วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย แนวทางการพัฒนาคมู ือภาษาอังกฤษเพอื่ การส่อื สารสาํ หรบั ผสู ูงวยั ใน ศตวรรษท่ี 21 ในเขตพืน้ ที่อําเภอเมอื ง จงั หวัดเชียงราย The Guidelines for Developing Communicative English Handbook for Elderly in the 21st Century in Muang District, Chiang Rai Province ปรียาภา วงั มณ*ี 1 อภิญญา จติ มโนวรรณ2 Preeyapha Wangmanee1 Apinya Jitmanowan2 บทคัดยอ การวิจัยในครั้งน้ี มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาสภาพปญหา ตลอดจนความตองการใช ภาษาองั กฤษเพอื่ การสอ่ื สาร และเพอื่ ศกึ ษาแนวทางในการพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอื่ สาร สาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษที่ 21 ในเขตอาํ เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งราย กลมุ ตวั อยา งทใี่ ชใ นการวจิ ยั คอื ผสู งู วัยท่ีอาศยั อยูในเขตพน้ื ที่อําเภอเมอื ง จังหวดั เชยี งราย จํานวน 50 คน โดยใชว ธิ ี การเลอื กกลมุ ตวั อยา งแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครอื่ งมอื ทใ่ี ชค อื แบบสอบถาม ในรปู ของชดุ เอกสารและการสอบถามแบบออนไลน สถติ ทิ ใี่ ชค อื คา ความถี่ รอ ยละ คา เฉลย่ี และคา สว นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั สรุป พบวาผสู ูงวยั รอยละ 64 ไมเคยเรียนภาษา องั กฤษดวยตนเองมากอน มีทักษะระดบั ทกั ษะอยใู นระดบั นอ ย มากท่สี ดุ รอ ยละ 48 ยงั ขาด ทักษะการส่อื สารภาษาองั กฤษ (การพูดและการฟง ) รอยละ 78 คิดวาตนเองยังมที ักษะภาษา อังกฤษไมเพียงพอ และ รอยละ 96 คิดวาการสื่อสารภาษาอังกฤษมีความจําเปน สวน * Corresponding author, e-mail:[email protected], [email protected] 1 อาจารย คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย 1 Lecturer, Faculty of Humanities, Chiang Rai Rajabhat University 2 ดร.,อาจารย คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย 2 Lecturer, Faculty of Humanities,Chiang Rai Rajabhat University Received: November30, 2020 / Revised: March17, 2021 / Accepted: April7, 2021 89
วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชยี งราย ประเดน็ การแสวงหาความรูท างภาษาอังกฤษ กลมุ ตวั อยาง รอ ยละ 38 เลือกท่ีจะใชวิธกี าร สอบถามผรู แู ละผูเช่ียวชาญ รอยละ 28 ศึกษาดวยตนเองผานตาํ รา รอ ยละ 16 ศกึ ษาดว ย ตนเองผา นสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สใ นประเดน็ ดา นความสนใจ รอ ยละ 64 ระบมุ คี วามสนใจในการศกึ ษา ภาษาอังกฤษเพมิ่ เติม ในประเด็นของรูปแบบคูมือ ผสู ูงวยั รอยละ 38 ตองการคมู ือทเี่ ปน รูปเลม และตองการศึกษาดว ยตนเอง เปน เวลา 1 ชวั่ โมงตอ สปั ดาห และในประเด็นปญหาทสี่ งผล ตอ การศึกษา พบวาสวนใหญ รอ ยละ 54 มีปญหาดา นสายตา ในสวนของเน้ือหาของคูมือ ผสู งู อายตุ อ งการเนอ้ื หาเกยี่ วกบั การทกั ทาย คาํ ศพั ทเ กยี่ วกบั อาหารและการกนิ การบอกเวลา คําศัพทเก่ียวกับการไปพบแพทย การบอกทิศทาง คําศัพทเก่ียวกับผลไม และคําศัพทเก่ียวกับ การรบั โทรศัพท ตามลาํ ดบั สวนประโยชนของการจดั ทาํ คมู ือ ผูสูงวัยคิดวา คมู อื มีประโยชนใ น ระดบั มากท่ีสดุ คาํ สาํ คัญ : คมู ือภาษาองั กฤษ ภาษาองั กฤษเพ่อื การสือ่ สาร ผสู งู วัยในศตวรรษที่ 21 90
วารสารฟา เหนือ ปท ี่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย Abstract The purposes of this research were to study problem conditions, and the needs on the usage communicative English of Elderly in the 21st Century and to study the guidelines for developing communicative English handbook for Elderly in the 21st Century in Muang District, Chiang Rai Province. The population were 50 elderly in Muang District, Chiang Rai Province. These samples were selected by using stratified purposive sampling method. The research instruments consisted of paper and online questionnaires. The statistics used for the data analysis included mean, standard deviation, and content analysis. The findings found that most of elderly have never been studying English before (64%), level of English proficiency is at average level (48%) which showed that elderly still lack of communicative English skills (listening and speaking). In addition, they think that English skill is not enough (78%), and communicative English is needed (96%). Most of them studied by consulting language expert (38%), follow by self-study (28%), learning through electronic devices respectively. Elderly prefers a handbook format (38%), and spend 1 hour per week to study. Most of them have eye sight problem (54%). For the content in handbook, they prefer as follow 1) Greeting 2) Food and eating 3) Timing 4) Medical Term 5) Direction 6) Fruits 7) Telephoning expression. Lastly, elderly think that the handbook will be useful. Keywords : English handbook Communicative English Elderly in the 21st Century 91
วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย บทนาํ การศึกษามาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแหงชาติ เรื่องสังคมผูสูงวัยของกรม กิจการผสู ูงวัย กระทรวงการพฒั นาสงั คม และความม่ันคงของมนษุ ย ป 2561 ไดเลง็ เหน็ ถงึ ปรากฏการณของการสูงวัยของประชากรที่เพ่ิมสูงขึ้น โดยระบุวาประเทศไทยจะกาวเขาสู สงั คมผสู งู วยั ระดบั สมบรู ณใ นป 2564 และไดค าดการณไ วว า ในป 2574 ประเทศไทยจะกา ว สสู งั คมผสู งู วยั ระดบั สดุ ยอด คอื มผี สู งู วยั มากกวา รอ ยละ 28 ของประชากรทง้ั หมด และหาก พจิ ารณาตามเกณฑของสหประชาชาตแิ ลวอาจกลา วไดว าประเทศไทยอยใู นเกณฑ รวมถงึ ประเดน็ ยทุ ธศาสตรช าตดิ า นการพฒั นาและเสรมิ สรา งศกั ยภาพทรพั ยากรมนษุ ย มเี ปา หมาย การพฒั นาทสี่ ําคญั เพอื่ พัฒนาคนในทุกมิตแิ ละในทกุ ชวงวยั ใหเ ปน คนดี เกง และมีคณุ ภาพ โดยคนไทยมคี วามพรอมท้ังกาย ใจ สติปญญา มีพัฒนาการที่ดรี อบดา นและมสี ุขภาวะท่ีดี ในทุกชว งวัย มีทักษะที่จําเปน ในศตวรรษที่ 21 มที ักษะสือ่ สารภาษาองั กฤษ และภาษาที่ 3 และอนรุ กั ษภ าษาทอ งถน่ิ มนี สิ ยั รกั การเรยี นรแู ละการพฒั นาตนเองอยา งตอ เนอื่ งตลอดชวี ติ สกู ารเปนคนไทยทีม่ ที กั ษะสงู เปนนวัตกร นักคิด ผูประกอบการ เกษตรกรยุคใหมและอ่นื ๆ โดยมสี มั มาชพี ตามความถนดั ของตนเอง สอดคลอ งกบั แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ดา นการเสรมิ สรา งและพฒั นาศักยภาพทนุ มนษุ ย แนวทาง การพฒั นาสาํ คญั ขอ (1) พฒั นาศกั ยภาพ คนใหม ที กั ษะ ความรู และความสามารถ ในการดาํ รง ชีวิตอยางมีคุณคา และขอ (3) ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรูตลอดชีวิต สอดคลองกบั แผนผูสงู วยั แหง ชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ฉบบั ปรบั ปรุง ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 แผนผสู ูงวยั แหงชาตถิ ือเปน แผนยุทธศาสตรหลักในการดําเนนิ งานดา นผสู งู วัย ซ่ึงคณะรัฐมนตรีไดมีมติอนุมัติ เม่ือวันที่ 27 เมษายน 2553 โดยแผนดังกลาวไดใหความ สาํ คัญ ตอ “วงจรชวี ติ ” โดยมวี ิสัยทศั น : “ผสู ูงวัยเปน หลักชยั ของสงั คม” ยทุ ธศาสตร 1ขอ (2) การใหก ารศกึ ษาและการเรยี นรู ตลอดชวี ติ ยทุ ธศาสตรท ่ี 2 ยทุ ธศาสตรด า นการสง เสรมิ และพฒั นาผสู งู วยั ขอ (4) สนบั สนนุ ผสู งู วยั ทม่ี ศี กั ยภาพ และจากการศกึ ษาบทสรปุ ผบู รหิ าร กองทนุ ประชากรแหง สหประชาชาติ “สงู วยั ในศตวรรษที่ 21 : การเฉลมิ ฉลองและความทา ทา ย” กลาวไว ภาวะประชากรสูงวัยกําลังเกิดข้ึนในทุกภูมิภาคและในประเทศที่พัฒนา การมี ประชากรที่มอี ายุมากถอื เปนชัยชนะของการพฒั นา ถอื เปนผลสําเร็จที่สําคญั ทีส่ ุดประการ หนึง่ ในมนษุ ยชาติ 92
วารสารฟา เหนือ ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย นอกจากนี้ สุพรรณา เพช็ รรกั ษา (2558) กลา ววา การใหการศึกษาใน ศตวรรษท่ี 21 มีความยืดหยุน สรางสรรคและทาทาย และซับซอน เปนการศึกษาที่จะทําใหโลกเกิด การเปลย่ี นแปลง ทเี่ ตม็ ไปดว ยความทา ทาย รวมทง้ั โอกาสและสงิ่ ทเี่ ปน ไปไดใ หมๆ และจาก รายงานสรปุ สมชั ชาโลกวา ดว ยเรอื่ งผสู งู วยั ครง้ั ท่ี 2 ในโครงการเตรยี มความพรอ มเพอ่ื รองรบั สังคมสูงวัยในประเทศไทยโดยใชข อมลู เชิงประจักษ อางถึงประเด็นท่ี 4 การเขา ถงึ ความรู การศกึ ษา และการฝก อบรมนน้ั ระบวุ า สงั คมฐานความรจู าํ เปน ตอ งมนี โยบายทมี่ หี ลกั ประกนั วาประชาชนจะเขาถึงการศึกษาไดตลอดชีพ เพ่ือความม่ันใจในคุณภาพของท้ังปจเจกและ ประชาชาติ เพอื่ ใชประโยชนอ ยา งเตม็ ทจ่ี ากศกั ยภาพและความเชย่ี วชาญของคนทกุ วยั โดย เฉพาะผสู งู วัยทมี่ ีประสบการณเ พมิ่ ขึ้นพรอ มวยั ที่เพมิ่ ข้นึ อีกทั้ง เกรียงศกั ด์ิ เจริญวงศศกั ด์ิ (2551) ระบุวา หลายประเทศท่ีมแี นวโนม เขาสู สงั คมผสู งู วยั เชน เดยี วกบั ไทย โดยเกรยี งศกั ดไิ์ ดน าํ เสนอเฉพาะนโยบายดา นการศกึ ษาสาํ หรบั ผสู งู วยั ซง่ึ เปน การสง เสรมิ ใหผ สู งู วยั ใชช วี ติ อยา งมคี ณุ คา ชะลอภาวะสมองเสอ่ื ม และปอ งกนั โรคซมึ เศรา โดยประเทศไทยควรตองเรง สง เสรมิ การเรียนรูส ําหรบั ผูสงู วยั ไมวา จะเปน การ พัฒนาดา นหลกั สตู ร กจิ กรรมฝก อบรม และโครงการสงเสรมิ การเรยี นรใู นชุมชนทั่วไป เชน สนบั สนนุ ใหม หาวทิ ยาลยั เปด หลกั สตู รสาํ หรบั ผสู งู วยั สถาบนั อาชวี ศกึ ษาจดั โครงการและกจิ กรรม เรยี นรสู าํ หรับผูสูงวัย เชน สอนอนิ เทอรเนต็ ภาษาอังกฤษ ทักษะอาชีพตามความสนใจ ฯลฯ เพอ่ื สงเสริมผสู งู วยั ใชช วี ติ อยา งมคี ุณคา ลดภาวะโรคซมึ เศรา และมีความสุข สอดคลองกับ ปยะ ศักด์ิเจริญ (2558) ที่ไดกลาวไวเกี่ยวกับการเรียนรูตลอดชีวิต หรอื การศกึ ษาตลอดชวี ติ นบั เปน กระแสหลกั ของสงั คมในปจ จบุ นั ทตี่ อ งการใหป ระชาชนใน สงั คมไดต ระหนกั ถงึ การเรยี นรอู ยา งตอ เนอ่ื งทไ่ี มไ ดส นิ้ สดุ ลงหลงั จบการศกึ ษา ซง่ึ เปน กระบวน การเรียนรูท่ีสอดแทรกไปในวิถีชีวิตของมนุษย เปนส่ิงท่ีเกิดมาพรอมกับการเปล่ียนแปลง ทางสังคมที่ความรูจําเปนตอการดํารงชีวิต ลวนมีสวนชวยผลักดันใหผูเรียนไดตระหนักถึง การเรยี นรอู ยา งตอ เนอ่ื ง การไดเ รยี นรอู ยตู ลอดเวลายอ มทาํ ใหผ เู รยี นกลายเปน ผเู รยี นรตู ลอดชวี ติ และการทสี่ งั คมมปี ระชาชนจาํ นวนมากทเี่ ปน ผเู รยี นรตู ลอดชวี ติ จะทาํ ใหส งั คมแหง นน้ั กลาย เปน สงั คมแหง การเรยี นรใู นทกุ ระดบั ตง้ั แตร ะดบั ครอบครวั ชมุ ชน องคก ร จนถงึ สงั คมเมอื ง ขอมูลท่ีกลาวมาขางตน ทําใหผูวิจัยเล็งเห็นถึงโอกาสในการยกระดับการศึกษา สาํ หรบั ผสู งู วยั เปน สว นหนง่ึ ของการเรยี นรตู ลอดชวี ติ โดยมแี นวคดิ ในการจดั ทาํ คมู อื พฒั นา 93
วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชยี งราย ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสําหรับผูสูงวัยในศตวรรษท่ี 21 ข้ึน เพ่ือใชเปนสื่อนวัตกรรม สาํ หรบั ผสู งู วยั ในการศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ถอื เปน การสง เสรมิ การเรยี นรเู ขา สชู มุ ชนสง เสรมิ ใหผ สู งู วยั ใชเ วลาวา งในการทาํ กจิ กรรม ไมว า จะเปน การศกึ ษาคมู อื ดว ยตนเอง หรอื การเขา รว มกจิ กรรม อบรม สง เสริมใหผ ูสูงวัยใชชีวิตอยางมีคุณคา ลดภาวะความซึมเศรา ไดอีกทาง อีกทงั้ คมู อื ฯ ท่ีพัฒนาข้ึน เปนเคร่ืองมือที่จะชวยในการสื่อสารภาษาอังกฤษกับชาวตางชาติ และเปน นวตั กรรมทจี่ ะชว ยใหผ ทู ไี่ ดร บั การอบรม หรอื ผทู ไ่ี ดร บั คมู อื ฯ แมว า หากโครงการดาํ เนนิ การ เสรจ็ สน้ิ แลว นนั้ ผสู งู วยั ยงั สามารถหยบิ เอาคมู อื ฯนี้ มาชว ยในการสนทนากบั ชาวตา งชาตใิ น สถานการณตางๆ หรือพูดคุยกับบุตรหลานได ซึ่งการใชคูมือฯนี้ถือเปนนวัตกรรมท่ีมี ประสทิ ธภิ าพ ไมต อ งลงทนุ มากไมต อ งใชท รพั ยากรมากในการใชง าน สามารถพกพาสะดวก มขี นาดและตวั หนังสือทเ่ี หมาะกบั ผูสูงวยั ถอื เปนอีกหนึง่ การพัฒนานวตั กรรมทย่ี ัง่ ยนื วตั ถปุ ระสงคก ารวิจัย 1. เพ่ือศึกษาสภาพ ปญหาและความตองการ ในการใชภาษาอังกฤษเพื่อ การส่อื สารของผสู งู วัย ในเขตอาํ เภอเมือง จังหวัดเชียงราย 2. เพอ่ื ศกึ ษาแนวทางในการพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สารสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษท่ี 21 ทบทวนวรรณกรรม 1. แนวคิดเกีย่ วกบั สงั คมผูสูงวยั นยิ าม “ผสู งู วยั ” “ผสู งู วยั ” เปน วยั บนั้ ปลายของชวี ติ ดงั นน้ั ปญ หาของผสู งู วยั ในทกุ ดา นโดยเฉพาะดา นสงั คม และสาธารณสขุ จงึ แตกตา งจากคนในวยั อน่ื ปจ จบุ นั เปน ทท่ี ราบกนั ดแี ลว วา จาํ นวนผสู งู วยั เพม่ิ ขนึ้ อยา งตอ เนอื่ งทงั้ ในประเทศไทยและทว่ั โลก ซง่ึ รฐั บาลไทยและทวั่ โลก ไดต ระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ในเรอ่ื งนี้ จงึ มคี วามพยายามและมกี ารรณรงคอ ยา งตอ เนอื่ งใหท กุ คน ตระหนัก เขาใจ และพรอ มดแู ลผูสูงวัยใหท ัดเทยี ม เชน เดยี วกับการดูแลประชากรในกลมุ อายอุ ืน่ 2 “ผสู งู วยั ” หรอื บางคนเรยี กวา “ผสู ูงวัย” เปนคาํ ทบี่ งบอกถึงตัวเลขของอายุวา มีอายมุ าก โดยนิยมนบั ตามอายตุ ้งั แตแรกเกดิ (Chronological age) หรอื ทว่ั ไป เรยี กวา คนแก หรือ คนชรา โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใหความหมายของคําวา คนแก คือ 94
