ISSN: 2630-0478 INTERDISCIPLINARY SOCIAL SCIENCES AND COMMUNICATION JOURNAL สวารสหาร วิทยาการสังคมศาสตร และการสือ่ สาร ปท ่ี 4 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม - สิงหาคม 2564)
วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตรแ์ ละการส่ือสาร INTERDISCIPLINARY SOCIAL SCIENCES AND COMMUNICATION JOURNAL ปที ่ี 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 ISSN : 2630 - 0478 เจา้ ของ คณะนเิ ทศศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏร�ำไพพรรณี 41 หมูท่ ่ี 5 ถนนรักศักด์ชิ มลู ต�ำบลทา่ ชา้ ง อำ� เภอเมอื ง จังหวดั จนั ทบรุ ี 22000 วัตถปุ ระสงค์ เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปแบบบทความวิจัย บทความ วิชาการของคณาจารย์ นักศึกษา ในระดับ บัณฑิตศึกษาตลอดจนนักวิชาการทั่วไปในสาขาวิชา สังคมศาสตร์สาขาวิชาครุศาสตร์สาขาวิชาบริหารการศึกษา สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวชิ า มนษุ ยศาสตรส์ าขาวชิ านติ ิศาสตรส์ าขาวิชาการจัดการ สาขาวชิ าการตลาด สาขาวชิ าบญั ชี สาขาวชิ าการบรหิ ารธรุ กจิ สาขาวิชา รฐั ศาสตรส์ าขาวชิ ารัฐประศาสนศาสตรส์ าขาวชิ า เศรษฐศาสตรก์ ารเมือง สาขาวชิ าการทอ่ งเทย่ี ว และการโรงแรม สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร์ สาขาวิชาตํารวจศาสตร์ และสาขาวิชาวฒั นธรรมศกึ ษา ทป่ี รกึ ษา ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ไวกณู ฑ์ ทองอร่าม รักษาราชการแทนอธิการบดี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ร�ำไพพรรณี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จ�ำเรญิ คงั คะศร ี คณบดคี ณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั รำ� ไพพรรณี บรรณาธิการ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏรำ� ไพพรรณี อาจารย์ ดร.สันดสุ ิทธ์ิ บรวิ งษ์ตระกูล มหาวิทยาลัยราชภฏั ร�ำไพพรรณี มหาวิทยาลยั ราชภัฏรำ� ไพพรรณี ผู้ชว่ ยบรรณาธกิ าร มหาวิทยาลัยราชภฏั ร�ำไพพรรณี นางสาวรัชชนก แพทย์นมิ ติ ร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั รำ� ไพพรรณี มหาวิทยาลัยราชภัฏร�ำไพพรรณี กองบรรณาธกิ าร มหาวิทยาลยั ราชภฏั รำ� ไพพรรณี รองศาสตราจารยอ์ ภวิ รรณ ศริ นิ นั ทนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร�ำไพพรรณี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.บวรสรรค์ เจย่ี ด�ำรง มหาวิทยาลยั ราชภฏั รำ� ไพพรรณี ผู้ช่วยศาสตราจารยเ์ สาวนีย์ วรรณประภา ส�ำนกั วิจยั มหาวทิ ยาลยั เกษมบัณฑติ ผู้ชว่ ยศาสตราจารยว์ ิฆเนศวร ทะกอง มหาวิทยาลยั เกษมบณั ฑิต ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์พรพมิ ล สงกระสนั ต ์ มหาวิทยาลยั เกริก อาจารย์สมพงษ์ เส้งมณยี ์ มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง อาจารยเ์ หมอื นฝนั คงสมแสวง มหาวทิ ยาลัยกรุงเทพธนบรุ ี อาจารยท์ ิพนาถ ชารรี ักษ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ รองศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพล ขันธไชย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย รองศาสตราจารย์ ดร.เพญ็ ประภา ภทั รานุกรม มหาวิทยาลยั ศรปี ทมุ รองศาสตราจารย์ ดร.สมพล ท่งุ หวา้ รองศาสตราจารย์ ดร.สกุ ญั ญา บรู ณเดชาชัย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จรรยา เหลียวตระกลู ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จิราพร ขุนศรี ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ฐติ าภรณ์ สินจรญู ศกั ด ิ์
ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ทรงยศ บัวเผ่ือน มหาวทิ ยาลยั บรู พา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นาถรพี ชัยมงคล มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พิทักษศ์ ักด์ิ ทศิ าภาคย ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สนั ตกิ ร ภมรปฐมกลุ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี นาวาอากาศเอก ดร.อัมพร เพ็ชราช วิทยาลยั การทัพอากาศ อาจารย์ ดร.กฤษณะ เช้อื ชัยนาท มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสนุ ันทา อาจารย์ ดร.กฤษดา เชยี รวฒั นสุข มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี อาจารย์ ดร.กงั วาฬ ฟองแก้ว มหาวทิ ยาลยั บรู พา อาจารย์ ดร.จ�ำเนยี ร ชุณหโสภาค มหาวทิ ยาลยั รามคำ� แหง อาจารย์ ดร.ดษุ ฎี นลิ ด�ำ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสนุ ันทา อาจารย์ ดร.วรวิทย์ พัฒนาอิทธกิ ุล มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์ อาจารย์ ดร.วิศิษฐ์ ฤทธิบญุ ไชย มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครปฐม ดร.มนสั นันท์ พจนจ์ ิรานุกูล นกั วิชาการอิสระด้านนิเทศศาสตร์ นาวาอากาศเอกสาธติ ชวี างกูล วิทยาลัยการทัพอากาศ พนั ต�ำรวจเอก กฤตธัช ชนะสิทธ ์ิ ตำ� รวจภูธรจังหวัดลพบุรี ผูท้ รงคณุ วุฒปิ ระเมินบทความ (Peer Review) ประจำ� ฉบบั (ปที ่ี 4 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564) รองศาสตราจารย์ ดร.สกนธ์ ภงู่ ามด ี มหาวิทยาลยั ศรปี ทุม รองศาสตราจารย์ ดร.เยาวนารถ พันธเุ พ็ง มหาวทิ ยาลัยศรีปทุม รองศาสตราจารย์ ดร.ภาณมุ าศ ขัดเงางาม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.บวรสรรค ์ เจีย่ ด�ำรง มหาวทิ ยาลัยราชภัฏร�ำไพพรรณี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ฐติ ินนั บญุ ภาพ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.จักรพงษ์ แพทยห์ ลักฟ้า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธิชยั นรากรณ ์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ว่าที่เรือตรี ดร.อุทศิ บำ� รงุ ชีพ มหาวทิ ยาลยั บรู พา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์เบญจพร ประจง มหาวทิ ยาลัยราชภัฏร�ำไพพรรณี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภารด ี พึง่ ส�ำราญ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ร�ำไพพรรณี ผชู้ ่วยศาสตราจารย์กิตตพิ งศ์ กมลธรรมวงศ ์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์พรพิมล สงกระสนั มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ร�ำไพพรรณี ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ศตวรรษ ทพิ โสต มหาวิทยาลยั ราชภัฏรำ� ไพพรรณี อาจารย์ ดร.ธีร์ คนั โททอง มหาวิทยาลัยเนช่นั อาจารย์ ดร.ภานนท์ ค้มุ สุภา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครปฐม อาจารย์ ดร.นสิ ากร ยินดีจนั ทร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏรำ� ไพพรรณี อาจารย์ ดร.พศิ ษิ ฐ์ ชำ� นาญนา มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา อาจารย์ ดร.บญั ยง พูลทรพั ย์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนสุนันทา ดร.พนิดา ภงู่ ามดี นักวิชาการอิสระ ดร.สขิ เรศ ศริ กานต์ นักวชิ าการอสิ ระ ดร.สุวรรณา เขียวภกั ดี นกั วิชาการอสิ ระ ดร.สตั กร วงศส์ งคราม นกั วชิ าการอสิ ระ รายชือ่ ผูพ้ ิจารณาตรวจสอบภาษาอังกฤษ อาจารย์องั ศุมาริน สชุ ัยรัตนโชค มหาวิทยาลัยราชภฏั รำ� ไพพรรณี Dr.Adi Shaked มหาวิทยาลัยราชภัฏรำ� ไพพรรณี
เจ้าหน้าทีป่ ระจ�ำกองบรรณาธกิ าร นางสาวพมิ นภัทร์ เมธาชัยศษิ ย์ ออกแบบปก อาจารยส์ มพงษ์ เสง้ มณยี ์ จัดหนา้ นายณจักร วงษย์ มิ้ วาระการตพี มิ พ์ ปลี ะ 3 ฉบับ ฉบบั ท่ี 1 มกราคม - เมษายน ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม ฉบับที่ 3 กันยายน - ธนั วาคม การจดั พมิ พ ์ จดั พมิ พ์ฉบับละ 300 เล่ม การเผยแพร์ฉบับ on-line www.tci-thaijo.org/index.php/ISSC การสง่ ต้นฉบบั อเี มล [email protected] เวบ็ ไซต www.tci-thaijo.org/index.php/ISSC โทรศพั ท ์ 099 257 9697, 081 374 3100 พิมพ์ท่ี สำ� นกั พิมพค์ ำ� นำ� บริษทั ดเี ซมเบอรี่ จำ� กัด (สำ� นกั งานใหญ)่ เลขท่ี 248/7 ซอยมติ ตคาม ถนนสามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดสุ ติ กรุงเทพ 10300 โทรศพั ท์ 02-884-5933-4 ราคา ฉบบั ละ 150 บาท ค�ำชี้แจง บทความที่จะได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสารน้ันต้องผ่านการพิจารณา ให้ความคิดเห็น รวมทั้งตรวจแก้ไขทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิซ่ึงไม่ทราบช่ือผู้นิพนธ์และผู้นิพนธ์ไม่ทราบช่ือผู้ทรงคุณวุฒิ (Double BlindPeer Review) ในสาขาวิชาทเี่ กี่ยวข้องทกี่ องบรรณาธิการวารสารฯ คัดสรรกอ่ นลงพมิ พ์อย่างน้อย 2 ทา่ น ** ข้อความ ข้อคิดเห็น หรือข้อคน้ พบ ในวารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร เปน็ ของผเู้ ขยี น ซึ่งจะตอ้ งรับผดิ ชอบตอ่ ผลทางกฎหมายใด ๆ ท่ีอาจเกดิ ขนึ้ จากบทความ และงานวิจยั นน้ั ๆ โดยมิใชค่ วามรบั ผดิ ชอบ ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏร�ำไพพรรณี **
บทบรรณาธิการ วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการส่ือสาร วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร ปีที่ 4 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม - สิงหาคม 2564) ประกอบไปดว้ ย บทความวจิ ัยจ�ำนวน 11 บทความ ซ่ึงเปน็ เร่ือง 1) คลื่น/ลม/ทะเล: จากอารมณ์ความรู้สกึ ต่อธรรมชาติสู่ผลงานจิตรกรรม 2) การพัฒนาชุดอบรมออนไลน์ เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัยส�ำหรับ กลุ่มอ�ำนวยการ โรงพยาบาลพระปกเกล้า 3) การพฒั นาเว็บไซต์แบบเรซสปอนตซ์ ฟี เพอ่ื การให้บริการดา้ นงาน โสตทัศนศึกษาส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า 4) การส่ือสารความเช่ือ ผ่านการแสดงเพลงโคราชในบริบทพิธีกรรมการแก้บน 5) จันทบุรี: จากห้วงค�ำนึงคิดถึงบ้านสู่งานจิตรกรรม บนผา้ ใบ 6) การดำ� เนนิ งานของสถานโี ทรทศั นไ์ ทยพบี เี อสในการใหบ้ รกิ ารเขา้ ถงึ เนอ้ื หาสำ� หรบั ผพู้ กิ ารทางการ มองเห็นและการได้ยิน 7) การส่ือสารแบบมีส่วนร่วมเพ่ือพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน กรณีศึกษาหมู่บ้าน เสม็ดงาม จังหวัดจันทบุรี 8)ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การส่ือสารทางการตลาดกับบุคลิกภาพตราสินค้า ของการจดั งานวงิ่ บางแสน 21 9)ความตอ้ งการศกึ ษาตอ่ ในหลกั สตู รวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าจติ วทิ ยา มหาวิทยาลยั รามคำ� แหง 10) ทิศทางวชิ าชพี แนวโนม้ และความคาดหวังในการศึกษาตอ่ หลักสตู รการโฆษณา และการประชาสมั พนั ธ์ คณะนเิ ทศศาสตร์ในยุคโลกพลกิ ผัน (Disruption Era) และ 11) ปญั หาทางกฎหมาย เกยี่ วกบั การกลน่ั แกลง้ รงั แกผา่ นสงั คมออนไลนข์ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา แตล่ ะบทความนน้ั มอี งคค์ วามรทู้ ห่ี ลากหลาย เพ่อื ให้นักวจิ ัยได้น�ำผลการวจิ ัยในฉบบั นีไ้ ปต่อยอดในอนาคตได้ กองบรรณาธิการวารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร ต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความ ทุกท่านที่ได้ส่งผลงานเข้ารับการพิจารณาเพ่ือตีพิมพ์เผยแพร่และขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้ช่วยประเมิน บทความในวารสารฉบับน้ที กุ ทา่ นไว้ ณ โอกาสน้ี (อาจารย์ ดร.สันดุสิทธิ์ บริวงษ์ตระกูล) บรรณาธิการ
สารบัญ 1 คลื่น/ลม/ทะเล: จากอารมณ์ความรู้สึกต่อธรรมชาติสู่ผลงานจิตรกรรม ................. 1 กชพรรณ ไพฑูรย์ 2 การพัฒนาชุดอบรมออนไลน์ เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการ โรงพยาบาลพระปกเกล้า ................................................... 13 ชญาภา ศุภวรวงศ์, ภูริพัฒน์ แก้วตาธนวัฒนา และ ปฏิภาณ กิตตินันทวัฒน์ 3 การพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟเพ่ือการให้บริการ ด้านงานโสตทัศนศึกษาส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษาช้ันคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า ......................................................................................... 23 ชัยวัฒน์ ตรีปักษ์, ดนัย โชติแสง และ อภิวรรณ ศิรินันทนา 4 การสื่อสารความเช่ือผ่านการแสดงเพลงโคราชในบริบท พิธีกรรมการแก้บน ................................................................................................. 35 นีรนุช กมลยะบุตร 5 จันทบุรี: จากห้วงค�ำนึงคิดถึงบ้านสู่งานจิตรกรรมบนผ้าใบ ..................................... 47 พิพัฒน์ บุญอภัย 6 การด�ำเนินงานของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสในการให้บริการ เข้าถึงเนื้อหาส�ำหรับผู้พิการทางการมองเห็นและการได้ยิน ..................................... 59 จุฬาลักษณ์ สิงหะคเชนทร์ และ มาโนช ชุ่มเมืองปัก 7 การส่ือสารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน กรณีศึกษาหมู่บ้านเสม็ดงาม จังหวัดจันทบุรี .......................................................... 69 สมพงษ์ เส้งมณีย์, วิฆเนศวร ทะกอง, เสาวนีย์ วรรณประภา, ภารดี พ่ึงส�ำราญ และ กาญจนา สมพื้น
สารบัญ สารบัญ 8 ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสื่อสารทางการตลาด กับบุคลิกภาพตราสินค้าของการจัดงานว่ิง บางแสน 21 ...................................... 80 สราลี สนธ์ิจันทร์ และ วิรัตน์ สนธ์ิจันทร์ 9 ความต้องการศึกษาต่อในหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง ........................................................ 91 อริสา ส�ำรอง, รังสิมา หอมเศรษฐี และ พีสสลัลฌ์ ธ�ำรงศ์วรกุล 10 ทิศทางวิชาชีพ แนวโน้มและความคาดหวังในการศึกษาต่อ หลักสูตรการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ในยุคโลกพลิกผัน (Disruption Era) ....................................... 103 อวยพร พานชิ , ทศั นยี ์ ดำ� เกงิ ศกั ด,์ิ นนั ธกิ าร์ จติ รงี าม, กนั ทลสั ทองบญุ มา และ สทิ ธา อปุ นกิ ขติ 11 ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการกล่ันแกล้งรังแก ผ่านสังคมออนไลน์ของนิสิตนักศึกษา .................................................................... 115 อุลิช ดษิ ฐปราณีต, ชญานาภา ลมัยวงษ์, อาทติ ยา โภคสทุ ธิ์ และ ทรงพร ประมาณ
ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 1 คลนื่ /ลม/ทะเล: จากอารมณค์ วามรสู้ ึกตอ่ ธรรมชาติสผู่ ลงานจิตรกรรม WAVE/WIND/SEA: From Emotions to Nature กชพรรณ ไพฑูรย์1 Kotchapan Paitoon Article History Received: July 8, 2020 Revised: July 20, 2020 Accepted: July 30, 2020 บทคัดยอ่ การวิจัยเร่ือง คล่ืน/ลม/ทะเล: จากอารมณ์ความรู้สึกต่อธรรมชาติสู่ผลงานจิตรกรรม เป็นการวิจัยเชิงสร้างสรรค์ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาและการแสดงออกแบบใหม่เพื่อสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมและเพ่ือศึกษา การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมท่ีได้รับแรงบันดาลใจมาจากอารมณ์ความรู้สึกต่อธรรมชาติ เป็นแนวทางการสร้างสรรค์ผลงาน จิตรกรรมชุดนี้ ธรรมชาติท่ีมีคุณค่าทางวิทยาการและสุนทรียภาพ เกี่ยวข้องเป็นสัณฐานท่ีส�ำคัญทางธรณีวิทยาและภูมิศาสตร์อันเป็น เอกลักษณ์หรือสัญลักษณ์ของท้องถิ่นนั้น ๆ มนุษย์นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ การท่ีได้เข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติจึงท�ำให้เกิด อารมณ์ความรู้สึกท่ีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกมีความสุข ผ่อนคลาย ได้ปลดปล่อยพลังงานท่ีมีอยู่ในตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับ อารมณ์ความรู้สึกของผู้วิจัยที่น�ำธรรมชาติกับการด�ำรงชีวิตมาผสมผสานกัน รวมท้ังแนวคิดในการน�ำมาสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม กระบวนการวิจัยเร่ิมจากการศึกษาธรรมชาติทางทะเล ได้ศึกษาถึงข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับธรรมชาติ คลื่น ลม และทะเล การสร้างสรรค์ ผลงานจิตรกรรม และองค์ประกอบศิลป์ เพ่ือค้นหาวิธีการใช้สีท่ีมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกท่ีแท้จริงของผู้วิจัยที่มีต่อธรรมชาติทาง ทะเล ผนวกกับการศึกษาศิลปินในลัทธิต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม เพ่ือศึกษาถึงเทคนิคต่าง ๆ ท้ังในเรื่อง การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกผ่านแสงเงา และสีท่ีเกิดข้ึนจากธรรมชาติทางทะเล เมื่อศึกษาแล้ว ผลวิจัยส�ำเร็จตามวัตถุประสงค์ท่ี ตั้งไว้คือ ได้สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมบนผ้าใบจากอารมณ์ความรู้สึกต่อธรรมชาติทางทะเล น�ำเสนอผลงานจิตรกรรมสร้างสรรค์ ให้สาธารณชนท่ีสนใจได้รับชม และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม และสามารถน�ำองค์ความรู้ท่ีได้จากการสร้างสรรค์ผลงานในแต่ละ ช้ินไปพัฒนาและต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ในอนาคตได้ ค�ำส�ำคัญ: คลนื่ ลม ทะเล ความร้สู กึ อารมณ์ ธรรมชาติ จิตรกรรมร่วมสมัย จติ รกรรมภาพทวิ ทัศนท์ ะเล 1 คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย Faculty of Fine and Applied Arts Chulalongkorn University. *Corresponding author Email: [email protected]
2 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตรแ์ ละการส่ือสาร Abstract “Wave, Wind, and Sea: From Emotions to Nature” is a creative research with an objective to, first, study possible development and expression of paintings. Second, to study paintings inspired by emotions toward nature and utilize acquired knowledge as a guideline to create this set of paintings. Nature is essential to both technologies and aesthetics as it is a fundamental element of geology and ge- ography which constitutes local identity and brand. As part of nature, human’s contact with nature influences our senses, resulting in diverse emotions such as delight, relaxation, relief, etc. As living in harmony with nature, researcher found these nature-inspired sensations in accordance with personal feelings as well as their application in paintings. This research commenced with studying marine nature to, first, collect relevant information regarding the nature of wave, wind, and sea, the creation of paintings, and art compositions. Second, to identify which method of color appliance had an intrinsic impact on personal feelings toward marine nature. Later on, the study of artists with different philosophies was conducted to analyze the shading technique used to express feelings and the color usage derived from marine nature. As a result, this research allowed the researcher to create paintings–found captivating and inspiring by the audience- based on personal sensations toward marine nature. Furthermore, this acquired knowledge could be used for future development in painting and creativity. Keywords: Wave, Wind, Sea, Feelings, Emotions, Nature, Contemporary panting, Landscape panting บทนำ� สามารถน�ำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน จติ รกรรม เปน็ ธรรมชาตทิ ไ่ี มส่ ามารถเคลอื่ นไหวได้ เปลย่ี นแปลง ธรรมชาติ หมายถึง ธรรมชาติทม่ี ีคณุ คา่ ทางวทิ ยาการ หรอื ฟน้ื ฟคู นื สสู่ ภาพเดมิ ไมไ่ ด้ เมอื่ ถกู ทำ� ลายกจ็ ะหมดไป และดว้ ย และสุนทรียภาพ เกี่ยวข้องเป็นสัณฐานท่ีส�ำคัญทางธรณีวิทยา การด�ำรงชีวิตของผู้วิจัยมีความเก่ียวข้องกับธรรมชาติทางทะเล และภมู ศิ าสตรอ์ นั เปน็ เอกลกั ษณห์ รอื สญั ลกั ษณข์ องทอ้ งถนิ่ นน้ั ๆ มาตง้ั แตเ่ กดิ ไมว่ ่าจะผา่ นไปนานแคไ่ หนอารมณ์ความรสู้ กึ ความ ได้ สามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท คอื 1. ธรรมชาตทิ มี่ กี ารเคลอ่ื นไหว ผูกพันก็ยังคงอยู่ แคค่ ดิ ถึงรูปทรง อารมณ์ความรู้สึก บรรยากาศ เปลยี่ นแปลงและฟน้ื ฟคู นื สสู่ ภาพเดมิ ไดโ้ ดยระบบของตวั เอง เชน่ กลิ่น สี เสยี ง ก็จะข้ึนมาในมโนสำ� นึกไดต้ ลอดเวลา ยกตวั อยา่ ง ป่าไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ป่า สัตว์น�้ำ และอุทยานต่าง ๆ เป็นต้น 2. เช่น ท้องทะเลทมี่ เี กลียวคลน่ื กระทบกบั โขดหิน เม่ือได้ไปสัมผสั ธรรมชาติท่ีไม่สามารถเคล่ือนไหวได้ เปล่ียนแปลงหรือฟื้นฟูคืน กบั บรรยากาศของธรรมชาตเิ ปน็ สง่ิ ทชี่ ว่ ยเยยี วยาปญั หาตา่ ง ๆ ท่ี สสู่ ภาพเดมิ ไมไ่ ดเ้ มอื่ ถกู ทำ� ลายกจ็ ะหมดไป เชน่ ภเู ขา ถำ้� นำ้� ตก เกิดขน้ึ ได้ อีกทัง้ ยงั มีนยั ยะสำ� คัญเปรียบแทนตวั ของผู้วิจัยในการ หนา้ ผา หนองนำ้� ทะเล ทะเลสาบ หาดทราย โขดหนิ และแหลง่ ท่ี ด�ำเนินชีวิต เพราะเปรียบตัวผู้วิจัยดั่งคล่ืนกระทบโขดหินซ่ึงมอง มซี ากดกึ ดำ� บรรพ์ เปน็ ตน้ มนษุ ยน์ บั วา่ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของธรรมชาติ ดูด้วยตาแล้วให้ความรู้สึกสวยงาม สดช่ืน แต่ถ้าได้เข้าไปสัมผัส การทไ่ี ดเ้ ขา้ ไปสมั ผสั กบั ธรรมชาตจิ งึ ทำ� ใหเ้ กดิ อารมณค์ วามรสู้ กึ ท่ี ใกล้ ๆ อาจจะทำ� ใหม้ คี วามรสู้ กึ กลวั ขนึ้ มาแทน เชน่ เดยี วกบั ผวู้ จิ ยั หลากหลายไมว่ า่ จะเปน็ ความรสู้ กึ มคี วามสขุ ผอ่ นคลาย ไดป้ ลด ภายนอกชวี ติ จะดสู วยงามในทกุ ๆดา้ น แตใ่ นความเปน็ จรงิ นนั้ ชวี ติ ปลอ่ ยพลงั งานทม่ี อี ยใู่ นตวั เอง ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั อารมณค์ วามรสู้ กึ ไดผ้ า่ นอปุ สรรคและเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ มากมาย การใชช้ วี ติ ใหป้ ระสบ ของผวู้ จิ ยั ทนี่ ำ� ธรรมชาตกิ บั การดำ� รงชวี ติ มาผสมผสานกนั รวมทง้ั ความสำ� เรจ็ ตามสงิ่ ทหี่ วงั นนั้ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งงา่ ย และชวี ติ จะมคี ณุ คา่ ถา้ แนวคดิ ในการนำ� มาสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรม เราสามารถเอาชนะอุปสรรคทกุ อยา่ งในชีวิตไปได้ ธรรมชาติส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้วิจัยและ
ปที ี่ 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 3 ดังน้ันผู้วิจัยจึงได้น�ำมาถ่ายทอดพลังในการสร้างสรรค์ จติ รกรรมรว่ มสมยั หมายถงึ เปน็ ศลิ ปะพฒั นาไปตาม งานศลิ ปนพิ นธ์ โดยเปรยี บคลนื่ ทะเลคอื ผวู้ จิ ยั และโขดหนิ เปรยี บ สภาพแวดลอ้ ม ความเปลยี่ นแปลงของชวี ติ ความเปน็ อยู่ ความ ด่ังอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นอกจากนี้ยังใช้สีเพ่ือบ่งบอกถึง รสู้ กึ นกึ คดิ และความนยิ มในสงั คม สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ เอกลกั ษณ์ อารมณแ์ ละสถานการณท์ พี่ บเหน็ นำ� เสนอแนวความคดิ และศลิ ปะ ใหมข่ องวฒั นธรรมไทยอกี รปู แบบหนง่ึ อยา่ งมคี ณุ คา่ ตามความนยิ ม ดว้ ยเทคนคิ ตา่ ง ๆ เพอื่ ใหเ้ กดิ อารมณค์ วามรสู้ กึ ผา่ นการสรา้ งสรรค์ ของศลิ ปนิ แตล่ ะคน ผลงานจติ รกรรมบนผา้ ใบ จติ รกรรมภาพทวิ ทศั นท์ ะเล หมายถงึ เปน็ ภาพทแี่ สดง วตั ถปุ ระสงค์ ความงาม หรอื ความประทบั ใจในความงาม ของ ธรรมชาติ หรอื สง่ิ แวดลอ้ ม ของศลิ ปนิ ผวู้ าด ภาพทวิ ทศั นย์ งั แบง่ เปน็ ลกั ษณะตา่ ง 1. เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาและการ แสดงออกใหม่ ๆ เพอื่ สรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรม ขอบเขตของการวจิ ยั 2. เพอื่ ศกึ ษาองคค์ วามรจู้ ากกระบวนการสรา้ งสรรคผ์ ล ศกึ ษาแนวคดิ จากลทั ธทิ ม่ี อี ทิ ธพิ ลการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน งานจติ รกรรมภาพทวิ ทศั นข์ องศลิ ปนิ ในยคุ สมยั ตา่ ง ๆ จติ รกรรมทางธรรมชาตทิ งั้ หมด 3 ลทั ธิ คอื ลทั ธอิ มิ เพรสชนั่ นสิ ท์ ลทิ ธศิ ิลปะสมยั ใหมแ่ ละลทั ธิโรแมนตคิ นอกจากน้ยี งั ศึกษาเก่ียว 3. เพอ่ื พฒั นากระบวนการสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรม กบั ศลิ ปนิ ทส่ี รา้ งจติ รกรรมเกยี่ วกบั ภาพทวิ ทศั นแ์ ละภาพธรรมชาติ ภาพทวิ ทศั นท์ ะเล ตามแนวทางทไ่ี ดเ้ พอ่ื วเิ คราะหอ์ งคค์ วามรขู้ อง ไดแ้ ก่ เทอรเ์ นอร์ (J.M.W. Turner), วนิ เซนต์ แวนโกะ๊ (Vincent ศลิ ปนิ ยคุ ตา่ ง ๆ ผสมผสานกบั แนวทางความรอู้ ารมณ์ และความ Van Gogh) และ โมเนต่ ์ (Claude Monet) เพอ่ื ศกึ ษาแนวคดิ และ รสู้ กึ สว่ นตวั ของผวู้ จิ ยั รปู แบบการสรา้ งสรรคผ์ ลงานและปรบั ใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกบั ผลงาน ของผวู้ จิ ยั จากนน้ั ศกึ ษาเรอื่ งองคป์ ระกอบศลิ ปเ์ พอ่ื เปน็ เครอื่ งมอื นยิ ามคำ� ศพั ท์ ในการถา่ ยทอดอารมณค์ วามรสู้ กึ ของผวู้ จิ ยั ออกมาไดอ้ ยา่ งซอ่ื ตรง มากท่ีสุด เนื่องจากองค์ประกอบศิลป์มีส่วนช่วยในการถ่ายทอด คลนื่ หมายถงึ ปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ เ่ี ปน็ ผลจากการ อารมณข์ องศลิ ปนิ ใหม้ นี ำ�้ หนกั มากยง่ิ ขน้ึ เคลอ่ื นไหวของนำ�้ ทะเล โดยมสี าเหตทุ ง้ั เกดิ จากลม แผน่ ดนิ ไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นเปลือกโลกใต้ท้องทะเล แรงดึงดูดจากดวง ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ บั อาทติ ยแ์ ละดวงจนั ทร์ เปน็ ตน้ 1. ได้สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมบนผา้ ใบจากอารมณ์ ลม หมายถงึ อากาศทเี่ คลอ่ื นทไี่ ปในทศิ ทางในแนวราบ ความรสู้ กึ ตอ่ ธรรมชาติ ทะเล หมายถงึ ห้วงน้�ำเคม็ ทเี่ ว้งิ วา้ งกวา้ งใหญ่ แต่เล็ก กวา่ มหาสมทุ ร 2. นำ� เสนอผลงานจติ รกรรมสรา้ งสรรคใ์ หส้ าธารณชนท่ี ความรู้สึก หมายถึง อารมณ์ที่ใจเราสัมผัส ส่วนใหญ่ สนใจไดร้ บั ชม และเปน็ แรงบนั ดาลใจใหก้ บั ผชู้ มได้ เปน็ อทิ ธพิ ลมาจากความคดิ เชน่ ชอบ ไมช่ อบ โกรธ เบอื่ กงั วล สบาย ฯลฯ 3. สามารถนำ� องคค์ วามรทู้ ไ่ี ดจ้ ากงานวจิ ยั ไปพฒั นาและ อารมณ์ หมายถงึ ประสบการณใ์ นความรสู้ ำ� นกึ และอตั ตอ่ ยอดความคดิ ในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรมในอนาคตได้ วสิ ยั ทถี่ กู กำ� หนดลกั ษณะเฉพาะโดยการแสดงออกทางจติ สรรี วทิ ยา ปฏกิ ริ ยิ าทางชวี วทิ ยา และสภาพจติ ใจ อารมณม์ กั จะเกยี่ วขอ้ งและ วธิ กี ารศกึ ษา ถกู จดั วา่ มอี ทิ ธพิ ลซงึ่ กนั และกนั กบั พน้ื อารมณ์ พนื้ อารมณแ์ ตก่ ำ� เนดิ บคุ ลกิ ภาพ นสิ ยั และแรงจงู ใจ 1. รวบรวมขอ้ มลู ธรรมชาติ หมายถงึ ส�ำหรบั บรรยายทุกส่ิงบน โลก ท่ี 1.1 ศกึ ษาขอ้ มลู สถานที่ หาดพทั ยา จงั หวดั ชลบรุ ี และ ไม่ได้ถูกสร้างโดยมนษุ ย์ อาทิเชน่ มนุษย์ สตั ว์ ภเู ขาแมน่ ำ้� ตน้ ไม้ หาดราไวย์ จงั หวดั ภเู กต็ เปน็ หมบู่ า้ นชาวประมง เงยี บสงบ ชายหาด หรือฝน เปน็ สว่ นหน่งึ ของธรรมชาติ ทอดยาวและมโี ขดหนิ เปน็ องคป์ ระกอบทสี่ ำ� คญั ปจั จบุ นั พทั ยาเปน็ สถานทพี่ กั ตากอากาศมชี ายหาดทส่ี วยงามรวมทงั้ หมเู่ กาะตา่ ง ๆ
