การทำกนุ เชยี ง กุนเชียงเป็นการแปรรูปเน้ือสัตว์ และเป็นการเพ่ิมมูลค่าของเน้ือสัตว์ให้มีราคาสูงขึ้น สามารถใช้ วัตถุดิบ เนื้อสัตว์ ที่มีในท้องถ่ินมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สามารถจำหน่ายได้ตลอดปี ตลาดมีความต้องการ อย่างต่อเนื่อง และยังสามารถจำหน่ายได้ในตลาดท้องถ่ิน และพัฒนาเป็นอาชีพหลักได้ หรือใช้เวลาว่าง จากงานภาคเกษตรทำการแปรรูปเนอ้ื สตวั ์ เพอ่ื เป็ฯการรักษาและถนอมอาหารโปรตีนเก็บไวบ้ รโิ ภคได้ 1) เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการผลติ - เครอ่ื งบดเนอื้ - เครอ่ื งห่นั มนั หมู - เขยี ง มดี - ภาชนะบรรจุเนื้อสตั ว ์ - เคร่ืองอดั 2) สว่ นประกอบ - เน้ือหมู มนั หมู ไสส้ ดหรอื แหง้ - เครอ่ื งปรงุ (เกลือไนไตรท์ น้ำตาล ฯลฯ) - น้ำสะอาด 3) การเตรยี มวตั ถดุ ิบและวิธีการผลติ - เตรยี มเนอ้ื หมู ควรเปน็ เนอ้ื แดงปนมนั หมู หรอื ถา้ แยกเปน็ เนอื้ แดงลว้ นๆ กบั มนั หมลู ว้ นๆ กไ็ ด้ - บดเนอ้ื หมูปนมันหมู ถา้ เปน็ มนั หมลู ว้ นๆ ให้ใช้เครอ่ื งห่ันให้เป็นสเ่ี หลี่ยมลกู เตา๋ - คลกุ เนื้อหมู มันหมกู ับเกลือไนไตรท์ และเครอ่ื งปรงุ อ่นื ๆ เตมิ นำ้ คลุกให้ท่วั จนเหนียว - บรรจุในไสห้ มูแหง้ หรือสด มัดเป็นทอ่ นๆ ยาวประมาณ 6 นวิ้ - แขวนและนำเขา้ ตอู้ บ ใช้อณุ หภมู ิ 60 องศาเซลเซียสจนกระทง่ั แหง้ 4) การเก็บรกั ษา แขวนไวใ้ นอุณหภูมหิ ้องหรือบรรจถุ งุ สญู ญากาศ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 251
5) ต้นทนุ และผลตอบแทน ต้นทนุ ในส่วนต้นทุนคงที่ ซึ่งจะเป็นค่าเครื่องจักรอุปกรณ์ในการผลิตได้แก่ เคร่ืองบดเน้ือ เครื่องห่ัน หนงั หมู เตาอบกุนเชียง ประมาณ 80,000-112,000 บาท และเกษตรกรต้องมีเงนิ ทุนหมนุ เวยี นเป็นคา่ วสั ดุ ในการทำอย่างน้อย 5,000 บาท สำหรับต้นทุนในการจัดทำผลิตภัณฑ์กุนเชียง 20 กิโลกรัม ซ่ึงเป็นค่าวัสดุ เครอ่ื งปรงุ ค่านำ้ -ค่าไฟ และค่าแรงจะมีประมาณ 2,500 บาท ผลตอบแทน สำหรับการจำหน่ายกุนเชียงสดท่ีผลิตจำนวน 20 กิโลกรัมอบแห้งได้ 14 กิโลกรัมจะจำหน่าย ได้ในราคากิโลกรัมละ 180-250 บาท มีผลตอบแทนประมาณ 2,520-3,500 บาท ทั้งน้ีต้นทุนและ ผลตอบแทนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะราคาวัตถุดิบ คุณภาพของกุนเชียงและอุปกรณ์ที่มี ในท้องถ่ินแต่ละแหล่ง สำหรับจุดคุ้มทุนจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับปริมาณและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกจำหน่าย และลักษณะการจำหน่ายสนิ ค้า 252 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
ทางเลือกอาชีพด้านหม่อนไหม 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 253
การฟอกย้อมไหม ดว้ ยวัสดุธรรมชาติ เส้นไหม เป็นเส้นใยธรรมชาติ ประเภทเส้นใยโปรตีน เส้นไหมดิบ ประกอบด้วยไหม 2 ชั้น คอื เสน้ ไหมแท้ หรอื ไฟโบรอนิ จะอยชู่ นั้ ใน และสว่ นกาวไหม หรอื เซรซิ นิ หมุ้ อยภู่ ายนอกโดยรอบตลอดความ ยาวเส้น เส้นไหมแท้ไฟโบรอิน เป็นไหมท่ีไม่ละลายในน้ำร้อน น้ำสบู่ และน้ำด่าง อย่างไรก็ตามน้ำด่างแก่ (น้ำดา่ งเค็ม) ทีร่ อ้ นและกรดแรเ่ ข้มขน้ เชน่ กรดเกลือ กรดกำมะถนั เป็นสารทท่ี ำลายเส้นไหม ทำให้เส้นไหม แตกฟูและเปื่อย ชั้นนอกเป็นช้ันกาวไหมซึ่งละลายในน้ำร้อนได้ และหลุดลอกออกได้ดีด้วยน้ำด่าง แต่ น้ำด่างเข้มข้นและร้อนจนเดือดจะทำลายเส้นไหม รวมท้ังไหมแท้ช้ันในด้วย ทำให้เส้นไหมหดและแตกฟู ส่วนกาวท่ีอยู่รอบนอก ละลายออกได้ในน้ำร้อน น้ำสบู่ร้อน การแช่เส้นไหมในน้ำด่างแก่ไม่ร้อน แล้วนำมา ล้างในน้ำเดือดจัด ทำให้กาวหลุดออกมาได้ดี สำหรับเส้นไหมท่ีลอกกาวได้ดี จะย้อมติดสีได้สม่ำเสมอ แต ่ ถ้าลอกกาวออกไม่หมด เมื่อนำมาย้อมสีไม่ว่าจะเป็นสีเคมี หรือสีธรรมชาติก็ตาม สีจะเกาะยึดติดที่กาวหรือ เส้นไหมชัน้ ใน (ไฟโบรอนิ ) ซ่งึ เมื่อซกั น้ำ สีทย่ี ดึ ติดกับกาวจะหลุดออก ทำใหย้ อ้ มได้สี ข้นั ตอนการฟอกยอ้ มสีเสน้ ไหม 1. การเตรยี มเสน้ ไหม 2. การฟอก (ลอก) กาวไหม 3. การคัดเลือกวัตถดุ บิ และอุปกรณเ์ พือ่ ย้อมส ี 4. การย้อมสีไหม การเตรยี มเส้นไหมเพ่อื ยอ้ มส ี การเตรียมไจไหม เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นไหมพันกันในระหว่างการลอกกาวควรคัดเลือกเส้นไหมที่ เป็นชนิดเดียวกัน และมีขนาดเส้นและวงเข็ดเท่ากัน ควรมัดพลองอย่างน้อย 4 ช่วง เพ่ือรักษารูปทรงของ เขด็ ไหม และลอกกาวไดส้ มำ่ เสมอ รวมทง้ั ไมม่ ดั ถเี่ กนิ ไปจะทำใหเ้ สน้ ไหมแหง้ ตวั ชา้ ในบางจดุ ซงึ่ ตอ้ งใชเ้ วลามาก เพื่อละลายกาว ส่วนใหญ่การมัดไพ มักเหลือปลายเส้นด้ายท่ีมัดไว้ ยาวเกินกว่าความกว้างของเข็ดไหม ไมน่ อ้ ยกวา่ 1 คืบ หรือ 8 เซนตเิ มตร เพ่อื ใหเ้ ส้นไหมกระจายดแี ตไ่ ม่พนั กัน สารเคมีท่ใี ช้ 1. สบู่ 180 กรมั หรอื ประมาณ 2 ขีด ห่ันเป็นฝอย ตม้ ให้ละลายในนำ้ 30 ลติ ร หรือ นำ้ 40 ลิตร สำหรับไหมเหลือง 2. เตมิ โซดาแอช 50 กรัม และน้ำยาเอนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เขา้ กนั 254 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การลอกกาว 1. ผสมน้ำยาลอกกาว โดยตวงน้ำตามอัตราส่วนใส่ลงในหม้อลอกกาว ผสมสบู่ โซดาแอชและ น้ำยาเอนกประสงคใ์ นหม้อ กวนให้เข้ากัน 2. นำเส้นไหมลงแชใ่ นน้ำยาลอกกาวนาน 24 ช่ัวโมง หรือ จนเส้นไหมนิ่ม คลา้ ยเปน็ เมอื ก 3. จนกาวหลุดออก ซ่ึงสังเกตได้จากนั้น นำไปล้างในน้ำเดือดจัด กลับเข็ดไหมไปมาให้กาวหลุด ออกสม่ำเสมอ โดยราดนำ้ สะอาดเลก็ นอ้ ยบนเส้นไหมแลว้ จบั ดู จะรู้สึกฝดื มอื 4. นำเสน้ ไหมในขอ้ ท่ี 3 ไปลา้ งเสน้ ไหมด้วยนำ้ อ่นุ จัด (80 องศาเซลเซียส) จำนวน 2 รอบ แล้วจงึ ล้างด้วยนำ้ สะอาด อกี ประมาณ 10 นาท ี 5. บิดหมาด และนำไปกระตุกให้ไหมเรียงเส้น ผง่ึ ลมจนแหง้ เพอ่ื นำไปยอ้ มสี การลอกกาวไหมดว้ ยสารธรรมชาติ ตามภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ท่ีสบื ทอดมานาน จะเตรยี มน้ำดา่ งจากขเี้ ถา้ ไวใ้ ชเ้ อง ขี้เถ้าทีน่ ิยมใชท้ ำน้ำด่าง ลอกกาว ได้แก่ ขเี้ ถา้ จากผักโขมหนาม เปลือกฝักนุน่ เหงา้ กล้วย ข้เี ถา้ รวมจากเตาไฟ ขี้เถา้ ไม้สะแก ไมป้ ระดู่ โดยมขี น้ั ตอนการเตรยี มน้ำดา่ ง ดังน ี้ 1. นำขเ้ี ถา้ ทผ่ี ่านการเผาไหม้อยา่ งสมบรู ณ์ ซ่ึงสังเกตได้จาก ขเ้ี ถ้าเนื้อละเอียดมีสีขาวปนเทา 2. อัดขเ้ี ถา้ ลงในถงั พลาสติกหรือภาชนะทเ่ี จาะรไู วด้ ้านลา่ งให้แนน่ ประมาณ 3 ใน 4 ของถัง 3. นำถังข้ีเถ้าวางซ้อนกับถังเปล่า เติมน้ำให้เต็มถัง รอจนกว่าจะมีน้ำหยดลงถังที่รองรับอยู่ ด้านลา่ ง จงึ เตมิ น้ำใส่ถังบนให้ทว่ มพอดีกบั ผิวหน้าข้ีเถ้า จากนนั้ ปลอ่ ยให้น้ำดา่ งหยดลงมาจนหมด 4. ถา้ ขเ้ี ถา้ คณุ ภาพดี มกั ไดน้ ำ้ ดา่ งทมี่ คี วามเปน็ ดา่ งสงู และจะไดน้ ำ้ ดา่ งเทา่ กบั ปรมิ าตรของขเ้ี ถา้ การลอกกาวไหมด้วยน้ำดา่ งธรรมชาติ 1. แช่เส้นไหมดิบลงในน้ำด่างท่ีเตรียมไว้ประมาณ 1 ช่ัวโมง (ไม่ต้องต้ังไฟ) น้ำด่างท่ีใช้ลอกกาว ไหม มคี วามเปน็ ด่าง คา่ PH 11-12 2. เส้นไหมจะอ่อนตวั จับดมู ลี ักษณะเปน็ เมือกลื่น 3. ต้มนำ้ ด้วยภาชนะปากกวา้ งจนเดือด จากนั้นยกเส้นไหมจากนำ้ ดา่ ง ลงจมุ่ ในน้ำเดอื ด 4. หมน่ั พลกิ เสน้ ไหมใหส้ มั ผสั กบั นำ้ รอ้ นใหท้ วั่ สงั เกตเสน้ ไหมจะกลายเปน็ สคี รมี จบั แลว้ รสู้ กึ ฝดื มอื 5. นำเสน้ ไหมทก่ี าวลอกออกแลว้ ขน้ึ นำมาลา้ งในนำ้ อนุ่ 1-2 ครงั้ และลา้ งนำ้ สะอาด 3-4 ครงั้ 6. จากนัน้ บิดใหพ้ อหมาด กระตกุ ใหเ้ รยี งเสน้ ใส่ราวตากผึง่ ใหแ้ หง้ ในทรี่ ม่ การคดั เลอื กวัตถุดิบใหส้ ี และอปุ กรณ์เพื่อย้อมส ี 1. เลอื กพืชที่ใชย้ ้อมไดส้ ตี ดิ ทน สไี มต่ ก ไมซ่ ดี ง่าย วัสดุธรรมชาติหลายชนิดใช้ย้อมเส้นใยติดสีสวย แต่บางชนิดย้อมเส้นใยไม่ติดเลย หรือย้อมติด เฉพาะใยฝา้ ย บางชนดิ สเี ปลย่ี นเมอ่ื ถกู เหงอ่ื หรอื ความรอ้ น หรอื สซี ดี งา่ ยเมอื่ ถกู แสง เชน่ สมี ว่ งของลกู ผกั ปลงั สดี อกอญั ชนั หรอื สเี ขยี วใบเตย จงึ ไมเ่ หมาะสมใชเ้ ปน็ สยี อ้ มผา้ เพราะผา้ ตอ้ งซกั และผงึ่ ใหแ้ หง้ หลงั การสวมใส ่ 2. เลอื กพชื ทห่ี างา่ ย โตเรว็ มสี ว่ นท่ีใชเ้ ป็นสียอ้ มมาก สธี รรมชาตบิ างสี เชน่ สแี ดงจากครงั่ สจี ากคราม สเี หลอื งจากแกน่ ขนนุ หรอื เปลอื กตน้ ปะโหดหรอื สีน้ำตาลจากเปลือกต้นสีเสียด ประดู่เป็นสีที่สดและและไม่ซีดง่าย จึงนิยมใช้มาแต่โบราณ แต่ปัจจุบัน กลายเป็นพืชหายากมากแล้ว จึงควรเลือกใช้พืชใหม่ ท่ีโตง่าย ย้อมได้สีไม่ตกและไม่ซีดง่าย และเป็น การรกั ษาป่าไมไ้ วด้ ้วย 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 255
3. วตั ถุดบิ ให้สีไม่เก่าเกบ็ ตอ้ งเลอื กใช้วัตถุดิบที่ไมเ่ ก็บไวน้ านเกนิ ไป เพราะสีในพชื จะเสือ่ มยอ้ มไดส้ ีไมส่ ด อปุ กรณ์เพอื่ ยอ้ มสี อุปกรณ์ท่ีใช้ในการสกัดสี หรือย้อมสี ควรใช้ ภาชนะเคลือบ หรือ สเตนเลส สำหรับไม้กวนหรือ ทัพพีควรเป็นสเตนเลส แก้ว หรือพลาสติก ถ้าเป็นการย้อมแบบย้อมเย็นภาชนะจำพวกเหล็ก สังกะสี อะลมู ิเนยี ม ทองแดง ทำให้ย้อมได้สเี ปลย่ี นไป และบางชนดิ ตกคา้ งบนเสน้ ไหม ทำให้สง่ ออกผ้าไหมไมไ่ ด ้ การย้อมสธี รรมชาติ 1. การย้อมไหมเพือ่ ใหไ้ ดส้ ดี ำ ดว้ ยผลมะเกลือ การยอ้ มใหต้ ดิ สดี ำเรว็ ขนึ้ ทำไดโ้ ดยใชเ้ ทคนคิ ยอ้ มรองพนื้ ดว้ ยเปลอื กไม้ แลว้ หมกั ดว้ ยโคลน 1.1 การคัดเลอื กวตั ถุดิบ ผลมะเกลอื ใชผ้ ลดิบที่เปลอื กเป็นสีเขยี ว หรือสีเขียวอมเหลอื งเลก็ น้อย โคลน หรือ ตม จากบ่อ หรอื สระนำ้ ทีม่ ีนำ้ ขงั ตลอดปี มักช่วยให้ย้อมได้สดี ำเร็วข้นึ อย่างไรก็ตาม ควรได้ทดลองย้อมไหมปริมาณนอ้ ยกอ่ น ถ้าโคลนทำใหส้ ีเทาเขม้ ขึ้น จงึ นำมาใช้ ชว่ ยย้อมไหมปรมิ าณมาก สว่ นผสม 1) ผลมะเกลือดิบ 10 กิโลกรัม 2) เปลอื กประดู่หรือสมอ 5 กิโลกรมั 3) โคลน 1 ปบ๊ี 4) เส้นไหม(ลอกกาวแล้ว) 1 กโิ ลกรมั วธิ ีการย้อม 1. ตม้ เปลอื กประดู่ 2-3 ช่ัวโมง กรองเฉพาะนำ้ 2. นำเสน้ ไหมทล่ี อกกาวแล้ว ลงตม้ ยอ้ มในนำ้ เปลือกประดู่ ประมาณ 1 ชว่ั โมง แลว้ นำข้นึ มาลา้ งให้สะอาด 3. ละลายโคลนดว้ ยน้ำเปลา่ แลว้ กรองเฉพาะนำ้ 4. นำเสน้ ไหมท่ีไดจ้ ากการย้อมเปลือกประดู่ ลงแช่น้ำโคลน 1 คนื 5. ล้างเสน้ ไหมใหส้ ะอาด นำตากใหแ้ หง้ 2-3 ชว่ั โมง 6. โขลกผลมะเกลอื ดิบพอแหลกแลว้ ต้มเคีย่ ว 1-2 ชัว่ โมง กรองเฉพาะน้ำ 7. นำเส้นไหม(จากขอ้ 5 ) ลงต้มในนำ้ มะเกลอื ประมาณ 1 ชว่ั โมง แล้วลา้ งไหมใหส้ ะอาด นำแช่นำ้ โคลน 1 คืน ลา้ งเส้นไหมและผ่งึ ใหแ้ ห้ง 2-3 ชว่ั โมง 8. ทำซำ้ (ขอ้ 6-8) 2 ครงั้ โดยใชน้ ำ้ ยอ้ มทเี่ ตรยี มจากผลมะเกลอื ใหมจ่ ะไดเ้ สน้ ไหมสดี ำเทา หมายเหต ุ ต้องการย้อมเส้นไหมให้ได้สีดำเข้ม ให้ย้อมซ้ำได้หลายคร้ัง โดยใช้น้ำย้อมจากผลมะเกลือที่ เตรยี มใหม่ สำหรบั โคลนท่ใี ช้หมกั จากแตล่ ะแหง่ ทำให้ไดส้ ดี ำเข้มตา่ งกนั ขัน้ ตอนวิธีการย้อม 1. ย้อมรองพนื้ ดว้ ยน้ำสกดั จากเปลอื กประด ู่ - สบั เปลอื กประดู่ เปน็ ชน้ิ เลก็ ตม้ เคยี่ วนาน ประมาณ 1 ชวั่ โมง จากนนั้ กรองเฉพาะนำ้ - ยอ้ มเสน้ ไหมในน้ำประดู่ แบบย้อมรอ้ น ไดเ้ สน้ ไหมสนี ำ้ ตาลออ่ น - แชห่ มักเสน้ ไหมท่ยี อ้ มด้วยเปลือกประดู่ ในนำ้ โคลน ไดเ้ ส้นไหมสนี ้ำตาลอมเทา 256 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