วารสารฟา เหนือ ปท่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงราย มอี ายุมาก หรือ อยูในวยั ชรา และใหค วามหมายของคําวา ชรา คอื แกด วยอายุ ชํารุดทรุด โทรม นอกจากนั้นยงั มีการเรียกผูส ูงวัยวา “ราษฎรอาวุโส” (Senior citizen) สวนองคการ อนามยั โลก (World Health Organization, WHO) และองคการสหประชาชาติ (United Nations, UN) ใชคาํ ในภาษาองั กฤษของผสู ูงวัยวา Older person or Elderly person แต ในสวนขององคการอนามัยโลกและองคการสหประชาชาติ มักใชคําวา Older person มากกวา Elderly person องคการสหประชาชาติ ไดใ หนิยามวา “ผูส ูงวยั ” คือ ประชากร ท้ังเพศชายและ เพศหญงิ ซ่ึงมีอายมุ ากกวา ๖๐ ปขึ้นไป พลอยพรรณ เชีย่ วชาญ (2559) อา งถงึ เกษม และกลุ ยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ (2528) ถงึ การระบขุ อ พจิ ารณาความสงู วยั ของบคุ คล ดงั นี้ 1) พิจารณาในแงของการเปลี่ยนแปลงของรางกายในทางสรีระวิทยาพบวา การเปลย่ี นแปลงแรกสดุ ของผทู เี่ ขา สคู วามสงู วยั คอื สายตาจะยาวขนึ้ ตอ งใชแ วน สายตาชว ย ผมหงอก หตู งึ เหนอื่ ยงา ยและขล้ี มื เมอื่ เกดิ การเจบ็ ปว ยจะตอ งใชเ วลาในการรกั ษานานขน้ึ กวา เดมิ การเปลยี่ นแปลง ดงั กลา วนี้ แตล ะขนั้ จะเปลย่ี นแปลงตา งกนั อายทุ ม่ี กี ารเปลยี่ นแปลงจะไม เทา กัน เชน บางคนเริ่มผมหงอกตง้ั แตอ ายุ 35 ป และอาจมีสายตายาวแลว กไ็ ด โดยทัว่ ไป สายตาจะเรมิ่ เปลยี่ นเมอื่ อายุ 40 ป จากนน้ั จะมกี ารเปลยี่ นแปลงของผม การไดย นิ และความ อดทน การพจิ ารณาความสงู วยั โดยใชก าร เปลยี่ นแปลงทางรา งกายจงึ ไมเ ปน ขอ บง ชที้ ช่ี ดั เจน 2) พจิ ารณาในแงจ ติ ใจผทู ไ่ี ดช อื่ วา เปน ผสู งู วยั จะยดึ มนั่ ในความคดิ ของตนเปน หลกั ไม คอ ยยอมรบั ความรใู หมๆ หรอื การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ และมกั มคี วามตอ งการทจ่ี ะชว ยเหลอื สงั คมตาม 11 ความถนดั ของตนเอง ตอ งการความสนใจจากผอู น่ื ตอ งการเปน สว นหนงึ่ ของ หมคู ณะ ตลอดจนตอ งการ การดแู ลอยา งใกลช ดิ เมอ่ื เวลาเจบ็ ปว ย มลี กั ษณะขใี้ จนอ ย จจู ข้ี บ้ี น และถือตัว 3) พิจารณาในแงข องสงั คม ความมีอายุทําใหผูสงู วยั มสี ภาวะทางสงั คมเพมิ่ ขึ้น และมี ความสาํ คญั ในฐานะผมู ปี ระสบการณ ซงึ่ ขนึ้ อยกู บั การมปี ฏสิ มั พนั ธท างสงั คมของคนๆ นน้ั ดว ย แมว า สงั คมจะกวา งและมคี นรจู กั มากขน้ึ มโี ลกทศั นท ก่ี วา งไกล แตก ารทาํ งานและ หนา ทค่ี วามรบั ผิดชอบจะลดลง เนือ่ งจากความจาํ กดั ของอายุและความสามารถ 4) พจิ ารณาในแงก ฎหมาย กฎหมายไดก าํ หนดความสงู วยั ตามปป ฏทิ นิ แตกตา ง กันไปตาม สภาพสงั คมและวัฒนธรรมของแตล ะประเทศ 95
วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย นอกจากน้ี พลอยพรรณ เช่ียวชาญ (2559) ยังไดอ า งถงึ สุรกุล เจนอบรม (2541) ท่ี ระบกุ าํ หนดการเปน บคุ คลสงู วยั ไวว า บคุ คลผจู ะเขา ขา ยเปน ผสู งู วยั มเี กณฑใ นการพจิ ารณา แตกตางกนั โดยกําหนดเกณฑในการพิจารณาความเปนผสู ูงวยั ไว 4 ลักษณะดงั น้ี 1) พิจารณาความเปนผูสูงวัยจากอายุจริงท่ีปรากฏ (Chronological Aging) จากจาํ นวนปห รอื อายทุ ป่ี รากฏจรงิ ตามปป ฏทิ นิ โดยไมน าํ เอาปจ จยั อนื่ มารว มพจิ ารณาดว ย 2) พิจารณาความเปนผูสูงวัยจากลักษณะการเปล่ียนแปลงทางรางกาย (Physiological Aging หรือ Biological Aging) กระบวนการเปลี่ยนแปลงน้ีจะเพิ่มข้ึนตาม อายุขัยในแตละป 3) พิจารณาความเปน ผูสงู วัยจากลกั ษณะการเปล่ียนแปลงทางจิตใจ (Psycho- logical Aging) จากกระบวนการเปลยี่ นแปลงทางดา นจติ ใจ สติปญ ญา การรับรูและเรยี น รทู ถี่ ดถอยลง 4) พจิ ารณาความเปน ผสู งู วยั จากบทบาททางสงั คม (Sociological Aging) จาก บทบาทหนาท่ีทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การมีปฏิสัมพันธกับกลุมบุคคล ตลอดจน ความรับผดิ ชอบในการทํางานลดลง 2. แนวคดิ เก่ียวกับกิจกรรมทางสังคม (Social Activity Theory) Havighurst (1967, pp. 96) อธบิ ายวา ถา บคุ คลใดมกี จิ กรรมมากอยา ง จะสามารถ ปรบั ตวั ไดมากข้นึ เทานัน้ และมีความพึงพอใจในชวี ิตสงู ที่ทาํ ใหเ กดิ ความสขุ ในการดําเนนิ ชีวิตตอไป แนวคดิ น้จี ะเห็นวากิจกรรมเปน สง่ิ สาํ คัญ สาํ หรับผูสูงวยั มากกวาการลดบทบาท (Role Loss) ทางสังคมลง และจะพบวาผสู งู วยั มที ัศนะเกีย่ วกับตนเองในทางบวกและมอง โลกในแงด ี จะมคี วามกระตอื รอื รน ในการรว มกจิ กรรม และบทบาทใหมๆ ใหก บั ผสู งู วยั พอ สมควร 2.1 กจิ กรรมนนั ทนาการ ผสู ูงวัยสามารถทําไดท ุกชว งอายุ ทาํ ใหร างกายสดชื่น ทา ทายกระตนุ เตอื นเปลยี่ นแนวคดิ และไดส มั ผสั กบั คนอน่ื รวมทงั้ ทาํ ใหจ ติ ใจของเราตนื่ ตวั อยเู สมอ และมชี วี ติ ชวี า ผสู งู วยั ควรทาํ ในสง่ิ ทตี่ นเองชอบ และตนเองมที กั ษะ หรอื ความถนดั เปนพิเศษ ทักษะในงานวิชาชีพ อาจนํามาใชในกิจกรรมนันทนาการได ควรเลือกหลายๆ กจิ กรรม และตอ งมีเวลาพอดว ย ไดแ ก 96
วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชียงราย 1) งานอดิเรก เชน วาดรูป ทําอาหาร การจัดสวน งานชา งไม ทอผา ทําหุน 2) เกม เชน บริดจ หมากรุก ปริศนาอักษรไขว 3) กีฬา เชน เดนิ วายนํ้า ขจ่ี กั รยาน ตีกอลฟ เลนเทนนสิ 4) ดนตรี เชน เลนดนตรี แตงเพลง การขับรอ งเพลง 5) ชมรม เชน การเขา ชมรมตางๆ เชน ชมรมกฬี า ศาสนา การเมอื ง ชมรมผูสูงวัย 6) การทอ งเทย่ี ว เชน การเขยี นหนงั สอื คมู อื ทอ งเทยี่ ว ไกดบ รรยายในการทอ งเทย่ี ว กจิ กรรมดา นนนั ทนาการในสว นของบทบาทผสู งู วยั นน้ั มไี ดห ลายรปู แบบทง้ั เปน ผกู ระทาํ เอง ทั้งเปนงานอดเิ รก และงานอาชีพ เปนผูใ หก ารปรึกษาแนะนํา หรอื เปนผูสอน หรือเปน ผบู รรยายพเิ ศษได ซงึ่ เปนประโยชนต อ ตนเอง ชมุ ชน ครอบครัวและสงั คม 2.2 กิจกรรมการเรียนรู เมื่ออยูในวัยสูงวัย การเรียนรูยังมีอยางตอเน่ือง เพ่ือ สนองความอยากรู อยากเห็นความพึงพอใจ หรอื เพอื่ การดาํ เนินกจิ กรรมบางอยาง ใหไ ด รบั ความสาํ เรจ็ ในแงส ขุ ภาพจติ การเรยี นรจู ะเปน การกระตนุ จติ ใจ และเปน การแลกเปลยี่ น ความสนใจกบั ผอู น่ื เชน การเรยี นในระบบการศกึ ษาผใู หญ หรอื การศกึ ษานอกระบบ การเรยี น ในมหาวิทยาลัยเปด และการอบรมระยะส้นั ๆ เปนตน 2.3 กจิ กรรมบรกิ ารผูอ่ืน เนื้อแทข องชวี ติ อยางหนึ่งคือ การเสียสละ และทาํ สิ่ง ทเี่ ปน ประโยชนใ หแ กส งั คม นอกเหนอื ไปจากทาํ ใหแ กต นเอง ครอบครวั โดยผา นงานอาสาสมคั ร ผสู งู วยั อาจลองงานอาสาสมคั รหลายๆ อยา งแลว พจิ ารณาดดู ว ยตนเอง วา กจิ กรรมแบบไหน ท่เี หมาะสมกบั ตนเองทส่ี ุด บรกิ ารอาสาสมัครมีหลายแนวทาง 3. แนวคดิ และทฤษฎกี ารพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษเพอื่ การสอ่ื สารสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษท่ี 21 นกั การศึกษาไดใ หความหมายของคูมือพอสรุปได ดังนี้ คูมือเปนเอกสารที่ชวยใหเกิดความรู ความเขาใจในเรื่องราวตางๆ ที่ผูศึกษาดวย ตนเอง ลัดดาวรรณ นวลสงค (2558) ใหค วามหมายของคูมอื คอื เอกสารสง่ิ พมิ พท่จี ัดทาํ เปน รปู เลม มอี งคป ระกอบและเนอ้ื หารายละเอยี ดเพอื่ ใหผ ใู ชค มู อื มคี วามสะดวกในการศกึ ษา เรอ่ื งท่สี นใจไดด ว ยตนเอง วลัยวัลล พุมพึ่งพุทธ (2554 : 19) ไดกลาววาการดําเนินกิจกรรมใดๆ ก็ตาม จะตอ งใชส ื่อ สื่อทส่ี าํ คัญ คอื คูมือ เพราะเปนสิ่งกําหนดจุดมงุ หมายของการเรยี นรู เนอ้ื หา และวิธกี าร ตลอดจนการวดั ผลความสําเรจ็ ของการดําเนินงาน 97
วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย ความหมายของคูมือนน้ั มีผใู หความหมายดงั นี้ สรุ ัสวดี จนิ ดาเนตร (2553) สรปุ ความหมายของคูม ือวา คูมือเปน เอกสารทจี่ ดั ทําข้ึน เพ่ือใชเ ปน แนวทางในการปฏิบตั กิ ารของผูใชใ หส ามารถดําเนนิ กิจกรรม อยา งใดอยา งหนง่ึ ใหม มี าตรฐานใกลเคยี งกนั ใหม ากท่สี ดุ และบรรลุผลสาํ เรจ็ ตามเปาหมาย เครือวัลย เผา ผึง้ (2548) กลาววา หนังสอื คมู อื เปนหนังสอื ส่งิ พิมพเฉพาะกจิ คอื เปน สง่ิ พมิ พท ใ่ี ชเ ฉพาะงานดา นใดดา นหนง่ึ ซง่ึ มกั จะเปน หนงั สอื ขนาดเลก็ ออกแบบเพอื่ ประหยดั สวยงามและเพ่ือความสะดวก จากความหมายของคมู อื สรปุ ขา งตน ไดว า คมู อื เปน เอกสารทจี่ ดั ทาํ ขนึ้ มาอยา งเปน ระบบ เพือ่ ใหเกดิ ความรูความเขาใจตอส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ เร่ืองใดเรือ่ งหนง่ึ หรือแนวทางปฏบิ ัติ กจิ กรรมเรอื่ งใดเรอ่ื งหนงึ่ ซง่ึ ตอบสนองตอ ความตอ งการของผใู ชเ พอื่ ใหส ามารถนาํ ไปปฏบิ ตั ิ ตามในชีวิตจรงิ ได โดยมรี ูปเลมกะทดั รัด เหมาะแกการพกพา อานแลวเขา ใจงา ย สามารถ นําไปใชอ ยา งมีประสทิ ธภิ าพและมปี ระสิทธผิ ลในเร่ืองใดเรอื่ งหน่งึ ลัดดาวรรณ นวลสงค (2558) กลาววา คมู อื ทีด่ ี ควรมีคุณภาพ 3 ดา น ดงั นี้ 1) ดานองคประกอบและดานเนื้อหา ประกอบดวยวัตถุประสงคที่ชัดเจน ขอบขา ยของเน้ือหาตองครอบคลุมและสอดคลองตามวัตปุ ระสงค เนอื้ หาในคูม ือ ตรงตาม ความตอ งการของผใู ช การนาํ เสนอควรเปน ระบบ เขา ใจงา ย รวมถงึ การเสนอสอื่ ทส่ี อดคลอ ง กบั เนอื้ หาเอกสารประกอบนนั้ ตอ งมขี น้ั ตอนทส่ี มั พนั ธก นั และควรระบขุ นั้ ตอนและวธิ ใี ชใ ห ชัดเจน 2) ดา นการใชภ าษา คมู อื ควรมกี ารแนะนาํ การใชค มู อื และตอ งเขยี นโดยใชภ าษา ทเ่ี ขาใจงา ย 3) ดานรูปแบบ ขนาดเหมาะสมตอการใชง าน ใชสะดวก สวนใหญน ยิ มจดั เปน รปู เลม มลี กั ษณะตวั อกั ษรทอี่ า นงา ย ชดั เจน และรปู ภาพทใ่ี ชป ระกอบตอ งมคี วามสอดคลอ ง กบั เน้อื หา สอ่ื ความหมายไดช ดั เจน ดงึ ดดู ความสนใจ และเพ่อื ใหเ ขา ใจงา ยข้นึ พชั รนิ ทร จนั ทรแ จง (2559) ไดศกึ ษาความหมาย และลักษณะของคมู อื ท่ดี ี ควรมี ลกั ษณะ ดังน้ี 1) ดานรปู แบบ มีขนาดรูปเลม เหมาะสม ตัวอกั ษรอา นงาย ชดั เจน มรี ูปภาพ ประกอบ เหมาะสมกบั เนอื้ หาและการนําเสนอกิจกรรมแตล ะขัน้ ตอนมีความชดั เจน 98
วารสารฟาเหนือ ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย 2) ดา นเน้อื หา วตั ถุประสงคข องคมู อื กาํ หนดไวชดั เจน เหมาะสม ระบขุ อบขา ย เนอ้ื หา คมู อื ครอบคลมุ ตามวตั ถปุ ระสงค คาํ แนะนาํ การศกึ ษาคมู อื เขยี นไวช ดั เจน เขา ใจงา ย เนื้อหาความรูมคี วามเหมาะสมตรงกับความตองการและความจาํ เปน 3) ดา นการนาํ ไปใช กําหนดข้นั ตอนการศึกษาคูมอื ไวชัดเจน กําหนดกิจกรรม เน้ือหา และแบบฝกไดส ัมพันธกัน และมกี ิจกรรมประเมินผลเหมาะสมกบั เนอื้ หาของคูมอื ในสว นของการสือ่ สารภาษาองั กฤษนั้น สหทัศน ศ. และคณะ (2560) พบวาคูมอื สนทนาภาษาองั กฤษ สามารถแกป ญ หาการสอ่ื สารภาษาองั กฤษในการสอ่ื สารกบั นกั ทอ งเทย่ี ว ชาวตางชาติในการขายสินคาของกลุมวิสาหกิจทอผาไหมแพรวาและผูเขารวมอบรมทุกคน มีความพึงพอใจตอ คูมอื สนทนาภาษาอังกฤษอยใู นระดับมากทีส่ ุด สรปุ จากความหมายและลกั ษณะคมู อื ท่ไี ดก ลา วมาขา งตน ผวู จิ ัยสามารถศึกษานาํ มา เปนแนวทางในการสรางคูมือภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารสําหรับผูสูงวัยในศตวรรษที่ 21 ซงึ่ อยใู นรปู ของเอกสาร หรอื หนงั สอื เพอื่ ใหผ สู งู วยั ทน่ี าํ ไปใชส ามารถจะปฏบิ ตั ติ ามใหส าํ เรจ็ ลุลว งตามวัตถปุ ระสงค ทีต่ ง้ั เปา ไวในเอกสารหรือหนงั สือนน้ั ไดดวยตนเอง สําหรบั การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวของกบั การศกึ ษาของผูสงู วยั นั้น อาชัญญา รัตนอุบล และคณะ (2555) พบวา กรณีศึกษาที่ดีของประเทศไทย เปน การจดั กจิ กรรมทใี่ หค วามสาํ คญั กบั ผสู งู วยั ครอบครวั และชมุ ชนโดยรวม โดยบรู ณาการ กิจกรรม การเรียนรแู ละกจิ กรรมการเตรยี มความพรอม เพอื่ ใหผ สู งู วยั มคี ณุ ภาพชวี ติ ท่ดี ีอยู รว มกบั ผอู นื่ ในสงั คม สว นขอ มลู ปญ หาและความตอ งการการสง เสรมิ การจดั การศกึ ษา/การเรยี นรู สําหรับผูสูงวัยพบวา ผูสูงวัยมีปญหาสุขภาพทางกายมากที่สุด มีความตองการดานความ เชยี่ วชาญของวทิ ยากร/ผสู อนมากทส่ี ดุ รปู แบบและแนวทางการสง เสรมิ การจดั การศกึ ษา/ การเรียนรเู พอ่ื การพฒั นาศักยภาพผสู ูงวัยแบง ออกเปน 5 รปู แบบ ประกอบดวย รปู แบบ มหาวิทยาลัยวัยท่ีสาม รูปแบบศูนยเอนกประสงคสําหรับผูสูงวัยในชุมชน รูปแบบเมือง/ ชมุ ชนสาํ หรบั ผสู งู วยั รปู แบบชมรมผสู งู วยั /สโมสรผสู งู วยั และรปู แบบการรวมกลมุ ของผสู งู วยั ตามอัธยาศยั ธรี ศกั ดิ์ สรอ ยครี ี และ อจั ฉรา ปรุ าคม (2019) พบวา ผสู งู อายมุ สี มรรถนะสงู ขน้ึ โดย พจิ ารณาเปน รายดา น เชน ดา นความรกู ารใชเ ทคโนโลยเี พอ่ื การเรยี นรตู ลอดชวี ติ , ดา นทศั นคติ การใชเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรูตลอดชีวิต โดยเฉพาะความรูสึกเก่ียวกับการใชเทคโนโลยี 99
