Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 209-412-วิชาแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา

209-412-วิชาแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา

Published by กิตติศักดิ์ ณ สงขลา, 2021-12-13 15:04:27

Description: 209-412-วิชาแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา

Keywords: การศึกษา, พระพุทธศาสนา, คณะครุศาสตร์, กิตติศักดิ์ ณ สงขลา,เอกสารประกอบการสอน

Search

Read the Text Version

๒๗ (พระสัพพกามีโต้ตอบว่า : ภิกษุจะแยกกันทําอุโบสถสังฆกรรมไม่ได้ ผิดหลักท่ีทรงบัญญัติไว้ในอุโบสถ ขนั ธกะ ใครขืนทําตอ้ งอาบัติทกุ กฎ) ๕. ภิกษุชาววัชชี : ในเวลาทําอุโบสถ แม้ว่าพระจะเข้าประชุมยังไม่พร้อมกัน จะทําอุโบสถไป ก่อนก็ได้ โดยให้ผู้มาทีหลังขออนุมัติเอาเองได้ ไม่เป็นอาบัติ (พระสัพพกามีโต้ตอบว่า: สงฆ์ทําสังฆ กรรมด้วยคิดว่า ให้พวกมาทีหลังอนุมัติ ท้ังท่ีสงฆ์ยังประชุมไม่พร้อมหน้ากัน ผิดหลักที่ทรงบัญญัติไว้ ในจัมเปยยขันธกะ ต้องอาบัติทุกกฎ) ๖. ภิกษชุ าววัชชี : การประพฤติปฏบิ ตั ิตามพระอุปชั ฌาย์อาจารย์ ไม่ว่าจะผดิ หรือถูกพระวนิ ัย กต็ าม ยอ่ มเป็นการกระทําที่สมควรเสมอ (พระสพั พกามีโต้ตอบว่า: การประพฤติปฏิบตั ิ ดว้ ยเข้าใจว่า อุปัชฌาย์อาจารย์ของเราเคยประพฤติมาอย่างน้ี ไม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะท่านเหล่าน้ันอาจ ประพฤติผดิ หรือถกู ก็ได้ ต้องยึดหลักพระวินัยจึงจะเป็นสง่ิ สมควร) ๗. ภิกษุชาววัชชี : นมส้มท่ีแปรมาจากนมสดแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ (เนยใส) ภิกษุฉันอาหาร เสร็จแล้ว จะฉันนมน้ันท้ังท่ียังไม่ได้ทําวินัยกรรมหรือทําให้เป็นเดนตาม พระวินัยก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ (พระสัพพกามีโต้ตอบว่า: นมส้มที่ละความเป็นนมสดไปแล้ว แต่ยังไม่กลายเป็นทธิ ภิกษุฉันภัตตาหาร แล้ว ห้ามภัตรแล้ว จะด่ืมนมนั้นอันไม่เป็นเดนภิกษุไข้ หรือยังไม่ได้ทําวินัยกรรม ไม่ควร ต้องอาบัติ ปาจติ ตยี ์ เพราะ ฉันอาหารท่ีเป็นอนตริ ติ ตะ) ๘. ภกิ ษชุ าววัชชี: สุราท่ีทาํ ใหมๆ่ ยังมสี ีแดงเหมือนสีเทา้ นกพริ าบ ยังไม่เป็นสุราเต็มที่ ภิกษจุ ะ ฉันก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ (พระสัพพกามีโต้ตอบว่า: การดื่มสุราอย่างอ่อนที่มีสีเหมือนสีเท้านกพิราบ ซ่ึง ยังไม่ถึงความเป็นน้ําเมา ไมค่ วรเป็นอาบตั ปิ าจติ ตีย์ เพราะดมื่ สรุ าและเมรยั ) ๙. ภิกษชุ าววชั ชี: ผ้าปูนัง่ นสิ ที นะอนั ไมม่ ชี าย ภิกษจุ ะบริโภคใช้สอยก็ได้ ไมเ่ ป็นอาบัติ (พระสัพพกามีโต้ตอบว่า: ผ้านิสีทนะที่ไม่มีชาย ภิกษุจะใช้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ซ่ึงจะต้องตัดเสียจึงจะ แสดงอาบตั ติ ก) ๑๐. ภกิ ษชุ าววชั ชี: ภกิ ษรุ บั และยนิ ดใี นเงินทองทเ่ี ขาถวาย ไม่เป็นอาบตั ิ (พระสัพพกามีโต้ตอบว่า: การรับเงินหรือยินดีซึ่งเงินและทองท่ีเขาเก็บไว้เพื่อตนเองไม่สมควรเป็น อาบัตนิ สิ สคั คียปาจิตตีย์) ฝ่ายพระวัชชีบุตรเมื่อไม่ได้การยอมรับจากสงฆ์จึงเสียใจ แล้วพร้อมใจกันไปทําสังคายนา ต่างหากท่ีเมืองปาฏลีบุตร มีผู้เข้าร่วมถึง ๑๐,๐๐๐ รูป เรียกตนเองว่ามหาสังคีติหรือมหาสังฆิกะ เพราะเหตุที่มีพวกมาก ในท่ีสุดสงฆ์จึงได้แตกออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายพระสัพพกามีเถระ และภิกษุ ชาววัชชีที่เรียกตนเองว่ามหาสังคีติ และในกาลต่อมา จึงแตกออกเป็น ๑๘ นิกาย โดย ๗ นิกายท่ีแตก จากมหาสังฆิกะ เกิดเมื่อปี พ.ศ.๑๐๐-๒๐๐ ส่วน ๑๑ นิกายท่ีแตกจากเถรวาท เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๐๐ เป็นต้นมา การสังคายนาในคร้ังนี้ หลักฐานฝ่ายเถรวาทระบุว่าเป็นการปรารภเหตุเพื่อระงับความ แตกแยกทางการปฏิบัติสีลสามัญญตา (ความเสมอกันด้วยศีล) ในกรณีของพระภิกษุชาววัชชีที่ ประพฤตินอกพระธรรมวินัยดังกล่าว แต่ในปกรณ์สันสกฤตของฝ่ายมหายานท่ีมีชื่อว่า เภทธรรมติจักร ศาสตร์ กลับช้ีประเด็นไปท่ีเร่ืองความวิบัตแิ ห่งทิฏฐิสามัญญตาแห่งคณะสงฆ์ มีเรื่องเล่าวา่ วันหนึ่งเป็น วันอุโบสถ พระมหาเทวะเป็นผู้สวดปาฏิโมกข์ แต่ท่านผู้น้ีเป็นฝ่ายอธรรมวาที ได้เสนอมติ ๕ ข้อต่อที่ ประชุมสงฆ์ ซ่ึงมีใจความดงั นี้ เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศกั ดิ์ ณ สงขลา

๒๘ ๑. พระอรหนั ต์อาจถูกมารยวั่ ยวนจนอสจุ ิเคล่ือนในเวลาหลับได้ ๒. พระอรหันตอ์ าจมอี ญั ญาณคอื ความไม่รู้ในบางสิง่ ได้ ๓. พระอรหนั ตอ์ าจมกี งั ขาคือความลังเลสงสยั ในบางสง่ิ ได้ ๔. ผ้จู ะรวู้ ่าตนไดบ้ รรลมุ รรคผลชน้ั ใด จําต้องอาศัยการพยากรณจ์ ากคนอนื่ ๕. บคุ คลจะบรรลพุ ระอรหนั ตไ์ ดด้ ว้ ยการเปลง่ วาจาว่า ทุกข์หนอๆ ฝ่ายธรรมวาทีจึงคัดค้านประกาศทั้ง ๕ ข้อของพระมหาเทวะว่า เป็นมิจฉาทิฐิ มิจฉาวาจา แต่ ฝ่ายธรรมวาทีมีจํานวนน้อย ฝ่ายเข้าข้างพระมหาเทวะมีจํานวนมากกว่าและเมื่อหาข้อยุติไม่ได้ พระ เจ้ากาฬาโศกจึงต้องเสด็จมาห้ามด้วยพระองค์เอง แต่พระองค์ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร จึงตรัสถามพระมหา ทวะ พระมหาเทวะถวายความเห็นให้ตัดสินด้วยวิธีเสียงข้างมาก หรือเยภุยยสิกาอธิกรณสมถวิธี ปรากฏวา่ ชัยชนะตกเปน็ ของฝา่ ยพระมหาเทวะ พระเจา้ กาฬาโศกจงึ ประกาศให้สงฆป์ ฏบิ ัติตามคตขิ อง พระมหาเทวะ สงฆ์ฝา่ ยธรรมวาทีซงึ่ มจี ํานวนนอ้ ยกวา่ จึงพากันจารกิ ไปสูแ่ ว่นแคว้นอ่นื การสังคายนาคร้งั ท่ี ๓ ตติยสงั คายนา : ประมาณ พ.ศ.๒๓๖ ประธานสงฆ์ : พระโมคคัลลีบุตรตสิ สเถระ ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมสงั คายนา : พระอรหันตขีณาสพจํานวน ๑,๐๐๐ รูป องค์อุปถัมภ์ : พระเจา้ อโศกมหาราช เหตุปรารภในการทาํ สังคายนา : เดียรถยี ป์ ลอมเขา้ มาบวชในพระพทุ ธศาสนา สถานทปี่ ระชมุ ทําสังคายนา : อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ระยะเวลาในการประชมุ : กระทําอยู่ ๙ เดอื นจงึ สําเร็จ บันทกึ เหตุการณส์ าํ คญั : การทําสังคายนาคร้ังที่ ๓ น้ี เกิดขึ้นโดยปรารภท่ีมีพวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชใน พระพุทธศาสนาเป็นจํานวนมาก เนื่องจากพระพุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้น มีลาภสักการะเกิดข้ึนมาก จึงมี เดียรถีย์ท่ีมุ่งแสวงหาลาภสักการะปลอมมาบวช แต่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ทําให้สงฆ์ที่ปฏิบัติ ชอบเกิดความรังเกียจแยกพระจริงพระปลอมไม่ออกพระสงฆ์จึงไม่ทําสังฆกรรมร่วมกันเป็นเวลาถึง ๗ ปี ต่อมา ความทราบไปถึงพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้รับส่ังให้อํามาตย์คนหนึ่งไป อาราธนาให้พระทําสังฆกรรมร่วมกัน เม่ือพระเหล่าน้ันไม่ยินยอม อํามาตย์ถือว่าพระสงฆ์ขัดพระบรม ราชโองการ จึงตัดคอพระมรณภาพไปหลายรูป พระติสสเถระซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าอโศกเห็น ไม่ได้การจึงรีบเข้าไปขัดขวางไว้ พวกอํามาตย์ไม่กล้าฆ่าพระอนุชา จึงนําความไปกราบทูลให้พระเจ้า อโศกมหาราชทรงทราบ พระเจ้าอโศกทรงตกพระทัยมาก กลัวว่าบาปกรรมจะตกมาถึงพระองค์ด้วย แม้ว่าอํามาตย์จะทําไปโดยพลการก็ตามที พระองค์จึงไปเรียนถามพระเถระท้ังหลาย ปรากฏว่าท่าน เหล่านั้นตอบไม่ตรงกัน ในท่ีสุดได้รับคําแนะนําให้ไปอาราธนาพระโมคคัลลบี ุตรตสิ สเถระมาวินิจฉยั ให้ พระเถระได้ถวายวินิจฉัยข้อข้องพระทัยว่า เม่ือพระองค์ไม่มีความประสงค์จะให้อํามาตย์ไปฆ่าภิกษุ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ตศิ กั ด์ิ ณ สงขลา

๒๙ บาปน้ันจึงไม่มีแก่พระองค์ และให้พระราชาทรงม่ันพระทัยในพุทธภาษิตที่ว่า \"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาวา่ เปน็ กรรม บุคคลคิดแล้วจงึ กระทํากรรมด้วยกาย วาจา ใจ\" หลงั จากพระเจ้าอโศกทรงสบายพระทัยเพราะไดฟ้ ังคาํ วนิ ิจฉัยของพระเถระแลว้ พระเถระจึง ให้พระเจ้าอโศกทรงศึกษาสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา จนสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นคําสอน ของพระพุทธศาสนา และอะไรเป็นคําสอนของเจ้าลัทธินอกพระพุทธศาสนา พระเจ้าอโศกมหาราชจึง ตรัสเรยี กภกิ ษทุ ั้งหลายมาสอบถามด้วยพระองค์เองว่า กึ สมมฺ าสมฺพุทฺโธ = พระสัมมาสมั พุทธเจา้ มี ปกติตรัสวา่ อย่างไร ถ้าพระรูปใดตอบว่า วิภชฺชวาที = มีปกติจําแนก ก็ถือว่าเป็นพระท่ีแท้จริง ท่านที่ตอบเป็น อย่างอื่นถือว่าเป็นพวกเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวช รับส่ังให้แจกผ้าขาวให้กับพวกเหล่าน้ันให้สึกออกไป เสียเป็นจํานวนมาก ในสมันตปาสาทิกาบอกว่ามีถึง ๖๐,๐๐๐ รูป เม่ือชําระสังฆมณฑลให้หมดจด บริสุทธ์ิได้แลว้ พระเจ้าอโศกมหาราชจงึ ไดอ้ าราธนาให้พระสงฆท์ าํ สังฆกรรมกันตามปกติ มีขอ้ นา่ สงั เกตในเรอ่ื งนี้ ๒ ประการคอื ๑. การแยกระหว่างพระจริงและพระปลอมโดยการตั้งคําถาม ใครตอบถูกถือว่าเป็น พระ จริง ใครตอบไม่ถูกถือว่าเป็นพระปลอม แล้วให้จับสึก น่าจะมิใช่วิธีการที่ดี เพราะสมมุติถ้าใช้วิธีการ อย่างนี้กับพระสงฆ์ในปัจจุบัน พระจริงที่ไม่ได้ศึกษามามาก อาจตอบผิด ถูกจับสึก แต่พระไม่ดีแต่ ฉลาด อาจตอบถูก เป็นประเภทถึงรู้แต่ก็ไม่ปฏิบัติ เพราะคนมีความรู้ ไม่ใช่หมายความว่า จะต้องเป็น คนดีเสมอไป ในทางกลับกัน คนมีความรู้น้อย แต่อาจเป็นผู้ปฏิบัติดีก็ได้ หรือเหมือนการหาคนผิดโดย การถามข้อกฎหมาย ถ้าตอบถูกก็ถือว่าเป็นคนดี ถ้าตอบผิดก็ถือว่าเป็นคนร้าย ก็น่าจะไม่ใช่วิธีการที่ ถูกตอ้ ง ๒. คัมภีร์ของพระพุทธศาสนานิกายอ่ืนทั้งหมดท้ังหินยานและมหายาน ไม่มีกล่าวถึงการ สังคายนาคร้ังท่ี ๓ นี้เลย มีกล่าวถึงแต่เฉพาะคัมภีร์ของเถรวาทเท่าน้ัน จึงทําให้นักวิชาการ พระพุทธศาสนาจํานวนไม่น้อย ตั้งข้อสงสัยถึงการสังคายนาครั้งที่ ๓ น้ี ว่าอาจเป็นการสังคายนาย่อย ภายในของนกิ ายเถรวาท ไมเ่ กย่ี วกับนิกายอื่น ซึ่งก็คงตอ้ งอาศยั การศึกษาค้นคว้าหาความจรงิ กนั ตอ่ ไป ในการทําสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคัลลีบุตรได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุ ซึ่งเป็นคัมภีร์ในอภิธัมม ปิฎกเพ่ิมขึ้นด้วย เป็นเรื่องคําถามคําตอบเก่ียวกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีคําถาม ๕๐๐ คาํ ตอบ ๕๐๐ และเม่ือทาํ สังคายนาเสร็จแลว้ พระเจ้าอโศกก็ได้สง่ คณะทูตไปประกาศพระพุทธศาสนา ในแควน้ และประเทศตา่ งๆ รวมทัง้ หมดมี ๙ สายด้วยกันคอื ๑. พระมชั ฌันติกเถระ ไปแคว้นกัศมีร์และคันธาระ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนอื ของอินเดีย ซ่ึงได้แกแ่ ควน้ แคชเมยี ร์ในปจั จบุ ันนี้ ๒. พระมหาเทวเถระ ไปมหิสสกมณฑล อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ําโคธาวารี ซึ่งได้แก่ไมซอร์ ใน ปจั จบุ ัน (อยทู่ างทิศใต้ของอินเดยี ตดิ กับเมอื งมัทราส) ๓. พระรักขิตเถระ ไปวนวาสีประเทศ อย่ใู นเขตกนราเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ๔. พระโยนกธัมมรกั ขิตเถระ ไปปรันตชนบทอยู่ริมฝั่งทะเลอาระเบยี นทศิ เหนือของ บอมเบย์ เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๓๐ ๕. พระมหาธัมมรักขิตเถระ ไปท่ีแคว้นมหาราษฎร์ ภาคตะวันตกไม่ห่างจากบอมเบย์ใน ปัจจุบนั ๖. พระมหารักขิตเถระ ไปโยนกประเทศได้แก่ เขตแดนแบคเทยี ในเปอร์เซียปจั จบุ ัน ๗. พระมชั ฌมิ เถระ ไปหิมวันประเทศได้แก่เนปาล ซ่งึ อยตู่ อนเหนอื ของอินเดยี ๘. พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ ไปสุวรรณภมู ิ ได้แก่ ไทย พมา่ และมอญทุกวนั นี้ ๙. พระมหินทเถระผู้เป็นโอรสพระเจ้าอโศกมหาราชได้นําพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานท่ี เกาะสงิ หลหรือประเทศศรีลงั กาเปน็ ครงั้ แรก ๒. พระพทุ ธศาสนาในยคุ พ.ศ.๕๐๐-๑๐๐๐ (๑) ในขณะท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่ หรือแม้แต่หลังจากเสด็จดับขันธ- ปรินิพพานแล้วใหม่ ๆ รูปแบบของนิกายมหายานยังไม่ได้เกิดขึ้น ถึงแม้ในต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒ พระพุทธศาสนาจะเร่ิมแยกเป็น ๒ นิกาย คือ เถรวาท (หรือสถวีรวาทิน) และอาจาริยวาท (หรือ มหาสังฆิกะ) หรือแม้แต่ในพุทธศตวรรษท่ี ๓ พระพุทธศาสนาจะได้แตกออกเป็น ๑๘ นิกาย แล้วก็ ตาม แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นนิกายมหายานแต่อย่างใด เพียงแต่ถือว่าเป็นความคิดของคณาจารย์ท่ีไม่ ตรงกัน แต่กย็ อมรับวา่ คงมีการก่อตัวที่เป็นมหายานในชว่ งนี้ จนเม่ือพุทธศตวรรษ ที่ ๖ (ประมาณพ.ศ. ๕๐๐ เศษๆ) พระอัศวโฆษ (Ashvagosa) ภิกษุชาวเมืองสาเกต ในสมัยพระเจ้ากนิษกะแต่งคัมภีร์ ศรัทโธตปาทศาสตร์ข้ึน นิกายมหายานซ่ึงเป็นกระแสท่ีค่อยๆ ก่อตัวข้ึนเป็นเวลานานจึงปรากฏรูปร่าง ชดั เจนขน้ึ ในพทุ ธศตวรรษนแ้ี ละมพี ฒั นาการต่อไปอยา่ งรวดเรว็ ดังหวั ข้อทจี่ ะได้ศกึ ษากนั ต่อไป รอ่ งรอยและบ่อเกดิ ของนกิ ายมหายาน เมื่อพิจารณาถึงบ่อเกิดของพุทธศาสนามหายานแล้ว พบว่ามีสาเหตุหลักอยู่ ๒ ประการได้แก่ สาเหตุภายในพระพุทธศาสนา คือ การแตกเป็นนิกายต่างๆ และสาเหตุภายนอกพระพุทธศาสนา คือ การรกุ รานของศาสนาพราหมณ์ สาเหตภุ ายในพระพทุ ธศาสนา การแตกเป็นนิกายต่างๆ มีจุดเริ่มต้นมาจากการแตกความสามัคคีกันในหมู่สงฆ์ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ๑. แตกกนั ดว้ ยทฏิ ฐสิ ามญั ญตา มคี วามเห็นไม่ตรงกันในเรอ่ื งธรรม ๒. แตกกันด้วยสีลสามัญญตา มีความเคร่งครัดในการรักษาพระวินัยไม่เท่ากัน ซึ่งแม้เม่ือพระ ผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว หากแต่ระงับลงได้ในท่ีสุด ดังเช่นกรณีการ ทะเลาะวิวาทของภิกษุเมืองโกสัมพี ซึ่งแยกเป็นสองฝักสองฝ่าย คือ ฝ่ายพระวินัยธร ๕๐๐ รูป และ ฝ่ายพระธรรมกถึก ๕๐๐ รูป เกิดการขัดแย้งกันเก่ียวกับเร่ืองที่เป็นอาบัติและไม่เป็นอาบัติ เร่ืองมีอยู่ วา่ พระธรรมกถึกเหลือนํา้ ชาํ ระไว้ในวัจจกุฎี พระวินัยธรเห็นเข้าจึงบอกว่า \"เป็นอาบัติ\" คร้ันพระธรรม กถึกจะปลงอาบัติ พระวินัยธรกลับบอกว่า \"ถ้าไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นอาบัติ\" แต่พอลับหลัง พระวินัยธร กลับบอกพวกศิษย์ของตนว่า \"พระธรรมกถึกต้องอาบัติ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ\" พระธรรมกถึกทราบเรื่อง เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กิตตศิ กั ด์ิ ณ สงขลา