2. ย้อมให้เป็นสดี ำ ดว้ ย น้ำมะเกลอื และหมกั โคลน - โขลกผลมะเกลือ ต้มเค่ียวจนเดือดแล้วกรองเอากากออก จากนั้นย้อมเส้นไหมใน น้ำมะเกลือแบบยอ้ มรอ้ น - เตรียมน้ำโคลน โดยละลายโคลนในน้ำแล้วกรองเอากากออก และนำเส้นไหมที่ย้อม มะเกลือแล้วลงแช่หมัก 1 คืน หลังจากนั้น นำเส้นไหมข้ึนมาซักล้างให้สะอาด และ ผึ่งให้แห้ง จะได ้ เส้นไหมสดี ำ ถา้ ตอ้ งการสดี ำเขม้ ข้ึน ให้โขลกผลมะเกลอื ใหม่ ต้มนำ้ ยอ้ มแลว้ ยอ้ มซ้ำด้วยวธิ ีเดียวกนั 2. การย้อมไหมเพือ่ ใหไ้ ดส้ ีแดง ด้วยครั่ง โดยใชเ้ ทคนิค การย้อมร้อนผสมสารช่วยยอ้ ม การคัดเลือกวัตถดุ ิบ คร่ัง รงั ครัง่ ทอี่ ายแุ กเ่ ตม็ ที่ เป็นคร่งั ท่ยี อ้ มไหมได้สแี ดงสด สารชว่ ยยอ้ ม มะขามเปยี ก และ สารสม้ ใหบ้ ดละเอยี ดกอ่ นใชใ้ บมะขาม หรอื ใบสม้ เสย้ี ว ส่วนผสม - คร่ังปน่ 5 กโิ ลกรัม - มะขามเปียก 150 กรัม - สารสม้ 50 กรัม หรอื ใบมะขาม หรือ ใบส้มเสี้ยว 50-100 กรัม ต้มน้ำแล้วกรองช่วยย้อมได้เส้นไหม (ลอกกาวแลว้ ) 1 กิโลกรมั ได้น้ำยอ้ มประมาณ 25–30 ลิตรตอ่ การยอ้ มไหม 1 กโิ ลกรมั วธิ ยี อ้ ม 1. สกัดสีจากครั่งโดย แช่คร่ังด้วยน้ำสะอาด 1-2 วัน จากนั้นกรองเฉพาะน้ำด้วยผ้าดิบ หรือ บดครงั่ และสกดั น้ำสี โดยนวดกบั นำ้ ร้อน 2. นำน้ำคร่งั ใสภ่ าชนะต้ังไฟจนเดือด เตมิ นำ้ มะขามเปียกและสารสม้ 3. ตม้ จนน้ำย้อมครั่งเดอื ดอีกครั้ง จากน้ันนำเส้นไหมลงยอ้ ม ประมาณครึง่ ชั่วโมง 4. นำเสน้ ไหมมาลา้ งนำ้ ให้สะอาด กระตุกไหมใหเ้ รียงเสน้ และผึง่ ให้แหง้ หมายเหตุ - มะขามเปยี กท่ใี ช้ ควรมรี สเปร้ียวจัด - สดั สว่ นของมะขามเปยี กและสารส้ม ถ้าเปล่ยี นแปลงจะทำใหย้ อ้ มไดส้ ีแดงตา่ งกัน - ครง่ั ท่ไี ด้จากแต่ละทอ้ งท่ี จะมีสไี ม่เหมือนกันควรทดลองยอ้ มและสงั เกตสกี อ่ นย้อมจรงิ - นำ้ ทใ่ี ช้ในการยอ้ มไหมดว้ ยครง่ั ควรใชน้ ำ้ ออ่ น ข้นั ตอนวิธีย้อมดว้ ยคร่ัง 1) เตรียมน้ำยอ้ มจากครงั่ - แกะรังคร่ังออกจากไม้ และโขลกบดรังครั่งใหล้ ะเอียด - ครั่งทบ่ี ดละเอยี ดแล้ว แช่น้ำ 1-2 คนื จากน้ันนำมากรองผ่านตาข่ายและผา้ ดิบเพอื่ แยก กากครั่งออกหรือบดครง่ั และสกัดนำ้ สี โดยนวดกับน้ำร้อนก็ได ้ 2) การยอ้ มเส้นไหมด้วยคร่ัง - ค้ันมะขามเปยี กกบั นำ้ เกบ็ เอากากออก เตมิ น้ำมะขามเปียก และสารสม้ ลงในน้ำย้อม ครัง่ ท่ีเดือด นำ้ มะขามเปยี ก และสารสม้ เป็นสารช่วยย้อม ทำใหย้ ้อมได้สีแดงสด และ สตี ิดคงทน 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 257
- เมื่อเติมน้ำมะขามเปียก และสารส้มแล้ว ต้มน้ำย้อมให้เดือดอีกครั้งแล้วจึงนำเส้นไหม ลงยอ้ มแบบยอ้ มร้อน โดยย้อมเสน้ ไหมในนำ้ รอ้ นครง่ั เสร็จแล้ว จึงนำมาซกั ลา้ งให้สะอาด และกระตุกใหไ้ หม เรียงเส้นไดเ้ ส้นไหมสแี ดง การย้อมไหมเพอ่ื ให้ไดส้ นี ้ำตาล ดว้ ยเปลอื กไมห้ รือ ฝักแหง้ การคดั เลอื กวตั ถดุ ิบ เปลือกไม้ที่ใช้ย้อมเส้นไหม ส่วนใหญ่ย้อมได้สีน้ำตาล ควรเลือกเปลือกไม้จากต้นท่ีมีอายุมาก พอสมควร เนอื่ งจากมปี รมิ าณสารใหส้ เี ขม้ ขน้ และ การยอ้ มควรใชป้ รมิ าณทเ่ี หมาะสม จงึ จะทำใหย้ อ้ มไดส้ ตี ดิ คงทนดี เปลือกไม้เก่าจนผุ หรือมีราข้ึน ไม่ควรนำมาสกัดน้ำย้อมเปลือกไม้ท่ีนิยมใช้ย้อมสีน้ำตาลและให้ผล การติดสีคงทน ได้แก่ เปลือกต้นประดู่ป่า ต้นเชือก ต้นสีเสียด ต้นเปือย (ตะแบก) ฝักคูนแห้ง ฝักฝางแห้ง เปน็ ต้น วิธีการย้อม 1 สบั เปลอื กไม้ (หรือฝักแหง้ ) ใหเ้ ปน็ ช้ินเล็กและ แชน่ ้ำ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง หรอื 1 คนื 2 ตม้ เคยี่ วเปลอื กไม้ (หรอื ฝกั แหง้ ) พรอ้ มนำ้ ทแ่ี ช่ ใชไ้ ฟออ่ นใหเ้ ดอื ด นานประมาณ 2-3 ชว่ั โมง กรอง เฉพาะนำ้ 3 นำเสน้ ไหมทล่ี อกกาวแลว้ ลงยอ้ มในนำ้ สยี อ้ มทก่ี รองไว้ ตม้ ยอ้ มเสน้ ไหมนานประมาณ 1 ชวั่ โมง แล้วนำข้นึ ล้างน้ำให้สะอาด 4 กระตุกไหมให้เรียงเส้น และผ่ึงให้แห้ง จะได้เส้นไหมสีน้ำตาลอ่อน หรือ สีน้ำตาลเข้ม ขึน้ กบั ชนดิ ของเปลือกไม้ และการเตรยี มน้ำย้อม การสกดั นำ้ ย้อมจากเปลือกไม้ สับเปลือกไม้เป็นชิ้นเล็ก ใส่ในภาชนะ เติมน้ำให้ท่วมเหนือช้ินไม้แล้วแช่น้ำไว้ 1-2 ช่ัวโมง จากนั้น ต้มเค่ียวประมาณ 3 ชั่วโมง จนได้สีเข้มตามต้องการ จึงกรองเอากากออก โดยทั่วไปใช้เปลือกไม้ประมาณ 3-5 กิโลกรมั ตม้ เคี่ยวใหไ้ ดน้ ำ้ ย้อม 25-30 ลิตร สำหรบั ย้อมเส้นไหม 1 กิโลกรัม นำน้ำสีย้อมที่เตรียมไว้ขึ้นต้ังไฟจนน้ำสีร้อนใกล้เดือด จึงนำเส้นไหมที่ลอกกาวดีแล้วลงย้อม นานประมาณ 1 ช่ัวโมง ระหว่างย้อมกลับเส้นไหมเป็นระยะให้ติดสีย้อมทั่วถึงกัน เมื่อย้อมเสร็จนำเส้นไหม ข้ึนจากนำ้ สี บิดหมาดและล้างด้วยน้ำสะอาด หลายๆ คร้ัง กระตกุ เสน้ ไหมใหเ้ รยี งเสน้ และผึ่งให้แห้ง การย้อมไหมเพอ่ื ให้ไดส้ ีเหลืองด้วยดอกดาวเรือง การคดั เลอื กวัตถดุ บิ วตั ถดุ บิ ธรรมชาติ ทใี่ ชย้ อ้ มไหมใหไ้ ดส้ เี หลอื ง มหี ลายชนดิ เชน่ แกน่ ไม้ เปลอื กไม้ ดอกไมบ้ างชนดิ หรอื หัว(เหง้า) ขม้ิน หัวไพล ที่นิยมใช้กันมากมาแต่โบราณ ได้แก่ แก่นขนุน แก่นแข แก่นต้นคูน หวั ขมิ้น เปลอื กไม้ นิยมใช้ เปลอื กต้นมะม่วง เปลอื กตน้ มะพูด หรอื ต้นประโหด และ ดอกไม้ เช่น กา้ นดอก กรรณิการ์ กลีบดอกคำฝอย ถึงแม้วัตถุดิบให้สีเหลืองมีหลายชนิด แต่ควรเลือกใช้วัตถุดิบท่ีให้สีที่ติดคงทน ไมซ่ ดี งา่ ย การย้อมไหมเพอ่ื ใหไ้ ดส้ เี หลอื ง ด้วยกลีบดอกดาวเรือง ใช้ดอกดาวเรืองบ้าน สกัดได้น้ำสีเหลืองเข้มข้นกว่าดอกดาวเรืองพันธ์ุอาจใช้เป็นกลีบดอกสด หรือ กลีบดอกแห้งท่นี ำมานงึ่ และผึ่งจนแห้งก็ได้ 258 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
สว่ นผสม ดอกดาวเรืองสด 10-15 กโิ ลกรมั สารส้ม 100 กรัม เส้นไหม(ลอกกาวแล้ว) 1 กิโลกรมั วิธเี ตรยี มนำ้ ย้อม 1) ตดั ตมุ้ ดอกออก นำกลบี ดอกไปนง่ึ ประมาณ 10 นาที จากนนั้ ใสใ่ นภาชนะ เตมิ นำ้ ใหท้ ว่ ม แลว้ ตม้ โดยใชไ้ ฟไมแ่ รง นาน 1 ชวั่ โมง นำ้ ทใี่ ช้ควรเปน็ น้ำออ่ น เชน่ น้ำฝนหรือน้ำประปา 2) กรองเอากากออก ดว้ ยตาข่ายและผ้าดบิ ไดน้ ำ้ ยอ้ มสีเหลือง วิธเี ตรยี มน้ำสารส้ม (ช่วยยอ้ ม) - ตม้ นำ้ 15-20 ลิตร ให้เดือด เตมิ สารสม้ ท่บี ดละเอยี ดลงไป คนให้ละลายเข้ากันแล้วตม้ ใหเ้ ดอื ดอีกครั้งหนึ่ง ลดความร้อนลง เพือ่ ใช้อ่นุ นำ้ สารส้ม วิธีการยอ้ ม 1 นำเสน้ ไหมท่ีลอกกาวแลว้ แช่ในน้ำสี ไม่ตอ้ งตงั้ ไฟ (ยอ้ มเยน็ ) นาน 5-10 นาที แลว้ นำเส้นไหม ข้ึนพกั ไว้ 2 ตม้ น้ำย้อมสเี หลืองจากดอกดาวเรือง ให้เกอื บเดือด 3 นำเส้นไหมลงยอ้ ม แบบย้อมร้อน ประมาณ 30-45 นาท ี 4 ครบเวลา นำเสน้ ไหมข้นึ ผึง่ และล้างด้วยนำ้ สะอาด 1 นำ้ 5 แชเ่ สน้ ไหมท่ีย้อมแลว้ ในน้ำสารส้มอนุ่ ท่ีเตรยี มไว้ นาน 15 นาท ี 6 ลา้ งดว้ ยนำ้ ใหส้ ะอาด บดิ หมาด กระตกุ ไหมใหเ้ รยี งเสน้ และผง่ึ ใหแ้ หง้ จะไดเ้ สน้ ไหมสเี หลอื งทอง - นำเส้นไหมที่ลอกกาวแล้ว แช่น้ำสีจากดอกดาวเรือง โดยไม่ต้องตั้งไฟ แล้วนำเส้นไหม ข้ึนพกั ไว้ นำน้ำสไี ปตัง้ ไฟ เม่อื ต้มน้ำสีให้เดอื ด จึงนำเส้นไหมลงย้อม แบบย้อมรอ้ นอกี คร้ัง - เส้นไหมท่ีย้อมสีจากดอกดาวเรือง ได้สีเหลืองอมเขียวเมื่อนำไปแช่ในน้ำละลายสารส้ม ทำให้เส้นไหมเปน็ สีเหลือง การยอ้ มไหมเพื่อให้ไดส้ ีเหลือง ด้วยเปลือกต้นประโหด หรอื ต้นมะพดู การคัดเลอื กวตั ถุดบิ เปลือกต้นประโหด หรือ มะพูด นิยมใช้ย้อมเส้นไหม ได้สีเหลืองสด ควรเลือกเปลือกไม้จากต้นที่ มีอายมุ ากพอควร มเี ปลือกหนา อยา่ งนอ้ ยครึง่ เซนติเมตร สว่ นผสม เปลือกตน้ ประโหด 3-5 กิโลกรมั สารสม้ บดละเอยี ด 50-100 กโิ ลกรัม เส้นไหม (ลอกกาวแล้ว) 1 กิโลกรัม วธิ เี ตรยี มน้ำยอ้ ม และ วธิ ีย้อม 1 สับเปลอื กไมเ้ ป็นชิน้ เลก็ แช่นำ้ ไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง 2 ตม้ เคยี่ วเปลอื กไม้พรอ้ มนำ้ ทีแ่ ช่ ประมาณ 3-4 ชว่ั โมง กรองเอากากออก 3 นำนำ้ สีท่กี รองไดต้ ัง้ ไฟ เตมิ สารสม้ คนใหเ้ ขา้ กนั และต้มให้เดือดอกี ครง้ั หนง่ึ 4 นำเสน้ ไหมทล่ี อกกาวแลว้ ลงยอ้ มในนำ้ สี โดยตม้ ยอ้ มเสน้ ไหมนานประมาณ 1 ชว่ั โมง แลว้ นำขนึ้ ล้างนำ้ ใหส้ ะอาด 5 กระตุกไหมใหเ้ รยี งเสน้ และ ผ่ึงให้แห้งไดเ้ สน้ ไหม สีเหลอื งสด 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 259
