Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

Published by DPD E-Lidrary, 2020-06-30 22:17:21

Description: หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

Search

Read the Text Version

ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานชิ 1

คำ�นิยม ขอขอบคุณ ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ที่ให้โอกาสดิฉันได้อ่านหนังสือ ช่ือ “พลังแห่งวัยเยาว์” ซึ่งท่านเป็นผู้ถอดความเป็นภาษาไทย เรียบเรียงและเขียนเพ่ิมเติม จากหนงั สือชือ่ “The Importance of Being Little: What Young Children Really Need from Grownups” ซ่งึ แตง่ โดย Erika Christakis ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มน้ีของท่านในช่วงเวลา ที่เหมาะสมส�ำหรับประเทศไทย อันเนื่องมาจากความสนใจที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเก่ียวกับ การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ซงึ่ หมายรวมถงึ เดก็ ทกุ คนทอี่ ย่ใู นวยั กอ่ นเขา้ เรยี นในโรงเรยี นระดบั ประถม ศึกษาชั้นปีที่ ๑ เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กล่าวถึงเด็กในวัยน้ี เป็นคร้ังแรก ประกอบกับมีการวิจัยระดับโลกด้านการพัฒนามันสมองและฮอร์โมนที่เก่ียวข้อง กับการเจริญเติบโตในวัยต้นๆ ของชีวิตท่ีแสดงว่า วัยนี้ แท้ท่ีจริงเป็นวัยท่ีมีการพัฒนาและ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระทบอย่างมากต่อความเข้าใจเก่ียวกับการพัฒนาเด็กในวัยนี้ อยา่ งรอบดา้ น โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ความสามารถและกระบวนการเรยี นรขู้ องเดก็ ในวยั นี้ ในขณะที่ รัฐบาลชุดนี้ ก็ได้ให้ความสนใจเรื่องปฏิรูปการศึกษาที่พยายามให้มีการเปล่ียนแปลงปรัชญา และวธิ ีการพฒั นาเดก็ ปฐมวัยอย่างชดั เจน ความส�ำคัญอีกประการหนึ่งคือ คุณ Erika เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงกับเด็กปฐมวัย ท้ังในด้านการสัมผัสตรงกับเด็กในเร่ืองการเรียนการสอน พร้อมกับได้มีการยกตัวอย่าง การสมั ภาษณเ์ ดก็ เพมิ่ เตมิ และมผี ลงานดา้ นวจิ ยั รวมทงั้ เปน็ สว่ นหนงึ่ ขององคก์ รดา้ นการพฒั นา 2

เด็กปฐมวัยในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งหมายความว่า มิได้เป็นเพียงผู้รวบรวมความคิดเห็นต่างๆ มานำ� เสนอในเชงิ วชิ าการเท่านั้น อย่างไรกด็ ี หนังสอื ทคี่ ุณ Erika แต่งนัน้ เพื่อให้ปรบั ปรุงงาน ด้านน้ี เข้าใจว่า เขียนเพ่ือปรับปรุงการพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก และแมว้ า่ ศาสตราจารย์ นายแพทยว์ จิ ารณ์ พานชิ จะไดก้ รณุ าเขยี นเพมิ่ เตมิ ในหลายสว่ นใหเ้ หมาะ กบั สงั คมไทยมากขึน้ ก็ตาม ผูอ้ ่านหนงั สือยังต้องตระหนักวา่ ในบางเรือ่ ง ยงั คงตอ้ งคดิ ถึงบริบท ของสงั คมไทยไว้ด้วย เชน่ การกล่าวถึง การเรยี นร้ดู า้ นการอ่านภาษา เปน็ ตน้ ในฐานะผู้อ่านอาจจะเห็นว่า ข้อความบางข้อความเกี่ยวกับด้านต่างๆ ของการพัฒนา เดก็ ปฐมวยั (เชน่ ดา้ นอารมณ์ ดา้ นการเรยี นรภู้ าษา ฯลฯ) อาจมคี วามไมช่ ดั เจนเกย่ี วกบั ประมาณ ช่วงอายุของเด็กในเร่ืองนั้นๆ หรือมีค�ำศัพท์ทางวิชาการหลายค�ำที่ผู้อ่านต้องหาข้อสนเทศ เพิม่ เติมเอง ดิฉนั หวังว่าหนงั สือของท่านศาสตราจารย์ นายแพทยว์ จิ ารณ์ พานิช เลม่ นี้ จะช่วยชน้ี ำ� เก่ียวกับความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาเด็กปฐมวัยแก่ผู้ท่ีสนใจ นักวิชาการและผู้ปฏิบัติ รวมทง้ั พอ่ แมผ่ ปู้ กครอง คร/ู อาจารย์ และผ้ดู ูแลเดก็ ปฐมวยั ดร. สายสุรี จตุ ิกลุ กนั ยายน ๒๕๖๑ 3

คำ�นิยม เปน็ ทนี่ า่ ยนิ ดอี ยา่ งยงิ่ ทผ่ี ใู้ หญ่ในบา้ นเมอื งอยา่ งทา่ น ศ.นพ.วจิ ารณ์ พานชิ ทเ่ี ปน็ ทง้ั แพทย์ และผู้ท่ีมีส่วนสำ�คัญย่ิงต่อการผลักดันงานการศึกษาของชาติ ได้ให้ความสนใจและเอาใจใส่กับ การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดงั จะพบไดจ้ ากขอ้ คดิ ความเหน็ จากหลายขอ้ เขยี น การบรรยายหลายเวที ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ด้วยสายตาที่เห็นถึงส่ิงท่ีมีค่าและมีอยู่จริงในตัวเด็ก ซึ่งมิได้มีเพียง ความน่ารักน่าเอ็นดู ความไมเ่ ดียงสา และการเติบโตทป่ี ระจกั ษ์ไดด้ ว้ ยตาเทา่ นน้ั และครง้ั นกี้ บั หนงั สอื “พลงั แหง่ วยั เยาว”์ ทถ่ี กู แปลและเรยี บเรยี งขน้ึ โดย ศ.นพ.วจิ ารณ์ พานชิ จากหนังสือ The Importance of Being Little : What Young Children Really Need from Grownups โดย Ericka Christaki ได้น�ำพาผู้ใหญ่เข้าไปรับรู้ถึงโลกภายในของเด็กตัวเล็กๆ ที่มักจะสร้างความอัศจรรย์ใจให้ผู้ใหญ่ตัวโตๆ อยู่เสมอ แล้วก็ยังมีความ “ไม่รู้” อีกหลายสิ่ง ในตัวเด็กท่ีชวนให้สืบค้นกันต่อไป หนังสือเล่มนี้ท�ำให้ได้รู้ลึกถึงชีวิตในวัยเยาว์ท่ีเปี่ยมด้วยพลัง ของการเรยี นรแู้ ละการเตบิ โตทอี่ ยภู่ ายในของเดก็ พลงั ชวี ติ ของเดก็ เปน็ ดจุ ศกั ยภาพของตน้ ออ่ น ในเมล็ดพันธุ์ช้ันดีท่ีพร้อมจะงอกงาม และจะน่าเสียดายยิ่งหากความไม่รู้และความคาดหวัง ที่ผิดทางของผู้ใหญ่มาบั่นทอนพลังชีวิตของเด็ก แทนที่จะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เก้ือหนุนศักยภาพ ทีม่ ีในตัวเดก็ ได้เติบโตงอกงาม ด้วยวิธีการแปลท่ีคัดสรรสาระส�ำคัญ เช่ือมโยงเข้ากับแนวทางการอบรมเลี้ยงดูและ การจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กเล็กของไทย ประกอบการวิพากษ์และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ของผู้แปลที่เปี่ยมด้วยมุมมองของผู้รู้ที่ผ่านโลกมานานด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่ออ่าน 4

แลว้ จงึ เกดิ ขอ้ คดิ อนั เปน็ ประโยชน์ และเกดิ อรรถรสยง่ิ กวา่ การอา่ นจากตวั หนงั สอื ทผ่ี า่ นการแปล เท่าน้ัน อีกทง้ั การเลือกใชถ้ อ้ ยค�ำในหนังสอื เล่มนี้ จะมลี กั ษณะ “บอกตรงๆ ชัดเจน” ทำ� ใหอ้ ่าน เข้าใจได้ง่าย ไม่ท�ำให้ ตัวหนังสือ เป็นอุปสรรคต่อการเชื่อมต่อความคิดของผู้เขียนสู่ผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ค้นุ เคยกบั การอา่ นหนังสอื แปล การอ่าน “พลังแห่งวัยเยาว์” ไม่สามารถท่ีจะอ่านแบบรวดเดียวจบได้ เพราะแต่ละ ประโยค แตล่ ะย่อหนา้ ทำ� ให้ตอ้ งสะดดุ และหยุดคดิ ถงึ สง่ิ ท่ที �ำ ส่ิงทเ่ี ปน็ อยู่ และสิ่งทสี่ ่งผลต่อเดก็ การหยิบยกประเด็นและมุมมองต่อเด็กมีความละเอียดลึกซึ้งชวนติดตาม บางเร่ืองก็เป็นสิ่งที่ ก�ำลงั พยายามทำ� ให้ดีข้ึน แต่กอ็ ีกหลายเรื่องเหลอื เกนิ ส่งิ ท่คี วรปฏิบัตติ ่อเด็ก กลบั ย้อนแย้งกบั สิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์ นักการศึกษาก�ำลังกระท�ำต่อเด็ก สิ่งท่ีพยายามท�ำด้วยความหวังดี กลับกลายเป็นความยุ่งยากซับซ้อนท�ำให้ย่ิงห่างไกลจากผลลัพธ์ที่ต้องการ ในหนังสือเล่มนี้ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจน เช่น ความพยายามสร้างมาตรฐานท่ีเต็มไปด้วยตัวชี้วัด หลักสูตร ทแี่ ขง็ ตวั การใชเ้ ทคโนโลยที ท่ี นั สมยั ลดทอนพนื้ ทขี่ องการสรา้ งสมั พนั ธภาพซง่ึ เปน็ สง่ิ สำ� คญั ยงิ่ กวา่ การปกปอ้ งเดก็ มากเกนิ ไป การออกแบบทดสอบ แบบฝกึ ทซี่ บั ซอ้ นเพอ่ื สรา้ งความเกง่ ใหเ้ ดก็ เหลา่ นี้ ลว้ นเปน็ กับดักท่ีเราสรา้ งขึ้นมาด้วยความเข้าใจทผี่ ิดพลาด เรียกไดว้ ่า “อา่ นไปก็เจบ็ จด๊ี ๆ ไป” แนน่ อนวา่ หนงั สอื ทไี่ ดร้ บั การเลอื กสรรมาแปลและเรยี บเรยี งจากผแู้ ปลทา่ นน้ี กร็ บั ประกนั ถงึ คณุ ภาพของหนงั สอื และเมอ่ื อา่ นแลว้ กเ็ ปน็ เชน่ นน้ั จรงิ ๆ แตค่ ณุ คา่ ของหนงั สอื และเจตนารมณ์ ของทา่ นผแู้ ปลคงมไิ ดม้ ไี วเ้ พอ่ื ใหผ้ อู้ า่ นอา่ นแลว้ รสู้ กึ วา่ “ดจี งั ” ดว้ ยไมไ่ ดเ้ กดิ ผลในการเปลยี่ นแปลง สู่ชีวิตท่ีดขี ้นึ ของเดก็ หากแตว่ า่ ขณะอา่ นได้คิดได้วเิ คราะห์ตามไปด้วย รวมถึงได้ใครค่ รวญถงึ สิ่ง ทกี่ ำ� ลงั ทำ� อยู่ ประเดน็ ในหนงั สอื จะกระตนุ้ เรา้ ใหเ้ กดิ ความคดิ แรงใจ และสำ� นกึ รบั ผดิ ชอบตอ่ เดก็ 5

