ หน้าทีร่ ฐั (Dumalee, 2017) พน้ื ทอ่ี า่ วปตั ตานี (Pattani Bay) ตง้ั อยใู่ นจงั หวดั ปตั ตานี ซง่ึ แบง่ การปกครองออกเปน็ 12 อำ� เภอ โดยพ้ืนท่ีอ่าวปัตตานีครอบคลุมขอบเขตการปกครองอยู่ในพ้ืนท่ีอำ� เภอเมืองปัตตานีและอำ� เภอยะหร่ิง จังหวัดปัตตานี เปน็ 1 ใน 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ท่ีประสบกับความไม่สงบ อนั เป็นผลใหป้ ระชาชน ประสบกบั ความยากจน และมคี ณุ ภาพชวี ติ ทไี่ มม่ น่ั คง ในขณะทอี่ า่ วปตั ตานเี ปน็ แหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาติ ซง่ึ เปน็ ฐานการดำ� รงชวี ติ ทม่ี คี วามอดุ มสมบรู ณ์ โดยเฉพาะเปน็ พน้ื ทช่ี มุ่ นำ้� ทม่ี คี วามสำ� คญั ระดบั นานาชาติ สหภาพระหว่างประเทศ เพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (International Union for the Conservation of Nature: IUCN) ได้ประกาศให้อ่าวปัตตานีเป็นพื้นที่ชุ่มน้�ำชายฝั่งทะเล (Coastal Wetlands) แหง่ หน่ึงของเอเชียท่คี วรค่าแกก่ ารอนุรักษ์ และตามมตคิ ณะรฐั มนตรี เม่ือวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 อ่าวปัตตานีถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ส�ำคัญของประชาชนชาวปัตตานี มีคุณค่า
วารสารหาดใหญ่วชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 336 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 และมีเอกลักษณ์เฉพาะในเชิงความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ทางชีวภาพสูงมาก ท�ำให้พื้นท่ีน้ี เป็นแหล่งสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจส�ำคัญของชุมชนรอบอ่าวและอุตสาหกรรมประมงจังหวัดปัตตานี (Ministry of Natural Resources and Environment, 2014) ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2523 จนถงึ ปจั จบุ นั อา่ วปตั ตานเี ผชญิ กบั ปญั หาความเสอื่ มโทรมของทรพั ยากร- ธรรมชาติจากการพัฒนาเช่นเดียวกับพื้นท่ีอ่ืน สาเหตุหลักมาจากการใช้เครื่องมือและวิธีการประมงที่ ผดิ กฎหมายเพอื่ จบั สตั วน์ ำ้� ใหม้ ากขนึ้ การจบั สตั วน์ ำ�้ ขนาดเลก็ เพอื่ ทดแทนผลผลติ ทล่ี ดลง (Sugunnasil, 2001) การใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจ�ำกัดประกอบกับประชาชนขาดโอกาสในการเข้าถึงการบริหาร จดั การทรพั ยากรทางทะเลแบบบรู ณาการ และภาครฐั ขาดนโยบายและมาตรการในการจดั การภาพรวม ส่งผลให้ชาวประมงพื้นบ้านประสบปัญหาความยากจนและเกิดปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่ (Hajisamae, 2014) จนบานปลายเปน็ ความขัดแยง้ ในชมุ ชน ซ่ึงการลดลงของทนุ ทางสังคมและความยืดหย่นุ ในเชิง ระบบนเิ วศมผี ลอยา่ งยงิ่ ตอ่ การบรหิ ารจดั การทม่ี ปี ระสทิ ธผิ ล ทำ� ใหก้ ารบรหิ ารจดั การอา่ วปตั ตานที ผ่ี า่ นมา ไมป่ ระสบความส�ำเรจ็ ปัญหาของชาวประมงนั้นไม่สามารถแก้ไขได้โดยปัจเจก ท้ังที่ในความเป็นจริงชาวประมง คอ่ นขา้ งมคี วามเปน็ อสิ ระในการประกอบอาชพี และใชช้ วี ติ ออกเรอื หาสตั วน์ ำ�้ ตามทตี่ นถนดั และไดร้ บั การสืบทอดมาจากบรรพบรุ ุษ ใครถนดั หากงุ้ จะไมถ่ นดั หาปลา บางคนถนดั หาหมึก หาหอย ซึง่ จะไม่ ทับซ้อนกัน และมวี ถิ ีของแตล่ ะช่วงเวลาแตกต่างกันไปตามสัตวน์ ำ�้ ทตี่ นหา ไมต่ ้องถูกควบคมุ หากอา่ ว มีความอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อสภาพเปลี่ยนไปชาวประมงจึงหลีกไม่พ้นท่ีต้องเผชิญกับท้ังอ�ำนาจรัฐใน ระดับประเทศและระหว่างประเทศจากกฎหมายและระเบียบที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ใหม่ แต่เมื่อ ทรัพยากรลดลง รายไดล้ ดลง แต่คา่ ครองชพี สูงข้ึน ท�ำให้หลายคนแสวงหาวธิ กี ารทำ� ประมงใหม้ รี ายได้ โดยใช้เคร่ืองมือตา่ งจากวถิ ีเดมิ ซง่ึ ยง่ิ ซ�ำ้ เติมปัญหามากขน้ึ การประนปี ระนอมและการรวมกลุ่มจงึ อาจ นำ� มาสทู่ างออกในการแกป้ ญั หาเชงิ ลกึ ใหแ้ กช่ าวประมงมากกวา่ การใชเ้ พยี งกฎหมายหรอื การใชอ้ ำ� นาจ บังคับ เพ่ือท�ำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ในระยะยาวร่วมกัน แต่ด้วยลักษณะของการรวมกลุ่มของ ชาวประมงพ้นื บา้ นมักเป็นกลุม่ ทคี่ ่อนข้างเล็ก และอาศัยความสมั พันธเ์ ครือญาตหิ รือเพื่อน ซึง่ ถอื เป็น ข้อได้เปรียบในการแลกเปลย่ี นข้อมลู (Ginkel, 2009) และค่อนข้างอนุรักษน์ ยิ ม รัฐจงึ ต้องส่งเสรมิ ให้ มีการจดั ต้งั กล่มุ ชาวประมง และจดทะเบยี นเป็นนติ ิบุคคล โดยภาครฐั ออกกฎหมายรับรองสิทธิใหก้ บั ชุมชนประมง (Jeerasatian, 1997) อ่าวปัตตานีมีพลวัตของวิถีชีวิตชุมชน กลุ่มอาชีพ การท�ำประมง และทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดเวลา (Hattha, 2014; Jussapalo, 2016) ในขณะที่มุมมองในการศึกษาจากสิ่งที่เกิดข้ึนใน อ่าวปัตตานี และตัวแสดงทส่ี ำ� คัญ คือ ชุมชน กลบั ไดร้ บั การมองในฐานะผรู้ บั ผลกระทบจากนโยบาย การพัฒนาจากภาครัฐ ดังนั้น อ่าวปัตตานีจึงมีความส�ำคัญต่อการวิจัยชุมชนจากมุมมองของผู้ที่ควรมี บทบาทในการก�ำหนดอนาคตของชุมชน สถานการณ์ด้านสิทธิชุมชนในอ่าวปัตตานีท�ำให้ชาวประมง พ้ืนบ้านตระหนกั วา่ ตนเองกำ� ลงั เสยี สทิ ธชิ มุ ชนหากยงั คงปลอ่ ยใหท้ กุ อยา่ งดำ� เนนิ ตอ่ ไป จงึ นำ� มาสคู่ ำ� ถาม การวิจัยว่า สิทธิชุมชนที่ชาวประมงพื้นบ้านต้องการเป็นอย่างไร และด้วยสถานการณ์ด้านสิทธิชุมชน
การเขา้ ถงึ สทิ ธิชุมชนของชมุ ชนประมงพ้ืนบ้านอา่ วปัตตานี 337 วารณุ ี ณ นคร ในอา่ วปตั ตานจี ะมคี วามเปน็ ไปไดเ้ พยี งใดในการทำ� ใหเ้ กดิ ภาพอนาคตของอา่ วปตั ตานผี า่ นมมุ มองของ ชาวประมงพนื้ บา้ น ตลอดจนมาตรการเพอ่ื ขบั เคลอ่ื นการเขา้ ถงึ สทิ ธขิ องชมุ ชนประมงพนื้ บา้ นอา่ วปตั ตานี วา่ ควรมลี กั ษณะอย่างไร วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ประกอบดว้ ย 3 ประการ คอื 1) ศกึ ษาบรบิ ทชมุ ชนและปญั หาสทิ ธชิ มุ ชนของชาวประมงพน้ื บา้ น อ่าวปัตตานี 2) ศกึ ษาความต้องการด้านสทิ ธชิ ุมชนของชาวประมงพน้ื บา้ นอา่ วปัตตานี และ 3) จดั ท�ำ มาตรการขบั เคลอ่ื นการเขา้ ถงึ สทิ ธชิ มุ ชนในการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาตขิ องชาวประมงพน้ื บา้ น อ่าวปัตตานี วธิ ีดำ� เนนิ การวจิ ยั การวจิ ยั นี้ ใช้การวจิ ัยเชิงปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นรว่ ม (Participatory Action Research: PAR) รว่ มกบั การวเิ คราะหเ์ ชงิ คณุ ภาพ (Qualitative) โดยใหช้ มุ ชนในพน้ื ทแี่ ละผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี เรยี นรู้ และ ทำ� ความเขา้ ใจสภาพการณใ์ นอดตี และปจั จบุ นั เพอื่ ใหม้ สี ว่ นรว่ มในการกำ� หนดภาพอนาคต และนำ� เสนอ แนวทางความเปน็ ไปไดเ้ พอื่ ให้เกิดผลขึ้นจริง ขอบเขตระยะเวลาและเนื้อหา การวิจัยนี้ด�ำเนินการระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ถึง มกราคม 2561 โดยมุ่งศึกษา สถานการณ์สิทธิชุมชนของชาวประมงพ้ืนบ้านในอ่าวปัตตานี และค้นหาความต้องการในลักษณะ ภาพอนาคต เพอ่ื ประเมนิ ความเปน็ ไปไดแ้ ละกำ� หนดเปน็ มาตรการขบั เคลอ่ื นการเขา้ ถงึ สทิ ธชิ มุ ชนในการ บรหิ ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาตขิ องชาวประมงพ้ืนบา้ นอ่าวปตั ตานี ขอบเขตพื้นที่และกล่มุ เปา้ หมาย พนื้ ทศี่ กึ ษาเปน็ พนื้ ทด่ี ำ� เนนิ งานของชาวประมงพน้ื บา้ นอา่ วปตั ตานี จงั หวดั ปตั ตานี ผวู้ จิ ยั เลอื ก กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาโดยใช้การคัดเลือกแบบยึดจุดมุ่งหมายในการศึกษา เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ สามารถใหข้ อ้ มลู และดำ� เนนิ กจิ กรรมการวจิ ยั ตามวตั ถปุ ระสงค์ ไดแ้ ก่ ตวั แทนชาวประมงพนื้ บา้ นอา่ วปตั ตานี และผู้น�ำชุมชนที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชุมชนมาอย่างต่อเน่ือง จ�ำนวน 30 คน และกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐท่ี เกย่ี วขอ้ ง จ�ำนวน 8 คน กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีและกระบวนการวิจยั งานวิจัยนี้ ผู้วิจัยใช้แนวคิดสิทธิชุมชนในการศึกษาสถานการณ์สิทธิของชาวประมงพื้นบ้าน อ่าวปัตตานีอันน�ำไปสู่มาตรการขับเคล่ือนการเข้าถึงสิทธิชุมชน เนื่องด้วยสิทธิชุมชนเป็นเร่ืองที่ได้รับ การรับรองในระดับสากลปรากฏในกฎหมายระหว่างประเทศ มีเน้ือหาครอบคลุมสิทธิในการอนุรักษ์ หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดี รวมถึงสิทธิก�ำหนดแนวทาง การอนุรักษ์และปกป้องมิให้ถูกเปลี่ยนแปลงท�ำลาย และสิทธิในการจัดการและพัฒนาฐานทรัพยากร ภายใต้เงื่อนไขความย่ังยืนของฐานทรัพยากร สิทธิชุมชนจึงเป็นสิทธิที่ชุมชนให้การปกป้องรักษา ทรัพยากรหรือตัวตนของตนเอง และเป็นสิทธิที่ชุมชนจะสร้างประโยชน์แก่สังคมทั้งด้านการจัดการ
วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 338 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ทรพั ยากร ภมู ิปัญญาท้องถนิ่ และอนื่ ๆ อนั สอดคลอ้ งกบั หลักการสิทธทิ ีว่ ่า สิทธทิ เ่ี จ้าของจะอ้างความ ชอบธรรมของตนเองได้ หาใชเ่ ปน็ สงิ่ ทเี่ จา้ ตวั กำ� หนดฝา่ ยเดยี ว แตต่ อ้ งเปน็ การยอมรบั จากสงั คมไปพรอ้ มกนั (Thaweewong, 2009) ซงึ่ การจำ� กดั สทิ ธนิ โี้ ดยกฎหมายจะทำ� ไดก้ ต็ อ่ เมอื่ เปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนข์ องสงั คม เท่าน้นั และต้องจ่ายค่าทดแทนอย่างเปน็ ธรรม นอกจากนี้ รัฐยงั ต้องปรับปรงุ กฎหมายและด�ำเนินการ รองรับสิทธิชุมชนให้มีประสิทธภิ าพมากขึ้น ดงั น้นั สงั คมจงึ มหี นา้ ท่ีสนับสนนุ ความเข้มแข็งชุมชนดว้ ย จึงจะท�ำใหส้ ิทธิชมุ ชนมคี วามยง่ั ยนื อย่างไรก็ตาม สิทธิชุมชนไม่ใช่สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนสิทธิปัจเจก และสิทธิรัฐท่ีเจ้าของใช้สิทธ์ิตนเองกีดกันการเกี่ยวข้องจากภายนอกอย่างส้ินเชิง แต่เป็นกิจกรรมท่ี ต้องการการสนับสนุนจากเครือข่ายท้องถ่ิน ประชาสังคม และรัฐ โดยชุมชนสามารถจัดอ�ำนาจ ความสัมพันธ์ในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยให้ความส�ำคัญกับสี่ประการ ประการแรก คอื การใหค้ วามสำ� คญั กบั “สทิ ธขิ องผมู้ ากอ่ น” ประการทส่ี อง คอื การครอบครองเพอ่ื การใชป้ ระโยชน์ ประการทสี่ าม คอื การครอบครองทรพั ยากรในจำ� นวนจำ� กดั เฉพาะทใ่ี ชป้ ระโยชน์ และประการสดุ ทา้ ย คอื การใหค้ วามส�ำคญั กับสิทธิท่ีไมส่ รา้ งความเดือดรอ้ นหรอื ละเมดิ สทิ ธผิ ้อู น่ื สำ� หรบั หลกั สทิ ธชิ มุ ชนในการจดั การทรพั ยากรประมงทยี่ อมรบั กนั ทว่ั ไป ไดแ้ ก่ การสรา้ งความ ตระหนกั ถงึ สทิ ธชิ มุ ชน/ความรบั ผดิ ชอบ (บทบาท) ของสถาบนั องคก์ รชมุ ชนทจ่ี ะจดั การทรพั ยากร ตอ้ ง เปน็ กลมุ่ องคก์ รของชาวประมงทต่ี นื่ ตวั ซง่ึ ประกอบดว้ ย สทิ ธใิ นการจดั การทรพั ยากรชายฝง่ั รกั ษาดแู ล และทำ� การประมง สทิ ธใิ นการใชท้ รพั ยากร หาด ฝั่ง จอดเรอื ตกปลา ฯลฯ และสทิ ธใิ นทางเศรษฐกิจ โดยมเี กณฑใ์ นการแยกแยะสทิ ธิ คอื เกณฑเ์ กย่ี วกบั องคค์ วามรใู้ นการจดั การทรพั ยากร หมายถงึ ความรู้ ในระบบนเิ วศของทรัพยากร ฤดกู าล ชนดิ สัตว์น้�ำ การเติบโต ถ่นิ ท่ีอยู่ ลกั ษณะนิสยั รู้จกั เลอื กจบั และ ความรดู้ า้ นความเชอ่ื ทเ่ี ชอ่ื วา่ ทะเลเปน็ ของทกุ คน สามารถจบั ปลาไดห้ ากเคารพกตกิ าของชมุ ชน สำ� หรบั ด้านขอบเขตของสิทธิ ถึงแม้จะไม่ควรมีการจ�ำกัดพื้นที่ว่าได้เท่าไร อย่างไร แต่ควรก�ำหนดขอบเขต การจัดการทรพั ยากรในพน้ื ทจ่ี ากฐานทรพั ยากรของระบบนเิ วศใหถ้ กู ตอ้ งและปรากฏชดั เจนตอ่ ชมุ ชน ใหพ้ วกเขาไดร้ บั รสู้ ทิ ธอิ นั พงึ มี เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารแกป้ ญั หาการจดั การทรพั ยากร และเพอื่ สรา้ งความเขม้ แขง็ ของชมุ ชนในการปกปอ้ งทรพั ยากรธรรมชาตใิ นทอ้ งถน่ิ ของตนเองใหย้ ง่ั ยนื ดงั รปู กรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎี และวธิ กี ารวิจัย ดงั ต่อไปนี้
การเขา้ ถึงสทิ ธิชุมชนของชุมชนประมงพน้ื บ้านอ่าวปตั ตานี 339 วารุณี ณ นคร มาตรการเพื่อขบั เคล่ือนการเขา้ ถึงสทิ ธิชุมชน ของชาวประมงพ้ืนบา้ นอา่ วปัตตานี สทิ ธิชุมชนในอนาคต 1.องคป์ ระกอบ สทิ ธชิ มุ ชน 3. ขอบเขตสิทธิ 2. วิธีการเข้าถงึ ปญั หา - การอนรุ กั ษ/์ ฟื้นฟู - ดาเนินการโดยชมุ ชน - กาหนดให้ถกู ต้อง ความ สทิ ธิ - การจดั การและพัฒนา - กระจายอานาจใหท้ อ้ งถ่นิ - ชัดเจน ตอ้ งการ ชุมชน - การใชท้ รพั ยากร - สิทธิพเิ ศษแก่ผูท้ าประมง - เปน็ ที่รับรู้ มสี ิทธิ - สทิ ธทิ างเศรษฐกิจ แบบรบั ผดิ ชอบ ชุมชน บริบท: วิถีการทาประมงพ้นื บ้านในพ้นื ทช่ี ุมชนประมงอ่าวปัตตานี รูปที่ 1 กรอบแนวคดิ เชิงทฤษฎี การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผวู้ จิ ยั ใชว้ ธิ กี ารสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ เจา้ หนา้ ทภี่ าครฐั ในหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ ง การสมั ภาษณก์ ลมุ่ ผนู้ ำ� และตวั แทนชาวประมงพนื้ บา้ นเพอื่ สำ� รวจขอ้ มลู เบอื้ งตน้ จากนน้ั จงึ จดั ประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื คน้ หา ภาพอนาคต (Future Search Conference: F.S.C.) ระยะเวลา 2 วัน โดยคัดเลอื กผู้เข้าร่วมกิจกรรม จากกลุ่มประชาชนและชาวประมงพ้ืนบ้านรอบอ่าวปัตตานี จ�ำนวน 30 คน เพ่ือท�ำกิจกรรมร่วมกัน ดังนี้ 1) การแลกเปล่ียนความรู้เกี่ยวกับสิทธิชุมชนผ่านการชมภาพยนตร์ต่างประเทศที่มีเนื้อหา เกี่ยวกับสิทธชิ มุ ชน 1 เรอ่ื ง และใหแ้ สดงความคิดเหน็ จากประสบการณ์ในพื้นที่เกี่ยวกบั ประเดน็ เร่อื ง สิทธิชมุ ชน 2) กิจกรรมระดมสมอง กลุม่ ละ 5 คน เพอื่ ตอบคำ� ถามและสำ� รวจขอ้ มูลเก่ยี วกับชุมชน ได้แก่ ประเด็นความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น�้ำ ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม รอบอ่าวปัตตานี ประเด็นปัญหาการเคล่ือนไหวในชุมชน การรวมกลุ่มในชุมชน การสนับสนุนจาก หน่วยงานภายนอก ความขัดแยง้ ในพื้นที่อา่ วปตั ตานี 3) กิจกรรมการแสดงละครสะท้อนสถานการณ์สิทธิชุมชนและเสนอภาพอนาคตในชุมชนท่ี ตอ้ งการให้เกดิ ขึน้ โดยให้ผูเ้ ข้ารว่ มแบง่ เป็นสามกล่มุ โดยสมัครใจ เพื่อคดิ บทและแสดงละคร 4) กิจกรรมการวางแผนปฏิบัติการชุมชนเพ่ือขับเคลื่อนภาพอนาคตของชุมชน โดยสรุปผล การน�ำเสนอจากละครแล้วให้ชุมชนร่วมกันค้นหาวิธีการ แนวทาง รูปแบบท่ีเป็นไปได้ และเง่ือนไข แห่งความส�ำเร็จท่จี ะน�ำไปสู่การเขา้ ถึงสิทธชิ ุมชนของชาวประมงพืน้ บา้ นอ่าวปัตตานี
วารสารหาดใหญ่วชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 340 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 การวิเคราะหข์ ้อมูล การวิจยั น้ี ใช้การวิเคราะห์เนอื้ หา (Content Analysis) และได้ผา่ นการรบั รองด้านจริยธรรม การวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เลขที่รับรอง psu.pn.2-047/60 ผลการวจิ ยั บรบิ ทวิถกี ารท�ำประมงพ้ืนบา้ นในอ่าวปัตตานี ชาวประมงในอา่ วปตั ตานี สามารถจำ� แนกไดเ้ ปน็ ผทู้ ที่ ำ� ประมงแบบรบั ผดิ ชอบ (Conservation Folk Fisherman) กบั ผทู้ ที่ ำ� ประมงทวั่ ไป (Conventional Fisherman) ในการวจิ ยั นเี้ รยี กวา่ ชาวประมง พน้ื บา้ นกับชาวประมงทั่วไป ซึ่งปรับเปลี่ยนเครื่องมือการท�ำประมงตามพัฒนาการของการจับสัตว์น�้ำ พลวตั ของวถิ กี ารทำ� ประมงชาวประมงในอา่ วปตั ตานี คอื จากอดตี ชาวประมงดงั้ เดมิ ในชมุ ชนทำ� ประมง พนื้ บา้ นเพอ่ื หาเลยี้ งชพี ดว้ ยวถิ ธี รรมชาติ จบั สตั วน์ ำ้� ทตี่ นมคี วามชำ� นาญตามเครอ่ื งมอื และวธิ ที ไี่ ดร้ บั การ ถา่ ยทอดมาจากบรรพบรุ ษุ ชาวประมงพนื้ บา้ นมที งั้ ประเภททม่ี เี รอื เลก็ และประเภททไี่ มม่ เี รอื ซง่ึ หากนิ ตามชายเลน ใชอ้ ปุ กรณเ์ ลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ในการจบั ปลา บางคนจบั ปลาดว้ ยมอื หรอื ขา ชาวประมงพนื้ บา้ น แตล่ ะครอบครวั รจู้ กั ฤดกู าล ชว่ งเวลา และพนื้ ทก่ี ารทำ� ประมงจนเปน็ ทร่ี กู้ นั ในชมุ ชนวา่ พนื้ ทใี่ ดเปน็ พนื้ ที่ ประจำ� ในการหาสัตวน์ ำ้� ของครอบครวั ไหน จนมชี ื่อเรยี กพ้ืนทน่ี ัน้ ๆ ท่ีตนสามารถหาสัตวน์ ำ�้ แตล่ ะชนดิ ได้ การใช้สิทธใิ นการจับจองพ้นื ทท่ี ำ� มาหากินของคนสมัยกอ่ น ใชช้ ่ือคนเป็นชอ่ื เรียกพนื้ ที่ เช่น ลาโจะ๊ เปาะฮะ ลาโจ๊ะเจะซีตี ลาโจ๊ะดือเระ ชาวบ้านเรียกพ้ืนท่ีน้ันเพราะเห็นว่าคน ๆ นั้น ออกไปหาปลา เป็นประจ�ำทุกวันในเวลาเดิม และเวลานั้นเป็นพ้ืนที่ของเขา พอคนน้ันเสียชีวิตลงคนอื่นก็ไปใช้พ้ืนที่ ในเวลานั้น ๆ ได้ แตต่ อ้ งใหเ้ กยี รตแิ ละเคารพเจา้ ของเดมิ วธิ กี ารแบบนถี้ อื เปน็ ภมู ปิ ญั ญาในการแบง่ สรร และกระจายการจัดการพื้นที่เพื่อใช้ทรัพยากร ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติของคนในพื้นท่ีอ่าวปัตตานีท่ีสะท้อน การเคารพสิทธิของผมู้ ากอ่ น ทำ� ใหก้ ารใชพ้ นื้ ทแี่ ละประเภทของสตั วน์ ำ้� ทชี่ าวประมงแตล่ ะครอบครวั ใช้ ไมท่ บั ซอ้ นกนั และดว้ ยความอดุ มสมบรู ณข์ องทรพั ยากรทำ� ใหช้ าวประมงใชช้ วี ติ อยา่ งพอเพยี งไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งหาสตั ว์น้�ำเพอ่ื สะสมเงินทองทรพั ย์สนิ เนอื่ งจากเห็นว่าถา้ จะกินเม่อื ไรกส็ ามารถออกจบั สัตว์น้�ำได้ หน้าบ้านตนเอง เม่ือสังคมพัฒนาข้ึนประชากรจ�ำนวนมากขึ้น ประกอบกับมีคนนอกพื้นท่ีอพยพมา ต้ังถิ่นฐานบ้านเรือนเกิดเป็นชุมชนใหม่ ๆ มาพร้อมกับความคิดแบบทุนนิยม และน�ำเครื่องมือการ จับสัตว์น้�ำท่ีมีการพัฒนา ซึ่งแตกต่างจากเคร่ืองมือของชาวประมงดั้งเดิมในพ้ืนที่ ก่อให้เกิดปัญหา การใช้เครอ่ื งมอื จบั สตั วน์ ำ้� ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ วถิ เี ดมิ โดยจบั ทงั้ สตั วเ์ ลก็ และสตั วใ์ หญ่ และบางครงั้ นายทนุ ยงั จบั จองพน้ื ทใ่ี นอา่ วเพอื่ เลยี้ งสตั วน์ ำ�้ โดยหา้ มใครจบั สตั วน์ ำ�้ ในพนื้ ทน่ี นั้ และบางครงั้ กเ็ ปน็ การกดี ขวาง การออกเรอื หรอื การใชว้ ธิ กี ารจบั สตั วน์ ำ�้ ของชาวประมงตามวถิ ดี งั้ เดมิ ทเ่ี คยทำ� เปน็ ประจำ� การใชเ้ ครอื่ งมอื จบั สตั วน์ ำ้� มพี ฒั นาการมาตลอดเพอื่ ใหส้ ามารถจบั สตั วน์ ำ�้ ไดม้ ากขน้ึ เพอ่ื กอบโกยรายไดจ้ ากทรพั ยากร ในอา่ ว ส่งผลให้การจัดสรรพน้ื ที่ และการกระจายทรัพยากรในพืน้ ท่ีอ่าวเปล่ียนแปลงไปอย่างไม่สมดุล แตกตา่ งจากเดมิ
การเข้าถงึ สทิ ธชิ ุมชนของชุมชนประมงพื้นบ้านอ่าวปตั ตานี 341 วารุณี ณ นคร มติ ดิ า้ นความสมั พนั ธเ์ ชงิ อำ� นาจและการจดั สรรทรพั ยากรระหวา่ งตวั แสดงตา่ ง ๆ ในอา่ วปตั ตานี เปลยี่ นไปอยทู่ ภี่ าครฐั และเอกชน ทำ� ใหค้ นดง้ั เดมิ มสี ทิ ธลิ ดลงจากการเขา้ ถงึ การใชท้ รพั ยากร การบรหิ าร จัดการทรัพยากร ซึ่งน่ันย่อมส่งผลต่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรที่เส่ือมโทรมและลดลงจากการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อเน่ืองต่อสิทธิทางเศรษฐกิจ คือ ท�ำให้ชาวประมงดั้งเดิมมี รายไดจ้ ากอาชพี ประมงลดลงดว้ ย เนอ่ื งจากโครงการพฒั นาจากภาครฐั ทท่ี ำ� ใหร้ ะบบนเิ วศเปลย่ี นแปลง ไป การปล่อยน้�ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ขนาดย่อม และครัวเรือน การใช้พ้ืนท่ีอ่าว เลี้ยงสัตว์น�้ำ เศรษฐกิจจากนายทุนนอกพื้นที่ การที่นายทุนให้ชาวประมงท่ีไม่มีทุนจ่ายค่าเครื่องมือ จับสัตว์น้�ำทสี่ ามารถจับสัตว์น้ำ� ได้ไม่จำ� กัดเพื่อแลกกบั การยังคงมีอาชพี และรายได้ วิถกี ารทำ� ประมงที่ ตรงข้ามกันท�ำให้เกิดการตอ่ สแู้ ละความขัดแย้งระหว่างตัวแสดงตา่ ง ๆ ท่ีมีความคิด ความเช่ือ และการ ใชท้ รพั ยากรท่ีแตกตา่ งกัน ซง่ึ อาจแบง่ เปน็ สองฝ่ายหลัก ๆ คือ ผทู้ ที่ ำ� ประมงแบบรบั ผิดชอบกับผ้ทู ่ีทำ� ประมงท่ัวไป ปัจจุบันพบว่า กลุ่มคนที่ท�ำประมงพื้นบ้านแบบรับผิดชอบมีจ�ำนวนลดน้อยลง แม้ว่า หลังจากเกิดการต่อสู้เรียกร้องสิทธิชุมชน และรัฐได้ก�ำหนดนโยบายและตรากฎหมายเกี่ยวกับการ ท�ำประมงอย่างย่ังยืนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่ากฎหมายหรือนโยบายที่เกิดข้ึนภายหลัง วถิ ชี มุ ชนดง้ั เดมิ มที ง้ั กฎหมาย และนโยบายทกี่ ระทบสทิ ธชิ มุ ชนของชาวประมงพนื้ บา้ นและสง่ เสรมิ สทิ ธิ ชุมชน ในขณะที่เมื่อการบังคับใช้กฎหมายหรือการน�ำนโยบายมาปฏิบัติยังคงต้องพัฒนาให้เหมาะสม กับสภาพบริบทชุมชนมากขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอ่าวปัตตานีท�ำให้หลายครั้งท้ังชาวประมง ที่ท�ำการประมงแบบทัว่ ไป และชาวประมงพืน้ บ้านทม่ี วี