๓๑ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกัน จะเห็นว่า แม้ประเด็นเล็กๆ แต่ต่างฝ่ายต่างถือทิฏฐิว่าตนเองถูก อีกฝ่าย ผิด และโจมตกี ัน ก็อาจนาํ ไปสูก่ ารแตกแยก เปน็ ผลเสียหายต่อพระพุทธศาสนาอยา่ งใหญห่ ลวงไดห้ รือ อย่างกรณีของพระเทวทตั ทมี่ ีความคดิ แปลกแยก คดิ ตง้ั ตนเป็นใหญด่ ว้ ยการปกครองคณะสงฆเ์ สียเอง จึงได้ต้ังกฎท่ีภิกษุจะต้องประพฤติ ๕ ข้อ เรียกว่าปัญจวัตถุ ประกาศให้บริษัทของตนประพฤติแล้ว นําเหล่าสานุศิษย์เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทูลขอให้ออกพระพุทธบัญชา เป็นกฎสําหรับพระภิกษุ ทุกๆ รูป คอื ๑. ภกิ ษุพงึ เปน็ ผอู้ ยู่ปา่ เป็นวตั รตลอดชวี ิต รูปใดไปส่ลู ะแวกบ้าน รปู นัน้ มโี ทษ ๒. ภิกษพุ งึ ถอื เทีย่ วบณิ ฑบาตเป็นวตั รตลอดชวี ติ รูปใดรบั นิมนต์ รูปนน้ั มโี ทษ ๓. ภิกษพุ ึงถอื การนุง่ ห่มผา้ บังสกุ ุลเปน็ วตั รตลอดชวี ติ รปู ใดรับผา้ จากคฤหบดี รปู นัน้ มโี ทษ ๔. ภิกษพุ งึ ถอื การอยโู่ คนไม้เปน็ วตั รตลอดชีวติ รูปใดเข้าสทู่ ีม่ ุงทบี่ งั รปู นัน้ มีโทษ ๕. ภิกษไุ มพ่ ึงฉันของสดคาว มปี ลา เน้ือ เป็นต้นตลอดชีวิต รูปใดฉัน รปู นนั้ มโี ทษ แต่พระบรมศาสดาทรงเห็นว่าเป็นการประพฤติเคร่งเกินไป จึงไม่ทรงอนุญาตตามที่ขอทรง ประสงค์ให้ภิกษุปฏิบัติไดัตามอัธยาศัย ภิกษุปฏิบัติได้ก็เป็นการดี ถ้าไมป่ ระสงคก์ ็สามารถปฏิบัติตามท่ี เห็นสมควรแก่สมณะ นับแต่นั้นมา พระเทวทัตกับบริวารก็แยกทําสังฆกรรมอีกส่วนหนึ่ง ไม่ร่วมกับ ใครๆ ภายหลังเม่ือสํานึกผิด จึงได้กลับมาขอขมาต่อพระบรมศาสดา แต่มายังไม่ทันถึงก็มรณภาพ เสียกอ่ น เมื่อพิจารณาสภาพความเป็นอยู่ของภิกษุสงฆ์ ซ่ึงมีการจัดแบ่งเป็นกลุ่มเป็นสํานักอาจารย์ ต่างๆ ตามอัธยาศัยของตน ดังนั้นโอกาสที่จะแตกแยกกัน ก็ย่อมจะมีมากเป็นธรรมดา แต่ทว่าในยุค สมัยพุทธกาลนั้น นอกจากจะมีพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าเป็นผู้ปกครองดูแลสงฆท์ ั้งหมดแล้ว ยังมีพระอัคร สาวกทั้งสองคือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ รวมท้ังเหล่าสาวกองค์สําคัญ เช่น พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระมหากัสสปะ พระมหากัจจายนะ เป็นต้น คอยกํากับดูแลเหล่าลูกศิษย์ของตน (สัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก) และประการสําคัญคือ เหล่าพระสาวกสาวิกาในยุคน้ันมีผู้ที่บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์กันเป็นจํานวนมาก ดังน้ันแม้ว่าจะเกิดการแตกความสามัคคีข้ึนบ้าง เหตุการณ์ เหล่าน้ันก็สามารถสงบลงได้โดยเร็ว และจะไม่บานปลายใหญ่โตถึงขึ้นท่ีจะต้องแบ่งแยกเป็นนิกายแต่ อยา่ งใด แต่ภายหลังจากท่ีพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ความสมัครสมานสามัคคีใน หมู่สงฆ์ก็มีอันเปล่ียนแปลงไป ทั้งนี้เป็นเพราะภิกษุสงฆ์มีระดับสภาวธรรมที่ต่างกัน มีพื้นฐาน ครอบครวั สังคม ภาษา การศึกษาท่ีแตกตา่ งกัน รวมถึงอาศัยอยู่ในสถานท่ีอันต่างภูมิประเทศและต่าง วัฒนธรรมกนั ด้วยพื้นฐานท่ีตา่ งกันดังกล่าว จึงทําให้คณะสงฆ์มคี วามแตกต่างกันในหลายๆ ดา้ น ทั้งในทาง ความเห็น (ทิฏฐิสามัญญตา) และข้อวัตรปฏิบัติ (สีลสามัญญตา) ความแตกต่างกันน้ี เกิดข้ึนตั้งแต่คร้ัง ท่ีเหล่าภิกษุสงฆ์ได้กระทําการสังคายนาพระธรรมวินัยคร้ังแรก โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน และพระปุราณะไม่ยอมรับในสิกขาบท ๘ ข้อท่ีเก่ียวกับการขบฉันดังได้กล่าวมาแล้ว แม้ว่าพระ เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๓๒ มหากัสสปะจะทักท้วงอย่างไร แต่พระปุราณะและเหล่าบริวารก็ไม่ยอมรับ ยังคงประพฤติตามท่ีตนได้ รไู้ ด้รับฟงั มาจากพระพทุ ธองค์เท่านัน้ เม่ือกาลล่วงไป ๑๐๐ ปีหลังพุทธปรินิพพาน การขัดแย้งก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนเป็น รูปธรรม จากกรณีภิกษุแตกกันออกเป็น ๒ ฝ่าย อันเน่ืองจากความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องวัตถุ ๑๐ ประการ โดยพวกหนึ่งเห็นว่า วัตถุ ๑๐ ประการน้ีชอบด้วยพระธรรมวินัย ส่วนอีกพวกหนึ่งเห็นว่าไม่ ชอบด้วยพระธรรมวินัย จึงเกิดการโต้เถียงกนั อย่างรุนแรง อันเป็นมูลเหตุให้เกิดการสังคายนาครง้ั ท่ี ๒ ขณะที่อีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับการทําสังคายนา ได้แยกตัวเป็นอิสระไปทําสังคายนาในที่แห่งหนึ่งต่างหาก เหตุการณ์น้ีส่งผลต่อพระพุทธศาสนาโดยตรง เพราะทําให้พระพุทธศาสนาแตกแยกออกเป็น ๒ นิกาย อยา่ งเป็นทางการเป็นครง้ั แรก คือ เถรวาท (หรอื สถวีรวาทิน) และอาจาริยวาท (หรอื มหาสงั ฆิกะ) การแตกแยกในครั้งนไ้ี ด้ตอกยํ้าให้เห็นถงึ เค้าโครงของการแบง่ พระพทุ ธศาสนาเป็นเถรวาทและ มหายานชัดเจนข้ึน โดยหลังจากน้ันไม่นาน ในช่วงสังคายนาครั้งท่ี ๓ พระพุทธศาสนาก็แบ่งออกเป็น ๑๘ นิกายอย่างชัดเจน และต่อมาได้พัฒนามาเป็นนิกาย ๓ สายหลัก คือ สายหินยาน สายมหายาน และสายวชั รยาน สาเหตุภายนอกพระพทุ ธศาสนา ในสมัยพุทธกาลน้ัน การประกาศศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการต่อต้านจากพวก คณาจารย์เจ้าลัทธิต่างๆ เช่น ลัทธิครูทั้ง ๖ เป็นต้น มีหลายคร้ังที่เกิดการประวาทะของพระพุทธองค์ กับเจ้าลัทธิหรือเหล่าสานุศิษย์ลัทธิต่างๆ โดยเฉพาะจากศาสนาพราหมณ์ เพราะในสมัยน้ันประชาชน นับถือศาสนาพราหมณ์กันเป็นส่วนใหญ่ ทําให้พระพุทธศาสนากลายเป็นท่ีสนใจของประชาชน และมี ผู้หันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนากันมากมายและขยายศรัทธาออกไปในวงกว้าง สร้างความ สั่นสะเทือนจนถึงข้ันรากฐานกับศาสนาพราหมณ์และเจ้าลัทธิท้ังหลาย พระพุทธศาสนาจึงถูกต่อต้าน โจมตแี ละบ่อนทําลายอยตู่ ลอดเวลา ดว้ ยเหตุผลสาํ คญั ท่ีเปน็ แรงจงู ใจ ดังน้ี ๑. พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับคัมภรี ์พระเวท (อไวทกิ วาทะ) ๒. พระพุทธศาสนามีคําสอนและแนวทางปฎิบัติที่เน้นศีล สมาธิ ปัญญา ทําให้ผู้ปฏิบัติ สามารถเข้าถึงสจั ธรรมความจริงได้ด้วยตนเอง แตกต่างไปจากท่พี วกพราหมณ์และคณาจารย์ทั้งหลาย สอนกันอยู่ในสมยั น้นั ๓. พระพุทธเจ้าปฏิเสธระบบวรรณะที่พวกพราหมณ์บัญญัติข้ึน ไม่ยอมรับฐานะของพวก พราหมณท์ ใี่ ครๆ ต่างยกย่องว่าสูงสง่ ๔. การเจริญเตบิ โตอย่างรวดเรว็ ของพระพุทธศาสนา ดังนั้น พวกพราหมณ์ได้พยายามทุกวิถีทางในการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาเพ่ือหาทาง ดึงศาสนิกกลับคืน แต่ผลปรากฏว่าไม่ประสบความสําเร็จ เน่ืองจากพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปอย่าง กว้างขวางเป็นที่ยอมรับของประชาชน และได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์อย่างดีโดยเฉพาะอย่างย่ิงใน สมัยของพระเจา้ อโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะหรอื โมรยิ ะ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กติ ติศักดิ์ ณ สงขลา