4 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร มากมายและคกึ คกั ไปดว้ ยนกั ทอ่ งเทยี่ ว เชน่ เดยี วกนั กบั หาดราไวย์ 3. การสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรมบนผา้ ใบ จงั หวดั ภเู กต็ จากข้อมูลที่รวบรวมในข้ันตอนการเตรียมงาน ผู้วิจัย ดำ� เนนิ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรมบนผา้ ใบ โดยผวู้ จิ ยั ทดลอง 1.2 การถา่ ยภาพจากสถานทจี่ รงิ ผวู้ จิ ยั เดนิ ทางไปสถาน ลงสบี นกระดาษ เพอ่ื ดกู ารดดู กลนื กนั ระหวา่ งสี เปน็ การทดลอง ทจี่ รงิ คอื หาดพทั ยา เพอื่ ซมึ ซบั อารมณค์ วามรสู้ กึ ทตี่ นเองไดส้ มั ผสั สี การเลอื กใชส้ ี กอ่ นทจ่ี ะทำ� การนำ� สที ไี่ ดจ้ ากการทดลองจนเปน็ ที่ ภาพบรรยากาศตรงหนา้ และสำ� รวจมมุ มองทเี่ หมาะสมเพอื่ นำ� ไป พอใจแลว้ ลงบนเฟรมผา้ ใบ สรา้ งสรรคผ์ ลงาน ภาพท่ี 3 ภาพการทดลองลงสบี นกระดาษ 2. ขน้ั ตอนการดำ� เนนิ งาน โดย ผ้วู ิจยั , 2561 2.1 การเลือกใช้วัสดุ การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม พน้ื ผวิ ของผลงานจติ รกรรมนยิ มใชผ้ า้ ใบ (Canvas) เปน็ พนื้ ฐาน สำ� หรบั ผวู้ จิ ยั ใชผ้ า้ ใบขงึ เฟรมเปน็ รปู ทรงสเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ ซง่ึ มขี นาด แตกตา่ งกนั ในแตล่ ะผลงาน การใชส้ บี นผา้ ใบคอ่ นขา้ งมคี วามหลาก หลายและเปน็ อสิ ระ โดยเลอื กใชส้ อี ะครลิ คิ บนผา้ ใบ (Acrylic on canvas) 2.2 อปุ กรณท์ ใี่ ชใ้ นการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน พกู่ นั , เกรยี ง, นำ�้ มนั สน, อะครลิ คิ (Acrylic), สารผสมและทำ� ละลายสำ� หรบั สี อะครลิ คิ (Acrylic) 2.3 การทำ� ภาพตน้ แบบ ภาพที่ 1 การท�ำภาพต้นแบบ 1 ภาพท่ี 4 การลงรองพื้นและร่างภาพ โดย ผูว้ จิ ยั , 2561 โดย ผวู้ จิ ัย, 2561 ภาพที่ 2 การท�ำภาพตน้ แบบ 2 3.1 ร่างภาพต้นแบบจากแนวความคิดที่ได้จากการ โดย ผวู้ จิ ัย, 2561 ศกึ ษาคน้ ควา้ 3.2 เตรียมเฟรมผ้าใบในขนาดที่ก�ำหนด ร่างภาพลง บนเฟรมผา้ ใบดว้ ยดนิ สอ จากนน้ั รองพนื้ ดว้ ยสนี ำ�้ ตาลเปน็ ชนั้ ที่ 1 โดยนำ� สนี ำ�้ ตาลมาผสมกบั นำ�้ มนั ลนี สสี (Linseed oil) แลว้ ทาลง บนผา้ ใบ
ปีท่ี 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 5 ภาพที่ 5 ขน้ั ตอนการสร้างสรรค์ 1 ภาพที่ 8 ขั้นตอนการสร้างสรรค์ 4 โดย ผูว้ จิ ัย, 2563 โดย ผวู้ จิ ยั , 2563 3.5 เกบ็ รายละเอยี ดแสงเงาจนเสรจ็ สมบรู ณ์ และเตรยี ม ความพรอ้ มในการนำ� เสนอผลงาน 3.6 ผลงานทเ่ี สรจ็ สมบรู ณ์ ภาพท่ี 6 ขั้นตอนการสรา้ งสรรค์ 2 โดย ผวู้ จิ ัย, 2563 ภาพที่ 9 ข้นั ตอนการสรา้ งสรรค์ 5 3.3 ลงสบี นเฟรมผา้ ใบทร่ี า่ งไวใ้ หส้ เี ปน็ ชน้ั ๆ เพอ่ื ใหเ้ หน็ โดย ผวู้ จิ ัย, 2563 ภาพชดั ขน้ึ 3.4 กำ� หนดแสงเงา มติ ขิ องภาพ โดยไลค่ า่ นำ�้ หนกั สที แี่ ตก ตา่ งกนั แบง่ แยกระหวา่ งทอ้ งฟา้ และทะเล ระหวา่ งปฏบิ ตั งิ านคอย รบั ฟงั คำ� วจิ ารณแ์ ละขอ้ เสนอแนะจากอาจารยผ์ สู้ อน ภาพท่ี 7 ขนั้ ตอนการสรา้ งสรรค์ 3 ภาพท่ี 10 wave 19 โดย ผ้วู ิจยั , 2563 โดย ผูว้ จิ ัย, 2563
6 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสอ่ื สาร แนวคิดและทฤษฎี ภาพสนี ำ้� มนั อนั ปรากฏอตั ลกั ษณ์ แปลกตา ใชอ้ ปุ กรณใ์ นการวาด ภาพทกุ ชนดิ เชน่ แปรงทาสบี า้ น พกู่ นั เศษผา้ และเกรยี ง ศลิ ปนิ 1. ขอ้ มลู ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ใชป้ ลายพกู่ นั ปาดสหี นา ๆ ลงบนผา้ ใบเปน็ ชนั้ ๆ เพอื่ สรา้ งพน้ื ผวิ ท่ี 1.1 จติ รกรรมภาพทวิ ทศั น์ (Landscape and seascape) นนู หนาเหน็ เดน่ ชดั (พรสนอง วงศส์ งิ หท์ อง, 2547) จิตรกรรมภาพทิวทัศน์ ทั้งทิวทัศน์ทางบกและทิวทัศน์ ทางน�้ำมปี ระวตั คิ วามเป็นมายาวนาน โดยเฉพาะภาพเขยี นจนี ท่ี ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� แนวคดิ การใชส้ นี ำ�้ มนั มาใชใ้ นการสรา้ งสรรค์ เรยี กวา่ Shanshui ซงึ่ หมายถงึ ภเู ขาและสายนำ�้ (Mountain and ผลงาน เปน็ การลดทอนรายละเอยี ดของภาพ รวมถงึ ลกั ษณะของสี stream) ในทางพทุ ธศาสนาภเู ขากค็ อื สญั ลกั ษณอ์ ยา่ งหนง่ึ ของพทุ ธิ และแสง ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยความคดิ ฝนั เปน็ ทศั นภาพทขี่ ยายความ ลกึ ลบั ปญั ญา หรอื การรแู้ จง้ (Enlightenment) การเฝา้ สงั เกตธรรมชาติ และความสงา่ งามของธรรมชาติ ใชส้ หี รอื ฝแี ปรงแบบเฉยี บพลนั เผชิญหน้ากับปรากฏการณ์นานัปการของธรรมชาติเป็นวิธีการ เช่น โขดหิน ท่ีวาดแบบเฉียบพลันไม่ต้องเก็บรายละเอียดมาก และขน้ั ตอนแรกทจ่ี ติ รกรจนี สมยั โบราณเรยี นรโู้ ลกภายนอก เพอ่ื บรรยากาศทว่ี าดเปน็ ณ ชว่ งเวลานนั้ ๆ ทศี่ ลิ ปนิ ถา่ ยทอดออกมา ถา่ ยทอดประสบการณก์ ารมองเหน็ และความรสู้ กึ ตอ่ ธรรมชาตใิ น แสงเงาและสขี องคลนื่ นำ�้ สะทอ้ นออกมาจากความรสู้ กึ ของผวู้ จิ ยั แงม่ มุ ตา่ ง ๆ ออกมาเปน็ ผลงานศลิ ปะ ซงึ่ ในความรสู้ กึ ของผอู้ ปุ ถมั ภ์ การสาดกระเซน็ ของนำ�้ ทกี่ ระทบโขดหนิ แสดงออกถงึ อารมณค์ วาม หรือผู้สะสมงานอาจจะเกิดความรูส้ ึกร่วม เมอื่ เพ่งพจิ ารณาภาพ รสู้ กึ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เขยี นนน้ั ๆ จนถงึ ขนาดดม่ื ดำ่� ไปกบั นยั ยะของการสละทางโลกโลด แลน่ ไปสเู่ สน้ ทางธรรมดจุ การปนี ปา่ ยภเู ขา สำ� หรบั งานจติ รกรรม 1.2.2 วนิ เซนต์ แวนโกะ๊ (Vincent Van Gogh) แนวทาง ทิวทัศน์ท่ีอาจถือได้ว่าเป็นเสมือนหน่ึงจิตรกรรมนามธรรมที่เกิด การสร้างสรรค์ผลงานของแวนโก๊ะ จะมองธรรมชาติด้วยความ กอ่ นกาลคงจะตอ้ งจบั ตาไปทจ่ี ติ รกรรมทงั้ สนี ำ�้ และสนี ำ�้ มนั หลาย หลงใหลและบางครั้งถือธรรมชาติเป็นตัวแทนแห่งความขมข่ืน ชน้ิ เทอรเ์ นอร์ (J.M.W. Turner) จติ รกรชาวองั กฤษ ผซู้ ง่ึ เปลยี่ น ความซ่ือสัตย์ต่อธรรมชาติด้วยสายตาท�ำให้ปรากฏออกมาเกิน สถานภาพของสนี ำ�้ จากเปน็ เพยี งงานรา่ ง (Sketch) มาสกู่ ารเปน็ ความเปน็ จรงิ และบางครงั้ เปลย่ี นเนอื้ หา แตไ่ มไ่ ดล้ อกเลยี นแบบ งานจรงิ (Finished works in their own right) ในชว่ งตน้ ครสิ ต์ ธรรมชาติ เปน็ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานจากอารมณค์ วามรสู้ กึ เขาเปน็ ศตวรรษท่ี 19 และสง่ อทิ ธพิ ลอนั ใหญห่ ลวงไปยงั ศลิ ปนิ อมิ เพรสชน่ั คนชา่ งสงั เกต อารมณอ์ อ่ นไหว และจดุ เดน่ คอื มรี อยฝแี ปรงทเี่ ปน็ นสิ มฝ์ รง่ั เศสในเวลาตอ่ มา (จริ ะพฒั น ์ พติ รปรชี า, 2545) เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั (พรสนอง วงศส์ งิ หท์ อง, 2547) ผู้วิจัยน�ำเอาเทคนิคการถ่ายทอดมุมมองของทิวทัศน์ ทะเลดว้ ยการถา่ ยทอดอารมณค์ วามรสู้ กึ ของผวู้ จิ ยั ณ ชว่ งเวลาท่ี ผู้วิจัยน�ำเอาเทคนิคการถ่ายทอดมุมมองของทิวทัศน์ แตกตา่ งกนั ทง้ั อารมณเ์ ศรา้ เหงา ดใี จ เสยี ใจ และมคี วามสขุ โดย ทะเลดว้ ยการถ่ายทอดอารมณ์ความรูส้ กึ ของผ้วู ิจัย ณ ช่วงเวลา แสดงออกจากการเลอื กใชส้ ี ฝแี ปรงเฉพาะตวั ของผวู้ จิ ยั ทใ่ี ชส้ ายตา ทแี่ ตกตา่ งกนั มที ง้ั อารมณเ์ ศรา้ เหงา ดใี จ เสยี ใจ และมคี วามสขุ มองบรรยากาศทวิ ทศั นท์ างทะเล และนำ� เสนอออกมาดว้ ยความ โดยแสดงออกจากการเลือกใช้สี ฝีแปรงเฉพาะตัวของผู้วิจัยท่ีใช้ รสู้ กึ ทเ่ี ปน็ บรรยากาศทะเลแตไ่ มไ่ ดเ้ หมอื นทกุ รายละเอยี ด เชน่ คลนื่ สายตามองบรรยากาศทวิ ทศั นท์ างทะเล และนำ� เสนอออกมาดว้ ย ทก่ี ระทบโขดหนิ ผวู้ จิ ยั ใชฝ้ แี ปรงทปี่ าดไปตามความรสู้ กึ โดยไมเ่ กบ็ ความรู้สึกที่เป็นบรรยากาศทะเลแต่ไม่ได้เหมือนทุกรายละเอียด รายละเอยี ดทเี่ หมอื นจรงิ เปน็ ตน้ เชน่ คลนื่ ทกี่ ระทบโขดหนิ ผวู้ จิ ยั ใชฝ้ แี ปรงทป่ี าดไปตามความรสู้ กึ 1.2 อทิ ธพิ ลจากศลิ ปนิ ทส่ี รา้ งสรรคภ์ าพจติ รกรรมทวิ ทศั น์ โดยไมเ่ กบ็ รายละเอยี ดทเี่ หมอื นจรงิ เปน็ ตน้ ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษากรรมวธิ กี ารสรา้ งสรรคจ์ ติ รกรรมทวิ ทศั น์ ของศลิ ปนิ ทง้ั 3 ทา่ น แลว้ เกดิ แรงบนั ดาลใจกระตนุ้ ใหน้ ำ� แนวคดิ 1.2.3 โมเนต่ ์ (Claude Monet) นำ� แนวคดิ การใชแ้ สง มาเปน็ แนวทางในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานของผวู้ จิ ยั คอื และสี โดยใชส้ คี ตู่ รงขา้ ม ใหค้ วามสำ� คญั กบั สี มากกวา่ รปู ทรงใน 1.2.1 เทอร์เนอร์ (J.M.W. Turner) น�ำแนวคิดการ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานซง่ึ แสดงออกถงึ ความตรงไปตรงมา การลง ถา่ ยทอดปฏกิ ริ ยิ าของแสงและสใี นธรรมชาติ ดว้ ยกรรมวธิ กี ารวาด สีไปตามความรู้สึกโดยอ้างอิงจากความรู้สึกมากกว่าบรรยากาศ ความเปน็ จรงิ สที ใี่ ชเ้ ปน็ สที ม่ี คี วามบรสิ ทุ ธป์ิ ราศจากการใชส้ ที เี่ กดิ จากการผสมกนั และทง้ิ รอยพกู่ นั อยา่ งสนกุ สนาน (พรสนอง วงศ์ สงิ หท์ อง, 2547)
ปที ี่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 7 ผู้วิจัยได้น�ำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผล กระตอื รอื รน้ และเงยี บเหงารวมอยดู่ ว้ ย ชว่ งเวลาดงั กลา่ วการหกั เห งาน เชน่ การแสดงออกของอารมณค์ วามรสู้ กึ ลงไปในบรรยากาศ ของแสงมีความชัดเจนในทุกรูปแบบโดยใช้สีน้�ำมัน หลากหลาย สที ใี่ ชก้ เ็ ปน็ สสี ดทตี่ ดั กนั โดยไมเ่ นน้ ความเหมอื นจรงิ จนเกนิ ไป ทงั้ สสี นั ทง้ั สสี ม้ สเี ขยี ว สนี ำ้� ตาล สเี หลอื ง สชี มพแู ละสมี ว่ งอยา่ งลงตวั บรรยากาศ โขดหิน น้�ำและคล่ืนที่กระทบฝั่ง เป็นการใช้แสง สี กลา่ วไดว้ า่ ทกุ เฉดสผี สมผสานใหเ้ กดิ ความงดงามอยา่ งยงิ่ ตอ่ ผลงาน และอารมณค์ วามรสู้ กึ ชว่ งเวลานน้ั ๆ โดยใสค่ วามสนกุ สนานผสม ทเี่ สนอ เพอ่ื สรา้ งสรรคผ์ ลงานทเี่ ปน็ ธรรมชาตอิ ยา่ งแทจ้ รงิ ผสานไปกบั การใชแ้ สงและสี ผวู้ จิ ยั จะเนน้ การเขยี นภาพทส่ี ะทอ้ น อารมณค์ วามรสู้ กึ มากกวา่ รายละเอยี ดรปู รา่ งและพน้ื ผวิ ของภาพ 1.3.2 ศลิ ปะสมยั ใหม่ (Modern art) เปน็ การวาดภาพจากความประทบั ใจในสง่ิ ทเ่ี หน็ ของศลิ ปนิ แทนท่ี ศลิ ปะสมยั ใหม่ เปน็ คำ� ทใ่ี ชเ้ รยี กการสรา้ งงานศลิ ปะตง้ั แต่ จะพยายามทำ� ใหเ้ หมอื นจรงิ ตามธรรมชาติ เปน็ การเลอื กสที ส่ี ะทอ้ น ชว่ งปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19 จน ถงึ ประมาณครสิ ตท์ ศวรรษ 1970 อารมณค์ วามรสู้ กึ ออกมาอยา่ งแทจ้ รงิ โดยการเปน็ งานทม่ี ลี กั ษณะเปน็ สากล และเปน็ แบบอยา่ งของแตล่ ะ บคุ คลมากกวา่ ทจี่ ะเปน็ แบบอยา่ งศลิ ปะแหง่ แควน้ ซงึ่ เปน็ แบบทม่ี ี 1.3 ลทั ธทิ างศลิ ปะทนี่ ำ� เสนอภาพจากธรรมชาติ ความแตกตา่ งกนั จนยากทจี่ ะกลา่ วอยา่ งผวิ เผนิ ไดว้ สั ดแุ ละเทคนคิ 1.3.1 ศลิ ปะลทั ธสิ ำ� แดงพลงั อารมณ์ (Expressionism) ใหม่ ๆ รวมทงั้ การเปลยี่ นแปลงโลกทศั นอ์ ยา่ งรวดเรว็ พรอ้ มทงั้ เอ็กซเพรสชันนิสม์ปรากฏในงานศิลปะหลายรูปหลาย ผลผลิตของเครื่องจักรกลได้สะท้อนไปสู่งานศิลปะท�ำให้รูปแบบ แบบท่ีรวมท้ัง จิตรกรรม วรรณกรรม การละคร ภาพยนตร์ ของศลิ ปะมคี วามหลายหลายมากยง่ิ ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั ความรู้ สถาปตั ยกรรม และดนตรี และมกั จะเปน็ คำ� ทมี่ นี ยั ยะถงึ อารมณ์ ทางดา้ นจติ วทิ ยาและฟสิ กิ สไ์ ดจ้ ดั แจงรปู แบบความคดิ ของศลิ ปนิ รนุ แรงภายใน และในชว่ งเวลาเดยี วกนั กบั ทกี่ ลมุ่ โฟวสิ ม์ (Fauvist) ทมี่ ตี อ่ มนษุ ยแ์ ละโลกทางกายภาพขนึ้ ใหม่ อบุ ตั ขิ นึ้ ทฝ่ี รง่ั เศสและเยอรมนั กม็ กี ลมุ่ เอก็ ซเพรสชน่ั นสิ มเ์ กดิ ขน้ึ จากลกั ษณะสำ� คญั ของงานศลิ ปะสมยั ใหม่ ทำ� ใหผ้ วู้ จิ ยั มาใหมเ่ หมอื นกนั ศลิ ปนิ ทมี่ ชี อ่ื เสยี ง เชน่ รู โอลท์ (Rouault) โค นำ� ประสบการณโ์ ดยตรงมาปรบั ใชใ้ นการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ คอซกา (Kokoschka) เดยี โก รเิ วรา (Diego Rivera) และ บลมู ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� ประสบการณช์ วี ติ โลดแลน่ ทผี่ า่ นมาเหลา่ นท้ี บี่ างครง้ั (Blume) โดยศลิ ปนิ กลมุ่ นไี้ ดร้ บั อทิ ธพิ ลแนวคดิ คตนิ ยิ มจาก วนิ แสดงออกได้ มาแสดงออกในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ ใชค้ วาม เซนต์ แวนโกะ๊ และพอล โกแกง (Paul Gauguin) โดยตรง คอื การ อารมณค์ วามรสู้ กึ ทไ่ี มส่ ามารถพดู ออกมาไดถ้ า่ ยทอดออกมาผา่ น แสดงออกถงึ อารมณภ์ ายในอนั เรา้ รอ้ นรนุ แรง การใชส้ แี ละการตดั การสรา้ งสรรคผ์ ลงาน ทง้ั ความรสู้ กึ ปะทอุ อกมา ความรสู้ กึ ออ่ นแอ เสน้ รอบนอก เพอื่ ใหร้ ปู ทรงเดน่ ชดั และแขง็ กรา้ ว พวกเขาสะทอ้ น และความเงยี บเหงาในชวี ติ เปน็ ตน้ แนวคดิ ทเ่ี กย่ี วกบั สงั คม และความเปน็ จรงิ ในสงั คม ความประทบั ใจ 1.3.3 ศิลปะยุคโรแมนติค หรือ ศิลปะจินตนิยม ในธรรมชาติ ขาดลงฉบั พลนั ทง้ั ความรสู้ กึ รนุ แรง บา้ ระหำ่� เกลยี ดชงั (Romanticism) ทารณุ ความเจบ็ ปวดทางรา่ งกาย ทรมาน นา่ เกลยี ดนา่ กลวั เปน็ การ ลัทธิโรแมนติคเป็นแนวคิดมากกว่าเป็นแบบอย่างลัทธิ มองโลกในแงร่ า้ ย มคี วามเชอ่ื มนั่ แสงสี การรบั รโู้ ลกภายนอก ตอบ ชารล์ โบเดอแลร์ (Charles Boudelaire) เรยี กมนั วา่ เปน็ “สภาวะ สนองดว้ ยความรสู้ กึ ของตนเอง (ศลิ ปะอตั วสิ ยั ) ตา่ งจากโฟวสิ ม์ ซงึ่ หนงึ่ ของอารมณ”์ เปน็ การเนน้ ถงึ ประสบการณแ์ หง่ ความรสู้ กึ เหนอื พวกเขาคดิ วา่ ศลิ ปกรรมของยโุ รปโดยทวั่ ไปมแี นวโนม้ การแสดงออก สง่ิ อนื่ ใดแนวทางแหง่ โรแมนตคิ นน้ั เปน็ ทง้ั ปฏกิ ริ ยิ าตอ่ ตา้ นสถาบนั ไปในดา้ นทห่ี ลกี เลย่ี งการเผชญิ หนา้ กบั ความจรงิ ศลิ ปนิ ตา่ งเสแสรง้ ไมว่ า่ จะเปน็ วงการศาสนา อำ� นาจรฐั ทถ่ี กู ครอบงำ� โดยชนชนั้ สงู ลทั ธิ และปดิ บงั โลกแหง่ ความเปน็ จรงิ คำ� นงึ ถงึ ความงามแตอ่ ยา่ งเดยี ว โรแมนตคิ ยงั กอ่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาการของแนวทางจติ รกรรมทวิ ทศั น์ ทำ� ใหม้ นั ดสู งา่ เปน็ ของเขา้ ใจยาก (ชวพล จงึ สมาน, 2559) แนวตา่ ง ๆ ดงั เชน่ ภาพทแี่ สดงถงึ สภาวะแหง่ จติ ใตส้ ำ� นกึ และความ ผวู้ จิ ยั ไดแ้ นวคดิ ในการถา่ ยทอดสสี นั ดว้ ยการปาดปา้ ยสี สยองขวญั ของพายรุ า้ ย หรอื การถลม่ ทลายของภเู ขานำ้� แขง็ ซงึ่ ถกู หนาอยา่ งรวดเรว็ แสดงพลงั อารมณจ์ ากตวั ศลิ ปนิ ในเวลาชว่ งบา่ ย นำ� เสนอโดยเทอเนอร์ (Turner) คตนิ ยิ มแนวโรแมนตคิ ทเี่ กยี่ วกบั ไปจนถงึ ชว่ งเยน็ เปน็ การสอ่ื สารอารมณใ์ นรปู แบบทแ่ี สดงออกถงึ การกลบั ไปสธู่ รรมชาตนิ น้ั ยงั รวมถงึ ธรรมชาติ แหง่ ความเปน็ มนษุ ย์ ตวั ตนของผวู้ จิ ยั ทบ่ี างอารมณร์ สู้ กึ เฉอ่ื ยชาตดั กบั ความรสู้ กึ ตนื่ เตน้ อกี ดว้ ย ดงั เชน่ การแสดงอาการอยา่ งธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ อสิ ระและฉบั
8 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตร์และการสื่อสาร พลันท่ีถูกน�ำเสนอการสร้างงานศิลปะสามารถกล่าวได้ว่าศิลปิน อยา่ งกจ็ ะมคี วามเชอ่ื มโยงซง่ึ กนั และกนั อยู่ โรแมนตคิ เปน็ นกั แสวงหาผหู้ ลงใหลประสบการณเ์ รา้ อารมณ์ ผลก องคป์ ระกอบศลิ ป์ เปน็ สว่ นทสี่ ง่ เสรมิ ใหผ้ ลงานศลิ ปะท่ี ระทบทเี่ กดิ จากแนวคดิ แบบโรแมนตคิ ตอ่ วฒั นธรรมตะวนั ตกนน้ั เกดิ ขน้ึ อยา่ งกวา้ งขวาง (นรนิ ทร์ รตั นจนั ทร,์ 2555) สรา้ งสรรคเ์ กดิ ความสมบรู ณม์ ากยง่ิ ขน้ึ เพราะมหี ลกั การตา่ ง ๆ ให้ ผสู้ รา้ งสรรคไ์ ดย้ ดึ และปรบั แกผ้ ลงานใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั การทาง ศลิ ปนิ ในลทั ธนิ จ้ี ะไมว่ าดภาพทม่ี เี นอ้ื หาเกยี่ วกบั ศาสนา ศิลปะต่าง ๆ เพ่ือเป็นส่วนส่งเสริมให้ผลงานมีคุณค่าในด้านของ นิยายกรีกหรือโรมันโบราณ แต่จะวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์ทาง ความงามและสนุ ทรยี ภาพมากยงิ่ ขน้ึ ซงึ่ หลกั การตา่ ง ๆ ทป่ี รากฏ ประวตั ศิ าสตร์ วรรณคดี หรอื เรอื่ งราวอน่ื ๆ ทงั้ ในประเทศและ ลว้ นเคยเกดิ ขน้ึ มาแลว้ ตามลทั ธศิ ลิ ปะตา่ ง ๆ ทมี่ คี วามแตกตา่ งและ นอกประเทศทตี่ นเองรสู้ กึ สะเทอื นใจ วาดภาพดว้ ยหลกั กายวภิ าค มเี อกลกั ษณร์ ปู แบบเปน็ ของตนเอง (ชลดู นม่ิ เสมอ, 2553) อย่างถูกต้องแม่นย�ำ การจัดวางท่าทางของคนจะแสดงถึงความ เคลอ่ื นไหวอยา่ งมพี ลงั (จรงุ ยศ อรณั ยะนาค, 2555) สรุปว่า อิทธิพลจากลัทธิทางศิลปะที่ปรากฏในการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรมของผวู้ จิ ยั ลว้ นแลว้ แตม่ คี วามเกยี่ วขอ้ ง สรปุ วา่ ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� เทคนคิ และแนวคดิ มาใชใ้ นการสอ่ื สาร และพฒั นาทงั้ ในเรอ่ื งกระบวนการคดิ แนวความคดิ รปู แบบผลงาน ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ทั้งในเร่ืองของการเลือกใช้สี และเทคนคิ ตา่ ง ๆ จะถกู นำ� เสนอออกมาผา่ นความคดิ สรา้ งสรรค์ เทคนคิ การบอกเลา่ เรอื่ งราวทส่ี ะทอ้ นอารมณค์ วามรสู้ กึ ของผวู้ จิ ยั ที่ อารมณ์ ความรสู้ กึ และความลกึ ลบั ทซี่ อ่ นอยู่ เปน็ การแสดงพลงั ท่ี ไดพ้ บเจออปุ สรรคเรอื่ งราวตา่ ง ๆ จนสามารถฝา่ ฟนั อปุ สรรคไปไดจ้ งึ ซอ่ นอยภู่ ายในออกมาสภู่ ายนอกในแนวทางทสี่ รา้ งสรรค์ ดว้ ยการ ประสบความสำ� เรจ็ โดยนำ� มาถา่ ยทอดผา่ นผลงานจติ รกรรม ซง่ึ ผล สรา้ งสรรคผ์ ลงานออกมาเปน็ ตวั กลางในการสอื่ สารกบั ผชู้ มงาน งานทสี่ รา้ งสรรคจ์ ะเปน็ การลดทอนรายละเอยี ดของภาพลกั ษณะ ของสแี ละแสง ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยอารมณค์ วามรสู้ กึ จติ ใตส้ ำ� นกึ ของผวู้ จิ ยั 3. สรปุ ขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และเปน็ ทศั นภาพทขี่ ยายความงดงามของธรรมชาตใิ หป้ ระจกั ษ์ คล่ืน/ลม/ทะเล: จากอารมณ์ความรู้สึกต่อธรรมชาติสู่ ผลงานจติ รกรรม คอื การสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรมบนผา้ ใบ ที่ 2. องคป์ ระกอบศลิ ปใ์ นการสรา้ งสรรคง์ านจติ รกรรม แสดงออกถึงพลังอารมณ์ท่ีอยู่ภายในจิตใจของผู้วิจัยในช่วงเวลา 2.1 องคป์ ระกอบศลิ ป์ (Composition) นน้ั ๆ เปน็ การนำ� พลงั ทอี่ ยใู่ นตวั ตนออกมาถา่ ยทอดผา่ นความคดิ องค์ประกอบของศิลปะประกอบข้ึนจากหลากหลาย สรา้ งสรรค ์ อารมณ์ และความรสู้ กึ ทมี่ า แตจ่ ะมสี ว่ นสำ� คญั เพยี ง 2 สว่ น ไดแ้ ก่ สว่ นทหี่ นง่ึ มาจากการ ธรรมชาติส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้วิจัยและ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ ตอ้ งรบั รไู้ ดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั สว่ นใดสว่ น สามารถนำ� มาเปน็ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรม หนงึ่ (รปู ทรง) สว่ นทส่ี อง คอื องคป์ ระกอบนามธรรม (เนอื้ หา) เปน็ ธรรมชาตทิ ไ่ี มส่ ามารถเคลอื่ นไหวได้ เปลยี่ นแปลงหรอื ฟน้ื ฟคู นื 2.1.1 รปู ทรง มองเหน็ และรบั รไู้ ดใ้ นงานศลิ ปะ สามารถ สสู่ ภาพเดมิ ไมไ่ ด้ เมอ่ื ถกู ทำ� ลายกจ็ ะหมดไป และดว้ ยการดำ� รงชวี ติ ทำ� ใหเ้ กดิ เนอื้ หาขนึ้ กบั ตวั รปู ทรงเองได้ ซงึ่ รปู ทรงกบั เนอ้ื หาหาก ของผวู้ จิ ยั มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ธรรมชาตทิ างทะเลมาตงั้ แตเ่ กดิ ไมว่ า่ แยกออกจากกนั หรอื มเี พยี งอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ กไ็ มอ่ าจเรยี กวา่ ศลิ ปะ จะผา่ นไปนานแคไ่ หนอารมณค์ วามรสู้ กึ ความผกู พนั กย็ งั คงอยู่ หาก ได้ รปู ทรงองคป์ ระกอบสำ� คญั 2 สว่ น คอื คดิ ถงึ รปู ทรง อารมณค์ วามรสู้ กึ บรรยากาศ กลนิ่ สี เสยี ง กจ็ ะขน้ึ 2.1.1.1 โครงสรา้ งทางรปู การรวมตวั กนั ของทศั นธาตเุ ปน็ มาในมโนสำ� นกึ ไดต้ ลอดเวลา ผลงานทมี่ คี วามกลมกลนื เปน็ หนง่ึ เดยี ว (Unity) การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมบนผ้าใบ เป็นการ 2.1.1.2 โครงสร้างทางวัตถุ วัสดุท่ีน�ำมาใช้ในการ สรา้ งสรรคท์ ลี่ ะทง้ิ ความละเอยี ด ความเหมอื นจรงิ ตามธรรมชาติ สรา้ งสรรคร์ ปู เชน่ โขดหนิ คลนื่ หาดทราย ทอ้ งฟา้ ฯลฯ ที่ตาเห็น เพ่ือได้ผลลัพธ์ในลักษณะของสีและแสงเงา ส�ำหรับสี 2.1.2 เนอื้ หา ตรงขา้ มกบั รปู ทรงทสี่ ามารถรบั รผู้ า่ นการ และเทคนคิ ผวู้ จิ ยั ใชส้ นี ำ�้ มนั ในการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน โดยวาดจาก สมั ผสั ไดเ้ ปน็ องคป์ ระกอบทเ่ี ปน็ นามธรรมมาเปน็ สว่ นเตมิ เตม็ ใหผ้ ล แนวคดิ ทฉี่ บั พลนั เพอื่ ใหเ้ กดิ อารมณค์ วามรสู้ กึ และแนวคดิ อยา่ ง งานศลิ ปะจะเกดิ ความกระจา่ ง เกดิ ความเขา้ ใจจากการรบั รทู้ างรปู ชัดเจน นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินในยุค ทรงมากยงิ่ ขนึ้ นอกจากเนอื้ หากย็ งั มี เรอื่ งและแนวเรอ่ื ง ซง่ึ ทง้ั สาม ต่าง ๆ ที่ได้แสดงออกมาผ่านผลงานทางศิลปะท่ีได้ศึกษาข้อมูล
ปที ่ี 4 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 9 รายละเอยี ด ผวู้ จิ ยั จงึ ไดน้ ำ� มาถา่ ยทอดพลงั ในการสรา้ งสรรคง์ าน อภปิ รายการสรา้ งสรรค์ (ภาพท่ี 11-12) ผวู้ จิ ยั ถา่ ยภาพ ศลิ ปนพิ นธ ์ โดยเปรยี บคลนื่ ทะเลคอื ผวู้ จิ ยั และโขดหนิ เปรยี บดง่ั มาวาดทดลองสนี ำ�้ มนั เปน็ ผลงานการสรา้ งสรรคช์ ดุ ทดลองเรม่ิ ตน้ อปุ สรรคทผี่ า่ นเขา้ มาในชวี ติ นอกจากนยี้ งั ใชส้ เี พอ่ื บง่ บอกถงึ อารมณ์ เพอื่ ทดลองการใชส้ นี ำ�้ มนั และการลงสใี หเ้ กดิ บรรยากาศ และสถานการณ์ท่ีพบเห็น น�ำเสนอแนวความคิดและศิลปะด้วย เทคนคิ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหเ้ กดิ อารมณ์ ความรสู้ กึ ผา่ นการสรา้ งสรรค์ สรปุ ผลงานชดุ ทดลอง อาจารยท์ ปี่ รกึ ษาไดใ้ หค้ ำ� แนะนำ� ผลงานจติ รกรรมบนผา้ ใบ วา่ ควรเพม่ิ เตมิ ในสว่ นของอารมณแ์ ละความรสู้ กึ หรอื ความหมายที่ มนี ยั ยะมากขนึ้ เพราะภาพจติ รกรรมทอ่ี อกมาตอนน ้ี เหมอื นภาพ ผลงานศกึ ษา ววิ ธรรมดาทว่ั ไป 1. การพฒั นาผลงานชดุ ทดลอง 2. ผลงานปฏบิ ตั จิ รงิ แนวคดิ หลกั มาจากการทตี่ วั ของผวู้ จิ ยั นนั้ เกดิ และเตบิ โต หลังจากได้ศึกษาการเขียนภาพทิวทัศน์ทะเล จากการ ทภี่ าคใต้ จงึ ทำ� ใหเ้ กิดความรักและผกู พนั กับทะเลเป็นอยา่ งมาก มองทัศนียภาพจริงและวาดจากภาพถ่าย ผู้วิจัยเกิดความม่ันใจ จงึ อยากนำ� เสนอบรรยากาศ และอารมณค์ วามรสู้ กึ ทมี่ ตี อ่ ทะเลใน ทจ่ี ะถา่ ยทอดอารมณค์ วามรสู้ กึ ทมี่ ตี อ่ ชว่ งเวลาทวี่ าดภาพทผ่ี วู้ จิ ยั ชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ออกมาเปน็ ผลงานจติ รกรรมโดยไดศ้ กึ ษาทดลอง เกิดความประทับใจ ต่ออารมณ์อันหลากหลายท่ีปรากฏให้เห็น วาดจากผลงานของศิลปินเป็นแบบอย่างและวาดจากภาพถ่าย จากธรรมชาติ จากสถานทจี่ รงิ ภาพที่ 13 wave 14 โดย ผวู้ ิจัย, 2562 ภาพท่ี 11 ภาพทดลอง 1 โดย ผู้วจิ ยั , 2560 ภาพที่ 12 ภาพทดลอง 3 ภาพท่ี 14 wave 17 โดย ผูว้ ิจัย, 2560 โดย ผูว้ จิ ัย, 2562 อภิปรายการสร้างสรรค์ (ภาพที่ 13) ภาพนี้ผู้วิจัย ต้องการแสดงให้เห็นถึงพลังท่ีส่งผ่านออกมาจากคล่ืนที่กระทบ โขดหิน ใช้เทคนิคการวาดแบบฉับพลัน การป้ายปาดสีท่ีให้รับ