การจดั การและการผลติ พนั ธห์ุ มอ่ นใหม้ ีคณุ ภาพ หม่อนเป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่ม เนื้ออ่อน เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน และเขตอบอุ่น ใบหม่อนเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวของหนอนไหมท่ีนิยมเล้ียงเพื่อการค้า ดังน้ัน หม่อนจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการเลย้ี งไหมใหป้ ระสบผลสำเรจ็ การเลอื กใชห้ มอ่ นทม่ี คี ณุ ภาพดใี นการเลยี้ งไหมนบั ไดว้ า่ จะทำใหป้ ระสบผล สำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง การจัดการเพ่ือทำให้ต้นหม่อนแข็งแรง ให้ผลผลิตใบหม่อนสูง และมีคุณค่าทาง อาหารสงู น้ัน ประกอบด้วยปัจจัยท่สี ำคัญ ดงั นี ้ 1. พนั ธ์ ุ ปัจจบุ นั พันธห์ุ ม่อนไหมดีท่ใี ห้ผลผลิตต่อไร่สงู สามารถเจรญิ เติบโตเรว็ แตกตาดี ไมพ่ ักตวั นาน แตกแขนงดี ขอ้ ถ่ี ขนาดใบใหญป่ านกลาง ใบหนาเหยี่ วชา้ ลกั ษณะใบเปน็ มนั ออ่ นนมุ่ ตอบสนองตอ่ การตดั แตง่ การให้น้ำและปุ๋ยดีและสามารถขยายพันธ์ุโดยการใช้ท่อนพันธ์ุได้ ซึ่งกรมหม่อนไหมได้แนะนำให ้ เกษตรกรปลกู ไดแ้ ก่ พนั ธบ์ุ รุ รี มั ย์ 60 และพนั ธส์ุ กลนคร โดยจะใหผ้ ลผลติ ใบหมอ่ นประมาณ 2,000 กโิ ลกรมั ใบ ในสภาพเขตนำ้ ฝนและจะให้ผลผลติ ใบหม่อน 3,500 กิโลกรมั ใบในพ้ืนที่กรมชลประทาน 2. การเลอื กพื้นที่ปลกู หม่อนเป็นพืชท่ีปลูกง่าย ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี ปลูกได้ทั้งในพ้ืนที่ท่ีดินมีความอุดม สมบูรณ์สูงและต่ำ แต่ถ้าจะให้การปลูกประสบผลสำเร็จ ได้ผลผลิตและคุณภาพใบดี ควรจะต้องมีการปลูก หม่อนในดินร่วนปนทราย ร่วนซุย หน้าดินลึกเป็นท่ีดิน ระบายน้ำดี น้ำไม่ขังติดต่อกัน ในฤดูฝนและแปลง หม่อนควรอยู่ใกล้โรงเลี้ยง เพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยวใบ ขนส่ง และดูแลบำรุงรักษา ใกล้แหล่งน้ำ เพ่ือสามารถให้น้ำได้ในฤดูแล้ง จะช่วยให้ได้ผลผลิตใบมากข้ึน และไม่ควรให้อยู่ใกล้แปลงปลูกพืชที่ใช้ สารเคมพี น่ หรือโรงงานที่มฝี นุ่ ละอองควัน ซึ่งจะทำใหใ้ บหม่อนเปือ้ นเปรอะและเปน็ พษิ ต่อหนอนไหม 3. การเตรยี มดิน ก่อนปลูกควรเตรียมดินโดยการไถดินให้ลึก 40 เซนติเมตร ผึ่งแดดทิ้งไว้ 5-7 วัน แล้วทำการไถพรวน พร้อมกับปรับพื้นท่ีท่ีเคยปลูกพืชอื่นมานานจนดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ก่อนปลูกควร ขดุ รอ่ งตามแนวทจี่ ะปลกู ขนาดกวา้ ง 50 เซนตเิ มตร ลกึ 50 เซนตเิ มตร ใสเ่ ศษหญา้ ใบไมแ้ หง้ ปยุ๋ หมกั ปยุ๋ คอก ประมาณคร่ึงร่อง สำหรับสภาพดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวลงไปด้วยแล้วกลบดินให้มีลักษณะนูนเป็นหลังเต่า และทำการปลกู หมอ่ นลงบนแนวร่องท่ีเตรยี มไว้ 260 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
4. การบ่มทอ่ นพนั ธุ ์ กง่ิ พนั ธท์ุ รี่ บั มาจากแหลง่ ขยายพนั ธุ์ อาจถกู ทงิ้ ไวอ้ ยหู่ ลายวนั ทำใหก้ งิ่ และตาเหย่ี ว เมอ่ื ไปปลกู จะ ทำให้เปอร์เซ็นต์การตายสูง จึงควรบ่มท่อนพันธ์ุก่อน โดยนำท่อนที่เตรียมไว้แล้วทำเป็นมัดๆ ละ 100 ทอ่ น วางเรียงต้ังไว้ในที่ร่มคลุมด้วยเศษหญ้าหรือฟาง รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน ก่ิงและตา จะมลี กั ษณะเตง่ ตึง สเี ขียว นำไปปลกู ในแปลงทำให้เปอร์เซน็ ตร์ อดสูง 5. ระยะปลูก ระยะปลูกของหม่อนไม่เหมือนปลูกพืชชนิดอ่ืน เพราะหม่อนเป็นพืชที่ต้องใช้ใบในการปลูก ต้องคำนึงถึงทิศด้วย ควรปลูกจากเหนือไปใต้ เพราะต้นหม่อนจะได้รับแสงตลอดวัน นอกจากน้ีคำนึงถึง ความอุดมสมบูรณข์ องดนิ ถา้ ดนิ มคี วามอุดมสมบูรณ์ดี ระยะปลกู หม่อนควรจะกวา้ ง เพือ่ ตน้ หม่อนจะเจรญิ เติบโตแตกกิ่งก้านได้เต็มที่ แต่ถ้าดินไม่ค่อยมีความอุดมสมบูรณ์ ระยะปลูกควรจะลดลงเพื่อจำนวนต้นจะได้ มากขึ้น พนั ธหุ์ ม่อนถา้ เป็นหม่อนท่ีแตกกงิ่ กา้ น ระยะปลกู ควรจะห่างกนั เพอื่ ต้นจะได้แผก่ ิ่งกา้ นไดส้ ะดวก แต่ ถ้าเป็นพันธ์ุที่ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านมากนัก ระยะปลูกควรจะลดลง สำหรับใช้เคร่ืองทุ่นแรงช่วยในการกำจัด วัชพืชควรเว้นระยะระหว่างแถวให้กว้างพอเหมาะกับขนาดของเคร่ืองมือทุ่นแรง โดยจะปลูกเป็นแถว ระยะระหว่างต้นประมาณ 0.75x1.50 -3.00 เมตร 6. ระยะเวลาการปลูกหม่อน ฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับการปลูกหม่อนคือ ในช่วงต้นฤดูฝนปลายเมษายนถึงเดือน พฤษภาคม หรือตามสภาพของฝนในแต่ละท้องถ่ิน เน่ืองจากดินมีความชุ่มชื้นดี หม่อนจะตั้งตัวได้เร็วและ เจริญเติบโตดี รากแข็งแรงแผ่กระจายได้ลึก เมื่อถึงฤดูแล้งของปีต่อไปหม่อนจะไม่ตาย แต่ถ้าปลูกในช่วง ปลายฤดูฝนมากเกินไป จะทำให้หม่อนมีระยะในการเจริญเติบโตสั้นมาก พอย่างเข้าฤดูแล้งต้นหม่อน บางส่วนอาจอ่อนแอ แคระแกร็นหรือตายได้ แต่ในสภาพที่สามารถให้น้ำได้ตลอดปีหรือสภาพดินดีมีการใช้ ปุ๋ยอนิ ทรียใ์ นสวนหมอ่ นและการใช้วสั ดุคลมุ ดินช่วยรักษาความช้ืน หม่อนจะสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกต ิ 7. การเตรียมหลุม การเตรียมหลุมเป็นการเตรียมสภาพดินท่ีจะปลูกหม่อนให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของ ต้นหม่อน ต้นหม่อนมีอายุยืน ทนต่อสภาพแวดล้อมที่เปล่ียนไปได้ดีเช่นในช่วงฤดูแล้งหรือฝนท้ิงช่วง ถ้าเกษตรกรทำการเตรียมหลุมไว้อย่างดีต้นหม่อนจะสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ สามารถให้ผลผลิต วิธกี ารเตรียมหลมุ มี 2 วิธี คือ 1) การขุดเป็นหลมุ ตามระยะปลูก ขนาดลกึ ประมาณ 50 เซนติเมตร กว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยเศษหญ้า ฟางแห้ง หรือซังข้าวโพดคลุกด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก จากนัน้ กลบดนิ 1 ชัน้ ก่อนทำการปลูกหมอ่ น และ 2) ขุดหลุมเป็นรอ่ งยาวตามแถวปลูก ขนาดกว้าง และลึก 50 เซนติเมตร ความยาวเท่ากับความยาวของแปลงหม่อน ใช้เศษหญ้า ฟางข้าว ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก รองกน้ หลมุ แลว้ จึงเอาดินท่ีขดุ ขน้ึ กลบแล้วจึงนำท่อนพันธุ์ปกั ตามระยะท่กี ำหนด 8. วิธีการปลกู วิธีการปลูกหม่อนมีความสำคัญต่อการรอดของท่อนพันธุ์และการเจริญเติบโตของต้นหม่อน ถ้าปลูกไม่ถูกวิธีจะทำให้ต้นหม่อนเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอ จำนวนต้นหม่อนต่อพ้ืนที่น้อยลงทำให้ส้ินเปลือง แรงงานและค่าใช้จ่ายสงู วิธกี ารปลกู ที่นยิ มกนั มี 2 วิธี คอื 1) นำท่อนพันธไุ์ ปปลูกโดยตรงในแปลงท่เี ตรียมไว้ การปลูกหม่อนน้ันกิ่งพันธุ์หม่อนท่ีจะนำมาปลูกควรเป็นกิ่งที่มีอายุตั้งแต่ 4เดือนถึง 1 ปี สีของก่ิงจะเปน็ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 261
สนี ำ้ ตาล ไมม่ โี รค และแมลงศตั รู ตดั เปน็ ทอ่ นแตล่ ะทอ่ นมตี า 5-6 ตา ความยาวประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร ด้านล่าง ส่วนท่ีปักลงในดินตัดเฉียงเป็นปากฉลาม ถ้ามีรอยแตกหรือช้ำตรงรอยตัด ใช้มีดคมปาดแผลให้เรียบร้อย เพราะรอยแตกช้ำจะทำให้การเจริญเติบโตของรากไม่ดีเท่าที่ควรหรือเน่าตายได้ และ 2) นำท่อนพันธ์ุไปปัก ชำก่อนอย่างน้อย 6 เดอื นหรือปกั ชำในถงุ อย่างนอ้ ย 3 เดือน แล้วจึงนำไปปลกู ต่อไป 9. การดแู ลรักษาสวนหม่อน สำหรับหม่อนที่เร่ิมปลูกใหม่ควรมีการกำจัดวัชพืชหลายคร้ังเพราะต้องปลูกหม่อนในต้นฤดูฝน ซึ่งระยะนี้วัชพืชจะขึ้นมาก จึงมีความจำเป็นต้องกำจัดวัชพืช ในระยะแรกหลังจากต้นหม่อนโตพอสมควร แล้วการกำจัดวัชพืชจะเว้นระยะห่างไป เพราะวัชพืชเป็นตัวแย่งธาตุอาหารในดิน แย่งน้ำ นอกจากนี้ยังเป็น ที่อยู่อาศัยของโรคและแมลงอีกด้วย เน่ืองจากดินในประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์แตกต่างกันการปลูก หม่อนจึงบ่งไม่ได้ชัดว่าควรใส่ปุ๋ยอย่างไร แต่มีวิธีการคือ ดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้วเช่น ดินในภาค กลาง ควรใส่ปุ๋ยเคมีเล็กน้อย ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดินทรายที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ จงึ ต้องมวี ิธีการปรับปรงุ ท้ังธาตอุ าหารและคุณสมบตั ขิ องดนิ ให้ดีขึน้ โดยใสท่ งั้ ปยุ๋ อนิ ทรียแ์ ละปุ๋ยวทิ ยาศาสตร์ ในดินบางแห่งที่ต้องปรับความเป็นกรดโดยการใส่ปูนขาว ซึ่งต้องใส่ให้พอเหมาะถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้ปุ๋ย สลายตัวเร็วจนพืชไม่ทันใช้ให้เป็นประโยชน์ ฉะนั้น การใส่ปูนขาวควรเพ่ิมอินทรียวัตถุให้มากข้ึน การ พิจารณาว่าจะใสป่ ุ๋ยชนดิ ใด ในปรมิ าณเทา่ ไร ควรมหี ลกั ดงั น้ี วเิ คราะห์ตวั อย่างดนิ โดยการส่งตัวอยา่ งดินมา วิเคราะห์ท่ีแผนกวิเคราะห์ดิน เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นดินชนิดใดและจะต้องใส่ปุ๋ยสูตรใด ในกรณีท่ีไม่ สามารถส่งตัวอย่างดินมาวิเคราะห์ได้สามารถพิจารณาว่าดินมีความสมบูรณ์พอสมควรก็สามารถใช้ปุ๋ยผสม ทข่ี ายตามทอ้ งตลาดได้ ปยุ๋ ทมี่ สี ตู รใกลเ้ คยี งคอื สตู ร 15-15-15 ในอตั ราไรล่ ะ 100 กโิ ลกรมั โดยแบง่ ใส่ 2 ครง้ั ใน 1 ปี ครั้งแรกใส่ตอนต้นฤดูฝน และคร้ังต่อไปใส่ในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ควรใส่ปุ๋ยทุกปี สำหรับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ควรใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมีในอัตราส่วนไร่ละ 1,000 กิโลกรัม เพื่อช่วย ปรบั โครงสร้างของดนิ ทำให้รากหมอ่ นชอนไชและดูดกินธาตุอาหารไดด้ ีข้ึน และดินมกี ารระบายอากาศ นอกจากน้ีการรักษาความชื้นในดิน โดยการพรวนดินให้ร่วนซุยจะทำให้ดินมีความช้ืนหรือใช้วัสดุ คลุมดินเพ่ือป้องกันการระเหยน้ำจากผิวดิน การให้น้ำทำได้โดยปล่อยน้ำไหลเข้าไปในแถวของหม่อนอย่าง น้อยสัปดาห์ละ 1 คร้ัง ในฤดูแล้ง การระบายน้ำ เป็นการรักษาระดับความช้ืนในดินให้พอเหมาะกับ การเจริญเติบโตของต้นหม่อน และจะช่วยปรับปรุงดินโครงสร้างของดินและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในสภาพน้ำขังต้นหม่อนจะแสดงอาการใบเหลือง ชะงักการเจริญเติบโต ต้นหม่อนจะเหี่ยว สภาวะอย่างน้ี รากหม่อนขาดออกซิเจน มีผลกระทบต่อการหายใจของหม่อน การระบายน้ำช่วยดินสามารถถ่ายเทอากาศ ได้ดี รากหม่อนไม่ขาดออกซิเจน จุลินทรีย์ในดินสามารถเจริญเติบโตได้ดี และจะมีบทบาทสำคัญในการ คงความอดุ มสมบรู ณ์ของดิน 10. การเกบ็ ใบหม่อน หลงั จากปลกู หมอ่ นไปแล้วประมาณ 6 เดอื น ถ้ามีการดูแลรักษาทด่ี จี ะสามารถเก็บใบไปเลี้ยง ไหมได้ การเก็บใบหม่อนจะต้องเกบ็ อย่างถูกวิธีเพื่อให้ตน้ หมอ่ นได้รบั ความกระทบกระเทือนนอ้ ยท่สี ดุ โดยมี วิธีการเกบ็ คือ จะตอ้ งเลอื กเก็บใบหม่อนตามวัยของไหม ไหมวัยออ่ นตอ้ งเกบ็ ใบหม่อนออ่ นมาเล้ียงไหม ไหม วัยแก่ต้องเก็บใบหม่อนแก่มาเล้ียงไหม ส่วนใบหม่อนแก่มีคาร์โบรไฮเดตสูง ซึ่งเหมาะสมกับไหมวัยแก่ มีความต้องการคาร์โบรไฮเดรตสูงเช่นกัน ดังน้ัน การให้ไหมกินใบหม่อนถูกต้องตามวัยจะทำให้หนอนไหม 262 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
