Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารฟ้าเหนือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564

วารสารฟ้าเหนือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564

Published by MBU SLC LIBRARY, 2021-06-08 02:25:12

Description: วารสารวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

Search

Read the Text Version

วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย แนวทางการพัฒนาคมู ือภาษาอังกฤษเพอื่ การส่อื สารสาํ หรบั ผสู ูงวยั ใน ศตวรรษท่ี 21 ในเขตพืน้ ที่อําเภอเมอื ง จงั หวัดเชียงราย The Guidelines for Developing Communicative English Handbook for Elderly in the 21st Century in Muang District, Chiang Rai Province ปรียาภา วงั มณ*ี 1 อภิญญา จติ มโนวรรณ2 Preeyapha Wangmanee1 Apinya Jitmanowan2 บทคัดยอ การวิจัยในครั้งน้ี มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาสภาพปญหา ตลอดจนความตองการใช ภาษาองั กฤษเพอื่ การสอ่ื สาร และเพอื่ ศกึ ษาแนวทางในการพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอื่ สาร สาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษที่ 21 ในเขตอาํ เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งราย กลมุ ตวั อยา งทใี่ ชใ นการวจิ ยั คอื ผสู งู วัยท่ีอาศยั อยูในเขตพน้ื ที่อําเภอเมอื ง จังหวดั เชยี งราย จํานวน 50 คน โดยใชว ธิ ี การเลอื กกลมุ ตวั อยา งแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครอื่ งมอื ทใ่ี ชค อื แบบสอบถาม ในรปู ของชดุ เอกสารและการสอบถามแบบออนไลน สถติ ทิ ใี่ ชค อื คา ความถี่ รอ ยละ คา เฉลย่ี และคา สว นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั สรุป พบวาผสู ูงวยั รอยละ 64 ไมเคยเรียนภาษา องั กฤษดวยตนเองมากอน มีทักษะระดบั ทกั ษะอยใู นระดบั นอ ย มากท่สี ดุ รอ ยละ 48 ยงั ขาด ทักษะการส่อื สารภาษาองั กฤษ (การพูดและการฟง ) รอยละ 78 คิดวาตนเองยังมที ักษะภาษา อังกฤษไมเพียงพอ และ รอยละ 96 คิดวาการสื่อสารภาษาอังกฤษมีความจําเปน สวน * Corresponding author, e-mail:[email protected], [email protected] 1 อาจารย คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย 1 Lecturer, Faculty of Humanities, Chiang Rai Rajabhat University 2 ดร.,อาจารย คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย 2 Lecturer, Faculty of Humanities,Chiang Rai Rajabhat University Received: November30, 2020 / Revised: March17, 2021 / Accepted: April7, 2021 89

วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชยี งราย ประเดน็ การแสวงหาความรูท างภาษาอังกฤษ กลมุ ตวั อยาง รอ ยละ 38 เลือกท่ีจะใชวิธกี าร สอบถามผรู แู ละผูเช่ียวชาญ รอยละ 28 ศึกษาดวยตนเองผานตาํ รา รอ ยละ 16 ศกึ ษาดว ย ตนเองผา นสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สใ นประเดน็ ดา นความสนใจ รอ ยละ 64 ระบมุ คี วามสนใจในการศกึ ษา ภาษาอังกฤษเพมิ่ เติม ในประเด็นของรูปแบบคูมือ ผสู ูงวยั รอยละ 38 ตองการคมู ือทเี่ ปน รูปเลม และตองการศึกษาดว ยตนเอง เปน เวลา 1 ชวั่ โมงตอ สปั ดาห และในประเด็นปญหาทสี่ งผล ตอ การศึกษา พบวาสวนใหญ รอ ยละ 54 มีปญหาดา นสายตา ในสวนของเน้ือหาของคูมือ ผสู งู อายตุ อ งการเนอ้ื หาเกยี่ วกบั การทกั ทาย คาํ ศพั ทเ กยี่ วกบั อาหารและการกนิ การบอกเวลา คําศัพทเก่ียวกับการไปพบแพทย การบอกทิศทาง คําศัพทเก่ียวกับผลไม และคําศัพทเก่ียวกับ การรบั โทรศัพท ตามลาํ ดบั สวนประโยชนของการจดั ทาํ คมู ือ ผูสูงวัยคิดวา คมู อื มีประโยชนใ น ระดบั มากท่ีสดุ คาํ สาํ คัญ : คมู ือภาษาองั กฤษ ภาษาองั กฤษเพ่อื การสือ่ สาร ผสู งู วัยในศตวรรษที่ 21 90

วารสารฟา เหนือ ปท ี่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย Abstract The purposes of this research were to study problem conditions, and the needs on the usage communicative English of Elderly in the 21st Century and to study the guidelines for developing communicative English handbook for Elderly in the 21st Century in Muang District, Chiang Rai Province. The population were 50 elderly in Muang District, Chiang Rai Province. These samples were selected by using stratified purposive sampling method. The research instruments consisted of paper and online questionnaires. The statistics used for the data analysis included mean, standard deviation, and content analysis. The findings found that most of elderly have never been studying English before (64%), level of English proficiency is at average level (48%) which showed that elderly still lack of communicative English skills (listening and speaking). In addition, they think that English skill is not enough (78%), and communicative English is needed (96%). Most of them studied by consulting language expert (38%), follow by self-study (28%), learning through electronic devices respectively. Elderly prefers a handbook format (38%), and spend 1 hour per week to study. Most of them have eye sight problem (54%). For the content in handbook, they prefer as follow 1) Greeting 2) Food and eating 3) Timing 4) Medical Term 5) Direction 6) Fruits 7) Telephoning expression. Lastly, elderly think that the handbook will be useful. Keywords : English handbook Communicative English Elderly in the 21st Century 91

วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย บทนาํ การศึกษามาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแหงชาติ เรื่องสังคมผูสูงวัยของกรม กิจการผสู ูงวัย กระทรวงการพฒั นาสงั คม และความม่ันคงของมนษุ ย ป 2561 ไดเลง็ เหน็ ถงึ ปรากฏการณของการสูงวัยของประชากรที่เพ่ิมสูงขึ้น โดยระบุวาประเทศไทยจะกาวเขาสู สงั คมผสู งู วยั ระดบั สมบรู ณใ นป 2564 และไดค าดการณไ วว า ในป 2574 ประเทศไทยจะกา ว สสู งั คมผสู งู วยั ระดบั สดุ ยอด คอื มผี สู งู วยั มากกวา รอ ยละ 28 ของประชากรทง้ั หมด และหาก พจิ ารณาตามเกณฑของสหประชาชาตแิ ลวอาจกลา วไดว าประเทศไทยอยใู นเกณฑ รวมถงึ ประเดน็ ยทุ ธศาสตรช าตดิ า นการพฒั นาและเสรมิ สรา งศกั ยภาพทรพั ยากรมนษุ ย มเี ปา หมาย การพฒั นาทสี่ ําคญั เพอื่ พัฒนาคนในทุกมิตแิ ละในทกุ ชวงวยั ใหเ ปน คนดี เกง และมีคณุ ภาพ โดยคนไทยมคี วามพรอมท้ังกาย ใจ สติปญญา มีพัฒนาการที่ดรี อบดา นและมสี ุขภาวะท่ีดี ในทุกชว งวัย มีทักษะที่จําเปน ในศตวรรษที่ 21 มที ักษะสือ่ สารภาษาองั กฤษ และภาษาที่ 3 และอนรุ กั ษภ าษาทอ งถน่ิ มนี สิ ยั รกั การเรยี นรแู ละการพฒั นาตนเองอยา งตอ เนอื่ งตลอดชวี ติ สกู ารเปนคนไทยทีม่ ที กั ษะสงู เปนนวัตกร นักคิด ผูประกอบการ เกษตรกรยุคใหมและอ่นื ๆ โดยมสี มั มาชพี ตามความถนดั ของตนเอง สอดคลอ งกบั แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ดา นการเสรมิ สรา งและพฒั นาศักยภาพทนุ มนษุ ย แนวทาง การพฒั นาสาํ คญั ขอ (1) พฒั นาศกั ยภาพ คนใหม ที กั ษะ ความรู และความสามารถ ในการดาํ รง ชีวิตอยางมีคุณคา และขอ (3) ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรูตลอดชีวิต สอดคลองกบั แผนผูสงู วยั แหง ชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ฉบบั ปรบั ปรุง ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 แผนผสู ูงวยั แหงชาตถิ ือเปน แผนยุทธศาสตรหลักในการดําเนนิ งานดา นผสู งู วัย ซ่ึงคณะรัฐมนตรีไดมีมติอนุมัติ เม่ือวันที่ 27 เมษายน 2553 โดยแผนดังกลาวไดใหความ สาํ คัญ ตอ “วงจรชวี ติ ” โดยมวี ิสัยทศั น : “ผสู ูงวัยเปน หลักชยั ของสงั คม” ยทุ ธศาสตร 1ขอ (2) การใหก ารศกึ ษาและการเรยี นรู ตลอดชวี ติ ยทุ ธศาสตรท ่ี 2 ยทุ ธศาสตรด า นการสง เสรมิ และพฒั นาผสู งู วยั ขอ (4) สนบั สนนุ ผสู งู วยั ทม่ี ศี กั ยภาพ และจากการศกึ ษาบทสรปุ ผบู รหิ าร กองทนุ ประชากรแหง สหประชาชาติ “สงู วยั ในศตวรรษที่ 21 : การเฉลมิ ฉลองและความทา ทา ย” กลาวไว ภาวะประชากรสูงวัยกําลังเกิดข้ึนในทุกภูมิภาคและในประเทศที่พัฒนา การมี ประชากรที่มอี ายุมากถอื เปนชัยชนะของการพฒั นา ถอื เปนผลสําเร็จที่สําคญั ทีส่ ุดประการ หนึง่ ในมนษุ ยชาติ 92

วารสารฟา เหนือ ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย นอกจากนี้ สุพรรณา เพช็ รรกั ษา (2558) กลา ววา การใหการศึกษาใน ศตวรรษท่ี 21 มีความยืดหยุน สรางสรรคและทาทาย และซับซอน เปนการศึกษาที่จะทําใหโลกเกิด การเปลย่ี นแปลง ทเี่ ตม็ ไปดว ยความทา ทาย รวมทง้ั โอกาสและสงิ่ ทเี่ ปน ไปไดใ หมๆ และจาก รายงานสรปุ สมชั ชาโลกวา ดว ยเรอื่ งผสู งู วยั ครง้ั ท่ี 2 ในโครงการเตรยี มความพรอ มเพอ่ื รองรบั สังคมสูงวัยในประเทศไทยโดยใชข อมลู เชิงประจักษ อางถึงประเด็นท่ี 4 การเขา ถงึ ความรู การศกึ ษา และการฝก อบรมนน้ั ระบวุ า สงั คมฐานความรจู าํ เปน ตอ งมนี โยบายทมี่ หี ลกั ประกนั วาประชาชนจะเขาถึงการศึกษาไดตลอดชีพ เพ่ือความม่ันใจในคุณภาพของท้ังปจเจกและ ประชาชาติ เพอื่ ใชประโยชนอ ยา งเตม็ ทจ่ี ากศกั ยภาพและความเชย่ี วชาญของคนทกุ วยั โดย เฉพาะผสู งู วัยทมี่ ีประสบการณเ พมิ่ ขึ้นพรอ มวยั ที่เพมิ่ ข้นึ อีกทั้ง เกรียงศกั ด์ิ เจริญวงศศกั ด์ิ (2551) ระบุวา หลายประเทศท่ีมแี นวโนม เขาสู สงั คมผสู งู วยั เชน เดยี วกบั ไทย โดยเกรยี งศกั ดไิ์ ดน าํ เสนอเฉพาะนโยบายดา นการศกึ ษาสาํ หรบั ผสู งู วยั ซง่ึ เปน การสง เสรมิ ใหผ สู งู วยั ใชช วี ติ อยา งมคี ณุ คา ชะลอภาวะสมองเสอ่ื ม และปอ งกนั โรคซมึ เศรา โดยประเทศไทยควรตองเรง สง เสรมิ การเรียนรูส ําหรบั ผูสงู วยั ไมวา จะเปน การ พัฒนาดา นหลกั สตู ร กจิ กรรมฝก อบรม และโครงการสงเสรมิ การเรยี นรใู นชุมชนทั่วไป เชน สนบั สนนุ ใหม หาวทิ ยาลยั เปด หลกั สตู รสาํ หรบั ผสู งู วยั สถาบนั อาชวี ศกึ ษาจดั โครงการและกจิ กรรม เรยี นรสู าํ หรับผูสูงวัย เชน สอนอนิ เทอรเนต็ ภาษาอังกฤษ ทักษะอาชีพตามความสนใจ ฯลฯ เพอ่ื สงเสริมผสู งู วยั ใชช วี ติ อยา งมคี ุณคา ลดภาวะโรคซมึ เศรา และมีความสุข สอดคลองกับ ปยะ ศักด์ิเจริญ (2558) ที่ไดกลาวไวเกี่ยวกับการเรียนรูตลอดชีวิต หรอื การศกึ ษาตลอดชวี ติ นบั เปน กระแสหลกั ของสงั คมในปจ จบุ นั ทตี่ อ งการใหป ระชาชนใน สงั คมไดต ระหนกั ถงึ การเรยี นรอู ยา งตอ เนอ่ื งทไ่ี มไ ดส นิ้ สดุ ลงหลงั จบการศกึ ษา ซง่ึ เปน กระบวน การเรียนรูท่ีสอดแทรกไปในวิถีชีวิตของมนุษย เปนส่ิงท่ีเกิดมาพรอมกับการเปล่ียนแปลง ทางสังคมที่ความรูจําเปนตอการดํารงชีวิต ลวนมีสวนชวยผลักดันใหผูเรียนไดตระหนักถึง การเรยี นรอู ยา งตอ เนอ่ื ง การไดเ รยี นรอู ยตู ลอดเวลายอ มทาํ ใหผ เู รยี นกลายเปน ผเู รยี นรตู ลอดชวี ติ และการทสี่ งั คมมปี ระชาชนจาํ นวนมากทเี่ ปน ผเู รยี นรตู ลอดชวี ติ จะทาํ ใหส งั คมแหง นน้ั กลาย เปน สงั คมแหง การเรยี นรใู นทกุ ระดบั ตง้ั แตร ะดบั ครอบครวั ชมุ ชน องคก ร จนถงึ สงั คมเมอื ง ขอมูลท่ีกลาวมาขางตน ทําใหผูวิจัยเล็งเห็นถึงโอกาสในการยกระดับการศึกษา สาํ หรบั ผสู งู วยั เปน สว นหนง่ึ ของการเรยี นรตู ลอดชวี ติ โดยมแี นวคดิ ในการจดั ทาํ คมู อื พฒั นา 93

วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชยี งราย ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสําหรับผูสูงวัยในศตวรรษท่ี 21 ข้ึน เพ่ือใชเปนสื่อนวัตกรรม สาํ หรบั ผสู งู วยั ในการศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ถอื เปน การสง เสรมิ การเรยี นรเู ขา สชู มุ ชนสง เสรมิ ใหผ สู งู วยั ใชเ วลาวา งในการทาํ กจิ กรรม ไมว า จะเปน การศกึ ษาคมู อื ดว ยตนเอง หรอื การเขา รว มกจิ กรรม อบรม สง เสริมใหผ ูสูงวัยใชชีวิตอยางมีคุณคา ลดภาวะความซึมเศรา ไดอีกทาง อีกทงั้ คมู อื ฯ ท่ีพัฒนาข้ึน เปนเคร่ืองมือที่จะชวยในการสื่อสารภาษาอังกฤษกับชาวตางชาติ และเปน นวตั กรรมทจี่ ะชว ยใหผ ทู ไี่ ดร บั การอบรม หรอื ผทู ไ่ี ดร บั คมู อื ฯ แมว า หากโครงการดาํ เนนิ การ เสรจ็ สน้ิ แลว นนั้ ผสู งู วยั ยงั สามารถหยบิ เอาคมู อื ฯนี้ มาชว ยในการสนทนากบั ชาวตา งชาตใิ น สถานการณตางๆ หรือพูดคุยกับบุตรหลานได ซึ่งการใชคูมือฯนี้ถือเปนนวัตกรรมท่ีมี ประสทิ ธภิ าพ ไมต อ งลงทนุ มากไมต อ งใชท รพั ยากรมากในการใชง าน สามารถพกพาสะดวก มขี นาดและตวั หนังสือทเ่ี หมาะกบั ผูสูงวยั ถอื เปนอีกหนึง่ การพัฒนานวตั กรรมทย่ี ัง่ ยนื วตั ถปุ ระสงคก ารวิจัย 1. เพ่ือศึกษาสภาพ ปญหาและความตองการ ในการใชภาษาอังกฤษเพื่อ การส่อื สารของผสู งู วัย ในเขตอาํ เภอเมือง จังหวัดเชียงราย 2. เพอ่ื ศกึ ษาแนวทางในการพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สารสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษท่ี 21 ทบทวนวรรณกรรม 1. แนวคิดเกีย่ วกบั สงั คมผูสูงวยั นยิ าม “ผสู งู วยั ” “ผสู งู วยั ” เปน วยั บนั้ ปลายของชวี ติ ดงั นน้ั ปญ หาของผสู งู วยั ในทกุ ดา นโดยเฉพาะดา นสงั คม และสาธารณสขุ จงึ แตกตา งจากคนในวยั อน่ื ปจ จบุ นั เปน ทท่ี ราบกนั ดแี ลว วา จาํ นวนผสู งู วยั เพม่ิ ขนึ้ อยา งตอ เนอื่ งทงั้ ในประเทศไทยและทว่ั โลก ซง่ึ รฐั บาลไทยและทวั่ โลก ไดต ระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ในเรอ่ื งนี้ จงึ มคี วามพยายามและมกี ารรณรงคอ ยา งตอ เนอื่ งใหท กุ คน ตระหนัก เขาใจ และพรอ มดแู ลผูสูงวัยใหท ัดเทยี ม เชน เดยี วกับการดูแลประชากรในกลมุ อายอุ ืน่ 2 “ผสู งู วยั ” หรอื บางคนเรยี กวา “ผสู ูงวัย” เปนคาํ ทบี่ งบอกถึงตัวเลขของอายุวา มีอายมุ าก โดยนิยมนบั ตามอายตุ ้งั แตแรกเกดิ (Chronological age) หรอื ทว่ั ไป เรยี กวา คนแก หรือ คนชรา โดยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานใหความหมายของคําวา คนแก คือ 94