10 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตร์และการสื่อสาร รู้ถึงการสาดซัดอย่างแรงของน�้ำ และใช้เทคนิคการแทรกสีเข้า ปัญหาและอุปสรรค และต้องการใหเ้ กดิ เปน็ พ้นื ผิว มีความหนา ด้วยกันเพ่ือให้เกิดความกลมกลืนของภาพ โดยใช้สีโทนเย็น ของสี และใช้เทคนิคการสาดสีอย่างรวดเร็ว เพ่ือให้เกิดเป็นการ กระเซ็นอย่างแรงของนำ้� ทะเล อภิปรายการสร้างสรรค์ (ภาพท่ี 14) ภาพนี้ผู้วิจัย ต้องการส่ือให้เห็นถึงคล่ืนท่ีสงบ เปรียบได้กับการก้าวข้าม อภปิ รายการสรา้ งสรรค์ (ภาพท1ี่ 6) ผลงานชนิ้ นีผ้ ้วู จิ ัย ปัญหาและอุปสรรค มีการจัดวางองค์ประกอบแบบเน้นระยะ เลือกใช้สีโทนร้อนเป็นหลัก ร่วมกับใช้สีโทนเย็น เน้นไปท่ีความ หน้าและระยะกลาง และแทรกสีเข้าด้วยกัน ระบายสีเป็นชั้น กดดัน ขึงขัง และการบีบอัดที่ต้องการจะพุ่งออกมา เป็นความ ๆ ไม่รุนแรงและไม่ฉับไวเหมือนกับผลงานช้ินอ่ืน ๆ ท่ีผ่านมา รู้สกึ สงบน่งิ ก่อนทีพ่ ายุใหญจ่ ะเกิดข้ึน โดยเนน้ การทาสเี ปน็ ช้ัน ๆ โดยจะเน้นไปที่การเก็บรายละเอียดและสีสัน ซึ่งต้องการให้ แบบหนา ๆ ส่วนเทคนิคท่ีใช้เป็นการป้ายปาดสีท�ำให้เกิดการก รู้สึกสงบมากกว่าชิ้นอ่ืน ระเซน็ ของนำ้� ทะเล 3. ผลงานศิลปนิพนธ์ “คล่ืน/ลม/ทะเล: จากอารมณ์ อภปิ รายผล ความรู้สึกต่อธรรมชาติสู่ผลงานจิตรกรรม” จากการวิจัยเร่ือง คล่ืน/ลม/ทะเล: จากอารมณ์ความ ภาพท่ี 11 ภาพทดลอง 1 รู้สึกต่อธรรมชาติสู่ผลงานจิตรกรรม ผู้วิจัยได้ปฏิบัติงานซ่ึงได้ โดย ผ้วู จิ ยั , 2560 ศึกษาในเร่ืองของแสง สี บรรยากาศ และองค์ประกอบของ ภาพที่เกี่ยวกับทะเล โดยที่พยายามส่ือออกมาให้สะท้อนการ ต่อสู้ดิ้นรนของชีวิตมนุษย์และสรรพส่ิงให้บรรลุเป้าหมาย โดย เปรียบอุปสรรคเป็นด่ังโขดหิน และเป็นพลังให้กับทุกคนในการ ภาพที่ 12 ภาพทดลอง 3 ฝ่าฟันอุปสรรค ส่วนเทคนิคเป็นการถ่ายทอดพลังอารมณ์ออก โดย ผวู้ จิ ัย, 2560 มาจากการป้ายปาดสีแบบฉับพลัน มีการแทรกสีในบรรยากาศ ที่เกิดจากการได้ศึกษาทฤษฎีสีของโมเน่ต์ นอกจากนี้ยังได้มี อภปิ รายการสร้างสรรค์ (ภาพท1ี่ 5) ภาพนี้ผูว้ จิ ยั สือ่ ถงึ การตัดทอนและจัดองค์ประกอบให้แตกต่างจากภาพท่ีผู้คนเคย พลังของคล่ืนน�้ำที่ซัดเข้าหาโขดหินอย่างแรง และเกิดเป็นพื้นท่ี พบเห็น องค์ประกอบศิลป์ที่ผู้วิจัยใช้ คือการน�ำภาพทัศนียภาพ ของคล่ืนท่ีกระจายออกไปรอบทิศทาง เหมือนกับการเผชิญกับ ท่ีพบเห็น และเกิดความประทับใจ จึงน�ำมาเป็นแรงบันดาลใจ ในการสร้างสรรค์ โดยน�ำมาตัดทอนรายละเอียดพร้อมแทรก สีท่ีเกิดความความนึกคิดของผู้วิจัย ซ่ึงผลงานแต่ละภาพจะมี การจัดองค์ประกอบที่แตกต่างกันโดยเน้นเส้นน�ำสายตาท่ีมีเส้น เฉียงเป็นจุดเด่น รวมถึงการเคลื่อนไหวของน้�ำท่ีกระเซ็นจนเป็น ละอองของคล่ืน พ้ืนผิวของหินท่ีมีลักษณะเป็นภาพนูนต่�ำเพื่อให้ รู้สึกถึงผิวสัมผัสที่สมจริง ผู้วิจัยได้ซึมซับถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้วิจัยมีต่อทะเล จากช่วงเวลาต่าง ๆ โดยศึกษารายละเอียดของคล่ืน ลม ทะเล จากการเคล่ือนไหวของน�้ำทะเลที่มากระทบโขดหินในแต่ละ ช่วงเวลา ในสถานที่แต่ละแห่งรวมทั้งบรรยากาศในช่วงเวลา พระอาทิตย์ข้ึน พระอาทิตย์ตก รวมไปถึงแสงเงา และแสงสี ต่าง ๆ ในบรรยากาศของธรรมชาติท้องทะเลและจินตนาการ ของผู้วิจัย
ปีท่ี 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 11 ในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมผู้วิจัยได้ศึกษาผล เอาอารมณค์ วามรสู้ กึ ทม่ี คี วามผกู พนั ตอ่ ธรรมชาตมิ าถา่ ยทอดผา่ น งานของศิลปิน ทั้งเทคนิคการป้ายปาดแบบฉับพลัน พ้ืนผิวของ ผลงานจิตรกรรม โดยใช้องค์ประกอบที่ได้พบเห็นตั้งแต่เยาว์วัย รอยฝีแปรง และทฤษฎีต่าง ๆ อีกทั้งรอยฝีแปรงที่ทิ้งพ้ืนผิวของ มาสรา้ งสรรค์ ผา่ นกระบวนการคดิ และวเิ คราะหใ์ นเรอ่ื งของแสง สี เพื่อน�ำมาสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม ผู้วิจัยได้พบว่า การน�ำ สี ท่ีมคี วามหมายปรชั ญาชวี ติ แฝงไว้ในแตล่ ะช้ินงาน แฝงปรชั ญา ทฤษฎีสี และเทคนิคต่าง ๆ โดยน�ำ ทฤษฎีกางใช้สีของโมเน่ท์กับ นน่ั คอื การมคี วามเพยี รสมำ่� เสมอมี วริ ยิ ะ อตุ สาหะตอ่ เนอื่ ง เพราะ แวนโก๊ะมาใช้ซ่ึงเทคนิคที่ใช้คือการ ป้ายปาดสี แบบฉับพลับเพื่อ เป็นส่ิงส�ำคัญท่ีจะท�ำให้คนเราประสบความส�ำเร็จในชีวิตแห่ง ให้เกิดพื้นผิวท่ีเสมือนจริงกับคล่ืน และโขตหิน มาสร้างสรรค์ใน ความส�ำเร็จ ในเร่ืองของอุปสรรคท่ีผู้วิจัยได้เคยประสบพบเจอ ผลงานท�ำให้มีการผสมผสานกันได้อย่างลงตัวตามจิตใต้ส�ำนึก กบั ตนเอง และก้าวข้ามอปุ สรรคท้งั หมดมาไดด้ ้วยทัศนคตทิ ด่ี จี น ของผู้วิจัย และส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้วิจัย ผลงาน ประสบความสำ� เรจ็ และผวู้ จิ ยั ไดค้ น้ พบวา่ เมอื่ ไดน้ ำ� จติ นกึ คดิ รวม ของผู้วิจัยมุ่งสร้างสรรค์ทฤษฎีการสร้างบรรยากาศ แสงสี ท่ีอิง เขา้ กบั อารมณค์ วามรสู้ กึ ทำ� ใหก้ ารสรา้ งสรรคผ์ ลงาน จงึ มคี วามลกึ หลักวิทยาศาสตร์ น�ำแนวคิดและเทคนิคต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ ซ้งึ มากขน้ึ และเกิดการพัฒนาเทคนิคใหม่ ท้ังในเรอื่ งของการใชส้ ี น้ันและได้น�ำมาประยุกต์ใช้จากการกระทบของแสงท่ีรวมความ และพ้ืนผวิ ที่ไมเ่ คยไดส้ รา้ งสรรค์มาก่อนทำ� ให้เกิดความคิดรเิ ริม่ หลากหลายของสีสันเข้าด้วยกัน จากแสงในช่วงเวลาต่างๆ จึง สร้างสรรคข์ น้ึ กับผลงานในชิ้นต่อไป ได้ภาพผลงานจิตรกรรมในแต่ละภาพที่มีแสงตกกระทบแตก ต่างกัน ท�ำให้มีความแตกต่างในเรื่องของอารมณ์และความ ข้อเสนอแนะ หมายของแต่ละภาพได้ศึกษามาอย่างต่อเน่ือง รวมกับอารมณ์ ความรู้สึกและจิตใต้ส�ำนึก เป็นอัตลักษณ์การเปรียบเปรยให้เกิด จากการศึกษาพบว่า ปัญหาในการศึกษางานวิจัยส่วน พลังบวก โดยการเปรียบผู้วิจัยเป็นเหมือนน�้ำทะเล ที่พบเจอ ใหญ่คือการถา่ ยทอดผลงานออกมาในรปู แบบวชิ าการ เนือ่ งจาก อุปสรรคคือ โขดหิน และสามารถก้าวผ่านไปได้ เปรียบด่ังชีวิต ผลงานวจิ ยั เป็นการถา่ ยทอดอารมณ์และความรสู้ ึกของผวู้ จิ ยั ซ่งึ ของคนเราท่ีไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคใด ๆ ก็สามารถที่จะเรียน สามารถน�ำทฤษฏีทางจิตวิทยาเพ่ือน�ำมาขยายและต่อยอดการ รู้แล้วก้าวผ่านไปได้ นอกจากนี้การได้ศึกษาแนวความคิดของ สร้างสรรค์และการวิเคราะห์อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะ ศิลปิน เช่น เทอร์เนอร์ (J.M.W. Turner) จากการวาดแบบฉับ มองภาพทิวทัศน์และภาพธรรมชาติ หรือสามารถน�ำทฤษฏีทาง พลัน ณ เหตุการณ์ตอนนั้น และทฤษฎีการหักเหของแสงในช่วง จติ วทิ ยาเปน็ เครอ่ื งมอื ในการวเิ คราะหผ์ ลงานของผวู้ จิ ยั เพอ่ื แสดง เวลาต่าง ๆ ของ โมเน่ต์ (Claude Monet) ผู้วิจัยได้น�ำมาใช้กับ ถึงจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์ให้มีน้�ำหนักและความหนักแน่น การสร้างสรรค์ผลงาน ท�ำให้ได้ถ่ายทอดผลงานออกมาได้อย่าง ทางวิชาการมากยิ่งข้ึน นอกจากนี้ผลจากการวิจัยสามารถน�ำไป ท่ีต้องการ กล่าวคือ ทุกผลงานท่ีน�ำเทคนิคมาประยุกต์ใช้นั้น ใชป้ ระโยชนใ์ นเรอ่ื งของผทู้ อ่ี ยากสรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรม โดย สร้างสรรค์ด้วยเทคนิคท่ีได้ศึกษามาจากศิลปิน รวมถึงอารมณ์ นำ� เอาอารมณค์ วามรสู้ กึ มาถา่ ยทอดในผลงาน และนำ� หนกั ทฤษฎี ความรู้สกของจิตใต้ส�ำนึก (Unconscious) ของผู้วิจัยออกมา ของศิลปินในยุคต่างๆมาเช่ือมโยงได้ เพราะการสร้างสรรค์ผล เป็นพลังความงามของท้องทะเล งานจติ รกรรมน้ัน ต้องได้รบั อทิ ธพิ ลและแรงบนั ดาลใจทเี่ กดิ จาก ส่ิงรอบตัวของศิลปิน เผ่ือน�ำมาถ่ายทอดอย่างลึกซ้ึงจนเกิดเป็น ผลงานของผู้วิจัยมีความแตกต่างกับตัวผลงานของ ผลงานจิตรกรรม และผลงานของผ้สู ามารถเปน็ แรงบนั ดาลใจให้ ศลิ ปนิ คอื ผลงานของศลิ ปนิ จะสอื่ ถงึ เหตกุ ารณส์ ะเทอื นอารมณท์ ี่ กบั ผทู้ ม่ี คี วามสนใจและอยากถา่ ยทอดเรอ่ื งราวความผกู พกั ทมี่ ตี อ่ มตี อ่ ตวั ของศลิ ปนิ ในแตล่ ะยคุ สมยั ตา่ งจากผลงานของผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� ธรรมชาติใหก้ บั คนรุ่นหลงั ได้
12 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการส่ือสาร บรรณานกุ รม จริ ะพฒั น์ พติ รปรชี า. (2545). โลกศลิ ปะศตวรรษท่ี 20 (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1). กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพมิ พ์. จรุงยศ อรัณยะนาค. (2555). ประวัติศาสตร์ศิลป์ (พิมพ์คร้ังท่ี 1). สมุทรปราการ: โครงการส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เฉลิมพระเกยี รติ. พรสนอง วงศ์สงิ หท์ อง. (2547). ประวตั ศิ าสตรน์ ฤมิตศลิ ป์ (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1). กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ชลูด น่มิ เสมอ. (2553). องคป์ ระกอบของศลิ ปะ (พิมพค์ ร้งั ท่ี 7). กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร.์ ชวพล จึงสมาน. (2559). เอ็กซเพรสชันนิสม์ (Expressionism). สืบค้นจาก http://worldcivil14.blogspot.com/2014/03/ expressionism.html
ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 13 การพัฒนาชุดอบรมออนไลน์ เรือ่ ง การป้องกันและระงบั อคั คีภัย สำ� หรบั กลุ่มอำ� นวยการ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ The Development of Online Training Package on Fire Prevention and Suppression for the Operations Unit Prapokklao Hospital ชญาภา ศภุ วรวงศ1์ ภรู ิพัฒน์ แก้วตาธนวฒั นา2 ปฏิภาณ กิตตินันทวฒั น3์ Chayapha Supaworawong, Puripat Kaewtathanawattana and Patipan Kittinuntawat Article History Received: July 1 2020 Revised: July 14, 2020 Accepted: July 16, 2020 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการ โรงพยาบาลพระปกเกล้า ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 = 85/85 เพ่อื ศึกษาดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของชุดฝกึ อบรมออนไลน์ และเพอ่ื ศกึ ษาความพงึ พอใจของบคุ ลากรกลมุ่ อำ� นวยการโรงพยาบาลพระปกเกลา้ ทมี่ ตี อ่ ชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ วธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ยั มี 5 ระยะ คอื ระยะที่ 1 วเิ คราะหป์ ญั หาการปอ้ งกนั และการระงบั อคั คภี ยั ของกลมุ่ อำ� นวยการโรงพยาบาลพระปกเกลา้ ระยะท่ี 2 ออกแบบออกแบบ ชดุ ฝกึ อบรมออนไลนก์ ารปอ้ งกนั และการระงบั อคั คภี ยั ระยะท่ี 3 สรา้ งชดุ ฝกึ อบรมออนไลนแ์ ละหาประสทิ ธภิ าพของชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ ตามเกณฑม์ าตรฐาน E1/E2 = 85/85 และตามเกณฑม์ าตรฐานการหาคา่ ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล (E.I.) ระยะที่ 4 นำ� ชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ การปอ้ งกนั และการระงบั อคั คภี ยั ไปใช้ ระยะท่ี 5 ประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ ชดุ ฝกึ อบรมออนไลนก์ ารปอ้ งกนั และการระงบั อคั คภี ยั ผลการวจิ ยั พบวา่ ชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ เรอื่ งการปอ้ งกนั และระงบั อคั คภี ยั สำ� หรบั กลมุ่ อำ� นวยการ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ที่สร้างข้ึนและน�ำไปทดสอบประสิทธิภาพปรากฏว่าค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบทดสอบชุดฝึกอบรมออนไลน์เรื่องการป้องกันและ ระงบั อัคคีภยั มผี ลประสทิ ธภิ าพเท่ากบั 86.22/86.44 สงู กว่าเกณฑม์ าตรฐานทก่ี ำ� หนดคา่ ดัชนีการปอ้ งกันและระงบั อคั คภี ยั ไว้ที่ E1/ E2 = 85/85 และพบว่าประสิทธิผลของชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรอื่ งการป้องกันและระงับอัคคีภยั สำ� หรบั กลุม่ อ�ำนวยการโรงพยาบาล พระปกเกลา้ มคี ่าดชั นปี ระสทิ ธผิ ลเทา่ กบั .72 มากกว่าเกณฑ์ประสิทธผิ ลที่ยอมรับไดค้ อื .50 และยังพบอกี ว่าบุคลากรกลุม่ อำ� นวย การโรงพยาบาลพระปกเกล้ามีความพงึ พอใจตอ่ ชดุ ฝึกอบรมออนไลน์อยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ โดยมคี า่ เฉล่ีย 4.58 คำ� สำ� คัญ: ชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ การปอ้ งกันและระงับอัคคภี ัย โรงพยาบาลพระปกเกล้า 1 กลมุ่ งานนโยบายและแผน โรงพยาบาลพระปกเกลา้ Policy and Planning Group PraPokklao Hospital. *Corresponding author Email: [email protected] 2,3 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั รำ� ไพพรรณี Faculty of Communication Arts Rambhai Barni Rajabhat University
14 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการสอื่ สาร Abstract This research has the objective to develop online training package on fire prevention and suppression for the director Prapokklao hospital to be effective according to the criteria E1 / E2 = 85/85. to study the effec- tiveness index of online training packages and to the satisfaction for the director Prapokklao hospital towards the online training series. There are 5 phases of the research method. Phase 1: analysis of the fire prevention and suppression problem of the director Prapokklao hospital. Phase 2: design online training fire prevention. Phase 3: create an online training package and determine the effectiveness of the online training package based on the E1 / E2 = 85/85 criterion and the EI criteria. Phase 4: Implemented a series of online training prevention and fire extinguishing. Phase 5: assessment of satisfaction with the fire prevention and fire online training package. The research results were found that online training package on fire prevention and suppression for the director Prapokklao hospital. It was found that the effectiveness index of the fire prevention and suppression online training test was 86.22 / 86.44, higher than the standard for the fire prevention and suppression index of E1 / E2 = 85/85 and found that the effectiveness of the online training package on fire prevention and suppression for the director Prapokklao hospital the effectiveness index was .72 greater than the acceptable effectiveness criteria of .50, and found that personnel at Prapokklao hospital administration group had the highest level of satisfaction with the online training package with an average of 4.58 Keywords: Online Training Package, Fire prevention and suppression, Prapokklao Hospital บทนำ� เพื่อการยกระดับมาตรฐานการจัดการสาธารณภัยโดยเฉพาะ อัคคีภัยให้ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตนท่ีถูกต้องเพื่อ อัคคีภัยเป็นภัยใกล้ตัวท่ีเกิดขึ้นบ่อยคร้ังและก่อให้เกิด ความปลอดภัยของประชาชน และเป็นการเตรียมความพร้อม ความสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สินและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของ ในการรับมือกับอัคคีภัยหรือภัยต่าง ๆ ท่ีอาจเกิดขึ้นได้อย่างทัน ประเทศไทยจากสถิติการเกิดอัคคีภัย ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2532 ถึงปี ท่วงทีและมีประสิทธิภาพ (แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2563 ทั่วประเทศมีสถิติการเกิดอัคคีภัยกว่า 52,000 คร้ัง แห่งชาติ, 2558) มีคนเสียชีวิต 1,740 คน และมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 31,000 ล้านบาท รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงปัญหาอัคคีภัยที่เกิดข้ึน พระราชบญั ญตั คิ วามปลอดภยั อาชวี อนามยั และสภาพ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สินของประชาชน แวดล้อมในการท�ำงานพ.ศ.2554ได้ก�ำหนดมาตรฐานในการ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รัฐบาลจึงได้ก�ำหนดให้อัคคี บริหารจัดการและดำ� เนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย ภัยเป็นส่วนหน่ึงของนโยบายประเทศไทยปลอดภัย (Safety และสภาพแวดล้อมในการท�ำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับ Thailand) เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอัคคี อัคคีภัย โดยก�ำหนดให้ทุกหน่วยงานต้องจัดท�ำแผนป้องกันและ ภัยในระยะยาว ซ่ึงนโยบายดังกล่าวเป็นส่วนหน่ึงของการพัฒนา ระงับอัคคีภัย ประกอบกับการจัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงาน ประเทศให้มีความปลอดภัยในทุกพ้ืนที่ท่ัวประเทศ โดยให้ทุก เก่ียวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย การใช้อุปกรณ์ดับเพลิง ภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอัคคีภัยเพ่ือลดความ การดบั เพลงิ ท่ีถกู วิธี การอพยพหนีไฟ และการบรรเทาทกุ ข์เมือ่ ความเสียหายหรือสามารถลดความเส่ียงที่อาจก่อให้เกิดอัคคีภัย เกิดอัคคีภัย เพ่ือเป็นการป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน โดยการสร้างองค์ความรู้เก่ียวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย และลดอตั ราเสย่ี งต่อการเกดิ เหตุอัคคภี ัย
ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 15 โรงพยาบาลพระปกเกล้าเป็นหน่วยงานรัฐแห่งหน่ึง 2. เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกอบรม ท่ีต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย ออนไลน์ เรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวย และสภาพแวดล้อมในการท�ำงานพ.ศ.2554 จึงได้จัดท�ำแผน การโรงพยาบาลพระปกเกล้า ป้องกันและระงับอัคคีภัย เพ่ือให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรกลุ่ม พ.ศ.2554 และนโยบายด้านความปลอดภัยเพื่อด�ำเนินการตาม อ�ำนวยการ มีต่อชุดฝึกอบรมออนไลน์ เร่ือง การป้องกันและ นโยบายการจัดการอัคคีภัยของประเทศดังน้ันกลุ่มอ�ำนวยการ ระงับอัคคีภัย จึงจ�ำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ และมี ทักษะในการป้องกันและระงับอัคคีภัย ผ่านกระบวนการเรียน ขอบเขตการวิจัย รู้แบบบูรณาการ ซ่ึงสามารถปฏิบัติได้หลากหลายวิธี เช่น การ สอน การแนะน�ำ การฝึกอบรม การให้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียน การศึกษาเก่ียวกับ การพัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ รู้เก่ียวกับการป้องกันอัคคีภัย เป็นต้น ส�ำหรับวิธีการพัฒนา เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการโรง บุคลากรที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้เวลาน้อยตรงกับความ พยาบาลพระปกเกล้าครั้งนี้ ผู้วิจัยด�ำเนินการศึกษา ดังปรากฏ ต้องการของบุคลากรและหน่วยงานมากท่ีสุด คือการฝึกอบรม รายละเอียดต่อไปนี้ ซึ่งเป็นวิธีการเพิ่มคุณภาพการท�ำงาน ความมุ่งหวังให้ผู้เข้ารับ การฝึกอบรมมีการเปล่ียนแปลงและพัฒนาการในด้านความรู้ 1. ขอบเขตด้านเนื้อหามุ่งศึกษาการพัฒนาชุดฝึก และทักษะ (ชูชัย สมิทธิไกร,2554) อบรมออนไลน์การป้องกันและระงับอัคคีภัย ของบุคลากรกลุ่ม อ�ำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า ปัจจุบันน้ีส่ือออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทส�ำคัญใน การเปล่ียนโฉมหน้าทางการส่ือสารในทุกมิติโดยเฉพาะทาง 2. ขอบเขตด้านประชากร บุคลากรของกลุ่มอ�ำนวย ด้านเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเรียน การโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ�ำนวน 380 คน รู้ เช่น การฝึกอบรมออนไลน์ท่ีมีเนื้อหาสาระเก่ียวเนื่องกับ การป้องกันและระงับอัคคีภัยเพื่อลดความเสียหายต่อชีวิตและ 3. ขอบเขตด้านเวลา ใช้เวลาในการเตรียมข้อมูล จัด ทรัพย์สิน ซ่ึงชุดฝึกอบรมออนไลน์นี้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง ล�ำดับข้อมูล พร้อมท้ังแจกแบบสอบถาม และน�ำผลมาวิเคราะห์ ได้ตลอดเวลาอย่างไม่มีข้อจ�ำกัด ท้ังในแง่ของพ้ืนท่ีและช่วงเวลา ข้อมูล ใช้ระยะเวลาในการวิจัย เริ่มตั้งแต่ วันท่ี 5 มีนาคม 2562 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพการเรียนรู้เร่ืองการป้องกัน ถึง 5 กรกฎาคม 2563 และระงับอัคคีภัยของบุคลากรกลุ่มอ�ำนวยการโรงพยาบาลพระ ปกเกล้าได้ดียิ่งขึ้น ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานอ่ืน ๆ ของ เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย โรงพยาบาลพระปกเกล้า และโรงพยาบาลอ่ืน ๆ ที่จะสามารถ ประยุกต์ใช้อันจะน�ำไปสู่การพัฒนาที่เกิดจากความคิดของทุก เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือการวิจัย ภาคส่วนท่ีมีส่วนได้ส่วนเสียส่งผลให้เกิดประโยชน์กับประชาชน คร้ังน้ี คือ แบบสอบถามท่ีใช้สอบถามกลุ่มตัวอย่างจ�ำนวน 380 และประเทศชาติต่อไป คน แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้ วัตถุประสงค์ 1. ชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่อง การป้องกันและระงับ อัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า 1. เพ่ือพัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่อง การป้องกัน และระงับอัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการ โรงพยาบาลพระ 2. แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบระหว่าง ปกเกล้า ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 = 85/85 เรียน และแบบทดสอบหลังเรียน เพ่ือประเมินชุดการฝึกอบรม ออนไลน์ เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัย สำ� หรับกลุ่มอ�ำนวย การโรงพยาบาลพระปกเกล้า 3. แบบสอบถามเพ่ือประเมินความพึงพอใจของผู้ เรียนท่ีมีต่อชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่อง การป้องกันและระงับ อัคคีภัย
16 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตรแ์ ละการสอ่ื สาร แนวคิดและทฤษฎี หรือโปรแกรมการฝึกอบรมผ่านเว็บที่มีประสิทธิภาพนั้นจึงต้อง ประกอบด้วย ข้อความหลายมิติ ส่ือหลายมิติคอมพิวเตอร์ช่วย การศึกษาการพัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่อง การ ฝึกอบรม และการส่ือสารผ่านคอมพิวเตอร์ ซ่ึงองค์ประกอบดัง ป้องกันและระงับอัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการ โรงพยาบาล กล่าวไม่จ�ำเป็นจะต้องมีทั้งหมด อาจมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง พระปกเกล้า ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ หรือทั้งหมดเลยก็ได้ (จรัสศรี รัตตะมาน, 2551) 1.แนวคิดเกี่ยวกับชุดฝึกอบรมออนไลน์ การจัดการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรมแบบ สังคมไทยในปัจจุบันนี้อินเทอร์เน็ตมีความส�ำคัญต่อ ออนไลน์ ที่เรียกว่า E-Learning หรือ E-Training น้ัน เป็นการ ชีวิตประจ�ำวันของคนเราหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะทางด้านการ เรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ตซึ่งเป็นการ ศึกษาสามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล เรียนรู้ด้วยตนเองที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความสามารถ ทางวิชาการ ข้อมูลด้านการบันเทิง ด้านการแพทย์ และอื่น ๆ และความสนใจของตนเอง โดยน�ำเสนอเน้ือหาในลักษณะ ท่ีน่าสนใจ ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะท�ำหน้าท่ีเสมือนเป็น ข้อความ รูปภาพ เสียง วีดิทัศน์ และมัลติมีเดียแบบต่าง ๆ เท่า ห้องสมุดขนาดใหญ่ เอื้อให้ผู้สอน ผู้เรียน ค้นคว้าหาข้อมูลท่ี ที่เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถสร้างสรรค์ได้ (สถาบันพัฒนาครู สนใจ ท้ังข้อมูลท่ีเป็นข้อความ เสียง ภาพเคล่ือนไหวต่าง ๆ และ คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา, 2550) การฝึกอบรม สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้ทุกท่ี ทุกเวลา ดังน้ัน การ ออนไลน์เป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับ จัดจะบวนการเรียนรู้แบบออนไลน์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การฝึกอบรมท่ีจะต้องรับความรู้แบบต่อเนื่องตามหลักสูตร ทางการเรียนรู้และแก้ปัญหาในเร่ืองข้อจ�ำกัดทางด้านสถานท่ี ที่ก�ำหนด ก็จะเป็นการอ�ำนวยความสะดวกและเป็นช่องทางใน และเวลา โดยการสอนออนไลน์จะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและ การเรียนรู้อีกทางหน่ึงให้แก่ผู้เรียนได้ ชุดฝึกอบรมออนไลน์ซึ่ง ทรัพยากรของเวิลด์ ไวด์ เว็บในการจัดสภาพแวดล้อมท่ีส่ง เป็นวิธีการเรียนรู้ทางไกลรูปแบบใหม่ ท่ีส่งผ่านข้อมูลโดยใช้ เสริมและสนับสนุนการเรียนการสอน (ถนอมพร เลาหจรัสแสง, เทคโนโลยีและเครื่องมือผ่านระบบเวิลด์ ไวด์ เว็บ อินเทอร์เน็ต 2545) และอินทราเน็ต การฝึกอบรมบนเว็บเป็นการน�ำเสนอข้อมูล ท่ีสดและทันสมัย โครงสร้างของการฝึกอบรมเปิดโอกาสให้ 2. แนวคิดเกี่ยวการออกแบบและพัฒนาชุดฝึก ผู้เรียนได้เลือกเรียนรู้แต่ละเน้ือหาด้วยตนเอง (Kilby, 2008) อบรม ADDIE Model การฝึกอบรมออนไลน์เป็นการฝึกอบรมโดยอาศัยกระบวนการ วิเคราะห์ความต้องการของผู้เข้ารับการอบรม โดยน�ำเนื้อหา รูปแบบการออกแบบชุดฝึกอบรมจะเป็นเครื่องมือ หลักสูตรมาออกแบบบนส่ือมัลติมีเดียบนเครือข่าย ท้ังน้ีผู้เข้ารับ ส�ำคัญและเป็นแนวทางให้ผู้สอนทุกคนสามารถด�ำเนินการ การอบรมจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจึงจะสามารถฝึกอบรมได้ สอนได้ตามมาตรฐานของการฝึกอบรมท่ีใกล้เคียงกัน แม้ว่า (William, 2000) ผู้สอนจะมีประสบการณ์ต่างกัน รูปแบบการออกแบบชุดฝึก การฝึกอบรมออนไลน์ เป็นวิธีการช่วยอ�ำนวยความ อบรมประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ โดยหลักการพ้ืนฐานในการ สะดวกในการอบรมให้เกิดทักษะการป้องกันและระงับอัคคี ออกแบบชุดฝึกอบรมที่ใช้กันแพร่หลาย คือ วิธีระบบ ADDIE ภัย เป็นลักษณะของการเรียนการสอนโดยผ่านสื่อหลายมิติ บท Model (มนต์ชัย เทียนทอง, 2545, หน้า 97) การเรียนด้วย เรียนมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียนกับบทเรียน และสร้าง ชุดฝึกอบรมออนไลน์ หรือ E-training เป็นการศึกษาเรียนรู้ ให้เกิดการเรียนรู้ท่ีท�ำให้ผู้เรียนสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ในการ ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) หรืออินทราเน็ต ปฏิบัติงานต่อไป นอกจากน้ีผู้เรียนยังเป็นผู้ควบคุมการเรียน (Intranet) โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม รู้ด้วยตนเองอย่างอิสระในเร่ืองของสถานท่ีและเวลา โดยบท ความสามารถและความสนใจของตน โดยเน้ือหาของบทเรียน เรียนและเน้ือหาวิชาในการฝึกอบรมผ่านเว็บนั้นจะมีการปรับ ประกอบด้วยข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และมัลติมีเดียอื่น เปล่ียนแปลง และพัฒนาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ดังนี้บทเรียน ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมฝึกอบรมทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลก
ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 17 เปล่ียนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนปกติ ความสะดวกแก่ผู้อพยพ การปฐมพยาบาล การช่วยเหลือ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารท่ีทันสมัย เช่น อีเมล์ เว็บ ผู้บาดเจ็บการแจ้งความเคล่ือนไหวของสถานการณ์เพื่อเตรียม บอร์ด แชท โซเชียลเน็ตเวิร์ก การเรียนรู้แบบออนไลน์ จึงเป็นรูป การอพยพกลับ แบบการเรียนรู้ส�ำหรับทุกคน ท่ีทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ตลอด ในทุกช่วงเวลาและทุกสถานที่รูปแบบการพัฒนาชุดฝึกอบรม 3) หลังเกิดเหตุ (Recovery and Development) มี ออนไลน์ท่ีนิยมใช้กันมากท่ีสุด คือ การออกแบบของ ADDIE การจัดต้ังศูนย์บรรเทาทุกข์หมู่บ้าน (Village Relief Center) model ซ่ึงมีล�ำดับการพัฒนาเป็น 5 ขั้น ซึ่งประกอบด้วยข้ันที่ ด�ำเนินการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น โดยมีหน่วยปฐมพยาบาล 1. การวิเคราะห์(Analysis) ขั้นที่ 2. การออกแบบ (Design) ขั้น หน่วยค้นหาและกู้ภัย เพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือในด้าน ท่ี 3. การพัฒนา (Development) ข้ันท่ี 4. การน�ำไปใช้(Im- ต่าง ๆ เป็นศูนย์กลางการรับแจ้งความเสียหายท้ังต่อชีวิตและ plementation) และข้ันที่ 5. การประเมินผล (Evaluation) ทรัพย์สิน ส�ำรวจความเสียหายต่าง ๆ มีการติดต่อประสาน งานระหว่างองค์กรต่าง ๆ จัดต้ังศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพจิตผู้ท่ีได้รับ 3. แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการ ผลกระทบให้สามารถกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว (กรมป้องกันและ ป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ บรรเทาสาธารณภัย,2549) การจัดการปัญหาภัยพิบัตินักวิชาการด้านสาธารณภัย วิธีการศึกษา ได้วางหลักการการบริหารจัดการและการป้องกันและบรรเทา ภัยพิบัติไว้เป็น 3 ขั้นตอน คือ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ก�ำหนดวิธีการศึกษาออก เป็น 3 ขั้นตอน มีวิธีการด�ำเนินการดังนี้ 1) ก่อนเกิดภัย (Prevention and Preparedness) เป็นการด�ำเนินการเพ่ือการป้องกัน และลดผลกระทบจากภัย ขั้นตอนท่ี 1 การวิเคราะห์ปัญหา พิบัติ และเตรียมพร้อมเผชิญเหตุ ได้แก่ การจัดท�ำแผนเตรียม กิจกรรมท่ี 1 วิเคราะห์ปัญหาสภาพการป้องกันและ ความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ การก�ำหนดพื้นที่เส่ียงภัยและ ระงับอัคคีภัยของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ในส่วนงานกลุ่ม ปรับปรุงให้ตรงกับข้อเท็จจริงตลอดเวลา พร้อมทั้งมีการแจ้ง อ�ำนวยการ การด�ำเนินการวิจัยในขั้นนี้ผู้วิจัยได้ใช้แบบสอบถาม ประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกทุกคนทราบตามส่ือต่าง ๆ ตามความ ผู้เข้ารับการฝึกอบรม เรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัย ส�ำหรับ เหมาะสม การก�ำหนดพ้ืนท่ีปลอดภัยการแบ่งโซนพ้ืนท่ีในการ กลุ่มอ�ำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า ให้มีประสิทธิภาพตาม อพยพการจัดให้มีการฝึกอบรมการเตรียมบุคลากรและเคร่ือง เกณฑ์ E1/E2 = 85/85 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการ มืออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมตลอดเวลา การฝึกการซ้อมแผนร่วม วิจัย ในข้ันตอนท่ี 1 จ�ำแนกตามวิธีการศึกษาดังน้ี ประชากรท่ี กันในหน่วยงานที่เก่ียวข้อง รวมทั้งการให้ความรู้กับคนในชุมชน ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารกลุ่มอ�ำนวยการ จ�ำนวน 15 คน เรื่องของภัยพิบัติ (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย,2549) หัวหน้าส่วนกลุ่มอ�ำนวยการ จ�ำนวน 26 คน เจ้าหน้าท่ีป้องกัน อุบัติภัย จ�ำนวน 10 คน บุคลากร จ�ำนวน 329 คน รวมประชากร 2) ขณะเกิดภัย (Response, Rescue, Relief and ท้ังสิ้น จ�ำนวน 380 คน Mitigation) เป็นการด�ำเนินงานในสภาวะฉุกเฉินเม่ือทราบว่า กิจกรรมที่ 2 วิเคราะห์ผู้เข้ารับฝึกอบรมการป้องกัน จะเกิดภัยพิบัติข้ึนในไม่ช้าซ่ึงต้องเป็นการปฏิบัติท่ีเป็นข้ันตอน และระงับอัคคีภัยของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ในส่วนงาน ชัดเจนต้องมีการแจ้งเตือนสมาชิกทุกคนในชุมชนมีการเตรี กลุ่มอ�ำนวยการ มีความรู้ มีความเข้าใจถึงวิธีการป้องกันและ ยมการอพยพ โดยจัดแบ่งประเภทของบุคคลตามล�ำดับความ ระงับอัคคีภัยเกณฑ์ตามมาตรฐาน ส�ำคัญ มีการก�ำหนดจุดนัดหมายและพื้นท่ีรองรับการอพยพ กิจกรรมที่ 3 วิเคราะห์เน้ือหาท่ีเกี่ยวกับองค์ประกอบ มีการส�ำรวจยานพาหนะน�้ำมันเชื้อเพลิงและระบบสื่อสารรวม ของการเกิดไฟ, สาเหตุการเกิดอัคคีภัย, ความเสียหายจากอัคคี ทั้งแจกจ่ายคู่มือการอพยพให้กับประชาชน การด�ำเนินการ ภัย, การป้องกันอัคคีภัย, การดับเพลิงเบื้องต้น, การใช้อุปกรณ์ อพยพควรปฏิบัติตามแผนที่วางไว้จัดระเบียบสถานที่อพยพ ดับเพลิงเคมี และการอ�ำนวยความปลอดภัยบ้านเรือนประชาชนการอ�ำนวย
18 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสอื่ สาร ข้ันตอนที่ 2 ออกแบบชุดฝึกอบรมออนไลน์การ E2 = ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ คดิ เป็นอตั ราสว่ นจาก ป้องกันและระงับอัคคภี ยั การทำ� แบบทดสอบหลงั เรยี น ออกแบบเปน็ ชดุ สอื่ ประสมทมี่ กี ารจดั ระบบการเรยี นรู้ ออกเปน็ 6 ส่วน ดงั น้ี 1) แนะน�ำการใช้บทเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ผ่าน = คะแนนจากการท�ำแบบทดสอบหลงั เรียน Google site ในรูปแบบของขอ้ ความและรปู ภาพ N = จำ� นวนผเู้ รยี นทง้ั หมดทใ่ี ชเ้ ปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งในการ ค�ำนวณประสิทธิภาพคร้งั นี้ 2) แบบทดสอบก่อนเรียนแบบปรนัย จำ� นวน 30 ข้อ B = จำ� นวนคะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรยี น ผ่าน Google form ขั้นตอนท่ี 4 น�ำชุดฝึกอบรมออนไลนไ์ ปทดลองใช้ 3) บทเรยี นมเี นอ้ื หาการเรยี นรู้ 6 หนว่ ย ในรปู แบบของ โดยมวี ธิ กี ารการทดสอบประสทิ ธภิ าพของชดุ ฝกึ อบรม มลั ติมีเดยี ประกอบด้วย ขอ้ ความ ภาพ และวีดิโอ ออนไลน์ ดงั นี ้ 1) ทดลองเป็นรายบุคคลโดยน�ำชุดฝึกอบรมออนไลน์ 4) แบบทดสอบระหว่างเรียนในแต่ละหน่วยเรียนรู้ เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัย ที่สร้างขึ้นไปทดลองใช้กับ จ�ำนวน 5 ข้อ ผา่ น Google form บุคลากรกลุ่มอำ� นวยการ จ�ำนวน 3 คน ทไี่ ม่ใช่กลมุ่ ตวั อย่างเพือ่ หาการปฏสิ ัมพนั ธ์กับชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ 5) แบบทดสอบหลังเรียน จ�ำนวน 30 ข้อ ผ่านทาง Google form 2) ทดลองแบบกล่มุ ยอ่ ย โดยนำ� ชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ เรอื่ ง การปอ้ งกนั และระงบั อคั คภี ยั ทส่ี อดคลอ้ งกบั การปฏสิ มั พนั ธ์ 6) ผู้เรียนสามารถย้อนกลับไปทบทวนเน้ือหาการ กับชุดฝึกอบรมออนไลน์ในข้อที่ 1 ไปทดลองใช้กับบุคลากร ปอ้ งกนั และระงับอัคคีภยั ในแตล่ ะหน่วยการเรียนรไู้ ดต้ ลอดเวลา กลุ่มอ�ำนวยการ จ�ำนวน 10 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพ่ือหา ประสิทธภิ าพและขอ้ บกพร่องของชดุ ฝึกอบรมออนไลน ์ ขั้นตอนที่ 3 สร้างชุดฝึกอบรมออนไลน์และหา 3) ข้ันทดลองภาคสนาม โดยน�ำชุดฝึกอบรมออนไลน์ ประสิทธิภาพชุดฝึกอบรม เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัย ที่สร้างข้ึนไปทดลองใช้กับ บุคลากรกลุ่มอ�ำนวยการ จ�ำนวน 30 คน ท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง การศึกษาการพัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ เร่ือง การ เพื่อให้ม่ันใจว่าชุดฝึกอบรมออนไลน์ไม่มีข้อบกพร่องสามารถน�ำ ป้องกันและระงับอัคคีภัยของบุคลากรกลุ่มอ�ำนวยการโรง ไปทดลองใชไ้ ด้จริง พยาบาลพระปกเกลา้ มีการด�ำเนนิ การตา่ ง ๆ ดังน้ี ขั้นตอนท่ี 5 ประเมินความพึงพอใจต่อชุดฝึกอบรม ออนไลน์ เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยของบุคลากรกลุ่ม การหาค่าประสิทธิภาพชุดฝึกอบรมออนไลน์ โดยใช้ อ�ำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า ใช้แบบสอบถามความพึง เกณฑ์ E1/E2 (ชัยยงคพ์ รหมวงศ,์ 2531, หน้า 490-492) จากสูตร พอใจแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) ตรวจสอบความ ดังนี้ สอดคล้องระหว่างข้อค�ำถามกับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหาโดยผู้ เช่ียวชาญ จ�ำนวน 5 คน ผลการหาค่าความสอดคล้องระหว่าง E1 = ประสิทธิภาพของกระบวนการที่จัดไว้ในชุด ข้อค�ำถามกับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.87-1.00 ฝึกอบรมออนไลน์ คิดเป็นร้อยละจากการท�ำแบบทดสอบหรือ ถอื วา่ อยใู่ นเกณฑท์ ใ่ี ชไ้ ดโ้ ดยมกี ารกำ� หนดความหมายของคะแนน ประกอบดว้ ยกจิ กรรมระหวา่ งเรยี น = คะแนนจากการทำ� แบบทดสอบระหวา่ งเรยี น N = จำ� นวนผเู้ รยี นทงั้ หมดทใ่ี ชเ้ ปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งในการ ค�ำนวณประสิทธิภาพครัง้ น้ี A = จำ� นวนคะแนนเตม็ ของแบบทดสอบระหวา่ งเรยี น
ปที ี่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 19 แบบสอบถามความพงึ พอใจ ดังนี้ อย่างมีประสิทธิภาพจนเกิดประสิทธิผลของตัวผู้ฝึกอบรม ผู้ฝึก ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.51-5.00 หมายถึง มีความ อบรมสามารถเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ และสามารถเขา้ ถงึ ความรไู้ ดส้ ะดวก รวดเรว็ ตามเนอ้ื หาของหนว่ ยเรยี นรู้ ผฝู้ กึ อบรมสามารถเลอื กยอ้ น พงึ พอใจอยใู่ นระดับมากทส่ี ุด กลบั ไปทบทวนเนือ้ หาได้ ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3.51-4.50 หมายถึง มีความ ขน้ั ตอนที่ 2 ออกแบบชดุ ฝกึ อบรมออนไลนก์ ารปอ้ งกนั พงึ พอใจอยูใ่ นระดบั มาก และระงับอัคคีภัย เป็นลักษณะสื่อประสมที่มีการจัดระบบการ ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 2.51-3.50 หมายถึง มีความ เรียนรู้ออกเป็น 6 ส่วน คือ ส่วนท่ี 1 การแนะน�ำบทเรียน จุด ประสงค์การเรียนรู้ ส่วนที่ 2 แบบทดสอบก่อนเรียน ส่วนที่ 3 พึงพอใจอยูใ่ นระดับปานกลาง เนอื้ หาการเรียนรู้จำ� นวน 6 หน่วย ส่วนท่ี 4 แบบทดสอบระหวา่ ง ค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1.51-2.50 หมายถึง มีความ เรียนในแตล่ ะหนว่ ยเรียนรู้ สว่ นท่ี 5 แบบทดสอบหลังเรยี น และ สว่ นที่ 6 การยอ้ นกลับไปเรียนรู้เน้อื หาเกยี่ วกบั การป้องกันและ พงึ พอใจอยู่ในระดับนอ้ ย ระงับอัคคีภัยในชุดฝึกอบรมออนไลน์แต่ละหน่วยการเรียนรู้ได้ ค่าเฉล่ียอยู่ระหว่าง 1.00-1.50 หมายถึง มีความ ตลอดเวลา พงึ พอใจอยใู่ นระดับนอ้ ยท่สี ุด ขน้ั ตอนท่ี 3 การสรา้ งชดุ ฝกึ อบรมและหาประสทิ ธภิ าพ ของชุดฝึกอบรมออนไลน์ เร่ืองการป้องกันและระงับอัคคีภัย ผลการศึกษา ของบคุ ลากรกลุ่มอ�ำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกลา้ ไปทดลอง ใช้ เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมออนไลน์ตามเกณฑ์ จากผลการด�ำเนินการวิจัยเร่ืองการพัฒนาชุดอบรม มาตรฐานก�ำหนดไว้ท่ี 85/85 ผลการทดสอบประสิทธิภาพชุด ออนไลน์ เรื่องการป้องกันและระงับอัคคีภัยของบุคลากรกลุ่ม ฝึกอบรมออนไลนเ์ ร่อื งการปอ้ งกันและระงบั อัคคภี ัยส�ำหรับกลุ่ม อำ� นวยการโรงพยาบาลพระปกเกลา้ อ�ำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้ค่าคะแนนเฉลี่ยของผล การทดสอบหลังเรียน เท่ากับ 86.44 และจ�ำนวนร้อยละของผู้ ผลการศกึ ษาพบวา่ เรยี นทสี่ ามารถทำ� แบบทดสอบผา่ นทกุ จดุ ประสงค์ เทา่ กบั 86.22 ข้ันตอนท่ี 1 ปัญหาการป้องกันและระงับอัคคีภัย และการหาคา่ ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล (Effectiveness index : E.I) ของ ของโรงพยาบาลพระปกเกล้า ในส่วนงานกลุ่มอ�ำนวยการการ ความกา้ วหน้าทางพัฒนาการของผู้เรียนมีคา่ เทา่ กับ 0.72 แสดง จัดโครงการฝึกอบรมการป้องกันและระงับอัคคีภัยในปัจจุบัน วา่ ผเู้ รยี นมคี วามกา้ วหนา้ ทางพฒั นาการเรยี นรเู้ พม่ิ ขนึ้ รอ้ ยละ 72 เป็นการเชิญวิทยากรมาบรรยายและท�ำกิจกรรมฝึกการดับเพลิง สรปุ ไดว้ า่ ชุดฝกึ อบรมออนไลน์ท่ีไดพ้ ัฒนาขึ้นมีประสทิ ธิภาพเป็น ภาคสนามเป็นระยะเวลา 1 วัน พบวา่ ผเู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมส่วน ไปตามเกณฑ์ที่กำ� หนดไว้ ใหญย่ งั ไมเ่ ขา้ ใจถงึ วธิ กี ารปอ้ งกนั และระงบั อคั คภี ยั ทถี่ กู วธิ ี ตอ้ งใช้ เวลาค่อนข้างมากในการเรียนรู้เพ่ือให้ได้ความรู้ที่ผ่านเกณฑ์ตาม ขั้นตอนท่ี 4 น�ำชุดฝึกอบรมออนไลน์การป้องกันและ มาตรฐาน บุคลากรกลุ่มอ�ำนวยการส่วนใหญ่ติดภารกิจปฏิบัติ ระงบั อคั คภี ยั ไปใช้ เพอ่ื หาการปฏสิ มั พนั ธก์ บั ชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ งานประจำ� ไมส่ ามารถเขา้ รบั การฝกึ อบรมในรปู แบบการบรรยาย โดยนำ� ไปทดสอบครง้ั ที่ 1 กับบุคลากรท่ไี มใ่ ช่กล่มุ ตวั อยา่ ง และ ไดท้ กุ คน ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยใี นปจั จบุ นั ทำ� ใหม้ รี ปู แบบ ทดสอบครง้ั ท่ี 2 แบบกลุม่ ยอ่ ย โดยน�ำชดุ ฝึกอบรมออนไลนก์ าร หรอื ชอ่ งทางการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลายมากขน้ึ ทส่ี ามารถลดเวลาใน ป้องกันและระงับอัคคีภัยที่สอดคล้องกับการปฏิสัมพันธ์กับชุด การเรียนรแู้ ละสามารถทบทวนหน่วยเรียนรไู้ ด้ การพัฒนาชดุ ฝกึ ฝึกอบรมออนไลน์ในขอ้ ท่ี 1 ไปทดลองใชก้ ับบุคลากร จำ� นวน 10 อบรมออนไลน์เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัย สามารถน�ำ คน ทไี่ มใ่ ชก่ ลมุ่ ตวั อยา่ งเพอ่ื หาประสทิ ธภิ าพและขอ้ บกพรอ่ งของ มาพัฒนาเพอื่ แก้ปญั หาการเรียนรู้ได้ ผ้ฝู กึ อบรมสามารถเรยี นได้ ชุดฝึกอบรมออนไลน์ และน�ำไปทดสอบภาคสนามคร้ังที่ 3 กับ รู้ได้ด้วยตนเองและสามารถทบทวนหน่วยเรียนรู้ได้โดยไม่จ�ำกัด บุคลากร จำ� นวน 30 คน ทไี่ ม่ใช่กลมุ่ ตวั อยา่ ง พบวา่ ชุดฝกึ อบรม ในเรื่องของสถานที่เรียนหรือเวลาในการเรียนรู้ซ่ึงสะดวกต่อการ เรียนรู้ของผู้ฝึกอบรม อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาในเรื่องของ บุคลากรท่ีปฏิบัติงานประจ�ำท่ีไม่สามารถเข้ารับการฝึกอบรมใน รปู แบบการบรรยายได้ ผู้ฝกึ อบรมสามารถเขา้ ถงึ หน่วยเรียนรไู้ ด้
20 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตร์และการสื่อสาร ออนไลนเ์ รอ่ื งการปอ้ งกนั และการระงบั อคั คภี ยั มคี วามสอดคลอ้ ง ทท่ี ำ� หนา้ ทใ่ี นการจดั ระบบ นกั ออกแบบควรกำ� หนดใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ ขา้ กบั การปฏสิ มั พนั ธ์ สหู่ นา้ จอแรกทมี่ คี ำ� อธบิ าย มกี ารแสดงโครงสรา้ งภายในเวบ็ เพอื่ ทราบถงึ ขอบเขตทผี่ เู้ รยี นจะสบื คน้ ข้ันตอนที่ 5 ประเมินความพึงพอใจต่อชุดฝึกอบรม ออนไลน์เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัยของบุคลากรกลุ่ม 2. เพอื่ ศกึ ษาดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ อำ� นวยการโรงพยาบาลพระปกเกลา้ ทงั้ 4 ดา้ น คอื ดา้ นเนอื้ หาการ เร่อื งการป้องกนั และระงบั อัคคภี ยั ส�ำหรับกลมุ่ อำ� นวยการโรง ดำ� เนนิ เรอื่ ง ดา้ นภาพ ภาษา และเสยี ง ดา้ นตวั อกั ษรและสอ่ื และ พยาบาลพระปกเกลา้ ดา้ นความรแู้ ละประสบการณใ์ นภาพรวมอยใู่ นระดบั มากทสี่ ดุ โดย มคี า่ เฉลย่ี ความพงึ พอใจชดุ ฝกึ อบรมออนไลนเ์ รอื่ ง การปอ้ งกนั และ ผู้เรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกอบรม ระงบั อคั คภี ยั ของบคุ ลากรกลมุ่ อำ� นวยการโรงพยาบาลพระปกเกลา้ ออนไลน์การป้องกันและระงับอัคคีภัยน้ันมีผลสัมฤทธ์ิทางการ เทา่ กบั 4.58 และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.54 เรียนหลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 ชุดฝึกอบรมออนไลน์การป้องกันและระงับอัคคีภัยยังมี อภปิ รายผล เน้ือหาถูกต้องตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และจุด ประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียน ชุดฝึกอบรมออนไลน์ได้ผ่าน การอภปิ รายผลในการศกึ ษาครงั้ น้ี ผวู้ จิ ยั ขออภปิ รายผล กระบวนการหาประสทิ ธภิ าพ อยา่ งสมบรู ณแ์ ละสอดคลอ้ งกบั การ ตามวตั ถปุ ระสงค์ ดงั น้ี เรียนรู้ของผู้เรียนส่งผลให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเน้ือหามากย่ิงขึ้น ประกอบกบั การออกแบบบทเรยี น กลา่ วคอื ชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ 1. เพอื่ พฒั นาชดุ ฝกึ อบรมออนไลน์ เรอื่ ง การปอ้ งกนั การป้องกันและระงับอัคคภี ัยยังสอดคล้องกับความแตกตา่ งของ และระงับอัคคีภัย ส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการ โรงพยาบาลพระ บุคคล กล่าวคือ ผู้เรียนแต่ละคนจะเป็นผู้เลือกเรียนตามล�ำดับ ปกเกลา้ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ E1/E2 = 85/85 ความสนใจของตนเองได้ สามารถเรยี นซ้ำ� ในเนื้อหาทย่ี ังไมเ่ ข้าใจ ไดอ้ ยา่ งอสิ ระหลงั จากเรยี นจบในแตล่ ะเนอ้ื หาแลว้ จงึ ทำ� ใหผ้ เู้ รยี น ชุดฝึกอบรมออนไลน์การป้องกันและระงับอัคคีภัย มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสงู ขน้ึ ประกอบกบั การนำ� เสนอบทเรยี น สำ� หรบั กลมุ่ อำ� นวยการโรงพยาบาลพระปกเกลา้ นน้ั มเี นอ้ื หาการ ในรปู แบบออนไลนท์ ม่ี สี สี นั และภาพประกอบเคลอื่ นไหวตา่ ง ๆ ยงั ฝกึ อบรมเกยี่ วกบั การปอ้ งกนั และการระงบั อคั คภี ยั 6 หนว่ ย คอื ชว่ ยกระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สอดคลอ้ งกบั งาน หน่วยที่ 1 องคป์ ระกอบของการเกดิ ไฟ หนว่ ยท่ี 2 สาเหตุการ วิจัยของศศพิ ิมพ์ วรรณกูล (2560) ท่ีได้พัฒนาบทเรยี นออนไลน์ เกดิ อคั คภี ยั หนว่ ยที่ 3 ความเสยี หายจากอคั คภี ยั หนว่ ยท่ี 4 การ วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตาม ปอ้ งกนั อคั คภี ยั หนว่ ยท่ี 5 การดบั เพลงิ เบอ้ื งตน้ และหนว่ ยท่ี 6 การ แนวทางอริยสัจสี่ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน ใชอ้ ปุ กรณด์ บั เพลงิ เคมซี งึ่ เปน็ เนอื้ หาความรทู้ ใ่ี ชฝ้ กึ อบรมเกย่ี วกบั ดอนเมืองทหารอากาศบ�ำรุงซ่ึงพบว่า การจัดการเรียนรู้โดยน�ำ การป้องกันและระงับอัคคีภัยตามองค์ประกอบของชุดฝึกอบรม เสนอผา่ นบทเรยี นออนไลนน์ กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั ออนไลน์ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของศศพิ มิ พ์ วรรณกลู (2560) ที่ เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 และ พัฒนาบทเรียนออนไลน์ วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หลักธรรม ยงั พบอกี วา่ ปจั จยั เสรมิ ทเ่ี ปน็ ทที่ ำ� ใหค้ ะแนนของผเู้ รยี นสงู ขน้ึ หลงั ทางพระพทุ ธศาสนาตามแนวทางอรยิ สจั สข่ี องนกั เรยี นช¬้ั นมธั ยม จากได้เรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์เป็นเพราะการสร้างบทเรียน ศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรยี นดอนเมอื งทหารอากาศบำ� รงุ ผลการวจิ ยั พบวา่ ออนไลน์อยู่บนพ้ืนฐานของการออกแบบอย่างเป็นระบบ จาก บทเรยี นออนไลนม์ ปี ระสทิ ธภิ าพ 88.20/89.95 ซงึ่ สงู กวา่ เกณฑท์ ี่ การวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อม (Context analysis) การวิเคราะห์ กำ� หนดไว้ คอื 85/85 และสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของพลู ศรี เวศย์ ผู้เรียน (Learner analysis) และการวิเคราะห์งาน (Learner อฬุ าร (2544) ทไ่ี ดศ้ กึ ษาผลการเรยี นผา่ นเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ task analysis) ซงึ่ การออกแบบบทเรียนออนไลน์ท่ดี ีน้ันจะต้อง ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 พบวา่ ประสทิ ธภิ าพของการเรยี น ออกแบบสอื่ และจดั กจิ กรรมทเ่ี หมาะสมกบั ธรรมชาตขิ องเนอื้ หา ผา่ นเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ มคี า่ 86.96/87.11 ซงึ่ มปี ระสทิ ธภิ าพสงู วชิ า ซง่ึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ทจี่ ะกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความกระตอื รอื รน้ กวา่ เกณฑ์ 85/85 ตามทก่ี ำ� หนด อกี ทงั้ ยงั สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของ Hall (1991) ทก่ี ลา่ ววา่ เวบ็ เพอื่ การเรยี นการสอนทด่ี ี จะตอ้ งมสี ว่ น
ปีท่ี 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 21 ในการเรยี นรู้ ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ซงึ่ จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี น ซ่งึ พบว่า ความพึงพอใจของนกั เรียนท่มี ีตอ่ บทเรียนคอมพวิ เตอร์ สามารถเรยี นรไู้ ดด้ มี คี วามคงทนในการเรยี นรู้ จำ� ไดด้ แี ละนานกวา่ ช่วยสอนอยูใ่ นระดบั มาก การทผี่ เู้ รยี นเรยี นรจู้ ากความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ ทพ่ี บเหน็ กบั ความ ร้คู วามเขา้ ใจท่มี ีอยเู่ ดมิ และเพอื่ เปน็ แนวทางในการจดั การเรยี น ขอ้ เสนอแนะ รเู้ นอื้ หาประเภทขอ้ ความจรงิ (Facts) ทเ่ี ปน็ นามธรรมใหป้ ระสบ ผลส�ำเร็จ จากการศึกษาวิจัยการพัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ เร่ือง การป้องกันและระงับอัคคีภัยส�ำหรับกลุ่มอ�ำนวยการโรง 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรกลุ่ม พยาบาลพระปกเกลา้ ผวู้ ิจัยมีขอ้ เสนอแนะดงั ต่อไปนี้ อ�ำนวยการ มีต่อชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่อง การป้องกันและ ระงบั อคั คภี ยั 1. การวจิ ยั นี้เป็นการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ โดยมุ่งศึกษาการ จัดการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่อง การป้องกันและ ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อชุดฝึกอบรมออนไลน์การ ระงับอัคคีภัยซึ่งในงานวิจัยน้ีเป็นการศึกษากลุ่มตัวอย่างเฉพาะ ป้องกนั และระงับอัคคีภยั อยูใ่ นระดบั มากที่สดุ มคี ่าเฉล่ยี = 4.58 เจาะจงเร่ืองการป้องกันและระงับอัคคีภัยผ่านระบบออนไลน์ เนอ่ื งจากชดุ ฝกึ อบรมออนไลนก์ ารปอ้ งกนั และระงบั อคั คภี ยั มกี าร เท่าน้ัน ดังน้ันผู้สนใจควรท่ีจะศึกษาการป้องกันและบรรเทา อธบิ ายเนอ้ื หาของบทเรยี นใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย มสี สี นั และภาพประกอบ สาธารณะภัยอื่น ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์, สอดคล้องกับเนื้อหา มีการน�ำเสนอท่ีน่าสนใจ มีกราฟิกภาพ Face book, Google Meet, โปรแกรม Zoom เป็นตน้ เพอ่ื จะ เคล่ือนไหว ภาพน่ิง ที่สอดคล้องกับเน้ือหา และตัวหนังสืออ่าน ได้มองเห็นภาพรวมของส่ือออนไลน์ ที่สามารถน�ำมาใช้จัดการ งา่ ย มขี นาดเหมาะสม ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามสนใจและมคี วามรเู้ พมิ่ เรียนรไู้ ดช้ ัดเจนยิ่งข้ึน มากขนึ้ ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสามารถเรยี นผา่ นกระบวนการเรยี น และทำ� แบบทดสอบได้ดีประกอบกับการออกแบบชุดฝึกอบรมออนไลน์ 2. ควรท�ำการศึกษาเพมิ่ เตมิ เก่ยี วกบั การพัฒนาชุดฝึก ยังค�ำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ อบรมออนไลน์ โดยใชร้ ปู แบบการฝกึ ปฏิบตั ิในเนือ้ หาสาระเก่ยี ว ไดต้ ลอดเวลา และสามารถเรยี นซำ�้ ในเนอื้ หาทยี่ งั ไมเ่ ขา้ ใจไดอ้ ยา่ ง กบั ภยั อน่ื ๆ อิสระอีกด้วยซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของวัชรินทร์ เจริญรัมย์ (2557) ท่ไี ดศ้ ึกษาการพฒั นาบทเรยี นช่วยสอนคณติ ศาสตร์ เรื่อง 3. ควรทำ� การศึกษากล่มุ ตวั อยา่ งท่ีแตกตา่ งกันในกลุม่ สมการและการแกส้ มการ สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 งานอื่น ๆ ของโรงพยาบาลพระปกเกล้า โดยน�ำผลการวิจัยที่ ได้มาท�ำการศึกษาเปรียบเทียบเพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนา หลักสตู รการฝึกอบรมออนไลน์ บรรณานกุ รม กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ 2558. ส�ำนักนโยบายป้องกันและบรรเทา สาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2549). คู่มือการพัฒนาระบบความปลอดภัยให้กับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถน่ิ ท่มี ีผังเมืองรวม. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์อาสารักษาดินแดน จรัสศรี รัตตะมาน. (2551). การพัฒนารูปแบบฝึกอบรมผ่านเว็บ. วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, มหาวิทยาลยั รามคำ� แหง. ชูชยั สมิทธไิ กร (2554). พฤตกิ รรมผู้บรโิ ภค. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2531). เอกสารประกอบการสอนชดุ เทคโนโลยกี ารศกึ ษาหน่วยท่ี 1-5. นนทบุรี มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. ถนอมพร เลาหจรสั แสง. (2545). Design e-learning : หลกั การออกแบบการสรา้ งเวบ็ เพอื่ การเรยี นการสอน. กรงุ เทพฯ : อรณุ การพมิ พ.์ พลู ศรี เวศยอ์ ฬุ าร. (2544). การสร้างแบบทดสอบในเวบ็ ไซต์. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท เอช.เอน็ .กรุ๊ป.