วารสารฟาเหนอื ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย ชว ยทาํ ใหเ รยี นรสู ง่ิ ใหมๆ การใชส มารท โฟน ชว ยในการตดิ ตอ สอ่ื สาร การใชเ ทคโนโลยที าํ ให เรียนรูจากสอื่ ท่ีหลากหลาย และการเรยี นรูเ ทคโนโลยีทําใหเ ขา ใจคนสมัยใหมม ากขึ้น และ ดา นทกั ษะการใชเ ทคโนโลยเี พอื่ การเรยี นรตู ลอดชวี ติ ผลการประเมนิ ดา นทกั ษะพบวา ผสู งู อายุ ที่เรียนรูโดยใชรูปแบบนวัตกรรมบทเรียนออนไลนเพ่ือการเรียนรูตลอดชีวิตสูงกวากอนเรียนรู โดยเฉพาะทักษะใชสมารท โฟน ฐติ มิ า ดวงวนั ทอง (2560) พบวา การศกึ ษาทมี่ คี วามเหมาะสมกบั ผสู งู อายมุ ากทส่ี ดุ คือการศึกษาตลอดชีวิต สําหรับผูสูงอายุ โดยมีหมวดเน้ือหาการเรียนรู ท้ังหมด 5 ดาน ประกอบไปดว ย เนอื้ หาดา น สขุ ภาพอนามยั ทเี่ หมาะสมกบั วยั ผสู งู อายุ เนอื้ หาดา นการปรบั ตวั ทาง สงั คมและจติ ใจ เนอ้ื หา ดา นการออม เนอื้ หาดา นการเรยี นรแู ละเนอื้ หาดา นสทิ ธขิ อง ผสู งู อายตุ ามกฎหมาย และไดน าํ มาประยกุ ตเ ขา กบั การเรยี นรแู บบบรู ณาการครบวงจร โดย ใชกจิ กรรมทางการเกษตร หัตถกรรม และกจิ กรรมการขาย เปนตัวสงเสรมิ การเรียนรู สวุ ธิ ดิ า จรงุ เกยี รตกิ ลุ (2558) พบวา แนวทางการจดั ศกึ ษาตลอดชวี ติ เพอ่ื การขบั เคลอ่ื น ชุมชนการเรียนรูท่ีเหมาะสมกับบริบทสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทยเปนการจัด กระบวนการเรียนรูใหมีผลตอการเรียนรูตลอดชีวิตของบุคคลและชุมชนประกอบดวย องคประกอบหลักแนวทางการจัดการศึกษาตลอดชีวิต และผลผลิตจากการจัดการศึกษา ตลอดชวี ติ เพอ่ื ขับเคลื่อนชมุ ชนการเรยี นรู กิจปพน ศรีธานี และคณะ (2563) พบวา 1) ระดับความตองการการเรยี นรตู ลอด ชีวิตของผูสูงอายุโดยรวมอยูในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาระดับความตองการเปน รายดานพบวา ผูส งู อายมุ คี วามตองการเรียนรดู านการออมมากทีส่ ุด รองลงมา คอื ดาน สขุ อนามัย และดานการปรับตวั ทางดา นจติ ใจ ตามลาดับ 2) การวเิ คราะหห าความสัมพันธ พบวา เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายไดม ีความสมั พันธกบั ความตองการเรยี นรูตลอด ชวี ติ อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ (p<0.05) ความตอ งการการเรยี นรตู ลอดชวี ติ ปจ จยั ทมี่ คี วาม สัมพันธตอความตองการการเรียนรูตลอดชีวิตของผูสูงอายุ ในตําบลแวงนาง อําเภอเมือง จังหวดั มหาสารคาม สชุ าดา แมนพยคั (2017) พบวา สภาพการเรยี นรู และความตองการเก่ยี วกบั การเรียนรู ของผูสูงอายุ อยูในระดับมากทุกดาน รูปแบบการเรียนรูของผูสูงอายุ เพ่ือพัฒนาคุณภาพ ชีวิตทพ่ี ัฒนาขน้ึ มี 3 สว น คอื สวนท่ี 1 หลกั การและเหตุผลวัตถปุ ระสงค และสาระการเรียนรู 100
วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชยี งราย ของผูสงู อายุสวนท่ี 2 องคป ระกอบของรูปแบบซึ่งมี 6 องคประกอบ คือ 1) วิธีการเรียนรู เปนวิธีการท่ีผูเรียนเปนผูกําหนดเองท่ีสอดคลองกับการดําเนินชีวิต 2) เงื่อนไขการเรียนรู เปน ปจ จยั ทท่ี าํ ใหเ กดิ การเรยี นรู 3) เนอ้ื หาการเรยี นรเู ปน สาระและกระบวนการทเ่ี ปน สอ่ื ให เกิดการเรียนรู 4) ส่ือการเรียนรูเปนปจจัยสงเสริมการเรียนรู 5) กิจกรรมการเรียนรูเปน กิจกรรมตามสภาพแวดลอมที่เอื้อตอวิถีชีวิตอยางไมเปนทางการตามศักยภาพและความ ตองการของผูสูงอายุ 6) ปจจยั เกอื้ หนุนเปนสว นท่เี ออ้ื ใหไ ดเรยี นรอู ยา งตอเน่ืองตลอดชีวิต ท่ีสอดคลอ งกบั บริบทสังคมไทย ไพบรู ณ พงษแ สงพนั ธ และคณะ (2557) ทาํ การวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นาการเรยี นรแู ละ อาชีพของผสู งู อายุ : การวเิ คราะหสถานการณ พบวา เพศหญงิ มากกวา เพศชาย และมีอายุ ระหวา ง 60-84 ป สว นใหญอ ยใู นสถานภาพสมรสและมรี ะดบั การศกึ ษาในระดบั ประถมศกึ ษา งานในปจจุบันที่ทําสวนการคาขายธุรกิจสวนตัวรับจางทั่วไป สวนใหญทํางานวันละ 4-8 ชวั่ โมงตอ วนั โดยสว นใหญท าํ งานเดอื นละมากกวา 20 วนั รายไดต อ คนสว นใหญอ ยรู ะหวา ง เดอื นละ 5001-10000 บาท ผสู งู อายสุ ว นใหญไ มม คี วามรเู กย่ี วกบั แหลง การเรยี นรู (56.57%) และไมเ คยเขา รว มกจิ กรรมการเรยี นรเู พอื่ พฒั นาตนเอง (49.85%) สว นกลมุ ตวั อยา งทพี่ ฒั นา ความรหู รอื ทกั ษะในการทาํ งาน ตอ งการพฒั นาความรแู ละทกั ษะในการทาํ งานในดา น ภาษา ตา งประเทศ เชน ภาษาอังกฤษ ภาษาอาเซยี น คณติ ศาสตร การพัฒนาธุรกจิ การพฒั นา อาชพี ดา นตา งๆ ทกั ษะการทาํ งานใหม ปี ระสทิ ธภิ าพและมรี ายไดเ พม่ิ ขน้ึ จากการเปรยี บเทยี บ ปญ หาการเรยี นรขู องผสู งู อายุ พบวา ปญ หาดา นการเขา รว มกจิ กรรมการเรยี นรเู พอ่ื การพฒั นา ตนเองและดา นการไดร บั การสง เสรมิ สนบั สนนุ การเรยี นรจู ากหนว ยงานตา งๆ ในแตล ะกลมุ อายุ มคี วามแตกตา งกนั โดยพบวา อายุ 60-64 ป มปี ญหาสูงกวา ในกลุมอายุ 65-69 ป และ 70-74 ป ตามลาํ ดบั กลมุ อาชพี ประมง และกลมุ อาชพี รบั จา งทวั่ ไป มปี ญ หาดา นการไดร บั การพฒั นา ทักษะในการเรียนรูในการประกอบอาชีพสูงกวากลุมอาชีพอ่ืน การเปรียบเทียบความ ตองการดานการฝกนิสัยการเรียนรูอยางตอเน่ืองและดานการไดรับการสงเสริมสนับสนุน การเรยี นรูจากหนวยงานตา งๆ พบวา กลุมรายได 5001-10000 บาท มคี วามตองการสงู กวาในกลุมรายไดอ ืน่ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ดังนน้ั หนวยงานทีเ่ กีย่ วขอ งจึงควรใหความ สาํ คัญกับการสงเสรมิ สนบั สนนุ การเรยี นรใู หก ับผูส ูงอายุเพ่มิ ข้นึ โดยเฉพาะกลุมอายุ 60-64 ป ทม่ี รี ายไดน อ ยและไมม รี ายไดเ สรมิ ซง่ึ เปน กลมุ ทจ่ี าํ เปน ตอ งไดร บั การเรยี นรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั การประกอบอาชพี เพ่อื เพ่มิ รายได 101
วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย ทนงคศ ักดิ์ ยิ่งรตั นสขุ และคณะ (2558) ทําการวิจยั ดานการพัฒนารปู แบบการเรยี นรู และอาชพี ของผสู งู อายุ การเรียนรเู พอื่ สง เสรมิ ภาวะพฤฒพิ ลัง ในชมุ ชนเขาสามมกุ ในเขต เทศบาลเมืองแสนสุข อาํ เภอเมือง จงั หวดั ชลบุรี พบวา ผสู ูงอายทุ ีส่ วนใหญไ มม คี วามรเู กี่ยว กบั แหลง การเรยี นรู (60.0%) ไมเคยเขารว มกิจกรรมการเรียนรเู พ่อื พฒั นาตนเอง (50.0%) ไมรูวิธีการเรียนรู (50.0%) และไมเคยไดรับการฝกทักษะในการเรียนรู (50.0%) ในดาน ความตอ งการดา นการเรยี นรู สว นใหญ ไมต อ งการพฒั นาวธิ กี ารเรยี นรู (60.0%) ไมต อ งการ ใชแหลงเรียนรู (50.0%) ไมตองการเขารวมกิจกรรมการเรียนรูเพื่อการพัฒนาตนเอง (50.0%) ไมต องการฝก นิสยั การเรียนรูอยา งตอเนอ่ื ง (50.0%) ไมต องการไดรับการสง เสรมิ สนับสนุนการเรียนรู (40.0%) แตมีความตองการไดรับการพัฒนาทักษะในการเรียนรู (55.0%) รปู แบบการเรยี นรทู พี่ ฒั นาขน้ึ คอื โครงการอบรมใหค วามรแู กผ สู งู อายเุ รอื่ งปญ หา สขุ ภาพจากการทาํ งาน จากนน้ั กลมุ ตวั อยา งนาํ ความรทู ไี่ ดจ ากการอบรมไปใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั โดยมกี ารหยดุ พกั หรอื เปลยี่ นอริ ยิ าบถระหวา งการทาํ งานเปน ระยะๆ บางคนเขา รว มกจิ กรรม ออกกาํ ลงั กายโดยการราํ กระบองทกุ วนั เปน เวลา 1 เดอื น ผลการเปรยี บเทยี บภาวะพฤฒพิ ลงั พบวา กลมุ ตวั อยา งมภี าวะพฤฒพิ ลงั หลงั เรยี นรสู งู กวา กอ นเรยี นรู อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ ที่ระดบั .05 ฐติ ิกาญจน อศั ตรกุล (2562) พบวาแบบแผนการใชเ วลาในการเรียนรขู องผูสงู อายุ ไทยเปลยี่ นแปลงเลก็ นอยในชวง ป 2544-2558 กลาวคอื เกือบทง้ั หมดไมไ ดใชเวลาในการเรยี นรู และกลุมที่ไดใชเวลาในการเรียนรูสวนใหญเปนการเรียนรูแบบไมเปนทางการ สะทอนให เหน็ วา แมจ ะมนี โยบายทเี่ กยี่ วกบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ และการสง เสรมิ การเรยี นรใู นกลมุ ผูสูงอายุเพิ่มมากขึ้น จากการตระหนักถึงการเปนสังคมสูงวัยของสังคมไทยและการเรียนรู ตลอดชวี ติ ของผสู งู อายมุ คี วามสาํ คญั ตอ การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ แตฐ ติ กิ าญจน พบวา มผี สู งู อายุ จาํ นวนมากทไ่ี มไ ดใ ชเ วลาในการเรียนรู ประเดน็ นอ้ี าจสะทอนได 2 มติ ิ ไดแ ก การใหน ิยาม เกย่ี วกบั การเรยี นรใู นกลมุ ผสู งู อายุ ทไี่ มค รอบคลมุ กจิ กรรมการเรยี นรทู ส่ี อดคลอ งกบั ชว งวยั และ การนาํ นโยบายไปปฏบิ ตั จิ รงิ ทตี่ องคํานึงถึงความสะดวกในการเขาถงึ แหลง เรยี นรูของ ผูสงู อายุ จากงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ งขา งตน จะเหน็ วา งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วกบั การพฒั นาเพอ่ื สนบั สนนุ สง เสรมิ ศกั ยภาพของผสู งู วยั ทง้ั สน้ิ โดยเนน การจดั กจิ กรรมทสี่ อดคลอ งและเหมาะสมกบั ผสู งู วยั ซึ่งสามารถปรับและนาํ ไปใชใ นการจัดทาํ คมู ือภาษาอังกฤษเพ่ือสูงวยั ในศตวรรษท่ี 21 ได 102
วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย วิธกี ารวจิ ัย การวจิ ยั ในครงั้ นมี้ ขี ้ันตอนและวิธกี ารในการดําเนนิ การวจิ ัยดงั ตอ ไปน้ี ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพ ปญหาและความตองการการใชภาษาอังกฤษเพื่อ การส่อื สารของผูสงู วัยในศตวรรษที่ 21 ในเขตอาํ เภอเมอื ง จงั หวัดเชยี งราย ขั้นตอนท่ี 2 ศึกษาแนวทางในการพัฒนาคูมือภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารของ ผูส งู วยั ในศตวรรษที่ 21 ในเขตอาํ เภอเมือง จงั หวดั เชียงราย เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ นการศกึ ษารวบรวมขอ มลู เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ นการรวบรวมงานวจิ ยั ครง้ั นี้ คอื แบบสอบถามขอ มลู ขน้ั พนื้ ฐานความตอ งการ คมู อื พฒั นาภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษที่ 21 โดยสรา งแบบสอบถามอยใู นรปู แบบ ของชดุ เอกสารและแบบออนไลน ปรบั ปรงุ ตามความคดิ เหน็ และขอ เสนอแนะของผเู ชยี่ วชาญ ดา นภาษาองั กฤษเพอื่ การสอื่ สาร จาํ นวน 3 ทา น เพอื่ ตรวจสอบคา ความเทย่ี งตรงของเนอ้ื หา (Content Validity) และรูปแบบของการใชภาษาและหาคาดัชนีความสอดคลอง (IOC- Index of item -Objective Congruence) โดยหลังจากผูเช่ียวชาญตรวจสอบแลว แบบสอบถามถกู แบง ได ออกเปน 3 สวน คือ สวนท่ี 1 คาํ ถามปลายเปด ซึ่งเปน ขอ มลู ทั่วไป เกี่ยวกบั เพศ อายุ และภมู ิลาํ เนา ของ ประชากรกลุมตัวอยา ง สวนท่ี 2 คาํ ถามปลายปด ซึง่ เปนขอมลู สอบถามความคิดเหน็ เก่ยี วกับทกั ษะภาษา องั กฤษของกลมุ ประชากรตัวอยา ง สว นที่ 3 ขอเสนอแนะเพมิ่ เตมิ ท้งั น้ี มกี ารนาํ ผลมาหาคา เฉล่ยี แลวเลือกแบบสอบถามที่มคี า สอดคลอง ต้ังแต 0.5 ขน้ึ ไป มาใชใ นการวจิ ยั ซงึ่ ในวจิ ยั ครงั้ น้ี แบบประเมนิ ผเู ชย่ี วชาญ มคี า เฉลย่ี สอดคลอ ง (IOC) เทา กับ 1.00 ทงั้ 2 ฉบบั ซึ่งถอ่ื วา มีความสอดคลองอยใู นเกณฑท ี่ยอมรบั ได วิธกี ารเก็บรวบรวมขอมูล 1. เลอื กพน้ื ทว่ี จิ ยั โดยกาํ หนดใหอ ยใู นเขตพน้ื ทเ่ี ทศบาลอาํ เภอเมอื ง และพน้ื ทใ่ี กลเ คยี ง จังหวัดเชียงราย 103
วารสารฟา เหนือ ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2. ผูวิจัยศึกษาถึงความตองการของกลุมผูสูงวัยในชุมชนพ้ืนที่ศึกษาในการพัฒนา ศักยภาพ 3. ศกึ ษาขอ มลู พื้นฐานของพ้ืนทีโ่ ดยศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วของ 4. ออกแบบเครอ่ื งมอื วจิ ยั ทใ่ี ชค อื แบบสอบถาม โดยผา นการประเมนิ ของผเู ชย่ี วชาญ (IOC) 5. นาํ แบบสอบถามท่ผี า นการปรบั ปรงุ แกไ ขเรยี บรอ ยแลว ไปใหก ลมุ ตัวอยา ง ทําแบบสอบถาม 6. นาํ ขอ มลู ทไ่ี ดจ ากการศกึ ษาขอ มลู พน้ื ฐาน และแบบสอบถาม มาทาํ การวเิ คราะห และเพ่ือนําไปใชเปนแนวทางในการพัฒนาคูมือภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารสําหรับผูสูงวัย ในศตวรรษท่ี 21 ใหต รงตามวัตถปุ ระสงคข องงานวจิ ยั ตอไป การวเิ คราะหขอมูล สถติ ทิ ใ่ี ชใ นการวเิ คราะหข อ มลู ไดแ ก คา ความถี่ รอ ยละ คา เฉลย่ี และคา สว นเบย่ี งเบน มาตรฐาน สว นขอ มลู จากการสมั ภาษณแ ละการสนทนากลมุ ใชก ารวเิ คราะหเ นอื้ หา การวเิ คราะห ขอ มลู เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจของผสู งู วยั ทม่ี ตี อ การพฒั นา คมู อื ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สาร สาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษที่ 21 โดยใชส ถติ พิ รรณนา (Descriptive Statistics) โดย คา เฉลยี่ (Mean) คา เบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ซง่ึ ขอ มลู ทไี่ ดจ ากการวเิ คราะหข อ มลู จะถกู นํามาเปรียบเทยี บกับเกณฑ ระดบั ความพงึ พอใจทผี่ ูวิจัยไดส รางข้นึ ดังนี้ คา เฉลยี่ 0.00 - 1.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจตอ คมู อื ในระดับนอยมาก คาเฉลีย่ 1.01 - 2.00 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจตอ คมู ือในระดับนอย คา เฉลี่ย 2.01 - 3.00 หมายถึง มีความพึงพอใจตอคูมือในระดบั ปานกลาง คา เฉลยี่ 3.01 - 4.00 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจตอคมู อื ในระดับมาก คา เฉลยี่ 4.01 - 5.00 หมายถึง มีความพงึ พอใจตอคมู ือในระดบั มากที่สดุ การวิเคราะหข อมูลเชิงคุณภาพใชการวิเคราะหเน้ือหา (Content Analysis) โดย การจําแนกถอยคํา หรือขอความที่กลุมตัวอยางแสดงความคิดเห็น แลวนํามาตีความ สังเคราะห และวิเคราะหดวยหลักแหงเหตุผล สรางขอสรุปแบบ อุปนัย (Inductive 104