วารสารฟา เหนือ ปท่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงราย มอี ายุมาก หรือ อยูในวยั ชรา และใหค วามหมายของคําวา ชรา คอื แกด วยอายุ ชํารุดทรุด โทรม นอกจากนั้นยงั มีการเรียกผูส ูงวัยวา “ราษฎรอาวุโส” (Senior citizen) สวนองคการ อนามยั โลก (World Health Organization, WHO) และองคการสหประชาชาติ (United Nations, UN) ใชคาํ ในภาษาองั กฤษของผสู ูงวัยวา Older person or Elderly person แต ในสวนขององคการอนามัยโลกและองคการสหประชาชาติ มักใชคําวา Older person มากกวา Elderly person องคการสหประชาชาติ ไดใ หนิยามวา “ผูส ูงวยั ” คือ ประชากร ท้ังเพศชายและ เพศหญงิ ซ่ึงมีอายมุ ากกวา ๖๐ ปขึ้นไป พลอยพรรณ เชีย่ วชาญ (2559) อา งถงึ เกษม และกลุ ยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ (2528) ถงึ การระบขุ อ พจิ ารณาความสงู วยั ของบคุ คล ดงั นี้ 1) พิจารณาในแงของการเปลี่ยนแปลงของรางกายในทางสรีระวิทยาพบวา การเปลย่ี นแปลงแรกสดุ ของผทู เี่ ขา สคู วามสงู วยั คอื สายตาจะยาวขนึ้ ตอ งใชแ วน สายตาชว ย ผมหงอก หตู งึ เหนอื่ ยงา ยและขล้ี มื เมอื่ เกดิ การเจบ็ ปว ยจะตอ งใชเ วลาในการรกั ษานานขน้ึ กวา เดมิ การเปลยี่ นแปลง ดงั กลา วนี้ แตล ะขนั้ จะเปลย่ี นแปลงตา งกนั อายทุ ม่ี กี ารเปลยี่ นแปลงจะไม เทา กัน เชน บางคนเริ่มผมหงอกตง้ั แตอ ายุ 35 ป และอาจมีสายตายาวแลว กไ็ ด โดยทัว่ ไป สายตาจะเรมิ่ เปลยี่ นเมอื่ อายุ 40 ป จากนน้ั จะมกี ารเปลยี่ นแปลงของผม การไดย นิ และความ อดทน การพจิ ารณาความสงู วยั โดยใชก าร เปลยี่ นแปลงทางรา งกายจงึ ไมเ ปน ขอ บง ชที้ ช่ี ดั เจน 2) พจิ ารณาในแงจ ติ ใจผทู ไ่ี ดช อื่ วา เปน ผสู งู วยั จะยดึ มนั่ ในความคดิ ของตนเปน หลกั ไม คอ ยยอมรบั ความรใู หมๆ หรอื การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ และมกั มคี วามตอ งการทจ่ี ะชว ยเหลอื สงั คมตาม 11 ความถนดั ของตนเอง ตอ งการความสนใจจากผอู น่ื ตอ งการเปน สว นหนงึ่ ของ หมคู ณะ ตลอดจนตอ งการ การดแู ลอยา งใกลช ดิ เมอ่ื เวลาเจบ็ ปว ย มลี กั ษณะขใี้ จนอ ย จจู ข้ี บ้ี น และถือตัว 3) พิจารณาในแงข องสงั คม ความมีอายุทําใหผูสงู วยั มสี ภาวะทางสงั คมเพมิ่ ขึ้น และมี ความสาํ คญั ในฐานะผมู ปี ระสบการณ ซงึ่ ขนึ้ อยกู บั การมปี ฏสิ มั พนั ธท างสงั คมของคนๆ นน้ั ดว ย แมว า สงั คมจะกวา งและมคี นรจู กั มากขน้ึ มโี ลกทศั นท ก่ี วา งไกล แตก ารทาํ งานและ หนา ทค่ี วามรบั ผิดชอบจะลดลง เนือ่ งจากความจาํ กดั ของอายุและความสามารถ 4) พจิ ารณาในแงก ฎหมาย กฎหมายไดก าํ หนดความสงู วยั ตามปป ฏทิ นิ แตกตา ง กันไปตาม สภาพสงั คมและวัฒนธรรมของแตล ะประเทศ 95

วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย นอกจากน้ี พลอยพรรณ เช่ียวชาญ (2559) ยังไดอ า งถงึ สุรกุล เจนอบรม (2541) ท่ี ระบกุ าํ หนดการเปน บคุ คลสงู วยั ไวว า บคุ คลผจู ะเขา ขา ยเปน ผสู งู วยั มเี กณฑใ นการพจิ ารณา แตกตางกนั โดยกําหนดเกณฑในการพิจารณาความเปนผสู ูงวยั ไว 4 ลักษณะดงั น้ี 1) พิจารณาความเปนผูสูงวัยจากอายุจริงท่ีปรากฏ (Chronological Aging) จากจาํ นวนปห รอื อายทุ ป่ี รากฏจรงิ ตามปป ฏทิ นิ โดยไมน าํ เอาปจ จยั อนื่ มารว มพจิ ารณาดว ย 2) พิจารณาความเปนผูสูงวัยจากลักษณะการเปล่ียนแปลงทางรางกาย (Physiological Aging หรือ Biological Aging) กระบวนการเปลี่ยนแปลงน้ีจะเพิ่มข้ึนตาม อายุขัยในแตละป 3) พิจารณาความเปน ผูสงู วัยจากลกั ษณะการเปล่ียนแปลงทางจิตใจ (Psycho- logical Aging) จากกระบวนการเปลยี่ นแปลงทางดา นจติ ใจ สติปญ ญา การรับรูและเรยี น รทู ถี่ ดถอยลง 4) พจิ ารณาความเปน ผสู งู วยั จากบทบาททางสงั คม (Sociological Aging) จาก บทบาทหนาท่ีทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การมีปฏิสัมพันธกับกลุมบุคคล ตลอดจน ความรับผดิ ชอบในการทํางานลดลง 2. แนวคดิ เก่ียวกับกิจกรรมทางสังคม (Social Activity Theory) Havighurst (1967, pp. 96) อธบิ ายวา ถา บคุ คลใดมกี จิ กรรมมากอยา ง จะสามารถ ปรบั ตวั ไดมากข้นึ เทานัน้ และมีความพึงพอใจในชวี ิตสงู ที่ทาํ ใหเ กดิ ความสขุ ในการดําเนนิ ชีวิตตอไป แนวคดิ น้จี ะเห็นวากิจกรรมเปน สง่ิ สาํ คัญ สาํ หรับผูสูงวยั มากกวาการลดบทบาท (Role Loss) ทางสังคมลง และจะพบวาผสู งู วยั มที ัศนะเกีย่ วกับตนเองในทางบวกและมอง โลกในแงด ี จะมคี วามกระตอื รอื รน ในการรว มกจิ กรรม และบทบาทใหมๆ ใหก บั ผสู งู วยั พอ สมควร 2.1 กจิ กรรมนนั ทนาการ ผสู ูงวัยสามารถทําไดท ุกชว งอายุ ทาํ ใหร างกายสดชื่น ทา ทายกระตนุ เตอื นเปลยี่ นแนวคดิ และไดส มั ผสั กบั คนอน่ื รวมทงั้ ทาํ ใหจ ติ ใจของเราตนื่ ตวั อยเู สมอ และมชี วี ติ ชวี า ผสู งู วยั ควรทาํ ในสง่ิ ทตี่ นเองชอบ และตนเองมที กั ษะ หรอื ความถนดั เปนพิเศษ ทักษะในงานวิชาชีพ อาจนํามาใชในกิจกรรมนันทนาการได ควรเลือกหลายๆ กจิ กรรม และตอ งมีเวลาพอดว ย ไดแ ก 96

วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชียงราย 1) งานอดิเรก เชน วาดรูป ทําอาหาร การจัดสวน งานชา งไม ทอผา ทําหุน 2) เกม เชน บริดจ หมากรุก ปริศนาอักษรไขว 3) กีฬา เชน เดนิ วายนํ้า ขจ่ี กั รยาน ตีกอลฟ เลนเทนนสิ 4) ดนตรี เชน เลนดนตรี แตงเพลง การขับรอ งเพลง 5) ชมรม เชน การเขา ชมรมตางๆ เชน ชมรมกฬี า ศาสนา การเมอื ง ชมรมผูสูงวัย 6) การทอ งเทย่ี ว เชน การเขยี นหนงั สอื คมู อื ทอ งเทยี่ ว ไกดบ รรยายในการทอ งเทย่ี ว กจิ กรรมดา นนนั ทนาการในสว นของบทบาทผสู งู วยั นน้ั มไี ดห ลายรปู แบบทง้ั เปน ผกู ระทาํ เอง ทั้งเปนงานอดเิ รก และงานอาชีพ เปนผูใ หก ารปรึกษาแนะนํา หรอื เปนผูสอน หรือเปน ผบู รรยายพเิ ศษได ซงึ่ เปนประโยชนต อ ตนเอง ชมุ ชน ครอบครัวและสงั คม 2.2 กิจกรรมการเรียนรู เมื่ออยูในวัยสูงวัย การเรียนรูยังมีอยางตอเน่ือง เพ่ือ สนองความอยากรู อยากเห็นความพึงพอใจ หรอื เพอื่ การดาํ เนินกจิ กรรมบางอยาง ใหไ ด รบั ความสาํ เรจ็ ในแงส ขุ ภาพจติ การเรยี นรจู ะเปน การกระตนุ จติ ใจ และเปน การแลกเปลยี่ น ความสนใจกบั ผอู น่ื เชน การเรยี นในระบบการศกึ ษาผใู หญ หรอื การศกึ ษานอกระบบ การเรยี น ในมหาวิทยาลัยเปด และการอบรมระยะส้นั ๆ เปนตน 2.3 กจิ กรรมบรกิ ารผูอ่ืน เนื้อแทข องชวี ติ อยางหนึ่งคือ การเสียสละ และทาํ สิ่ง ทเี่ ปน ประโยชนใ หแ กส งั คม นอกเหนอื ไปจากทาํ ใหแ กต นเอง ครอบครวั โดยผา นงานอาสาสมคั ร ผสู งู วยั อาจลองงานอาสาสมคั รหลายๆ อยา งแลว พจิ ารณาดดู ว ยตนเอง วา กจิ กรรมแบบไหน ท่เี หมาะสมกบั ตนเองทส่ี ุด บรกิ ารอาสาสมัครมีหลายแนวทาง 3. แนวคดิ และทฤษฎกี ารพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษเพอื่ การสอ่ื สารสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษท่ี 21 นกั การศึกษาไดใ หความหมายของคูมือพอสรุปได ดังนี้ คูมือเปนเอกสารที่ชวยใหเกิดความรู ความเขาใจในเรื่องราวตางๆ ที่ผูศึกษาดวย ตนเอง ลัดดาวรรณ นวลสงค (2558) ใหค วามหมายของคูมอื คอื เอกสารสง่ิ พมิ พท่จี ัดทาํ เปน รปู เลม มอี งคป ระกอบและเนอ้ื หารายละเอยี ดเพอื่ ใหผ ใู ชค มู อื มคี วามสะดวกในการศกึ ษา เรอ่ื งท่สี นใจไดด ว ยตนเอง วลัยวัลล พุมพึ่งพุทธ (2554 : 19) ไดกลาววาการดําเนินกิจกรรมใดๆ ก็ตาม จะตอ งใชส ื่อ สื่อทส่ี าํ คัญ คอื คูมือ เพราะเปนสิ่งกําหนดจุดมงุ หมายของการเรยี นรู เนอ้ื หา และวิธกี าร ตลอดจนการวดั ผลความสําเรจ็ ของการดําเนินงาน 97

วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย ความหมายของคูมือนน้ั มีผใู หความหมายดงั นี้ สรุ ัสวดี จนิ ดาเนตร (2553) สรปุ ความหมายของคูม ือวา คูมือเปน เอกสารทจี่ ดั ทําข้ึน เพ่ือใชเ ปน แนวทางในการปฏิบตั กิ ารของผูใชใ หส ามารถดําเนนิ กิจกรรม อยา งใดอยา งหนง่ึ ใหม มี าตรฐานใกลเคยี งกนั ใหม ากท่สี ดุ และบรรลุผลสาํ เรจ็ ตามเปาหมาย เครือวัลย เผา ผึง้ (2548) กลาววา หนังสอื คมู อื เปนหนังสอื ส่งิ พิมพเฉพาะกจิ คอื เปน สง่ิ พมิ พท ใ่ี ชเ ฉพาะงานดา นใดดา นหนง่ึ ซง่ึ มกั จะเปน หนงั สอื ขนาดเลก็ ออกแบบเพอื่ ประหยดั สวยงามและเพ่ือความสะดวก จากความหมายของคมู อื สรปุ ขา งตน ไดว า คมู อื เปน เอกสารทจี่ ดั ทาํ ขนึ้ มาอยา งเปน ระบบ เพือ่ ใหเกดิ ความรูความเขาใจตอส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ เร่ืองใดเรือ่ งหนง่ึ หรือแนวทางปฏบิ ัติ กจิ กรรมเรอื่ งใดเรอ่ื งหนงึ่ ซง่ึ ตอบสนองตอ ความตอ งการของผใู ชเ พอื่ ใหส ามารถนาํ ไปปฏบิ ตั ิ ตามในชีวิตจรงิ ได โดยมรี ูปเลมกะทดั รัด เหมาะแกการพกพา อานแลวเขา ใจงา ย สามารถ นําไปใชอ ยา งมีประสทิ ธภิ าพและมปี ระสิทธผิ ลในเร่ืองใดเรอื่ งหน่งึ ลัดดาวรรณ นวลสงค (2558) กลาววา คมู อื ทีด่ ี ควรมีคุณภาพ 3 ดา น ดงั นี้ 1) ดานองคประกอบและดานเนื้อหา ประกอบดวยวัตถุประสงคที่ชัดเจน ขอบขา ยของเน้ือหาตองครอบคลุมและสอดคลองตามวัตปุ ระสงค เนอื้ หาในคูม ือ ตรงตาม ความตอ งการของผใู ช การนาํ เสนอควรเปน ระบบ เขา ใจงา ย รวมถงึ การเสนอสอื่ ทส่ี อดคลอ ง กบั เนอื้ หาเอกสารประกอบนนั้ ตอ งมขี น้ั ตอนทส่ี มั พนั ธก นั และควรระบขุ นั้ ตอนและวธิ ใี ชใ ห ชัดเจน 2) ดา นการใชภ าษา คมู อื ควรมกี ารแนะนาํ การใชค มู อื และตอ งเขยี นโดยใชภ าษา ทเ่ี ขาใจงา ย 3) ดานรูปแบบ ขนาดเหมาะสมตอการใชง าน ใชสะดวก สวนใหญน ยิ มจดั เปน รปู เลม มลี กั ษณะตวั อกั ษรทอี่ า นงา ย ชดั เจน และรปู ภาพทใ่ี ชป ระกอบตอ งมคี วามสอดคลอ ง กบั เน้อื หา สอ่ื ความหมายไดช ดั เจน ดงึ ดดู ความสนใจ และเพ่อื ใหเ ขา ใจงา ยข้นึ พชั รนิ ทร จนั ทรแ จง (2559) ไดศกึ ษาความหมาย และลักษณะของคมู อื ท่ดี ี ควรมี ลกั ษณะ ดังน้ี 1) ดานรปู แบบ มีขนาดรูปเลม เหมาะสม ตัวอกั ษรอา นงาย ชดั เจน มรี ูปภาพ ประกอบ เหมาะสมกบั เนอื้ หาและการนําเสนอกิจกรรมแตล ะขัน้ ตอนมีความชดั เจน 98

วารสารฟาเหนือ ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย 2) ดา นเน้อื หา วตั ถุประสงคข องคมู อื กาํ หนดไวชดั เจน เหมาะสม ระบขุ อบขา ย เนอ้ื หา คมู อื ครอบคลมุ ตามวตั ถปุ ระสงค คาํ แนะนาํ การศกึ ษาคมู อื เขยี นไวช ดั เจน เขา ใจงา ย เนื้อหาความรูมคี วามเหมาะสมตรงกับความตองการและความจาํ เปน 3) ดา นการนาํ ไปใช กําหนดข้นั ตอนการศึกษาคูมอื ไวชัดเจน กําหนดกิจกรรม เน้ือหา และแบบฝกไดส ัมพันธกัน และมกี ิจกรรมประเมินผลเหมาะสมกบั เนอื้ หาของคูมอื ในสว นของการสือ่ สารภาษาองั กฤษนั้น สหทัศน ศ. และคณะ (2560) พบวาคูมอื สนทนาภาษาองั กฤษ สามารถแกป ญ หาการสอ่ื สารภาษาองั กฤษในการสอ่ื สารกบั นกั ทอ งเทย่ี ว ชาวตางชาติในการขายสินคาของกลุมวิสาหกิจทอผาไหมแพรวาและผูเขารวมอบรมทุกคน มีความพึงพอใจตอ คูมอื สนทนาภาษาอังกฤษอยใู นระดับมากทีส่ ุด สรปุ จากความหมายและลกั ษณะคมู อื ท่ไี ดก ลา วมาขา งตน ผวู จิ ัยสามารถศึกษานาํ มา เปนแนวทางในการสรางคูมือภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารสําหรับผูสูงวัยในศตวรรษที่ 21 ซงึ่ อยใู นรปู ของเอกสาร หรอื หนงั สอื เพอื่ ใหผ สู งู วยั ทน่ี าํ ไปใชส ามารถจะปฏบิ ตั ติ ามใหส าํ เรจ็ ลุลว งตามวัตถปุ ระสงค ทีต่ ง้ั เปา ไวในเอกสารหรือหนงั สือนน้ั ไดดวยตนเอง สําหรบั การศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวของกบั การศกึ ษาของผูสงู วยั นั้น อาชัญญา รัตนอุบล และคณะ (2555) พบวา กรณีศึกษาที่ดีของประเทศไทย เปน การจดั กจิ กรรมทใี่ หค วามสาํ คญั กบั ผสู งู วยั ครอบครวั และชมุ ชนโดยรวม โดยบรู ณาการ กิจกรรม การเรียนรแู ละกจิ กรรมการเตรยี มความพรอม เพอื่ ใหผ สู งู วยั มคี ณุ ภาพชวี ติ ท่ดี ีอยู รว มกบั ผอู นื่ ในสงั คม สว นขอ มลู ปญ หาและความตอ งการการสง เสรมิ การจดั การศกึ ษา/การเรยี นรู สําหรับผูสูงวัยพบวา ผูสูงวัยมีปญหาสุขภาพทางกายมากที่สุด มีความตองการดานความ เชยี่ วชาญของวทิ ยากร/ผสู อนมากทส่ี ดุ รปู แบบและแนวทางการสง เสรมิ การจดั การศกึ ษา/ การเรียนรเู พอ่ื การพฒั นาศักยภาพผสู ูงวัยแบง ออกเปน 5 รปู แบบ ประกอบดวย รปู แบบ มหาวิทยาลัยวัยท่ีสาม รูปแบบศูนยเอนกประสงคสําหรับผูสูงวัยในชุมชน รูปแบบเมือง/ ชมุ ชนสาํ หรบั ผสู งู วยั รปู แบบชมรมผสู งู วยั /สโมสรผสู งู วยั และรปู แบบการรวมกลมุ ของผสู งู วยั ตามอัธยาศยั ธรี ศกั ดิ์ สรอ ยครี ี และ อจั ฉรา ปรุ าคม (2019) พบวา ผสู งู อายมุ สี มรรถนะสงู ขน้ึ โดย พจิ ารณาเปน รายดา น เชน ดา นความรกู ารใชเ ทคโนโลยเี พอ่ื การเรยี นรตู ลอดชวี ติ , ดา นทศั นคติ การใชเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรูตลอดชีวิต โดยเฉพาะความรูสึกเก่ียวกับการใชเทคโนโลยี 99