22 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตร์และการสอื่ สาร มนต์ชัย เทียนทอง. (2545). การออกแบบและพัฒนาคอร์สแวร์สาหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร มหาบัณฑิต, สาขาวิชาคอมพิวเตอรศ์ กึ ษา, คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม, สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื . ราชกจิ จานุเบกษา. (2554). พระราชบัญญตั ิความปลอดภัย อาชวี อนามัย และสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ วัชรินทร์ เจริญรัมย์. (2557). การพัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนคณติ ศาสตร์ เร่อื ง สมการและการแก้สมการสำ� หรับนักเรียน ชั้นประถมศกึ ษาปี ท่ี 6. วารสารวชิ าการ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบุรรี มั ย์ มนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์, 6(1), 121-140. ศศพิ มิ พ์ วรรณกลู . (2560). งานวจิ ยั ในชน้ั เรยี น บทเรยี นออนไลน์ วชิ าพระพทุ ธศาสนาเรอื่ ง หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาตามแนวทาง อรยิ สัจสี่ของนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5. กรุงเทพฯ: โรงเรยี นดอนเมืองทหารอากาศบำ� รุง. สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา. (2550). Teacher Watch. นครปฐม, สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และ บคุ ลากรทางการศกึ ษา. Hall, R .H. (1991). Organizations Structure. Processes and education : Prentice–Hall International. Kilby. (2008). Web-Based Training (WBT). Retrieved from http://www.wbtic.com/legal.aspx William, K. H. (2000). Designing Web-based training: how to teach anyone anything anywhere anytime. Retrieved from http://books.google.co.th/books?
ปีท่ี 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 23 การพัฒนาเวบ็ ไซต์แบบเรซสปอนต์ซฟี เพือ่ การให้บริการดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษา ส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชน้ั คลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า Responsive Website Development for Audiovisual Unit at the Medical Education Center Prapokklao Hospital ชัยวฒั น์ ตรปี ักษ1์ ดนยั โชตแิ สง2 อภิวรรณ ศิรนิ นั ทนา3 Chaiwat Tripak, Danai Chotseang and Apiwan Sirinantana Article History Received: July 1, 2020 Revised: July 14, 2020 Accepted: July 16, 2020 บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาความต้องการระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา 2) เพ่ือพัฒนาเว็บไซต์ แบบเรซสปอนต์ซีฟเพ่ือการให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาส�ำหรับ ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้าและ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานท่ีมีต่อเว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟเพ่ือการให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการระบบให้บริการ ได้แก่ แพทย์ นักศึกษาแพทย์ และบุคลากรของ ศูนย์แพทยศาสตรชน้ั คลนิ ิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ�ำนวน 60 คน ระยะท่ี 2 ออกแบบและพฒั นาเว็บไซต์ ได้แก่ ผู้เชย่ี วชาญระบบ สารสนเทศ และผูด้ แู ลระบบสารสนเทศ จำ� นวน 6 คน และน�ำไปทดลองใช้กบั กล่มุ ท่ไี มใ่ ช่กลมุ่ ตัวอยา่ งเพอ่ื ประเมนิ คณุ ภาพเว็บไซต์ ได้แก่ แพทย์ นักศกึ ษาแพทย์และบคุ ลากรทางการแพทย์ จ�ำนวน 30 คน ได้มาโดยวิธสี ุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ระยะที่ 3 ความพึง พอใจของผ้ใู ช้งานระบบ ไดแ้ ก่ แพทย์ นักศกึ ษาแพทย์ และบคุ ลากรของศนู ย์แพทยศาสตรชัน้ คลินกิ จำ� นวน 192 คน ไดม้ าโดยวธิ ีสมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจง เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่แบบสอบถาม สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่ คา่ ความถี่ ค่ารอ้ ยละ ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบวา่ ความตอ้ งการระบบใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษาของแพทย์ นกั ศกึ ษาแพทย์ และบคุ ลากร โดยรวมอยู่ ในระดับมาก = 4.48 และ คา่ SD= 0.45 และพบวา่ บคุ ลากรตอ้ งการใหม้ ีการพฒั นาเว็บไซต์แบบเรซสปอนตซ์ ฟี เพ่ือการใหบ้ ริการ ด้านงานโสตทศั นศกึ ษาส�ำหรับศนู ยแ์ พทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกลา้ โดยรวมอยใู่ นระดับมาก = 4.35 และ คา่ SD= 0.44 โดยต้องการเวบ็ ไซต์ทีใ่ ชไ้ ดอ้ ยา่ งสะดวกและรวดเร็วสามารถรองรับกบั ระบบงานของศนู ย์แพทยศาสตรช้นั คลนิ กิ เชน่ ระบบจองหอ้ งประชมุ ระบบแจง้ ซอ่ ม ระบบข้อมูลสารสนเทศ สื่อวีดีทศั น์ และภายในเว็บไซต์ ควรมีข้อมูลการแนะนำ� การใชง้ านระบบ 1 งานโสตทัศนศึกษา โรงพยาบาลพระปกเกล้า Audiovisual education Prapokklao Hospital. *Corresponding author Email: [email protected] 2,3 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏรำ� ไพพรรณี Faculty of Communication Arts Rambhai Barni Rajabhat University.
24 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร ตา่ ง ๆ ของศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกล้า และยังพบอกี วา่ บคุ ลากรศูนย์แพทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรง พยาบาลพระปกเกลา้ มคี วามพงึ พอใจตอ่ เวบ็ ไซตแ์ บบเรซสปอนตซ์ ฟี เพอ่ื การใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษา โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก = 4.43 และ ค่า SD= 0.45 คำ� สำ� คญั : เวบ็ ไซต์ เรซสปอนตซ์ ฟี การใหบ้ ริการ งานโสตทัศนศึกษา Abstract This study has 3 main objectives. The first objective is to study the need for a responsive website for the audiovisual system. The second is to study the need for improvement in the service of the audiovisual system for the medical education center. The third is to study the overall satisfaction of responsive websites in the audiovisual system. This study has 3 phases. Phase 1 is to study the need of audiovisual system. Phase 2 is design and improve the responsive website by 6 experts and caretakers in information system. Phase 3 is to study the overall satisfaction. The study group in this study are 3 groups and use purposing sampling. The instrument used in the study is a ques- tionnaire. The sample size are 3 group. Group 1 are the doctors, medical students, and 60 personnel in the medical education center by completing questionnaires of phase 1. Group 2 are 30 persons including doctors , medical students and personnel in the medical education center by completing the questionnaires of phase 2. Group 3 are 192 persons including doctors, medical students and personnel in the medical education center by completing the questionnaires of phase 3. The data were analyzed by using frequency, percentage, mean and standard deviation. The result shows the need for the audiovisual system from doctors, medical students, and other personnel is high which (mean = 4.48, SD = 0.45). They want to have a fast and easy responsive website for every piece of equipment (mean = 4.35, SD = 0.44) such as reserve the conference room, repair notification system, information system, video media. The overall satisfaction of responsive website is high which (mean = 4.43, SD = 0.45) Keywords: Website, Responsive, Service, Audiovisual บทนำ� ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ ตวั ขบั เคลอ่ื น โดยในการจดั การศกึ ษา ทุกระดับน้ันต้องมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะ การส่ือสารเพื่อการศึกษาที่เข้าถึงง่าย ประหยัดและสะดวกต่อ เทคโนโลยดี า้ นอนิ เทอรเ์ นต็ ระบบประมวลผล การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การใช้โดยเช่อื มโยงเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ที่มีอยู่ (สำ� นกั นโยบาย ขนาดใหญ่ การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เคล่ือนที่ และเครือข่าย และแผนการศึกษา, 2552 :38) แนวโน้มความก้าวหน้าของ สงั คม ทำ� ใหท้ วั่ โลกกา้ วเขา้ สยู่ คุ เศรษฐกจิ ดจิ ทิ ลั ซงึ่ จะมเี ทคโนโลยี เทคโนโลยีในอนาคตได้น�ำไปสู่การก�ำหนดเป้าหมายเชิงหลักการ สารสนเทศเป็นกลจักรส�ำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ของแผนการศกึ ษาของชาติ ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความส�ำคัญและ ความเปลี่ยนแปลงเหล่าน้ีส่งผลกระทบอย่างมากกับภาคการ จ�ำเป็นของเทคโนโลยีในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้ ศกึ ษาของประเทศไทย ซงึ่ ตอ้ งปรบั ตวั ใหท้ นั กบั การเปลย่ี นแปลง ระบบการศึกษาเปน็ กลไกส�ำคญั เพื่อการพฒั นาประเทศ ท่มี กี าร ดงั กล่าวดว้ ยการพฒั นาบุคลากรและสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆ โดย
ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 25 ก�ำหนดเป้าหมายด้านคุณภาพของบัณฑิต และประสิทธิภาพ เสรมิ สนบั สนนุ การเรยี นการสอนของศนู ยแ์ พทยศาสตรชน้ั คลนิ กิ การผลิตบณั ฑิตโดยใช้เทคโนโลยี (แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ให้มีประสิทธภิ าพ และเกดิ ประสิทธผิ ล 2560-2579) เพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยแี ละยทุ ธศาสตร์ การยกระดบั และการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาแพทยศาสตรข์ อง นโยบายและแผนการศกึ ษาดงั กล่าวจึงเปน็ วถิ ที างของ ประเทศ การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารท่ีเป็น ขุมพลังผลักดันให้เกิดแนวทางดังกล่าว เพ่ือตอบโจทย์ของการ การด�ำเนนิ การด้านงานโสตทัศนศกึ ษาของศูนยแ์ พทย ปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองและรัฐบาลได้มีการก�ำหนดให้ ศาสตรศกึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จากรายงานการ เศรษฐกิจฐานความรู้ ซ่ึงเป็นระบบเศรษฐกิจท่ีมีการสร้างสรรค์ สำ� รวจผลดำ� เนนิ การด้านงานโสตทศั นศกึ ษา ประจ�ำปีการศึกษา ความรแู้ ละนำ� ความรู้มาใช้อย่างมีประสทิ ธิภาพในการขบั เคล่อื น 2559-2560 พบวา่ การใช้หอ้ งเรยี น ห้องประชุมมีช่วงเวลาการ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นนโยบายส�ำคัญ เข้าใช้พร้อมกัน และมีห้องเรียนห้องประชุมอยู่ตามอาคารต่าง ในระดับชาติและระดับกระทรวงหลายประการออกมารองรับ ๆ ภายในโรงพยาบาลพระปกเกล้าเป็นจ�ำนวนมากและยังพบว่า ความเปลยี่ นแปลงดงั กลา่ ว ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรง แตล่ ะอาคารทใี่ ชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนของนกั ศกึ ษาแพทย์ พยาบาลพระปกเกล้า ซ่ึงรับผิดชอบการผลิตแพทย์ร่วมกับคณะ มีระยะทางท่ีไกลจากหน่วยงานโสตทัศนศึกษาท่ีเป็นหน่วยงาน แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ก�ำหนดยุทธศาสตร์ สนับสนุนซ่ึงอาคารที่ใช้ส�ำหรับการจัดการเรียนการสอนมักจะมี และแผนปฏิบัติการ เพ่ือการพัฒนาศูนย์แพทยศาสตรศึกษาช้ัน อุปกรณ์ท่ีช�ำรุดเสียหาย เน่ืองจากการใช้งานอยู่เป็นประจ�ำและ คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ไปสคู่ วามเปน็ เลศิ ตามวสิ ยั ทศั นท์ ่ี ดว้ ยแตล่ ะอาคารเรยี นอยู่ห่างไกลกนั เจา้ หนา้ ท่ีผู้ดูแลรับผิดชอบ กำ� หนดไวว้ า่ มหาวทิ ยาลยั แหง่ ชาตใิ นระดบั โลกทส่ี รา้ งสรรคค์ วาม ในการเก็บรักษา และซ่อมแซมอุปกรณ์ดังกล่าว ต้องใช้เวลาใน รู้และนวัตกรรมเพ่ือสร้างเสริมสังคมไทยสู่การพัฒนาอย่างย่ังยืน การเดินทางไปถึงอาคารเรียนต่าง ๆ ท�ำให้เกิดความล่าช้าพอ (แผนยทุ ธศาสตรจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย,2559 :3) ฉะนั้นศูนย์ สมควรอีกท้ังห้องเรียนห้องประชุมที่อยู่ในความรับผิดชอบของ แพทยศาสตรชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า จึงถูกก�ำหนด หน่วยงานโสตทัศนศึกษา มีจ�ำนวนมากถึง 39 ห้อง เมื่อเกิด ใหเ้ ปน็ องคก์ รแหง่ การเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ ยทุ ธศาสตร์ กา้ วไกลในสงั คม ปญั หาอปุ กรณใ์ นการจดั การเรยี นการขดั ขอ้ งในชว่ งเวลาเดยี วกนั โลก เปน็ ที่ยอมรบั ในระดับนานาชาติ ซง่ึ แนวทางของศนู ยแ์ พทย หรอื ชว่ งเวลาไลเ่ ลยี่ กนั ทำ� ใหก้ ารแกป้ ญั หาเบอื้ งตน้ ดำ� เนนิ การไป ศาสตรศึกษาช้ันคลินกิ น้นั ตอ้ งมีการพัฒนาสภาวะแวดลอ้ ม โดย อย่างล่าช้าไม่ทั่วถึง ซ่ึงผู้ใช้อาคารเรียนจะใช้วิธีการโทรศัพท์แจ้ง มตี วั ชว้ี ดั ความสำ� เรจ็ นน่ั กค็ อื การนำ� เอาเทคโนโลยสี ารสนเทศ (IT) ให้เจ้าหน้าท่ีงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาช้ัน มาใชเ้ พอื่ พฒั นางานยทุ ธศาสตรด์ า้ นการผลติ แพทย์ ทต่ี อ้ งมคี วาม คลนิ ิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า ให้เดินทางมาแก้ปญั หาอุปกรณ์ เช่ือมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ข้อที่ 12 ของแผน ขดั ขอ้ งทีห่ อ้ งเรียน หรือห้องประชุม ทีใ่ ช้จัดการเรียนการสอน ก็ แม่บทเทคโนโลยสี ารมสนเทศและการสือ่ สาร (ICT) (แผนพัฒนา จะไมม่ ีบุคลากรประจ�ำในการตอบปัญหาทางโทรศพั ท์ได้ เพราะ แพทยศาสตร์บัณฑติ , 2555 :10) เจา้ หนา้ ทีเ่ ดินทางออกไปให้บริการแกป้ ัญหาตามห้องเรยี น หรอื ห้องประชุมท่ีเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไมโครโฟนช�ำรุด,เครื่อง ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระ คอมพิวเตอร์ประจ�ำห้องเรียนไม่สามารถเปิดใช้งานได้,เครื่อง ปกเกลา้ นำ� แนวนโยบายดงั กลา่ วสกู่ ารปฏบิ ตั เิ ชงิ ประจกั ทชี่ ดั เจน ฉายโปรเจคเตอรไ์ มท่ ำ� งานหรอื ไมเ่ ชอื่ มตอ่ กบั คอมพวิ เตอร,์ ระบบ คอื การนำ� ระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการขบั เคลอื่ นและ เครือขา่ ยอินเตอร์เน็ตใชง้ านไม่ได้ จากปัญหาดงั กล่าวนั้น ส่งผล พัฒนาการเรียนรู้ และสนับสนุนประสิทธิภาพการท�ำงาน ซึ่ง ให้อาจารย์ผู้สอนนักศึกษาแพทย์ต้องท�ำการติดต่อสื่อสารกับเจ้า ประกอบความพรอ้ มทางดา้ นเทคโนโลยี ความพรอ้ มดา้ นอปุ กรณ์ หน้าท่ีงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาช้ันคลินิก โสตทศั นปู กรณค์ วามพรอ้ มทางกายภาพ และความพรอ้ มดา้ นการ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ใหม้ าทำ� การซอ่ มแซมอปุ กรณก์ ารเรยี น ให้บริการ เช่น หอ้ งเรยี นหอ้ งประชมุ อปุ กรณก์ ารเรียนการสอน การสอนดังกล่าวอยู่เสมอและถ้าอุปกรณ์การเรียนการสอนใน และเทคโนโลยีสารสนเทศอ่ืน ๆ รวมท้ังการบ�ำรุงรักษา เพื่อส่ง
26 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตร์และการสื่อสาร ห้องต่าง ๆ เสียหายในระยะเวลาเดียวกัน ท�ำให้หน่วยงานโสต 3. เพ่ือประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อเว็บ ทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาช้ันคลินิก โรงพยาบาล ไซตแ์ บบเรซสปอนตซ์ ฟี เพอื่ การใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษา พระปกเกลา้ ดำ� เนนิ การแกไ้ ขหรอื ซอ่ มแซมอปุ กรณก์ ารเรยี นการ ของศูนยแ์ พทยศาสตรศึกษาช้ันคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า สอนล่าช้าทำ� ใหเ้ สียเวลาในการจัดการเรียนการสอน ขอบเขตของการวิจัย ปัจจุบันการใช้ส่ือออนไลน์ได้เข้ามาเปล่ียนโฉมหน้า ทางการสื่อสารในทุกมิติและมีบทบาทอย่างมากในการส่งเสริม การศกึ ษาเก่ียวกับ การพฒั นาเวบ็ ไซต์แบบเรซสปอนต์ และสนับสนุนพันธกิจด้านการเรียนการสอนของหน่วยงานโสต ซีฟเพื่อการให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาส�ำหรับศูนย์แพทย ทัศนศึกษาศูนย์แพทยศาสตรชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า ศาสตรศึกษาช้ันคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า ครั้งนี้ ผู้วิจัย ส่ือออนไลน์โดยเฉพาะเว็บไซต์มีความส�ำคัญในยุคปัจจุบัน และ ดำ� เนินการศกึ ษา ดังปรากฏรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ เพ่ือให้การบริการสนับสนุนการเรียนการสอนของศูนย์แพทย ศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า เป็นไปได้อย่าง 1. ขอบเขตด้านเนื้อหามุ่งศึกษาการพัฒนาเว็บไซต์ สะดวกรวดเรว็ การใหบ้ รกิ ารในการแกไ้ ขปญั หาอปุ กรณก์ ารเรยี น แบบเรซสปอนตซ์ ฟี เพอ่ื อำ� นวยความสะดวกในการจองหอ้ งเรยี น การสอน ฯลฯ ผา่ นเวบ็ ไซตจ์ งึ เปน็ สง่ิ ทมี่ ีความจ�ำเป็นและมคี วาม หอ้ งปฏบิ ัติการ แจ้งซ่อมอุปกรณข์ ดั ข้องและเสยี หาย ผใู้ ช้บริการ สำ� คญั ในการชว่ ยลดระยะเวลาในการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร ซง่ึ พฤตกิ รรม สามารถขอรับการบริการผ่านเว็บไซต์ ข้อมูลจะไปปรากฏบน ผู้ใช้บริการงานโสตทัศนศึกษาของแพทย์ นักศึกษาแพทย์ และ อุปกรณ์บนอปุ กรณส์ มารท์ โฟน แทบ็ เล็ต และคอมพิวเตอร์ ของ บคุ ลากรทางการแพทยม์ กี ารใชบ้ รกิ ารแจง้ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั อปุ กรณ์ เจ้าหน้าท่ีงานโสตทัศนศึกษาศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก การเรียนการสอนผ่านเว็บไซต์เพ่ิมมากข้ึน และหน่วยงานโสต โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ทศั นศกึ ษาศนู ยแ์ พทยศาสตรชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ มี การใชเ้ วบ็ ไซตเ์ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการตดิ ตอ่ สอื่ สาร เพอ่ื ความสะดวก 2. ขอบเขตด้านประชากรที่ใช้ในการศึกษาแบ่งตาม และความรวดเร็วเกิดประสิทธิภาพของการให้บริการงานด้าน วัตถุประสงค์ 3 ส่วน ดังน้ี โสตทัศนศึกษามากขึ้น ท�ำให้ผู้วิจัยมีความสนใจท่ีจะศึกษาเร่ือง “การพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟเพื่อการให้บริการด้าน 1) การศกึ ษาความตอ้ งการระบบใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสต งานโสตทศั นศึกษาส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรง ทศั นศกึ ษา ประกอบดว้ ยนกั ศกึ ษาแพทย์ และบคุ ลากรศนู ยแ์ พทย พยาบาลพระปกเกล้า” ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานอ่ืน ท่ี ศาสตรศกึ ษาช้ันคลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จ�ำนวน 60 คน จะไปประยุกต์ใช้อันเป็นการน�ำไปสู่การพัฒนาท่ีเกิดจากความ คิดของทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ส่งผลให้เกิดประโยชน์ 2) การพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟเพื่อการให้ กับแพทย์ นักศึกษาแพทย์ บุคลากร โรงพยาบาล ประชาชน บรกิ ารดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษาสำ� หรบั ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั และประเทศชาติ คลนิ ิกโรงพยาบาลพระปกเกลา้ จำ� นวน 6 คน ไดแ้ ก่ ผู้เชย่ี วชาญ ระบบสารสนเทศเจ้าหน้าท่ีดูแลระบบสารสนเทศ และทดลอง วตั ถุประสงค์ ใช้กับบุคลากรของโรงพยาบาลพระปกเกล้าที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จ�ำนวน 30 คน 1. เพอ่ื ศกึ ษาความตอ้ งการระบบใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสต ทศั นศกึ ษาของศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลพระ 3) การศึกษาความพงึ พอใจของผู้ใช้งานทีม่ ตี อ่ เว็บไซต์ ปกเกล้า แบบเรซสปอนตซ์ ฟี เพอื่ การใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษา คอื แพทย์ นกั ศกึ ษาแพทย์ และบุคลากรศนู ย์แพทยศาสตรศึกษาชน้ั 2. เพื่อพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟเพื่อการให้ คลนิ ิก โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จำ� นวน 192 คน บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา ส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษา ชนั้ คลินกิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ 3. ขอบเขตด้านเวลา ใช้เวลาในการเตรียมข้อมูล จัด ล�ำดับข้อมูล พรอ้ มทง้ั แจกแบบสอบถาม และนำ� ผลมาวิเคราะห์ ข้อมลู ใชร้ ะยะเวลาในการวจิ ัย เรม่ิ ตัง้ แต่ วนั ที่ 5 มนี าคม 2562 ถึง 5 กรกฎาคม 2563
ปีที่ 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 27 เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั การเลือกขอ้ ค�ำถามทใี่ ช้ในการวิจยั ดว้ ยค่า IOC โดยใช้ เกณฑ์ค่ามากกว่าหรือเทียบเท่า 0.5 ส�ำหรับค่าที่น้อยกว่า 0.5 เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพอื่ การวจิ ยั ครง้ั น�ำมาปรับปรุงตามหรือตัดออกไปตามค�ำแนะของผู้เชี่ยวชาญ นี้ คือ แบบสอบถามที่ใชส้ อบถามกลมุ่ ตวั อย่างจำ� นวน 288 คน ตรวจสอบความเท่ยี งตรงของแบบสอบผูเ้ ชีย่ วชาญ 3 ทา่ น การ แบง่ เป็น 3 ส่วน ดงั น้ี หาค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหาและความเหมาะสมของภาษาที่ ใช้ระหว่างข้อค�ำถามกับรูปแบบการการพัฒนาเว็บไซต์และผลก 1. แบบสอบถามความต้องการระบบให้บริการด้าน ระทบในคร้ังน้ี ได้คา่ IOC มีคา่ เท่ากับ 0.92 งานโสตทัศนศกึ ษา สำ� หรบั ศนู ยแ์ พทยศาสตรศึกษาช้ันคลินิกโรง พยาบาลพระปกเกลา้ 3. การหาความเช่ือถือได้ (Reliability) โดยน�ำ แบบสอบถามทป่ี รบั ปรงุ แลว้ ไปทดลองใช้ (Try Out) กบั ประชากร 2. แบบสอบถามเพือ่ ประเมินคณุ ภาพของเว็บไซต์แบบ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยแพทย์ นักศึกษาแพทย์ และ เรซสปอนตซ์ ีฟเพ่ือการใหบ้ ริการดา้ นงานโสตทัศนศึกษา ส�ำหรับ บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระปกเกล้า จำ� นวน 30 คน ศนู ยแ์ พทยศาสตรศึกษาชนั้ คลินกิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ แล้วน�ำมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมส�ำเร็จรูปทางสถิติ วิเคราะห์ หาค่าทดสอบความเท่ียงของแบบสอบถามและค่าความเชื่อม่ัน 3. แบบสอบถามเพอ่ื ประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ เวบ็ ไซต์ ของเครื่องมือ โดยการค�ำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์แบบครอนบัค แบบเรซสปอนต์ซีฟเพ่ือการให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา (Cronbrach Alpha Coefficient) ซ่ึงก�ำหนดว่าจะต้องได้ค่า สำ� หรบั ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟาตงั้ แต่ 0.75 ขน้ึ ไป จงึ จะยอมรบั วา่ มคี วามเชอ่ื ถอื ได้ การตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมอื 4. การหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ครงั้ นี้ สามารถหาความ เม่ือสร้างแบบสอบถามตามแนวคิดและทฤษฎี การ เชอ่ื มน่ั ของเครอ่ื งมอื ไดค้ า่ แอลฟาสมั ประสทิ ธ์ิ (α - Coefficient) ศกึ ษาผลงานทเี่ กยี่ วขอ้ งเสรจ็ แลว้ น�ำไปตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ ง ในชุดค�ำถามเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซปอนซีฟเพ่ือให้ มอื การตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือ ตามขัน้ ตอน ดังนี้ บริการงานด้านโสตทัศนศึกษาส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษา ชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า มีค่าเท่ากับ 0.84 ดังนั้น 1. การหาค่าสัมประสิทธิ์ความสอดคล้อง (Index of แบบสอบถามชุดนจี้ ึงมคี วามน่าเชือ่ ไดใ้ นระดบั สงู Item – Objective Congruence : IOC) เพ่ือหาความเที่ยง ตรงของเน้ือหา และความเหมาะสมของภาษาท่ีใช้ โดยให้ผู้ 5. นำ� เครอ่ื งมอื ทที่ ดลองใชแ้ ลว้ มาปรบั แกใ้ หส้ มบรู ณย์ งิ่ เช่ียวชาญพิจารณาถึงความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับ ขึ้นกอ่ นนำ� เคร่ืองมอื ไปเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แบบสอบถามเปน็ รายข้อโดยมีสตู รการการคำ� นวณ ดงั นี้ 6. จัดพิมพ์เคร่ืองมือเป็นฉบับจริงและน�ำไปใช้เก็บ สตู ร IOC = รวบรวมขอ้ มูล เมอื่ IOC คอื ความสอดคลอ้ งระหวา่ งเนอื้ หาในขอ้ คำ� ถาม แนวคดิ และทฤษฎี กบั วตั ถุประสงค์ 1. แนวคิดเกยี่ วกับเวบ็ ไซต์แบบเรซสปอนตซ์ ีฟ ∑R คอื ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญ เว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟ (ResponsiveWebsite) ทัง้ หมด คือ การออกแบบเว็บเพจ หรือเว็บไซต์ด้วยแนวคิดใหม่ ที่จะ ท�ำให้การแสดงผลของเว็บเพจบนอุปกรณ์ท่ีแตกต่างกันได้อย่าง N คือ จำ� นวนผเู้ ชย่ี วชาญ เหมาะสม โดยใชท้ อ่ี ยู่เว็บเดียวกัน (One Web Address) และ ด้วยการแปลความหมายของคะแนน ดงั น้ี โคด้ ชดุ เดยี วกนั (One Code) ไมว่ า่ จะแสดงผลบนอปุ กรณโ์ มบาย แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลการออกแบบเว็บไซต์ใน +1 ขอ้ ค�ำถามวัดไดต้ ามวัตถุประสงค์การวิจยั 0 ขอ้ ค�ำถามวดั ไดไ้ มต่ รงตามวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั -1 ขอ้ คำ� ถามวดั ไมไ่ ด้ เพราะไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ การวจิ ยั