และหาหนทางท่ีจะสรา้ ง “โอกาส” ให้เด็กไดค้ งรกั ษาและเสรมิ “พลงั แหง่ วยั เยาว”์ ตามแต่ภารกจิ หนา้ ทขี่ องแตล่ ะคนทม่ี ตี อ่ เดก็ ทำ� ใหต้ ระหนกั วา่ งานพฒั นาเดก็ เปน็ เรอื่ งของทกุ คน เพราะทกุ คน เปน็ สงิ่ แวดล้อมของเด็ก ย่อมมอี ิทธพิ ลตอ่ เด็กท้งั สนิ้ ไมท่ างตรงกท็ างออ้ ม ขอคารวะท่าน ศ.นพ.วจิ ารณ์ พานชิ ท่ที ำ� ใหม้ ีหนงั สอื “พลังแห่งวยั เยาว”์ ใหค้ นไทย ได้อา่ น ไดท้ ำ� ความเข้าใจกับชวี ิตในชว่ งปฐมวยั เพราะการพัฒนาเด็กปฐมวยั อย่างถกู ทศิ ถูกทาง ย่อมเป็นการสร้างรากฐานของชีวิต ท่ีจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพให้กับประเทศ ถือเป็น ความมน่ั คงของชาติอยา่ งยง่ั ยนื ธดิ า พิทกั ษ์สนิ สุข กรรมการบรหิ ารสมาคมอนุบาลศึกษาแหง่ ประเทศไทย ในพระราชปู ถมั ภส์ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี 6

คำ�นิยม ล�ำพังสองบทแรกของหนังสือเล่มนี้ก็เก็บความการศึกษาปฐมวัยที่ควรจะเป็นเอาไว้ ครบถว้ นแลว้ ปญั หานา่ จะอยทู่ วี่ า่ ทำ� อยา่ งไรผกู้ มุ นโยบายการศกึ ษาปฐมวยั ประเทศไทยจะไดอ้ า่ น ผบู้ งั คบั บญั ชาทกุ ระดบั รวมทงั้ ครปู ฐมวยั จะไดอ้ า่ น และอาจจะรวมไปถงึ ครปู ระถมหนงึ่ ซงึ่ จะเปน็ ผรู้ บั ไมต้ ่อจากครูปฐมวยั จะได้อา่ นดว้ ย ทยี่ ากยง่ิ กวา่ คอื อา่ นแลว้ กำ� หนดวสิ ยั ทศั น์ใหม่ และเรมิ่ ตน้ เปลย่ี นแปลงอยา่ งเปน็ ระบบเสยี ที เพอ่ื ใหผ้ ้กู ุมนโยบาย ผบู้ ังคบั บญั ชา และครูได้อ่านแลว้ เกบ็ ความเร็วข้ึน ผมขอใชเ้ นอื้ ที่นี้ ช่วยเหลือทา่ นอาจารย์ให้ทุกท่านเก็บความไดด้ ว้ ยความเรว็ สูงอีกแรงหนึ่ง สองบทแรกนี้คำ� สำ� คญั ท่ีสดุ น่าจะเปน็ คำ� วา่ scaffolding ซง่ึ ท่านอาจารยแ์ ปลว่า “นง่ั รา้ น” ค�ำนี้เป็นรูปธรรมมากตามไซต์ก่อสร้าง แต่ดูเหมือนจะเข้าใจกันยากเมื่อส่ือสารให้แก่ครู คร้ังน้ี อาจารย์ได้เขียนชัดเจนว่าล�ำพังการพูดคุยระหว่างครูและเด็กอนุบาลก็เป็นน่ังร้านแล้ว ค�ำถาม จึงง่ายมาก “คณุ ครูได้พูดคุยกบั เดก็ ๆ” มากเพยี งไรและอยา่ งไร หรอื ว่าใชเ้ วลาส่วนใหญ่ไปสอน ดงั ทอี่ าจารย์ไดเ้ ขยี นดว้ ยมองโลกในแงด่ ีในยอ่ หนา้ ถดั ๆ มาวา่ การสอนมไิ ดถ้ งึ กบั มขี อ้ เสยี ในตัวเองทง้ั หมด แตอ่ ย่างน้อยที่สดุ คอื เสียเวลาสรา้ งน่ังรา้ น ค�ำถัดมาน่าจะเป็นค�ำว่า constructivism ซ่ึงเป็นรากฐานของการปล่อยให้เด็กจัด การเรยี นรเู้ อง ความขอ้ นเี้ ปน็ เรื่องยาก และทา่ นอาจารย์วิจารณเ์ องกก็ ล่าววา่ ยาก ผมคิดว่าไม่มี ทางเลอื ก ประเทศไทยควรโจนเขา้ ใสเ่ รอื่ งน้ีไดใ้ นวันพรุ่งน้ี 7

เวลาผมขบั รถออกจากไฮเวย์ เขา้ ไปในถนนเสน้ เลก็ สกั เสน้ โดยเฉพาะเมอื่ เขา้ ไปในปา่ และ ขนึ้ ดอย ดอยทวี่ า่ นี้ไมต่ อ้ งสงู ยกตวั อยา่ งเมอื่ วานนกี้ อ่ นทจี่ ะมานงั่ เขยี นคำ� นยิ มนผ้ี มนงั่ รถผา่ นไป โรงเรียนหว้ ยแมท่ ราย (นามสมมติ) ซง่ึ ห่างเพียง ๑๕ กิโลเมตรจากตวั เมอื งเชียงราย โรงเรยี น ต้ังบนเนิน ในป่า ท่ามกลางหมู่บ้านชาวเขาท่ีเป็นคริสเตียน เราจะเห็นป้ายโรงเรียนขนาดใหญ่ สวยงาม และร้ัวโรงเรียนยาวเหยียดไปตามเนินเป็นก�ำแพงคอนกรีตท่ีล้อมนักเรียนเอาไว้ รอบบริเวณโรงเรียนหลายพันไร่เป็นทรัพยากรธรรมชาติล�้ำค่า ชุมชนและชาติพันธุ์ต่างศาสนา ท่ีอาศัยอยู่ร่วมกัน สิ่งแวดล้อมท่ีสะอาดเจือปนด้วยขยะและยาเสพติด เหล่านี้ต้ังอยู่และปล่อย เวลาผ่านไปอยา่ งนา่ เสียดายเวลาในแต่ละวัน แตล่ ะเดอื นและแตล่ ะปี ผมเหน็ “นงั่ รา้ น” และเหน็ หอ้ งเรยี นธรรมชาตทิ เ่ี ดก็ ๆ สามารถจดั การเรยี นรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง แตเ่ ราทราบกนั ดวี า่ คณุ ครทู ำ� อะไรมไิ ดม้ ากนกั นอกจากสอนหนงั สอื ตามหลกั สตู ร เพยี งแวบ่ หนงึ่ นักเรียนชายวัยประถมข่ีรถมอเตอร์ไซค์มีเด็กหญิงช้ันประถมในเครื่องแบบน่ังซ้อนท้ายผ่านไป ดว้ ยความเรว็ ผมมคี ำ� ถามเสมอวา่ เขาจะเรยี นทน่ี ถี่ งึ ไหนแลว้ ไปไหนตอ่ สอบแขง่ ขนั ไปโรงเรยี น ในเมอื งเพอ่ื แข่งขนั กนั ตอ่ ไปเชียงใหมแ่ ละกรุงเทพฯ เข้าสู่ระบบตวิ ทอ่ ง และสอบตามหลกั สตู ร แตไ่ มม่ กี ารเรยี นรูร้ ุ่นแล้วรนุ่ เล่า ผู้แพไ้ มร่ ูไ้ ปไหน และวา่ ท่ีจรงิ แล้วผู้ชนะในปัจจุบนั ก็ไม่มีที่ไป คณุ ครบู า้ นนอกคนหนง่ึ นงั่ ลงคยุ กบั เดก็ ถงึ ชวี ติ ประจำ� วนั ของพวกเขากเ็ กดิ “นงั่ รา้ น” แลว้ เด็กสนใจสิ่งใดเราเริ่มการเรียนรู้จากตรงนั้นก็เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กจัดการเรียนรู้ด้วย ตนเองแล้ว มีค�ำถามว่าครูบ้านนอกไม่มีความสามารถจะท�ำต่อได้นั้นอาจจะจริง แต่จะว่าหมด โอกาสโดยสนิ้ เชงิ นน้ั อาจจะไม่ เพราะทแ่ี ทแ้ ลว้ การเรยี นรแู้ ละความรกั มาดว้ ยกนั ดงั ทที่ า่ นอาจารย์ ได้เขียนเอาไว้ คุณครูทุกคนรักเด็กเป็นแน่นอน อย่างน้อยก็เมื่อเริ่มต้นชีวิตครู แล้วถ้ามีเวลา และเป็นตัวของตวั เองมากพอ 8

คณุ ครเู องอาจจะรสู้ กึ วา่ ตวั เองไมม่ คี วามสามารถ แตห่ ากเราเชอ่ื แนวคดิ Zone of Proximal Development ของ Lev Vigotsky ดงั ทท่ี า่ นอาจารย์ไดเ้ ขยี นสรปุ ไวแ้ ลว้ กลา่ วคอื เดก็ พฒั นาเองได้ เราอย่ายุ่งมาก แต่เม่ือถึงจุดหน่ึง เด็กจะต้องการตัวช่วยเพื่อผลักเขาไปสู่ “นั่งร้าน” ถัดไป ครูมักถูกคาดหมายให้ท�ำหน้าที่น้ี แต่ครูก็สามารถใช้กระบวนการกลุ่มของเด็กปฐมวัยเองท�ำ หน้าท่ีน้ีได้ กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมคือการละเล่นและการท�ำงานเป็นกลุ่มของเด็กๆ นั่นเอง ที่จะช่วยเหลือกนั ผลกั กนั และกนั ให้พัฒนาการไปสนู่ ่งั รา้ นขน้ั ต่อไปโดยธรรมชาติ เขียนถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะบอกว่าที่แท้แล้วครูบ้านนอกในชนบทที่มีทรัพยากร แหล่งเรยี นรู้รอบตัวมขี ้อไดเ้ ปรยี บกวา่ ครูในโรงเรยี นใหญ่มีชื่อเสยี งในตัวเมอื งด้วยซ้ำ� ไป ทผ่ี นงั ดา้ นนอกของกำ� แพงโรงเรยี นเขยี นรายนามผบู้ รจิ าคเงนิ สรา้ งกำ� แพงตดิ อยตู่ ลอดแนว ก�ำแพงหลายสิบเมตรไปตามเนินเขา ผนังละ ๑ ช่ือตัวใหญ่ๆ ผิดกับหลายโรงเรียนที่มักเป็น ภาพวาดของเดก็ ๆ บางทโี รงเรยี นนอ้ี าจจะมภี าพวาดของเดก็ ๆ อยทู่ ผี่ นงั ดา้ นใน และอาจจะมรี ปู นก หรือสิงสาราสัตว์ ชวนให้นึกถึงบทถัดไปของท่านอาจารย์ในหนังสือเล่มนี้ท่ีเขียนว่าภาพวาด ทิวทัศน์สูน้ กร้องทน่ี อกหน้าตา่ งไมไ่ ด้ ภาพผีเสอ้ื หรือผง้ึ ท่ีฝาผนังส้ผู เี ส้ือตัวจริงไมไ่ ด้ กย็ ่งิ ชวนให้ เสยี ดายโอกาสของโรงเรยี นนบั หมนื่ โรงทว่ั ประเทศไทยทปี่ ลอ่ ยใหน้ กและผเี สอื้ บนิ ผา่ นเดก็ ไปวนั ๆ หลายโรงเรยี นในชนบทน้ันเรียกได้ว่าล้อมดว้ ยฝงู นกนบั พนั และฝงู ผเี สื้อนับแสน ที่บริเวณเวียงหนองหล่ม อ�ำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อันเป็นบริเวณท่ีเกิดเหตุ ของตำ� นานกนิ ปลาไหลเผอื กแลว้ เมอื งนนั้ กล็ ม่ ลง บรเิ วณนม้ี ปี างควายใชเ้ ปน็ ทเี่ ลยี้ งควายหลายฝงู ฝูงละ ๕๐-๑๐๐ ตัว รวมแล้วเป็นหลักพันอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติท่ีกว้างใหญ่ ไพศาลหลายพันไร่ มเี ขตดนู กอินทรี นกปากห่าง นกกระยาง และนา่ จะอีกหลายสบิ ชนดิ รอบๆ เวยี งหนองหลม่ นมี้ โี รงเรยี นนบั สบิ โรงทส่ี รา้ งกำ� แพงปดิ ตวั เองเอาไวม้ ดิ ชดิ แลว้ สอนวชิ าชวี วทิ ยากนั อยู่ในหอ้ งเรียน ทกุ ครัง้ ทผี่ มขับรถเขา้ ไปดคู วายผมจะนกึ ถงึ นักเรียนตาดำ� ๆ ทุกครงั้ ไป 9