วารสารฟาเหนอื ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย ชว ยทาํ ใหเ รยี นรสู ง่ิ ใหมๆ การใชส มารท โฟน ชว ยในการตดิ ตอ สอ่ื สาร การใชเ ทคโนโลยที าํ ให เรียนรูจากสอื่ ท่ีหลากหลาย และการเรยี นรูเ ทคโนโลยีทําใหเ ขา ใจคนสมัยใหมม ากขึ้น และ ดา นทกั ษะการใชเ ทคโนโลยเี พอื่ การเรยี นรตู ลอดชวี ติ ผลการประเมนิ ดา นทกั ษะพบวา ผสู งู อายุ ที่เรียนรูโดยใชรูปแบบนวัตกรรมบทเรียนออนไลนเพ่ือการเรียนรูตลอดชีวิตสูงกวากอนเรียนรู โดยเฉพาะทักษะใชสมารท โฟน ฐติ มิ า ดวงวนั ทอง (2560) พบวา การศกึ ษาทมี่ คี วามเหมาะสมกบั ผสู งู อายมุ ากทส่ี ดุ คือการศึกษาตลอดชีวิต สําหรับผูสูงอายุ โดยมีหมวดเน้ือหาการเรียนรู ท้ังหมด 5 ดาน ประกอบไปดว ย เนอื้ หาดา น สขุ ภาพอนามยั ทเี่ หมาะสมกบั วยั ผสู งู อายุ เนอื้ หาดา นการปรบั ตวั ทาง สงั คมและจติ ใจ เนอ้ื หา ดา นการออม เนอื้ หาดา นการเรยี นรแู ละเนอื้ หาดา นสทิ ธขิ อง ผสู งู อายตุ ามกฎหมาย และไดน าํ มาประยกุ ตเ ขา กบั การเรยี นรแู บบบรู ณาการครบวงจร โดย ใชกจิ กรรมทางการเกษตร หัตถกรรม และกจิ กรรมการขาย เปนตัวสงเสรมิ การเรียนรู สวุ ธิ ดิ า จรงุ เกยี รตกิ ลุ (2558) พบวา แนวทางการจดั ศกึ ษาตลอดชวี ติ เพอ่ื การขบั เคลอ่ื น ชุมชนการเรียนรูท่ีเหมาะสมกับบริบทสังคมและวัฒนธรรมของประเทศไทยเปนการจัด กระบวนการเรียนรูใหมีผลตอการเรียนรูตลอดชีวิตของบุคคลและชุมชนประกอบดวย องคประกอบหลักแนวทางการจัดการศึกษาตลอดชีวิต และผลผลิตจากการจัดการศึกษา ตลอดชวี ติ เพอ่ื ขับเคลื่อนชมุ ชนการเรยี นรู กิจปพน ศรีธานี และคณะ (2563) พบวา 1) ระดับความตองการการเรยี นรตู ลอด ชีวิตของผูสูงอายุโดยรวมอยูในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาระดับความตองการเปน รายดานพบวา ผูส งู อายมุ คี วามตองการเรียนรดู านการออมมากทีส่ ุด รองลงมา คอื ดาน สขุ อนามัย และดานการปรับตวั ทางดา นจติ ใจ ตามลาดับ 2) การวเิ คราะหห าความสัมพันธ พบวา เพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายไดม ีความสมั พันธกบั ความตองการเรยี นรูตลอด ชวี ติ อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ (p<0.05) ความตอ งการการเรยี นรตู ลอดชวี ติ ปจ จยั ทมี่ คี วาม สัมพันธตอความตองการการเรียนรูตลอดชีวิตของผูสูงอายุ ในตําบลแวงนาง อําเภอเมือง จังหวดั มหาสารคาม สชุ าดา แมนพยคั (2017) พบวา สภาพการเรยี นรู และความตองการเก่ยี วกบั การเรียนรู ของผูสูงอายุ อยูในระดับมากทุกดาน รูปแบบการเรียนรูของผูสูงอายุ เพ่ือพัฒนาคุณภาพ ชีวิตทพ่ี ัฒนาขน้ึ มี 3 สว น คอื สวนท่ี 1 หลกั การและเหตุผลวัตถปุ ระสงค และสาระการเรียนรู 100

วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชยี งราย ของผูสงู อายุสวนท่ี 2 องคป ระกอบของรูปแบบซึ่งมี 6 องคประกอบ คือ 1) วิธีการเรียนรู เปนวิธีการท่ีผูเรียนเปนผูกําหนดเองท่ีสอดคลองกับการดําเนินชีวิต 2) เงื่อนไขการเรียนรู เปน ปจ จยั ทท่ี าํ ใหเ กดิ การเรยี นรู 3) เนอ้ื หาการเรยี นรเู ปน สาระและกระบวนการทเ่ี ปน สอ่ื ให เกิดการเรียนรู 4) ส่ือการเรียนรูเปนปจจัยสงเสริมการเรียนรู 5) กิจกรรมการเรียนรูเปน กิจกรรมตามสภาพแวดลอมที่เอื้อตอวิถีชีวิตอยางไมเปนทางการตามศักยภาพและความ ตองการของผูสูงอายุ 6) ปจจยั เกอื้ หนุนเปนสว นท่เี ออ้ื ใหไ ดเรยี นรอู ยา งตอเน่ืองตลอดชีวิต ท่ีสอดคลอ งกบั บริบทสังคมไทย ไพบรู ณ พงษแ สงพนั ธ และคณะ (2557) ทาํ การวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นาการเรยี นรแู ละ อาชีพของผสู งู อายุ : การวเิ คราะหสถานการณ พบวา เพศหญงิ มากกวา เพศชาย และมีอายุ ระหวา ง 60-84 ป สว นใหญอ ยใู นสถานภาพสมรสและมรี ะดบั การศกึ ษาในระดบั ประถมศกึ ษา งานในปจจุบันที่ทําสวนการคาขายธุรกิจสวนตัวรับจางทั่วไป สวนใหญทํางานวันละ 4-8 ชวั่ โมงตอ วนั โดยสว นใหญท าํ งานเดอื นละมากกวา 20 วนั รายไดต อ คนสว นใหญอ ยรู ะหวา ง เดอื นละ 5001-10000 บาท ผสู งู อายสุ ว นใหญไ มม คี วามรเู กย่ี วกบั แหลง การเรยี นรู (56.57%) และไมเ คยเขา รว มกจิ กรรมการเรยี นรเู พอื่ พฒั นาตนเอง (49.85%) สว นกลมุ ตวั อยา งทพี่ ฒั นา ความรหู รอื ทกั ษะในการทาํ งาน ตอ งการพฒั นาความรแู ละทกั ษะในการทาํ งานในดา น ภาษา ตา งประเทศ เชน ภาษาอังกฤษ ภาษาอาเซยี น คณติ ศาสตร การพัฒนาธุรกจิ การพฒั นา อาชพี ดา นตา งๆ ทกั ษะการทาํ งานใหม ปี ระสทิ ธภิ าพและมรี ายไดเ พม่ิ ขน้ึ จากการเปรยี บเทยี บ ปญ หาการเรยี นรขู องผสู งู อายุ พบวา ปญ หาดา นการเขา รว มกจิ กรรมการเรยี นรเู พอ่ื การพฒั นา ตนเองและดา นการไดร บั การสง เสรมิ สนบั สนนุ การเรยี นรจู ากหนว ยงานตา งๆ ในแตล ะกลมุ อายุ มคี วามแตกตา งกนั โดยพบวา อายุ 60-64 ป มปี ญหาสูงกวา ในกลุมอายุ 65-69 ป และ 70-74 ป ตามลาํ ดบั กลมุ อาชพี ประมง และกลมุ อาชพี รบั จา งทวั่ ไป มปี ญ หาดา นการไดร บั การพฒั นา ทักษะในการเรียนรูในการประกอบอาชีพสูงกวากลุมอาชีพอ่ืน การเปรียบเทียบความ ตองการดานการฝกนิสัยการเรียนรูอยางตอเน่ืองและดานการไดรับการสงเสริมสนับสนุน การเรยี นรูจากหนวยงานตา งๆ พบวา กลุมรายได 5001-10000 บาท มคี วามตองการสงู กวาในกลุมรายไดอ ืน่ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ดังนน้ั หนวยงานทีเ่ กีย่ วขอ งจึงควรใหความ สาํ คัญกับการสงเสรมิ สนบั สนนุ การเรยี นรใู หก ับผูส ูงอายุเพ่มิ ข้นึ โดยเฉพาะกลุมอายุ 60-64 ป ทม่ี รี ายไดน อ ยและไมม รี ายไดเ สรมิ ซง่ึ เปน กลมุ ทจ่ี าํ เปน ตอ งไดร บั การเรยี นรเู พม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั การประกอบอาชพี เพ่อื เพ่มิ รายได 101

วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย ทนงคศ ักดิ์ ยิ่งรตั นสขุ และคณะ (2558) ทําการวิจยั ดานการพัฒนารปู แบบการเรยี นรู และอาชพี ของผสู งู อายุ การเรียนรเู พอื่ สง เสรมิ ภาวะพฤฒพิ ลัง ในชมุ ชนเขาสามมกุ ในเขต เทศบาลเมืองแสนสุข อาํ เภอเมือง จงั หวดั ชลบุรี พบวา ผสู ูงอายทุ ีส่ วนใหญไ มม คี วามรเู กี่ยว กบั แหลง การเรยี นรู (60.0%) ไมเคยเขารว มกิจกรรมการเรียนรเู พ่อื พฒั นาตนเอง (50.0%) ไมรูวิธีการเรียนรู (50.0%) และไมเคยไดรับการฝกทักษะในการเรียนรู (50.0%) ในดาน ความตอ งการดา นการเรยี นรู สว นใหญ ไมต อ งการพฒั นาวธิ กี ารเรยี นรู (60.0%) ไมต อ งการ ใชแหลงเรียนรู (50.0%) ไมตองการเขารวมกิจกรรมการเรียนรูเพื่อการพัฒนาตนเอง (50.0%) ไมต องการฝก นิสยั การเรียนรูอยา งตอเนอ่ื ง (50.0%) ไมต องการไดรับการสง เสรมิ สนับสนุนการเรียนรู (40.0%) แตมีความตองการไดรับการพัฒนาทักษะในการเรียนรู (55.0%) รปู แบบการเรยี นรทู พี่ ฒั นาขน้ึ คอื โครงการอบรมใหค วามรแู กผ สู งู อายเุ รอื่ งปญ หา สขุ ภาพจากการทาํ งาน จากนน้ั กลมุ ตวั อยา งนาํ ความรทู ไี่ ดจ ากการอบรมไปใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั โดยมกี ารหยดุ พกั หรอื เปลยี่ นอริ ยิ าบถระหวา งการทาํ งานเปน ระยะๆ บางคนเขา รว มกจิ กรรม ออกกาํ ลงั กายโดยการราํ กระบองทกุ วนั เปน เวลา 1 เดอื น ผลการเปรยี บเทยี บภาวะพฤฒพิ ลงั พบวา กลมุ ตวั อยา งมภี าวะพฤฒพิ ลงั หลงั เรยี นรสู งู กวา กอ นเรยี นรู อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ ที่ระดบั .05 ฐติ ิกาญจน อศั ตรกุล (2562) พบวาแบบแผนการใชเ วลาในการเรียนรขู องผูสงู อายุ ไทยเปลยี่ นแปลงเลก็ นอยในชวง ป 2544-2558 กลาวคอื เกือบทง้ั หมดไมไ ดใชเวลาในการเรยี นรู และกลุมที่ไดใชเวลาในการเรียนรูสวนใหญเปนการเรียนรูแบบไมเปนทางการ สะทอนให เหน็ วา แมจ ะมนี โยบายทเี่ กยี่ วกบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ และการสง เสรมิ การเรยี นรใู นกลมุ ผูสูงอายุเพิ่มมากขึ้น จากการตระหนักถึงการเปนสังคมสูงวัยของสังคมไทยและการเรียนรู ตลอดชวี ติ ของผสู งู อายมุ คี วามสาํ คญั ตอ การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ แตฐ ติ กิ าญจน พบวา มผี สู งู อายุ จาํ นวนมากทไ่ี มไ ดใ ชเ วลาในการเรียนรู ประเดน็ นอ้ี าจสะทอนได 2 มติ ิ ไดแ ก การใหน ิยาม เกย่ี วกบั การเรยี นรใู นกลมุ ผสู งู อายุ ทไี่ มค รอบคลมุ กจิ กรรมการเรยี นรทู ส่ี อดคลอ งกบั ชว งวยั และ การนาํ นโยบายไปปฏบิ ตั จิ รงิ ทตี่ องคํานึงถึงความสะดวกในการเขาถงึ แหลง เรยี นรูของ ผูสงู อายุ จากงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ งขา งตน จะเหน็ วา งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วกบั การพฒั นาเพอ่ื สนบั สนนุ สง เสรมิ ศกั ยภาพของผสู งู วยั ทง้ั สน้ิ โดยเนน การจดั กจิ กรรมทสี่ อดคลอ งและเหมาะสมกบั ผสู งู วยั ซึ่งสามารถปรับและนาํ ไปใชใ นการจัดทาํ คมู ือภาษาอังกฤษเพ่ือสูงวยั ในศตวรรษท่ี 21 ได 102

วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย วิธกี ารวจิ ัย การวจิ ยั ในครงั้ นมี้ ขี ้ันตอนและวิธกี ารในการดําเนนิ การวจิ ัยดงั ตอ ไปน้ี ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพ ปญหาและความตองการการใชภาษาอังกฤษเพื่อ การส่อื สารของผูสงู วัยในศตวรรษที่ 21 ในเขตอาํ เภอเมอื ง จงั หวัดเชยี งราย ขั้นตอนท่ี 2 ศึกษาแนวทางในการพัฒนาคูมือภาษาอังกฤษเพ่ือการสื่อสารของ ผูส งู วยั ในศตวรรษที่ 21 ในเขตอาํ เภอเมือง จงั หวดั เชียงราย เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ นการศกึ ษารวบรวมขอ มลู เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ นการรวบรวมงานวจิ ยั ครง้ั นี้ คอื แบบสอบถามขอ มลู ขน้ั พนื้ ฐานความตอ งการ คมู อื พฒั นาภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษที่ 21 โดยสรา งแบบสอบถามอยใู นรปู แบบ ของชดุ เอกสารและแบบออนไลน ปรบั ปรงุ ตามความคดิ เหน็ และขอ เสนอแนะของผเู ชยี่ วชาญ ดา นภาษาองั กฤษเพอื่ การสอื่ สาร จาํ นวน 3 ทา น เพอื่ ตรวจสอบคา ความเทย่ี งตรงของเนอ้ื หา (Content Validity) และรูปแบบของการใชภาษาและหาคาดัชนีความสอดคลอง (IOC- Index of item -Objective Congruence) โดยหลังจากผูเช่ียวชาญตรวจสอบแลว แบบสอบถามถกู แบง ได ออกเปน 3 สวน คือ สวนท่ี 1 คาํ ถามปลายเปด ซึ่งเปน ขอ มลู ทั่วไป เกี่ยวกบั เพศ อายุ และภมู ิลาํ เนา ของ ประชากรกลุมตัวอยา ง สวนท่ี 2 คาํ ถามปลายปด ซึง่ เปนขอมลู สอบถามความคิดเหน็ เก่ยี วกับทกั ษะภาษา องั กฤษของกลมุ ประชากรตัวอยา ง สว นที่ 3 ขอเสนอแนะเพมิ่ เตมิ ท้งั น้ี มกี ารนาํ ผลมาหาคา เฉล่ยี แลวเลือกแบบสอบถามที่มคี า สอดคลอง ต้ังแต 0.5 ขน้ึ ไป มาใชใ นการวจิ ยั ซงึ่ ในวจิ ยั ครงั้ น้ี แบบประเมนิ ผเู ชย่ี วชาญ มคี า เฉลย่ี สอดคลอ ง (IOC) เทา กับ 1.00 ทงั้ 2 ฉบบั ซึ่งถอ่ื วา มีความสอดคลองอยใู นเกณฑท ี่ยอมรบั ได วิธกี ารเก็บรวบรวมขอมูล 1. เลอื กพน้ื ทว่ี จิ ยั โดยกาํ หนดใหอ ยใู นเขตพน้ื ทเ่ี ทศบาลอาํ เภอเมอื ง และพน้ื ทใ่ี กลเ คยี ง จังหวัดเชียงราย 103

วารสารฟา เหนือ ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2. ผูวิจัยศึกษาถึงความตองการของกลุมผูสูงวัยในชุมชนพ้ืนที่ศึกษาในการพัฒนา ศักยภาพ 3. ศกึ ษาขอ มลู พื้นฐานของพ้ืนทีโ่ ดยศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วของ 4. ออกแบบเครอ่ื งมอื วจิ ยั ทใ่ี ชค อื แบบสอบถาม โดยผา นการประเมนิ ของผเู ชย่ี วชาญ (IOC) 5. นาํ แบบสอบถามท่ผี า นการปรบั ปรงุ แกไ ขเรยี บรอ ยแลว ไปใหก ลมุ ตัวอยา ง ทําแบบสอบถาม 6. นาํ ขอ มลู ทไ่ี ดจ ากการศกึ ษาขอ มลู พน้ื ฐาน และแบบสอบถาม มาทาํ การวเิ คราะห และเพ่ือนําไปใชเปนแนวทางในการพัฒนาคูมือภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารสําหรับผูสูงวัย ในศตวรรษท่ี 21 ใหต รงตามวัตถปุ ระสงคข องงานวจิ ยั ตอไป การวเิ คราะหขอมูล สถติ ทิ ใ่ี ชใ นการวเิ คราะหข อ มลู ไดแ ก คา ความถี่ รอ ยละ คา เฉลย่ี และคา สว นเบย่ี งเบน มาตรฐาน สว นขอ มลู จากการสมั ภาษณแ ละการสนทนากลมุ ใชก ารวเิ คราะหเ นอื้ หา การวเิ คราะห ขอ มลู เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจของผสู งู วยั ทม่ี ตี อ การพฒั นา คมู อื ภาษาองั กฤษเพอ่ื การสอ่ื สาร สาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษที่ 21 โดยใชส ถติ พิ รรณนา (Descriptive Statistics) โดย คา เฉลยี่ (Mean) คา เบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ซง่ึ ขอ มลู ทไี่ ดจ ากการวเิ คราะหข อ มลู จะถกู นํามาเปรียบเทยี บกับเกณฑ ระดบั ความพงึ พอใจทผี่ ูวิจัยไดส รางข้นึ ดังนี้ คา เฉลยี่ 0.00 - 1.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจตอ คมู อื ในระดับนอยมาก คาเฉลีย่ 1.01 - 2.00 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจตอ คมู ือในระดับนอย คา เฉลี่ย 2.01 - 3.00 หมายถึง มีความพึงพอใจตอคูมือในระดบั ปานกลาง คา เฉลยี่ 3.01 - 4.00 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจตอคมู อื ในระดับมาก คา เฉลยี่ 4.01 - 5.00 หมายถึง มีความพงึ พอใจตอคมู ือในระดบั มากที่สดุ การวิเคราะหข อมูลเชิงคุณภาพใชการวิเคราะหเน้ือหา (Content Analysis) โดย การจําแนกถอยคํา หรือขอความที่กลุมตัวอยางแสดงความคิดเห็น แลวนํามาตีความ สังเคราะห และวิเคราะหดวยหลักแหงเหตุผล สรางขอสรุปแบบ อุปนัย (Inductive 104

วารสารฟาเหนือ ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย Analysis) อภปิ รายถงึ ขอ เทจ็ จรงิ ทคี่ น พบตามสภาพการณ ปรากฏการณ ความสมั พนั ธ และ ประเด็นสาํ คญั เพอ่ื ตอบคาํ ถามการศกึ ษา ผลการวจิ ัย จากการสาํ รวจประชากรตวั อยางผสู ูงวยั จาํ นวน 50 คน ท่ีตอบแบบสอบถามทั้งใน รปู แบบเอกสารและออนไลน พบวา รอยละ 56 เปน เพศหญงิ และรอ ยละ 44 เปน เพศชาย สาํ หรบั ชวงอายุผูสงู วยั อายรุ ะหวาง 60-65 ป มีจาํ นวนมากทสี่ ุด คิดเปนรอยละ 36 รองลง มา ชวงอายุ 55-59 ป คดิ เปนรอ ยละ 18 และชว งอายุ 66-70 ป คิดเปน รอยละ 10 ซง่ึ หาก พิจารณาจากชว งอายแุ ลวคมู ือการพฒั นาภาษาองั กฤษสาํ หรับผูสงู วัยในศตวรรษที่ 21 คอื อายุระหวา ง 60-65 ป ซึ่งเปน วยั พรอ มทีจ่ ะเรยี นรูดว ยตนเอง หากพจิ ารณาถึงระดบั การศึกษาของผูสงู วัย พบวา สวนใหญจบการศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา คดิ เปนรอ ยละ 46 และระดับมัธยมศึกษา คิดเปนรอยละ 16 ซึ่งหากพัฒนาคูมือภาษาอังกฤษ ควรพิจารณา เนอื้ หาใหเ หมาะกบั พน้ื ฐานการศกึ ษาของผสู งู วยั ผสู งู วยั ระบวุ า ไมเ คยเรยี นภาษาองั กฤษดว ย ตนเองมากอ น คดิ เปน รอ ยละ 64 ซงึ่ ถอื วา เปน จาํ นวนคอ นขา งเยอะ เปน ผลมาจากขอ จาํ กดั ของโอกาสในการศกึ ษา ผสู งู วยั รอ ยละ 48 ระบวุ า มที กั ษะภาษาองั กฤษนอ ยทส่ี ดุ และรอ ยละ 22 มีทกั ษะระดบั ปานกลาง และรอ ยละ 20 มที กั ษะระดับนอ ย แสดงใหเห็นวา ผูส งู วัยยงั ขาด ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ (การพูดและการฟง) สาํ หรบั ความคดิ เห็นตอความเพยี งพอ ของทกั ษะภาษาอังกฤษท่มี ตี อการส่ือสาร ผูส งู วัย รอ ยละ 78 คดิ วา ตนเองยังมไี มเ พียงพอ รอ ยละ 96 คดิ วา การสอ่ื สารภาษาอังกฤษมีความจาํ เปน จากผลการสํารวจเก่ียวกับแหลง เรยี นรเู พ่มิ เติมในการสือ่ สารภาษาองั กฤษของผสู งู วยั รอ ยละ 38 ระบุวาใชวิธกี ารสอบถาม ผูรูและผเู ช่ียวชาญ รอยละ 28 ใชวิธกี ารศึกษาดวยตนเองผา นตาํ รา รอยละ 18 ศกึ ษาดวย ตนเอง และลําดับสดุ ทา ย รอ ยละ 16 ระบวุ า ศึกษาดว ยตนเองผานส่ืออิเล็กทรอนิกส เชน ซีดี และ แอปพลเิ คชน่ั สาํ หรับความสนใจในการศึกษาเพ่ิมเตมิ ผสู งู วยั รอยละ 64 ระบวุ า มคี วามสนใจในการศกึ ษาภาษาองั กฤษเพม่ิ เตมิ ในขณะทร่ี อ ยละ 36 ระบวุ า ไมม คี วามสนใจ ในสวนของรูปแบบคูมือภาษาอังกฤษในผูส งู วัยในศตวรรษท่ี 21 ผูสูงวัย รอยละ 44 ระบุ ตอ งการคูม ือทีเ่ ปนรปู เลม รอยละ 38 ตองการในรปู แบบวิดโี อ เทปบันทกึ เสยี ง และรอยละ 18 ตอ งการในรปู แบบในแอปพลิเคชนั่ ดา นความถใ่ี นความตองการการศกึ ษาดว ยตนเองของ 105

