Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารหาดใหญ่วิชาการ ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

วารสารหาดใหญ่วิชาการ ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2563

Published by MBU SLC LIBRARY, 2021-01-28 09:31:00

Description: 16717-5367-PB

Search

Read the Text Version

การบริหารจดั การโลจสิ ตกิ สท์ ่องเทย่ี วจังหวัดพัทลงุ 221 ทัศนยี ์ ประธาน และคณะ จำ� เป็นต้องมีการวางรปู แบบ การสรา้ งเครอื ข่าย และการด�ำเนินงานท่ีมีประสทิ ธิภาพจากชมุ ชนท่ี เขม้ แขง็ ค�ำสำ� คญั : พฤติกรรมการท่องเท่ียว โลจิสตกิ ส์การท่องเท่ียว การทอ่ งเทย่ี ว บทน�ำ จังหวดั พทั ลงุ ตง้ั อยู่บรเิ วณชายฝง่ั ตะวันออกของภาคใต้ มีธรรมชาตสิ วยงาม ทั้งป่าเขา น้ำ� ตก ทะเลสาบ รวมทงั้ วถิ ชี วี ติ ทหี่ ลากหลายและประวตั ศิ าสตรท์ ยี่ าวนาน โดยมคี ำ� ขวญั ประจำ� จงั หวดั “เมอื ง หนังโนรา อู่นาข้าว พราวน�้ำตก แหล่งนกน้�ำ ทะเลสาบงาม เขาอกทะลุ น้�ำพุร้อน” สอดคล้องกับ ยทุ ธศาสตรจ์ งั หวดั พทั ลงุ ทวี่ า่ พนื้ ทจี่ งั หวดั พทั ลงุ มที รพั ยากรการทอ่ งเทยี่ วทมี่ ศี กั ยภาพและหลากหลาย ท้ังด้านนิเวศธรรมชาติ วัฒนธรรมแหล่งอารยธรรม มีแหล่งประวัติศาสตร์ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดสู่วิถีชีวิต ตลอดจนมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์จาก ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมของจงั หวดั ทโี่ ดดเดน่ เหมาะสำ� หรบั เปน็ สถานทพ่ี กั ผอ่ นของนกั ทอ่ งเทย่ี วและ ผู้มาเยอื นไดเ้ ป็นอย่างดี มเี สน้ ทางผา่ นไปยงั จังหวดั ใกลเ้ คยี งทม่ี ีชื่อเสยี งทง้ั ทางธรุ กจิ และการท่องเทีย่ ว ไดแ้ ก่ จงั หวดั นครศรธี รรมราช จงั หวัดตรงั และจังหวัดสงขลา (Phatthalung Governor’s Office, 2013) และจากการวิเคราะห์ขอ้ มลู ของ Phatthalung Governor’s Office (2017) พบวา่ ปจั จัยทม่ี ี ผลกระทบตอ่ การบรหิ ารจดั การการทอ่ งเทย่ี ว ประกอบดว้ ย 1) ขาดการเชอ่ื มโยงเครอื ขา่ ยการทอ่ งเทย่ี ว ทีม่ ีศกั ยภาพ 2) ชมุ ชนในพื้นทท่ี อ่ งเทีย่ วขาดความรูค้ วามเขา้ ใจในการบรหิ ารจัดการการท่องเท่ียวทม่ี ี คุณภาพและทักษะการท่องเที่ยวเชิงสากล 3) ระบบข้อมลู สารสนเทศ การประชาสัมพนั ธไ์ ม่เปน็ ระบบ และไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง 4) ท่ีพักและบริการการท่องเท่ียว ไม่หลากหลาย และขาดมาตรฐาน 5) ระบบการคมนาคมขนสง่ ไม่เชือ่ มโยงกบั แหล่งทอ่ งเที่ยว นอกจากนี้ จากรายงาน การสำ� รวจพฤตกิ รรมการเดนิ ทางทอ่ งเทยี่ วของชาวไทย ในรอบปี 2559 (DOP, 2017) พบวา่ นกั ทอ่ งเทย่ี ว ทจ่ี ดั การเดนิ ทางดว้ ยตนเองมคี า่ ใชจ้ า่ ยเฉลย่ี 2,753 บาท/คน/ครงั้ โดยคา่ ใชจ้ า่ ยแบบไมพ่ กั คา้ งคนื เฉลย่ี 1,298 บาท/คน และพักคา้ งคืนเฉล่ยี 3,842 บาท/คน โดยใช้เวลาพกั เฉลี่ย 2 วัน ดังน้ัน คณะผู้วิจัยจึงน�ำข้อมูลข้างต้นมาวิเคราะห์และเห็นโอกาสการพัฒนาบริหารจัดการ ท่องเที่ยวจงั หวดั พทั ลงุ ผา่ นกระบวนการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ ว (Tourism Logistic Management) โดยการวิจัยครั้งนี้ได้ให้ความส�ำคัญต่อการจัดการการท่องเที่ยวส�ำหรับผู้สูงอายุ เน่ืองจากปัจจุบัน นกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายหุ ลงั เกษยี ณถอื เปน็ กลมุ่ ทมี่ กี ำ� ลงั ซอ้ื และมคี วามพรอ้ มในการทอ่ งเทยี่ ว รวมทง้ั พฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุ สอดคล้องกับลักษณะภูมิศาสตร์ของจังหวัดพัทลุง ซึ่ง เปน็ จงั หวดั ทม่ี คี วามเปน็ ธรรมชาตแิ ละวฒั นธรรม ตลอดจนวถิ ชี วี ติ ของชาวพทั ลงุ มคี วามเปน็ อตั ลกั ษณ์ เหมาะสำ� หรบั การรองรบั นกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายแุ ละคนใกลช้ ดิ ใหส้ ามารถมาทอ่ งเทย่ี วและพกั ผอ่ น ทจ่ี ังหวัดพัทลงุ ได้อย่างเหมาะสมตามสโลแกนของจงั หวดั ท่ีวา่ “พัทลงุ เมอื งบายใจ: Slow City” ทงั้ น้ี จากพฤตกิ รรมการท่องเที่ยวของผูส้ งู อายุท่ีชอบทอ่ งเทย่ี วแบบไร้การเรง่ รบี (Slow Tourism) ในแหลง่

วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 222 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ทอ่ งเทย่ี วและกจิ กรรมทห่ี ลากหลาย มคี วามปลอดภยั อาหารและทพ่ี กั ราคาไมแ่ พง คนในชมุ ชนมคี วาม เป็นกันเองและเป็นมิตร ไม่เอาเปรียบนักท่องเท่ียว ส่วนแรงจูงใจในการท่องเที่ยวของกลุ่มผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) ประเภทแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย เช่น ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และ ธรรมชาติ และ 2) วิถีชีวิตท่มี คี วามเปน็ อตั ลักษณ์ และมีกจิ กรรมที่หลากหลาย เปน็ ตน้ (Sungrugsa, Plomelersee, & Warabamrurngkul, 2016) ดังน้ัน เพือ่ การรองรบั นกั ท่องเท่ียวสงู อายทุ ่เี รมิ่ มีการ ขยายตัวมากข้ึน คณะผู้วิจัยจึงมีแนวคิดเพื่อศึกษาหาแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการท่องเท่ียว ในจงั หวดั พทั ลุงดว้ ยแนวคดิ การจดั การโซอ่ ปุ ทานของการทอ่ งเทยี่ ว และการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ ว ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ทั้งทางด้านการ เคลอ่ื นทท่ี างกายภาพ (Physical Flow) การเคลอ่ื นทที่ างการเงนิ (Financial Flow) และการเคลอื่ นที่ ของสารสนเทศ (Information Flow) เพ่ือให้จังหวัดพทั ลงุ สามารถรองรับกล่มุ นกั ทอ่ งเทีย่ วสูงอายุทั้ง ชาวไทยและชาวต่างชาติ ตลอดจนลดปญั หาและอปุ สรรคต่าง ๆ ทไ่ี ดก้ ล่าวมาขา้ งต้น วตั ถุประสงค์ 1. ศกึ ษาพฤตกิ รรมการทอ่ งเทยี่ วและระดบั มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ วทสี่ ง่ ผลตอ่ การมาเท่ยี วซ้ำ� ของนกั ท่องเท่ียวกลุม่ ผสู้ ูงอายุ 2. เปรยี บเทยี บคา่ เฉลย่ี มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ วทส่ี ง่ ผลตอ่ การมาเทยี่ วซำ�้ ของ นักท่องเทย่ี วกลมุ่ ผูส้ งู อายุท่มี ีสถานภาพตา่ งกัน 3. ศึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งองคป์ ระกอบมาตรฐานการจัดการโลจิสติกส์ทอ่ งเท่ียว ที่ส่งผล ให้เกิดการมาเท่ยี วซำ้� 4. ศึกษาความพึงพอใจต่อมาตรฐานการจัดการโลจิสติกส์ท่องเที่ยวของนักท่องเท่ียวกลุ่ม ผู้สูงอายุท่รี ว่ มกจิ กรรมทดลองเที่ยวในจังหวดั พัทลงุ 5. เสนอแนะแนวทางจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ วจงั หวดั พทั ลงุ ในการรองรบั นกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผ้สู งู อายแุ ละทกุ กลุม่ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพยง่ิ ข้นึ เอกสารและงานวิจัยทเี่ กีย่ วขอ้ ง ปัจจุบันการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่ท�ำรายได้หลักของประเทศไทย และถือเป็น อุตสาหกรรมอันดับต้น ๆ ที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เน่ืองจากองค์ประกอบหลักของ อุตสาหกรรมทอ่ งเที่ยวสามารถแบ่งได้เปน็ 4 องคป์ ระกอบ คือ 1) กจิ กรรมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การนำ� เทีย่ ว โดยตรง ได้แก่ กจิ กรรมการขนสง่ ทพี่ ัก ภตั ตาคาร บริการน�ำเทย่ี ว และแหลง่ ท่องเทีย่ ว 2) กจิ กรรมท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั การสนบั สนุนการท่องเทย่ี ว ได้แก่ กิจกรรมบนั เทงิ พักผ่อน และสินค้าท่รี ะลกึ 3) กิจกรรม บรกิ ารอน่ื ๆ เชน่ สถานนี ำ้� มนั รา้ นขายสนิ คา้ อปุ โภคบรโิ ภค กจิ กรรมการรกั ษาพยาบาลและเสรมิ สรา้ ง สุขภาพ และ 4) กิจกรรมการพัฒนาและส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว และบุคลากรการท่องเท่ียว (Pimonsompong, 2015) นอกจากน้ี Intojunyong, Kaewkitipong, and Ractham (2013) ได้ ศกึ ษาและวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ และการแลกเปลยี่ นขอ้ มลู ระหวา่ งผปู้ ระกอบการในกลมุ่ อตุ สาหกรรม

การบริหารจดั การโลจิสตกิ ส์ท่องเท่ยี วจงั หวดั พัทลุง 223 ทัศนยี ์ ประธาน และคณะ การท่องเที่ยว พบวา่ ผูป้ ระกอบการอตุ สาหกรรมการท่องเท่ียว 6 กลมุ่ ประกอบดว้ ย 1) โรงแรมและ ทพี่ กั 2) ตวั แทนการทอ่ งเทยี่ ว 3) หนว่ ยงานดแู ลและประชาสมั พนั ธก์ ารทอ่ งเทยี่ ว 4) ธรุ กจิ การทอ่ งเทย่ี ว และกิจกรรม 5) ธุรกิจบริการดา้ นอาหาร และ 6) ธรุ กจิ การเดนิ ทาง ซึ่งเป็นผ้มู สี ่วนได้ส่วนเสยี รายหลัก (Main Stakeholders) ของระบบโซอ่ ปุ ทานอตุ สาหกรรมการทอ่ งเทยี่ วไทย ทม่ี กี ารสง่ ตอ่ นกั ทอ่ งเทย่ี ว ใหก้ นั หรอื การรว่ มมอื กนั เพอื่ สรา้ งบรกิ ารทค่ี รบวงจรทงั้ การบรกิ ารดา้ นการเดนิ ทาง ทพี่ กั และรา้ นอาหาร ด้วยการใช้ระบบสารสนเทศเข้ามาช่วย ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดังกล่าว ยังคงพบปัญหา การจัดท�ำระบบข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการการท่องเที่ยวใน ระยะยาว จากการวเิ คราะหส์ ภาพทางภูมศิ าสตรป์ ระเทศไทยพบวา่ มขี ้อได้เปรยี บกบั ประเทศในกลุ่ม ประเทศอาเซยี นโดยเฉพาะการทอ่ งเทย่ี วสำ� หรบั กลมุ่ ผสู้ งู อายุ เพราะนกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายสุ ามารถ ท่องเทย่ี วในทีต่ ่าง ๆ เชน่ เดยี วกับนักทอ่ งเทีย่ วกลุม่ อืน่ ๆ ดงั นนั้ หากตอ้ งการเปดิ ตลาดรบั นกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ งั้ ชาวไทยและชาวตา่ งชาติ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารปรบั รปู แบบการจดั การทอ่ งเทย่ี วใหส้ ามารถเปน็ จดุ หมายปลายทางทนี่ กั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายุ เลอื กมาพกั ผอ่ น และกลบั มาเทยี่ วซำ้� รวมทง้ั แนะนำ� ตอ่ เนอ่ื งจากความประทบั ใจทเ่ี กดิ จากปจั จยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ได้แก่ 1) การพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานท่ีแสดงถึงความพร้อมในการอ�ำนวยความสะดวก และบรกิ ารดา้ นต่าง ๆ เพือ่ การรองรบั นักทอ่ งเทีย่ ว เช่น ความพรอ้ มดา้ นสถานที่ ระบบสาธารณูปโภค มัคคุเทศก์ และการสร้างบรรยากาศท่ีเหมาะสม 2) ความชัดเจนในการก�ำหนดแผนและนโยบาย การท่องเท่ียวส�ำหรับผ้สู งู อายุ เช่น ศูนยบ์ ริการนักทอ่ งเทยี่ ว การจัดโปรแกรมทอ่ งเท่ียวแบบไม่เร่งรีบ เรยี บงา่ ย ใกลช้ ดิ ธรรมชาติ ปลอดมลพษิ และเนน้ อาหารสะอาดเพอ่ื สขุ ภาพ และ 3) การเตรยี มความพรอ้ ม ในการบรกิ ารดา้ นความปลอดภยั เชน่ การจดั ใหม้ เี จา้ หนา้ ทท่ี ม่ี คี วามรดู้ า้ นการปฐมพยาบาล จดั เตรยี ม พาหนะเดินทางท่ีเหมาะสม หรือบริการรับส่งจากสนามบิน รวมถึงการบริการด้านที่พัก อาหาร และ การดูแลสุขภาพ เป็นต้น (Rattanapaitoonchai, 2012) ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ Boonyanupong and Sangkakorn (2012) พบวา่ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วทมี่ ศี กั ยภาพในการจดั การทอ่ งเทยี่ ว แบบไม่เร่งรีบส�ำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุ ควรเป็นแหล่งท่องเท่ียวประเภทศาสนาสถานและ ประวัติศาสตร์ ต้ังอยู่ในเขตตัวเมือง มีการเข้าถึงสะดวก มีส่ิงอ�ำนวยความสะดวกในการให้บริการ ค่อนข้างสมบรู ณ์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ สถานพยาบาล ทงั้ นี้ จากการศกึ ษาพบวา่ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วสว่ นใหญ่ มศี กั ยภาพระดบั ปานกลาง เนอ่ื งจากมสี ง่ิ อำ� นวยความสะดวก การใหบ้ รกิ ารไมเ่ พยี งพอ และไมเ่ หมาะสม สำ� หรับผสู้ งู อายุ ตลอดจนขาดกจิ กรรมรองรับการทอ่ งเทีย่ วแบบไมเ่ รง่ รบี ดังน้ัน แนวทางการจัดการ แหล่งท่องเท่ียวเพื่อรองรับการเดินทางท่องเท่ียวแบบไม่เร่งรีบส�ำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ จึงมุ่งเน้นการ ปรับปรุงส่ิงอ�ำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเท่ียว การพัฒนากิจกรรมที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ สัมผสั และซึมซบั คุณคา่ ของส่ิงทมี่ อี ยู่ในแหลง่ ทอ่ งเทีย่ ว รวมทั้งพัฒนาบคุ ลากรทเี่ กยี่ วขอ้ งใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การจดั การทอ่ งเทยี่ วสำ� หรบั ผสู้ งู อายุ และการจดั การทอ่ งเทย่ี วในรปู แบบทไี่ มเ่ รง่ รบี สอดคล้องกับข้อค้นพบเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกโปรแกรมการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุแต่ละคร้ังของ Rodkhian (2011) พบว่า สิ่งท่ีนักท่องเท่ียวกลุ่มผู้สูงอายุคาดหวังในการเดินทางท่องเที่ยว ได้แก่

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 224 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 1) ความสวยงามของแหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว 2) มบี รกิ ารหอ้ งนำ�้ ทเี่ พยี งพอและสะอาด 3) มกี จิ กรรมทอ่ งเทยี่ ว ที่หลากหลายเหมาะกบั วยั และสุขภาพ 4) ความตอ้ งการพนักงานบรกิ ารด้วยความเตม็ ใจ มบี ุคลิกภาพ และมกี รยิ ามารยาททด่ี ี และ 5) สถานทร่ี บั รองมอี ปุ กรณใ์ หค้ วามชว่ ยเหลอื ในการทอ่ งเทยี่ วอยา่ งสะดวก เชน่ ห้องน้ำ� เฉพาะส�ำหรับผู้สงู อายุ และปา้ ยบอกทาง เปน็ ตน้ นอกจากน้ี องค์ประกอบส�ำคัญในการ จดั การการทอ่ งเทยี่ วทด่ี คี วรประกอบดว้ ย 1) บทบาทผปู้ ระกอบการนำ� เทยี่ วตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ การ จดั โปรแกรมการทอ่ งเทย่ี ว 2) ความรบั ผดิ ชอบของมคั คเุ ทศกท์ ตี่ อ้ งมคี วามเขา้ ใจธรรมชาตแิ ละจติ วทิ ยา ของผสู้ งู อายุ 3) การแสวงหาความพรอ้ มของแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วทเี่ หมาะสม 4) การบรกิ ารทม่ี คี ณุ ภาพเพอื่ สร้างความพึงพอใจและตรงกับความต้องการของผู้สูงอายุ 5) การจัดเตรียมกิจกรรมท่ีเหมาะสมและ สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั 6) กจิ กรรมบนั เทงิ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเพลดิ เพลนิ เพอ่ื ความสขุ ทงั้ ทางกาย และทางใจ และส่งผลดตี ่อสุขภาพ 7) การใส่ใจเรือ่ งความปลอดภัย เช่น พาหนะในการเดนิ ทาง และ 8) ความนา่ เชอื่ ถอื ทเ่ี กดิ จากการจดั การดา้ นการตลาด การบรกิ ารทส่ี ามารถตอบสนองความตอ้ งการของ ผสู้ งู อายุ ตลอดจนการนำ� ขอ้ บกพรอ่ งมาปรบั ปรงุ แกไ้ ขและพฒั นา เพอื่ สรา้ งความพงึ พอใจแกน่ กั ทอ่ งเทยี่ ว กล่มุ ผูส้ ูงอายุ จากองคป์ ระกอบทั้ง 8 ด้าน สามารถนำ� มาสรปุ ลกั ษณะของความตอ้ งการการท่องเทยี่ ว สำ� หรบั ผู้สงู อายอุ อกเป็น 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ ด้านสุขภาพ ดา้ นอาหาร ดา้ นทพี่ กั และดา้ นการจัดการของ บรษิ ทั โดยการจดั การของบรษิ ทั สามารถแบง่ ออกเป็น 4 ดา้ น คือ (1) ดา้ นมัคคุเทศก์ (2) ดา้ นการจดั โปรแกรมท่องเท่ียว (3) ด้านการจัดกิจกรรม และ (4) ด้านพาหนะในการเดินทาง (Thongpaeng, 2011) นอกจากนี้ จากการศกึ ษาของ Matthayomburut (2011) และ Sangkakorn, Piboonrungroj, Boomyanupong, Maneetrakunthong, and Yanchinda (2013) สามารถสรุปพฤติกรรมและ ความตอ้ งการของนกั ทอ่ งเทยี่ วผสู้ งู อายุ ไดแ้ ก่ 1) ความสะดวกสบายในการเดนิ ทางภายในสถานทท่ี อ่ งเทย่ี ว ทง้ั รปู แบบการขนสง่ และการเดนิ เทา้ 2) โปรแกรมการทอ่ งเทย่ี วควรอยรู่ ะหวา่ ง 2 วนั 1 คนื หรอื 1 วนั 1 คนื เทา่ นน้ั 3) ระยะเวลาในการเดนิ ทางไมค่ วรเกนิ ครง่ึ ชว่ั โมงตอ่ รอบการทอ่ งเทย่ี ว และควรอยใู่ นชว่ ง 08.00-14.00 น. หรอื ไม่เกนิ 6 ชั่วโมงรวมรับประทานอาหารกลางวัน สว่ นเวลาท่ีเหลอื นักทอ่ งเที่ยว ตอ้ งการพกั ผอ่ นในสถานทที่ อ่ งเทยี่ ว 4) ควรมเี วลาพกั กอ่ นไปอกี สถานทหี่ นง่ึ ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ สง่ิ สำ� คญั มาก สำ� หรบั ผสู้ งู อายุ 5) การจดั โปรแกรมควรมเี วลาสำ� หรบั เยยี่ มชมแตล่ ะสถานท่ี 6) ไมน่ ยิ มสถานทท่ี อ่ งเทย่ี ว ท่ีมีนักท่องเที่ยวจ�ำนวนมาก 7) การยอมรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อได้รับบริการที่ดีและสะดวกสบาย มากกว่าความหรูหรา 8) มีการรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแหล่งท่องเท่ียว แต่ไม่ถึงขั้นเน้นด้านวิชาการ และ 9) ต้องการผู้น�ำทางหรือมัคคุเทศก์ที่มีความรู้ในแหล่งท่องเท่ียวเชิงลึก ส่วนการเปรียบเทียบ ความพงึ พอใจของนกั ทอ่ งเทยี่ วตอ่ โลจสิ ตกิ สก์ ารทอ่ งเทยี่ ว พบวา่ นกั ทอ่ งเทยี่ วทม่ี ชี ว่ งอายุ ระดบั การศกึ ษา อาชีพ และรายได้เฉล่ยี ต่อเดือน แตกต่างกนั มคี วามพงึ พอใจโดยรวมแตกต่างกนั จากการศกึ ษาผลงานวจิ ยั ทผี่ า่ นมาพบวา่ นกั ทอ่ งเทยี่ วผสู้ งู อายชุ าวไทย รอ้ ยละ 38.70 มบี ตุ รหลาน เปน็ ผวู้ างแผนการเดนิ ทางทอ่ งเทย่ี วให้ และรอ้ ยละ 39.20 เดนิ ทางมากบั บตุ รหลาน ซง่ึ สถานทที่ อ่ งเทยี่ ว ท่ีชอบมาก คอื ธรรมชาตทิ ส่ี วยงาม รองลงมา คอื วดั ศาสนาสถาน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และ