วารสารฟาเหนือ ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย Analysis) อภปิ รายถงึ ขอ เทจ็ จรงิ ทคี่ น พบตามสภาพการณ ปรากฏการณ ความสมั พนั ธ และ ประเด็นสาํ คญั เพอ่ื ตอบคาํ ถามการศกึ ษา ผลการวจิ ัย จากการสาํ รวจประชากรตวั อยางผสู ูงวยั จาํ นวน 50 คน ท่ีตอบแบบสอบถามทั้งใน รปู แบบเอกสารและออนไลน พบวา รอยละ 56 เปน เพศหญงิ และรอ ยละ 44 เปน เพศชาย สาํ หรบั ชวงอายุผูสงู วยั อายรุ ะหวาง 60-65 ป มีจาํ นวนมากทสี่ ุด คิดเปนรอยละ 36 รองลง มา ชวงอายุ 55-59 ป คดิ เปนรอ ยละ 18 และชว งอายุ 66-70 ป คิดเปน รอยละ 10 ซง่ึ หาก พิจารณาจากชว งอายแุ ลวคมู ือการพฒั นาภาษาองั กฤษสาํ หรับผูสงู วัยในศตวรรษที่ 21 คอื อายุระหวา ง 60-65 ป ซึ่งเปน วยั พรอ มทีจ่ ะเรยี นรูดว ยตนเอง หากพจิ ารณาถึงระดบั การศึกษาของผูสงู วัย พบวา สวนใหญจบการศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา คดิ เปนรอ ยละ 46 และระดับมัธยมศึกษา คิดเปนรอยละ 16 ซึ่งหากพัฒนาคูมือภาษาอังกฤษ ควรพิจารณา เนอื้ หาใหเ หมาะกบั พน้ื ฐานการศกึ ษาของผสู งู วยั ผสู งู วยั ระบวุ า ไมเ คยเรยี นภาษาองั กฤษดว ย ตนเองมากอ น คดิ เปน รอ ยละ 64 ซงึ่ ถอื วา เปน จาํ นวนคอ นขา งเยอะ เปน ผลมาจากขอ จาํ กดั ของโอกาสในการศกึ ษา ผสู งู วยั รอ ยละ 48 ระบวุ า มที กั ษะภาษาองั กฤษนอ ยทส่ี ดุ และรอ ยละ 22 มีทกั ษะระดบั ปานกลาง และรอ ยละ 20 มที กั ษะระดับนอ ย แสดงใหเห็นวา ผูส งู วัยยงั ขาด ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ (การพูดและการฟง) สาํ หรบั ความคดิ เห็นตอความเพยี งพอ ของทกั ษะภาษาอังกฤษท่มี ตี อการส่ือสาร ผูส งู วัย รอ ยละ 78 คดิ วา ตนเองยังมไี มเ พียงพอ รอ ยละ 96 คดิ วา การสอ่ื สารภาษาอังกฤษมีความจาํ เปน จากผลการสํารวจเก่ียวกับแหลง เรยี นรเู พ่มิ เติมในการสือ่ สารภาษาองั กฤษของผสู งู วยั รอ ยละ 38 ระบุวาใชวิธกี ารสอบถาม ผูรูและผเู ช่ียวชาญ รอยละ 28 ใชวิธกี ารศึกษาดวยตนเองผา นตาํ รา รอยละ 18 ศกึ ษาดวย ตนเอง และลําดับสดุ ทา ย รอ ยละ 16 ระบวุ า ศึกษาดว ยตนเองผานส่ืออิเล็กทรอนิกส เชน ซีดี และ แอปพลเิ คชน่ั สาํ หรับความสนใจในการศึกษาเพ่ิมเตมิ ผสู งู วยั รอยละ 64 ระบวุ า มคี วามสนใจในการศกึ ษาภาษาองั กฤษเพม่ิ เตมิ ในขณะทร่ี อ ยละ 36 ระบวุ า ไมม คี วามสนใจ ในสวนของรูปแบบคูมือภาษาอังกฤษในผูส งู วัยในศตวรรษท่ี 21 ผูสูงวัย รอยละ 44 ระบุ ตอ งการคูม ือทีเ่ ปนรปู เลม รอยละ 38 ตองการในรปู แบบวิดโี อ เทปบันทกึ เสยี ง และรอยละ 18 ตอ งการในรปู แบบในแอปพลิเคชนั่ ดา นความถใ่ี นความตองการการศกึ ษาดว ยตนเองของ 105
วารสารฟา เหนือ ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย ผูสูงวัย พบวา รอยละ 50 มคี วามตองการศกึ ษาดวยตนเอง เปนเวลา 1 ช่วั โมงตอ สัปดาห รอ ยละ 34 พบวา มคี วามตองการนอยกวา 30 นาทีตอ สัปดาห, รอยละ 6 พบวา มคี วาม ตองการมากกวา 2 ชว่ั โมงขน้ึ ไป และรอยละ 10 มีความตองการ 2 ช่ัวโมงตอ สัปดาห ผสู งู วัย รอยละ 54 มปี ญ หาดา นสายตา รอยละ 18 มีปญ หาดา นการฟง รอ ยละ 14 มปี ญหาดาน สุขภาพและโรคประจาํ ตวั รอ ยละ 8 ระบวุ า ไมม ปี ญหาใดๆ และลําดับสดุ ทา ย รอ ยละ 6 ระบุวา ตองดแู ลบุตรหลาน ตามลําดบั ในสว นของความตอ งการเนอื้ หาในคมู อื การสอ่ื สารภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั เรยี ง ลาํ ดับจากมากไปนอ ย 1.) การทักทาย (Greeting) (รอยละ 70) 2.) คาํ ศัพทเกยี่ วกบั อาหาร และการกิน (Food and Eating) (รอยละ 52) 3.) การบอกเวลา (Timing) (รอยละ 38) 4.) คาํ ศัพทเก่ียวกับการไปพบแพทย (Medical Term) (รอยละ 36) 5.) การบอกทิศทาง (Direction) (รอยละ 30) 6.) คาํ ศพั ทเ ก่ยี วกบั ผลไม (Vegetable and fruits) (รอยละ 28) และ 7.) คาํ ศัพทเ กย่ี วกบั การรบั โทรศพั ท Telephoning Expression ภาพที่ 1 ความตองการดานเนือ้ หาในคมู อื ภาษาอังกฤษเพอื่ การสื่อสารสาํ หรบั ผสู ูงวยั ในศตวรรษที่ 21 สําหรับความคิดเห็นของผูสูงวัยตอประโยชนของการพัฒนาคูมือการส่ือสารภาษา องั กฤษสําหรับผสู ูงวัยในศตวรรษท่ี 21 รอยละ 32 คดิ วา มปี ระโยชนระดับมากที่สดุ รอ ยละ 28 106
วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย คดิ วา มีประโยชนร ะดับปานกลาง รอ ยละ 20 มีประโยชนร ะดับมาก รอยละ 12 มีประโยชน ในระดบั นอ ย, และรอ ยละ 8 เหน็ วา มปี ระโยชนในระดบั นอยท่ีสดุ ภาพท่ี 2 ความคิดเห็นตอประโยชนของการคูมอื การสอ่ื สารภาษาองั กฤษสาํ หรับผสู งู วยั สําหรับขอเสนอแนะท่ีประชากรตัวอยางใหขอเสนอแนะ มีดังนี้ 1.) ถาจัดทําเปน เอกสารควรทาํ ตวั อกั ษรขนาดใหญ อา นงา ย 2.) ถา อยใู นรปู แบบแอปพลเิ คชน่ั กจ็ ะดี 3.) ควร จะมีคูมือสําหรับผูสูงวัยท่ีสามารถใชไดกับการส่ือสารในชีวิตประจําวันและสามารถสื่อสาร กบั ชาวตา งชาติได 4.) ควรมสี ือ่ ที่เขาใจและจําไดง า ย และ 5.) ขอแบบทผ่ี ูสงู วัยเขาใจไดง าย อยากใหคูม อื ประกอบภาพและเสียงดว ย อภปิ รายผลและสรปุ ผล จากการศกึ ษาความตอ งการคมู อื การสอ่ื สารภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษ ที่ 21 ในเขตอําเภอเมอื ง จังหวัดเชียงราย พิจารณาจากชว งอายแุ ลว คมู อื การพฒั นาภาษา อังกฤษสําหรบั ผสู ูงวยั ในศตวรรษที่ 21 คืออายรุ ะหวา ง 60-65 ป ซึง่ เปน วยั พรอมที่จะเรียนรู ดว ยตนเอง สอดคลอ งกับอาชัญญา (2011), ไพบรู ณ (2557) และฐิตมิ า (2560) และหาก พัฒนาคูมือภาษาอังกฤษ ควรพิจารณาเนอื้ หาใหเ หมาะกบั พืน้ ฐานการศกึ ษาของผสู งู วยั ใน ระดับประถมศึกษา เนื่องจาก ผูสูงวัยระบุวาไมเคยเรียนภาษาอังกฤษดวยตนเองมากอน เปน ผลมาจากขอ จาํ กดั ของโอกาสในการศึกษาในอดตี สอดคลองกบั ไพบูรณ (2557) ทําให 107
วารสารฟา เหนือ ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย ผสู งู วยั ยงั ขาดทกั ษะการสอ่ื สารภาษาองั กฤษ (การพดู และการฟง ) โดยผสู งู วยั คดิ วา การสอื่ สาร ภาษาอังกฤษมีความจําเปนในการดําเนินชีวิต สวนใหญแลวผูสูงอายุเลือกใชวิธีการศึกษา ดว ยตนเองผานตาํ รา และมคี วามสนใจในการศึกษาภาษาอังกฤษเพ่ิมเตมิ โดยตอ งการคูม ือ ทเ่ี ปน รปู เลม ทเ่ี หมาะสาํ หรบั การเรยี นรเู ปน เวลา 1 ชวั่ โมงตอ สปั ดาห, เนอ่ื งจากผสู งู วยั สว นใหญ มปี ญหาดา นสายตา ในการทําคูมือฯ ควรใชตัวหนงั สอื ทมี่ ขี นาดใหญ อานงา ย ที่มีเน้อื หาเนน 1.) การทักทาย 2.) คําศัพทเ กี่ยวกบั อาหารและการกนิ 3.) การบอกเวลา 4.) คาํ ศัพทเ ก่ียวกับ การไปพบแพทย 5.) การบอกทิศทาง 6.) คาํ ศพั ทเกย่ี วกับผลไม และ 7.) คําศัพทเก่ียวกบั การรับโทรศัพท ซ่ึงมีประโยชนในการพัฒนาศักยภาพของผูสูงวัยในการเรียนรูตลอดชีวิต สอดคลอ งกบั ผลวจิ ยั ของสชุ าดา (2017) ทพ่ี บวา เนอื้ หาการเรยี นรู เปน สาระและกระบวนการ ที่เปน สอ่ื ใหเกิดการเรยี นรูของผสู ูงวัย จากผลการสํารวจและวิจัย สามารถนําผลการศึกษาเปนฐานขอมูลและนําไป พัฒนาการจัดทําคูมือภาษาอังกฤษใหเหมาะสมกับผูสูงวัย โดยพิจารณาจากความตองการ และการเล็งเห็นถึงผลประโยชนท่ีผูสูงวัยท่ีจะไดรับ นําผลการวิจัยในสวนของรูปแบบคูมือ มาออกแบบคมู อื ภาษาองั กฤษซง่ึ จากผลจะเหน็ วา ผสู งู วยั ยงั คงมคี วามตอ งการคมู อื ในรปู แบบ ทเี่ ปน รปู เลม ซง่ึ เหมาะสาํ หรบั การใชง านโดยอาจพฒั นาคมู อื ใหม รี ปู เลม เหมาะสาํ หรบั การอา น สาํ หรบั ผทู ม่ี ีปญ หาทางดา นสายตา โดยใหใ ชต วั หนังสือขนาดใหญ จากผลจะเหน็ วาผูสงู วยั ตอ งการเรียนรคู าํ ศพั ทเ กีย่ วกบั การทักทาย คําศพั ทเ ก่ยี วกบั อาหารการกนิ คําศพั ทเกยี่ วกบั การบอกเวลา คําศัพทเกี่ยวกับการไปพบแพทยและคําศัพทเก่ียวกับการบอกทิศทาง โดย สามารถนาํ ผลเหลา นไี้ ปใสใ นคมู อื ได โดยการพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั จะเปน ประโยชนตอ การพัฒนาศักยภาพของผูสูงวัย เปน การสนับสนุนการเรยี นรตู ลอดชวี ิต (long life learning) ได สําหรับขอเสนอแนะในการทํางานวิจัยคร้ังตอไปควรมีการศึกษาและจัดทําคูมือใน ภาษาอ่นื ๆ เชน ภาษาญปี่ ุน ภาษาจีน ภาษาเกาหลี เปนตน และควรมกี ารขยายพนื้ ท่ีใน การทาํ วจิ ยั ในเขตอาํ เภออนื่ ๆ และเปลย่ี นกลมุ ประชากรตวั อยา งเปน วนั กอ นการเกษยี ณอายุ 108
วารสารฟา เหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงราย เอกสารอา งองิ กรมกจิ การผสู ูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความม่ันคงของมนุษย. (2561). มาตรการขบั เคล่ือน ระเบียบวาระแหง ชาติ เรอ่ื ง สังคมผูส ูงอาย.ุ กรุงเทพฯ : อมรินทรพ รนิ้ ติ้งแอนดพ บั ลิชช่ิง. กิจปพน ศรธี านี ศศิธร กนั หาจันทร วรณุ ยภุ า หาสโี น และโยธะกา เย็นวฒั นา. (2563). ปจ จยั ทมี่ คี วามสมั พนั ธต อ ความตอ งการเรยี นรตู ลอดชวี ติ ของผสู งู อายุ ในตาํ บล แวงนาง อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม วารสารราชพฤกษ ปท่ี 18 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2563) หนา 1-8. เกรียงศักด์ิ เจริญวงศศักด.์ิ (2551). การศึกษาเพือ่ ผูสงู อายุ. หนังสือพมิ พบ างกอกทูเดย. 18 กรกฎาคม 2551. เครือวัลล เผาผึ้ง. (2548). การพัฒนาคูมือการจัดการจัดกิจกรรมสงเสริมการอานคิด วิเคราะหและเขียนส่ือสําหรับครูภาษาไทย. วิทยานิพนธหลักสูตรปริญญาศึกษา ศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการนิเทศ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. ฐติ ิกาญจน อัศตรกุล. (2562). แบบแผนและปจจัยกําหนดการใชเวลาในการเรยี นรูข อง ผูสูงอายุไทย. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัย ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ : ปท ี 14 ฉบบั ที่ 1 เดอื นมกราคม – มถิ นุ ายน 2562. หนา 89-104. ฐติ ิมา ดวงวนั ทอง. (2560). การเรียนรสู าํ หรบั ผสู ูงอายุ (โรงเรียนผูส ูงอายุ) ปริญญานพิ นธ ทางสถาปต ยกรรม. สาขาสถาปตยกรรมศาสตร. มหาวทิ ยาลัยศรีปทมุ . ธีรศักด์ิ สรอยคีรี และ อัจฉรา ปุราคม (2019). การพัฒนารูปแบบนวัตกรรมบทเรียน ออนไลน เพ่ือการเรยี นรตู ลอดชวี ิตของผสู ูงอายุ (Development of Innova- tion Digital Learning with lifelong learning Model for the Elderly) Verician E-Journal, Silpakorn University Vol. 12 No. 4 (2019) : Humani- ties, Social Sciences, and Arts ( July – August 2019 ) หนา 414-430. 109
วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย ปย ะ ศกั ดเิ์ จรญิ (2558). องคป ระกอบสาํ คญั ทช่ี ว ยสง เสรมิ การเรยี นรตู ลอดชวี ติ . วารสาร ครศุ าสตร. ปท่ี 43 ฉบบั ที่ 2 ประจาํ เดือนเมษายน-มิถนุ ายน 2558. พลอยพรรณ เช่ียวชาญ. (2559). บทบาทของผูสูงอายุในการพัฒนาชุมชน. ปริญญา รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลรตั นโกสินทร. พัชรินทร จันทรแจง. (2559). การพัฒนาคูมือการเบิกจายในการจัดทําโครงการบริการ วิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. มหาวิทยยาลัยราชภัฏนครปฐม. โครงการวจิ ัยสถาบนั บรู ณาการงานวจิ ัยกับงานประจาํ R to R. ไพบูลย พงษแ สงพนั ธ ทนงศักดิ์ ยิ่งรตั นสขุ สวุ ชิ ัย โกศัยยะวัฒน และอนามัย เทศกะทกึ . (2557). การพฒั นาการเรยี นรแู ละอาชพี ของผสู งู อายุ : การวเิ คราะหส ถานการณ. มหาวิทยาลัยบรู พา. คณะสาธารณสุขศาสตร ลดั ดาวรรณ นวลสงค. (2558). การพฒั นาคมู อื ปฏบิ ตั กิ ารทาํ แผนทที่ นุ มนษุ ยเ พอื่ สขุ ภาวะ ของเครอื ขา ยชมุ ชนแบบมสี ว นรว ม กรณศี กึ ษา เครอื ขา ยสจั จะลดรายจา ยวนั ละ 1 บาท เพอ่ื ทาํ สวสั ดกิ ารเพอ่ื ประชาชน จงั หวดั สงขลา. วทิ ยานพิ นธ. วทิ ยาศาสตร มหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร. สหสั ทศั น ศ., สหสั ทศั น ช., วิมกุ ตานนท ธ., หารฤทธิ์ ., & ทรัพยส มบัติ น. (2017). การ พัฒนาคูมือสนทนาภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารกับนักทองเท่ียวตางชาติสําหรับ วสิ าหกจิ ทอผา ไหมแพรวาบา นโพน อาํ เภอคาํ มว ง จงั หวดั กาฬสนิ ธ.ุ วารสารการบรหิ าร การปกครอง มหาวทิ ยาลัยกาฬสนิ . ปที่ 6. ฉบับท่ี 2. กนั ยายน 2507. หนา 105-119. สาํ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ แหง ชาต.ิ (2557). แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม แหงชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560- 2564). สืบคนจาก https://www.nesdc. go.th/ewt_dl_link.php?nid=6422 วันทสี่ บื คน 12 พฤษภาคม 2563. 110
วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย สพุ รรณา เพ็ชรรักษา และสมเกียรติ กอบวั แกว . (2558). 21st Century ทกั ษะการเรียน รใู นศตวรรษใหม. (ออนไลน). แหลง ท่ีมา http://supannapetraksa.blogspot. com/ สุชาดา แมนพยัค. (2017). รูปแบบการเรียนรูของผูสูงอายุเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต. ปท่ี 8 ฉบับท่ี ฉบับพิเศษ (2017) : วารสารมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อบุ ลราชธานี. หนา 141-155. สธุ ีรา บัวทอง, สทุ ธิพงศ สภาพอตั ถ และศิริณา จนิ ตจรสั (2558). ผูสูงอายุกับเหตุผลใน การเรียนรู วิธีการเรียนรู และสิ่งท่ีตองการเรียนรู. วารสารศึกษาศาสตร. ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1,2 : June 2014 - March 2015 (มิถนุ ายน 2557 - มีนาคม 2558). หนา 6-17. สุรัสวดี จินดาเนตร. (2553). การพฒั นาคมู ือการสอนโครงงานคณติ ศาสตรสําหรับครู ใน ชว งชั้นท่ี 4 โรงเรียนดาราวิทยาลยั จังหวดั เชยี งใหม . มหาวิทยาลัยเชียงใหม, : ม.ป.ท. สวุ ธิ ดิ า จรงุ เกยี รตกิ ลุ . (2558). ปรชั ญาและมโนทศั นส งั คมแหง การเรยี นรู = Philosophy and Concepts of Learning Society. กรงุ เทพมหานคร : ศนู ยต าํ ราและเอกสาร ทางวิชาการ คณะครศุ าสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. วลยั วลั ล พมุ พงึ่ พทุ ธ. (2554). การพฒั นาคมู ือการจัดกจิ กรรมพัฒนาผูเรยี นตามหลกั สูตร ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน โรงเรยี นสาธติ แหง มหา ลยั รงั สติ . สารนพิ นธ. ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ . มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรว โิ รฒ. อาชญั ญา รัตนอบุ ล, วีระเทพ ปทมุ เจรญิ วฒั นา, วรรัตน ปทมุ เจรญิ วฒั นา, ปาน กมิ ป, และ ระวี สจั จโสพณ (2554). รายงานฉบบั สมบรู ณก ารศกึ ษาและการเรยี นรตู ลอดชวี ติ ของผสู งู อายไุ ทย. มลู นธิ สิ ถาบนั วจิ ยั และพฒั นาผสู งู อายไุ ทย (มส.ผส.) สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข (สวรส). คณะครุศาสตร จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั . กรุงเทพ. 111
วารสารฟาเหนือ ปท่ี 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชยี งราย Havighurst, Robert J. (Ed.). Society and Education : A Book of Readings. New York : Allyn & Bacon, 1967. 112
วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย เลาเร่อื งในเรอ่ื งเลา : กลวธิ กี ารนําเสนอความยอ นแยงท่นี ําไปสู ความขดั แยง ของสังคมใน “คืนปเ สอื และเรื่องเลาของสัตวอ นื่ ๆ” Frame Narrative : Strategies for Presenting the Controversy that Lead to Social Conflicts in “That Night of the Year of the Tiger and Other Animal Stories” วรโชติ ตะนา*1 บุณยเสนอ ตรวี ิเศษ2 Worachot Tana1 Bunsanoe Triwiset2 บทคดั ยอ คืนปเสือและเร่ืองเลาของสัตวอื่นๆ เปนผลงานรวมเร่ืองสั้นรางวัลวรรณกรรม สรา งสรรคยอดเย่ยี มแหงอาเซียน (S.E.A. Write Award) ประจาํ ป 2563 ของ จเดจ็ กาํ จรเดช นกั เขียนคณุ ภาพท่ไี ดร บั การยอมรบั อยา งสงู จากผูอ าน และวงการนักเขยี น จเดจ็ กาํ จรเดช เคยท่ีไดร บั รางวลั นี้มาแลว ในป 2554 จากเรื่อง แดดเชา รอ นเกนิ กวา จะนัง่ จิบกาแฟ จาก การวเิ คราะห คนื ปเ สอื และเรอ่ื งเลา ของสตั วอ นื่ ๆ พบลกั ษณะเดน ทช่ี ดั เจน คอื เปน รวมเรอื่ งสน้ั ในแนวสจั นยิ มมหัศจรรย ใชกลวิธีการเร่ืองเลาที่สรางความยอ นแยง ในตวั เอง การเลา เร่ือง แบบเรอื่ งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา การเลา เรอ่ื งในลกั ษณะดงั กลา ว สะทอ นใหเ หน็ สงั คมทม่ี คี วามซบั ซอ น ยอกยอ น คลมุ เครอื จนทาํ ใหผ คู นแยกไมอ อกวา อนั ใดคอื ความจรงิ อนั ใดคอื ความเสมอื นจรงิ คําสําคญั : คืนปเ สือและเรอ่ื งเลา ของสตั วอน่ื ๆ, จเด็จ กาํ จรเดช, เร่อื งเลา ในเรือ่ งเลา * Corresponding author, e-mail: [email protected], [email protected] 1 นกั ศกึ ษาปริญญาตรี คณะครุศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั บุรรี ัมย 1 Ungraduate student.,Faculty of Education ,Buriram Rajabhat University 2 รองศาสตราจารย ดร., คณะมนษุ ยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรรี ัมย 2 Associate Professror Dr.,Faculty of Humanities and Social Science ,Buriram Rajabhat University Received: Feb15, 2021 / Revised: March9, 2021 / Accepted: May3, 2021 113
วารสารฟาเหนือ ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย Abstract That Night of the Year of the Tiger and Other Animal Stories is a collection of short stories of Southeast Asian Writers Award (S.E.A. Write Award) for the year 2020 by Jadet Kamjorndet, a quality writer who is highly regarded by readers and the writers’ circles. Jadet Kamjorndet had received this award in 2011 for the story of “The Morning Sun is Too Hot to Sit Sipping Coffee”. From analysis, the Night of the Tiger and other Animal Stories has a distinct feature, which is a collection of short stories in a magical realism. The strategies of the storytelling was creating self-contradiction and frame narrative. Such a way of storytelling reflected a complex, controversy, and obscure society that made people unidentifiable which one is truth, which one is virtual. Keywords : That Night of the Year of the Tiger and Tale of Other Animals Jadet Kamjorndet Frame Narrative. 114
วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย บทนาํ เสน สมมตเิ วลาทสี่ รางขน้ึ เพือ่ กา วผา นไปสสู ่ิงใหม เชน ปใ หมเสมือนเปนเสนสมมติ แหง การเรม่ิ ตนใหม หลายคนอาจใชเปนโอกาสในการรเิ ริ่มสรา งสรรคส่งิ ตางๆ ใหเกิดข้ึน นาสนใจวา “คนื ปเ สือและเรอ่ื งเลาของสัตวอื่นๆ” เปนอกี หนงึ่ ปรากฏการณของการริเริ่ม สรา งเรอื่ งสน้ั สมยั ใหมใ นหลายๆ ดา น ผา นปลายปากกาของ จเดจ็ กาํ จรเดช ซงึ่ ไดร บั รางวลั วรรณกรรมสรา งสรรคยอดเยีย่ มแหงอาเซียน (S.E.A. Write Award) ถึง 2 คร้ัง จาก แดด เชารอ นเกนิ กวา จะนั่งจิบกาแฟ ในป 2554 และป 2563 คอื เรื่องที่จะกลาวถงึ นี้ ความโดด เดน ของเรอ่ื งนค้ี อื การสะทอ นความขดั แยง ทแี่ ผซ า นในสงั คม ประกอบกบั กลวธิ กี ารเลา เรอื่ ง ทซี่ บั ซอ นซอ นนยั บางอยา งไว สอดคลอ งกบั คาํ ประกาศรางวลั วรรณกรรมสรา งสรรคย อดเยยี่ ม แหงอาเซียน ป 2563 ท่ีวา “จเดจ็ กําจรเดช ทา ทายขนบการเขียนเรอื่ งสัน้ ท้ังดา นการเลา เร่ือง การผูกโครงเรื่อง…นําเสนอแนวคิดวาเร่ืองเลามีบทบาทสําคัญในการประกอบสราง ความจรงิ ของปจ เจกบคุ คล เลา เรอ่ื งโลกภายในขนานไปกบั โลกภายนอกเพอ่ื สอื่ นา้ํ เสยี งเสยี ดเยย ยอ นแยง และวพิ ากษส งั คม” นอกจากนี้ ผแู ตง สรา งความยว่ั ยจุ ากการสรา งความขดั แยง ตงั้ แต ระดบั เลก็ ๆ จนไปถึงความขัดแยง ของสังคมทมี่ ีวงกวา งมากข้นึ เลือกท่ีจะตีแผม ุมมองใหมๆ ผานกลวิธีการเลาเร่ืองท่ีเปนเร่ืองเลา ผสมจินตนาการ ภายใตความยอนแยงแหงสรรพส่ิง เพอื่ ใหผ อู านเห็นภาพมากขึน้ จะขอกลาวแยกเปนประเดน็ ตางๆ ดงั ตอ ไปนี้ เลาเรอ่ื งในเรอ่ื งเลา : จุดดอ ยหรือเสนห ในการเลา เร่ืองแบบซอ นเรือ่ งเลา ? การเดินทางของนักเดนิ ทางในแตละครงั้ หากไมรเู สนทาง นักเดินทางมกั จะศึกษา เสน ทางกอ น หรอื หากไมไ ดศ กึ ษาเสน ทาง การเดนิ ทางครง้ั นนั้ คงเปน ไปอยา งระมดั ระวงั การ เดนิ ทางในทน่ี ี้ ไมไ ดห มายถงึ การเดนิ ทางรปู แบบการคมนาคมเทา นนั้ ยงั รวมถงึ การเดนิ ทางใน รูปแบบของการอานดวย เพราะนักเดินทางหรือผูอานสามารถทําความเขาใจกับเสนทางท่ี เลือกอานในงานเขียนประเภทตางๆ ซึ่งตองติดตามจนถึงเปาหมายและเก็บเกี่ยว ประสบการณร ะหวา งทาง มเิ ชน นนั้ อาจหลงทางหรอื ตกหลมุ พรางทางภาษาได รวมเรอื่ งสน้ั คนื ปเ สอื และเรอื่ งเลา ของสตั วอ นื่ ๆ เปน เรอื่ งทซี่ บั ซอ นดว ยเรอ่ื งเลา ทาํ ใหอ า นยากและรสู กึ สบั สน รื่นฤทัย สจั จพนั ธุ (2563, ออนไลน) ไดแ สดงทรรศนะใน allmagazine online ไวเ ชน กนั วา 115
วารสารฟาเหนือ ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชยี งราย “เสยี งบน เก่ยี วกบั วรรณกรรมซไี รตแ ทบทุกป คือ อานยาก อา น ไมร เู รอื่ ง อา นแลว เหนอื่ ย ฯลฯ รวมเรอื่ งสนั้ คนื ปเ สอื และเรอื่ งเลา ของสตั ว อนื่ ๆ…กส็ รา งความรสู กึ ทาํ นองเดยี วกนั งานเขยี นในลกั ษณะตา นโครงเรอ่ื ง (anti-plot) มกั ทาํ ใหค นอา นจบั ตน ชนปลายไมถ กู …เรอ่ื งสน้ั ในหนงั สอื เลม นี้อานรอบเดยี วเอาไมอ ยเู พราะหลงกบั เรอ่ื งเลาทแี่ ทรกมาไมขาดระยะ” อยา งไรกต็ าม หากทราบถงึ แนวทางหรอื กลวธิ กี ารเขยี น อาจเปน เหมอื นแผนทน่ี าํ ทาง ไมใ หผูอา นหลงทางและเปนการศกึ ษารายละเอียดระหวางทางไปในตวั จงึ ไดเ ลือกกลาวใน เร่อื งของกลวธิ เี ปนลาํ ดับแรกในบทความน้ี ลกั ษณะเดน ของรวมเรอื่ งสน้ั เรอื่ งนี้ คอื เปน การเลา เรอ่ื งทซ่ี อ นเรอ่ื งเลา และมกี ารซอ น เร่ืองเลาอีกชัน้ หน่ึง การใชเ ร่ืองเลา ซอนเขา ไป เชน การนาํ ความฝน มาประกอบตวั บทหลัก ในลักษณะของการเลานิทาน, การซอนเร่ืองสั้นเลาขนานไปกับตัวบทหลักท่ีบอกข้ันตอน การเขียนเรื่องสั้น, การสรางความทับซอนระหวางบทภาพยนตรกับตัวบทหลัก, การนํา นวนิยายมาซอนกับเรื่องส้ันแลวประกอบเขากับตัวบทหลัก เปนตน ทําใหการดําเนินเร่ือง เปนแบบตัดสลับเหตุการณ มักจะทําใหตามผูแตงไมทันวาเหตุการณในตอนดังกลาวอยูใน สว นทีเ่ ปน ตวั บทหลกั หรอื วาเรอ่ื งเลา ทีแ่ ทรกเขา มา เร่อื งท่ีซับซอนนาํ ไปสคู วามสับสนจึงไม คอ ยสง ผลดีตอ นกั อานชวั่ โมงบนิ นอ ยเสยี เทาไร ทวา มองในมมุ มองกลบั กนั กลายเปน เสนห อยา งหน่งึ ของรวมเร่ืองส้ันเลม น้ที ีส่ ามารถซอนเร่อื งเลาไวใ นเรือ่ งเลา ไดอยางแยบยล ดังทม่ี ี นักวิชาการไดใ หค วามหมายของการเลา เรอ่ื งแบบเรือ่ งเลา ซอนเรอื่ งเลาไวดงั นี้ การเลา เรื่องแบบเรือ่ งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา (metafiction) ร่ืนฤทยั สัจจพนั ธุ (2549 : น. 72) ไดใ หค วามหมายวา เปน เรอ่ื งแตง ทมี่ ีลกั ษณะ การเลา เรอื่ งซอ นกนั เนอื้ หาของเรอ่ื งกค็ อื กระบวนการแตง นนั้ เอง หรอื อาจ เปรยี บเทยี บกบั ภาพยนตรไ ดว า เปน การแสดง “เบอื้ งหลงั การถา ยทาํ ” โดย ปกตแิ ลว เรอื่ งเลา บนั เทงิ คดมี กั จะพยายามทาํ ใหผ อู า นเชอ่ื วา เรอื่ งทเ่ี ลา นนั้ เกิดข้ึนจริงๆ แตเรื่องเลาในลักษณะนี้จะพยายามใหผูอานตระหนักอยู ตลอดเวลาวา กาํ ลงั อา นเรื่องที่ผแู ตง “ผกู ” ข้นึ หาใชเ ร่ืองจริงไม จดุ เดน 116
วารสารฟาเหนอื ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงราย ของเรอื่ งเลา ทใ่ี ชก ลวธิ กี ารเลา เรอ่ื งแบบนี้ คอื กระตนุ ใหผ อู า นสาํ นกึ ในพลงั อํานาจของความจริงและความลวง ชูศักด์ิ ภัทรกุลวณชิ ย (2558 : น. 231) ไดใหความหมายไวเ ชน กนั วา กลวธิ กี ารเลา เรอื่ งแบบเรอ่ื งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา เปน กระบวนการ “การ เปดเผยกลวิธีการเลาเร่ือง” (baring the devices) น่ันคือแทนท่ีจะ พยายามแสรง ทําวา งานเขยี นทีผ่ อู านอานอยูเปน ชวี ิตจรงิ นักเขียนจะเปด เผยใหผอู า นรูว าส่ิงที่เขาอา นอยคู ือเร่อื งเลา การเปด เผยกลวธิ ใี นรวมเรอื่ งสนั้ เลม น้ี ปรากฏใหเ หน็ อยา งชดั เจนถงึ 3 เรอ่ื งดว ยกนั ไดแ ก สปั เหรอ รนุ สอง : เคลด็ ลบั ทาํ เรอ่ื งบา นๆ ใหฟ รงุ ฟรงิ้ ฟลามงิ โก มกี ารซอ นเรอื่ งสนั้ เลา ขนาน ไปกบั ตวั บทหลกั ทบี่ อกขนั้ ตอนการเขยี นเรอ่ื งสนั้ บรู งแมน มกี ารสรา งความทบั ซอ นระหวา ง บทภาพยนตรก บั ตวั บทหลกั เปน หมาปา มกี ารนาํ นวนยิ ายมาซอ นกบั เรอ่ื งสนั้ แลว ประกอบ เขา กบั ตวั บทหลัก ดงั น้ี สปั เหรอ รนุ สอง : เคลด็ ลบั ทาํ เรอื่ งบา นๆ ใหฟ รงุ ฟรง้ิ ฟลามงิ โก การซอ นเรอื่ งสน้ั เลา ขนานไปกับตัวบทหลักที่บอกขั้นตอนการเขียนเร่ืองส้ัน ซึ่งเปดเผยวิธีการเขียนเร่ืองสั้นไว ดังน้ี 1. เปดเรือ่ งใหใ หญ 2. แอบลาํ้ ยุคลงไปบาง 3. ชอ่ื และบุคลกิ แปลกแตอยา ประหลาด 4. เร่อื งเหลอื เชื่อใหผา นปากบุรษุ ท่ีสาม 5. แฟนตาซีทีไ่ มใ ชเร่อื งผี 6. เรือ่ งเกาถูกคนพบดวย เทคโนโลยี 7. หาเพลงและภาพประกอบสรา งโทนและกาํ หนดจงั หวะการเดินเร่อื ง 8. พา เร่ืองทงั้ หมดใสจ รวดจุดระเบิดสง ไปดวงจันทร 9. เกบ็ ทุกอยางกลบั มาใหห มด 10. จบแบบ ตะโกนหรอื แบบกระซบิ ดี 10.1 แอนต้ีไคลแมกซส กั นดิ และ10.1.1 เร่อื งจรงิ ไมตอ งแตงเตมิ จะเหน็ ไดว า ผแู ตง ไมไ ดแ คข ยบิ ตาบอกวา นเ่ี ปน เรอ่ื งแตง ไมใ ชเ รอื่ งจรงิ แตบ อกเราตรงๆ เปด เผย เบื้องหลังและใหวิธีอยางละเอียดในการเขียนเร่ืองส้ันประกอบกับการสรางเร่ืองส้ันยกให ดเู ปน ตวั อยา ง อีกท้ังยังเสนอมมุ มองใหเราไดข บคิดไปดวยวาจะแตงเร่ืองอยางไรตอไป เชน “ถาเราจะเขียนเรื่องน้ี ลองเปล่ยี นจากฝายถกู กระทําเปน ฝา ยกระทําบาง แตจะใชว ธิ ีไหน” (น. 237) จึงถือไดวาเปนมิติการเปดเผยกลวิธีอีกระดับในการเขียนเรื่องสั้น เพราะแนวการ เขยี นแบบเรอื่ งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา (metafiction) ในเรอ่ื งสน้ั รว มสมยั หลายๆ เรอื่ ง จะใชเ สยี ง 117
วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย ของผเู ลา เรอื่ ง (narrator) แอบกระซบิ บอกผอู า นวา นเ่ี ปน เรอ่ื งทแ่ี ตง ขนึ้ เพอ่ื ไมใ หผ อู า นเชอื่ วา เปน เรอื่ งจรงิ และไมใ หเรารูส กึ รวมมากเกนิ ไป เพราะสารัตถะของเร่ืองที่แตงโดยใชกลวธิ ี การแตง แบบนี้ จะอยทู ผี่ เู ลาเรอ่ื ง (narrator) เสยี มากกวา จากเรื่องท่ียกตวั อยางไปขางตน สารตั ถะของเรอ่ื งจงึ อยทู ขี่ น้ั ตอนการเขยี นเรอื่ งสน้ั คอื วตั ถดุ บิ ตน เรอื่ งอาจมาจากเรอ่ื งจรงิ ท่ี เกิดข้ึนในสังคม แตดวยความเปนบันเทิงคดี จึงไดมีการปรุงแตงเพื่อใหเกิดรสในการอาน เชน เร่ืองเหลือเช่ือใหผานปากบุรุษที่สาม เพื่อใหนํ้าหนักของความสมจริงยังถูกถวงเอาไว และนาํ้ หนกั ของคา ความจรงิ ทีเ่ ปน วัตถุดบิ ลดลงไป เปนตน บูรงแมน เปนอกี ตวั อยางหน่ึงท่เี สมอื นการจําลองภาพยนตรม าไวบนหนา กระดาษ เรือ่ งส้นั จะพดู ถึงการใหค ุณคาเครอื่ งรางของขลงั ในประเทศไทย ซึ่งใชภ าพยนตรเปนเครอื่ ง ประกอบสรางความศรัทธามงคลวัตถุ ผูแตงเลือกฉายภาพที่เปนสวนของภาพยนตรกอน แลว จงึ ฉายภาพเบอ้ื งหลงั มกี ารสรา งความทบั ซอ นระหวา งบทภาพยนตรก บั ตวั บทหลกั ดว ย การแบง ไวเปนฉากๆ เห็นไดจาก ฉากที่ 1 พ.ศ.2484 / ขางนอก / ใกลร ุง / (ญีป่ นุ เตรยี มจะ โจมตีฮาวาย แตไมเกย่ี วกันหรอก), ฉากที่ 2 ปจ จุบัน / แผงพระ / ขา งใน / กลางวนั , ฉาก ที่ 8 พ.ศ.2535 / รมิ บึงนาํ้ ครํา / ยงุ บินวอน (กล่ินประชาธิปไตยหอมหวาน กลน่ิ รฐั ประหารโชย แตคงไมเกี่ยวกนั ), ฉากชีวติ ปกติ กลางวนั / บานชา งนก /ขา งใน / ฝนตกหนักมาหลายวนั จนฉ่าํ ชนื้ ไปทั่วคาบสมุทร เปนตน ฉากท่เี ปนสว นของภาพยนตรค ือฉากทมี่ ีลาํ ดบั ที่ การฉาย ภาพเบือ้ งหลังการถายทาํ คอื ฉากชวี ติ ปกติ ความทับซอนระหวางบทภาพยนตรกับตัวบทหลัก คือการใชตัวละครชุดเดียวกัน หมายความวา ตวั ละครนกั แสดงท่ีทําอาชพี อะไร ช่ืออะไร ในภาพยนตร ในตวั บทหลักก็ทาํ อาชพี และชอื่ นนั้ ดว ย จะเหน็ ไดว า เปน การสรา งความซบั ซอ นใหก บั ตวั เรอ่ื งสนั้ ผอู า นสามารถ วพิ ากษว า สว นใดคอื เบอ้ื งหนา และเบอื้ งหลงั เพอื่ ใหเ หน็ ความเปน มายาคตขิ องบนั เทงิ คดมี ากขน้ึ เรอื่ งสน้ั เรอ่ื งบรู งแมน สะทอ นมายาคตขิ องการฉายภาพยนตรไ ดอ ยา งดี คอื เปน การ ประกอบสรา งความศรทั ธาใหก บั เครอ่ื งรางของขลงั ภาพยนตรเ ปน การปฏบิ ตั กิ ารทางสงั คม สามารถสรา งความหมายใหมข นึ้ มาใหแ กส ง่ิ ทนี่ าํ มาเสนอ ทวา มองลกึ เขา ไปถงึ เบอ้ื งหลงั ตาม จุดมุงหมายของแนวการเขียนแบบเรื่องเลาซอนเร่ืองเลา (metafiction) กลับพบวากลุม นายทุนทใ่ี หง บประมาณในการสรา งคอื สมาคมเซยี นพระ เพอื่ ที่จะใหว ัตถมุ งคลเหลานั้นขายดี และสรา งผลประโยชนก าํ ไรใหก บั สมาคม จะเหน็ ไดว า ความจรงิ คอื การกอบโกยผลประโยชน 118
วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย จากศรัทธาของคน ความลวงคือการสรางคุณคาใหกับวัตถุเหลานั้นตามคําอวดอางจากส่ือ ภาพยนตร ดังน้นั จึงเปน การกระตนุ ใหเราเห็นถึงภาพของความจรงิ และความลวงทีเ่ กดิ ขึ้น ภายในสังคม เรือ่ งส้ันที่มคี วามซบั ซอ นมากทสี่ ุดในบรรดาเรือ่ งส้นั 11 เรอ่ื ง คือเร่อื งเปน หมาปา นอกจากจะใชก ลวิธกี ารเลาเรอื่ งแบบซอนเรื่องเลา แลวกซ็ อนเรอื่ งเลา ยังใชมมุ มองการเลา ท่ที าํ ใหเ กดิ ความสบั สนอยางมากไปตลอดทง้ั เรอ่ื ง เชน “อยา งไรผมก็ไมค ดิ จะผา นเมอื งน้นั อีกแลว พักเบรกสักหานาที เรอื่ งกาํ ลงั สนุก แตผมคอแหง แลว อยากสบู บุหรี่สักตัว จากนนั้ กไ็ ปตอ ” (น. 419) จะสงั เกตไดว า คาํ วา ‘ผม’ ทง้ั สองตาํ แหนง เปน ผมคนละคนกนั ผมทหี่ นงึ่ หมายถึงตัวละครมือสงั หาร ผมทีส่ องหมายถงึ ตวั ละครมือปน เปน ตน ความสับสนเพิ่มขึ้น ตามความซับซอนจากการวางโครงเรื่องซอ นกนั ถงึ 3 ช้ัน แตท ง้ั น้ยี ังพอมพี ื้นท่ีไวแ สดงรอย ตอระหวา งตวั บทหลัก เรือ่ งเลาทีเ่ ปนเรอื่ งสั้น และเร่ืองเลา ท่เี ปน นวนิยายอยูบาง เชน “พกั เบรกสกั หานาที เร่ืองกาํ ลังสนุก” (น. 419) “ปง กดปมุ เดนิ เร่ืองตอ” (น. 429) “หยุดเรือ่ ง ในนิยายไวอีกครั้ง” (น. 433) เปนตน เรื่องสั้นเร่ืองเปนหมาปาแมจะสรางความสับสนไวมาก แตก็ทําหนาที่ของการเลา เรื่องแบบซอนเรื่องเลา ดวยการแสดงเบื้องหลังที่ซอนไวอยู เปนการแสดงใหเห็นถึงความ ยอกยอ นภายในวงการวรรณกรรม เกี่ยวกบั แนวการเขยี นในแบบตางๆ ของนักเขียน เชน “ผมรูสกึ วาเขาเปน นกั เขยี นทีย่ ดื ยาดและทา มาก แคจ ะบอกวา ตัวเองหิวกาแฟ หรือเขาจะบอกวาหิวเซ็กซและเบื่อท่ีตองเลนวาวกลาง ทะเลทราย เรอ่ื งแคน เ้ี ขากก็ ลา เขยี นออกมาตรงๆ” (น. 404) “ถงึ ตรงนผ้ี ม สงสยั นดิ เดยี ววา กลอ งเลง็ มนั ตดิ ตง้ั งา ยดายบนปน ทกุ ชนดิ เลยหรอื นกั เขยี น ม่วั เอาอกี แลว ใชไหม” (น. 419) “เรอ่ื งกร็ าวๆ นน้ั มันซอนไปซอนมาจน นา ปวดหวั แถมนกั เขยี นยงั จะทาํ ใหม นั ปวดหวั ไปยงิ่ ขนึ้ เมอ่ื อยากรเู รอื่ งทะเล ทราย” (น.434) ผแู ตง อาจตอ งการใหเ ราตระหนกั วา กาํ ลงั อา นเรอื่ งเรอ่ื งหนง่ึ ทผ่ี แู ตง เขยี นขนึ้ มาดว ย ตนเองและยอกยอ นดว ยการตงั้ แงค าํ ถามดว ยตวั ของผแู ตง เอง อกี ทงั้ เปน การเสยี ดสเี รอ่ื งสน้ั 119
วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงราย หรอื นวนยิ ายในขนบทเ่ี ยน่ิ เยอ มากเกนิ ไป การเขยี นเรอ่ื งของนกั เขยี นทว่ั ไปทโี่ มเมสรา งเรอ่ื ง ขึน้ มาอยา งไมส มเหตุสมผล รวมถึงการเขยี นเรื่องท่ีซบั ซอ นจนนา ปวดหัว หรือในอีกมุมมอง หนง่ึ กแ็ สดงใหเ หน็ วา ทง้ั หมดเปน เรอื่ งทผี่ แู ตง สรา งขนึ้ ตามความคดิ ของผแู ตง เปน เพยี งเรอ่ื ง ทแี่ ตง ขน้ึ มา จะผดิ ไปจากความเปน จรงิ อยา งไรกไ็ ด ขน้ึ อยกู บั ดลุ ยพนิ จิ ของผอู า นในการเลอื ก ตดั สนิ ใจ การเลา เรอื่ งแบบเรอ่ื งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา (metafiction) มกั มนี ยั แฝงเรน ไวอ ยู ตวั บทหลกั จะชใ้ี หเ หน็ ความเปน เรอ่ื งทแ่ี ตง ขน้ึ มา มกี ารเตมิ และเสรมิ ตวั เนอ้ื เรอ่ื งเพอื่ วตั ถปุ ระสงคบ างอยา ง แตม จี ดุ รวมกัน คือ ความจริงกบั ความลวง การใหคา วา เร่อื งนี้ตอ งสมจรงิ กบั ความเปน จริง ทกุ ประการเรมิ่ ไดร บั ความนยิ มลดลงไป เพราะตวั ของวรรณกรรมเองมกี ารหลกี หนกี ารตดั สนิ เชนนั้นอยูในท่ี แตไมไดหมายความวาการแตงเรื่องแนวน้ีตองฟุงเฟอไปดวยความปลอม เพราะวตั ถดุ บิ ทใ่ี ชใ นการปรงุ แตง เรอ่ื งลว นแลว แตค อื ความจรงิ ของสงั คม เพยี งแตเ ปน การให ผูอานตระหนักถึงวานี่เปนเรื่องที่แตงข้ึนผานมุมมองของผูเลาเร่ือง (narrator) และถา สามารถกะเทาะความนยั ของผเู ลา เรอื่ งทอ่ี ยรู ะหวา งบรรทดั ผอู า นเองกจ็ ะไดม มุ มองเพม่ิ ใน อีกหนึ่งมิติ ซ่ึงเปน การคน พบเสนหข องรวมเร่อื งสั้นเรือ่ งน้ีได เลา เรื่องในเรอื่ งเลา : เลา เร่อื งมหศั จรรยใ นเร่อื งเลาความจรงิ แนวการเลาเรอ่ื งท่ีเปน เสนห อ กี มติ ขิ องรวมเร่ืองสน้ั เรอื่ งนี้ คอื จเด็จ กาํ จรเดช ใช การเลาเร่ืองแบบสัจนยิ มมหัศจรรย (magical realism) ทําใหผอู า นสนใจความมหัศจรรย ของเรอื่ งและในขณะเดียวกนั กส็ ามารถบอกเลาความจรงิ บางอยา งไว เมื่อนําเรื่องทีอ่ า นไป เทยี บกบั แนวทางการใหค วามหมายของวรรณกรรมสจั นยิ มมหศั จรรยท ่ี ชศู กั ด์ิ ภทั รกลุ วณชิ ย (2558 : น. 337) กลา ววา หวั ใจสําคญั ของวรรณกรรมสัจนยิ มมหศั จรรย คอื การทีโ่ ลก สองประเภทคอื โลกแหง ความจริง และโลกแหง ความมหัศจรรย ดํารงอยู คูกนั และดําเนินไปภายใตตรรกะชดุ เดยี วกนั 120
วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย พบวา ผแู ตง สามารถทาํ ใหเ หน็ วา ตรรกะของโลกมหศั จรรยแ ละโลกความจรงิ เปน ไป ในชุดเดยี วกันอยางแยกไมออก เชน เรอื่ งอยูขางลา งขวา งไดขวา งเอา ใชความมหัศจรรย คอื ลงิ สามารถพดู ได ใชช วี ติ อยใู นสงั คม นบั ถอื ศาสนาอยา งปรกตอิ ยา งคนปรกตทิ วั่ ไป เหน็ ไดจ าก “จเู ลยี มผี วั ใหมห ลายคนแตล กู ยงั มสี องคน โปรยมาลตี วั ผอมแหง ขนยาวรุงรัง พูดจารูความ แตเรียนหนังสือไมได เรียนแลวปวดหัวจน ออกโรงเรยี น ผใู หญบ านพาไปทาํ หมันเมอื่ ถึงวนั ทมี่ ันมีประจาํ เดือน” (น. 187) “ใครก็พดู วา ผัวคนน้ีของจเู ลยี ขยนั แมเ ปน คนแขกก็เขา ไดกับทกุ คน จเู ลยี ไมคลมุ ผมเพราะเกรงใจคนแถวน้ี วนั พระยงั ไปวัดซ่งึ ยาโกบไมห า ม” (น. 206) “ในโรงพยาบาลมีแตล ิงปวย พอลพูดจรงิ ลิงเต็มไปหมด นอน ปวยเตม็ ทุกเตยี ง” (น. 171) ตวั ละครจูเลียและโปรยมาลเี ปน ลิง แตสามารถใชชีวิตปรกตทิ ุกอยาง เชนเดียวกนั กับคน ทัง้ ไปโรงพยาบาล ไปวดั หรอื แมแตมีผูใหญบานพาไปทําหมัน และอยูรว มกนั ไดก บั ตัวละครทเี่ ปน คนปรกตอิ ยา งยาโกบหรือพอลอยางไมม คี วามรสู ึกแปลกแยก ประแปงไหมคะ เปนอีกหน่ึงตัวอยางท่ีใชความมหัศจรรยคือหุนยนตมีลักษณะ เหมอื นมนษุ ยอ ยา งในปจ จบุ นั และมนษุ ยใ นปจ จบุ นั กลายเปน สตั วเ ลยี้ งของหนุ ยนตแ ทนเชน “ไอบอทมองปาลอยางครุนคิด อัลกอริทึมบอกชัดวาปาลหมด คา ใดๆ ใหม นั ยน่ื มอื เขา มาชว ย ในหมคู นนอนกา ยเกะกะขา งถนนลว นแลว แตหมดคา แตไมแน บางครั้งพวกมันพบของเลอคาจากกองขยะพวกน้ี” (น. 143) “พวกมันเปนเจาของสัตวเลี้ยงท่ีมีเศษเนื้อด้ังเดิมหลงเหลืออยู พวกมันยืดอกภูมิใจ” (น. 150) แนวเขยี นสจั นยิ มมหศั จรรยป ระกอบกบั การลา้ํ ยคุ ของเทคโนโลยี ตวั ละครไอบอทมี ความรสู กึ นกึ คดิ เชน เดยี วกนั กบั มนษุ ย และมนษุ ยท ม่ี เี ลอื ดเนอ้ื กลายเปน เพยี งสตั วเ ลยี้ งของ 121
วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงราย ไอบอทอีกที ในตัวบทก็ไมไดแสดงความแปลกแยกใหเห็นชัดเจนเสมือนวาท้ังไอบอทและ มนษุ ยอ ยูรว มกันภายใตโลกเดียวกัน การแตง เรอื่ งแนวสจั นยิ มมหศั จรรยส ามารถยวั่ ยใุ หเ ราตงั้ ขอ สงสยั สงิ่ ใดคอื ความจรงิ เชน ในเรอ่ื งอยขู า งลา งขวา งไดข วา งเอา ทาํ ไมลงิ สตั วท ม่ี วี วิ ฒั นาการตาํ่ กวา เราจงึ ทาํ อะไรได หลายอยา งกวา เรา? ทาํ ไมลงิ ถงึ สามารถครอบงาํ มนษุ ยไ ด? แลว ลงิ คอื ตวั แทนของอะไร? หรอื ในเรอื่ งประแปง ไหมคะ เรากลายเปน สตั วเ ลย้ี งของเทคโนโลยจี รงิ หรอื ไม? เราขาดเทคโนโลยี ไมไ ดจ รงิ หรอื ไม? ทงั้ นไี้ มส ามารถดว นสรปุ ไดว า จรงิ หรอื ไมจ รงิ เพราะวา ความจรงิ ทไ่ี หลเวยี น อยใู นสงั คม มกั จะมคี วามซับซอนและสามารถนํามาโตแยง ไดอ ยเู สมอ และเล็งเหน็ วาผูแตง ใชเ รื่องมหศั จรรยม านาํ เสนอความจริงบางอยางอันเปน ปรากฏการณของสังคม ทวา จะเลา เรอ่ื งมหศั จรรยเ พยี งอยา งเดยี ว กไ็ มต า งจากตาํ นานหรอื นทิ านปรมั ปราท่ี นําเสนอความเหนือจริงหรืออนุภาค (motif) เชน เรือ่ งปลาบูท อง ท่ีสตั วน า้ํ พดู ได แตจ ะมี เสนแบงระหวางคนกับสัตวชัดเจน น่ันคืออยูภายใตตรรกะคนละชุดกัน หรือการนําเสนอ ความจรงิ เพยี งอยา งเดยี ว คงไมไ ดส รา งอรรถรสในการอา นงานวรรณกรรมใหเ พม่ิ ขนึ้ ภายใต เรอ่ื งมหศั จรรยล ว นมคี วามจรงิ ทด่ี าํ รงอยู และเมอื่ มเี รอ่ื งของความจรงิ และความลวงเขา มาดว ย เราจงึ ตอ งวิเคราะห สงั เคราะห ขอ เทจ็ จริงท่ีนําเสนอผานตัววรรณกรรมออกมา ความจรงิ ในความลวง : ความยอนแยงท่คี ูขนาน ขอเท็จจริงท่ีไหลเวียนอยูในสังคมมีมากจนไมสามารถคัดกรองขอมูลความจริงได ทงั้ หมด การเลา ขอ มลู แบบปากตอ ปากมกั จะรวดเรว็ ทสี่ ดุ บางครง้ั อาจมกี ารเพมิ่ อรรถรสใน การเลา ตอ ไปโดยการเพมิ่ ขอ มลู บางครงั้ อาจมลี ดทอนคา ของความจรงิ เพอื่ ใหก ลายเปน เรอื่ ง ทไ่ี มจ รงิ จงั อาจจะเปน หนง่ึ สาเหตทุ ่ี จเดจ็ กาํ จรเดช เลอื กนาํ มาเสนอผา นเรอ่ื งสน้ั ในหลายๆ เรื่อง ทเ่ี หน็ เดนชัดท่สี ุดคอื เร่ืองขา ววานกจะมา เชน เร่ืองขาววานกจะมาใชการเลาเร่ืองผานมุมมองของบุรุษที่สามเปนสวนมาก คือใช คาํ วา “เขาวา มาแบบนนั้ ” “เขาวา ” “เขาวา ผม…” และ “เขาวา ” ตลอดทงั้ เรอื่ ง ทาํ ใหฉ กุ คดิ ข้ึนมาวา เขาท่วี า คอื ใคร แตเหนือส่ิงอนื่ ใดคืออาํ นาจของคําวา “เขาวา” ซงึ่ ทําใหมองเหน็ ภาพมุมหน่ึงของสังคมท่ีตางหลงเช่ือโดยไมสงสัยหรือโตแยงเพราะมีบรรทัดฐานจากคําวา “เขาวา ” ตดั สนิ มาใหเ รยี บรอ ยแลว ในตวั บทมกี ารเสยี ดสแี กมประชดประชนั ผทู หี่ ลงเชอื่ ใน การเลา เร่อื งเชนนน้ั ไว จะเห็นไดจ าก 122
วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย “เขาวามาท้ังนั้นน่ีวาเมืองน้ันสวยเมืองนั้นดี คุณก็ตองไปเท่ียว และบอกตอ คุณจะถายรปู ผมไปลงอนิ สตาแกรมกไ็ ดนะ คุณอาจเอาเรอ่ื ง ผมไปเลาตอ ผมอยูทีน่ ี่มานานจนหลงลมื เรอ่ื งของตวั เองไปหมดแลว ท่ีผม จาํ มาน่ีก็เปน เรือ่ งที่พวกเขาเลาตอๆ กนั มนั แกล งนี่นะ หลงๆ ลืมๆ ไป วา แตเ ขาเลามาแบบไหนละ ชวยเลาใหผมฟงหนอยนะ เปนแบบนแี้ หละ ผม ตอ งฟง เรอื่ งของตวั เองจากคนอน่ื พวกนนั้ รเู รอื่ งของเราดกี วา ตวั เราอกี ” (น. 138) จากประโยคทวี่ า พวกนน้ั รเู รอ่ื งของเราดกี วา ตวั เราอกี เปน การเสยี ดกลมุ คนทใี่ ชพ ลงั ของเร่อื งเลา ในการสรา งเรือ่ งราวตางๆ ขึ้นอยไู มน อ ย ทงั้ ในฐานะผพู ูดและผูที่เชือ่ ในคําพดู อยางไมไตรตรอง แตหากวิเคราะหถึงจุดมุงหมายของการเลาเร่ืองผานการเลา ผูแตงอาจ ตอ งการชใี้ หเ หน็ ความยอกยอ นระหวา งความจรงิ และความลวง ซงึ่ ไมส ามารถรไู ดว า สงิ่ ใดจรงิ สงิ่ ใดลวง ตา งผสมปนเปกนั ไปตามกระแสของเวลา ซง่ึ สอดคลอ งกบั ประเดน็ แรกทไ่ี ดก ลา วไป คือมงุ ใหเหน็ ถงึ เรอ่ื งราวท้งั หมดเปนเร่อื งทแี่ ตงขึ้นมาเชนกัน อยา งไรกต็ าม การใชค าํ วา “เขาวา ” เสมอื นเปน การปอ งกนั ตนเองและโยนภาระให คนอื่นอยูในที บางครั้งในเร่ืองท่ีพูด ผูพูดอาจเปนคิดเรื่องราวเองท้ังหมดเพียงใชใหบุรุษท่ี สามเปน คนพดู เทา นั้น ในปจจุบันอาจพบเห็นไดต ามสอ่ื สงั คม ในรปู แบบของ “นกั จติ วิทยา กลาววา” “นกั วจิ ัยกลาววา” แลว ตอ ดว ยคาํ พูดตา งๆ โดยความจรงิ เปนเพียงคาํ กลา วอา ง ของคนกลมุ หนงึ่ ไมไ ดม าจากนกั จติ วทิ ยาหรอื นกั วจิ ยั จรงิ ๆ จงึ ทาํ ใหภ าระทจี่ ะรบั ผดิ ชอบคาํ พดู เหลานนั้ ตกไปอยูกบั นักจิตวทิ ยาหรอื นกั วิจยั โดยปริยาย นอกจากเร่ืองขาววานกจะมาแลว ยังมีเรื่องอื่นๆ ท่ีแสดงอํานาจของเรื่องเลา เชน เร่ืองบรู งแมน เรอ่ื งสปั เหรอ รนุ สอง ดังน้ี “แตค ิดดดู ๆี บางทอี าจเขียนได ปรบั อะไรบา งเล็กนอย และให 123 เรื่องท้งั หมดเลาผา นปากคนอ่นื แมวามันจะเกิดขึ้นจริงๆ แตจ ะวาไปเรอ่ื ง ทงั้ หมดกถ็ กู เลา ตอ มาอกี ที แทบบอกไมไ ดว า มนั เปน ความจรงิ เรอื่ งทงั้ หมด ถูกเลาผานปากชาวบาน ทําใหน้ําหนักของความสมจริงถูกถวงเอาไว” (สปั เหรอรุนสอง, น.237)