วารสารฟา เหนือ ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย ผูสูงวัย พบวา รอยละ 50 มคี วามตองการศกึ ษาดวยตนเอง เปนเวลา 1 ช่วั โมงตอ สัปดาห รอ ยละ 34 พบวา มคี วามตองการนอยกวา 30 นาทีตอ สัปดาห, รอยละ 6 พบวา มคี วาม ตองการมากกวา 2 ชว่ั โมงขน้ึ ไป และรอยละ 10 มีความตองการ 2 ช่ัวโมงตอ สัปดาห ผสู งู วัย รอยละ 54 มปี ญ หาดา นสายตา รอยละ 18 มีปญ หาดา นการฟง รอ ยละ 14 มปี ญหาดาน สุขภาพและโรคประจาํ ตวั รอ ยละ 8 ระบวุ า ไมม ปี ญหาใดๆ และลําดับสดุ ทา ย รอ ยละ 6 ระบุวา ตองดแู ลบุตรหลาน ตามลําดบั ในสว นของความตอ งการเนอื้ หาในคมู อื การสอ่ื สารภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั เรยี ง ลาํ ดับจากมากไปนอ ย 1.) การทักทาย (Greeting) (รอยละ 70) 2.) คาํ ศัพทเกยี่ วกบั อาหาร และการกิน (Food and Eating) (รอยละ 52) 3.) การบอกเวลา (Timing) (รอยละ 38) 4.) คาํ ศัพทเก่ียวกับการไปพบแพทย (Medical Term) (รอยละ 36) 5.) การบอกทิศทาง (Direction) (รอยละ 30) 6.) คาํ ศพั ทเ ก่ยี วกบั ผลไม (Vegetable and fruits) (รอยละ 28) และ 7.) คาํ ศัพทเ กย่ี วกบั การรบั โทรศพั ท Telephoning Expression ภาพที่ 1 ความตองการดานเนือ้ หาในคมู อื ภาษาอังกฤษเพอื่ การสื่อสารสาํ หรบั ผสู ูงวยั ในศตวรรษที่ 21 สําหรับความคิดเห็นของผูสูงวัยตอประโยชนของการพัฒนาคูมือการส่ือสารภาษา องั กฤษสําหรับผสู ูงวัยในศตวรรษท่ี 21 รอยละ 32 คดิ วา มปี ระโยชนระดับมากที่สดุ รอ ยละ 28 106

วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย คดิ วา มีประโยชนร ะดับปานกลาง รอ ยละ 20 มีประโยชนร ะดับมาก รอยละ 12 มีประโยชน ในระดบั นอ ย, และรอ ยละ 8 เหน็ วา มปี ระโยชนในระดบั นอยท่ีสดุ ภาพท่ี 2 ความคิดเห็นตอประโยชนของการคูมอื การสอ่ื สารภาษาองั กฤษสาํ หรับผสู งู วยั สําหรับขอเสนอแนะท่ีประชากรตัวอยางใหขอเสนอแนะ มีดังนี้ 1.) ถาจัดทําเปน เอกสารควรทาํ ตวั อกั ษรขนาดใหญ อา นงา ย 2.) ถา อยใู นรปู แบบแอปพลเิ คชน่ั กจ็ ะดี 3.) ควร จะมีคูมือสําหรับผูสูงวัยท่ีสามารถใชไดกับการส่ือสารในชีวิตประจําวันและสามารถสื่อสาร กบั ชาวตา งชาติได 4.) ควรมสี ือ่ ที่เขาใจและจําไดง า ย และ 5.) ขอแบบทผ่ี ูสงู วัยเขาใจไดง าย อยากใหคูม อื ประกอบภาพและเสียงดว ย อภปิ รายผลและสรปุ ผล จากการศกึ ษาความตอ งการคมู อื การสอ่ื สารภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั ในศตวรรษ ที่ 21 ในเขตอําเภอเมอื ง จังหวัดเชียงราย พิจารณาจากชว งอายแุ ลว คมู อื การพฒั นาภาษา อังกฤษสําหรบั ผสู ูงวยั ในศตวรรษที่ 21 คืออายรุ ะหวา ง 60-65 ป ซึง่ เปน วยั พรอมที่จะเรียนรู ดว ยตนเอง สอดคลอ งกับอาชัญญา (2011), ไพบรู ณ (2557) และฐิตมิ า (2560) และหาก พัฒนาคูมือภาษาอังกฤษ ควรพิจารณาเนอื้ หาใหเ หมาะกบั พืน้ ฐานการศกึ ษาของผสู งู วยั ใน ระดับประถมศึกษา เนื่องจาก ผูสูงวัยระบุวาไมเคยเรียนภาษาอังกฤษดวยตนเองมากอน เปน ผลมาจากขอ จาํ กดั ของโอกาสในการศึกษาในอดตี สอดคลองกบั ไพบูรณ (2557) ทําให 107

วารสารฟา เหนือ ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย ผสู งู วยั ยงั ขาดทกั ษะการสอ่ื สารภาษาองั กฤษ (การพดู และการฟง ) โดยผสู งู วยั คดิ วา การสอื่ สาร ภาษาอังกฤษมีความจําเปนในการดําเนินชีวิต สวนใหญแลวผูสูงอายุเลือกใชวิธีการศึกษา ดว ยตนเองผานตาํ รา และมคี วามสนใจในการศึกษาภาษาอังกฤษเพ่ิมเตมิ โดยตอ งการคูม ือ ทเ่ี ปน รปู เลม ทเ่ี หมาะสาํ หรบั การเรยี นรเู ปน เวลา 1 ชวั่ โมงตอ สปั ดาห, เนอ่ื งจากผสู งู วยั สว นใหญ มปี ญหาดา นสายตา ในการทําคูมือฯ ควรใชตัวหนงั สอื ทมี่ ขี นาดใหญ อานงา ย ที่มีเน้อื หาเนน 1.) การทักทาย 2.) คําศัพทเ กี่ยวกบั อาหารและการกนิ 3.) การบอกเวลา 4.) คาํ ศัพทเ ก่ียวกับ การไปพบแพทย 5.) การบอกทิศทาง 6.) คาํ ศพั ทเกย่ี วกับผลไม และ 7.) คําศัพทเก่ียวกบั การรับโทรศัพท ซ่ึงมีประโยชนในการพัฒนาศักยภาพของผูสูงวัยในการเรียนรูตลอดชีวิต สอดคลอ งกบั ผลวจิ ยั ของสชุ าดา (2017) ทพ่ี บวา เนอื้ หาการเรยี นรู เปน สาระและกระบวนการ ที่เปน สอ่ื ใหเกิดการเรยี นรูของผสู ูงวัย จากผลการสํารวจและวิจัย สามารถนําผลการศึกษาเปนฐานขอมูลและนําไป พัฒนาการจัดทําคูมือภาษาอังกฤษใหเหมาะสมกับผูสูงวัย โดยพิจารณาจากความตองการ และการเล็งเห็นถึงผลประโยชนท่ีผูสูงวัยท่ีจะไดรับ นําผลการวิจัยในสวนของรูปแบบคูมือ มาออกแบบคมู อื ภาษาองั กฤษซง่ึ จากผลจะเหน็ วา ผสู งู วยั ยงั คงมคี วามตอ งการคมู อื ในรปู แบบ ทเี่ ปน รปู เลม ซง่ึ เหมาะสาํ หรบั การใชง านโดยอาจพฒั นาคมู อื ใหม รี ปู เลม เหมาะสาํ หรบั การอา น สาํ หรบั ผทู ม่ี ีปญ หาทางดา นสายตา โดยใหใ ชต วั หนังสือขนาดใหญ จากผลจะเหน็ วาผูสงู วยั ตอ งการเรียนรคู าํ ศพั ทเ กีย่ วกบั การทักทาย คําศพั ทเ ก่ยี วกบั อาหารการกนิ คําศพั ทเกยี่ วกบั การบอกเวลา คําศัพทเกี่ยวกับการไปพบแพทยและคําศัพทเก่ียวกับการบอกทิศทาง โดย สามารถนาํ ผลเหลา นไี้ ปใสใ นคมู อื ได โดยการพฒั นาคมู อื ภาษาองั กฤษสาํ หรบั ผสู งู วยั จะเปน ประโยชนตอ การพัฒนาศักยภาพของผูสูงวัย เปน การสนับสนุนการเรยี นรตู ลอดชวี ิต (long life learning) ได สําหรับขอเสนอแนะในการทํางานวิจัยคร้ังตอไปควรมีการศึกษาและจัดทําคูมือใน ภาษาอ่นื ๆ เชน ภาษาญปี่ ุน ภาษาจีน ภาษาเกาหลี เปนตน และควรมกี ารขยายพนื้ ท่ีใน การทาํ วจิ ยั ในเขตอาํ เภออนื่ ๆ และเปลย่ี นกลมุ ประชากรตวั อยา งเปน วนั กอ นการเกษยี ณอายุ 108

วารสารฟา เหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงราย เอกสารอา งองิ กรมกจิ การผสู ูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความม่ันคงของมนุษย. (2561). มาตรการขบั เคล่ือน ระเบียบวาระแหง ชาติ เรอ่ื ง สังคมผูส ูงอาย.ุ กรุงเทพฯ : อมรินทรพ รนิ้ ติ้งแอนดพ บั ลิชช่ิง. กิจปพน ศรธี านี ศศิธร กนั หาจันทร วรณุ ยภุ า หาสโี น และโยธะกา เย็นวฒั นา. (2563). ปจ จยั ทมี่ คี วามสมั พนั ธต อ ความตอ งการเรยี นรตู ลอดชวี ติ ของผสู งู อายุ ในตาํ บล แวงนาง อําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม วารสารราชพฤกษ ปท่ี 18 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2563) หนา 1-8. เกรียงศักด์ิ เจริญวงศศักด.์ิ (2551). การศึกษาเพือ่ ผูสงู อายุ. หนังสือพมิ พบ างกอกทูเดย. 18 กรกฎาคม 2551. เครือวัลล เผาผึ้ง. (2548). การพัฒนาคูมือการจัดการจัดกิจกรรมสงเสริมการอานคิด วิเคราะหและเขียนส่ือสําหรับครูภาษาไทย. วิทยานิพนธหลักสูตรปริญญาศึกษา ศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการนิเทศ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. ฐติ ิกาญจน อัศตรกุล. (2562). แบบแผนและปจจัยกําหนดการใชเวลาในการเรยี นรูข อง ผูสูงอายุไทย. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัย ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ : ปท ี 14 ฉบบั ที่ 1 เดอื นมกราคม – มถิ นุ ายน 2562. หนา 89-104. ฐติ ิมา ดวงวนั ทอง. (2560). การเรียนรสู าํ หรบั ผสู ูงอายุ (โรงเรียนผูส ูงอายุ) ปริญญานพิ นธ ทางสถาปต ยกรรม. สาขาสถาปตยกรรมศาสตร. มหาวทิ ยาลัยศรีปทมุ . ธีรศักด์ิ สรอยคีรี และ อัจฉรา ปุราคม (2019). การพัฒนารูปแบบนวัตกรรมบทเรียน ออนไลน เพ่ือการเรยี นรตู ลอดชวี ิตของผสู ูงอายุ (Development of Innova- tion Digital Learning with lifelong learning Model for the Elderly) Verician E-Journal, Silpakorn University Vol. 12 No. 4 (2019) : Humani- ties, Social Sciences, and Arts ( July – August 2019 ) หนา 414-430. 109

วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย ปย ะ ศกั ดเิ์ จรญิ (2558). องคป ระกอบสาํ คญั ทช่ี ว ยสง เสรมิ การเรยี นรตู ลอดชวี ติ . วารสาร ครศุ าสตร. ปท่ี 43 ฉบบั ที่ 2 ประจาํ เดือนเมษายน-มิถนุ ายน 2558. พลอยพรรณ เช่ียวชาญ. (2559). บทบาทของผูสูงอายุในการพัฒนาชุมชน. ปริญญา รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต วิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลรตั นโกสินทร. พัชรินทร จันทรแจง. (2559). การพัฒนาคูมือการเบิกจายในการจัดทําโครงการบริการ วิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. มหาวิทยยาลัยราชภัฏนครปฐม. โครงการวจิ ัยสถาบนั บรู ณาการงานวจิ ัยกับงานประจาํ R to R. ไพบูลย พงษแ สงพนั ธ ทนงศักดิ์ ยิ่งรตั นสขุ สวุ ชิ ัย โกศัยยะวัฒน และอนามัย เทศกะทกึ . (2557). การพฒั นาการเรยี นรแู ละอาชพี ของผสู งู อายุ : การวเิ คราะหส ถานการณ. มหาวิทยาลัยบรู พา. คณะสาธารณสุขศาสตร ลดั ดาวรรณ นวลสงค. (2558). การพฒั นาคมู อื ปฏบิ ตั กิ ารทาํ แผนทที่ นุ มนษุ ยเ พอื่ สขุ ภาวะ ของเครอื ขา ยชมุ ชนแบบมสี ว นรว ม กรณศี กึ ษา เครอื ขา ยสจั จะลดรายจา ยวนั ละ 1 บาท เพอ่ื ทาํ สวสั ดกิ ารเพอ่ื ประชาชน จงั หวดั สงขลา. วทิ ยานพิ นธ. วทิ ยาศาสตร มหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร. สหสั ทศั น ศ., สหสั ทศั น ช., วิมกุ ตานนท ธ., หารฤทธิ์ ., & ทรัพยส มบัติ น. (2017). การ พัฒนาคูมือสนทนาภาษาอังกฤษเพ่ือการส่ือสารกับนักทองเท่ียวตางชาติสําหรับ วสิ าหกจิ ทอผา ไหมแพรวาบา นโพน อาํ เภอคาํ มว ง จงั หวดั กาฬสนิ ธ.ุ วารสารการบรหิ าร การปกครอง มหาวทิ ยาลัยกาฬสนิ . ปที่ 6. ฉบับท่ี 2. กนั ยายน 2507. หนา 105-119. สาํ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ แหง ชาต.ิ (2557). แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม แหงชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560- 2564). สืบคนจาก https://www.nesdc. go.th/ewt_dl_link.php?nid=6422 วันทสี่ บื คน 12 พฤษภาคม 2563. 110

วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย สพุ รรณา เพ็ชรรักษา และสมเกียรติ กอบวั แกว . (2558). 21st Century ทกั ษะการเรียน รใู นศตวรรษใหม. (ออนไลน). แหลง ท่ีมา http://supannapetraksa.blogspot. com/ สุชาดา แมนพยัค. (2017). รูปแบบการเรียนรูของผูสูงอายุเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต. ปท่ี 8 ฉบับท่ี ฉบับพิเศษ (2017) : วารสารมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อบุ ลราชธานี. หนา 141-155. สธุ ีรา บัวทอง, สทุ ธิพงศ สภาพอตั ถ และศิริณา จนิ ตจรสั (2558). ผูสูงอายุกับเหตุผลใน การเรียนรู วิธีการเรียนรู และสิ่งท่ีตองการเรียนรู. วารสารศึกษาศาสตร. ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1,2 : June 2014 - March 2015 (มิถนุ ายน 2557 - มีนาคม 2558). หนา 6-17. สุรัสวดี จินดาเนตร. (2553). การพฒั นาคมู ือการสอนโครงงานคณติ ศาสตรสําหรับครู ใน ชว งชั้นท่ี 4 โรงเรียนดาราวิทยาลยั จังหวดั เชยี งใหม . มหาวิทยาลัยเชียงใหม, : ม.ป.ท. สวุ ธิ ดิ า จรงุ เกยี รตกิ ลุ . (2558). ปรชั ญาและมโนทศั นส งั คมแหง การเรยี นรู = Philosophy and Concepts of Learning Society. กรงุ เทพมหานคร : ศนู ยต าํ ราและเอกสาร ทางวิชาการ คณะครศุ าสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. วลยั วลั ล พมุ พงึ่ พทุ ธ. (2554). การพฒั นาคมู ือการจัดกจิ กรรมพัฒนาผูเรยี นตามหลกั สูตร ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน โรงเรยี นสาธติ แหง มหา ลยั รงั สติ . สารนพิ นธ. ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ . มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรว โิ รฒ. อาชญั ญา รัตนอบุ ล, วีระเทพ ปทมุ เจรญิ วฒั นา, วรรัตน ปทมุ เจรญิ วฒั นา, ปาน กมิ ป, และ ระวี สจั จโสพณ (2554). รายงานฉบบั สมบรู ณก ารศกึ ษาและการเรยี นรตู ลอดชวี ติ ของผสู งู อายไุ ทย. มลู นธิ สิ ถาบนั วจิ ยั และพฒั นาผสู งู อายไุ ทย (มส.ผส.) สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข (สวรส). คณะครุศาสตร จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั . กรุงเทพ. 111

วารสารฟาเหนือ ปท่ี 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชยี งราย Havighurst, Robert J. (Ed.). Society and Education : A Book of Readings. New York : Allyn & Bacon, 1967. 112

วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย เลาเร่อื งในเรอ่ื งเลา : กลวธิ กี ารนําเสนอความยอ นแยงท่นี ําไปสู ความขดั แยง ของสังคมใน “คืนปเ สอื และเรื่องเลาของสัตวอ นื่ ๆ” Frame Narrative : Strategies for Presenting the Controversy that Lead to Social Conflicts in “That Night of the Year of the Tiger and Other Animal Stories” วรโชติ ตะนา*1 บุณยเสนอ ตรวี ิเศษ2 Worachot Tana1 Bunsanoe Triwiset2 บทคดั ยอ คืนปเสือและเร่ืองเลาของสัตวอื่นๆ เปนผลงานรวมเร่ืองสั้นรางวัลวรรณกรรม สรา งสรรคยอดเย่ยี มแหงอาเซียน (S.E.A. Write Award) ประจาํ ป 2563 ของ จเดจ็ กาํ จรเดช นกั เขียนคณุ ภาพท่ไี ดร บั การยอมรบั อยา งสงู จากผูอ าน และวงการนักเขยี น จเดจ็ กาํ จรเดช เคยท่ีไดร บั รางวลั นี้มาแลว ในป 2554 จากเรื่อง แดดเชา รอ นเกนิ กวา จะนัง่ จิบกาแฟ จาก การวเิ คราะห คนื ปเ สอื และเรอ่ื งเลา ของสตั วอ นื่ ๆ พบลกั ษณะเดน ทช่ี ดั เจน คอื เปน รวมเรอื่ งสน้ั ในแนวสจั นยิ มมหัศจรรย ใชกลวิธีการเร่ืองเลาที่สรางความยอ นแยง ในตวั เอง การเลา เร่ือง แบบเรอื่ งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา การเลา เรอ่ื งในลกั ษณะดงั กลา ว สะทอ นใหเ หน็ สงั คมทม่ี คี วามซบั ซอ น ยอกยอ น คลมุ เครอื จนทาํ ใหผ คู นแยกไมอ อกวา อนั ใดคอื ความจรงิ อนั ใดคอื ความเสมอื นจรงิ คําสําคญั : คืนปเ สือและเรอ่ื งเลา ของสตั วอน่ื ๆ, จเด็จ กาํ จรเดช, เร่อื งเลา ในเรือ่ งเลา * Corresponding author, e-mail: [email protected], [email protected] 1 นกั ศกึ ษาปริญญาตรี คณะครุศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั บุรรี ัมย 1 Ungraduate student.,Faculty of Education ,Buriram Rajabhat University 2 รองศาสตราจารย ดร., คณะมนษุ ยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรรี ัมย 2 Associate Professror Dr.,Faculty of Humanities and Social Science ,Buriram Rajabhat University Received: Feb15, 2021 / Revised: March9, 2021 / Accepted: May3, 2021 113