ท�ำไมธรรมชาติและของจริงส�ำคัญ อาจารย์เขียนเอาไว้แล้วในบทถัดมาว่าคือการกระตุ้น ประสาทสมั ผัสทั้งหา้ อันจะเป็นรากฐานของวงจรประสาทจำ� นวนมากในสมองของเดก็ ๆ ประเดน็ ท่ีควรได้คือเราส่งเด็กปฐมวัยไปโรงเรียนอนุบาลวันนี้เพื่อกระตุ้นสมองของเขาให้พัฒนาในทาง ทถี่ กู ทค่ี วร มิใช่เพียงเพื่อได้เกรดดๆี อย่างฉาบฉวยกลบั บา้ น บทถัดมาท่านอาจารย์เล่าเรื่องไก่งวง หลายประเทศทางตะวันตกมีเทศกาลวันขอบคุณ พระเจ้าซึ่งไก่งวงเป็นส่วนประกอบส�ำคัญของเทศกาลและคุณครูสมัยใหม่สามารถใช้ประโยชน์ จากไก่ง วงเพอื่ การเรียนร้ไู ดห้ ลากหลายวิธมี ากกวา่ แค่จดั ประกวดวาดรูปไก่งว่ ง ที่บ้านนอกประเทศไทยมีเทศกาลประจ�ำปีท่ีเด็กๆ และคุณครูรื่นเริงกันได้ปีละ ๓ ครั้ง เปน็ อยา่ งน้อย คอื สงกรานต์ เขา้ พรรษา และลอยกระทง เป็นสามเทศกาลหลักของทุกโรงเรียน ท่ีสามารถฉวยโอกาสเป็นแหล่งเรียนรู้ได้ทุกวิชาอย่างเป็นองค์รวมต้ังแต่วิทยาศาสตร์ไปจนถึง ศลี ธรรม นอกเหนอื จากการประกวดหนนู อ้ ยสงกรานต์ แหเ่ ทยี นพรรษา หรอื ขบวนแหน่ างนพมาศ จะเห็นว่าเราปฏิรูปการศึกษาได้ทุกวัน ทุกเดือน ทุกสามเดือนและทุกปี แต่แล้วปีต่อปีก็ผ่านไป เหมือน เช่นทกุ ๆ ปี ดังท่ีเขียนไว้ ล�ำพังบทแรกของหนังสือเล่มน้ีก็อธิบายการศึกษาปฐมวัยครบถ้วนแล้ว เมื่ออ่านต่อไปจนหมดจะพบความสมบูรณ์ของเน้ือหา มีค�ำส�ำคัญท่ีจ�ำเป็นต้องรู้และต้องใช้ อกี หลายคำ� มกั มคี ำ� กลา่ ววา่ รหู้ มดแลว้ แตท่ ำ� ไมไ่ ด้ ในทางปฏบิ ตั นิ ยิ ม (pragmatism) หากทำ� ไมไ่ ด้ เราถอื วา่ ยังไม่รู้ นายแพทย์ประเสรฐิ ผลติ ผลการพมิ พ์ 10

คำ�นิยม ความท้าทายในการพัฒนาทุนมนุษย์ในวันน้ีไม่ได้อยู่ที่ระบบการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่คือสังคมท้ังระบบท่ีก�ำลังพราก “ความเป็นมนุษย์” ไปจากเด็กๆ อย่างช้าๆ จนไม่แน่ว่า วันหน่ึงเด็กรุ่นใหม่อาจมีสภาพไม่ต่างจากหุ่นยนต์ แถมยังเป็นหุ่นยนต์ตกกระป๋องท่ีแพ้หุ่นยนต์ ด้วยกันอีกด้วย แล้วตกลงมนุษย์จะมีอะไรดีกว่าหุ่นยนต์ เร่ืองนี้เป็นท่ีถกกันอย่างกว้างขวาง ในเวทีนานาชาติจิตวิทยา มีข้อสรุปร่วมอย่างน้อย ๔-๕ เรื่องท่ีส�ำคัญในการเป็นมนุษยชาติ ทตี่ า่ งจากหนุ่ ยนต์ ท่ีไมม่ วี นั ท่ีโลกอนาคตจะพฒั นา Artificial Intelligence ขน้ึ มาเทยี บเคยี งมนษุ ย์ ได้แน่นอน กล่าวคอื ๑. สายใยรกั และความผูกพนั ความรักที่เกดิ ขนึ้ บนความเจ็บปวด พร้อมๆ ไปกบั การร่วมทุกข์ร่วมสขุ ด้วยกนั ๒. จิตส�ำนกึ และคณุ ธรรม ๓. จินตนาการ ความคิดสรา้ งสรรค์ คิดนอกกรอบ มีความส�ำคัญเหนือกว่าความรู้ ๔. แรงบันดาลใจ ที่เราเรียกว่าพลังศรัทธาซึ่งจะ ทำ� ให้มนษุ ย์เรามพี ลงั ในการพฒั นาเกนิ รอ้ ย ขณะที่งานสำ� รวจต้นทุนชีวติ /ทุนชีวิต เพื่อวดั จิตส�ำนึกของเด็กทีม่ ีต่อตนเองและตอ่ สงั คม ท่ีตนเองอาศัยอยู่ท้ังบ้าน ชุมชน โรงเรียนและเพื่อน บนตัวชี้วัดที่ฟังเสียงสะท้อนจากเด็กเอง ในกลมุ่ เดก็ อายุ ๑๕-๑๘ ปี (ระดับมัธยมปลาย) ๓ กลุ่ม กล่มุ แรกคือเด็กในระบบการศึกษาปกติ โดยสมุ่ ตวั อยา่ งจากระบบการศกึ ษาทกุ เขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาทวั่ ประเทศ กลมุ่ ทส่ี องคอื เดก็ ทเ่ี รยี นเกง่ ทสี่ ดุ ของประเทศทก่ี ำ� ลงั เขา้ คา่ ยโอลมิ ปกิ และกลมุ่ สดุ ทา้ ยคอื เดก็ ทหี่ ลดุ ออกจากระบบการศกึ ษาไทย พบวา่ “เดก็ กลมุ่ ทเ่ี รยี นเกง่ ทส่ี ดุ ของประเทศสะทอ้ นพลงั ทนุ ชวี ติ ตำ่� ทสี่ ดุ แมว้ า่ เดก็ กลมุ่ นพี้ ลงั ทนุ 11

ชวี ติ ดา้ นครอบครวั ดที สี่ ดุ และขน้ึ ชน้ั ดเี ยย่ี ม แตต่ รงกนั ขา้ มกลบั มพี ลงั ชมุ ชนตำ�่ ทส่ี ดุ และตกทกุ ตวั ชี้วัดในพลังชุมชน เขาขาดทักษะในการอยู่ร่วมกับสังคม อ่อนจิตส�ำนึกสาธารณะ” ขณะที่เด็ก ทหี่ ลดุ ออกจากระบบการศกึ ษาซงึ่ เปราะบางมากๆ บางคนอนาถาไมม่ พี อ่ แม่ ผใู้ หญ่ใจดเี กบ็ เกยี่ ว เดก็ เหลา่ นมี้ าพฒั นา แตก่ ลบั พบวา่ มพี ลงั ทนุ ชวี ติ โดยเฉพาะดา้ นจติ สำ� นกึ สาธารณะทดี่ กี วา่ กลมุ่ ทเ่ี รยี นเกง่ ทสี่ ดุ ของประเทศ นค่ี อื เหตผุ ลทที่ ำ� ใหต้ อ้ งเนน้ ยำ�้ เรอ่ื งการสรา้ ง “จติ สำ� นกึ ” เพราะสงั คม ต้องการคนดีทีเ่ กง่ ไม่ใช่ระบบพฒั นาให้เก่งแตเ่ หน็ แก่ตวั ด้วยประสบการณ์ดูแลพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ที่ดูแลเด็กมาหลายสิบปี ในการมารับ การดแู ลดา้ นพฤตกิ รรมในวยั รุน่ พบว่าครึง่ หนง่ึ ของจำ� นวนเคสท่ีเขา้ มาขอคำ� ปรกึ ษา ต้องรักษา คนทพ่ี ามา คอื การปรบั จนู ทศั นคตแิ ละเทคนคิ การเลยี้ งลกู อยา่ งสรา้ งสรรค์ใหก้ บั พอ่ แมผ่ ปู้ กครอง ที่เลี้ยงดูพ่อแม่ที่พาเด็กมา และอีก ๒๕% คือตามไปซ่อมคนที่ส่งเด็กมา น่ันคือครูที่โรงเรียน “ดังน้ันโดยประสบการณ์ก�ำลังจะสะท้อนให้เห็นว่า ระบบนิเวศของเด็กและวัยรุ่นป่วยมากกว่า ตวั เดก็ ไมว่ า่ จะรำ�่ รวยหรอื ยากจน แตห่ ากขาดความรกั ความใส่ใจทพี่ อดี พรอ่ งมนี อ้ ยหรอื ใหม้ าก จนเกนิ ไปทเ่ี รียกวา่ เลย้ี งจนสำ� ลกั ความรกั ลว้ นสง่ ผลกระทบตอ่ ลกู ได้ท้งั ส้ิน” ระบบนิเวศของเด็กเปล่ียนไป นอกจากบ้านเปลี่ยน โรงเรียนก็เปลี่ยน ถ้าให้หมอมาเป็น นักเรียนสมัยน้ี ก็ไม่แน่ใจว่าจะสอบติดหรือเปล่า เพราะข้อสอบเราเป็นระบบแพ้คัดออก (High Stake test) เม่ือเปน็ ระบบนี้ วิธีออกข้อสอบวธิ เี ดยี วกค็ อื ต้องออกแบบใหม้ คี นแพ้ ทกุ คนก็ตอ้ ง ดิ้นรนเพ่ือชนะ ก็ต้องอ่านหนังสือให้หนักขึ้น เด็กอนุบาลไปเรียนคอร์สประถม เด็กประถมต้น ก็ไปเรยี นของประถมปลาย ทง้ั หมดนที้ ำ� ไปเพอื่ แคเ่ อาชนะขอ้ สอบใหไ้ ด้ แลว้ ขอ้ สอบกย็ งิ่ ออกยาก ขึ้นไปอีกเพื่อจะหาผู้แพ้ให้ได้ วิชาเรียนปัจจุบันจึงแน่นไปด้วยแบบเรียนมากกว่าแบบฝึกหัด อัดทฤษฎีเข้าไปต้ังแต่เล็ก ยากกว่าที่คนสมัยก่อนต้องเจอมาก สมัยก่อนตอนบ่ายเราสามารถ 12