แข็งแรง เติบโตเร็ว รังไหมมีคุณภาพดี และเวลาในการเก็บใบหม่อนควรเลือกเวลาท่ีจะทำให้ใบหม่อนที่เก็บ มาแล้วไม่เห่ยี ว และมีธาตอุ าหารสมบูรณ์ 11. การตดั แตง่ ก่ิงหมอ่ น การตัดแต่งกิ่งหม่อนเป็นการเพิ่มผลผลิตและรักษารูปทรงของต้นหม่อน โดยแต่ละปี จะทำการตัดต่ำในเดือนเมษายน วิธีการตัดต่ำให้ใช้กรรไกรหรือเลื่อยตัดแต่งก่ิงเพื่อไม่ให้ต้นหม่อนช้ำ จะตัด ให้เหลือลำต้นสูงจากพื้นดินประมาณ 20-30 เซนติเมตร แล้วบำรุงรักษาต้นหม่อนโดยการใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกผสมปุ๋ยเคมี หลังจากนั้นประมาณ 2-3 เดือน ต้นหม่อนจะเจริญเติบโต แตกกิ่งและใบพอเพียง สำหรับเล้ียงไหมได้ 2-3 ต่อไปจึงทำการตัดกลาง โดยตัดก่ิงให้สูงจากพ้ืนดินประมาณ 60 เซนติเมตร และ บำรุงรักษาโดยการใส่ปุ๋ยเช่นเดียวกับการตัดต่ำแล้วปล่อยให้หม่อนเจริญเติบโตแตกก่ิงและใบใหม่ประมาณ 112- เดือน กส็ ามารถเกบ็ ใบหมอ่ นไปเลย้ี งไหมไดอ้ กี 1 รุ่น ภายหลงั จากนน้ั 1-112 - เดอื นก็สามารถเก็บใบหม่อน ไปเลีย้ งไหมไดอ้ ีก 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 263
การจัดการและการผลติ พนั ธไุ์ หมใหม้ ีคณุ ภาพ หนอนไหมที่ใช้เล้ียงกันทางการค้าอยู่ในปัจจุบัน คือ Bomobyx mori Linn พันธุ์ไหมท่ีนิยมเลี้ยง ในปจั จบุ ันแบง่ เป็น 3 ชนดิ คอื 1) ไหมพันธ์ุไทย หรอื ไทยพ้ืนเมอื ง (Native Silk) เปน็ ไหมท่ีมีถิน่ กำเนดิ ใน ไทย รังไหมสีเหลืองสด และไข่ฟักออกได้ตลอดปี เช่น พันธ์ุนางลาย นางเหลือง นางน้อย สำโรง 2) ไหมพันธ์ุไทยลูกผสม เป็นไหมท่ีเกิดจากการผสมพันธ์ุระหว่างพันธ์ุไทยกับพันธุ์ต่างประเทศ ให้ผลผลิต รังสีเหลือง มีขนาดรังใหญ่กว่าพันธ์ุไทย แต่มีความต้านทานต่อสภาพแวดล้อมน้อยกว่า เช่น พันธุ์ อุบลราชธานี35 (พันธุ์ดอกบัว) และ 3) ไหมพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศ เป็นพันธุ์ไหมท่ีได้จากการผสมพันธ์ุ ระหวา่ งพนั ธต์ุ ่างประเทศ ใหผ้ ลผลติ รงั มีสีขาว มีขนาดรังใหญ่ เหมาะสมกับการสาวด้วยเครอ่ื งจักร การเลี้ยงไหมให้ประสบผลสำเร็จน้ันควรพิจารณาปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง เช่น แปลงหม่อน พันธ์ุไหม และไข่ไหม ห้องเลี้ยงและวัสดุอุปกรณ์ เทคนิคการเล้ียง และการป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูไหม สำหรับ การเลยี้ งไหม 1 รนุ่ จะมรี ะยะเปน็ ตวั หนอนไหมอยปู่ ระมาณ 20-24 วนั จากระยะเวลาของ หนอนไหม 5 วยั คอื วยั ท่ี 1 ใชเ้ วลา 3-4 วนั วยั ท่ี 2 ใชเ้ วลา 2-3 วนั วยั ที่ 3 ใชเ้ วลา 3-4 วนั วยั ที่ 4 ใชเ้ วลา 4-5 วนั และวยั ที่ 5 ใช้เวลา 6-8 วัน เมอ่ื ไหมหยดุ กนิ ใบหม่อนจะพ่นใยไหมและลอกคราบเป็นดักแด้ภายในรงั ไหม มีระยะดักแด้ ประมาณ 10 วนั ในรอบการเลี้ยงไหมรนุ่ หนึ่ง จะใช้เวลาประมาณ 30-32 วัน ปัจจุบันการเล้ียงไหมเพ่ือการค้า เช่น การจำหน่ายรัง การสาวเส้นโดยโรงสาวขนาดเล็กและ อุตสาหกรรม นิยมใช้รังไหมพันธุ์ลกู ผสม ทัง้ พนั ธไ์ุ ทยลกู ผสม และลกู ผสมตา่ งประเทศ ขนั้ ตอนการเลยี้ งไหม พันธุ์ลูกผสมให้ประสบผลสำเร็จเกษตรกรควรปฏิบัติดังน้ี ต้องปลูกหม่อนพันธ์ุดีให้พอเพียงกับการเลี้ยง เข้ารับการฝึกอบรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม สร้างโรงเล้ียงและจัดหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงให้ครบถ้วน พอเพียง และถูกต้องตามหลักวิชาการ จัดหาไข่ไหมพันธ์ุลูกผสมโดยขอรับการสนับสนุน หรือส่ังซ้ือจาก หน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชน และทำการยืนยันการรับไข่ล่วงหน้าก่อนการเล้ียงอย่างน้อย 20 วัน การรับ ไขไ่ หมจะตอ้ งรบั ใหต้ รงเวลาและปฏบิ ตั ติ ามคำแนะนำของเจา้ หนา้ ทอี่ ยา่ งเครง่ ครดั เพอื่ ใหไ้ ดไ้ ขไ่ หมทฟี่ กั ออกดี และหนอนไหมแขง็ แรง การเลี้ยงไหมวัยอ่อน (วัยท่ี 1-3) มีความสำคัญต่อการเล้ียงไหมประสบผลสำเร็จถึง ร้อยละ 50 เริ่มจากการดูแลไหมแรกฟัก โดยนำแผ่นหรือกล่องไข่ เข้าโรงเลี้ยง เม่ือไข่ไหมฟักออกแล้วทำการโรย สารพาราฟอรม์ าดไี ฮด์ 3% ใหท้ วั่ ทงิ้ ไว้ 10-15 นาที จงึ ใหใ้ บหมอ่ นทห่ี น่ั เปน็ ชน้ิ เลก็ ๆ โรยใหท้ วั่ รอกระทง่ั หนอน ไหมไต่ข้ึนมาท้ังหมดแล้วจึงใช้ขนไก่ปัดลงกระด้ง หรือชั้นเลี้ยงที่รองกระดาษสำหรับเล้ียงไหมไว้แล้ว ใช้ตะเกียบเกล่ียหนอนไหมให้กระจายสม่ำเสมอ โดยขยายพ้ืนที่เล้ียงให้ได้ 2 เท่าของแผ่นไข่ ใบหม่อนที่นำ มาเลย้ี งหนอนไหมวยั ออ่ นควรเลอื กใบหมอ่ นทเี่ หมาะสมกบั หนอนไหมแตล่ ะวยั คอื วยั 1 ใชใ้ บหมอ่ นใบท่ี 1-3 นับ จากยอดโดยใช้มือรวบยอดหม่อนใบหม่อนที่อยู่สูงท่ีสุดนับเป็นใบที่ 1 จะมีลักษณะใบเล่ือมมันอ่อนนุ่ม ไหมวยั ท่2ี เก็บใบต่ำลงมา คอื ใบที่ 4-6 และวัย 3 ใบที่ 7-10 การให้อาหารหนอนไหมจะให้ 3-4 ครง้ั ตอ่ วนั ข้ึนอยู่กับการบริหารจัดการและสภาพความชื้นของอากาศ ในการให้อาหารแต่ละครั้งให้ใช้กาบกล้วย หรือ ฟองน้ำที่ชุ่มน้ำวางรอบๆ กระด้งหรือช้ันเลี้ยง เพื่อเพ่ิมความชื้นให้ใบหม่อนสามารถคงสภาพความสดได้ 264 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
ยาวนานขึ้น จะส่งผลให้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการกินใบหม่อนของไหมวัยอ่อนได้ส่วนการถ่ายมูลจะ พิจารณาตามความเหมาะสมว่าจะถ่ายมูลช่วงเวลาใด ไม่มากหรือน้อยคร้ังเกินไป เพราะถ้าถ่ายมูลมากเกิน ไปหนอนไหมจะบอบช้ำ และสูญเสียไปกับมูลมาก และถ้าถ่ายมูลน้อยเกินไปมูลไหมก็จะเป็นแหล่งสะสม เชอ้ื โรคได้ โดยทั่วไปการถ่ายมูลวยั ออ่ นนยิ มทำให้เหมาะสมกับในแต่ละวัย คือ ไหมวัย 1 ถ่ายมูล 1 คร้ัง คือก่อนไหมนอนครั้งที่ 1 ไหมวัย 2 ถ่ายมลู 2 ครั้ง ตอนไหมตืน่ นอนคร้ังท่ี 1 และกอ่ นนอนครัง้ ท่ี 2 ไหมวยั 3 ถา่ ยมลู 2 ครง้ั คอื ตอนไหมตน่ื นอนครงั้ ที่ 2 และ กอ่ นนอนครง้ั ท่ี 3 วิธีการถ่ายมูลใช้ตาข่ายถ่ายมูลวางและโรยใบหม่อนให้หนอนไหมเมื่อไหมไต่ขึ้นกินใบหม่อนหมด ให้ยกตาข่ายและดึงเอามูลไหมเดิมทิ้งไป นอกจากนั้นการขยายพื้นที่เลี้ยงไหมให้เหมาะสมกับไหมแต่ละวัย มีความจำเป็นท่ีจะต้องปฏิบัติ โดยการขยายพ้ืนที่ท่ีเหมาะสมกับการเล้ียงไหม 1 แผ่น (20,000 ตัว) คือ ไหมวยั ท่ี 1 ขยายพ้ืนท่ี 2 ครงั้ โดยเริ่มเลีย้ งใหข้ ยายพน้ื ท่ีเล้ยี งขนาด 2 เทา่ ของแผน่ ไข่ ครัง้ ที่ 2 ตวั เต็มวัยใช้ พื้นที่ 1 ตารางเมตร (20,000ตัวต่อตารางเมตร ) และไหมวัยท่ี 2 ขยายพื้นท่ี 2 ครั้ง ตัวเต็มวัยใช้พื้นท่ ี 2 ตารางเมตร (10,000 ตัวตอ่ ตารางเมตร ) และไหมวยั ที่ 3 ขยายพ้ืนท่ี 2 คร้ัง ตวั เตม็ วยั ใชพ้ นื้ ท่ี 4-5 ตาราง เมตร (5,000 ตวั ตอ่ ตารางเมตร ) การดแู ลรกั ษาขณะไหมนอนหรอื ลอกคราบซง่ึ เปน็ ชว่ งทห่ี นอนไหมอ่อนแอต่อ สภาพแวดล้อม ลักษณะไหมนอนสังเกตได้จากลำตัวหนอนไหมจะเล่ือมมันเคลื่อนไหวช้าลง และไม่กิน อาหาร เม่ือไหมนอนให้โรยแกลบเผาหรือปูนขาว และหลังจากไหมต่ืนให้โรยสารเคมีพาราฟอร์มดีไฮด์ 3% ทิง้ ไว้ 10-15 นาที แล้วคอ่ ยใหใ้ บหม่อนเลยี้ ง และทำการถ่ายมูลตามทีไ่ ด้กลา่ วแลว้ การเลีย้ งไหมวัยออ่ นไม่ ควรให้แสงแดดกระทบหนอนไหมโดยตรง เพราะจะทำให้หนอนไหมอ่อนแอ และก่อให้เกิดปัญหาต่อการ เลีย้ งไหมวยั แก่ คอื เปอรเ์ ซน็ ตก์ ารเล้ียงรอดต่ำผลผลติ รงั ต่ำ และหลังจากการเลยี้ งไหมในตอนเชา้ หรอื เยน็ ทีม่ ี การถ่ายมูลไหมควรทำความสะอาดพ้ืนโรงเลี้ยงด้วยน้ำยาฆ่าเช้ือ เช่นเดทตอล หรือใช้คลอรีนผสมน้ำใน อตั ราส่วน 1:8 วิธีการเล้ียงไหมวัยแก่ (วัย 4-5 ) มี 2 วิธี คือการเลี้ยงไหมในกระด้งหรือกระบะ และ การเลี้ยงแบบชั้นเลี้ยง วิธีการเล้ียงแบบกระด้งหรือกระบะ เป็นวิธีการท่ีจะทำให้เปลืองพื้นท่ีและเสียเวลา ในการเล้ียงมากกว่าการเล้ียงแบบชั้นเลี้ยงเน่ืองจากต้องใช้วิธีการเก็บใบหม่อนเล้ียง ส่วนการเล้ียงแบบ ช้ันเลี้ยงจะเป็นวิธีการเลี้ยงไหมเชิงการค้า ซึ่งสามารถประหยัดแรงงานได้ถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับ การเลี้ยงแบบกระด้ง เนื่องจากใช้วิธีตัดก่ิงหม่อนเล้ียง และจัดการได้อย่างสะดวก การเล้ียงไหมวัยแก่ เนื่องจากไหมวยั แก่กนิ ใบหมอ่ นมาก ขบวนการทางชีวะเคมีก็จะเกดิ มากขึ้น ใหเ้ กิดความร้อน ความช้ืน กา๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ ท่ีเกิดจาการเผาผลาญอาหาร การหายใจ และการขับถ่ายของเสีย ซึ่งการช่วยระบาย อากาศโดยเปิดหน้าต่างเล้ียงในช่วงเช้าและเย็นจะช่วยทำให้อากาศถ่ายเท และหมุนเวียนได้ดีข้ึน ปัจจัยท่ี สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเลี้ยงไหมวัยแก่ก็คือการให้ใบหม่อนท่ีเหมาะสม โดยใบหม่อนที่ใช้เล้ียงไหมวัยแก่ ควรเป็นใบหม่อนที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป ไม่ใช้ใบหม่อนที่ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ ใบสกปรกเป้ือน ดิน โคลน มีสารเคมีตกค้าง หรือใบหม่อนท่ีเป็นโรคหรือแมลงทำลาย ในการเล้ียงไหมแต่ละรุ่น ต้องเตรียม ใบหมอ่ นให้เพยี งพอ เช่น ไหมพนั ธไ์ุ ทยพนื้ เมอื ง 1 แผ่นตอ่ กล่อง (20,000 ตัว) กินใบหม่อน 350 กโิ ลกรัม และไหมพันธล์ุ กู ผสมต่างประเทศ 1 แผ่นต่อกล่อง (20,000 ตัว) กินใบหม่อน 500 กโิ ลกรมั สว่ นการจัดการ ขณะไหมนอน ไหมตน่ื และการถ่ายมูลกป็ ฏบิ ัติเช่นเดยี วกับไหมวยั ออ่ น แต่การถ่ายมลู อาจจะตอ้ งทำมากข้ึน ตามสภาพแวดลอ้ ม เชน่ ความชน้ื หรอื การระบาดของโรค ในชว่ งฤดฝู นหรอื วนั ทม่ี ฝี นตกตลอดวนั ความชนื้ สงู จะตอ้ งโรย เพปโซล และปูนขาวทกุ วัน เม่ือทำการเล้ียงไหมในแต่ละรุ่นเสร็จแล้ว ควรล้างทำความสะอาดโรงเลี้ยง และอุปกรณ์ทุกอย่าง ทใี่ ชใ้ นการเล้ยี ง เช่น กระด้ง ชั้นเล้ียง จอ่ มีด เขียงหัน่ หม่อน ตาขา่ ยถ่ายมลู กะละมงั ถงั ตะกรา้ หรอื เข่งเก็บ หม่อน ตะแกรงโรยยา ฯลฯ เนือ่ งจากการทำความสะอาดและการรักษาความสะอาดท่ีดีเปน็ หวั ใจสำคญั ของ การเล้ียงไหม มีการป้องกันเช้ือโรคจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่โรงเล้ียงจะทำให้ไหมไม่เป็นโรคและ เจริญเติบโตได้ดี การล้างมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงก่อนและหลังการเล้ียงทุกครั้งด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ การอบห้องและอุปกรณ์ในการเล้ียงด้วยฟอร์มาลีน 3% ก่อนการเลี้ยงอย่างน้อย 1 วัน และเปิดโรงเลี้ยง ให้กล่ินฟอร์มาลนี ระเหยออกอีกอยา่ งน้อย 1 วนั ก่อนนำไหมเข้าเลีย้ ง ซึ่งเปน็ สิ่งจำเปน็ ทผ่ี ้เู ลีย้ งจะต้องปฏบิ ัติ อยา่ งสมำ่ เสมอ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 265
ทางเลือกอาชีพดา้ นการแปรรปู ทางเลือกอาชีพด้าน การแปรรูปผลิตภัณฑ์อ่ืนๆ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 267