วารสารฟาเหนือ ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย Abstract That Night of the Year of the Tiger and Other Animal Stories is a collection of short stories of Southeast Asian Writers Award (S.E.A. Write Award) for the year 2020 by Jadet Kamjorndet, a quality writer who is highly regarded by readers and the writers’ circles. Jadet Kamjorndet had received this award in 2011 for the story of “The Morning Sun is Too Hot to Sit Sipping Coffee”. From analysis, the Night of the Tiger and other Animal Stories has a distinct feature, which is a collection of short stories in a magical realism. The strategies of the storytelling was creating self-contradiction and frame narrative. Such a way of storytelling reflected a complex, controversy, and obscure society that made people unidentifiable which one is truth, which one is virtual. Keywords : That Night of the Year of the Tiger and Tale of Other Animals Jadet Kamjorndet Frame Narrative. 114

วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย บทนาํ เสน สมมตเิ วลาทสี่ รางขน้ึ เพือ่ กา วผา นไปสสู ่ิงใหม เชน ปใ หมเสมือนเปนเสนสมมติ แหง การเรม่ิ ตนใหม หลายคนอาจใชเปนโอกาสในการรเิ ริ่มสรา งสรรคส่งิ ตางๆ ใหเกิดข้ึน นาสนใจวา “คนื ปเ สือและเรอ่ื งเลาของสัตวอื่นๆ” เปนอกี หนงึ่ ปรากฏการณของการริเริ่ม สรา งเรอื่ งสน้ั สมยั ใหมใ นหลายๆ ดา น ผา นปลายปากกาของ จเดจ็ กาํ จรเดช ซงึ่ ไดร บั รางวลั วรรณกรรมสรา งสรรคยอดเยีย่ มแหงอาเซียน (S.E.A. Write Award) ถึง 2 คร้ัง จาก แดด เชารอ นเกนิ กวา จะนั่งจิบกาแฟ ในป 2554 และป 2563 คอื เรื่องที่จะกลาวถงึ นี้ ความโดด เดน ของเรอ่ื งนค้ี อื การสะทอ นความขดั แยง ทแี่ ผซ า นในสงั คม ประกอบกบั กลวธิ กี ารเลา เรอื่ ง ทซี่ บั ซอ นซอ นนยั บางอยา งไว สอดคลอ งกบั คาํ ประกาศรางวลั วรรณกรรมสรา งสรรคย อดเยยี่ ม แหงอาเซียน ป 2563 ท่ีวา “จเดจ็ กําจรเดช ทา ทายขนบการเขียนเรอื่ งสัน้ ท้ังดา นการเลา เร่ือง การผูกโครงเรื่อง…นําเสนอแนวคิดวาเร่ืองเลามีบทบาทสําคัญในการประกอบสราง ความจรงิ ของปจ เจกบคุ คล เลา เรอ่ื งโลกภายในขนานไปกบั โลกภายนอกเพอ่ื สอื่ นา้ํ เสยี งเสยี ดเยย ยอ นแยง และวพิ ากษส งั คม” นอกจากนี้ ผแู ตง สรา งความยว่ั ยจุ ากการสรา งความขดั แยง ตงั้ แต ระดบั เลก็ ๆ จนไปถึงความขัดแยง ของสังคมทมี่ ีวงกวา งมากข้นึ เลือกท่ีจะตีแผม ุมมองใหมๆ ผานกลวิธีการเลาเร่ืองท่ีเปนเร่ืองเลา ผสมจินตนาการ ภายใตความยอนแยงแหงสรรพส่ิง เพอื่ ใหผ อู านเห็นภาพมากขึน้ จะขอกลาวแยกเปนประเดน็ ตางๆ ดงั ตอ ไปนี้ เลาเรอ่ื งในเรอ่ื งเลา : จุดดอ ยหรือเสนห ในการเลา เร่ืองแบบซอ นเรือ่ งเลา ? การเดินทางของนักเดนิ ทางในแตละครงั้ หากไมรเู สนทาง นักเดินทางมกั จะศึกษา เสน ทางกอ น หรอื หากไมไ ดศ กึ ษาเสน ทาง การเดนิ ทางครง้ั นนั้ คงเปน ไปอยา งระมดั ระวงั การ เดนิ ทางในทน่ี ี้ ไมไ ดห มายถงึ การเดนิ ทางรปู แบบการคมนาคมเทา นนั้ ยงั รวมถงึ การเดนิ ทางใน รูปแบบของการอานดวย เพราะนักเดินทางหรือผูอานสามารถทําความเขาใจกับเสนทางท่ี เลือกอานในงานเขียนประเภทตางๆ ซึ่งตองติดตามจนถึงเปาหมายและเก็บเกี่ยว ประสบการณร ะหวา งทาง มเิ ชน นนั้ อาจหลงทางหรอื ตกหลมุ พรางทางภาษาได รวมเรอื่ งสน้ั คนื ปเ สอื และเรอื่ งเลา ของสตั วอ นื่ ๆ เปน เรอื่ งทซี่ บั ซอ นดว ยเรอ่ื งเลา ทาํ ใหอ า นยากและรสู กึ สบั สน รื่นฤทัย สจั จพนั ธุ (2563, ออนไลน) ไดแ สดงทรรศนะใน allmagazine online ไวเ ชน กนั วา 115

วารสารฟาเหนือ ปท ี่ 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชยี งราย “เสยี งบน เก่ยี วกบั วรรณกรรมซไี รตแ ทบทุกป คือ อานยาก อา น ไมร เู รอื่ ง อา นแลว เหนอื่ ย ฯลฯ รวมเรอื่ งสนั้ คนื ปเ สอื และเรอื่ งเลา ของสตั ว อนื่ ๆ…กส็ รา งความรสู กึ ทาํ นองเดยี วกนั งานเขยี นในลกั ษณะตา นโครงเรอ่ื ง (anti-plot) มกั ทาํ ใหค นอา นจบั ตน ชนปลายไมถ กู …เรอ่ื งสน้ั ในหนงั สอื เลม นี้อานรอบเดยี วเอาไมอ ยเู พราะหลงกบั เรอ่ื งเลาทแี่ ทรกมาไมขาดระยะ” อยา งไรกต็ าม หากทราบถงึ แนวทางหรอื กลวธิ กี ารเขยี น อาจเปน เหมอื นแผนทน่ี าํ ทาง ไมใ หผูอา นหลงทางและเปนการศกึ ษารายละเอียดระหวางทางไปในตวั จงึ ไดเ ลือกกลาวใน เร่อื งของกลวธิ เี ปนลาํ ดับแรกในบทความน้ี ลกั ษณะเดน ของรวมเรอื่ งสน้ั เรอื่ งนี้ คอื เปน การเลา เรอ่ื งทซ่ี อ นเรอ่ื งเลา และมกี ารซอ น เร่ืองเลาอีกชัน้ หน่ึง การใชเ ร่ืองเลา ซอนเขา ไป เชน การนาํ ความฝน มาประกอบตวั บทหลัก ในลักษณะของการเลานิทาน, การซอนเร่ืองสั้นเลาขนานไปกับตัวบทหลักท่ีบอกข้ันตอน การเขียนเรื่องสั้น, การสรางความทับซอนระหวางบทภาพยนตรกับตัวบทหลัก, การนํา นวนิยายมาซอนกับเรื่องส้ันแลวประกอบเขากับตัวบทหลัก เปนตน ทําใหการดําเนินเร่ือง เปนแบบตัดสลับเหตุการณ มักจะทําใหตามผูแตงไมทันวาเหตุการณในตอนดังกลาวอยูใน สว นทีเ่ ปน ตวั บทหลกั หรอื วาเรอ่ื งเลา ทีแ่ ทรกเขา มา เร่อื งท่ีซับซอนนาํ ไปสคู วามสับสนจึงไม คอ ยสง ผลดีตอ นกั อานชวั่ โมงบนิ นอ ยเสยี เทาไร ทวา มองในมมุ มองกลบั กนั กลายเปน เสนห อยา งหน่งึ ของรวมเร่ืองส้ันเลม น้ที ีส่ ามารถซอนเร่อื งเลาไวใ นเรือ่ งเลา ไดอยางแยบยล ดังทม่ี ี นักวิชาการไดใ หค วามหมายของการเลา เรอ่ื งแบบเรือ่ งเลา ซอนเรอื่ งเลาไวดงั นี้ การเลา เรื่องแบบเรือ่ งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา (metafiction) ร่ืนฤทยั สัจจพนั ธุ (2549 : น. 72) ไดใ หค วามหมายวา เปน เรอ่ื งแตง ทมี่ ีลกั ษณะ การเลา เรอื่ งซอ นกนั เนอื้ หาของเรอ่ื งกค็ อื กระบวนการแตง นนั้ เอง หรอื อาจ เปรยี บเทยี บกบั ภาพยนตรไ ดว า เปน การแสดง “เบอื้ งหลงั การถา ยทาํ ” โดย ปกตแิ ลว เรอื่ งเลา บนั เทงิ คดมี กั จะพยายามทาํ ใหผ อู า นเชอ่ื วา เรอื่ งทเ่ี ลา นนั้ เกิดข้ึนจริงๆ แตเรื่องเลาในลักษณะนี้จะพยายามใหผูอานตระหนักอยู ตลอดเวลาวา กาํ ลงั อา นเรื่องที่ผแู ตง “ผกู ” ข้นึ หาใชเ ร่ืองจริงไม จดุ เดน 116

วารสารฟาเหนอื ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงราย ของเรอื่ งเลา ทใ่ี ชก ลวธิ กี ารเลา เรอ่ื งแบบนี้ คอื กระตนุ ใหผ อู า นสาํ นกึ ในพลงั อํานาจของความจริงและความลวง ชูศักด์ิ ภัทรกุลวณชิ ย (2558 : น. 231) ไดใหความหมายไวเ ชน กนั วา กลวธิ กี ารเลา เรอื่ งแบบเรอ่ื งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา เปน กระบวนการ “การ เปดเผยกลวิธีการเลาเร่ือง” (baring the devices) น่ันคือแทนท่ีจะ พยายามแสรง ทําวา งานเขยี นทีผ่ อู านอานอยูเปน ชวี ิตจรงิ นักเขียนจะเปด เผยใหผอู า นรูว าส่ิงที่เขาอา นอยคู ือเร่อื งเลา การเปด เผยกลวธิ ใี นรวมเรอื่ งสนั้ เลม น้ี ปรากฏใหเ หน็ อยา งชดั เจนถงึ 3 เรอ่ื งดว ยกนั ไดแ ก สปั เหรอ รนุ สอง : เคลด็ ลบั ทาํ เรอ่ื งบา นๆ ใหฟ รงุ ฟรงิ้ ฟลามงิ โก มกี ารซอ นเรอื่ งสนั้ เลา ขนาน ไปกบั ตวั บทหลกั ทบี่ อกขนั้ ตอนการเขยี นเรอ่ื งสนั้ บรู งแมน มกี ารสรา งความทบั ซอ นระหวา ง บทภาพยนตรก บั ตวั บทหลกั เปน หมาปา มกี ารนาํ นวนยิ ายมาซอ นกบั เรอ่ื งสนั้ แลว ประกอบ เขา กบั ตวั บทหลัก ดงั น้ี สปั เหรอ รนุ สอง : เคลด็ ลบั ทาํ เรอื่ งบา นๆ ใหฟ รงุ ฟรง้ิ ฟลามงิ โก การซอ นเรอื่ งสน้ั เลา ขนานไปกับตัวบทหลักที่บอกขั้นตอนการเขียนเร่ืองส้ัน ซึ่งเปดเผยวิธีการเขียนเร่ืองสั้นไว ดังน้ี 1. เปดเรือ่ งใหใ หญ 2. แอบลาํ้ ยุคลงไปบาง 3. ชอ่ื และบุคลกิ แปลกแตอยา ประหลาด 4. เร่อื งเหลอื เชื่อใหผา นปากบุรษุ ท่ีสาม 5. แฟนตาซีทีไ่ มใ ชเร่อื งผี 6. เรือ่ งเกาถูกคนพบดวย เทคโนโลยี 7. หาเพลงและภาพประกอบสรา งโทนและกาํ หนดจงั หวะการเดินเร่อื ง 8. พา เร่ืองทงั้ หมดใสจ รวดจุดระเบิดสง ไปดวงจันทร 9. เกบ็ ทุกอยางกลบั มาใหห มด 10. จบแบบ ตะโกนหรอื แบบกระซบิ ดี 10.1 แอนต้ีไคลแมกซส กั นดิ และ10.1.1 เร่อื งจรงิ ไมตอ งแตงเตมิ จะเหน็ ไดว า ผแู ตง ไมไ ดแ คข ยบิ ตาบอกวา นเ่ี ปน เรอ่ื งแตง ไมใ ชเ รอื่ งจรงิ แตบ อกเราตรงๆ เปด เผย เบื้องหลังและใหวิธีอยางละเอียดในการเขียนเร่ืองส้ันประกอบกับการสรางเร่ืองส้ันยกให ดเู ปน ตวั อยา ง อีกท้ังยังเสนอมมุ มองใหเราไดข บคิดไปดวยวาจะแตงเร่ืองอยางไรตอไป เชน “ถาเราจะเขียนเรื่องน้ี ลองเปล่ยี นจากฝายถกู กระทําเปน ฝา ยกระทําบาง แตจะใชว ธิ ีไหน” (น. 237) จึงถือไดวาเปนมิติการเปดเผยกลวิธีอีกระดับในการเขียนเรื่องสั้น เพราะแนวการ เขยี นแบบเรอื่ งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา (metafiction) ในเรอ่ื งสน้ั รว มสมยั หลายๆ เรอื่ ง จะใชเ สยี ง 117

วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย ของผเู ลา เรอื่ ง (narrator) แอบกระซบิ บอกผอู า นวา นเ่ี ปน เรอ่ื งทแ่ี ตง ขนึ้ เพอ่ื ไมใ หผ อู า นเชอื่ วา เปน เรอื่ งจรงิ และไมใ หเรารูส กึ รวมมากเกนิ ไป เพราะสารัตถะของเร่ืองที่แตงโดยใชกลวธิ ี การแตง แบบนี้ จะอยทู ผี่ เู ลาเรอ่ื ง (narrator) เสยี มากกวา จากเรื่องท่ียกตวั อยางไปขางตน สารตั ถะของเรอ่ื งจงึ อยทู ขี่ น้ั ตอนการเขยี นเรอื่ งสน้ั คอื วตั ถดุ บิ ตน เรอื่ งอาจมาจากเรอ่ื งจรงิ ท่ี เกิดข้ึนในสังคม แตดวยความเปนบันเทิงคดี จึงไดมีการปรุงแตงเพื่อใหเกิดรสในการอาน เชน เร่ืองเหลือเช่ือใหผานปากบุรุษที่สาม เพื่อใหนํ้าหนักของความสมจริงยังถูกถวงเอาไว และนาํ้ หนกั ของคา ความจรงิ ทีเ่ ปน วัตถุดบิ ลดลงไป เปนตน บูรงแมน เปนอกี ตวั อยางหน่ึงท่เี สมอื นการจําลองภาพยนตรม าไวบนหนา กระดาษ เรือ่ งส้นั จะพดู ถึงการใหค ุณคาเครอื่ งรางของขลงั ในประเทศไทย ซึ่งใชภ าพยนตรเปนเครอื่ ง ประกอบสรางความศรัทธามงคลวัตถุ ผูแตงเลือกฉายภาพที่เปนสวนของภาพยนตรกอน แลว จงึ ฉายภาพเบอ้ื งหลงั มกี ารสรา งความทบั ซอ นระหวา งบทภาพยนตรก บั ตวั บทหลกั ดว ย การแบง ไวเปนฉากๆ เห็นไดจาก ฉากที่ 1 พ.ศ.2484 / ขางนอก / ใกลร ุง / (ญีป่ นุ เตรยี มจะ โจมตีฮาวาย แตไมเกย่ี วกันหรอก), ฉากที่ 2 ปจ จุบัน / แผงพระ / ขา งใน / กลางวนั , ฉาก ที่ 8 พ.ศ.2535 / รมิ บึงนาํ้ ครํา / ยงุ บินวอน (กล่ินประชาธิปไตยหอมหวาน กลน่ิ รฐั ประหารโชย แตคงไมเกี่ยวกนั ), ฉากชีวติ ปกติ กลางวนั / บานชา งนก /ขา งใน / ฝนตกหนักมาหลายวนั จนฉ่าํ ชนื้ ไปทั่วคาบสมุทร เปนตน ฉากท่เี ปนสว นของภาพยนตรค ือฉากทมี่ ีลาํ ดบั ที่ การฉาย ภาพเบือ้ งหลังการถายทาํ คอื ฉากชวี ติ ปกติ ความทับซอนระหวางบทภาพยนตรกับตัวบทหลัก คือการใชตัวละครชุดเดียวกัน หมายความวา ตวั ละครนกั แสดงท่ีทําอาชพี อะไร ช่ืออะไร ในภาพยนตร ในตวั บทหลักก็ทาํ อาชพี และชอื่ นนั้ ดว ย จะเหน็ ไดว า เปน การสรา งความซบั ซอ นใหก บั ตวั เรอ่ื งสนั้ ผอู า นสามารถ วพิ ากษว า สว นใดคอื เบอ้ื งหนา และเบอื้ งหลงั เพอื่ ใหเ หน็ ความเปน มายาคตขิ องบนั เทงิ คดมี ากขน้ึ เรอื่ งสน้ั เรอ่ื งบรู งแมน สะทอ นมายาคตขิ องการฉายภาพยนตรไ ดอ ยา งดี คอื เปน การ ประกอบสรา งความศรทั ธาใหก บั เครอ่ื งรางของขลงั ภาพยนตรเ ปน การปฏบิ ตั กิ ารทางสงั คม สามารถสรา งความหมายใหมข นึ้ มาใหแ กส ง่ิ ทนี่ าํ มาเสนอ ทวา มองลกึ เขา ไปถงึ เบอ้ื งหลงั ตาม จุดมุงหมายของแนวการเขียนแบบเรื่องเลาซอนเร่ืองเลา (metafiction) กลับพบวากลุม นายทุนทใ่ี หง บประมาณในการสรา งคอื สมาคมเซยี นพระ เพอื่ ที่จะใหว ัตถมุ งคลเหลานั้นขายดี และสรา งผลประโยชนก าํ ไรใหก บั สมาคม จะเหน็ ไดว า ความจรงิ คอื การกอบโกยผลประโยชน 118

วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย จากศรัทธาของคน ความลวงคือการสรางคุณคาใหกับวัตถุเหลานั้นตามคําอวดอางจากส่ือ ภาพยนตร ดังน้นั จึงเปน การกระตนุ ใหเราเห็นถึงภาพของความจรงิ และความลวงทีเ่ กดิ ขึ้น ภายในสังคม เรือ่ งส้ันที่มคี วามซบั ซอ นมากทสี่ ุดในบรรดาเรือ่ งส้นั 11 เรอ่ื ง คือเร่อื งเปน หมาปา นอกจากจะใชก ลวิธกี ารเลาเรอื่ งแบบซอนเรื่องเลา แลวกซ็ อนเรอื่ งเลา ยังใชมมุ มองการเลา ท่ที าํ ใหเ กดิ ความสบั สนอยางมากไปตลอดทง้ั เรอ่ื ง เชน “อยา งไรผมก็ไมค ดิ จะผา นเมอื งน้นั อีกแลว พักเบรกสักหานาที เรอื่ งกาํ ลงั สนุก แตผมคอแหง แลว อยากสบู บุหรี่สักตัว จากนนั้ กไ็ ปตอ ” (น. 419) จะสงั เกตไดว า คาํ วา ‘ผม’ ทง้ั สองตาํ แหนง เปน ผมคนละคนกนั ผมทหี่ นงึ่ หมายถึงตัวละครมือสงั หาร ผมทีส่ องหมายถงึ ตวั ละครมือปน เปน ตน ความสับสนเพิ่มขึ้น ตามความซับซอนจากการวางโครงเรื่องซอ นกนั ถงึ 3 ช้ัน แตท ง้ั น้ยี ังพอมพี ื้นท่ีไวแ สดงรอย ตอระหวา งตวั บทหลัก เรือ่ งเลาทีเ่ ปนเรอื่ งสั้น และเร่ืองเลา ท่เี ปน นวนิยายอยูบาง เชน “พกั เบรกสกั หานาที เร่ืองกาํ ลังสนุก” (น. 419) “ปง กดปมุ เดนิ เร่ืองตอ” (น. 429) “หยุดเรือ่ ง ในนิยายไวอีกครั้ง” (น. 433) เปนตน เรื่องสั้นเร่ืองเปนหมาปาแมจะสรางความสับสนไวมาก แตก็ทําหนาที่ของการเลา เรื่องแบบซอนเรื่องเลา ดวยการแสดงเบื้องหลังที่ซอนไวอยู เปนการแสดงใหเห็นถึงความ ยอกยอ นภายในวงการวรรณกรรม เกี่ยวกบั แนวการเขยี นในแบบตางๆ ของนักเขียน เชน “ผมรูสกึ วาเขาเปน นกั เขยี นทีย่ ดื ยาดและทา มาก แคจ ะบอกวา ตัวเองหิวกาแฟ หรือเขาจะบอกวาหิวเซ็กซและเบื่อท่ีตองเลนวาวกลาง ทะเลทราย เรอ่ื งแคน เ้ี ขากก็ ลา เขยี นออกมาตรงๆ” (น. 404) “ถงึ ตรงนผ้ี ม สงสยั นดิ เดยี ววา กลอ งเลง็ มนั ตดิ ตง้ั งา ยดายบนปน ทกุ ชนดิ เลยหรอื นกั เขยี น ม่วั เอาอกี แลว ใชไหม” (น. 419) “เรอ่ื งกร็ าวๆ นน้ั มันซอนไปซอนมาจน นา ปวดหวั แถมนกั เขยี นยงั จะทาํ ใหม นั ปวดหวั ไปยงิ่ ขนึ้ เมอ่ื อยากรเู รอื่ งทะเล ทราย” (น.434) ผแู ตง อาจตอ งการใหเ ราตระหนกั วา กาํ ลงั อา นเรอื่ งเรอ่ื งหนง่ึ ทผ่ี แู ตง เขยี นขนึ้ มาดว ย ตนเองและยอกยอ นดว ยการตงั้ แงค าํ ถามดว ยตวั ของผแู ตง เอง อกี ทงั้ เปน การเสยี ดสเี รอ่ื งสน้ั 119

วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงราย หรอื นวนยิ ายในขนบทเ่ี ยน่ิ เยอ มากเกนิ ไป การเขยี นเรอ่ื งของนกั เขยี นทว่ั ไปทโี่ มเมสรา งเรอ่ื ง ขึน้ มาอยา งไมส มเหตุสมผล รวมถึงการเขยี นเรื่องท่ีซบั ซอ นจนนา ปวดหัว หรือในอีกมุมมอง หนง่ึ กแ็ สดงใหเ หน็ วา ทง้ั หมดเปน เรอื่ งทผี่ แู ตง สรา งขนึ้ ตามความคดิ ของผแู ตง เปน เพยี งเรอ่ื ง ทแี่ ตง ขน้ึ มา จะผดิ ไปจากความเปน จรงิ อยา งไรกไ็ ด ขน้ึ อยกู บั ดลุ ยพนิ จิ ของผอู า นในการเลอื ก ตดั สนิ ใจ การเลา เรอื่ งแบบเรอ่ื งเลา ซอ นเรอ่ื งเลา (metafiction) มกั มนี ยั แฝงเรน ไวอ ยู ตวั บทหลกั จะชใ้ี หเ หน็ ความเปน เรอ่ื งทแ่ี ตง ขน้ึ มา มกี ารเตมิ และเสรมิ ตวั เนอ้ื เรอ่ื งเพอื่ วตั ถปุ ระสงคบ างอยา ง แตม จี ดุ รวมกัน คือ ความจริงกบั ความลวง การใหคา วา เร่อื งนี้ตอ งสมจรงิ กบั ความเปน จริง ทกุ ประการเรมิ่ ไดร บั ความนยิ มลดลงไป เพราะตวั ของวรรณกรรมเองมกี ารหลกี หนกี ารตดั สนิ เชนนั้นอยูในท่ี แตไมไดหมายความวาการแตงเรื่องแนวน้ีตองฟุงเฟอไปดวยความปลอม เพราะวตั ถดุ บิ ทใ่ี ชใ นการปรงุ แตง เรอ่ื งลว นแลว แตค อื ความจรงิ ของสงั คม เพยี งแตเ ปน การให ผูอานตระหนักถึงวานี่เปนเรื่องที่แตงข้ึนผานมุมมองของผูเลาเร่ือง (narrator) และถา สามารถกะเทาะความนยั ของผเู ลา เรอื่ งทอ่ี ยรู ะหวา งบรรทดั ผอู า นเองกจ็ ะไดม มุ มองเพม่ิ ใน อีกหนึ่งมิติ ซ่ึงเปน การคน พบเสนหข องรวมเร่อื งสั้นเรือ่ งน้ีได เลา เรื่องในเรอื่ งเลา : เลา เร่อื งมหศั จรรยใ นเร่อื งเลาความจรงิ แนวการเลาเรอ่ื งท่ีเปน เสนห อ กี มติ ขิ องรวมเร่ืองสน้ั เรอื่ งนี้ คอื จเด็จ กาํ จรเดช ใช การเลาเร่ืองแบบสัจนยิ มมหัศจรรย (magical realism) ทําใหผอู า นสนใจความมหัศจรรย ของเรอื่ งและในขณะเดียวกนั กส็ ามารถบอกเลาความจรงิ บางอยา งไว เมื่อนําเรื่องทีอ่ า นไป เทยี บกบั แนวทางการใหค วามหมายของวรรณกรรมสจั นยิ มมหศั จรรยท ่ี ชศู กั ด์ิ ภทั รกลุ วณชิ ย (2558 : น. 337) กลา ววา หวั ใจสําคญั ของวรรณกรรมสัจนยิ มมหศั จรรย คอื การทีโ่ ลก สองประเภทคอื โลกแหง ความจริง และโลกแหง ความมหัศจรรย ดํารงอยู คูกนั และดําเนินไปภายใตตรรกะชดุ เดยี วกนั 120

วารสารฟาเหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย พบวา ผแู ตง สามารถทาํ ใหเ หน็ วา ตรรกะของโลกมหศั จรรยแ ละโลกความจรงิ เปน ไป ในชุดเดยี วกันอยางแยกไมออก เชน เรอื่ งอยูขางลา งขวา งไดขวา งเอา ใชความมหัศจรรย คอื ลงิ สามารถพดู ได ใชช วี ติ อยใู นสงั คม นบั ถอื ศาสนาอยา งปรกตอิ ยา งคนปรกตทิ วั่ ไป เหน็ ไดจ าก “จเู ลยี มผี วั ใหมห ลายคนแตล กู ยงั มสี องคน โปรยมาลตี วั ผอมแหง ขนยาวรุงรัง พูดจารูความ แตเรียนหนังสือไมได เรียนแลวปวดหัวจน ออกโรงเรยี น ผใู หญบ านพาไปทาํ หมันเมอื่ ถึงวนั ทมี่ ันมีประจาํ เดือน” (น. 187) “ใครก็พดู วา ผัวคนน้ีของจเู ลยี ขยนั แมเ ปน คนแขกก็เขา ไดกับทกุ คน จเู ลยี ไมคลมุ ผมเพราะเกรงใจคนแถวน้ี วนั พระยงั ไปวัดซ่งึ ยาโกบไมห า ม” (น. 206) “ในโรงพยาบาลมีแตล ิงปวย พอลพูดจรงิ ลิงเต็มไปหมด นอน ปวยเตม็ ทุกเตยี ง” (น. 171) ตวั ละครจูเลียและโปรยมาลเี ปน ลิง แตสามารถใชชีวิตปรกตทิ ุกอยาง เชนเดียวกนั กับคน ทัง้ ไปโรงพยาบาล ไปวดั หรอื แมแตมีผูใหญบานพาไปทําหมัน และอยูรว มกนั ไดก บั ตัวละครทเี่ ปน คนปรกตอิ ยา งยาโกบหรือพอลอยางไมม คี วามรสู ึกแปลกแยก ประแปงไหมคะ เปนอีกหน่ึงตัวอยางท่ีใชความมหัศจรรยคือหุนยนตมีลักษณะ เหมอื นมนษุ ยอ ยา งในปจ จบุ นั และมนษุ ยใ นปจ จบุ นั กลายเปน สตั วเ ลยี้ งของหนุ ยนตแ ทนเชน “ไอบอทมองปาลอยางครุนคิด อัลกอริทึมบอกชัดวาปาลหมด คา ใดๆ ใหม นั ยน่ื มอื เขา มาชว ย ในหมคู นนอนกา ยเกะกะขา งถนนลว นแลว แตหมดคา แตไมแน บางครั้งพวกมันพบของเลอคาจากกองขยะพวกน้ี” (น. 143) “พวกมันเปนเจาของสัตวเลี้ยงท่ีมีเศษเนื้อด้ังเดิมหลงเหลืออยู พวกมันยืดอกภูมิใจ” (น. 150) แนวเขยี นสจั นยิ มมหศั จรรยป ระกอบกบั การลา้ํ ยคุ ของเทคโนโลยี ตวั ละครไอบอทมี ความรสู กึ นกึ คดิ เชน เดยี วกนั กบั มนษุ ย และมนษุ ยท ม่ี เี ลอื ดเนอ้ื กลายเปน เพยี งสตั วเ ลยี้ งของ 121

วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงราย ไอบอทอีกที ในตัวบทก็ไมไดแสดงความแปลกแยกใหเห็นชัดเจนเสมือนวาท้ังไอบอทและ มนษุ ยอ ยูรว มกันภายใตโลกเดียวกัน การแตง เรอื่ งแนวสจั นยิ มมหศั จรรยส ามารถยวั่ ยใุ หเ ราตงั้ ขอ สงสยั สงิ่ ใดคอื ความจรงิ เชน ในเรอ่ื งอยขู า งลา งขวา งไดข วา งเอา ทาํ ไมลงิ สตั วท ม่ี วี วิ ฒั นาการตาํ่ กวา เราจงึ ทาํ อะไรได หลายอยา งกวา เรา? ทาํ ไมลงิ ถงึ สามารถครอบงาํ มนษุ ยไ ด? แลว ลงิ คอื ตวั แทนของอะไร? หรอื ในเรอื่ งประแปง ไหมคะ เรากลายเปน สตั วเ ลย้ี งของเทคโนโลยจี รงิ หรอื ไม? เราขาดเทคโนโลยี ไมไ ดจ รงิ หรอื ไม? ทงั้ นไี้ มส ามารถดว นสรปุ ไดว า จรงิ หรอื ไมจ รงิ เพราะวา ความจรงิ ทไ่ี หลเวยี น อยใู นสงั คม มกั จะมคี วามซับซอนและสามารถนํามาโตแยง ไดอ ยเู สมอ และเล็งเหน็ วาผูแตง ใชเ รื่องมหศั จรรยม านาํ เสนอความจริงบางอยางอันเปน ปรากฏการณของสังคม ทวา จะเลา เรอ่ื งมหศั จรรยเ พยี งอยา งเดยี ว กไ็ มต า งจากตาํ นานหรอื นทิ านปรมั ปราท่ี นําเสนอความเหนือจริงหรืออนุภาค (motif) เชน เรือ่ งปลาบูท อง ท่ีสตั วน า้ํ พดู ได แตจ ะมี เสนแบงระหวางคนกับสัตวชัดเจน น่ันคืออยูภายใตตรรกะคนละชุดกัน หรือการนําเสนอ ความจรงิ เพยี งอยา งเดยี ว คงไมไ ดส รา งอรรถรสในการอา นงานวรรณกรรมใหเ พม่ิ ขนึ้ ภายใต เรอ่ื งมหศั จรรยล ว นมคี วามจรงิ ทด่ี าํ รงอยู และเมอื่ มเี รอ่ื งของความจรงิ และความลวงเขา มาดว ย เราจงึ ตอ งวิเคราะห สงั เคราะห ขอ เทจ็ จริงท่ีนําเสนอผานตัววรรณกรรมออกมา ความจรงิ ในความลวง : ความยอนแยงท่คี ูขนาน ขอเท็จจริงท่ีไหลเวียนอยูในสังคมมีมากจนไมสามารถคัดกรองขอมูลความจริงได ทงั้ หมด การเลา ขอ มลู แบบปากตอ ปากมกั จะรวดเรว็ ทสี่ ดุ บางครง้ั อาจมกี ารเพมิ่ อรรถรสใน การเลา ตอ ไปโดยการเพมิ่ ขอ มลู บางครงั้ อาจมลี ดทอนคา ของความจรงิ เพอื่ ใหก ลายเปน เรอื่ ง ทไ่ี มจ รงิ จงั อาจจะเปน หนง่ึ สาเหตทุ ่ี จเดจ็ กาํ จรเดช เลอื กนาํ มาเสนอผา นเรอ่ื งสน้ั ในหลายๆ เรื่อง ทเ่ี หน็ เดนชัดท่สี ุดคอื เร่ืองขา ววานกจะมา เชน เร่ืองขาววานกจะมาใชการเลาเร่ืองผานมุมมองของบุรุษที่สามเปนสวนมาก คือใช คาํ วา “เขาวา มาแบบนนั้ ” “เขาวา ” “เขาวา ผม…” และ “เขาวา ” ตลอดทงั้ เรอื่ ง ทาํ ใหฉ กุ คดิ ข้ึนมาวา เขาท่วี า คอื ใคร แตเหนือส่ิงอนื่ ใดคืออาํ นาจของคําวา “เขาวา” ซงึ่ ทําใหมองเหน็ ภาพมุมหน่ึงของสังคมท่ีตางหลงเช่ือโดยไมสงสัยหรือโตแยงเพราะมีบรรทัดฐานจากคําวา “เขาวา ” ตดั สนิ มาใหเ รยี บรอ ยแลว ในตวั บทมกี ารเสยี ดสแี กมประชดประชนั ผทู หี่ ลงเชอื่ ใน การเลา เร่อื งเชนนน้ั ไว จะเห็นไดจ าก 122

วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย “เขาวามาท้ังนั้นน่ีวาเมืองน้ันสวยเมืองนั้นดี คุณก็ตองไปเท่ียว และบอกตอ คุณจะถายรปู ผมไปลงอนิ สตาแกรมกไ็ ดนะ คุณอาจเอาเรอ่ื ง ผมไปเลาตอ ผมอยูทีน่ ี่มานานจนหลงลมื เรอ่ื งของตวั เองไปหมดแลว ท่ีผม จาํ มาน่ีก็เปน เรือ่ งที่พวกเขาเลาตอๆ กนั มนั แกล งนี่นะ หลงๆ ลืมๆ ไป วา แตเ ขาเลามาแบบไหนละ ชวยเลาใหผมฟงหนอยนะ เปนแบบนแี้ หละ ผม ตอ งฟง เรอื่ งของตวั เองจากคนอน่ื พวกนนั้ รเู รอื่ งของเราดกี วา ตวั เราอกี ” (น. 138) จากประโยคทวี่ า พวกนน้ั รเู รอ่ื งของเราดกี วา ตวั เราอกี เปน การเสยี ดกลมุ คนทใี่ ชพ ลงั ของเร่อื งเลา ในการสรา งเรือ่ งราวตางๆ ขึ้นอยไู มน อ ย ทงั้ ในฐานะผพู ูดและผูที่เชือ่ ในคําพดู อยางไมไตรตรอง แตหากวิเคราะหถึงจุดมุงหมายของการเลาเร่ืองผานการเลา ผูแตงอาจ ตอ งการชใี้ หเ หน็ ความยอกยอ นระหวา งความจรงิ และความลวง ซงึ่ ไมส ามารถรไู ดว า สงิ่ ใดจรงิ สงิ่ ใดลวง ตา งผสมปนเปกนั ไปตามกระแสของเวลา ซง่ึ สอดคลอ งกบั ประเดน็ แรกทไ่ี ดก ลา วไป คือมงุ ใหเหน็ ถงึ เรอ่ื งราวท้งั หมดเปนเร่อื งทแี่ ตงขึ้นมาเชนกัน อยา งไรกต็ าม การใชค าํ วา “เขาวา ” เสมอื นเปน การปอ งกนั ตนเองและโยนภาระให คนอื่นอยูในที บางครั้งในเร่ืองท่ีพูด ผูพูดอาจเปนคิดเรื่องราวเองท้ังหมดเพียงใชใหบุรุษท่ี สามเปน คนพดู เทา นั้น ในปจจุบันอาจพบเห็นไดต ามสอ่ื สงั คม ในรปู แบบของ “นกั จติ วิทยา กลาววา” “นกั วจิ ัยกลาววา” แลว ตอ ดว ยคาํ พูดตา งๆ โดยความจรงิ เปนเพียงคาํ กลา วอา ง ของคนกลมุ หนงึ่ ไมไ ดม าจากนกั จติ วทิ ยาหรอื นกั วจิ ยั จรงิ ๆ จงึ ทาํ ใหภ าระทจี่ ะรบั ผดิ ชอบคาํ พดู เหลานนั้ ตกไปอยูกบั นักจิตวทิ ยาหรอื นกั วิจยั โดยปริยาย นอกจากเร่ืองขาววานกจะมาแลว ยังมีเรื่องอื่นๆ ท่ีแสดงอํานาจของเรื่องเลา เชน เร่ืองบรู งแมน เรอ่ื งสปั เหรอ รนุ สอง ดังน้ี “แตค ิดดดู ๆี บางทอี าจเขียนได ปรบั อะไรบา งเล็กนอย และให 123 เรื่องท้งั หมดเลาผา นปากคนอ่นื แมวามันจะเกิดขึ้นจริงๆ แตจ ะวาไปเรอ่ื ง ทงั้ หมดกถ็ กู เลา ตอ มาอกี ที แทบบอกไมไ ดว า มนั เปน ความจรงิ เรอื่ งทงั้ หมด ถูกเลาผานปากชาวบาน ทําใหน้ําหนักของความสมจริงถูกถวงเอาไว” (สปั เหรอรุนสอง, น.237)