ิถีด้ังเดิมแต่ขัดต่อกฎหมายตอ้ งตกอย่ใู นฐานะ ของผตู้ อ้ งหาหรอื ผทู้ ำ� ผดิ กฎหมายดว้ ย เชน่ แตเ่ ดมิ ชาวประมงใชว้ ธิ กี ารวางซง้ั ในทะเลเพอื่ อนบุ าลสตั วน์ ำ้� และจับสัตว์ที่มาอาศัยหลบอยู่บริเวณซ้ังเป็นแหล่งรายได้ แต่เมื่อมีกฎหมายก�ำหนดพ้ืนที่การวางซั้ง ในทะเล หากใครฝา่ ฝนื ถอื วา่ กระทำ� ผดิ กฎหมายเนอื่ งจากทำ� ใหน้ ำ้� ไหลเวยี นไดไ้ มด่ ี และมผี ลตอ่ ระบบนเิ วศ แตร่ ฐั กลบั ใชว้ ธิ กี ารอนรุ กั ษฟ์ น้ื ฟทู รพั ยากรธรรมชาตโิ ดยการประกาศเขตอนรุ กั ษส์ ตั วน์ ำ้� ไมใ่ หช้ าวประมง พ้ืนบ้านจับสัตว์น�้ำได้เพราะผิดกฎหมาย ท�ำให้ชาวบ้านรู้สึกว่ากฎหมายที่เกิดข้ึนภายหลังกลับละเมิด สิทธิชุมชน และท�ำให้ชุมชนไม่สามารถใช้สิทธิในการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรในอ่าวและสิทธิในการใช้ ทรพั ยากรในอา่ วตามวถิ เี ดมิ ทเ่ี คยทำ� มา เหน็ ไดว้ า่ ในอา่ วปตั ตานเี มอ่ื ชาวประมงไมไ่ ดส้ ทิ ธใิ นการบรหิ าร จดั การก็จะสง่ ผลต่อเน่อื งถงึ สิทธิในการอนุรักษ์ฟน้ื ฟู สิทธใิ นการใช้ และสิทธิทางเศรษฐกจิ เกิดปญั หา ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติเสอ่ื มโทรม ปัญหาสงั คมจากปญั หาปากทอ้ ง และปัญหาความขดั แย้งตามมา จนถึงขั้นการใช้ความรุนแรงเพ่ือต่อสู้/จัดการปัญหา ดังน้ัน การให้ความส�ำคัญกับสิทธิชุมชนในพื้นที่ อ่าวปัตตานีจึงเกี่ยวข้องกับเร่ืองอื่น ๆ ไม่ว่าจะความเป็นธรรม การแก้ปัญหาความยากจนและความ เหลอ่ื มลำ้� ทางรายได้ ความมน่ั คงทางอาหาร ความยงั่ ยนื ทางสง่ิ แวดลอ้ ม และความหลากหลายทางชวี ภาพ เพ่ือสง่ ตอ่ ให้แกล่ กู หลานในอนาคต ปญั หาด้านสิทธชิ มุ ชนของชาวประมงพน้ื บา้ นอา่ วปตั ตานี จากกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสิทธิชุมชนท่ีผู้วิจัยให้ผู้เข้าร่วม กจิ กรรมชมภาพยนตรเ์ รอื่ งอวตารประเดน็ เกย่ี วกบั สทิ ธชิ มุ ชนทปี่ รากฏในเรอื่ ง คอื ตน้ ไมใ้ หญท่ ชี่ าวเผา่
วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 342 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 โอมาติกาย่าเชื่อว่าเป็นท่ีศักด์ิสิทธ์ิที่เป็นพ้ืนที่สาธารณะท่ีทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกัน การท�ำลายต้นไม้ จากคนนอกก็เปรียบเสมือนการเข้าไปละเมิดสิทธิชุมชนของคนด้ังเดิม เป็นการบีบบังคับให้คนด้ังเดิม ต้องย้ายออกไปจากพื้นที่ เพราะทรัพยากรท่ีเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตถูกท�ำลาย พวกเขาจึงรวมตัวกันต่อสู้ กบั การรกุ รานของคนนอกเพื่อรกั ษาต้นไม้ไว้ ซงึ่ เป็นการรกั ษาสทิ ธิชุมชนด้ังเดมิ คงวิถชี ีวิตของพวกเขา ตอ่ ไป ผวู้ จิ ยั ใชก้ จิ กรรมนเี้ พอ่ื สำ� รวจมมุ มองดา้ นสทิ ธชิ มุ ชนของผเู้ ขา้ รว่ ม โดยใชก้ ารแลกเปลยี่ นพดู คยุ และใหเ้ ปรยี บเทยี บสถานการณด์ า้ นสทิ ธชิ มุ ชนจากภาพยนตรก์ บั พนื้ ทอ่ี า่ วปตั ตานหี ลงั จากชมภาพยนตร์ พบว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสะท้อนว่า ส่ิงท่ีชุมชนประมงพ้ืนบ้านอ่าวปัตตานีประสบนั้นคล้ายคลึงกับใน ภาพยนตร์ คือ ชาวประมงพื้นบ้านมีวิถีชีวิตที่พ่ึงพิงและสอดคล้องกับฐานทรัพยากรธรรมชาติในอ่าว ต่อมามีคนนอกเข้ามารุกล้�ำวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นท่ีอ่าว แต่สิ่งท่ีแตกต่างกัน คือ ใน ภาพยนตรเ์ ปน็ การตอ่ สขู้ องกลมุ่ คนสองฝา่ ยดว้ ยการใชก้ ำ� ลงั แตใ่ นอา่ วปตั ตานเี ปน็ การตอ่ สดู้ ว้ ยกฎหมาย โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นคนกลาง มีพฤติกรรมเอนเอียงไปทางการเอ้ือประโยชน์ให้ฝ่ายนายทุนโดยใช้ ความไดเ้ ปรยี บศกึ ษากฎหมาย และพน้ื ทเี่ พอื่ ใชป้ ระโยชนจ์ ากชอ่ งโหวข่ องกฎหมายได้ ในขณะทช่ี าวบา้ น ในพ้ืนทไี่ มม่ ีความรู้ด้านกฎหมาย และไมร่ สู้ ิทธิของตนเองจงึ ถูกละเมิดและรดิ รอนสทิ ธิ เมอ่ื พจิ ารณาในหลกั การของสทิ ธชิ มุ ชนพบวา่ ผเู้ ขา้ รว่ มคอ่ นขา้ งมคี วามเขา้ ใจดา้ นองคป์ ระกอบ ของสทิ ธชิ มุ ชน การเขา้ ถงึ สทิ ธชิ มุ ชนและขอบเขตของสทิ ธชิ มุ ชน คอื กรอบสทิ ธชิ มุ ชนดา้ นองคป์ ระกอบ 1) การอนรุ กั ษ/์ ฟน้ื ฟู 2) การบรหิ ารจดั การ/ออกแบบ 3) การใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรเพอื่ หาเลย้ี งชพี ซง่ึ สบื เนอ่ื งกบั ขอ้ 4) สทิ ธทิ างเศรษฐกจิ ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมมมี มุ มองวา่ ชมุ ชนดง้ั เดมิ มวี ถิ ชี วี ติ ทสี่ อดคลอ้ ง องิ อาศยั กบั อา่ วปตั ตานใี นทกุ มติ ิ ชาวประมงพน้ื บา้ นเชอื่ วา่ สทิ ธชิ นุ ชนอา่ วปตั ตานี ใครกไ็ ดม้ สี ทิ ธเิ ทา่ กนั ในการประกอบอาชพี แตต่ อ้ งเคารพพนื้ ทที่ ำ� กนิ สำ� หรบั สทิ ธคิ วามเปน็ เจา้ ของ ไมใ่ ชข่ องใครคนใดคนหนง่ึ แต่เป็นของทุกคน คนในชุมชนมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ส่ิงที่เกิดข้ึน คือ กลุ่มคนบางกลุ่มกลับอ้างสิทธิ ชมุ ชนเพอ่ื เขา้ ไปจบั จองพน้ื ทขี่ องสาธารณะ ซง่ึ อาจกระทบสทิ ธขิ องคนอน่ื ทเี่ ปน็ การทำ� ประโยชนใ์ นพน้ื ที่ โดยคนสว่ นใหญท่ ไ่ี มเ่ หน็ ด้วย และละเมดิ สทิ ธชิ มุ ชน ส�ำหรับด้านการเข้าถึงสิทธิชุมชน ไม่ได้ด�ำเนินการโดยชุมชน มุมมองของชาวประมงพ้ืนบ้าน เห็นว่าการพัฒนาที่ท�ำให้ชุมชนที่มีวิถีแบบด้ังเดิมกลายเป็นเมือง การน�ำเอาความเจริญและโครงการ ตา่ ง ๆ เขา้ มาในพนื้ ท่ีจนบางครัง้ ละเลยการพจิ ารณาวา่ ขดั หรอื กระทบวถิ ีชีวิต อาชพี และความเป็นอยู่ ของคนดั้งเดิม ซ่ึงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพ้ืนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้มีการใช้อุปกรณ์ จับสัตว์น�้ำท่ีท�ำลายฐานทรัพยากร นโยบายหรือโครงการท่ีท�ำให้พ้ืนท่ีสาธารณะกลายเป็นพ้ืนที่ของ ปจั เจกบคุ คล จงึ นำ� ไปสกู่ ารตง้ั คำ� ถามจากชาวประมงพน้ื บา้ นวา่ ในกระบวนการพฒั นา ประชาชนในชมุ ชน มีสิทธิแคไ่ หนในการตัดสนิ ใจโครงการในพ้ืนทข่ี องเขา ซ่งึ สถานการณ์ทีเ่ กิดขึ้นกับอ่าวปัตตานีอยู่ในจุด ท่กี ารพฒั นาต้องแลกมากับความเหลวแหลกของชุมชน สงั คม การลม่ สลายของวฒั นธรรม การท�ำลาย ทรัพยากรธรรมชาติ โดยชุมชนอาจไม่มีสิทธิเลือกว่าเขาต้องการเปล่ียนแปลงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมใน อ่าวปัตตานีหรือไม่ สอดคล้องกับข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลุ่ม ซ่ึงกล่าวถึงข้อบกพร่องของการท�ำ
การเขา้ ถงึ สทิ ธชิ ุมชนของชมุ ชนประมงพื้นบ้านอ่าวปัตตานี 343 วารุณี ณ นคร ประชาคมในชุมชน คือ ไม่ได้ใช้กระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจากผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะ ชาวประมงพน้ื บา้ น เนอ่ื งจากผจู้ ดั ประชาคมไมถ่ ามความเหน็ ของประชาชน และเปน็ การทำ� ประชาคม ที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ท�ำให้โครงการภาครัฐท่ีเก่ียวกับอ่าวปัตตานีเปิดช่องว่างให้ ปัจเจกบุคคลเข้ามาแทรกแซง เช่น โครงการสรา้ งเขอ่ื นกั้นปากอ่าว ทำ� ให้น�ำ้ ลกึ เพ่อื ใชเ้ ป็นทางเดนิ เรอื พาณิชย์ ท�ำให้กระแสน้�ำไหลผิดปกติ ส่งผลให้จ�ำนวนสัตว์น�้ำบริเวณดังกล่าวลดลงอย่างรวดเร็ว เกิด ผลกระทบตอ่ ชาวประมงพนื้ บา้ นทมี่ วี ถิ ดี งั้ เดมิ คอื อาชพี จบั กงุ้ เคยขายขาดรายได้ วนั ละ 700-1,000 บาท เนอ่ื งจากกงุ้ เคยไมเ่ ขา้ ในอา่ ว เพราะสภาพตลงิ่ ดนิ เปลย่ี นไปเปน็ เขอื่ นปนู ซง่ึ สะทอ้ นวา่ โครงการเหลา่ นี้ ละเมดิ สทิ ธปิ ระมงพนื้ บา้ นในการทำ� มาหากนิ เลยี้ งครอบครวั นอกจากน้ี การจดั ประชาคมทมี่ ผี เู้ ขา้ รว่ ม สว่ นใหญ่ คอื ผนู้ ำ� หรอื พวกพอ้ งมากกวา่ ชาวบา้ น ทำ� ใหเ้ สยี งจากชาวบา้ นในเวทเี ปน็ เพยี งเสยี งสว่ นนอ้ ย ที่ไม่มีอ�ำนาจในการต่อรอง ท�ำให้ปัญหาและความต้องการที่แท้จริงไม่สะท้อนกลับไปยังผู้มีอ�ำนาจ เม่ือพิจารณาแล้วจะเห็นวา่ ปัญหาด้านการเขา้ ถึงสทิ ธิชมุ ชนจากกรณนี ้ี มี 2 ประการ คอื ประการแรก การท�ำประชาคม ซึ่งชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงการมีส่วนร่วม เนื่องจากคนที่ถูกเรียกมาท�ำประชาคม เป็นพวกพอ้ งกับผู้น�ำ สร้างความเบือ่ หน่ายให้กบั ชาวบ้าน เน่อื งจากมองว่าการประชาคมสดุ ท้ายไม่ได้ ช่วยให้ปัญหาท่ีสะท้อนไปในเวทีได้รับการแก้ไข และต้องด�ำเนินการแก้ปัญหาด้วยตนเองมากกว่าการ พง่ึ พารฐั จากกระบวนการทำ� ประชาคม รวมถงึ ปญั หาความไมเ่ ชอื่ ใจเรอ่ื งความโปรง่ ใสในการมสี ว่ นรว่ ม ของการท�ำประชาคม และประการที่สอง ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชนที่ไม่ เท่าเทียมกับประชาชนท่ีมักได้รับผลกระทบและความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร หรือการ ตีความการกระท�ำที่สุ่มเส่ียงต่อการท�ำผิดกฎหมาย ส่งผลให้การน�ำนโยบายหรือกฎหมายต่าง ๆ ไป ปฏิบัติมักเอนเอียงไปทางผู้มีอ�ำนาจด้านทรัพยากรการเงินมากกว่าชาวบ้าน สิทธิชุมชนในเรื่องวิธีการ เขา้ ถงึ สทิ ธปิ ระเดน็ การดำ� เนนิ การในชมุ ชนนน้ั ในบรบิ ทของอา่ วปตั ตานที ม่ี ชี อ่ งวา่ งตงั้ แตจ่ ดุ เรม่ิ ตน้ คอื โอกาสในการมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการตดั สนิ ใจ ยอ่ มทำ� ใหร้ ะดบั การดำ� เนนิ การโดยชมุ ชนซง่ึ เปน็ ระดบั ท่สี งู กว่ายง่ิ ยากตอ่ การเข้าถึงสทิ ธชิ ุมชนตามไปด้วย นอกจากน้ี ปัญหาการถูกละเมิดสิทธิชุมชนจากการรวมศูนย์ของผู้มีอ�ำนาจนอกพื้นท่ีที่อาศัย ขอ้ ไดเ้ ปรยี บในการใชอ้ ำ� นาจตดั สนิ ใจดำ� เนนิ การตา่ ง ๆ ในอา่ วผา่ นนโยบายและการปฏบิ ตั ทิ ไี่ มเ่ ปน็ ธรรม ซงึ่ กระทบตอ่ วถิ ชี วี ติ ชมุ ชนทำ� ใหเ้ หน็ วา่ สทิ ธดิ งั กลา่ วไมไ่ ดด้ ำ� เนนิ การโดยชมุ ชน แตด่ ำ� เนนิ การโดยเอกชน ซง่ึ บางชว่ งไดร้ บั การสนบั สนุนจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ในขณะที่ด้านขอบเขตสิทธินั้นผูเ้ ข้ารว่ มสะท้อนถงึ ช่องว่างของขอบเขตสิทธิชุมชนในอ่าวปัตตานีว่า ไม่ได้มีการก�ำหนดขอบเขตการใช้พื้นที่สิทธิชุมชนท่ี ชดั เจน ทำ� ใหค้ นนอกเขา้ มาใชป้ ระโยชนใ์ นพน้ื ทโ่ี ดยขาดความรบั ผดิ ชอบและกระทบตอ่ วถี ชี วี ติ และรายได้ ของชมุ ชนดง้ั เดิม สำ� หรับในการเผยแพร่ความรเู้ รอื่ งสทิ ธิชมุ ชนกย็ ังไม่ไดใ้ หค้ วามรูต้ อ่ ชาวบ้านธรรมดา ในพ้ืนที่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ดังน้ัน จึงเห็นได้ว่าผู้ที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวหรือต่อสู้เรียกร้องด้าน สิทธิชุมชนในพ้ืนท่ีจึงมีเพียงกลุ่มผู้น�ำของชาวประมงพื้นบ้านท่ีได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน ภายนอกไมว่ า่ จะเปน็ องคก์ รนอกภาครฐั (NGOs) ภาคประชาสงั คมดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มและสถาบนั การศกึ ษา กับเจ้าหนา้ ท่ีภาครฐั บางคนเท่าน้ัน
วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 344 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ปรากฏการณข์ า้ งตน้ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากกจิ กรรมการนำ� เสนอละครสมมต1ิ ทมี่ ชี อ่ื เรอื่ ง วา่ “อา่ วตานีนี้ใครครอง” จดุ เร่ิมต้นของเรอื่ ง คือ ชาวบ้านคุยกันว่า สัตวน์ ำ�้ มีจำ� นวนน้อยลง จงึ พากัน ไปหาเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั และถามวา่ ทำ� ไมจงึ ปลอ่ ยใหใ้ ชเ้ ครอื่ งมอื ทำ� ลายลา้ งในอา่ ว เพราะสรา้ งความเดอื ดรอ้ น ใหช้ าวประมงพื้นบ้าน เจ้าหน้าท่รี ัฐคนนั้นตอบกลับมาวา่ มีกฎหมายท่กี ำ� หนดวา่ เคร่อื งมอื ทำ� ลายล้าง ผิดกฎหมาย แต่การนำ� กฎหมายไปบังคับใชไ้ ม่จริงจงั และเห็นใจในปญั หาของชาวประมง แตเ่ ครือ่ งมอื ดังกลา่ วมาจากนายทนุ วันตอ่ มาเจา้ หน้าทีร่ ัฐคนนั้นจึงไปหานายทนุ ผู้ขายเครอ่ื งมอื ประมงทำ� ลายลา้ ง และขอร้องใหเ้ ลกิ ขายเครอ่ื งมอื เน่ืองจากตนละอายที่มชี าวบา้ นมาเรยี กร้องให้ตนออกกฎหา้ มการนำ� เครือ่ งมอื ดังกล่าวมาขายในหมูบ่ า้ น แตน่ ายทนุ กลับตอบมาว่า ไม่ได้ เพราะตนเองจะขาดทุนหากไมน่ ำ� มาขายใหช้ าวบา้ น เจา้ หนา้ ทรี่ ฐั จงึ ตอบกลบั ไปวา่ ผมกเ็ กรงใจทา่ นเพราะทา่ นใหเ้ งนิ ผม นายทนุ จงึ เลยี้ ง น้�ำชาเจา้ หน้าที่รัฐรายนน้ั เพอ่ื แลกกบั การใหไ้ ปเจรจากบั ชาวบา้ นใหเ้ ลกิ ต่อตา้ นนายทนุ ละครสมมติเรื่องน้ี หากพจิ ารณาช่อื เรอื่ ง เสมอื นการต้งั คำ� ถามวา่ อา่ วปัตตานแี ท้จรงิ แล้วเป็น ของใคร และใครควรได้ใชป้ ระโยชนจ์ ากอ่าวท่เี คยมีทรัพยากรอดุ มสมบูรณ์ ระหว่างคนในอ่าวปัตตานี ทอี่ นรุ กั ษ์ และใชท้ รพั ยากรอยา่ งรบั ผดิ ชอบตามวถิ ดี งั้ เดมิ มาอยา่ งยาวนานกบั คนนอกทเ่ี ขา้ มากอบโกย ประโยชนจ์ ากอา่ วโดยขาดการใสใ่ จ สะทอ้ นปญั หาดา้ นสทิ ธชิ มุ ชนสองประการ คอื ประการแรก เปน็ การ เสียดสีพฤติกรรมของเจ้าหน้าท่ีรัฐ ที่ไม่ท�ำตามกฎหมาย ซึ่งชาวบ้านมองว่าสาเหตุท่ีรัฐกับเอกชน ช่วยเหลือกัน เนอื่ งจากผลประโยชนต์ า่ งตอบแทนซง่ึ เปน็ ปญั หาสาเหตขุ องปญั หาสทิ ธชิ มุ ชนในดา้ นการ เขา้ ถงึ สิทธิชมุ ชนในด้านด�ำเนินการโดยชมุ ชน แตอ่ ำ� นาจในการดำ� เนินการกลบั อยทู่ ่สี ว่ นกลางไมว่ ่าจะ เปน็ กฎหมายทต่ี ราขน้ึ และการใหเ้ จา้ หนา้ ทน่ี ำ� กฎหมายหมายมาบงั คบั ใช้ ตรงกบั ขอ้ มลู ในประเดน็ เรอ่ื ง การใชเ้ คร่อื งมือจับสตั ว์น้ำ� ผดิ กฎหมาย เชน่ ไอ้โง่ หรอื ลอบพับ ปจั จุบนั รัฐบาลยุคคณะรกั ษาความสงบ เรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ปฏิรูปการท�ำประมงโดยการจัดการอย่างย่ังยืนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ประกาศใชก้ ฎหมายหา้ มใชไ้ อโ้ งจ่ บั สตั วท์ ะเล แตก่ ฎหมายดงั กลา่ วไมส่ ามารถบงั คบั ใชไ้ ด้ เนอ่ื งจากขาด การเอาใจใส่จากเจ้าหนา้ ท่รี ฐั เมื่อชาวประมงไปเรียกรอ้ งใหจ้ บั ผ้ใู ช้ไอโ้ งก่ ลบั พบวา่ ไม่มกี ารด�ำเนินการ อย่างจริงจงั และปัญหาดงั กลา่ วยังคงอยู่อยา่ งต่อเน่อื ง และขยายไปสปู่ ัญหาความขัดแยง้ ระหว่างกลุ่ม ผู้ใช้และผู้ท่ีไม่สนับสนุนการใช้เครื่องมือจับสัตว์ดังกล่าว รวมทั้งส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น�้ำและรายได้ ของทั้งชาวประมงพื้นบ้านและคนท่ีใช้ไอ้โง่เองลดลงอีกด้วย เช่นเดียวกับกรณีท่ีรอบอ่าวปัตตานี มี ปัจเจกบุคคลสร้างคอนโดนกนางแอ่น ท�ำให้นกที่มากินอาหารที่ซั้งของชาวบ้านย้ายไปอยู่อาศัยและ ทำ� รงั ทคี่ อนโดนก ทงั้ ทช่ี าวบา้ นทำ� แหลง่ อาหารใหน้ ก แตป่ จั เจกบคุ คลซง่ึ เปน็ เอกชนคนนอกพนื้ ที่ ไดร้ งั นก ไปขาย และกอบโกยทรพั ยากรไปหมด โดยไมม่ สี ว่ นแบง่ ใหก้ บั ชาวบา้ นทส่ี รา้ งสงิ่ แวดลอ้ มใหอ้ ดุ มสมบรู ณ์ เพอื่ ใหน้ กมอี าหารตามธรรมชาติ นอกจากน้ี การทำ� ซง้ั ในทะเล ซงึ่ เปน็ สงิ่ ผดิ กฎหมาย ทำ� ลายระบบนเิ วศ ทำ� ใหร้ ะบบหมนุ เวยี นนำ้� ไมด่ ี แตช่ าวบา้ นกลบั มองวา่ รฐั ละเมดิ สทิ ธชิ มุ ชน เนอื่ งจากการสรา้ งซงั้ ในทะเล 1เป็นส่วนหน่ึงของการประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ือค้นหาภาพอนาคต (F.S.C.) โดยผู้วิจัยก�ำหนดให้ผู้ร่วมกิจกรรมแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ตามความสมัครใจ และใหท้ กุ กลมุ่ คดิ ละครสมมติ ประกอบดว้ ย ชอื่ เรอื่ ง คดิ บท เนอื้ เรอ่ื งทต่ี นเองตอ้ งการนำ� เสนอภายในเวลาหนง่ึ ชวั่ โมง และใหส้ มาชิกในกลุ่มน�ำเสนอด้วยการแสดงละคร เรอื่ งละไมเ่ กนิ 15 นาที
การเขา้ ถึงสทิ ธชิ ุมชนของชมุ ชนประมงพ้ืนบ้านอา่ วปัตตานี 345 วารุณี ณ นคร ชาวประมงตอ้ งการฟน้ื ฟสู ตั วน์ ำ้� ใหอ้ ดุ มสมบรู ณ์ ซง่ึ ซง้ั ถอื เปน็ แหลง่ อนบุ าลสตั วน์ ำ�้ และเปน็ แหลง่ รายได้ ใหแ้ กช่ าวประมง การดำ� รงชวี ติ แบบเดมิ ของชาวบา้ นทม่ี มี ากอ่ นทกี่ ฎหมายกำ� หนด ในขณะนก้ี ลบั ขดั แยง้ กับกฎหมายที่ก�ำหนดข้ึนมาภายหลัง ซ่ึงขัดกับวิถีชีวิตด้ังเดิมและขัดต่อสิทธิในการอนุรักษ์ฟื้นฟู ทรพั ยากรธรรมชาตขิ องชุมชน สถานการณ์ดังกล่าวก�ำลังเป็นปัญหาท่ีท�ำให้ชุมชนหันมาตระหนักถึงผลท่ีเกิดข้ึนอย่างชัดเจน ชาวประมงพื้นบา้ นด้งั เดมิ กล่าววา่ “คนนอกไม่สนใจทรพั ยากรในพ้ืนท่ีเทา่ คนใน” กฎหมายทมี่ าจาก ประชาชนผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ในพน้ื ทยี่ อ่ มไมส่ อดคลอ้ งกบั สภาพความเปน็ จรงิ เมอื่ นำ� มาบงั คบั ใช้ ประกอบกบั เมื่อเจ้าหน้าทีร่ ัฐไมส่ ามารถดำ� เนนิ การไดด้ ้วยสาเหตุหลายประการ ขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการสมั ภาษณ์เชิงลกึ เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องพบว่า การน�ำกฎหมายหลายฉบับไปบังคับใช้ในทางปฏิบัติน้ันมีความ ละเอียดอ่อนซ่ึงสุ่มเส่ียงต่อการท�ำผิดกฎหมายของเจ้าหน้าที่ และด้วยข้อจ�ำกัดด้านงบประมาณและ ก�ำลังคน เชน่ หากเจ้าหนา้ ทีต่ อ้ งตระเวนตรวจสอบการท�ำเคร่อื งมือประมงผิดกฎหมายนนั้ จ�ำเป็นตอ้ ง เปน็ ความผดิ ซง่ึ หนา้ ซง่ึ หากเพยี งแคค่ รอบครองยงั ไมส่ ามารถจบั กมุ ผคู้ รอบครองได้ เนอื่ งจากตวั เจา้ หนา้ ท่ี เองอาจถกู ฟอ้ งรอ้ งฐานหมนิ่ ประมาทได้ นอกจากนี้ ขอ้ จำ� กดั เรอ่ื งงบประมาณและกำ� ลงั คนทำ� ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี ไม่สามารถตรวจสอบไดต้ ลอดเวลา เพราะตอ้ งเสียคา่ ใชจ้ า่ ยเรื่องค่าน้�ำมนั เรอื การบำ� รุงรักษาเรือ และ อุปกรณ์ซึ่งมีไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน เนื่องจากปัญหาด้านกระบวนการด�ำเนินการภาครัฐที่อาจ ล่าช้า เป็นต้น นอกจากนี้ หน่วยงานที่มีอ�ำนาจหน้าท่ีในพ้ืนท่ีอ่าวปัตตานีมีหลายหน่วยงานท่ีบทบาท แตกต่างกนั ดังนน้ั อาจประสบปญั หาเรอื่ งความคล่องตวั ในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ี หากการลงพ้ืนทท่ี �ำงาน ทกุ ครง้ั ตอ้ งไปพรอ้ มกัน เพ่อื ใหส้ ามารถแกไ้ ขปัญหาไดค้ รบวงจร ด้วยสถานการณ์ทั้งหมดท�ำให้ปัญหาและผลกระทบตกแก่ชาวประมงพ้ืนบ้านในชุมชนอย่าง หลีกเลี่ยงไดย้ าก ประการที่สอง คอื ปญั หาดา้ นสทิ ธิชมุ ชนในการบริหารจดั การและการใช้ทรัพยากร และสทิ ธทิ างเศรษฐกจิ ซงึ่ เปน็ องคป์ ระกอบของสทิ ธชิ มุ ชนทส่ี ะทอ้ นวา่ นายทนุ และชาวประมงสนใจแต่ ผลประโยชน์ของตนเอง จนเกิดเป็นความขัดแย้งของชาวประมงทั่วไปกับชาวประมงพ้ืนบ้าน แม้ว่า ชาวประมงทงั้ สองกลมุ่ ตา่ งมเี หตผุ ลและความจำ� เปน็ ทต่ี อ้ งทำ� เพอื่ ปากทอ้ งของครอบครวั ทง้ั สน้ิ แตก่ าร ทำ� ประมงแบบกอบโกยจากทรพั ยากรธรรมชาติ ทำ� ใหช้ าวประมงพนื้ บา้ นสญู เสยี รายได้ และตอ้ งเปลยี่ น อาชีพหากสัตว์น้�ำลดลงจากการท�ำประมงโดยใช้เคร่ืองมือกฎหมาย และท�ำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยพฤตกิ รรมของรฐั และนายทนุ เปน็ สาเหตขุ องปญั หาเรอื้ รงั และสง่ ผลกระทบบานปลายทยี่ ากตอ่ การ แก้ไข ขอ้ มลู จากละครสมมตเิ รอื่ ง “อยา่ ลมื ฉนั ” เปน็ เรอ่ื งของครอบครวั ชาวประมงพน้ื บา้ นครอบครวั หนงึ่ มพี ่อ แม่ ลูก นั่งคยุ กนั วา่ ปลาหาไม่ได้ จงึ ไมม่ ีเงนิ ใหล้ กู ไปเรยี น ตอ้ งไปหาก�ำนัน ผู้ใหญ่บา้ น เม่อื ไป เจอผนู้ ำ� ผเู้ ปน็ พอ่ จงึ ปรบั ทกุ ขใ์ หฟ้ งั วา่ รายไดจ้ ากการหาปลาของเขาไมพ่ อเลย้ี งดคู รอบครวั ผนู้ ำ� ชมุ ชน จงึ ใหไ้ ปหานายอำ� เภอ เมอื่ ไปพบนายอำ� เภอ นายอำ� เภอถามวา่ ตอ้ งการอะไร ชาวบา้ นจงึ บอกวา่ ตอ้ งการ เปด็ หรอื แพะมาเลย้ี งเป็นอาชพี เสริมในช่วงมรสมุ ท่ไี มส่ ามารถออกเรือได้
วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 346 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ปัญหาด้านสิทธิชุมชนจากเร่ืองนี้ คือ ปัญหาด้านการก�ำหนดขอบเขต ที่ไม่ได้มีการก�ำหนด ขอบเขตดา้ นสทิ ธอิ ยา่ งถกู ตอ้ งตามวถิ ขี องชาวประมงแตล่ ะประเภท และไมไ่ ดม้ คี วามชดั เจนวา่ ชาวประมง พื้นบ้านมีขอบเขตด้านสิทธิแค่ไหนเพียงไร โดยสร้างการรับรู้และเคารพสิทธิของชุมชนด้ังเดิมไม่ให้ กระทบกับวิถีเดิมจนส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบของสิทธิทางเศรษฐกิจของชาวประมงพื้นบ้าน สะทอ้ นวา่ การทำ� อาชพี ประมงพนื้ บา้ นมลี กั ษณะการหาเชา้ กนิ คำ�่ และไมไ่ ดจ้ บั ปลาแบบกอบโกย วนั ไหน ได้ออกเรือก็มีรายได้ วันไหนไม่สามารถออกเรือได้ รายได้ก็หายไปด้วย ซ่ึงเป็นวิถีด้ังเดิมของชุมชน ในพน้ื ทท่ี หี่ าพอกนิ ไมก่ ระทบตอ่ ความอดุ มสมบรู ณข์ องทรพั ยากร แตข่ ณะเดยี วกนั เมอื่ สภาพความสมบรู ณ์ ในอา่ วเปลย่ี นแปลงวถิ ชี วี ติ ของชาวประมงกต็ อ้ งปรบั ตวั ตาม โดยเรยี นรกู้ ารทำ� อาชพี อน่ื เพม่ิ เตมิ เพอ่ื หา เลยี้ งชพี ชอ่ งวา่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ คอื เมอ่ื ทรพั ยากรสตั วน์ ำ้� ลดลง ชาวประมงไมม่ รี ายไดด้ งั เดมิ จากปญั หาดงั กลา่ ว เหน็ ไดจ้ ากขอ้ มลู กจิ กรรมที่ 2 กจิ กรรมระดมสมอง ผเู้ ขา้ รว่ มใหข้ อ้ มลู วา่ การเขา้ มาของนายทนุ ทำ� นากงุ้ และโรงงานอตุ สาหกรรมทที่ ำ� ใหป้ า่ ชายเลนเสอื่ มโทรมและลดลง สง่ ผลตอ่ ปรมิ าณสตั วน์ ำ�้ จากเดมิ ทป่ี ลา วางไข่ แลว้ ไขป่ ลาเสยี 20 เปอรเ์ ซนต์ ปจั จบุ นั เพม่ิ ไขป่ ลาเสยี ถงึ 80 เปอรเ์ ซน็ ต์ และทำ� ใหส้ าหรา่ ยผมนาง ทเี่ ปน็ พชื เศรษฐกจิ ของทอ้ งถนิ่ มปี รมิ าณลดลงดว้ ย ชาวประมงพนื้ บา้ นประเภททไี่ มม่ เี รอื แตจ่ บั สตั วน์ ำ�้ ด้วยภูมิปัญญาตามชายเลนเริ่มหายไป ระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมจากการพัฒนาที่หนีห่างจากสภาวะ ด้ังเดิม หันมาใช้ระบบคิดและระบบคุณค่าแบบสังคมเมือง โดยน�ำความเจริญมาสู่พ้ืนท่ีจนละเลยการ พิจารณาวิถีชีวิต อาชีพ และความเป็นอยู่ของคนด้ังเดิมในพ้ืนท่ีนี้เองท่ีเป็นปัญหาละเมิดสิทธิประมง พื้นบ้านในการทำ� มาหากนิ เลยี้ งชพี เลยี้ งครอบครวั จงึ เปน็ ปญั หาสทิ ธชิ มุ ชนในองคป์ ระกอบดา้ นการใช้ ทรพั ยากรตอ่ เนอ่ื งถึงสิทธทิ างเศรษฐกิจด้วย ละครเรอ่ื งเรอ่ื งสดุ ทา้ ย ชอ่ื เรอ่ื ง “ตะโละตานงิ รเู มาะหก์ ตี อ” เนอ้ื เรอ่ื งโดยสรปุ มอี ยวู่ า่ ชาวประมง พบวา่ มสี ตั วน์ ำ้� ลดลงมากจากการทำ� ประมงทใ่ี ชเ้ ครอ่ื งมอื ทำ� ลายลา้ ง จงึ รอ้ งเรยี นผนู้ ำ� ชมุ ชน ผนู้ ำ� ชมุ ชน จงึ ไปรอ้ งเรยี นทเี่ จา้ หนา้ ทร่ี ฐั เนอื่ งจากชาวบา้ นทำ� มาหากนิ ลำ� บาก เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั จงึ บอกวา่ จะใหอ้ วนเพม่ิ ผนู้ ำ� ชมุ ชนจงึ ตอบกลบั ไปวา่ การใหอ้ วนเพม่ิ ไมไ่ ดเ้ ปน็ การชว่ ยเหลอื ทตี่ รงจดุ เนอื่ งจากชาวบา้ นตอ้ งการ การจัดการท่ีย่งั ยืน จากบทละครนี้ สะท้อนให้เห็นปัญหาสิทธิในด้านองค์ประกอบและการเข้าถึงสิทธิท่ีพบว่า สถานการณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ในพน้ื ที่ คอื การแกไ้ ขปญั หาของภาครฐั ทไ่ี มส่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชาวบา้ น และมุ่งแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้ โดยไมค่ น้ หาสาเหตเุ พื่อแก้ไขอย่างย่ังยนื และขดั กบั สิทธิชมุ ชน ซ่ึงมา จากการฟงั เสยี งจากชาวบ้านจริง ๆ ละครทั้งสามจากเรื่องกิจกรรมน้ี ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นละครท่ีท�ำให้เข้าใจและเห็นภาพ ชัดเจนมากขึน้ ในเร่ืองสถานการณ์สิทธิชุมชน ผา่ นการน�ำเสนอให้เห็นวถิ ดี ้ังเดมิ พลวัตของอา่ วปตั ตานี สาเหตุของปัญหาที่เกดิ ข้นึ รวมทัง้ ผลกระทบของปัญหา โดยสอดแทรกความตอ้ งการของชาวประมง พ้ืนบา้ นไวใ้ นละคร ซ่ึงเปน็ สิง่ ทช่ี าวประมงพื้นบา้ นคดิ และประสบอยใู่ นชีวิตประจำ� วัน ขณะเดียวกนั ก็ ฉายใหเ้ หน็ ภาพอนาคตทีช่ าวประมงพ้ืนบา้ นอ่าวปตั ตานวี าดฝนั อยากใหเ้ กิดข้นึ
การเข้าถงึ สิทธชิ มุ ชนของชุมชนประมงพ้ืนบา้ นอ่าวปตั ตานี 347 วารุณี ณ นคร ความตอ้ งการดา้ นสิทธิชมุ ชนในอนาคตของชาวประมงพน้ื บ้านอา่ วปตั ตานี เมอื่ พจิ ารณาจากขอ้ มลู ขา้ งตน้ พบว่า ความตอ้ งการของชาวประมงพน้ื บ้านปรากฏสอดแทรก อยู่ในกิจกรรมทุกกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นละครสมมติ การแลกเปล่ียนพูดคุยหรือการสัมภาษณ์กลุ่ม ซึ่ง ความต้องการของชาวประมงพื้นบ้านอ่าวปัตตานี มีประเด็นด้านสิทธิชุมชน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ความตอ้ งการดา้ นชมุ ชน คอื ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ดุ มสมบรู ณด์ งั เดมิ ซงึ่ จะทำ� ใหช้ าวประมงมรี ายได้ เพยี งพอ และ 2) ความสมั พนั ธท์ างอำ� นาจและปฏิบัตกิ ารของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ คอื ความต้องการด้าน การปฏิบัตหิ น้าทีข่ องเจ้าหน้าทรี่ ัฐท่ตี อ้ งการให้อยู่เคียงขา้ งประชาชน สรา้ งสมดุลทางอำ� นาจและคำ� นงึ ถงึ สทิ ธชิ มุ ชน ดงั นนั้ ชาวบา้ นในพน้ื ทจี่ งึ ควรมสี ทิ ธใิ นการบรหิ ารจดั การ การพฒั นา และการใชป้ ระโยชน์ จากทรพั ยากรธรรมชาติ ซ่ึงเชอื่ มโยงกบั ข้อมูลจากการสัมภาษณ์กลมุ่ ทีช่ าวประมงพ้ืนบ้านแสดงให้เชอ่ื ว่าอ่าวปตั ตานเี ปน็ พน้ื ทส่ี าธารณะ เพราะเชื่อว่า “ทะเลเป็นของพระเจา้ ” ทำ� ใหว้ ถิ ชี ีวิตของคนด้งั เดิม สอดคลอ้ งและสมั พันธ์กับธรรมชาติ โดยคำ� นึงถงึ ความสมดุลและการฟนื้ ฟธู รรมชาติ อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์เง่ือนไขท่ีท�ำให้สิทธิชุมชนในอนาคตประสบผลส�ำเร็จกลับพบว่า ชาวประมงพ้ืนบ้านในพ้ืนที่อ่าวปัตตานี ต้องการให้ภาครัฐและหน่วยงานภายนอกเข้ามาสนับสนุน มากกวา่ ตอ้ งการดำ� เนนิ การโดยชมุ ชนเอง เชน่ ตอ้ งการใหห้ นว่ ยงานรฐั บงั คบั ใชก้ ฎหมายเกย่ี วกบั เครอื่ งมอื ท�ำลายล้างอย่างจริงจัง มีประสิทธิผล และส่งเสริมอาชีพจากการท�ำอาชีพประมงพื้นบ้านที่มีรายได้ ลดลงจากจำ� นวนสตั วน์ ำ้� ลดลง นอกจากน้ี ยงั ตอ้ งการใหร้ ว่ มมอื ในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรรว่ มกบั ชาวบา้ น โดยทำ� โครงการทต่ี อบสนองตอ่ ความตอ้ งการ และวถิ ชี วี ติ ของชาวประมงพนื้ บา้ น ซงึ่ สาเหตอุ าจมาจาก ชาวประมงพน้ื บา้ นในพน้ื ทอ่ี า่ วปตั ตานมี คี วามเขา้ ใจหลกั สทิ ธชิ มุ ชน ไดร้ วมกลมุ่ กนั และดำ� เนนิ กจิ กรรม ตามหลักสิทธิชุมชนอยู่แล้วจ�ำนวนหนึ่ง ซ่ึงเป็นกลุ่มอาชีพที่หารายได้โดยยึดถือและด�ำเนินการด้วย แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะเชื่อว่าทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ จะทำ� ให้ตนเองมรี ายไดแ้ ละอาชีพอย่างย่ังยืน เชน่ กลมุ่ ประมงพนื้ บ้าน กลุม่ การท่องเท่ยี วเชิงอนุรักษ์ ซง่ึ กลมุ่ เหลา่ นเ้ี ปน็ กลมุ่ ทเ่ี คลอ่ื นไหวเพอ่ื สทิ ธชิ มุ ชนมาตง้ั แตอ่ ดตี โดยมหี นว่ ยงานภายนอกเขา้ รว่ มใหก้ าร สนับสนุน แต่สิ่งที่ยังเป็นช่องว่างและปัญหาที่ท�ำให้ชาวประมงพื้นบ้านดั้งเดิมไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ กลบั มาจากกฎหมายและการบงั คบั ใชก้ ฎหมายของภาครฐั และการปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องเจา้ หนา้ ทรี่ ฐั ทง้ั เรอื่ ง ความโปรง่ ใส และความสมั พันธ์ระหว่างชนชั้นปกครองกบั เอกชน ทย่ี ังคงเป็นปัญหาส�ำคญั และละเมิด สิทธิชุมชน ดังนั้น อาจสรุปเบ้ืองต้นได้ว่าการเข้าถึงสิทธิชุมชนของชาวประมงพ้ืนบ้านในอ่าวปัตตานี เปน็ การดำ� เนนิ การแบบลา่ งขน้ึ บน หรอื แนวราบในพนื้ ทค่ี อ่ นขา้ งประสบความสำ� เรจ็ ขณะทก่ี ารดำ� เนนิ การ แบบบนลงลา่ งของภาครฐั กลบั เป็นอปุ สรรคท่ที ำ� ใหก้ ารเข้าถึงสิทธเิ ป็นไปไดย้ าก การดำ� เนนิ การโดยชมุ ชนเรือ่ งการอนุรกั ษ/์ ฟื้นฟู การจัดการและพฒั นา การใชท้ รัพยากร โดย ต้องการใหเ้ จา้ หนา้ ทรี่ ัฐบงั คบั ใชก้ ฎหมายอยา่ งจริงจงั เรอื่ งการควบคุมเครอ่ื งมือทำ� ประมงผดิ กฎหมาย เพื่อให้สัตว์น้�ำได้รับการฟื้นฟูให้มีจ�ำนวนมากข้ึน และท�ำให้ชาวประมงพื้นบ้านมีอาชีพ มีรายได้เลี้ยง ปากทอ้ งและครอบครวั ดังเดิม ดังละครสมมตเิ ร่ืองอย่าลืมฉัน ซง่ึ สอดคลอ้ งกับข้อมูลทีไ่ ด้จากกจิ กรรม การวางแผนปฏบิ ตั กิ ารชมุ ชน พบวา่ สทิ ธชิ มุ ชนทชี่ าวประมงพน้ื บา้ นตอ้ งการ คอื ดา้ นการใหส้ ทิ ธพิ เิ ศษ
วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 348 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 แกผ่ ทู้ ำ� ประมงพน้ื บา้ น ซง่ึ กรณนี ้ี คอื ความตอ้ งการเฉพาะหนา้ ดา้ นการสง่ เสรมิ อาชพี ซงึ่ ความตอ้ งการ ดา้ นอาชพี เสริมนนั้ ผู้เข้าร่วมได้เสนอผา่ นละคร คอื อาชพี การถักอวน การเล้ยี งแพะ แกะในทีแ่ คบ การ เลีย้ งปูดำ� โดยให้รฐั ส่งเสรมิ อุปกรณ์ งบประมาณ และพันธ์สุ ัตว์ เป็นต้น ขณะเดยี วกันก็มคี วามตอ้ งการ ในระยะยาว คอื องคป์ ระกอบของสทิ ธิด้านการอนุรกั ษ์/ฟ้นื ฟทู รพั ยากรธรรมชาตใิ ห้อุดมสมบูรณ์ โดย ไมใ่ หม้ เี ครอื่ งมอื ทำ� ลายลา้ งหรอื ผดิ กฎหมายในอา่ ว และสนบั สนนุ การทำ� วจิ ยั เพอื่ เพมิ่ ความหลากหลาย ทางชีวภาพในพ้ืนท่ีให้มีสัตว์พ้ืนถิ่นและสัตว์หายากหรือใกล้สูญพันธุ์มากข้ึน เช่น ปะการัง กุ้งกุลาด�ำ กงุ้ แชบว๊ ย กงุ้ มงั กร เตา่ ทะเล พะยนู เปน็ ตน้ ความตอ้ งการเหลา่ นี้ ชาวประมงคาดหวงั ใหม้ กี ารตอบสนอง ทต่ี รงจดุ เหน็ ไดจ้ ากละครสมมตเิ รอ่ื งสดุ ทา้ ยชอ่ื เรอื่ ง “ตะโละตานงิ รเู มาะหก์ ตี อ” สทิ ธชิ มุ ชนในอนาคต จงึ ตอ้ งประกอบดว้ ยสทิ ธใิ นการบรหิ ารจดั การและพฒั นาพนื้ ที่ โดยการอนรุ กั ษ/์ ฟน้ื ฟทู รพั ยากรธรรมชาติ ด้วยวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ เพ่ือการจัดการทรัพยากรในการหาเล้ียงชีพ ซ่ึงเป็นสิทธิทาง เศรษฐกิจของชุมชนด้ังเดิม ซ่ึงชาวประมงท่ีท�ำอาชีพประมงแบบรับผิดชอบควรมีอ�ำนาจและสัดส่วน การตดั สนิ ใจทสี่ งู กวา่ คนทวั่ ไปจากการใชท้ รพั ยากรในพนื้ ทอ่ี า่ ว เนอื่ งจากวถิ ชี วี ติ ของชาวประมงพนื้ บา้ น สอดคลอ้ งกบั องค์ความรดู้ ้านสิทธชิ มุ ชนท่ีพวกเขามี แตส่ ถานการณท์ เี่ กิดขน้ึ อำ� นาจและสัดส่วนในการ ตดั สนิ ใจกลบั อยทู่ คี่ นนอกทมี่ คี วามตระหนกั ในสทิ ธชิ มุ ชนและวถิ ชี วี ติ ไมส่ มั พนั ธก์ บั หลกั การสทิ ธชิ มุ ชน มาตรการขบั เคลื่อนการเข้าถึงสิทธิชมุ ชนของชาวประมงพืน้ บ้านอา่ วปตั ตานี การศกึ ษาปญั หา/ความตอ้ งการ และสทิ ธชิ มุ ชนในอนาคตของชาวประมงพน้ื บา้ นอา่ วปตั ตานี พบวา่ ชาวประมงพนื้ บา้ นอา่ วปตั ตานปี ระสบปญั หาเกย่ี วกบั สทิ ธติ ามองคป์ ระกอบของสทิ ธชิ มุ ชนดา้ น การบริหารจดั การ ท�ำให้สทิ ธิในการอนุรกั ษ/์ ฟ้นื ฟู และการใช้ทรพั ยากรถกู ละเมดิ ส่งผลตอ่ วิถอี าชพี รายได้ ซง่ึ เปน็ สทิ ธทิ างเศรษฐกจิ ทคี่ วรมี มาตรการทส่ี อดคลอ้ งกบั สถานการณส์ ทิ ธชิ มุ ชนของชาวประมง พื้นบ้านอ่าวปัตตานี ด้วยวิธีการเข้าถึงสิทธิชุมชนด้านการด�ำเนินการสิทธิชุมชนโดยชุมชน และท�ำให้ เกิดการท�ำประมงแบบรับผิดชอบอยู่บนฐานต่อไปน้ี 1) มาตรการส่งเสริมการจัดการทรัพยากรแบบ บริหารจัดการที่ด�ำเนินการโดยชุมชน ให้สัดส่วนอ�ำนาจและการด�ำเนินการอยู่ที่ชุมชนท้ังการก�ำหนด กตกิ า การบงั คบั ใช้ การกำ� หนดบทลงโทษ และใหช้ มุ ชนดำ� เนนิ การตอ่ ผทู้ ล่ี ะเมดิ กฎหรอื กตกิ า ซงึ่ กตกิ า ท่ีก�ำหนดโดยชุมชนจ�ำเป็นต้องอยู่ภายใต้หลักการสิทธิชุมชน โดยกระจายอ�ำนาจให้ท้องถิ่นร่วมกับ คณะท�ำงานชมุ ชนทีร่ ับรองโดยรัฐ และประกาศชดั เจนอย่างเป็นทางการ 2) มาตรการให้สทิ ธพิ เิ ศษแก่ ชาวประมงพ้ืนบ้านในนามชุมชน ผู้ท�ำประมงต้องท�ำแบบรับผิดชอบ โดยให้อ�ำนาจการในการบริหาร จัดการ ก�ำหนดกติกา การน�ำกติกาไปบังคับใช้ รวมท้ังให้อ�ำนาจในการตัดสินใจเก่ียวกับโครงการท่ี เก่ียวข้องกับพื้นท่ีอ่าวปัตตานี ทั้งด้านการอนุรักษ์ การฟื้นฟู การจัดสรร และการใช้ทรัพยากร เพ่ือ กระจายสทิ ธทิ างเศรษฐกจิ ใหท้ วั่ ถงึ และเทา่ เทยี ม นอกจากนี้ ควรใหส้ ทิ ธพิ เิ ศษและสนบั สนนุ อาชพี เสรมิ และสทิ ธติ า่ ง ๆ แกช่ าวประมงทที่ ำ� ประมงแบบรบั ผิดชอบ เพอ่ื ดงึ ดูดให้คนท่ที �ำประมงทัว่ ไปหันมาท�ำ ประมงแบบรับผิดชอบมากขนึ้ เน่อื งจากชาวบ้านต้องด้ินรนตอ่ สูจ้ ากผลการพฒั นาทใี่ หค้ วามสำ� คัญต่อ โครงสรา้ งอ�ำนาจทีผ่ กู ขาดในมอื ชนชนั้ นำ� ทางการเมืองหรือผ้มู อี ทิ ธพิ ลของทอ้ งถ่นิ หรือเอกชน นำ� มาสู่ การลม่ สลายของระบบเศรษฐกจิ และวถิ ชี มุ ชนดงั้ เดมิ และความเสอื่ มโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติ จน ไมส่ ามารถพง่ึ ตนเองได้ เกดิ ความขดั แยง้ ระหวา่ งหมบู่ า้ น ระหวา่ งกลมุ่ สถานการณท์ างเศรษฐกจิ สงั คม