การผลติ กระดาษ ใบสบั ปะรด,ปอสา,และผลิตภัณฑ์ เป็นที่ทราบกันดีว่าวัตถุดิบหลักในการทำกระดาษ คือ ต้นไม้ และใยพืช ปัจจุบันวัตถุดิบเหล่าน ้ี ลดน้อยถอยลง ฉะน้ันในปีหนึ่งๆ รัฐจะต้องสูญเสียเงินตราเป็นจำนวนมากเพ่ือซ้ือเย่ือกระดาษจาก ต่างประเทศมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษใบสับปะรดและปอสา เป็นวัตถุดิบอีกทางเลือกหนึ่งท่ี สามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเป็นกระดาษท่ีมีคุณภาพสูง และกำลังเป็นท่ีสนใจของตลาดท้ังในและ ต่างประเทศ ด้วยคุณสมบัติพิเศษท่ีมีอยู่ในสับปะรดและปอสา จึงสามารถนำมาผลิตเป็นกระดาษได้อย่างด ี ท้ังระบบอุตสาหกรรมและระดับครัวเรือนประกอบกับพ้ืนที่การเกษตรของประเทศไทยเป็นพ้ืนท่ีปลูก สับปะรดถึงกวา่ 1 ลา้ นไร่ กระจายอยทู่ กุ ภาคของประเทศ พนื้ ทเี่ กบ็ เกยี่ วกวา่ 6 แสนไร่ ใหผ้ ลผลติ ประมาณ 2 ลา้ นตนั ด้วยเหตุดังกล่าว ใบสับปะรดท่ีเป็นวัสดุเหลือใช้จำนวนมากน้ีสามารถนำมาผลิตเป็นกระดาษ รวมท้ังสามารถเพ่ิมมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อาทิ ประดิษฐ์เคร่ืองใช้ เคร่ืองตกแต่งบ้านเรือน สำนักงาน วสั ดุ เครือ่ งเขยี น เครอ่ื งใช้ ของทร่ี ะลึก เป็นต้น การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตกระดาษใบสับปะรดและปอสาให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึน และ สามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบให้ตรงตามความต้องการของตลาดสามารถสร้างความม่ันคง ด้านเศรษฐกจิ และสงั คมได้อยา่ งยงั่ ยืน ปัจจัยทจี่ ำเป็นต้องใช ้ อุปกรณ์การผลิตตอ่ 1 ชดุ 1) บอ่ ซีเมนตข์ นาด 45x60 นว้ิ 2 บอ่ 4,000 บาท 2) เตา + เชอื้ เพลงิ 2 ชุด 4,000 บาท 3) เคร่ืองป่ันเยอ่ื กระดาษ 1 เคร่ือง 3,500 บาท 4) กะละมังสเตนเลสขนาด 45 นวิ้ 1 ใบ 900 บาท 5) แผน่ ตะแกรง 50 แผ่น 7,500 บาท 6) กระทะเหลก็ 60 นวิ้ 1 ใบ 800 บาท 7) สารฟอกขาว 20 กโิ ลกรัม 1,300 บาท 8) สยี อ้ มกระดาษ 10 กลอ่ ง 1,500 บาท 9) โซดาไฟ 20 กโิ ลกรัม 1,000 บาท 10) อปุ กรณก์ ารทำสิ่งประดษิ ฐ์ 1 ชุด 10,000 บาท หมายเหตุ : พฒั นาทักษะการผลติ กระดาษใบสบั ปะรด/ปอสา 268 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การพัฒนาทกั ษะการผลิตกระดาษใบสับปะรด/ปอสา 1) ภาคทฤษฎี การฟอก การยอ้ มสี ผลติ เยอื่ กระดาษ 2) ฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารย้อมฟอกสี ทำแผ่นกระดาษ 3) การถ่ายทอดเทคโนโลยกี ระดาษใบสบั ปะรดและปอสา ระยะเวลาฝกึ อบรม 5 วัน (ทฤษฎแี ละปฏบิ ัต)ิ 1. กระบวนการฟอกย้อม 2. การทำเยอ่ื กระดาษ 3. การทำแผน่ กระดาษ 4. การทำผลติ ภณั ฑ์กระดาษ วิธีทำ 1. ทำความสะอาดใบสบั ปะรด ห่นั ตามขวางของใบ 2. นำใบสับปะรดจำนวน 300 กรมั โซดาไฟ 40-60 กรัม นำ้ สะอาด 1 ลติ ร ใสห่ ม้อเคลือบ เทนำ้ ต้มออก ใช้นำ้ สะอาดลา้ งใบสับปะรด 2-3 ครัง้ 3. นำเศษกระดาษจำนวน 30 กรัม แช่น้ำสะอาดพอท่วม แล้วนำไปป่นั จะละเอยี ด 4. นำคลอรีน 2 กรัม ละลายน้ำสะอาดใส่ในใบสับปะรดที่ต้มโซดาไฟ แล้วแช่ท้ิงไว้ 15 นาที (เพือ่ ฟอกขาวใบสบั ปะรด) 5. นำกระดาษปั่นผสมกับใบสบั ปะรด เทใสก่ ะละมงั ใบใหญ่ท่ีมนี ้ำ 18 ลิตร หากต้องการสนี ำ ลงผสมในกะละมงั คนให้เขา้ กัน ใช้ตะแกรงร่อนใหเ้ ป็นแผ่นเรียบเสมอกัน ความหนา ความบาง ตามต้องการ นำไปตากแดด พอแห้งแกะออกจากตะแกรง นำไปแปรรูปได้หลายรปู แบบ ผลผลิต ตลาดและผลตอบแทน รายการลงทนุ มูลคา่ การลงทนุ ปรมิ าณผลผลิต มูลคา่ ผลผลติ ผลกำไร หมายเหตุ (บาท) (บาท) 1. โรงเรือนการผลิต 100,000 ปรับปรุงโรงเรอื น - ปรบั ปรุง โรงเรือน - บอ่ บำบดั น้ำเสีย - ท่อ ระบายนำ้ 2. อุปกรณ์การผลิต 15,000 9,000 ราคาไมร่ วม 3. วตั ถดุ บิ กระดาษสีต่างๆ 113,000 100 แผ่น 6,000 4,000 ค่าแรง และ - กระดาษชนดิ หนา 100 แผน่ 12,000 7,000 ค่าวสั ดคุ งท่ ี - กระดาษชนิดบาง 100 แผน่ 12,000 5,000 - กล่องรูปแบบต่างๆ 6,000 100 กลอ่ ง 7,000 4,000 - กรอบรูปชนดิ ตา่ งๆ 2,000 100 ช้นิ 9,000 4,000 - สมุดโน๊ต/บนั ทกึ 5,000 100 เลม่ 2,000 7,000 - อลั บ้ัมเกบ็ ภาพ 7,000 50 เล่ม 12,000 5,000 - โคมไฟ 3,000 50 อัน - ชุดโต๊ะอาหาร 5,000 50 ชดุ 5,000 7,000 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 269
การผลิตผา้ ทอมือ และผลิตภณั ฑ ์ ผ้าทอและผลิตภัณฑ์ผ้าทอเป็นอาชีพสำคัญรองลงมาจาก อาชีพการเกษตรมาช้านาน ผ้ามีความจำเป็นต่อวิถีชีวิตประจำวัน ของมนุษย์ ปจั จบุ ันผ้าทอมอื เปน็ ทสี่ นใจของตลาดผูบ้ รโิ ภค นอกจาก จำหน่ายเป็นผืนผ้าแล้วยังสามารถสร้างมูลค่าเพ่ิมโดยการแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายชนิด อาทิ ผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้เคหะภัณฑ์ ตกแต่งบ้านเรือน ตกแต่งสำนักงาน ตลอดจนใช้ในพิธีการต่างๆ นอกจากน้ียังใช้เป็นของฝากของขวัญ ของกำนัลในโอกาสต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ผา้ ฝา้ ย ผา้ ไหมทอ ดว้ ยมอื สบื ทอดภมู ปิ ญั ญาวฒั นธรรมมากวา่ 700 ปี มาปัจจุบนั ย่ิงได้รับ การส่งเสรมิ และพฒั นารปู แบบไปตามความต้องการของตลาด ทำให้ ผ้าทอมือเป็นท่ีนิยมของตลาดผู้บริโภคอย่างกว้างขวางข้ึน ท้ังใน ประเทศและต่างประเทศและอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว ผ้าทอและ ผลิตภัณฑไ์ ดร้ ับความนยิ มสูง การพัฒนาคุณภาพผ้าทอและผลิตภัณฑ์ผ้าทอจึงได้เน้น ก า ร ถ่ า ย ท อ ด เ ท ค โ น โ ล ยี ก า ร พั ฒ น า คุ ณ ภ า พ เ ส้ น ด้ า ย – ไ ห ม การฟอกย้อม การทอ และผลิตภัณฑ์ผ้าทอของกลุ่มผู้ผลิตให้ได้ มาตราฐานสากล และขยายผลการผลิตสู่กลุ่มเครือข่ายอย่างเป็นระบบเพ่ือความม่ันคงทางเศรษฐกิจและ สังคมต่อไป ปัจจยั ท่ีจำเป็นต้องใช้ ดา้ นการผลติ ผนื ผ้า หรือผลติ ภัณฑ์ 1. สำรวจความต้องการของตลาด 2. จดั หาวัสดุอุปกรณ์ วัตถดุ ิบ สี ฟอก ยอ้ ม 3. ดำเนนิ การผลติ ผืน และกลมุ่ เครือขา่ ยทำผลิตภณั ฑ์ผ้า หมายเหตุ คา่ วสั ดุอปุ กรณท์ ่ใี ช้ในการผลิตผา้ ทอมือ ตอ่ 1 ชุด ประกอบดว้ ย 1. ก่ี 1 หลัง 5,000 บาท 2. อุปกรณ์เดนิ ดา้ ย 2,500 บาท 3. ม้าเดนิ ด้าย 5,000 บาท 4. มา้ กอ็ บปีด้ ้าย 1,500 บาท 270 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
5. ม้าม้วนดา้ ย 1,000 บาท 6. อปุ กรณ์มดั หม ี่ 3,000 บาท 7. อุปกรณก์ ารย้อมสเี คม ี 10,000 บาท 8. อุปกรณก์ ารยอ้ มสธี รรมชาต ิ 8,000 บาท 9. ด้ายยนื 5 ลกู 5,000 บาท 10. ดา้ ยพุง่ 3 ลูก 3,000 บาท 11. ไหมยนื 3 กโิ ลกรมั 4,200 บาท 12. ไหมพ่งุ 7 กิโลกรมั 8,400 บาท 13. ฟมื 5 อัน 6,000 บาท 14. กระสวย 20 ลกู 2,400 บาท 15. หลักเปีย 2,500 บาท อุปกรณ์การผลิต ผ้าทอตอ่ 1 ชดุ 5,000 บาท 1. จักรอตุ สาหกรรม 1 หลัง 5,000 บาท 2. อุปกรณ์ตดั เย็บ 1 ชุด ขน้ั ตอนการดำเนินงาน จดั ประชุมและฝกึ อบรมเกษตรกรรวม 3 ครงั้ ครั้งท่ี 1 ประชุมช้ีแจงโครงการการจัดตง้ั กลมุ่ คณะกรรมการ และจดทะเบียนสมาชิก คร้งั ท่ี 2 ฝกึ อบรมให้ความรแู้ ก่กล่มุ เกษตรกรเรอ่ื งการทอผ้าและพฒั นาผลิตภัณฑผ์ ้าทอมอื การถ่ายทอดเทคโนโลยผี ้าทอมือ ระยะเวลาฝกึ อบรม 5 วัน (ภาคทฤษฎีและปฏิบตั ิ) - กระบวนการฟอกย้อม - การมดั หม่ ี - การทอ การเชือ่ มโยงเครอื ขา่ ย การผลติ การตลาด ครงั้ ท่ี 3 ประชมุ วางแผนระดมทนุ วางระบบการผลติ การตลาดผา้ ทอ และผลติ ภณั ฑท์ อมอื เชงิ ธรุ กจิ ผลผลิต - ไหม วันละ 2 หลา ต่อคนต่อวนั - ฝา้ ย วนั ละ 3 หลา ตอ่ คนต่อวัน ตลาดและผลตอบแทน วางแผนการตลาด - ตลาดท้องถิน่ - ศนู ย์แสดงสินคา้ พื้นเมือง - สถานท่ที ่องเทย่ี วทางการเกษตร - ตลาดล่วงหน้าขายปลกี - สง่ ในและตา่ งประเทศ - เช่อื มโยงเครือข่ายการตลาดในทกุ ภมู ภิ าค การรณรงคป์ ระชาสมั พนั ธ์ การสง่ การจำหน่าย และการใช้ผา้ ทอ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 271
งบประมาณการลงทนุ และผลตอบแทนตอ่ กลุม่ ผผู้ ลติ 1 กล่มุ (หน่วย : บาท) รายการ ลงทนุ กามรลูลคงทา่ นุ ปรตมิ อ่าณหผนลว่ ผยล ติ ผมลลู ผคลา่ ติ ผลกำไร หมายเหต ุ 4 3 1 2 .... คดอ คแ- ด-ดดอวปจ ตักลัปปาาาาาาุุ้้้้่่รยยยยแแถบระักกไฝรรอยยพพหดเุปรรา้คงงนนตืืุบิณณมงงุุ่่ยร++รส ง ุอ87ื่กกตต3์์ โางราานน้้หกกกมงรรททกโโิิเโิตทอืรลลลนนุุรดั ออืกกกรคคเนผรรมรยงงามม้ัั มั ททบ็ ี่่ี 13503007,0,, 05000000 ก่ี 5 อหปุล1กงั โพรรณงร เอ้ร์ ม5อื อนชปุ ดุ ก รณ์ 100, 000 เปนน็ำ้ จเโสรายงีกเทกรอือ่ารนรยะบอบ้ อ่ มาบยสำน ีบำ้ ดั 200 หลา 46,000 19,200 1646,,35,0000000 11,420 737,5620000 250 หลา 20,000 3 1 ว 2 ตั... ถ -----เเ---- -- ---เคสส ดุ ออรื้ื้บิ ชผชผผเเชชเผเ เเช อ่ืผผสสสสสส ดดดดดาาาาุุุุุ้้้้งาา้้ออออออื้ื้ืื้้้ืื้มคพปใอเผลผสสชบววสสบคลา่โนูาำาาั้้ำำยยัั ้ตตตรรรนุุลไฝมหเเุครรรรอื่หษษุุรระ๊ อา้เาอจจนน็็ุุ่่ ตงีี ม ยรงรร น ยี สสปปููองตตไฝ นรรหา้ ีีมย 11186230,,00,,,000 0000000000 10 ผชตตตนดืุวววััั 2212125555,,,,,50000 0000000000 11197223,,00,,,050 0000000000 ไมร่ ตวน้มทคานุ่ แครงงทแ่ี ละ 1155500,,,000,,00 0000000000 21115000 1221127012,,,,,00001 0000000000 1177571,,,001,,01 0000000000 ไมร่ ตวน้มทคานุ่ แครงงทแี ่ละ 17550,,,000,0 00000000 21115252,,,,0000 00000000 17875,,,000,0 00000000 ไมร่ ตวน้มทคานุ่ แครงงทแ ี่ละ 20 ชชตตตดดุุวววััั 23225005 10 ผผชชนนดดืืุุ 121550 หมายเหตุ : ราคาของวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจ และแหล่งจัด ซ้ือ ซึ่งจะสง่ ผลตอ่ ต้นทุนและผลตอบแทน 272 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การผลิตหัตถกรรม จากผกั ตบชวา ปแ หใทอนมีกัตำรกปทะ่นถาเุ๋ยกัง้้ำทรยลรกศังเรำพำมมไคผจทาีศทลััดกะยัก้งัอผตเทยใหงักนบภำต็ดตแชใาื้นหบลพวแเะ้ขชเาใลกตนินวะิดเ่าากสปปงอเาาป็ปนยัรญมร็นพว่าาหะงัชปฒัรมเาพถทัญนสานืชศก่ิงหาำน แเมาปม้วำใาน็าหทดยทอลี่ญใรำนุต้า้อ่เแยสปมกตาแท็น่อห่รลหาใงกะหงัตชรปน้เถนรกี้ำกมิิดดแรเมตหเพรพ่ผลนม่ือรักภ่ึงไกาดตขาาะ้วบอรขเะสชงชัดท่งปว่นขอาารวองสะทานกาเำงทม้ำเกซปาศาซงึ่ร็นรปึ่ถงทเไรจัคนหี่สัฐจรำลาบ่ือุบมขมางันาอาลใใสชชรงตนิ้นถ้ป้อเคเ้ำรคงจ้าะเรรผสกโ่ือิญยักียางชตรแเเรตสนบรือิบงัญ์ไชนงดโวจาตต้หานร่าไลทดแงยาๆา้ลงัทยคงะุกอนทรคยภอ้ำ่ีส่า่าางวใงคตทชยขล้จำงเชาอา่าให่นมดยง้ ปจั จยั ท่จี ำเปน็ ตอ้ งใช้ ก 2สก 1))่งลาเร่ออเสสงงปุรนิง่เิมทกเทสกรปุนรากภว---ภ-ว-----ณ ิม หรแัติทา-----าาก์ขก จมรถคยคาาากถดุุนศวนกผกกกผปาทยรรนั่าิบทิกเรกั้าารำูน้ำตผฏตมพเถวฤยใะแซมวมใามคยตยลลิหบาู้อยีีดนทษลดนรลับะสรันาบ์บาดิตบนญัตาก มอุะื่อกำ้ถฎ่งใดกวชรรทสกินคา สดกนังร่าี ริกอวแตรฝใซ่ีำชา่รเ าเนร กาางชกผทจมิกปึิิมวกรัง่ไ กิชรา ้ษกลหกบขะคัตอปแ ้ารันิตทตถรนยโรตุถนลฏคนนักิรเใา่ีาสดุะ แ1ิลชบัด บโดาาิบถล0ใ็ก้ล1ัตรเใหนา่ะ0แ ล1หยลิกยกตกก,ล5ื ีกูอญ0าทราู้ำะค0ขรกรรก ่มอบ0เา้นผมวโิะดต รลลัา ตถบเรรดกติทถนัียจารกคุทด1มุภัมร โ.ิ บวัณะน8 ัตเxโปฑล1ถกา๋์ ย.ุดาใ2ีกบิรบาเเเมลรตฝตก็เรกึกรียษกป มตรฏะวริบเัปตปัตรถา๋ ิกะุใดบจาิบรำใหตทกญำำ=====บาผ่ ลรต ลเ ะิตกกภ็บร11ัณา้ร,,เ03356ักฑล00000ก็ษ์จ00000าาต กะกผกัการบบบบบรตา้ าาาาาคกบทททททลวช าบวงาคตุมฝะคึกกุณรปา้ ฏภใหิบาญพัต่ ิ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 273
ขน้ั ตอนการดำเนนิ การ ส ดั ส่วนเพ--ค-ก---ค---คจ---เ-ื่อ ต ัดารรรเรร้้ังงัั้งกปียทททส็บรจตเฝฝสกดกคคฝโมปรำ่ี่ีี่ะผดั่่า่าะารระำดััด312งสร็นชยยยเะะดลกหเเเนวถรลลมุศเเกกจรรชิตวราปปอจืินาอือืะะดัูนเา้าากแี้เภกนนแาา๋๋คกกกรรดดหตจยัณขษลสผตรทาสสมมงขข์ก่อานอื่รำตละฑลรถถี่ผวหคนนลกผหางปาิตราาาัต์ ลวนุ้าาาามดยลดกรนนแรถางรดดติ อืบัลิตระปมลททวปุด8 กโะเอส54าะคฏี่ีต่ตบิxรอดพาเงxxบาอ6ะดิง้้ังัิบอปุรยอื่แ71นแกกกอสวเยีใตักผจน2xงลเชำลลกาาดิงรร7นิำนx้ิวมนงะ้ก่มุมุ่แาอ่ืกณห1 บแกะครงนนบผหาง4นผาญั์าถะวลิว้ขรบวัตแรน่านนับบน ดชิตอัตถ ลผยดกวค้ิวำี ผงถกะล (้าานเ ุมกลจรตดุตินนรกลคะริตู้อิบปินกา่มุมแตณุภบแฏงารล จอ้ณัากภรลกบิ าะงนตำาละฑอกตักมจลพกุ่มยผิแจ์าัดะาา ยหรู่ักบกั ดถตรตึดตา่ส่ง นัต้งั ลหงหบากล จานลนชลาาดักจ้าวมุ่กด กทาา เท ก ลาีค่ อ่ี รผือวยมกักาอู่สีตมตาว่บร้งั ศนคับชยั รณผวแ่วิดาะลม ชกะรอรไามบรยม่ม ลกีกะลาเอรนิ่ จียรดดบทดกังะวนเนบ้ี )ียกนน้ัสหมอ้าชงใิกห เ้ ปน็ ตลาดและผลตอบแทน -- กกาารรวพาัฒงแนผานคณุกาภราผพลสติ นิ แคล้าะแกลาะรบตรลราจดุภ ณั ฑ์ของสินคา้ ปรมิ าณการผลติ และผลตอบแทน รายก าร กปารรมิ ผ าลณติ ราคา(บตาอ่ ทห)น ว่ ย (รบายา ทได) ้ ต(บน้ าท ทนุ ) (กบำา ไทร) กต(อารอตั รอ้บรลยแางลผททะลนนุ) 1 2 4 3.... ขกขขขแขขขตกจนนนนนนนรละะกกอ่าาาาาาาเนดดดดดดดัรงปเา้เใ ทาล๋44888ห ปxxxxxก็ ญ71116 ่x2 207x 14 310500 110800 3207,,000000 1131,,570500 1165,,520500 112229..27 1167121063..04..21 21172627375 148635000 11110000,,,,000023100005 4645,,,,428659430055 5354,,,,537187450050 127844..66 111828 18800 2105,,106400 55,,427007 194,5,96630 หมายเหตุ : ราคาของวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจ และแหล่งจัด ซ้อื ซึ่งจะส่งผลตอ่ ตน้ ทนุ และผลตอบแทน 274 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
ธรุ กจิ โรงสขี า้ วขนาดเลก็ (แปรรูปขา้ วเปลือกเป็นข้าวสาร) ชาวนาในปัจจุบันมักต้องขายข้าวเปลือกราคาถูก แล้วกลับซื้อข้าวสารราคาแพงบริโภค เนื่องจาก โรงสีขนาดใหญ่เครื่องสีข้าวท่ีมีประสิทธิภาพสูง (ทำให้ข้าวหักเพียง 5-10 % และมีกำลังการผลิตสูง) ราคา แพงมาก (หลายล้านบาท) เกษตรกรจึงไม่สามารถเป็นเจ้าของโรงสีข้าวได้ ชาวนาจึงนิยมขายข้าวเปลือกเข้า โรงสีข้าวขนาดใหญ่ แล้วซื้อข้าวสารราคาแพงมาบริโภค โรงสีข้าวขนาดเล็กท่ีมีอยู่ท่ัวไปราคาไม่แพงแต่ เปอร์เซน็ ข้าวหกั สงู มาก ทำใหข้ ้าวสารเต็มเมล็ดเดมิ ประมาณ 10-20 บาทต่อกโิ ลกรัม แต่เมอ่ื เป็นข้าวสารหัก (ปลายข้าว) ราคาจะเหลือเพียง 2 บาทต่อกิโลกรัม โรงสีข้าวขนาดเล็กจะสีข้าวโดยไม่คิดค่าจ้างสี แต่จะขอ ปลายข้าว และรำข้าวแทนค่าจ้าง จึงขัดสีข้าวจนเป็นผลให้วิตามินและเกลือแร่สูญเสียไปกับรำข้าว ซึ่งจะมี ผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทย โดยส่วนรวมกรมส่งเสริมการเกษตรได้ศึกษาและค้นหาโรงสีข้าวขนาดเล็ก ท่ีมีประสิทธิภาพสูง และพบว่าโรงสีข้าวขนาดเล็กของอำเภอชนแดนจังหวัดเพชรบูรณ์มีความสามารถและ ขอ้ ดใี กลเ้ คียงโรงสขี า้ วขนาดใหญ่ ราคาหลายลา้ นบาท คือ มีราคาเพียง 100,000 -200,000 บาทต่อเครื่อง แต่มีประสิทธิภาพดี คือ ข้าวหักเพียง 5-10% เท่ากับ โรงสีข้าวขนาดใหญ่และมีกำลังสีข้าวได้ 1 ตันต่อ ชัว่ โมง (4 ตนั ตอ่ วนั ตอ่ 8 ชวั่ โมง) ซงึ่ แม่บา้ นเกษตรกรหรือผู้หญิงก็สามารถดำเนนิ ธุรกิจโรงสีข้าวขนาดเล็กได้ เพราะมีอุปกรณ์ทุ่นแรง มีกระพ้อตักข้าวอัตโนมัติ รวมทั้งเสียค่าไฟฟ้าถูกมาก ดังน้ัน เกษตรผู้พักชำระหนี้ อย่างน้อย 30 คน (ควรมีสมาชิกสมทบอีกประมาณ 200 คน) มารวมกันเป็นกลุ่มโดยนำข้าวเปลือกมา รวมกันเป็นค่าหุ้นและเงินทุนหมุนเวียน ก็สามารถร่วมกันเป็นเถ้าแก่โรงสีข้าวได้เพราะทุกครอบครัว ต้องซ้ือข้าวสารบริโภคกันอยู่แล้ว ดังน้ัน ผู้ท่ีมีอาชีพทำนาสามารถรวมกลุ่มทำธุรกิจโรงสีข้าวขนาดเล็กใน ทุกตำบล ๆ ละ 1-3 จุด ปจั จัยท่จี ำเป็นตอ้ งใช ้ 1. วางแผนการผลิต และการตลาด • ร้านขายข้าว/รา้ นอาหาร • ห้างสรรพสนิ คา้ /รา้ นค้า • ขายให้พ่อคา้ คนกลาง/ห้างร้าน • สมาชิกรบั ไปจำหน่าย • ตลาดนัดท่ัวไป/ตลาดนดั รมิ ทาง • สถานทีท่ ่องเที่ยว/ผู้บรโิ ภคทั่วไป • สำรวจประสานงานผูร้ ับซอ้ื • ดูแลการจำหน่าย 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 275
• ประชาสมั พนั ธ์ตามโอกาสและสอื่ ต่าง ๆ 2) พัฒนาคุณภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์ของสินค้าเครื่องบรรจุสุญญากาศ พร้อมถุงพลาสติก สูญญากาศ ข้ันตอนการดำเนินงาน การตดิ ตัง้ โรงสีขนาดเลก็ ประสทิ ธิภาพสูง ต่อแปรรปู ขา้ วเปลือกเป็นขา้ วสารดงั นี้ 1. เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก (ขนาด 10 แรงม้า) เป็นเงิน 200,000 บาทต่อเครื่อง ซึ่งสีข้าวได้ท้ัง ข้าวกลอ้ ง และขา้ วสารขาว (เคร่อื งสขี า้ วกล้องอย่างเดยี วไมข่ ดั ขาว ราคาเพียงเคร่ืองละ 100,000 บาท) 2. เครือ่ งชัง่ น้ำหนกั ขนาด 500 กโิ ลกรัม เป็นเงนิ 5,000 บาทตอ่ เคร่อื ง 3. เคร่ืองช่งั นำ้ หนักขนาด 15 กิโลกรัม เป็นเงิน 1,000 บาทต่อเครอ่ื ง 4. เคร่อื งปิดผนกึ ถงุ พลาสตกิ เปน็ เงนิ 4,500 บาทต่อเคร่อื ง 5. ถงุ พลาสติกบรรจุขา้ วสารแบบธรรมดา (ถงุ เย็น) จำนวน 100 กิโลกรัมๆ ละ 80 บาท เป็นเงิน 8,000 บาท 6. กระสอบป่าน 1,00 ใบๆ ละ 25 บาท เป้นเงิน 25,000 บาท ผลผลติ กรณี 1 การผลิตขา้ วสารกลอ้ ง ลงทุน 7,510 บาท ตอ่ ขา้ วเปลอื ก 1 ตัน รายละเอียดต้นทุนผันแปร การผลิตข้าวสารกล้อง ต่อ ข้าวสารขาวจากข้าวเปลือกหอมมะลิหนัก 1,000 กิโลกรมั มมี ูลค่าการลงทุนเทา่ กนั คอื 7,510 บาท ดังรายละเอียดดงั นี ้ 1. ข้าวเปลอื กหอมมะลิ ราคา 6,500 บาทต่อตัน 2. คา่ แรงงานใสก่ ระสอบ และคา่ รถ 500 บาทต่อตนั 3. คา่ แรงงานสำหรบั สขี ้าว 100 บาทต่อตนั 4. ค่าแรงงานบรรจุถงุ 100 บาทตอ่ ตัน 5. ค่าถงุ พลาสติกธรรมดา 260 บาท ตอ่ ขา้ วสารหนัก 1 ตัน 6. ค่าพลงั งาน และอืน่ ๆ 20-50 บาทตอ่ ตัน กรณี 2 การผลติ ข้าวสาร จากข้าวเปลอื ก 1 ตัน จะได้ผลลิต ดงั น้ ี 1. ไดข้ ้าวสารประมาณ 600 กิโลกรัม 2. ได้ปลายข้าวและรำประมาณ 130 กโิ ลกรมั ตลาดและผลตอบแทน กรณี 1 การผลติ ขา้ วสารกลอ้ ง 1 ตัน จะไดด้ ังนี ้ (ค่าผลผลติ -คา่ ลงทุน) = 10,-560-7,510 บาท กำไร = 3,050 บาทต่อตัน กรณี 2 การผลติ ขา้ วสารขาว 9,260-7,510 บาท กำไร = 1,750 บาท หมายเหตุ : ราคาของวัสดุอุปกรณ์และวัตถุดิบ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจและ แหลง่ จัดซ้อื ซ่งึ จะสง่ ผลตอ่ ต้นทุนและผลตอบแทน 276 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การผลิตน้ำสกัดชีวภาพ “น้ำสกัดชีวภาพ” เป็นน้ำสกัดท่ีได้จากการย่อยสลายเศษวัสดุเหลือใช้จากส่วนต่างๆ ของพืชหรือ สัตว์ โดยผ่านกระบวนการหมักในสภาพท่ีไม่มีออกซิเจน มีจุลินทรีย์ทำหน้าที่เป็นตัวย่อยสลายเศษซากพืช และซากสัตว์เหล่าน้ันให้กลายเป็นสารละลาย รวมถึงการใช้เอนไซม์ท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือมีการเติม เอนไซมเ์ พือ่ เร่งการย่อยสลายได้อย่างรวดเรว็ ยง่ิ ขึน้ ประโยชน์ท่ีไดจ้ ากน้ำสกดั ชีวภาพ คือ เปน็ ป๋ยุ เสรมิ ให้แก่ พืช (เสริมธาตุอาหารให้พืชในขณะท่ีพืชกำลังเจริญเติบโต) โดยน้ำสกัดชีวภาพจะให้ท้ังธาตุอาหารและ จุลนิ ทรยี ์ทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อพชื ปัจจัยท่จี ำเปน็ ต้องใช ้ ซากพชื ซากสตั วต์ า่ งๆ เชน่ ตน้ หญ้า ตน้ ถ่วั รำข้าว มูลสตั ว์ และเช้ือจลุ นิ ทรีย ์ ตวั อย่างการทำน้ำสกัดชวี ภาพจากรำขา้ วและมลู ไกไ่ ข่ ต้องใช้วสั ดุดังน ี้ - รำละเอียด 60 กิโลกรัม - มูลไกไ่ ข่ 40 กโิ ลกรัม - เชอ้ื พด.1 จำนวน 1 ซอง (ขอรบั ไดท้ ีห่ น่วยพัฒนาที่ดิน หรอื หากไม่มีไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งใช้) ขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน วิธกี ารทำ 1. นำรำละเอียดและมูลไกไ่ ขม่ าผสมคลกุ เคลา้ ให้เข้ากัน 2. เตรยี มเชอื้ จลุ นิ ทรยี โ์ ดยนำเชอ้ื พด. 1 เทใสใ่ นนำ้ 20 ลติ ร คนอยา่ งสมำ่ เสมอ เปน็ เวลา 15-20 นาท ี 3. เทเช้ือ พด.1 ที่เตรียมไว้ลงไปท่ีกองรำ และมูลไก่ไข่ท่ีผสมกันไว้แล้ว พร้อมท้ังพรมน้ำเพ่ือให้ ความชน้ื แก่กองป๋ยุ ใช้พล่วั คลกุ เคลา้ กองปุ๋ยจนวสั ดตุ า่ งๆ ผสมกันดแี ละมคี วามชื้นประมาณ 40% 4. ทดสอบความช้ืนในกอง โดยใช้มือกำวัสดุแล้วคลายมือออก ก้อนวัสดุก็ยังไม่แตก จากน้ันใช้ กระสอบปา่ นคลมุ กองไว ้ 5. การดแู ลกองปยุ๋ ใหก้ ลบั กองปุ๋ยทกุ วนั เป็นเวลา 7 วนั โดยทุกครัง้ ที่กลบั กองแลว้ ใหค้ ลุมกอง ปุ๋ยด้วยกระสอบป่านไว้อย่างเดิม (ในระหว่าง 7 วัน จะสังเกตเห็นเช้ือราสีขาวขึ้นท่ีส่วนผิวนอกกองปุ๋ยก่อน แล้วคอ่ ยๆ ลกุ ลามเข้ามาในกองปุ๋ย) เมื่อครบ 7 วนั แลว้ ผ่งึ ในรม่ จนแหง้ 6. หลังจากผึ่งในร่มจนแห้งแล้วควรเก็บใส่ถุงกระดาษ หรือกระสอบท่ีมีการระบายอากาศได ้ เพ่ือใหเ้ กบ็ ไว้ใชน้ านๆ ควรเกบ็ ในทีร่ ม่ ไมต่ ากแดด ตากฝน และมีการถา่ ยเทอากาศด ี 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 277
7. เตรยี มน้ำสกัดชวี ภาพ โดยใชป้ ุ๋ยแห้ง 1 กโิ ลกรัม ผสมนำ้ 20 ลิตร ใสล่ งในถังหรือโอง่ แล้วปัม๊ อากาศเข้าไปหรอื ใชไ้ ม้คนบอ่ ยๆ อยา่ งน้อยวันละ 3-4 ครั้ง เปน็ เวลา 5-7 วัน จะได้นำ้ สกดั ชีวภาพทเ่ี ข้มขน้ หมายเหต ุ ก่อนนำไปใช้จะต้องผสมน้ำ 20-40 เท่า (ปุ๋ยแห้ง 1 กิโลกรัม จะทำเป็นน้ำสกัดชีวภาพได้ 400-8,000 ลิตร) ผลผลติ นำ้ สกัดชวี ภาพใหก้ ับต้นพืชได้ 3 วธิ ี วิธที ี่ 1 รดทโี่ คนหรอื ปล่อยตามรอ่ ง โดยใช้ทุกๆ 3 วัน สำหรบั ผักอายุส้ัน เชน่ ผักบุ้งใชท้ กุ ๆ 7 วัน หรือสำหรับผกั ท่วั ไป ใช้เดือนละ 1 คร้งั สำหรับไม้ผล วิธที ่ี 2 ใชอ้ ัดลงดิน โดยใช้หวั อดั ต่อกบั รถไถเดนิ ตาม วิธีนจี้ ะช่วยนำน้ำสกดั ชวี ภาพไปสู่บรเิ วณราก พืช และแรงอัดจะช่วยให้ดินโปรง่ ขึ้น ถ้าใชว้ ธิ ีอดั ลงดนิ ควรทำทุกๆ 15-20 วัน วิธที ่ี 3 ใช้ฉดี พ่นใบ โดยอาจผสมกบั ยาสมุนไพรฉดี พร้อมกนั เลยกไ็ ด ้ หมายเหต ุ ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้น้ำสกัดชีวภาพจะมีความไม่แน่นอน เพราะพื้นที่ท่ีผลิตแต่ละแห่งมีปัจจัย ในเร่ืองสภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างกันทั้งเรื่องของดินสภาพความเป็นกรด-ด่าง ดังน้ัน บางพ้ืนที่อาจได้ผลดี และบางพื้นท่ีอาจไม่ได้ผลจึงควรใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ชนิดอ่ืนๆ โดยใช้น้ำสกัดชีวภาพเป็นการเสริมธาตุ อาหารใหก้ ับพชื เน่ืองจากรำในประเทศไทยมีราคาแพง สามารถลดสัดส่วนของรำลงได้ หรืออาจทำน้ำสกัดชีวภาพ จากวสั ดุท่แี ตกต่างไป เชน่ นำ้ สกดั ชีวภาพจากถ่ัวพรา้ สดๆ ตลาดและผลตอบแทน จำหน่ายในชื่อน้ำสกัดชีวภาพ หรือปุ๋ยน้ำชีวภาพ หรืออาหารเสริมชีวภาพ ในราคาตั้งแต่ 250-1,000 บาท แหลง่ ขอ้ มูล : กรมส่งเสรมิ การเกษตร 278 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การผลติ น้ำส้มควันไม ้ นำ้ สม้ ควนั ไม้ คือ ควนั ทเ่ี กดิ จากการเผาถา่ นในชว่ งทก่ี ำลงั เปลยี่ นเปน็ ถา่ น เมอื่ ทำใหเ้ ยน็ ลงจนควบแนน่ และกลนั่ ตวั เปน็ หยดนำ้ ของเหลวทไ่ี ดเ้ รยี กวา่ “นำ้ สม้ ควนั ไม”้ นำ้ สม้ ควนั ไม้ ไดจ้ ากการดกั เกบ็ ควนั อยใู่ นชว่ ง ของการเผาถ่านอุณหภูมิปากปล่องประมาณ 80-150 องศาเซลเซียส หรือสังเกตจากควันท่ีปากปล่องจะ มีสีขาวขุ่น กล่ินฉุนหรือใช้กระเบื้องแผ่นเรียบสีขาวอังบนปากปล่องทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำแผ่นกระเบ้ืองมาด ู หยดน้ำทีเ่ กาะบนกระเบอ้ื งจะใสและหรือมสี ีเหลอื งปนน้ำตาล ประโยชน์ของนำ้ ส้มควันไม้ นำ้ สม้ ควนั ไมม้ สี ารประกอบตา่ งๆ มากมาย เมอื่ นำไปใชป้ ระโยชนท์ างการเกษตร จะมคี ณุ สมบตั ติ า่ งๆ ดังนี้คือ เป็นสารปรับปรุงดิน สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช และสารเร่งการเติบโตของพืชบริเวณส่วนราก ลำต้น หัว ใบและดอกผลของพชื บางชนดิ การใชน้ ำ้ สม้ ควันไม้ราดในดินปลกู พืช จะช่วยเรง่ การเจริญเตบิ โต ของพืชและควบคุมโรคพืชที่มีสาเหตุมาจาก ไส้เดือนฝอย เชื้อรา นอกจากนั้นน้ำส้มควันไม้ยังมีคุณสมบัติ เป็นฮอร์โมนพืช และในบางกรณีเป็นตัวยับย้ังการเจริญเติบโตส่วนต่างๆ ของพืชเม่ือใช้น้ำส้มควันไม้ใน อัตราส่วนท่ีมากน้อยต่างกันไป น้ำส้มควันไม้จะมีพิษต่อพืชสูงเม่ือราดลงดินในปริมาณมาก หรือนำไปใช้กับ พืชโดยไม่ผสมน้ำให้เจือจางจะเกิดผลเสีย เช่นกนั นอกจากน้ี มีการนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม เช่น ใช้ผลิตสารดับกลิ่นตัว ผลิตสารปรับผิวนุ่มผลิตยารักษาโรคผิวหนัง เป็นต้น และเนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง ดังน้ัน ก่อนทจ่ี ะนำไปใช้ควรจะนำมาเจือจางให้เกิดสภาวะทเี่ หมาะสมกบั วัตถปุ ระสงค์ของการใช้งาน ดงั น ี้ การผลติ นำ้ ส้มควันไม้ มีหลายตำราท่ีกล่าวถึงการทำน้ำส้มควันไม้ ซ่ึงก็ไม่แตกต่างกันในเร่ืองผลลัพธ์หากแต่วิธีการ จะแตกต่างกัน ซ่ึงในเอกสารน้ีขอนำวิธีการผลิตน้ำส้มควันไม้ของศูนย์การศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อนั เนื่องมาจากพระราชดำริมาถ่ายทอด การผลิตน้ำส้มควันไม้จากการเผาถ่านด้วยเตาเผาถ่าน 200 ลิตร เตาเผาถ่าน 200 ลิตร เป็นเตาท่ีมีประสิทธิภาพสูง เตาประเภทนี้อาศัยความร้อนไล่ความชื้นในเน้ือไม้ที่มีอยู่ในเตา ทำให้ไม ้ กลายเป็นถ่านหรือเรียกว่า กระบวนการคาร์บอนไนเซชั่น นอกจากน้ีโครงสร้างลักษณะปิดทำให้สามารถ ควบคุมอากาศได้ จึงไม่มีการลุกติดไฟของเนื้อไม้ ผลผลิตที่ได้จึงเป็นถ่านที่มีคุณภาพ ขี้เถ้าน้อย และผลพลอยได้จากกระบวนการเผาถ่านอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำส้มควันไม้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในด้านการเกษตรได ้ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 279
อตั ราสว่ น 1:20 (ผสมนำ้ 20 เทา่ ) พน่ ลงดนิ เพอื่ ฆา่ เชอ้ื จลุ ินทรียท์ ่ไี มเ่ ป็น ประโยชนแ์ ละแมลงในดิน ซึ่งควรทำก่อนการเพาะปลูก 10 วนั อัตราสว่ น 1:50 (ผสมน้ำ 50 เท่า) พ่นลงดนิ เพ่อื ฆ่าเชอ้ื จุลินทรีย์ทท่ี ำลายพชื หากใช้ความเข้มขน้ ทมี่ ากกวา่ น้ี รากพชื อาจไดร้ ับอนั ตรายได้ อตั ราส่วน 1:100 (ผสมนำ้ 100 เท่า) ราดโคนตน้ ไม้รกั ษาโรครา และโรคเนา่ รวมท้ังปอ้ งกันแมลงมาวางไข่ อัตราสว่ น 1:200 (ผสมนำ้ 200 เท่า) พ่นใบไมร้ วมทัง้ พน้ื ดนิ รอบๆ ตน้ พืช ทกุ ๆ 7-15 วัน เพือ่ ขบั ไล่แมลงและป้องกันเชอื้ รา และ รดโคนต้นไมเ้ พอื่ เรง่ การเจริญเติบโต อัตราสว่ น 1:500 (ผสมนำ้ 500 เท่า) พ่นผลอ่อน หลังจากติดผลแล้ว 15 วัน ช่วยขยายผลให้โตข้นึ และพน่ อกี คร้ัง ก่อนเกบ็ เก่ียว 20 วัน เพ่ือเพ่ิมนำ้ ตาลในผลไม ้ อตั ราส่วน 1:1,000 (ผสมนำ้ 1,000 เท่า) เป็นสารจับใบ เนื่องจากสารเคมี สามารถออกฤทธ์ไิ ด้ดใี นสารละลาย ขั้นตอนการนำไมเ้ ข้าเตาเผาถ่าน นำไมท้ ตี่ อ้ งการเผาถา่ น มาจดั แยกกลมุ่ ตามขนาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางของไมเ้ ปน็ 3 กลมุ่ ไดแ้ ก่ ขนาดเลก็ ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เรียงไม้ท่ีมีขนาดเล็กไว้ด้านล่างของเตา ขนาดใหญ่ไว้ด้านบน โดยวางทับไม้หมอนยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร การเรียงไม้น้ีมีความสำคัญมาก เน่ืองจากอุณหภูมิ ในเตาขณะเผาถ่านไม่เทา่ กนั โดยอุณหภูมดิ ้านลา่ งเตาจะต่ำ ส่วนอณุ หภูมิท่ีอยู่ดา้ นบนเตาจะสูงกวา่ ข้นั ตอนการเผาถ่าน ช่วงท่ี 1 ไล่ความช้ืน หรือคายความร้อน เริ่มจุดไฟเตา บริเวณท่ีอยู่หน้าเตา ใส่เชื้อเพลิงให้ความร้อนกระจายเข้าสู่เตาเพ่ือไล่อากาศเย็นและ ความช้ืนที่อยู่ในเตาและในเนื้อไม้ ควันท่ีออกมาจากปล่องควันจะเป็นสีขาว ควันจะมีกลิ่นเหม็น ซึง่ เป็นกลิน่ ของกรดที่อยู่ในเน้ือไม้ อณุ หภมู ิบริเวณปากปลอ่ งควนั ประมาณ 70–75 องศาเซลเซยี ส อณุ หภมู ิ ภายในเตา ประมาณ 150 องศาเซลเซียส ใส่เช้ือเพลิงต่อไป ควันสีขาวตรงปล่องควันจะเพิ่มขึ้นอุณหภูมิ บรเิ วณปากปลอ่ งควนั ประมาณ 70-75 องศาเซลเซยี ส อณุ หภมู ภิ ายในเตาประมาณ 200-250 องศษเซลเซยี ส ควันมีกลนิ่ เหม็นฉุน ช่วงท่ี 2 เมื่อไมก้ ลายเป็นถา่ น หรอื ปฏกิ ริ ยิ าคลายความร้อน เมอื่ เผาไปอกี ระยะหนงึ่ ควนั สขี าวจะเรม่ิ บางลง และเปลยี่ นเปน็ สเี ทา อณุ หภมู บิ รเิ วณปากปลอ่ งควนั ประมาณ 80-85 องศาเซลเซยี ส อณุ หภมู ภิ ายในเตาประมาณ 300-400 องศาเซลเซียส ไมท้ อี่ ย่ใู นเตาจะคาย ความร้อนท่ีสะสมเอาไว้เพียงพอที่จะทำให้อุณหภูมิในเตาจะเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงนี้ค่อยๆ ลดการ ป้อนเชื้อเพลิงหน้าเตาจนหยุดการป้อนเชื้อเพลิงหน้าเตา จะต้องควบคุมอากาศโดยการหร่ีหน้าเตาหรือ ลดพ้ืนท่ีหน้าเตาลงให้เหลือช่องพ้ืนที่หน้าเตา ประมาณ 20-30 ตารางเซนติเมตร สำหรับให้อากาศเข้า เพ่อื รกั ษาระดับของอุณหภูมใิ นเตาไวใ้ ห้นานท่ีสุด และยดื ระยะเวลาการเก็บนำ้ ส้มควันไม้ใหน้ านทสี่ ุด 280 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
โดยชว่ งทเ่ี หมาะสมกบั การเกบ็ นำ้ สม้ ควนั ไมค้ วรมอี ณุ หภมู บิ รเิ วณปากปลอ่ งควนั ประมาณ 85-120 องศาเซลเซยี ส เน่ืองจากเป็นช่วงท่ีสารในเนื้อไม้ถูกขับออกมา จากนั้นควันก็เปลี่ยนจากควันสีเทาเป็นสีน้ำเงิน จึงหยุดเก็บ น้ำส้มควันไม้ อุณหภูมิบริเวณปากปล่องควันประมาณ 100-200 องศาเซลเซียส อุณหภูมิภายในเตา ประมาณ 400-450 องศาเซลเซียส การเกบ็ รกั ษานำ้ สม้ ควันไม้ น้ำส้มควันไม้ท่ีได้จากการดักเก็บจะไม่นำไปใช้ประโยชน์ทันที เน่ืองจากการเปลี่ยนจากไม้เป็นถ่าน ไม่ได้เกิดข้ึนพร้อมกันท้ังเตา ดังน้ัน ควันท่ีเกิดข้ึนจึงเป็นควันที่ผสมกันระหว่างควันที่อุณหภูมิต่ำและสูง ซึ่ง จะมีน้ำมันดินและสารระเหยหงายปนออกมาด้วย น้ำมันดินท่ีละลายน้ำไม่ได้จะนำไปใช้ประโยชน์ ในการเกษตรไมไ่ ดเ้ พราะจะไปปดิ ปากใบของพชื และเกาะตดิ รากพชื ทำใหพ้ ชื เตบิ โตชา้ หรอื ตายได้ นอกจากน้ี หากเทลงพ้ืนดินจะทำให้ดินแข็งเป็นดาน รากพืชไม่สามารถไชลงดินได้ จึงแนะนำว่า เม่ือเก็บน้ำส้มควันไม้ แล้วต้องทง้ิ ชว่ งและมกี ารทำให้นำ้ สม้ ควนั ไม้บริสุทธก์ิ ่อนนำไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งนอ้ ย 3 เดอื น โดยการเก็บใน ทเี่ ยน็ ร่ม หรือเกบ็ ไวใ้ นภาชนะทึบแสงและไม่มีสง่ิ รบกวน หากเก็บไวท้ ี่โลง่ แจง้ น้ำสม้ ควนั ไมจ้ ะทำปฏกิ ริ ยิ ากับ อากาศ และรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงอาทิตย์กลายเป็นน้ำมันดินซ่ึงในน้ำมันดินจะมีสารก่อมะเร็ง และหาก นำไปใช้กับพืช นำ้ มนั จะจับกับใบไม้ทำใหต้ ้นไม้ไม่สามารถสังเคราะห์แสงไดด้ ี ขอ้ ควรระวงั ในการใชน้ ำ้ ส้มควันไม ้ 1. ก่อนนำน้ำส้มควนั ไมไ้ ปใชต้ อ้ งทิ้งไวจ้ ากการกักเกบ็ กอ่ นอยา่ งน้อย 3 เดอื น 2. เนอ่ื งจากน้ำส้มควันไมม้ คี วามเปน็ กรดสงู ควรระวังอยา่ ใหเ้ ขา้ ตาอาจทำให้ตาบอดได ้ 3. น้ำส้มควันไม้ไม่ใช่ปุ๋ยแต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังน้ันการนำไปใช้ทางการเกษตรจะเป็นตัวเสริม ประสทิ ธภิ าพ ใหก้ บั พชื แตไ่ มส่ ามารถใชแ้ ทนปุย๋ ได้ 4. การใช้เพอื่ ฆา่ เชือ้ จุลินทรยี แ์ ละแมลงในดนิ ควรทำกอ่ นเพาะปลกู อยา่ งน้อย 10 วัน 5. การนำนำ้ สม้ ควันไมไ้ ปใช้ต้องผสมน้ำให้เจอื จางตามความเหมาะสมที่จะนำไปใช ้ 6. การฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ เพ่ือให้ดอกติดผล ควรพ่นก่อนที่ดอกจะบาน หากฉีดพ่นหลังจาก ดอกบานแมลงจะไม่เขา้ มาผสมเกสรเพราะกล่ินฉุนของนำ้ ส้มควันไม้และดอกจะรว่ งงา่ ย แหลง่ ข้อมูลและสอบถามขอ้ มูลได้ที่ : 1. กรมส่งเสริมการเกษตร 2. ศูนย์ศึกษาการพฒั นาอ่าวคงุ้ กระเบนอนั เน่อื งมาจากพระราชดำริ โทรศัพท์ : 0-3938-8116-8 โทรสาร : 0-3938-8119 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 281
การผลิต สารบำบัดนำ้ เสยี คณุ สมบตั ขิ องสารบำบดั นำ้ เสยี พด.6 และแนวทางการนำไปใชใ้ หม้ ปี ระสทิ ธภิ าพโดยกรมพฒั นาทดี่ นิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สารบำบดั นำ้ เสยี พด.6 เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากการย่อยสลายขยะสด ประกอบด้วยวัสดุอินทรีย์จากเศษอาหาร ผัก ผลไม้ และเนอ้ื สัตว์ โดยกจิ กรรมของจลุ นิ ทรียจ์ ากสารเรง่ พด.6 ในสภาพที่ไม่มอี อกซิเจน ได้ของเหลวสีนำ้ ตาลซึ่งมี คุณสมบัติในการทำความสะอาดคอกสัตว์บำบัดน้ำเสีย และขจัดกลิ่นเหม็นสำหรับทำความสะอาดคอกสัตว์ บำบดั นำ้ เสียและขจัดกล่ินเหมน็ ตามท่อระบายนำ้ สารเร่ง พด.6 เป็นเช้ือจลุ นิ ทรยี ์ท่มี คี ณุ สมบตั ิในการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการหมักเศษอาหารในสภาพท่ีไม่มีออกซิเจน เพอ่ื ผลติ สารบำบดั นำ้ เสยี และขจดั กลนิ่ เหมน็ สำหรบั ทำความสะอาดคอกสตั ว์ บำบดั นำ้ เสยี และขจดั กลนิ่ เหมน็ ตามทอ่ ระบายนำ้ ชนิดของจลุ ินทรีย์ในสารเร่ง พด.6 ประกอบด้วย 1. ยีสต์ ทำหนา้ ที่ผลติ แอลกอฮอล์ ชว่ ยรักษาความสะอาด 2. แลคโตบาซลิ ลสั ทำหน้าทผี่ ลติ กรดแลคตกิ ช่วยลดการปนเป้ือนจุลนิ ทรยี ์ 3. แบคทีเรียสลายโปรตีน ทำหน้าที่ผลิตหน้าที่ผลิตน้ำย่อยโปรตีนเอสช่วยย่อยสลายซากสัตว์ได้ เรว็ ขึน้ 4. แบคทีเรียยอ่ ยสลายไขมัน ทำหนา้ ทผี่ ลิตน้ำยอ่ ยไลเปส ช่วยยอ่ ยสลายไขมนั ไดเ้ รว็ ขนึ้ สว่ นประกอบสำหรับผลิตสารบำบดั น้ำเสยี พด.6 จำนวน 50 ลติ ร 1. วัสดุอินทรยี ์ 5 กโิ ลกรัม 2. นำ้ ตาล 10 กิโลกรัม 3. นำ้ 50 ลติ ร 4. สารเร่ง พด.6 1 ซอง 282 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
วิธีทำ 1. นำนำ้ และนำ้ ตาลผสมลงในถงั หมกั กวนให้เปน็ สารละลายเดยี วกนั 2. ใสส่ ารเรง่ พด.6 ลงในถังหมกั คนสว่ นผสมใหเ้ ขา้ กัน 3. จากน้นั ใสว่ สั ดอุ นิ ทรีย์สดแลว้ คนส่วนผสมให้เขา้ กนั อกี คร้งั และปิดฝาไมต่ อ้ งสนทิ 4. ในระหว่างการหมักควรกวนส่วนผสมทุก 2 วัน โดยใช้ระยะเวลาหมัก 5-7 วัน จึงนำไป ใชไ้ ดต้ ่อไป สารบำบดั นำ้ เสีย พด.6 ทีผ่ ลิตไดม้ ลี กั ษณะดังน้ ี 1. ปรากฏฝ้าขาวของจุลินทรยี ม์ ากขนึ้ 2. มีกล่นิ เปรยี้ วมากขน้ึ 3. มกี ล่นิ แอลกอฮอล์เลก็ น้อย คุณสมบัติของสารบำบัดนำ้ เสยี พด.6 1. มจี ำนวนจลุ ินทรยี ์ พด.6 ขยายปริมาณมากขึ้น 2. มนี ำ้ ยอ่ ยหลายชนิดเพิ่มมากขนึ้ ไดแ้ ก่ น้ำย่อยสลายโปรตีน ไขมัน และเศษพืช 3. มกี รดอินทรีย์หลายชนดิ เพิม่ ขนึ้ ไดแ้ ก่ กรดแลคติก เป็นตน้ 4. มคี ่าเป็นกรดสูงระหว่าง 3-4 อัตราและวิธกี ารนำไปใช ้ ทำการฉีดพ่นสารบำบัดน้ำเสีย 1 ลิตรต่อน้ำเสีย 10 ลูกบาศก์เมตรโดยการฉีดให้กระจายทั่ว ๆ ท้ังน้นี ำ้ เสียที่ฉดี ควรจะเป็นน้ำนิ่งขังไมไ่ หล และถ้าหลงั จากใสแ่ ก้ว 7-10 วัน ยังมีกล่นิ ไมห่ าย สามารถใส่ซ้ำ ได้อกี ในอัตราส่วนเทา่ เดมิ ( 1 : 10 ลบ. ม.) สรรพคุณของสารบำบัดนำ้ เสยี พด.6 - ช่วยบำบัดน้ำเสียและขจัดกล่นิ เหม็นตามทอ่ ระบายน้ำหรอื น้ำท่วมขงั - ทำความสะอาดคอกสัตว์และขจดั กลิน่ เหมน็ - ชว่ ยลดกจิ กรรมของจลุ นิ ทรยี ท์ ที่ ำใหเ้ กดิ การเนา่ เสยี และยอ่ ยสลายสง่ิ ปฏกิ ลู ในนำ้ ทว่ มขงั ไดเ้ รว็ ขน้ึ - ช่วยรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มและบำบดั น้ำอปุ โภคใหด้ ีขน้ึ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 283
การผลติ น้ำมันมะพรา้ วบริสทุ ธิ์ ในอดีตน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันพืชเป็นที่นิยมในการปรุงอาหารหรือบำรุงความงาม เช่น ทาผิว หมักผม เป็นต้น แต่ภายหลังความนิยมในการบริโภคน้อยลงเน่ืองจากมีกรดไขมันอ่ิมตัวสูงท่ีทำให้เกิดไขมัน สะสม ปัจจุบันได้มีกระบวนการผลิตน้ำมันมะพร้าวในรูปแบบ ที่เรียกว่า Virgin Coconut Oil ซ่ึงผ่าน กระบวนการหีบเย็น คือใช้วิธีการป่ัน บีบน้ำมันออกมาโดยตรง หรือการแยกหมักด้วยแบคทีเรียเพ่ือแยก น้ำมัน ซึ่งช่วยลดความอ้วนและไม่ตกค้างในร่างกาย น้ำมันมะพร้าวบริสุทธ์ิมีองค์ประกอบของกรดไขมันที่มี ประโยชน์ ปัจจยั จำเป็นต้องใช ้ 1. ขวดโหลแก้ว หรอื ไห หรอื ภาชนะอ่นื สำหรบั หมัก 2. กะละมงั 3. ผ้าขาวบาง หรอื ตะแกรงลวดตาถ ่ี 4. สายยาง สำหรบั ดูดนำ้ มนั ออกจากภาชนะหมกั 5. เนื้อมะพร้าวสดขูด 2 กโิ ลกรมั 6. นำ้ อุน่ 2 ลติ ร วิธที ำ 1. นำเนื้อมะพร้าวสดขูดใส่กะละมัง แล้วเติมน้ำอุ่นค้ันน้ำกะทิในกะละมัง แล้วกรองกากมะพร้าว ท้งิ ไป 2. นำนำ้ กะทิที่คั้นได้ ใสข่ วดโหลหรอื ไห หรือภาชนะอืน่ ที่มีทรงสงู (หากใส่ขวดโหลแก้ง จะทำให้ เห็นช้ันหรือระดับของน้ำมันแยกตัวออกจากน้ำ) ปิดฝาท้ิงไว้ 24 ชั่วโมง น้ำมันจะเร่ิมแยกตัวออกจากน้ำ ลอยขึน้ สดู่ ้านบนของภาชนะ นำ้ ซึ่งหนกั กว่านำ้ มันจะอยู่ด้านล่างของภาชนะปนอยู่กบั กากและตะกอน 3. หลังจากตั้งท้ิงไว้ 2 วัน น้ำมันมะพร้าวจะลอยตัวอยู่ด้านบนของภาชนะ ให้ใช้สายยางดูด ออกมาหรอื ใชก้ ระบวยตกั นำ้ มนั ออก แลว้ กรองดว้ ยผา้ ขาวบางจะไดน้ ำ้ มนั มะพรา้ วบรสิ ทุ ธ์ิ (Virgin Coconut Oil) จากนั้นนำไปบรรจุขวดท่ีมีฝาปิด ขวดควรเป็นสีน้ำตาลหรือสีเขียวหรือสีน้ำเงิน สามารถเก็บไว้ได้นานเป็นปี โดยไมเ่ ส่อื มคุณภาพ กระบวนการและวิธกี ารหมัก 1. หลังจากคั้นได้น้ำกะทิ เม่ือนำไปใส่ในภาชนะต้องใส่ให้เต็ม อย่าให้มีพ้ืนที่ว่างหรือช่องอากาศ มฉิ ะน้ันจะเกดิ กระบวนการหมักท่ีทำให้นำ้ กะทบิ ูดได ้ 2. ท้ิงไว้ 48 ชั่วโมง หรือ 2 วัน น้ำมันมะพร้าวจะแยกตัวอยู่ในระดับสมบูรณ์แล้ว ไม่ควรทิ้งไว้ นานเกนิ ไป อาจทำใหเ้ กิดกล่ินได้ 284 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
3. หลงั จากกรองไดน้ ำ้ มะพรา้ วบรสิ ทุ ธแ์ิ ลว้ หากยงั ไมใ่ สเหมอื นนำ้ ทง้ิ ใหต้ กตะกอนประมาณ 1-2 วนั 4. หลังจากท้ิงไว้ 48 ช่ัวโมง หรือ 2 วัน เม่ือน้ำมันมะพร้าวแยกตัวแล้วให้นำภาชนะไปแช่ตู้เย็น สว่ นทเ่ี ปน็ น้ำมันแขง็ ตัว จึงนำเอานำ้ มนั ส่วนท่แี ข็งมาทง้ิ ไว้ภายนอกใหล้ ะลายแล้วนำไปกรอง 5. ภาชนะทกุ อย่างท่ที ำควรฆ่าเชอื้ ดว้ ยน้ำร้อนกอ่ น หมายเหตุ : มะพรา้ วขูด 2 กิโลกรัม จะได้น้ำมันมะพรา้ วประมาณ 200-300 ซีซ.ี วิธกี ารใชน้ ้ำมะพร้าว 1. เพ่ือทำ Oil Pulling เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพระบบคุ้มกัน (เม็ดเลือดขาว) ให้แข็งแรง เนื่องจากนำ้ มนั มะพร้าวช่วยกำจัดเชื้อโรค รักษาโรคในชอ่ งปาก กล่ินปาก แผลในปาก เหงอื กอกั เสบ หนิ ปูน ลดการเสียวฟัน และเลือดออกตามไรฟัน ตื่นนอนก่อนการด่ืมน้ำและแปลงฟัน ให้อมน้ำมันมะพร้าว ประมาณ 1 ชอ้ นโตะ๊ กลว้ั ปากให้ทั่ว 15-20 นาที บ้วนทง้ิ แล้วแปรงฟนั 2. เพ่ือลดความอ้วน หลังจากทำ Oil Pulling ในตอนเช้าแล้วให้ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว พร้อม นำ้ มนั มะพร้าว 1-2 ช้อนโต๊ะ ให้ทานกอ่ นอาหารทุกม้ือท่ีตอ้ งการจะช่วยทำให้ขับถ่ายดีขนึ้ ทำใหเ้ ซลล์ไขมัน เปล่ียนเป็นพลังงานและช่วยลดน้ำหนัก ให้ทานน้ำมันมะพร้าว 1-2 ช้อนโต๊ะ (ผสมหรือตามด้วยน้ำอุ่นจะ ชว่ ยขบั ถา่ ย) ถา้ ตอ้ งการลดนำ้ หนกั ใหท้ านกอ่ นอาหาร 20 นาที ใน 1 วนั ควรทานเฉลย่ี ในปรมิ าณ 3 ชอ้ นโตะ๊ ผู้เรม่ิ ต้นควรทานในปรมิ าณทีน่ อ้ ยกอ่ นสามารถทานไดใ้ นทกุ วยั ต้งั แตท่ ารก (1 ช้อนชาต่อวนั ) จนถงึ ผู้สูงอาย ุ 3. ใช้ทาผิวและเส้นผม เพ่ือบำรุงให้ชุ่มชื่น ลดผลกระทบจากรังสี UV ลดรอยเห่ียวย่น ฝ้า กระ ชว่ ยรักษาโรค หนังแข็ง สะเกด็ เงิน ควบคมุ รงั แค และบำรงุ เสน้ ผม เป็นต้น ใชท้ าผวิ หลงั อาบนำ้ ช่วยบำรงุ ผวิ ได้ดี ใชห้ มกั ผมประมาณ 30 นาที ก่อนการสระผมจะทำให้ผมมีสขุ ภาพดี ปอ้ งกันรังแค ประโยชนข์ องน้ำมันมะพรา้ วบรสิ ทุ ธิ์ 1) โลชน่ั ทาผวิ หนัง ทามือ ทาแขนขา ป้องกันผวิ แห้ง ผวิ แตกในฤดูหนาว ใชท้ าผิวเมอื่ เกิดอาการแพท้ ผี่ วิ หนงั เช่น โดนแดดเผา หรอื อากาศแห้ง นำ้ มนั มะพร้าวจะซมึ ผา่ นผิวหนงั อยา่ งรวดเร็ว ไม่เหนยี วเนอะหนะ ใชป้ รมิ าณ ไมม่ าก แต่ยังจะคงอยไู่ ดน้ าน 2) น้ำมันตัวพา ใช้เปน็ น้ำมนั ตัวพา (Carrier) ผสมกับน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) เป็นตัวท่ีนำพาน้ำมัน หอมระเหยแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย เพ่ือให้สัมฤทธ์ิผลในการบำบัด เพราะน้ำมันหอมระเหยมีความเข้มข้นสูง ดงั นน้ั เมื่อจะใชก้ ับผิวหนังโดยตรงจึงต้องทำให้เจือจางดว้ ยการผสมกบั ตวั นำพากอ่ น 3) รกั ษาโรคกระดูก ชำ้ บวม เคล็ดคัดยอก ใช้ในการรักษาความช้ำจากการถูกกระแทกจากของแข็ง การช้ำอักเสบท่ีเกิดจากการหกล้ม กระดกู เคล่ือน กระดกู เดาะ กระดูกหัก คุณสมบตั ิเด่นของน้ำมันมะพร้าว คอื สามารถซมึ เข้าไปรักษาเนอื้ เยอื่ ใตผ้ ิวหนงั แก้อาการบอบช้ำได้ดี แล้วยงั ซมึ เขา้ ไปช่วยเช่ือมกระดูกให้ประสานกันเชน่ เดิม 4) รักษาแผลไฟไหมน้ ำ้ ร้อนลวก ใช้น้ำมันมะพร้าวกับน้ำด่างท่ีทำจากน้ำปูนใสผสมกัน กวนหรือเขย่าให้เข้ากันกลายเป็น ครีมขาว โดยน้ำด่างจะรวมตัวกับน้ำมันได้ ซ่ึงน้ำธรรมดาทำไม่ได้ หรืออาจผสมตัวยาที่สำคัญ เช่น ชันตะ เคียน หรือชนั สน ดินสอพองทส่ี ะตุ พิมเสน บดเติมลงไป กวนให้เข้ากันเก็บไวใ้ ช้ทาปอ้ งกนั รกั ษาแผลไฟไหม้ นำ้ รอ้ นลวกได้ดมี าก 5) น้ำมนั ใส่ผม นำ้ มันมะพรา้ วจะชว่ ยให้ผมดก เงางาม ไมแ่ ตกปลาย โดยใชน้ ำ้ มันมะพร้าวผสมกับข้ีผง้ึ แท ้ 6) สบ่กู ้อน สบู่เหลว หากนำไปผสมกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดาไฟ) จะได้สบู่ก้อน และหากนำไปผสมกับ โปตัสเซียมไฮดรอกไซด์ จะได้สบเู่ หลว ทม่ี า : ศนู ย์กสกิ รรมธรรมชาติตุม้ โฮม จังหวัดนครพนม 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 285
กองนโยบายเทคโนโลยเี พื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยง่ั ยนื สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทรศัพท์ : 0-2629-8972 โทรสาร : 0-2281-6599 E-mail : [email protected] www.ops.moac.go.th 286 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286