เล่นได้อย่างอิสระเสรี (Free Play) เด๋ียวนี้เด็กไม่เล่นแล้ว เพราะต้องเอาเวลาไปเตรียมตัวเพ่ือ เอาชนะเพอ่ื น และเมอื่ มผี ชู้ นะ กต็ อ้ งมผี แู้ พ้ ผแู้ พจ้ ะรสู้ กึ อยา่ งไรถา้ เขารสู้ กึ เปน็ ผแู้ พต้ งั้ แตอ่ นบุ าล และแพ้มาตลอดอย่างต่อเน่ือง ขาดความเชื่อมั่น รู้สึกต�่ำต้อยไร้คุณค่าจนมีความรู้สึกสิ้นหวัง กับพึง่ ระบบการศกึ ษาท่ีออกแบบมาแขง็ ตวั (Learn Helplessness) ชมุ ชนกเ็ ปลย่ี นแปลงไปจากอดตี ไมม่ คี วามยง่ั ยนื อยแู่ บบตวั ใครตวั มนั ไมเ่ หมอื นสมยั กอ่ น ท่ที ุกคนในละแวกบา้ นรู้จกั กันหมด คนแปลกหนา้ เขา้ มาในชมุ ชนเราก็รู้ เด๋ียวนี้เดินกันขวกั ไขว่ แต่ผู้สูงวัยอยู่ในชุมชนแท้ๆ ตอนเสียชีวิตไปไม่มีใครรู้เลย นี่คือความอ่อนแอที่เกิดข้ึน ชุมชน โรงเรียน ครอบครัว สามอย่างนี้คือระบบนิเวศของเด็กท่ีจะหล่อหลอมเขา การเติบโตของเด็ก ต้องผ่านการเลยี นแบบพฤตกิ รรม เม่อื ระบบนิเวศเป็นแบบนี้ เขาจะหาตน้ แบบท่ดี ไี ด้ยาก นคี่ ือ จดุ อ่อนที่พยายามจะวิเคราะห์ให้เห็นว่า ในขณะทีเ่ ราม่งุ หวงั ใหเ้ ด็กเปน็ คนดี แต่ท�ำไมเดก็ สมยั น้ี เขาใหค้ วามสำ� คญั กบั ความเกง่ มากกวา่ กเ็ พราะระบบทกุ อยา่ งรอบตวั มนั ถกู วางใหเ้ ขาเดนิ ไปแบบนน้ั แม้แต่ทัศนคติเดิมที่ผู้ใหญ่ทุกคนต่างเข้าใจว่า เด็กทุกคนท่ีเกิดมาเปรียบเสมือนผ้าขาว ลวดลายท่ีเกิดข้ึนบนผ้ามาจากการเล้ียงดูและสภาพแวดล้อม แต่หากเปิดโลกทัศน์ (Growth mindset) บนความเข้าใจในหลักพัฒนาการเดก็ ก็จะเข้าใจไดท้ นั ทวี า่ “เด็กทกุ คนเกดิ มา ไม่ใช่ ผา้ ขาว อยา่ เขา้ ใจผดิ แตเ่ ขาเหลา่ นนั้ เกดิ มาใสบรสิ ทุ ธบิ์ นพน้ื ฐานอารมณต์ ง้ั แตเ่ กดิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั (Temperament) ลวดลายทเี่ กดิ บนผา้ ทมี่ สี พี น้ื แตกตา่ งกนั นนั้ มาจากการเลยี้ งดแู ละสภาพแวดลอ้ ม ตามความสามารถของเด็กแต่ละคนท่ีไม่เหมือนกัน” หากเข้าใจและเปิดมุมมอง การเลี้ยงลูก แบบเปรียบเทียบและการใช้ระบบแพ้คัดออกตั้งแต่ฟันน�้ำนมก็ไม่ควรจะเหมาะสม การเรียนรู้ ของเด็กผ่านการเล่น มีความสุข พัฒนาให้กลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ บนหน้าที่ของผู้ใหญ่ ในการเล่นบทบาทเป็นนักเหลาความคิดที่ท้าทาย ให้เด็กเกิดพัฒนาการบนความยากล�ำบาก 13

ข้ันพ้ืนฐาน (Scaffolder) ท่ีไม่ไปท�ำลายซึ่งจินตนาการ แรงบันดาลใจ และการฝึกฝนคุณธรรม ประจ�ำใจตง้ั แตเ่ ดก็ เล็กๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ ท่าน ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช อาจารย์ท่ีผมเคารพรักได้เรียบเรียง หนงั สอื บันทึกชดุ พลงั แห่งวัยเยาว์ ทต่ี คี วามจากหนงั สอื The Importance of Being Little : What Young Children Really need from Grownups ซง่ึ เขียนโดย Erika Christakis โดยเนอ้ื หา ในหนังสือชุดนี้สะท้อนให้เห็นความส�ำคัญในการพัฒนาเด็กๆ ด้วยการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ ต่อสมองส่วนคิดช้ันสูง อีกท้ังผู้ท่ีเรียบเรียงเนื้อหามากด้วยประสบการณ์ท่ีได้ใส่การวิเคราะห์ บนสถานการณ์ และวิวัฒนาการจริงในสังคมไทย เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจท้ังสาระและความเป็นจริง ตามบริบทสังคมไทย เช่ือมั่นว่า เป็นหนังสือท่ีมีคุณค่าต่อทั้งวงการศึกษาและวงการพัฒนา ทรัพยากรมนษุ ย์ใหเ้ ปน็ มนษุ ย์ทีส่ มบรู ณ์ ขอขอบคณุ รศ.นพ.สุริยเดว ทรปี าตี 14

คำ�นำ� ปจั จบุ นั ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การพฒั นาเดก็ เลก็ ยงั มคี วามเขา้ ใจทค่ี ลาดเคลอื่ น สง่ิ ทก่ี ำ� ลงั เกิดข้ึนขณะน้ีคือ พ่อแม่ / ผู้ปกครอง แข่งกันส่งลูกเข้าเรียนตั้งแต่อายุท่ีน้อยลงไปเรื่อยๆ เด๋ียวนี้เท่าที่ทราบสองขวบพ่อแม่ก็ส่งให้ไปโรงเรียนกันแล้ว และย่ิงความคาดหวังของพ่อแม่ ที่สวนทางกับพัฒนาการที่แท้จริงของลูก ความคาดหวังให้ลูกอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่วัย ก่อนเกณฑ์ กลายเป็นเรื่องที่กลับมาท�ำร้ายพัฒนาการของลูกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และกดดัน ให้ครศู ูนยเ์ ดก็ เล็กเร่งพัฒนาเด็กเกินวยั หนงั สอื “พลงั แหง่ วยั เยาว์” เขียนโดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช รองประธานกรรมการมลู นธิ ิ สยามกัมมาจล ซ่ึงเขยี นไวใ้ นบลอ็ ก Gotoknow เปน็ บนั ทกึ ตีความจากหนังสือ The Importance of Being Little : What Young Children Really Need from Grownups ซึง่ เปน็ หนงั สอื ติดอันดับ ขายดีของ New York Times Bestseller เขียนโดย Erika Christakis จะท�ำหน้าที่ปูพื้นฐาน ความเข้าใจท่ีถูกต้องให้กับพ่อแม่หรือใครสักคนที่ต้องดูแลเด็กเล็กให้เข้าใจว่าตนเองมีอิทธิพล แคไ่ หนต่อการปูรากฐานของชวี ติ ของคนคนหนงึ่ หนงั สอื เล่มน้ีได้สอ่ งแสงให้เราเหน็ ว่า “...เด็กเล็กมีพลังของการเรียนรู้มากกว่าที่เราคิด โดยท่ีเด็กจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา หากผใู้ หญท่ ำ� ความเขา้ ใจเดก็ และรวู้ ธิ สี ง่ เสรมิ การเรยี นรู้ เดก็ จะเตบิ โตเตม็ ศกั ยภาพและเปน็ คนดี มีประโยชนต์ อ่ สังคม มากกวา่ ท่เี ป็นอยู่ในขณะนี้มากมาย” ด่งั ค�ำกลา่ วของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ในหนงั สือเล่มนี้ 15

คณุ หมอประเสรฐิ ผลติ ผลการพมิ พ์ เคยกลา่ วไวว้ า่ การเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั คอื รากฐาน ของชีวิตและเป็น “เวลาวิกฤต” คือเป็น “โอกาสทอง” ในการวางรากฐาน บุคลิก และตัวตน ของคนคนหน่ึง ซงึ่ ในวันขา้ งหนา้ จะเป็นอย่างไรนั้น ขนึ้ กับรากฐานของปฐมวัยน่นั เอง และหาก “เวลาทอง” นผ้ี า่ นไปแลว้ ก็ไมส่ ามารถยอ้ นกลบั มาได้ จะปพู นื้ ฐานใหมก่ ย็ ากเยน็ เสยี แลว้ หนงั สอื เลม่ น้ีไดส้ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ “พลงั แหง่ การเรยี นร”ู้ ของเดก็ ปฐมวยั ทหี่ ากพอ่ แม่ หรอื ครศู นู ยเ์ ดก็ เลก็ ทเ่ี ข้าใจจะสามารถใชช้ ว่ งเวลาทีน่ อ้ ยนักนเ้ี ปน็ โอกาสทองในการพฒั นาลกู หลานได้อย่างคุม้ ค่า หนังสือเล่มนี้ ยังพุ่งเป้าไปในช่วงวัยเด็กเล็กถึงช่วงเข้าสู่วัยเรียน ซ่ึงเป็นช่วงเริ่มต้น ของเวลาการเรียนรู้ที่มีค่ายิ่งของชีวิต และเป็นช่วงเวลาท่ีอ่อนไหวมากท่ีสุด ท่ีคนรอบข้าง จะต้องปฏิบตั ติ อ่ พวกเขาเหล่านัน้ อยา่ งเข้าใจ และการปฏิบตั ิแบบไหนเล่าทถี่ ูกต้องตามกระบวน การพัฒนาการของเด็กเล็กในแต่ละด้าน ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ได้ให้ความรู้ และแนวทางปฏิบัติไว้ อย่างไรก็ดีต้องขึ้นอยู่กับการเปิดใจยอมรับของพ่อแม่ ของครูศูนย์เด็กเล็ก เป็นส�ำคัญ เพราะ บางเรอื่ งอาจจะขดั กบั ความเข้าใจและค่านิยมของสงั คมไทยตอ่ การจดั การศึกษาของเด็กเลก็ มูลนิธิฯ หวังว่าหนังสือเล่มน้ี จะมีส่วนช่วยให้พ่อแม่และครูศูนย์เด็กเล็ก ได้เห็น “พลังแห่งการเรียนรู้” ในตัวเด็กน้อยทุกคนและท�ำหน้าที่ส่งเสริมให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ท่ีสมบรู ณ์ในวันขา้ งหน้า มลู นธิ สิ ยามกมั มาจล 16