วารสารฟา เหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย แสดงความเปน เหตเุ ปน ผลของอาํ นาจของเรอื่ งเลา ไวอ ยา งดี ซงึ่ ในแงน เ้ี ปน การลดทอน ความจรงิ ใหก ลายเปน เพยี งเรอื่ งทเ่ี ลา ตอ ๆ กนั มา ในทางกลบั กนั หากเสรมิ การเลา เรอื่ งเขา กบั ศรัทธาหรือความเชอ่ื ของคน ยงิ่ ทาํ ใหอํานาจของเร่อื งเลานั้นมพี ลงั มากขึน้ ดว ย เชน “แตข อ มสุ าน่ี ถาหยุดแลวจะทํามาหากินอยางไร ไมไดโกหก แตจะขายของตองเลานิทานกันสักหนอย” (บูรงแมน, น. 318) จากที่กลาวมาขางตนเปนตัวอยางท่ีสะทอนใหเห็นอํานาจของการเลาน้ันมีอยูไมนอย ขน้ึ อยกู บั วจิ ารณญาณของผอู า นหรอื ผทู รี่ บั ฟง การเลอื กประเดน็ มากลา วถงึ กเ็ พอ่ื เนน ยา้ํ เพมิ่ เตมิ จากผูแตง วา ในความจรงิ มกั มคี วามลวงแฝงอยู และในความจริงมักมคี วามลวงแฝงอยูเ ชน เดียวกนั ซึ่งเปน ความยอนแยง แตเ กดิ ขน้ึ คูกันเสมอ จากความยอ นแยงในการเลาเรอ่ื งสูก ารนําเสนอความขัดแยงของสังคม การเลาเร่ืองในรวมเรื่องสั้นคืนปเสือและเรื่องเลาของสัตวอ่ืนๆ เปนการเลือกหยิบ วัตถุดิบจากสังคมตางๆ รวมถึงสังคมออนไลนที่ตางไหลเวียนอยางไมรูจบ ปฏิเสธไมไดวา ความขดั แยง (conflict) แผซ า นอยใู นสงั คมทกุ ระดบั เปน หนง่ึ สง่ิ ทผี่ แู ตง หยบิ มาเปน เรอื่ งเลา ในเรอ่ื งสนั้ ของแตล ะเรอ่ื ง ในบางเรอ่ื งราวกส็ ามารถทาํ ใหเ ราฉกุ คดิ อะไรบางอยา งไดเ ชน กนั เพราะอาจมองเหน็ วาเปนเรื่องใกลตัว จึงไดมองขามและเลือกทีจ่ ะละเลยสง่ิ เหลา น้ันไป ส่ิงที่ใกลตัวท่ีสุดคือความขัดแยงภายในครอบครัว ผูแตงถายทอดออกมาไดอยาง ชดั เจน ในเรอ่ื ง “มเี ปด บนหลงั คา” เปน เรอื่ งราวในครอบครวั หนง่ึ ทม่ี ลี กู ชายสองคน ลกู ชาย คนเล็กเสียชีวติ ไปแลว แตล ูกชายคนโตยังมชี ีวติ อยแู ตไ มไดร ับการเหลียวแล โดยใช ‘เปด ’ คือตัวแทนลูกชายทั้งสองคน การเลาผานมุมมองของตัวละคร ‘ผม’ ลูกชายคนโตของ ครอบครวั นี้ ปญ หาทเี่ กดิ ขนึ้ อาจเรม่ิ จากทล่ี กู ชายคนเลก็ จากไปจากโลกใบนี้ ตวั ละครแมบ อก วา “เปดขนึ้ สวรรคไ ปแลว ” (น. 23) แตต ัวละครพอ กลับบอกวา “มีเปดบนหลงั คา” (น. 24) น่ี คอื สงิ่ ทแ่ี สดงใหเ หน็ ถงึ ความขดั แยง ระหวา งความคดิ เหน็ ของพอ กบั แม โดยมสี ง่ิ ทเี่ กย่ี วพนั กนั อยูท่ี ‘ทอ่ี ย’ู (บนสวรรค/ บนหลังคา) ตัวละครแมยึดติดกบั นอ งท่ีตายไปแลว ตัวละครพอ รับรู วาลูกชายคนโตยังมีชีวิตอยูแตไมสนใจ จะเห็นวาเปดที่ขึ้นสวรรคเปนตัวแทนของนองชาย แตเ ปด ทอี่ ยบู นหลงั คาเปน ตวั แทนของพช่ี ายทถี่ กู หลงลมื สามารถเชอื่ มโยงเขา กบั ความขดั แยง ภายในใจของลูกชายท่ีหลงเหลอื อยทู ี่มีตอ พอ “พอ คงลืมไปแลว วาผมยังอยู นองไมอยแู ลว แตผ มยังอยู” (น. 36) 124
วารสารฟา เหนือ ปท่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย ในตอนทายผูแตงจึงมุงแสดงถึงความจริงท่ีหลงเหลืออยู คือลูกชายคนโต ดวยการ ใหคุณคาในตัวตนและไมกลายเปนผูท่ีถูกหลงลืมตอไป โดยการกอบกูไขเปดที่เหลืออยูบน หลงั คา ไขอ าจเปน สญั ญะแหง การเรมิ่ ตน และเกดิ ใหมใ นสายตาของพอ และแม ดงั จะเหน็ ได จาก “พอ บอกวา วนั นจ้ี ะขนึ้ หลงั คา พอ ไปไมถ งึ สวรรคห รอก…พอ เจอไขแ ปดฟอง…แมว า พอ ตอ งเอาไขล งมาใหด …ู ไขเ ปด ทง้ั แปดฟองสที องอรา ม สะทอ นแสงมลงั เมลอื งแวววาวในดวงตาแม” (น. 37-39) ในเรอื่ งนผี้ แู ตง นา จะตอ งการใหเ ราดาํ รงอยกู บั ปจ จบุ นั มากกวา ทจ่ี ะไปขดุ คยุ และยดึ ตดิ กับอดตี รวมถงึ การไมล ะเลยในสิ่งทีม่ ีอยูด ว ย เพราะวาอดตี คือส่งิ ทผ่ี านไปแลว แตคนมักจะ จมอยใู นชว งเวลานน้ั ดว ยความรสู กึ เสยี ดาย เสยี ใจ หรอื แมแ ตภ าคภมู ใิ จในสง่ิ นนั้ อยู แตช วี ติ ในปจ จบุ นั กลบั เพกิ เฉย ไมส นใจเทา ทค่ี วร หากจะยกตวั อยา งในสงั คม จะเหน็ ไดว า ผมู ชี อื่ เสยี ง คนใดสรางตัวใหโดดเดนหรือทาํ ผิดพลาดก็ตาม อดีตของบุคคลนัน้ จะไดร ับการขุดคยุ ข้ึนมา เพอื่ ซาํ้ เตมิ และใหค า กบั อดตี มากกวา ปจ จบุ นั ถอื ไดว า ผแู ตง สามารถสะทอ นความเปน มนษุ ย อันเปนสารัตถะของเร่อื งไดอยางดี อีกหน่ึงความขัดแยงที่เกิดภายในสังคมและดูใกลตัวมากกวาครอบครัวเสียดวยซํ้า ในยุคปจจุบัน คือความขัดแยงท่ีเกิดขึ้นจากโซเชียลเน็ตเวิรก (Social Network) ซึ่งนําไปสูสภาวะสงั คมแบบ “ถายรูปเพ่ือทอดทง้ิ ” และการทาํ ตามกระแสนิยมในสงั คมโซเชียล ความขดั แยง ระหวา งชวี ติ โลกจรงิ และชวี ติ โลกออนไลน นาํ เสนอผา นเรอื่ งสน้ั “นกกระยางโงๆ ” เรอื่ งราวของหนุม กรงุ ทม่ี ารับมรดกสวนทุเรียนของพอ ซึง่ มกั จะใชช วี ติ ตามคาํ บอกเลาของ คนในอินเทอรเน็ตและชาวบาน เขามักจะหากิจกรรมทําเสมอเพื่อโพสตลงเฟซบุก จะเห็น ไดจาก “สารทุเรียนฟุงเปนหมอกในยามเชา ทอปถายรูปแลวโพสตเฟ ซบุก มีคนมากดหัวใจสี่รอยกวา” (น. 44) ในขณะที่ความจริงคือเขา ประกาศขายสวนทเุ รยี นนน้ั แลว ทอ ปพยายามสรา งตวั ตนใหม คี วามสขุ และ บรรยากาศพาฝน ทปี่ ลายนาบนโลกออนไลน จะเหน็ ไดจ าก “เปด นอ ยสอง ตัววายน้ําเลนสบายใจใหคนกดไลค” (น.52) “โยนลูกกบขนาดน้ิวโปงใส ลงไปในยางรถยนต ถายรปู โพสต” (น. 52) “ซือ้ ถังนา้ํ สาํ หรบั ไกฟ ารมมา ดว ย แลว ถา ยรปู โพสต” (น. 54) เปน ตน ทวา มองในโลกของความเปน จรงิ 125
วารสารฟา เหนอื ปท ี่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย แลว ชวี ติ เกษตรกรของเขาทลุ กั ทเุ ลอยา งมาก สงั เกตไดจ ากนาํ้ เสยี งเสยี ดสี ประชดประชนั ทว่ี า “แลว กถ็ งึ บางออ เขา ใจรเู รอ่ื งชดั เจนถงึ วถิ เี กษตรกรรม แสนหวานฉาํ่ และสวยงามขนาดนี้ ปลาดุกโงๆ ของเขามนั กลายรา งเปน นกกระยาง” (น. 66) สิ่งเดียวท่ีเปนพื้นทที่ บั ซอนระหวางโลกความจริง และโลกออนไลน คือ “เขาโพสตว านอนโงๆ ทีก่ ลางนา จากนน้ั เขาก็นอน โงๆ อยูแคต รงนน้ั ” (น. 46) จากทกี่ ลา วมาสะทอ นใหเ หน็ วา ผแู ตง แฝงทรรศนะของคนในปจ จบุ นั ทมี่ องเหน็ และ ใหค วามสาํ คญั กบั ภาพลกั ษณใ นโลกออนไลนม ากกวา โลกความจรงิ นยิ มทาํ ตามกระแสแหง การบอกเลา ในออนไลนเ พอ่ื สรา งตวั ตนตามกระแสนน้ั อาจเรยี กปรากฏการณน ว้ี า “การเผย รา งพรางกาย” การเผยราง คอื การแสดงตวั ตนในโลกออนไลน เสมอื นเปน การสรา งพน้ื ท่ี ใหก ับตวั เองในการแสดงออกของการกระทาํ และความรสู กึ ตา งๆ พรางกาย เปน การปกปด ตวั ตนทแ่ี ทจ รงิ เอาไว ปจ จบุ นั จงึ มคี าํ กลา วทว่ี า “ตวั จรงิ ไมต รงกบั รปู ภาพออนไลน” แผซ า น อยูท่ัวไป จะยกตัวอยางประกอบใหเห็นภาพชัดเจนคือ รูปโปรไฟลในเฟซบุกหรือสื่ออื่นๆ ตองผานกระบวนการศัลยกรรมในแอปพลิเคชันใหสวยงามกอนจึงจะโพสตได กลาวไดอีก นยั หนง่ึ วา สงั คมปจ จบุ นั หลงลมื ความจรงิ ทเี่ ปน อยู ลมุ หลงและใหค า กบั มายาสงั คมทจี่ บั ตอ ง ไมได ความขัดแยงท่ียอกยอนในตัวเองในเรื่อง “เปนหมาปา” มีความโดดเดนไมแพ ความขดั แยง ทยี่ กมากอ นหนา ผใู ดทคี่ รอบครองอาํ นาจแหง การเปน หมาปา ขณะเดยี วกนั ผนู น้ั กเ็ ปน ลกู แกะ หรอื กลา วอกี นยั หนงึ่ คอื ภาวะของผลู า และผถู กู ลา ทกุ ตวั ละครทต่ี า งคดิ วา ตน เปน ผลู า แตต อนสดุ ทา ยกลายเปน ผถู กู ลา เสยี เอง จะเหน็ ไดจ ากการนกึ เสยี ดายของตวั ละคร ทม่ี จี ดุ จบตา งจากจดุ เรมิ่ ตน อยา งสนิ้ เชงิ เชน “…เหลอื เชอ่ื ทน่ี กั เขยี นอยากโทรไปบอกผหู ญงิ สักคนวาเขาเปนหมาปา ผมเปน หมาปา แตค งไมมีใครเขาใจ กบั แฟนคนนนั้ กเ็ ลิกราเพราะ เธอเบอ่ื จะเปนลูกแกะ ในชว งหลงั ๆ ของความสมั พันธ… บางครง้ั นกั เขยี นตองพดู ตรงๆ วา มาเอากันเถอะ…เธอเปน หมาปาในบางครง้ั ” (น. 450) 126
วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย จะเห็นไดช ัดเจนวา จากคาํ พดู ความรสู ึกของตวั ละคร สามารถนําเสนอความยอกยอน ไดอ ยา งดี ซง่ึ การเจรจาในฐานะผลู า และผถู กู ลา ไมจ าํ เปน ตอ งอยใู นสภาพความรนุ แรงอยา ง ในภาวะสงคราม ในโลกของความจรงิ การเจรจาในฐานะผลู า และผถู กู ลา สามารถพบเหน็ ได ท่ัวไป ความขดั แยงที่ จเดจ็ กาํ จรเดช ใหค วามสําคญั ทสี่ ดุ คอื เปน ความขัดแยงระหวาง กลมุ สงั คม เชน ความขดั แยง ระหวา งเกษตรกรและกลมุ นายทนุ ในเรอื่ งปลดแรว โดยเฉพาะ อยางย่งิ ความขัดแยง ของกลุม คนชายขอบ ทปี่ รากฏถงึ 3 เร่ืองดว ยกนั ไดแก ขาววานกจะมา, ประแปง ไหมคะ, และคนื ปเ สอื สามารถอธบิ ายไดด งั นี้ ขา ววา นกจะมาเปน การกลา วถงึ คนไทย ชายขอบทเี่ กาะกง ทตี่ อ งกลายเปน คนถอื สญั ชาตฝิ รง่ั เศสและเปน คนทอี่ ยภู ายใตก ารปกครอง ของกมั พชู า ประแปง ไหมคะเปน การพดู กลา วคนเชอื้ ชาตมิ อญ ทอ่ี ยภู ายใตก ารปกครองไทย และคืนปเสือเปนการกลาวถึงชาวฮาลอ ชาวปาโอรังอัสลี หรือชนเผาพ้ืนเมืองดั้งเดิม ท่ีมี ความขัดแยงตอการสรางชาติของไทย ในประเด็นท่ีไดกลาวมาน้ีถือวามีความละเอียดออน แตผ ูแ ตง สามารถทําไดอยา งลงตวั ซ่งึ จะกลาวในประเดน็ ถัดไป ความ (ไม) ชายขอบกับการนาํ เสนอมุมมองใหม หลายครง้ั ทไี่ ดย นิ วาวรรณกรรมเปนกระจกสะทอนสังคม แตส่งิ ทีพ่ บในวรรณกรรม รว มสมยั ทวั่ ไปจะฉายภาพคนชายขอบ ดว ยภาพลกั ษณท นี่ า สงสาร เปน บคุ คลเบอ้ื งลา งของ สงั คม มกั จะประกอบดว ยการกดขี่ เยย หยนั ผา นสญั ญะตา งๆ ทที่ าํ ใหด เู หมอื นวา เปน สง่ิ ทไี่ รค า ซง่ึ ตรงกนั ขา มกบั ผลงานของ จเดจ็ กาํ จรเดช ในเรอ่ื งนท้ี ใ่ี ชอ าํ นาจทมี่ อี ยเู พอ่ื นาํ เสนอคนชาย ขอบแบบไมก ดขห่ี รอื เหยยี ดหยนั แสดงใหเ หน็ ถงึ อาํ นาจไมไ ดก ดขห่ี รอื ทาํ ลายลา งเพยี งอยา งเดยี ว แตเ ปน การสรา งขน้ึ มากไ็ ด สรา งในทนี่ จี้ งึ หมายถงึ การสรา งดว ยอดุ มการณ เลา เรอ่ื งของคน ชายขอบในแบบมองมุมกลับกลับมุมมองของผูอาน กลาวไดวาวรรณกรรมเร่ืองนี้เปลี่ยน บทบาทจากการสะทอนเปนกระบอกเสียงใหสังคมแทน ซึ่งเสียงจากคนชายขอบท่ีปรากฏ ในรวมเรอื่ งสน้ั คนื ปเสือเลม น้ี ไดแก เร่อื งประแปงไหมคะ เร่อื งขาววานกจะมา และเรื่องคืน ปเสือ ดงั ตอ ไปน้ี การเลอื กฉายภาพคนมอญผา นเรอื่ งสน้ั ประแปง ไหมคะ ผแู ตง เลา ผา นตวั ละครแอช คลายกับการสรางภาพวีรบุรุษใหแกตัวละครเช้ือชาติมอญอยูในที “แอชคิดถึงชวงเวลาท่ี 127
วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย เดก็ ๆ จะวงิ่ ออกไปทสี่ ะพาน ปากรอ งประแปง ไหมคะใหน กั ทอ งเทยี่ ว แอชกเ็ คยเปน แบบนนั้ พ่ีสาวของเขาดวย บนเกาะนี้ไมมีอะไรใหหวัง บรรพบุรุษของพวกเขาหนีภัยสงครามมาอยู ในประเทศนี้ กกั ขงั ตัวอยูแคชายแดน พอเติบโตพวกเขาก็ยา ยออกจากเมือง ไปทํางานช้นั ตํ่า ทงั้ หลาย…เธอไปมาหมดกอ นทจี่ ะอพั เกรดตวั เองจนไมเ หลอื ความเปน มนษุ ย มนษุ ยท อ่ี ยตู าํ่ กวามนุษย มีมนษุ ยแ บบนเ้ี ตม็ ไปหมด แอชคดิ วาพอไดแลว มนษุ ยรุน ตอ ไปตองไมอ อ นแอ” (น. 195) หากสงั เกตคาํ วา “ไมม อี ะไรใหห วงั ” “ทาํ งานชน้ั ตาํ่ ” “ตาํ่ กวา มนษุ ย” “กกั ขงั ” ลว น แตเปนถอยคําท่ีแสดงความนอยเน้ือต่ําใจทางอารมณถึงการถูกกดข่ีจากระบอบสังคม ภายนอก จะเหน็ ไดวาผแู ตงเลือกทีจ่ ะสรางอดุ มการณใหก ับคนมอญ คือ “มนษุ ยร นุ ตอไป ตองไมออนแอ” สะทอนใหเห็นถึงความตองการที่จะเทาเทียมกันในสังคม กลาวคือตอง แขง็ แกรงและยืนหยัดในศกั ดิศ์ รีของความเปน มนุษยทไี่ มไดอยตู ่าํ กวา มนุษยคนใด เร่ืองขาววา นกจะมา เปน อกี หนง่ึ ตัวอยาง “เบตงทชี่ ะตากรรมคลา ยๆ เกาะกง ถกู หลงลืมตอนแบงเขตแดน ดีที่วาเบตงถูกหลงลืมในฝงไทย แตเกาะกงถูกลืมไว นอกเขต” (น. 134) เรอื่ งนไี้ มไ ดเ ลอื กทจ่ี ะแสดงความยงิ่ ใหญข องการหยดั สเู พอ่ื ความเทา เทยี ม อยางในเร่ืองประแปงไหมคะ เปนการบงบอกวายังมีคนกลุมหน่ึงยืนอยูตรงนี้เสียมากกวา “ลองนึกตามนะ คนไทยทนี่ ่ันมสี ญั ชาติฝรงั่ เศสไดสักพักกก็ ลายเปน เขม เปน คนอื่นในบา น ตวั เอง…เขมรแดงเขา ยดึ เกาะกง…ตอ นคนไทยไปทาํ งาน แตก ไ็ มม ใี ครกลบั มา” (น. 127) ซงึ่ จากเร่ืองไดอธิบายตอไปอีกวา กลุมคนไทยในเกาะกงไมตายจากกลุมเขมรแดงก็หนีอพยพ ไปอยูตามชายแดนในภาคใตแถบทะเลอาวไทย บรรพบุรุษคนไทยที่อยูที่น่ันยังรอคอย ลกู หลานกลบั มา ผแู ตง แสดงภาพทท่ี บั ซอ นกนั อยรู ะหวา งเกาะกงและเบตง ตา งกนั ทเี่ กาะกงเปน การปกครอง ของกมั พชู า เบตงอยใู ตก ารปกครองของไทย สง่ิ เหลา นวี้ า ดว ยเรอื่ งของชาตพิ นั ธุ การเปน คน อนื่ ในบา นตวั เองเปน สงิ่ ทสี่ ะทา นใจผอู า นไดม ากทส่ี ดุ เนอื่ งดว ยถกู กดขใ่ี หก ลายเปน ชนกลมุ นอ ย อํานาจสทิ ธ์ิที่จะตอ รองกบั ชนกลมุ ใหญเจา ของประเทศแทบจะไมม ี ซงึ่ การยกตัวอยา งเรอ่ื ง แนวนนี้ า จะเปน การชใี้ หเ หน็ ถงึ ความเปน มนษุ ยเ ชน เดยี วกนั ถา เทยี บกนั แลว มนษุ ยด าํ รงอยู มากอ นการแบง เขตพนื้ ทก่ี ารปกครองเสยี อกี ผแู ตง เลอื กทจี่ ะบอกเลา ประวตั ขิ องชาวไทยใน เกาะกงหรือชาวมลายูในเบตง ที่ผานอดีตอันราวรานในยุคอาณานิคม และเลือกเสนอวา 128
วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย ชนกลุมน้ีกลับเปนผูที่มั่งค่ังทางเศรษฐกิจที่ผูกขาดทุนนิยมดวยการเปนเจาของตึกให นกนางแอนมาทํารัง และสรางมูลคาไดอยา งมาก การนาํ เสนอคนชายขอบอกี กลมุ หนงึ่ ในเรอ่ื งคนื ปเ สอื คอื ชนพนื้ เมอื งชาวฮาลอ ชาวปา โอรงั อสั ลี ทอ่ี ยใู นพนื้ ทมี่ ากอ นและถกู เปลย่ี นบทบาทจากบรบิ ทของสงั คมในยคุ คอมมวิ นสิ ต จากชนพนื้ เมอื งกลายเปน ขบวนการรปู แบบชมุ ชนพฒั นาชาติ การเขา ไปกา วกา ยของรฐั บาลไทย ทําใหพวกเขาตองอพยพออกไปโดยไมไดรับการใสใจดูแลใหสวัสดิการ ทั้งไมไดรับความ ยตุ ธิ รรมในการทวงคนื อธิปไตยของตนเองดวย ผแู ตง ใชตวั ละครฟาฮดั ทายาทรนุ ที่สามชาวฮาลอ มาทวงคนื ความยตุ ิธรรม สะทอ น ใหเ หน็ ถงึ ความตอ งการทจี่ ะใหม องวา เปน คนเชน เดยี วกนั มคี วามเปน มนษุ ยเ ทา เทยี มกนั กบั ผอู นื่ ไมใ ชต วั ประหลาดหรอื มองเปน วตั ถอุ ยา งทบี่ คุ คลภายนอกกระทาํ ตอ พวกเขา จะเหน็ ไดจ าก ตัวละครอีกตัวที่อาศัยอยูในปา ผูคนขีดกรอบจนเขาคิดวาตัวเองช่ือวาตัวประหลาด “ตัวประหลาด” เขาตอบยิ้มแยมเหมือนเด็กทัศนคติแบบบวกเผยจากรอยย้ิมและดวงตา” (น. 364) ดงั นน้ั ในเรือ่ งน้ี ในแงข องการนําเสนอกลุมตวั ละครคนชายขอบมุงใหเหน็ ถงึ ความ เทา เทยี มกนั ของมนษุ ยช าติ ในความแตกตา งยงั มคี วามเหมอื นกนั อยู คอื ความเปน คนนนั่ เอง จะเหน็ ไดว า การปรากฏขน้ึ ของตวั ละครทเี่ ปน คนชายขอบในเรอ่ื งตา งๆ แสดงใหเ หน็ บทบาทของวรรณกรรมท่ีสงสารสูสังคม สะทอนใหเห็นบางกลุมชนที่ถูกละเลย มองขาม จนถึงการหลงลืมวามีอยูในสังคม ดังน้ันการหยิบยกประเด็นดังกลาวข้ึนมา เพ่ือเนนย้ําวา เราอาจหลงลมื ความจรงิ อะไรบางอยา ง นนั่ อาจเปน บคุ คลกลมุ นที้ ตี่ า งมคี า ความเปน มนุษย เชนเดียวกนั กบั เราๆ กเ็ ปนได บทสรปุ รวมเรอื่ งสนั้ คนื ปเ สอื และเรอ่ื งเลา ของสตั วอ นื่ ๆ เลา ความขดั แยง แหง สงั คมใหก ลาย เปน เร่อื งเลา ผานกลวธิ กี ารเลาเรือ่ งทเี่ ปน เรื่องเลา ผสมจนิ ตนาการ ภายใตความยอ นแยง แหง สรรพสิง่ แตดว ยกลวิธกี ารเขยี นทซ่ี ับซอน แมทาํ ใหอ า นยาก บางเร่อื งตอ งยอ นกลบั ไป อานบรรทัดบนใหมอีกหลายรอบ เพราะไมคอยจะเขาใจนักแตหากกาวขามผานอุปสรรค ตรงนนั้ ไป รวมเรอื่ งสน้ั คนื ปเ สอื และเรอื่ งเลา ของสตั วอ น่ื ๆ สามารถเผยเสนห ใ นการนาํ เสนอ ความจรงิ ในแงม มุ ตา งๆ อนั เปน ความจรงิ ทตี่ า งไหลเวยี นอยใู นชวี ติ ประจาํ วนั สมกบั เปน ผลงาน 129
วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย ทีไ่ ดร บั รางวลั วรรณกรรมสรา งสรรคยอดเย่ียมแหงอาเซียน (S.E.A. Write Award) ที่ควรคา แกก ารอา น เพราะสารตั ถะของเรอ่ื งสนั้ จะมงุ ใหเ หน็ ถงึ สงิ่ ทเี่ ปน อยดู ว ยความขดั แยง ทแ่ี ผซ า น ในสงั คม บางครั้งเราอาจหลงลมื และละเลยส่ิงนน้ั ไป และกลา วไดอกี วารวมเรอื่ งสนั้ น้ีใหท้งั “รส” และ “ความ” รสของวรรณกรรมเร่ืองนีถ้ อื วา เขม ขน มาก ดวยชั้นเชิงของผแู ตง ท่มี ัก จะใชกลวธิ ตี างๆ เขา มาผสมกัน เสมือนมีวัตถดุ บิ ในการสรา งสรรคช้นั ดี และถอยความท้งั ที่ เปด เผยและแฝงอยู ไมไ ดเ กนิ ไปจากความเปน จรงิ ทเี่ ปน อยขู องเรามากนกั ทง้ั พลงั และอาํ นาจ ของเรอื่ งเลา ความขดั แยง แผซ า นในสงั คมทเ่ี รามกั จะหลงลมื หรอื แมแ ตก ารปรากฏกายของ ตัวละครคนชายขอบ นํามารังสรรคผานเร่ืองเลาที่ไมรูจบ รวมถึงการใหผูอานเพงพินิจถึง ความยอกยอนของความจริง และลองตั้งคําถามกับความจริงท่ีไหลเวียนอยูในสังคมผานตัว บทวรรณกรรมท่สี ง สารมา วา ความจริงนน้ั เปนความจรงิ มากนอ ยเพยี งใด ? 130
วารสารฟาเหนอื ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย เอกสารอางอิง จเดจ็ กําจรเดช. (2563). คืนปเ สอื และเรอื่ งเลาของสัตวอ่ืนๆ. กรงุ เทพฯ : ผจญภัย. ชศู กั ดิ์ ภทั รกลุ วณชิ ย. (2558). อา น(ไม)เอาเรือ่ ง (พมิ พค รั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ : อาน. ร่นื ฤทยั สจั จพันธุ. (2549). สนุ ทรียรสแหง วรรณคด.ี กรงุ เทพฯ : ณ เพชร. . (2563). คืนปเสือและเรื่องเลาของสัตวอ่ืนๆ : เร่ืองเลา กลวิธีเลาเรื่อง และ สัญญะ. สืบคน 6 กุมภาพันธ 2564, จาก https://www.allmagazine online.com/that-night-of-the-year-of-the-tiger/ 131
วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย ขอ กําหนดของบทความตน ฉบบั วารสารฟาเหนอื วารสารฟาเหนอื กําหนดตพี ิมพปล ะ 2 ฉบบั (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม- ธนั วาคม) วารสารยนิ ดพี จิ ารณาตพี มิ พบ ทความวจิ ยั (Research Article) บทความวชิ าการ (Academic Article) บทวจิ ารณห นังสอื (Book Review) เพอื่ ตพี ิมพตามทีเ่ ห็นสมควรและ ไมอ ยใู นระหวา งการพจิ ารณาลงพมิ พใ นวารสารใดๆ โดยมขี อบเขตเนอ้ื หาครอบคลมุ ศาสตร สาขาดังตอไปนี้ มนุษยศาสตรในดานประวัติศาสตรและโบราณคดี ปรัชญาและศาสนา ภาษาและภาษาศาสตร วฒั นธรรมและประเพณี วรรณกรรม ศลิ ปะ ดนตรีและการแสดง สาขาสงั คมศาสตร ในดา นสงั คมศาสตร สงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา การพฒั นาสงั คมและ ชาตพิ นั ธศุ กึ ษา ซง่ึ กองบรรณาธกิ ารจะพจิ ารณาตน ฉบบั (Manuscript) ตามขอ กาํ หนดของ รปู แบบวารสาร และสงใหผูทรงคุณวุฒใิ นสาขา (Peer Review) จาํ นวน 3 ทาน เปน ผูอา น หากผทู รงคณุ วฒุ มิ ขี อ เสนอแนะในการปรบั ปรงุ แกไ ขเพมิ่ เตมิ บทความอาจถกู ดดั แปลงแกไ ข เนอื้ หารปู แบบและสาํ นวนตามทก่ี องบรรณาธกิ ารเหน็ สมควร กองบรรณาธกิ ารจะสง ขอ เสนอ แนะใหแ กผ นู พิ นธเ พอื่ ดาํ เนนิ การ หากผนู พิ นธม เี หตผุ ลตามหลกั วชิ าการทไ่ี มส ามารถดาํ เนนิ การตามขอ เสนอแนะได ขอใหชีแ้ จงเปน ลายลักษณอักษรโดยกองบรรณาธิการจะพิจารณา การตพี ิมพ เพื่อใหว ารสารมีคณุ ภาพในระดับมาตรฐานและนําไปอา งอิงได ------------------------------------------------------------- 132
วารสารฟา เหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย การจัดเตรียมตนฉบับ ความยาวของบทความ 15 – 20 หนากระดาษ A5 (14.8 x 21 ซม.) ตั้งคาหนา กระดาษโดยเวนขอบบน 3.3 ซม. ขอบซาย 2 ซม. ขอบขวาและขอบลาง 1.8 ซม. บทความ ใหใ ชร ปู แบบตัวอักษร ดงั น้ี ภาษา รปู แบบตัวอักษร ขนาด ภาษาไทย TH SarabunPSK 14 ภาษาอังกฤษ TH SarabunPSK 14 12 ภาษาจนี SimSun (อกั ษรจนี และตวั สะกดพินอิน) 9 HY柦律浶ࣜ 9 ภาษาเกาหลี MS Mincho 10 ภาษาญีป่ นุ Opus Text 11 Doulus SIL ดนตรี สทั อกั ษร (IPA) 133
รายละเอยี ดการจดั เตรยี มตน ฉบับบทความ ดังน้ี วารสารฟา เหนอื ปท่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงรายลกั ษณะรปู แบบ รายการ ตัวอักษร การพิมพ ขนาดตวั อักษร หมายเหตุ 134 ช่ือบทความ ตวั หนา กึง่ กลาง ไทย/ จนี เกาหลี ญป่ี นุ ช่ือผูเขียน ปกติ ชดิ ขวา องั กฤษ 14 11 11 Cตําoแrrหeนspงoหnนdว iยnงgาAนuตtนhสoงั rกEัดmail และ ปกติ เชงิ อรรถ 10 8 8 บทคดั ยอ ตัวหนา ชดิ ซาย 18 97 7 12 10 12 9 9 12 9 9 จํากยัดอ1ห5น0า –1 3ซ0ม0. คํา เนื้อหาบทคัดยอ ปกติ กระจายแบบไทย 14 14 12 9 คาํ สาํ คญั /Keywords ตัวหนา ชดิ ซาย 12 9 9 จํากตัดาม3ด–ว ย5:คํา หัวขอ หลกั ตัวหนา ชิดซาย 14 12 9 9 ไมใ สเ ลขลําดับท่ี หัวขอ ยอ ย ตวั หนา - 14 12 9 ยอหนา 1 ซม. เนื้อหาบทความ ปกติ กระจายแบบไทย 14 12 9 9 ใสห มายเลขลาํ ดับท่ี เนอื้ หาในหวั ขอ ยอย (ถาม)ี ปกติ กระจายแบบไทย 14 12 9 ชือ่ ตาราง ตวั หนา ชิดซาย 14 12 9 9 ยอหนา 1 ซม. แหลง ทม่ี าตาราง ปกติ ชิดซา ย 14 12 9 9 ยอหนา 1.5 ซม. ชื่อภาพ/แผนภูมิ ตวั หนา กง่ึ กลาง 14 12 9 9 ระบุไวบ นตาราง แหลงท่ีมาภาพ/แผนภมู ิ ปกติ ก่งึ กลาง 14 12 9 9 ระบุไวใ ตตาราง หมายเลขหนา ปกติ ดานลา งขวา 14 12 9 9 เนื้อหาอางสารอา งอิง ปกติ ชิดซาย 14 9 14 9 ตง้ั แตตน จนจบบทความ 9
วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย สว นประกอบของบทความ ดังน้ี ลําดบั รายการ รายละเอยี ด 1. ช่ือเร่ืองบทความ การระบุช่ือบทความมรี ายละเอยี ดของภาษาทีใ่ ชใ นการเขยี นดงั น้ี 1) ภาษาไทย : ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2. ช่อื ผูเขียนทกุ คน 2) ภาษาอังกฤษ : ภาษาอังกฤษและภาษาไทย 3) ภาษาจีน : ภาษาจนี และภาษาองั กฤษ 4) ภาษาเกาหลี : ภาษาเกาหลแี ละภาษาอังกฤษ 5) ภาษาญป่ี ุน : ภาษาญ่ปี นุ และภาษาองั กฤษ การระบุช่อื ผเู ขยี นโดยใหใ ชภาษาทเี่ ขียนบทความและ ตามดว ยภาษาองั กฤษ รายละเอยี ดการเขียนเชิงอรรถ ดังน้ี บทความวจิ ัย/ วชิ าการ: *Corresponding author, email: 1ตาํ แหนง ทางวิชาการ/ หนว ยงานตน สงั กดั บทความวจิ ยั (วิทยานิพนธ) : *Corresponding author, email: 1 นักศึกษาระดบั ปริญญา....../ หลักสูตร/ หนว ยงานตนสงั กดั 2 อาจารยทป่ี รึกษาวิทยานิพนธ (หลัก/รวม)/ ตําแหนง ทางวชิ าการ/ หนว ยงานตน สงั กัด รายละเอียดของการเขยี นแตละภาษาในสว นเชงิ อรรถดงั น้ี 1) ภาษาไทย : ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 2) ภาษาองั กฤษ : ภาษาองั กฤษ 3) ภาษาจนี : ภาษาจีนและภาษาองั กฤษ 4) ภาษาเกาหลี : ภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ 5) ภาษาญีป่ นุ : ภาษาญป่ี นุ และภาษาอังกฤษ 135
วารสารฟาเหนือ ปที่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย ลําดบั รายการ รายละเอยี ด 3. บทคดั ยอ ภาษาทีใ่ ชเ ขียนบทคดั ยอ ดังน้ี 1) ภาษาไทย : ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 4. บทความ 2) ภาษาองั กฤษ : ภาษาอังกฤษและภาษาไทย 3) ภาษาจนี : ภาษาจนี และภาษาอังกฤษ 5. เอกสารอา งอิง 4) ภาษาเกาหลี : ภาษาเกาหลแี ละภาษาองั กฤษ 6. รูปภาพ แผนภมู ิ 5) ภาษาญี่ปุน : ภาษาญีป่ นุ และภาษาองั กฤษ ความยาวไมเ กิน 150 – 300 คาํ พรอมระบุ คาํ สําคญั /Keywords ตารางประกอบ จํากดั 3 – 5 คาํ หรืออืน่ ๆ (ถา มี) บทความแตล ะประเภทควรครอบคลุมประเด็นดงั น้ี 1) บทความวิชาการ ประกอบดว ย บทนาํ เน้ือหา และบทสรปุ 2) บทความวจิ ัย ประกอบดวย บทนาํ วัตถปุ ระสงค ทบทวน วรรณกรรม หรอื แนวคิดและทฤษฎี (ถา มี) วิธกี ารวจิ ัย ผลการวิจัย สรปุ ผลและอภปิ รายผล 3) บทวิจารณหนงั สอื ประกอบดว ย บทนาํ เน้อื หาโดยยอ บท วจิ ารณห นังสอื ใชก ารอา งองิ แบบ APA 7 ตอ งมีหมายเลขกาํ กบั ในบทความ อา งองิ แหลงทมี่ า ของขอมลู ใหถกู ตองชดั เจน และไมละเมดิ ลิขสทิ ธ์ิของผูอื่น ใชรปู ภาพ สีหรอื ขาว-ดาํ ที่ มคี วามคมชดั (ไฟลรูปชนดิ TIFF หรอื JPEG ความ ละเอยี ดไมน อ ยกวา 300 dpi ขนาดไฟลไ มน อ ยกวา 500 KB) 136
วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย การอา งอิงในเนื้อหา (Citing references in text) 1. การอางอิงในเนื้อหาใชร ะบบนาม-ป โดยมีรูปแบบการเขยี นดงั นี้ 1.1 ผแู ตง 1 คน ไทย ช่ือ/สกลุ /(ป) หรือ (ช่อื /สกุล,/ป) องั กฤษ สกุล/(ป) หรอื (สกุล,/ป) เครอื่ งหมาย / หมายถงึ เวน วรรค 1 ระยะ ตัวอยาง อาภสิ รา พลนรตั น (2562) ไดว จิ ยั เร่ือง... ...และกาํ หนดระยะจบการศกึ ษา สอนทง้ั วชิ าสามญั และศาสนา (อลั ณกิ า สายนาํ้ เยน็ , 2559) shows that the younger generations of those sections of the community one would (Trugil, 2000) 1.2 ผแู ตง 2 คน ไทย ชอ่ื /สกลุ /และ/ชื่อ/สกุล/(ป) หรอื (ชื่อ/สกุล/และ/ช่ือ/สกุล,/ป) องั กฤษ สกลุ /and/สกลุ /(ป) หรือ (สกลุ /&/สกุล,/ป) ตัวอยา ง นภทั ร องั กรู สนิ ธนา และ อาภสิ รา พลนรตั น (2559) กลาวถงึ ... ...และการรณรงคก ารปอ งกนั การปราบปรามยาเสพตดิ ระดบั โลก Sony and Aunty (1999) ดงั รายละเอียด... 137
วารสารฟาเหนือ ปท ี่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย 2. การอางองิ มากกวา สองแหลง ขอมูลใหเ ขียนเรียงตามลาํ ดับอกั ษร ดงั น้ี ...สอดคลองกับผลการศกึ ษาของอลสิ า คมุ เคี่ยม (2562) และ นภัทร องั กูรสินธนา (2562)… …หรือสงิ่ ที่เกดิ กับมนษุ ย (อภวิ ัช เกิดด,ี 2549; มณั ฑนา แสงส,ี 2558) …การวดั ที่มีตวั แปรแฝงหลายตัว (Embretson & Reise, 2000; Marveldeet al., 2006) 3. การอางองิ จากขอ มลู จากแหลงขอมลู ระดบั ทุตยิ ภูมิ 3.1 การอา งอิงหนาขอความ งานของผเู ขยี น (1) ถกู อางอยใู นงานของผเู ขยี น (2) ไทย ชือ่ 1/สกุล1/(ป, /อางถงึ ใน/ชอ่ื 2/สกุล2,/ป) ………… องั กฤษ สกลุ 1/(ป, /as cited in/สกลุ 2,/ป)………… ตัวอยา ง Arnett (2000, as cited in Claiborne & Drewery, 2010) suggests there is an emerging adult stage in the lifespan of humans, covering young people between the ages of 18 and 25 years 138
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166