การเขา้ ถงึ สทิ ธชิ มุ ชนของชุมชนประมงพื้นบา้ นอ่าวปัตตานี 349 วารณุ ี ณ นคร วัฒนธรรม และทรัพยากรท่ีเปลี่ยนแปลงไปน้ีเอง ท�ำให้คนในพื้นที่ชุมชนด้ังเดิมท้ังหมดมีวิถีชีวิต เปลย่ี นแปลงไปเชน่ กนั ทำ� ใหก้ ารละเมดิ สทิ ธชิ มุ ชนไมไ่ ดเ้ กดิ จากตวั แสดงทเี่ ปน็ รฐั และเอกชนเทา่ นน้ั แต่ ชาวบ้านก็ต้องการเข้าสู่การแข่งขันในระบบทุนนิยมเพื่อความอยู่รอดด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายครั้งพบว่า ชาวบ้านละเมดิ สทิ ธิชุมชนหรอื ใช้ทรพั ยากรธรรมชาติอย่างไมค่ �ำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว และอาจ ละเมดิ ตอ่ กฎหมายหรอื กฎกตกิ าในชมุ ชนทต่ี งั้ ขนึ้ เพอื่ ใหค้ ำ� นงึ ถงึ ความยงั่ ยนื ในการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ ดังนั้น เงื่อนไขแห่งความส�ำเร็จของมาตรการขับเคลื่อนการเข้าถึงสิทธิชุมชน จึงต้องเกิดโดยการสร้าง ความตระหนกั รใู้ นชมุ ชนและสรา้ งความเขม้ แขง็ ใหก้ บั ชาวประมงพน้ื บา้ นทตี่ อ้ งการรกั ษาไวซ้ งึ่ สทิ ธชิ มุ ชน โดยการสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ จากข้อมูลที่ศึกษาพบว่า ผู้น�ำชาวประมงพื้นบ้านมีความรู้และ ความเขา้ ใจ รวมถงึ การดำ� เนนิ การดา้ นสทิ ธชิ มุ ชนอยา่ งเขม้ ขน้ กตกิ าทเี่ กดิ ขน้ึ จากกลมุ่ ทมี่ ลี กั ษณะเชน่ น้ี จะมีแนวโน้มให้เข้าถึงสิทธิชุมชนได้มากข้ึน และ 3) มาตรการส่งเสริมความรู้ด้านสิทธิชุมชนอย่าง แพร่หลาย โดยเรม่ิ จากการใชข้ อ้ มลู และความตอ้ งการทแี่ ทจ้ รงิ จากชมุ ชนโดยบรู ณาการทำ� งานรว่ มกนั ระหว่างภาคส่วนตา่ ง ๆ ทงั้ หน่วยงานภาครฐั ชาวประมงพน้ื บ้าน กลุ่มอาชีพรอบอ่าวปัตตานี และภาค ประชาชน ซงึ่ ภาครฐั ตอ้ งมบี ทบาทในการสนบั สนนุ และสรา้ งการยอมรบั ดา้ นสทิ ธชิ มุ ชนใหเ้ กดิ ขน้ึ ในพนื้ ที่ อยา่ งแพรห่ ลายผา่ นกลไกทมี่ อี ยอู่ ยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล โดยรฐั บาลควรลดบทบาทเปน็ เพยี งผสู้ นบั สนนุ และ ให้ค�ำปรึกษาด้านกฎหมายและนโยบายสนับสนุนส่งเสริมสิทธิชุมชนโดยอ�ำนวยความสะดวกด้าน งบประมาณ องค์ความรู้ และอืน่ ๆ สรุปและอภปิ รายผล การศกึ ษาสทิ ธชิ มุ ชนชาวประมงพนื้ บา้ นอา่ วปตั ตานพี บวา่ บรบิ ทชมุ ชนอา่ วปตั ตานมี ลี กั ษณะ เปน็ พลวตั คอื ชาวประมงพนื้ บา้ นมวี ถิ กี ารทำ� ประมงจากรนุ่ สรู่ นุ่ นำ� ไปสกู่ ารปรบั เปลย่ี นการใชเ้ ครอ่ื งมอื ทำ� ประมง ซงึ่ จำ� แนกไดเ้ ปน็ ผทู้ ำ� ประมงทวั่ ไปกบั ผทู้ ำ� ประมงแบบรบั ผดิ ชอบ สง่ ผลตอ่ ความอดุ มสมบรู ณ์ ของอา่ วปตั ตานแี ละจำ� นวนทรพั ยากรสตั วน์ ำ้� ทลี่ ดลง รวมถงึ การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรชายฝง่ั ทง้ั ใน ลกั ษณะฟน้ื ฟู อนรุ กั ษ์ การจบั สตั วน์ ำ�้ การจบั จองพนื้ ทท่ี ำ� การประมง หรอื แมก้ ระทง่ั ความขดั แยง้ ระหวา่ ง ผู้ท่ีมีความเช่ือและวิถีการท�ำประมงท่ีแตกต่างกัน สถานการณ์ปัญหาเหล่าน้ีท�ำให้ต้องมีการทบทวน ประเดน็ เรอ่ื งสทิ ธชิ มุ ชน เนอื่ งจากเปน็ ปญั หาทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั เรอื่ งความเปน็ ธรรม การแกป้ ญั หาความยากจน สถานการณค์ วามมงั่ คงทางอาหาร และความยง่ั ยนื ทางสง่ิ แวดลอ้ มและความหลากหลายทางชวี ภาพท่ี จะสง่ ผลตอ่ ลกู หลานในอนาคตสอดคลอ้ งกบั งานของ Thaweewong (2009) ทชี่ วี้ า่ ภายใตค้ วามยง่ั ยนื ของฐานทรัพยากร สิทธชิ ุมชนเปน็ สิทธทิ ชี่ มุ ชนตอ้ งปกป้องรกั ษาทรพั ยากรหรอื ตัวตนของตนเอง และ เป็นสิทธทิ ีช่ มุ ชนจะสรา้ งประโยชน์แก่สงั คมท้งั ด้านการจัดการทรพั ยากร ภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ และอ่ืน ๆ อันสอดคล้องกับหลักการสิทธิท่ีว่า สิทธิที่เจ้าของจะอ้างความชอบธรรมของตนเองได้ หาใช่เป็นส่ิงท่ี เจ้าตัวกำ� หนดฝา่ ยเดียว แตต่ ้องเปน็ การยอมรับจากสังคมไปพรอ้ มกัน อยา่ งไรก็ตาม สทิ ธิชุมชนไม่ใช่ สทิ ธคิ รอบครองเปน็ เจา้ ของอยา่ งเบด็ เสรจ็ เหมอื นสทิ ธปิ จั เจกและสทิ ธริ ฐั ทเี่ จา้ ของใชส้ ทิ ธติ์ นเองกดี กนั การเกีย่ วขอ้ งจากภายนอกอยา่ งสิ้นเชิง
วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 350 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 เมือ่ ผวู้ ิจัยใชว้ ธิ ีการศกึ ษาสทิ ธชิ มุ ชนจากการกำ� หนดภาพอนาคตของชุมชนดว้ ยตนเอง ซึง่ เป็น เทคนิคใหม่ท่ีใช้ในการศึกษาวิจัย โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมและกระจายอ�ำนาจการอนุรักษ์ การ ฟน้ื ฟู และการใชท้ รพั ยากรในอา่ วปตั ตานจี ากทกุ ภาคสว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ ง เพอ่ื ศกึ ษาความตอ้ งการดา้ นสทิ ธิ ชมุ ชนของชาวประมงพน้ื บา้ นอา่ วปตั ตานี พบวา่ ชาวประมงพน้ื บา้ นซง่ึ ถอื เปน็ ผทู้ อี่ ยอู่ าศยั และหาเลยี้ งชพี กับทรัพยากรในอ่าวมาเป็นเวลายาวนาน ตามหลักการสทิ ธชิ มุ ชนในการเคารพสทิ ธขิ องผ้มู าก่อนหรือ สทิ ธขิ องชมุ ชนดง้ั เดมิ ตอ้ งการอำ� นาจและใชส้ ทิ ธใิ นการอนรุ กั ษ์ ฟน้ื ฟู บรหิ ารจดั การทรพั ยากรรอบอา่ ว เพอื่ ใหเ้ กดิ อาชพี และรายได้ รวมถงึ สบื ทอดวฒั นธรรมการจบั สตั วน์ ำ�้ ทม่ี มี าแตเ่ ดมิ เนอื่ งจากวธิ กี ารเดมิ น้ันสามารถบริหารจัดการเพื่อกระจายรายได้ให้กับชาวประมงพ้ืนบ้านตามพ้ืนที่และสัตว์น�้ำท่ีตนถนัด และไมท่ ำ� ใหท้ รพั ยากรเสอ่ื มโทรม ซงึ่ การจดั ความสมั พนั ธท์ างอำ� นาจในลกั ษณะทใ่ี หช้ าวประมงพนื้ บา้ น มอี ำ� นาจในการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรอา่ วปตั ตานมี คี วามสอดคลอ้ งกบั มติ ทิ างเศรษฐกจิ และวฒั นธรรม รวมทั้งมิติด้านทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวปัตตานีที่ได้รับการพัฒนาให้มีความยั่งยืนข้ึน เน่ืองจากสิทธิ ชมุ ชนไมใ่ ช่สทิ ธขิ องคนกลมุ่ ใดกลุ่มหนงึ่ ในการผูกขาดการใช้สทิ ธิ ดงั นน้ั ผู้ใดกส็ ามารถได้รบั ประโยชน์ จากทรพั ยากรในอา่ วปตั ตานไี ด้ แตส่ ง่ิ ทต่ี อ้ งคำ� นงึ ถงึ ในแงข่ องสทิ ธิ คอื ผทู้ จ่ี ะใชท้ รพั ยากรในอา่ วปตั ตานี ควรคำ� นงึ ถงึ หลกั การครอบครองเพอื่ การใชป้ ระโยชน์ โดยครอบครองทรพั ยากรในจำ� นวนจำ� กดั เฉพาะ ที่ใช้ประโยชน์ และการให้ความส�ำคัญกับสิทธิท่ีไม่สร้างความเดือดร้อนหรือละเมิดสิทธิชุมชน ซึ่ง สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่า สิทธิชุมชนเป็นกิจกรรมที่ต้องการการสนับสนุนจากเครือข่ายท้องถิ่น ประชาสังคม และรฐั โดยชมุ ชนสามารถจดั อำ� นาจความสมั พนั ธใ์ นการเขา้ ถงึ และใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ โดยใหค้ วามสำ� คัญกับสีป่ ระการ ประการแรก คอื การให้ความสำ� คญั กับ “สิทธขิ องผูม้ ากอ่ น” ประการ ทส่ี อง คอื การครอบครองเพอ่ื การใชป้ ระโยชน์ ประการทสี่ าม คอื การครอบครองทรพั ยากรในจำ� นวนจำ� กดั เฉพาะที่ใช้ประโยชน์ และประการท่ีสี่ คือ การให้ความส�ำคัญกับสิทธิที่ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือ ละเมิดสิทธิผู้อ่ืน ข้อค้นพบข้างต้นน�ำมาสู่มาตรการขับเคลื่อนการเข้าถึงสิทธิชุมชนในการบริหารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติของชาวประมงพ้ืนบ้านอ่าวปัตตานี อันดับแรก คือ การส่งเสริมความรู้ด้านสิทธิ ชุมชนอย่างแพร่หลาย อันดับต่อมา คือ มาตรการส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรที่ให้สัดส่วน อ�ำนาจและการด�ำเนินการโดยชุมชนและท้องถ่ิน อันดับท่ีสาม ซ่ึงมีความส�ำคัญเน่ืองจากจะสามารถ ตอบโจทยเ์ รอ่ื งความยง่ั ยนื ของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละความมนั่ คงทางอาหารในระยะยาว คอื มาตรการ ให้สิทธิพิเศษแก่ชาวประมงพื้นบ้านในนามชุมชนประมงที่ท�ำประมงแบบรับผิดชอบ โดยให้อ�ำนาจใน การบริหารจัดการ ก�ำหนดกติกา การน�ำกติกาไปบังคับใช้ รวมท้ังให้อ�ำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับ โครงการทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั พน้ื ทอ่ี า่ วปตั ตานี ทงั้ ดา้ นการอนรุ กั ษ์ การฟน้ื ฟู การจดั สรรการใชท้ รพั ยากรเพอ่ื กระจายสทิ ธทิ างเศรษฐกจิ ใหท้ ว่ั ถงึ และเทา่ เทยี ม รวมทงั้ สทิ ธพิ เิ ศษดา้ นการสง่ เสรมิ อาชพี หรอื ดา้ นอน่ื ๆ เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหค้ นทท่ี ำ� ประมงหนั มาทำ� ประมงแบบรบั ผดิ ชอบมากขน้ึ ซง่ึ จะสง่ ผลดตี อ่ ความหลากหลาย และอดุ มสมบรู ณข์ องทรพั ยากรธรรมชาตใิ นอา่ วปตั ตานแี ละวถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยทู่ งั้ ทางเศรษฐกจิ สงั คม และวัฒนธรรมของผคู้ นรอบอ่าวปัตตานี