คำ�นำ� หนงั สอื พลงั แหง่ วยั เยาว์ น้ี รวบรวมจากบกั ทกึ ใน บลอ็ ก Gotoknow ทลี่ งสปั ดาหล์ ะตอน ตง้ั แตว่ นั ที่ ๑๗ พฤษภาคม ถึง ๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ รวม ๑๓ ตอน (https://www.gotoknow. org/posts/tags/พลังแห่งวัยเยาว์) โดยบันทึกดังกล่าวตีความจากหนังสือ The Importance of Being Little : What Young Children Really Need from Grownups ซ่งึ เป็นหนังสอื New York Times Bestseller เขยี นโดย Erika Christakis เป้าหมายของการเผยแพร่หนังสือเล่มนี้ คือแนวทางพัฒนาเด็กเล็กให้เต็มศักยภาพ ทนี่ า่ เสยี ดายว่า แนวทางท่ีสังคมปจั จุบันยดึ ถอื ส่วนหนึ่งมาจากความเขา้ ใจผิด น�ำไปสูว่ ธิ ปี ฏบิ ัติ ต่อเด็กท่ีไม่ถูกต้อง มีความส้ินเปลืองโดยไม่จ�ำเป็น และที่ส�ำคัญ มีผลลดทอนโอกาสเติบโต พฒั นาเตม็ ศกั ยภาพของเดก็ โดยทพี่ อ่ แมห่ รอื ผใู้ หญจ่ ดั สงิ่ ของใหแ้ กเ่ ดก็ ดว้ ยความรกั ความหวงั ดี แต่สง่ ผลดา้ นลบตอ่ พฒั นาการของเด็ก ในปัจจุบนั การดูแลและพฒั นาเดก็ เลก็ หรือเด็กก่อนวยั เรียน กำ� ลังถูกวิธกี ารในโรงเรยี น เขา้ ครอบง�ำ ความเปน็ “preschool” ก�ำลงั ถกู ท�ำให้เปน็ “school” โดยต้งั เปา้ หมายเนน้ การเรียน วิชา หรืออ่านออกเขียนได้คิดเลขเป็น แทนที่จะเนน้ พัฒนา “ความเป็นเด็ก” ใหเ้ ตม็ ศักยภาพ หนังสือเล่มน้ีมุ่งแสดงให้เห็นว่า วัยเยาว์ของเด็กเล็กมีพลังและคุณค่าในตัวของมันเอง ในทางปฏิบัติผู้ด�ำเนินการระบบดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก ต้องระมัดระวังไม่ตกหลุมพรางของ พลังแฝงต่างๆ ท่ีท�ำลายโอกาสพัฒนาเต็มศักยภาพของความเป็นเด็ก ในนามของเจตนาดีบ้าง แฝงผลประโยชนท์ างธุรกิจบา้ ง ที่เม่อื ดำ� เนนิ การแลว้ เดก็ เสียประโยชน์ ตามรายละเอียดต่างๆ ที่กล่าวในหนังสือเล่มน้ี 17

คนกลุ่มแรกท่ีเป็นต้นเหตุให้ระบบ “การดูแลและพัฒนา” เด็กเล็ก เดินผิดทางคือพ่อแม่ (ส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) โดยต้ังเป้าหมายต่อศูนย์เด็กเล็กในทางที่ผิด คือต้องการให้เรียน วิชาการ ส่งผลให้เด็กขาดโอกาสเล่นอิสระเพื่อฝึกจินตนาการ เพ้อฝัน และการริเร่ิมสร้างสรรค์ รวมทง้ั ขาดโอกาสฝกึ ทกั ษะปฏสิ มั พนั ธก์ บั เพอ่ื นๆ และตอ่ ผใู้ หญค่ อื ครเู ดก็ เลก็ มผี ลใหพ้ ฒั นาการ ทางสังคมและอารมณ์ดอ้ ยลงไป แนน่ อนวา่ คนกลมุ่ ใหญท่ มี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ระบบ “การดแู ลและพฒั นา” เดก็ เลก็ คอื หนว่ ยงาน ท่ีก�ำกับดูแลศูนย์เด็กเล็ก ท่ีหากด�ำเนินการสนองความต้องการของพ่อแม่ส่วนใหญ่ ระบบ “การดูแลและพฒั นา” เดก็ เลก็ ของไทยกจ็ ะเดินผิดทาง บุคคลส�ำคัญย่ิงใน “การดูแลและพัฒนา” เด็กเล็ก รองจากพ่อแม่ คือครูเด็กเล็ก ที่ในอุดมคติแล้ว ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี และมีทักษะในการท�ำหน้าท่ีอย่างถูกต้อง คือ เราตอ้ งไดค้ นเกง่ ดี มคี วามสามารถ และรกั เดก็ มาเปน็ ครหู รอื ผดู้ แู ลเดก็ และควรพฒั นามาตรการ ส่งเสรมิ ใหค้ นรกั เดก็ พฒั นาตนเองมาเป็นผดู้ แู ลเดก็ และหากพิสจู น์ได้วา่ มีสมรรถนะเข้าเกณฑ์ มาตรฐาน ควรได้รับค่าตอบแทนที่สูงในระดับก่ึงกลางของเงินเดือนครูในปัจจุบัน คือเดือนละ ๔ หม่ืนบาท เป็นรายได้ขน้ั ตำ�่ เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ไปเร่ือยๆ จะพบว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลพัฒนาเด็กเล็กท่ีจ่ายซื้อ สง่ิ ของปรนเปรอเดก็ นน้ั หลายสว่ นไมม่ คี วามจำ� เปน็ ในหลายกรณแี ทนทจ่ี ะเปน็ คณุ กลบั เปน็ โทษ ต่อเดก็ คือทำ� ใหเ้ ดก็ พัฒนาไมเ่ ต็มศักยภาพ สง่ิ ทน่ี า่ ยนิ ดอี ยา่ งยง่ิ ของสงั คมไทยคอื การทรี่ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๔ ได้ให้ความส�ำคัญต่อการพัฒนาเด็กเล็ก และระบุแนวทางพัฒนาเด็กเล็กท่ีถูกต้อง ไวอ้ ย่างชัดเจน 18

หนงั สือ พลงั แห่งวยั เยาว์ เลม่ น้ี จดั พิมพ์เผยแพรเ่ พ่อื สนองเจตนารมณข์ องรัฐธรรมนูญ ดงั กล่าว ผมขอแสดงคารวะตอ่ ผมู้ สี ว่ นยกรา่ งขอ้ ความในรฐั ธรรมนญู พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๔ สว่ น ทว่ี า่ ดว้ ยการพฒั นาเดก็ เลก็ ขอขอบคณุ ทา่ นอาจารย์ ดร. สายสรุ ี จตุ กิ ลุ รองประธานและกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (และท่านอ่ืนๆ) ผู้มีส่วนขับเคล่ือน ให้สังคมไทยเห็นความส�ำคัญของการพัฒนาเด็กเล็ก และยังได้กรุณาเขียนค�ำนิยม รวมท้ัง ขอบคณุ ผเู้ ขยี นคำ� นยิ มอกี สองทา่ น คอื รศ. นพ. สรุ ยิ เดว ทรปี าตี และอาจารยธ์ ดิ า พทิ กั ษส์ นิ สขุ ขอขอบคุณท่านผู้มีส่วนจัดท�ำหนังสือ คือคุณเก้ือกมล นิยม แห่งส�ำนักพิมพ์สานอักษร คณุ ปิยาภรณ์ มณั ฑะจติ ร และคณุ นาถชดิ า อนิ ทรส์ อาด แห่งมลู นธิ ิสยามกัมมาจล ขอทกุ ทา่ น ไดร้ ับกศุ ลผลบุญแหง่ การทำ� คุณประโยชน์ต่อเด็กไทยผา่ นการจัดทำ� หนงั สอื เลม่ น้ีโดยทั่วกัน ในการตดิ ตอ่ ขอคำ� นิยมจากทา่ นอาจารย์ ดร. สายสุรี จตุ กิ ลุ ท่านได้กรุณามอบหนงั สอื แนวแนะวธิ กี ารเลยี้ งดู ดูแล และพัฒนาเด็กปฐมวัย ตามสมรรถนะ เพื่อเพ่มิ คณุ ภาพเดก็ ตามวัย ๐-๕ ปี มีรายละเอียดมากกว่าหนังสือ พลังแห่งวัยเยาว์ อย่างมากมาย สามารถดาวน์โหลด ได้ฟรีท่ี http://www.onec.go.th/index.php/book/BookView/1579 และทำ� ให้พบวา่ ในเว็บไซต์ ของส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา มีหมวดส่ือส่ิงพิมพ์ หมวดย่อย การศึกษาปฐมวัย ที่มี เอกสารดๆี ดา้ นการพฒั นาเด็กปฐมวยั จ�ำนวนมาก จึงขอแนะนำ� ไว้ วจิ ารณ์ พานิช ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ 19

20

สารบัญ บทท่ี ๑ มองเด็กใหเ้ ปน็ เด็ก ๒๓ บทท่ี ๒ บทที่ ๓ ผเู้ รยี นรตู้ วั เลก็ ๆ คอื ครู ๓๗ บทท่ี ๔ บทที่ ๕ พน้ื ท่ีเรยี นรู้ ๕๙ บทที่ ๖ บทท่ี ๗ พลงั สรา้ งสรรค์ของเด็ก ๗๙ บทที่ ๘ บทท่ี ๙ เรยี นรู้ไร้มาตรฐาน ๙๙ บทท่ี ๑๐ บทท่ี ๑๑ เดก็ ในสงั คมแยกสว่ น ๑๑๕ บทที่ ๑๒ พน้ื ทเ่ี พอ่ื การเลน่ ตามธรรมชาตขิ องเดก็ อยใู่ นสภาพเสอ่ื มโทรม ๑๓๓ โลกวตั ถนุ ิยมขดั ขวางพฒั นาการเด็ก ๑๔๙ ความลับของวยั เดก็ ๑๖๙ ภาษาของเดก็ ๑๘๗ บทบาทของผ้ใู หญ่ ๒๐๓ เสน้ ผมบังภูเขา ๒๒๕ บททส่ี ง่ ท้าย ๒๓๕ 21

บนั ทกึ ชดุ พลังแห่งวยั เยาว์ น้ี ตีความจากหนังสือ The Importance of Being Little : What Young Children Really Need from Grownups ซึ่งเป็นหนังสอื New York Times Bestseller เขียนโดย Erika Christakis ผ้เู คยท�ำงานเป็นครเู ด็กเลก็ ไดร้ ับใบรับรองคณุ วุฒิครกู อ่ นอนุบาล ถงึ ป.๒ ของรฐั แมสซาชเู ซทส์ สหรฐั อเมรกิ า และเคยเปน็ อาจารยข์ องมหาวิทยาลัยเยล ที่ The Yale Child Study Center หนงั สือเลม่ น้สี อ่ื สารวา่ เด็กเลก็ มีพลงั ของการเรยี นร้มู ากกวา่ ทเ่ี ราคดิ โดยทเ่ี ด็กจะเรยี นรู้ อยู่ตลอดเวลา หากผ้ใู หญ่ทำ� ความเขา้ ใจเด็ก และร้วู ธิ ีสง่ เสริมการเรียนรู้ เดก็ จะเตบิ โตเตม็ ศกั ยภาพ และเป็นคนดมี ปี ระโยชนต์ อ่ สังคม มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้มากมาย 22

º··Õèñ à´ç¡ãˌ໚¹à´ç¡ 23

คุณคิดว่า...เด็กเป็นเเดช็ก่นตไ้อรง?การอะไร? แน่ ใจไหมว่า... คำำตอบของคุณถูกต้อง หากเรามองเด็กผิดพลาดไปจากความเป็นจริง แล้วสิ่งที่เราปฏิบัติต่อเจดะ็กสแ่งบผบลผอยิด่าๆงไร 24

บันทึกแรกของชุด พลังแห่งวัยเยาว์ น้ี ตีความจากบทน�ำ (Preface) ของหนังสือ สื่อความเห็นของผู้เขียนว่า วัยเด็กเล็กเป็นวัยท่ีมีพลังเหลือเฟือ มีความสามารถ มีความฉลาด กว่าท่ีเราเข้าใจ รวมท้ังหากผู้ใหญ่รู้จักสังเกตจากปฏิสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันกับเด็ก จะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจมากของผู้ใหญ่ แต่ก็เป็นวัยที่อ่อนไหวต่อภยันตรายด้วย และภยันตรายอย่างหนึ่งคือพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ที่ปฏิบัติต่อเด็กด้วยความรัก แต่กลับเป็น การทำ� ลายเด็ก สิ่งท่ีผู้ใหญ่ควรเอาใจใส่คือ ส่ิงที่เกิดขึ้นในสมองของเด็ก สมองเด็กเกิดมาพร้อมกับ ศกั ยภาพในการเรยี นร้แู ละพัฒนา 25