วารสารฟา เหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย แสดงความเปน เหตเุ ปน ผลของอาํ นาจของเรอื่ งเลา ไวอ ยา งดี ซงึ่ ในแงน เ้ี ปน การลดทอน ความจรงิ ใหก ลายเปน เพยี งเรอื่ งทเ่ี ลา ตอ ๆ กนั มา ในทางกลบั กนั หากเสรมิ การเลา เรอื่ งเขา กบั ศรัทธาหรือความเชอ่ื ของคน ยงิ่ ทาํ ใหอํานาจของเร่อื งเลานั้นมพี ลงั มากขึน้ ดว ย เชน “แตข อ มสุ าน่ี ถาหยุดแลวจะทํามาหากินอยางไร ไมไดโกหก แตจะขายของตองเลานิทานกันสักหนอย” (บูรงแมน, น. 318) จากที่กลาวมาขางตนเปนตัวอยางท่ีสะทอนใหเห็นอํานาจของการเลาน้ันมีอยูไมนอย ขน้ึ อยกู บั วจิ ารณญาณของผอู า นหรอื ผทู รี่ บั ฟง การเลอื กประเดน็ มากลา วถงึ กเ็ พอ่ื เนน ยา้ํ เพมิ่ เตมิ จากผูแตง วา ในความจรงิ มกั มคี วามลวงแฝงอยู และในความจริงมักมคี วามลวงแฝงอยูเ ชน เดียวกนั ซึ่งเปน ความยอนแยง แตเ กดิ ขน้ึ คูกันเสมอ จากความยอ นแยงในการเลาเรอ่ื งสูก ารนําเสนอความขัดแยงของสังคม การเลาเร่ืองในรวมเรื่องสั้นคืนปเสือและเรื่องเลาของสัตวอ่ืนๆ เปนการเลือกหยิบ วัตถุดิบจากสังคมตางๆ รวมถึงสังคมออนไลนที่ตางไหลเวียนอยางไมรูจบ ปฏิเสธไมไดวา ความขดั แยง (conflict) แผซ า นอยใู นสงั คมทกุ ระดบั เปน หนง่ึ สง่ิ ทผี่ แู ตง หยบิ มาเปน เรอื่ งเลา ในเรอ่ื งสนั้ ของแตล ะเรอ่ื ง ในบางเรอ่ื งราวกส็ ามารถทาํ ใหเ ราฉกุ คดิ อะไรบางอยา งไดเ ชน กนั เพราะอาจมองเหน็ วาเปนเรื่องใกลตัว จึงไดมองขามและเลือกทีจ่ ะละเลยสง่ิ เหลา น้ันไป ส่ิงที่ใกลตัวท่ีสุดคือความขัดแยงภายในครอบครัว ผูแตงถายทอดออกมาไดอยาง ชดั เจน ในเรอ่ื ง “มเี ปด บนหลงั คา” เปน เรอื่ งราวในครอบครวั หนง่ึ ทม่ี ลี กู ชายสองคน ลกู ชาย คนเล็กเสียชีวติ ไปแลว แตล ูกชายคนโตยังมชี ีวติ อยแู ตไ มไดร ับการเหลียวแล โดยใช ‘เปด ’ คือตัวแทนลูกชายทั้งสองคน การเลาผานมุมมองของตัวละคร ‘ผม’ ลูกชายคนโตของ ครอบครวั นี้ ปญ หาทเี่ กดิ ขนึ้ อาจเรม่ิ จากทล่ี กู ชายคนเลก็ จากไปจากโลกใบนี้ ตวั ละครแมบ อก วา “เปดขนึ้ สวรรคไ ปแลว ” (น. 23) แตต ัวละครพอ กลับบอกวา “มีเปดบนหลงั คา” (น. 24) น่ี คอื สงิ่ ทแ่ี สดงใหเ หน็ ถงึ ความขดั แยง ระหวา งความคดิ เหน็ ของพอ กบั แม โดยมสี ง่ิ ทเี่ กย่ี วพนั กนั อยูท่ี ‘ทอ่ี ย’ู (บนสวรรค/ บนหลังคา) ตัวละครแมยึดติดกบั นอ งท่ีตายไปแลว ตัวละครพอ รับรู วาลูกชายคนโตยังมีชีวิตอยูแตไมสนใจ จะเห็นวาเปดที่ขึ้นสวรรคเปนตัวแทนของนองชาย แตเ ปด ทอี่ ยบู นหลงั คาเปน ตวั แทนของพช่ี ายทถี่ กู หลงลมื สามารถเชอื่ มโยงเขา กบั ความขดั แยง ภายในใจของลูกชายท่ีหลงเหลอื อยทู ี่มีตอ พอ “พอ คงลืมไปแลว วาผมยังอยู นองไมอยแู ลว แตผ มยังอยู” (น. 36) 124

วารสารฟา เหนือ ปท่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย ในตอนทายผูแตงจึงมุงแสดงถึงความจริงท่ีหลงเหลืออยู คือลูกชายคนโต ดวยการ ใหคุณคาในตัวตนและไมกลายเปนผูท่ีถูกหลงลืมตอไป โดยการกอบกูไขเปดที่เหลืออยูบน หลงั คา ไขอ าจเปน สญั ญะแหง การเรมิ่ ตน และเกดิ ใหมใ นสายตาของพอ และแม ดงั จะเหน็ ได จาก “พอ บอกวา วนั นจ้ี ะขนึ้ หลงั คา พอ ไปไมถ งึ สวรรคห รอก…พอ เจอไขแ ปดฟอง…แมว า พอ ตอ งเอาไขล งมาใหด …ู ไขเ ปด ทง้ั แปดฟองสที องอรา ม สะทอ นแสงมลงั เมลอื งแวววาวในดวงตาแม” (น. 37-39) ในเรอื่ งนผี้ แู ตง นา จะตอ งการใหเ ราดาํ รงอยกู บั ปจ จบุ นั มากกวา ทจ่ี ะไปขดุ คยุ และยดึ ตดิ กับอดตี รวมถงึ การไมล ะเลยในสิ่งทีม่ ีอยูด ว ย เพราะวาอดตี คือส่งิ ทผ่ี านไปแลว แตคนมักจะ จมอยใู นชว งเวลานน้ั ดว ยความรสู กึ เสยี ดาย เสยี ใจ หรอื แมแ ตภ าคภมู ใิ จในสง่ิ นนั้ อยู แตช วี ติ ในปจ จบุ นั กลบั เพกิ เฉย ไมส นใจเทา ทค่ี วร หากจะยกตวั อยา งในสงั คม จะเหน็ ไดว า ผมู ชี อื่ เสยี ง คนใดสรางตัวใหโดดเดนหรือทาํ ผิดพลาดก็ตาม อดีตของบุคคลนัน้ จะไดร ับการขุดคยุ ข้ึนมา เพอื่ ซาํ้ เตมิ และใหค า กบั อดตี มากกวา ปจ จบุ นั ถอื ไดว า ผแู ตง สามารถสะทอ นความเปน มนษุ ย อันเปนสารัตถะของเร่อื งไดอยางดี อีกหน่ึงความขัดแยงที่เกิดภายในสังคมและดูใกลตัวมากกวาครอบครัวเสียดวยซํ้า ในยุคปจจุบัน คือความขัดแยงท่ีเกิดขึ้นจากโซเชียลเน็ตเวิรก (Social Network) ซึ่งนําไปสูสภาวะสงั คมแบบ “ถายรูปเพ่ือทอดทง้ิ ” และการทาํ ตามกระแสนิยมในสงั คมโซเชียล ความขดั แยง ระหวา งชวี ติ โลกจรงิ และชวี ติ โลกออนไลน นาํ เสนอผา นเรอื่ งสน้ั “นกกระยางโงๆ ” เรอื่ งราวของหนุม กรงุ ทม่ี ารับมรดกสวนทุเรียนของพอ ซึง่ มกั จะใชช วี ติ ตามคาํ บอกเลาของ คนในอินเทอรเน็ตและชาวบาน เขามักจะหากิจกรรมทําเสมอเพื่อโพสตลงเฟซบุก จะเห็น ไดจาก “สารทุเรียนฟุงเปนหมอกในยามเชา ทอปถายรูปแลวโพสตเฟ ซบุก มีคนมากดหัวใจสี่รอยกวา” (น. 44) ในขณะที่ความจริงคือเขา ประกาศขายสวนทเุ รยี นนน้ั แลว ทอ ปพยายามสรา งตวั ตนใหม คี วามสขุ และ บรรยากาศพาฝน ทปี่ ลายนาบนโลกออนไลน จะเหน็ ไดจ าก “เปด นอ ยสอง ตัววายน้ําเลนสบายใจใหคนกดไลค” (น.52) “โยนลูกกบขนาดน้ิวโปงใส ลงไปในยางรถยนต ถายรปู โพสต” (น. 52) “ซือ้ ถังนา้ํ สาํ หรบั ไกฟ ารมมา ดว ย แลว ถา ยรปู โพสต” (น. 54) เปน ตน ทวา มองในโลกของความเปน จรงิ 125

วารสารฟา เหนอื ปท ี่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย แลว ชวี ติ เกษตรกรของเขาทลุ กั ทเุ ลอยา งมาก สงั เกตไดจ ากนาํ้ เสยี งเสยี ดสี ประชดประชนั ทว่ี า “แลว กถ็ งึ บางออ เขา ใจรเู รอ่ื งชดั เจนถงึ วถิ เี กษตรกรรม แสนหวานฉาํ่ และสวยงามขนาดนี้ ปลาดุกโงๆ ของเขามนั กลายรา งเปน นกกระยาง” (น. 66) สิ่งเดียวท่ีเปนพื้นทที่ บั ซอนระหวางโลกความจริง และโลกออนไลน คือ “เขาโพสตว านอนโงๆ ทีก่ ลางนา จากนน้ั เขาก็นอน โงๆ อยูแคต รงนน้ั ” (น. 46) จากทกี่ ลา วมาสะทอ นใหเ หน็ วา ผแู ตง แฝงทรรศนะของคนในปจ จบุ นั ทมี่ องเหน็ และ ใหค วามสาํ คญั กบั ภาพลกั ษณใ นโลกออนไลนม ากกวา โลกความจรงิ นยิ มทาํ ตามกระแสแหง การบอกเลา ในออนไลนเ พอ่ื สรา งตวั ตนตามกระแสนน้ั อาจเรยี กปรากฏการณน ว้ี า “การเผย รา งพรางกาย” การเผยราง คอื การแสดงตวั ตนในโลกออนไลน เสมอื นเปน การสรา งพน้ื ท่ี ใหก ับตวั เองในการแสดงออกของการกระทาํ และความรสู กึ ตา งๆ พรางกาย เปน การปกปด ตวั ตนทแ่ี ทจ รงิ เอาไว ปจ จบุ นั จงึ มคี าํ กลา วทว่ี า “ตวั จรงิ ไมต รงกบั รปู ภาพออนไลน” แผซ า น อยูท่ัวไป จะยกตัวอยางประกอบใหเห็นภาพชัดเจนคือ รูปโปรไฟลในเฟซบุกหรือสื่ออื่นๆ ตองผานกระบวนการศัลยกรรมในแอปพลิเคชันใหสวยงามกอนจึงจะโพสตได กลาวไดอีก นยั หนง่ึ วา สงั คมปจ จบุ นั หลงลมื ความจรงิ ทเี่ ปน อยู ลมุ หลงและใหค า กบั มายาสงั คมทจี่ บั ตอ ง ไมได ความขัดแยงท่ียอกยอนในตัวเองในเรื่อง “เปนหมาปา” มีความโดดเดนไมแพ ความขดั แยง ทยี่ กมากอ นหนา ผใู ดทคี่ รอบครองอาํ นาจแหง การเปน หมาปา ขณะเดยี วกนั ผนู น้ั กเ็ ปน ลกู แกะ หรอื กลา วอกี นยั หนงึ่ คอื ภาวะของผลู า และผถู กู ลา ทกุ ตวั ละครทต่ี า งคดิ วา ตน เปน ผลู า แตต อนสดุ ทา ยกลายเปน ผถู กู ลา เสยี เอง จะเหน็ ไดจ ากการนกึ เสยี ดายของตวั ละคร ทม่ี จี ดุ จบตา งจากจดุ เรมิ่ ตน อยา งสนิ้ เชงิ เชน “…เหลอื เชอ่ื ทน่ี กั เขยี นอยากโทรไปบอกผหู ญงิ สักคนวาเขาเปนหมาปา ผมเปน หมาปา แตค งไมมีใครเขาใจ กบั แฟนคนนนั้ กเ็ ลิกราเพราะ เธอเบอ่ื จะเปนลูกแกะ ในชว งหลงั ๆ ของความสมั พันธ… บางครง้ั นกั เขยี นตองพดู ตรงๆ วา มาเอากันเถอะ…เธอเปน หมาปาในบางครง้ั ” (น. 450) 126

วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย จะเห็นไดช ัดเจนวา จากคาํ พดู ความรสู ึกของตวั ละคร สามารถนําเสนอความยอกยอน ไดอ ยา งดี ซง่ึ การเจรจาในฐานะผลู า และผถู กู ลา ไมจ าํ เปน ตอ งอยใู นสภาพความรนุ แรงอยา ง ในภาวะสงคราม ในโลกของความจรงิ การเจรจาในฐานะผลู า และผถู กู ลา สามารถพบเหน็ ได ท่ัวไป ความขดั แยงที่ จเดจ็ กาํ จรเดช ใหค วามสําคญั ทสี่ ดุ คอื เปน ความขัดแยงระหวาง กลมุ สงั คม เชน ความขดั แยง ระหวา งเกษตรกรและกลมุ นายทนุ ในเรอื่ งปลดแรว โดยเฉพาะ อยางย่งิ ความขัดแยง ของกลุม คนชายขอบ ทปี่ รากฏถงึ 3 เร่ืองดว ยกนั ไดแก ขาววานกจะมา, ประแปง ไหมคะ, และคนื ปเ สอื สามารถอธบิ ายไดด งั นี้ ขา ววา นกจะมาเปน การกลา วถงึ คนไทย ชายขอบทเี่ กาะกง ทตี่ อ งกลายเปน คนถอื สญั ชาตฝิ รง่ั เศสและเปน คนทอี่ ยภู ายใตก ารปกครอง ของกมั พชู า ประแปง ไหมคะเปน การพดู กลา วคนเชอื้ ชาตมิ อญ ทอ่ี ยภู ายใตก ารปกครองไทย และคืนปเสือเปนการกลาวถึงชาวฮาลอ ชาวปาโอรังอัสลี หรือชนเผาพ้ืนเมืองดั้งเดิม ท่ีมี ความขัดแยงตอการสรางชาติของไทย ในประเด็นท่ีไดกลาวมาน้ีถือวามีความละเอียดออน แตผ ูแ ตง สามารถทําไดอยา งลงตวั ซ่งึ จะกลาวในประเดน็ ถัดไป ความ (ไม) ชายขอบกับการนาํ เสนอมุมมองใหม หลายครง้ั ทไี่ ดย นิ วาวรรณกรรมเปนกระจกสะทอนสังคม แตส่งิ ทีพ่ บในวรรณกรรม รว มสมยั ทวั่ ไปจะฉายภาพคนชายขอบ ดว ยภาพลกั ษณท นี่ า สงสาร เปน บคุ คลเบอ้ื งลา งของ สงั คม มกั จะประกอบดว ยการกดขี่ เยย หยนั ผา นสญั ญะตา งๆ ทที่ าํ ใหด เู หมอื นวา เปน สง่ิ ทไี่ รค า ซง่ึ ตรงกนั ขา มกบั ผลงานของ จเดจ็ กาํ จรเดช ในเรอ่ื งนท้ี ใ่ี ชอ าํ นาจทมี่ อี ยเู พอ่ื นาํ เสนอคนชาย ขอบแบบไมก ดขห่ี รอื เหยยี ดหยนั แสดงใหเ หน็ ถงึ อาํ นาจไมไ ดก ดขห่ี รอื ทาํ ลายลา งเพยี งอยา งเดยี ว แตเ ปน การสรา งขน้ึ มากไ็ ด สรา งในทนี่ จี้ งึ หมายถงึ การสรา งดว ยอดุ มการณ เลา เรอ่ื งของคน ชายขอบในแบบมองมุมกลับกลับมุมมองของผูอาน กลาวไดวาวรรณกรรมเร่ืองนี้เปลี่ยน บทบาทจากการสะทอนเปนกระบอกเสียงใหสังคมแทน ซึ่งเสียงจากคนชายขอบท่ีปรากฏ ในรวมเรอื่ งสน้ั คนื ปเสือเลม น้ี ไดแก เร่อื งประแปงไหมคะ เร่อื งขาววานกจะมา และเรื่องคืน ปเสือ ดงั ตอ ไปน้ี การเลอื กฉายภาพคนมอญผา นเรอื่ งสน้ั ประแปง ไหมคะ ผแู ตง เลา ผา นตวั ละครแอช คลายกับการสรางภาพวีรบุรุษใหแกตัวละครเช้ือชาติมอญอยูในที “แอชคิดถึงชวงเวลาท่ี 127

วารสารฟา เหนอื ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย เดก็ ๆ จะวงิ่ ออกไปทสี่ ะพาน ปากรอ งประแปง ไหมคะใหน กั ทอ งเทยี่ ว แอชกเ็ คยเปน แบบนนั้ พ่ีสาวของเขาดวย บนเกาะนี้ไมมีอะไรใหหวัง บรรพบุรุษของพวกเขาหนีภัยสงครามมาอยู ในประเทศนี้ กกั ขงั ตัวอยูแคชายแดน พอเติบโตพวกเขาก็ยา ยออกจากเมือง ไปทํางานช้นั ตํ่า ทงั้ หลาย…เธอไปมาหมดกอ นทจี่ ะอพั เกรดตวั เองจนไมเ หลอื ความเปน มนษุ ย มนษุ ยท อ่ี ยตู าํ่ กวามนุษย มีมนษุ ยแ บบนเ้ี ตม็ ไปหมด แอชคดิ วาพอไดแลว มนษุ ยรุน ตอ ไปตองไมอ อ นแอ” (น. 195) หากสงั เกตคาํ วา “ไมม อี ะไรใหห วงั ” “ทาํ งานชน้ั ตาํ่ ” “ตาํ่ กวา มนษุ ย” “กกั ขงั ” ลว น แตเปนถอยคําท่ีแสดงความนอยเน้ือต่ําใจทางอารมณถึงการถูกกดข่ีจากระบอบสังคม ภายนอก จะเหน็ ไดวาผแู ตงเลือกทีจ่ ะสรางอดุ มการณใหก ับคนมอญ คือ “มนษุ ยร นุ ตอไป ตองไมออนแอ” สะทอนใหเห็นถึงความตองการที่จะเทาเทียมกันในสังคม กลาวคือตอง แขง็ แกรงและยืนหยัดในศกั ดิศ์ รีของความเปน มนุษยทไี่ มไดอยตู ่าํ กวา มนุษยคนใด เร่ืองขาววา นกจะมา เปน อกี หนง่ึ ตัวอยาง “เบตงทชี่ ะตากรรมคลา ยๆ เกาะกง ถกู หลงลืมตอนแบงเขตแดน ดีที่วาเบตงถูกหลงลืมในฝงไทย แตเกาะกงถูกลืมไว นอกเขต” (น. 134) เรอื่ งนไี้ มไ ดเ ลอื กทจ่ี ะแสดงความยงิ่ ใหญข องการหยดั สเู พอ่ื ความเทา เทยี ม อยางในเร่ืองประแปงไหมคะ เปนการบงบอกวายังมีคนกลุมหน่ึงยืนอยูตรงนี้เสียมากกวา “ลองนึกตามนะ คนไทยทนี่ ่ันมสี ญั ชาติฝรงั่ เศสไดสักพักกก็ ลายเปน เขม เปน คนอื่นในบา น ตวั เอง…เขมรแดงเขา ยดึ เกาะกง…ตอ นคนไทยไปทาํ งาน แตก ไ็ มม ใี ครกลบั มา” (น. 127) ซงึ่ จากเร่ืองไดอธิบายตอไปอีกวา กลุมคนไทยในเกาะกงไมตายจากกลุมเขมรแดงก็หนีอพยพ ไปอยูตามชายแดนในภาคใตแถบทะเลอาวไทย บรรพบุรุษคนไทยที่อยูที่น่ันยังรอคอย ลกู หลานกลบั มา ผแู ตง แสดงภาพทท่ี บั ซอ นกนั อยรู ะหวา งเกาะกงและเบตง ตา งกนั ทเี่ กาะกงเปน การปกครอง ของกมั พชู า เบตงอยใู ตก ารปกครองของไทย สง่ิ เหลา นวี้ า ดว ยเรอื่ งของชาตพิ นั ธุ การเปน คน อนื่ ในบา นตวั เองเปน สงิ่ ทสี่ ะทา นใจผอู า นไดม ากทส่ี ดุ เนอื่ งดว ยถกู กดขใ่ี หก ลายเปน ชนกลมุ นอ ย อํานาจสทิ ธ์ิที่จะตอ รองกบั ชนกลมุ ใหญเจา ของประเทศแทบจะไมม ี ซงึ่ การยกตัวอยา งเรอ่ื ง แนวนนี้ า จะเปน การชใี้ หเ หน็ ถงึ ความเปน มนษุ ยเ ชน เดยี วกนั ถา เทยี บกนั แลว มนษุ ยด าํ รงอยู มากอ นการแบง เขตพนื้ ทก่ี ารปกครองเสยี อกี ผแู ตง เลอื กทจี่ ะบอกเลา ประวตั ขิ องชาวไทยใน เกาะกงหรือชาวมลายูในเบตง ที่ผานอดีตอันราวรานในยุคอาณานิคม และเลือกเสนอวา 128