การเขา้ ถึงสิทธชิ ุมชนของชมุ ชนประมงพน้ื บ้านอ่าวปตั ตานี 351 วารุณี ณ นคร กิตติกรรมประกาศ บทความนเี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของ 1) โครงการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเรอ่ื งสทิ ธชิ มุ ชนของชาวประมงพน้ื บา้ น อา่ วปตั ตานี ทไี่ ดร้ บั ทนุ จากคณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ และ 2) ทนุ โครงการพฒั นาการเขยี น บทความเชิงพื้นท่ี สัญญาเลขที่ RDG5940004-2L06 ภายใต้ชุดโครงการพัฒนานักวิจัยและระบบ สนับสนุนนักวิจัยเพื่อชุมชนและสังคม ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) คณะผู้วิจัยขอ ขอบพระคุณ ศ.ดร.อารี วิบลู ยพ์ งศ์ ทีมงาน และผูใ้ ห้การสนบั สนนุ มา ณ โอกาสน้ี เอกสารอา้ งองิ Dumalee, H. (2017). Conflict and conflict management: A case study of cockle farming in Pattani Bay. Walailak Abode of Culture Journal, 15(2), 29-44. [in Thai] Ginkel, R. V. (2009). Braving troubled waters: Sea change in a dutch fishing community. Amsterdam: Amsterdam University Press. Hajisamae, S. (2014). Pattani bay facts and challenges. Pattani: Prince of Songkla University Pattani Campus. [in Thai] Hattha, K. (2014). Change in shoreline around Pattani bay. Journal of Humanities and Social Sciences, 10(2), 193-225. [in Thai] Jeerasatian, P. (1997). Study on community-based fishery management: A case study at Pattani bay, Changwat Pattani (Master’s thesis). Kasetsart University, Bangkok. [in Thai] Jussapalo, C. (2016, June 23). Development of tourism resources and community tourism Pattani Bay Pattani Province. In The 7th Hatyai National and International Conference. Hatyai University, Songkhla. [in Thai] Ministry of Natural Resources and Environment. (2014). Draft of strategic plan and ecological conservation and rehabilitation plan for Pattani bay 2015 – 2019. Pattani. (Mimeographed) [in Thai] Satha-anand, C. (2010). Violence play hide-and-seek in Thai society. Bangkok: Matichon Publishing House. [in Thai] Sugunnasil, W. (2001). Changes, problems and alternatives of a fishing community: A case study of mangrove forest exploitation of Da To Village in Ya Ring District, Pattani Province (Research report). Pattani: Prince of Songkla University. [in Thai] Thapdacha, M. (2017). Problems of national park laws affecting community rights of the sea gypsies in the areas of the Andaman Sea. Assumption University Law Journal, 8(1), 14-36. [in Thai] Thaweewong, N. (2009). Rights of the local fishing community. Bangkok: Foundation for Sustainable Development. [in Thai]
ค�ำแนะนำ� สำ� หรับผ้เู ขียน วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ เปน็ วารสารทจี่ ดั พมิ พเ์ พอื่ เผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการ ดา้ นมนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บรหิ ารธุรกจิ และการจัดการ นิตศิ าสตร์ และสาขาวิชาอน่ื ๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง ของมหาวทิ ยาลยั หาดใหญ่ รวมทง้ั สถาบนั และหน่วยงานอน่ื ๆ ทว่ั ประเทศ ซงึ่ จดั พมิ พเ์ ป็นราย 6 เดอื น (ปีละ 2 ฉบับ: ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับท่ี 2 กรกฎาคม-ธันวาคม) รับพิมพ์ผลงานที่ ไม่เคยพิมพเ์ ผยแพร่ในวารสาร รายงาน หรอื สิ่งพมิ พ์อนื่ ใดมาก่อน และไม่อยูร่ ะหว่างการพจิ ารณาของ วารสารอน่ื ทกุ บทความทไ่ี ดร้ บั การตพี มิ พใ์ นวารสารน้ี ไดผ้ า่ นการตรวจสอบเชงิ วชิ าการจากผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ที่กองบรรณาธิการเรียนเชิญ จ�ำนวน 2-3 ราย บทความท่ีได้รับการตีพิมพ์ ผู้เขียนจะได้รับวารสารฯ จำ� นวน 1 เลม่ 1. ประเภทผลงานที่ตพี ิมพ์ 1. บทความวจิ ยั (Research Article) เปน็ ผลงานทไี่ ดม้ าจากการคน้ ควา้ และวจิ ยั ดว้ ยตนเอง ประกอบดว้ ย บทนำ� วัตถปุ ระสงค์ การทบทวนวรรณกรรม และทฤษฎีท่เี กย่ี วขอ้ ง วธิ ีด�ำเนนิ การวิจัย ผลการวจิ ยั สรปุ และอภปิ รายผล ขอ้ เสนอแนะ กติ ตกิ รรมประกาศ (ถ้าม)ี และเอกสารอา้ งองิ 2. บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นผลงานที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรม ทางวชิ าการ มกี ารวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทยี บ โดยมงุ่ เนน้ การนำ� เสนอความรใู้ หมใ่ นเชงิ วชิ าการ ประกอบดว้ ย บทนำ� การทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เนอื้ หา (เนอ้ื หาตอ้ งชถี้ งึ ประเดน็ ของสง่ิ ทตี่ อ้ งการนำ� เสนอ อยา่ งชัดเจน) บทวิจารณ์หรอื สรุป และเอกสารอ้างอิง 2. การจัดรูปแบบของบทความ 2.1 ช่อื เร่อื ง มที ้งั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใชร้ ูปแบบอกั ษร TH Sarabun PSK ขนาด 20 ตัวหนา 2.2 ช่อื ผู้เขยี น มที งั้ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ใช้รปู แบบอักษร TH Sarabun PSK ขนาด 16 ตัวหนา 2.3 บทคดั ยอ่ ระบทุ ง้ั ภาษาองั กฤษและภาษาไทย โดยเปน็ การกลา่ วใหเ้ หน็ ถงึ ความสำ� คญั ของ การศกึ ษา วธิ ดี ำ� เนนิ การ เครอื่ งมอื ในการศกึ ษา ผลทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษา ความยาวของบทคดั ยอ่ ในแตล่ ะ ภาษาต้องไมเ่ กิน 250 ค�ำ พรอ้ มระบุค�ำสำ� คัญ (Keywords) อย่างนอ้ ย 3 คำ� แตไ่ มเ่ กนิ 5 คำ� 2.4 เนื้อหา บทความทั้งฉบบั มีจำ� นวนไม่เกนิ 16 หน้ากระดาษ A4 (รวมเอกสารอา้ งอิงท้าย เลม่ ) พมิ พ์ดว้ ยตัวอักษร TH Sarabun PSK ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ขนาด 16 กำ� หนดระยะ หา่ งจากขอบซา้ ย ขอบขวา ขอบบน และขอบล่าง 2.54 ซม. พรอ้ มระบหุ มายเลขหนา้ ทม่ี ุมบนขวา 2.5 หัวข้อหลักในบทความ เช่น บทน�ำ วัตถุประสงค์ กรอบแนวคิด วิธีวิจัย ผลการวิจัย อภิปรายผล และเอกสารอ้างองิ พิมพ์ด้วยตวั อักษร TH Sarabun PSK ขนาด 19 2.6 ตารางและภาพประกอบ ควรมเี ฉพาะทจี่ ำ� เปน็ มหี มายเลยกำ� กบั เชน่ รปู ที่ 1 หรอื ตาราง ที่ 1 โดยต้องเป็นภาพท่มี ีลายเส้นคมชัด
2.7 เอกสารอา้ งองิ ใชร้ ะบบอา้ งองิ ของสมาคมจติ วทิ ยาอเมรกิ นั (American Psychological Association: APA) โดยมรี ายละเอยี ดทว่ั ไป ดงั น้ี (รายละเอยี ดพรอ้ มตวั อยา่ งดใู นเอกสารแนบทา้ ยหรอื ดูในเวบ็ ไซต์) 1) การอ้างอิงภายในเนอ้ื หา ตอ้ งตรงกบั เอกสารอ้างองิ ทา้ ยเลม่ 2) การอา้ งองิ ควรใช้รปู แบบท่ีวารสารกำ� หนดโดยสม�่ำเสมอท้งั บทความ 3) การเรียงลำ� ดับเอกสารอ้างอิงใหเ้ รยี งตามล�ำดับตวั อักษรภาษาอังกฤษ 3. การส่งบทความเพอื่ พจิ ารณาตพี ิมพ์ ผเู้ ขยี นสามารถสง่ บทความโดยเขา้ สเู่ วบ็ ไซต์ https://www.tci-thaijo.org/index.php/Hatyai AcademicJournal/index ซ่ึงมคี ู่มอื แนะน�ำการใช้งานอยูท่ างด้านขวามอื (For Author) ตัวอย่างการเขียนเอกสารอา้ งองิ 1. หนังสือ ชอื่ สกลุ , อกั ษรนำ� ช่อื ตน้ . อกั ษรน�ำชือ่ กลางผแู้ ต่ง. (ปีทพี่ มิ พ์). ชอื่ หนังสอื (คร้ังทีพ่ ิมพ์). สถานทพ่ี ิมพ์: ส�ำนักพมิ พ.์ กรณผี ู้เขียนเป็นคนไทย ให้ใช้รปู แบบเดียวกับชาวตา่ งชาติ และเพม่ิ [in Thai] ท้ายข้อความ ตัวอยา่ งเชน่ Greenberg, J., & Baron, R. A. (2003). Behavior in organization (8th ed.). Upper Saddle River, NJ: Pearson Education. Lewe, W. (2009). Orthopedic massage: Theory and technique (2nd ed.). Edinburgh: Mosby Elsevier. Martin, R. J., Fanaroff, A. A., & Walsh, M. C. (2006). Fanaroff and Martin’s neonatal - perinatal medicine: Diseases of the fetus and infant (Vol. 1) (8th ed.). Philadelphia: Mosby Elsevier. Stock, G., & Campbell, J. (Eds.). (2000). Engineering the human genome: An exploration of the science and ethics of altering the genes we pass to our children. New York: Oxford University Press. 2. บทความหรอื บทในหนังสอื ชื่อสกุล, อักษรน�ำช่อื ตน้ . อักษรน�ำชอื่ กลางผแู้ ตง่ . (ปที ่ีพิมพ์). ชื่อบทความหรือบท. ใน ชือ่ บรรณาธิการ (บรรณาธกิ าร), ชื่อหนังสอื (เลขหน้า). สถานทพ่ี ิมพ:์ ส�ำนักพมิ พ.์
กรณีผูเ้ ขียนเปน็ คนไทย ใหใ้ ช้รปู แบบเดียวกบั ชาวตา่ งชาติ และเพม่ิ [in Thai] ทา้ ยขอ้ ความ ตัวอยา่ งเช่น Calico, P. A., Debisette, A. T., & Turbettaub, M. (2005). Nursing workforce: Challenges and opportunities. In M. M. Gullatte (Ed.), Nursing management: Principles and practice (4th ed., pp. 167-185). Pittsburgh, PA: Oncology Nursing Society. Haybron, D. M. (2008). Philosophy and the science of subjective well-being. In M. Eid & R. J. Larsen (Eds.), The science of subjective well-being (pp. 17-43). New York, NY: Guilford Press. 3. บทความในวารสาร ช่อื สกุล, อักษรน�ำช่อื ตน้ . อักษรนำ� ช่อื กลางผแู้ ตง่ . (ปที ี่พิมพ)์ . ชือ่ บทความ. ชอื่ วารสาร, ปที ่(ี ฉบบั ท่)ี , เลขหน้า. กรณีผเู้ ขียนเป็นคนไทย ใหใ้ ช้รปู แบบเดียวกบั ชาวตา่ งชาติ และเพิม่ [in Thai] ท้ายขอ้ ความ ตวั อย่างเช่น Bakker, A. B., & Schaufeli, W. B. (2008). Positive organizational behavior: Engaged employees in flourishing organizations. Journal of Organizational Behavior, 29(2), 147-154. Johnson, M. E., Dose, A. M., Pipe, T. B., Petersen, W. O., Huschka, M., Gallenberg, M. M., … Fresh, M. H. (2009). Center prayer for women receiving chemotherapy for recurrent ovarian cancer: pilot study. Oncology Nursing Forum, 36, 424-428. 4. รายงานการวิจัย ชอื่ สกลุ , อกั ษรนำ� ชอ่ื ตน้ . อกั ษรนำ� ชอ่ื กลางผแู้ ตง่ . (ปที พี่ มิ พ)์ . ชอ่ื เรอ่ื ง (รายงานการวจิ ยั ). สถานทพี่ มิ พ:์ ส�ำนกั พิมพ์. กรณีผเู้ ขียนเปน็ คนไทย ให้ใช้รปู แบบเดียวกบั ชาวตา่ งชาติ และเพิ่ม [in Thai] ท้ายข้อความ ตัวอยา่ งเชน่ Chitnomrath, T. (2011). A study of factors regarding firm characteristics that affect financing decisions of public companies listed on the stock exchange of Thailand (Research report). Bangkok: Dhurakij Pundit University. [in Thai]