ความเข้าใจที่ผิดพลาด ความเข้าใจท่ีผิดพลาดเกี่ยวกับเด็ก คือมองว่าเด็กเปรียบประดุจ “ผ้าขาว” หรือ “แก้ว” ทว่ี า่ งเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ในตัวและในหวั เลย รอใหผ้ ู้ใหญ่ “วาด” หรอื “บรรจุ” ส่งิ ตา่ งๆ เขา้ ไป “เดก็ ” ในความหมายของหนงั สอื นี้ หมายถงึ เดก็ ชว่ งวยั ๓ - ๖ ขวบ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ เดก็ เลก็ หรือเด็กก่อนวัยเรียน เด็กเหล่าน้ีเข้าช้ันเรียนก่อนอนุบาลและอนุบาลในฐานะ “บุคคล” ที่มีความซับซ้อน จากการได้พัฒนาความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ในชุมชน สัมพันธ์และ หล่อหลอมโดยวัฒนธรรม หรอื พืน้ ทีเ่ รียนรู้มากมายของเขา ก่อนทจ่ี ะมาเขา้ ช้นั เรียน การเรียนรู้หลักของเด็กในช่วงแรกของชีวิต ได้จากปฏิสัมพันธ์ (relationship) หรือ กล่าวไดว้ ่า เปน็ การเรยี นรูใ้ นมิตทิ างสงั คม (social dimension of learning) ซง่ึ เปน็ การเรยี นรู้ ตลอดชีวิตของมนุษย์ และผมตีความว่า การน�ำเด็กเล็กไปเข้าโรงเรียนชั้นเด็กเล็กและอนุบาล ก็เพ่ือเปิดพ้ืนท่ีการเรียนรู้ (learning space) ของเด็กให้กว้างขึ้น กว่าพ้ืนที่เรียนรู้ในครอบครัว และในสงั คมเพอ่ื นบา้ นใกล้เคยี ง จุดเน้นของการเรียนรู้ของเด็กแบ่งได้เป็น ๓ จุดคือ (๑) พ้ืนท่ี (location) (๒) ระบบ (delivery system) และ (๓) กระบวนการ (learning process) จุดอ่อนของการจัดการศึกษา ส�ำหรับเด็กเล็กในปัจจุบันคือ มักเน้น “พ้ืนท่ี” กับ “ระบบ” ละเลย “กระบวนการ” ความไม่ศรัทธาต่อคุณภาพการศึกษาส�ำหรับเด็กเล็ก ท�ำให้เกิดแนวคิดสุดโต่งว่า หากรักและ ปรารถนาดีต่ออนาคตของลูกจริงแล้วละก็ จงอย่าส่งลูกเข้าเรียนช้ันเด็กเล็ก ให้เลี้ยงและฝึกฝน ลกู เอง 26

เพื่อนบ้าน บ้าน โรงเรียน แตผ่ เู้ ขยี น (Erika Christakis) บอกวา่ ตนมองโลกในแงด่ วี า่ เดก็ เกดิ มาพรอ้ มกบั ศกั ยภาพ ในการเปลยี่ นแปลง และการเปลย่ี นแปลงคอื ธรรมชาตขิ องพฒั นาการเดก็ ประสบการณใ์ นชวี ติ ผดิ ๆ กอ็ าจมปี ระสบการณ์ใหมม่ าชว่ ยใหแ้ ก้ไขการเรยี นรทู้ ีผ่ ิดพลาดได้ 27

โรงเรียนของเรา มอี ุปกรณ์อนั ทนั สมัย ความก้าวหน้าด้านการศึกษาของเด็กเล็ก หนอู ยาก ได้จากการวิจัย ซ่ึงสมัยนี้ก้าวหน้ามาก แม้ความรู้จาก ออกไปเลน่ ท่สี นาม ผลการวิจัยเหล่าน้ีจะได้รับการน�ำไปบรรจุเป็นนโยบาย สู่การประยุกต์ใช้ ช้ามาก ก็ตามที แต่ก็มีความก้าวหน้า ดังจะเห็นได้จากการที่การศึกษาของเด็กเล็กของไทยได้รับความเอาใจใส่ ถึงกับบรรจุไว้ ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และมีการจัดสรรงบประมาณแผ่นดนิ สนบั สนุนศนู ย์เด็กเล็ก 28

แต่การลงทรัพยากรสนับสนุนการศึกษาของเด็กเล็กจะได้ประโยชน์น้อย หรือสูญเปล่า หากใช้ทรัพยากรไปกับกิจกรรมท่ีไร้ความหมาย จากความเข้าใจผิด การตีความผิด และ ความไร้เดียงสา ดังเห็นได้จากการใช้งบประมาณของระบบการศึกษาไทย ซึ่งผมเพ่ิมสาเหตุ จากผลประโยชน์ (ท่ีไม่เหมาะไมค่ วร) เขา้ ไปด้วย ค�ำแนะน�ำของผู้เขียนท่ีน่าสนใจมากคือ กระบวนการที่ทกุ คนทำ�ได้ ไมต่ ้องลงเงินทุนเยอะ ในหลายกรณี การส่งเสริมการเรยี นรู้ของเดก็ เลก็ โดยผใู้ หญ่ ทด่ี ที ส่ี ดุ คอื “อยา่ เขา้ ไปยงุ่ ” (getting- แค่ลงทนุ จิตใจ out-of-the-way) กลา่ วใหมว่ า่ เดก็ เลก็ ตอ้ งการ ปลอ่ ยให้เด็กมีเวลาเลน่ อิสระบ้าง การเลน่ อิสระ มากกว่าการฝกึ ฝน อย่าเข้าไปยุ่งกบั เด็กมากนะคะ เรามีที่ ใหเ้ ด็กเลน่ เยอะครับ และมคี รูจำ�นวนมากพอ มาดแู ลเดก็ ๆ 29

มุมมองต่อตัวเด็ก เร็วๆ ลกู เดี๋ยวตอ้ งไปเรียนพิเศษ เราตอ้ งมองเดก็ จากสองกระบวนทศั น์ คอื “กระบวนทศั นพ์ รอ่ ง” กบั “กระบวนทศั นเ์ ตม็ ” คณิตศาสตรต์ อ่ หากเปรียบเด็กเป็นแก้วน้�ำ ผู้ใหญ่ต้อง มองเด็กเป็นท้ัง “แก้วน�้ำท่ีพร่อง” และ “แกว้ นำ้� ทเี่ ตม็ ” คอื เดก็ ไม่ใชท่ งั้ “แกว้ เปลา่ ” และ “แกว้ เตม็ ” แต่เป็นแกว้ ทมี่ ีน้�ำบางส่วน และพร่องอยู่ในส่วนใหญ่ บทบาทของผู้ใหญ่ คือ ช่วยส่งเสริมเอ้ืออ�ำนวยให้เด็กได้ต่อเติม ส่วนท่ีพร่องของตนเอง จากส่วนที่มีอยู่แล้ว ให้เกดิ พัฒนาการท่เี ตม็ ศกั ยภาพท้งั ด้านคุณภาพและปริมาณ ผู้ใหญ่จะชว่ ยเหลอื เด็กได้ ต้องมองให้ทะลุเข้าไปเห็น “กระบวนทศั น์” ของเด็ก ซ่ึงจะท�ำ เช่นนี้ได้ต้องฟังเด็ก ไม่ใช่สอนเด็ก ฟังและเสวนากับเด็ก เพื่อให้เด็กท�ำความเข้าใจกับส่ิง หรอื เรอื่ งราวทอี่ ยใู่ นบทเสวนา และในขณะเดยี วกนั ผใู้ หญก่ ท็ ำ� ความเขา้ ใจมมุ มอง หรอื กระบวนทศั น์ ของเด็กด้วย หากผู้ใหญ่มีกระบวนทัศน์เช่นน้ี การเล้ียงเด็กก็จะกลายเป็นกระบวนการเรียนรู้ ทีน่ า่ สนใจ สนุก และยิ่งใหญ่ ขอ้ ผิดพลาดส�ำคญั ของผใู้ หญอ่ ยา่ งหนง่ึ คือการสรา้ งสภาพแวดล้อมแบบผู้ใหญ่ (adultify) ให้แกเ่ ดก็ ซง่ึ ก็คือ การเลี้ยงเดก็ แบบเอาผู้ใหญ่ ความคิดของผู้ใหญ่ เปน็ ตัวตัง้ 30

เด็กต้องการ “พ้ืนที่” และ “เวลา” ส�ำหรับการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาการของตน เด็กควร ได้มีโอกาสมีชีวิตวัยเด็กที่มีความสุข และได้เรียนรู้จากความเป็นเด็กของตนอย่างเต็มเปี่ยม แตใ่ นยคุ ปจั จบุ นั เดก็ ถกู “เรง่ ” ทงั้ จากความคาดหวงั ของพอ่ แม่ และจากสรรี วทิ ยาภายในรา่ งกาย ของตนเอง ท่ีเดก็ ยุคน้ีเปน็ หนุ่มเปน็ สาวเรว็ มาก ผลการวิจยั ในสหรฐั อเมรกิ าบอกวา่ เดก็ ผหู้ ญงิ ในประเทศนนั้ ร้อยละ ๑๐ เร่ิมเขา้ สู่วยั แตกเนือ้ สาว (puberty) ทอ่ี ายุ ๘ ปี ในขณะท่สี มยั ก่อน (คงจะราวๆ หนึ่งศตวรรษ) ผู้ใหญ่ท่ีบ้านนอกที่ผมเกิดและโต เล่าให้ผมฟังเม่ือ ๗๐ ปีก่อน วา่ เดก็ ผหู้ ญงิ ผชู้ ายอายสุ บิ หา้ ปยี งั แกผ้ า้ อาบนำ�้ คลองกนั อยู่ คอื ยงั ไมม่ สี ญั ญาณการแตกเนอ้ื สาว แตกเนื้อหนุ่ม เม่ือ ๓๕ ปีมาแล้ว เม่ือลูกสาวคนท่ีสองของผมอายุ ๑๑ ขวบ เธอเริ่มมีประจ�ำเดือน ปา้ ทเ่ี ลย้ี งดเู ธอตกใจมาก วา่ ทำ� ไมเรว็ ขนาดนนั้ เมอ่ื สองสามปี เลกิ เล่นไดแ้ ล้วลกู มาแล้ว มีคนเล่าให้ผมฟังว่า การคลอดท่ีศิริราช เตรียมตัวไปเรยี นพิเศษ ในปนี ้นั แม่ทีอ่ ายุน้อยทส่ี ดุ คือ ๙ ขวบ ข้อมูลข้างต้น สะท้อนว่ามนุษย์ ยุคปัจจุบันมีวัยเด็กที่สั้นลงมากหลายปี มีช่วงเวลาฝึกฝนตนเองจากความเป็นเด็กสั้นลง มาก หากผใู้ หญ่เข้าไป “adultify” สภาพแวดล้อม ของเด็ก ก็จะย่ิงเป็นการท�ำลายโอกาสใช้ช่วงเวลา ที่เปน็ เดก็ เพอื่ การสร้างคุณภาพชวี ิตสูงสดุ ย้�ำว่า คนเราควรได้รับโอกาสเรียนรู้ และพัฒนาตนเองตามวัย ตามธรรมชาติของวัย ไมค่ วรเร่งใหเ้ ดก็ เรียนรเู้ รว็ กวา่ วัย 31

มุมมองต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเรยี นรู้(learning) และความรกั (love) เปน็ “สองสงิ่ เดยี วกนั ” สำ� หรบั เดก็ และเปน็ สองสงิ่ ท่ีเสริมกัน เด็กมีการเรียนรู้ในทุกกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างย่ิง การเล่นอิสระ (free play) การเล่นกับเพอ่ื น การฝึกใชค้ �ำแปลกๆ การกอ่ สร้าง การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การตัง้ คำ� ถาม และการมีสัญชาตญาณด้านตัวเลข ความช่างสังเกตและมีอารมณ์ขัน ความอยากรู้อยากเห็น และจินตนาการไรข้ อบเขต ความสนใจแปลกๆ ความมจี รยิ ธรรมในกิจกรรมต่างๆ เปน็ ต้น ในการจัดการเรียนรู้ของเด็กนั้น มีท้ังส่วนที่ขาดและส่วนที่เกิน เด็กจ�ำนวนหนึ่ง ในครอบครัวท่ีด้อยฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ เด็กมักขาดทั้งทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ และปฏสิ มั พนั ธท์ ดี่ ี โดยเฉพาะการ ไดร้ บั ความรกั แต่ในอกี ขวั้ หนง่ึ เด็กในครอบครัวที่มีฐานะดี มักถูกมอมเมาด้วยสิ่งของ และความเอาใจใส่ผิดๆ คือให้แก่เด็กตามที่ผู้ใหญ่ คิด ไม่ใช่ให้ตามท่ีเด็ก ตอ้ งการ หนอู ยากให้ พ่อกับแมม่ าเล่นดว้ ย 32