วารสารฟา เหนือ ปที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย ชนกลุมน้ีกลับเปนผูที่มั่งค่ังทางเศรษฐกิจที่ผูกขาดทุนนิยมดวยการเปนเจาของตึกให นกนางแอนมาทํารัง และสรางมูลคาไดอยา งมาก การนาํ เสนอคนชายขอบอกี กลมุ หนงึ่ ในเรอ่ื งคนื ปเ สอื คอื ชนพนื้ เมอื งชาวฮาลอ ชาวปา โอรงั อสั ลี ทอ่ี ยใู นพนื้ ทมี่ ากอ นและถกู เปลย่ี นบทบาทจากบรบิ ทของสงั คมในยคุ คอมมวิ นสิ ต จากชนพนื้ เมอื งกลายเปน ขบวนการรปู แบบชมุ ชนพฒั นาชาติ การเขา ไปกา วกา ยของรฐั บาลไทย ทําใหพวกเขาตองอพยพออกไปโดยไมไดรับการใสใจดูแลใหสวัสดิการ ทั้งไมไดรับความ ยตุ ธิ รรมในการทวงคนื อธิปไตยของตนเองดวย ผแู ตง ใชตวั ละครฟาฮดั ทายาทรนุ ที่สามชาวฮาลอ มาทวงคนื ความยตุ ิธรรม สะทอ น ใหเ หน็ ถงึ ความตอ งการทจี่ ะใหม องวา เปน คนเชน เดยี วกนั มคี วามเปน มนษุ ยเ ทา เทยี มกนั กบั ผอู นื่ ไมใ ชต วั ประหลาดหรอื มองเปน วตั ถอุ ยา งทบี่ คุ คลภายนอกกระทาํ ตอ พวกเขา จะเหน็ ไดจ าก ตัวละครอีกตัวที่อาศัยอยูในปา ผูคนขีดกรอบจนเขาคิดวาตัวเองช่ือวาตัวประหลาด “ตัวประหลาด” เขาตอบยิ้มแยมเหมือนเด็กทัศนคติแบบบวกเผยจากรอยย้ิมและดวงตา” (น. 364) ดงั นน้ั ในเรือ่ งน้ี ในแงข องการนําเสนอกลุมตวั ละครคนชายขอบมุงใหเหน็ ถงึ ความ เทา เทยี มกนั ของมนษุ ยช าติ ในความแตกตา งยงั มคี วามเหมอื นกนั อยู คอื ความเปน คนนนั่ เอง จะเหน็ ไดว า การปรากฏขน้ึ ของตวั ละครทเี่ ปน คนชายขอบในเรอ่ื งตา งๆ แสดงใหเ หน็ บทบาทของวรรณกรรมท่ีสงสารสูสังคม สะทอนใหเห็นบางกลุมชนที่ถูกละเลย มองขาม จนถึงการหลงลืมวามีอยูในสังคม ดังน้ันการหยิบยกประเด็นดังกลาวข้ึนมา เพ่ือเนนย้ําวา เราอาจหลงลมื ความจรงิ อะไรบางอยา ง นนั่ อาจเปน บคุ คลกลมุ นที้ ตี่ า งมคี า ความเปน มนุษย เชนเดียวกนั กบั เราๆ กเ็ ปนได บทสรปุ รวมเรอื่ งสนั้ คนื ปเ สอื และเรอ่ื งเลา ของสตั วอ นื่ ๆ เลา ความขดั แยง แหง สงั คมใหก ลาย เปน เร่อื งเลา ผานกลวธิ กี ารเลาเรือ่ งทเี่ ปน เรื่องเลา ผสมจนิ ตนาการ ภายใตความยอ นแยง แหง สรรพสิง่ แตดว ยกลวิธกี ารเขยี นทซ่ี ับซอน แมทาํ ใหอ า นยาก บางเร่อื งตอ งยอ นกลบั ไป อานบรรทัดบนใหมอีกหลายรอบ เพราะไมคอยจะเขาใจนักแตหากกาวขามผานอุปสรรค ตรงนนั้ ไป รวมเรอื่ งสน้ั คนื ปเ สอื และเรอื่ งเลา ของสตั วอ น่ื ๆ สามารถเผยเสนห ใ นการนาํ เสนอ ความจรงิ ในแงม มุ ตา งๆ อนั เปน ความจรงิ ทตี่ า งไหลเวยี นอยใู นชวี ติ ประจาํ วนั สมกบั เปน ผลงาน 129

วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย ทีไ่ ดร บั รางวลั วรรณกรรมสรา งสรรคยอดเย่ียมแหงอาเซียน (S.E.A. Write Award) ที่ควรคา แกก ารอา น เพราะสารตั ถะของเรอ่ื งสนั้ จะมงุ ใหเ หน็ ถงึ สงิ่ ทเี่ ปน อยดู ว ยความขดั แยง ทแ่ี ผซ า น ในสงั คม บางครั้งเราอาจหลงลมื และละเลยส่ิงนน้ั ไป และกลา วไดอกี วารวมเรอื่ งสนั้ น้ีใหท้งั “รส” และ “ความ” รสของวรรณกรรมเร่ืองนีถ้ อื วา เขม ขน มาก ดวยชั้นเชิงของผแู ตง ท่มี ัก จะใชกลวธิ ตี างๆ เขา มาผสมกัน เสมือนมีวัตถดุ บิ ในการสรา งสรรคช้นั ดี และถอยความท้งั ที่ เปด เผยและแฝงอยู ไมไ ดเ กนิ ไปจากความเปน จรงิ ทเี่ ปน อยขู องเรามากนกั ทง้ั พลงั และอาํ นาจ ของเรอื่ งเลา ความขดั แยง แผซ า นในสงั คมทเ่ี รามกั จะหลงลมื หรอื แมแ ตก ารปรากฏกายของ ตัวละครคนชายขอบ นํามารังสรรคผานเร่ืองเลาที่ไมรูจบ รวมถึงการใหผูอานเพงพินิจถึง ความยอกยอนของความจริง และลองตั้งคําถามกับความจริงท่ีไหลเวียนอยูในสังคมผานตัว บทวรรณกรรมท่สี ง สารมา วา ความจริงนน้ั เปนความจรงิ มากนอ ยเพยี งใด ? 130

วารสารฟาเหนอื ปท ่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย เอกสารอางอิง จเดจ็ กําจรเดช. (2563). คืนปเ สอื และเรอื่ งเลาของสัตวอ่ืนๆ. กรงุ เทพฯ : ผจญภัย. ชศู กั ดิ์ ภทั รกลุ วณชิ ย. (2558). อา น(ไม)เอาเรือ่ ง (พมิ พค รั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ : อาน. ร่นื ฤทยั สจั จพันธุ. (2549). สนุ ทรียรสแหง วรรณคด.ี กรงุ เทพฯ : ณ เพชร. . (2563). คืนปเสือและเรื่องเลาของสัตวอ่ืนๆ : เร่ืองเลา กลวิธีเลาเรื่อง และ สัญญะ. สืบคน 6 กุมภาพันธ 2564, จาก https://www.allmagazine online.com/that-night-of-the-year-of-the-tiger/ 131

วารสารฟาเหนอื ปท่ี 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย ขอ กําหนดของบทความตน ฉบบั วารสารฟาเหนอื วารสารฟาเหนอื กําหนดตพี ิมพปล ะ 2 ฉบบั (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม- ธนั วาคม) วารสารยนิ ดพี จิ ารณาตพี มิ พบ ทความวจิ ยั (Research Article) บทความวชิ าการ (Academic Article) บทวจิ ารณห นังสอื (Book Review) เพอื่ ตพี ิมพตามทีเ่ ห็นสมควรและ ไมอ ยใู นระหวา งการพจิ ารณาลงพมิ พใ นวารสารใดๆ โดยมขี อบเขตเนอ้ื หาครอบคลมุ ศาสตร สาขาดังตอไปนี้ มนุษยศาสตรในดานประวัติศาสตรและโบราณคดี ปรัชญาและศาสนา ภาษาและภาษาศาสตร วฒั นธรรมและประเพณี วรรณกรรม ศลิ ปะ ดนตรีและการแสดง สาขาสงั คมศาสตร ในดา นสงั คมศาสตร สงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา การพฒั นาสงั คมและ ชาตพิ นั ธศุ กึ ษา ซง่ึ กองบรรณาธกิ ารจะพจิ ารณาตน ฉบบั (Manuscript) ตามขอ กาํ หนดของ รปู แบบวารสาร และสงใหผูทรงคุณวุฒใิ นสาขา (Peer Review) จาํ นวน 3 ทาน เปน ผูอา น หากผทู รงคณุ วฒุ มิ ขี อ เสนอแนะในการปรบั ปรงุ แกไ ขเพมิ่ เตมิ บทความอาจถกู ดดั แปลงแกไ ข เนอื้ หารปู แบบและสาํ นวนตามทก่ี องบรรณาธกิ ารเหน็ สมควร กองบรรณาธกิ ารจะสง ขอ เสนอ แนะใหแ กผ นู พิ นธเ พอื่ ดาํ เนนิ การ หากผนู พิ นธม เี หตผุ ลตามหลกั วชิ าการทไ่ี มส ามารถดาํ เนนิ การตามขอ เสนอแนะได ขอใหชีแ้ จงเปน ลายลักษณอักษรโดยกองบรรณาธิการจะพิจารณา การตพี ิมพ เพื่อใหว ารสารมีคณุ ภาพในระดับมาตรฐานและนําไปอา งอิงได ------------------------------------------------------------- 132

วารสารฟา เหนือ ปท ่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย การจัดเตรียมตนฉบับ ความยาวของบทความ 15 – 20 หนากระดาษ A5 (14.8 x 21 ซม.) ตั้งคาหนา กระดาษโดยเวนขอบบน 3.3 ซม. ขอบซาย 2 ซม. ขอบขวาและขอบลาง 1.8 ซม. บทความ ใหใ ชร ปู แบบตัวอักษร ดงั น้ี ภาษา รปู แบบตัวอักษร ขนาด ภาษาไทย TH SarabunPSK 14 ภาษาอังกฤษ TH SarabunPSK 14 12 ภาษาจนี SimSun (อกั ษรจนี และตวั สะกดพินอิน) 9 HY柦律浶ࣜ 9 ภาษาเกาหลี MS Mincho 10 ภาษาญีป่ นุ Opus Text 11 Doulus SIL ดนตรี สทั อกั ษร (IPA) 133

รายละเอยี ดการจดั เตรยี มตน ฉบับบทความ ดังน้ี วารสารฟา เหนอื ปท่ี 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงรายลกั ษณะรปู แบบ รายการ ตัวอักษร การพิมพ ขนาดตวั อักษร หมายเหตุ 134 ช่ือบทความ ตวั หนา กึง่ กลาง ไทย/ จนี เกาหลี ญป่ี นุ ช่ือผูเขียน ปกติ ชดิ ขวา องั กฤษ 14 11 11 Cตําoแrrหeนspงoหnนdว iยnงgาAนuตtนhสoงั rกEัดmail และ ปกติ เชงิ อรรถ 10 8 8 บทคดั ยอ ตัวหนา ชดิ ซาย 18 97 7 12 10 12 9 9 12 9 9 จํากยัดอ1ห5น0า –1 3ซ0ม0. คํา เนื้อหาบทคัดยอ ปกติ กระจายแบบไทย 14 14 12 9 คาํ สาํ คญั /Keywords ตัวหนา ชดิ ซาย 12 9 9 จํากตัดาม3ด–ว ย5:คํา หัวขอ หลกั ตัวหนา ชิดซาย 14 12 9 9 ไมใ สเ ลขลําดับท่ี หัวขอ ยอ ย ตวั หนา - 14 12 9 ยอหนา 1 ซม. เนื้อหาบทความ ปกติ กระจายแบบไทย 14 12 9 9 ใสห มายเลขลาํ ดับท่ี เนอื้ หาในหวั ขอ ยอย (ถาม)ี ปกติ กระจายแบบไทย 14 12 9 ชือ่ ตาราง ตวั หนา ชิดซาย 14 12 9 9 ยอหนา 1 ซม. แหลง ทม่ี าตาราง ปกติ ชิดซา ย 14 12 9 9 ยอหนา 1.5 ซม. ชื่อภาพ/แผนภูมิ ตวั หนา กง่ึ กลาง 14 12 9 9 ระบุไวบ นตาราง แหลงท่ีมาภาพ/แผนภมู ิ ปกติ ก่งึ กลาง 14 12 9 9 ระบุไวใ ตตาราง หมายเลขหนา ปกติ ดานลา งขวา 14 12 9 9 เนื้อหาอางสารอา งอิง ปกติ ชิดซาย 14 9 14 9 ตง้ั แตตน จนจบบทความ 9

วารสารฟาเหนอื ปท ี่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย สว นประกอบของบทความ ดังน้ี ลําดบั รายการ รายละเอยี ด 1. ช่ือเร่ืองบทความ การระบุช่ือบทความมรี ายละเอยี ดของภาษาทีใ่ ชใ นการเขยี นดงั น้ี 1) ภาษาไทย : ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 2. ช่อื ผูเขียนทกุ คน 2) ภาษาอังกฤษ : ภาษาอังกฤษและภาษาไทย 3) ภาษาจีน : ภาษาจนี และภาษาองั กฤษ 4) ภาษาเกาหลี : ภาษาเกาหลแี ละภาษาอังกฤษ 5) ภาษาญป่ี ุน : ภาษาญ่ปี นุ และภาษาองั กฤษ การระบุช่อื ผเู ขยี นโดยใหใ ชภาษาทเี่ ขียนบทความและ ตามดว ยภาษาองั กฤษ รายละเอยี ดการเขียนเชิงอรรถ ดังน้ี บทความวจิ ัย/ วชิ าการ: *Corresponding author, email: 1ตาํ แหนง ทางวิชาการ/ หนว ยงานตน สงั กดั บทความวจิ ยั (วิทยานิพนธ) : *Corresponding author, email: 1 นักศึกษาระดบั ปริญญา....../ หลักสูตร/ หนว ยงานตนสงั กดั 2 อาจารยทป่ี รึกษาวิทยานิพนธ (หลัก/รวม)/ ตําแหนง ทางวชิ าการ/ หนว ยงานตน สงั กัด รายละเอียดของการเขยี นแตละภาษาในสว นเชงิ อรรถดงั น้ี 1) ภาษาไทย : ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 2) ภาษาองั กฤษ : ภาษาองั กฤษ 3) ภาษาจนี : ภาษาจีนและภาษาองั กฤษ 4) ภาษาเกาหลี : ภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ 5) ภาษาญีป่ นุ : ภาษาญป่ี นุ และภาษาอังกฤษ 135

วารสารฟาเหนือ ปที่ 12 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนษุ ยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งราย ลําดบั รายการ รายละเอยี ด 3. บทคดั ยอ ภาษาทีใ่ ชเ ขียนบทคดั ยอ ดังน้ี 1) ภาษาไทย : ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 4. บทความ 2) ภาษาองั กฤษ : ภาษาอังกฤษและภาษาไทย 3) ภาษาจนี : ภาษาจนี และภาษาอังกฤษ 5. เอกสารอา งอิง 4) ภาษาเกาหลี : ภาษาเกาหลแี ละภาษาองั กฤษ 6. รูปภาพ แผนภมู ิ 5) ภาษาญี่ปุน : ภาษาญีป่ นุ และภาษาองั กฤษ ความยาวไมเ กิน 150 – 300 คาํ พรอมระบุ คาํ สําคญั /Keywords ตารางประกอบ จํากดั 3 – 5 คาํ หรืออืน่ ๆ (ถา มี) บทความแตล ะประเภทควรครอบคลุมประเด็นดงั น้ี 1) บทความวิชาการ ประกอบดว ย บทนาํ เน้ือหา และบทสรปุ 2) บทความวจิ ัย ประกอบดวย บทนาํ วัตถปุ ระสงค ทบทวน วรรณกรรม หรอื แนวคิดและทฤษฎี (ถา มี) วิธกี ารวจิ ัย ผลการวิจัย สรปุ ผลและอภปิ รายผล 3) บทวิจารณหนงั สอื ประกอบดว ย บทนาํ เน้อื หาโดยยอ บท วจิ ารณห นังสอื ใชก ารอา งองิ แบบ APA 7 ตอ งมีหมายเลขกาํ กบั ในบทความ อา งองิ แหลงทมี่ า ของขอมลู ใหถกู ตองชดั เจน และไมละเมดิ ลิขสทิ ธ์ิของผูอื่น ใชรปู ภาพ สีหรอื ขาว-ดาํ ที่ มคี วามคมชดั (ไฟลรูปชนดิ TIFF หรอื JPEG ความ ละเอยี ดไมน อ ยกวา 300 dpi ขนาดไฟลไ มน อ ยกวา 500 KB) 136

วารสารฟา เหนอื ปที่ 12 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชยี งราย การอา งอิงในเนื้อหา (Citing references in text) 1. การอางอิงในเนื้อหาใชร ะบบนาม-ป โดยมีรูปแบบการเขยี นดงั นี้ 1.1 ผแู ตง 1 คน ไทย ช่ือ/สกลุ /(ป) หรือ (ช่อื /สกุล,/ป) องั กฤษ สกุล/(ป) หรอื (สกุล,/ป) เครอื่ งหมาย / หมายถงึ เวน วรรค 1 ระยะ ตัวอยาง อาภสิ รา พลนรตั น (2562) ไดว จิ ยั เร่ือง... ...และกาํ หนดระยะจบการศกึ ษา สอนทง้ั วชิ าสามญั และศาสนา (อลั ณกิ า สายนาํ้ เยน็ , 2559) shows that the younger generations of those sections of the community one would (Trugil, 2000) 1.2 ผแู ตง 2 คน ไทย ชอ่ื /สกลุ /และ/ชื่อ/สกุล/(ป) หรอื (ชื่อ/สกุล/และ/ช่ือ/สกุล,/ป) องั กฤษ สกลุ /and/สกลุ /(ป) หรือ (สกลุ /&/สกุล,/ป) ตัวอยา ง นภทั ร องั กรู สนิ ธนา และ อาภสิ รา พลนรตั น (2559) กลาวถงึ ... ...และการรณรงคก ารปอ งกนั การปราบปรามยาเสพตดิ ระดบั โลก Sony and Aunty (1999) ดงั รายละเอียด... 137

วารสารฟาเหนือ ปท ี่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2564 คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลยั ราชภัฏเชียงราย 2. การอางองิ มากกวา สองแหลง ขอมูลใหเ ขียนเรียงตามลาํ ดับอกั ษร ดงั น้ี ...สอดคลองกับผลการศกึ ษาของอลสิ า คมุ เคี่ยม (2562) และ นภัทร องั กูรสินธนา (2562)… …หรือสงิ่ ที่เกดิ กับมนษุ ย (อภวิ ัช เกิดด,ี 2549; มณั ฑนา แสงส,ี 2558) …การวดั ที่มีตวั แปรแฝงหลายตัว (Embretson & Reise, 2000; Marveldeet al., 2006) 3. การอางองิ จากขอ มลู จากแหลงขอมลู ระดบั ทุตยิ ภูมิ 3.1 การอา งอิงหนาขอความ งานของผเู ขยี น (1) ถกู อางอยใู นงานของผเู ขยี น (2) ไทย ชือ่ 1/สกุล1/(ป, /อางถงึ ใน/ชอ่ื 2/สกุล2,/ป) ………… องั กฤษ สกลุ 1/(ป, /as cited in/สกลุ 2,/ป)………… ตัวอยา ง Arnett (2000, as cited in Claiborne & Drewery, 2010) suggests there is an emerging adult stage in the lifespan of humans, covering young people between the ages of 18 and 25 years 138