5. วทิ ยานพิ นธ์ ชอื่ สกลุ , อกั ษรนำ� ชอื่ ตน้ . อกั ษรนำ� ชอ่ื กลางผแู้ ตง่ . (ปที พ่ี มิ พ)์ . ชอื่ เรอื่ ง (วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ หรอื Doctoral dissertation หรอื วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ หรอื Master’s thesis). ชอ่ื สถาบนั การศกึ ษา, สถานทีพ่ ิมพ.์ กรณผี ู้เขียนเป็นคนไทย ให้ใชร้ ูปแบบเดียวกับชาวตา่ งชาติ และเพิ่ม [in Thai] ท้ายข้อความ ตัวอยา่ งเช่น Kachornkittiya, N. (2012). Antecedents and consequences of public service motivation of municipal employees in the three Southern Border provinces of Thailand. (Doctoral dissertation). Prince of Songkla University, Songkhla. [in Thai] Caprette, C. L. (2005). Conquering the cold shudder: The origin and evolution of snake eyes (Doctoral dissertation). Ohio State University, Columbus, OH. Nickels, D. W. (2005). The relationship between IT-business alignment and organizational culture: An exploratory study (Doctoral dissertation). University of Memphis, Memphis, TN. 6. การนำ� เสนอผลงานในการประชุมวชิ าการ ช่ือสกุล, อกั ษรน�ำชอื่ ตน้ . อกั ษรนำ� ช่ือกลางผูแ้ ตง่ . (ปี, เดือน). ชือ่ เร่อื งทน่ี �ำเสนอ. ใน หรอื In ช่อื ของ ประธานจัดงาน (ประธาน หรือ Chair), ช่อื การประชมุ . ชื่อหน่วยงานที่จัดประชมุ , สถานทจ่ี ดั . กรณีผเู้ ขียนเป็นคนไทย ให้ใชร้ ูปแบบเดียวกบั ชาวต่างชาติ และเพม่ิ [in Thai] ท้ายข้อความ ตัวอย่างเช่น Jankingthong, K. (2019, July 12-13). Confirmatory Factor Analysis of Organizational Citizenship Behavior of Personnel in Southern Border Provinces Administrative Center (SBPAC). In The 10th Hatyai National and International Conference. Hatyai University, Songkhla. [in Thai] Majid, S. (2005, July 11-13). Library and information education in Singapore. In D.P. Rachamanata (Chair), Workshop on issues and challenges in developing professional LIS Education and Training in Indonesia within the ASEAN region. Organized by National Library of Indonesia, Indonesia. 7. เอกสารอเิ ล็กทรอนิกส์ ชื่อสกลุ , อกั ษรนำ� ช่อื ตน้ . อกั ษรนำ� ชือ่ กลางผแู้ ตง่ . /หน่วยงาน. (ปที ป่ี รับปรงุ ขอ้ มลู ). ชื่อเร่อื ง. จาก URL
กรณีผูเ้ ขียนเปน็ คนไทย ใหใ้ ช้รปู แบบเดียวกบั ชาวตา่ งชาติ และเพมิ่ [in Thai] ท้ายขอ้ ความ ตัวอยา่ งเช่น CNN Wire Staff. (2011). How U.S. forces killed Osama bin Laden. Retrieved from http:// www.cnn.com/ 2011/WORLD/asiapcf/05/02/bin.laden.raid/index.html Wong, A. W. (2009). Pregnancy postpartum infections. Retrieved from http://emedicine.medscape.com/article/796892-overview 8. บทความในนิตยสาร / หนังสอื พมิ พ์ ชอ่ื สกลุ , อักษรน�ำชื่อตน้ . อักษรนำ� ชอื่ กลางผ้แู ต่ง. (ปี, เดือน วนั ). ชือ่ บทความ. ชอ่ื หนงั สอื พมิ พ์, หนา้ . กรณผี ้เู ขียนเป็นคนไทย ใหใ้ ช้รปู แบบเดียวกับชาวตา่ งชาติ และเพิ่ม [in Thai] ท้ายขอ้ ความ ตวั อย่างเชน่ Boonnoon, J. (2011, April 28). Manufacturers flood Thai market. The Nation, p. 7A. [in Thai] Evans, R. (2009, November 18). Nation sign “free sky” accord. Bangkok Post, p. B6. Kluger, J. (2008, January 28). Why we love. Time, pp. 54-60. Schwartz, J. (1993, September 30). Obesity affects economic, social status. The Washington Post, pp. A1, A4. การสง่ ตน้ ฉบับ ผู้เขียนท่ีประสงค์จะส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารหาดใหญ่วิชาการ สามารถส่งต้นฉบับ (ไฟล์ word) ได้ทางระบบวารสารออนไลน์ (https://www.tci-thaijo.org/index.php/ HatyaiAcademicJournal/index) และบางสาขาท่ีมีความเฉพาะขอให้เสนอช่ือผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ที่มีคุณวุฒิระดับ ปรญิ ญาเอก หรอื มีต�ำแหนง่ ทางวิชาการระดบั ผู้ช่วยศาสตราจารยข์ น้ึ ไป อยา่ งน้อย 3 ทา่ น ที่อยูต่ า่ ง สถาบันกบั ผเู้ ขียน เพอ่ื ประเมินบทความของผเู้ ขยี น รายละเอยี ดการสง่ บทความสามารถอ่านเพิม่ เตมิ ได้ท่ีค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้เขียนภายในเล่มวารสารหาดใหญ่วิชาการทุกฉบับ หรือที่ https://www.tci- thaijo.org/index.php/HatyaiAcademicJournal/index
บทบาทและหนา้ ที่ บทบาทของผูน้ ิพนธ์ (Duties of Authors) 1. ผู้นิพนธ์ต้องรับรองว่าบทความท่ีส่งมาเพื่อรับการพิจารณาตีพิมพ์เป็นผลงานท่ีไม่เคยตีพิมพ์ท่ีใด มากอ่ น ไมอ่ ยรู่ ะหวา่ งการพจิ ารณาของวารสารอนื่ และไมซ่ ำ�้ ซอ้ นหรอื ละเมดิ ลขิ สทิ ธจ์ิ ากผลงานเขยี นของผอู้ นื่ 2. บทความทม่ี ชี อ่ื ผูน้ พิ นธ์หลายคน ต้องไดร้ ับการยนิ ยอมจากผนู้ ิพนธ์ทกุ คน 3. ผนู้ พิ นธ์ต้องศกึ ษารายละเอยี ดค�ำแนะนำ� สำ� หรบั ผเู้ ขยี น และเขยี นบทความตามรูปแบบทวี่ ารสาร หาดใหญว่ ชิ าการก�ำหนด 4. หากมีการน�ำผลงานของผู้อื่นมาใช้ในบทความที่ส่งมาเพื่อรับการพิจารณาตีพิมพ์ ผู้นิพนธ์ต้อง ท�ำการอ้างองิ ในเนอื้ หา (In-text Citation) และท�ำรายการอ้างอิงท้ายบทความ (Reference) ตามรปู แบบท่ี วารสารหาดใหญ่วชิ าการกำ� หนด 5. กรณีผู้นิพนธ์เป็นนิสิตหรือนักศึกษา บทความท่ีส่งมาเพ่ือรับการพิจารณาตีพิมพ์ต้องแสดงชื่อ อาจารย์ทป่ี รึกษาเปน็ หน่งึ ในผนู้ ิพนธร์ ่วม 6. เนือ้ หาท้งั หมดท่ีปรากฏในบทความทสี่ ง่ มาเพ่อื รบั การพจิ ารณาตีพมิ พ์ เปน็ ความรบั ผิดชอบของ ผูน้ ิพนธ์ หากมกี ารละเมดิ ลิขสทิ ธ์ิ ผ้นู ิพนธย์ ินยอมรับผดิ ชอบแตเ่ พียงผเู้ ดียว บทบาทของบรรณาธกิ าร (Duties of Editors) 1. บรรณาธกิ ารตอ้ งพจิ ารณาคณุ ภาพบทความเบอื้ งตน้ กอ่ นเขา้ สกู่ ระบวนการประเมนิ โดยไมม่ อี คติ ในทกุ ดา้ น 2. บรรณาธิการตอ้ งไมค่ �ำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนทีอ่ าจพงึ มีหรอื พงึ ได้ จากการตอบรับบทความ ใหเ้ ข้าส่กู ระบวนการพิจารณาของวารสาร 3. ตลอดชว่ งระยะเวลาของการประเมนิ บทความหน่ึง ๆ บรรณาธกิ ารต้องเกบ็ รักษาขอ้ มลู ของการ ประเมินบทความนั้น ๆ โดยไมเ่ ปิดเผยขอ้ มลู แก่บคุ คลท่ีไมเ่ ก่ยี วขอ้ ง อนั อาจน�ำไปสคู่ วามเสียหายตอ่ ผูน้ พิ นธ์ และวารสาร 4. หากตรวจพบการคดั ลอกผลงานของผอู้ น่ื ในกระบวนการประเมนิ บทความ บรรณาธกิ ารตอ้ งหยดุ กระบวนการประเมินโดยทันที และด�ำเนินการติดต่อผู้นิพนธ์หลักเพื่อให้ท�ำการช้ีแจงเป็นลายลักษณ์อักษร เพ่ือบรรณาธิการจะไดน้ �ำไปใชป้ ระกอบในการตอบรับหรือปฏเิ สธการตีพิมพบ์ ทความน้นั ต่อไป
บทบาทของผู้ประเมนิ บทความ (Duties of Reviewers) 1. ตลอดช่วงระยะเวลาของการประเมินบทความหนึ่ง ๆ ผู้ประเมินต้องเก็บรักษาข้อมูลของการ ประเมินบทความนั้น ๆ โดยไม่เปดิ เผยข้อมลู แก่บคุ คลที่ไมเ่ กีย่ วขอ้ ง อนั อาจน�ำไปสูค่ วามเสียหายตอ่ ผนู้ พิ นธ์ และวารสาร 2. หากผู้ประเมินได้รับบทความซ่ึงตนเองอาจมีส่วนเก่ียวข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะโดย ทางตรงหรอื ทางอ้อม ผูป้ ระเมินควรด�ำเนินการแจง้ ใหบ้ รรณาธกิ ารทราบโดยทนั ที 3. ผู้ประเมนิ ควรประเมนิ บทความภายในระยะเวลาท่วี ารสารกำ� หนด 4. ผู้ประเมินควรประเมินบทความด้วยความรู้ ความสามารถ เพื่อให้บทความท่ีได้รับการประเมิน มคี ณุ ภาพทางวชิ าการ และผนู้ พิ นธส์ ามารถนำ� ขอ้ เสนอแนะทไี่ ดร้ บั กลบั ไปแกไ้ ข เพอ่ื ใหบ้ ทความมคี วามสมบรู ณ์ ทางวชิ าการ และก่อใหเ้ กดิ องคค์ วามรทู้ ่ีเป็นประโยชนต์ อ่ ไป
ใบสมคั รสมาชิก วารสารหาดใหญ่วชิ าการ เลขท่ีสมาชกิ ............................................. HATYAI ACADEMIC JOURNAL เลขที่ใบเสร็จรับเงนิ .................................. (ส�ำหรับเจ้าหน้าท)่ี วันที่................เดือน....................................พ.ศ........................ เรียน บรรณาธกิ ารวารสารหาดใหญ่วชิ าการ ขา้ พเจา้ (นาย,นาง,นางสาว)...........................................................นามสกลุ ......................................................... มีความประสงค์ สมัครเปน็ สมาชกิ วารสารหาดใหญ่วิชาการ............................ปี (ปีละ 200 บาท) ต่ออายุสมาชิก......................... ปี (ปลี ะ 200 บาท) ทอ่ี ยู่ (สำ� หรบั จดั สง่ วารสาร)............................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... โทรศัพท์.......................................................................โทรสาร................................................................................ มอื ถือ..............................................................................E-mail : ................................................................................. ออกใบเสรจ็ ในนาม ชอ่ื ................................................................................................................................................ ท่ีอยู.่ .......................................................................................................................................... .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. เงื่อนไขการช�ำระเงิน : โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย จ�ำกัด (มหาชน) สาขาราษฎร์อุทิศ ประเภทออมทรัพย์ เลขทบี่ ญั ชี 961-0-01258-2 พรอ้ มสำ� เนาใบโอนเงนิ ไปยังกองบรรณาธิการจดั การ ทางโทรสาร 074-425467 ลงช่อื ...............................................................ผูส้ มคั ร (.............................................................) กรุณาส่งใบสมคั รท่ี : บรรณาธกิ ารวารสารหาดใหญ่วิชาการ ฝา่ ยเผยแพรผ่ ลงานทางวิชาการ มหาวทิ ยาลัยหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110 โทรศัพท์ 074-200347 หรอื 074-200300 ต่อ 347 โทรสาร074-425467 E-mail : [email protected]
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191