หนูอยากได้ นทิ าน แพง!!! เอาไวอ้ ่านออกกอ่ น แล้วคอ่ ยซื้อนะลูก แม่ตอ้ งไปทำ�งาน ไม่มเี วลาอ่านใหฟ้ ังดว้ ย เด็กเล็กต้องการอะไร ค�ำตอบอยู่ในหนังสือ The Importance of Being Little และในบันทึกชุด พลังแห่งวัยเยาว์ นี้ ที่มีเป้าหมาย สร้างความเข้าใจ “พลงั แห่งวยั เยาว”์ วิจารณ์ พานชิ ๓๑ มี.ค.๖๑ 33

จะเติมอะไร แก้วน้นั เติม ให้แกว้ ไหนดี ความชา่ งสงั เกตอกี นดิ แก้วนจ้ี นิ ตนาการดีมาก 34 เตมิ ภาษาอกี หนอ่ ย

“ “...หากเปรยี บเด็กเป็นแกว้ นำ�้ ผู้ใหญต่ อ้ งมองเด็กเปน็ ทั้ง “แก้วน�ำ้ ทพ่ี ร่อง” และ “แกว้ น้ำ� ท่ีเตม็ ” คอื เดก็ ไมใ่ ชท่ งั้ “แกว้ เปลา่ ” และ “แกว้ เตม็ ” แตเ่ ปน็ แกว้ ทม่ี นี ำ�้ บางสว่ น และพรอ่ งอย่ใู นสว่ นใหญ่ บทบาทของผ้ใู หญค่ ือ ช่วยส่งเสรมิ เออื้ อ�ำนวยให้เด็กไดต้ อ่ เติมส่วนทพี่ รอ่ งของตนเอง จากส่วน ทมี่ ีอย่แู ลว้ ให้เกดิ พัฒนาการท่เี ต็มศกั ยภาพทัง้ ดา้ นคณุ ภาพและปรมิ าณ...” 35

36

º··Õèò ¼ŒÙ ໚¹ 37

? อยู่ อย่างไร การเเดร็กียๆ นกรำำู้ขลอังงคเดิด็กอเกะิไดรขึ้น บางทเรีผาไู้ ใมห่“ญคแ่อลุยย้ว”เ่ารงกใาเคับรจรเาดจะก็กะเ็ขเนปไ้มาึก็น่“ใไคจฟมรกัง่ถาูส”ึรงอจเรา!น!กีย!เเนดรร็กาู้ขอแ?งลเ้ดวจ็กะไฟด้อังจยา่ากง ใครไหน 38 ที่ ไร ? ถ้า

ผูเ้ รียนรตู้ วั เลก็ ๆ เป็นครู นี้ ตคี วามจากบทที่ ๑ ทช่ี อ่ื ว่า Little Learners : The Classroom Called Childhood กล่าวง่ายๆ บันทกึ ชดุ พลงั แหง่ วยั เยาว์ ต้ังคำ� ถามวา่ “เด็กคอื ใคร” บนั ทกึ ในบทนีต้ อบว่า “เด็กคือคร”ู ท่ีช่วยให้เข้าใจการเรียนรขู้ องเดก็ เล็ก 39

ดินแดนที่การเรียนรู้ดีที่สุด (Optimal Learning Zone) ผเู้ ขยี น (Erika Christakis) เลา่ เรอื่ งการเสวนาของตนกบั เดก็ ผหู้ ญงิ อายุ ๕ ขวบ ชอื่ Abby ทค่ี ลง่ั ไคลเ้ รอ่ื ง นกลา่ เหยอ่ื จากการอา่ นหนงั สอื เรอื่ งนกลา่ เหยอ่ื สำ� หรบั เดก็ ทม่ี รี ปู นกขนาดใหญ่ พร้อมคำ� อธบิ าย เครื่องมือเรียนรูเ้ รือ่ งนกลา่ เหยอื่ นอกจากหนงั สอื ยงั มกี ล้องสอ่ งดนู กขนาดเลก็ ส�ำหรับเด็ก เอาไว้ส่องดูนกจากหน้าต่างห้องเรียน แท่งสีเทียน และกระดาษส�ำหรับวาดรูปนก นอกจากนน้ั ยงั มรี งั นกขนาดและชนดิ ตา่ งๆ วางไวบ้ นโตะ๊ โดยเดก็ นกั เรยี นชว่ ยกนั จำ� แนกประเภท ของรงั ชนิดของนก และเขยี นบอกช่ือนกไว้ โดยค้นคว้าความรูจ้ ากหนงั สือ Nature Guide ข้อความที่เสวนากัน สะท้อนว่า Abby มีความรู้เร่ืองนกล่าเหย่ือมากอย่างไม่น่าเชื่อว่า เดก็ อายุ ๕ ขวบจะมี รวมทงั้ มคี ลงั คำ� ยากๆ เกยี่ วกบั นกและคำ� พดู โตต้ อบ แตเ่ มอื่ ดกู ารต์ นู รปู นกคาบ ขวดพริกไทยโรยตัวงู Abby ก็แสดงท่าทีงุนงงสงสัยว่าขวดนั้นคืออะไร และท�ำไมนกต้องเอาไป โรยตวั งู คำ� พดู เสวนาของผเู้ ขยี นคอ่ ยๆ ชว่ ยให้ Abby เขา้ ใจความหมายและอารมณข์ นั ในการต์ นู อ่านเร่ืองเล่านี้แล้ว ผมสรุปข้อเรียนรู้แก่ตนเอง ๓ ข้อ (๑) โรงเรียนของ Abby จัด “ดนิ แดนทกี่ ารเรยี นรดู้ ที ส่ี ดุ ” ใหแ้ กน่ กั เรยี น(๒) คำ� เสวนาของผเู้ ขยี น ชว่ ยให้Abby ไดท้ ำ� ความเขา้ ใจ และเรียนรู้ความหมายของภาพการ์ตูน แยกแยะกับเรื่องจริง (๓) ค�ำสนทนาของผู้เขียน เป็น “นง่ั รา้ น” (scaffolding) ให้ Abby คอ่ ยๆ เกดิ ความเขา้ ใจความหมายของการต์ นู แยกแยะออกจาก เรื่องจริง ปฏิสัมพันธ์และการสนทนาโต้ตอบแบบเคารพความคิดของเด็กแบบน่ีแหละ ที่เป็น การทำ� หนา้ ทคี่ รเู ดก็ เลก็ ทถี่ กู ตอ้ ง คอื ชว่ ยใหเ้ ดก็ ยกระดบั ความรคู้ วามเขา้ ใจเรอื่ งตา่ งๆ ขนึ้ ไปเรอ่ื ยๆ 40

สงิ่ ท่ีผเู้ ขียนท�ำไดแ้ ก่ การนิยามค�ำ การกลา่ วค�ำนิยามนน้ั ซำ�้ ช่วยทบทวนสิ่งที่เด็กรแู้ ลว้ และช่วยท�ำให้วลีหรือแนวคิดส�ำคัญกระทบความสนใจโดยกล่าวให้เกินจริง ท้ังหมดนั้นเป็นไป ตามหลักของการท�ำ scaffolding ต่อการเรียนรู้ คือช่วยขยายดินแดนของความสงสัยใคร่รู้ ของเด็กออกไป ตามทฤษฎี cycle of disequilibrium ของ Jean Piaget ซ่ึงในค�ำไทยเรา มักพูดกันว่าเป็นการกระตุ้น “ต่อมเอ๊ะ” (เอ๊ะ! นี่อะไร ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน) ตามด้วย “อ๋อ” (accommodation) (ออ๋ ! เปน็ อย่างน้ีเอง) ผู้เขียนบอกวา่ ในช่วงทีเ่ สวนากับ Abby ตนเองกอ็ ยู่ใน optimal learning zone เชน่ เดียวกัน 41

ใน “ดนิ แดนการเรยี นรทู้ ดี่ ที สี่ ดุ ” ของเดก็ ต้องการผู้ใหญท่ ี่เขา้ ใจเดก็ ใน ๒ ระดบั (๑) ระดบั ทวั่ ไป คอื ความเขา้ ใจทฤษฎวี า่ ดว้ ยพฒั นาการเดก็ วา่ ในอายขุ นาดนน้ั เดก็ เขา้ ใจอะไร ไมเ่ ขา้ ใจอะไร ดงั กรณี Abby ไมร่ ้วู ่าขวดพรกิ ไทยคอื อะไรในตอนแรก (๒) ระดบั ตวั เดก็ เปน็ รายคน วา่ มนี สิ ยั อารมณ์ ระดบั พฒั นาการ ด้านต่างๆ เป็นอย่างไร แล้วผู้ใหญ่ใช้ความรู้ท้ังสองระดับนี้ในการมี ปฏสิ มั พนั ธก์ บั เดก็ อยา่ งเหมาะสมเปน็ รายคน เพอื่ สรา้ ง “พนื้ ทเี่ รยี นร”ู้ (learning habitat) ทเ่ี หมาะสมแก่เด็กเป็นรายคน 42

พื้นที่เรียนรู้ท่ีเหมาะสมประกอบด้วยสองส่วน คือ พาเด็กกินเงาะ ดีกว่า ส่วนกายภาพ ได้แก่ห้องเรียน สนามเด็กเล่น สนามกีฬา และ ให้ดรู ปู เงาะทผ่ี นงั ค่ะ วัสดุช่วยการเรียนรู้ต่างๆ กับส่วนปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ได้แก่ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน และกับครู (และพ่อแม่ ญาติพ่ีน้อง และเพ่ือนบ้าน) การเรียนรู้ที่ดีของเด็กเล็กส่วนใหญ่เกิดจาก ปฏิสมั พันธ์ ไม่ได้เกดิ จากการสอน ครคู ะ ทำ�ไมเงาะมีขนคะ มนั มีเมลด็ นะ ระวังติดคอ หนูปอกเองได้ ผมชอบกนิ เงาะ งา่ ยจงั กรุบๆ หวานๆ 43