28 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตร์และการส่อื สาร ลกั ษณะ Responsive Web Design (RWD) วา่ เปน็ การออกแบบ Peng and Zhou, 2015 ยังได้อธิบายถึงเทคนิคการ และการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีท่ีสุดส�ำหรับผู้ใช้งาน สามารถรองรับ ออกแบบเว็บไซต์ตามแนวคิด Responsive Website ประกอบ อุปกรณ์ท่ีมีความหลากหลาย ทั้งระบบปฏิบัติการ ขนาดหน้า ด้วย 3 รูปแบบ ดังนี้ จอ และการวางแนวของหน้าจอ เป็นการพัฒนาโดยค�ำนงึ ถึงผใู้ ช้ งานทง้ั จากคอมพิวเตอรส์ ่วนบคุ คล สมารท์ โฟน และแทบ็ เลต็ ให้ 1) การต้ังค่าการแสดงผลให้มีความยืดหยุ่นกับทุกข สามารถเรียกดูหน้าเว็บท่ีมีการปรับเปลี่ยนและปรับขนาดให้เข้า นาดของหน้าจอ (Fluid grid) คือ การตระหนักถึงหน้าเว็บพ้ืน กับประเภทและหน้าจอของอุปกรณ์ที่แตกต่างกันโดยอัตโนมัติ ฐานบนคอมพิวเตอร์พีซี และปรับหน่วยการต้ังค่าการแสดงผล โดยการใชเ้ ทคนคิ การพฒั นาเวบ็ ไซต์ 3 อยา่ ง คอื (1) การตง้ั คา่ การ ให้มีความยืดหยุ่นกับทุกขนาดของหน้าจอ โดยก�ำหนดค่าการ แสดงผลให้มีความยืดหยนุ่ กับทุกขนาดของหน้าจอ (Fluid grid) แสดงผลให้เรียนรู้การย่อและขยายขนาดเม่ือแสดงผลในความ (2) การก�ำหนดขนาดของรูปภาพ (Liquid Image) และ (3) การ ต่างของขนาดหน้าจอ เช่น การแสดงผลของตัวอักษรใช้หน่วย กำ� หนดรปู แบบของการแสดงผล (Media Queries) แนวโน้มใน em แทนหน่วยพิกเซล (px) หรือใช้หน่วยเปอร์เซ็นต์ในการ การพฒั นาเวบ็ ไซตต์ ามแนวคดิ Responsive Website ในปจั จบุ นั ก�ำหนดองค์ประกอบของเว็บไซต์ พบวา่ ผใู้ ชจ้ ำ� นวนมากสามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู อนิ เตอรเ์ นต็ ผา่ นอปุ ก รณ์สมาร์ทโฟนและแทบ็ เลต็ การสรา้ งเวบ็ ไซตใ์ หส้ ามารถรองรับ 2) การก�ำหนดขนาดของรูปภาพ (Liquid Image) คือ ประเภทของอปุ กรณท์ ห่ี ลากหลาย ทำ� ใหผ้ ใู้ ชง้ านไดป้ ระสบการณ์ การก�ำหนดขนาดของรูปภาพให้มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ เพื่อการ ทีด่ จี ากการใช้งาน (Ethan M. 2010) แสดงผลที่ดีในทุกอุปกรณ์ ท�ำให้รูปภาพปรับให้ใหญ่หรือเล็กลง เมื่อมีการเปล่ียนแปลงขนาดของหน้าจอที่ใช้งาน 2. แนวคดิ เกีย่ วกับการออกแบบเว็บไซต์ การออกแบบเว็บไซตใ์ นลกั ษณะ Responsive Web- 3) การก�ำหนดรูปแบบของการแสดงผล (Media site ประกอบด้วยปัจจัยท่ีต้องค�ำนึงถึงในการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ Queries) คือ ชุดค�ำส่ังในภาษา HTML ในการก�ำหนดรูปแบบ 3 หวั ขอ้ ดงั นี้ (Peng and Zhou, 2015) ของการแสดงผลตามความละเอียดของหน้าจอ หรือตามความ 1) ขนาดของหน้าจอที่มีความหลากหลายในปัจจุบัน เหมาะสมแบบอื่น เช่น การก�ำหนดการโหลดหน้าค�ำส่ัง หาก หน้าจอโดยท่ัวไปของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตจะมีขนาดอยู่ ขนาดของหน้าจออุปกรณ์มีขนาดไม่เกิน 400 พิกเซล หน้าค�ำ ระหว่าง 3.5-10 น้ิว และความละเอียดหน้าจอ 320*480, ส่ัง screen.css จะถูกโหลด แต่ถ้าขนาดหน้าจอเกินกว่าน้ันจะ 480*800, 960*640 ฟิกเซลขณะที่ขนาดหน้าจอโดยท่ัวไปของ ถูกเพิกเฉย คอมพิวเตอร์พซี ี มขี นาด 11 น้ิว และมคี วามละเอยี ดหน้าจออยู่ ท่ี 1024*768 ฟิกเซล หรอื มากกว่า หลักการออกแบบเว็บไซต์ (ปิยะดนัย วิเคียน, 2563) 2) การปรับรูปแบบของหน้าเว็บไซต์เว็บไซต์ที่ดีควรมี 1) ความเรียบง่าย (Simplicity) หมายถึง การเลือก การปรบั เปลยี่ นการแสดงผลใหส้ ามารถรองรบั กบั ขนาดของหนา้ น�ำเสนอองค์ประกอบหลักที่เราต้องการน�ำเสนอจริง ๆ ตัดองค์ จอทแ่ี ตกตา่ งกนั ของแตล่ ะอปุ กรณ์ โดยไมท่ ำ� การออกแบบเฉพาะ ประกอบเสริมออก และน�ำเสนอออกมาในรูปแบบของกราฟิก เจาะจงใหก้ บั อปุ กรณใ์ ด หรอื ขนาดใด แตเ่ ปน็ การออกแบบเพอ่ื ให้ สสี นั ตวั อกั ษรและภาพเคลื่อนไหว มคี วามนา่ สนใจและตอ้ งเลอื ก มกี ารเรยี นรทู้ จี่ ะปรบั เปลย่ี นการแสดงผลไดด้ ว้ ยตนเอง ใหเ้ ขา้ กบั ใหม้ ีความพอดี ไม่มากเกินไปเพราะอาจจะใหร้ บกวนสายตาและ การวางแนวและขนาดของหน้าจอ สร้างความไม่น่าสนใจให้กับผู้ใช้ ควรออกแบบให้อยู่ในรูปแบบ 3) การใช้งานหน้าเว็บส�ำหรับคอมพิวเตอร์พีซี การ ที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อนและใช้งานอย่างสะดวก ใช้งานหน้าเว็บจะท�ำผ่านอุปกรณ์เมาส์ และคีย์บอร์ด ท่ีมีเพียง 2) ความสม�่ำเสมอ (Consistency) หมายถึง ความ จดุ สัมผสั เลก็ ๆ บนหน้าจอ แตใ่ นสมาร์ทโฟนและแทบ็ เลต็ ใช้งาน สม่�ำเสมอของเว็บไซต์ ควรสร้างให้เกิดขึ้นทั้งเว็บไซต์ สามารถ หนา้ เว็บผา่ นการสัมผัสจากนิว้ มอื ที่มขี นาดใหญก่ ว่า ท�ำได้โดยการเลือกใช้รูปแบบเดียวกัน ควรมีสไตล์ของกราฟิก ระบบ เนวิเกชั่น (Navigation) และโทนสีท่ีมีความคล้ายคลึง กันตลอดท้ังเว็บไซต์ ควรสร้างให้ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะ ถ้าหากว่าแต่ละหน้าในเว็บไซต์นั้น มีความแตกต่างกันมากจน
ปที ่ี 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 29 เกินไป อาจท�ำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่าก�ำลังอยู่ใน 8) ความคงที่ในการออกแบบ (Design stability) เว็บไซต์เดิมหรือไม่ เพราะฉะนั้น การออกแบบเว็บไซต์ในแต่ละ ต้องออกแบบวางแผนและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ เพ่ือ หน้าควรให้มีความสอดคล้องและสม่�ำเสมอและไปในทิศทาง ให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ควรให้ความ เดียวกัน ส�ำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ถ้าเว็บท่ีจัดท�ำข้ึน ไม่มีมาตรฐานการออกแบบและระบบการจัดการข้อมูล อาจส่ง 3) ความเป็นเอกลักษณ์ (Identity) ในการออกแบบ ผลให้เกิดปัญหาและท�ำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อถือ เว็บไซต์ ต้องค�ำนึงถึงลักษณะขององค์กรเป็นหลัก เน่ืองจาก เว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กร การ 9) ความคงที่ของการท�ำงาน (Function stability) เลือกใช้ตัวอักษร ชุดสี รูปภาพหรือกราฟิก จะมีผลต่อรูปแบบ ระบบการท�ำงานต่าง ๆ ในเว็บไซต์ควรมีความถูกต้องและคงท่ี ของเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ซึ่งต้องมีการตรวจสอบอยู่เสมอ เช่น ลิงค์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ต้อง ตรวจสอบเสมอว่ายังสามารถลิงค์ข้อมูลได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะ 4) เน้ือหา (Useful Content) ผู้พัฒนาต้องเตรียม ลิงค์ของเว็บไซต์อื่น อาจมีการเปล่ียนแปลงได้ตลอดเวลา อาจ ข้อมูลและเนื้อหาท่ีผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เพราะ ท�ำให้เว็บของเรานั้นไม่สามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์นั้นได้ เนื้อหาถือเป็นสิ่งส�ำคัญที่สุดในเว็บไซต์ เน้ือหาในเว็บไซต์ต้อง สมบูรณ์และได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ การศึกษาการพัฒนาเว็บไซต์ตามแนวคิด Respon- เนื้อหาที่ส�ำคัญท่ีสุดคือเน้ือหาท่ีทีมผู้พัฒนาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง sive Website ใช้วิธีการออกแบบ และเลือกใช้เครื่องมือเฟรม และไม่ไปซ้�ำกับเว็บอ่ืน เพราะจะถือเป็นเอกลักษณ์และเป็นส่ิง เวิร์กบูตสแตรป (Bootstrap) ในการพัฒนาต้นแบบระบบ เพ่ือ ท่ีดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาเว็บไซต์ได้เสมอ ตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้งานตามปรากฏการณ์ BYOD ซ่ึง เครื่องมือเฟรมเวิร์กบูตสแตรป เป็นเคร่ืองมือท่ีนักพัฒนาให้ 5) ระบบเนวิเกช่ัน (User-friendly navigation) เป็น ความนิยม และสนับสนุนการออกแบบเว็บไซต์ตามแนวคิด Re- ส่วนประกอบที่มีความส�ำคัญเปรียบเสมือนระบบน�ำทาง เพราะ sponsive Websiteสามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์โมบาย สมาร์ท จะช่วยให้ผู้ใช้ไม่เกิดความสับสนระหว่างดูเว็บไซต์ ดังนั้นการ โฟนแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ออกแบบเนวิเกช่ัน จึงควรให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้สะดวก ควร ได้ มีการใช้กราฟิกส่ือความหมายเพื่อผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่ายข้ึน ควรก�ำหนดต�ำแหน่งของการวางเนวิเกชั่น ให้สม�่ำเสมอ เช่น อยู่ต�ำแหน่งบนสุดของทุกหน้า เป็นต้น วิธีการศึกษา 6) คุณภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในเว็บไซต์ (Visu- al appeal) เว็บไซต์ท่ีน่าสนใจนั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ควรมี การวิจัยคร้ังน้ี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้ คุณภาพ เช่น กราฟิกควรสมบูรณ์ไม่มีรอยหรือขอบข้ันบันได ก�ำหนดวิธีการเป็น 3 ขั้นตอนแต่ละข้ันตอนได้ด�ำเนินการ ดังน้ี ให้เห็นรูปภาพความมีความละเอียดสูง ชนิดและขนาดตัวอักษร ควรอ่านงา่ ยสบายตา มีการเลอื กใช้โทนสที ีส่ อดคล้องและเขา้ กนั ขั้นตอนที่ 1 วิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ อย่างสวยงาม เป็นต้น ใช้เว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟระบบให้บริการด้านงานโสต ทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระ 7) ความสะดวกของการใช้ในสภาพต่าง ๆ (Compat- ปกเกล้า การด�ำเนินการวิจัยในข้ันตอนที่ 1 ผู้วิจัยได้ด�ำเนิน ibility) กล่าวคือ ต้องสามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ การใช้แบบสอบถามเก่ียวกับสภาพปัญหาและความต้องการ หลากหลาย ไม่ควรมีขอบจ�ำกัดหรือการบังคับให้ผู้ใช้ต้องติดตั้ง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยในข้ันตอนที่ 1 โปรแกรมอ่ืน ควรเป็นเว็บไซต์ท่ีสามารถแสดงผลได้ในทุกความ จ�ำแนกตามวิธีการศึกษา ดังน้ี 1) ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ละเอียดและขนาดของหน้าจอ และในทุกระบบปฏิบัติการของ ได้แก่ แพทย์ นักศึกษาแพทย์ และบุคลากรของศูนย์แพทย คอมพิวเตอร์ ศาสตรศึกษาช้ันคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ�ำนวน 60 คน โดยวิธีการเลือกแบบกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
30 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการส่ือสาร ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา (Development) เว็บไซต์ แพทย์ นักศึกษาแพทย์ และบุคลากรของศูนย์แพทยศาสตร แบบเรซสปอนต์ซีฟระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา ศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า จ�ำนวน 192 คน โดย ของศูนย์แพทยศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า ใน ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วน การด�ำเนินการวิจัยในขั้นท่ี 2 มีการด�ำเนินการดังนี้ 1) น�ำผล เบี่ยงเบนมาตรฐาน (StandardDeviation) การวิจัยในข้ันตอนท่ี 1 มาท�ำการวิเคราะห์ร่วมกับแนวคิด หลัก การทฤษฎีเก่ียวกับการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซส ผลการศึกษา ปอนต์ซีฟท่ีได้ศึกษาไว้ในบทที่ 2 แล้วน�ำผลการวิเคราะห์ดัง กล่าวมาใช้เป็นข้อมูลส�ำหรับการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ จากการด�ำเนินการวิจัยเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์แบบ แบบเรซสปอนต์ซีฟระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของ เรซสปอนต์ซีฟเพื่อการให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาส�ำหรับ ศูนย์แพทยศึกษาช้ันคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี 2) ศนู ย์แพทยศาสตรศกึ ษาชนั้ คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ดา้ น ท�ำการตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสมของการออกแบบ ความตอ้ งการระบบการให้บรกิ ารดา้ นงานโสตทัศนศกึ ษา และพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟ โดยผู้เช่ียวชาญเกี่ยวกับ การออกแบบระบบสารสนเทศ จ�ำนวน 6 คน ได้แก่ ผู้เช่ียวชาญ ผลการศึกษา พบว่า ระบบสารสนเทศ และเจ้าหน้าที่ดูแลระบบสารสนเทศ 3) ขั้นตอนท่ี 1 วิเคราะหส์ ภาพปญั หาและความตอ้ งการ ทดลองใช้ (Evaluation) เว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟระบบให้ ใช้เว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟระบบให้บริการด้านงานโสต บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้น ทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระ คลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี ได้แก่ แพทย์ นักศึกษา ปกเกล้า การดำ� เนินการวจิ ัยในขั้นตอนที่ 1 ผู้วจิ ัยได้ดำ� เนินการ แพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระปกเก้าที่ ใชแ้ บบสอบถามเกยี่ วกบั สภาพปญั หาและความตอ้ งการประชากร ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จ�ำนวน 30 คน และกลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ในขน้ั ตอนท่ี 1 จำ� แนกตามวธิ กี าร ศกึ ษา ดังนี้ 1) ประชากรท่ใี ชใ้ นการวิจยั ได้แก่ แพทย์ นกั ศกึ ษา ข้ันตอนท่ี 3 ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานเว็บ แพทย์ และบุคลากรของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรง ไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา พยาบาลพระปกเกลา้ จำ� นวน 60 คน โดยวธิ กี ารเลือกแบบกลมุ่ ของศูนย์แพทยศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้แก่ ตัวอยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความตอ้ งการเว็บไซตบ์ ริการงานโสตทศั นศึกษา
ปที ่ี 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 31 จากตารางท่ี 1 พบว่า ความต้องการระบบการให้ ระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศาสตร บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาช้ัน ศึกษาช้ันคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า อยู่ในระดับเหมาะสม คลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า มีค่าเฉล่ีย 4.48 และส่วนเบี่ยง มาก มีคา่ เฉล่ีย 4.35 และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.44 เบนมาตรฐาน 0.45 การพัฒนา Responsive Website เพอื่ ใหบ้ รกิ ารด้าน ขนั้ ตอนท่ี 2 การพฒั นา (Development) เวบ็ ไซตแ์ บบ งานโสตทศั นศึกษา สามารถเขา้ ใชง้ านไดท้ ี่ http://wow.in.th/ เรซสปอนต์ซีฟระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์ Y72T โดยมโี ครงสร้างหน้าหลักแบง่ เปน็ 7 สว่ น ซึง่ ผใู้ ช้สามารถ แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า ในการ ใชบ้ รกิ ารตามหวั ขอ้ ทต่ี นเองสนใจ ดงั น้ี สว่ นที่ 1 หนา้ หลกั สว่ นที่ ด�ำเนนิ การวจิ ัยในขั้นท่ี 2 มกี ารด�ำเนนิ การดงั นี้ 1) น�ำผลการวิจยั 2 เกีย่ วกบั เรา สว่ นท่ี 3 ระบบจองหอ้ งประชมุ สว่ นที่ 4 ระบบ ในขนั้ ตอนท่ี 1 มาทำ� การวเิ คราะหร์ ว่ มกบั แนวคดิ หลกั การ ทฤษฎี แจง้ ซอ่ ม สว่ นท่ี 5 สอื่ วดี โี อ สว่ นที่ 6 บรกิ ารสารสนเทศ และสว่ น เกยี่ วกบั การออกแบบและพฒั นาเวบ็ ไซตแ์ บบเรซสปอนตซ์ ฟี ทไ่ี ด้ ท่ี 7 ตดิ ต่อสอบถาม ดงั ภาพที่ 1 ศกึ ษาไวใ้ นบทที่ 2 แลว้ นำ� ผลการวเิ คราะหด์ งั กลา่ วมาใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู สำ� หรบั การออกแบบและพฒั นาเวบ็ ไซตแ์ บบเรซสปอนตซ์ ฟี ระบบ ขั้นตอนท่ี 3 ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้งานเว็บ ใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษาของศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชนั้ ไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ 2) ทำ� การตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ของศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า และเหมาะสมของการออกแบบและพฒั นาเวบ็ ไซตแ์ บบเรซสปอน ไดแ้ ก่ แพทย์ นกั ศกึ ษาแพทย์ และบคุ ลากรของศนู ยแ์ พทยศาสตร ตซ์ ฟี จากผูเ้ ชยี่ วชาญระบบสารสนเทศ จำ� นวน 6 และผู้ใชร้ ะบบ ศกึ ษาชัน้ คลินกิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จำ� นวน 192 คน อยใู่ น สารสนเทศ จ�ำนวน 30 คน พบว่า เว็บไซตแ์ บบเรซสปอนต์ซฟี ระดบั มาก มีคา่ เฉล่ยี 4.43 และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.45 ภาพท่ี 1 แสดงหน้าจอหลักเว็บไซตแ์ บบเรซปอนซีฟเพ่อื การให้บรกิ ารดา้ นงานโสตทัศนศึกษา
32 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการสื่อสาร ตารางที่ 2 แสดงค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความความพึงพอใจของผู้ใช้เว็บไซต์ แบบเรซปอนซีฟเพ่ือให้บริการงานโสตทัศนศึกษา จากตารางที่ 2 พบว่า ผู้ใช้เว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซี การบริการ ให้เกิดความชัดเจนมากย่ิงข้ึน รวมท้ังการให้บริการ ฟระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์แพทยศาสตร มคี วามสะดวกมากย่งิ ขนึ้ ศึกษาช้ันคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า มีความพึงพอใจอยู่ใน ระดบั เหมาะสมมาก มคี า่ เฉลย่ี 4.43 และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการศกึ ษาเพือ่ ตอบวัตถุประสงคข์ อ้ ท่ี 2 เพือ่ พฒั นา 0.45 เว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ซีฟเพ่ือการให้บริการด้านงานโสต ทศั นศกึ ษา สำ� หรบั ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาล อภิปรายผล พระปกเกล้า ผลการวิจยั พบวา่ การพฒั นาเวบ็ ไซตแ์ บบเรชปอน ซฟี (Responsive Website) ผใู้ ชบ้ รกิ ารสามารถรบั สง่ สารสนเทศ ผลการศกึ ษาเพอื่ ตอบวัตถปุ ระสงค์ข้อที่ 1 เพือ่ ศึกษา ด้านการจองห้องประชุม ห้องเรียน และแจ้งซ่อมอุปกรณ์ที่เสีย ความต้องการระบบให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์ หายต่าง ๆ ได้อยา่ งรวดเร็ว และสะดวก พดู คยุ ซักถามประเดน็ แพทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ผลการวจิ ยั เกี่ยวกับการให้บริการกับเจ้าหน้าหน้าที่งานโสตทัศนศึกษาด้วย พบว่า แพทย์ นักศกึ ษาแพทย์ และบคุ ลากรกลุ่มตัวอย่าง มีความ การสนทนาแบบทันที หรือฝากข้อความบนเว็บบอร์ด เป็นต้น ตอ้ งการระบบการใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสตทศั นศกึ ษา โดยตอ้ งการ เว็บไซต์แบบเรซปอนซีฟท่ีพัฒนาข้ึนยังสามารถเชื่อมโยงไปสู่ ให้มีระบบการประสานงานกับเจ้าหน้าท่ีท่ีรับผิดชอบโดยตรง เวบ็ ไซตข์ องหนว่ ยงานอนื่ ๆ ทง้ั ภายในและหนว่ ยงานภายนอกโรง ในการประสานระหว่างผู้ต้องการใช้งานระบบกับเจ้าหน้าที่งาน พยาบาลพระปกเกลา้ โดยทำ� การเชอื่ มไปสเู่ วบ็ ไซตต์ า่ ง ๆไดอ้ ยา่ ง ให้บริการเพ่ือป้องกันการเกิดความผิดพลาดในการด�ำเนินการ กวา้ งขวางทวั่ ถงึ ไมจ่ ำ� กดั เพยี งเฉพาะเครอื ขา่ ยศนู ยแ์ พทยศาสตร และเพอื่ ไมใ่ หเ้ กดิ ความซำ�้ ซอ้ นตอ่ การใหบ้ รกิ ารภายในหนว่ ยงาน ศกึ ษาเทา่ นนั้ แตส่ ามารถเชอื่ มโยงไปยงั เครอื ขา่ ยอนื่ ๆ ทวั่ โลกดว้ ย สรุปได้ว่าความต้องการระบบเว็บไซต์เพื่อให้บริการงานด้านโสต ความสะดวกรวดเร็ว ผู้ใช้เว็บไซต์สามารถท่องไปในอินเทอร์เน็ต ทัศนศึกษา จึงเป็นความต้องการระบบสนับสนุนการให้บริการ ได้อย่างอิสระ เพื่อสามารถสืบค้นสารสนเทศในหัวข้อต่าง ๆ เพอื่ แกไ้ ขปญั หาการบรหิ ารจดั การ เพอื่ ใหง้ านดา้ นโสตทศั นศกึ ษา บนหน้าเว็บไซต์ในหัวข้อท่ีตนเองสนใจได้ทุกเร่ือง สอดคล้องกับ สามารถบริการได้อย่างสะดวกและรวดเร็วทันต่อการใช้งาน งานวิจัยของถิรายุ เทพสูตร (2557,หน้า 86) เร่ืองการพัฒนา สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของศศิธร อ้นหอม (2555,หน้า 136-140) ระบบอัจฉริยะ การให้บรกิ ารดา้ นเทคโนโลยกี ารศึกษาผา่ นเครือ เร่ืองการพัฒนาระบบบริการของศูนย์สื่อการศึกษาโรงเรียนฐาน ข่ายอินเทอร์เน็ตส�ำหรับคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัย เทคโนโลยี จังหวัดสมทุ รสาคร ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการ บูรพาโดยพัฒนาระบบอัจฉริยะเกี่ยวกับระบบแจ้งซ่อมอุปกรณ์ ของผู้บริหาร ครูและนักเรียนในระบบบริการของศูนย์สื่อการ ขดั ขอ้ งดว่ น ระบบแจ้งซ่อมคอมพิวเตอร์ ระบบดาวน์โหลดแบบ ศึกษาอยู่ในระดับมาก เนื่องจากผู้ใช้บริการต้องการข้ันตอนของ ฟอร์มระบบสถิติการแจ้งซ่อม ระบบประเมินความพึงพอใจของ
ปที ่ี 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 33 ผู้ใช้บริการ เพื่อให้ผู้ใช้บริการใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ข้อเสนอแนะในการนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดของ Ethan (2010) การสร้าง 1. การน�ำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์แบบเรซสปอนต์ เว็บไซต์ท่ีตรงกับความต้องการและพฤติกรรมการใช้งานคือการ ซีฟเพ่ือการให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาส�ำหรับศูนย์แพทย ออกแบบเว็บไซต์ให้มีความยืดหยุ่น สามารถแสดงผลได้ดีใน ศาสตรศึกษาช้ันคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า เพื่อส่งเสริม อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ได้ การให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาควรน�ำเสนอร่วมกับส่ือ สังคมออนไลน์ อ่ืน ๆ เช่น เฟซบุค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ ผลการศึกษาเพื่อตอบวัตถุประสงค์ข้อท่ี 3 เพ่ือ และไลน์ เป็นต้น เพ่ือให้เข้าถึงกลุ่มบุคลากรมากขึ้น เนื่องจาก ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานท่ีมีต่อเว็บไซต์แบบเรซสปอน บุคลากรแต่ละกลุ่มมีความนิยมในการรับข้อมูลผ่านสื่อท่ีแตก ต์ซีฟเพ่ือการให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษาของศูนย์แพทย ต่างกัน ศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระปกเกล้า ผลการวิจัยพบ 2. การเลือกใช้บริการส่ือออนไลน์ประเภทเว็บไซต์ วา่ แพทย์ นักศึกษาแพทย์ และบุคลากรของศนู ยแ์ พทยศาสตร แบบเรซปอนซีฟของงานโสตทัศนศึกษาส�ำหรับศูนย์แพทย ศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า มีความพึงพอใจต่อ ศาสตรศกึ ษาช้ันคลินกิ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ สามารถรบั รู้ถึง การใช้ Responsive Website ด้านการใหบ้ รกิ ารระบบบรกิ าร ความต้องการของบุคลากรได้อย่างสะดวกและรวดเร็วเพ่ือน�ำมา งานโสตทัศนศึกษา และด้านเว็บไซต์บริการงานโสตทัศนศึกษา พัฒนาการใหบ้ ริการให้ดยี ิง่ ขนึ้ อยใู่ นระดบั มาก สอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของปรางคช์ ติ แสงเสวตร 3. การสื่อสารเพื่อให้บริการด้านงานโสตทัศนศึกษา (2558, หนา้ 53) ศกึ ษาปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความพงึ พอใจของผใู้ ชง้ าน ส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลพระ เวบ็ ไซตอ์ นิ ทราเน็ต การไฟฟ้าฝา่ ยผลิต มีวัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ ศกึ ษา ปกเกล้า ผ่านเว็บไซต์เป็นช่องทางการสื่อสารท่ีก�ำลังได้รับความ ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความพงึ พอใจของผใู้ ชง้ านเวบ็ ไซต์ อนิ ทราเนต็ ของ นยิ มและบคุ ลากรใหค้ วามสนใจ ควรใชเ้ ครอ่ื งมอื สอ่ื สารออนไลน์ การไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ โดยใชป้ จั จยั คณุ ภาพเวบ็ ไซต์ ไดแ้ ก่ ปจั จยั ดา้ น ผา่ นโมบายแอปพลเิ คชันท่ใี ช้อยใู่ นชวี ติ ประจ�ำวัน คณุ ภาพระบบ ปจั จยั ดา้ นคณุ ภาพ ขอ้ มลู และปจั จยั ดา้ นคณุ ภาพ ข้อเสนอแนะเพอ่ื การวจิ ยั คร้ังตอ่ ไป การให้บริการ รวมถึงปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยี ได้แก่ 1. การวิจัยนเี้ ป็นการวจิ ัยเชิงปริมาณ โดยม่งุ ศกึ ษาการ ปจั จัยการ รับรปู้ ระโยชน์ และปจั จยั การรับรู้ความงา่ ยในการใช้ พฒั นาเวบ็ ไซตแ์ บบเรซสปอนตซ์ ฟี เพอื่ การใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสต งาน เพอ่ื ใหท้ ราบถงึ ความพงึ พอใจของผใู้ ชง้ าน และนำ� ผลการวจิ ยั ทศั นศกึ ษาสำ� หรบั ศนู ยแ์ พทยศาสตรศกึ ษาชน้ั คลนิ กิ โรงพยาบาล ไปประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ และพฒั นาเวบ็ ไซต์ ให้ พระปกเกล้า ซึ่งในงานวิจัยนี้เป็นการศึกษากลุ่มตัวอย่างเจาะจง สอดคลอ้ งกบั ความพงึ พอใจของผใู้ ชง้ าน โดยใชแ้ บบสอบถาม ผล เฉพาะเว็บไซต์เท่านั้น ดังนั้นผู้สนใจควรที่จะศึกษาการใช้ส่ือ การวจิ ยั พบวา่ ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความพงึ พอใจของผใู้ ชง้ านเวบ็ ไซต์ ออนไลนอ์ น่ื ๆ เพอ่ื จะไดม้ องเหน็ ภาพรวมทง้ั หมดของสอ่ื ออนไลน์ อนิ ทราเนต็ ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ ความพงึ พอใจมาก ไดแ้ ก่ ปจั จยั ดา้ น ไดช้ ดั เจนยงิ่ ข้ึน การรับรู้ความง่าย ในการใช้งาน ปัจจัยด้านการรับรู้ประโยชน์ 2. ควรทำ� การศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั ตวั แปรอนื่ ๆ ภาย ปัจจัยด้านคณุ ภาพการให้บรกิ าร ปัจจัยด้านการใช้งาน และการ ใตป้ จั จยั และการทดสอบสมมตฐิ านไดใ้ นหลายรปู แบบในการวจิ ยั เข้าถึงระบบ และปัจจัยด้านคุณภาพข้อมูลและการค้นหาข้อมูล ท่ีอาจส่งผลต่อการวิจัยท่ีชัดเจนขึ้น เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น อย่ใู นระดบั มาก และสามารถน�ำมาพฒั นา ปรับปรงุ แกไ้ ขให้มปี ระสทิ ธภิ าพมาก ยิง่ ข้ึน ข้อเสนอแนะ 3. ควรทำ� การศกึ ษากลมุ่ ตวั อยา่ งทแ่ี ตกตา่ งกนั ในหนว่ ย งานอน่ื ๆ ของโรงพยาบาลพระปกเกล้า โดยนำ� ผลการวิจยั ทไ่ี ด้ จากผลการศึกษาเร่ือง การพัฒนาเว็บไซต์แบบเรซส มาท�ำการศึกษาเปรียบเทียบ เพ่ือเป็นประโยชน์ในการให้ข้อมูล ปอนตซ์ ฟี เพื่อการใหบ้ รกิ ารดา้ นงานโสตทศั ศกึ ษา การพฒั นาเวบ็ ไซต์แบบเรซสปอนต์ซฟี ของหนว่ ยงานต่าง ๆ ส�ำหรับศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาล พระปกเกล้า ผู้วจิ ยั มขี ้อเสนอแนะดังต่อไปน้ี
34 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตรแ์ ละการสอ่ื สาร บรรณานุกรม ปรางค์ชิต แสงเสวตร. (2561). ปจั จัยทม่ี ีผลต่อความพงึ พอใจของผใู้ ช้งานเวบ็ ไซต์ อนิ ทราเน็ตของการฟา้ ผา่ ยผลิต (การค้นควา้ อิสระ ปริญญามหาบัณฑติ ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ปิยะดนัย วิเคยี น. (2563). หลักการออกแบบเว็บไซต์. สืบคน้ จาก https://krupiyadanai.wordpress.com ฉลอง ทับศรี. (2549). การออกแบบระบบการเรียนการสอน (Instruction design). ชลบุรี: ภาควิชาเทคโนโลยีทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา. ถิรายุ เทพสูตร. (2557). การพัฒนาระบบอัจฉริยะเพื่อการให้บริการด้านเทคโนโลยีการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตส�ำหรับ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. (วิทยานพิ นธ์ปริญญามหาบณั ฑติ ) คณะศึกษาศาสตรม์ หาวทิ ยาลัยบรู พา. แผนพัฒนาแพทยศาสตร์บัณฑิต. (2555). หลักสูตรแพทยศาสตรบณั ฑิต. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . แผนยุทธศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2559). ยุทธศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ: ส�ำนักยุทธศาสตร์และการ ขับเคลอ่ื น. ศศธิ ร อน้ หอม. (2555). การพัฒนาระบบบริการของศูนยส์ ่อื การศกึ ษาโรงเรียนฐานเทคโนโลยจี งั หวดั สมทุ รสาคร. วิทยานิพนธศ์ กึ ษา ศาสตรมหาบณั ฑติ แขนงวิชาเทคโนโลยีและสอื่ สารการศกึ ษา สาขาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. สำ� นกั นโยบายและแผนการศกึ ษา. (2552). ขอ้ เสนอการปฏริ ปู การศึกษาในทศวรรษทีส่ อง (พ.ศ.2552-2561). กรุงเทพ : ส�ำนักงาน เลขาธกิ ารสภาการศึกษา. สำ� นกั นโยบายและแผนการศกึ ษา. (2560). แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 . กรงุ เทพ : สำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. Ethan. M. (2010). Responsive web design. Retrieved May252010.from http://alistapart.com/article/responsive web-design/ PENG W. and ZHOU Y. (2015). The Design and Research of Responsive Web Supporting Mobile Learning Devices. IEEE.
ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 35 การส่อื สารความเช่ือผ่านการแสดงเพลงโคราชในบริบทพิธีกรรมการแกบ้ น The Expression of Belief Through Korat Folk Song Performances In the Context of Votive Offering นรี นชุ กมลยะบตุ ร1 Neeranuch Kamalyaputra Article History Received: November 24, 2020 Revised: December 20, 2020 Accepted: June 21, 2021 บทคดั ย่อ การวจิ ยั ครง้ั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาลกั ษณะของการแสดงเพลงโคราชในบรบิ ทพธิ กี รรมการแกบ้ น ตลอดจนบทบาทหนา้ ท่ี ของการแสดงเพลงโคราชในบรบิ ทพธิ กี รรมการแก้บน และการให้ความหมายของคุณคา่ การแสดงเพลงโคราชในบรบิ ทพิธกี รรมการ แกบ้ น โดยใชร้ ะเบยี บวธิ วี ิจยั เชงิ คณุ ภาพ คือการสัมภาษณเ์ ชิงลึกจากกลุม่ เปา้ หมายและการสงั เกตการณแ์ บบไม่มสี ่วนร่วม จำ� นวน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลมุ่ ผูเ้ ชี่ยวชาญ จำ� นวน 6 คน 2.กล่มุ หมอเพลงโคราช จ�ำนวน 9 คน และ 3.กลมุ่ ผมู้ าแก้บน จ�ำนวน 12 คน รวมทั้งสน้ิ จำ� นวน 27 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ลกั ษณะของการแสดงเพลงโคราชในบรบิ ทพธิ กี รรมการแกบ้ น ประกอบไปดว้ ย 7 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1.รปู แบบ ฉนั ทลกั ษณ์ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ทม่ี คี วามสมบรู ณแ์ บบ ทำ� ใหย้ งั คงถกู นำ� มาใชจ้ นถงึ ปจั จบุ นั โดยไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลง 2. ประเภทของ เพลงโคราช สามารถแบง่ ไดต้ ามพัฒนาการของเพลงหรอื โอกาสทีจ่ ะเล่นกไ็ ด้ โดยตอ้ งใช้รปู แบบฉนั ทลกั ษณท์ กี่ ำ� หนดไวอ้ ย่างเคร่งครดั 3. การเขยี นกลอนเพลงโคราชตอ้ งใชส้ ตปิ ญั ญา ปฏภิ าณไหวพรบิ และประสบการณใ์ นการแตง่ กลอนเพลง 4. การแตง่ กายในการแสดง เพลงโคราช มกี ารปรับเปลีย่ นในบางสว่ นเพ่ือให้เหมาะสมตามยุคสมัยแตย่ งั คงความสวยงามไว้เช่นเดิม 5. ทา่ รำ� ทใี่ ชใ้ นการแสดงเพลง โคราช เน้นการให้จังหวะมากกว่าความอ่อนช้อยงดงาม 6. สถานที่ทำ� การแสดงเพลงโคราชแก้บนมีการจัดการแสดงทุกวันที่บริเวณ ลานอนุสาวรียท์ ้าวสุรนารี และวัดศาลาลอย และ 7. อตั ราค่าจา้ งของการแสดงเพลงโคราชแกบ้ น (ต่อชวั่ โมง) แบ่งเปน็ ชดุ เลก็ 899 บาท ชุดกลาง 1,099 บาท และชดุ ใหญ่ 1,999 บาท ส�ำหรับบทบาทหนา้ ที่ของการแสดงเพลงโคราชต้ังแต่อดตี จนถงึ ปจั จุบัน แบ่งออกเปน็ 1. หน้าท่ีที่สืบเนื่องมาต้ังแต่อดีตและ ยงั คงทำ� หนา้ ทนี่ น้ั ในปจั จบุ นั โดยวเิ คราะหใ์ นระดบั ปจั เจก ไดแ้ ก่ ชว่ ยใหห้ มอเพลงมสี มาธิ ปฏภิ าณไหวพรบิ รวมถงึ ชว่ ยสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ร่างกายของหมอเพลงใหแ้ ข็งแรง ระดับชุมชน ได้แก่ การสบื ทอดภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ ของบรรพบรุ ุษ การสะท้อนอตั ลักษณ์ของชุมชนท่ี มคี วามโดดเดน่ และแตกตา่ ง ตลอดจนการสง่ เสริมอาชีพใหก้ ับคนในชมุ ชน และระดับสงั คม เปน็ แหลง่ ข้อมูลสำ� คญั ส�ำหรับการศึกษา 1 หลกั สตู รปรชั ญาดุษฎีบัณฑติ สาขาวชิ านเิ ทศศาสตร์ คณะนเิ ทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์ Doctor of Philosophy Program in Communication Arts, Faculty of Communication Arts, Dhurakij Pundit University. *Corresponding author Email: [email protected]
36 วารสารสหวทิ ยาการสังคมศาสตร์และการส่ือสาร คน้ คว้าทางประวตั ิศาสตร์ 2. หน้าทท่ี ่คี ลี่คลายทม่ี ีตง้ั แต่ในอดีต ซ่งึ ปัจจบุ ันยังคงมอี ยู่แตไ่ ม่เหมือนเดิมทงั้ หมด โดยวิเคราะห์ในระดบั ปจั เจก คือ ให้สุนทรยี ะและความบนั เทงิ แก่ผ้ฟู งั ระดับชมุ ชน คือ เปน็ ศนู ย์รวมจิตใจของคนในชมุ ชน และระดบั สงั คม คอื การขดั เกลา ทางสงั คมให้คนในชมุ ชนมีจิตส�ำนึกทีด่ รี ว่ มกัน 3. หน้าท่ีท่ีหายไปทมี่ ีเฉพาะในอดีต ซงึ่ ในปัจจุบันไม่มีแล้ว โดยวเิ คราะหใ์ นระดบั ปัจเจก คือ การเปน็ ผู้น�ำทางวัฒนธรรมโดยหมอเพลงโคราช ระดบั ชมุ ชน คอื การเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารแกค่ นในชุมชน และระดบั สังคม คือ การปลูกฝงั ค่านยิ มทีด่ ีทางสังคม และ 4. หนา้ ทท่ี ่เี พ่มิ ใหม่ซ่งึ ยงั ไม่เคยเกิดขึน้ ในอดตี มเี ฉพาะในปัจจุบนั ระดับปัจเจก คือ เปน็ ท่พี ่งึ ทาง จิตใจในยามวิกฤต ระดับชมุ ชน คือ ส่งเสริมการทอ่ งเที่ยวของชุมชนในจงั หวดั นครราชสมี า และระดับสังคม คือ การขยายเครือขา่ ย กับสถาบันการศึกษา และยกระดบั การเปน็ ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ และการใหค้ วามหมายของคณุ คา่ การแสดงเพลงโคราชในบรบิ ทพธิ กี รรมการแกบ้ น โดยวเิ คราะหใ์ นดา้ นผผู้ ลติ คอื หมอเพลง และด้านผู้บรโิ ภค คือ ผู้มาแก้บน พบวา่ ทัง้ ด้านผ้ผู ลติ และผูบ้ ริโภคไดใ้ หค้ วามหมายของคุณคา่ ไวต้ รงกนั ดงั น้ี การหวงแหนภมู ปิ ัญญา ท้องถิน่ ความภาคภมู ใิ จในอัตลักษณ์ของชุมชน การอนรุ ักษม์ รดกทางวฒั นธรรม และการระลกึ ถึงวีรกรรมของทา้ วสรุ นารี นอกจากน้ี ยงั พบวา่ มใี นสว่ นทม่ี เี ฉพาะหมอเพลงไดใ้ หค้ วามหมายไว้ คอื การสรา้ งรายได้ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ และการใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์ และในสว่ น ผมู้ าแก้บนได้ให้ความหมายไว้ คอื เปน็ ทพี่ ึง่ ทางจติ ใจ และสง่ เสริมการทอ่ งเท่ียวของจังหวดั นครราชสมี า ค�ำสำ� คัญ: ความเช่ือ เพลงโคราช การแสดงเพลงโคราช พิธีกรรมการแก้บน Abstract The objectives of this research were to study a Korat folk song performance in the context of a votive offering, roles of a Korat folk song performance in the context of a votive offering, and value definition of a Korat folk song performance in the context of a votive offering. The study was qualitative research obtained by In-depth interviews and Non-participant observation of 3 target groups with 27 persons in total; 1. Professional, 6 persons; 2. Mo Phleng (singer), 9 persons; and 3. Votive offeror, 12 persons. The findings showed that Korat folk song performance consists of 7 features; 1. Versification, the complete local wisdom which is used until now with no modification; 2. Formats of Korat folk song are distributed by music development or an occasion of performance but the versification must remain; 3. Writing lyrics of Korat folk song requires intelligence, aptitude, and experience of the writer; 4. The costume of the performer is changed by the changing of time but the magnificence remains; 5. Dancing during the performance are performed with rhythm more than delicacy; 6. Venues of performance are the area around Thao Suranari Monument and in Sala Loi Temple; and 7. Compensation for performance is 899 baht for a small group of performers, 1,099 baht for a medium group, and 1,999 baht for a large group. Roles of a Korat folk song performance in the context of a votive offering are; 1. A role that is inherited from the past and still performs today, to analyze individually, performing Korat folk song promotes Mo Phleng a concentration, aptitude, and healthy body. To analyze according to a community, Korat folk song performance passes on local wisdom, reflects an identity of a community, and promotes having a career for local people. And to analyze according to social, Korat folk song performance is a key to studying history. 2. An unfolding role that existed in the past which still exists but not all the same, to analyze individually, performing Korat folk
ปที ี่ 4 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 37 song gives listeners an aesthetic and entertainment. To analyze according to a community, it is the center of the minds of people in the community. And to analyze according to social, it helps people in the community share a good conscience. 3. The missing role that was specific to the past but no longer exists at present, to analyze individually, Mo Phleng are cultural leaders. To? analyze according to a community, it disseminates information to people in a community. And to analyze according to social, it is the cultivation of social value; and 4. A role that has not happened in the past but happens at present, to analyze individually, it is a mental refuge in times of crisis. To analyze according to a community, it promotes tourism in the community and Nakhon Ratchasima province. And to analyze according to social, it helps in expanding network with educational institutions and raises the level of being a national artist. Finally, the value definition of a Korat folk song performance in the context of a votive offering. To analyze in production, the producer is Mo Phleng and the consumer is the votive offeror. Both producer and consumer value Korat folk song in the same ways; cherishing local wisdom, dignity in community identity, conservation of cultural heritage, and remembrance of the bravery of Thao Suranari. Furthermore, Mo Phleng also values it as income making, good health-promoting, and spending time wisely. Votive offerors value it as a mental refuge and tourism promotion. Keywords: Belief, Korat folk song, Korat folk song performance, Votive offering บทน�ำ ศักด์ิสิทธ์ิ ซึ่งมนุษย์เช่ือว่า ความสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพล เหนือวิถีทางธรรมชาติและมีวิถีของมนุษย์ ศาสนาต่างๆ ของ งามพศิ สตั ยส์ งวน (2538) กลา่ ววา่ ชาวไทยแตใ่ นอดตี มนุษยม์ คี วามแตกต่างหลากหลายทงั้ ในรูปของรูปแบบ เช่น การ นนั้ วถิ ชี วี ติ มคี วามเชอ่ื ทเี่ กย่ี วพนั กบั เรอ่ื งภตู ผวี ญิ ญาณ ผสี างเทวดา จัดองค์กรและพิธีกรรม และในด้านของเน้ือหาหรือความเช่ือ ซง่ึ อดตี ศาสนาพทุ ธและศาสนาพราหมณอ์ ทิ ธพิ ลตอ่ วถิ ชี วี ติ สงั คม เก่ียวกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่ง ไทยในอดตี ตา่ งพยายามแสวงหาพลงั อำ� นาจใหก้ บั ตนเอง เพอื่ ให้ ศกั ด์ิสิทธ์เิ หล่าน้ัน ไดร้ บั การยอมรบั และเพอื่ การอยรู่ อด ในขณะเดยี วกนั อำ� นาจทค่ี น ยอมรบั มาก คอื อำ� นาจทมี่ าจากความเชอื่ ทางพทุ ธศาสนา และ การบนบานศาลกล่าวเป็นวิธีการแบบหน่ึงของคนไทย อ�ำนาจทางไสยศาสตร์ ซึ่งบางคร้ังต้องอิงกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม ส่วนใหญ่ท่ีคิดว่าส่ิงต่างๆ ท่ีตนเองเคารพนับถือนั้นสามารถช่วย ความเชอ่ื เรอื่ งอำ� นาจเหลา่ นี้ มบี ทบาทตอ่ วถิ ชี วี ติ ของคนในสงั คม ให้ตนเองได้สมดังประสงค์ วิธีน้ีเป็นวิธีท่ีใช้มาต้ังแต่ครั้งโบราณ เปน็ อยา่ งมาก ทำ� ใหร้ ปู แบบพฤตกิ รรมของชาวบา้ นดำ� เนนิ ภายใน จนกระท่ังปัจจบุ นั ซ่งึ เปน็ สงิ่ ทส่ี ามารถช่วยในทางดา้ นจติ ใจ การ กรอบของความเชอ่ื ดงั กลา่ วการถวายของและเครอ่ื งบชู าตา่ งๆ แก่ บนบานศาลกลา่ วถอื เปน็ คา่ นยิ มปฏบิ ตั กิ นั อยู่ ซงึ่ ในปจั จบุ นั ทเ่ี หน็ ภตู ผเี ทพเจา้ เปน็ การปฏบิ ตั กิ ารทางศาสนาทพ่ี บเหน็ การอยทู่ วั่ ไป ได้ชัดเจน คือ การจัดการแสดงละครแก้บนให้กบั ส่ิงศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ จงึ สรุปได้ว่า พิธีกรรมและความเชื่อเป็นสาเหตุให้ผู้คนท่ีมากล่าว ยศ สันตสมบัติ (2540) กล่าวว่า นักมานุษยวิทยาได้ ขอทา่ นทา้ วสรุ นารใี หต้ นประสบความสำ� เรจ็ แลว้ ไดป้ ระสบความ พยายามค้นคว้าท�ำความเข้าใจ กับต้นก�ำเนิดและพัฒนาการ ส�ำเร็จตามท่ีตนมุ่งหวังจะนิยมเอาการแสดงเพลงโคราชมาใช้ใน ของศาสนานักสังคมวัฒนธรรมต่างๆ ความเชื่อศาสนามีความ เชิงพิธีกรรมหรือใช้แก้บน ซึ่งเป็นส่ิงท่ีสืบทอดกันมานานจนถึง สัมพันธ์กับโลกทัศน์ ค่านิยม ท่ีว่าศาสนาคือ “ความเชื่อในดวง ปจั จบุ นั วิญญาณทั้งหลาย” ศาสนาเก่ียวพันเชื่อมโยงโดยตรงกับความ
38 วารสารสหวทิ ยาการสงั คมศาสตร์และการสอื่ สาร ความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนของคนโคราชก็เช่นเดียว วัตถปุ ระสงค์ กับคนไทยในท้องถิ่นอื่นชาวโคราชถือว่าถ้าเกิดมาเป็นคน โคราชแล้ว จะต้องเป็นคนเจ้าคารม เป็นนักบทนักกลอนอย่าง 1. เพอื่ ศกึ ษาลกั ษณะของการแสดงเพลงโคราชในบรบิ ท ขาดเสียไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นถือว่าไม่ทันคน ฐานะทางสังคมก็จะดู พธิ ีกรรมการแก้บน ด้อยลงไปด้วย การพูด การทักทายของคนในสังคมสมัยก่อน จึงมักพูดเป็นปริศนาลองปัญญา และสามารถพูดเป็นกลอน 2. เพอื่ ศกึ ษาบทบาทหนา้ ทขี่ องการแสดงเพลงโคราชใน ได้ถือว่าเป็นคนที่มีความรู้มากโดยเฉพาะการเก้ียวพาราสี มัก บรบิ ทพธิ กี รรมการแก้บน จะไม่เกี้ยวพาราสีกันตรง แต่จะใช้ค�ำพูดที่เป็นส�ำนวน เพราะ เช่ือว่าถ้าไม่สามารถโต้ตอบได้ ก็แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ และการ 3. เพ่ือศึกษาการให้ความหมายของคุณค่าการแสดง พูดโต้ตอบกันเป็นการพูดให้รู้จักกันดีข้ึนซ่ึงนิยมพูดเป็นกลอน เพลงโคราชในบรบิ ทพิธีกรรมการแกบ้ น หรือพูดเป็นปริศนาให้ขบคิด เพลงโคราชสมัยก่อนเป็นที่นิยม กันมาก เนื่องจากการแสดงมหรสพท่ีเป็นหัวใจของงานฉลอง นิยามศัพท์ สมโภชใดก็ตาม จะมีการเล่นเพลงโคราชเพียงอย่างเดียว เท่าน้ัน การฟังเพลงจะใช้เวลานานมากซึ่งมีการใช้ถ้อยค�ำอัน เพลงโคราช หมายถึง สื่อพ้ืนบา้ นชนิดหน่ึงของจังหวัด แสดงออกถึงไหวพริบปฏิภาณในการร้องโต้ตอบต้ังแต่หัวค่�ำ นครราชสมี า ทม่ี กี ารนำ� ภาษาโคราชมาใชโ้ ตต้ อบกนั เปน็ คู่ ใชก้ าร จนถึงรุ่งสว่าง ตบมือให้เข้ากับท�ำนองเพลงเนื่องจากไม่มีเคร่ืองดนตรีประกอบ มีครูเพลงเป็นผู้ประพันธ์เพลงโคราชให้หมอเพลงได้น�ำไปท�ำการ ทั้งน้ีในด้านงานวิชาการท่ีผ่านมา แม้จะมีนักวิชาการ แสดง สามารถแบง่ ออกเปน็ รูปแบบต่างๆ ทมี่ ีสัมผัสคำ� และเสียง สนใจศึกษาเร่ืองเก่ียวกับเพลงโคราชไปแล้วแต่ทว่าในมิติของ สนั้ ยาวแตกตา่ งกนั ออกไปเพอ่ื ใหเ้ พลงมคี วามไพเราะและนา่ สนใจ การแสดงเพลงโคราชแก้บนท่ีถือว่าเป็นลักษณะเฉพาะที่มี ความแตกต่างจากเพลงโคราชรูปแบบอื่น ซึ่งยังไม่มีผู้ใดศึกษา หมอเพลงโคราช หมายถงึ ผทู้ ปี่ ระกอบอาชพี รอ้ งเพลง ตลอดจนในมิติของการสื่อสารตามหลักนิเทศศาสตร์ ท่ียังไม่ โคราช มีความรู้ ความสามารถ และไหวพริบในการแสดงส่ือ พบผลการวิจัยในด้านการส่ือสารท่ีศึกษากับกลุ่มผู้มาแก้บน พื้นบ้านเพลงโคราชในบริบทพิธีกรรมการแก้บน ซ่ึงมีความเป็น ซ่ึงส่วนหน่ึงของประเด็นท่ีจะศึกษาน้ีเป็นการต่อยอดงานวิจัย เอกลกั ษณ์ด้านการใชภ้ าษาโคราชในการโตต้ อบกลอนเพลง ท่ีมีนักวิชาการได้เสนอแนะถึงประเด็นการสื่อสารความหมาย ของพิธีกรรมการแก้บนย่าโม ทิพย์พธู กฤษสุนทร (2552) ที่ ลกั ษณะของการแสดงเพลงโคราช หมายถงึ รายละเอยี ด ควรส่งเสริมให้มีการศึกษาในล�ำดับต่อไป ดังน้ันผู้วิจัยจึงเล็ง ของการแสดงเพลงโคราชแก้บนท่ีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่าง เห็นความส�ำคัญที่จะศึกษาการสื่อสารความเชื่อผ่านการแสดง จากการแสดงเพลงโคราชในรูปแบบอื่น ตามองค์ประกอบทั้ง เพลงโคราชในบริบทพิธีกรรมการแก้บน ซึ่งข้อค้นพบจากการ 7 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ 1. รปู แบบฉนั ทลกั ษณ์ 2. ประเภทของเพลง ศึกษาในครั้งน้ีจะเป็นแนวทางของการสื่อสารในเชิงพิธีกรรม โคราช 3. การเขยี นกลอนเพลงโคราช 4. การแตง่ กายในการแสดง แก้บนที่มีการสืบทอดทางวัฒนธรรมผ่านการแสดงเพลงโคราช เพลงโคราช 5. ทา่ รำ� ทใี่ ชใ้ นการแสดงเพลงโคราช 6. สถานทท่ี ำ� การ โดยสามารถน�ำไปเป็นประโยชน์ในการต่อยอดงานวิชาการที่ แสดงเพลงโคราช และ 7. อตั ราคา่ จา้ งของการแสดงเพลงโคราช ศึกษาทางด้านวัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นแนวทางให้กับชุมชน อื่นหรือสื่อพ้ืนบ้านประเภทอื่นในการสืบทอดภูมิปัญญาท้อง สอ่ื พธิ กี รรม หมายถงึ กจิ กรรมการสอื่ สารรปู แบบหนงึ่ ท่ี ถ่ินจากบรรพบุรุษ และส่งเสริมให้ตระหนักและเล็งเห็นถึง มรี ปู แบบ กระบวนการ และลำ� ดบั ขนั้ ตอนทแี่ นน่ อน โดยเชอ่ื มโยง คุณค่าทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบทอดจาก ความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมกับส่ิงศักด์ิสิทธิ์หรือส่ิงท่ีเคารพ รุ่นสู่รุ่นให้ยังคงอยู่ต่อไป นับถือ ในการศึกษาคร้ังน้ีจะกล่าวถึงพิธีกรรมในบทบาทหน้าท่ี ของรูปแบบการสื่อสารชนิดหน่ึง การแก้บน หมายถงึ การตอบแทนดว้ ยการวา่ จ้างหมอ เพลงโคราชใหข้ นึ้ ทำ� การแสดงเพลงโคราชแกบ้ นเพอื่ ถวายตอ่ ทา้ ว สรุ นารี ณ บรเิ วณลานอนสุ าวรยี ท์ า้ วสรุ นารี และหรอื วดั ศาลาลอย จงั หวดั นครราชสมี า โดยวา่ จา้ งตามชดุ การแสดงทไ่ี ดส้ ญั ญาไวเ้ มอื่ พรทีข่ อประสบผลส�ำเรจ็ ดงั ปรารถนา
ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 39 บทบาทหน้าท่ีของการแสดงเพลงโคราช หมายถึง ศาลาลอย จงั หวดั นครราชสมี า เนอ่ื งจากเปน็ สถานทที่ ม่ี กี ารแสดง ภารกิจหรือหน้าท่ีที่การแสดงเพลงโคราชแก้บนต้องรับผิดชอบ เพลงโคราชแก้บนเป็นประจ�ำทกุ วัน เพื่อตอบสนองความต้องการในระดับปัจเจกบุคคล ระดับชุมชน และระดับสังคม โดยใช้กรอบเวลาเป็นเกณฑ์ในการจ�ำแนก แนวคิดและทฤษฎี บทบาทหนา้ ที่ โดยสามารถจำ� แนกบทบาทหนา้ ทไ่ี ด้ 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. หน้าทท่ี ี่สืบเนอื่ ง 2. หน้าทีท่ หี่ ายไป 3. หน้าที่ทีค่ ลคี่ ลาย และ 1. แนวคิดเกยี่ วกบั สือ่ พื้นบา้ น 4. หน้าท่ที ่เี พ่ิมใหม่ สอ่ื พนื้ บา้ น หมายถงึ สอื่ ทมี่ กี ารสบื ทอดของคนในชมุ ชน ซงึ่ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ เอกลกั ษณข์ องชมุ ชนนน้ั โดยทำ� หนา้ ทถี่ า่ ยทอด การใหค้ วามหมายของคณุ คา่ การแสดงเพลงโคราช หมาย ขอ้ มลู ความหมาย และความรสู้ กึ ผา่ นภาษา ทา่ ทาง การแตง่ กาย ถงึ การตคี วามของดา้ นผผู้ ลติ หรอื หมอเพลง และดา้ นผบู้ รโิ ภคหรอื ฯลฯ เป็นการแสดงออกของคนในชุมชนท่ีได้รับการยอมรับจาก ผมู้ าแกบ้ น ทม่ี กี ารจำ� แนกออกเปน็ 3 กลมุ่ ตามชว่ งอายทุ แี่ ตกตา่ ง คนในชมุ ชนเดยี วกนั และทำ� หนา้ ทถ่ี า่ ยทอดวฒั นธรรมจากรนุ่ หนง่ึ กนั คอื กลมุ่ ผสู้ งู อายุ กลมุ่ วยั กลางคน และกลมุ่ เยาวชน ตอ่ การ ไปสอู่ ีกรนุ่ หน่งึ สำ� หรับเพลงโคราชเป็นสอื่ การแสดงพน้ื บา้ นที่บ่ง แสดงเพลงโคราช เพอื่ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเหมอื นและความแตก บอกถึงอัตลักษณ์ของชาวไทยโคราช ซึ่งเห็นได้จากลักษณะของ ตา่ งของประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ ากการแสดงเพลงโคราช เพลงท่ีเปน็ ส่ือปฏพิ ากย์ใช้ผูเ้ ล่นหมอเพลงชายและหญิงฝา่ ยละ 2 คนวา่ เพลงโตต้ อบกนั โดยใชภ้ าษาถน่ิ โคราชในการวา่ เพลง และมี ขอบเขตของการวิจยั การเทยี บเสยี งดว้ ยวธิ ยี กมอื ปอ้ งหู ทเ่ี รยี กวา่ “การโอโ้ อ”่ กอ่ นการ วา่ เพลงทกุ ครง้ั นอกจากนก้ี อ่ นทำ� การแสดงเพลงจะมกี ารไหวค้ รู 1. ขอบเขตด้านกล่มุ เป้าหมาย ก�ำหนดกล่มุ เปา้ หมาย เพราะมีความเช่ือว่าเป็นช่วงที่หมอเพลงได้ระลึกถึงพระคุณของ จ�ำนวน 27 คน แบ่งออกเป็น 3 กลมุ่ ได้แก่ ครบู าอาจารยแ์ ละสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ต่ี นนบั ถอื สำ� หรบั ดา้ นเนอื้ หาของ เพลงยงั สะทอ้ นโลกทศั น์ วถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยู่ คา่ นยิ ม วฒั นธรรม 1.1 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จ�ำนวน 6 คน ประกอบด้วย ขนบธรรมเนยี มประเพณีของชาวไทยโคราชได้อยา่ งชดั เจน และ ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐที่ก�ำกับ ดูแล และส่งเสริม เป็นสอื่ ทผ่ี ูกติดกบั ความเชอ่ื ในเร่ืองต่างๆ วฒั นธรรมเพลงโคราช จำ� นวน 3 คน และนกั วชิ าการจากสถาบนั 2. แนวคิดเกย่ี วกับพิธีกรรม การศกึ ษา จำ� นวน 3 คน Eric (1998) ไดก้ ล่าวว่า พิธีกรรมประกอบด้วยรูปแบบ ของการกระท�ำและกระบวนความคิด พิธีกรรมจึงเป็นสิ่งท่ีผู้คน 1.2 กลุ่มหมอเพลง ท่ีท�ำการแสดงเพลงโคราชแก้บน ปฏิบัติและแสดงพฤติกรรมน้ันออกมาเช่นเดียวกับท่ีคิด ขณะที่ บรเิ วณลานอนุสาวรยี ์ทา้ วสรุ นารแี ละวดั ศาลาลอย จำ� นวน 9 คน ข้อมลู จากประวตั ศิ าสตร์และการสงั เกตแสดงวา่ รูปแบบที่แสดง โดยแบง่ ตามประสบการณ์การเป็นหมอเพลงได้ 3 กลมุ่ กล่มุ ละ ใหเ้ หน็ นน้ั มคี วามหลากหลายและไมค่ งทใ่ี นบางสว่ นของกระบวน 3 คน ได้แก่ รนุ่ ใหญ่ (ประสบการณต์ ั้งแต่ 50 ปีขน้ึ ไป) รุน่ กลาง ความคิดและพิธีกรรม ส�ำหรับผู้ที่เข้าร่วมพิธีบ่อยคร้ังท่ีมีความ (ประสบการณร์ ะหวา่ ง 30-49 ป)ี และรนุ่ เลก็ (ประสบการณน์ อ้ ย เข้าใจต่างกัน ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับชุดความรู้และการกระท�ำท่ีผ่าน กว่า 30 ปี) ประสบการณ์ของแต่ละคน ทว่าเม่ือพูดถึงบทบาทของพิธีกรรม พบวา่ พธิ กี รรมไมไ่ ดห้ มายถงึ การกระทำ� ของปจั เจกบคุ คลเทา่ นนั้ 1.3 กลุ่มผู้มาแก้บน ที่ท�ำการแก้บนท้าวสุรนารีด้วย หากแต่สัมพันธ์กับโครงสร้างสังคม ซึ่งประกอบด้วย ภาษาและ เพลงโคราชบรเิ วณลานอนสุ าวรยี ท์ า้ ว สรุ นารแี ละวดั ศาลาลอย ระบบสัญลักษณ์ ประเพณี รวมถึงศีลธรรมในด้านต่างๆ โดยที่ จำ� นวน 12 คน โดยแบง่ ตามชว่ งวยั ได้ 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 4 คน ไดแ้ ก่ พธิ กี รรมเปน็ ชว่ งเวลาหนง่ึ ทมี่ คี วามพเิ ศษแตกตา่ งจากภาวะปกติ ผสู้ งู อายุ ท่ีมีอายุต้งั แต่ 50 ปขี น้ึ ไป วยั กลางคน ท่ีมอี ายรุ ะหว่าง สามารถมีรปู แบบทแี่ ตกตา่ งกนั ตามการแสดงในแต่ละชุมชน ทม่ี ี 30-49 ปี และเยาวชน ทมี่ อี ายรุ ะหว่าง 15-25 ปี ความเช่อื หรือวิถีชวี ิตท่แี ตกต่างกัน โดยมมี นุษย์เปน็ ผูก้ ำ� หนดรปู 2. ขอบเขตดา้ นเวลา เก็บขอ้ มลู ระหว่างเดอื นมีนาคม ถงึ เดอื นพฤษภาคม พ.ศ. 2563 3. ขอบเขตด้านสถานท่ี โดยศึกษาการแสดงเพลง โคราชที่แสดงบริเวณ ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีและวัด
40 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตรแ์ ละการส่อื สาร แบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ร่วมพิธี ซึ่งอาจมีการ เพชรมีหน้าท่ีในการเป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลด้านอารยธรรม และ แสดงออกในรูปแบบการเฉลิมฉลองหรือพธิ ีกรรมโดยตรงก็ได้ เป็นหลักฐานทางโบราณคดีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานต้ังแต่อดีต จนถึงปัจจบุ ัน 3. แนวคดิ เรอื่ งการผลติ และการผลติ ซำ�้ ทางวฒั นธรรม (Cultural Production and Reproduction) 4.2 หนา้ ทหี่ ายไป คอื หนา้ ทท่ี หี่ ายไปของสอื่ นนั้ อนั เนอื่ ง มาจากการเปลยี่ นแปลงของสงั คม ไมว่ า่ จะในระดบั กระบวนทศั น์ การผลิตซ�้ำทางวฒั นธรรม หมายถงึ การปกปอ้ ง ดำ� รง สถาบนั ทางสงั คม และวถิ ชี ีวติ รกั ษา หรอื เพมิ่ พนู วฒั นธรรมทม่ี กี ารผลติ ขน้ึ ในกลมุ่ สงั คม เมอ่ื เกดิ การผลิตและสร้างความหมายทางวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมา สมาชิก 4.3 หน้าท่ีคล่ีคลาย คือ หน้าท่ีท่ีมีการขยับตัว มีการ จะท�ำการคัดเลือกความคิด ความเชื่อ ค่านิยมหรือการปฏิบัติท่ี ปรับประยกุ ต์ แตม่ บี างอย่างที่องิ อย่กู ับของเดิม ดังเช่น ศรัณยา เหมาะสมและทำ� การผลติ ซำ้� ดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ จนเกดิ การยอมรบั สนิ สมรส (2546) พบวา่ ลเิ กฮลู มู หี นา้ ทดี่ า้ นการใหข้ อ้ มลู ขา่ วสาร เป็นบรรทัดฐานเพ่ือการอยู่ร่วมกันแสดงถึงความเป็นหน่ึงเดียว ใหก้ ารศกึ ษาเพม่ิ มากขน้ึ เนอ่ื งจากหนว่ ยงานภาครฐั เหน็ ศกั ยภาพ ของกลุ่ม สร้างความแตกต่างระหว่างกลุ่ม วัฒนธรรมใดท่ีมีการ ของลิเกฮูลูในฐานะส่ือพน้ื บ้านเพือ่ การพัฒนาชมุ ชน ผลิตขึ้นแล้วไม่ได้รับการยอมรับ วัฒนธรรมน้ัน ก็จะตายไปใน ที่สุด (กาญจนา แก้วเทพ และสมสุข หินวิมาน, 2551) โดยมี 4.4 หน้าท่ีเพ่ิมใหม่ คือ หน้าท่ีท่ีส่ือน้ันไม่เคยแสดง กระบวนการผลิตและผลิตซ�ำ้ ทางวฒั นธรรม ได้แก่ บทบาทมาก่อน อาจเน่ืองจากสังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงจน ระบบอ่ืนของสังคมท่ีเคยท�ำหน้าที่ดังกล่าวไม่อาจรักษาหน้าที่น้ี 3.1 การผลิต คือการพิจารณาว่าวัฒนธรรมได้รับการ ไวไ้ ด้ หรอื ท�ำหน้าท่ีไดไ้ มด่ ีพอ ดังเชน่ เธียรชยั อศิ รเดช และคณะ ผลิตและสร้าง ความหมายขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้ผลิตทาง (2547) พบว่า โนรามีบทบาทหน้าท่ีใหม่ คือการเป็นเครื่องเสรมิ วฒั นธรรม ผู้ผลิตสร้างสญั ลักษณห์ รือสง่ิ ประดิษฐท์ างวัฒนธรรม บารมีทางการเมอื งของนักการเมือง อย่างไร 5. สัญวิทยาและการรอ้ื ถอนความหมาย 3.2 การเผยแพร่ คือการพิจารณาว่าผู้ผลิตวัฒนธรรม กระบวนการที่มนุษย์แต่ละคนใช้เพื่อประกอบสร้าง ดำ� เนนิ การเผยแพรว่ ฒั นธรรมใหเ้ ปน็ ทร่ี บั รกู้ นั ในองคก์ ารอยา่ งไร (Construct) ความเปน็ จรงิ ขนึ้ มานน่ั เอง สมสขุ หนิ วมิ าน (2548) กระบวนการทางวฒั นธรรมทกี่ ลา่ วถงึ ในขา้ งตน้ จะสง่ ผลใหค้ วาม 3.3 การบริโภค คือการพิจารณาว่าสมาชิกในกลุ่ม หมายบางอย่างถูกคัดเลือกไว้ และความหมายบางอย่างก็จะถูก บริโภคหรือรบั รู้วฒั นธรรมที่ถกู เผยแพรอ่ ยา่ งไร และความหมาย ใส่เข้ามาหรือนิยามใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการรื้อถอนและสร้าง ของวัฒนธรรมที่สมาชิกในกลุ่มรับรู้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ความหมายข้ึนใหม่ (deconstruction and reconstruction อย่างไร of meaning) ซ่ึงในกระบวนการประกอบสร้างความหมายนั้น จะเปน็ กระบวนการทใ่ี ครบางคนมอี ำ� นาจในการกำ� กบั /ผลติ /เผย 3.4 การผลติ ซ�้ำ คอื การพิจารณาวา่ วฒั นธรรมถูกผลติ แพรก่ ระจายความหมายดงั กลา่ วออกไป ดงั นนั้ คำ� ถามทน่ี า่ สนใจ ซ�้ำตอ่ เนอ่ื งเพอื่ ใหด้ �ำรงอยู่อย่างไร ก็คือ “ใคร” คือผู้มีอ�ำนาจในการประกอบสร้างความหมายดัง กล่าว และ “ทำ� ไม” เขาจงึ ประกอบสร้างความหมายในลกั ษณะ 4. ทฤษฎหี น้าที่นยิ ม น้ัน และเม่ือความหมายนั้นสามารถถูกประกอบสร้างขึ้นมาได้ การแสดงเพลงโคราชเกย่ี วขอ้ งทั้งในดา้ นปจั เจก ชุมชน ดังน้ัน ความหมายก็สามารถถูกร้ือถอนและประกอบสร้างความ และสังคม และหน้าที่ดังกล่าวถูกสั่งสมและถ่ายทอดกันมาเป็น หมายแบบใหมเ่ ข้าแทนท่ีได้เชน่ เดยี วกนั ซึ่งกย็ งั คงยอ้ นกลบั ไปสู่ ช่วงเวลายาวนาน หน้าที่บางอย่างเป็นวัฒนธรรมส่วนท่ีมองเห็น ประเด็นท่ีว่าใครคือผู้มีอ�ำนาจในการรื้อถอนความหมายดังกล่าว ได้ (Visible) เชน่ เร่อื งการใหค้ วามบันเทิง แจง้ ข่าวสาร อกี ส่วน และภายใต้เง่ือนไขลักษณะใดท่ีจะส่งผลให้ความหมายดังกล่าว หน่ึง คือ วัฒนธรรมส่วนท่ีมองเห็นไม่ได้ (Invisible) เช่น การ นน้ั ถกู รอื้ ถอนและประกอบสร้างใหม่ เปน็ ตวั ประสานความสมั พนั ธ์ ความสามคั ครี ะกวา่ งกลมุ่ คนตา่ งๆ เปน็ ต้น โดยสามารถจ�ำแนกบทบาทหนา้ ทไี่ ด้ 4 ประเภท ดงั น้ี 4.1 หนา้ ท่ีสืบเนอื่ ง คอื หน้าที่ที่สบื ทอดจากอดตี จนถงึ ปัจจุบัน ดังเช่น ขนิษฐา นิลผ้ึง (2549) พบว่า งานปูนปั้นเมือ
ปที ่ี 4 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 41 วธิ กี ารศกึ ษา แก้บน เพื่อให้มีกลอนเพลงเฉพาะของเจ้าของแต่ละคนที่มา ท�ำการแก้บน 4. การแต่งกายในการแสดงเพลงโคราช จะมี 1. แหล่งขอ้ มูลท่ใี ช้ในการศกึ ษา การปรับการแต่งกายจากเดิมตามยุคสมัย โดยหมอเพลงชาย 1.1 แหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ ผวู้ จิ ยั ใชว้ ธิ กี ารสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ จะใส่เสื้อคอกลมหรือคอฮาวายสั้น มีผ้าขาวม้าคาดพุง นุ่งโจง (In-depth Interview) แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured กระเบน และห้อยพระเครื่อง ส่วนหมอเพลงหญิง สมัยก่อนใส่ Interview) เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ถงึ ขอ้ มลู ทม่ี คี วามสลบั ซบั ซอ้ นและมคี วาม ผ้ารัดอก แต่ปัจจุบันเพ่ือปรับให้หมอเพลงหญิงมีการแต่งกาย ลึกซงึ้ และ การสังเกตการณแ์ บบไม่มีส่วนรว่ ม (Non-participa- ท่ีมิดชิด จึงเปล่ียนเป็นใส่เสื้อรัดรูป ไม่มีปก แขนส้ัน นุ่งโจง tory Observation) โดยใชว้ ธิ กี ารเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ ง แบบเจาะจง กระเบน มีพลูจีบทัดหู ท้ังน้ีมีการก�ำหนดให้หมอเพลงใส่สีตาม (Purposive Sampling) วันเพ่ือให้ชุดการแสดงดูกลมกลืน พร้อมเพียง และง่ายต่อการ 1.2 แหลง่ ขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสาร (Docu- จดจ�ำ 5. ท่าร�ำท่ีใช้ในการแสดงเพลงโคราช จะมีท่าโอ่ เป็นท่า mentary Research) จากบทความ วจิ ยั เอกสารวชิ าการ หนงั สอื เริ่มต้นไว้ส�ำหรับฟังระดับเสียงตัวเอง โดยแบ่งท่าร�ำออกเป็น และต�ำราทเี่ ก่ยี วขอ้ งทงั้ ในประเทศและต่างประเทศ ท่าร�ำส�ำหรับเพลงช้า ได้แก่ ท่าช้างเทียมแม่ และท่าปลาไหล 2. วธิ เี กบ็ รวบรวมขอ้ มูล พันพวง และท่าร�ำส�ำหรับเพลงเร็ว ได้แก่ ท่าจ๊ก ท่าย่อง และ 2.1 เก็บรวบรวมจากเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ท่าประจัญบาน 6. สถานท่ีท�ำการแสดงเพลงโคราช มีลักษณะ (Documentary Research) บทสัมภาษณ์และบทความต่างๆ เป็นเสา 4 เสา ยกพื้นสูง 1 เมตร เพ่ือให้ผู้ชมการแสดงเห็นได้ชัด ท่ีเก่ยี วข้องท้ังหมด โดยสมัยก่อนหลังคาท�ำจากก้านมะพร้าว ปัจจุบันใช้วัสดุแข็งแรง 2.2 การเก็บข้อมูลจากบุคคลโดยการสัมภาษณ์แบบ ทนทานเป็นมุงทรงสูง และใช้ตะเกียงเจ้าพายุเพื่อให้แสงสว่าง เจาะลกึ (In-Depth Interview) โดยใช้แบบสัมภาษณเ์ ปน็ เครอื่ ง ซ่ึงปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นใช้ไฟฟ้าแล้ว และ 7. อัตราค่าจ้างของ มอื ในการหาขอ้ มลู โดยการสมั ภาษณผ์ วู้ จิ ยั ไดข้ อบนั ทกึ เสยี งขณะ การแสดงเพลงโคราช จะแบ่งตามชุดการแสดง ประกอบด้วย สมั ภาษณ์ ชุดเลก็ ราคา 899 บาท/ชว่ั โมง ชดุ กลางราคา 1,099 บาท/ชว่ั โมง และชดุ ใหญร่ าคา 1,999 บาท/ช่ัวโมง ผลการศึกษา 2. บทบาทหน้าที่ของการแสดงเพลงโคราชใบบริบท 1. ลกั ษณะของการแสดงเพลงโคราชในบรบิ ทพธิ กี รรม พิธีกรรมการแก้บนโดยแบ่งออกเป็นหน้าที่ที่สืบเน่ือง หน้าท่ีที่ การแก้บน ประกอบด้วยลักษณะท่ีส�ำคัญ 7 ลักษณะ คือ คลี่คลาย หนา้ ที่ทหี่ ายไป และหนา้ ทที่ เ่ี พ่ิมใหม่ โดยการวิเคราะห์ 1. รูปแบบฉันทลักษณ์ โดยมีการก�ำหนดรูปแบบฉันทลักษณ์ ทคี่ รอบคลุมทง้ั ในระดับปจั เจก ระดบั ชมุ ชน และระดับสงั คม ได้ ให้เพลงมีฉันทลักษณ์ที่สละสลวยตามที่ครูเพลงในสมัยก่อนได้ ดงั น้ี 1. หน้าทที่ ่สี บื เนือ่ ง ซง่ึ เปน็ บทบาทหนา้ ทที่ ี่ยอมรบั และเหน็ ก�ำหนดไว้ ได้แก่ เพลงคู่สอง เพลงคู่สี่ เพลงคู่หก เพลงคู่แปด ชดั แมว้ า่ สงั คมเปลยี่ นบทบาทของสอื่ พน้ื บา้ นอยา่ งเพลงโคราชก็ เพลงคู่สิบ และเพลงคู่สิบสอง ซึ่งมีการเพ่ิมรูปแบบฉันทลักษณ์ ยังคงท�ำหน้าทีเ่ ฉกเชน่ เดิมโดยในระดับปัจเจก จะช่วยให้หมอ เป็นไปตามพัฒนาการของเพลง 2. ประเภทของเพลงโคราช เพลงสร้างสมาธิในการร้องเพลงมีปฏิภาณ ไหวพริบในการด้น สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบ่งตามโอกาสที่จะเล่น ได้แก่ กลอนเพลงแก้บน ส่วนหมอเพลงโคราชที่มีอายุมากมองว่าการ เพลงท่ีไว้ใช้เล่นเป็นอาชีพ และเพลงชาวบ้านไว้เล่นเพื่อความ ได้มาท�ำการแสดงเพลงโคราชช่วยส่งเสริมให้สุขภาพร่างกายดี บันเทิง สร้างความสนุกสนานของชาวบ้านร่วมกัน และแบ่ง ขน้ึ เนอื่ งจากไม่ไดอ้ ยบู่ ้านเฉยๆ ในระดับชมุ ชน ตามพัฒนาการของเพลง 3. การเขียนกลอนเพลงโคราช การ แต่งกลอนเพลงให้มีสัมผัสท่ีสละสลวยไม่ใช่เร่ืองง่าย ปัจจุบัน “ทุกวนั นี้มาวา่ เพลงโคราชท่ีลานย่าโม 1 วนั เวน้ 2 วัน หมอเพลงจะใช้กลอนเพลงท่ีมีอยู่แล้วจากครูเพลงท่ีเคยแต่งไว้ เช่น มาวันจันทร์จะเว้นวันอังคาร พุธ ถือว่าเป็นการออกก�ำลัง มาท�ำการแสดง ส่วนหมอเพลงโคราชแก้บนจะใช้ความสามารถ กายดีกว่าอยู่บ้านดูรถว่ิงเฉยๆ” แฉล้ม แบนขุนทด (สัมภาษณ์, และปฏิภาณ ไหวพริบในการด้นกลอนเพลงสดในส่วนของการ 8 มีนาคม 2563)
42 วารสารสหวิทยาการสงั คมศาสตร์และการส่อื สาร ตลอดจนการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถ่ินจากรุ่นสู่รุ่น คา่ นยิ มทางสงั คม ทจี่ ากมกี ารยกยอ่ งเพลงโคราชแตป่ จั จบุ นั การ เป็นส่ิงท่ีสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชนชาวจังหวัดนคร วา่ จา้ งเพลงโคราชมีในสว่ นของการแก้บนเทา่ น้ันทยี่ ังได้รบั ความ รราชสีมา นยิ ม โดยการแสดงเพลงโคราชถกู มองว่าเปน็ วฒั นธรรมทผ่ี กู โยง กับความเชื่อเท่าน้ัน และ 4. หน้าท่ีท่ีเพิ่มใหม่ บทบาทหน้าที่ที่ “เป็นส่วนหน่ึงท่ีท�ำให้จังหวัดนครราชสีมามีเอกลักษณ์ เพม่ิ ใหมภ่ ายใตเ้ งอื่ นไขบรบิ ททางสงั คมทเี่ ปลยี่ นไปเพอ่ื ตอบสนอง และเป็นเอกลักษณ์หนึ่งท่ีคนท่ีมาจังหวัดนครราชสีมาได้แสดง ปญั หาใหมๆ่ ของสงั คม ไมม่ จี ากเดมิ แตม่ ใี นปจั จบุ นั โดยในระดบั ความเคารพตอ่ สง่ิ ทคี่ นโคราชเคารพ ซง่ึ พดู ไดว้ า่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ ปจั เจกทช่ี ว่ ยใหผ้ คู้ นไดพ้ งึ่ พาทางจติ ใจในชว่ งวกิ ฤตของชวี ติ ผา่ น ท่ีท�ำให้เพลงโคราชยังคงอยู่และเพลงโคราชถือว่าเป็นเสน่ห์ของ พธิ กี รรมการบนบานศาลกลา่ ว ทำ� ใหเ้ พลงโคราชมบี ทบาทหนา้ ที่ คนในจงั หวดั วนิ ยั ปณุ ยรชั ตปรดี า (สมั ภาษณ,์ 22 เมษายน 2563) ทเ่ี พม่ิ ใหม่เป็นเพ่ือการแกบ้ น อีกท้ังยังช่วยให้ส่งเสริมอาชีพสู่ชุมชนในจังหวัด “ในอนาคตถ้าคนยังช่ืนชอบถ้าคนยังเคารพคุณย่าโม นครราชสีมา ซ่ึงท�ำให้หมอเพลงสามารถเป็นหมอเพลงและ หมอเพลงก็จะได้เล่นตลอดเคารพส่ิงศักดิ์สิทธิ์ไมใช่เคารพแต่ ประกอบอาชพี อืน่ ได้ดว้ ย 2. หน้าทท่ี ่ีคล่คี ลาย เปน็ หน้าทท่ี ี่คลาย คุณย่าโมหรอก ศาลตะปู่สิงศักด์ิสิทธิ์เจ้าท่ีเจ้าทางหลวงพ่อคูณก็ ตัวหรือขยับไปจากเดิมไม่เหมือนเดิมทั้งหมด เป็นการประยุกต์ มีคนเอาไปถวายไปบนอย่างหน่วยงานต่างๆที่ให้เพลงโคราชไป หนา้ ทเ่ี กา่ ที่มมี าแตเ่ ดิม แตย่ งั มบี างสว่ นองิ อยู่กบั ของเดมิ โดยใน ช่วยเอาไปประชาสัมพันธ์” ร�ำพัน เพชรโคกสูง (สัมภาษณ์, 5 ระดบั ปจั เจกชว่ ยทำ� ใหค้ นทม่ี าฟงั เพลงโคราชรสู้ กึ สนกุ สนาน สรา้ ง เมษายน 2563) สุนทรียะและความบันเทิงจากกลอนเพลงท่ีมีความสละสลวย และเนอ้ื หาท่สี นุกสนาน ระดบั ชุมชน มหี นา้ ที่เป็นศูนย์รวมจติ ใจ ส่วนระดับชุมชน เพลงโคราชได้ช่วยให้เศรษฐกิจของ ของคนในชมุ ชน ในการระลกึ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาของบรรพบรุ ษุ รว่ มกนั ชมุ ชนดขี น้ึ จากการสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี ว ตามคำ� บอกตอ่ ของผคู้ น ว่าย่าโมศักดิ์สิทธ์ิ ใครอยากได้อะไรให้มาขอพรย่าโม จึงท�ำให้มี “ก็ยังโชคดีตรงท่ีมีสิ่งที่คนโคราชนับถึงก็คือคุณย่าหมู่ ผคู้ นทงั้ คนโคราชและตา่ งถนิ่ ตา่ งแวะเวยี นมากราบไหวข้ อพร และ และผูกโยงในเรื่องของการแก้บนและในมุมมองของคนไทยหรือ ระดบั สงั คม เพลงโคราชชว่ ยใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ยสถาบนั การศกึ ษาทม่ี ี ยังเชื่อในเรื่องส่ิงศักดิ์สิทธ์ิยังเชื่อในเร่ืองท่ีเขาเทิดทูนบูชาเพราะ ความรว่ มมือเพ่ือสง่ เสริมให้เยาวชนไดอ้ นุรักษ์สบื ทอดภูมิปัญญา ฉะนั้นอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนพูดถึงคุณย่าโมมีที่มีคุณูปการ ทอ้ งถน่ิ รวมถึงการยกระดับใหเ้ พลงโคราชได้เปน็ ท่ีร้จู ักในระดับ ต่อจังหวัดนครราชสีมา” ไชยนันท์ แสงทอง (สัมภาษณ์, 22 ชาติ โดยการมอบรางวลั ใหผ้ สู้ บื ทอดวฒั นธรรมชุมชนเปน็ ศลิ ปิน เมษายน 2563) แห่งชาตอิ กี ด้วย และระดับสังคม โดยการขัดเกลาทางสังคมที่เน้นท่ี 3. การให้ความหมายของคุณค่าการแสดงเพลงโคราช เยาวชนผา่ นการปลกู ฝงั ใหเ้ หน็ ถงึ คณุ คา่ ของเพลงโคราชซงึ่ จะกอ่ ในบริบทพิธีกรรมการแก้บน เมื่อแบ่งด้านผผู้ ลิต ทีห่ มายถึง หมอ ให้เกิดความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชุมชนได้คลี่คลายหายลง เพลง และด้านผบู้ ริโภค ทห่ี มายถงึ ผู้มาแก้บน และจำ� แนกเปน็ ก ไปจากเดิม แต่ทว่าในปัจจุบันหมอเพลงรุ่นใหม่ก็ยังคงมีเพิ่มขึ้น ล่มุ ทั้ง 3 กลมุ่ ตามช่วงอายุทแ่ี ตกตา่ งกนั คือ กลุ่มผ้สู งู อายุ กลุ่ม จากครอบครัวหมอเพลงท่ีหัดให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ใช้เวลาว่างให้ วยั กลางคน และกลมุ่ เยาวชน ทำ� ใหเ้ หน็ ถงึ ความเหมอื นและความ เป็นประโยชน์ 3. หน้าทท่ี ีห่ ายไป เป็นหนา้ ที่ทีห่ ายไปอนั เนื่องมา แตกตา่ งในการใหค้ วามหมายของคณุ คา่ ทงั้ 2 ฝา่ ยทไี่ ดต้ คี วามจาก จากการเปลีย่ นแปลงของสังคม ไมไ่ ด้คงเดมิ เหมอื นในอดตี โดย การรับสาร โดยสามารถสรุปได้วา่ การให้ความหมายของคณุ ค่า ในระดับปัจเจกท่ีเห็นได้ชัดเจน คือ การเป็นผู้น�ำทางวัฒนธรรม การแสดงเพลงโคราชในบรบิ ทพธิ ีกรรมการแกบ้ น มี 9 ประการ ในตัวหมอเพลง ท่ีจากเดิมมีแฟนคลับ แม่ยก ติดตามการแสดง ไดแ้ ก่ 1. สร้างรายได้ โดยเปน็ การให้ความหมายของคณุ คา่ การ ชนื่ ชมในความสามารถ แตป่ จั จบุ นั ไมม่ เี ชน่ เดมิ แลว้ สว่ นในระดบั แสดงเพลงโคราชจากฝั่งผู้ผลิตทั้ง 3 กลุ่ม เนื่องจากเป็นผู้ใช้ส่ือ ชุมชน เป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านเน้ือเพลงโคราช เช่น พ้ืนบ้านอย่างเพลงโคราชไปประกอบอาชีพ ดังน้ันเพลงโคราช ข่าวน�้ำท่วม การเตือนภัยต่างๆ ที่หายไปจากก่อน ซ่ึงปัจจุบัน จึงช่วยสร้างรายได้ให้กับฝั่งผู้ผลิต 2. หวงแหนภูมิปัญญาท้อง ผู้คนรบั สารจากชอ่ งทางอนื่ ที่รวดเรว็ กวา่ และระดบั สงั คม โดย
ปีที่ 4 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2564 43 ถ่ิน พบว่า ดา้ นผู้ผลติ ทัง้ 3 กลมุ่ มีความหวงแหนภมู ปิ ัญญาทอ้ ง “ย่าโมถือว่าเป็นวีรสตรีที่ชาวบ้านให้ความเคารพบูชา ถิ่นท้งั ส้นิ จากการคลุกคลีในการใช้เพลงโคราชมาเปน็ ระยะเวลา ไปกราบไหว้บนบานศาลกล่าว พอบนได้แล้วก็ต้องแก้บน มี นาน ในขณะทดี่ า้ นผบู้ รโิ ภค อยา่ งผมู้ าแกบ้ น กลบั พบเฉพาะกลมุ่ การบอกต่อกันเร่ือยๆ ว่าถ้าจะบนย่าโมให้บนด้วยเพลงโคราช ผู้สูงอายุท่ีมีการหวงแหนภูมิปัญญาท้องถิ่นเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้ แล้วก็กลายเป็นธุรกิจ” จิรโรจน์ ต้ังอมรสถิตย์ (สัมภาษณ์, 14 สูงอายุต้องการอยากที่จะรักษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตราบ พฤษภาคม 2563) นานเทา่ นาน 3. ภาคภูมใิ จในอตั ลักษณข์ องชมุ ชน พบวา่ ท้ังดา้ น ผู้ผลิต และผู้บริโภค ตลอดจนครบทั้ง 3 กลุ่ม ต่างมีความภาค อภิปรายผล ภูมิใจในอัตลักษณะของชุมชนท้ังสิ้น สาเหตุจากท่ีเพลงโคราชมี ความชัดเจนกว่าส่ือพื้นบ้านอืน่ 1. ลักษณะเฉพาะของการแสดงเพลงโคราชแก้บน การแสดงเพลงโคราชแก้บนในปัจจุบัน มีภาคส่วน “เพลงโคราชถือว่าเป็นเพลงประจ�ำจังหวัดโคราช คน ราชการของจังหวัดนครราชสีมา โดยเทศบาลนครนครราชสีมา โคราชกม็ คี วามภาคภมู ใิ จเพราะเพลงเปน็ เอกลกั ษณไ์ มซ่ ำ้� เหมอื น เขา้ มาบรหิ ารจดั การ ควบคมุ ดแู ลการแสดงเพลงโคราช โดยการ ใคร” ทองสขุ คลงั จนิ ดา (สมั ภาษณ์, 25 พฤษภาคม 2563) จัดสรรพื้นท่ีของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งสถานท่ีที่ก�ำหนดเป็น พน้ื ทที่ มี่ คี วามสำ� คญั ตอ่ เพลงโคราชอยา่ งมาก คอื ลานอนสุ าวรยี ์ 4. อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม พบว่ามีการให้ความ ท้าวสุรนารี และวัดศาลาลอย สืบเนื่องจากประวัติศาสตร์ท่ีได้มี หมายของคุณค่าการแสดงเพลงโคราชเช่นเดียวกับความภาค การบนั ทกึ วา่ อฐั ขิ องทา้ วสรุ นารไี ดถ้ กู บรรจไุ วท้ ฐี่ านของรปู ปน้ั ทา้ ว ภูมิใจในอัตลกั ษณข์ องชมุ ชน คอื ทั้ง 2 ดา้ นและ 3 กลุ่ม และมี สุรนารีที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีและส่วนหนึ่งได้เคยบรรจุไว้ท่ี เหตุผลสอดคลอ้ งไปในทศิ ทางเดียวกนั 5. สง่ เสริมสุขภาพ พบวา่ วดั ศาลา โดยมปี จั จยั สำ� คญั เปน็ กสุ โลบายทส่ี บื ทอดกนั มาวา่ ทา้ ว มเี พยี งดา้ นผผู้ ลติ อยา่ งหมอเพลงโคราช และเฉพาะกลมุ่ ผสู้ งู อายุ สรุ นารชี อบฟงั เพลงโคราช ดงั นนั้ ทางจงั หวดั จงึ ไดจ้ ดั ทำ� โรงเพลง เทา่ นน้ั ทม่ี องวา่ การมาวา่ เพลงโคราชอยเู่ ปน็ ประจำ� ชว่ ยสง่ เสรมิ เพ่ือให้หมอเพลงได้ท�ำการแสดงเพลงโคราชแก้บน ซึ่งก�ำหนด ทางด้านสุขภาพร่างกาย เน่อื งจากอายทุ ีม่ ากขนึ้ จงึ ไม่สามารถไป ให้สามารถจัดแสดงได้ตั้งแต่เช้าจนถึงหัวค่�ำเป็นประจ�ำทุกวัน ประกอบอาชพี อยา่ งอืน่ กง็ า่ ยนัก 6. ใช้เวลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์ ผวู้ จิ ยั เชอื่ วา่ สถานทด่ี งั กลา่ วถกู กำ� หนดขนึ้ เพอื่ เปน็ การสง่ เสรมิ และ พบวา่ มีเพยี งดา้ นผู้ผลติ คอื หมอเพลงโคราช เฉพาะกล่มุ เยาวชน สนับสนุนให้หมอเพลงมีโอกาสถูกว่าจ้างให้ท�ำแสดงเพลงโคราช เท่านั้น เน่ืองจากหมอเพลงโคราชที่เป็นเยาวชน และก�ำลัง แก้บน ท�ำให้หมอเพลงมีรายได้ และสืบทอดภูมิปัญญาของชาว ศกึ ษาอยู่ จะมาว่าเพลงเฉพาะวันหยุด สว่ นวันธรรมดากไ็ ปเรยี น จงั หวดั นครราชสมี าทมี่ มี าอยา่ งยาวนานใหค้ งอยตู่ อ่ ไป สอดคลอ้ ง ตามปกติ จึงถอื เป็นการใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ 7. ระลกึ ถึง กบั การระบอุ งคป์ ระกอบของพธิ กี รรมของ Eric ทว่ี า่ 1) การสอ่ื สาร วรี กรรมของท้าวสรุ นารี พบว่าท้ังด้านผู้ผลิต และผบู้ ริโภค ตลอด กบั สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ โดยมรี ปู เคารพหรอื รปู ปน้ั เปน็ วตั ถทุ จี่ ะเชอื่ มโยง จนครบทง้ั 3 กลมุ่ ต่างระลึกถงึ วรี กรรมของท้าวสุรนารี จากการ ตนเองให้เข้ากับความศักด์ิสิทธิ์ของวัตถุที่ถูกน�ำมาใช้ในพิธีกรรม ศกึ ษาทางประวตั ศิ าสตร์ และการเลา่ ขานตอ่ กนั มาทำ� ใหท้ ราบถงึ ตลอดจนการแสดงตามคตคิ วามเชอื่ อาจมกี ารรา่ ยรำ� และบวงสรวง ประวัติศาสตร์ของเมืองโคราชและทา้ วสุรนารี 8. ทพ่ี ง่ึ ทางจิตใจ โดยสอดแทรกเนอ้ื หาเกยี่ วกบั การดำ� เนนิ ชวี ติ เขา้ ไปในพธิ กี รรม 2) พบเฉพาะด้านผู้บริโภค อย่างผู้มาแก้บน และทุกกลุ่มของผู้มา การส่งเสริมการกระท�ำที่แตกต่างไปจากชีวิตประจ�ำวัน โดยการ แก้บน เพราะเป็นสิ่งท่ีผู้มาแก้บนรู้สึกว่าการได้มาบนบานศาล ทำ� พิธีกรรมในการกราบไหวข้ อพรตอ่ รูปปนั้ ทา้ วสรุ นารี ท่ผี ูค้ นมี กล่าวย่าโม และหากส�ำเร็จจะถวายด้วยเพลงโคราชเป็นการให้ การแวะเวยี นมากราบไหว้ ซง่ึ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ระเบยี บแบบแผนในดำ� เนนิ กำ� ลงั ใจ และหาทยี่ ดึ เหน่ียวจิตใจในชว่ งท่ตี ้องการกำ� ลงั ใจได้เป็น ชวี ติ ของคนในชมุ ชน ขน้ึ อยกู่ บั ความเชอื่ ความเคารพ และความ อย่างดี และ 9. ส่งเสริมการท่องเท่ียว พบเฉพาะด้านผู้บริโภค ศรทั ธาของแตล่ ะคน และ 3) การรวมกลมุ่ โดยมกี ารรว่ มกนั ทง้ั ของ อยา่ งผมู้ าแกบ้ น และกลมุ่ วยั กลางคน ทม่ี องวา่ เพลงโคราชแกบ้ น ผมู้ าแกบ้ นและหมอเพลง ซง่ึ ลว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ กลมุ่ ทม่ี คี วามรสู้ กึ เปน็ ชว่ ยท�ำให้คนท่อี ยูต่ า่ งถิ่น ต่างท่ไี ด้เดนิ ทางกลับมาแกบ้ นที่โคราช พวกเดยี วกนั ในการรว่ มพธิ กี รรม เปรยี บไดก้ บั การสง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ วใหก้ บั จงั หวดั นครราชสมี า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138