การบรหิ ารจัดการโลจิสติกสท์ ่องเท่ียวจังหวัดพทั ลงุ 225 ทศั นยี ์ ประธาน และคณะ ศลิ ปกรรม ตามลำ� ดบั โดยเดนิ ทางทอ่ งเท่ยี ว 2-3 ครั้งต่อปี และใช้เวลาทอ่ งเทยี่ ว 1-2 วนั ในวนั เสาร-์ อาทิตย์ ซ่ึงต่างจากนักท่องเท่ียวผู้สูงอายุชาวต่างชาติที่ส่วนใหญ่จัดการหาข้อมูลและวางแผนเดินทาง ด้วยตนเอง และนิยมเดินทางมากับคู่สมรส เพ่ือพักผ่อนและศึกษาวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตของ คนในท้องถิ่น ส�ำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ชื่นชอบมากที่สุด คือ ธรรมชาติท่ีสวยงาม งานประเพณี วัฒนธรรม และแหล่งโบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปกรรม ตามล�ำดับ นอกจากน้ี นักท่องเท่ียว สูงอายุต่างชาตทิ ม่ี าเทย่ี วประเทศไทยมีอายรุ ะหว่าง 55-72 ปี เดินทางมาพรอ้ มกบั ครอบครัวหรือญาติ มวี ตั ถปุ ระสงค์หลัก คือ การมาท่องเที่ยวและพักผ่อน นิยมพักโรงแรม และชอ่ งทางรบั ข้อมลู ข่าวสาร มาจากการชกั ชวนของญาตหิ รือคนในครอบครวั (Thiensiri, Wandee, & Boonyanupong, 2012; Anekjumnongporn, 2016) ส่วนรูปแบบการประชาสัมพันธ์เพ่ือเข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุของ Voraakom (2017) พบว่า กลุ่ม ผู้สูงอายุยคุ ปัจจุบนั เปน็ กลมุ่ ทม่ี ที ง้ั เวลาและอำ� นาจการตดั สนิ ใจซ้อื เป็นกลุ่มลูกค้าท่ใี สใ่ จคุณภาพและ ความคมุ้ คา่ แบบสมเหตสุ มผล จงึ ใชเ้ วลาในการตดั สนิ ใจนานกวา่ วยั อนื่ ๆ แตถ่ า้ ไดต้ ดั สนิ ใจและประทบั ใจ แล้วจะมีความเช่ือใจและมีการใช้สินค้าและบริการนั้นซ�้ำ รวมท้ังการบอกต่อในกลุ่มเพ่ือน ๆ ดังน้ัน แนวทางการส่ือสารเกี่ยวกับการท่องเท่ียวส�ำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์ส�ำหรับผู้สูงอายุต้องมี เอกลกั ษณเ์ ฉพาะกลมุ่ เชน่ ขนาดของโลโก้ ค�ำอธบิ ายสนิ ค้า เมนูในร้านอาหารท่ีผูส้ งู อายสุ ามารถอ่าน ไดง้ ่าย ตลอดจนผลิตภณั ฑห์ รอื อปุ กรณ์ท่อี อกแบบใหม่เพือ่ แก้ปัญหาในการใชง้ าน เช่น เคร่อื งสุขภัณฑ์ ทถี่ กู ออกแบบเพอื่ เพ่มิ ความปลอดภัยจากการลน่ื ล้มหรอื ลุกนงั่ และการเพิ่มหอ้ งน�ำ้ เพอ่ื ลดการรอของ ผสู้ งู อายทุ ต่ี อ้ งเขา้ หอ้ งนำ้� บอ่ ย เปน็ ตน้ 2) จากภาพการทกั ทายในทกุ ๆ เชา้ ของทกุ วนั ผ่านแอปพลิเคชัน LINE เชน่ สวสั ดี วนั จนั ทร์ แชรร์ ปู ดอกไมแ้ ละสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ การเปน็ กลมุ่ ของผสู้ งู อายุ ทมี่ แี บบฉบบั ของตนเอง เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ ถงึ การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู การตดั สนิ ใจซอ้ื สนิ คา้ และบรกิ าร ผสู้ งู อายุ สามารถรับรู้ข้อมูลจากสื่อออนไลน์เป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ โดยเฉพาะธรุ กจิ เกย่ี วกบั อาหาร การกนิ โรงแรม และสถานทีท่ ่องเทีย่ ว นอกจากน้ี การประชาสัมพันธเ์ พอ่ื การท่องเทยี่ วจำ� เป็นตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื จากหน่วยงาน ที่เกย่ี วข้องท้ังเรอ่ื งของงบประมาณ เนอื้ หากิจกรรมการทอ่ งเท่ยี ว ระยะเวลาการเผยแพร่ และความ- หลากหลายของช่องทางประชาสมั พันธ์ ไดแ้ ก่ แผน่ พับ สอื่ บุคคล เจ้าหนา้ ที่แหลง่ ทอ่ งเทีย่ ว หนังสือที่ มีเนื้อหาเก่ียวข้องกับแหล่งท่องเท่ียว เว็บไซต์ อินเทอร์เน็ต ป้ายต่าง ๆ นิทรรศการสัญจร และจาก สื่อมวลชน ปัจจุบันผู้สูงอายุมีการใช้เทคโนโลยีท้ังสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมากกว่าในอดีต ดังนั้น การสื่อสารด้วยส่ือสังคมออนไลน์ จึงมีความส�ำคัญต่อการประชาสัมพันธ์ข้อมูลด้านการท่องเท่ียว อย่างสูง ซ่ึงการออกแบบอนิ เทอรเ์ ฟสสำ� หรบั กลุม่ ผู้สงู อายุ (User Interface Design for Elder) โดย การออกแบบอนิ เทอรเ์ ฟสผูใ้ ช้ (UI Design) คอื การออกแบบส่วนติดตอ่ กบั ผใู้ ช้ให้มีความเปน็ มติ รกับ ผใู้ ช้ (User Friendly) ทำ� ให้ผใู้ ชเ้ ข้าใจ เรยี นรู้ และใชง้ ่าย ส่วนใหญ่นิยมใช้ภาพสญั ลกั ษณใ์ นการโตต้ อบ กบั ผใู้ ช้ (Graphical User Interface: GUI) เชน่ ไอคอน รปู ภาพ และสญั ลกั ษณอ์ น่ื ๆ ดงั นน้ั การออกแบบ อินเทอร์เฟสส�ำหรับผู้สูงอายุจ�ำเป็นอย่างย่ิงที่ต้องค�ำนึงในหลายด้าน เน่ืองจากผู้สูงอายุเป็นวัยที่มี

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 226 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 การเปลยี่ นแปลงทง้ั ทางกายภาพและจติ ใจ ดว้ ยเหตนุ ้ี การออกแบบโมบายแอปพลเิ คชนั จงึ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ขอ้ จำ� กดั ตา่ ง ๆ ทง้ั สองดา้ น รวมถงึ การออกแบบการโตต้ อบในลกั ษณะตา่ ง ๆ ทเ่ี หมาะสมดว้ ย จากคมู่ อื ISO/TR 224411 (International Organization for Standardization, 2008) นอกจากน้ี Hawthorn (2000) ไดแ้ นะนำ� วา่ ถา้ เปน็ ไปไดค้ วรให้ความส�ำคญั เปน็ พเิ ศษกบั อินเทอร์เฟสทล่ี ดการใช้ ความจ�ำ โดยอินเทอร์เฟสต้องมีความลื่นไหล เน้นย�้ำความง่าย และควรมกี ารออกแบบให้ต�ำแหนง่ ปมุ่ คีย์ลดั เมนู ช่ือเรื่องต่าง ๆ อยู่ในตำ� แหน่งเดมิ และปุ่มทใี่ ช้บ่อยควรอยูใ่ นต�ำแหนง่ ท่ีกดไดง้ า่ ย ขนาดของ ปุม่ ทอี่ อกแบบให้ผสู้ งู อายจุ ำ� เปน็ ต้องค�ำนงึ ถงึ เชน่ กัน และรูปแบบการประชาสัมพันธ์ทีด่ ี ประกอบดว้ ย 1) การวางแผนการประชาสัมพันธ์ 2) วิธแี ละกจิ กรรมในการประชาสัมพนั ธ์ และ 3) ส่อื ประชาสมั พันธ์ ท่ีสามารถเขา้ ถงึ กลุ่มเปา้ หมาย และกอ่ ให้เกิดการเปล่ียนแปลงดา้ นพฤติกรรม นอกจากน้ี ปัจจัยส�ำคัญในการด�ำเนินการบริหารจัดการท่องเท่ียวต้องเกิดจากความร่วมมือ จากเครือข่ายการท่องเที่ยวและด�ำเนินการอย่างต่อเน่ือง ซ่ึง Sukkul and Towanit (2013) เสนอ การนำ� เรอื่ งสว่ นศนู ยก์ ลาง (HUB) มาใชป้ ระโยชนเ์ ชงิ พน้ื ทเี่ พอ่ื เปน็ ศนู ยก์ ลางโลจสิ ตกิ ส์ (Logistics Hub) ซึง่ เปน็ การเชอื่ มโยงกจิ กรรมทเี่ กีย่ วขอ้ งผา่ นการพฒั นาระบบขนส่งทั้งทางบก - ทางน�้ำ - ทางอากาศ ตามระบบโลจสิ ติกส์ที่เก่ยี วขอ้ งกับการเคล่ือนยา้ ยสนิ ค้าและบรกิ าร ขอ้ มลู ขา่ วสาร และการจัดระบบ สาธารณูปโภคพื้นฐานในการบริการ และการอ�ำนวยความสะดวกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ัน ศูนย์กลางโลจสิ ตกิ สจ์ งึ เปน็ การสรา้ งประสทิ ธภิ าพดา้ นโลจสิ ตกิ ส์ เพอื่ ใหเ้ กดิ กระบวนการสรา้ งงานหรอื กระบวนการเพิ่มคุณค่า ผ่านโซ่อุปทาน (Sorat, 2017) และจากการใช้ประโยชน์เชิงพื้นท่ีการเป็น จุดศูนย์กลางโลจสิ ตกิ สเ์ ชอื่ มโยงกจิ กรรมตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ระบบโลจสิ ตกิ สท์ ง้ั หมดไวอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ โดยมจี ดุ เชอื่ มตอ่ (SPOKE) หรอื เสน้ ทางเปน็ ตวั เสรมิ ในการเชอื่ มโยงกจิ กรรมทเ่ี กดิ ขนึ้ ไปยงั จดุ ศนู ยก์ ลาง จากความส�ำคัญของการจัดการแบบศูนย์กลาง จึงเป็นท่ีมาของแนวนโยบายให้ประเทศไทยเป็น ศูนยก์ ลางดา้ นการทอ่ งเทย่ี วของประชาคมเศรษฐกิจอาซยี น หรอื AEC โดยรฐั บาลตอ้ งมีการกำ� หนด แนวทางการพฒั นาองคป์ ระกอบหลกั ของภาคการทอ่ งเทย่ี วทงั้ 3 สว่ น ประกอบดว้ ย 1) แหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว 2) บุคลากร และ 3) การเดนิ ทาง โดยองค์ประกอบดังกล่าวเป็นตวั ขบั เคลื่อนให้การทอ่ งเที่ยวสามารถ พัฒนาไปในทิศทางท่ีถูกตอ้ งและมปี ระสทิ ธิภาพ การบริหารจดั การท่องเทย่ี วผ่านโซอ่ ปุ ทานการท่องเที่ยว (Tourism Supply Chain) เป็นการ สรา้ งเครอื ขา่ ยการทอ่ งเทย่ี วทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั สนิ ค้าและบรกิ าร หน่วยงานและกิจกรรมต่าง ๆ ท้งั ในส่วน ของภาครัฐและเอกชน รวมถึงชุมชนที่มีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเท่ียว ได้รับความพึงพอใจสูงสุดตลอดระยะเวลาการเดินทางท่องเท่ียว โดยมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ กิจกรรมและผลิตภัณฑ์ส�ำหรับการท่องเท่ียวที่ครอบคลุมการด�ำเนินงานจากธุรกิจหลากหลายสาขา ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ซงึ่ ประกอบดว้ ย 1) ผจู้ ดั จำ� หนา่ ยทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การทอ่ งเทย่ี ว (Suppliers) 2) ผปู้ ระกอบการ น�ำเท่ียว (Tours Operator) 3) ตัวแทนการท่องเท่ียว (Agents) และ 4) ลูกค้า (Customers) ซ่ึง องค์ประกอบทั้ง 4 ส่วนน้ีมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงเป็นหน่ึงเดียวกันในโซ่อุปทานการท่องเท่ียว (Kaukal, Hoepken & Werthner, 2000)

การบรหิ ารจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเที่ยวจงั หวดั พทั ลุง 227 ทัศนีย์ ประธาน และคณะ โลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทย่ี ว (Logistic Tourism) เปน็ การเดนิ ทางของบคุ คลจากทอ่ี ยอู่ าศยั ไปยงั ทอี่ นื่ เป็นการชั่วคราวด้วยความสมัครใจเพ่ือการพักผ่อนท่ีไม่เก่ียวข้องกับการประกอบอาชีพหรือหารายได้ ซึง่ ประกอบดว้ ย 2 ด้าน คอื โลจสิ ติกส์ส�ำหรบั นกั ทอ่ งเทยี่ ว (Logistics of Tourists) และโลจสิ ตกิ ส์ ส�ำหรบั การให้บรกิ ารการทอ่ งเท่ียว (Logistics of Tourism Services) และความหมายโดยรวม คอื การกำ� หนดเปา้ หมายการทอ่ งเทย่ี วเพอ่ื ใหน้ กั ทอ่ งเทย่ี วมคี วามพงึ พอใจในการจดั เสน้ ทางการทอ่ งเทยี่ ว ทอี่ ำ� นวยความสะดวกสบายในการไหลเวยี นทั้งทางด้านกายภาพ ด้านขอ้ มลู ขา่ วสาร และดา้ นการเงิน (Suriya, 2009) สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของ Boonlert (2017) ทสี่ รปุ วา่ โลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ วเนน้ พนั ธกจิ เกี่ยวกบั การเคลื่อนท่ี (Flow Movement) ได้แก่ การเคล่อื นทีท่ างกายภาพของนกั ทอ่ งเทยี่ ว สินคา้ และบรกิ าร การเคลื่อนที่ของข้อมลู ข่าวสาร และการเคลอ่ื นท่ดี า้ นการเงิน ส่วนการจัดการโลจสิ ติกส์ ทอ่ งเทยี่ ว (Tourism Logistic Management) หมายถงึ การประยุกตใ์ ช้ศาสตรข์ องโลจิสติกส์สำ� หรบั เคลื่อนย้ายนกั ท่องเทย่ี วอย่างครบวงจรดว้ ยระบบการขนสง่ การบริการ การน�ำเสนอสินค้า และการ ประสานงานระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงส่ิงอ�ำนวยความสะดวกอื่นๆ ตั้งแต่จุดเร่ิมต้นการเดินทาง เขา้ มาสจู่ งั หวดั ทเ่ี ลอื ก การเลอื กทพี่ กั การเดนิ ทางไปยงั สถานทต่ี า่ ง ๆ ภายในจงั หวดั การเลอื กซอื้ สนิ คา้ และบรกิ าร จนกระทงั่ เดนิ ทางกลบั อยา่ งสวสั ดภิ าพ เพอื่ สรา้ งความประทบั ใจแกน่ กั ทอ่ งเทย่ี วทม่ี าเยอื น จังหวัด โดย Chaichan (2012) สรุปแนวคิดการจัดการโลจิสติกส์ด้านการท่องเที่ยว หรือโลจิสติกส์ การท่องเท่ียวว่า เป็นการบูรณาการแนวคิดด้านการจัดการโลจิสติกส์กับแนวคิดการจัดการท่องเที่ยว เข้าด้วยกัน เน่ืองจากแนวคิดและรูปแบบการจัดการโลจิสติกส์เป็นการบริหารจัดการการไหลเวียน ภายในหว่ งโซอ่ ปุ ทานทปี่ ระกอบดว้ ยการจดั การ และการบรหิ ารการไหลเวยี นดา้ นกายภาพ (Physical) การเงนิ (Financial) และสารสนเทศ (Information) เพอ่ื ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสงู สดุ สว่ น มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ วในการวจิ ยั ครง้ั นี้ กำ� หนดจากการใหค้ วามสำ� คญั ในการใหบ้ รกิ าร ดา้ นการไหลเวียนทางด้านกายภาพ การเงิน และสารสนเทศ ของกลมุ่ นักท่องเท่ียวผู้สงู อายุ กรอบแนวคดิ จากพฤติกรรมการทอ่ งเท่ียวของผู้สงู อายุ หลักการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเที่ยว ประกอบด้วย การเคล่ือนย้ายทางกายภาพ การเคลื่อนย้ายข้อมูลสารสนเทศ และการเคลื่อนย้ายการเงิน สามารถ สรปุ ความสมั พนั ธข์ องปจั จยั ตา่ ง ๆ เพอ่ื สง่ ผลตอ่ การกลบั มาเทย่ี วซำ�้ ของนกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายุ คณะ ผวู้ จิ ยั จงึ ไดก้ �ำหนดกรอบแนวคดิ ของการวิจัย ดงั รูปที่ 1

วารสารหาดใหญ่วชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 228 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 พฤติกรรมการทอ่ งเทยี่ วของผูส้ ูงอายุ มาตรฐานการจดั การโลจิสตกิ ส์ รปู แบบเส้นทาง การทดลองนา้ เทยี่ ว การท่องเทยี่ วที่สง่ ผลตอ่ การมาเทีย่ วซ้า การทอ่ งเท่ียว - ระดับมาตรฐานการจัดการโลจสิ ติกส์ - เปรียบเทยี บความแตกตา่ งคา่ เฉลี่ย ความพึงพอใจต่อการจดั การโลจิสติกส์ ความสมั พนั ธ์ - การเคลอื่ นย้ายด้านกายภาพ - การเคลอื่ นย้ายด้านขอ้ มลู สารสนเทศ รูปที่ 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย - การเคลือ่ นย้ายด้านการเงิน วธิ กี ารวิจัย การวิจัยครง้ั นี้เปน็ การวิจยั และพัฒนา (R & D: The Research and Development) ด�ำเนนิ การวจิ ยั ดว้ ยการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎแี ละผลการวจิ ยั เกย่ี วกบั ระบบโลจสิ ตกิ ส์ การบรหิ ารจดั การทอ่ งเทยี่ ว แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดพัทลุง พฤติกรรมผู้สูงอายุ สภาพการท่องเท่ียวในจังหวัดพัทลุง และส�ำรวจ สภาพแหลง่ ท่องเที่ยวในจังหวดั พทั ลุง สรา้ งเครอ่ื งมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู และวเิ คราะหเ์ ส้นทาง การทอ่ งเทย่ี วทส่ี อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการและสภาพของผสู้ งู อายุ ประเมนิ คณุ ภาพและความพงึ พอใจ ด้วยการทดลองน�ำเท่ียว เมื่อได้ข้อสรุปจากการวิจัยได้น�ำองค์ความรู้จากการวิจัยเผยแพร่ ซ่ึง กระบวนการวิจัยดงั กลา่ วสามารถสรุปรายละเอยี ด ไดด้ งั นี้ 1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของนักทอ่ งเท่ยี ว กลุ่มผู้สูงอายุชาวไทยและชาวต่างชาติ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการทดลองท่องเท่ียวตาม เส้นทางท่ีก�ำหนด ด�ำเนินการพัฒนาด้วยการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวกับการท่องเท่ียวผู้สูงอายุ และแนวคดิ ความพงึ พอใจในการทอ่ งเทยี่ ว และตรวจสอบคณุ ภาพดา้ นความเทยี่ งตรง ดว้ ยการประเมนิ ความสอดคลอ้ งของขอ้ คำ� ถามกบั นยิ ามศพั ท์ โดยการประเมนิ ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) จากผทู้ รงคณุ วฒุ ิ จ�ำนวน 3 คน และวเิ คราะหค์ วามเชอ่ื มั่นของแบบวดั เฉพาะข้อคำ� ถามลักษณะมาตราสว่ นประมาณคา่ ด้วยการวิเคราะห์ค่าสัมประสทิ ธ์แิ อลฟ่าของครอนบาคส์ ได้ค่าความเชือ่ มัน่ ของแบบสอบถามท้งั 2 ชดุ ดงั น้ี แบบสอบถามสำ� หรบั กลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวไทย ไดค้ า่ สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟา่ ของครอนบาค เทา่ กบั 0.954 ส่วนแบบสอบถามส�ำหรับกลุ่มผู้สูงอายุชาวต่างชาติ ได้ค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.967 ซึง่ แสดงถึงความนา่ เชือ่ ของแบบสอบถามทเี่ พียงพอส�ำหรบั การน�ำไปใชใ้ นงานวจิ ัย 2. กลมุ่ ตวั อยา่ ง การวจิ ยั ครง้ั นี้ กำ� หนดขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ งตามสภาพความเหมาะสมใหส้ อดคลอ้ ง กับลักษณะเคร่ืองมือวัด และสภาพบริบทของกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่ม จึงใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง แบบไม่ค�ำนึงถึงความนา่ จะเปน็ (Non Probability) ด�ำเนนิ การสมุ่ กล่มุ ตวั อย่าง มรี ายละเอียดดงั นี้ 2.1 กลุ่มตัวอย่างนักท่องเท่ียวกลุ่มผู้สูงอายุ ท่ีเคยและไม่เคยมาท่องเที่ยวจังหวัดพัทลุง ด�ำเนินการสุ่มกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบบังเอิญ ได้แบบสอบถามกลับคืน จ�ำนวน 337 คน

การบรหิ ารจัดการโลจิสติกส์ท่องเที่ยวจังหวดั พัทลุง 229 ทัศนีย์ ประธาน และคณะ ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุชาวไทย จ�ำนวน 209 คน และกลุ่มนักท่องเท่ียวผู้สูงอายุ ชาวต่างชาติ จำ� นวน 128 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่างนักท่องเท่ียวผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมทดลองท่องเท่ียวจากเส้นทาง การทอ่ งเท่ยี ว 3 เสน้ ทาง ประกอบด้วย โปรแกรม 1 วนั และ 2 วนั แตล่ ะโปรแกรม ไดแ้ บบสอบถาม กลับคืน จ�ำนวน 64 คน ประกอบด้วย กลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุชาวไทย จ�ำนวน 48 คน และกลุ่ม นักท่องเที่ยวผู้สูงอายชุ าวต่างชาติ จ�ำนวน 16 คน 3. การออกแบบเสน้ ทางการทอ่ งเทย่ี วสำ� หรบั ผสู้ งู อายุ ดำ� เนนิ การดว้ ยการสำ� รวจแหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว ตามลักษณะทางกายภาพ ใชร้ ะบบโลจิสตกิ ส์ส�ำหรบั นักท่องเทยี่ ว และโลจสิ ตกิ ส์สำ� หรบั การให้บริการ การทอ่ งเทยี่ ว สรา้ งความสมั พนั ธแ์ ละความรว่ มมอื ระหวา่ งองคก์ ร (Relationship and Collaborate) สร้างเส้นทางการท่องเที่ยวด้วยการน�ำกลยุทธ์การก�ำหนดจุดศูนย์กลาง และจุดเชื่อมต่อ (HUB & SPOKE) มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการออกแบบเสน้ ทางการทอ่ งเทยี่ ว โดยการกำ� หนดจดุ ศนู ยก์ ลางทน่ี กั ทอ่ งเทยี่ ว ทกุ คนตอ้ งไปเยยี่ มชม เชน่ วงั เจา้ เมอื ง บอ่ นำ้� รอ้ นเขาชยั สน เพอ่ื เปน็ การกำ� หนดจดุ ศนู ยก์ ลางทส่ี ามารถ ท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก และประหยัดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ด้วยการ เชื่อมโยงเรื่องราวและกจิ กรรมตา่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบใน 3 เส้นทาง เสน้ ทางท่ี 1 จากอ�ำเภอหาดใหญ่ จงั หวัดสงขลา เสน้ ทางที่ 2 จากอำ� เภอเมอื ง จังหวัดตรัง และเสน้ ทางท่ี 3 จากอำ� เภอเมือง จงั หวัด นครศรธี รรมราช ทกุ เสน้ ทางมกี ารทดลองนำ� เทย่ี วในโปรแกรม 1 วนั และโปรแกรม 2 วนั 1 คนื นอกจากนี้ มโี ปรแกรมสำ� หรบั นกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวตา่ งชาตใิ ชเ้ สน้ ทางท่ี 1 รวมโปรแกรมทอ่ งเทย่ี วทงั้ หมด 8 โปรแกรม 4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล คณะผู้วจิ ัยด�ำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 2 รปู แบบ ตามลักษณะ ของกลุ่มตวั อย่างและการเขา้ รว่ มกิจกรรมทดลองเที่ยว ดังน้ี 4.1 สำ� หรบั กลมุ่ ตวั อยา่ งนกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวไทยและชาวตา่ งชาติ ทเี่ คยและไมเ่ คย มาเท่ียวจังหวัดพัทลุง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม โดยมีผู้ช่วยวิจัยท่ีได้รับการช้ีแจงและ อบรมจากคณะผวู้ ิจยั 4.2 สำ� หรบั นกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ เ่ี ขา้ รว่ มกจิ กรรมทดลองเทยี่ ว ดำ� เนนิ การเกบ็ รวบรวม ข้อมูลโดยมัคคุเทศก์ผู้น�ำเท่ียวในแต่ละโปรแกรม โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัยประกอบกับ การสังเกตกลมุ่ ตวั อย่างในระหว่างการรว่ มกจิ กรรมทดลองเทยี่ ว 5. การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสถิติ ดำ� เนนิ การวิเคราะหข์ อ้ มูลดว้ ยสถิตพิ ื้นฐานลกั ษณะแจกแจง ความถี่ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานใช้สถิติการวิเคราะห์ t-test แบบกลุ่มตัวอย่างอิสระต่อกัน (t-test Independent) One-way ANOVA เม่ือผลการทดสอบพบว่า มีค่าเฉล่ียแตกต่างกัน จึงทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ ต่อด้วยสถิติ Scheffe และค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ระหวา่ งตวั แปรสองตวั (Correlation Coefficient) ดว้ ยสถติ ิ Pearson Product-Moment Correlation Coefficient และทดสอบความสัมพนั ธด์ ว้ ยสถติ ิ t-test