ทำ�ไมต้องมโี รงเรยี นเดก็ เลก็ (pre-school) โรงเรียนหรือชั้นเด็กเล็ก ไม่ได้มีไว้เพื่อเรียนวิชา แต่มีไว้เพ่ือ “เตรียมความพร้อม ในการเรียนรู้” ส�ำหรับเรียนในช้ันเรียนจริง คือประถม ๑ เป็นต้นไป น่ีคือสภาพย้อนแย้ง ของชั้นเด็กเล็กในปัจจุบัน ท่ีสิ่งที่ช้ันเด็กเล็กจัด กับความต้องการท่ีแท้จริงของเด็ก ไม่ตรงกัน และย่ิงร้ายกว่าน้ัน ที่พ่อแม่จ�ำนวนหน่ึงต้องการให้ชั้นเด็กเล็กสอนวิชา เพ่ือไม่ให้ลูก “ล้าหลัง ในการเรียน” ขอ้ หลงผดิ ของพ่อแมน่ ้ี พบบ่อยกวา่ ในพอ่ แม่เศรษฐฐานะต่�ำ สมัยก่อนไม่มีโรงเรียนอนุบาลหรือชั้นเด็กเล็ก การเรียนรู้ขั้นต้นของเด็กเกิดขึ้นท่ีบ้าน ท่ีแม่ พ่อ และญาติพ่ีน้องช่วยกันดูแลปลูกฝังพ้ืนฐานการเรียนรู้ในวัยเด็กให้ แต่ต่อมาท้ังพ่อ และแม่ต้องออกไปท�ำงาน รวมท้ังมีแม่หรือพ่อเล้ียงเดี่ยวมากขึ้น ตนเองต้องออกไปท�ำงาน (บางคนท�ำ ๒ งาน เพ่ือใหม้ ีรายไดเ้ พยี งพอ) จงึ ตอ้ งเอาลกู ไปฝากเล้ียงหรือฝากเรยี น จึงเกิดช้ัน เด็กเลก็ และโรงเรยี นอนุบาลข้นึ แรกๆ กจ็ ัดการเรยี นรูแ้ บบ “กอ่ นโรงเรียน” จรงิ ๆ แต่ได้ค่อยๆ กลายรปู แบบมาเปน็ “โรงเรียน” สอนวิชาในภายหลัง โปรดสังเกตว่า ฝรั่งเรียก pre-school และ kindergarten ไม่ใช่ school แต่ไทยเรียก โรงเรียนอนุบาล แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าโรงเรียนหรือไม่ ทั้งฝรั่งและไทยก็เพ้ียนไปมากในเร่ืองชั้น เดก็ เลก็ จงึ มีคำ� ถามว่า ในปัจจุบนั ชน้ั เด็กเล็ก จัดเพ่อื เด็ก หรอื เพือ่ ผู้ใหญก่ นั แน่ ทกั ษะสำ� คญั ทเ่ี ดก็ เลก็ ควรไดร้ บั การฝกึ ไดแ้ ก่ ทกั ษะทางสงั คม และทกั ษะทางอารมณ์ เชน่ การรจู้ กั แบ่งปันกับเพ่ือน รู้จักฟงั เพื่อน ไมใ่ ชท่ ักษะเตรยี มพรอ้ มดา้ นเรยี นวิชา ทักษะดา้ นสังคม และทางอารมณเ์ หลา่ นี้ เดก็ ไดจ้ ากหลกั สตู รชนั้ เดก็ เลก็ แบบเนน้ การเลน่ (play-based curriculum) 44

ความหลงผิดด้านการเรียนรู้ ในเด็กเล็ก ห้องเรียนแบบถ่ายทอดความรู้ (Direct Instruction - DI) ขอ้ หลงผดิ ในเรอ่ื งการสอนเดก็ เลก็ มาจากวธิ สี อนแบบถา่ ยทอดความรู้ (Direct Instruction - DI) คอื ครูสอนความรแู้ ละทักษะตรงๆ อยา่ งมรี ะบบแบบแผน จดุ ออ่ นคอื ทำ�ใหเ้ ด็กไม่มโี อกาส เรียนรู้ด้วยตนเอง มัวแต่รับถ่ายทอดความรู้จากครู และปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูไม่ได้รับ ความเอาใจใส่ ที่จริงวิธีสอนแบบถ่ายทอดความรู้ไม่ใช่ จะเลวไปเสียทัง้ หมด การเรยี นร้บู างเร่ือง ตอ้ งใช้ วธิ สี อนแบบถา่ ยทอดความรู้ เชน่ การออกเสยี งคำ� การอา่ นออกเสยี งแบบเน้นค�ำ เปน็ ต้น แต่การสอนแบบถ่ายทอดความรู้มีข้อเสีย ๒ ประการ (๑) ท�ำให้ไม่มีเวลาส�ำหรับเน้น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ (๒) การสอน แบบถา่ ยทอดความรทู้ ำ� ไดง้ า่ ย ครทู ขี่ าดทกั ษะการ เป็นครูกท็ ำ� ไดแ้ ละเปน็ วธิ ที ค่ี รทู ข่ี าดทกั ษะ หรอื ครู ขเ้ี กยี จ ใชส้ อนเดก็ การเรยี นรแู้ บบน้ี ตรงกนั ขา้ มกบั การเรยี นรู้ แบบเน้นปฏิสัมพันธ์ (relationship-intensive learning) ซึ่งเน้นท่ีกิจกรรมการเรียนรู้ที่เด็กเป็น ผรู้ เิ ร่ิม (child-initiated learning activities) 45

ห้องเรียนแบบให้เด็กจัดการเรียนรู้เอง� (Child-directed classroom) นคี่ อื การจดั การเรยี นการสอนแนว constructivism ซงึ่ ดมี ากสำ� หรบั ชนั้ เรยี นขนาดเลก็ มาก เปิดโอกาสใหเ้ ด็กหาความหมายของสง่ิ ต่างๆ ด้วยตนเอง เคารพตวั ตนและวิธกี ารเรยี นรขู้ องเด็ก เป็นรายคน ถือเป็นวิธีจัดการเรียนรู้ในอุดมคติ โดยที่ต้องมีพ้ืนที่การเรียนรู้ที่เตรียมอย่างดีมาก ครูกต็ อ้ งผา่ นการฝึกเปน็ พเิ ศษ จึงยากทจ่ี ะเปน็ รปู แบบการเรยี นรู้ส�ำหรับเดก็ ทั่วไป หนอู ยาก ทำ�ขนมค่ะ ผมอยากปั้น ห้องเรียนแบบทางสายกลาง เป็นห้องเรียนแบบผสมระหว่างสองแบบที่กล่าวมา โดยเลือกเอาส่วนดีของแต่ละแบบมา ใช้ คือมีโครงสร้างแบบ DI แต่มีความยืดหยุ่นกว่า โดยยึดตามแนวทางของนักพัฒนาการเด็ก รัสเซียช่ือ Lev Vygotsky คือจัดสภาพแวดล้อมทางสังคมเพ่ือให้เอื้อต่อพัฒนาการเด็ก ให้เด็ก สรา้ งความรใู้ ส่ตวั ผา่ นประสบการณต์ รง ท่านผู้นเี้ สนอ zone of proximal development ว่าเป็น สภาพแวดล้อมที่มี coaching ท่ีดี ช่วยให้เด็กบรรลุสภาพการเรียนรู้ที่เด็กบรรลุไม่ได้หากไม่มี 46

ตัวช่วยเช่นนั้น ซึ่งผมตีความว่า ห้องเรียนแบบทางสายกลาง ให้เด็กๆ ช่วยกนั เน้นให้เด็กเรียนจากประสบการณ์ตรง และความพยายาม คิดแลว้ พดู ออกมาค่ะ ของตนเอง โดยมคี รคู อยสงั เกตอยหู่ า่ งๆ และใหค้ วามชว่ ยเหลอื พรุง่ นี้ทำ� บา้ งเมอ่ื จำ� เปน็ แตค่ วามชว่ ยเหลอื นนั้ ขนมอะไรกนั ดจี ๊ะ ยึดหลัก ช่วยน้อยที่สุดเท่าท่ีจ�ำเป็น สภาพเช่นน้ีเรียกอีกชื่อหน่ึงว่า peak learning zone สภาพ peak learning zone จดั ไดง้ า่ ยๆ โดยใชค้ ำ� พดู ใหน้ กั เรยี นคดิ ออกมาดงั ๆ ซง่ึ จะชว่ ยใหค้ รแู ละเพอื่ นๆ มีปฏิสัมพันธ์ด้วยอย่างเหมาะสม ชว่ ยให้ “มองเหน็ ” การเรยี นรู้ภายใน สมองของเด็ก การคิดดังๆ นี้เป็นท้ัง วิธีการให้เกิดการคิดแบบซับซ้อน และสิ่งที่พูดออกมาก็เป็นผลของ การคิดทซี่ บั ซ้อน หนูอยาก ทำ�บวั ลอยคะ่ ผมชอบบวั ลอย มนั กลมๆ ไง ผมไม่เคยกิน ผมอยากปั้น หนา้ ตาเป็นยังไง 47

ผลลัพธ์ครึ่งๆ กลางๆ เด็กแต่ละคนมีลักษณะจ�ำเพาะของตนเอง และมีเด็กจ�ำนวนมากมีปัญหาด้านการเรียน ซ่ึงสาเหตุที่พบบ่อยคือ ครูไม่ได้ช่วยให้เด็กค้นพบ peak learning zone ของตนเอง การสอน ของครูในช้ัน เด็กบางคนอาจรู้สึกสนุก แต่บางคนเบื่อ บางคนสับสน บางคนรู้สึกว่ายากไป บางคนวา่ งา่ ยไป บางคนวา่ โดนกระตุ้นมากไป บางคนว่าเหนื่อยเกินไป ฯลฯ ขอ้ ดอ้ ยของชัน้ เด็กเล็กทพี่ บบ่อยคอื ครไู ม่ได้คำ� นึงวา่ เด็กแตล่ ะคนมีลักษณะจ�ำเพาะดา้ น ความรสู้ กึ นกึ คดิ และประสบการณ์ กลา่ วคอื ครไู มเ่ ขา้ ใจเดก็ เขา้ ไมถ่ งึ ใจเดก็ สภาพเชน่ นร้ี นุ แรง ยง่ิ ขน้ึ ในสมยั ปจั จุบัน ทีช่ ั้นเด็กเลก็ หลงผิดไปท�ำหนา้ ทโ่ี รงเรียน ครูต้องเข้าใจว่าเดก็ มี ข้อผิดพลาดใหญ่หลวงคือ การจัด ลกั ษณะจำ�เพาะ ช้ันเรียนเฉพาะวิชาให้แก่เด็กอนุบาล ของตวั เอง อายุ ๕ - ๖ ขวบ ให้เดก็ เดินเรยี นไป ผมป้นั ได้ ตามหอ้ งทคี่ รสู อนเฉพาะวชิ านนั้ ๆ กลมด๊ิกเลยครู ซงึ่ มผี ลใหค้ รกู บั เดก็ มปี ฏสิ มั พนั ธ์ หนเู บ่ือ ตอ่ กนั นอ้ ยมาก ครไู มร่ จู้ กั เดก็ ผมไมอ่ ยากทำ�กลมๆ ทำ�แบบน้ี ไดไ้ หมครับ ปน้ั เป็นสเี่ หลย่ี ม 48

หนีเรียน เรอ่ื งราวตอนนี้ เดก็ ไมไ่ ดห้ นเี รยี น แตแ่ กลง้ ทำ� เปน็ ปว่ ย เพอื่ จะได้ ไม่ต้องไปโรงเรียน เพราะโรงเรียนน่าเบื่อ เรียนเองท่ีบ้านสนุกกว่า และในที่สุดเด็กคนนี้ก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยโดยมีความมุ่งมั่น ท่ีจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เด็กอ้างค�ำของ Mark Twain ว่า “I’ve never let my schooling interfere with my education.” สะท้อน ความคดิ วา่ การไปโรงเรยี น กบั การเรยี น ไมไ่ ดเ้ ปน็ สงิ่ เดยี วกนั เสมอไป หนปู วดทอ้ งอกี แล้วคะ่ เดก็ คนน้บี อกว่า ตนได้รบั ก�ำลงั ใจจากผู้ใหญจ่ ำ� นวนหนึ่ง เหมอื นเมือ่ วานเลย หนูขออยู่บ้านนะคะ ว่า ตนมีความสามารถเรียนได้ จึงตั้งใจเรียน แม้ไม่ค่อยไป โรงเรยี น เดย๋ี วคอ่ ยๆ ถามดู ทำ�ไมลูกถึง วา่ อยู่โรงเรียนชอบเลน่ อะไร ไมอ่ ยาก ชอบเลน่ กบั ใคร ไปโรงเรยี นนะ ครพู าเลน่ อะไรบา้ ง เ ด็ ก แ ต ่ ล ะ ค น ถ นั ด เ รี ย น เย่... ในสภาพ และในสถานทท่ี แ่ี ตกตา่ งกนั ไปเลน่ ตุ๊กตา แต่สถานที่หนึ่งท่ีม่ันใจได้ ๑๐๐ ดกี วา่ เปอรเ์ ซน็ ต์วา่ มกี ารเรียนรู้ คอื ภายใน สมองของเด็กเอง 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook