๙๘ ๘. วตั ถุดบิ ทใี่ ชป้ ระโยชน์ในผลติ ภณั ฑ์ที่เกดิ จากภมู ิปัญญา ซง่ึ มใี นพื้นที่ พ้ืนที่อ่ืนไม่มี มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๙๙ ข้อมูลภูมปิ ัญญาท้องถิ่นและปราชญช์ าวบา้ น ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 28. การเย็บกระเปา๋ ผา้ ดน้ มือ ๑. ช่อื ภมู ปิ ัญญาท้องถนิ่ ............การเยบ็ กระเปา๋ ผ้าดน้ มือ ……………………................................................. ๒. เจา้ ของภูมิปญั ญาท้องถ่ิน /ปราชญ์ชาวบ้าน ..........นางพะยอม เดชนารักษ์.................อาย.ุ .......70 ปี................... อาชพี ข้าราชการบำนาญ ที่อยู่ บา้ นเลขที่ …... ชุมชน ..หัวข่วง.... ตำบล ...ในเวยี ง.... อำเภอ ..เมอื งแพร่.. จงั หวัด ...แพร่.................. รหัสไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศพั ท์ ……09 8009 2875……………………………………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่น คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมือ) เกษตร ✓ ศิลปกรรม/จิตรกรรม/ประติมากรรม ✓ ดนตรี/นาฎศลิ ป์ ✓ ศิลปหตั ถกรรม ✓ ศาสนา ประเพณีและวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ภาษาและวรรณกรรม อื่น ๆ ...................................……… ๔. จดุ เด่นของภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่น การเย็บกระเป๋าผ้าด้นมือ และผ้าพื้นเมือง กระเป๋าผ้าด้นมือ ผ้าไทยภาคเหนือ ผ้าพื้นบ้านภาคเหนอื ผ้าท่ที อในบริเวณภาคเหนือหรือลา้ นนา ปัจจุบันคอื บรเิ วณภาคเหนอื ไดแ้ ก่ จังหวดั เชียงราย พะเยา ลำพนู ลำปาง แพร่ น่าน เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน จนถึงดินแดนบางส่วนของประเทศพม่า ประเทศจีน และประเทศลาว ผ้าพื้นบ้าน ภาคเหนือที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดคือ ผ้าไทยวน ผ้าไทลื้อ ผ้าของกลุ่มชนทั้งสอง ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอน เครื่องแตง่ กาย และเครื่องบูชาตามความเชอ่ื ท่ีใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะผา้ ซิน่ ผ้าน่งุ ผหู้ ญิงของกลุ่มไทยวนและไท ลือ้ มสี ว่ นประกอบคล้ายคลงึ กัน ผา้ พ้ืนเมืองภาคเหนืออกี ประเภทหนึ่ง คือ ผา้ ทอมือกลุ่มนอ้ ย เชน่ ผา้ ทอของชาวกะเหร่ียง ไทใหญ่ และ ผ้าทอของชาวเขาเผา่ ต่าง ๆ เช่น มง้ เย้า มูเซอ ผา้ ทอเปลา่ นีจ้ ะมรี ูปแบบและกรรมวิธีในการทอที่แตกต่างกันไป ตามคติ นิยมและขนบประเพณีที่สืบทอดกันมาในกลุ่มของตน เช่น ผ้ากะเหรี่ยง นิยมทอลายขวางเป็นชิ้นเล็ก ๆ สีแดงและดำ เมื่อนำมาทอเครื่องนุ่งห่มจะเย็บต่อกันจนมีขนาดตามความต้องการ ส่วนชาวไทยภูเขานั้นมีกรรมวิธีในการทอผ้าต่าง ออกไป มกั หน้าแคบ ตกแต่งเปน็ ลวดลายดว้ ยการปัก ประดับเครือ่ งเงิน ลกู ปัด เพ่ือเพ่ิมสสี ันให้งดงามยิ่งขน้ึ
๑๐๐ งานผ้าด้นมือ หรือ “Quilts” มีต้นกำเนิดจากต่างประเทศ แต่มาได้รับความนิยมในประเทศไทย หลายสิบปีแล้ว โดยจังหวัดแพร่ถือเป็นแหล่งผลิตใหญ่ของประเทศ ซึ่งเดิมจะทำลายแบบง่าย ๆ ลากด้วยไม้บรรทัด สอยเป็นเส้นตรง หรอื ทแยง จดุ เด่นทท่ี ำให้ผลงาน คือ ความสวยงาม และรายละเอยี ดความประณีตสูง รวมถึง มเี ทคนิคการลูกเล่น และเลอื กใช้สีตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสม ๕. รายละเอียดของภมู ิปัญญาท้องถนิ่ สินค้าประเภทน้ี ในประเทศไทยเรยี กกนั ว่า “ผา้ ด้นมือ” แตร่ ะดับสากลรูจ้ ักกนั ดีในชื่องาน “Quilts” มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ 1. ผา้ พนื้ 2. บใุ นให้เกิดความนุ่ม อดีตใชน้ ุ่น แต่ปจั จุบันใช้วัสดุใยโพลเี อสเตอร์ 3. แตง่ ลวดลายด้วยผ้าบน ซ่งึ จะเยบ็ ปะ ต่อ หรอื เล่นลายต่าง ๆ โดยใช้มอื ลว้ น ๆ การขึ้นลายต่าง ๆ จะวาดด้วยมือ (Free Hand) ซึ่งการวาดมือจำเป็นต้องใช้ทักษะ และความชำนาญ อย่างสูง ลายเส้นที่ไม่ตายตัว ช่วยให้ผลงานมีเสน่ห์ต่างกันไป ทุกชิ้นเปรียบเป็นงานชิ้นเดียวในโลก เช่ น ลายการ์ตูน ดอกไม้ กราฟฟิก สัตว์ ฯลฯ ทำออกมาเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น ผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ปลอกหมอกอิง ผ้าปูโต๊ะ ผ้าติดผนัง ฯลฯ ราคาขายส่งที่หลักร้อยถึงสูงสุดประมาณ 4 พันกว่าบาท ระยะเวลาทำขึ้นอยู่กับความยากง่าย อย่างผ้าคลุมเตียง ขนาด 6 ฟุต ใช้เวลา 15-20 วันต่อชิ้น วัตถุดิบผ้าที่ใช้แตกต่างกันไปตามความต้องการของลูกค้า ส่วนใหญ่เน้นใช้ผ้า ฝ้าย 100% เพราะมีความนุ่มเนียนน่าสัมผัส แต่บางครั้งอาจนำผ้าชนิดอื่น ๆ มาตกแต่งให้แตกต่างออกไป เป็นงาน แฮนด์เมดที่ต้องอาศัยฝีมือและระยะเวลาในการทำนาน และรับหน้าที่เป็นวิทยากรของศูนย์ การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองแพร่ วิทยากรฝึกอาชีพหลักสูตรระยะสั้นวิชาชีพ ผ้าด้นมือ สอนความรู้ให้ชาวบ้าน ทีอ่ ยากมอี าชพี ด้วย ๖. การประชาสมั พนั ธแ์ ละเผยแพร่ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ✓ ยงั ไม่เคยมีการเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบุคคล ✓ เคยเผยแพรใ่ ห้กบั ผ้สู นใจ มกี ารดูงานแลว้ จากบคุ คลภายนอกแลว้ ...........……..ครั้ง/…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพ้นื ที่เดยี วกัน…………..ราย - นอกพ้นื ที่………………….ราย อื่น ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลกั ษณะของภูมิปญั ญาท้องถนิ่ ✓ ภมู ิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม ไดร้ ับการถ่ายทอดมาจาก …ศึกษาเรียนรู้ดว้ ยตนเองจากผู้รู้....................... ภมู ิปญั ญาท้องถ่ินท่ไี ด้พัฒนาและตอ่ ยอด - แบบเดมิ คอื …............................................................................................................................. .. ………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ได้พัฒนาและตอ่ ยอด คือ ……………………………………………………………………………………………....... ............................................................................................................................. .............................
๑๐๑ ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น/นวัตกรรมทค่ี ิดค้นขึ้นมาใหม่ ๘. วตั ถดุ บิ ท่ใี ช้ประโยชน์ในผลติ ภณั ฑ์ท่ีเกิดจากภูมิปัญญา ซึ่งมใี นพนื้ ท่ี พน้ื ทอ่ี ืน่ ไม่มี มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๑๐๒ ข้อมูลภูมปิ ัญญาท้องถ่ินและปราชญ์ชาวบ้าน ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 29. การทำหม่ีกรอบโบราณ ๑. ชื่อภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ ............การทำหมกี่ รอบโบราณ ……………………................................................... ๒. เจ้าของภูมิปัญญาท้องถ่นิ /ปราชญ์ชาวบ้าน ..........นางมาลยั หม่นื ใจ.................อาย.ุ ....... 65 ปี................... อาชพี ค้าขาย ทอี่ ยู่ บา้ นเลขท่ี …43/6... ชมุ ชน ..หัวข่วง.... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมอื งแพร่.. จังหวดั ...แพร่........ รหัสไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศพั ท์ ……08 1288 2523……………………………………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ✓ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมือ) เกษตร ศิลปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ศิลปหตั ถกรรม การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ดนตร/ี นาฎศลิ ป์ ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวัฒนธรรมท้องถิน่ ✓ ภาษาและวรรณกรรม อ่ืน ๆ ...................................……… ๔. จดุ เด่นของภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน การทำหม่กี รอบโบราณ เมนโู บราณท่ีมมี าต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี 5 ด้วยเป็นหนง่ึ ในเคร่ืองเสวยทรงโปรด ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และเป็นอาหารทานเล่นที่มีกรรมวิธีการทำชั้นปราบเซียนกันเลย เพราะความปราณีตของ อาหารตำหรับชาววังแท้ ๆ แตโ่ บราณ และเสน่ห์ของเมนนู ้ีอยู่ทผ่ี ิวและน้ำส้มซ่า ซ่งึ มีกล่นิ หอมทเ่ี ป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จงึ เป็นสว่ นผสมสำคัญท่ีใช้ในการโรยหน้าหมี่กรอบ ม.ร.ว. คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช เคยเล่าไว้ถงึ พระญาติองค์หน่ึงช่ือหม่อมเจ้า วิทยา เจ้านายในราชสกุลปราโมชเรยี กว่า \"ท่านกู๋\" เพราะกู๋ในภาษาจีนแปลว่าเขย หม่อมเจ้าวิทยาทรงมีฝืมือในการผัด หมี่กรอบ จนถึงขั้นตั้งร้านขายได้ คนทั่วไปเรียกว่า \"หมี่เจ้ากู๋\" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าโปรดฯ เสวยหมี่เจ้ ากู๋ มีพระกระแสรับสัง่ ให้เข้าไปผดั หมีต่ ้ังเครื่องเสวยอยูบ่ ่อย ๆ วันใดผดั หมี่ถูกพระโอษฐ์ ก็ตรัสชมเชยว่า...\"วันนี้เจา้ ก๋ผู ัดหมี่ อรอ่ ย\" แต่ถ้าวนั ไหนผดั หมี่ไม่ถูกพระโอษฐ์ ก็ตรสั บรภิ าษวา่ ...\"วันน้ีไอ้เจ้ากู๋ผดั หมี่ไม่เป็นรส\" (ข้อมูลจาก นิทรรศการพลัง แผน่ ดินอศั จรรยง์ านศิลป์ แผ่นดนิ สยาม)
๑๐๓ ๕. รายละเอยี ดของภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ การทำหมกี่ รอบโบราณ วตั ถุดบิ ทีต่ อ้ งเตรยี ม - เสน้ หม่หี ่อเลก็ 1 หอ่ 400 กรัม โดยประมาณ - เน้อื หมหู ัน่ สเี่ หลย่ี มเลก็ ๆ 500 กรัม - กงุ้ นาง 4 ตวั (มากน้อยตามชอบ) - เตา้ หแู้ ขง็ หนั่ เล็ก ๆ 2 ชิ้น - ไขเ่ ปด็ 2 ฟอง - ใบกยุ ชา่ ยหนั่ ท่อน 1 ถ้วยตวง - กระเทยี มดองห่นั แวน่ 1 ถ้วยตวง - ถว่ั งอก 200 กรัม - พรกิ ชี้ฟ้าแดงห่นั ฝอย 2 เม็ด - ผกั ชีเด็ดเป็นใบสกั เล็กน้อย - ผลสม้ ซา่ 1 ลูก - หอมแดง 3 หวั - กระเทยี ม 3 กลีบ เคร่ืองนำ้ ปรุง - นำ้ สม้ สายชู 3 ชอ้ นโต๊ะ - เตา้ เจี้ยว 1 ชอ้ นโตะ๊ - นำ้ ตาลทราย 10 ช้อนโตะ๊ - น้ำปลา 3 ชอ้ นโต๊ะ - สม้ มะขามเปียก 3 ชอ้ นโต๊ะ - น้ำมะนาว 2 ชอ้ นโตะ๊ - นำ้ ส้มซา่ 2 ช้อนโต๊ะ ถา้ ไม่มหี รอื หาไม่ได้ให้ใชน้ ้ำมะนาวแทน 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ เส้นหมี่กรอบ 1. เตรียมเส้นหม่สี ำหรับทอด โดยแกะเส้นหมอี่ อกจากห่อนำไปแช่นำ้ อนุ่ ประมาณ 5 นาที นำข้ึนพักใน ตะแกรงใหส้ ะเดด็ นำ้ ผสมน้ำเปลา่ 2 ถ้วย กบั น้ำส้มสายชู 3 ชอ้ นโต๊ะเตรียมไว้ 2. นำเส้นหมี่ที่สะเด็ดน้ำจนหมาด ๆ แล้วใส่ลงในหม้อใบใหญ่ที่มีฝาปิดมิด นำน้ำเปล่าผสมกับ น้ำส้มสายชูท่ีเตรียมไวพ้ รมใหท้ ั่วหมี่ ปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที พลิกเส้นหมีก่ ลบั ไปมา พรมน้ำซ้ำอีกครั้ง ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที ดว้ ยวธิ ีการเช่นน้ีจะทำให้เส้นหมีน่ ุ่มนิม่ ข้ึน 3. กระทะใส่น้ำมันตั้งไฟอ่อนรอให้น้ำมันร้อน เวลาทอดทอดทีละน้อย ถ้าเส้นเปียกน้ำมันจะกระเด็น ถา้ เปน็ เส้นแห้งคลี่เสน้ ออกก่อนทอด ไม่อย่างน้ันเส้นจะไม่พองออก จับตัวกนั เปน็ ก้อน ทอดเสร็จ ใส่ภาชนะพักไว้ให้เย็น แลว้ ปดิ ฝา เคล็ดลับในการเตรยี มหม่ี
๑๐๔ ไม่ควรแช่เส้นหมี่ให้นาน เพราะจะกรอบง่าย แต่นิ่มไว ตรงนี้สำคัญมาก เพราะเส้นหมี่ใน ปัจจุบันมีกรรมวิธีอบแห้งเพื่อให้นิ่ม ไม่แข็งกระด้างเหมือนสมัยก่อน ตามสูตรดั้งเดิมเค้าบอกให้ใส่พริกแห้งป่นลงไปใน น้ำมันเพื่อให้เส้นมีสีสันและระหว่างทอดอย่าลืมเอากระชอนตักเศษเส้นหมี่ดำ ๆ ในกระทะทิ้งไปด้วยนะคะ เป็นวิธีการ ทำให้นำ้ มนั สะอาด ใชไ้ ด้นาน หากไมช่ ้อนออกจะมเี ส้นไหม้ วธิ ที ำนำ้ ปรุงหมี่ ปอกเปลอื กหอมแดงและกระเทยี ม ล้างให้สะอาด แลว้ นำมาสับรวมกนั ใหล้ ะเอยี ดมาก ๆ แล้ว พักไว้หั่นหมูเนื้อแดงเป็นเส้นยาวประมาณ 2 ซม. ปอกเปลือกกุ้งนาง ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตั้งกระทะ ใส่ น้ำมันเล็กน้อย พอร้อนใส่หอมกับกระเทียมสับละเอียด เจียวสักครู่ พอเริ่มเหลืองใส่หมูและกุ้งลงไปผัด ใส่เต้าเจี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ ผัดไปสักครู่ ให้ได้กลิ่นหอม ๆ ใส่เนื้อหมู หรือเนื้อไก่สับ กุ้งสับละเอียด หรือจะใส่กุ้งทั้งตัวก็ได้นะคะ เติมน้ำตาลทรายลงไปในกระทะ คนจนน้ำตาลทรายละลายหมด เติมน้ำส้มมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำปลา โดยปรุงให้ ออกรสหวานเปรี้ยวนำ ล้างผลส้มซ่า คั้นเอาแต่น้ำ ใส่ลงในน้ำปรุงหมี่ที่ผัดในกระทะ หั่นผิวส้มซ่าเปน็ เสน้ เล็ก ๆ บาง ๆ แล้วแยกไว้สำหรบั โรยหนา้ หมี่ หนั่ ผวิ ส้มซ่าตอ้ งระวงั อยา่ ให้ติดผวิ สีข้าวใต้เปลือก จะทำให้มรี สขม ชิมรสนำ้ ปรุงท่ีเคี่ยวใน กระทะ เมื่อได้รสที่ต้องการ ตักเนื้อหมู เนื้อกุ้ง พักไว้ในถ้วย เคี่ยวน้ำที่เหลือในกระทะต่อจน เหนียวข้น สาเหตุที่ให้พกั เน้ือหมูและกุ้ง เพราะจะทำให้แขง็ เมอื่ น้ำเหนียวขน้ แล้วค่อยนำเนื้อหมู และเนื้อกงุ้ กลบั ลงไป คนผสมต่อ แล้วค่อยตกั ข้นึ ใส่ชามพักรอไว้ ตง้ั กระทะเตรียมคลุกหมี่ โดยใช้ไฟกลาง ตักนำ้ ปรุงหม่ีลงอุน่ ใสเ่ ส้นหมีท่ ่ที อดไวล้ งไป ให้เส้นหม่ีกระจาย แล้วคลุกเคล้า ให้ส่วนผสมเข้ากันถ้วนทั่ว เส้นหมี่สีแดงสดสวยโดยไม่ต้องเติมสี หรือใส่น้ำสีแดงใด ๆ ลงไป สีแดงจากมันแดงตรงหัวกุ้งสด เราก็ได้สีแดงแบบธรรมชาติแล้วค่ะ ก่อนเสิร์ฟ ตักใส่จานโรยหนา้ ตกแต่งให้สวยงามด้วย กระเทียม เคล็ดลบั ในการปรงุ การปรุงรสนำ้ คลุกหมจี่ ะต้องมีสว่ นผสมนำ้ ปรุงรส 5 ชนิด อันได้แก่ น้ำสม้ ซา่ ส้มมะขามเปียก น้ำปลา น้ำมะนาว และนำ้ ตาลปบี๊ ทีส่ ำคญั ถา้ ขาดสม้ ซา่ จะทำใหเ้ สยี รสชาติ เพราะทั้งนำ้ ส้มซ่าทเี่ ป็นสว่ นผสมของน้ำปรุง และเปลอื กที่นำมาห่นั ฝอย ๆ แล้วโรยหน้า จะใหก้ ล่ินหอมเวลาทาน ถือเป็นเสนห่ ์ ของหมีก่ รอบชาววังสูตรโบราณ และ การใสห่ ัวมันกุ้งลงไป เพ่ือให้ตัวหมม่ี สี ีแดงธรรมชาติ ของน้ำปรงุ ๖. การประชาสมั พันธ์และเผยแพร่ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ✓ ยงั ไม่เคยมีการเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กบั ผู้สนใจ มีการดูงานแลว้ จากบคุ คลภายนอกแลว้ ...........……..ครั้ง/…………….…..ราย มีการนำไปใช้ - ในพ้ืนทีเ่ ดยี วกนั …………..ราย - นอกพ้ืนที่………………….ราย อนื่ ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลักษณะของภูมิปัญญาท้องถ่ิน ✓ ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นด้ังเดิม ไดร้ ับการถ่ายทอดมาจาก …………ศกึ ษาเรียนรู้ดว้ ยตนเอง....................... ภมู ิปญั ญาท้องถ่ินทไี่ ด้พฒั นาและต่อยอด - แบบเดิม คอื …............................................................................................................................. .. …………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑๐๕ - ได้พัฒนาและตอ่ ยอด คือ ……………………………………………………………………………………………....... ............................................................................................................................. ............................. ภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ /นวัตกรรมที่คดิ ค้นข้ึนมาใหม่ ๘. วตั ถดุ บิ ท่ีใชป้ ระโยชนใ์ นผลติ ภณั ฑ์ท่เี กิดจากภูมปิ ญั ญา ซ่งึ มีในพนื้ ที่ พื้นทอ่ี ่ืนไม่มี มี ไดแ้ ก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๑๐๖ ขอ้ มูลภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินและปราชญช์ าวบา้ น ชมุ ชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 30. การทำบายศรี การทำโคมแขวนดอกรกั และการทำพิธสี ืบชะตาเมือง/ชะตาคน (สะตงเครื่อง 108) ๑. ชอ่ื ภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ ............การทำบายศรี การทำโคมแขวนดอกรัก และการทำพิธสี ืบชะตาเมือง/ ชะตาคน (สะตงเครื่อง 108) ………… ๒. เจา้ ของภูมิปัญญาท้องถิ่น /ปราชญ์ชาวบา้ น .....พระครสู จุ ณิ ธรรมานยุ ุต (อภิภเู มธ ธมฺมจารี) เจ้าอาวาสวัดศรีชุม อาย.ุ ....... ปี................... อาชพี พระสงฆ์ ท่ีอยู่ บา้ นเลขที่ …2...วัดศรชี มุ ..... ชมุ ชน ..ศรชี มุ .... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมืองแพร่.. จงั หวดั ...แพร่ รหสั ไปรษณยี ์ ...54000.................... โทรศัพท์ ……………………………….……………………………………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมิปัญญาท้องถนิ่ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมอื ) เกษตร ศลิ ปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ✓ ดนตร/ี นาฎศิลป์ ✓ ศิลปหัตถกรรม ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวฒั นธรรมท้องถ่นิ การแพทย์แผนไทย ✓ ภาษาและวรรณกรรม อ่ืน ๆ ...................................……… ๔. จุดเด่นของภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ การทำบายศรี พิธีสู่ขวัญ บางทีเรียกว่า \"พิธีบายศรี\" หรือ \"บายศรีสู่ขวัญ\" เป็นประเพณีสำคัญอย่าง หนึ่งของชาวอีสาน ประเพณีสูข่ วัญทำกันแทบทุกโอกาส ทั้งในมูลเหตุแห่งความดีและไม่ดี ชาวอีสานถือว่าเปน็ ประเพณี เรียกขวญั ให้มาอยู่กับตวั พธิ ีสขู่ วัญน้ีเป็นได้ทงั้ การแสดงความชื่นชมยินดี และเปน็ การปลอบใจให้เจ้าของขวัญจากคณะ ญาติมิตรและบุคคลทั่วไป ผู้ได้ดีมีโชคหรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือมาเยี่ยมเราก็ยินดี จัดพิธีสู่ขวัญให้ ประเพณีสู่ ขวัญจึงเป็น ประเพณีทำกันอย่างกว้างขวาง คำว่า\"ขวญั \"น้ันเชือ่ วา่ เป็นส่ิงไม่มีตัวตนคล้ายกบั จิตหรอื วิญญาณแฝง อยู่ใน ตัวคนและสัตว์ ตั้งแต่เกิดมาทุกคนมีขวัญกันทั้งนั้นและในบางแห่งเรามักแปลว่า \"กำลังใจ\" ก็มีคำว่า \"ขวัญ\" ยังมี ความหมายอกี ว่าเปน็ ทร่ี ักที่บูชา เชน่ เรยี กเมยี ท่ีรักว่า \"เมยี ขวญั \" หรอื \"จอมขวญั \" เรียกลกู รกั หรือ ลูกแก้ว
๑๐๗ ว่า \"ลูกขวัญ\" สิ่งของที่ผู้เคารพรักใคร่นับถือกันนำมาฝาก นำมาให้เพื่อเป็นการทะนุ ถนอมน้ำใจกันเราก็เรียกว่า\" ของขวัญ\" \"ขวญั \" อีกความหมายหนึ่ง หมายถงึ ขน หรือผม ที่ขนึ้ เวยี นเปน็ กน้ หอย พธิ ีสู่ขวญั เปน็ พธิ ีเกา่ แก่ ของชาวไทยเราแทบทุกภาค การทำพิธีก็ผิดเพีย้ นกนั ไปบ้างแต่กย็ ังยึดหลักใหญ่อยู่เหมือนกัน พธิ สี ุ๋ขวัญในบทความน้ี จะ กล่าวถึงพธิ ีของชาวอสี านเปน็ สว่ นใหญ่ การทำพธิ ีสู่ขวัญเราอาจทำได้ถึง 2 วิธีพรอ้ ม ๆ กนั คอื วิธที างพุทธศาสนาและวิธี ทางพราหมณศ์ าสนา วธิ ที างพุทธศาสนา โดยการนมิ นตพ์ ระสงฆอ์ ย่างนอ้ ย 5 รูป มาเจรญิ พระพุทธมนต์ ต้งั บาตรน้ำมนต์ เสร็จแล้วประพรมน้ำมนต์ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาถ้ามีศรัทธาพอจะถวายภัตตาหารเช้า หรือเพล พระสงฆ์ดว้ ยกไ็ ด้ การทำโคมแขวนดอกรัก (เครือ่ งแขวนไทย) ประเทศไทยเป็นดนิ แดนที่อดุ มไปด้วยความสมบูรณ์ทาง ธรรมชาติ ทำให้ประเทศของเรามีพรรณไม้ที่สวยงามหลายชนิด ผนวกกับแนวความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ทช่ี อบประดิษฐ์ประดอยมาต้ังแตส่ มัยโบราณ กอ่ ให้เกิดงานหัตถศิลป์อนั ปราณีตมากมายหลายแขนง หนง่ึ ในนั้นคือ งาน เครื่องดอกไม้ ซึ่งเป็นศิลปะที่มีความละเอียดอ่อน ต้องใช้ความอดทนในการทำสูง จากหลักฐานทางโบราณคดีตาม โบราณสถานต่างๆ ในแถบทวีปเอเชีย ชี้ให้เห็นว่า ชาติพันธุ์แถบนี้ มีการนำดอกไม้มาประดับเคหะสถานตั้งแต่ยุคดึกดำ บรรพ์ สังเกตจากศาสนสถาน พระราชวงั และบ้านคหบดี ทมี่ ีการทำเปน็ ลายปนู ป้ันเป็นรปู เฟ้อื งดอกไม้ลายต่าง ๆ จาก การสันนษิ ฐานเช่อื ว่า คนในสมยั กอ่ นจะนำดอกไม้มาประดบั บ้านเรือน แต่ดว้ ยดอกไมม้ ีอายุการใช้งานทสี่ ั้น ทำใหเ้ กิดภูมิ ปัญญาที่ล้อเลียนของจริง ส่งผลให้เกิดลายปูนปั้นเป็นรูปดอกไม้ต่างๆ อาทิ ทับหลังของปราสาทในเขมร ลายปูนปั้นใน พระราชวังในอนิ เดยี ลวดลายสถูปเจดียใ์ นวดั พระเชตพุ ลวมิ ลคลาราม เป็นตน้ งานเครื่องแขวนดอกไม้สด เป็นงานประดิษฐ์ทีท่ ำขึ้นเพื่อใช้ในการประดับตกแต่งอาคาร สถานที่ และ สิ่งเคารพบูชา มีรูปร่างเป็นช่อเป็นพวงที่รังสรรค์ขึ้นจากการนำดอกไม้เล็กๆ มาเรียงร้อยรวมกันด้วยเส้นด้าย ประดิษฐ์ เปน็ เส้น ลาย เป็นตาขา่ ยรปู ตา่ งๆ ทม่ี อี ยูด่ ว้ ยกัน 2 ประเภท คอื แบบสองมติ ิ และแบบสามมติ ิ แบบสองมิติ เป็นแบบของเครื่องแขวนที่มีลักษณะแบน มองได้ทั้ง 2 ด้าน เช่น แบบตาข่ายหน้าช้าง แบบบันไดแก้ว แบบวิมานแท่น เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้แขวนบริเวณหน้าต่างที่มีลมผ่าน เมื่อลมพัดเข้ามาในเคหะ สถานที่ประดับด้วยเครื่องแขวนนี้ ก็จะอบอวลเป็นด้วยกลิ่นดอกไม้ที่แขวนอยู่ไปด้วย ผู้อยู่อาศัยก็เกิดความจรุงใจกับ ดอกไมไ้ ปดว้ ย แบบสามมติ ิ คือ แบบท่สี ามารถมองได้รอบทิศทาง เช่น แบบกลิน่ ควำ่ แบบพวงแก้ว แบบพ่กู ล่ิน แบบ ระย้าทรงเคร่อื ง เปน็ ต้น งานประดิษฐแ์ บบน้จี ะใชแ้ ขวนประดบั ภายในบา้ น การทำพิธีสืบชะตาเมือง/ชะตาคน (สะตงเครื่อง 108) พิธีสืบชะตาของชาวล้านนา มีมาแต่โบราณ กาลแล้วและมีการประกอบพิธีมาก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเผยแผ่เข้าสู่อาณาจักรล้านนา เนื่องจากแต่เดิมนั้นพิธีสืบ ชะตาถือเป็นพิธีพราหมณ์ โดยมีอาจารย์ประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นฆราวาสทีม่ ีความเชี่ยวชาญด้านพิธีกรรมพื้นบ้านและถือ เปน็ ตัวแทนของพราหมณเ์ ป็นผู้ประกอบพิธี ครั้นตอ่ มาเม่ือพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาจนมีความเจรญิ รงุ่ เรอื งพิธีสืบชะตา จึงมกี ารผสมผสานระหว่างพิธพี ุทธกับพธิ พี ราหมณ์ โดยมีพระสงฆม์ าทำหนา้ ท่ีเปน็ ผปู้ ระกอบพิธสี บื ชะตาแทนอาจารย์ซ่ึง เปน็ ฆราวาสจวบจนถงึ ปจั จบุ ัน ประเพณีสืบชะตาเป็นประเพณีที่ผูกพันกบั วิถีชีวิตของคนลา้ นนาอย่างแน่นแฟ้นสืบทอด กนั มาแตโ่ บราณกาลเพราะมคี วามเชื่อมั่นว่าพิธีสืบชะตานเี้ ป็นการต่ออายุทงั้ ของตวั เองและญาติพีน่ ้องบรวิ าร หรือชะตา ของบา้ นเมืองใหม้ ีอายุยืนยาวสืบไปก่อใหเ้ กิดความสุขความเจริญอีกท้ังเป็นการขจัดภยั อันตราย ต่าง ๆ ท่ีจะ บังเกดิ ขึ้นใหค้ ลาดแคล้วจากบาปเคราะหแ์ ละสิ่งช่ัวร้ายท้ังมวลกอ่ ใหเ้ กิดขวัญและกำลังใจในการดำรงชีวิตรว่ มกันของคน ในสังคมซึ่งจะมีผลส่งให้บ้าน เมืองมีความสงบสุขและมีความอุดมสมบูรณ์สืบไป คนสมัยก่อนมีความศรัทธาต่อ พระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ อย่างแตกฉานลึกซึ้งก็เลยมีความคิดที่ จะมาทำให้บ้านเมืองและคนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีจึงได้นำเอาพุทธานุภาพ ธรรม มานุภาพ สังฆานุภาพมาผสมผสานเป็นพธิ ีสืบชะตาข้นึ ทง้ั นีเ้ พื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ใจ ความกงั วลใจต่อบาปเคราะห์
๑๐๘ ตา่ ง ๆ ของมนษุ ยใ์ ห้จางหายให้ประสบแตเ่ รื่องดีเร่ืองเจรญิ เพราะยึดหลักที่วา่ ผใู้ ดหมั่นฟังธรรมเปน็ นจิ ร้จู กั อ่อนน้อมถ่อม ตนและเปน็ ผู้รกั ษาตนไม่ประมาทยอ่ มจะมชี ีวิตทีย่ ืนยาว วัตถุประสงค์การสืบชะตาเพื่อให้เป็นสิริมงคลและขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่เป็นเสนียดจัญไรให้ออกไปจาก บุคคลหรือสถานที่พิธีสืบชะตาเป็นประเพณีที่ได้รับอิทธิพลจากธรรมเนียมของพราหมณ์ซึ่งได้นำมาผสมผสานกับ พิธีกรรมของพทุ ธศาสนาไดอ้ ยา่ งกลมกลนื สืบชะตา มี 2 ประเภท คอื สบื ชะตา คน และ สบื ชะตาหมบู่ า้ น พิธีสืบชะตาคน จะจัดทำในโอกาสต่าง ๆ กัน เช่น ขึ้นบ้านใหม่ภายหลังจากการเจ็บป่วย หรือทำให้ โอกาสทห่ี มอดูทำนายทายทักวา่ ดวงชะตาไม่ดีบางคร้ังทำเพ่ือสะเดาะเคราะห์ ภายหลังจากประสบเคราะห์กรรมเม่ือสืบ ชะตาแล้วเช่ือว่าจะช่วยเสริมสรา้ งดวงชะตาให้ดีขึน้ อกี ทัง้ เป็นการบำรงุ ขวัญและกำลงั ใจของผู้ที่ประสบจากเคราะห์กรรม หรอื ผเู้ จบ็ ปว่ ยให้กลับคนื สภาพปกตสิ ถานทีป่ ระกอบพธิ ใี ชบ้ ริเวณบ้านของผู้ท่ีจะสืบชะตา โดยจะใชห้ ้องโถง ห้องรับแขก ลานบา้ นกไ็ ด้ การสบื ชะตาบ้านมีจุดมุง่ หมายเพ่ือสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่หมู่บ้านโดยจะประกอบพิธีกรรมท่ีหอเสื้อ บ้านหรอื ศาลากลางบา้ นอันเปน็ ศูนยร์ วมในการประกอบพิธีของหมบู่ ้าน กอ่ นวันประกอบพธิ ี ชาวบา้ นจะชว่ ยกนั ประดับ ตกแตง่ หอเสอ้ื บา้ น หรอื ศาลากลางบ้านใหส้ วยงาม ทำความสะอาดบรเิ วณรอบ ๆ แล้วจัดราชวตั ร ปกั ฉตั รและธงทวิ ใช้ ต้นกล้วย ต้นอ้อย ประดับโดยรอบวงด้ายสายสิญจน์รอบบริเวณพิธีทำแท่นบูชาท้าวทั้งสี่และเทพารักษ์ในบริเวณนั้นมี สง่ิ ของทน่ี ำมาประกอบพิธีได้แก่ ขา้ ว พรกิ แห้ง เกลอื ขนม ข้ามต้ม ดอกไม้ ธูปเทียน หมาก พลู บุหรี่ เมี่ยงซ่ึงได้มาจาก การบรจิ าคของชาวบา้ น ในวันประกอบพธิ จี ะมกี ารทำบุญตักบาตรในตอนเชา้ ในบริเวณพิธี หลงั จากนั้นพระสงฆ์สวดชัย มงคลคาถาและสวดพระปริตร เทศนาธรรมใบลาน และเทศนาธรรมสืบชะตาเพื่อขบั ไล่สิ่งชัว่ ร้ายและเสนียดจัญไร หรือ สิ่งอัปมงคลให้ออกไปจากหมู่บ้านเมื่อจบพิธีแล้วก็จะปะพรมน้ำมนต์แก่ผู้มาร่วมพิธีทุกคนในการสืบชะตานั้นจะแต่งดา เคร่อื งสบื ชะตาหลายอยา่ งซึ่งถอื เปน็ เครื่องบูชาอย่างหน่งึ ตามพิธที ส่ี ืบทอดกนั มา ประกอบดว้ ย 1. ไม้ค้ำมีลักษณะเป็นไม้ง่าม ๓ อัน สำหรับนำมาประกอบกันเป็นซุ้ม เรียกว่า ไม้ค้ำชะตา แต่ด้วย ลักษณะไม้ค้ำที่มีขนาดใหญ่และยาวพอประมาณจึงเรียกว่า ไม้ค้ำหลวง บางแห่งก็มีขนาดยาว บางแห่งก็มีขนาดส้ัน พอประมาณแล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น แต่ส่วนมากนิยมใช้ขนาดยาวเท่ากับวาแขนหรือความสูงของเจ้ าของ ชะตา ไม้ค้ำมีความหมายว่าเพื่อให้เป็นสิ่งค้ำจุนชีวิตให้มีความเจริญรุ่งเรอื งมีอายุยนื ยาวเปรยี บเสมือนต้นไม้ที่ใกล้จะลม้ หากมีไม้มาค้ำไว้ก็จะทำให้เจริญงอกงามต่อไป เหมือนชีวิตคนเราที่ไดร้ ับการค้ำชูย่อมจะมีความสุขความเจริญต่อไปฉัน ใดก็ฉันนั้น สมัยก่อน ไม้ค้ำ เป็นชื่อของต้นไม้ประเภทหนึ่ง หากนำมาตัดกิ่งออกแล้วขุดดินฝังสำหรับใช้เป็นไม้ค้ำต้นไม้ ประจำหมู่บ้านหรือไม้หมายเมือง ไม้ค้ำนี้จะไม่เหี่ยวแห้งเพราะจะมีรากออกมา ปัจจุบันยังมีต้นไม้ค้ำอยู่ที่บ้านแม่ไทย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ซึ่งชาวบ้านที่นั้นก็ยังนิยมเอาต้นไม้ค้ำมาใช้ในพิธีสืบชะตาอยู่ คนปัจจุบันไม่ค่อยรู้จกั ต้นไม้ ชนิดนแ้ี ล้ว จงึ เอาต้นไม้ชนดิ อ่นื ทีม่ คี ณุ สมบัตใิ กลเ้ คยี งมาทำเป็นไม้ค้ำแทน 2. กระบอกน้ำ กระบอกทราย กระบอกข้าวเปลือก กระบอกข้าวสารหมายถึง ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึง่ เปน็ สว่ นประกอบสำคญั ทีจ่ ะทำใหค้ นเรามคี วามแข็งแรงยิ่งขน้ึ 3. สะพาน(ขวั ) หมายถึง สะพานแห่งชีวติ ที่ทอดให้เดินข้ามจากฝง่ั ทีเ่ ลวร้ายไปสู่ฝั่งทีด่ งี ามกว่า 4. บันได(ขั้นได) หมายถึง บันไดแห่งชีวิต สำหรับพาดให้เราปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูง เสมือนคนเราตกบ่อน้ำ แล้วต้องปนี ปา่ ยดว้ ยบนั ไดออกจากบอ่ นำ้ 5. ลวดเงิน ลวดคำ ลวดหมาก ลวดเหมี้ยงหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ทรัพยส์ ินเงนิ ทองและอาหารการกนิ 6. ไม้ค้ำขนาดเล็กไมค้ ้ำขนาดเลก็ ยาวเท่าศอกของเจา้ ของชะตาต่างกับไม้คำ้ หลวงท่ีมีขนาดเท่าวาหรือ ความสูง ไม้ค้ำเล็กมีจำนวนเท่าอายขุ องเจ้าของชะตา แต่นิยมให้มีจำนวนเกินอายไุ ปประมาณ ๒-๓อัน เพื่อให้มีอายุยืน ยาวขึ้นไปอีก 7. ช่อทำจากกระดาษสีขาวจำนวน ๑๐๘ อัน 8. ตุงค่าคิงหรอื ตุงชะตา มขี นาดความยาวเท่าความสูงของเจ้าของชะตา
๑๐๙ 9. เทยี นค่าคิงหรือเทียนชะตา มีขนาดความยาวเทา่ กับความสูงของเจ้าของชะตาเหมือนกัน แต่ต่อมา ภายหลังเห็นว่า เทยี นมีขนาดยาว เมื่อจุดไฟจะทำให้งอ ก็เลยสีด้วยขผ้ี ึง้ ประมาณคบื หนงึ่ ส่วนฝา้ ยที่เป็นไส้เทียนนั้นยังมี ขนาดยาวเท่าความสงู ผ้สู บื ชะตาอยู่ 10. พระเจ้าไม้หรือพระพุทธรูปที่แกะสลักด้วยไม้ สำหรับนำมาประดิษฐานที่ยอดไม้ค้ำ แต่เดิมไม่มี พระพุทธรูป ครั้นต่อมาเมื่อพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาสู่ล้านนาจนมีความเจรญิ รุ่งเรืองก็มีการผสมผสานระหว่างพิธพี ุทธ และพธิ ีพราหมณ์ จงึ นำพระพุทธรูปไมม้ าประดิษฐานบนยอดไมค้ ้ำเพ่ือเปน็ สัญลักษณแ์ หง่ พทุ ธศาสนา 11. หน่อกล้วย หน่อยออ้ ย หนอ่ หมาก หนอ่ มะพร้าวมคี วามหมายวา่ คนทไ่ี ด้รับการสบื ชะตาจะมีชีวิต ท่เี หมือนกับได้เกิดใหม่แลว้ จะมีความหอมหวาน มีความเจริญงอกงาม เหมือนตน้ กลว้ ย ต้นอ้อย ตน้ หมาก ต้นมะพร้าวที่ พร้อมจะเจริญเตบิ โตต่อไป 12. เสื่อใหม่ (สาด) หมอนใหม่มคี วามหมายวา่ ผู้ทีส่ บื ชะตาแลว้ จะมคี วามสขุ สบายและนอนหลับ ฝนั ดี เครื่องสืบชะตาทั้งหมดนี้เมื่อนำมาประกอบกันจัดให้เป็นระเบียบตามแบบโบราณพิธีเรียกว่าโขงชะตาถือเป็นบริเวณ พธิ หี รอื เขตศกั ดสิ์ ิทธิส์ ำหรบั สืบชะตาให้มีความสุขความเจรญิ ต่อไป ส่วนพิธีส่งนพเคราะห์นั้น ถือเป็นพิธีพราหมณ์อีกประการหนึ่ง เมื่อจะทำพิธีส่งก็ต้องจัดเตรียมเครื่อง บูชาให้พร้อม ประกอบด้วย สะตวง (กะบะ) ทำจากกาบกล้วยดิบมีขนาดความกว้างเท่ากับศอกของเจ้าของชะตา 1 ศอก แล้วแบ่งเปน็ 9 ห้อง หรือ 9 ช่อง ด้วยกาบกลว้ ยดิบเช่นกัน แต่ละห้องให้ใส่เครื่องบูชาชนิดต่าง ๆ ตามกำหนด ได้แก่ ข้าว อาหาร ผลไม้ พริก เกลือ ขนม น้ำ หมาก เหมี้ยงบุหรี่ ดอกไม้ ธูป เทียน และช่อ เครื่องบูชาเหล่านี้นำใส่แต่ ละห้องจำนวนไม่เหมือนกัน แต่ขึ้นอยู่กับกำลังวันของดาวนพเคราะห์ 9 ดวง ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ การประกอบพิธีสืบชะตานั้น อันดับแรก อาจารยจ์ ะทำพิธีปัดเคราะห์ ส่งเคราะหก์ อ่ นแลว้ จึงทำพธิ สี ืบชะตาทีหลัง เพ่ือให้เคราะหภ์ ยั ที่มอี ย่ใู นตัวเราสูญไปแล้วจึง ทำพธิ สี ืบชะตาให้มีความสุขความเจริญ เมอ่ื ทำพิธีสบื ชะตาเสร็จแล้ว เครือ่ งบูชาทัง้ หลายจะนำไปใช้สาธารณะประโยชน์ ตอ่ ไป กลา่ วคอื ไม้ค้ำนำไปคำ้ ต้นไม้ประจำหมบู่ า้ น หรือไม้หมายเมอื ง แตป่ ัจจบุ ันคนสมยั ใหม่ไมเ่ ขา้ ใจวถิ ปี ฏบิ ัติตามแบบ โบราณ มักจะนำไม้ค้ำไปวางไว้ที่ใต้ต้นสรี (ต้นศรีมหาโพธิ์) สะพานนำไปพาดร่องน้ำหรือลำเหมืองเล็ก เพื่อเป็นสะพาน ใหผ้ ูค้ นเดนิ ขา้ มลำเหมืองนน้ั หน่อกลว้ ย หน่อยออ้ ย หน่อหมาก หน่อมะพร้าวนำไปปลูกในท่ีสาธารณะของหมู่บ้านหรือ ปา่ หมบู่ ้าน บางคนอาจจะปลกู ริมร่องน้ำสาธารณะก็ได้ เมือ่ ผลดิ อกออกผล ใครจะเกบ็ ไปกินไปใชก้ ็ไม่มีใครว่า เพราะถือ เปน็ ของสาธารณะ การจัดสถานที่ใช้ไมค้ ้ำศรีทำเปน็ กระโจมสามเหลี่ยม ตรงกลางเป็นทวี่ ่างสำหรบั วางสะตวงและสิ่งของ เครื่องใช้ในพิธี จัดที่ว่างใกล้ ๆ กระโจมให้เป็นที่นั่งสำหรับผู้เข้าไปรับการสืบชะตา แล้ววนด้านสายสิญจน์ 3 รอบ โยง กับเสากระโจมทั้งสามขา แล้วนำไปพันรอบพระพุทธรูป และพระที่สวดทำพิธีโดยปกติการสืบชะตาคนโดยทั่วไปใช้ พระสงฆ์ประกอบพิธี 9 รูป ส่วนการการสืบชะตาคนพร้อมกับขึ้นบ้านใหม่ใช้พระ 5 รูปขึ้นไป เพื่ออาราธนาพระปริตร ให้ศลี ให้พร เจริญพระพุทธมนต์ ฟงั เทศน์สังคหะ และเทศน์สืบชะตา ตวั แทนที่เข้าไปนั่งในสายสิญจน์คือผู้นำครอบครัว หรือผู้ทอ่ี าวโุ สสูงสุดในครอบครวั เพ่ือเป็นสริ ิมงคลแกบ่ า้ นและครอบครัว พิธีสืบชะตานัน้ ถือว่าเป็นพิธสี ำคัญของชาวลา้ นนา จัดทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลของบุคคลในบ้าน และบ้านเรือนให้มีความสุขความเจริญ พ้นจากทุกข์โศก โรคภัยไข้เจ็บ การจัดเตรียมเครื่องสืบชะตานั้น จำเป็นต้องมี ความพถิ พี ิถนั ในการประดับตกแต่งเครอื่ งสืบชะตา เพราะเคร่อื งสืบชะตาทกุ อย่างถอื วา่ เป็นสิง่ มงคล ต้องประดับตกแต่ง ให้สวยงาม โดยต้องใช้ความเข้าใจ ความความประณีตและต้องมีงานหัตถกรรมฝีมือมาเกี่ยวข้องด้วย นับว่าภูมิปัญญา ท้องถิ่น และภูมิปัญญาชาวบ้าน ในเรื่องการสืบชะตา เป็นสิ่งที่ควรคู่แก่การอนุรักษ์ รักษา และสืบทอด โดยอนุชนรุ่น หลัง ให้มีความเข้าใจ และสามารถจัดเตรียมเครื่องสืบชะตาได้เมื่อมีกิจกรรมสืบชะตาในบ้าน หรือในชุมชน ซึ่งต้องให้ ความเข้าใจ และความพิถีพิถันในงานหัตถกรรมฝีมือในการจัดตกแต่งเครื่องสืบชะตา อันเป็นสิ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์ สง่ เสริมภูมปิ ัญญาอันน้ีให้สืบทอดต่อไป
๑๑๐ ๕. รายละเอียดของภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ิน การทำบายศรี อุปกรณ์ท่ใี ช้ในการทำบายศรี การเตรยี มวัสดอุ ปุ กรณ์ไว้ใหพ้ ร้อม เปน็ การเตรยี มการที่ ดี สามารถดำเนินงานไดด้ ว้ ยความเรียบรอ้ ยรวดเร็วซึ่งมีอุปกรณ์ทค่ี วรจะต้องเตรยี มไว้ดงั ต่อไปนี้ 1. ใบตอง (ควรให้ใบตองกลว้ ยตาน)ี 2. พานแว่นฟ้า ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ผกู ตดิ กนั ไวด้ ้วยลวด และรองพื้นพานด้วยโฟม 3. ภาชนะปากกวา้ งสำหรบั ใสน่ ำ้ แชใ่ บตอง 2 ใบ 4. สารสม้ 5. น้ำมันมะกอก ชนิดสีเหลือง หรือขาว 6. ไมป้ ลายแหลม (ขนาดไมเ้ สียบลกู ชิน้ ) ประมาณ 20-30 อนั 7. ดอกไม้ (ดอกพดุ ดอกดาวเรอื ง ดอกบานไมร่ ูโ้ รย ฯลฯ) 8. กรรไกร สำหรับตัดใบตอง 9. ลวดเยบ็ กระดาษ การเลือก และ การทำความสะอาดใบตอง ใบตองที่นำมาใช้สำหรบั ทำบายศรี มักนิยมใช้ใบตองจากกล้วยตานี เนื่องจากเป็นใบตองที่มีลักษณะเป็นเงา มันวาว เมื่อโดนน้ำจะยิ่งเกิดประกายสีเขียวเข้มสวยงามยิ่งขึ้น และที่สำคัญ ใบตองจากกล้วยตานี มีความคงทน ไม่แตกง่าย ไม่เหี่ยวง่าย สามารถนำมาพับม้วนเป็นรูปลักษณะต่าง ๆ ได้ง่าย และ สามารถเก็บไว้ได้นานหลายวัน หรือถ้ารักษาโดยหมั่นพรมน้ำบ่อย ๆ ใบตองกล้วยตานี จะสามารถคงทนอยู่ได้นานเปน็ สัปดาห์ทีเดียว เมื่อได้ใบตองกล้วยตานีมาแล้ว จะต้องนำมาทำความสะอาดก่อน ด้วยการเช็ด โดยใช้ผ้านุ่ม ๆ เช็ดฝุ่น ละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกจากใบตองเสียก่อน โดยการเช็ด จะต้องใช้ผ้าเช็ดตามรอยของเส้นใบไปในทางเดียว อย่าเช็ดกลับไปกลบั มา หรืออย่าเช็ดขวางเส้นใบเป็นอนั ขาด เพราะจะทำให้ใบตองเสียหาย มีรอยแตก และช้ำ ทำให้ไม่ สามารถนำใบตองมาใช้งานได้เต็มที่ เมื่อเช็ดสะอาดดีแล้ว ก็ให้พับพอหลวมๆ เรียงซ้อนกันไว้ให้เป็ นระเบียบ เพื่อรอ นำมาใช้งานในขั้นตอนต่อไป การฉีกใบตองเพื่อเตรียมทำกรวยบายศรี ใบตองที่ได้ทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หยบิ มาทีละใบ แล้วนำมาฉีกเพื่อเตรียมไวส้ ำหรับมว้ นหรอื พับ ทำกรวยบายศรี การพับหรือฉีกใบตอง แบง่ เป็นสามประเภทคือ 1. ใบตองสำหรบั ทำกรวยแม่ ฉกี กวา้ งประมาณ 2 นิ้วฟตุ 2. ใบตองสำหรบั ทำกรวยลกู ฉกี กวา้ งประมาณ 2 นิ้วฟตุ 3. ใบตองสำหรบั ห่อ ฉีกกวา้ งประมาณ 1.5 น้ิวฟตุ ใบตองแตล่ ะประเภท ควรฉกี เตรยี มไว้ใหไ้ ด้จำนวนท่ตี ้องการ กลา่ วคือ ถา้ ทำพานบายศรี 3 ชนั้ ชน้ั ละ 4 ทศิ ( 4 ริว้ ) นั่นกห็ มายถึงวา่ จะมีร้ิวทง้ั หมด 12 ริว้ ในแต่ละริ้ว จะประกอบด้วยกรวยแม่ 1 กรวย และ กรวยลูก 9 กรวย รวมทงั้ ส้ิน จะมกี รวยแม่ 12 กรวย และ กรวยลกู 108 กรวย นนั่ เอง แสดงวา่ จะต้องมีใบตองสำหรบั ทำกรวยแม่ 12 ชิน้ ใบตองสำหรับทำกรวยลกู 108 ชนิ้ ใบตองสำหรบั ห่อ 120 ช้ิน นน่ั เอง แตใ่ บตองสำหรบั ห่อ จะต้องเตรยี มไวเ้ พ่ือ หอ่ ริ้วอีก คือใน 1 ริ้วจะประกอบไปดว้ ย กรวยแม่ 1 กรวย กรวยลกู 9 กรวย ซงึ่ จะต้องมาห่อรวมกนั ดงั น้นั จึงต้องเพิ่ม ใบตองสำหรบั ห่ออีก 120 ชิ้น รวมเปน็ ใบตองสำหรบั ห่อ 240 การพับกรวย และห่อกรวย การพบั หรือหอ่ กรวย หมายถึงการนำใบตองที่ฉกี เตรยี มไวแ้ ลว้ สำหรบั พบั กรวย มาพับ โดยการพับกรวยแม่และ กรวยลูกจะมีลกั ษณะวธิ ีการพับเหมอื นกนั คือ การนำใบตองมาพบั ม้วนใหเ้ ป็นกรวยปลายแหลม เพียงแต่กรวยลูกจะมี การนำดอกพุด มาวางเสียบไว้ทีส่ ว่ นยอดปลายแหลมของกรวยด้วย เมื่อพบั หรือม้วนใบตองเปน็ กรวยเสรจ็ ในแต่ละกรวย แล้ว ให้นำลวดเย็บกระดาษ มาเยบ็ ใบตองไว้เพ่ือป้องกนั ใบตองคลายตัวออกจากกนั แล้วเก็บกรวยแต่ละประเภทไวจ้ น ครบจำนวนทต่ี ้องการเมื่อไดก้ รวยแต่ละประเภทครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว กน็ ำกรวยทีไ่ ด้มาห่อ โดยการนำใบตองที่
๑๑๑ ฉีกเตรยี มไวส้ ำหรับหอ่ มาห่อกรวย หรือเรียกอีกอย่างวา่ หม่ ผา้ หรือ แตง่ ตัวให้กรวยบายศรี ส่วนวธิ ีการห่อ ศึกษาได้จาก ภาพยนตร์ที่แสดงให้ชม การห่อริว้ บายศรีและการแชน่ ้ำ การหอ่ ร้วิ บายศรี คือการนำกรวยแม่ และ กรวยลูกทีไ่ ด้ห่อกรวยไวเ้ รียบรอ้ ย แล้ว มาหอ่ มัดรวมเข้าไวด้ ว้ ยกัน ทน่ี ิยมทำกัน ใน 1 ร้วิ จะประกอบดว้ ย กรวยแม่ 1 กรวย กรวยลูก 9 กรวย วิธีการห่อร้ิว มกี ารหอ่ คลา้ ยกับการห่อกรวยแมห่ รือกรวยลกู แต่จะแบง่ วธิ ตี ามลักษณะงานที่ได้เปน็ 2 วิธี คอื 1. หอ่ แบบตรง คอื การห่อโดยเร่ิมต้นจากกรวยแม่ แลว้ วางกรวยลกู ไว้ดา้ นบนกรวยแมเ่ ป็นชน้ั ๆทับกนั ขึน้ มา หรือหันกรวยลูกเขา้ หาตัวผู้หอ่ การหอ่ แบบน้ี จะได้ร้ิวบายศรคี อ่ นขา้ งตรง และในช่วงตัวรวิ้ จะมรี อยหยักของใบตองห่อ เรียกวา่ มีเกล็ด 2. หอ่ แบบหวาน คือการห่อ โดยเรมิ่ ตน้ จากกรวยแม่ แต่วางกรวยลูกไว้ดา้ นล่างของกรวยแม่ และวางซ้อนลง ดา้ นล่างลงไปจนครบ หรือหนั กรวยแม่เขา้ หาตวั ผหู้ ่อ โดยวางกรวยลูกลงด้านล่างจนครบนั่นเอง การห่อแบบนี้ จะได้ริ้ว บายศรเี ป็นลกั ษณะอ่อนชอ้ ย งอน อ่อนหวาน เม่อื ห่อริว้ จนเสร็จในแตล่ ะริว้ แลว้ จึงนำร้วิ ท่ีไดล้ งแช่ในนำ้ ผสมสารส้มที่ เตรียมไวป้ ระมาณ 20 นาที เพอื่ ให้ใบตองเข้ารปู ทรง อยูต่ ัวตามท่ไี ด้พับและห่อ จากนนั้ จึงนำไปแช่ในนำ้ ผสมน้ำมนั มะกอกตอ่ ไป เพื่อให้ร้วิ มคี วามเปน็ มนั วาว เนน้ สีเขียวเขม้ ของใบตองมากข้ึน และมีกลิ่นหอมในตัวเอง การประกอบพานบายศรี การประกอบพานบายศรี ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการทำบายศรี คือการนำริ้วที่ทำ เสรจ็ แล้วและแช่ในน้ำผสมน้ำมันมะกอกแลว้ มาประกอบเข้ากับพานบายศรี 3 ชัน้ ท่ไี ดเ้ ตรียมไว้ การน้ำริ้ว มาประกอบ กับพาน ควรเริ่มต้นจากพานใหญ่สุด หรือพานที่วางอยู่ชั้นล่างสุดก่อน โดยการวางให้ริ้วอยู่บนพานให้มีระยะห่าง เท่าๆกัน 4 ริ้ว ( 4 ทิศ ) ซึ่งจะยึดริว้ ติดกับพานโดยใช้ไม้ปลายแหลมที่เตรียมไว้แลว้ มากลัด หรือเสียบจากด้านบนของ รว้ิ ใหท้ ะลไุ ปยึดติดกับโฟมที่รองไว้บนพนื้ พาน การประกอบร้วิ กับพานชัน้ กลาง และชั้นบนสดุ ก็ใช้วิธเี ดยี วกัน แต่จะต้อง ให้ริ้วชั้นท่ี 2 วางสลับกับริ้วช้ันแรก และริ้วบนพานชัน้ บนสุด กใ็ หส้ ลบั กับร้ิวบนพานชัน้ กลาง การประกอบ ริ้วกับพานชน้ั บนสุด ใหห้ ่อใบตองเปน็ กรวยขนาดใหญ่พอควรวางไว้เปน็ แกนกลางของพาน เมอ่ื วางร้วิ ท้งั 4 ร้วิ เสร็จแล้ว ให้รวบปลายสุดของริ้วทงั้ 4 เขา้ หากนั โดยมกี รวยทีท่ ำเป็นแกนกลางอยู่ดา้ นใน แลว้ นำใบตองมว้ นเป็นกรวยขนาดใหญ่ อีกกรวย มาครอบทับยอดทั้ง 4 ของริ้วไว้ ซึ่งจะทำให้พานบายศรีที่ได้ มียอดแหลมที่สวยงามและมั่นคง จากนั้นจึงนำ ใบไม้ (ส่วนใหญ่จะนำใบไม้ที่มีชือ่ เปน็ มงคล เช่น ใบเงิน ใบทอง ) มาวางรองบนพาน เพื่อปกปิดไม่ใหม้ องเห็นโฟมที่รอง พนื้ พาน และนำดอกไม้สสี ด เชน่ ดอกบานไมร่ ู้โรย หรือดอกดาวเรือง มาประดับบนพานเพ่ิมความสวยงามหรือทำมาลัย สวมบนยอด หรอื ทำเป็นอุบะรอ้ ยรอบพานแต่ละชนั้ กจ็ ะเพิ่มสสี ัน และความสวยงามให้แกพ่ านบายศรมี ากข้นึ การทำโคมแขวนดอกรกั หรืองานเคร่ืองแขวนไทย กลิ่นควำ่ โครงสรา้ งเป็นกลิน่ ตะแคง 6 แฉก ถักดว้ ยดอกรัก ส่วนบนและลา่ งรอ้ ยดอกรักเป็นสายผูกรวบด้วยกนั ประดับ ดว้ ยเฟอื่ งมาลัยแบนลูกโซด่ ว้ ยดอกกล้วยไม้ ตามมุมห้อยอุบะด้วยสรอ้ ยสนจากดอกกลว้ ยไม้ และติดทัดหกู ลมดอก กุหลาบ ส่วนชายห้อยอุบะไทยทรงเครือ่ งด้วยกลบี กลว้ ยไม้
๑๑๒ ระย้าทรงเครื่อง โครงสร้างรูปดาว 8 แฉก ส่วนบนถักตาข่ายจอมแห ส่วนล่างถักตาข่ายดอกรัก ผูกอุบะตุ้งติ้งประดับ เฟื่องมาลัยลูกโซ่แบน ด้วยดอกกลว้ ยไม้ ตามมุมผูกอุบะพูก่ ล่ินบานไม่รู้โรย ชายพู่กล่ินใช้อุบะสรอ้ ยสนจากดอกกล้วยไม้ ตรงกลางประดบั ด้วยพกู่ ล่ินเช่นเดยี วกนั พวงกลาง โครงสร้างรูป 6 แฉก มีวงกลมซ้อนข้างใน 2 วง ร้อยอุบะดอกชบาประดิษฐ์ด้วยดอกรกั เป็นสายลดหลั่นกนั สว่ นรูปดาวอบุ ะลดหล่นั กันเปน็ สามเหล่ยี มหน้าช้าง ตามมุมประดับด้วยอุบะสร้อยสน และติดทดั หูกลม ส่วนบนร้อยดอก รกั เป็นสายผกู รวบ ประดับอุบะสรอ้ ยสน
๑๑๓ พิธสี บื ชะตา เครือ่ งพิธสี บื ชะตา พิธีสืบชะตานน้ั มีอุปกรณ์ในการทำพธิ ีหลายอย่างด้วยกนั คือ 1. กระบอกน้ำ 108 หรือ บางคร้งั เทา่ อายุ 2. กระบอกทราย 108 หรือ เท่ากับอายุ 3. บนั ไดชะตา 1 อนั 4. ลวดเงิน 4 เสน้ 5. ลวดทอง 4 เสน้ 6. หมากพลูผูกติดเส้นด้ายในลวดเงินลวดทอง 108 7. ไม้ค้ำ 1 อัน 8. ขัวไข่ (สะพานข้ามน้ำขนาดยาว 1 วา) 1 อัน 9. ช่อ (ธงเล็ก) 108 10. ฝ้ายค่าคิง จุน้ำมัน (ด้ายยาวเท่ากับตัวผู้สืบชะตา) 1 สาย 11. กล้วยมะพร้าว 1 ต้น 12. กล้วยดิบ 1 เครือ 13. เสื่อ 1 ผืน 14. หมอน 1 ใบ 15. หม้อใหม่ 2 ใบ (หม้อเงิน หม้อทอง) 16. มะพร้าว 1 คะแนง (ทะลาย) 17. ธงค่าคิง (ธงยาวเท่าตัว) 1 ผืน 18. เทียนเล่มบาท 1 เล่ม 19. ด้ายสายสิญจน์ล้อมรอบผู้สืบ ชะตา 1 กลุ่ม 20. บาตรน้ำมนต์ 1 ลูก 21. ปลาสำหรับปล่อยไปเท่าอายุผู้สืบชะตา 22. นก หรือ ปู หรือ หอย 23. พานบายศรีนมแมว 1 สำหรับ วิธีการจัดพิธี นิมนต์พระสงฆ์ที่ตนเคารพนับถือมา 9 รูป หรือมากกว่านั้น มาพร้อมแล้ว เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชา พระรัตนตรัย ปู่อาจารย์นำไหว้พระอาราธนาศีล พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน ให้ศีล แล้วปู่อาจารย์อาราธนาพระปริตร พระสงฆร์ ปู ที่ 3 ชมุ นมุ เทวดาประธานนำสวดมนต์ สบื ชะแบบภาคเหนือ มีคำสวดโดยเฉพาะหลายบทมีชินบันชร สวด สืบชะตา มงคลจักรวาลน้อย และคำสวดทั่วไป ขณะที่พระสวดนั้น ผู้สืบชะตา แลลูกหลานนั้น จะเข้าไปอยู่ในซุ้มสืบ ชะตา นงั่ ประนมมือฟังพระสวดพุทธมนต์จนจบ ตอนถงึ \"เอเสวนา จะพาลานงั \" ผสู้ ืบชะตาจะต้องจดุ เทียนชัยหรือเทียน น้ำมนต์ด้วย หลังจากสวดจบเจ้าภาพจะจัดให้มีเทศน์ 1 กัณฑ์ เช่น คัมภีรส์ ารากริ คมั ภีร์โลกวุฒิ เปน็ ต้น หลังจากเทศน์ จบจะมีการ ผูกมือให้ผู้สืบชะตา พระสงฆ์จะประพรมน้ำมนต์ให้ จากนั้นเจ้าภาพถวายภัตราหาร และ ไทยทานท่เี ตรยี มไว้แด่พระสงฆ์ เป็นเสรจ็ พธิ ี ประเพณีสืบชะตาบ้าน บา้ นทีอ่ ย่อู าศยั ของประชาชนภาคเหนือนั้น เกิดข้ึน จากการตั้งของชุมชนมีอายุเท่านั้นเท่านี้ เช่นตั้งมาเมื่อปีมะแม พุทธศักราช 2400 หากนับมาเป็นปัจจุบันเป็นร้อยปี มาแล้ว ตึความเชื่อของคนส่วนมากคิดว่าบ้านที่ตั้งมาตามฤกษ์ยามวันดีเสียนั้นประสบความเดอื ดร้อนเจ็บป่วยกันไปทวั่ หน้า ในกรณีที่มีคนตายติดๆกัน ในบ้านเกินกว่า 3 คนขึ้นไป ในเวลาไล่เลี่ยกัน ชาวบ้านถือว่า อุบาทว์ ตกลงสู่บ้าน ชาวบ้านจึงนำเรื่อง \"ขัดบ้าน ขัดเรือน\" ชาวบ้านจะร่วมกันทำพิธีขจัดปัดเป่า เรียกว่า สืบชะตาบ้าน อีกประการหนึ่งปี ใหม่สงกรานต์ล่วงไประยะวันปากปี ปากเดอื น ปากวัน ไดแ้ กว่ ันที่ 16 , 17 , 18 เมษายน ชาวบ้านจะกำหนดเอาวันใด วันหนึ่งสืบชะตาบ้านเพื่อให้เกิดความสามัคคี แก่ตนเองและลูกหลานภายในบ้านของตน หมายเหตุ ป๋าเวณีสืบชะตา สามารถทำได้ทุกเดือนไม่เฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หอเสื้อบ้าน ในบ้านแต่ล่ะหมู่บ้านจะมีศาลเทพารักษ์ประจำบ้าน เป็นท่สี งิ สถิตย์ของฮัก หรอื อารักษ์ บางแหง่ เรียกเจา้ นายบ้าง หอผีเส้อื บา้ ง เปน็ สถานท่ีศักด์สิ ิทธ์ิรองมาจากบ้านทีเดียว หากพิจารณาคำว่า \"เสื้อ\" คือเครือ่ งนุ่งห่มท่ีใชส้ วมใส่สำหรับป้องกันความหนาวกันความร้อน สตั ว์นอ้ ยใหญ่มียุงริ้น เป็น ตน้ มารบกวนเบียดเบียน \"เสือ้ บา้ น\" จึงมีลกั ษณะปกป้องบา้ นไว้ มิให้คนท่อี าศยั อยู่ในบ้านไดร้ ับความเดือดร้อน เหมือน
๑๑๔ คนใสเ่ คร่ืองปอ้ งกนั สิ่งตา่ งๆ ฉะน้ัน ผีเสอื้ บา้ นมกั จะต้งั อยกู่ ลางบ้าน ใช้เป็นสถานท่ปี ระกอบพิธีกรรม เร่มิ จากหอเสือ้ บ้าน แต่มศี าลากลางบา้ น ก็จดั มพี ิธกี รรมบนศาลาน้นั ราชวตั รประดบั ดว้ ยต้นกล้วย ตน้ ออ้ ย ตน้ ขา่ นำมาปกั รอบราชวัตรนั้น โยงดา้ ยสายสญิ จน์ต้งั แตห่ อเสื้อบ้านไปยังบา้ นแต่ละแห่งครบทุกหลังคาเรือน บางครงั้ โยงไปหาบริเวณ 4 แจ่งบ้าน หรือ 4 มุมบ้าน ขัดราชวัตรทั้งบริเวณ 4 มุม ประดับธงทิวซึ่งเรียกกันว่า \"จ้อ\" ทุกแห่งมีสีสันแต่งกันไปตามทิศของท้าวจตุ โลกบาล การเตรยี มของชาวบา้ น พิธกี ร คอื ปู่อาจารย์จะสั่งให้ชาวบา้ นเตรียมวัสดุดงั ตอ่ ไปนี้คือ 1. นมิ นตพ์ ระสงฆแ์ ต่ละ วัดมา 9 รูป หรือมากกว่านั้น ตามเจตนาหากจะสวดพร้อมกัน ต้องนิมนต์พระครบทั้ง 4 แจ่งบ้านแห่งละ 9 รูป รวมท่ี ส่วนกลางด้วยต้อนิมนต์พระถึง 45 รูป แต่โดยมากหากไม่เกิดอุบาทว์ร้ายในบ้านจริงๆ เขาจะนิมนต์มาเจริญพรพุทธ มนต์เพียง 9 รูปเท่านั้น 2. เตรียมเครื่องสังเวยท้าวทั้ง 4 บูชาเสื้อบ้าน เสื้อเมือง เทพารักษ์ ประจำ หมู่บ้าน 3. เตรียมอุปกรณ์พิธี เช่น มะพร้าว เป็นคะแนง (ทะลาย) กล้วย 1 เครือ หมากเคี้ยว 1 พะวง และห่อหมากพลู 4. เตรียมเครื่องขันตั้ง คือ พานครูมีเครื่องบูชา คือ กรวยดอกไม้ 108 ลูกเบี้ย 108 ข้าวเปลือก 1 กระทง ข้าวสาร 1 กระทง ผ้าขาว ผ้าแดง อย่างล่ะ 1 เมตร เงนิ ใส่ขันตัง้ บางแห่งเอา 6 บาท บางแห่ง 108 บาท บางแห่ง 1,300 บาท 5. เตรียมเคร่ืองสืบชะตา มไี มค้ ำ้ ขวั ไต่ (สะพาน) ลวดเงนิ ลวดคำ (ลวดทอง กระบอกน้ำ กระบอกทราย สาด(เสื่อ) หมอน หม้อใหม่ 6. เตรียมขันใส่ขา้ วเปลอื ก ข้าวสาร และทราย 7. เตรียมน้ำขมิ้น ส้มปล่อย หรือบาตรน้ำมนต์ ทรายต้องนำมาทุกครอบครัวเพื่อจะนำไปโปรยที่บ้านของตน 8. ตาแหลว และเชื่อคาเขียงของทั้งหมดนี้ปู่อาจารย์จะกำหนดให้แต่ละบ้านนำมารวมกันทีส่ ่วนกลางบ้านสำหรับทำพิธี พระสงฆ์ 9 รูปทำพิธี เมื่อพระสงฆ์ที่นิมนต์มาพร้อมแล้วปู่อาจารย์พร้อมด้วยศรัทธาจะทำพิธีไหว้พระรับศีลอาราธนา พระปริตร พระสงฆ์เจรญิ พุทธมนต์ สบื ชะตาบา้ น ประชาชนจะนั่งจับด้ายสายสิญจนห์ รอื นัง่ ในวงล้อมดา้ ยสายสิญจน์ ฟัง พระสวดจนจบจากนั้นมีการฟังเทศน์ คัมภีร์ที่ถือว่ามงคลและศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ ๑. ธรรมโลกาวุฒิ ๒. ธรรมไชยน้อย ๓. ธรรมไชยสังคหะ ๔. ธรรมสังคหะโลก ๕. ธรรมสารากริ หากทำพิธีสืบชะตาบ้านแบบขับไล่อุบาทว์จะต้องเทศน์คัมภี ร์ อรินทมุ คมั ภีรม์ หาตันตงิ ดว้ ยประชาชน จะเอาดว้ ยสวดมนต์ซง่ึ เรียกกันแบบภาคเหนือว่า \"ฝา้ ยหลวง\" มาขอให้พระสงฆ์ ผูกมือ ผูกขวัญให้ และอวยชัยให้พร เพื่อความสุขสวัสดีตลอดทั้งปี สำหรับผู้หญิง เวลาผูกมือจะขอผู้มีอายุ เช่น ปู่ อาจารย์ ทำการผูกมือให้ จากนั้นพระสงฆ์จะพรหมน้ำมนต์ หว่านโปรยข้าวสาร ข้าวเปลือก ทั่วบริเวณบ้าน แตล่ ะบ้านดว้ ย ซึ่งของเหล่านช้ี าวบ้านจะจดั เตรียมมาหลงั จากการทำพิธี แล้วกน็ ำไปโปรยบริเวณบา้ นของตนเพื่อให้เกิด ความสุขสวัสดี การสืบชะตาบ้านนี้ ปีหนึ่งจะทำหนหนึ่งหากไม่ทำระหว่างสงกรานต์ ก็จะทำเดือนใดเดือนหนึ่งก่อน เข้าพรรษา บางแห่งนิยมให้ชาวบ้านนำเสื้อผ้ามาร่วมพิธีด้วย การพรหมน้ำมนต์ถือเป็นสิริมงคลสืบชะตาบ้านเป็นงาน สำคัญที่ชาวบ้านจะต้องมาร่วมกัน เอาเงินมารวมกันจัดตามฐานะและศรัทธาของแต่ละคน นอกจากเงินแล้วยังเอา ข้าวสาร พริก เกลือ และอาหารสดมาร่วมกันทำอาหารเลี้ยงพระ หรือบางแห่งตกลงกันนำอาหารที่ปรุงจากบ้านไป ช่วยกันเลีย้ งพระ สุดแท้แต่จะหาได้ตามมีตามเกิด เพราะคนเรามีฐานะไม่เท่าเทียมกัน ชาวบ้านส่วนมากไม่ค่อยรังเกียจ กันในเรื่องฐานะ นับเป็นสหธรรมที่น่าสรรเสริญประการหนึ่งการเอาสิ่งของเงินทองไปทำบุญนี้ ทางภาคเหนือเรียกว่า \"ฮอมครวั \" หรอื \"วันแต่งดา\" คอื วันไตรทานนน้ั เอง ประเพณีสบื ชะตาบ้านถือเปน็ งานสิริมงคลส่วนรวมจะต้องช่วยกันทำ ทกุ บา้ นทุกเรอื น เปน็ งานแหง่ ความสามัคคขี องมวลชนโดยแท้จรงิ ๖. การประชาสมั พันธแ์ ละเผยแพรภ่ มู ิปัญญาท้องถน่ิ ✓ ยังไม่เคยมีการเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบุคคล ✓ เคยเผยแพรใ่ ห้กับผสู้ นใจ มกี ารดงู านแล้วจากบุคคลภายนอกแลว้ ...........……..ครง้ั /…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพืน้ ท่ีเดยี วกัน…………..ราย - นอกพน้ื ท่ี………………….ราย อ่ืน ๆ (ระบุ)……………………………………………………..………………………….
๑๑๕ ๗. ลกั ษณะของภูมิปัญญาท้องถ่นิ ✓ ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ดั้งเดิม ไดร้ บั การถ่ายทอดมาจาก …………ศกึ ษาเรียนรดู้ ้วยตนเองและผู้รู้............ ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ ทไ่ี ด้พัฒนาและต่อยอด - แบบเดมิ คอื …............................................................................................................................. .. - ได้พัฒนาและตอ่ ยอด คือ ……………………………………………………………………………………………....... ............................................................................................................................. ............................. ภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ /นวัตกรรมที่คดิ คน้ ข้ึนมาใหม่ ๘. วัตถุดบิ ที่ใชป้ ระโยชนใ์ นผลติ ภณั ฑท์ ี่เกิดจากภูมปิ ญั ญา ซ่งึ มใี นพ้นื ท่ี พนื้ ทอี่ น่ื ไม่มี มี ไดแ้ ก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๑๑๖ ข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นและปราชญ์ชาวบ้าน ชมุ ชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 31. การทำตุงลา้ นนา โคมแขวนลา้ นนา และการเพน้ ท์ผ้าพ้นื เมือง ๑. ชอื่ ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ............การทำตุงล้านนา โคมแขวนล้านนา และการเพน้ ทผ์ ้าพื้นเมอื ง………… ๒. เจ้าของภูมิปัญญาท้องถน่ิ /ปราชญ์ชาวบา้ น .....นายธนวฒั น์ จันทรานิมิต (อุดม)………………………………….. อาย.ุ ....... ปี................... อาชีพ ธรุ กจิ สว่ นตวั ท่อี ยู่ บา้ นเลขท่ี …................... ชุมชน ..ร่องซอ้ .... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมืองแพร่.. จงั หวัด ...แพร่ รหสั ไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศัพท์ ……08 6375 2010………………………….………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมิปญั ญาท้องถน่ิ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมอื ) เกษตร ศลิ ปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ✓ ดนตรี/นาฎศิลป์ ✓ ศลิ ปหตั ถกรรม ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน การแพทย์แผนไทย ✓ ภาษาและวรรณกรรม อื่น ๆ ...................................……… ๔. จุดเดน่ ของภมู ิปัญญาท้องถนิ่ การทำตุงล้านนา ตุงไส้หมู ตุงไส้หมู มีลักษณะเป็นพวงประดิษฐ์ รูปร่างคล้ายจอมแหหรอื ปรางค์ ทำจากกระดาษสีหรือ กระดาษแก้วสีต่างๆ อย่างน้อยแผ่นละสี มาวางซ้อนกันแล้วพับทแยงมุมหลายๆทบ ใช้กรรไกรตัดสลับกันเป็นลายฟัน ปลาจนถึงส่วนปลายสุด เมื่อคล่ีออก และจบั หงายขึน้ จะเหน็ เป็นพวงกระดาษทสี่ วยงาม ใช้สำหรบั บูชาพระธาตปุ ระจำปี เกดิ และในประเพณปี ใี๋ หม่เมอื ง การทำโคมแขวนลา้ นนา ในช่วงก่อนจะถึงวันเพ็ญเดือนยี่ ชาวล้านนาที่มีฝีมือเชิงช่างจะประดิษฐ์โคมรูปลักษณะต่าง ๆ เพื่อเตรียมใช้ในการจุดผางประทีสบูชาที่วัดในวันเพ็ญเดือนยี่ โดยการแขวนใส่ค้างโคมบูชาตามพระธาตุเจดีย์ แขวนไว้ หน้าวิหาร กลางวิหาร หรือในปัจจุบันนิยมแขวนประดับตกแต่งตามอาคารบ้านเรือน โคมล้านนามีลักษณะหลากหลาย
๑๑๗ รปู แบบ แลว้ แตก่ ารสร้างสรรค์ตามภูมิปญั ญาของแตล่ ะท้องถิ่น โคมรปู แบบโบราณที่พบท่วั ไปในล้านนา เช่น โคมรังมด ส้ม (โคมธรรมจักร) โคมดาว โคมไห โคมเงี้ยว (โคมเพชร) โคมกระบอก โคมหูกระต่าย โคมดอกบัวโคมญี่ปุ่น โคมผดั ฯลฯ หัตถกรรมผ้าพ้นื เมือง ในอดีตผู้หญิงจะทอผ้าถุงหรือผ้าซิ่นใช้เอง ลวดลายต่างๆ ซึ่งสืบทอดจากบรรพบุรุษมาหลายช่วงอายุ เป็นงานฝีมือที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มีความประณีตสวยงาม ออกแบบลวดลายเอง โดยการปักมือ และ การเพ้นท์เสื้อหม้อหอ้ ม ลวดลายพื้นบ้าน ทางล้านนา ซึ่งเสื้อหม้อห้อมเป็นเอกลักษณ์ของชาวแพร่ และเป็นชุดแต่งกาย ประจำถ่ินของชาวแพร่ ๕. รายละเอียดของภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ การทำตุงล้านนา ตุงไส้หมู ตุงไส้หมู มีลักษณะเป็นพวงประดิษฐ์ รูปร่างคล้ายจอมแหหรือปรางค์ ทำจากกระดาษสีหรือ กระดาษแก้วสีต่างๆ อย่างน้อยแผ่นละสี มาวางซ้อนกันแล้วพับทแยงมุมหลายๆทบ ใช้กรรไกรตัดสลับกันเป็นลายฟัน ปลาจนถึงส่วนปลายสุด เมือ่ คล่อี อก และจับหงายขนึ้ จะเหน็ เปน็ พวงกระดาษทส่ี วยงาม ใช้สำหรับบูชาพระธาตุประจำปี เกิด และในประเพณปี ๋ใี หม่เมอื ง การทำโคมแขวนล้านนา โคมไฟ หรอื โคมแขวน เป็นงานหถั ตกรรมพน้ื บา้ น ทีไ่ ด้รบั การถ่ายทอดจากรุ่นส่รู ่นุ ให้ คงอยู่สืบต่อจนถึงปัจจุบันในภาคเหนือซึ่งชาวล้านนาใช้ในงานประเพณียี่เป็ง พึงสักการะบูชาพระพุทธเจ้า คืนวันเพ็ญ เดือนสิบสอง (ยี่เป็งล้านนา) ถือว่าเมื่อได้กระทำเช่นนี้แล้ว และประทีปจากโคมจะช่วยส่องประกายให้ดำเนินชีวิต เจรญิ รุ่งเรอื งอยเู่ ย็นเปน็ สุข โคมแขวน เปน็ โคมบูชาพระมีหลายรูปแบบ รปู ทรง เชน่ โคมบาตรพระ โคมดาว โคมตะกรา้ โคมตอ้ ง ห้อยพู่ โคมพระอาทิตย์ โคมธรรมจักร ซึ่งหมายถึง \"ความแจ้งในธรรม\" จะใช้ในงานยี่เป็งหรือวันตั้งธรรมมหาชาติ เวสสันดรชาดก ใช้แขวนไว้ในโบสถ์ บนศาลา ในวิหาร หรือทำค้างไม้ไผ่ทำชักรอกแขวนข้างโบสถ์ วิหารเป็นพุทธบูชา สวยงาม สวา่ งไสว หรือใชต้ กแต่งบา้ นเรือน เพื่อบชู าเทพารักษ์ ผรู้ ักษาหอเรือน อาคารบา้ นเรือนก็ได้ โคมแขวน หรือ โคมค้าง ไดแ้ ก่ โคมท่ีใช้แขวนบนหลกั หรอื ตามขื่อในวิหาร หรอื โบสถม์ ีรูปร่างตา่ งๆ แล้วแต่จะทำกนั ผทู้ ี่ นยิ มทำกันมากคือ พระภิกษสุ ามเณร หตั ถกรรมผา้ พนื้ เมือง ผ้าถุงที่สุภาพสตรีพื้นเมืองนิยมสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ในอดีตผู้หญิงจะทอผ้าถุงหรือผ้าซิ่นใช้เอง ออกแบบเกิดลวดลายต่าง ๆ ซึ่งสืบทอดจากบรรพบุรุษมาหลายช่วงอายุ เป็นงานฝีมือที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ของ ตัวเอง มีความประณีตสวยงาม ทอดว้ ยผา้ ไหม และผา้ ฝ้าย ผ้าหม้อห้อม เป็นผลิตภัณฑ์ของจังหวัดแพร่ที่มีความโดดเด่น เนื่องจากเป็นเอกลักษณ์ของชาวแพรม่ า ช้านาน ตลอดจนเปน็ ชุดแตง่ กายประจำถ่ินของชาวแพร่ และชาวแพร่ที่สวมใส่ในชีวิตประจำวนั และงานประเพณีต่าง ๆ จึงถือเป็นเอกลักษณข์ องชาวแพร่ ดังคำขวัญของจังหวัดแพรท่ ี่กลา่ วไว้ว่า “หม้อห้อมไม้สัก ถิ่นรักพระลอ ช่อแฮศรีเมอื ง ลอื เลือ่ งแพะเมืองผี คนแพรน่ ใ้ี จงาม” ๖. การประชาสมั พันธ์และเผยแพร่ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน ✓ ยังไมเ่ คยมกี ารเผยแพร่ / ใชเ้ ฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กบั ผูส้ นใจ
๑๑๘ มกี ารดูงานแลว้ จากบุคคลภายนอกแล้ว...........……..ครั้ง/…………….…..ราย มีการนำไปใช้ - ในพน้ื ที่เดยี วกนั …………..ราย - นอกพื้นที่………………….ราย อ่นื ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลกั ษณะของภมู ิปัญญาท้องถิ่น ✓ ภูมิปัญญาท้องถน่ิ ดั้งเดิม ได้รบั การถา่ ยทอดมาจาก …………ศกึ ษาเรียนรดู้ ้วยตนเองและผู้รู้............ ภูมิปญั ญาท้องถ่ินท่ีได้พฒั นาและตอ่ ยอด - แบบเดมิ คือ …............................................................................................................................. .. - ได้พัฒนาและต่อยอด คือ ……………………………………………………………………………………………....... .......................................................................................................................................................... ภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ /นวตั กรรมท่คี ดิ คน้ ขน้ึ มาใหม่ ๘. วัตถดุ บิ ทใี่ ช้ประโยชนใ์ นผลติ ภัณฑท์ ี่เกดิ จากภมู ปิ ญั ญา ซึ่งมใี นพนื้ ท่ี พนื้ ที่อื่นไม่มี มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๑๑๙ ข้อมูลภูมิปัญญาท้องถน่ิ และปราชญ์ชาวบา้ น ชมุ ชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 32. จติ รกรรมภาพลา้ นนา ๑. ชือ่ ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ............จติ รกรรมภาพล้านนา………… ๒. เจา้ ของภูมปิ ัญญาท้องถิ่น /ปราชญ์ชาวบา้ น .....นายเสกสรร ทองดี (ป้อม)…………………………………………… อาย.ุ ....... ปี................... อาชพี ธุรกจิ ส่วนตัว ที่อยู่ บ้านเลขท่ี …...... ชุมชน ..รอ่ งซอ้ .... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมอื งแพร่.. จังหวดั ...แพร่........... รหัสไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศพั ท์ ……………………………….…………………………………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมปิ ัญญาท้องถิน่ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมอื ) เกษตร ✓ ศลิ ปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ศิลปหตั ถกรรม ✓ ดนตรี/นาฎศิลป์ การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น ✓ ภาษาและวรรณกรรม อ่ืน ๆ ...................................……… ๔. จุดเดน่ ของภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ จิตรกรรมล้านนา นักประวัติศาสตร์จำแนกชนเผ่าไทเป็นสองสาย สายไทใหญ่ในเขตลุ่มน้ำสาละ วินซึ่งต่อมาอพยพเข้าสู่ดินแดนพม่า และอีกพวกอพยพไปในแคว้นอัสสัมของอินเดีย ได้แก่ ชนเผ่าอาหม ส่วนอีกสาย หนึ่งลงมาทางลุ่มแม่น้ำโขงในแถบยูนนาน ลงมาถึงเมืองเชียงรุ้งในสิบสองปันนา เมืองเชียงตุงในพม่า และเมือง เชียงแสน ประมาณวา่ มีกลุ่มคนพูดภาษาตระกลู ไทเปน็ จำนวนถึง 90 คน วฒั นธรรมการแต่งกายของชนเผา่ ไท สตรนี ิยม นุ่งซิ่น แต่ผ้านุ่งซิ่นเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเผ่า ดังจะเห็นได้จากกลุ่มไทลื้อในสิบสองปันนา ซึ่งต่อมาเมื่อมีการอพยพ กวาดต้อนลงมาอยู่กันที่เมืองน่าน ก็นำวัฒนธรรมการแต่งกายลงมาด้วยดังจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัด ภูมินทร์ และวดั หนองบัว ไทยวน (อ่านวา่ ไท-ยวน) เป็นกลุ่มหลักใหญ่ เป็นคนเมืองแห่งล้านนา นอกจากนยี้ งั มีไทลาว ไท พวน ภูไท แห่งอาณาจักรล้านช้าง (ลาว) เป็นที่น่าเสียดายที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพวาดเกี่ยวข้องกับ วฒั นธรรมของล้านนาเหลือน้อยเต็มทน เหลอื เพยี งที่มีอายุในช่วงไม่เกินร้อยห้าสิบปีท่ีผ่านมา และศิลปะที่พบเห็นก็เป็น การผสมผสานของพม่า ฉาน ลาว ไทลื้อ และไทยภาคกลาง
๑๒๐ ลักษณะเด่นของภาพจิตรกรรมฝาผนังล้านนาคือการบอกเล่าถึงเรื่องราวเรียบง่ายตามความเป็นจริง ผนวกกับ กลิ่นอายความเป็นท้องถิ่นอันเข้มข้น ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลาย ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นส่วนผสมอันน่าตื่นตาตื่นใจของอิทธิพลจากพม่า ไทใหญ่ ลาว ไทลื้อ และสยาม ซึ่งการหลอมรวมอิทธิพลจากภายนอกเข้ากับประเพณีและความละเมียดละไมของท้องถิ่นนี้เองทำใ ห้มรดกทางศิลปะ เหล่านมี้ เี สนห่ ์เป่ียมมนตข์ ลงั ไม่เหมือนใคร ๕. รายละเอยี ดของภูมิปัญญาท้องถิน่ วิธีการวาดภาพด้วยสีธรรมชาติบนผนังปูนแห้งที่ศิลปินใช้ในงานจิตรกรรมฝาผนังของไทย (เทียบกับ เทคนิคการการวาดภาพบนผนงั ปูนแบบเปยี กทีพ่ บในยุโรป) ทำให้ผลงานนั้นเปราะบางและเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา และสภาพอากาศที่ร้อนชื้นของประเทศไทยได้ง่าย นอกจากนี้ยังเสื่อมสภาพเร็วขึ้นจากการบำรุงรักษาที่ด้อยมาตรฐาน เนื่องจากการขาดแคลนเงินสนับสนุนและความเชี่ยวชาญ ทั้งยังไม่มีการตระหนักถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และ วฒั นธรรมทแ่ี ทจ้ ริงของมรดกศิลป์เหล่านี้ ทำใหห้ ลายภาพจิตรกรรมเมื่อ 20 ปกี ่อนลบเลือนไปเหมือนกับเป็นการพราก เอาสว่ นหน่งึ ของมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคณุ ค่าของลา้ นนาไปดว้ ย ๖. การประชาสัมพนั ธแ์ ละเผยแพร่ภมู ิปญั ญาท้องถิ่น ✓ ยังไมเ่ คยมีการเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กับผสู้ นใจ มีการดูงานแลว้ จากบุคคลภายนอกแลว้ ...........……..คร้ัง/…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพน้ื ท่ีเดียวกนั …………..ราย - นอกพ้ืนท่ี………………….ราย อืน่ ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลักษณะของภมู ิปัญญาท้องถิน่ ✓ ภูมิปัญญาท้องถ่ินดั้งเดิม ไดร้ ับการถา่ ยทอดมาจาก …………ศึกษาเรียนรดู้ ้วยตนเองและผู้รู้............ ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ทไี่ ด้พฒั นาและต่อยอด - แบบเดิม คอื …............................................................................................................................. .. - ได้พฒั นาและต่อยอด คือ ……………………………………………………………………………………………....... ............................................................................................................................. ............................. ภมู ิปัญญาท้องถิ่น/นวตั กรรมที่คิดคน้ ขึ้นมาใหม่ ๘. วตั ถดุ ิบทใ่ี ชป้ ระโยชน์ในผลติ ภณั ฑท์ ี่เกดิ จากภูมปิ ัญญา ซ่ึงมีในพืน้ ท่ี พ้ืนที่อ่ืนไม่มี มี ไดแ้ ก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี
๑๒๑ ภาพประกอบ หมายเหตุ ภาพอ้างอิงจากการคน้ หาออนไลน์
๑๒๒ ขอ้ มูลภูมปิ ัญญาท้องถิน่ และปราชญ์ชาวบา้ น ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 33. ขา้ วหลามป้าภา ๑. ชือ่ ภูมิปัญญาท้องถน่ิ ............ข้าวหลามป้าภา…………......................................................................... ๒. เจ้าของภูมิปญั ญาท้องถิน่ /ปราชญ์ชาวบา้ น ..........................นางยุภ า เทพนม…………………………………………… อาย.ุ ....... ปี................... อาชพี ค้าขาย ท่อี ยู่ บา้ นเลขท่ี …...... ชมุ ชน ..ร่องซ้อ.... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมอื งแพร่.. จงั หวัด ...แพร่........... รหัสไปรษณยี ์ ...54000.................... โทรศพั ท์ ……………………………….…………………………………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น ✓ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมือ) เกษตร ศิลปกรรม/จิตรกรรม/ประติมากรรม ศลิ ปหตั ถกรรม การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ดนตร/ี นาฎศลิ ป์ ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวฒั นธรรมท้องถิน่ ✓ ภาษาและวรรณกรรม อน่ื ๆ ...................................……… ๔. จุดเด่นของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ ข้าวหลาม เปน็ ขนมชนดิ หน่ึงทางภาคเหนือ นิยมทำรบั ประทานกันในฤดหู นาว หรือเม่ือไดข้ า้ วใหม่ ใช้ ไผ่ข้าวหลาม หรือไม้ป้างเป็นกระบอกใส่ข้าวหลาม ข้าวหลามแบบชาวบ้าน ใช้ข้าวสารเหนียวกับน้ำเปล่า และเกลือ เท่านั้น สำหรับข้าวหลามที่ทำขายกันโดยทั่วไป จะใส่น้ำกะทิ และเติมถั่วดำ หรืองาขี้ม้อน การทำข้าวหลามตาม ประเพณีนยิ มของชาวลา้ นนาจะเพื่อถวายพระในวันเพญ็ เดือนสี่ หรอื ประมาณเดือนมกราคม ซง่ึ เป็นการทานร่วมกับการ ทานข้าวจี่ และข้าวล้นบาตร เดิมทีจะใช้กระบอกไม้ไผ่ในการหุงข้าวด้วย ข้าวที่ได้จะมีลักษณะเป็นทรงกระบอก เชื่อม กันด้วยเยื่อไผ่ทำให้เป็นรูปทรงสวยงาม แต่ในปัจจุบันนี้ นิยมนำมารับประทานเป็นขนมหวาน โดยมีส่วนผสมคือ ข้าว เหนยี ว กะทิ และบางตำราจะมีการใส่ถว่ั ดำด้วย
๑๒๓ ข้าวหลามปา้ ภา ได้เข้าร่วมโครงการถอดรหัสนวัตกรรมอาหารพนื้ ถิน่ สู่อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและ ชีวภาพ ได้ดำเนินกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดแพร่ ประจำปืงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ ผลติ ภัณฑ์อาหารแปรรูปโดยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวตั กรรม ดำเนินการพฒั นาผลิตภณั ฑ์อาหารพนื้ ถิ่นและ บรรจุภัณฑ์ ข้าวหลามในรปู แบบผลติ ภัณฑ์ Frozen ๕. รายละเอยี ดของภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ ข้ันตอนและส่วนผสมในการทำข้าวหลาม 1. ขา้ วสารเหนยี ว 1/2 ลิตร 2. น้ำตาลทราย 400 กรัม 3. กะทิ 3 ถ้วย 4. ถ่ัวดำถ่ัวดำตม้ สุก 2 ถว้ ย 5. เกลือปน่ 2 ชอ้ นโตะ๊ 6. ไผข่ ้าวหลาม 12 กระบอก 7. กาบมะพรา้ ว 12 ชิ้น วัสดอุ ุปกรณ์ 1. ไม้ไผ่ออ่ น 2. มีดปลอกข้าวหลาม 3. ราวเหลก็ 4. ถา่ น 5 กโิ ลกรัม 5. ช้อน 6. หม้อ 7. ไม้คบี ถา่ น ขน้ั ตอนและวธิ ีการดำเนนิ งาน 1. ตัดไผ่ข้าวหลามให้ยาวประมาณ 12 นิ้ว ล้างเฉพาะด้านนอกกระบอก ให้สะอาด คว่ำกระบอก ลงพกั ไว้ใหแ้ ห้ง 2. ผสมกะทิ นำ้ ตาล และเกลือ รวมกันแลว้ คนใหเ้ ขา้ กันจนนำ้ ตาลละลาย 3. ล้างข้าวสารให้สะอาดจนกระทั่งน้ำใส นำข้าวใส่ตะกร้าเพื่อให้สะเด็ดน้ำ ใส่ถั่วดำต้มสุกลงในข้าว คลกุ เคล้าใหเ้ ข้ากนั 4. นำข้าวที่ผสมถั่วดำแล้วใส่ลงในกระบอก 1 กำมือ กระแทกเบาๆ ทำสลับกันต่อไปเรื่อยๆ จนเต็ม กระบอก เลือกดา้ นบนกระบอกไว้ประมาณ 2 นิว้ สำหรบั ปดิ จกุ 5. นำกาบมะพร้าวม้วนมาปดิ กระบอกขา้ วหลาม 6. เผาข้าวหลามพอประมาณ 30-45 นาที สังเกตกระบอกมีสีเหลอื งทว่ั แสดงวา่ ขา้ วหลามสุก 7. ทิง้ ไวใ้ หอ้ นุ่ ปอกเปลือก และเหลาใหเ้ ปลือกขา้ วหลามบางลง เพือ่ ใหแ้ กะรบั ประทานได้งา่ ย
๑๒๔ วิธกี ารย่างไฟ 1. ติดไฟเตา เม่อื ไฟตดิ ไดท้ ี่แล้ว จึงนำกระบอกข้าวหลามที่เตรยี มไว้มาวางเรยี งในลักษณะตั้งเอนข้ึนให้ พงิ กบั แนวหลักทีท่ ำจากทอ่ นเหล็ก 2. ควรพลิกข้าวหลามอยา่ งต่อเน่ือง เพ่ือให้ข้าวหลามสุกอยา่ งทว่ั ถึง และไม่ใหข้ ้าวหลามไหม้บริเวณใด บรเิ วณหนึง่ 3. หากกะทเิ ดอื ดมาก ตอ้ งคอยดึงจุกข้าวหลามออก แล้วเทกะทิใสเ่ ข้าไปใหม่ 4. การย่างข้าวหลามจะต้องอาศัยระยะเวลาในการย่างถึง 1 ชั่วโมง ข้าวหลามจึงจะออกมาดูน่า รับประทาน ๖. การประชาสมั พนั ธ์และเผยแพร่ภมู ิปัญญาท้องถิ่น ✓ ยังไมเ่ คยมีการเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กับผสู้ นใจ มกี ารดงู านแล้วจากบุคคลภายนอกแลว้ ...........……..ครง้ั /…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพืน้ ท่เี ดยี วกนั …………..ราย - นอกพนื้ ท่ี………………….ราย อืน่ ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลกั ษณะของภูมิปัญญาท้องถิน่ ภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ ด้ังเดมิ ไดร้ บั การถา่ ยทอดมาจาก …………............................................................ ✓ ภูมปิ ัญญาท้องถิ่นทไ่ี ด้พัฒนาและต่อยอด - แบบเดมิ คอื …..การทำขา้ วหลามแบบโบราณ จากกระบอกไมไ้ ผ่................................................. - ไดพ้ ฒั นาและต่อยอด คือ ……… ✓ ภูมิปญั ญาทอ้ งถนิ่ /นวัตกรรมท่ีคดิ คน้ ขึ้นมาใหม่ ได้เขา้ รว่ มโครงการถอดรหัสนวัตกรรมอาหารพื้นถิ่นสู่ อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและชีวภาพ ได้ดำเนินกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดแพร่ ประจำปืงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดย การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปโดยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ดำเนินการพัฒนา ผลิตภณั ฑอ์ าหารพน้ื ถน่ิ และบรรจภุ ัณฑ์ ขา้ วหลามในรปู แบบผลิตภัณฑ์ Frozen ๘. วตั ถุดบิ ทใี่ ช้ประโยชนใ์ นผลติ ภณั ฑท์ ่ีเกิดจากภมู ปิ ัญญา ซงึ่ มใี นพ้นื ที่ พ้ืนท่ีอน่ื ไม่มี มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี
๑๒๕ ภาพประกอบ
๑๒๖ ขอ้ มูลภมู ิปัญญาท้องถน่ิ และปราชญ์ชาวบ้าน ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 34. การเขยี นกาพย์ คา่ วของศรวี ไิ จย (โข้) และการทำเม่ียง ๑. ชอ่ื ภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ ............การเขียนกาพย์ คา่ วของศรวี ิไจย (โข)้ และการทำเมย่ี ง…………............. ๒. เจ้าของภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ /ปราชญ์ชาวบา้ น ........นางสมถวิล เทพยศ……(รนุ่ ทายาท ศรีวไิ จย (โข)้ )……………… อาย.ุ ....... ปี................... อาชีพ ที่อยู่ บ้านเลขที่ …...... ชมุ ชน ..ศรบี ุญเรือง.... ตำบล ...ในเวยี ง.... อำเภอ ..เมืองแพร่.. จังหวัด ...แพร่...... รหัสไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศพั ท์ …………08 5039 3258…………………….………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่น ✓ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมือ) เกษตร ศลิ ปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ศิลปหัตถกรรม การแพทย์แผนไทย ✓ ดนตร/ี นาฎศลิ ป์ ✓ ศาสนา ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถนิ่ ✓ ภาษาและวรรณกรรม อืน่ ๆ ...................................……… ๔. จดุ เดน่ ของภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ิน ศรวี ิไจยโข้ ผู้มมี โนภาพอันบรรเจดิ “อนาถจติ คิดไปไมป่ ระจักษ์ ทรลักษณ์ตาทะเลน้ ไม่เหน็ หน เดนิ ก็ได้ พูดกด็ ังช่ังวกิ ล มามดื มนนัยน์ตาบ้าบรม” เพชรเม็ดงามของชาวแพร่ ดว้ ยความเปน็ กวีที่มีพรสวรรคม์ าตั้งแต่กำเนิด ศรีวิ ไจย (โข)้ มชี ่อื เดมิ ว่า “ศรีไจย” เกิดเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๐ ณ บ้านสลี อ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวดั แพร่ เป็นบุตร คนท่ี ๔ ของเจ้าน้อยเทพ และนางแก้ว เทพยศ ชาวบา้ นมักจะเรียกท่านว่า ศรีวิไจยโข้ บางทีกเ็ รยี กว่า “พ่อต๋า” ภรรยา คนแรก ชื่อ นางตุ่น มีบุตร ๒ คน ชีวิตวัยเด็ก ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ๔ – ๕ พรรษา ณ วัดศรี บุญเรือง จังหวัดแพร่หลังจากนั้นลาสิกขาบทออกมา แล้วได้แต่งกาพย์ธรรมะ ซึ่งพรรณนาถึงความทุกข์ของคน ชื่อว่า “กาพย์ฮ่ำตุ๊ก” แต่เดิมท่านประกอบอาชีพค้าจนกระทั้งภรรยาคนแรกเสียชีวิตลง จึงได้นำบุตรชายไปฝากพี่สาวอุปการ ระ ส่วนตัวเองเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดน่าน กระทั่งล้มป่วยด้วยกามโรค จึงกลับมาอยู่จังหวัดแพร่ แล้วต่อมานัยน์ตา
๑๒๗ ทา่ นกบ็ อด เม่อื อายุ ๒๕ ปชี ีวติ ต่อจากน้ัน ทา่ นไดร้ บั จ้างเขียนค่าว – ฮ่ำ อยา่ งเดียว แต่ปัญหาผูว้ า่ จ้างท่าเขยี นคา่ ว – ฮ่ำ ต้องนั่งจดตามคำบอก จึงทำให้ผู้อยากได้บทกวีแต่ไม่มีเวลาต้องเสียโอกาส ท่านศรีวิไจย (โข้) จึงได้ภรรยามาเป็นคู่ชีวติ คทู่ ุกขค์ ยู่ ากของทา่ นคนหน่งึ ชื่อ “จันทรส์ ม” เปน็ หญิงสาวที่มีรูปรา่ งหนา้ ตาไมเ่ ลวนักและคณุ สมบัตอิ ันประเสริ ฐยิง่ ยากที่ จะหาไดใ้ นสตรสี มัยน้นั ก็คือ จันทรส์ มผูน้ ้ีเป็นคนมคี วามร้ใู นทางเขียนอ่านคลอ่ งแคลว่ เป็นพิเศษสามารถถา่ ยทอดบทกวีท่ี กลั่นกรองจากสมองของท่านจอมกวีออกมาเป็นตัวอักษร ทั้งเจ้าหล่อนก็คงจะเป็นคนหนึ่งซึ่งซาบซึ้งในมธุรสพจน์ ประพันธ์ของท่านกวีศรีวิไจยโข้ เหมือนอย่างที่ภรรยาของชิต บุรทัต หรือภรรยาของท่านมหากวีสุนทรภู่ได้ซาบซึ้งใน ผลงานอันล้ำค่าของสามี จันทร์สมได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของท่านกวีศีวิชัย เป็นหูเป็นตา เป็นเลขานุการ เป็นคนรับใช้ พรอ้ มทกุ อย่าง มอี ย่คู รัง้ หนึ่งเจ้าหลวงเมอื งแพร่ท่ีชือ่ เจ้าหลวงพิริยะเทพวงศ์ ซง่ึ เป็นคณุ ปขู่ อง “ยาขอบ” เจา้ หลวงพิริยะ องค์นี้ได้สร้างวังหรือคุ้มขึ้นใหม่เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้มีการเฉลิมฉลองตามธรรมเนียมอย่า งที่เจ้านายท่านฉลอง ตำหนกั ใหมก่ ม็ กั จะมผี ้แู ตง่ กลอนหรือโครงเฉลิมเป็นที่ระลึก เจ้าหลวงจงึ ได้ให้คนมาจูงเอาทา่ นกวีบอดไปชมคมุ้ อันใหญ่โต หรหู ราของพระองค์ทา่ นวิธที จี่ ะให้ท่านกวีไดช้ มความวจิ ติ รตระการตาของคุม้ เจ้าหลวงก็คือให้คนจงู ไปคลำไปอธบิ ายว่าที่ ตรงนัน้ มีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร นยั วา่ ประตทู งั้ หมดมถี ึง ๗๒ แห่งทา่ นกวีกต็ งั้ ชือ่ ท้งั ๗๒ประตูใหเ้ พราะพรง้ิ เชน่ จัดจัดอ่าน นบั ประตหู๋ ับสะลอกนอกใจ นบั ไปหมดเส้ียง มีเจ็ดสบิ สอง เหล็กลองกล๋มเกล้ยี ง จดจันเจยี งแซ่ไว้ ศรวี ิชัยยาต๋ัวข้าบาทไท้ จดั ใส่วื่อตง้ั ต๋วั ลา ประตหู๋ นงึ่ นน้ั ชอ่ื ชัน้ คำขาเข้าแล้วออกมา งานเหลือเกา่ หนอ้ ย หมายความว่า ประตทู ่หี นงึ่ มีช่ือว่าคำขา คือว่าประตูคำพนคุณที่บริสุทธิ์ ประตูนี้ใครเข้าไปแล้วกลับออกมาจะสวยกว่าเก่าอีกหน่อยหนึ่ง แล้ว “เหล็กลอง” หมายถึงเหล็กท่ีขุดจากอำเภอลองจงั หวัดแพร่เป็นเหล็กดีมากเหมือนเหลก็ นำ้ พ้ีหรืออรัญญิกของภาคกลาง และ “จดจัน เจียง”แปลวา่ สลกั กลอนหรอื ลน่ั ดาน ประตทู สี่ องชอ่ื “ฟองคำสร้อย” ที่สามชื่อ “เมอื งช่นื ” ใครปิดเปิดเข้าออกก็จะหาย โรคา พยาธิ ฯ ท่านได้รางวัลจาเจ้าหลวงมากมาย เพราะเป็นที่ไพเราะถูกอกถูกใจเจ้าหลวงพิริยะอย่างที่สุด มันเป็น วรรณคดีกำลังเฟื่องฟู ท่านกวีศรีวิไจยก็ได้ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยขายบทกวีและรับจ้างประพันธ์กลอนต่าง ๆ ให้แก่ผู้ท่ี สนใจบทกลอนหรือค่าวท่ีมีชื่อนอกจากเรื่องชมคุ้มหลวงเมืองแพร่แล้ว ก็มี “ค่าวหงษา” ค่าวดอกเอื้อง” ซึ่งกล่าวถึง ดอกไม้และกล้วยไม้ต่าง ๆ ทางเมืองเหนือกล่าวกันว่าเป็นกลอนเมืองเหนือไพเราะมาก ส่วนทายาท ๒ คน หลังจาก จันทร์สมถึงแก่กรรม ท่านก็อาศัยอยู่กับลูก ๆ หลาน ๆ ต่อมาจนวาระสุดท้าย ท่านก็ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๔๗๒ หลัง สงครามโลกคร้ังที่ ๒ ประมาณ ๕ ปี ศิรริ วมอายไุ ด้ ๘๒ ปี การทำเม่ยี ง เมย่ี งส้ม เมยี่ งหวาน อาหารว่างล้านนาโบราณจากชาหมัก “ใจบ๋ ่ดใี คร่สบู บูรีก๋นิ เม่ียง ใจ๋บ่เส้ียงใคร่ กินเมยี่ งกับบูรี ใจ๋บด่ ีใครส่ บู บูรีกน๋ิ เมีย่ ง ใจ๋บเ่ สีย้ งใคร่กินเม่ียงกับบูรี” บทข้างตน้ นี้คือ ‘ซอวอ้ ง’ หรือเพลงซอที่มีเน้ือร้อง วนไปมา เป็นเพลงซอพื้นบ้านล้านนาที่เล่าถึง ‘เมี่ยง’ อาหารว่างของคนล้านนา เป็นวัฒนธรรมร่วมทีพ่ บตั้งแต่อุตรดิตถ์ บางส่วน แพร่ นา่ น เหนือไปจนถงึ แม่ฮ่องสอน รวมไปถงึ ชาติพันธ์ใุ กล้เคียงอย่างลาว เมยี นมาร์ ไทยใหญ่ และลื้อสิบสอง ปันนา คนล้านนานิยมกนิ เมี่ยงคู่กับการสูบ ‘บรู ขี ้ีโย’ หรอื บุหรี่ตองจ่อ นับเปน็ คู่หเู พิ่มพลังให้มีแรงทำงานไปตลอดทั้งวัน คำว่าเมี่ยงในทัศนะของคนภาคกลางหมายถึงอาหารลักษณะหนึ่งที่มีการห่อเครื่องต่างๆ ด้วยพืชสมุนไพรหรือผักบาง ชนดิ แล้วกินเปน็ คำๆ แตส่ ำหรับ ‘เมีย่ ง’ ในความหมายของคนเมอื งล้านนา จะหมายถงึ ใบชาอยา่ งหน่งึ มีลักษณะเป็นพุ่ม สงู ปลูกมากในพื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะพ้นื ทส่ี ูง เชน่ เชียงราย เชียงใหม่ นา่ น ไมไ่ ดห้ มายถงึ อาหารห่อเป็นคำ ดงั จะเห็น ว่าที่ใดมีการปลูกเมี่ยงมาก จะมีเมนู ‘ส้าใบเมี่ยง’ เป็นการนำใบเมี่ยงและผักใบอื่นๆ เช่นมะกอก สะเดาดง ยอดมะม่วง มาหั่นฝอย ยำกับเครื่องอย่างกระเทียม หอมแดง หอมใหญ่ มะเขือเทศ พริกขี้หนู มะนาว เกลือ และน้ำปลา คลุกและ ปรุงรสตามชอบ
๑๒๘ ๕. รายละเอียดของภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่น ศรีวิไจย โข้ กวีล้านนา หรือศรีวิชัย โข้ ผู้แต่งค่าวสำคัญๆ หลายสำนานเป็นกวีผู้มีชื่อเสียงของล้านนา และเมืองนครแพร่ เนื้อหาค่าวของศรีวิไจยโข้ผู้ร่วมสมัยกับเหตุการณ์เงี้ยวปล้นเมืองแพร่จึงเป็นเอกสารทาง ประวัติศาสตร์ท่สี ำคัญจากผลงานของกวีบอดผนู้ ้ี“อนาถจิตคดิ ไปไมป่ ระจักษ์ ทรลักษณต์ าทะเล้นไม่เห็นหน เดินก็ได้พูด กด็ งั ชั่งวกิ ล มามดื มนนยั น์ตาบา้ บรม” เพชรเม็ดงามของชาวแพร่ ด้วยความเปน็ กวที ่ีมีพรสวรรค์มาตั้งแตก่ ำเนดิ ศรีวิไจย (โข้) ประวตั ิ ศรวี ไิ จย (โข้) มชี ่ือเดมิ ว่า โข้ เกิดเม่ือ พ.ศ. 2400 ณ บา้ นสีลอ ตำบลในเวยี ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ เป็นบุตรคนที่ 4 ของเจ้าน้อยเทพ และนางแก้ว เทพยศ ชาวบ้านมักจะเรียกท่านว่า ศรีวิไจยโข้ บางทีก็ เรียกว่า พ่อต๋า ภรรยาคนแรก ชื่อ นางตุ่น มีบุตร 2 คน ชีวิตวัยเด็ก ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ 4 – 5 พรรษา ณ วัดศรบี ญุ เรือง จังหวัดแพรห่ ลงั จากนั้นลาสกิ ขาบทออกมา แลว้ ได้แตง่ กาพยธ์ รรมะ ซ่งึ พรรณนาถึงความทุกข์ของคน ชื่อ ว่า “กาพย์ฮ่ำตุ๊ก” แต่เดิมท่านประกอบอาชีพค้าจนกระทั่งภรรยาคนแรกเสียชีวิตลง จึงได้นำบุตรชายไปฝากพี่สาวอุป การระ ส่วนตัวเองเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดน่าน กระทั่งล้มป่วยด้วยกามโรค จึงกลับมาอยู่จังหวัดแพร่ แล้วต่อมา นัยน์ตาท่านก็บอด เมื่ออายุ 25 ปี ชีวิตต่อจากน้ัน ท่านได้รับจา้ งเขียนค่าว – ฮ่ำ อย่างเดียว แต่ปัญหาผู้ว่าจา้ งทา่ เขยี น ค่าว – ฮ่ำ ต้องนั่งจดตามคำบอก จึงทำให้ผู้อยากไดบ้ ทกวีแต่ไม่มีเวลาต้องเสยี โอกาส ท่านศรีวิไจย (โข้) จึงได้ภรรยามา เป็นคู่ชวี ติ ค่ทู ุกข์คยู่ ากของทา่ นคนหนึ่งชอื่ จันทร์สม เป็นหญงิ สาวท่มี รี ูปรา่ งหนา้ ตาไม่เลวนักและคณุ สมบัติอันประเสิรฐ ยิ่งยากที่จะหาได้ในสตรีสมัยนั้นก็คือ จันทร์สมผู้นี้เป็นคนมีความรู้ในทางเขียนอ่านคล่องแคล่วเป็นพิเศษสามารถ ถ่ายทอดบทกวีที่กล่ันกรองจากสมองของท่านจอมกวีออกมาเป็นตัวอักษร ทั้งเจ้าหล่อนก็คงจะเป็นคนหน่ึงซ่ึงซาบซึ้งใน มธุรสพจน์ประพนั ธ์ของท่านกวีศรีวิไจยโข้ ศรวี ไิ จย โข้เปน็ ผูม้ ีปฏภิ าณไหวพริบในการแต่งค่าว เมอ่ื แตง่ งานกับนางจันทร์ สมได้ให้นางสมเป็นเสมียนจดคำประพนั ธ์ตามคำบอก หลังจากที่นางจันทร์สม ภรรยาศรีวิไจยโข้ ถึงแก่กรรมท่านก็ไม่ได้ แต่งค่าวใดๆอีก และได้อาศัยอยู่กับลูก ๆ หลาน ๆ ต่อมาจนวาระสุดท้าย ท่านก็ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2472 หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ 5 ปี สิริรวมอายุได้ 72 ปี ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์ของท่านอยู่ที่วัดศรีบุญเรือง จังหวัดแพร่ ผลงาน ผลงานสำคญั ของทา่ นศรวี ไิ จย โข้ กาพยฮ์ ่ำตุ๊ก ค่าวซอบวั รวงศห์ งส์อามาตย์ คา่ วซอสมภมิตรคา่ วซอสุวัณณเมฆะ หมาขนคำ คา่ วซอจันทกุมาร คา่ วเจา้ สังคะนะ ค่าวฮ่ำคมุ้ หลวง คา่ วเงี้ยวปลน้ คุ้มหลวง คา่ วสน้ั เรือ่ งเจ้าดำหนีตามชู้ ค่าว ก่อสร้างของครูบาศรีวิชัย ค่าวหงษา ค่าวฮ่ำดอกเอื้อง ค่าวเงี้ยวปล้นคุ้มหลวงถือเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์เพราะแต่งในปหี ลังเกดิ เหตุ โดยในเน้อื หาได้กลา่ วถึงเจ้าพิรยิ เทพวงษ์ไม่ให้ความช่วยเหลือพระยาไชยบูรณ์ ท่ตี ้องการสู้รบกบั กบฏเงีย้ ว ซ่งึ แมจ้ ะตรงกบั หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์อนื่ เมี่ยง เป็นพืชที่สามารถเก็บเกี่ยวได้แทบจะตลอดทั้งปี เริ่มตั้งแต่ เมี่ยงต้นปี ในช่วงเดือนเมษายนถึง มิถุนายน จะได้ใบเมี่ยงที่แข็ง มีรสฝาดเพราะอยู่ในช่วงฝนน้อย หลังจากนั้นจะเรียกว่า เมี่ยงกลางปี คือในช่วงระหว่าง เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคมที่มีฝนตกมาก ใบเมี่ยงจะมีขนาดใหญ่กว่าและสีอ่อนกว่าเมี่ยงต้นปี ส่วนช่วงเดือน สิงหาคมถึงเดือนตุลาคมจะได้ เมี่ยงช้อย นับเป็นเมี่ยงที่มีคุณภาพดีที่สุด ทั้งยังมีใบขนาดใหญ่ จึงเป็นเมี่ยงที่ขายดีที่สุด ด้วยเชน่ กัน สว่ นในช่วงพฤศจิกายนไปจนถงึ ต้นปี จะได้ เมย่ี งเหมย มใี บเล็กและให้ผลผลิตน้อยเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว เม่อื ไดเ้ มยี่ งมากแลว้ จงึ มัดรวมเกบ็ ไว้เป็นกำๆ ดว้ ยตอก ใส่ ‘กว๋ ย’ หรอื ตะกร้าสานแบบโบราณท่สี ะพายไว้ติดตัว การเก็บ เมี่ยงกนิ เวลาทั้งวนั อยา่ งท่คี นเก็บเม่ยี งต้องห่อข้าวห่อน้ำไปกนิ ถึงในป่าเม่ียง เมอ่ื ได้เม่ยี งมาแล้ว จะนำใบเม่ียงมาน่ึง โดย แกะเมี่ยงออกจากมัดตอกแล้วนำมาวางเรียงในไหไม้สำหรับนึ่งเมี่ยง ตั้งหม้อหรือปี๊บใหน้ ้ำเดือดจัดแล้วจึงยกไหเมี่ยงข้นึ
๑๒๙ นึ่ง ขั้นตอนนี้ต้องรอให้น้ำร้อนจัดเท่านั้น หากน้ำร้อนไม่พอใบเมี่ยงในไหจะแดงและกระด้าง เมื่อนำไปหมักแล้วจะมีรส ฝาดมาก เรียกว่าฝาดจนกินไม่ได้เลยทีเดียว ใบเมี่ยงจะถูกนึ่งประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง จนใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และก้านเม่ยี งอ่อนน่ิมลง ยกเมีย่ งลงแลว้ รอใหเ้ ม่ียงเย็นดี บา้ งท้องทีม่ ักเกบ็ เมี่ยงไวใ้ นกระสอบต่อราว 2-3 คืนเพื่อให้เกิด ราขาวหรือราดำตามต้องการ แลว้ จึงนำเมีย่ งที่น่งึ แล้วมามัดดว้ ยตอกเปน็ ก้อนๆ เรยี กเปน็ ‘แหนบ’ นำไปหมักในบ่อหมัก ในอดีตใช้วิธีขุดหลุมดินแล้วรองด้วยใบตองให้หนาจนน้ำไม่รั่ว แต่ปัจจุบันบ่อหมักเมี่ยงมักเป็นบ่อคอนกรีตที่กรุด้วย พลาสติกหนา เรียงเมียงที่ละแหนบลงบ่อหมัก อัดให้แน่น เทน้ำท่วมเมี่ยงแล้วปิดฝามิดชิดไม่ให้อากาศเข้า หมักตั้งแต่ 15 วนั ไปจนถงึ 8 เดือนแล้วแตส่ ตู รของแตล่ ะพ้ืนท่ี โดยมากจะหมกั ไมต่ ำ่ กว่า 2-3 เดือน เม่ียงท่ตี ดั และหมักไดด้ ีจะต้อง มีเนื้อนมุ่ กลิ่นหอม และมีสีออกเหลืองมากกว่าสเี ข้ม เม่ยี งที่หมกั เป็นเวลาสน้ั กว่าจะให้รสฝาด เรียกวา่ ‘เมี่ยงฝาด’ เป็น ทน่ี ยิ มของป้ออยุ้ แม่อุ้ยหรือคนมีอายุ ส่วนใบเมีย่ งทมี่ ักนานจะยิง่ ให้รสเปร้ยี วมากขน้ึ ชาวเหนือเรยี กว่า ‘เม่ียงส้ม’ ซ่ึงถูก อกถกู ใจคนท่ีอายนุ อ้ ยลงมา นอกจากนย้ี ังมี ‘เมยี่ งสม้ ฝาด’ ทใี่ ห้รสทง้ั เปร้ยี วและฝาดเสมอกนั อกี ด้วย วิธีการกินเมี่ยงนั้นมีสองแบบ แบบแรกเรียกว่าเมี่ยงส้ม เป็นวิธีกินแบบดั้งเดิมที่จะซ้อนใบเมี่ยง 2 - 3 ชั้น แล้วนำไปห่อเกลือเม็ดเป็นคำ ๆ ส่งให้ผองเพื่อนร่วมวงเคี้ยวเมี่ยงก่อนจะห่อให้ตัวเองเป็นคำสุดท้าย เมื่อกิน ต้องค่อยเคี้ยวให้น้ำจากเมี่ยงหมักออกมาเรื่อย ๆ จะได้รสเปรี้ยว ฝาด และเค็ม อาจมีการเพิ่มขิง มะขามเปียก หรือ กระเทียมดองเพื่อแต่งรส ภายหลังมีการเพิ่มเครื่องเมี่ยงให้มากขึ้นเพื่อให้กินง่าย ไม่ว่าจะเป็นมะพร้าวคั่ว น้ำตาลทราย ถัว่ ลิสงค่ัว เรยี กกนั วา่ เมยี่ งหวาน เม่ือเค้ียวจนรสเมย่ี งจางลงแลว้ จะกลืนหรือคายทิ้งก็ได้ สำรับต้อนรบั แขกท่ีมาเยย่ี มบ้าน ของชาวล้านนาจะประกอบด้วยยาเส้น (ขี้โย) ตองจ่อ (ใบตองแห้งสำหรับมวนบุหรี่) เมี่ยงหมัก และเกลือเม็ดเป็นอย่าง น้อย เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว คนล้านนาจะล้อมวงกินเมี่ยงและสูบบุรี่ตองจ่อ “กินเข้าแล้วต้องได้อมเมี่ยงสูบบูรี” ป้ออุย้ แมอ่ ุ้ยมกั จะว่าเชน่ นนั้ นยั หนึ่งคือใหร้ สและกลน่ิ ของอาหารท่ีเพิ่งกินไปเจือจางลง ทั้งยังเปน็ วฒั นธรรมการพักผ่อน หลังมื้ออาหาร เพื่อ ‘ยายเม็ดเข้า’ หรือรอข้าวเรียงเม็ด ล้อมวงพูดคุยก่อนเริ่มทำงานในช่วงบ่าย อีกนัยหนึ่งคือการเติม คาเฟอนี จากใบเมย่ี งเพื่อใหม้ ีแรงทำงานไดต้ ลอดวนั เรยี กไดว้ ่าหากวนั ใดไม่ได้กนิ เมี่ยงก็อาจเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน พาลจะอารมณ์เสียหงุดหงิดง่าย ใครพูดอะไรผิดหูก็อาจได้วางมวยกันสักตั้ง นอกจากสำรับเมี่ยงตามบ้านแล้ว ในงาน ต่างๆ ทงั้ งานกนิ แขกแต่งงาน ปอยหลวง และปอยน้อย กจ็ ะมเี มีย่ งและบหุ ร่ีตองจ่อจัดไวบ้ ริการผู้มาร่วมงานตลอดทั้งวัน ก่อนวันงานเรม่ิ จงึ ตอ้ งมกี ารเกณฑแ์ รงงานแมบ่ ้านมา ‘ปันบูรี’ และ ‘แปง๋ เมี่ยง’ เพือ่ ให้มีพรอ้ มรับแขกตลอดงาน ๖. การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ ✓ ยังไม่เคยมกี ารเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กบั ผสู้ นใจ มกี ารดงู านแลว้ จากบุคคลภายนอกแลว้ ...........……..ครงั้ /…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพ้ืนทเ่ี ดียวกนั …………..ราย - นอกพืน้ ท่ี………………….ราย อ่ืน ๆ (ระบุ)……………………………………………………..………………………….
๑๓๐ ๗. ลักษณะของภูมิปัญญาท้องถน่ิ ✓ ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่นดั้งเดิม ไดร้ ับการถ่ายทอดมาจาก ………….ศึกษาเรยี นรูจ้ ากบรรพบรุ ษุ ................ ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นทไี่ ด้พัฒนาและต่อยอด - แบบเดมิ คอื ….............................................................................................................................. - ได้พฒั นาและตอ่ ยอด คือ ………..................................................................................................... ภูมิปญั ญาท้องถ่ิน/นวัตกรรมท่ีคดิ คน้ ข้นึ มาใหม่ ........................................................................ ๘. วตั ถดุ บิ ท่ีใช้ประโยชน์ในผลติ ภณั ฑ์ที่เกดิ จากภมู ปิ ัญญา ซง่ึ มีในพืน้ ท่ี พ้นื ที่อนื่ ไม่มี มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๑๓๑ ข้อมูลภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นและปราชญช์ าวบ้าน ชมุ ชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 35. การทำแหนมหมโู บราณ (จ้ินสม้ ) ๑. ชอื่ ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ............การทำแหนมหมูโบราณ (จิน้ สม้ )…………................................................ ๒. เจา้ ของภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น /ปราชญ์ชาวบ้าน ........นางองนุ่ ดำเกิงธรรม……………………………………………………. อาย.ุ ....... ปี................... อาชพี ท่อี ยู่ บา้ นเลขท่ี …...... ชุมชน ..พระรว่ ง.... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมืองแพร่.. จังหวดั ...แพร่...... รหัสไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศพั ท์ …………09 0328 4884…………………….………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมปิ ัญญาท้องถิ่น ✓ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมือ) เกษตร ศิลปกรรม/จิตรกรรม/ประติมากรรม ศิลปหัตถกรรม การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ดนตร/ี นาฎศลิ ป์ ✓ ศาสนา ประเพณีและวฒั นธรรมท้องถิ่น ✓ ภาษาและวรรณกรรม อน่ื ๆ ...................................……… ๔. จุดเดน่ ของภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ จิ๊นส้ม หรือ แหนม ทำมาจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อควาย เรียกชื่อตามเนื้อสัตว์ เช่น จิ๊นส้มหมู จิ๊นส้มงัว จิ๊นส้มก้าง ปัจุจุบัน นิยมใช้เนื้อหมู บางแห่งเรียก หมูส้ม สามารถนำมารับประทานเป็นกับข้าว โดยนำไปย่างไฟทั้งห่อ เรียกว่า จิ๊นส้มหมก หรือจะนำไปปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น คั่วจิ๊นส้มใส่ไข่ เจียวผักปลัง และ คว่ั ฟักเพกาออ่ น (อุดม รงุ่ เรอื งศรี, 2542, 1879; เสาวภา ทาแก้ว, สมั ภาษณ์, 3 กรกฎาคม 2550)
๑๓๒ ๕. รายละเอยี ดของภูมิปัญญาท้องถ่ิน การทำแหนมหมโู บราณ (จ้ินสม้ ) สว่ นผสม 1 กิโลกรัม 1. เนอ้ื หมบู ด 100 กรัม 2. หนังหมู 20 กลีบ 3. กระเทยี ม 1 ชอ้ นโตะ๊ 4. เกลอื 1 ถ้วย 5. ขา้ วนง่ึ วิธกี ารทำ 1. โขลกกระเทยี มและเกลือป่นมาคลกุ เคลา้ กบั หมบู ด 2. ใสข่ ้าวนง่ึ คลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั 3. ใสห่ นังหมลู งคลกุ เคล้าใหเ้ ข้ากนั 4. เตรยี มใบตอง 8 x 10 น้วิ นำสว่ นผสมทีไ่ ด้ห่อดว้ ยใบตอง 5. ใชใ้ บตอง 2 แผน่ หอ่ ใหแ้ นน่ และอีก 2 แผน่ ห่ออกี หนง่ึ ชน้ั 6. กลัดใบตองด้วยไม้กลดั ทิ้งไว้ 2-3 วัน นำมารบั ประทาน โดยการย่างไฟ หรือนำมาปรุงอาหารได้ เคล็ดลับในการเลือกสว่ นผสม เลือกเนอ้ื หมูสันคอ เพราะเนื้อนุม่ และติดมันเลก็ น้อย จะไดเ้ นื้อจิ๊นสม้ ทอ่ี ร่อย ๖. การประชาสัมพนั ธแ์ ละเผยแพรภ่ มู ิปญั ญาท้องถ่ิน ✓ ยังไม่เคยมกี ารเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบุคคล ✓ เคยเผยแพร่ให้กับผูส้ นใจ มกี ารดูงานแลว้ จากบุคคลภายนอกแล้ว...........……..ครั้ง/…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพืน้ ทีเ่ ดยี วกัน…………..ราย - นอกพื้นท่ี………………….ราย อ่นื ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลักษณะของภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ ✓ ภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ ด้ังเดิม ไดร้ บั การถ่ายทอดมาจาก ………….ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง...................... ภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ ทไี่ ด้พฒั นาและต่อยอด - แบบเดมิ คือ ….............................................................................................................................. - ไดพ้ ัฒนาและตอ่ ยอด คือ ………..................................................................................................... ภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ /นวตั กรรมทีค่ ดิ คน้ ขนึ้ มาใหม่ ........................................................................ ๘. วัตถดุ ิบที่ใชป้ ระโยชน์ในผลิตภณั ฑท์ เี่ กดิ จากภมู ปิ ัญญา ซ่งึ มใี นพ้ืนท่ี พนื้ ทอ่ี ่นื ไม่มี
๑๓๓ มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๑๓๔ ข้อมูลภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ และปราชญ์ชาวบา้ น ชมุ ชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 36. จติ รกรรมภาพลา้ นนา ๑. ชื่อภมู ิปัญญาท้องถิ่น ............................จิตรกรรมภาพล้านนา…………................................................ ๒. เจ้าของภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ /ปราชญ์ชาวบา้ น ........นายอนุสรณ์ มงคลธรรม………………………………………………. อาย.ุ ....... ป.ี .................. อาชพี ทีอ่ ยู่ บ้านเลขที่ …..8/3.... ชมุ ชน ..พระรว่ ง.... ตำบล ...ในเวยี ง.... อำเภอ ..เมอื งแพร่.. จังหวัด ...แพร่.... รหสั ไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศัพท์ ……………………………….………………… E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ ✓ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมือ) เกษตร ศลิ ปกรรม/จิตรกรรม/ประติมากรรม ศิลปหตั ถกรรม การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ดนตร/ี นาฎศิลป์ ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ ✓ ภาษาและวรรณกรรม อ่นื ๆ ...................................……… ๔. จุดเดน่ ของภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ จิตรกรรมล้านนา นักประวัติศาสตร์จำแนกชนเผ่าไทเป็นสองสาย สายไทใหญ่ในเขตลุ่มน้ำสาละ วินซึ่งต่อมาอพยพเข้าสู่ดินแดนพม่า และอีกพวกอพยพไปในแคว้นอัสสัมของอินเดีย ได้แก่ ชนเผ่าอาหม ส่วนอีกสาย หนึ่งลงมาทางลุ่มแม่น้ำโขงในแถบยูนนาน ลงมาถึงเมืองเชียงรุ้งในสิบสองปันนา เมืองเชียงตุงในพม่า และเมือง เชยี งแสน ประมาณวา่ มกี ลุ่มคนพดู ภาษาตระกลู ไทเป็นจำนวนถงึ 90 คน วฒั นธรรมการแตง่ กายของชนเผ่าไท สตรนี ิยม นุ่งซิ่น แต่ผ้านุ่งซิ่นเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเผ่า ดังจะเห็นได้จากกลุ่มไทลื้อในสิบสองปันนา ซึ่งต่อมาเมื่อมีการอพยพ กวาดต้อนลงมาอยู่กันที่เมืองน่าน ก็นำวัฒนธรรมการแต่งกายลงมาด้วยดังจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัด ภมู นิ ทร์ และวดั หนองบวั ไทยวน (อา่ นวา่ ไท-ยวน) เป็นกลุ่มหลกั ใหญ่ เปน็ คนเมืองแห่งลา้ นนา นอกจากน้ยี ังมไี ทลาว ไท พวน ภูไท แห่งอาณาจักรล้านช้าง (ลาว) เป็นที่น่าเสียดายที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพวาดเกี่ยวข้องกับ วฒั นธรรมของล้านนาเหลือน้อยเต็มทน เหลือเพยี งท่ีมีอายุในชว่ งไมเ่ กินร้อยห้าสิบปีทผี่ ่านมา และศิลปะท่ีพบเห็นก็เป็น การผสมผสานของพม่า ฉาน ลาว ไทล้อื และไทยภาคกลาง
๑๓๕ ลักษณะเด่นของภาพจิตรกรรมฝาผนังล้านนาคือการบอกเล่าถึงเรื่องราวเรียบง่ายตามความเป็นจริง ผนวกกับ กลิ่นอายความเป็นท้องถิ่นอันเข้มข้น ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลาย ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นส่วนผสมอันน่าตื่นตาตื่นใจของอิทธิพลจากพม่า ไทใหญ่ ลาว ไทลื้อ และสยาม ซึ่งการหลอมรวมอิทธิพลจากภายนอกเข้ากับประเพณีและความละเมียดละไมของท้องถิ่นนี้เองทำให้มรดกทางศิลปะ เหลา่ นีม้ ีเสน่ห์เปยี่ มมนตข์ ลังไม่เหมือนใคร ๕. รายละเอียดของภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ นายอนุสรณ์ มงคลธรรม เป็นศิลปินพื้นบ้านหนึ่งเดียวในใจกลางเมืองแพร่ ผู้ถ่ายทอดภาพวาด จิตรกรรมเวียงต้าคนแรก ๆ ของเมืองแพร่มายาวนานกว่าทศวรรษ เนื่องจากมีอาชีพหลักเป็นจิตรกรพื้นบ้านและ นักดนตรีอิสระเป็นอาชีพเสริม ปัจจุบันเป็นจิตรกรอาวุโสและเป็นสมาชิกกลุ่มคนสร้างศิลป์เมืองแพร่ กลุ่มศิลปินหลัก ของเมืองแพร่ การเร่ิมต้นอาชีพจิตรกรได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างงานศลิ ปะดว้ ยเทคนิคแบบโบราณชั้นสูงของฝรั่งที่ ได้ครูพักลักจำมาจากอาชีพการเป็นผู้ชว่ ยช่างช่วยวาดและเป็นลูกมือช่างงานในพระราชวังในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน วังในประเทศซาอุดิอาระเบีย และวังในประเทศบรูไน เมื่ออายุมากขึ้น จึงกลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิดและได้เห็นภาพ จิตรกรรมเวียงต้าในหนังสือเล่มหนึ่ง เกิดความประทับใจมหาศาล จนกลายมาเป็นการสรา้ งงานศลิ ปะในเทคนิคโบราณ ในแบบของตัวเองจนกลายเป็นอาชพี หลกั ในปัจจบุ นั ๖. การประชาสมั พนั ธ์และเผยแพรภ่ ูมิปัญญาทอ้ งถิ่น ✓ ยงั ไมเ่ คยมีการเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กบั ผสู้ นใจ ณ หอศิลป์เมืองแพร่ และการแสดงผลงานของกลมุ่ คนสร้างศิลป์ จ.แพร่ มีการดงู านแล้วจากบคุ คลภายนอกแล้ว...........……..คร้ัง/…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพ้ืนท่เี ดยี วกัน…………..ราย - นอกพ้ืนท่ี………………….ราย อ่นื ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลักษณะของภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ ✓ ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่นดั้งเดิม ได้รับการถา่ ยทอดมาจาก ………….ศึกษาเรยี นรดู้ ้วยตนเอง...................... ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ท่ีได้พัฒนาและตอ่ ยอด - แบบเดมิ คอื ….............................................................................................................................. - ได้พัฒนาและต่อยอด คือ ………..................................................................................................... ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น/นวตั กรรมทค่ี ดิ คน้ ข้นึ มาใหม่ ........................................................................
๑๓๖ ๘. วัตถุดิบทใ่ี ช้ประโยชน์ในผลติ ภัณฑ์ทเ่ี กิดจากภมู ปิ ญั ญา ซง่ึ มีในพนื้ ที่ พน้ื ที่อน่ื ไม่มี มี ไดแ้ ก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ หมายเหตุ ภาพอ้างอิงจากการคน้ หาออนไลน์
๑๓๗ ข้อมูลภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ และปราชญช์ าวบ้าน ชมุ ชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 37. การทำบายศรี ๑. ชอื่ ภมู ิปัญญาท้องถนิ่ ......................................การทำบายศรี…………............................................. ๒. เจา้ ของภูมิปัญญาท้องถนิ่ /ปราชญ์ชาวบา้ น ..............นางสาววาณี มหยศปัญญา………………………………… อาย.ุ ....... ปี................... อาชพี คา้ ขาย ทอ่ี ยู่ บ้านเลขท่ี … ...... ชุมชน ..พระร่วง.... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมอื งแพร่.. จงั หวดั ...แพร่.......... รหัสไปรษณยี ์ ...54000.................... โทรศัพท์ ……………09 7985 4696……………………………………. E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมอื ) เกษตร ศิลปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ✓ ดนตรี/นาฎศิลป์ ✓ ศลิ ปหัตถกรรม ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ภาษาและวรรณกรรม อ่ืน ๆ ...................................……… ๔. จดุ เด่นของภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น “บายศรี ” ภาชนะใส่เครื่องสังเวย ที่จัดตกแต่งให้สวยงามเป็นพิเศษด้วยใบตอง และดอกไม้สด เพื่อเป็นสำรับใส่อาหารหวาน คาว ในพิธีสังเวยบูชา และพิธีทำขวัญต่างๆ ทั้งของพระราชพิธีและของราษฎรเป็น ประเพณีโบราณ ทบี่ รรพบรุ ุษไดเ้ คยปฏิบัติกนั สืบกัน ๆ มา ถอื กันว่าเปน็ สิริมงคลอันดี แกก่ ารเป็นอยู่ คือ การสวัสดิภาพ ในการดำรงชีวิต ของมนุษย์แต่การทำบายศรสี ู่ขวญั น้ัน ต้องอาศัยนักปราชญ์ผู้ฉลาดในวิธีการกระทำ จึงเป็นสิริมงคลได้ เป็นของสงู เปน็ เคร่อื งสังเวยเทพเทวดา
๑๓๘ ๕. รายละเอยี ดของภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ การทำบายศรี น้นั นักปราชญ์โบราณเคยทำสบื ๆ กนั มา มี 2 วิธี คอื วธิ ที ี่ 1 จะนิมนตพ์ ระสงฆ์ 4 รูป รบั ศีล รับพร และประพรมน้ำมนต์ วธิ ีที่ 2 ตัง้ เครอ่ื งบชู าพาขวญั (บายศรี) ตามประเพณนี ิยม มขี า้ วสาร กลว้ ย ข้าวตม้ ขนม ธูป เทียน ผ้าแพรวา (ถ้าส่ขู วญั คนจะมีเครื่องสำอางคด์ ว้ ย) ฝา้ ยผูกแขน เทยี นรอบหัวและเท่าตวั ยอดกล้วย ยอดอ้อย ด้าย ขาว 1 ในขันโตกขนั ทองเหลืองการทำบายศรี มี 2 อยา่ ง คือ บายศรีหลกั บายศรีปากชาม 1. บายศรหี ลกั จะทำในงานทว่ั ไป เชน่ งานมงคลตา่ ง ๆ แขกมาเยย่ี มบา้ นแตง่ งาน ทำขวัญผู้ใหญ่ 2. บายศรีปากชาม นน้ั มกั จะมคี ่ซู า้ ย ขวา จะทำในพิธีบวงสรวง หลกั เมือง หรือเจ้าทเ่ี จ้าทาง หรือ ยกครู ไหวค้ รู ทางไสยศาสตร์ ในสมยั โบราณการทำบายศรี จะทำในงานสำคญั เท่านนั้ และทำเปน็ ส่ีหลกั ข้างต้น แตเ่ มอ่ื ล่วงนานมาประมาณ พ.ศ. 2500 ทางพทุ ธให้มีหลักสตู ร สอนศาสนาพิธนี ั้น พานบายศรกี ม็ กี ารเปลี่ยนแปลงไป ตามกาลสมัย มี 3 ช้นั 5 ชั้น 7 ชั้น 9 ชนั้ ตามคำสวดที่อัญเชิญเทพมาในงานพธิ ีน้นั ๖. การประชาสัมพนั ธ์และเผยแพรภ่ ูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น ✓ ยังไมเ่ คยมกี ารเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กับผสู้ นใจ มีการดงู านแลว้ จากบุคคลภายนอกแลว้ ...........……..ครงั้ /…………….…..ราย มีการนำไปใช้ - ในพ้นื ทเ่ี ดยี วกัน…………..ราย - นอกพนื้ ท่ี………………….ราย อืน่ ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลักษณะของภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ✓ ภูมิปญั ญาท้องถิ่นด้ังเดมิ ได้รบั การถา่ ยทอดมาจาก ………….ศึกษาเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองและผู้เช่ยี วชาญ.. ภูมิปัญญาท้องถ่นิ ทไี่ ด้พัฒนาและตอ่ ยอด - แบบเดมิ คอื ….................................................................................................................................. - ได้พฒั นาและตอ่ ยอด คือ …………...................................................................................................... ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น/นวัตกรรมท่ีคดิ คน้ ข้นึ มาใหม่ ................................................................................. ๘. วตั ถุดิบท่ใี ช้ประโยชนใ์ นผลติ ภัณฑท์ ่เี กิดจากภมู ปิ ัญญา ซ่ึงมใี นพ้นื ที่ พน้ื ที่อ่ืนไม่มี มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี
๑๓๙ ภาพประกอบ หมายเหตุ อ้างองิ ภาพจากคน้ หาออนไลน์
๑๔๐ ขอ้ มูลภูมิปัญญาท้องถน่ิ และปราชญ์ชาวบ้าน ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 38. นาฎศลิ ป์พน้ื บา้ น (ซอพ้ืนเมอื ง ฟ้อนพนื้ เมือง) ๑. ช่อื ภมู ิปัญญาท้องถิน่ ............................นาฎศิลป์พื้นบา้ น (ซอพ้ืนเมือง ฟ้อนพ้นื เมอื ง)………….............. ๒. เจ้าของภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ /ปราชญ์ชาวบ้าน ........นางสาวเครือวลั ย์ หาญยศ………………………………………………. อาย.ุ ....... ปี................... อาชีพ ขา้ ราชการบำนาญ ท่อี ยู่ บ้านเลขท่ี …...... ชุมชน ..พระร่วง.... ตำบล ...ในเวยี ง.... อำเภอ ..เมืองแพร่.. จังหวดั ...แพร่.... รหสั ไปรษณยี ์ ...54000.................... โทรศพั ท์ ……………08 4804 2654………………….…………………. E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมิปัญญาท้องถน่ิ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมอื ) เกษตร ศลิ ปกรรม/จิตรกรรม/ประติมากรรม ศิลปหัตถกรรม ✓✓ ดนตร/ี นาฎศิลป์ การแพทย์แผนไทย ✓ ศาสนา ประเพณแี ละวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ ✓ ภาษาและวรรณกรรม อ่ืน ๆ ...................................……… ๔. จดุ เด่นของภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ การแสดงพื้นบ้านภาคเหนือ จากสภาพภูมิประเทศที่อุดมไปด้วยป่า มีทรัพยากรมากมาย มีอากาศ หนาวเยน็ ประชากรมอี ุปนสิ ัยเยือกเยน็ นุ่มนวล งดงาม รวมท้ังกิริยา การพูดจา มีสำเนยี งน่าฟัง จงึ มอี ิทธิพลทำให้เพลง ดนตรีและการแสดง มีทว่ งทำนองชา้ เนิบนาบ นุ่มนวล ตามไปดว้ ย การแสดงของภาคเหนือเรียกว่า ฟอ้ น เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนสาวไหม เป็นต้น ภาคเหนือนี้มีการแสดงหรือการร่ายรำที่มีจังหวะช้า ท่ารำที่อ่อนช้อย นุ่มนวล เพราะมีอากาศเย็นสบาย ทำให้จิตใจของผู้คนมีความนุ่มนวล อ่อนโยน ภาษาพูดก็นุ่มนวลไปด้วย เพลงมีความ ไพเราะ อ่อนหวาน ผู้คนไม่ต้องรีบร้อนในการทำมาหากิน สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีอิทธิพลต่อการแสดงนาฏศิลป์ของ ภาคเหนือ นาฏศิลป์ของภาคเหนือเช่น ฟ้อนเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนมาลัย ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ ฟ้อนเชิง(ฟ้อนเจิง) ตี กลองสะบัดไชย ซอ ค่าว นอกจากนี้ นาฏศิลป์ของภาคเหนอื ยังได้รับอทิ ธพิ ลจากประเทศใกล้เคียง ได้แก่ พม่า ลาว จนี และวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อย เช่น ไทยใหญ่ เงี้ยว ชาวไทยภูเขา ยอง เป็นต้น ดังนั้น นาฏศิลปพ์ ืน้ เมืองของภาคเหนอื นอกจากมขี องท่ีเป็น “คนเมอื ง” แท้ๆ แลว้ ยังมนี าฏศิลป์ท่ผี สมกลมกลืนกับชนชาติต่างๆ และของชนเผ่าตา่ งๆ อีกหลาย
๑๔๑ อย่าง เช่น อิทธิพลจากพม่า เช่น ฟ้อนม่านมงคล ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา นาฏศิลป์ของชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ฟ้อนนก (กิงกา หลา่ – ไทยใหญ)่ ฟ้อนเงยี้ ว (เงย้ี ว) ระบำเก็บใบชา(ชาวไทยภเู ขา)เป็นตน้ ๕. รายละเอยี ดของภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน ครูเครือวัลย์ หาญยศ ข้าราชการบำนาญ (ครู) (โรงเรียนวัดเมธังกราวาส) นาฏศิลป์พื้นเมือง ภาคเหนือ การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาวล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เป็นต้น ลกั ษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คอื แบบดง้ั เดมิ และแบบทีป่ รบั ปรงุ ขน้ึ ใหม่ แตย่ งั คงมกี ารรักษาเอกลักษณ์ ทางการแสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า อ่อนช้อยมีการแต่งกายตามวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการ บรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรีพื้นบา้ น เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นต้น โอกาสที่แสดงมักเล่นกันใน งานประเพณหี รือตน้ รับแขกบ้านแขกเมือง ๖. การประชาสมั พนั ธแ์ ละเผยแพร่ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ✓ ยงั ไมเ่ คยมกี ารเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบคุ คล ✓ เคยเผยแพร่ให้กับผู้สนใจ เปน็ วทิ ยากรใหก้ ับหนว่ ยงานของรัฐและเอกชน มกี ารดงู านแลว้ จากบุคคลภายนอกแลว้ ...........……..คร้ัง/…………….…..ราย มีการนำไปใช้ - ในพนื้ ที่เดยี วกัน…………..ราย - นอกพนื้ ที่………………….ราย อื่น ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลกั ษณะของภูมิปัญญาท้องถน่ิ ✓ ภูมิปัญญาท้องถิน่ ดั้งเดิม ไดร้ บั การถา่ ยทอดมาจาก ………….จบการศกึ ษาด้านครูนาฎศลิ ป์............ ภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นทไ่ี ด้พัฒนาและต่อยอด - แบบเดิม คือ ….............................................................................................................................. - ไดพ้ ฒั นาและตอ่ ยอด คือ ………..................................................................................................... ภูมิปัญญาท้องถ่นิ /นวตั กรรมทีค่ ดิ ค้นขึ้นมาใหม่ ........................................................................ ๘. วัตถดุ ิบท่ีใชป้ ระโยชนใ์ นผลิตภัณฑท์ ่เี กิดจากภมู ิปญั ญา ซ่ึงมีในพ้นื ท่ี พนื้ ทีอ่ นื่ ไม่มี มี ไดแ้ ก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี
๑๔๒ ภาพประกอบ
๑๔๓ ขอ้ มูลภมู ิปัญญาท้องถิน่ และปราชญ์ชาวบา้ น ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 39. การนวดแผนไทย ๑. ชือ่ ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ............................การนวดแผนไทย………….......................................................... ๒. เจา้ ของภูมปิ ัญญาท้องถิน่ /ปราชญ์ชาวบ้าน ..............นางสมจิตร เรือนเจรญิ ………………………………………………. อาย.ุ ....... ป.ี .................. อาชพี ขา้ ราชการบำนาญ ที่อยู่ บ้านเลขที่ …...... ชุมชน ..พระร่วง.... ตำบล ...ในเวยี ง.... อำเภอ ..เมืองแพร่.. จังหวดั ...แพร่.... รหัสไปรษณีย์ ...54000.................... โทรศพั ท์ ……………………………………..………………….…………………. E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมอื ) เกษตร ศิลปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ศลิ ปหตั ถกรรม ✓ ดนตรี/นาฎศิลป์ ✓ ศาสนา ประเพณีและวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ ✓ การแพทยแ์ ผนไทย ✓ ภาษาและวรรณกรรม อน่ื ๆ ...................................……… ๔. จดุ เดน่ ของภมู ิปัญญาท้องถ่นิ การนวดแผนไทย นวดไทย การนวดแผนไทย หรือ การนวดแผนโบราณ เปน็ การนวดชนิดหนึ่งในแบบ ไทย ซง่ึ เปน็ ศาสตรบ์ ำบดั และรกั ษาโรคแขนงหน่ึงของการแพทย์แผนไทย โดยจะเน้นในลกั ษณะการกด การคลึง การบีบ การดัด การดึง และการอบ ประคบ ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ \"นวดแผนโบราณ\" โดยมีหลักฐานว่านวดแผนไทยนั้นมี ประวัติมาจากประเทศอินเดีย โดยเชื่อว่าน่าจะมีการนำการนวดเข้ามาพร้อมกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และมีการ นำเข้ามาในประเทศไทยเมื่อใดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน [1] จากนั้นได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากันกับ วัฒนธรรมของสังคมไทย จนเป็นรูปแบบแผนที่เป็นมาตรฐานของไทยและส่งทอดมาจนถึงปัจจุบัน การนวดแผนไทย แบง่ เป็น 2 สาย คอื สายราชสำนักและสายเชลยศกั ดิ์
๑๔๔ การนวดแบบราชสำนกั เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของการนวดนี้คือ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ทีอ่ ยู่ ในรั้วในวัง ฉะนั้นการนวดจึงถูกออกแบบที่เน้นการใช้นิ้วมือและมือเท่านั้น และท่วงท่าที่ใช้ในการนวดมีความสุภาพ เรียบรอ้ ย มขี ้อกำหนดในการเรยี นมากมาย ผทู้ ่เี ช่ยี วชาญทางวิชาชีพดา้ นนี้ จะได้ทำงานอยใู่ นรว้ั ในวังเปน็ หมอหลวง มี เงินเดือนมยี ศมีตำแหนง่ การนวดแบบเชลยศักดิ์ เป็นการนวดที่ใช้ในระดับชาวบ้านด้วยท่าทางทั่วไป ไม่มีแบบแผนหรือพิธีรีตองในการ นวดมากนัก อีกทั้งยังสามารถใช้อวัยวะอื่น ๆ เช่น เข่า ศอก เท้า เพื่อช่วยทุ่นแรงในการนวดได้ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจาก การนวดแบบราชสำนักทีเ่ น้นการใช้มือเพียงอยา่ งเดียว การนวดไทยเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะที่มีมาแต่โบราณ เกิดจากสัญชาตญาณเบื้องต้นของการอยู่รอด เมื่อมี อาการปวดเม่ือยหรือเจ็บปว่ ยตนเองหรือผู้ทอ่ี ยู่ใกล้เคียงมักจะลูบไล้บบี นวดบรเิ วณดังกล่าว ทำใหอ้ าการปวดเม่ือยลดลง เริ่มแรก ๆ ก็เป็นไปโดยมิได้ตั้งใจ ต่อมาเริ่มสังเกตเห็นผลของการบีบนวดในบางจุด หรือบางวิธีที่ได้ผลจึงเก็บไว้เป็น ประสบการณ์ และกลายเป็นความรู้ที่สืบทอดกันต่อ ๆ มา จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ความรู้ที่ได้จึงสะสมจากลักษณะ ง่าย ๆ ไปสู่ความสลับซับซ้อน จนสามารถสร้างเป็นทฤษฎีการนวด จึงกลายมาเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีบทบาท บำบดั รกั ษาอาการและโรคบางอย่าง การนวดแผนไทยอาจแบง่ ตามวัตถปุ ระสงค์ไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คอื ๑. การนวดเพื่อผ่อนคลาย เป็นการนวด เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ปัจจุบันได้พัฒนามา เป็นการนวดอโรมาเธอราพี (Aromatherapy) แบบสปา หรือสุคนธบำบัด ๒. การนวดเพื่อบำบัดรักษา เป็นการนวดเพื่อวัตถุประสงค์โดยเฉพาะ ในการบำบัดรักษาโรค หรือรักษาผู้ป่วย เชน่ นวดแกส้ ะบกั จม นวดแกค้ อเคลด็ คลายเสน้ ขอ้ เทา้ พลิก ๕. รายละเอียดของภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ิน การนวดแผนไทย เป็นศาสตร์และศิลป์อีกแขนงหนึ่งที่สำคัญ ของหลักวิชาการแพทย์แผนไทย ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเป็นภูมิปัญญาไทย ที่ได้ผ่านการบูรณาการ ร่วมกับองค์ความรู้ ของศาสตร์ การแพทย์ ในระบบการแพทย์อื่นๆ จนพัฒนาเป็นการนวดไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนได้รับการยอมรับอย่าง กว้างขวาง ทั้งในประเทศและในระดับนานาชาติ ศาสตร์การนวดแผนไทย ได้รับการพัฒนามาจาก ท่าทางการบริหาร ตามหลักโยคีของเหล่าฤาษี ชีไพร ผู้ได้บำเพ็ญพรต เจริญภาวนามานานวันละหลายชั่วโมง หรือที่เรียกว่า “ฤาษีดัดตน” เป็นการบริหารร่างกาย หรือกายกรรม เพื่อให้สุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งมีผลพลอยได้คือ เพื่อบำบัด โรคภัยไขเ้ จบ็ ตา่ ง ๆ เชน่ แก้โรคลมท้ังสรรพางค์กาย แกเ้ มอื่ ย แก้ปวด เปน็ ตน้ ๖. การประชาสมั พนั ธแ์ ละเผยแพรภ่ ูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ ✓ ยังไมเ่ คยมกี ารเผยแพร่ / ใช้เฉพาะบุคคล ✓ เคยเผยแพร่ให้กบั ผ้สู นใจ มีการดูงานแล้วจากบคุ คลภายนอกแลว้ ...........……..คร้ัง/…………….…..ราย มกี ารนำไปใช้ - ในพื้นที่เดียวกัน…………..ราย - นอกพืน้ ที่………………….ราย อืน่ ๆ (ระบุ)……………………………………………………..…………………………. ๗. ลักษณะของภมู ิปัญญาท้องถนิ่ ✓ ภูมิปญั ญาท้องถนิ่ ด้ังเดมิ ได้รับการถ่ายทอดมาจาก ………….อบรมและศกึ ษาเรยี นรดู้ ้วยตนเอง...... ภมู ิปญั ญาท้องถ่ินทไี่ ด้พฒั นาและต่อยอด
๑๔๕ - แบบเดิม คือ ….............................................................................................................................. - ไดพ้ ัฒนาและตอ่ ยอด คือ ………..................................................................................................... ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน/นวัตกรรมท่ีคดิ คน้ ขน้ึ มาใหม่ ........................................................................ ๘. วตั ถดุ บิ ท่ีใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑท์ เ่ี กดิ จากภมู ิปญั ญา ซงึ่ มใี นพ้ืนที่ พ้นื ทอ่ี ่ืนไม่มี มี ได้แก่ ๑ ………………………………………………………………………..…………………………………………………………….. ๒. ……………………………………………………………………………………………….…………………………………….. ๓. ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ✓ ไม่มี ภาพประกอบ
๑๔๖ ข้อมูลภมู ปิ ัญญาท้องถนิ่ และปราชญช์ าวบ้าน ชมุ ชนในเขตเทศบาลเมืองแพร่ 40. ซอพื้นเมือง และดนตรีพืน้ เมอื ง ๑. ช่ือภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ............................ซอพื้นเมือง และดนตรีพืน้ เมือง…………..................................... ๒. เจา้ ของภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน /ปราชญ์ชาวบ้าน ..............นางสาวกชพร แผน่ ทอง………………………………………………. อาย.ุ ....... 17 ปี................... อาชีพ นกั เรยี น (โรงเรียนนารรี ตั น์จงั หวัดแพร)่ ท่อี ยู่ บ้านเลขที่ …...... ชมุ ชน ..พระร่วง.... ตำบล ...ในเวียง.... อำเภอ ..เมืองแพร่.. จังหวดั ...แพร่.... รหัสไปรษณยี ์ ...54000.................... โทรศัพท์ ……………………………………..………………….…………………. E-mail address …………………………………………………………………………..…………………………………………….. ๓. ประเภทของภูมิปญั ญาท้องถน่ิ คหกรรม (อาหาร/ขนม/งานฝีมอื ) เกษตร ศิลปกรรม/จติ รกรรม/ประติมากรรม ศลิ ปหตั ถกรรม ✓ ดนตรี/นาฎศิลป์ การแพทย์แผนไทย ✓ ศาสนา ประเพณีและวฒั นธรรมท้องถิน่ ✓ ภาษาและวรรณกรรม อนื่ ๆ ...................................……… ๔. จดุ เด่นของภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ ซอพื้นเมืองล้านนา หรือที่ชาวพื้นเมืองล้านนาเรียกว่า ซอ (มักเรียกประกอบกันเป็น สะล้อ ซอ ซึง) เป็นรูปแบบการร้องเพลงที่ชาวพื้นเมืองล้านนาใช้ขับกล่อมให้คลายทุกข์ โดยจะมีคำเรียกผู้ร้องเพลงซอว่า ช่างซอ การขับซอในปัจจุบัน จะมีลีลาและรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย การซอมีทั้งขับร้องเดี่ยวและคู่ ซึ่งเรียกว่า \"คูถ่ อ้ ง\" สลับดว้ ยดนตรี คือ ปช่ี ุม 3 ปีช่ ุม 4 หรือปีช่ ุม 5 (ภาษาพื้นเมืองจะออกเสียงว่า ปจี่ มุ ) ท่นี ิยมกันมาแตโ่ บราณ ทำนองซอมีอยู่หลายทำนอง ซึ่งจะเรียกว่า \"ทางซอ\" เพราะมีการเพี้ยนหรือหลีกกันเพียงเล็กน้อย แต่ละทางไม่แตกต่าง กันมาก คนทเี่ ร่มิ ฟังซอใหม่ อาจจะไมส่ ามารถจับไดว้ า่ ซอมีทางแตกต่างกนั หลายทางอยา่ งไร ดนตรีพ้ืนเมืองลา้ นนา หรือการบรรเลงเคร่ืองดนตรีและการขับขานในล้านนานนั้ มีบทบาทในวิถีชีวิต ของชาวบา้ นอย่างแยกไม่ออก ท้ังในดา้ นความบันเทงิ และการประกอบพธิ ีกรรม แงพ่ ิธีกรรมในล้านนาแล้ว มีสองแนวคือ แนวพุทธกับแนวผี คือ พิธีกรรมเชิงพุทธศาสนาและพิธีกรรมเกี่ยวกบั ผี ซึ่งทั้งสองแนวดังกล่าวมดี นตรีเป็นส่วนประกอบ เช่น ในงานฉลองรืน่ เริงหรือในงานศพซึ่งมีพธิ ีทางพทุ ธศาสนาน้นั พบว่าดนตรมี ีส่วนชว่ ยใหง้ านคึกคักหนักแน่นข้ึน ย่ิงใน
๑๔๗ กิจกรรมเกี่ยวกบั ผี เช่นการฟ้อนผีนัน้ ต้องมีดนตรีเข้ามาเกีย่ วข้อง เพราะมีการฟ้อนรำอันเป็นสว่ นประกอบสำคัญในพิธี เลย้ี งผีดว้ ย ๕. รายละเอียดของภูมิปญั ญาท้องถน่ิ “เพลงซอ” เกิดขึ้นในยุคสมัยใด ก็ยังไม่สามารถระบุวันเวลาได้แน่ชัด แต่จากหลักฐานในหนงั สือลิลติ พระลอก็พบว่ามีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว โดยเป็นการซอประกาศความงามของพระเพื่อน พระแพง ในปัจจุบันได้แบ่ง ประเภทของการซอออกเป็นหลายประเภทและจะเรยี กช่ือของแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน การนำมาใชง้ านก็จะต่างกนั ด้วย บุญศรี รัตนงั ศิลปินซอพ้นื เมืองซึ่งได้อนุรักษก์ ารซอเอาไว้กล่าวว่า การซอของคนพื้นเมืองนั้นแบ่งออกเป็นหลายทำนอง แต่ละทำนองก็จะใช้ซอในโอกาสที่ต่างกัน เช่น ทำนองตั้งเชียงใหม่ จะใช้ซอเป็นบทแรกของการซอ นอกจากนั้นก็จะมี ทำนองจะปุ ทำนองระไม้ ทำนองอือ ทำนองเจ้าสุวัฒน์นางบัวคำและทำนองล่องน่าน เป็นต้น ซอ พื้นเมืองได้มีการพัฒนารูปแบบการแสดงไปจากอดีตอย่างมาก รูปแบบของการซอในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ด้วยกนั หากจะแบง่ รปู แบบของการซอในปจั จุบนั พบว่ามีดว้ ยกัน 2 รูปแบบคอื การซอแบบดง้ั เดมิ และการซอประยุกต์ เชน่ ในอดตี เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการซอแต่เดิมมเี พียงป่ีอย่างเดียว ต่อมาในช่วงปี พ.ศ.2520 ได้เร่ิมมีการนำซึงเข้า มาใช้แทนปี่แม่ จากรูปแบบของการซอเข้าปี่ธรรมดาก็เริ่มมีซอเข้าซึง ขณะเดียวกันในยุคนั้นเครื่องขยายเสียงเร่ิม แพร่หลายมากขึ้น ช่างซอจึงเริ่มมกี ารใช้ไมค์โครโฟนและเคร่ืองขยายเสียงในการซอ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อมีการซอที่ไหนช่าง ซอก็นิยมใชเ้ ครื่องขยายเสียงและไมคโ์ ครโฟนในการซอมาจนถงึ ปจั จุบนั ดนตรีพ้นื บา้ นภาคเหนอื นยิ มเรยี กตามชนิดของเครอื่ งดนตรที ี่นำมาผสมเป็นวงว่า “วงสะล้อซอซงึ ”วง สะล้อซอซึง เป็นวงที่มีเสียงจากเคร่ืองสายเป็นหลกั นิยมใช้เล่นกันตามทอ้ งถิ่นภาคเหนอื ทั่วไป จำนวนเครื่องดนตรที ี่ใช้ ประสมวงไม่แน่นอน แตจ่ ะมสี ะล้อและซึงเป็นหลักเสมอ มีเคร่ืองดนตรีอนื่ ๆ เขา้ มาประกอบ เช่น ปี่ก้อยหรือขลุ่ย กลอง เต่งถงิ้ ฉ่งิ ฉาบ ใช้บรรเลงเพลงพื้นบ้านที่ไมม่ กี ารขับร้อง เช่น เพลงปราสาทไหว เพลงลอ่ งแมป่ ิง เปน็ ตน้ แตก่ ส็ ามารถใช้ บรรเลงเพลงสมัยใหม่ได้ด้วย เครื่องดนตรีหลักในวงประกอบด้วย “สะล้อ” หรือ “ทร้อ” เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง ล้านนาชนิดหน่งึ เปน็ ประเภท”เครอ่ื งสี” ซง่ึ มีท้ัง 2 สายและ 3 สาย คันชกั สำหรบั สจี ะอยขู่ ้างนอกเหมือนคันชักซอสาม อู้ของภาคกลาง ใชไ้ ม้แผ่นบาง ๆ ปิดปากกะลาทำหลกั ทหี่ วั สำหรับพาดทองเหลอื งดา้ นหลังกะโหลกเจาะเป็นรูปลวดลาย ต่าง ๆ เช่น รูปหนุมาน รูปหัวใจ ส่วนด้านลา่ งของกะโหลก เจาะทะลุลงข้างล่าง เพื่อสอดคันทวนที่ทำด้วยไม้ชิงชัน ยาว ประมาณ 64 ซมตรงกลางคันทวนมีรัดอกทำด้วยหวาย ปลายคันทวนด้านบนเจาะรูสำหรับสอดลูกบิด ซึ่งมี 2 หรือ 3 อัน สำหรับขงึ สายซอ จากปลายลูกบดิ ลงมาถึงด้านกลางของกะโหลกมีหย่องสำหรับหนุนสายสะล้อเพื่อให้เกิดเสียงเวลา สี คันชกั สะลอ้ ทำดว้ ยไม้ดดั เปน็ รูปโค้ง ขงึ ด้วยหางมา้ หรือพลาสติก เวลาสใี ช้ยางสนถูทำใหเ้ กิดเสียงได้ สะล้อใช้บรรเลง ประกอบการแสดงหรือบรรเลงร่วมกับบทร้องและทำนองเพลงได้ทุกชนิดเช่น เข้ากับปี่ในวงช่างซอ เข้ากับซึงในวง พ้นื เมอื ง หรือใช้เดย่ี วคลอรอ้ งก็ได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171