วารสารหาดใหญ่วชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 230 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ผลการวิจัย 1. ผลการศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุชาวไทยพบว่า มีการ คน้ หาสถานทที่ อ่ งเทยี่ วจากเพอ่ื น/ญาติ (รอ้ ยละ 60.77) สว่ นใหญค่ นในครอบครวั เปน็ ผจู้ ดั การเกย่ี วกบั การท่องเท่ียวให้ (ร้อยละ 45.93) และเดินทางท่องเที่ยวกับคนในครอบครัว (ร้อยละ 67.94) นิยม พักค้างคืนที่รีสอร์ท (ร้อยละ 57.42) โดยใช้โมบายแอปพลิเคชันในการค้นหาข้อมูลท่องเที่ยวผ่าน โทรศพั ทม์ อื ถอื หรอื แทบ็ เลต็ (รอ้ ยละ 53.11) และเวลาทใ่ี ชค้ น้ หาขอ้ มลู ทอ่ งเทย่ี วใชน้ าน ๆ ครงั้ (รอ้ ยละ 47.75) ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่รับข้อมูลสถานท่ีท่องเที่ยวจากเพ่ือน (ร้อยละ 43.75) จัดการทอ่ งเทยี่ วดว้ ยตนเอง (ร้อยละ 39.84) และเดนิ ทางทอ่ งเท่ียวกับเพ่อื น (รอ้ ยละ 58.59) นยิ มพกั ค้างคืนทีโ่ รงแรม (รอ้ ยละ 50.78) ใช้โมบายแอปพลิเคชนั ในการคน้ หาขอ้ มลู ท่องเทยี่ ว ผา่ นโทรศพั ทม์ อื ถอื หรอื แทบ็ เลต็ (รอ้ ยละ 49.22) และ ใชเ้ วลาในการคน้ หาขอ้ มลู ทอ่ งเทย่ี วนาน ๆ ครง้ั (ร้อยละ 42.86) 2. จากการเปรียบเทียบค่าเฉล่ียมาตรฐานการจัดการโลจิสติกส์ท่องเที่ยวของนักท่องเท่ียว กลุ่มผู้สูงอายุชาวไทย และกลุ่มผู้สูงอายุชาวต่างชาติในภาพรวม ท้ังสองกลุ่มเห็นสอดคล้องกันว่า มาตรฐานการจดั การโลจสิ ติกสท์ อ่ งเทีย่ วทีส่ ง่ ผลต่อการมาเทย่ี วซ้�ำทุกดา้ นอยใู่ นระดับมาก (ค่าเฉลยี่ = 3.53-3.94) โดยมาตรฐานการจัดการโลจสิ ติกสท์ อ่ งเที่ยว ด้านที่มคี วามสำ� คัญมากเปน็ อันดบั แรก คือ ดา้ นกายภาพ รองลงมาเป็นดา้ นขอ้ มูลสารสนเทศ และด้านการเงนิ (คา่ เฉล่ยี 3.93 3.66 และ 3.54 ตามลำ� ดบั ) นกั ทอ่ งเทย่ี วผสู้ งู อายชุ าวไทย มคี วามคดิ เหน็ ตอ่ การจดั ลำ� ดบั มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ ส์ ทอ่ งเทย่ี วสอดคลอ้ งกบั นกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวตา่ งชาติ โดยใหล้ ำ� ดบั ความสำ� คญั ไดแ้ ก่ ดา้ นกายภาพ ด้านข้อมูลสารสนเทศ และด้านการเงิน อยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของนักท่องเที่ยว ผู้สูงอายุชาวไทย (ค่าเฉลย่ี 3.94 3.68 และ 3.53 ตามลำ� ดบั ) และนักทอ่ งเท่ยี วผู้สงู อายชุ าวตา่ งชาติ (คา่ เฉลย่ี 3.92 3.60 และ 3.55 ตามลำ� ดบั ) เมอ่ื พจิ ารณาประเดน็ ทนี่ กั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ งั้ ชาวไทย และตา่ งชาติ เหน็ สอดคลอ้ งกนั และใหค้ วามสำ� คญั เปน็ ประเดน็ แรก คอื ดา้ นกายภาพ ไดแ้ ก่ ความปลอดภยั ในการเดินทาง สถานทีท่ อ่ งเทยี่ ว และสถานทีพ่ ัก ดา้ นข้อมลู สารสนเทศ ได้แก่ ความชัดเจนของขอ้ มลู เกย่ี วกบั การเดนิ ทาง ปา้ ยบอกทางหรอื สญั ลกั ษณท์ อ่ งเทยี่ วตา่ ง ๆ ขอ้ มลู ทพี่ กั อาศยั เชน่ โรงแรม รสี อรท์ โฮมสเตย์ และความชดั เจนของการแนะนำ� สถานทท่ี อ่ งเทยี่ วหรอื นำ� เทยี่ วของคนในพนื้ ที่ สว่ นดา้ นการเงนิ นักทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผู้สูงอายุชาวตา่ งชาติ ให้ความสำ� คัญในประเดน็ ความสะดวกในระบบการช�ำระเงนิ คา่ สินค้าและบรกิ ารทอ่ งเท่ียว และความสะดวกในการใช้บัตรเครดิต และ ATM 3. จากการวิเคราะห์ผลความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบมาตรฐานการจัดการโลจิสติกส์ ท่องเที่ยวท่ีส่งผลต่อการท่องเท่ียวซ�้ำของทั้งนักท่องเท่ียวกลุ่มผู้สูงอายุชาวไทย และกลุ่มผู้สูงอายุ ชาวต่างชาติ พบวา่ มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทย่ี วทกุ ดา้ น ประกอบดว้ ย ดา้ นกายภาพ ดา้ น ข้อมูลสารสนเทศ และดา้ นการเงิน ท่สี ่งผลตอ่ การมาเที่ยวซ�้ำแตกต่างอย่างไมม่ ีนัยส�ำคญั ทางสถติ ิ โดย นักท่องเท่ยี วกลุ่มผสู้ ูงอายชุ าวไทยและชาวต่างชาติ เพศชายและเพศหญงิ มีความคดิ เห็นต่อมาตรฐาน การจดั การโลจิสติกส์ทอ่ งเทยี่ วทกุ ดา้ น ท่สี ง่ ผลตอ่ การมาเทยี่ วซ�ำ้ แตกตา่ งอยา่ งไมม่ นี ยั ส�ำคญั ทางสถติ ิ

การบรหิ ารจดั การโลจิสตกิ สท์ อ่ งเที่ยวจังหวดั พัทลงุ 231 ทศั นีย์ ประธาน และคณะ นักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุชาวไทยและชาวต่างชาติท่ีมีช่วงอายุแตกต่างกัน มีความต้องการมาตรฐาน การจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทย่ี วดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศทสี่ ง่ ผลตอ่ การมาเทย่ี วซำ�้ แตกตา่ งอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 โดยกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ ว่ งอายุ 66-70 ปี มคี า่ เฉลยี่ ความตอ้ งการมาตรฐานการจดั การ โลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทย่ี วดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศสงู กวา่ กลมุ่ ผสู้ งู อายชุ ว่ งอายุ 60-65 ปี และกลมุ่ อายุ 71 ปขี น้ึ ไป อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุท่ีสถานภาพสมรสแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อมาตรฐานการจัดการ โลจิสติกส์ท่องเท่ียวด้านการเงินแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญ ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั 0.05 โดยกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ มี่ สี ถานะหมา้ ย/หยา่ มคี า่ เฉลยี่ มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ ส์ ดา้ นการเงนิ สงู กวา่ กลมุ่ โสดและกลมุ่ ทส่ี มรสแลว้ สว่ นกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ มี่ สี ถานะสมรส มคี า่ เฉลย่ี มาตรฐาน การจดั การโลจสิ ตกิ สท์ ่องเทย่ี วดา้ นการเงนิ สูงกว่ากลมุ่ โสดอย่างมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิที่ระดับ 0.05 และเมอ่ื พจิ ารณาในแตล่ ะประเดน็ พบวา่ มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทย่ี วดา้ นกายภาพ ดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศ และดา้ นการเงนิ ของนกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวไทยและชาวตา่ งชาติ มคี วาม สมั พนั ธก์ นั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.01 โดยมคี า่ สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง 0.505 - 0.789 และเมื่อวิเคราะห์นักท่องเท่ียวผู้สูงอายุชาวไทยและชาวต่างชาติ พบว่า มีความคิดเห็นสอดคล้องกัน คอื มคี วามคดิ เหน็ ตอ่ มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทย่ี วดา้ นกายภาพ ดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศ และ ด้านการเงนิ มคี วามสมั พันธ์กนั อย่างมนี ัยส�ำคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั 0.01 โดยกลุม่ นกั ทอ่ งเทีย่ วผู้สูงอายุ ชชาาววตต่่าางงชชาาตติิรมะีชห่ววงค่าง่าส0ัม.5ป1ร2ะส- ิท0ธ.7์ส9ห0สแัมลพะันขธอ์สงูงชกาวว่าไทกยลรุ่มะนหักวา่ทง่อ0งเ.5ท0ี่ย3วผ-ู้ส0ูง.อ7า9ย0ุช) าซว่ึงไมทคี ยวา(มคส่าัมrพXYันธขอ์อยงู่ ในระดับปานกลางคอ่ นขา้ งสงู 4. ผลความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อมาตรฐานการจัดการโลจิสติกส์ท่องเท่ียวท่ีเข้าร่วม กจิ กรรมทดลองเทย่ี วในจงั หวดั พทั ลงุ ดว้ ยโปรแกรมเสน้ ทางการทอ่ งเทย่ี วสำ� หรบั นกั ทอ่ งเทยี่ วผสู้ งู อายุ ใน 8 โปรแกรม 3 เสน้ ทาง โดยเริม่ ต้นเสน้ ทางจากจังหวดั สงขลา จังหวดั นครศรธี รรมราช และจงั หวดั ตรัง ซ่ึงการจัดเส้นทางดังกล่าวได้มีการน�ำพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเท่ียวผู้สูงอายุมา บรู ณาการรว่ มกบั ขอ้ มลู สว่ นศนู ยก์ ลาง การเชอ่ื มโยงกจิ กรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เชน่ ระบบขนสง่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร และการจดั ระบบสาธารณปู โภค โดยมีจุดเชื่อมตอ่ หรือเสน้ ทางเปน็ ตัวเสริมในการเชื่อมโยงกจิ กรรมท่ี เกิดขึ้น เพ่ือให้เกิดกระบวนการเพ่ิมคุณค่าแก่นักท่องเที่ยวตลอดระยะเวลาการเดินทาง ดังตัวอย่าง โปรแกรมนำ� เทยี่ ว และภาพเสน้ ทางการทอ่ งเทยี่ ว 1 วัน และ 2 วัน (รูปที่ 2 และรปู ท่ี 3) ดังน้ี 1) โปรแกรม 1 วัน: จาก อ.เมือง จ.ตรงั สจู่ งั หวดั พัทลงุ ภายใต้สโลแกน “เที่ยวเมอื งตรงั ต่อดว้ ยเมอื งลงุ ” ดงั รูปที่ 2 เดนิ ทางจากสนามบนิ จังหวดั ตรัง (รับประทานอาหารเชา้ ในรถ) ไหว้พระ ชมถ้ำ� สมุ ะโน พกั ด่ืมน�ำ้ แร่ แชเ่ ทา้ พร้อมนวดเพือ่ สขุ ภาพ ณ บอ่ น�้ำร้อนเขาชยั สน รับประทานอาหาร เทีย่ ง ณ รา้ นทิวทศั น์ แหลมจองถนน ไหว้พระธาตเุ จดยี ์ วัดเขียนบางแกว้ พรอ้ มชมพิพธิ ภัณฑ์ของเกา่ เมืองพัทลุง เย่ียมชมวังเก่า-วังใหม่ (วังเจ้าเมืองพัทลุง) กราบพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ (พระส่มี มุ เมืองประจำ� ภาคใต้) รบั ประทานอาหารว่าง ณ ขน�ำคอฟฟ่ี ชมการสาธติ แกะรูปหนงั ตะลุง ณ หอศลิ ป์หนงั ตะลุง เดนิ ทางกลับสนามบนิ ตรงั จงั หวดั ตรัง โดยสวัสดภิ าพ

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 232 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 2) โปรแกรม 2 วนั : จาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สู่จงั หวดั พัทลงุ ภายใต้สโลแกน “ลอ่ งเรือ ชมบัว ดูนก ชมควายน�้ำ สมั ผสั วิถชี วี ติ ชุมชนบ้านกลาง นมัสการพระสี่มุมเมอื ง” ดังรปู ท่ี 3 วันที่ 1 จากสนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รับประทานอาหารเช้าที่ร้านโกเมศ แวะ บอ่ นำ้� รอ้ นเขาชยั สน นวดเพอ่ื สขุ ภาพ แชเ่ ทา้ ผอ่ นคลายกลา้ มเนอ้ื ชมสนิ คา้ โอทอป และการสาธติ การแกะ รปู หนงั ตะลงุ รบั ประทานอาหาร รา้ น Route 41 ชม ชมิ ช็อป ตลาดสวนไผข่ วัญใจ แวะวัดเขาออ้ สำ� นกั ตกั ศลิ า ไหวพ้ ระเกจอิ าจารยด์ งั เขา้ ทพ่ี กั ท่ี วรรณกี ระจดู พรอ้ มชมการสาธติ การทำ� ผลติ ภณั ฑจ์ าก กระจดู สนิ คา้ โอทอป 5 ดาว พกั ผอ่ นตามอธั ยาศยั นงั่ รถชมววิ อเมซอนเมอื งไทยทส่ี ะพานเฉลมิ พระเกยี รติ รับประทานอาหาร ณ ครัวสามกก๊ั แวะตลาดน้ำ� ทะเลน้อย วนั ที่ 2 รบั ประทานอาหารเชา้ โดยชมุ ชนท่องเท่ยี วทะเลน้อย ลอ่ งเรอื ชมบัว ดูนก แลควายน้ำ� เดนิ ชมวิถีชวี ติ ชาวบา้ นชมุ ชนซอยบ้านกลาง ออกจากที่พัก วรรณีกระจูด รบั ประทานอาหาร ณ ร้าน ศรปี ากประ เยย่ี มชมวงั เกา่ -วงั ใหม่ แวะกราบพระพทุ ธนริ โรคนั ตรายชยั วฒั นจ์ ตรุ ทศิ รบั ประทานอาหารวา่ ง ณ ร้านขน�ำคอฟฟี่ ชมหัตถกรรมพน้ื บ้าน สินคา้ โอทอป 5 ดาว กะลาเงินลา้ น บ้านคอกววั แวะช็อป สินคา้ โอทอป ณ รา้ นของฝากท่าแค เดินทางกลบั สนามบินหาดใหญ่ จงั หวัดสงขลา โดยสวัสดภิ าพ **แหล่งทอ่ งเท่ียว 1. ถ�้ำสุมะโน 2. บ่อน�้ำร้อนเขาชัยสน 3. ร้านทิวทัศน์ 4. วัดเขียนบางแก้ว 5. วังเจ้าเมืองพัทลุง 6. พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์ จตุรพิศ 7. ขน�ำคอฟฟี่ 8. หอศิลป์หนงั ตะลุง รปู ท่ี 2 เสน้ ทาง ตรงั - พัทลงุ โปรแกรม 1 วัน

การบริหารจัดการโลจสิ ตกิ สท์ ่องเทยี่ วจังหวัดพัทลุง 233 ทัศนีย์ ประธาน และคณะ รปู ที่ 3 เสน้ ทาง หาดใหญ่ - พทั ลุง โปรแกรม 2 วัน 1 คืน จากการวเิ คราะหผ์ ลสำ� รวจความพงึ พอใจตอ่ การดำ� เนนิ การจดั การทอ่ งเทยี่ วและกจิ กรรม พบวา่ กลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุท่ีเข้าร่วมทดลองท่องเท่ียวในทุกโปรแกรมมีความพึงพอใจในระดับมาก ในทุกสถานทที่ อ่ งเท่ยี ว (คา่ เฉล่ียสูงกวา่ 3.51) ทงั้ โปรแกรม 1 วัน และ 2 วัน ยกเว้นแหล่งท่องเท่ียว วัดเขียนบางแกว้ ในโปรแกรม 1 วัน ทีพ่ ึงพอใจในระดับปานกลาง (ค่าเฉลยี่ 3.22) ทั้งนี้ อาจเน่ืองจาก วดั เขยี นบางแกว้ เปน็ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วทจี่ ดั สำ� หรบั นกั ทอ่ งเทย่ี วทมี่ าจากจงั หวดั นครศรธี รรมราช ซง่ึ มวี ดั พระบรมธาตวุ รมหาวหิ าร นครศรธี รรมราช ในลกั ษณะเดยี วกนั จงึ ใหค้ วามสนใจนอ้ ย และนกั ทอ่ งเทย่ี ว โปรแกรม 2 วนั มคี า่ เฉลยี่ ความพงึ พอใจสงู กวา่ โปรแกรม 1 วนั ในทกุ สถานทท่ี อ่ งเทยี่ ว โดยนกั ทอ่ งเทยี่ ว กลุม่ ผ้สู ูงอายุโปรแกรม 1 วนั มีคา่ เฉลยี่ 3.22 - 3.99 และโปรแกรม 2 วนั มีคา่ เฉลยี่ 3.99 - 4.44 เมอื่

วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 234 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 พิจารณาปัจจัยการจัดการโลจิสติกส์ ด้านกายภาพ และด้านข้อมูลสารสนเทศพบว่า นักท่องเท่ียว โปรแกรม 2 วนั มคี วามพงึ พอใจปจั จัยการจัดการโลจิสตกิ สท์ ่องเที่ยว ดา้ นกายภาพ และดา้ นขอ้ มูล สารสนเทศ ในแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วทกุ สถานทที่ อ่ งเทย่ี วในระดบั มากทกุ แหลง่ ยกเวน้ ดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศ ในแหล่งท่องเที่ยวประเภทตลาดชุมชนท่ีพึงพอใจในระดับปานกลาง (ค่าเฉล่ีย 2.56) นักท่องเที่ยว โปรแกรม 1 วนั มคี วามพงึ พอใจดา้ นกายภาพ และดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศในระดบั มากเฉพาะแหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว ประเภท สขุ ภาพ และธรรมชาติ โดยมีค่าเฉล่ยี 3.72 - 3.96 รายละเอยี ดดังรปู ท่ี 4 - 5 รูปที่ 4 คา่ เฉลย่ี ความพงึ พอใจต่อแหล่งทอ่ งเท่ยี วจำ� แนกตามประเภท และโปรแกรมการจัด รปู ท่ี 5 ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจตอ่ ปัจจยั การจัดการโลจสิ ตกิ ส์ท่องเที่ยว จ�ำแนกตามโปรแกรมทจ่ี ัด 5. จากผลการวจิ ยั ทง้ั ในสว่ นการสำ� รวจแหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว ความคดิ เหน็ ของกลมุ่ ผสู้ งู อายุ การทดลอง ทอ่ งเทย่ี วตามโปรแกรมและเสน้ ทางทจ่ี ดั และมาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ วตอ่ การมาเทยี่ ว ซำ้� สามารถน�ำมาสรปุ บทเรยี นหรอื วางแผนการบรหิ ารจดั การตามแนวคดิ ระบบโลจิสตกิ ส์ ได้ดงั นี้

การบรหิ ารจัดการโลจสิ ตกิ ส์ท่องเทีย่ วจงั หวัดพทั ลุง 235 ทศั นีย์ ประธาน และคณะ 5.1 แนวทางในการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทย่ี ว ดา้ นกายภาพ การจดั เสน้ ทางทอ่ งเทย่ี วใหก้ บั นกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายุ ควรจดั การทอ่ งเทยี่ วเชงิ ธรรมชาติ ธรรมะ และประวตั ศิ าสตร์ หรอื ผสมผสาน การท่องเท่ียวทั้ง 3 ประเภทเข้าไว้ในโปรแกรมท่องเที่ยวเดียวกัน เพื่อให้นักท่องเท่ียวกลุ่มผู้สูงอายุ พึงพอใจตอ่ การทอ่ งเท่ยี ว และควรจัดโปรแกรมท่องเท่ียวอย่างน้อย 2 วนั หรือถา้ เปน็ โปรแกรม 1 วนั สามารถจดั โปรแกรมการทอ่ งเทย่ี วในแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วไดอ้ ยา่ งมาก 3 แหลง่ หากมากกวา่ 3 แหลง่ ควรเปน็ สถานทใ่ี กล้เคยี งกนั นอกจากนี้ ควรมปี ้ายบอกเส้นทางการเข้าถงึ สถานทแี่ หล่งทอ่ งเที่ยว และเส้นทาง ภายในแหล่งท่องเท่ียวอย่างชัดเจน และป้ายบอกเส้นทางภายนอกเพ่ือเข้าถึงแหล่งท่องเท่ียว รวมท้ัง จัดระบบความปลอดภัยแก่นักท่องเท่ียวทั้งสถานท่ีท่องเที่ยวและที่พักเป็นอย่างดี โดยน�ำระบบและ แนวคดิ อารยะสถาปตั ย์มาใชเ้ พื่อเตรยี มพรอ้ มรองรบั กลุ่มนักท่องเทีย่ วผสู้ ูงอายุในอนาคต 5.2 แนวทางในการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ ว ดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศ จากผลการสมั ภาษณ์ เชงิ ลกึ กลมุ่ ผสู้ งู อายทุ ร่ี ว่ มกจิ กรรมทดลองเทย่ี ว พบวา่ นกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ ง้ั ชาวไทยและตา่ งชาติ ตา่ งใหค้ วามสำ� คญั กบั ปจั จยั ขอ้ มลู สารสนเทศการทอ่ งเทยี่ วมาก เนอื่ งจากมเี วลาทจ่ี ำ� กดั ในการทอ่ งเทยี่ ว ดงั นนั้ ปา้ ยบอกทางภายในแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วเพอื่ การบอกเสน้ ทาง จงึ มคี วามสำ� คญั ใหส้ ามารถเขา้ ถงึ ไดง้ า่ ย และรวดเรว็ โดยเฉพาะหอ้ งนำ้� และเนอื่ งจากกลมุ่ ผสู้ งู อายใุ นปจั จบุ นั มกี ารใชส้ อ่ื สงั คมออนไลนโ์ ดยเฉพาะ มอื ถอื ดงั นน้ั การสรา้ งแอปพลเิ คชนั สำ� หรบั แนะนำ� โปรแกรมทอ่ งเทย่ี ว เสน้ ทางการทอ่ งเทยี่ ว การแนะนำ� ร้านอาหาร ร้านค้า และที่พักช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงแหล่งท่องเท่ียว เลือกสถานที่ท่องเท่ียวได้ ดว้ ยตนเอง ซงึ่ การวจิ ยั ครงั้ นี้ คณะผวู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาแอปพลเิ คชนั สำ� หรบั ใหข้ อ้ มลู สารสนเทศการทอ่ งเทย่ี ว และได้ทดลองกบั กลมุ่ นกั ท่องเท่ยี วท่รี ว่ มกิจกรรมทดลองเท่ยี ว ปรากฏวา่ ไดร้ ับความสนใจมากและได้ น�ำไปใช้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว แอปพลิเคชันมาตะเมืองลุง จึงเป็นแอปพลิเคชันที่ให้บริการข้อมูล สารสนเทศ ถือว่าเป็นปัจจัยการบริการด้านหนึ่งของระบบโลจิสติกส์ นอกจากนี้ ระหว่างด�ำเนินการ วจิ ยั มนี กั ธรุ กจิ ชาวตา่ งชาตไิ ดใ้ ชเ้ วบ็ ไซต์ “มาตะ เมอื งลงุ ” ตดิ ตอ่ สอบถามเกยี่ วกบั สนิ คา้ จากแหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว และร้านค้า “วรรณีกระจูดแอนด์รีสอร์ท” นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่ียังไม่มีข้อมูลในแอปพลิเคชัน ได้ติดต่อมายังคณะผู้วิจัยเพ่ือขอให้น�ำข้อมูลช่วยประชาสัมพันธ์ร่วมด้วย จึงเห็นได้ว่าแอปพลิเคชัน “มาตะ เมืองลุง” นอกจากสามารถเป็นแหล่งข้อมูลด้านการท่องเท่ียวแล้วยังสามารถใช้ส�ำหรับ ประชาสมั พนั ธส์ นิ คา้ โอทอปไดอ้ กี ทางหนง่ึ ดงั นนั้ จงึ ควรมกี ารพฒั นาดว้ ยการเพมิ่ ขอ้ มลู แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว ทุกแหล่งในจังหวัดพทั ลุง เพือ่ ให้บรกิ ารขอ้ มูลสารสนเทศการทอ่ งเที่ยวไดอ้ ยา่ งครบถว้ น 5.3 แนวทางในการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ ว ดา้ นการเงนิ ความสะดวกในระบบการชำ� ระ เงินค่าสินค้าหรือบริการ มีผลต่อการเท่ียวซ้�ำของนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุชาวไทยและชาวต่างชาติ แมว้ า่ มคี า่ เฉลย่ี ตำ�่ กวา่ ปจั จยั ดา้ นอน่ื แตย่ งั อยใู่ นระดบั สำ� คญั มาก ดงั นนั้ สถานประกอบการทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ทุกส่วนควรตระหนักถึงการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลในส่วนน้ี รวมท้ังจัดบริการตู้ ATM ส�ำหรับ บริการให้ท่ัวถึงและอยู่ในต�ำแหน่งท่ีเห็นได้ง่าย แต่ต้องเน้นความส�ำคัญด้านความปลอดภัยควบคู่ด้วย และควรมีการนำ� ระบบการเงินออนไลนม์ าใช้เพ่ิมเพอ่ื อ�ำนวยความสะดวกแก่นกั ทอ่ งเทยี่ ว

วารสารหาดใหญ่วชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 236 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 นอกจากความส�ำคัญเกี่ยวกับปัจจัยทางด้านโลจิสติกส์แล้ว ความร่วมมือของผู้ประกอบการ มคี วามสำ� คญั เชน่ กนั ทง้ั น้ี เพราะกระบวนการวจิ ยั ครง้ั น้ี คณะผวู้ จิ ยั ไดเ้ ปน็ ตวั กลางในการสรา้ งความสมั พนั ธ์ ระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยวด้วยกัน และร่วมกับหน่วยราชการ ด้วยการจัดกิจกรรมสนทนากลุ่ม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน รวมท้ังมีการจัดกิจกรรมอบรมเทคนิคการให้บริการ เพิ่มพูนความรู้ภาษาอังกฤษ และการใช้แอปพลิเคชัน ส่งผลให้สามารถสร้างความไว้วางใจ จริงใจกับ ผปู้ ระกอบการทกุ กลมุ่ จงึ ชว่ ยใหไ้ ดร้ บั ความรว่ มมอื และชว่ ยเหลอื เปน็ อยา่ งดี นอกจากน้ี ผปู้ ระกอบการ ทุกกลุ่มยังสร้างกลุ่มไลน์ท�ำให้สามารถติดต่อประสานงานซึ่งกันและกัน รวมท้ังให้ความช่วยเหลือกัน ในด้านการแนะน�ำลกู ค้าตอ่ กัน ซึง่ ถือเปน็ ส่วนหนึง่ ของประโยชนท์ ไี่ ด้รับและความส�ำเรจ็ จากการวิจัย การสรุปและอภิปรายผล 1. นกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวไทยรอ้ ยละ 67.94 เดนิ ทางทอ่ งเทยี่ วกบั ครอบครวั รองลงมา เดนิ ทางรว่ มกบั เพอื่ น และญาติ การสบื คน้ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ วสว่ นใหญจ่ ากเพอื่ นหรอื ญาติ และจดั โปรแกรม การทอ่ งเท่ียวโดยคนในครอบครวั ขณะที่นักทอ่ งเทีย่ วกลุ่มผู้สงู อาย-ุ ชาวต่างชาตเิ ดนิ ทางทอ่ งเทยี่ วกบั เพ่ือน และรองลงมาเดินทางมากับครอบครัว การสืบค้นแหล่งท่องเที่ยวจากเพ่ือน รองลงมาจากส่ือ สงั คมออนไลนแ์ ละเวบ็ ไซต์ และจดั โปรแกรมการทอ่ งเทยี่ วดว้ ยตนเอง รองลงมาเปน็ บรษิ ทั นำ� เทย่ี วและ คนในครอบครวั จะเหน็ วา่ พฤตกิ รรมการทอ่ งเทย่ี วของผสู้ งู อายทุ งั้ ชาวไทยและชาวตา่ งชาตแิ ตกตา่ งกนั ไม่มากนัก โดยกลมุ่ ผเู้ ก่ียวขอ้ งเปน็ คนในครอบครัว เพือ่ น และสอื่ สังคมออนไลน์ ทง้ั นี้ อาจเนือ่ งจาก ความสมั พนั ธข์ องครอบครวั ยงั มมี ากแมจ้ ะเปน็ กลมุ่ ผสู้ งู อายตุ า่ งชาติ แตก่ ลมุ่ ทศ่ี กึ ษาสว่ นใหญม่ เี ชอื้ ชาติ เอเซยี ซงึ่ ยงั คงมคี า่ นยิ มความสมั พนั ธภ์ ายในครอบครวั และการเคารพผสู้ งู วยั มมี าก และไมแ่ ตกตา่ งจาก ชาวไทย จงึ สง่ ผลใหเ้ กดิ การจดั การทอ่ งเทยี่ วรว่ มกนั นอกจากนี้ สงั คมปจั จบุ นั ผสู้ งู อายมุ กี ารใชส้ อื่ สงั คม ออนไลน์ค่อนข้างมาก ประกอบกับส่วนใหญ่มีการดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี จึงส่งผลให้กลุ่มผู้สูงอายุ จ�ำนวนครึ่งหนงึ่ มีความสามารถในการใชส้ ่ือสังคมออนไลน์ และสามารถใช้แอปพลิเคชนั ในการสืบค้น ขอ้ มลู การทอ่ งเทยี่ วรวมทงั้ ใชใ้ นการสอ่ื สาร สอดคลอ้ งกบั การวจิ ยั เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมการใชส้ อื่ ออนไลน์ ของผูส้ ูงอายุในปจั จบุ ันค่อนขา้ งสงู และเพมิ่ มากขึน้ เร่ือย ๆ จึงเป็นโอกาสท่ดี ีส�ำหรบั การประชาสัมพันธ์ และสอื่ สารข้อมูลการท่องเท่ยี ว โดยเฉพาะการใช้ชอ่ งทางส่อื ผ่านแอปพลิเคชนั จะเป็นการช่วยสง่ เสริม การท่องเทีย่ วได้เปน็ อย่างดี 2. นกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวไทยและชาวตา่ งชาติ เหน็ สอดคลอ้ งกนั ในมาตรฐานการจดั การ โลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ วทกุ ดา้ น สง่ ผลตอ่ การมาเทย่ี วซำ�้ อยใู่ นระดบั มาก โดยดา้ นทส่ี ง่ ผลมากทสี่ ดุ เปน็ ดา้ น กายภาพ สอดคล้องกับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุท่ีร่วมกิจกรรมทดลองเที่ยวทั้ง 8 โปรแกรม มคี วามพงึ พอใจในการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ ว ดา้ นกายภาพอยใู่ นระดบั สงู และมคี า่ เฉลยี่ สงู กวา่ ปัจจยั ด้านขอ้ มลู สารสนเทศ และดา้ นการเงิน ท่เี ป็นเช่นนี้ อาจเนื่องมาจากจังหวัดพทั ลุงและ กรมโยธาธกิ ารไดม้ กี ารปรับปรุงและซอ่ มแซมเสน้ ทางการทอ่ งเท่ียวอยา่ งต่อเนื่อง เพือ่ จดั การยกระดบั การท่องเท่ียวของจังหวัดพัทลุง ที่ได้รับมอบหมายให้จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง ตามนโยบาย

การบริหารจดั การโลจิสตกิ ส์ท่องเที่ยวจังหวัดพัทลุง 237 ทัศนยี ์ ประธาน และคณะ การกระจายแหลง่ ทอ่ งเที่ยวไปยังจงั หวัดทีม่ สี ภาพแหล่งทอ่ งเที่ยวที่มีความนา่ สนใจ รองจากจังหวัดท่ี ส�ำคญั เชน่ กรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเกต็ เปน็ ตน้ 3. นักทอ่ งเท่ยี วกลมุ่ ผู้สงู อายุทงั้ ชาวไทยและตา่ งชาติทชี่ ว่ งอายุ 66-70 ปี ให้ความสำ� คญั กับ มาตรฐานการจดั การโลจสิ ตกิ สท์ อ่ งเทยี่ ว ดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศสงู กวา่ กลมุ่ ผสู้ งู อายชุ ว่ งอนื่ ทเ่ี ปน็ เชน่ น้ี อาจเนือ่ งมาจาก ผูส้ ูงอายยุ งั ทำ� งานสูงถึงรอ้ ยละ 35.78 ของกลุ่มผสู้ ูงอายทุ ้ังประเทศ จำ� นวน 11.35 ลา้ นคน โดยกลุม่ ทำ� งานน่าจะเป็นผูส้ ูงอายุชว่ ง 60-65 ปี ดังนนั้ กลุม่ ผสู้ ูงอายุในช่วง 66-70 ปี จงึ เปน็ กลมุ่ ท่ีมีโอกาส ความพรอ้ ม และสขุ ภาพท่ดี พี ร้อมสำ� หรับการทอ่ งเท่ียว นอกจากน้ี ยังมคี วามสามารถ ตัดสินใจและวางแผนจัดการท่องเท่ียวได้ด้วยตนเอง จึงให้ความส�ำคัญด้านข้อมูลสารสนเทศสูงกว่า กลุ่มผู้สูงอายุช่วงอื่น และจากข้อค้นพบท่ีว่า มาตรฐานการจัดการโลจิสติกส์ท่องเที่ยว ด้านกายภาพ ด้านข้อมูลสารสนเทศ และด้านการเงิน มีความสัมพันธ์กันและมีผลต่อการมาเที่ยวซ้�ำ สอดคล้องกับ ข้อสรุปของ Thongin (2006) ท่ีว่า ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างการจัดการโลจิสติกส์กับความ จงรักภักดีต่อแหล่ง/สถานทีท่ อ่ งเท่ียว เปน็ การประเมินความพงึ พอใจของนกั ทอ่ งเท่ยี วที่ได้รบั จากการ จดั การโลจิสติกสข์ องแหล่ง/สถานทท่ี ่องเทีย่ วเกยี่ วกับการด�ำเนนิ งาน 3 ประเดน็ ไดแ้ ก่ การเคลื่อนที่ ทางกายภาพ การเคลอื่ นทท่ี างดา้ นสารสนเทศ และการเคล่อื นท่ที างการเงนิ 4. จากผลการทดลองนำ� เทย่ี วโปรแกรมทอ่ งเทย่ี ว 1 วนั กบั โปรแกรม 2 วนั ทำ� ใหท้ ราบโปรแกรม ท่องเทีย่ ว 1 วนั (ไปเชา้ กลบั เยน็ ) ไมเ่ หมาะสำ� หรบั การจดั โปรแกรมทอ่ งเที่ยวใหก้ ับกลุ่มผู้สงู อายุ โดย ผลการวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่แหล่งท่องเที่ยวท่ีเดียวกันในโปรแกรม 1 วัน ได้รับความพึงพอใจ น้อยกว่าโปรแกรม 2 วัน เนื่องจากความเหน่อื ยลา้ ในการเดินทางท่องเท่ียวท�ำให้ไม่รูส้ กึ สนุกเท่าทีค่ วร เมอื่ รา่ งกายตอ้ งการพกั ผอ่ น ซงึ่ เปน็ ไปตามการศกึ ษาของ Matthayomburut (2011) และ Sangkakorn et al. (2013) ที่เสนอว่า โปรแกรมท่องเที่ยวควรอย่รู ะหว่าง 2 วนั 1 คืน หรอื 1 วัน 1 คนื เท่าน้นั เพราะความออ่ นลา้ และความเสอื่ มถอยทางร่างกายของกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ความพงึ พอใจปัจจยั การเคล่ือนย้ายทางดา้ นกายภาพ สงู กว่าปัจจัยด้านขอ้ มลู สารสนเทศ ท้งั โปรแกรม 1 วนั กบั โปรแกรม 2 วนั ทเี่ ปน็ เชน่ น้ี อาจเนอื่ งมาจากกลมุ่ นกั ทอ่ งเทยี่ วผสู้ งู อายไุ ดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะในขอ้ มลู ปลายเปดิ เกยี่ วกบั การใหข้ อ้ มูลแหล่งท่องเที่ยว และการให้ขอ้ มูลแหล่งบรกิ ารตา่ ง ๆ เช่น หอ้ งน้ำ� ดังนัน้ ผ้เู กยี่ วขอ้ งจึง ควรดำ� เนนิ การปรบั ปรงุ พฒั นาและเสรมิ ปจั จยั ดา้ นขอ้ มลู สารสนเทศเกย่ี วกบั แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว รา้ นอาหาร ร้านค้า และท่ีพักเพ่ิมมากข้ึนเพ่ืออ�ำนวยความสะดวก และเป็นข้อมูลในการเลือกและตัดสินใจในการ วางแผนจดั โปรแกรมการทอ่ งเทยี่ วใหก้ บั ตนเองและเพอื่ น นอกจากน้ี นกั ทอ่ งเทยี่ วกลมุ่ ผสู้ งู อายชุ าวไทย และชาวต่างชาติส่วนใหญ่ให้ความสนใจแหล่งท่องเท่ียวธรรมชาติ ธรรมะ และประวัติศาสตร์ ซึ่ง สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของ Boonyanupong and Sangkakorn (2012) 5. ผลการวจิ ยั ไดช้ ใี้ หเ้ หน็ วา่ นกั ทอ่ งเทย่ี วกลมุ่ ผสู้ งู อายทุ งั้ ชาวไทยและตา่ งชาติ ตา่ งใหค้ วามสำ� คญั ต่อการไดร้ ับการบรกิ ารทดี่ ี สง่ ผลตอ่ ความพึงพอใจตอ่ การท่องเท่ยี ว ดงั ท่ี Voraakom (2017) ได้ระบุ เกยี่ วกบั กลมุ่ ผสู้ งู อายยุ คุ ปจั จบุ นั วา่ เปน็ กลมุ่ ทใ่ี หค้ วามสำ� คญั กบั คณุ ภาพ และความคมุ้ คา่ แบบสมเหต-ุ สมผลในการใช้จา่ ยเพอี่ การทอ่ งเที่ยว อยา่ งไรกต็ าม จากข้อมลู ทไ่ี ด้จากกลุ่มผู้เข้ารว่ มการสนทนากลุ่ม

วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 238 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เจา้ ของกจิ การธรุ กจิ การทอ่ งเทยี่ วในจงั หวดั พทั ลงุ ไดใ้ หข้ อ้ มลู วา่ ปจั จบุ นั ประสบปญั หา เรื่องการบริการและจิตบริการของลูกจ้าง/พนักงานที่เป็นคนในชุมชน ดังน้ัน การวิจัยคร้ังนี้ จึงได้จัด โครงการอบรมหลกั สตู รการใหบ้ รกิ ารกบั ตวั แทนผปู้ ระกอบการ ชมุ ชน และหนว่ ยงานของรฐั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง กับการท่องเที่ยวจังหวัดพัทลุง เพื่อสร้างจิตบริการ และเพิ่มทักษะในการสร้างความประทับใจแก่ นักท่องเที่ยว รวมถงึ ตระหนกั ถงึ ผลเสียทีอ่ าจจะเกดิ ขึ้น หากไมม่ จี ติ บริการและการจดั การทดี่ ี ซ่ึงจาก การติดตามผลโดยการทดลองใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลังจากการส�ำรวจพ้ืนท่ีในรอบแรก พบความ แตกต่างในการให้บริการลูกค้าของลูกจ้าง/พนักงานในร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกจ้าง/พนักงานท่ีได้ เข้าร่วมอบรมในหลักสตู รการให้บรกิ าร แสดงให้เหน็ วา่ การแก้ไขปัญหาเรือ่ งการใหบ้ ริการ โดยวิธกี าร อบรมการสร้างจิตบริการ และเพิ่มทักษะในการสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงความ ตระหนกั ถงึ ผลเสยี ทอี่ าจจะเกดิ ขนึ้ หากพนกั งานใหบ้ รกิ ารอยา่ งไมม่ จี ติ บรกิ ารและการจดั การทด่ี ี ดงั นนั้ รูปแบบการอบรมแกพ่ นักงานจึงเปน็ วธิ ที ่ดี ีอยา่ งหนง่ึ ท่สี ามารถน�ำมาใชไ้ ด้ ขอ้ เสนอแนะ 1. จากการส�ำรวจแหล่งท่องเที่ยวและการทดลองน�ำเที่ยวพบว่า จังหวัดพัทลุงมีสภาพท้ัง แหล่งท่องเท่ียว วถิ ชี วี ติ และอธั ยาศยั ของผปู้ ระกอบการและประชาชนเหมาะสำ� หรบั จดั เปน็ ศนู ยก์ ลาง การท่องเท่ียวของผู้สูงอายุ หรือรองรับนักท่องเท่ียวทุกกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อการพัฒนา จังหวัดพัทลุงให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวส�ำหรับนักท่องเที่ยวสูงอายุในอนาคต จังหวัดจึงควร ให้ความส�ำคัญต่อบทบาทการบริหารจัดการโลจิสติกส์ท่องเที่ยว เพราะแนวคิดน้ีจะช่วยลดต้นทุน การด�ำเนินการของจงั หวดั รวมถงึ คา่ ใชจ้ า่ ยในการขนสง่ ของนกั ทอ่ งเทยี่ วได้ นอกจากน้ี ควรมอบหมาย ให้หน่วยงานท่ีรับผิดชอบด้านการท่องเท่ียวให้การช่วยเหลือและพัฒนายกระดับการบริหารจัดการ ทอ่ งเทยี่ วใหม้ คี ณุ ภาพมากขน้ึ โดยเฉพาะการบรกิ ารจดั รถเชา่ หรอื การบรกิ ารพาหนะเดนิ ทางสาธารณะ สำ� หรบั นกั ทอ่ งเทยี่ วทไี่ มไ่ ดเ้ ดนิ ทางโดยรถสว่ นตวั รวมทงั้ การใหบ้ รกิ ารเกยี่ วกบั การเขา้ ถงึ การใหบ้ รกิ าร ดา้ นการเงนิ เชน่ ตู้ ATM มบี รกิ ารใหท้ ัว่ ถงึ และการดูแลดา้ นความปลอดภัยแก่นักทอ่ งเทย่ี ว เพื่อใช้ เป็นสโลแกนที่ว่า “ผู้สูงอายุที่ต้องการท่องเที่ยวต้องนึกถึงจังหวัดพัทลุงเป็นแหล่งแรก หรือผู้สูงอายุ ท่านใดไมไ่ ด้เท่ียวจังหวัดพทั ลุงแล้วจะเสียใจเปน็ อย่างมาก” 2. จากการสนทนากลมุ่ ผปู้ ระกอบการเกอื บทกุ กลมุ่ ตอ้ งการใหห้ นว่ ยงานภาครฐั จดั เจา้ หนา้ ท่ี ทม่ี ีสว่ นเกี่ยวขอ้ งกบั การทอ่ งเที่ยวให้เขา้ มาให้คำ� ปรึกษา ชว่ ยเหลือ และแนะน�ำร้านอาหารให้สามารถ ดำ� เนนิ การใหไ้ ดม้ าตรฐานมากยงิ่ ขนึ้ รวมทงั้ เรอ่ื งปา้ ยบอกเสน้ ทางเดนิ ทางไปยงั รา้ นอาหาร ภาษโี รงเรอื น และภาษปี า้ ยทคี่ วรมกี ารยกเวน้ ภาษบี างอยา่ งทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เชน่ กรณสี นบั สนนุ ใหม้ กี ารเตรยี มความพรอ้ ม ในการรองรบั นกั ทอ่ งเทย่ี วตา่ งชาติ แตก่ ลบั พบวา่ อตั ราการเกบ็ ภาษปี า้ ยภาษาองั กฤษมกี ารเกบ็ ในอตั รา ทีแ่ พงกว่าปา้ ยทใี่ ชภ้ าษาไทย นอกจากนี้ เพื่อใหน้ กั ท่องเที่ยวมาเทยี่ วซ้�ำ ซึ่งการให้บริการเป็นสิง่ สำ� คญั ดังนน้ั หนว่ ยงานท่รี ับผิดชอบด้านการทอ่ งเทีย่ วท้งั ในส่วนภาครฐั และผ้ปู ระกอบการควรมีการอบรม เพ่มิ เติมตลอดเวลา เพื่อยกระดับคณุ ภาพการให้บรกิ าร

การบริหารจัดการโลจสิ ตกิ ส์ท่องเทยี่ วจังหวดั พัทลุง 239 ทัศนยี ์ ประธาน และคณะ กิตติกรรมประกาศ งานวจิ ยั นี้ ไดร้ บั ทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั จากสำ� นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั ในสญั ญาเลขท่ี RDG60T0007 และขอขอบคณุ ผ้มู สี ่วนร่วมในการให้ขอ้ มูลทุกทา่ น ท้ังสถานประกอบการ ผนู้ �ำชมุ ชน หนว่ ยงานภาครัฐของจงั หวัดพัทลุง และนกั ทอ่ งเทย่ี วชาวไทยและชาวตา่ งชาตทิ ุกทา่ น เอกสารอ้างอิง Anekjumnongporn, P. (2016). The traveling behavior of the baby boomer generation in Bangkok (Master’s thesis). Bangkok University, Bangkok. [in Thai] Boonlert, R. (2017). Linking the tourism supply chain in the Special Economic Zone: A case study of Chiang Saen District in Chiang Rai province. Retrieved from https:// sites.google.com/a/ eisth.org/chiang-rai-special-economic-zone/home [in Thai] Boonyanupong, S., & Sangkakorn, K. (2012). Slow tourism management for elderly tourists in upper northern. MBA-KKU Journal, 5(1), 85-100. [in Thai] Chaichan, T. (2012). Tourism Logistics Management for Wang Nam Kiew district in Nakhon Ratchasima Province. Suranaree Journal of Social Science, 6(2), 17-33. [in Thai] DOP. (2017). Elderly work in Thailand 2017. Retrieved from http://www.dop.go.th/th/ know/1/124 [in Thai] Hawthorn, D. (2000). Possible implications of aging for interface designers. Interacting with Computers, 12(5), 507-528. International Organization for Standardization. (2008). Ergonomics data and guidelines for the application of ISO/IEC: Guide 71 products and services to address the needs of older persons and persons with disabilities. Switzerland: International Organization for Standardization. Intojunyong, S., Kaewkitipong, L., & Ractham, P. (2013). The study of supply chain and data model of tourism industry in Thailand. Suthiparithat Journal, 28(85), 352- 369. [in Thai] Kaukal, M., Hoepken, W., & Werthner, H. (2000, July 3-5). An approach to enable interoperability in electronic tourism markets. In The 8th European Conference on Information System (ECIS 2000). Wienna, Austria. Matthayomburut, W. (2011, January 27-29). Guidelines for tourism route development for elderly tourists A case study of the area surrounding the Mae Moh Electricity Generating Division, Lampang Province. In The Academic conference Khon Kaen University Year 2011; “Future development of Thai rural areas: a stable foundation for sustainable national development. KKU, Khon Kaen. [in Thai] Phatthalung Governor’s Office. (2013). 4 years Phatthalung action plan (2014-2017). Retrieved from http://www.phatthalung.go.th/develop_plan [in Thai]

วารสารหาดใหญ่วิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 240 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 __________. (2017). Strategy for development to the ecotourism industry. Retrieved from http://www.phatthalung.go.th/strategy [in Thai] Pimonsompong, C. (2015). Tourism planning and marketing development. Bangkok: KU Press. [in Thai] Rattanapaitoonchai, J. (2012). Elderly tourists market: new opportunities for Thailand to grow AEC International Institute for Trade and Development (ITD). Retrieved from http://www.itd.or.th/th/ตลาดนักทอ่ งเท่ยี วสงู อายุ [in Thai] Rodkhian, K. (2011). A study of the motivation for selecting destinations and the expectations of elderly tourists towards tourist destinations: Case studies in rural areas Nakhon Sawan Province. Retrieved from http://www.bec.nu.ac.th/ bec-web/graduate/Tourism_article54. php [in Thai] Sangkakorn, K., Piboonrungroj, P., Boomyanupong, S., Maneetrakunthong, A., & Yanchinda, J. (2013). Interconnectivity of tourism supply chains in the upper north of Thailand for supporting senior tourists (Research report). Bangkok: TRF. [in Thai] Sorat, T. (2017). Basic of Logistics. Retrieved from http://www2.diw.go.th/logistics/ doc_logis/ Tanit_LogisticsBook.doc [in Thai] Sukkul, T., & Towanit, T. (2013). Development of a public relations model for tourism at Ban Kao national museum, Kanchanaburi province. Journal Humanity and Social Science, Ubon Ratchathani University, 6(2), 98-120. [in Thai] Sungrugsa, N., Plomelersee, S., & Warabamrurngkul, T. (2016). Styles and behavior in slow tourism for senior tourists in the Thai Western Region. University of the Thai Chamber of Commerce Journal, 36(2), 1-19. [in Thai] Suriya, K. (2009). Conceptual framework of tourism logistics. Retrieved from http:// www.tourismlogistics.com/index.php?option=com_content&view=article&id=7 :concept-tourism-logistics&catid=64:conceptual-framework&Itemid=54 [in Thai] Thiensiri, J., Wandee, C., & Boonyanupong, S. (2012). Slow tourism market potential evaluation for elderly tourists in upper - north region of Thailand. FEU Academic Review, 6(1), 49-62. [in Thai] Thongin, C. (2006, November 2-3). Logistics management paradigm for the Thai tourism industry. In The 6th academic conference of logistic and supply chain management. Duangtawan Hotel, Chiang Mai. [in Thai] Thongpaeng, P. (2011). Tourism business development model for the elderly: A case study of the elderly in the central region. Journal of Srivanalai Vijai, 1(2), 70-74. [in Thai] Voraakom, V. (2017). Marketing Trend of “Not old” for the aging society. Retrieved from http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/641047 [in Thai]

บทควา มวิจยั นโยบายการบริหารกบั การขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ Management Policy and the Shortage of Professional Nurses นพวรรณ ใจคง1*, จินดาวรรณ ธรรมปรชี า2, ฤทธิกร ศริ ปิ ระเสรฐิ โชค1, และ ธนวฒั น์ พิมลจนิ ดา1 Noppawan Jaikong1*, Jindawan Thammapreecha2, Ritthikorn Siriprasertchok1, and Thanawat Pimoljinda1 Abstract The objectives of this research were to study the relationship between hospitality management policy and the shortage of professional nurses and to suggest solutions for the shortage. The researcher studied and collected secondary data from documents of various related agencies. The qualitative data also were obtained from four groups of key informants including (1) policymakers, (2) professional nurse producers, (3) hospital administrators, and (4) professional nurses, using a semi-structured interview. The results of the study are as follows: (1) Policy-driven issues caused by the problem of coordination between relevant departments are various. (2) Conflicts in policy include canceling scholarships for nursing students that was 1วทิ ยาลยั การบรหิ ารรฐั กจิ มหาวทิ ยาลยั บรู พา ต.แสนสขุ อ.เมอื ง จ.ชลบรุ ี 20131, 2สาขาฟสิ กิ ส์ ภาควชิ าวทิ ยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยธุ ยา 13000 1Graduate School of Public Administration, Burapha University, Saensook Sub-district, Mueang District, ChonBuri Province 20131, 2Department of Physics, Faculty of Sciences and Technology, Phranakhon Si Ayutthaya Rajabhat University, Pratuchai Sub-district, Phra Nakhon Si Ayutthaya District, Phra Nakhon Si Ayutthaya Province 13000 *ผู้ใหก้ ารติดตอ่ (Corresponding e-mail: [email protected]) รับบทความวันที่ 24 กมุ ภาพันธ์ 2563 แกไ้ ขวันที่ 16 เมษายน 2563 รับลงตีพิมพ์วันที่ 17 เมษายน 2563 Hatyai Academic Journal 18(2): 241-259

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 242 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 launched while the demand for nurses increased, for instance. (3) In-depth information is lacking for the analysis of the demand for professional nurses. (4) There is a lack of professional progress and security restricts employment opportunities, causing overlapping work and affecting the welfare of personnel, monetarily and non-monetarily. The researchers suggest solutions to the problems as follows: (1) There should be a professional nursing development committee to be a center for coordinating cooperation between users, producers, stakeholders, and professional nurses. (2) There should be an establishment of clear and fair management policies and practical approaches especially regarding standard workloads, and the welfare of nurses, monetarily and non-monetarily, should be reviewed. Keywords: Management Policy, Problem, Shortage, Professional Nurses บทคดั ย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ของนโยบายการบริหารกับการขาดแคลน พยาบาลวชิ าชพี และเพอื่ หาขอ้ เสนอแนะแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี โดย ผวู้ จิ ยั ไดท้ ำ� การศกึ ษาและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ จากเอกสารของหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทม่ี คี วามเกยี่ วขอ้ ง สว่ นการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพไดจ้ ากการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ แบบกงึ่ โครงสรา้ ง โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั จำ� นวน 4 กลมุ่ คอื (1) ผกู้ ำ� หนดนโยบาย (2) กลุ่มผผู้ ลติ พยาบาลวิชาชพี (3) ผบู้ รหิ ารสถานพยาบาล โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ในขณะที่กลุ่มที่ (4) พยาบาลวิชาชีพใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง แบบลูกโซ่ โดยมผี ใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั รวมทงั้ ส้ิน 31 คน ผลการศกึ ษาสภาพปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ (1) ปญั หาในการ ขบั เคลอ่ื นนโยบาย อนั เกดิ จากปญั หาการประสานงานระหวา่ งหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งมมี มุ มองทแี่ ตกตา่ งกนั (2) นโยบายมีความยอ้ นแยง้ กนั เชน่ การยกเลิกการให้ทนุ การศึกษาแกน่ กั ศึกษาพยาบาล แต่มีความ ต้องการพยาบาลวิชาชีพเพ่ิมสูงขึ้น (3) ปัญหาในเชิงการบริหารจัดการอัตราก�ำลังของโรงพยาบาล และการผลิตพยาบาลวิชาชพี ของสถาบนั การศกึ ษา (4) ขาดความก้าวหน้า และความมนั่ คงในวชิ าชีพ เกดิ ขอ้ จำ� กดั ในการจา้ งงาน เกดิ การทำ� งานทคี่ าบเกย่ี ววชิ าชพี สง่ ผลไปจนถงึ สวสั ดกิ ารทเี่ ปน็ ตวั เงนิ และ ไม่ใชต่ วั เงิน ผวู้ จิ ยั ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะเพอ่ื เปน็ แนวทางการแกไ้ ขปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี ดงั น้ี (1) ควรมีการจัดต้ังคณะกรรมการพัฒนาบุคลากรด้านพยาบาลวิชาชีพ เพ่ือเป็นศูนย์กลางในการ ประสานความร่วมมือระหว่างผู้ใช้และผู้ผลิต ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และพยาบาลวิชาชีพ (2) ควรมีการ กำ� หนดนโยบายและแนวปฏบิ ตั ใิ นการบรหิ ารจดั การ โดยเฉพาะในสว่ นทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั มาตรฐานภาระงาน ที่ชัดเจนและเปน็ ธรรม ทบทวนนโยบายดา้ นสวัสดกิ ารของพยาบาลท่ีเป็นตัวเงินและไม่ใชต่ ัวเงนิ คำ� ส�ำคัญ: นโยบายการบริหาร ปัญหา การขาดแคลน พยาบาลวชิ าชพี

นโยบายการบรหิ ารกับการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี 243 นพวรรณ ใจคง และคณะ บทน�ำ ประเทศไทยประสบปัญหาการขาดแคลนก�ำลังคนด้านการแพทย์และสาธารณสุข มาอย่าง ต่อเน่ือง ปจั จบุ นั พบวา่ การขาดแคลนนเ้ี กดิ จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การเปลย่ี นแปลงดา้ น ประชากรและระบาดวิทยา การเจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคติดเช้ือ โรคอบุ ตั ใิ หม่ โรคเรอื้ รงั และการเพมิ่ ข้นึ ของ ประชากรสงู อายุ ซง่ึ ทำ� ใหค้ วามตอ้ งการบรกิ าร การรกั ษาพยาบาลของประชาชนเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งมาก และ ในระบบบรกิ ารสขุ ภาพน้ี บุคลากรด้านการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ จงึ จดั เปน็ ทรัพยากรท่มี คี วามส�ำคญั อย่างย่ิงต่อการจัดบริการ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสุขภาพของประชาชน และวิชาชีพพยาบาล ถือเป็นก�ำลังส�ำคัญในระบบสขุ ภาพ โดยเป็นบคุ ลากรกลุม่ ใหญท่ ีส่ ดุ ในระบบ สถานพยาบาลทกุ ระดับ ตอ้ งการพยาบาลวชิ าชพี เพอื่ ทำ� ใหง้ านทงั้ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ การปอ้ งกนั โรค การฟน้ื ฟสู มรรถภาพ และ การรักษาพยาบาล วิชาชีพพยาบาลจึงเป็นบุคลากรทางการแพทย์ท่ีมีความส�ำคัญ ที่ปฏิบัติงานอยู่ใน โรงพยาบาลทั้งโรงพยาบาลของรัฐบาลและโรงพยาบาลของเอกชน หรือแม้แต่สถานพยาบาลท่ี ประกอบธุรกิจทัว่ ไป (Kantha, 2014) ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลรุนแรงมากข้ึน ท้ังการขาดแคลนพยาบาลท่ีมีทักษะวิชาชีพสูง และการขาดแคลนดา้ นจ�ำนวนในการให้บริการ รวมท้ังยังเปน็ ภาระอย่างมากในการผลิตพยาบาลเพ่ือ ชดเชยการสญู เสยี ดงั กล่าว นอกจากน้ี Thailand Nursing and Midwifery Council (2009) รายงาน ว่ามพี ยาบาลลาออกจากระบบราชการ รวมท้ังเปลีย่ นสายงาน เฉลยี่ รอ้ ยละ 3 ตอ่ ปี จากระบบ 3,000 คน/ปี เป็นพยาบาลจบใหม่ 1,200 คน สรปุ แลว้ ขณะนี้จ�ำนวนพยาบาลวชิ าชพี จบใหม่ ทจี่ ะทดแทน พยาบาลวิชาชพี ทล่ี าออกอยู่ในสถานะตดิ ลบมากกวา่ ปลี ะ 2,000 คน (Nopamornrabordi, 2009) ดังนั้น การวางแผนก�ำลังคนด้านการพยาบาลจึงต้องค�ำนึงถึง ความเพียงพอทั้งด้านจ�ำนวน ความรู้ ทกั ษะและประสบการณข์ องบคุ ลากร เพอื่ เปน็ หลกั ประกันวา่ จะสามารถใหบ้ ริการทีม่ ีคณุ ภาพ แกป่ ระชาชนไดอ้ ยา่ งทวั่ ถงึ (Kunaviktikul, Chitpakdee, Srisuphan, & Bossert, 2014) จากรายงาน การศึกษาความตอ้ งการก�ำลงั คน ในระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2552 - 2562) พบวา่ จากการใชบ้ รกิ ารสุขภาพ ของประชาชนไทย ประมาณ 65 ลา้ นคน มีความต้องการพยาบาลในอัตราสว่ นพยาบาล 1 คน ต่อ 400 หรอื ประมาณ 163,500 - 170,000 คน ต่อประชากรทั้งประเทศ ซ่งึ ผลการส�ำรวจส�ำมะโนประชากร ในปี พ.ศ. 2559 พบว่า มีจำ� นวนประชากรท้งั ประเทศ จ�ำนวน 70,902,000 คน ดงั นน้ั จงึ มคี วาม ตอ้ งการพยาบาล จ�ำนวน 157,560 คน โดยประมาณ (Srisuphan & Sawangdee, 2012) สงั เกตไดว้ า่ ปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี ในประเทศไทย ทวคี วามรนุ แรงขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง อีกทง้ั ยงั พบว่าโครงสรา้ งอายขุ องพยาบาลวิชาชีพของประเทศไทยมแี นวโน้มเปน็ กำ� ลังคนสูงอายุ คอื ร้อยละ 43 เป็นพยาบาลวิชาชีพ ท่ีมีอายุในช่วงระหว่าง 30-39 ปี ซ่ึงเป็นก�ำลังคนกลุ่มใหญ่ และ อายุเฉล่ียของพยาบาล เท่ากบั 38.30 ปี ซึ่งจากผลการศกึ ษาดังกล่าว ทำ� ใหเ้ หน็ ว่าพยาบาลวิชาชพี เปน็ กลมุ่ พยาบาลสงู อายทุ ม่ี แี นวโนม้ การสญู เสยี พยาบาลวชิ าชพี ออกจากระบบบรกิ ารสขุ ภาพ เนอ่ื งจาก การเกษยี ณอายุ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 23.40 หรอื ประมาณ 27,731 คน ซงึ่ จะสง่ ผลใหป้ ระเทศไทยขาดแคลน พยาบาลวชิ าชพี เปน็ อยา่ งมากในอกี 15 ปขี า้ งหนา้ (Sawangdee, Theerawanwiwat, Lorjirachunkun,

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 244 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 & Jitrawech, 2009) อีกท้ัง ความตอ้ งการบรกิ ารด้านสุขภาพท่ีเพ่ิมขนึ้ อย่างรวดเร็ว ในขณะทจี่ �ำนวน พยาบาลทสี่ ามารถผลิตเพม่ิ ไดม้ ีเพยี งร้อยละ 9.01 ต่อปเี ท่าน้ัน นอกจากนี้ พบวา่ รฐั บาลไทยมีนโยบาย จำ� กัดต�ำแหน่งราชการ ก�ำหนดมาตรการใหย้ กเลกิ การใช้ทุนของพยาบาล เพราะรัฐบาลไมม่ ตี ำ� แหนง่ ให้บรรจุ ในขณะท่ีมีนโยบายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชีย (Medical Hub of Asia) ทำ� ใหโ้ รงพยาบาลเอกชนขยายตวั และตอ้ งการพยาบาลเพม่ิ ขน้ึ จำ� นวนมาก และมนี โยบาย ดึงดูดใหพ้ ยาบาลเขา้ ทำ� งานเพม่ิ มากขึน้ (Srisuphan & Sawangdee, 2012) จึงพบวา่ มีการสญู เสีย พยาบาลของรัฐอย่างต่อเนื่องจากภาระงานเพ่ิมมากขึ้น แต่ค่าตอบแทนน้อย ท�ำให้พยาบาลท่ีท�ำงาน ในโรงพยาบาลภาครฐั ตดั สนิ ใจลาออกจากระบบราชการ (Sawangdee, 2008) จากสถานการณ์ปัญหาปัจจุบัน แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ด�ำเนินการวางแผนและพัฒนา เพื่อแกไ้ ขปัญหาด้านพยาบาลวิชาชีพขาดแคลนมาอย่างตอ่ เนอื่ ง เชน่ กระทรวงสาธารณสขุ มนี โยบาย เพมิ่ การผลติ พยาบาล แตค่ วามตอ้ งการบคุ ลากรทเ่ี พมิ่ ขน้ึ กท็ ำ� ใหใ้ นอนาคตการขาดแคลนบคุ ลากรทาง ดา้ นสาธารณสขุ ในเกอื บทกุ วชิ าชพี จะยงั เปน็ ปญั หาทที่ า้ ทายระบบบรกิ ารสขุ ภาพของประเทศไทย และ จากการสำ� รวจยงั พบวา่ กำ� ลังคนดา้ นสขุ ภาพมีการกระจายตวั อย่างไมส่ มดุล (Wongwichai, 2016) การวจิ ยั ครงั้ นมี้ งุ่ เนน้ บทบาทของสถาบนั การศกึ ษาภาครฐั และเอกชนในการผลติ พยาบาล เพอื่ เปน็ แนวทางแกป้ ญั หาการขาดแคลนพยาบาล ใหเ้ กดิ กระจายกำ� ลงั คนและการบรกิ ารสาธารณสขุ ไปยงั พนื้ ทห่ี า่ งไกล นำ� ไปสูค่ วามเทา่ เทียมดา้ นสขุ ภาพระหว่างเขตเมืองและชนบท ที่แตล่ ะประเทศจะน�ำไป เสนอหนว่ ยงานผ้กู ำ� หนดนโยบายพจิ ารณากำ� หนดเป็นแนวทางแกไ้ ขต่อไป นโยบายสาธารณะเปน็ เรอื่ งทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี จำ� นวนมาก ไมว่ า่ จะเปน็ นกั การเมอื ง ผู้ก�ำหนดนโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐผู้น�ำนโยบายไปปฏิบัติหรือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการน�ำ นโยบายไปปฏบิ ัติ ดร.นายแพทยโ์ กมาตร จึงเสถียรทรพั ย์ ได้กลา่ วว่า การเกดิ ข้ึนไดจ้ รงิ ของนโยบาย สาธารณะ ตามแนวคดิ “นโยบายสาธารณะแบบมีสว่ นร่วม” จงึ ต้องมปี จั จยั หลัก คอื ความตนื่ ตวั และ แรงขบั ของภาคสว่ นตา่ ง ๆ ในสงั คม โดยเฉพาะ “ภาคสาธารณะ” ซง่ึ เปน็ ผรู้ บั ประโยชนห์ รอื ผลกระทบ จากนโยบายดว้ ย (Jeungsathiensup, Wattananamkun, Phadungtot, Rattanamongkolkul, & Sirisathitkun, 2015) การประเมนิ ผลนโยบายจ�ำเปน็ ตอ้ งเลอื กเกณฑใ์ ห้สอดคลอ้ งกับนโยบาย เพ่ือให้ เกดิ ความเหมาะสมทสี่ ดุ กบั บรบิ ทของสถานการณท์ เี่ ปลยี่ นแปลงไป มเิ ชน่ นนั้ ยอ่ มเปน็ การเสยี เวลาและ ทรัพยากรการบริหาร ท่ีผ่านมามีนโยบายที่น�ำไปปฏิบัติจริงไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ ดังน้ัน จึงต้องมี กระบวนการทำ� แผนงานรองรบั นโยบายทชี่ ดั เจน มตี วั บง่ ชถ้ี งึ ระดบั ความมปี ระสทิ ธผิ ลของกระบวนการ น�ำนโยบายไปปฏิบัติ การควบคุมการปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนและตามนโยบาย องค์ความรู้ที่ต้อง นำ� มาใชใ้ นขนั้ ตอนน้ี การจดั ทำ� ยทุ ธศาสตร์ การจดั ทำ� แผนปฏบิ ตั กิ าร การควบคมุ การดำ� เนนิ งานตามแผน (Chindawattana, 2013) จากสภาพปญั หาดงั กลา่ ว ผูว้ จิ ยั ไดว้ ิเคราะห์โครงสรา้ งทางการบรหิ ารและบทบาทหน้าทข่ี อง ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาโดยตรงแล้ว พบว่ามีหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นปัญหา ดังกล่าว ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ซ่ึงไม่นับรวมกลุ่มพยาบาลวิชาชีพ คือ (1) กลุ่มผู้ก�ำหนดนโยบาย ซ่ึงหมายถึง

นโยบายการบรหิ ารกบั การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพ 245 นพวรรณ ใจคง และคณะ ผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องกับการวางแผนอัตราก�ำลังด้านพยาบาลวิชาชีพของประเทศไทย (2) กลุ่มผู้ผลิต พยาบาลวชิ าชพี ซง่ึ หมายถงึ สถาบนั การศกึ ษาทม่ี หี นา้ ทผี่ ลติ บณั ฑติ หรอื บคุ ลากรดา้ นพยาบาลวชิ าชพี ที่มีความรคู้ วามสามารถและความเชีย่ วชาญ ท่อี ยูใ่ นเกณฑ์มาตรฐาน และ (3) กล่มุ สถานพยาบาล ซ่ึง หมายถึง หน่วยงานท่ีให้บริการสุขภาพที่มีความต้องการพยาบาลวิชาชีพไปปฏิบัติงาน ในงานบริการ ดา้ นสขุ ภาพ ซ่งึ ตอ้ งสามารถใหบ้ ริการทม่ี ีคุณภาพและตรงกับความตอ้ งการด้านสขุ ภาพของประชาชน วัตถุประสงค์ 1. ศึกษาความสมั พนั ธข์ องนโยบายการบรหิ ารกับการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี 2. เพอ่ื หาข้อเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี กรอบแนวคดิ งานวิจัยน้ีศึกษาผลของนโยบายการบริหารต่อปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพ และเพือ่ หาขอ้ เสนอแนะเปน็ แนวทางในการแกไ้ ขปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี โดยอาศยั การประยกุ ต์ หลกั ทางการบรหิ ารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ตามแนวคดิ ของผเู้ ชย่ี วชาญระดบั ผกู้ ำ� หนดนโยบาย ผบู้ รหิ ารโรงพยาบาล และ/หรือองค์การพยาบาล ด้านการบริหารโรงพยาบาล และกลุ่มอาจารย์ในสถาบันการศึกษาท่ีมี ความเช่ียวชาญ ในด้านการบริหารและผลิตพยาบาลวิชาชีพ ตลอดจนถึงพยาบาลวิชาชีพเอง ที่ได้รับ ผลกระทบโดยตรงจากปัญหาการขาดแคลนพยาบาล โดยใช้แนวคิดการบริหารทรัพยากรสุขภาพ House Model ของ Fujita, Zwi, Najai, and Akashi (2011) และเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั แผนยทุ ธศาสตร์ ของชาติ ด้านสาธารณสุขมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาหาผลกระทบด้านการบริหาร เพื่อเป็นแนวทาง ในการแกไ้ ขปญั หาพยาบาลขาดแคลนตอ่ ไป ประกอบดว้ ย 1) การวางแผน 2) การผลติ และ 3) การบรหิ าร จดั การ ซง่ึ ผู้วิจยั ได้ก�ำหนดแนวทางในการวจิ ยั ข้ันตอนที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูลปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชพี ทสี่ ง่ ผลกระทบ ตอ่ การบริหารจดั การในเบ้ืองตน้ โดยศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มลู จากเอกสารเกยี่ วกบั นโยบายและแผน งานวจิ ัย ตารา หนงั สอื และรายงานทางวชิ าการ เปน็ ตน้ ขั้นตอนที่ 2 เก็บรวบรวมขอ้ มลู จากการสัมภาษณ์เชงิ ลึก ในกลมุ่ เป้าหมาย จานวน 4 กลมุ่ ประกอบด้วย 1) กลมุ่ ผ้กู าหนดนโยบาย 2) กลมุ่ ผ้ผู ลติ พยาบาลวชิ าชพี 3) กลุ่มสถานพยาบาล และ 4) พยาบาลวิชาชพี ซ่ึงเป็นเป้าหมายของการวิจัย ขัน้ ตอนท่ี 3 นาขอ้ มูลท้ังหมดมาทาการศกึ ษาและกาหนดขอ้ เสนอแนะแนวทางในการ แกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชพี เชิงบูรณาการ โดยอาศัยการประยกุ ต์หลัก ทางการบริหารทเี่ กี่ยวขอ้ งโดยตรงเพื่อใหเ้ กิดการแก้ไขปญั หาและพัฒนาอยา่ งย่ังยืน รูปท่ี 1 กระบวนการดำ� เนนิ การวิจยั ตามข้ันตอน

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 246 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 จากกรอบแนวคิดการวจิ ยั ผู้วจิ ัยไดท้ ำ� การศกึ ษาปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี เพอ่ื ใช้ เปน็ แนวทางในการวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหข์ อ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการเกบ็ รวบรวมในพน้ื ที่ โดยมกี ระบวนการ ด�ำเนินการวิจยั ตามขั้นตอน ดังตอ่ ไปน้ี วธิ กี ารวิจัย ผู้วิจัยได้ก�ำหนดระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ อันประกอบไปด้วย กระบวนการศึกษาและ วเิ คราะหข์ ้อมลู จากเอกสาร และกระบวนการสัมภาษณ์เจาะลึก โดยมีสาระสำ� คญั ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การวจิ ัยเชิงเอกสาร การวิจัยเชิงเอกสารน้ัน โดยผู้วิจัยได้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร โดยการทบทวน แนวความคดิ ทฤษฎี และวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ ง โดยเลอื กจากขอ้ มลู และเนอ้ื หาสมั พนั ธก์ บั เรอื่ งทศี่ กึ ษา ดงั น้ี 1.1 เอกสารเก่ียวกับนโยบายและแผน เช่น แผนยุทธศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข ปงี บประมาณ พ.ศ. 2561 ยทุ ธศาสตรบ์ คุ ลากรเปน็ เลศิ กลมุ่ พฒั นานโยบายดา้ นสขุ ภาพ กองยทุ ธศาสตร์ และแผนงานสำ� นกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ การใชก้ ารกระจายกำ� ลงั คนดา้ นการพยาบาลในปจั จบุ นั การบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษา ปฏิรูปสุขภาพปฏิรูปประชาธิปไตย: นโยบายสาธารณะ การมีส่วนร่วมกบั ประชาธิปไตยแบบรว่ มไตร่ตรอง เป็นตน้ 1.2 เอกสารทางการศึกษา ต�ำรา และงานวิจัยต่าง ๆ เช่น การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ทางการศึกษา กระบวนการนโยบายสาธารณะ ภาวะผู้น�ำและกลยุทธ์การ จัดการองค์การพยาบาลในศตวรรษท่ี 21 การวเิ คราะห์อนาคตภาพการพัฒนากำ� ลงั คน สาขาบริการ สขุ ภาพของประเทศไทยในประชาคมอาเซยี น การน�ำนโยบายและแผนการศกึ ษาไปปฏิบัติ เป็นตน้ 2. การสัมภาษณเ์ จาะลกึ ผวู้ จิ ยั มกี ารออกแบบคำ� ถามทใ่ี ชใ้ นการสมั ภาษณแ์ บบกง่ึ โครงสรา้ ง คอื เปน็ การสมั ภาษณแ์ บบ ปลายเปิด ซึ่งเป็นกระบวนวธิ ีการวจิ ยั ทม่ี ีความยดื หย่นุ และเปิดกวา้ ง และพร้อมทจี่ ะมกี ารปรบั เปล่ียน คำ� ถามใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกบั ผมู้ สี ว่ นรว่ มในการวจิ ยั หรอื ผใู้ หส้ มั ภาษณแ์ ตล่ ะคน ในแตล่ ะสถานการณ์ ท่มี เี หตุการณ์ หรือมีสภาพแวดล้อมที่เปลยี่ นแปลงไป เพอื่ ให้ผใู้ ห้ข้อมูลสำ� คัญ ทมี่ ีส่วนเกยี่ วขอ้ งกบั การ ขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพตอบขอ้ คำ� ถามจากการสมั ภาษณ์เจาะลึก และขอ้ เท็จจรงิ ในทางปฏิบตั ิ ที่มี ทง้ั มติ ิของความความลกึ และความกว้างเกี่ยวกบั การแก้ไขปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ ผใู้ หข้ ้อมูลสำ� คัญ การสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก ประกอบดว้ ย กล่มุ ผูก้ ำ� หนดนโยบาย กลมุ่ ผผู้ ลิตพยาบาลวิชาชพี กลุ่ม สถานพยาบาล และกลุ่มพยาบาลวิชาชีพ เพื่อก�ำหนดขอบเขตและเนื้อหา เพ่ือให้มีความชัดเจนตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั และทตุ ยิ ภมู โิ ดยการศกึ ษาจากตำ� รา เอกสาร บทความ ทฤษฎี หลกั การ และ งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพอื่ กำ� หนดขอบเขตของการวจิ ยั และสรา้ งเครอ่ื งมอื วจิ ยั ใหค้ รอบคลมุ วตั ถปุ ระสงค์ ของการวิจยั ซึง่ มรี ายละเอยี ด ดังตอ่ ไปน้ี

นโยบายการบริหารกบั การขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ 247 นพวรรณ ใจคง และคณะ ผใู้ หข้ ้อมลู ส�ำคัญ ประกอบด้วย 4 กลุ่ม โดยใชว้ ธิ ีเลือกกลมุ่ ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ในขณะทก่ี ลมุ่ ท่ี 4 พยาบาลวชิ าชพี ใชว้ ธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบลกู โซ่ (Snowball Sampling) โดยมีผู้ใหข้ อ้ มูลส�ำคญั รวมทัง้ สนิ้ 31 คน โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี กลุ่มที่ 1 กลมุ่ ผู้ก�ำหนดนโยบาย คือ ผู้ท่มี ีสว่ นเกีย่ วขอ้ งกับการกำ� หนดนโยบายและวางแผน อัตราก�ำลังด้านพยาบาลวิชาชีพของประเทศไทย ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขและสภาการพยาบาล จ�ำนวน 2 คน กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ผลิตพยาบาลวิชาชีพ คือ อาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน จ�ำนวน 5 คน กลมุ่ ท่ี 3 กลมุ่ สถานพยาบาล คอื ผบู้ รหิ ารโรงพยาบาลภาครฐั จำ� นวน 2 คน และเอกชน จำ� นวน 2 คน กลมุ่ ท่ี 4 กลมุ่ พยาบาลวิชาชีพ คอื พยาบาลท่สี �ำเร็จการศึกษาระดบั ปรญิ ญาตรีขนึ้ ไปจากสภา การพยาบาลเปน็ พยาบาลระดับปฏิบัตกิ าร ทปี่ ฏบิ ัตงิ านในโรงพยาบาลทงั้ ภาครัฐ จ�ำนวน 10 คน และ เอกชน จำ� นวน 10 คน เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู คอื การสมั ภาษณ์เชิงลกึ จากประเดน็ ค�ำถาม โดยการ ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยการก�ำหนดแนวค�ำถามปลายเปิด ซ่ึงด�ำเนินการสัมภาษณ์ไป ตามลำ� ดบั ประเดน็ ค�ำถามท่เี ตรียมไวล้ ว่ งหนา้ และด�ำเนินการพูดคุยสนทนาตามธรรมชาติ ทั้งนี้ ผวู้ จิ ัย ได้ก�ำหนดหัวข้อในการสัมภาษณ์ ไวด้ งั ตารางที่ 1 ตารางที่ 1 หวั ข้อในการสมั ภาษณ์ กลุม่ หัวข้อในการสมั ภาษณ์ ผู้กำ� หนดนโยบาย - สภาพปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชพี และผลกระทบต่อการ บรหิ ารทางการพยาบาล - การผลักดนั นโยบายสกู่ ารปฏบิ ตั ิ - การกำ� หนดนโยบายต่าง ๆ ท่เี กยี่ วขอ้ งกับการแกไ้ ขปัญหา - แนวทางการชว่ ยเหลือในการปฏบิ ตั ติ ามนโยบาย - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขพยาบาลวิชาชพี ขาดแคลน ผผู้ ลิตพยาบาลวชิ าชีพ - สภาพปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพและผลกระทบตอ่ การ บริหารทางการพยาบาล - ผลกระทบของนโยบายตอ่ การผลติ ปริมาณหรอื ความสามารถในการ ผลติ การส่งเสรมิ / ผลกั ดันการเข้าสู่ระบบการท�ำงาน - ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบายในการแก้ไขพยาบาลวิชาชีพขาดแคลน

248 วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ตารางที่ 1 (ตอ่ ) กลุ่ม หัวขอ้ ในการสัมภาษณ์ สถานพยาบาล - สภาพปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพและผลกระทบต่อการ กลุ่มพยาบาลวชิ าชีพ บรหิ ารทางการพยาบาล - ผลกระทบจากนโยบายทเี่ กีย่ วขอ้ ง - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ไขพยาบาลวิชาชีพขาดแคลน - สภาพปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพและผลกระทบตอ่ การ บริหารทางการพยาบาล - ความคดิ เหน็ ต่อนโยบายท่เี กยี่ วข้องกับพยาบาลวิชาชพี - ข้อเสนอแนะแนวทางการแกป้ ัญหาพยาบาลวิชาชีพขาดแคลน ในด้าน วางแผนก�ำลงั ดา้ นพยาบาลวิชาชีพ การผลิต การสรรหา และการรกั ษาไว้ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการวจิ ยั ครง้ั น้ี ไดเ้ กบ็ ขอ้ มลู 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู จากเอกสารทางวชิ าการ สอ่ื เทคโนโลยสี ารสนเทศ และจากการสมั ภาษณ์เจาะลึก โดยเก็บข้อมลู ตาม กระบวนวธิ กี ารวิจยั เชงิ คุณภาพ โดยสรปุ ดังต่อไปนี้ 1. การศึกษาคน้ คว้าข้อมลู จากเอกสารทางวิชาการ ข้อมูลจากสอื่ เทคโนโลยสี ารสนเทศ และ แหล่งข้อมลู ทางเว็บไซต์ทีป่ รากฏบนอนิ เตอร์เนต็ เพอื่ เกบ็ ข้อมลู ในระดับทตุ ยิ ภูมิ (Secondary Data) ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการ รายงานการศึกษาวิจัยและผลงานวิจัย ประเภทตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ เพอื่ นำ� มาใชเ้ ปน็ แนวทางในการออกแบบหรอื สรา้ งแบบสมั ภาษณเ์ จาะลกึ รวมทง้ั เพื่อน�ำมาใช้เปน็ ส่วนประกอบในกระบวนการวิเคราะห์และประมวลผล 2. การสัมภาษณ์เจาะลึก ผู้วิจัยได้ก�ำหนดแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการขอ ความร่วมมือจากองค์กรหรือบุคคลท่ีเป็นตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างส�ำหรับการวิจัย เพ่ือขอสัมภาษณ์ อย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ คณาจารย์ที่ปฏิบัติงาน ทางวิชาการอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ นักการเมืองท่ีเคยด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมืองในอดีตและ ปัจจุบัน รวมทั้งพยาบาลท่ีปฏิบัติงานอยู่ในภาครัฐและเอกชน ในกระบวนการสัมภาษณ์เจาะลึกนั้น ผู้วิจัยไดด้ ำ� เนนิ การบนั ทกึ ขอ้ มลู โดยวธิ กี ารจดบนั ทกึ ขอ้ มลู และการบนั ทกึ เสยี งผใู้ หส้ มั ภาษณ์ โดยการ ขออนุญาตจากผู้ให้สัมภาษณ์ก่อนท�ำการบันทึกเสียง เพ่ือน�ำมาใช้ในกระบวนการตรวจสอบ และ ตรวจทานความถกู ต้องย้อนกลบั ในภายหลงั ได้ การวิเคราะหข์ ้อมูล สำ� หรบั การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสมั ภาษณเ์ จาะลกึ มาวเิ คราะหร์ ว่ มกบั การศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู จากเอกสาร โดยการวเิ คราะหต์ ามแนวทางการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ผวู้ จิ ยั ไดท้ ำ� การ

นโยบายการบรหิ ารกบั การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี 249 นพวรรณ ใจคง และคณะ ตรวจสอบข้อมูลโดยใช้และผสมผสานวิธีการวิจัยท่ีเรียกว่า Multiple Triangulation (Yin, 1994) ดังต่อไปน้ี 1. Data triangulation คอื การใชแ้ หลง่ ขอ้ มลู ทแ่ี ตกตา่ งกนั ในการศกึ ษาปรากฏการณเ์ ดยี วกนั ได้แก่ การศกึ ษาเอกสารและการเก็บขอ้ มลู จากบุคคลในสถานท่ที แ่ี ตกตา่ งกนั 2. Investigator triangulation คอื การใชผ้ ู้เกบ็ ข้อมูลหลายคนในแต่ละสถานการณ์ 3. Theory triangulation คือ การใชท้ ฤษฎีต่างกนั ในการตคี วามปรากฏการณ์ นอกจากนี้ ระหว่างการสัมภาษณ์เจาะลึก ผู้วิจัยได้ด�ำเนินการสะท้อนและพรรณนาข้อมูล ตามปรากฏการณร์ ว่ มดว้ ย อนั เปน็ แนวทางสำ� คญั ทส่ี ามารถนำ� ไปสกู่ ารจดั ทำ� ขอ้ เสนอแนะในการกำ� หนด แนวทางการแก้ไขปัญหาขาดแคลนพยาบาลเชิงบรู ณาการ การปกปอ้ งสทิ ธ์ผิ ใู้ หข้ ้อมูลส�ำคัญ โครงการวิจัยผ่านการพิจารณารับรองจริยธรรมการวิจัย หมายเลขรับรอง 90-2561 จาก คณะกรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ยั วทิ ยาลยั การบรหิ ารรฐั กจิ มหาวทิ ยาลยั บรู พา กอ่ นดำ� เนนิ การเกบ็ รวบรวม ข้อมูล ผู้วิจัยปกป้องสิทธ์ิผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ โดยอธิบายวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย การเข้าร่วม โครงการวิจัยเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ท้ังน้ี ผู้ร่วมวิจัยได้อ่านเอกสารยินยอมเข้าร่วม วจิ ยั ก่อนลงนามตกลงใจรว่ มการวจิ ัยนใ้ี นฐานะเป็นผใู้ ห้ข้อมูลสำ� คัญ โดยการสมั ภาษณ์เชิงลึก ในขณะ ทำ� การสมั ภาษณม์ กี ารขออนญุ าตในการบนั ทึกเทป นอกจากน้ี หากผู้ให้ข้อมลู เกดิ ความร้สู กึ ไม่สะดวก ใจทจ่ี ะใหข้ อ้ มลู สามารถยตุ ิการสัมภาษณ์ได้ตลอดเวลา และผู้วิจัยไดช้ ีแ้ จงผู้ให้ข้อมูลทราบว่าขอ้ มลู ท่ี ได้จากการสัมภาษณ์ จะถูกเกบ็ รกั ษาไวเ้ ป็นความลบั มเี พียงผู้วจิ ัยเท่านั้น ทเี่ ข้าถึงข้อมูลได้และข้อมลู จะถกู ท�ำลายเมอื่ การวจิ ัยเสร็จสิน้ การรายงานผลการวจิ ยั กระทำ� ในภาพรวมและด�ำเนนิ การดว้ ยความ ระมัดระวงั รดั กุมไมม่ กี ารอ้างองิ ถงึ ชื่อของผใู้ ห้ขอ้ มูล หรือข้อมลู สว่ นตัวใด ๆ ลงในเอกสารตา่ ง ๆ ท่ี เกยี่ วกับการศกึ ษาครั้งนก้ี อ่ นไดร้ ับอนุญาตจากผ้ใู ห้ขอ้ มูล ผู้วิจัยได้ท�ำการแจกแจงข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์ โดยมีการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยได้ท�ำการสรุปประเด็นส�ำคัญท่ีเกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพและ ผลกระทบตอ่ การบริหารทางการพยาบาล ผลการวจิ ัย 1. ศึกษาความสมั พันธ์ของนโยบายการบริหารกบั การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพ ปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี มคี วามแตกตา่ งตามบรบิ ท และลกั ษณะทางการบรหิ าร ของแต่ละหน่วยงาน เชน่ หน่วยผลิตอาจมปี ญั หาอย่างหนง่ึ ส่วนโรงพยาบาลก็มปี ญั หาท่อี าจแตกต่าง กันไปตามบริบทของโรงพยาบาลของรัฐบาลและโรงพยาบาลเอกชน รวมทั้งสภาพพื้นท่ีและสภาพ แวดล้อมของแต่ละโรงพยาบาล เป็นต้น โดยกลุ่มผู้ก�ำหนดนโยบายกล่าวว่าปัญหาส�ำคัญของการ ขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ คือ ขาดการวางแผนที่ดีและเป็นระบบ ความต้องการบริการสุขภาพของ ประชาชนเพมิ่ ขึน้ อยา่ งรวดเร็ว และการมีขอ้ จ�ำกดั ในการเพิ่มการผลิต และการธำ� รงรักษาก�ำลังคนทีม่ ี

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 250 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 อยู่ในระบบบริการ ซ่งึ มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ ปัญหาเชงิ นโยบายท่ีส่งผลใหเ้ กดิ การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพ 1. ปญั หาการก�ำหนดนโยบาย 1.1 ปญั หาของกระบวนการกำ� หนดนโยบาย สามารถสรปุ ได้ ดังนี้ 1.1.1 ขาดการมสี ่วนร่วมในการรบั ฟังความคดิ เห็นของกลุ่มผมู้ สี ่วนไดส้ ว่ นเสีย รวมทงั้ การวเิ คราะหจ์ ำ� นวนความตอ้ งการพยาบาลวชิ าชพี ความสามารถในการผลติ และการนำ� ขอ้ มลู แนวโนม้ ในอนาคตมาเปน็ ตัวก�ำหนดนโยบาย “วชิ าชพี พยาบาล สภาการพยาบาล กองการพยาบาล ตอ้ งมสี ว่ นรว่ มตง้ั แตก่ ารกำ� หนด นโยบาย และเปน็ หนว่ ยงานหลกั ในการขบั เคลอื่ นดา้ นอตั รากำ� ลงั คนทางการพยาบาล และตอ้ งวเิ คราะห์ ความต้องการพยาบาล และก�ำหนดเป็นเปา้ หมายในอนาคตอยา่ งชัดเจน” (กลมุ่ ท่ี 1, สมั ภาษณ)์ 1.1.2 ความขดั แยง้ กนั เองของนโยบายของหนว่ ยงานรฐั ทมี่ บี ทบาทและหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกนั เชน่ สำ� นกั คณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน (ก.พ.) มนี โยบายการลดจำ� นวนขา้ ราชการ ทำ� ใหก้ ระทรวง สาธารณสขุ ต้องยกเลิกระบบการใช้ทุนในวิชาชพี พยาบาล และสง่ ผลกระทบต่อการบรรจุงาน “ที่ผา่ นมาต่างคนตา่ งมีนโยบาย สภาพยาบาลก็มนี โยบาย กระทรวง ก็มี ก.พ. วา่ กันไป แลว้ พอไปถงึ ขา้ งลา่ ง หนา้ งานไมม่ หี ลกั เกณฑเ์ ดยี ว จะตอ้ งปรบั ตามบรบิ ท ดงั นน้ั ระดบั บนตอ้ งมนี โยบาย ท่ีชัดเจน ซง่ึ ทุกคนจะตอ้ งมาก�ำหนดแผนในระดับหน้างาน (กลมุ่ ที่ 1, สัมภาษณ์) 1.2 การก�ำหนดนโยบายเกีย่ วกับการผลิตพยาบาล สามารถสรุปได้ ดังนี้ 1.2.1 ขาดการวางแผนกำ� ลงั การผลติ พยาบาลระหว่างผู้ก�ำหนดนโยบาย ผูผ้ ลติ และ สถานประกอบการพยาบาล จึงท�ำให้เกิดความไม่สอดคล้องกับความต้องการของโรงพยาบาล และ ความต้องการบริการสขุ ภาพของประชาชนทีม่ คี วามซบั ซ้อน 1.2.2 ปัญหาศักยภาพในการผลิต อันเนอื่ งมาจากสดั สว่ นระหว่างนิสิตกับอาจารย์ ซ่ึง เป็นไปตามกรอบและมาตรฐานของสภาวิชาชพี “ปญั หาหรอื ขอ้ จำ� กดั คอื มหาวทิ ยาลยั ไมเ่ คยมกี ารประชมุ รว่ มกนั ระหวา่ งโรงพยาบาล ว่ามีต้องพยาบาลวิชาชีพเท่าไหร่ ต้องการให้ผลิตวิชาชีพพยาบาลแบบไหน และปัญหา คือ อาจารย์ พยาบาลกข็ าดแคลน” (กล่มุ ที่ 2, สมั ภาษณ)์ 1.3 ปญั หาการกำ� หนดนโยบายเก่ยี วกบั สภาพการทำ� งาน สามารถสรปุ ได้ ดังนี้ 1.3.1 ขาดการมสี ่วนร่วมของพยาบาลวชิ าชีพ ในการสะทอ้ นปญั หาของนโยบายและ ผลกระทบที่เกยี่ วข้อง “ถา้ รัฐบาลไมม่ กี ารจงู ใจ ไมใ่ หค้ วามม่ันคง และไมล่ ดความเหล่ือมล�ำ้ เรอื่ งค่าตอบแทน รวมถึงเดก็ ร่นุ ใหม่กไ็ มม่ ใี ครอยากเรยี นและท�ำงานในวชิ าชีพน”้ี (กลมุ่ ท่ี 4, สัมภาษณ)์ 1.3.2 นโยบายท่ีส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน (Medical Hub) ท�ำให้ความตอ้ งการพยาบาลของโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่เพิม่ มากข้นึ ในขณะท่ีไมไ่ ดม้ ี อัตราก�ำลังคนเพ่ือรองรับความต้องการ ท�ำให้เกิดการไหลเวียนของจ�ำนวนพยาบาลวิชาชีพระหว่าง

นโยบายการบริหารกบั การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี 251 นพวรรณ ใจคง และคณะ ภาครัฐและเอกชน มผี ลให้เกดิ ความขาดแคลนพยาบาลในภาครฐั มากย่งิ ข้ึน “นโยบายเพม่ิ ตำ� แหนง่ บรรจพุ ยาบาลวชิ าชพี เปน็ ขา้ ราชการ นอกจากจะเปน็ การสรา้ ง แรงจูงใจยังเป็นการท�ำให้พยาบาลคงอยู่ในระบบได้ ส่วนใหญ่ท่ีต้องการบรรจุเป็นข้าราชการ ก็หวัง ใช้สิทธิ์ข้าราชการให้กับครอบครวั ลกู ไมเ่ กินอายุ 20 ปี และอยากได้บ�ำเหนจ็ บ�ำนาญความม่ันคง แต่ ถา้ หากยงั ไมม่ กี ารบรรจุ บวกกบั พยาบาลตอ้ งลาออกกย็ งั เปน็ การเพมิ่ ภาระงานใหพ้ ยาบาลมากยง่ิ ขนึ้ ” (สัมภาษณก์ ลุม่ พยาบาลวชิ าชพี ภาครัฐ) 1.3.3 ไม่มีนโยบายในการก�ำหนดมาตรฐานการจ้างงานท่ีชัดเจน ท�ำให้การจ้างงานมี หลายรปู แบบ เชน่ การเปน็ ลกู จา้ งชวั่ คราว ซง่ึ มกี รอบอตั ราเงนิ เดอื นและสวสั ดกิ ารแตกตา่ งจากบคุ ลากร ประจำ� ในระบบ อกี ทงั้ ยงั สง่ ผลใหข้ าดความกา้ วหนา้ ในอาชพี การขาดโอกาสในการพฒั นาความรแู้ ละ การพฒั นาอยา่ งตอ่ เนื่อง สภาพการทำ� งานท่ีไม่ปลอดภยั ภาระงานทห่ี นกั เกินไป แตค่ ่าตอบแทนน้อย รวมถึงความเสี่ยงของงานพยาบาล “ความแตกตา่ งระหวา่ งผทู้ ่ไี ดร้ บั บรรจเุ ป็นข้าราชการกับลกู จ้างชวั่ คราว คือ เงนิ เดือน สวสั ดกิ าร ความมนั่ คงในชวี ติ ตลอดจนความภาคภมู ใิ จในอาชพี การงาน ดงั นนั้ การบรรจเุ ปน็ ขา้ ราชการ ยังดจู ะเปน็ แรงจูงใจสำ� คญั แตด่ ้วยขอ้ จ�ำกดั ของภาครฐั จงึ ควรมรี ปู แบบในการจา้ งงานใหม่ๆ ทง้ั ท่เี ป็น ตัวเงิน และไมใ่ ช่ตัวเงิน เพอ่ื ช่วยแกป้ ัญหาน้ี” (กลุม่ ที่ 3, สมั ภาษณ์) 2. ปญั หาในการน�ำนโยบายไปปฏบิ ัติ 2.1 ปญั หาในการขบั เคลอื่ นนโยบาย 2.1.1 ผูก้ �ำหนดนโยบายและผนู้ �ำนโยบายไปปฏบิ ัติขาดการสอ่ื สารและท�ำความเข้าใจ ภาพรวมของการด�ำเนินงานและการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการมีหน่วยงานทปี่ ฏิบัตหิ ลายหนว่ ยงาน และมสี ังกดั อยู่ในกระทรวงทแ่ี ตกตา่ งกนั จึงทำ� ใหก้ ารประสานความร่วมมือไมเ่ ป็นไปในทิศทางเดยี วกัน 2.1.2 การที่ผู้ก�ำหนดนโยบายมีนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลจ�ำนวนมาก เพื่อเพิ่มการ เข้าถึงการดูแลรกั ษาสขุ ภาพ ซึ่งการนำ� นโยบายไปปฏบิ ัติต้องใช้เวลาและทรัพยากรจ�ำนวนมากในการ ปฏบิ ตั ิงาน โดยพบวา่ ขาดแคลนทัง้ คนและงบประมาณที่ตอ้ งเพิม่ ขึ้นตามไปดว้ ย 2.1.3. การขาดความเข้าใจในนโยบาย เนอื่ งจากผู้บรหิ ารทางการพยาบาลแต่ละคนมี ความเขา้ ใจในเรอื่ งการวางแผนทแี่ ตกตา่ งกนั มกี ารรบั รทู้ แี่ ตกตา่ งกนั และใชป้ ระสบการณข์ องแตล่ ะคน ในการทำ� แผน ท�ำให้การวางแผนไมเ่ ป็นไปในทิศทางเดียวกัน อกี ทัง้ คนท่ีเก่ียวข้องแต่ละคนแตล่ ะกล่มุ ล้วนแล้วแต่มวี ัตถุประสงคใ์ นการคาดหวงั จากนโยบายแตกตา่ งกนั ไป จึงเปน็ ปญั หาตอ่ นโยบายในการ ตอบสนองความคาดหวงั ท่ีหลากหลาย 2.2 ปัญหาดา้ นการบรหิ าร เมอื่ ขาดมาตรฐานการจา้ งงาน ประกอบกบั ปญั หาเชงิ นโยบายในดา้ นอนื่ ๆ สง่ ผลใหไ้ มม่ กี าร กำ� หนดมาตรฐานภาระงานทีเ่ ป็นรูปธรรม และสามารถอา้ งองิ กับกฎหมายแรงงานหรือกฎหมายอ่นื ๆ ท่เี กยี่ วข้องได้อย่างชัดเจน

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 252 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 3. ปัญหาในเชงิ การบริหารทส่ี ง่ ผลใหเ้ กดิ การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี 3.1 นโยบายสงั่ ควบคมุ การใชเ้ งนิ นอกงบประมาณ ในการจา้ งลกู จา้ งมาชว่ ยทำ� งานในระบบ รฐั เพราะเงนิ นอกงบประมาณนั้นหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ได้จากการบริจาคของประชาชนทมี่ จี ิตศรทั ธาเพื่อ ช่วยเหลอื โรงพยาบาลในพื้นท่ี เนือ่ งจากงบรัฐไม่เพียงพอ เป็นนโยบายท่ีสรา้ งความขัดแยง้ ของทกุ ฝ่าย เพราะทุกคนไดร้ ับผลกระทบ 3.2 ขาดนโยบายทเี่ ปน็ แรงจงู ใจ หรือสวสั ดิการให้กบั คนในระบบ เชน่ โดนเขม็ ต�ำ ติดเชอ้ื วณั โรค หรอื เสียชวี ติ จากอุบัติเหตุในขณะออกรับหรือส่งตอ่ ผปู้ ่วย กลับไม่มกี ารออกนโยบายช่วยดูแล เยียวยาคนทำ� งานคนในระบบ 3.3 การขาดงบประมาณโดยมีสาเหตุมาจากการมีกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำ� ใหโ้ รงพยาบาลประสบปัญหาการขาดทุนมากมายหลายรอ้ ยโรงพยาบาล จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยได้วิเคราะห์โครงสร้างทางการบริหารและบทบาทหน้าที่ ของผทู้ ีม่ ีสว่ นเก่ยี วขอ้ งกบั ปญั หาโดยตรงแล้ว พบว่ามีหนว่ ยงานที่เก่ียวขอ้ งกับประเดน็ ปญั หา ดงั กลา่ ว ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ซ่งึ ไม่นบั รวมกลมุ่ พยาบาลวชิ าชพี คอื 1. กลุ่มผู้ก�ำหนดนโยบาย ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องกับการวางแผนอัตราก�ำลัง ด้านพยาบาลวชิ าชพี ของประเทศไทย 2. กลมุ่ ผผู้ ลติ พยาบาลวชิ าชพี ซงึ่ หมายถงึ สถาบนั การศกึ ษาทม่ี หี นา้ ทผ่ี ลติ บณั ฑติ หรอื บุคลากรด้านพยาบาลวชิ าชีพท่มี คี วามรู้ความสามารถและความเชีย่ วชาญ ท่อี ย่ใู นเกณฑ์มาตรฐาน 3. กลุ่มสถานพยาบาล ซึ่งหมายถึง หน่วยงานที่ให้บริการสุขภาพที่มีความต้องการ พยาบาลวชิ าชีพไปปฏิบัตงิ าน ในงานบริการดา้ นสุขภาพ ซึ่งสามารถใหบ้ รกิ ารท่ีมคี ณุ ภาพและตรงกับ ความตอ้ งการด้านสุขภาพของประชาชน ผกู้ าหนดนโยบาย ผูผ้ ลิตพยาบาล - ขาดการประสานงาน ผ้ใู ช้ - นโยบายย้อนแยง้ (สถานพยาบาล) - ไมส่ ามารถธารงรกั ษา พยาบาลวิชาชีพ ลาออก รูปที่ 2 แผนภาพสรปุ ปัญหาจากหัวข้อการสัมภาษณ์

นโยบายการบรหิ ารกบั การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพ 253 นพวรรณ ใจคง และคณะ จากแผนภาพสรปุ ปัญหา สามารถอธิบายละเอยี ดได้ ดังน้ี 1. ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานระหว่างผู้ก�ำหนดนโยบาย ผู้ผลิตพยาบาล ผู้ใช้ (สถานพยาบาล) และพยาบาลวชิ าชพี 2. การขาดข้อมูลเชิงลึกท่ีสามารถใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณความต้องการพยาบาลวิชาชีพ ซ่ึงเป็นข้อมูลทจี่ ำ� เป็นสำ� หรบั ผผู้ ลติ และโรงพยาบาลในการบรหิ ารจดั การภายใน 3. นโยบายทมี่ อี ยเู่ ดมิ หรอื ไดร้ บั การกำ� หนดขน้ึ มาใหมม่ คี วามยอ้ นแยง้ กนั จงึ ทำ� ใหก้ ารผลกั ดนั นโยบายไปสู่การปฏิบัติไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น มีความต้องการพยาบาลเพ่ิม แต่ยกเลิกการ จดั สรรทุนการศกึ ษา และจำ� กัดจำ� นวนการบรรจุเปน็ ขา้ ราชการ ส�ำหรบั กรณีของโรงบาลรัฐ และการ บรหิ ารงานพยาบาลโดยไม่มีมาตรฐานภาระงานท่ีชดั เจน สำ� หรบั กรณขี องโรงบาลเอกชน 4. การบริหารท่ีตอ้ งขน้ึ ตรงกบั ส่วนกลางมอี �ำนาจเบด็ เสร็จ ไม่ว่าจะเปน็ กรอบอัตรา การบรรจุ ต�ำแหน่งข้าราชการ ต้องขึ้นตรงกับกรอบของกระทรวงสาธารณสุข ท่ีส่งผลกระทบโดยตรงต่อการ กระจายตวั ของพยาบาลวชิ าชพี และการผลติ พยาบาลทอ่ี ตั ราสว่ นอาจารยต์ อ่ จำ� นวนนกั ศกึ ษาถกู กำ� หนด จากกรอบวิชาชีพ รวมถึงการใชท้ รัพยากรที่มีอยูอ่ ยา่ งจำ� กัดและถกู ก�ำกบั ดูแลจากสว่ นกลาง 5. การไม่สามารถธ�ำรงรักษาพยาบาลท่มี ีอยไู่ วใ้ นระบบบริการได้ โดยพยาบาลวชิ าชพี มีอัตรา การเกษียณตามอายุและก่อนอายุราชการจ�ำนวนมาก เนื่องจากขาดความก้าวหน้า และความม่ันคง ในวชิ าชพี ขาดแรงจงู ใจทเ่ี ออื้ ตอ่ การคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชพี เกดิ ขอ้ จำ� กดั ในการจา้ งงาน ภาระงานมาก จากการทำ� งานท่ีคาบเก่ียววชิ าชีพอ่ืน ส่งผลไปจนถงึ สวัสดกิ ารท่ีเป็นตวั เงนิ และไมใ่ ชต่ วั เงนิ 2. เพือ่ หาข้อเสนอแนะแนวทางในการแกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ ส่วนน้ีเป็นการน�ำเสนอข้อมูลที่เก่ียวข้องกับข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ที่ได้จากการ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญท้ัง 4 กลุ่ม โดยผู้วิจัยได้ด�ำเนินการจัดกลุ่มข้อเสนอแนะในกรณีที่มีเน้ือหา สอดคล้องหรอื สัมพนั ธ์กนั โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี ขอ้ เสนอแนะทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การวางแผน การผลติ และการธ�ำรงรักษา 1. ปรบั ปรุงประสิทธภิ าพการบรหิ ารใหม่ คือ ควรมกี ารวางแผนด้วยกันทงั้ หมดเป็นภาพรวม โดยเร่ิมจากการวางแผนระบบบริการก่อน แล้วจึงวางแผนก�ำลังคน และจัดระดับโรงพยาบาลตาม ขีดความสามารถของแต่ละระดับโรงพยาบาล เพื่อใช้ทรัพยากรภายในเครือข่ายท่ีมีอย่างจ�ำกัดให้มี ประสทิ ธิภาพ จะต้องเช่อื มโยงสถานบริการทุกระดบั 2. วางแผนการผลติ นกั ศกึ ษาพยาบาลของสถาบนั การศกึ ษาทง้ั ภาครฐั และเอกชน ควรมคี วาม สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของระบบบรกิ ารสขุ ภาพของประเทศ และภาครฐั ตอ้ งสนบั สนนุ งบประมาณ ในการผลิตพยาบาล โดยเฉพาะในกลุ่มท่ีรับตรงจากพ้ืนท่ีขาดแคลน และมีการพิจารณาปรับระบบ สนบั สนนุ งบประมาณผา่ นกระทรวงสาธารณสขุ ในฐานะผใู้ ชเ้ ปน็ หลกั สถาบนั ทท่ี ำ� การผลติ ควรรว่ มกนั วางแผนบคุ ลากรทางการพยาบาลในระยะยาว เพ่อื ให้เกดิ ความสมดลุ ในการผลิต การใชง้ าน และการ พฒั นาบุคลากร อกี ทง้ั พัฒนาอาจารย์ใหส้ อดคล้องกับมาตรฐานการศกึ ษา

วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 254 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 3. วางนโยบายการคดั เลอื กนกั เรยี นจากพน้ื ทช่ี นบท โดยเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นในพนื้ ทช่ี นบท สามารถเข้ามาเรียนในสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค เป็นการกระจายสถาบันการศึกษาเพื่อ จัดการศึกษาใหท้ ้องถิ่นมีสว่ นรว่ มในการผลติ และจัดจ้างบุคลากรดา้ นสขุ ภาพ 4. กำ� หนดใหม้ กี ารผลติ ผชู้ ว่ ยพยาบาลเพอ่ื ลดภาระงานทไี่ มจ่ ำ� เปน็ ผบู้ รหิ ารกระทรวงสาธารณสขุ องคก์ รพยาบาล สำ� นกั งานขา้ ราชการพลเรอื น ควรรว่ มกนั พจิ ารณาการเพมิ่ ตำ� แหนง่ และความกา้ วหนา้ ใหก้ บั บคุ คลากรใหเ้ หมาะสมกบั งาน โดยตอ้ งมกี ารปฏริ ปู ระบบการจา้ งงานพยาบาลวชิ าชพี โดยคำ� นงึ ถงึ ความเป็นธรรมในการจา้ งงาน และประสิทธภิ าพในการกระจายกำ� ลงั คน 5. วชิ าชพี พยาบาลตอ้ งมสี ว่ นรว่ มตงั้ แตก่ ารกำ� หนดนโยบาย สภาการพยาบาล กองการพยาบาล ต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนด้านอัตราก�ำลังคน ทางการพยาบาล 6. ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมที่เอ้ือต่อการท�ำงาน โดยน�ำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพ่ิม ประสทิ ธภิ าพในการทำ� งาน และสรา้ งขวญั กำ� ลงั ใจ เพม่ิ คา่ ตอบแทน และลดความเหลอื่ มลำ้� ปรบั เปลย่ี น โครงสร้างค่าตอบแทนพิเศษต่าง ๆ ระหว่างวิชาชีพให้เท่ากันหรือใกล้เคียงกัน ค่าตอบแทนต้องปรับ ตามปรมิ าณงาน คณุ คา่ ไมค่ วรใชเ้ กณฑก์ ลาง และการทำ� งานของพยาบาลทมี่ คี วามเสย่ี งควรมสี วสั ดกิ าร รองรับ อภปิ รายผล 1. ศึกษาความสัมพนั ธข์ องนโยบายการบรหิ ารกับการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ ปัญหาในการกำ� หนดนโยบาย 1. การประสานงานระหวา่ งหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งในทกุ ระดบั พบปญั หาใน 3 มติ ิ ประกอบดว้ ย มิตทิ ี่ 1 คอื การประสานงานระหวา่ งผกู้ �ำหนดนโยบาย ซง่ึ อยูต่ ามหนว่ ยงานหรือต่างสงั กดั แต่ มีภารกิจท่ีเกี่ยวเนื่องกัน ในระดับนโยบายขาดการประสานงานระหว่างกัน ระดับปฏิบัติขาดการ ประสานงานระหว่างผผู้ ลติ และสถานพยาบาล มิติท่ี 2 คือ การประสานงานระหว่างหน่วยงานระดับปฏิบัติ ซ่ึงในกรณีน้ี หมายถึง การ ประสานงานระหวา่ งผผู้ ลติ พยาบาลวชิ าชพี และสถานพยาบาลทงั้ ภาครฐั และภาคเอกชนขาดการแลก เปลีย่ นขอ้ มลู ความต้องการพยาบาล และความสามารถในการผลิตอยา่ งชดั เจนและตอ่ เนื่อง มิติท่ี 3 คอื การประสานงานระหว่างผู้ก�ำหนดนโยบายและผปู้ ฏิบตั ติ ามนโยบาย โดยสามารถ แสดงไดต้ ามรูปท่ี 3 ปัญหาที่เกิดขึ้น Kaplan and Norton (2005) อธิบายว่า ความล้มเหลวในการบริหาร ยุทธศาสตร์เป็นผลมาจากรูปแบบการบริหารที่แยกส่วนกัน (Fragmentation) มีขั้นตอนการท�ำงาน แบบต่างคนต่างท�ำ ท�ำให้เกิดปัญหาในการแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติและขาดความเชื่อมโยงซ่ึงกัน และกนั โดยขาดการแลกเปล่ียนข้อมูลระหวา่ งกนั และมีการก�ำหนดทศิ ทางการดำ� เนนิ การแตกตา่ งกนั จากประเด็นน้ี หากพิจารณาตามแนวทางการบริหารระบบราชการ 4.0 ท่ีน�ำเสนอโดยส�ำนักงาน

นโยบายการบรหิ ารกบั การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชพี 255 นพวรรณ ใจคง และคณะ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (Office of the Civil Service Commission: OCSC, 2017) พบวา่ ระบบราชการตอ้ งปรบั เปลย่ี นแนวคดิ และวธิ กี ารทำ� งานใหม่ โดยเนน้ การเปดิ กวา้ งและเชอ่ื มโยงกนั ใน 5 ด้าน คอื การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู การแบ่งปนั ขอ้ มูล การเช่อื มโยงกระบวนการ การประสานการท�ำงาน ขา้ มหนว่ ยงาน และการบรู ณาการไรร้ อยตอ่ ซงึ่ ทงั้ 5 ประเดน็ นี้ อาจเปรยี บไดก้ บั การปรบั กลไกทางการ บริหารของหน่วยงานท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การพยาบาลทั้งระบบ ผ้กู ำหนด มติ ิท่ี 1 นโยบำย ผู้ผลติ และ สถานพยาบาล มติ ิที่ 3 มิตทิ ่ี 2 ผ้ปู ฏบิ ัตติ ำม นโยบำย รปู ที่ 3 แผนภาพการการประสานงานระหว่างผูก้ �ำหนดนโยบายและผู้ปฏบิ ัตติ ามนโยบาย 2. การขาดขอ้ มลู เชงิ ลกึ ทส่ี ามารถใชใ้ นการวเิ คราะหป์ รมิ าณความตอ้ งการพยาบาลวชิ าชพี ซงึ่ เปน็ ขอ้ มลู ทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั ผผู้ ลติ และสถานพยาบาลในการบรหิ ารจดั การภายใน ระบบบรกิ ารในปจั จบุ นั ที่ซับซ้อนของข้อมูลด้านสุขภาพ ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการกลางท�ำการศึกษาข้อมูลร่วมกัน โดย ประกอบดว้ ยการมสี ว่ นรว่ มของผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี เชน่ องคก์ รวชิ าชพี สขุ ภาพ สถาบนั การศกึ ษาภาครฐั และภาคเอกชน สถานพยาบาล รว่ มถงึ ตวั แทนพยาบาลวชิ าชพี เพอื่ นำ� ไปสขู่ อ้ เสนอแนะทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ตอ่ ไป และเพอ่ื ใหเ้ กดิ การแกไ้ ขปญั หาอยา่ งยงั่ ยนื ควรสรา้ งบรรยากาศแหง่ ความรว่ มมอื ทด่ี ี มกี ารสอื่ สาร ท่ีดี และร่วมกันท�ำงานอย่างสม่�ำเสมอ จะท�ำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีความเชื่อม่ันในเรื่องความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และท�ำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการต่อต้านหรือไม่ยอมรับวิธีการด�ำเนินงาน (Watthanasiritham & Petchmak, 2008) ปญั หาในการน�ำนโยบายไปปฏบิ ัติ 3. นโยบายทมี่ อี ยเู่ ดมิ หรอื ไดร้ บั การกำ� หนดขนึ้ มาใหมม่ คี วามยอ้ นแยง้ กนั จงึ ทำ� ใหก้ ารผลกั ดนั นโยบายไปสกู่ ารปฏบิ ตั ไิ มเ่ ปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั นโยบายไมป่ ระสบความสำ� เรจ็ และเกดิ การยอ้ นแยง้ กนั ของนโยบาย คือ ขาดการวิเคราะหข์ ้อมลู ปญั หาและผลกระทบของนโยบายอย่างรอบดา้ น ดงั นนั้ ต้อง มีผู้ที่มีความเช่ียวชาญด้านนโยบาย รวบรวมความคิดที่มีความหลากหลายให้ถูกผสมกลมกลืนกัน อย่างเหมาะสม ซง่ึ ตอ้ งพจิ ารณาปัญหาทก่ี ำ� ลังจะนำ� มากำ� หนดนโยบายใหถ้ ูกรบั รูโ้ ดยทั่วไปบนพน้ื ฐาน หลกั ของเงื่อนไข (Kingdon, 1995) เพ่อื ลดภาวะย้อนแย้งของนโยบาย กล่าวได้อีกว่าการตดั สินใจ ณ

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 256 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 ชว่ งเวลาหน่ึง ส่งผลให้เกิดความลม้ เหลวในช่วงเวลาตอ่ มา ภาวะดงั กลา่ วจงึ ถูกก�ำหนดให้มีอิทธพิ ลต่อ นโยบายนอ้ ยทสี่ ดุ โดยใชว้ ธิ กี ารพฒั นากระบวนการนโยบาย เชน่ ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล การกำ� หนดการ ตัดสนิ ใจทีด่ ี เป็นตน้ 4. การไม่สามารถธำ� รงรักษาพยาบาลทม่ี ีอยู่ไว้ในระบบบรกิ ารได้ โดยพยาบาลวชิ าชีพมีอตั รา การเกษยี ณตามอายแุ ละกอ่ นอายรุ าชการของพยาบาลวชิ าชพี จำ� นวนมาก เนอื่ งจากขาดความกา้ วหนา้ และความมั่นคงในวิชาชีพ ขาดแรงจูงใจที่เอื้อต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ เกิดข้อจ�ำกัดในการ จ้างงาน ภาระงานมากจากการท�ำงานทคี่ าบเกี่ยววชิ าชีพอื่น ส่งผลไปจนถึงสวัสดกิ ารท่เี ป็นตัวเงนิ และ ไม่ใช่ตวั เงนิ อีกท้ัง เกิดการจ้างงานไม่เป็นธรรม หรือความเหลื่อมล้�ำท้ังภายในและระหว่างวิชาชีพ ใน ประเทศอนื่ ๆ กพ็ ยายามหาทางแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพยาบาลโดยการปรับปรงุ สภาพการท�ำงาน เสนอให้โบนัสสูง ท่ีพักฟรี ครอบคลุมค่าเล่าเรียน (Marć, Bartosiewicz, Burzyńska, Chmiel, & Januszewicz, 2018) เพื่อให้การบริหารจัดการการบรรจุข้าราชการเป็นไปอย่างชอบธรรม (Saikia, 2018) การลดความซับซ้อนของขั้นตอนการสรรหา และการดึงดูดใจส�ำหรับพยาบาลในพ้ืนชนบท ด้วยการจัดหาแพคเกจท่ีแข่งขันได้ที่มีท้ังแรงจูงใจทางการเงินและไม่ใช่ตัวเงินและปรับปรุง สาธารณูปโภคพืน้ ฐานในชนบท 2. เพ่อื หาขอ้ เสนอแนะแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชพี ข้อเสนอแนะทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การวางแผน การผลิต และการธำ� รงรกั ษา 1. ปรับปรงุ ประสิทธิภาพการบรหิ ารใหม่ คือ ตอ้ งมีการวางแผนดว้ ยกันท้งั หมดเปน็ ภาพรวม กระบวนการพฒั นาตอ้ งใชว้ ธิ กี ารมสี ว่ นรว่ ม เพอ่ื พฒั นาระบบและจดั การกบั ความขดั แยง้ ทางสงั คมและ ปญั หาทางเทคนิค (Nallaperuma & De Silva, 2017) 2. วางแผนการผลิตนักศึกษาพยาบาลของสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ควรมี ความสอดคล้องกับความต้องการของระบบบริการสุขภาพของประเทศ และภาครัฐต้องสนับสนุน งบประมาณในการผลิตพยาบาล โดยเฉพาะในกลุ่มที่รับตรงจากพ้ืนที่ขาดแคลน และมีการพิจารณา ปรบั ระบบสนบั สนนุ งบประมาณผา่ นทางกระทรวงสาธารณสขุ ในฐานะผใู้ ชเ้ ปน็ หลกั การแบง่ เอาภารกจิ และอำ� นาจหนา้ ทอ่ี อกไปยงั องคก์ รทท่ี ำ� งานอยใู่ นพน้ื ทท่ี อ้ งถน่ิ เพอื่ จดั ทำ� บรกิ ารและปกครองพนื้ ทนี่ นั้ ๆ อยา่ งมีเอกภาพภายใตอ้ งค์กรเดียว บางครง้ั จงึ เรียกการกระจายอำ� นาจในลักษณะน้วี า่ “การกระจาย อำ� นาจทางการบริหาร” (Administrative Decentralization) (The Secretariat of The House of Representatives, 2014) 3. วางนโยบายการคัดเลือกนักเรียนจากพื้นที่ชนบทเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนในพื้นที่ ชนบทสามารถเขา้ มาเรยี นในสถาบนั การศกึ ษาทต่ี ง้ั อยใู่ นสว่ นภมู ภิ าค ควรมกี ระบวนการคดั เลอื กผเู้ รยี น จากพน้ื ที่ ขาดแคลนเพอื่ รบั ทุนดังกล่าว และกำ� หนดขอ้ ผูกพัน ให้กลบั ไปปฏิบตั ิงานในพน้ื ท่ที กี่ �ำหนด อยา่ งเป็นธรรม (Local Recruitment and Hometown Placement) (Srisuphan & Sawangdee, 2012)

นโยบายการบริหารกบั การขาดแคลนพยาบาลวิชาชพี 257 นพวรรณ ใจคง และคณะ 4. ก�ำหนดให้มีการผลิตผู้ช่วยพยาบาลเพ่ือลดภาระงานท่ีไม่จ�ำเป็น มีการปฏิรูประบบการ จ้างงานพยาบาลวิชาชีพ โดยคำ� นงึ ถึงความเปน็ ธรรมในการจ้างงาน และประสทิ ธภิ าพในการกระจาย ก�ำลังคน มีการจ้างงานรูปแบบใหม่ในบางพื้นท่ี เป็นการกระจายพยาบาลลงไปในพื้นท่ีทุรกันดารได้ (Saikia, 2018) 5. วชิ าชพี พยาบาลตอ้ งมสี ว่ นรว่ มตงั้ แตก่ ารกำ� หนดนโยบาย สภาการพยาบาล กองการพยาบาล จะต้องประสานกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องและเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคล่ือนด้านอัตราก�ำลังคน ทางการพยาบาล เพมิ่ ขดี ความสามารถของพยาบาลใหม้ คี วามรทู้ กั ษะ และความสามารถเพยี งพอทจ่ี ะ ตอบสนองความต้องการ ให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางการแพทย์ ขยายโอกาสในการให้บริการ ใกลบ้ า้ นทมี่ คี ณุ ภาพ และการเปน็ Medical Hub of Asia สามารถแขง่ ขนั ไดใ้ นระดบั สากล (Srisuphan & Sawangdee, 2012) 6. ปรับปรุงส่ิงแวดล้อมที่เอ้ือต่อการท�ำงาน สร้างขวัญก�ำลังใจเพิ่มค่าตอบแทนและลดความ เหลอื่ มล้�ำปรบั เปลย่ี นโครงสรา้ งค่าตอบแทนพเิ ศษตา่ ง ๆ ปรับปรงุ ระบบค่าตอบแทนท่เี ปน็ ธรรม เพอ่ื สร้างแรงจงู ใจในการทำ� งานทง้ั คา่ ตอบแทนใน ลักษณะ Hardship Allowance สำ� หรบั การปฏบิ ตั งิ าน ในชนบท พน้ื ทห่ี า่ งไกล หรอื มคี วามเสยี่ งทง้ั ในเชงิ พน้ื ท่ี และลกั ษณะงานทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ และ ความปลอดภัย (Srisuphan & Sawangdee, 2012) ข้อเสนอแนะการวจิ ัย ข้อเสนอแนะเพ่ือเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ ควรมีการ วิเคราะห์ข้อมลู อย่างรอบดา้ น โดยการให้ความส�ำคัญต้งั แตน่ โยบายไปจนถงึ การประเมนิ นโยบายจาก ผู้ท่ีเกี่ยวข้องท่ีมีความรู้ มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน การท�ำงานเป็นทีม จะเช่ือมโยงไปยังนโยบาย เครอื ข่ายท้งั หมด ทำ� ใหเ้ ปน็ นโยบายทีส่ ามารถแก้ปญั หาไดค้ รอบคลุม ดังนี้ 1. ควรมกี ารจดั ตง้ั คณะกรรมการพฒั นาบคุ ลากรดา้ นพยาบาลวชิ าชพี เพอ่ื เปน็ ศนู ยก์ ลางในการ ประสานความร่วม ระหวา่ งผู้ใช้และผูผ้ ลิต ร่วมถงึ พยาบาลวชิ าชีพ เพอื่ ศกึ ษาขอ้ มูลเชงิ ลกึ ดา้ นอุปสงค์ และอปุ ทานและการกระจายตวั ของพยาบาลวชิ าชพี โดยพฒั นาเครอ่ื งมอื ระบบสารสนเทศการคาดการณ์ เพื่อการคาดการณ์ความต้องการอัตราก�ำลังพยาบาลวิชาชีพเป็นไปอย่างถูกต้องหรือใกล้เคียงกับ ความต้องการจริงในแต่ละพื้นท่ีเพื่อน�ำมาวางแผนก�ำลังพยาบาลวิชาชีพ ให้สอดรับกับการออกแบบ ระบบสุขภาพ 2. ควรให้ความส�ำคัญกับกระบวนการการวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาและผลกระทบของนโยบาย อย่างรอบ ต้ังแต่การก่อรูปนโยบายไปจนถึงการประเมินนโยบายจากผู้ท่ีเกี่ยวข้องที่มีความรู้ มีความ เช่ียวชาญในแต่ละด้านด�ำเนินการวิเคราะห์ มีการท�ำงานเป็นทีม จะเชื่อมโยงไปยังนโยบายเครือข่าย ท้งั หมด 3. ควรกำ� หนดรปู แบบระบบบรกิ ารสาธารณสขุ ทส่ี อดคลอ้ งกบั บรบิ ทของพนื้ ท่ี แลว้ จงึ บรหิ าร จดั การบรรจพุ ยาบาลวชิ าชพี ใหเ้ หมาะสมกบั ภาระงาน ซงึ่ จะตอ้ งกำ� หนดนโยบายและมาตรการทช่ี ดั เจน

วารสารหาดใหญ่วชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 258 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 เก่ียวกับการกระจายตัวของพยาบาลวิชาชีพ ใช้มาตรฐานความต้องการด้านสุขภาพของแต่ละพื้นที่ เป็นตัวก�ำหนด อีกท้ังพัฒนารูปแบบการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ระหว่างรัฐและเอกชนท้ังส่งเสริมและ สนบั สนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ในการบริหารจดั การกำ� ลงั คน ตัง้ แต่การวางแผนความต้องการ การมีส่วนร่วมในการผลิตและการรับเข้าปฏิบัติงานภายหลังจบการศึกษา โดยให้สอดคล้องกับความ ตอ้ งการดา้ นสขุ ภาพของพนื้ ที่ 4. ควรมีการทบทวนนโยบาย ด้านสวัสดิการของพยาบาลที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน ตาม แนวคดิ Herzberg (1959) เชน่ การเพมิ่ ตำ� แหนง่ บรรจขุ า้ ราชการใหก้ บั พยาบาลวชิ าชพี การรกั ษาหรอื เยยี วยาการเจบ็ ปว่ ยจากการทำ� งาน เพอ่ื เพยี งพอตอ่ การใหบ้ รกิ ารในโรงพยาบาล สง่ เสรมิ ใหม้ พี ยาบาล ปฏิบตั งิ านมากข้นึ และอยู่ในระบบไดน้ านขึ้น กิตตกิ รรมประกาศ ขอขอบคุณทุกท่านท่ีให้สัมภาษณ์และตอบแบบสอบถาม รวมถึงผู้ท่ีเกี่ยวข้องทุกท่านท่ีไม่ได้ กลา่ วนามไวใ้ นทนี่ ท้ี กี่ รณุ าสละเวลาเออ้ื เฟอ้ื ขอ้ มลู และใหค้ วามรว่ มมอื ในดา้ นตา่ ง ๆ ทม่ี สี ว่ นชว่ ยใหก้ าร ท�ำดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้ให้ส�ำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างย่ิง จึงขอกราบขอบพระคุณ เป็นอย่างสูง ณ โอกาสนี้ เอกสารอา้ งองิ Chindawattana, A. (2013). Creating public policy for participatory health: A new dimension of health promotion (5th ed.). Bangkok: Phim Dee. [in Thai] Fujita, N., Zwi, A. B., Nagai, M., & Akashi, H. (2011). A comprehensive framework for human resources for health system development in fragile and post-conflict states. PLoS Medicine, 8(12), 1-7. Retrieved from https://bit.ly/3cCqvGc Herzberg, F., Mausner, B., & Snyderman, B. B. (1959). The motivation to work. New York: John Wiley & Sons. Jeungsathiensup, K., Wattananamkun, W., Phadungtot, C. H., Rattanamongkolkul S., & Sirisathitkun, M. (2015). Health reform, Democratic reform: Public policy, Participation and deliberative democracy. Bangkok: Deewan. [in Thai] Kantha, A. (2014). Impact and solution of nursing labor shortage in Thailand. .Journal of Nursing Science, 32(1), 81-90. [in Thai] Kaplan, R. S., & Norton, D. P. (2005). The balanced scorecard-measures that drive performance. Harvard Business Review, 83(7), 172-182. Kingdon, J. W. (1995). Agendas, alternatives, and public policies (2nd ed.). New York: Harper Collins. Kunaviktikul, W., Chitpakdee, B., Srisuphan, W., & Bossert, T. (2014). Preferred choice of work setting among nurses in Thailand: A discrete choice experiment. Nursing & Health Sciences, 17(1), 126-133.

นโยบายการบรหิ ารกบั การขาดแคลนพยาบาลวชิ าชีพ 259 นพวรรณ ใจคง และคณะ Marć, M., Bartosiewicz, A., Burzyńska, J., Chmiel, Z., & Januszewicz, P. (2018). A nursing shortage-a prospect of global and local policies. International Nursing Review, 66(1), 9-16. Nallaperuma, D., & De Silva, D. (2017). A participatory model for multi-document health information summarisation. Australasian Journal of Information Systems, 21, 1-15. Retrieved from https://doi.org/10.3127/ajis.v21i0.1393 Nopamornrabordi, M. /MGR Online. (2009). Crisis in nursing! Parade resigns every year 3 thousand people. New graduates flow to the private sector. Retrieved from https://mgronline.com/qol/detail/9520000005964 [in Thai] Thailand Nursing and Midwifery Council. (2009). Second national nursing and midwifery development plan (2007-2016). Bangkok: Siriyod Printing. [in Thai] Office of the Civil Service Commission (OCSC). (2017). Thai bureaucracy in the context of Thailand 4.0. Retrieved from https://bit.ly/39wxxu8 [in Thai] Saikia, D. (2018). Nursing shortages in the rural public health sector of India. Journal of Population and Social Studies, 26(2), 101-118. Sawangdee, K. (2008). The current nursing workforce situation in Thailand. Journal of Health System Research, 2(1), 40-46. [in Thai] Sawangdee, K., Theerawanwiwat, D., Lorjirachunkun, W., & Jitrawech, J. (2009). Professional working schedule of professional nurses in Thailand. Journal of Demography, 1(1), 73-93. [in Thai] Srisuphan, W., & Sawangdee, K. (2012). Policy recommendations for solving the shortage of professional nurses in Thailand. Journal of the Nursing Council, 27(1), 5-12. [in Thai] The Secretariat of The House of Representatives. (2014). Reform issues of Thailand in local administration. Bangkok: The Secretariat of The House of Representatives. [in Thai] Watthanasiritham, P., & Petchmak, P. (2008). Social administration science of the century for Thai and world society. Bangkok: Community Organization Development Institute. [in Thai] Wongwichai, C. H. (2016). Health manpower as labor: Problems and solutions of the Thai health system. Retrieved from https://www.hfocus.org/ content/2016/04/12004#_ftn4 [in Thai] Yin, R. (1994). Case study research: Design and methods (2nd ed.). Beverly Hills, CA: Sage.



บทควา มวิจยั การศึกษาอิทธิพลของตัวแปรส่งผ่านของการยอมรับระบบอีอาร์พีต่อความ สมั พันธร์ ะหว่างบริบททางเทคโนโลยแี ละผลการด�ำเนนิ งานขององค์กร PAbeeSrttfwuodremyeanonfcTMeeecdhiantoinlgoEgfifceacltsCoofnEtRePxAtdaonpdtionthoen OthregaRneliaztaiotinosnhaipl จนั จริ า ดเี ลศิ 1*, ณัทณรงค์ จตุรัส1, และ ชนงกรณ์ กุณฑลบตุ ร1 Janjira Deelert1*, Natnarong Jaturat1, and Chanongkorn Kuntonbutr1 Abstract The purpose of this study was to observe the mediating role of ERP adoption on the relationship between two latent variables, technological context, and organizational performance. The study compared the models with and without the presence of the mediator, emphasizing on the empirical data collected from 285 manufacturing industries in Thailand. The results suggested that ERP adoption had mediated the relationship between technological context and organizational performance with a positive impact on organizational performance. The research implied that ERP adoption had a crucial role in organizational performance. Keywords: Technological Context, ERP Adoption, Organizational Performance 1คณะบริหารธรุ กจิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี อ.ธญั บุรี จ.ปทุมธานี 12110 1Faculty of Business Administration, Rajamangala University of Technology Thanyaburi. Thanyaburi District, Pathum Thani Province 12110 *ผู้ให้การตดิ ต่อ (Corresponding e-mail: [email protected]) รับบทความวันท่ี 7 กมุ ภาพันธ์ 2563 แกไ้ ขวันท่ี 13 เมษายน 2563 รบั ลงตีพิมพ์วันท่ี 16 เมษายน 2563 Hatyai Academic Journal 18(2): 261-273

วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 262 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 บทคดั ยอ่ การศึกษาคร้งั นีม้ ีวัตถุประสงคเ์ พื่อศึกษาบทบาทของตัวแปรส่งผ่านของการยอมรับระบบ อีอาร์พีระหวา่ งตัวแปรแฝงสองตัว ได้แก่ บริบททางเทคโนโลยีและผลการด�ำเนินงานขององค์กร การศึกษามุ่งเน้นการวิเคราะห์อิทธิพลของตัวแปรส่งผ่านของการยอมรับระบบอีอาร์พีผ่านการ เปรยี บเทยี บแบบจำ� ลองทมี่ แี ละไมม่ ตี วั แปรสง่ ผา่ น โดยเนน้ การศกึ ษาเชงิ ประจกั ษจ์ ากขอ้ มลู ทเี่ กบ็ รวบรวมจากอตุ สาหกรรมการผลติ ในประเทศไทย จำ� นวนทงั้ สน้ิ 285 บรษิ ทั ผลการศกึ ษาแสดงให้ เห็นว่าการยอมรับระบบอีอาร์พีเป็นตัวแปรส่งผ่านท่ีมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบริบททาง เทคโนโลยกี บั ผลการดำ� เนนิ งานขององคก์ ร โดยสง่ ผลกระทบในทางบวกตอ่ ผลการดำ� เนนิ งานของ องคก์ ร การวจิ ยั นแี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ การยอมรบั ระบบออี ารพ์ มี บี ทบาทสำ� คญั ตอ่ ผลการดำ� เนนิ งานของ บริษทั ค�ำส�ำคญั : บรบิ ททางเทคโนโลยี การยอมรับระบบอีอาร์พี ผลการดำ� เนินงานขององค์กร Introduction The competition with the business world is always a match. When running a business, it is essential to accept that the competition is increasing daily along with fast moving changes. But if the organization has the tools to help smooth and exact operations, it will give the organization a competitive advantage in the field. Helpful tools to assist in this endeavor are inevitably information systems. They can help to establish goals, strategize, and operationally plan as Melville, Kraemer, and Gurbaxani (2004) stated that business conducting at recent shall rely on technology in order to compete and stay survival. Since information systems are systematically gathered and managed, this allows for continual history of information and can indicate operational tendencies that decide whether things should head in a particular direction. In addition, information systems help users analyze problems or obstacles to finding approaches to control, improve and resolve problems. Information from the processing would help management analyze how the implementation in each choice would help fix or control the problem, and help make decisions regarding what businesses should do to adjust or develop the operation according to the work plan or goals. Information systems also help reduce costs for the organization. An efficient information system can help reduce business time, labor and costs of operation. It could add more efficiency and increase potential in business competition. Enterprise Resource Planning (ERP) systems are accepted by large and medium- sized organizations around the world (Liang, Saraf, Hu, & Xue, 2007). An ERP system is the software kit mixed between any business processing activity such as production, financial, sales, supply chain, customer service, budget arrangement, and human

การยอมรับระบบอีอารพ์ ีต่อความสัมพันธ์ระหวา่ งบริบททางเทคโนโลยี 263 จนั จิรา ดีเลิศ และคณะ resources (Amalnick, Ansarinejad, Nargesi, & Taheri, 2011). In the past few years, the ERP system has become the global tendency for organizations that are making huge investments (Nandi & Kumar, 2016). However, if there is no efficient system used, the expected benefits for better production and competitive advantage will not happen (Addo-Tenkorang & Helo, 2011). The ERP system is the integrative software with high flexibility and efficiency and is accepted globally. Although the ERP system has received widespread attention but there are still failures from the investment in ERP systems that occur in many organizations such as 95% of companies failing to provide a budget of less than 10% of the total budget (preparing only the budget for buying ERP but lacking the budget to use for education, training, and change management), 90% failed to deliver measurable ROI, this measure is essentially a direct failure of effective expectations management, and 80% of customers are not satisfied with the current ERP system, which is mainly caused by poor overall strategic planning, malformed requirements, wrong budgets, poor training programs, and even general problems with the ERP platform (Carlton, 2017). From the failure of ERP, it is found that the organization had to plan and prepare carefully before implementing the ERP system within the organization. The organization must have careful planning and preparation before implementing an ERP system, with consideration of technology factors which must be studied in terms of what technologies are currently relevant and can be used to help increase the efficiency of the organization’s operations. This must be based on technological readiness of the organization as well. Due to the failure of investment in the ERP system the researcher has conducted the research to help reduce the risk of failure to invest in the ERP system in return which will increase the chances of success in investing in the ERP system as well as help the organization’s performance improve. The motivation in this study is to test the impacts from a technological context via mediation of ERP adoption and the impact on the organizational performance. Research Objectives To evaluate the mediating effect of ERP adoption on the relationship between technological context and organizational performance. Theory A. Technological Context Technological context is one component of the TOE framework. TOE Framework is the organization level theory that explained on the three different components of the firm with the influence toward acceptance decision. All the three components are the technological context, organizational context and environmental context (Tornatzky, Fleischer, & Chakrabarti, 1990). Technological context refers to all the information

วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 264 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 technology related to the company, either those existing in the company or technologies in the market that have not been adopted for current use. Innovation dominated industries lead to increases though with changes but they would help measure acceptance. On the contrary, an innovation dominated industry that leads toward non-continual changes requires a company to quickly process and makes quick decisions on acceptance and add competitive potential. When evaluating technologies that create non-continual changes, the company will consider whether they increase or disrupt competence (Tushman & Anderson, 1986). The technology contained in the company is important in the acceptance process because they set a wide scope and pace of technological change that the company can make (Collins, Hage, & Hull, 1988). Innovation promotes the potential to help the company change toward expertise; however, destroying innovation can outdate existing technologies. Determining which technologies are available (Pan & Jang, 2008), IT capability levels (Schniederjans & Yadav, 2013), and compatibility (Xu, Ou, & Fan, 2017) were important indicators of the technological context leading to the ERP adoption in the study on technological context with an influence on the use of ERP consisting of technology readiness, IT capability level, and compatibility. B. ERP Adoption ERP adoption refers to the company deciding to implement the ERP system. The economic reason for the decision to use ERP is up to the perspective of resource use (Barney, 1991). A company that can develop and keep a competitive advantage by taking the benefits and developing the resources such as capacity, assets, knowledge, and ability are valuable and hard to copy (Mata, Fuerst, & Barney, 1995). ERP has the new ability that any organization can take the benefits and keep a competitive advantage (Parker & Castleman, 2009). The study on ERP acceptance is important to help alleviate the problem that a company has not selected the right choice for the acceptance process (Markus & Tanis, 2000). Furthermore, it is the accepting process required by the company to ensure that ERP system is suited to the business and needs of information. The implementation of the ERP system affects the organization’s ability and competitive advantage (Le & Han, 2016). The ERP system has a positive relationship with the competitive advantage and has a positive impact on the firm’s performance (Handoko, Aryanto, & So, 2015). In addition, the Kharuddin, Foong, and Senik (2015), found that ERP adoption extensiveness is highly correlated with organizational efficiency and supports the mediation role of system implementation and user satisfaction. The organization must understand how to use the system by considering from the user’s perspective in order to prepare employees to face new challenges and learn how to leverage technology for tangible benefits. Therefore, the organization gives importance

การยอมรับระบบอีอารพ์ ตี ่อความสัมพนั ธร์ ะหว่างบรบิ ททางเทคโนโลยี 265 จันจิรา ดีเลิศ และคณะ to the following issues: the importance of implementing the ERP system and the benefits it receives from the ERP system, planning to use the ERP system and preparing budgets for investments in the ERP system, and trends and readiness in using ERP systems of employees. C. Organizational Performance Performance is a matter of using factors and processes in the operation with the output received as the indicator. The performance of any operation may be shown as a comparison between investment costs and profits received. If the profits are higher than the cost, it is indicative of efficient operations. Efficiency may not be expressed in numerical values ​b​ ut is recorded by saving money, materials, people, and working time in a cost-effective, economical way, including the use of strategies or techniques and appropriate practices that can lead to quality results. Gavrea, Ilies, and Stegerean (2011), gave the concept and definition for the company performance at that time, the efficiency assess m ent during the 1950s emphasized work, personnel, and organizational structure; thus, efficiency was seen as the social system to achieve the organizational objectives in the 1960s and 1970s, and efficiency was set to be the ability to take benefits from the environment from scarce resources. Efficiency during the 1980s and 1990s had a more complicated method with efficiency and effectiveness as the organization’ s success in achieving the goal (effectiveness) by using fewer resources (efficiency). Lin and Huang (2011) pointed out that performance is not only related to past successes but also expands to the ability to achieve future goals. Kitrangsikul and Kuntonbutr, (2017) defined the idea related to the efficiency of the company which was the effectiveness assessment in various business organization variables and divided into financial and non-financial index measurements. Financial efficiency is according to the following criteria: return of the investment, growth of sale rate, and income. Clearly, ERP adoption was an important part in the competitive advantage and has a positive impact on the efficiency of the organization. The technological context was an important factor in accepting the ERP system for this study, identifying the importance of the ERP adoption and the role of mediation. The research question for this study was “does ERP adoption mediate the relationship between technological context and organizational performance?” Therefore, the following research hypotheses are used to model relationships.

วารสารหาดใหญว่ ิชาการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 266 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 D. RESEARCH FRAMEWORK AND HYPOTHESIS Fig. 1 Research Framework H1: There is di.s.6i8r23.e846i0cn9tdrierleactitonreshlaiptiboentHsw1h=eipe.1n59bteecthwneoelnoRg2 it=cea.2cl9hconnot.l9eo.77x3g5t3icanadl organizational performance. context and H2: There organizational performance through ERP aRd2 o= p.2t9ion. H3: ERP adoptionH2m= e.5d36i*a*t*es relationship betweHe3n= .4te37c*h**nological context and organizational performance. Research Methodology .811 .932 .897 A. Population and Sampling CEOs and top managers were the respondents for this study. The study focused on the manufacturing industry, divided into 20 groups, and the data of the manufacturing organizations totaling 6,056 registered as the target population. The sample size calculated for this study included 285 subjects from the manufacturing industry in Thailand. The sample size was calculated according to the rule of structural equation model (Bentler & Chou, 1987) which considers the number of free parameters as a rule of thumb used to the determine the sample size for research studies that use SEM, the ratio of the sample size to number of free parameters of 10:1. Distribution of sampling from each manufacturing industry is on weighted proportional basis. B. Data Collection The data of the industrial companies were obtained from the database from of Department of Business Development. The CEO or top managers were the target informants. The mail survey methodology was implemented and compiled using a combination method that respondents had the option of returning questionnaires through prepaid mail, fax, or online. The final respondents included 285 (246 companies through prepaid mail, 1 company by fax, and 38 companies through the web) from

การยอมรับระบบอีอาร์พีตอ่ ความสัมพันธร์ ะหว่างบริบททางเทคโนโลยี 267 จนั จริ า ดเี ลศิ และคณะ 1,800 companies mailed, thus the response rate is 15.83 percent. The principal informant was required to have knowledge of the issues being studied and was willing and able to communicate this information. The data collection period was August 1, 2019 to August 31, 2019. C. Latent Variables and Observed Variables This study used a Likert scale ranging from 1 to 7, with 1 being “strongly disagree” and 7 as “strongly agree”. The technological context latent variable comprised technology readiness, IT capability level, and compatibility as to measure the technological context of the company. The ERP adoption latent variable comprised acceptance, intention to use, and usage as to measure the acceptance of the ERP system for use in the company. The organizational performance latent variable comprised profitability and market share as to measure firm’s efficiency and effectiveness on achieving the predetermined objectives. The sources of variables in this study are shown in table I. Table I. The sources of variable Latent Variables Observed Variables References Measurement Technological Technology readiness Pan and Jang, 2008 Likert scale context IT capability level Schniederjans and Yadav, 2013 Likert scale Compatibility Xu, Ou, and Fan, 2017 Likert scale ERP adoption Acceptance Kharuddin et al., 2015 Likert scale Intention to use Kharuddin et al., 2015 Likert scale Usage Kharuddin et al., 2015 Likert scale Organizational Profitability Kitrangsikul and Kuntonbutr, 2017 Likert scale performance Market share Kitrangsikul and Kuntonbutr, 2017 Likert scale D. Reliability and Validity The questionnaires were reviewed and evaluated by 6 experts in the field for accuracy of the measurement content and used the Index of Item-Objective Congruence (IOC) method. The test of reliability used Cronbach’s alpha. The scores were higher or equal to 0.7, which means the answer has conformity (George & Mallery, 2003). Multi- collinearity testing for unrelated relationships between variables via the Variance Instruction Factor (VIF) with values between 1.360 - 2.066 indicated that there was no multicollinearity between variables.

วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 268 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 E. Convergent Validity and Discriminant Validity Verification of convergence validity with Confirm Factor Analysis (CFA) was tested prior to the evaluation with SEM. Vanichbuncha (2000) proposed that the model can be considered if the factor loading values are greater than 0.6 and the AVE is greater than 0.5. For this study, the factor loading values ranged from 0.624 to 0.973 while the squared correlation values ranged from 0.389 to 0.947 The evaluation of discriminate validity was done by Average Variance Extracted (AVE) value and squared correlation between variables (Hair, Anderson, Babin, & Black 2010). The value of the square root AVE should be greater than squared correlation value as to be valid (Fornell & Larcker, 1981). The results shown in Table II indicate that the all values were supported. The correct classification of AVE values from each latent variable is greater than the relevant correlations. Table II. Reliability, convergent validity and discriminate validity Constructs Items Factor Cronbach’s CR AVE Technological Loadings Alpha 0.804 0.581 Context Technology readiness 0.912 0.777 ERP Adoption IT capability level 0.809 0.801 Compatibility 0.836 0.860 0.757 Organizational Acceptance 0.624 Performance Intention to use 0.811 0.953 Usage 0.932 Profitability 0.897 Market share 0.973 0.921 0.753 F. Measurement of Model Fit The model used in the study is a good model. The results from the measurement model show the Chi-Squared fit index obtained from the Chi-Square/degrees of freedom is 1.374, the Goodness of Fit (GFI) value is .985, the adjusted Goodness of Fit (AGFI) value is .957, the Value of Root Means Square Error of Approximation (RMSEA) is .036, the Normed Fit Index (NFI) value is .987 and the Comparative Fit Index (CFI) value is .996. All of the above information illustrates an acceptable model for this study (Byrne, 1994). The results from the measurement model show in table III.

การยอมรบั ระบบออี ารพ์ ตี ่อความสมั พันธร์ ะหว่างบรบิ ททางเทคโนโลยี 269 จันจิรา ดีเลิศ และคณะ Table III. Assessing the model fit indicators Chi-square/Degree of freedom (CMIN/df) 1.374 Goodness of Fit Index (GFI) .985 Adjusted Goodness of Fit Index (AGFI) .957 The Root Mean Square Error of Approximation (RMSEA) .036 Normed Fit Index (NFI) .987 Comparative Fit Index (CFI) .996 The Analysis of Structural Equation Model The hypothesis of this study was tested by Structural Equation Models (SEM) (Moohebat, Jazi, & Asemi, 2011). To determine the presence of mediating the effect, the path coefficient was compared between the model with and without the mediating variable, which was ERP adoption in this study. The hypotheses set forth that H1 did not support that there was no direct relationship between technological context and organizational performance at .159 (p>0.001); H2 supported that there was an indirect relationship between technological context and organizational performance through ERP adoption at .536 (p ≤ 0.001); and H3 supported that ERP adoption mediated the relationship between technological context and organizational performance as the path coefficient between technological context and organizational performance at .437 (p ≤ 0.001). R2 = .29 .809 .836 H1 = .159 .973 .753 .624 H2 = .536*** R2 = .29 H3 = .437*** .811 .932 .897 Fig. 2 Research Model Results The model has reasonable predictive capability as 29 percent of ERP adoption variance and 29 percent of organizational performance variance.

วารสารหาดใหญว่ ชิ าการ 18(2) ก.ค. - ธ.ค. 2563 270 Hatyai Academic Journal 18(2) Jul - Dec 2020 The result standardized direct effect, indirect effect, and total effect show in table IV. Table IV. Standardized direct effect, indirect effect, and total effect Direct Effect Indirect Effect Total Effect TECC ERPA ORGP TECC ERPA ORGP TECC ERPA ORGP ERPA .536 .536 ORGP .159 .437 .234 .393 .437 Discussion and Conclusions This article provides information about the technological context factors that are one of the three factors in the TOE framework. An important finding is that technological context factors that include technology readiness, IT capability level, and compatibility affect the ERP adoption of the organization that will be a channel to the results of the organizational performance. The results supported that ERP adoption exhibited an important role in enhancing technological context to achieve superior performance of the organization. The result of the research shows that the ERP adoption is the mediator between technological context and organizational performance; this supports previous studies that ERP adoption is highly correlated with organizational performance (Kharuddin et al., 2015). The results also confirm the work of Handoko et al. (2015) that the ERP system has a positive impact on the firm performance, and Gupta, Qian, Bhushan, and Luo (2018) indicated that ERP which is positively related to firm performance. As for the text of the mediating effect, the path coefficient should ideally get smaller with the mediator being added into the model (Preacher & Hayes, 2008). The comparison of the path coefficients with and without the presence of ERP adoption showed that technological context direct effect to organizational performance at .159, indirect effect at .234 and total effect at .393. This shows that although the organization is strong in the technology context, a lack of ERP adoption cannot result in organizational performance. Finally found that the implementation of the ERP system within the organization, which the organization must pay attention to the benefits of the ERP system, planning and preparing budgets for investment in the ERP system. As well as giving importance to trends and readiness in using ERP systems of employees resulting in the operation of the organization to be more efficient. The organization must also be based on technology readiness, IT capability level, and compatibility of ERP systems and legacy systems.