๓๓ แต่คร้ันเมื่อราชวงศ์เมารยะดับสูญ อํามาตย์ปุษยมิตรแห่งราชวงศ์ศุงคะก็ได้ปกครองอินเดีย สืบต่อมา กษัตริย์พระองค์นี้ทรงเลื่อมใสในศาสนาฮินดูมากเพราะทรงเป็นพราหมณ์มาก่อน ดังน้ันคน ในวรรณะพราหมณ์จึงมีโอกาสได้ขึ้นเป็นใหญ่ ศาสนาพราหมณ์ซ่ึงรอจังหวะท่ีจะทําลาย พระพุทธศาสนาอยู่แล้ว จึงถือโอกาสอาศัยอํานาจทางการเมืองทําลายพระพุทธศาสนาและฟ้ืนฟูลัทธิ ศาสนาของตนเป็นการใหญ่ แม้แต่พระเจ้าปุษยมิตรเองก็แสดงพระองค์ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อ พระพุทธศาสนาอย่างเต็มท่ี ถึงกับมีการกวาดล้างพระพุทธศาสนา ทําร้ายคณะสงฆ์และทําลายวัดวา อารามของพระพุทธศาสนา โดยต้ังรางวัลให้แก่ผู้ตัดศีรษะพระภิกษุ ฟื้นฟูการบูชายัญโดยโปรดให้ทํา พธิ ีอศั วเมธ (การฆา่ ม้าบชู ายัญ) เพือ่ จูงใจให้ประชาชนมานับถอื ศาสนาพราหมณ์เพ่ิมมากขนึ้ การพยายามกวาดล้างพระพทุ ธศาสนาของพระเจา้ ปษุ ยมิตร แม้ไมอ่ าจทาํ ลายพระพุทธศาสนา ให้หมดไป แต่ก็ทําให้พระพุทธศาสนามิอาจรุ่งโรจน์อยู่ ณ ศูนย์กลางเดิม แต่ไปรุ่งเรืองอยู่บริเวณทาง ตอนเหนือของอินเดีย ในแคว้นสวัส (Swat Valley) แคว้นมถุรา (Mathura) และแคว้นคันธาระ (Candara) เป็นตน้ ศาสนาพราหมณ์จึงใช้วิธีการใหม่ คือ การกลืนพระพุทธศาสนาไว้ภายใต้ระบบศาสนาฮินดู (Assimilation) หรือกล่าวง่ายๆ ว่า พยายามเปลี่ยนพระพุทธศาสนาท้ังหมดให้เป็นศาสนาฮนิ ดูน่ันเอง ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือ การแต่งมหากาพย์ข้ึน ๒ เร่ือง คือ มหาภารตะและรามายณะ จนเป็นท่ี แพร่หลายและได้รับความนิยมของประชาชนเป็นอันมาก โดยเฉพาะเรื่องราวจากคัมภีร์ภควัทคีตา มหากาพย์ทั้งสองน้ีสามารถดึงดูดผู้คนให้มาศรัทธาเลื่อมใสใน พระผู้เป็นเจ้า และทําให้ศาสนา พราหมณเ์ ผยแพร่เขา้ สูม่ วลชนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว นอกจากนี้ พวกพราหมณ์ยังได้พัฒนาความเชื่อด้านต่างๆ อีกหลายอย่าง เช่น การสร้างตรี มูรตใิ ห้เป็นท่ีพ่ึงสูงสุดตามอย่างพระรัตนตรัย การสร้างวิหาร การสร้างเทวาลยั สําคัญ เป็นต้น เป็นเหตุ ให้ศาสนาพราหมณ์ยุคใหม่หรือศาสนาฮินดู ยิ่งขยายวงกว้างออกไปเป็นศาสนาท่ีมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต ของชาวอนิ เดียอยา่ งย่ิง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทําให้คณาจารย์คนสําคัญในสมัยนั้นมิอาจนิ่งดูดายอยู่ได้ต่างเห็น ความจาํ เป็นทีต่ อ้ งทาํ การปฏริ ูปวิธีการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาเสียใหม่ เพอื่ ให้คําสอนของพระสัมมาสัม พุทธเจ้าเป็นสิ่งทันสมัยทันเหตุการณ์ สามารถท่ีจะแข่งกับศาสนาพราหมณ์ใหม่ท่ีกําลังเฟื่องฟูอยู่ใน ขณะนน้ั ได้ พระพุทธศาสนามหายานจึงได้ก่อตัวข้ึน โดยมีกลุ่มสําคัญท่ีเป็นต้นกําเนิดของมหายาน คือ นิกายมหาสังฆิกะและกิ่งของกลุ่มของนิกายมหาสังฆิกะ ซ่ึงเรียกรวมว่าคณะอันธกะ มีศูนย์กลางใหญ่ อยู่ตอนใตข้ องอนิ เดียในแวน่ แควน้ อนั ธระ การก่อกําเนิดเป็นนิกายมหายานดังกล่าว เป็นการเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการเห็นพ้อง กันจากคณะสงฆ์นิกายมหาสังฆิกะ ผสมกับชาวพุทธหนุ่มสาวในขณะนั้น ที่มีความเห็นว่าจะต้อง ปรับปรุงวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสียใหม่ โดยการปรับปรุงแก้ไขคติธรรมในพระพุทธศาสนาข้ึน หลายประการเพ่อื ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเข้าถงึ หมชู่ นสามญั โดยทั่วไป เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโน้มการศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๓๔ ดังน้ัน นิกายมหายานจึงได้รับการทํานุบํารุงอยู่ภายใต้อาณาจักรของกษัตริย์ราชวงศ์ศาต วาหนะแห่งอันธระ กษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์นี้เป็นมิตรกับพระพุทธศาสนาและหลายพระองค์ ทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังเร่ือยมา จนในราวพุทธศตวรรษท่ี ๖ นิกายมหายานก็ได้ ปรากฏใหเ้ ห็นเดน่ ชัด เป็นนิกายใหญๆ่ ๒ นิกาย คอื นิกายมาธยมิกะและโยคาจาร แนวคดิ และความเชือ่ พื้นฐานของนกิ ายมหายาน แนวคิดและความเชื่อพ้ืนฐานในพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายาน ประกอบด้วยเร่ืองท่ีเป็นหลักสําคัญ ดงั ต่อไปนี้ แนวคิดเร่อื ง \"ตรียาน\" ตามหลักคําสอนของมหายาน กล่าวถึงยาน ๓ ประการ ซึ่งเป็นทางหรือวิธีสู่ความหลุดพ้น ไดแ้ ก่ สาวกยาน ปจั เจกยาน และโพธิสตั วยาน ๑) สาวกยาน หมายถึง ทางของพระสาวกท่ีหวังเพียงบรรลุอรหัตภูมิ ด้วยการรู้แจ้งอริยสัจ ๔ เพ่ือข้ามพ้นวัฏสงสารเท่าน้ัน ไม่ได้หวังพุทธภูมิแต่อย่างใด มหายานจึงถือว่าสาวก-ยานเป็นการทํา ประโยชน์เฉพาะตนในวงแคบและช่วยเหลือสรรพสัตว์ไปได้น้อย และที่สําคัญพระสาวกท่ีจะหลุดพ้น ได้จะต้องอาศัยคําช้ีแนะสั่งสอนจากพระพุทธเจ้าก่อน เพราะไม่อาจหลุดพ้นได้ด้วยความสามารถของ ตนเพยี งลาํ พัง ๒) ปัจเจกยาน หมายถึง ทางของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้สามารถรู้แจ้งด้วยตนเอง แต่เมื่อหลุด พ้นแล้ว ก็ไม่อาจแสดงธรรมสั่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งเห็นจริงตามตนเองได้ เพราะมิได้ส่ังสมจริตในการ โปรดสรรพสตั วอ์ ่ืน ๓) โพธิสัตวยาน หมายถึง ทางของพระโพธิสัตว์ผู้มีจิตใจกว้างขวาง กอปรด้วยมหากรุณาใน สรรพสัตว์ท้ังหลาย ตั้งจิตบําเพ็ญบารมีเพื่อมุ่งหมายพุทธภูมิซึ่งก้าวล่วงอรหัตภูมิโพธิสัตวยานจึงเป็น การสร้างเหตุอันมีพุทธภูมิเป็นผล หรือกล่าวได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝ่ายมหายานนั้นคือเหล่าพระ โพธสิ ตั วท์ ่ีได้สร้างบารมมี าด้วยการช่วยเหลอื สรรพสัตว์ให้พน้ จากความทุกข์นนั่ เอง ในบรรดายานท้ังสามอย่างนี้ แม้ว่าจะมีเป้าหมายอันเดียวกันคือการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ แต่อย่างไรตาม สําหรับพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานยังคงถือว่า โพธิสัตวยานเป็นทางท่ีสําคัญที่สุด และควรยกย่องไว้ในฐานะ \"มหายาน\" หรือยานท่ียิ่งใหญ่กว้างขวาง และควรยกย่องว่าเป็น \"อนุตตรยาน\" หรือยานที่ประเสริฐสูงสุด โดยมีข้ออุปมาที่น่าฟังว่า เหมือนสัตว์ ๓ ตัวคือกระต่าย ม้า และช้าง ท่ีกําลังว่ายข้ามแม่นํ้าคงคา กระต่ายไม่อาจหยั่งถึงพ้ืนดินได้จึงลอยนํ้าข้ามไป ส่วนม้า บางขณะก็หย่ังถึงบางขณะก็หย่ังไม่ถึง ส่วนช้างน้ันย่อมหย่ังถึงพ้ืนดิน แม่น้ําคงคาเปรียบได้ กับปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นธรรมอันลึกซ้ึง วิธีข้ามไปของกระต่ายเปรียบได้กับสาวกยาน ม้าข้ามเปรียบ ได้กบั ปัจเจกยาน สว่ นช้างขา้ มเปรียบได้กบั โพธสิ ัตวยาน ซง่ึ เป็นยานของพระตถาคตเจ้าทง้ั หลาย เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๓๕ แนวคิดเร่ืองตรียาน สะท้อนให้เห็นรากฐานความเช่ือของมหายานท่ีมองว่า ทางหลุดพ้น สาย เดมิ หรือสายเถรวาทนนั้ เปน็ ทางแคบท่ีมุ่งเน้นเฉพาะคนบางกลุม่ กล่าวคือผู้ท่จี ะหลุดพน้ ด้วยสาวกยาน ได้จะต้องเป็นพระอรหันต์ผู้มีปัญญาและประกอบความเพียรมาแล้วอย่างยิ่งยวดเท่าน้ัน อีกท้ัง ผลสําเร็จท่ีเกิดจากความหลุดพ้นดังกล่าว ก็เป็นไปเพ่ือประโยชน์แก่บุคคลผู้นั้น เพียงผู้เดียว ฉะนั้น จงึ ดเู หมอื นว่าได้ละเลยคนส่วนใหญท่ ยี่ ังดิน้ รนอยู่ในโลกไปเสยี ในขณะท่ีโพธสิ ัตวยานของฝ่ายมหายาน กลับเป็นเหมือนพาหนะใหญ่ที่สามารถรับคนทุกประเภท ทุกชนชั้นวรรณะ ทุกเพศทุกวัย ทุกสาขา อาชีพ โดยไม่เคยปฏิเสธ หรือจํากัดว่าเป็นผู้ใด ดังน้ัน จึงควรยกย่องว่าเป็นยานอันสูงสุดเพราะ สามารถชว่ ยเหลอื สรรพสัตว์ไปได้มากที่สุดนั่นเอง แนวคิดเรอื่ ง \"พระพุทธเจา้ ๓ ประเภท\" พระพุทธศาสนาในฝา่ ยมหายานไดแ้ บ่งพระพุทธเจา้ ออกเปน็ ๓ ประเภท คอื ๑) พระอาทิพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรียกว่าพระอาทิพุทธะน้ี เป็นผู้เกิดขึ้นมาเอง ก่อนส่ิงใดทั้งหมด (พระสยัมภูพุทธเจ้า) อันจะหาเบื้องต้นและเบื้องปลายมิได้ เป็นผู้ให้กําเนิด พระพุทธเจ้าประเภทอื่นๆ ท้ังหมด เป็นผู้ให้กําเนิดพระโพธิสัตว์ทั้งหลายและให้กําเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ทง้ั มวลท่มี ีอยูใ่ นสกลจักรวาลนี้ หรืออาจกล่าวอีกนัยหน่งึ ว่า ทุกสงิ่ ทกุ อยา่ งในอนันตจักรวาลนี้ ล้วนถือ กาํ เนิดมาจากองคพ์ ระอาทิพุทธะนี้ทั้งส้ิน ๒) พระธยานิพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เกิดมาจากอํานาจแห่งฌานของพระอาทิพุทธะเพ่ือปกครอง อาณาจักรและอาณาจักรย่อยๆ ท่ีเรียกว่าพุทธเกษตร ดังนั้นในแต่ละพุทธเกษตรจะมี พระสัมมาสัม พุทธเจ้าคอยทําหน้าท่ีโปรดเวไนยสัตว์อยู่หนึ่งพระองค์ และสภาพแต่ละพุทธเกษตร อาจจะมีความ แตกต่างกนั ไปบ้างตามความเหมาะสมของการโปรดสัตวใ์ นพุทธเกษตรนน้ั ๆ ๓) พระมานุษิพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ถือกําเนิดมาจากพระธยานิพุทธเจ้า โดยแสดงตนออกมาในรูป ของมนุษย์ธรรมดาและอุบัติข้ึนมาในโลกมนุษย์ ท้ังน้ีเพื่อเป็นอุบายแห่งการส่ังสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพ่ือให้เรง่ ปฏบิ ตั ิธรรมด้วยความไม่ประมาท การแบ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเป็น ๓ ประเภทนั้น เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าพระ สมั มาสัมพทุ ธเจา้ ย่อมมตี รกี าย หรอื พระกาย ๓ กาย กายที่หนึ่งเรียกว่า ธรรมกาย เป็นภาวะแห่งการรู้ แจ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นกายท่ีเกิดขึ้นเอง อนั หาเบ้ืองต้นและเบ้ืองปลายมไิ ด้ ธรรมกายนี้ ก็คือ องค์พระอาทิพุทธะ ส่วนกายที่สองเรียกว่า สัมโภคกาย คือกายท่ีเป็นทิพย์ มีรัศมีรุ่งเรือง เกิด ขึ้นมาในรูปของโอปปาติกะ ซ่ึงกายนี้ก็คือ พระธยานิพุทธะ และกายท่ีสามเรียกว่า นิรมาณกาย เป็น กายท่ีเนรมิตบิดเบือนขึ้นให้อยู่ในรูปของร่างกายมนุษย์ ซึ่งก็ได้แก่พระมานุษิพุทธะ หรืออาจจะกล่าว อีกนัยหนึ่งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสามประเภทน้ี ความจริงแล้วถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพียงแต่แสดงตนออกมาในภาวะท่ีแตกต่างกันออกไป เพื่อความเหมาะสมต่อการสั่งสอนเวไนยสัตว์ใน แตล่ ะสถานการณ์ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตตศิ ักด์ิ ณ สงขลา

๓๖ ดังน้ัน พระมานุษิพุทธเจ้าในฝ่ายมหายาน อันได้แก่ พระทีปังกรพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า พระเมตไตรยพุทธเจ้า และพระไภสัชชคุรุพุทธเจ้า ทุกพระองค์จึงล้วนมีพระกาย เป็น ๓ หรือมีภาวะแตกต่างกันเป็น ๓ ในพระองค์เดียว ซ่ึงจะเห็นได้จากพระประธานในโบสถ์ของ มหายาน ท่ีจะต้องมี ๓ พระองค์เสมอ ท้ังนี้มิได้หมายความว่าพระพุทธเจ้า มี ๓ องค์ แต่หมายถึงพระ มานุษิพุทธะหรือพระศากยมุนีพุทธะพระองค์เดียว แต่มีพระกายเป็น ๓ นี้เป็นลักษณะพระรัตนตรัย ของมหายาน แนวคดิ เร่อื ง \"ตรีกาย\" หลักตรีกายเป็นหลักสําคัญของมหายานที่อธิบายว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี ๓ กายเป็นหลัก รว่ มกนั ของทุกนกิ าย พระสตู รตา่ งๆ ก็จะพดู ถงึ ตรกี ายอยู่เสมอ ก่อนอื่นควรทําความเข้าใจว่า แรกเร่ิมพุทธศาสนามหายานด้ังเดิมมีหลักคําสอนเรื่องกายของ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ไมต่ ่างจากเถรวาท กลา่ วคือ ถือกันวา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ามเี พียง ๒ กาย คอื - นิรมาณกาย หรือท่ีฝ่ายเถรวาท เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า รูปกาย อันหมายถึงทั้งกายหยาบและ ละเอียดเหมือนสัตวโลกท่ัวไป - ธรรมกาย คําว่า ธรรมกายในวรรณกรรมมหายานดั้งเดิม มีความหมาย ๒ ประการ คือ ประการแรก ธรรมกายเป็นกายแห่งธรรม ประมวลข้อปฏิบัติ คําสั่งสอน ซ่ึงช่วยเสริมพระบารมี อยู่ใน ฐานะพทุ ธคณุ อย่างหนงึ่ และอีกประการหน่งึ ธรรมกายเป็นตถาคตกาย ความเปน็ อยา่ งนั้น หลักความ จรงิ อันเปน็ รากฐานแหง่ จกั รวาล ต่อมาในยุคของท่านอสังคะและวสุพันธุ คณาจารย์ของนิกายโยคาจาร จึงมีการเพ่ิมกายเข้า มาอีกหน่ึงกาย คือ สัมโภคกาย ทําให้เกิดเป็นแนวคิดตรีกายข้ึนมา และธรรมกายก็มีความหมาย คอ่ นขา้ งไปทางเทวนิยม ดังน้นั พระกายทง้ั ๓ จึงมคี วามหมายดังน้ี ๑) ธรรมกาย หมายถึง สภาวะอันเป็นอมตะ เป็นส่ิงท่ีไร้รูป ไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ไม่มีเบื้องต้นและท่ีสุด ทั้งไม่มีจุดกําเนิดและผู้สร้าง ดํารงอยู่ได้ด้วยตนเอง แม้จักรวาลจะว่างเปล่า ปราศจากทุกส่ิง แต่ธรรมกายจะยังคงดํารงอยู่โดยไม่มีที่ส้ินสุด และมหายาน ยังมีความเชื่อว่า พระธรรมกายนี้เอง ทแี่ สดงตนออกมาในรปู ของสัมโภคกายบนภาคพื้นสวรรค์ และจากสัมโภคกายน้ีก็ จะเเสดงตนออกมาในรปู นริ มาณกาย ทําหน้าที่ส่งั สอนสรรพสตั วใ์ นโลกมนุษย์ ๒) สัมโภคกาย หมายถึง พระกายที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กายน้ีจะไม่มีการ แตกดับ อยู่ในสภาวะอันเป็นทิพย์อยู่ช่ัวนิรันดร์ และนอกจากน้ี มหายานยังมีความเช่ือว่า สัมโภคกาย สามารถที่จะแสดงตนให้ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ได้ สามารถท่ีจะรับทราบคําสวดสรรเสริญและอ้อน วอนจากผู้ที่เลื่อมใสได้ และสัมโภคกายน้ีเองที่เนรมิตตนลงมาเป็นนิรมาณกาย คือพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าในโลกมนุษย์ เพ่ือเป็นการสัง่ สอนสัตวโลก เพราะฉะน้ันแม้ในบัดน้ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายท่ี เคยอุบัติขึ้นในมนุษย์โลกก็ยังสถิตอยู่ในสภาวะแห่งสัมโภคกายนี้ มิได้แตกดับสูญส้ินไปเลย และพระ โพธิสัตวท์ ั้งหลายกย็ ังสามารถเห็นและรับคาํ สอนจากพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าเหล่านไี้ ด้ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโนม้ การศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตตศิ ักด์ิ ณ สงขลา

๓๗ ๓) นิรมาณกาย หมายถึง กายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ียังตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือยังมีการ เกิด แก่ เจ็บ และตาย เหมือนมนุษย์ธรรมดาท่ัวไป มหายานมีความเชื่อว่า นิรมาณกายนี้ แท้จริงแล้ว เป็นการเนรมิตมาจากสัมโภคกาย เพื่อเป็นอุบายในการสั่งสอนสัตวโลก เพ่ือสรรพสัตว์ทั้งหลายจะได้ ไม่ตกอยู่ในความประมาท และเรง่ ปฏิบตั ิธรรมเพ่อื มุง่ สู่ความพ้นทกุ ขโ์ ดยเร็ว กายแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท้ัง ๓ นี้ ถือว่าเป็นแนวความคิดและทัศนะในพระพุทธ- ศาสนามหายานโดยเฉพาะ และแท้ที่จริงแล้วกายเหล่าน้ีย่อมมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันท้ังสิ้น แตกต่างกันเพียงสภาวะแห่งการแสดงออกเท่านั้น โดยที่นิรมาณกายเป็นการเนรมิตตน มาจาก สัมโภคกาย และสัมโภคกายก็เป็นการเนรมิตตนมาจากธรรมกายซึ่งเป็นสิ่งที่ไร้รูป อันเป็นปรมัตถ ภาวะ ถือว่าเป็นสภาวะทเ่ี ป็นอมตะ และอย่เู หนือการอธบิ ายใดๆ ในทางโลกยิ วิสยั จะเห็นได้ว่า การอธิบายภาวะของพุทธเจ้าในรูปตรีกายเช่นน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือท่ีจะบอกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นกายมนุษย์น้ันเป็นเพียงภาคหน่ึงของธรรมกายอันเป็นอมตะ ฉะน้ันการที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไป จึงเป็นเพียงการนิรมาณกายย้อนกลับคืนสู่สภาวะ ด้ังเดิมที่เรียกว่าสัมโภคกายเท่านั้น ซ่ึงสัมโภคกายก็หาใช่อะไร หากแต่หมายถึงภาคท่ีเป็นเทพของ ธรรมกายน่ันเอง ดังนั้นในทัศนะของมหายาน เวลานี้พระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่ได้สูญหายไป ไหน แต่ทรงอยู่ในรปู สมั โภคกาย ณ ทีใ่ ดท่ีหนึ่งในจกั รวาลน้ี แนวคดิ เรอ่ื งพุทธเกษตร พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเช่ือว่า ในจักรวาลหนึ่งๆ จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมากกว่า หน่ึงพระองค์ในเวลาเดียวกันไม่ได้ แต่ฝ่ายมหายานเช่ือต่างไปจากนี้ว่า ในจักรวาลอันเว้ิงว้างน้ี สามารถแบ่งเน้ือที่ออกเป็นส่วนย่อยลงไปอีกนับจํานวนไม่ถ้วน อาณาเขตย่อยๆ ของจักรวาลแต่ละ อาณาเขตนี้เรียกว่าพทุ ธเกษตร (Pure Land) ในหน่ึงพุทธเกษตรจะมีพระสัมมาสมั พุทธเจ้าประทบั อยู่ หนึ่งพระองค์ ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความเชื่อของมหายานจึงสามารถอุบัติขึ้นในจักรวาล พร้อมกันได้มากกว่าหนึ่งพระองค์ เมื่อเป็นดังนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีอุบัติข้ึนเพื่อทําหน้าที่โปรด เวไนยสัตว์ในแต่ละจักรวาลทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคตจึงมีจํานวนมากมายมหาศาลนับประมาณมิได้ ดุจเมลด็ ทรายในคงคานที พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในแต่ละพุทธเกษตร ไม่ว่าจะอยู่ในภาคสัมโภคกายหรือ นิรมาณกาย ท้ังหมดล้วนแตกขยายออกมาจากธรรมกายอันเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในแต่ละ พุทธเกษตรอาจมีลักษณะและคุณสมบัติท่ีผิดแผกกันตามความเหมาะสม ในการโปรดสัตว์ในพุทธ เกษตรน้ันๆ แต่นั่นเป็นเพียงความแตกต่างภายนอกเท่าน้ัน โดยเน้ือแท้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้วนมา จากธรรมกายเดียวกนั ดุจนา้ํ แมจ้ ะอยู่คนละสถานท่ีกล็ ้วนเป็นน้ํา ที่มีเน้ือแท้เปน็ ชนิดเดียวฉนั น้ัน พุทธเกษตรแต่ละแห่ง แตกต่างกันตามบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจําพุทธเกษตรน้ัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดสมัยท่ีเป็นพระโพธิสัตว์ได้บําเพ็ญบารมีไว้มาก อํานาจพระบารมีนั้น จะส่งผลให้พุทธเกษตรของพระองค์รุ่งเรืองมากกว่าพุทธเกษตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีบําเพ็ญ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารย์กติ ติศักดิ์ ณ สงขลา

๓๘ บารมีธรรมมาน้อยกว่าและพุทธเกษตรที่กล่าวกันวา่ เป็นพุทธเกษตรท่ีรุ่งเรืองท่ีสุด และเป็นที่นิยมมาก ทสี่ ุดในบรรดาพทุ ธเกษตรทั้งหมด กค็ ือสุขาวดพี ทุ ธเกษตรอนั เป็นท่ีอย่ขู องพระอมติ าภะ คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าสุขาวดีเป็นช่ือหน่ึงของพระนิพพาน แต่ในความหมายของมหายาน สขุ าวดีนน้ั ยงั ไม่ใชน่ ิพพาน เป็นเพียงพทุ ธเกษตรหนึ่งเท่าน้ัน แต่สุขาวดพี ุทธเกษตรตา่ งจากพุทธเกษตร ท่ีเราอาศัยอยู่น้ี เพราะเป็นสถานที่ท่ีน่าร่ืนรมย์อย่างย่ิง ไม่มีแม้แต่อบายภูมิ จึงสมบูรณ์ด้วยส่ิงอํานวย ความสุขนานาประการ อีกท้ังอายุของผู้ที่เกิดในดินแดนแห่งน้ีก็ยาวนานมาก ฉะน้ันจึงคล้ายกับว่าเป็น สถานที่อยู่อนั ถาวรไป แนวคิดเร่ืองพุทธเกษตรน้ี เชื่อว่ามาจากทัศนะของฝ่ายมหายานท่ีมองว่า นิพพานไม่ใช่สิ่งท่ี คนเราจะบรรลุได้ง่ายๆ เป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะเอ้ือมถึง นิพพานที่ต้องบรรลุถึง ด้วยการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอย่างย่ิงยวด และต้องใช้เวลานาน จึงถูกปรับมาให้กลายเป็นส่ิงที่ สามารถเข้าถึงได้ด้วยการทําบุญ ความศรัทธาเชื่อม่ันในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพุทธเกษตรน้ันๆ แล้วส่งผลให้ไปเกิดในดินแดนแห่งหนึ่ง เรียกว่าพุทธเกษตร ซ่ึงมีเงื่อนไขเอ้ืออํานวยแก่การเข้าถึง นพิ พานตอ่ ไปโดยไม่ยากนกั โดยเฉพาะผู้ที่ไปเกิดในสุขาวดีพุทธเกษตร ก็ย่อมจะมีโอกาสเข้าถึงนิพพานได้ง่ายกว่าผู้ที่เกิด ในพุทธเกษตรอื่น ซ่ึงยังไม่แน่ว่าจะเข้าถึงนิพพานได้ภายในชาติน้ัน แต่สําหรับผู้ที่เกิดใน สุขาวดีพุทธ เกษตรแล้ว ทกุ คนยอ่ มเป็นผ้เู ท่ียงแท้ตอ่ นพิ พาน คือจะตอ้ งเขา้ ถึงนพิ พานภายในชาตนิ น้ั ทุกคน แนวคดิ เรื่องพระโพธิสตั ว์ แนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ (Bodhisattva) ถือเป็นแกนกลางของคําสอนทั้งหมดในคัมภีร์ มหายาน และเป็นอุดมคติอันสูงส่งที่มหายานมุ่งเน้น โดยแนวคิดนี้ได้แยกเป็นเอกเทศจากความเชื่อ เร่ืองพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน กลายเป็นการบรรลุสภาพอย่างหน่ึงท่ีทําให้ผู้บรรลุเป็นผู้ประเสริฐ ท่ีมี หนา้ ท่ีสําคัญในการช่วยเหลอื ดูแลชาวโลก และกลายเปน็ เหล่าเทพเจา้ ทส่ี ถิตในสรวงสวรรค์ ในความเช่ือของมหายาน พระโพธสิ ัตว์จะมีความใกล้ชดิ สรรพสัตว์มากกว่าพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า และสามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้อย่างมากมาย จึงเป็นผู้ควรกราบไหว้บูชาและเป็นที่ยึดเหนี่ยว ทางจิตใจ พระโพธิสัตว์จึงมีลักษณะเป็นสื่อระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในนิพพานกับบรรดามวล มนษุ ย์ เป็นผู้ที่ทาํ หนา้ ทช่ี ่วยเหลอื มนษุ ย์ มอี ํานาจพเิ ศษท่ีสามารถจะชว่ ยเหลือสรรพสัตว์ไดม้ ากๆ ถึงแม้ว่าพระโพธิสัตว์ท้ังหลายล้วนต้ังความปรารถนาที่จะบรรลุพุทธภูมิให้จงได้แต่ท่าน เหล่านั้นก็ยังไม่ขอเข้านิพพานในทันที จะต้องประพฤติตามหลักคําสอนที่เรียกว่าโพธิสัตวมรรค ไป จนกวา่ จะบรรลุพทุ ธภูมิ คอื เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารย์กติ ติศักดิ์ ณ สงขลา

๓๙ ๑) บารมี ๖ หมายถึง คุณธรรมเป็นเหตุให้ถึงฝั่ง คือความสําเร็จต่างๆ ที่บุคคลได้ต้ัง จุดมุ่งหมายเอาไว้ ซึ่งต้องบําเพ็ญให้ย่ิงยวดตราบเท่าท่ียังมิได้บรรลุพุทธภูมิ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ ดงั นัน้ ทางฝ่ายมหายานจึงย่อบารมี ๑๐ หรอื ทศบารมีในฝา่ ยเถรวาท ลงเหลอื เพยี งบารมี ๖ คอื - ทานปารมิตา หรือทานบารมี พระโพธิสัตว์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะและชีวิต เพื่อสัตว์โลก ไดโ้ ดยไม่อาลยั - ศีลปารมิตา หรือศีลบารมี พระโพธิสัตว์ต้องรักษาศีลอันประกอบด้วยอินทรีย์สังวรศีล กุศล สังคหศลี ข้อน้ีได้แก่การทําความดีสงเคราะห์สรรพสัตว์ทุกกรณี สัตวสังคหศีลคือการช่วยสรรพสัตว์ให้ พ้นทุกข์ - กษานติปารมิตา หรือขันติบารมี พระโพธิสัตว์ต้องสามารถอดทนต่อส่ิงกดดัน เพื่อโปรด สัตวไ์ ด้ - วิริยปารมิตา หรือวิริยบารมี พระโพธิสัตว์ไม่ย่อท้อต่อพุทธภูมิ ไม่รู้สึกเหนื่อย-หน่ายระอาใน การช่วยสตั ว์ - ธยานปารมิตา หรือฌานบารมี พระโพธิสัตว์จะต้องสําเร็จในฌานสมาบัติทุกชั้น มีจิตไม่ คลอนแคลนเพราะเหตแุ หง่ อารมณ์ - ปรชั ญาปารมติ า หรอื ปัญญาบารมี พระโพธิสัตวจ์ ะต้องทาํ ให้แจ้งในปคุ คลศูนยตา และธรรม ศนู ยตา ๒) อัปปมัญญา ๔ คือ การอบรมจิตให้มีคุณสมบัติอันประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา ทําให้คณุ สมบตั ิเหลา่ นีแ้ ผ่ไปในสรรพสัตว์ทั้งปวงไมม่ ีประมาณ ๓) มหาปณิธาน ๔ คอื ความตงั้ ใจอันแน่วแน่มน่ั คงซ่ึงพระโพธสิ ตั วจ์ ะตอ้ งมี คอื - จะละกเิ ลสท้ังหลายให้หมดส้นิ - จะศึกษาธรรมทงั้ หลายใหถ้ อ่ งถ้วน (คอื ศึกษาใหห้ มดและแตกฉาน) - จักโปรดสัตวท์ ้งั หลายให้หมด - จะต้องบรรลุอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ (บรรลพุ ุทธภูมิ) ๔) อุดมคติ ๓ คือ - หลักมหาปัญญา เป็นผู้รู้แจ้งในสุญญตาท้ัง ๒ คือ ปุคคลสุญญตา และธรรมสุญญตา พจิ ารณาเหน็ ความว่างในบุคคลและธรรม ไม่ตกอยู่ในอํานาจกเิ ลส - หลักมหากรุณา คือ มีจิตใจกรุณาต่อสัตว์ไม่มีขอบเขต พร้อมที่จะเสียสละตนเองทนทุกข์ แทนสรรพสตั ว์ เพ่อื ช่วยสรรพสัตว์ใหพ้ น้ ทุกข์ - หลักมหาอุบาย คือ ต้องมีกุศโลบายอันชาญฉลาด ในการแนะนําอบรมส่ังสอนผู้อื่นให้พ้น จากทกุ ขใ์ หเ้ ขา้ ถงึ ธรรม อดุ มคตขิ องพระโพธสิ ัตว์ทัง้ สามข้อน้ี นับเป็นหัวใจของพระพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรก หมายถึงการบําเพ็ญประโยชน์ของตนให้เพียบพร้อมสมบูรณ์ ส่วนสองข้อหลัง เป็นการบําเพ็ญ ประโยชน์เพ่ือผู้อ่ืน เมตตาช่วยผู้อ่ืนให้พ้นทุกข์ และเป็นการสืบอายุพระศาสนาพร้อมท้ังเผยแผ่คําส่ัง สอนของพระพทุ ธเจา้ ใหแ้ พร่หลาย เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโน้มการศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ตศิ กั ด์ิ ณ สงขลา

๔๐ ในพระพุทธศาสนามหายาน ความเป็นพระอรหันต์ก็ยังนับว่าด้อยกว่าพระโพธิสัตว์ เพราะ เป็นการเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว มิได้ช่วยเหลือผู้อ่ืนในระหว่างการบําเพ็ญเพียรของตน แต่พระ โพธิสัตว์ผู้มุ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิเป็นผู้ที่เสียสละอย่างย่ิง ไม่ยอมบรรลุโพธิในทันทีเพราะอาศัยความ กรุณาเป็นท่ีต้ังจึงปรารถนาท่ีจะช่วยเหลือผู้อ่ืนก่อน ความคิดที่เน้นการ เสียสละช่วยเหลือเแก่ ผู้อื่นโดยไม่คํานึงถึงความทุกข์ยากลําบากของตัวเอง จึงทําให้อุดมคติพระโพธิสัตว์มีความโดดเด่น เหนือกว่าอุดมคติพระอรหันต์ และได้รับความนิยมมากขึ้นเร่ือยๆ จนกลายเป็นแกนกลางคําสอน ทัง้ หมดของฝ่ายมหายานในทส่ี ดุ เมื่อพิจารณาจากหลักการและความเชื่อของมหายานท่ีกล่าวมาข้างต้นท้ังหมด เราจะเห็น ภาพรวมของคําสอนที่มีลักษณะพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของฝ่ายมหายานโดยเฉพาะ หลักคําสอน เหลา่ น้ีสําหรับพทุ ธศาสนกิ ชนฝ่ายเถรวาทอาจมองว่าเป็นเร่อื งทเี่ ข้าใจไดย้ ากเพราะห่างไกลจากคําสอน ดัง้ เดิมในฝา่ ยเถรวาท ทั้งๆ ทจ่ี ริงแลว้ กเ็ ป็นเรือ่ งทเี่ กี่ยวเนอื่ งสมั พนั ธ์กับคําสอนของเถรวาทท้งั หมด การปรบั ปรงุ คําสอนให้เข้ากับสังคมและกาลสมยั ตามแนวทางของคณาจารย์ฝ่ายมหายาน ถือ ว่าเป็นข้อเด่นที่เป็นประโยชน์ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา แต่อย่างไรก็ดี ในประเด็นนี้มีข้อที่ควร พจิ ารณาคือ ๑) การปรบั พทุ ธพจน์ มหายานได้ใช้หลักจิตวิทยาที่เหนือกว่าการจูงใจคนคือปรับพุทธพจน์ให้เข้ากับบุคคล ให้คน ท่ัวไปมีความรู้สึกวา่ พุทธภาวะนั้นอย่แู ค่เอื้อม บุคคลทุกเพศทุกวัยก็อาจบรรลุพุทธภาวะนั้นได้ โดยไม่ ต้องอาศัยพิธีรีตองหรือการปฏิบัติมาก เป็นการดึงพุทธธรรมเข้าหาบุคคลอย่างเหมาะเจาะ และเกิด ความรู้สึกว่าเป็นกันเอง คือพุทธธรรมอยู่ในวิสัย อยู่ในความสามารถของสามัญชนท่ีหย่ังถึงได้ โดยไม่ ต้องอาศัยพิธีการอะไรให้ยงุ่ ยากนกั เมื่อเปรียบเทียบกัน อาจดูเหมือนว่า ฝ่ายเถรวาทจะตั้งเป้าหมายและวิธีบรรลุเป้าหมาย ไว้ สูงส่งและยากเกินไป และอาศัยผู้มีศรัทธาจริงๆ จึงจะกล้าดําเนินตามเป้าหมายและบรรลุตาม เป้าหมาย ทําให้สามัญชนโดยท่ัวไปมองพระพุทธศาสนาในแง่สูงสุดเอ้ือม จะเห็นได้ง่ายๆ ว่าแม้แต่ พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ ก็ยังมีความเห็นว่า เร่ืองการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเร่ืองของพระภิกษุ เท่าน้ัน ย่ิงเม่ือพูดถึงการบรรลุมรรคผลด้วยแล้ว ดูจะเป็นสิ่งที่เกินวิสัย และเป็นไปไม่ได้เลยสําหรับ ฆราวาสผู้ท่ียังครองเรือนจะบรรลุธรรมได้ ดังนั้นจึงมักคิดว่าทางโลกและทางธรรมเป็นส่ิงที่ต้องแยก ออกจากกนั และยากท่ีจะไปดว้ ยกันได้ เมื่อมองในอีกแง่หน่ึง พระพุทธศาสนาเถรวาทมุ่งท่ีปัจเจกภาพเฉพาะบุคคล คือเริ่มท่ีตนก่อน แล้วจึงไปหาผู้อ่ืน แต่มหายานมุ่งที่ผู้อ่ืน แล้วดึงเข้ามาหาตนเอง กล่าวง่ายๆ คือ มหายานเอาปริมาณ ไว้ก่อน เพราะถือว่าเม่ือคนท่ีสนใจธรรมะมีมากขึ้น คนท่ีรู้แจ้งธรรมก็ย่อมจะมีมากตามไปด้วยเป็นเงา เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กติ ตศิ ักด์ิ ณ สงขลา

๔๑ ตามตัว ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนาแบบมหายานจึงได้รับความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็วและ สามารถดงึ ดดู ความสนใจของผู้คนได้มากกวา่ ๒) ปัญหาท่เี กดิ จากการปรบั พทุ ธพจน์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการปรับพุทธพจน์จะทําให้มหายานประสบความสําเร็จในการเผยแผ่ แต่ ถึงกระนั้น ก็ยังก่อให้เกิดผลเสียท่ีเห็นได้ชัดเจนในแง่ท่ีว่า เม่ือมีการมองคําสอนหรือพระพุทธวจนะใน แง่ปรัชญา คือมุ่งพิจารณาในแง่เหตุผลมิใช่ในแง่ศรัทธา จึงปรากฏมีคณาจารย์มหายานตีความพระ ธรรมวินยั ไปตามหลกั เหตุผลทแ่ี ตกตา่ งกัน และเนื่องจากเหตุผลก็ย่อมขน้ึ อยู่กับขอบเขตแห่งแนวความคิดของบคุ คลแต่ละคนไม่จําเป็นท่ี บุคคลอื่นๆ จะต้องยอมรับ ดังน้ันนิกายย่อยๆ ของมหายานจึงเกิดขึ้นเร่ือยมา เม่ืออยู่ท่ีใด สภาพแวดล้อมเปล่ียนไป ความคิดท่ีจะปรับปรุงก็มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบุคคลมีจิตใจสูง พุทธพจน์ก็ ไม่แปดเปอื้ นมลทนิ มากนกั แตถ่ ้าบคุ คลมีจิตใจตํ่า พุทธพจน์กพ็ ลอยมวั หมองไปดว้ ย ดว้ ยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาฝา่ ยเถรวาทจึงมีทา่ ทใี นการรกั ษาพระธรรมวนิ ัยอย่างเคร่งครัด ซึ่ง มีประโยชน์ต่อความม่ันคงของพระพุทธศาสนาในระยะยาว ในขณะท่ีฝ่ายมหายาน สนองความ ต้องการท่ีเหมาะในขณะนั้นเท่านั้น และเมื่อกาลเวลาผ่านไป มหายานก็ต้องเปล่ียนแปลงตัวเองอยู่ เร่อื ยไปอยา่ งหลกี เลย่ี งมไิ ด้ จงึ ปรากฏวา่ มีนกิ ายของมหายานมากมายเหลอื เกินในปจั จุบนั มหายานสองสายทีม่ ตี ้นกําเนิดในอนิ เดยี พระพุทธศาสนามหายานในอินเดีย สามารถแบ่งเป็นนิกายใหญ่ๆ ได้ ๒ นิกาย คือ นิกาย มาธยมิกะ และนิกายโยคาจาร ท้ังสองนิกายเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงวิชาการว่า เป็นนิกายของฝ่าย มหายานท่ีมีต้นกําเนิดในอินเดีย และต่างก็มีปรัชญาคําสอนอันลึกซ้ึงท่ีชวนให้นักวิชาการชาวตะวันตก ทงั้ หลายท่มุ เทศกึ ษากันอย่างจริงจงั ๑) นิกายมาธยมกิ ะ (Madhyamika) คําว่า มาธยมิกะ แปลว่า ทางสายกลาง ท่ีได้ช่ืออย่างนี้เพราะมุ่งเน้นคําสอนเรื่องทางสาย กลาง(มชั ฌิมาปฏิปทา) เปน็ หลกั สาํ คัญ แต่ทางสายกลางตามแนวคดิ ของนกิ ายมาธยมิกะ อาจหา่ งไกล จากสิ่งท่ีเราเข้าใจ นิกายมาธยมิกะถือทางสายกลางระหว่างความมีกับความไม่มี ความเท่ียง กับความไม่เที่ยง เป็นต้น กล่าวส้ันๆ นิกายน้ีแสดงว่าโลกน้ีมีจริงก็ไม่ใช่ ไม่มีจริงก็ไม่ใช่ แต่เป็นสิ่งท่ี สบื เนื่องกนั เป็นปฏจิ จสมปุ บาท (ส่งิ ท้ังหลายเกิดข้ึนและดาํ เนนิ ไปตามเหตุปจั จยั ) เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารย์กิตติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๔๒ น่าสังเกตว่าทางสายกลางตามคําสอนดั้งเดิม มีความหมายไปในเชิงจริยธรรมหรือเป็น แนวทางเพ่ือการปฏิบัติ ในขณะที่ทางสายกลางของนิกายมาธยมิกะกลับมีความหมายในเชิง อภิปรัชญา ซง่ึ เป็นแนวคดิ อนั ลึกซ้งึ ที่ดูจะไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติเท่าใดนัก กล่าวกันว่า นิกายมาธยมิกะเป็นนิกายแรกสุดท่ีแยกตัวออกมาจากมหายานกลุ่มดั้งเดิมท่ีมีมา ก่อนหน้าน้ัน โดยมีท่านนาคารชุน (Nagarajuna) เป็นผู้ก่อต้ังขึ้นในพุทธศตวรรษท่ี ๗ ท่านนาคารชุน ได้อรรถาธิบายพุทธมติด้วยระบบวิภาษวิธี (Dialectic) หรือวิธีโต้แย้งกันทาง ความคิดเพื่อให้เข้าถึง ความจริงในปรัชญาน้ัน จนสามารถกําจัดปรวาทีฝ่ายตรงข้ามให้พ่ายแพ้ไปทุกแห่งหน วิภาษวิธีของ ท่านนาคารชนุ ไดก้ ่อให้เกิดการต่ืนตัวในวงการนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ทําให้มีนักคิดที่ตามมา ในภายหลังยึดถอื วิธีการของทา่ นเป็นแบบอย่างอีกมากมาย ทา่ นนาคารชุนได้เขียนคมั ภรี ์ไวห้ ลายเลม่ ผลงานชิน้ สาํ คญั ของทา่ นคอื คมั ภรี ์ มัธยมกการิกา (Madhyamakakrika) ซึ่งได้รวบรวมปรัชญามาธยมิกไว้อย่างเป็นระเบียบ สอนเรื่อง ศูนยตา (Sunyata) ว่าเป็นความแท้จริงขั้นสุดท้าย (อันติมสัจจะ) และเพราะเหตุที่นิกายน้ี ยึดถือศูนย ตาว่าเปน็ หลกั สาํ คัญของตนด้วย ดงั นนั้ จึงมชี อ่ื เรียกอีกอย่างหนงึ่ ว่า นกิ ายศูนยวาท คัมภีร์มัธยมกการิกายังได้กล่าวอีกว่า สัจจะหรือความจริงมี ๒ ชนิด คือ สมมติสัจจะ และ ปรมัตถสัจจะ ในสัจจะทั้ง ๒ น้ี สมมติสัจจะ หมายถึง อวิชชาหรอื โมหะซึง่ ปดิ บงั ความเป็นจริงจนทําให้ เราเข้าใจผิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างน้ันมีแก่นสาร ส่วนปรมัตถสัจจะ หมายถึง การหย่ังเห็นปรากฏการณ์ ทั้งหลายว่าเป็นส่ิงสมมติ สังขารทั้งหลายไม่มีอยู่จริง เปรียบเหมือนภาพมายา แม้แต่ความหลุดพ้นก็ เป็นสิ่งสมมติ เมื่อยังละสมมติสัจจะไม่ได้ก็ยังบรรลุปรมัตถสัจจะ ไม่ได้ จากคําอธิบายตรงน้ี เราจึง ตีความได้ว่า ความจริงแท้ที่มาธยมิกะกล่าวถึงน้ัน ไม่มีแก่นสารสาระใดๆ แต่เป็นอิสรภาพหรือความ หลุดพ้นจากแกน่ สารทง้ั ปวง หลักการของมาธยมิกะขา้ งต้น ดูจะเป็นเรื่องยากต่อการเข้าใจของคนทั่วไป เพราะเต็มไปด้วย การโต้แย้งเชิงเหตุผลที่ซับซ้อนและลึกซ้ึง แต่อย่างไรกต็ ามบรรดานักปราชญ์ชาวตะวันตก ยุคหลังท่ีได้ อา่ นคมั ภีร์ของนาคารชนุ แล้ว ตา่ งก็ต้องยอมรับว่า ท่านนาคารชนุ เปน็ นกั ตรรกวิทยา ท่ียงิ่ ใหญ่ของโลก ที่ไม่มีปราชญ์ชาวตะวันตกผู้ใดจะเทียบได้ แม้แต่พุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานเองต่างก็ยอมรับใน อัจฉริยภาพด้านพุทธปรชั ญาของท่าน และยกย่องท่านไว้อย่างสูงสุดในฐานะ \"พระพทุ ธเจ้าองค์ทส่ี อง\" ในบ้ันปลายชีวิต ท่านนาคารชุนดับขันธ์ลง ณ มหาวิหารแห่งหน่ึงท่ีเมืองอมราวดี ในแคว้นอันธระ ทักษิณาบถ ปัจจุบันนี้ในอินเดียทางใต้ยังมีโบราณสถานแห่งหนึ่ง ซ่ึงมีซากพระสถูปเจดีย์ช่ือว่า \"นาคารชนุ โกณฑะ\" ๒) นิกายโยคาจาร (Yogacara) นิกายโยคาจารเป็นนิกายสําคัญท่ีเป็นคู่ปรับของนิกายมาธยมิกะ โดยมีท่านไมเตรยนาถ (Maitreya-natha) เป็นคณาจารย์ผู้เป็นต้นกําเนิดนิกายในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๘ และได้เขียนคัมภีร์ ไว้หลายเล่ม เช่น อภิสมยาลังการะ มหายานสูตราลังการะ เป็นต้น แต่บางตํานานบอกว่า โยคาจาร เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๔๓ เริ่มพัฒนาข้ึนอย่างช้าๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๗๐๐ เป็นต้นมา และพัฒนาถึงขีดสูงสุดประมาณปี พ.ศ.๙๐๐ มี พ้ืนฐานทฤษฎีอยู่บนระบบการตคี วามเนอ้ื หาคมั ภีร์ท่ีสําคัญ เช่น สันธินิรโมจนสูตร และลงั กาวตารสูตร เปน็ ตน้ นิกายโยคาจารเจริญถึงขีดสุดในสมัยของท่านอสังคะ (Asanga) และท่านวสุพันธุ (Vasubandhu) สองพ่ีน้องผู้แต่งตําราออกเผยแผ่มากมาย โดยท่านอสังคะพ่ีชายเป็นศิษย์คนสําคัญ ของท่านไมเตรยนาถ เป็นผู้อธิบายปรัชญาโยคาจารอย่างเป็นระบบต่อจากท่านไมเตรยนาถ ส่วน น้องชายคือวสุพันธุแต่เดิมบวชเรียนอยู่ในนิกายสรวาสติวาท หรือไวภาษิกะ มาภายหลังจึงหันมานับ ถือมหายานนกิ ายโยคาจารตามพช่ี าย อสังคะเรียกชื่อนิกายฝ่ายตนว่า นิกายโยคาจาร (Yogacara) ส่วนวสุพันธุเรียกว่านิกายวิช ญาณวาท (Vijananavada) ท่ีได้ช่ือว่าโยคาจารน้ันก็เพราะใช้วิธีบําเพ็ญโยคะหรือการฝึกจิตเพื่อบรรลุ โพธิ (การรู้แจ้งความจริง) แต่ที่ช่ือว่า วิชญาณวาท ก็เพราะยึดถือจิตตมาตระหรือวิชญาปติมาตร (Vijaaptimatra) หมายถงึ ความไมม่ อี ะไรนอกจากวิญญาณ (Thought-Only, or Mind-Only) วา่ เป็น ความจริงแท้ข้ันสูงสุด พูดง่ายๆ ว่า ยอมรับเฉพาะจิตหรือวิญญาณเพียงประการเดียวว่าเป็นจริง ส่ิง ต่างๆ นอกนั้นเป็นเพียงความคิดหรืออาการกิริยาของจิต ดังน้ันโยคาจารจึงใช้ปรัชญาไปในทางปฏิบัติ สว่ นวิชญาณวาทใช้ปรชั ญาไปในทางเกง็ ความจรงิ นอกจากน้ี โยคาจารยังมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า ธรรมลักษณะ ซึ่งหมายถึงการให้ความสําคัญ ที่ลักษณะของธรรม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร โยคาจารก็ยังมหี ลักการสาํ คัญอยู่ท่ีการยอมรับจติ ว่าเป็นความ จรงิ เดียวทม่ี อี ยู่ ไมม่ คี วามจริงอ่ืนนอกจากจิต นิกายมาธยมิกะกับนิกายโยคาจารต่างเป็นคู่ปรับกันมาทุกยุคทุกสมัยเหมือนอย่างขมิ้นกับปูน ถึงขนาดห้ามสานุศิษย์ไม่ให้คบค้าสมาคมกัน มิให้ร่วมสังฆกรรม ข้อสําคัญที่ขัดแย้ง กันก็คือเร่ืองสว ลักษณะหรือสวภาวะ คือลักษณะหรือภาวะของตนเอง นิกายมาธยมิกะถือว่าโดยสมมติสัจจะแล้ว ส่ิง ท้ังหลายทั้งปวงไม่มีสวลักษณะหรือสวภาวะในตัวของมันเอง เป็นมายาทั้งหมด และโดยปรมัตถสัจจะ แล้ว ส่งิ ทงั้ หลายทั้งปวงเป็นศูนยตา ฝา่ ยนิกายโยคาจารถือว่า โดยสมมติสจั จะแล้ว ส่ิงท้งั หลายทัง้ ปวงจะเป็นมายาไปท้ังหมดไมไ่ ด้ แม้มองจากภายนอกจะไม่ใช่ของจริง แต่พีชะที่มาจากอาลยวิญญาณจนเป็นบ่อเกิด ของภาพเหล่านั้น มีสวลักษณะอยู่ด้วย และโดยปรมัตถสัจจะก็ไม่ได้สูญเสียไปท้ังหมด ยกตัวอย่าง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ มีสวลักษณะอยู่ภายในตัวของมันเองแล้ว คนเราทําความช่ัววันนี้ พรุ่งน้ีก็ไม่ต้องรับความช่ัวที่ตัวเองได้ กระทําไว้ ถ้าไม่มสี วลกั ษณะหรือสวภาวะอยแู่ ล้วใครเล่าจะเปน็ คนคอยรับบญุ รับบาป นายปอทําความ ชั่ววันน้ี พรุ่งนี้ก็กลายเป็นคนละคนไปแล้วไม่ต้องรับความชั่วที่ตัวก่อไว้ เหมือนกับปลูกมะละกอ ถ้าไม่ มสี วลกั ษณะอยู่จริงก็กลายเป็นมะมว่ งมะพรา้ วไป สรุปแล้วนิกายท้ัง ๒ ตีความหมายให้คํานิยามสวลักษณะแตกต่างกันและดูเหมือนจะแย้งกัน แบบสุดโต่ง ทั้งท่ีจริงแล้วจุดประสงค์ของทั้ง ๒ นิกายเหมือนกัน คือ เพ่ือความหลุดพ้น แต่ส่ิงที่ดู เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กติ ตศิ กั ดิ์ ณ สงขลา

๔๔ เหมือนจะแตกต่างกันเป็นเพียงแนวทางการนําเสนอเท่าน้ัน โดยโยคาจารถือว่ามีจิตอยู่จริงและเป็น ความจริงเพียงหน่ึงเดียว สวลักษณะน้ันเปล่ียนแปลงได้ แต่ถึงจะเปล่ียนแปลงอย่างไรก็ยังรักษา คุณสมบัติเดิมเอาไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามทําให้ตัวเองหลุดพ้นจากความยุ่งยากซับซ้อนในโลก โดย หนั มาดูที่กระแสจติ ของตนและบังคบั ควบคมุ ส่วนมาธยมิกะถือว่าโดยที่สุดแล้วไม่มีอะไรอยู่เลย จึงยืนยันว่า ขึ้นช่ือว่าสวลักษณะแล้ว จะต้องเท่ียงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ท้ังยังเสนอว่า ต้องพยายามทําตัวเองให้หลุดพ้นโดยไม่ยึดถืออะไรเลย และจุดเน้นของมาธยมิกะไม่ได้เพียงว่าไม่ยึดถืออะไรเลยเท่านั้น แต่ก้าวไปไกลถึงขนาดกล่าวว่า \"โดย ที่สุดแล้ว ความว่างก็ไม่มี (Emptiness of Emptiness)\" ฝ่ายมาธยมิกะจึงประณามพวกโยคาจารว่า เป็นพวกสัสสตวาท (ความมีอยู่อย่างเท่ียงแท้ถาวร) ฝ่ายโยคาจารก็ประณามพวกมาธยมิกะว่าเป็น พวกนัตถิกวาท (ความไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่มีสภาวะท่ีจะกําหนดเป็นสาระได้) ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากัน ว่า เป็นพวกมจิ ฉาทิฏฐทิ ําลายพระพุทธศาสนา ทําให้เกดิ ความขัดแย้งจนหาจุดจบไมไ่ ด้ ทงั้ สองนิกายน้ี กเ็ ลยเข้าข่ายเปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐิไปท้งั คตู่ ามหลักคําสอนฝา่ ยเถรวาท อันท่ีจริง โยคาจารเห็นด้วยกับมาธยมิกะเฉพาะเรื่องความไม่มีอยู่จริงของวัตถุหรืออารมณ์ ภายนอก แต่เร่ืองท่ีเห็นว่าจิตไม่มีจริงหรือไม่มีอยู่จริงน้ัน โยคาจารไม่เห็นด้วยอย่างย่ิง เพราะถือว่า ทรรศนะของมาธยมิกะท่ีปฏิเสธว่าสูญทั้งหมดเท่ากับเป็นความเห็นผิดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะโยคา จารเชื่อว่าอย่างน้อยท่ีสุดเราต้องยอมรับว่าจิตเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ท้ังนี้เพื่อให้ความคิดท่ีถูกต้องเป็นสิ่งท่ี เป็นไปได้ จิตซ่ึงประกอบด้วยกระแสแห่งความคิดชนิดต่างๆ (เจตสิก) เป็นส่ิงแท้จริงเพียงประการ เดียว ดังนั้นหากจะกล่าวไปแล้ว ก็คงถือได้ว่านิกายโยคาจาร จัดว่าเป็นปรัชญาคําสอนฝ่ายอภิธรรม ของมหายานทด่ี จู ะใกล้เคียงกบั หลักคาํ สอนในการปฏบิ ตั ขิ องฝา่ ยเถรวาทมากทีส่ ดุ โดยเฉพาะข้อความ ในคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทที่ว่า \"โลกอันจิตนําไป อันจิตย่อมเสือกไสไป โลกท้ังหมดเป็นไปตามอํานาจของ ธรรมอยา่ งเดยี ว คอื จิต\" ๓. พระพุทธศาสนาในยุคเสื่อมจากอนิ เดยี การเผยแพร่ของลทั ธพิ ุทธตนั ตรยาน นิกายพุทธตันตระ (Tantric Buddhism) เช่ือว่าแนวทางของตนถือกําเนิดมาตั้งแต่สมัย พุทธกาลโดยคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่า พระศากยมุนีพุทธได้จัดให้มีการประชุมข้ึนที่ เมืองศรีธานยกฏกะและทรงสั่งสอนเกี่ยวกับทางลี้ลับหรือทางลัด (Esoteric path) ท่ีเป็นธรรม ละเอยี ดลกึ ซ้ึงซึง่ ไม่ทรงเปดิ เผยท่ัวไปแกส่ าธารณชน แต่จะทรงแสดงให้ฟงั เฉพาะคนท่ีสติปญั ญาเฉลียว ฉลาดเท่านั้น ดังน้ันคําสอนน้ีจึงเรียกว่ารหัสยานหรือคุยหยาน ซ่ึงแปลว่า ลึกลับ เช่นเดียวกับท่ี พระองค์เคยทรงสั่งสอนวิถีทางให้แก่นิกายมหายานมาก่อนที่เขาคิชฌกูฏ คติความเช่ือดังกล่าวนี้ได้รับ การสนับสนุนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวทิเบตและนักปราชญ์ชาวอินเดียบางท่านก็เห็นคล้อยตามว่า พระพุทธเจ้าได้สอนหลักปฏิบัติแบบตันตระ มนตร์ มุทรา และธารณี ให้แก่พุทธศาสนิกชนด้วย โดย อ้างว่าผู้ที่ฉลาดอย่างพระพุทธองค์คงจะไม่ทรงละเว้น ที่จะนําเอาหลักปฏิบัติเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา มารวมไวใ้ นพระพุทธศาสนา เพอ่ื ดงึ ดูดพทุ ธศาสนิกชนให้ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนามากข้นึ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตตศิ กั ดิ์ ณ สงขลา

๔๕ จากร่องรอยทางประวัติศาสตร์ นักปราชญ์ชาวอินเดียได้สืบอายุของนิกายพุทธตันตระไป จนถึงสมัยของท่านเมไตรยนาถและอสังคะแห่งสํานักโยคาจาร ซึ่งอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๘ อันเป็น ช่วงที่ศาสนาฮินดูกําลังเฟ่ืองฟูอย่างมาก พระพุทธศาสนาในขณะน้ันจึงอยู่ในภาวะท่ีต้องแข่งขันต่อสู้ กับศาสนาฮินดู ดงั นั้นเพือ่ ความอยู่รอดของพระพทุ ธศาสนา คณาจารย์ฝา่ ยมหายานจงึ ตดั สนิ ใจทจ่ี ะใช้ วธิ ีประนีประนอมระหวา่ งกลุ่มชน ๒ ฝ่าย คือ กลมุ่ ชาวพทุ ธยุคใหม่ และกลุ่มชาวฮินดูท่ีนับถือพระศวิ ะ (ไศวนิกาย) เพื่อใหป้ ระชาชนหันกลับมานับถอื พระพุทธศาสนาดังเดิม คณาจารย์ฝา่ ยมหายานทั้งหลายเห็นวา่ ลําพังพระธรรมแท้ๆ ยากที่จะทําให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ จึงคิดแก้ไขให้เหมือนศาสนาฮินดู คือกลับไปยกย่องเรื่องเวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีหาลาภ พิธีเสกเป่า ลงเลขยันต์ต่างๆ จนในที่สุดนิกายพุทธตันตระจึงระคนปนเประหว่างมหายานนิกายโยคาจารกับ ศาสนาฮนิ ดูจนแทบแยกไมอ่ อก พระสงฆ์เองกต็ อ้ งทําหนา้ ทีเ่ หมอื นพราหมณท์ กุ อย่าง ลัทธนิ ีจ้ งึ เรยี กว่า มนตรยาน (Mantrayana) หรือตันตรยาน (Tantrayana) เพราะนับถือพิธีกรรมและการท่องบ่น สาธยายเวทมนตร์อาคมเป็นสําคัญ โดยที่เวทมนตร์แต่ละบทเรียกว่า ธารณี (Dharani) มีอานิสงส์ ความขลังความศักดิส์ ิทธ์พิ รรณนาไว้วิจิตรลึกลํา้ นกั หนา ธารณมี นตเ์ หลา่ นีม้ ีทง้ั ประเภทยาวขนาดหน้า สมุด และประเภทสั้นเพียงคําสองคํา ซ่ึงเรียกว่าหัวใจคาถาหรือหัวใจธารณี สามารถทําให้ผู้สาธยาย พ้นจากทุกข์ภัยนานาชนิด และให้ได้รับความสุขสวัสดิมงคลและโชคลาภตามความปรารถนา ฉะน้ัน เป็นธรรมดาอยู่ ที่ลัทธินี้จะได้รับการต้อนรับจากพุทธศาสนิกชนผู้ยังเป็นปุถุชนอยู่ ด้วยสามัญปุถุชน ย่อมแสวงหาท่ีพ่ึงไว้ป้องกันภัย ศาสนาพราหมณ์อ้างเอาอานุภาพของพระเป็นเจ้าปกป้อง ลัทธิพุทธ มนตรยานจึงแต่งมนตร์อ้างอานุภาพของพระรัตนตรัยและอ้างอานุภาพของพระโพธิสัตว์ตลอดจน อานุภาพของเทพเจ้าท้ังหลายซ่ึงนับถือกันว่าเป็นธรรมบาล รวมเอาเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์เข้าไว้ ดว้ ยก็มี แลว้ ส่งั สอนแพรห่ ลายในหม่พู ุทธศาสนิกชน นิกายพุทธตันตระมีวิธีสอนแตกต่างจากมหายานยุคต้นๆ อย่างชัดเจน มหายานสอน หลักธรรมในพระสูตรและศาสตร์ต่างๆ ท่ีใครๆ ก็สามารถหาอ่านได้ และเป็นหนังสือท่ีคนท่ัวไป พอจะ ทําความเข้าใจได้ แต่ตรงกันข้าม คัมภีร์เล่มใหม่อันยืดยาวของนิกายตันตระสงวนไว้สําหรับบุคคลที่ ได้รับการคัดเลือกแล้วเพียงไม่ก่ีคน และบุคคลเหล่าน้ันจะต้องได้รับการสอนจากครูโดยตรง นอกจากน้ันคัมภีร์ยังเขียนไว้ด้วยภาษาที่ลึกลับ เข้าใจยาก และคลุมเครือชวนให้สงสัยอีกด้วย ท้ังไม่ ยอมอ้างว่าคัมภีร์เหล่านั้นเป็นคําสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้า แต่กลับบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้า องค์อ่ืน ซ่ึงกล่าวกันว่าพระองค์ได้ทรงสอนคัมภีร์เหล่าน้ันตั้งแต่อดีตกาลอันไกลโพ้น แม้ว่าจุดมุ่งหมาย ของนิกายตันตระยังเป็นพุทธภาวะเช่นเดียวกับนิกายมหายาน แต่มิใช่เป็นส่ิงท่ีจะได้บรรลุในอนาคต อันไกลแสนไกลนานแสนนานอย่างแต่ก่อน หากแต่พุทธภาวะน้ันมีอยู่ในร่างกายของเราน่ีเอง และใน ชั่วขณะจิตตุปบาทที่เกิดขึ้นเดี๋ยวน้ีเอง ซ่ึงเราบรรลุได้ด้วยวิธีการที่ใหม่เอี่ยม รวดเร็วทันใจและง่ายๆ อยา่ งน่าอัศจรรย์ทเี ดียว การเกิดขึ้นของนิกายตันตระดาํ รงอยู่นานถงึ ๓ สมยั ด้วยกัน คือ สมัยแรกมีชื่อเรียกว่า มนตร ยาน (Mantrayana) ซ่ึงได้เริ่มต้นในพุทธศตวรรษท่ี ๘ แต่เพ่ิงจะมีการเผยแพร่คําสอน อย่างจริงจัง หลังจากพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ นิกายน้ีได้ก่อให้เกิดเวทมนตร์คาถาต่างๆ ข้ึนมากมาย โดยมีความมุ่ง เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโนม้ การศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารย์กิตติศักด์ิ ณ สงขลา

๔๖ หมายท่ีจะให้เวทมนตร์คาถาเหล่าน้ันเข้าช่วยให้การแสวงหาพระโพธิญาณทําได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นใน พุทธศาสนาจึงมีมนตร์ มีมุทระ มีมัณฑละ และเทพเจ้าองค์ใหม่เกิดข้ึนทั้งที่มีในตําราและนอกตํารา มากมาย และพอหลังจาก พ.ศ.๑๒๙๓ นิกายตันตระน้ี ก็ได้รับการจัดระบบใหม่ขึ้นมา มีช่ือเรียกว่า วัชรยาน ซ่ึงก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคําสอนด้ังเดิมอยู่ในเร่ืองพระเจ้า ๕ พระองค์ (Five Tathagatas) นิกายยอ่ ยท่ีได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงน้ันคอื นิกายสหชยาน ซ่ึงเนน้ หนักไปในทางการทําสมาธิ และเจริญวิปัสสนา อีกทั้งสอนโดยใช้ปริศนาปัญหาธรรมและภาพปริศนาต่าง ๆ และหลีกเล่ียงการใช้ ระบบการเรียนการสอนที่กําหนดตายตัว เม่ือถึงพุทธวรรษที่ ๑๕ นิกายกาลจักรก็เกิดขึ้น ซึ่งกาลจักร น้ีเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า นิกายน้ีได้ขยายขอบเขตแห่งคําสอนกว้างขวางย่ิงข้ึน และเน้นหนัก ไปทางโหราศาสตรด์ ้วย นิกายดังกล่าวน้ีเองได้เจริญข้ึนในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เป็นต้นมา นักบวชใน นิกายนี้ไม่เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า สิทธะ (Siddha) หรือผู้วิเศษ ซ่ึงก็ไม่แตกต่างอะไรนักจากพระ โพธิสัตว์ แต่กล่าวกันว่าหลังจากที่สิทธะได้บรรลุถึงภูมิที่ ๘ แล้ว ก็จะมีฤทธานุภาพต่างๆ ครบถ้วน สทิ ธะเป็นบุคคลทีเ่ ป็นแบบฉบบั ซง่ึ จดั วา่ เป็นอริยะ ต่อมานิกายพุทธตันตระได้แตกแยกสาขาออกไปอีก แบ่งเป็น ๒ พวกใหญ่ คือ พวกวามจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายซ้าย พวกนี้ประพฤติเล่ือนเป้ือนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผีมากข้ึน คอื อยูใ่ นป่าช้า ใชก้ ะโหลกหัวผเี ป็นบาตร และมีภาษาลบั พดู กนั เฉพาะพวกเรยี กว่า \"สนธยาภาษา\" ถือ การเสพกามคุณเป็นการบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี \"ศักติ\" (Shakti) คือ ชายาคู่บารมี พระพุทธปฏมิ าก็มีรูปอุ้มกอดศักติ การบรรลนุ ิพพานต้องทาํ ใหธ้ าตชุ ายธาตุหญิงมาสมาน กัน ธาตชุ ายเปน็ อบุ าย ธาตหุ ญงิ เป็นปรชั ญา เมอ่ื อุบายรวมกับปรัชญาจงึ ได้ผลคือนิพพาน นอกจากน้ี ยังมีความเชื่อว่าพระพุทธองค์มีพระกายที่ ๔ เรียกว่า วัชรสัตว์ ซ่ึงทําเป็นรูป พระ พุทธนิรันดรกําลังสวมกอดนางตารามเหสีของพระองค์ในท่าร่วมสังวาส (ยับยุม) พระพุทธ-รูปแบบนี้ และปฏิมากรรมท่ีคล้ายกันนี้ มีในพิพิธภัณฑ์ของประเทศเนปาลมาก และพระในลัทธิน้ีต้องทําพิธีเสพ เมถุนกับหญิงอยู่เรื่อยๆ เพ่ือแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์กับนางตารา และยังมีความเช่ือกันอีก ด้วยว่า ความเปน็ พทุ ธะตั้งอยู่ในอวัยวะสืบพันธ์ุของหญิงหรือโยนี ในขณะท่ีอีกพวกหน่ึงเรียกว่า พวกทักษิณจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายขวา พวกน้ียังประพฤติ ธรรมวินัย ถ้าเป็นพระยังรักษาพรหมจรรย์ เข้าใจตีความให้เป็นธรรมโดยกล่าวว่าสัญลักษณ์เหล่าน้ัน จะถือเอาตรงตัวไม่ได้ เช่น ในคัมภีร์สาธนมาลาของท่านอนังควัชระ ซ่ึงเป็นสิทธาจารยค์ นหน่ึงในนิกาย น้ี ได้กล่าวว่า \"สาธุ\" (Sadhu) หมายถึง นักบวชควรได้รับการบําเรอจากสตรีเพศ เพื่อให้ได้เสวยมหา มธุรา ข้อความเช่นน้ีเป็นสนธยาภาษา จะต้องไขความว่า สตรีเพศในที่นี้ท่านให้หมายเอาปัญญา สาธุ เป็นเพศชาย จะต้องสร้างอุบายเพื่อรวมเป็นหนึ่ง (เอกีภาพ) เม่ือเป็นเช่นน้ีก็ได้พระนิพพาน แต่พวก วามจารีนั้นหาคิดเช่นน้ันไม่ พวกเขาได้ถือเอาตามตัวอักษรเลยทีเดียว ถึงกับสอนว่า ผู้ใดมอบสตรีให้ สทิ ธะจะไดก้ ศุ ล เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโน้มการศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารย์กิตตศิ ักด์ิ ณ สงขลา

๔๗ จะเห็นว่า พุทธตันตระสอนให้คนกลับไปสู่กิเลส สอนให้คนเช่ือของขลังและอาคม และสอน ให้บําเพ็ญตบะแต่ไม่ต้องทําอย่างลําบากยากเย็นอะไร คือธรรมชาติประสงค์ให้มนุษย์ทําอย่างไรก็ให้ อนุโลมทําไปตามน้ัน พวกตันตระมีพิธีกรรมเรียก จักรบูชา และทํากันอย่างในลัทธิศักติ คือ ผู้ชายกับ ผู้หญิงจํานวนเท่าๆ กัน ไปพบกันในที่ลับตาเวลามืดค่ําแล้วน่ังล้อมเป็นวงเข้า เอาเทพีที่เคารพบูชาตั้ง กลาง หรือไม่ก็ใช้เคร่ืองหมายโยนีของหญิงต้ังไว้บูชา บางทีก็ให้หญิงเปลือยกาย หญิงพวกน้ีโดยมาก เป็นภรรยาของพระ จุดหมายในการทําพิธีน้ี อยู่ที่การบูชาโยนีเป็นสําคัญ ในพิธีมีการเสพสุรา กินปลา กินเน้ือ ข้าวตากกัน แล้วเสพเมถุน การกระทํา ๕ อย่างน้ีคือ ด่ืมสุรา (มัทยะ) กินเน้ือ (มังสา) กินปลา (มัตสะ) กินข้าว (มุทระ) และเสพเมถุน (เมถุนะ) เรียกว่า ตัตตวะท้ัง ๕ (Pancha Tattva) แต่พวก ทักษิณจารีตีความ \"ม\" ท้งั ๕ ว่า ได้แก่ ปัญจขนั ธ์ ๕ คอื รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ ถ้าว่ากันโดยต้นกําเนิดแล้ว นิกายตันตรยานนี้ได้มีวิวัฒนาการมาจากปฏิกิริยาเพื่อต่อต้าน ภยันตรายท่ีคุกคามพุทธศาสนาในอินเดียสมัยนั้น ซ่ึงกําลังขยายตัวอย่างเพ่ิมข้ึนเรื่อย ในระยะแรก ปรากฏว่าคณาจารย์ชาวพุทธประสบความสําเร็จในการพัฒนาตันตระล้ําหน้าพวกฮินดูมาก เพราะ มนตรยานมีอิทธิพลในทางเข้าเร้าอารมณ์ให้เลื่อมใสง่าย และมีพิธีกรรมอันสวยสดงดงาม ส่วนสหัช ยานมีอิทธิพลในด้านการปฏิบัตสิ มาธอิ ย่างลึกซึ้ง แตเ่ มอ่ื เร่มิ มเี รื่องเลอะเทอะผิดธรรมวนิ ยั เข้ามาปะปนมากข้นึ และมีการแก้ไขละทงิ้ ธรรมวินัยดั้งเดิมมากขึ้น พระพุทธศาสนาที่แท้จริงจึงค่อยๆ เส่ือมไป โดยถูกอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ กลืนไปทลี ะเล็กละน้อยในรูปของลัทธติ ันตรยานนเี้ อง หลังจากนัน้ มา คณะสงฆบ์ างกล่มุ กถ็ กู เบ่ยี งเบน ความคิดด้วยลัทธิตันตระท่ีพัฒนาถึงขีดสุด จนเช่ือว่าชีวิตทางเพศไปกันได้กับภิกษุภาวะ ทั้งๆ ท่ีก่อน น้ันทัศนะเรื่องประพฤติพรหมจรรย์ไม่ข้องเก่ียวด้วยกามารมณ์ยังดํารงอยู่อย่างมั่นคงในหมู่คณะสงฆ์ จนเม่ือประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ จึงมีหลกั ฐานวา่ ในแคว้น กัษมิระ มภี ิกษุแต่งงาน และต้ังแต่ พุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา นิกายตันตระก็ยอมรับรองการแต่งงานของภิกษุตามหมู่บ้านที่นิกายน้ี ขยายออกไป น่ีคือสภาพการพระพุทธศาสนาในอินเดียยุคปลายที่เข้าสู่ภาวะเส่ือม กระทั่งสูญสิ้นไปใน เวลาต่อมา พระพทุ ธศาสนาภายใตก้ ารอุปถัมภ์ของฝ่ายอาณาจกั ร ในบรรดาลัทธิศาสนานิกายต่างๆ ของอนิ เดียโบราณซ่ึงมีอยู่ดาษดื่น จะเห็นว่ามีแต่เพียงสาวก ของเชนเท่าน้ัน ที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน ท้ังที่หลักคําสอนไม่ใคร่สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงของ สังคมนัก ท้ังนี้เป็นเพราะว่า บรรดาสาวกของเชนเหล่าน้ัน มีพวกพ่อค้าที่มีฐานะม่ังค่ังรวมอยู่ด้วยเป็น อันมาก และคอยให้ความอุปถัมภ์แก่นักบวชนั้นอย่างเต็มที่ จึงทําให้อยู่รอดมาได้ เพราะชุมนุมชนของ ศาสนาเชนต้ังอย่ทู า่ มกลางนักบวชกับคฤหสั ถ์ แต่สําหรับพระพุทธศาสนาโดยท่ัวไปอาศัยพระเจ้าแผ่นดินทรงอุปถัมภ์ และท่ีใดที่ขาดการ อุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ ที่นั่นพระพุทธศาสนาก็จะประสบความลําบากเสมอ เมื่อผู้ปกครองเฉย เมยต่อดินแดนที่มีพระสงฆ์อยู่ประจํา ไม่ได้ให้การสนับสนุนกันเท่าท่ีควร พระสงฆ์ ก็ไม่อาจอยู่ในถิ่น เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโนม้ การศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตตศิ ักดิ์ ณ สงขลา

๔๘ น้ันๆ ตามปกติได้ จําต้องละท้ิงที่นั้นไป เพราะไม่อาจปฏิบัติตามวินัยและศาสนกิจตามที่ควรได้ ในขณะท่ีศาสนาเชนยืนหยัดอยู่กับถิ่นที่อยู่ของตน ในบั้นปลายทั้งฮินดูและเชนต่างก็ยังรอดมาได้ใน ดินแดนดั้งเดิมของตน ในสมัยพุทธกาล พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ผู้ปกครองรัฐต่างๆ เช่น พระ เจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าจัณ ฑปัชโชต และพระเจ้าอุเทน ทรงยอมรับ พระพุทธศาสนา หลังจากพุทธกาลพระพุทธศาสนาก็ได้ขยายตัวไปตามลําดับ และ ๒๐๐ ปีเศษหลัง พุทธกาล พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงไปในอินเดียในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์ โมริยะ พระเจ้ากนิษกะแห่งราชวงศ์กุษาณะ และพระเจ้าหรรษวรรธนะ เป็นต้น กษัตริย์เหล่านี้ทรง ส่งเสรมิ ความกา้ วหนา้ ของพระพุทธศาสนาท้งั ในอินเดียและในตา่ งประเทศ สาเหตทุ ที่ าํ ให้พระพทุ ธศาสนาเสือ่ มจากอินเดยี ทงั้ ท่ีพระพุทธศาสนาถือกําเนิดในประเทศอินเดีย แต่ตอ่ มาในขณะทพ่ี ระพุทธศาสนาแผ่ขยาย และเจริญรุ่งเรืองไปในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก พระพุทธศาสนาในอินเดียเองกลับเสื่อมลง จนในยุคหนึ่ง กล่าวได้วา่ แทบไม่มีชาวพุทธหลงเหลืออยู่เลย ท่เี ปน็ เชน่ น้นี ่าจะมาจาก ๒ สาเหตุหลักดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. สาเหตภุ ายใน พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้นํา โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง ในแง่การ ปฏิบัติเพ่ือมุ่งสู่นิพพานนั้น พระภิกษุสงฆ์คือผู้ที่สละโลก ต้ังใจปฏิบัติธรรมขัดเกลากิเลส ถือเป็น แบบอย่างของชาวพุทธโดยท่ัวไป และในแง่การเผยแผ่ศาสนา พระภิกษุสงฆก์ ็อยู่ในฐานะของครูผู้สอน โดยสาธุชนทั่วไปเป็นผู้รับฟังคําสอนแล้วนําไปปฏิบัติ และทําบุญให้การสนับสนุนในการดํารงชีพและ การปฏบิ ตั ศิ าสนกิจของพระภิกษสุ งฆ์ ในระยะแรกพระภิกษุสงฆ์ท่ีบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีอยู่เป็นจํานวนมาก ปฏิบัติตนเป็น ผู้นํา เป็นแบบอย่างแก่พระภิกษุสงฆ์อ่ืนในการเผยแผ่พระศาสนา พระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ต่างมีความ ศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นแฟ้น เป้าหมายการบวชในสมัยน้ันคือบวชเพ่ือมุ่งพระ นิพพานกันจริงๆ ให้ความสําคัญท้ังการศึกษาพระปริยัติธรรมและการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป นอกจากน้ียังทําหน้าที่เผยแผ่สงั่ สอนประชาชนให้ปฏิบัตติ ามตอ่ ไป พระพุทธศาสนาจึงเจรญิ รุ่งเรืองข้ึน อยา่ งรวดเร็ว ต่อมาผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีจํานวนน้อยลง ในหมู่พระภิกษุสงฆ์ก็มีทั้งผู้ท่ีมีใจรัก มี ความเช่ียวชาญทางด้านพระปริยัติธรรมและผู้ท่ีเช่ียวชาญในด้านธรรมปฏิบัติ แต่เน่ืองจากการศึกษา พระปริยัติธรรมเป็นสิ่งท่ีสามารถวัดความรู้ได้ สามารถจัดการศึกษาเป็นระบบและให้วุฒิการศึกษาได้ ในขณะที่ธรรมปฏิบัติเป็นส่ิงท่ีรู้เฉพาะตน เป็นของละเอียด วัดได้ยาก และเน่ืองจากพระภิกษุสงฆ์ ผู้เช่ียวชาญด้านธรรมปฏิบัติ มักมีใจโน้มเอียงไปในทางแสวงหาความสงบสงัด มักไม่ชอบการคลุกคลี เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโน้มการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ตศิ ักด์ิ ณ สงขลา

๔๙ ด้วยหมคู่ ณะ เมื่อเป็นเช่นน้ี หลงั จากเวลาผา่ นไป พระภกิ ษสุ งฆผ์ ู้มคี วามเช่ยี วชาญดา้ นพระปริยัติธรรม จงึ ขน้ึ มาเปน็ ผบู้ รหิ ารคณะสงฆ์ไปโดยปริยาย เม่ือผู้บริหารการคณะสงฆ์เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านปริยัติธรรม ก็เป็นธรรมดาอยู่เองท่ีการ ส่งเสริมการศึกษาของสงฆ์จะเน้นหนักในด้านพระปริยัติธรรมเป็นหลัก เพราะเป็นส่ิงที่คุ้นเคย และ ชํานาญ แม้จะเห็นความสําคัญของธรรมปฏิบัติ แต่เมื่อตนไม่คุ้นเคย ไม่มีความชํานาญการสนับสนุนก็ ทําได้ในขอบเขตหนึ่งเท่าน้ัน พระภิกษุสงฆ์รุ่นใหม่ๆ จึงมักได้รับการฝึกอบรมในด้านพระปริยัติธรรม เปน็ หลัก สว่ นธรรมปฏิบตั ิกค็ ่อยๆ ลดน้อยถอยลง การศึกษาพระปริยัติธรรมในยุคแรกๆ ก็ศึกษาเพื่อเน้นให้เข้าใจในพุทธพจน์คําส่ังสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนํามาใช้ในการประพฤติปฏิบัติ แต่ต่อมาเม่ือศึกษามากเข้าๆ ก็มีพระภิกษุ สงฆ์ท่ีเป็นนักคิด นักทฤษฎีจํานวนหนึ่ง ทนการท้าทายจากนักคิดนักปรัชญาของศาสนาอื่นๆ ไม่ได้ เมื่อถูกตั้งคําถามเกี่ยวกับเร่ืองอภิปรัชญา เช่น โลกน้ีโลกหน้าว่ามีจริงหรือไม่ จิตมีการรับรู้ได้อย่างไร โลกเป็นอยู่อย่างไร มีจริงหรือไม่ เป็นต้น จึงพยายามหาเหตุผลทางทฤษฎีตามแนวคิดในทาง พระพุทธศาสนาและใช้การให้เหตุผลทางตรรกศาสตร์มาอธิบายปัญหาเหล่าน้ี ท้ังๆ ที่คําถามเหล่านี้ เป็นคําถามท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เพราะถือว่าไม่เกิดประโยชน์มีแต่จะเป็นเหตุให้ ถกเถยี งทะเลาะเบาะแว้งกนั ทรงอบรมสั่งสอนแตใ่ นส่ิงทีน่ าํ ไปสู่การขดั เกลากเิ ลส มงุ่ ส่พู ระนิพพาน ซ่ึง เม่ือถึงจดุ นน้ั แลว้ ผ้ปู ฏิบัติกย็ อ่ มจะเข้าใจสิ่งเหล่าน้ีไดเ้ อง หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติจนเข้าถึงแล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมเห็นตรงกัน เป็น ภาวนามยปัญญา (ความรู้แจ้งท่ีเกิดจากความเห็นแจ้ง) แต่เมื่อพยายามพิสูจน์ด้วยความคิดทาง ตรรกศาสตร์ ด้วยจินตมยปัญญา (ความรู้คิด) ไม่ได้รู้แจ้งด้วยตนเองเพราะไม่เห็นแจ้งย่อมมีความคิด แตกต่างหลากหลาย ผลก็คือนักทฤษฎีของพระพุทธศาสนาเองก็มีความเห็น ไม่ตรงกัน ทะเลาะ ถกเถียงกันเอง เกิดเป็นแนวคิดของสํานักต่างๆ และแตกตัวเป็นนิกายต่างๆ ในท่ีสุด มีนักทฤษฎีใน พระพุทธศาสนาที่มีช่ือเสียงเกิดข้ึนจํานวนมาก เช่น นาคารชุน อสังคะ วสุพันธุ ทิคนาคะ ภาววิเวก ธรรมกรี ติ ศานตรักษิตะ เปน็ ตน้ แนวคิดของพระนักทฤษฎีเหล่านี้มีความลึกซ้ึงมาก จนแม้นักวิชาการทางตะวันตกปัจจุบันมา เห็นเขา้ ยังตื่นตะลึง แต่ผลท่ีเกดิ ก็คือ เกิดความขัดแย้งแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ และพระพทุ ธศาสนาได้ กลายเป็นศาสนาท่ีมีหลักคําสอนสลับซับซ้อน จนชาวบ้านฟังไม่เข้าใจ ประหนึ่งว่าพระพุทธศาสนา กลายเป็นศาสนาของพระภิกษุสงฆ์เท่าน้ัน แต่ก็มีพระภิกษุสงฆ์เพียงจํานวนน้อยที่รู้เร่ือง และก็ยัง คิดเห็นไม่ตรงกันอีก ส่วนชาวพุทธทั่วไปกลายเป็นชาวพุทธแต่ในนามไปวัดทําบุญตามเทศกาลตาม ประเพณเี ทา่ นน้ั ขณะเดียวกัน ก็มีพระภิกษุสงฆ์อีกกลุ่มหน่ึง ซ่ึงมีจํานวนมากกว่า ได้หันไปปฏิบัติตามใจ ชาวบ้าน ซ่ึงต้องการพ่ึงพาอํานาจลึกลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการเล่นเครื่องรางของขลังเวทมนตร์ คาถาต่างๆ วัตรปฏิบัติย่อหย่อนลง จนถึงจุดหนึ่งเกิดเป็นนิกายตันตระ ซ่ึงเลยเถิดไปถึงขนาดถือว่า การเสพกามเปน็ หนทางส่กู ารตรัสรู้ธรรม การด่มื สรุ าเปน็ ส่ิงดี เป็นต้น เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตติศกั ดิ์ ณ สงขลา

๕๐ เม่ือเกิดความแตกแยกภายในพระพุทธศาสนา ทั้งในเร่ืองของแนวคิดทฤษฎีท่ีทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ จบสิ้น จนถึงการแตกเป็นกลุ่มเวทมนตร์คาถาซ่ึงฉีกแนวทางไปอย่างสุดโต่ง ในขณะที่ธรรมปฏิบัติอัน เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนากลบั ถกู ละเลยไป พระพุทธศาสนาในอนิ เดียจงึ ออ่ นแอลง ๒. สาเหตุภายนอก ในอินเดีย นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังมีศาสนาอื่นๆ อีกมาก โดยศาสนาพราหมณ์มี อิทธิพลมากท่ีสุด เม่ือพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองข้ึน คนหันมานับถือมาก ศาสนาพราหมณ์ก็ลด บทบาทลง ผู้นําของศาสนาพราหมณ์ก็พยายามหาทางดึงศาสนิกกลับคืนอยู่ตลอดเวลา โดยการโจมตี พระพุทธศาสนาบ้าง พยายามหยิบยกเอาคําสอนของพระพุทธศาสนาไปดัดแปลงเป็นคําสอนของตน บ้าง ปรับเปล่ียนเพ่ิมเติมเทพเจ้าท่ีนับถืออยู่บ้าง จนที่สุดได้กลายเป็นศาสนาฮินดูดังตําราเรียนเรื่อง ศาสนา เมื่อกลา่ วถงึ ศาสนาฮินดู กม็ ักจะมคี ําวา่ พราหมณค์ วบคู่กนั ไปเสมอ เม่ือถึงเวลาที่พระพุทธศาสนาเสื่อมลงเนื่องจากความแตกแยกภายในแล้ว ก็ได้มีการเปลี่ยน วิธีการ จากการโจมตีพระพุทธศาสนา มาเป็นการผสมกลมกลืน โดยมีปราชญ์ใหญ่ชื่อ ศังกระ (ประมาณปี พ.ศ.๑๒๘๐) เป็นผู้นําในการปฏิรูปศาสนาฮินดู มีการเลียนแบบวัดในพระพุทธศาสนา สร้างที่พักนักบวชในศาสนาฮินดูเรียกว่า มถะ เป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ศาสนาฮินดูข้ึนเป็นครั้งแรก ทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนเนืองๆ อีกมากมาย ถึงขนาดมีการปรับคําสอนบอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ องค์อวตารปางที่ ๙ ของพระวิษณุ แล้วนับเอาผู้ท่ีเคารพนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าเป็นชาวฮินดู ทงั้ หมด ทางด้านของพระพุทธศาสนาเอง เม่ือมีปัญหาความแตกแยกภายในประกอบกับชาวพุทธ โดยทั่วไปไม่มีความรู้ในพระธรรมอย่างถ่องแท้ เม่ือพบกับยุทธวิธีของศาสนาฮินดูเข้าเช่นนี้ ชาวพุทธก็ ย่ิงสับสน แยกไม่ออกระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสนาอ่ืน ทั้งที่เป็นชาวพุทธ ก็เคารพนับถือกราบ ไหว้พระพรหม เทพเจ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ ด้วย พระภิกษุสงฆ์เอง บางส่วนก็หันไปเอาใจชาวบ้าน เห็นเขานับถือเทพเจ้า เจ้าแม่ต่างๆ ก็เอารปู ปั้นของเทพเหล่านั้น มาไว้ในวัด ให้ชาวบ้านกราบไหว้บูชา ที่สุดชาวบ้านจึงแยกไม่ออก คิดว่าพระพุทธศาสนากับศาสนาฮินดูคือสิ่งเดียวกัน ชาวพุทธแต่เดิมก็ กลายเปน็ ชาวฮินดูไปคอ่ นตัว และต่อมาเม่ือเจอเหตุกระทบคร้ังใหญ่คือ ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.๑๖๐๐ กองทัพมสุ ลิมบุกเข้า ยึดอนิ เดียไล่มาจากทางตอนเหนือและประกาศทําลายพระพุทธศาสนา พวกมสุ ลิมภายใต้การนําของกุ ทบุดดิน นายพลของสุลต่านโมฮัมเหม็ดโมฆี เข้ามารุกรานอินเดียจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ เม่ือพบปู ชนียสถานโบราณวัตถุของศาสนาอ่ืนในที่ใด ก็ใช้อาวุธเป็นเครื่องทําลายล้างวัตถุน้ันๆ โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ สังฆารามของพระพุทธศาสนาและไม่เว้นแม้เทวาลัยของพราหมณ์ก็ถูกทําลายลงใน คราวน้ันเปน็ อนั มาก เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโน้มการศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๕๑ กองทัพมุสลิมมีอคติเป็นพิเศษต่อพระภิกษุผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนา กองทัพมุสลิมจึง พากัน เผาวัดทุกวัดในพระพุทธศาสนาราบเป็นหน้ากลอง ฆ่าพระภิกษุทุกรูปท่ีอยู่ในวัดนั้นๆ จนเลือดแดง ฉานนองแผ่นดิน ทั้งมีการให้รางวัลแก่ผู้ท่ีตัดศีรษะพระภิกษุสงฆ์มาส่งให้ พระภิกษุสงฆ์จึงต้องสึก มฉิ ะนนั้ กต็ อ้ งอพยพหลบหนไี ป สถูปเจดีย์จํานวนมหาศาลถูกทําลาย ถูกปล้นสดมภ์ และปล่อยให้รกร้างไป บ้างก็ถูกขโมยอิฐ ไปสร้างบ้าน ไปทําถนน กองเถ้าถ่าน ซากพระพุทธปฏิมาท่ีถูกไฟเผา โครงกระดูกนับไม่ถ้วน เหล็ก ไม้ หิน สุมเป็นกองใหญ่ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดหลงเหลือให้นักโบราณคดีเห็นเป็นประจักษ์พยาน มิใช่การเผา ทําลายครงั้ เดียว แตเ่ กิดขึ้นนับคร้ังไม่ถ้วน ไม่ใชแ่ ต่เพียงมุสลิมเท่านั้นท่ีทําลายล้างพระพุทธศาสนา ใน เวลาเดียวกัน ศาสนิกและพวกโยคีของฮินดู ก็ฉวยโอกาสน้ีซํ้าเติมให้หนักข้ึนไปอีก ทั้งนี้เห็นจะเป็น เพราะว่าพระพุทธศาสนาได้เคยเป็นคู่แข่งสําคัญที่ต่อสู้ขับเค่ียวกับศาสนาฮินดูมาแต่ต้น การทําลาย ล้างยังไม่หยุดย้ัง บริเวณที่ถูกทําลายมากท่ีสุดคือแคว้นอุตตรประเทศ และแคว้นพิหารอันเป็นแหล่ง ใหญ่ของพุทธศาสนา พวกมุสลิมพากันเข้าใจผิดว่า มหาวิทยาลัยนาลันทาคือป้อมปราการของชาว พุทธจึงได้เข่นฆ่าพระภิกษุ ทุกรูปในวัด โดยการคิดว่าพระภิกษุเหล่านั้นคือทหาร มีพระภิกษุจํานวน น้อยมากท่ีรอดพ้นจากกองทัพมุสลิม พระพุทธศาสนาซ่ึงขณะนั้นมีเพียงพระภิกษุสงฆ์จํานวนน้อยที่รู้ จริงในคําสอนของพระพุทธศาสนา ส่วนชาวพุทธท่ัวไปนั้นขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ดังนั้น เมอ่ื พระภกิ ษุสงฆห์ มด พระพทุ ธศาสนากห็ มดจากประเทศอินเดียในทส่ี ุด ไม่น่าเชื่อว่าพระพุทธศาสนาท่ีเคยรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุด เม่ือกาลผ่านพ้นไป ก็ค่อยๆ ริบหร่ีลง ด้วยแรงปะทะของศาสนาฮินดู ท้ายสุดเมื่อเข้าสู่ยุคมืด ก็ต้องมีอันปิดฉากลงด้วยกองทัพมุสลิมคล่ัง ศาสนา เหตกุ ารณ์น้ีนบั เป็นปรากฏการณท์ ท่ี ําให้พทุ ธศาสนิกชนเจบ็ ปวดมากท่ีสุด จากบทเรียนที่เกิดข้ึนในอินเดียดังกล่าว เราอาจสรุปได้ว่า ความมั่นคงของพระพุทธศาสนา จะต้องประกอบด้วยปัจจัยท่ีสําคัญคือ ชาวพุทธต้องเป็นชาวพุทธท่ีแท้จริง มีความรู้ความเข้าใจในคํา สอนของพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง โดยต้องศึกษาทั้งปริยัติและปฏิบัติเพื่อให้เกิดปฏิเวธ คือผลของ การปฏิบัติ นําหลักธรรมมาใช้ในการดําเนินชีวิตจริง และปัจจัยที่สําคัญยิ่งอีกประการหน่ึงก็คือ ชาว พทุ ธจะต้องมีความสามัคคกี นั เว้นจากการใหร้ า้ ยกนั พระพุทธศาสนาจงึ จะมั่นคงอยไู่ ด้อยา่ งแท้จริง เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโนม้ การศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กิตติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๕๒ คําถามทา้ ยบท ๑. ในสมยั พุทธกาลเปน็ การศึกษาในลักษณะเช่นใด จงอธบิ าย ? ๒. นสิ ิตคิดวา่ พวกพราหมณม์ เี หตุผลใดจึงหนั มานบั ถือพระพุทธศาสนาจงอธิบายมาใหไ้ ด้ใจความ ? ๓. ใหน้ ิสิตสรปุ เหตกุ ารณ์สําคัญท่ีเกิดขนึ้ ในอนิ เดียภายหลังพทุ ธกาลมาดู ? ๔. บ่อเกิดของพระพุทธศาสนามหายาน เกิดจากอะไร และท่ีมาของแนวคิดคําสอน ระบบความเชื่อ และการปฏิบัติของฝา่ ยมหายานท่ตี า่ งไปจากพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท อยา่ งไร จงอธิบาย ? ๕. จงอธิบายอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีผลต่อพระพุทธศาสนาจนเป็นเหตุสําคัญท่ีเป็นจุด เปลยี่ นทําใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเข้าสู่ยคุ เสือ่ มในอนิ เดีย มาดู ? ๖. จากประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา นิสิตเห็นว่าสาเหตุใดที่ทําให้พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจาก อนิ เดีย ? ๗. ให้นิสิตวิเคราะห์เหตุปัจจัยท่ีมีผลต่อความเส่ือมสูญหรือความม่ันคงของพระพุทธศาสนามาพอให้ ไดใ้ จความ ? ๘. ในฐานะท่ีนิสิตนับถือพระพุทธศาสนาคนหนึ่ง นิสิตคิดว่า หน้าที่ของชาวพุทธท่ีจะต้องช่วยกัน ธํารงรักษาพระพทุ ธศาสนาใหเ้ จริญรุ่งเรืองสบื ไปได้อยา่ งไร จงอธบิ าย ? เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศักดิ์ ณ สงขลา

บทที่ 3 สังคมไทยกบั สงั คมชนบท วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนร้ปู ระจาํ บท ๑. เพอ่ื ใหน้ สิ ติ รแู้ ละเข้าใจถงึ สังคมไทยและสังคมชนบท ในอดตี และปจั จบุ ัน ๒. เพอ่ื ให้นสิ ิตสามารถอธิบายถึงสังคมไทยและสังคมชนพล ในอดตี และปัจจบุ นั ได้ ๓. เพ่ือใหน้ สิ ติ สามารถวเิ คราะหแ์ นวโนม้ สงั คมไทยในอนาคต

๕๔ กรอบเนอื้ หา ๑. สงั คมไทย - สิ่งแวดลอ้ มที่เป็นตวั กาํ หนดลักษณะของสงั คม - ลักษณะสงั คมไทย - สถาบนั สงั คมทส่ี ําคัญของไทย - ค่านยิ มของสงั คมไทย ๒. การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย ๓. แนวโน้มการเปลีย่ นแปลงของสงั คมไทย ๔. สังคมไทยในอดีต แนวคิด ๑. ในสมัยพุทธกาลศึกษาประมาณ ๕ ปี เฉล่ียโดยมากเข้ามาบวชในสํานักของพระพุทธเจ้า แล้วจะอยู่ในสํานักพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือในสมัยหลังๆ จะอยู่ในสํานักพระมหาเถระอื่น ๆ และ เม่ือได้ระยะเวลาพอสมควรพากันออกไปอยู่ป่าลึก ๆ จึงขอกัมมัฏฐานจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ หรอื จากสมเดจ็ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ดว้ ยมุขปาฐะ ๒. สาเหตุสําคัญที่พราหมณ์ทั้งหลายในสมัยพุทธกาลละทิ้งความเชื่อเดิมที่สืบทอดกันมา หลายพันปี แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนามีหลายประการที่สําคัญท่ีสุดคือ คําสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมอันจริงแท้แน่นอนที่ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองในยุคน้ันมีผู้ ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมเป็นพระอริยบุคคลมากมาย ซ่ึงสามารถเป็นพยานยืนยันคําสอนได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ีเหล่าพราหมณ์ให้การยอมรับในบุคลิกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในฐานะท่ีทรงมีกายมหา บุรุษจึงตั้งใจฟังคําสอนของพระองค์ พุทธวิธีสอนธรรมก็มีส่วนอย่างมากในการเปล่ียนแปลงความเชื่อ ของคนในสังคมอินเดีย พระองค์ทรงสอนโดยยึดตามจริตผู้เรียนหรือในปัจจุบันเรียกว่าสอนโดยยึด ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) อีกประการหนึ่ง คําสอนของเหล่าพราหมณ์อาจารย์มีความ ขัดแยง้ กนั เอง จึงทาํ ให้พราหมณจ์ าํ นวนไม่น้อยเสื่อมศรัทธาหนั มานับถือพระพุทธศาสนา เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตติศักดิ์ ณ สงขลา

๕๕ ความหมาย สังคม (Social) หมายถึง กลุ่มคนที่อยู่รวมกัน มีความสัมพันธ์กัน พ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน มีระเบียบกฎเกณฑแ์ ละความเชอื่ ถอื ที่สําคญั ร่วมกัน ตลอดจนมคี วามสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกันเองและ ระหวา่ งบคุ คลกับกลุม่ สงั คม สังคมไทย (Thai Social) หมายถึง กลุ่มชนชาติท่ีอาศัยอยู่ร่วมกันในประเทศไทย มีขนบ ธรรมเนียมประเพณีแบบไทย มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นต่างจากสังคมอ่ืน ได้แก่ ภาษาพูด ภาษาเขยี น การแตง่ กาย ความเชือ่ มารยาท อาหาร การดาํ เนินชีวติ ทม่ี พี ทุ ธศาสนาเป็นพื้นฐาน เปน็ ต้น สังคมไทย (Thai Social) หมายถึง กลุ่มคนท่ีอยู่ร่วมกัน ดําเนินชีวิตร่วมกัน อาจมีเช้ือชาติ ศาสนาและวัฒนธรรมท่แี ตกตา่ งกัน แต่ยดึ ถือวัฒนธรรมไทยเปน็ พืน้ ฐานในการดาํ รงชวี ติ รว่ มกัน สง่ิ แวดลอ้ มท่เี ป็นตวั กําหนดลกั ษณะของสังคม 1. สิ่งแวดลอ้ มทางธรรมชาติ สังคมไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนที่มีฝนตกชุก ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ํา และ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ทําให้สังคมไทยเป็นสังคมท่ีเป็นสังคมเกษตรกรรม มาตัง้ แต่อดตี 2. สง่ิ แวดล้อมทางวัฒนธรรม คือ ส่วนหน่ึงเป็นวัฒนธรรมที่เราประดิษฐ์คิดค้นข้ึนมาเอง ซ่ึงมักจะสอดคล้องกับ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งเราได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากสังคมอ่ืน แล้วนํามา ดัดแปลงให้เหมาะสมกบั สภาพการดําเนนิ ชีวิตในสงั คม 3. สงิ่ แวดลอ้ มทางสงั คม เป็นส่ิงแวดล้อมท่ีมีท้ังส่ิงที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เกิดจากการกระทําของมนุษย์หรือมีอยู่ ตามธรรมชาติ เช่น อากาศ ดิน หิน แร่ธาตุ นํ้า ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทร พืชพรรณสัตว์ต่างๆ ภาชนะเคร่ืองใช้ต่างๆ ฯลฯ ส่ิงแวดล้อมดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะมนุษยเ์ ปน็ ตัวการสําคญั ยง่ิ ทีท่ ําให้ส่งิ แวดล้อมเปลี่ยนแปลงท้งั ในทางเสริมสรา้ งและทําลาย ลักษณะสังคมไทย สังคมชนบท ชาวชนบทมักประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ขนาดของชุมชนมีขนาดเล็ก จึง ทําให้คนในชุมชนรู้จักมักคุ้นกัน ค่าครองชีพต่ํา คือสามารถอยู่หากินได้ดีกว่าชุมชนเมือง ยังสามารถพ่ึงพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ ความเจริญและเทคโนโลยีสมัยใหม่ยังไม่ท่ัวถึง มีการ รวมตัวกนั งา่ ยกวา่ ชุมชนเมอื ง ซง่ึ มกี ลุ่มอาชีพผลประโยชนแ์ ตกตา่ งกัน สังคมเมือง มีความสะดวกสบายในด้านการคมนาคมขนส่ง การส่ือสาร มากกว่าชนบท มกี ารพ่ึงพาอาศัยกันนอ้ ยกว่าในชนบท เพราะสามารถพึ่งตนเองได้ ชาวเมอื งมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง ศาสนา สังคม น้อยกว่าชนบท มีการแบ่งชนชั้นทางสังคมด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ ตําแหน่งหน้าที่สูง กวา่ ชนบท มีสถาบนั ทางเศรษฐกจิ สังคมตง้ั อยูม่ ากกวา่ ชนบท เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ติศักดิ์ ณ สงขลา

๕๖ สถาบนั สงั คมที่สําคญั ของไทย 1. สถาบันครอบครัว หมายถึง สถาบนั สังคมที่เกี่ยวขอ้ งกับแบบแผนการสมรส การอบรมเล้ียงดูบตุ ร และแบบ แผนความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ซ่ึงเป็นท่ียอมรับว่าเป็นความถูกต้องทางสังคม สถาบันครอบครัวเป็น สถาบันพืน้ ฐานของสงั คมมนษุ ย์ มอี งคป์ ระกอบสําคัญ ดังน้ี - องค์การ ได้แก่ ครอบครัว ซ่ึงประกอบด้วยสมาชิกท่ีอยู่อาศัยในครัวเรือนเดียวกัน เช่น บดิ า มารดา บุตร และวงศาคณาญาติท่ีสมั พันธเ์ กย่ี วข้องโดยสายโลหิตหรอื โดยการสมรส หรือโดยการเป็น บตุ รบญุ ธรรม - องค์มติ คือ เล้ียงดูสมาชิกใหม่ ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่สมาชิกใหม่ ซึ่งเป็น กระบวนการขัดเกลาทางสังคม เพ่ือให้เด็กเติบโตเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม หน้าที่อ่ืนๆ ได้แก่ การสนอง ความตอ้ งการทางจติ ใจ ทําหนา้ ทใ่ี หค้ วามรัก ความอบอนุ่ แกส่ มาชิก - องค์พิธีการ สถาบันครอบครัวประกอบไปด้วยแบบแผนพฤติกรรม ซ่ึงเป็นบรรทัดฐานทาง สงั คม ไดแ้ ก่ ขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมหลายประการ เชน่ ประเพณีการหมัน้ การสมรส - องค์วัตถุ สัญลักษณ์ของสถาบันครอบครวั ทส่ี ําคัญ เช่น แหวนหมน้ั แหวนแตง่ งาน เป็น ตน้ 2. สถาบนั การศกึ ษา หมายถงึ สถาบันสังคมซึ่งเก่ียวขอ้ งกับแบบแผนการขัดเกลาและการถ่ายทอดวฒั นธรรม การ ให้ความรู้ และการฝึกหัดทักษะอาชีพ เพื่อความเป็นสมาชิกที่เหมาะสมแก่สังคม สถาบัน การศึกษามี องคป์ ระกอบทีส่ ําคัญ ดังนี้ - องค์การ ได้แก่ องค์การต่างๆ ในสถาบันการศึกษา เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย สมาคม ทางการศกึ ษา จะประกอบไปด้วย ครู อาจารย์ นักวิจยั วทิ ยากรผ้ใู ห้การอบรม เปน็ ตน้ - องค์มติ ถ่ายทอดความรู้ วัฒนธรรม และทักษะ อันจําเป็นในการดํารงชีวิตของสมาชิก ในสงั คม การผลิตกาํ ลงั แรงงานทางเศรษฐกิจ ตามความตอ้ งการทางสงั คม - องค์พิธีการ สถาบันการศึกษาประกอบไปด้วยแบบแผนพฤติกรรมต่างๆ เช่น การจัดระบบการศึกษา แบบแผนการเรียนการสอน แบบแผนความประพฤติของนักเรียน นักศึกษา เปน็ ตน้ - องค์วัตถุ สถาบันการศึกษาจะปรากฏในองค์การทางการศึกษาต่างๆ เช่น เข็มเคร่ืองหมาย โรงเรยี น สปี ระจาํ โรงเรยี น เปน็ ตน้ 3. สถาบนั ศาสนา หมายถึง สถาบันสังคมท่ีเกี่ยวข้องกับแบบแผนระบบความเช่ือ และความศรัทธาต่อสิ่งท่ี ควรเคารพบูชาของสมาชิกในสังคม สถาบันศาสนามีความสําคัญต่อการหล่อหลอมความเป็นอันหน่ึง อันเดียวกันของสมาชิกในสังคม สถาบนั ศาสนามอี งค์ประกอบทสี่ ําคัญ ดงั นี้ - องค์การ ได้แก่ คณะสงฆ์ กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม เป็นต้น โดยมีตําแหน่งหรือสถานภาพทาง สงั คมแตกตา่ งกนั เชน่ พระสังฆราช เจ้าอาวาส ภิกษุ สามเณร ฆราวาส เปน็ ตน้ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโนม้ การศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กติ ตศิ กั ด์ิ ณ สงขลา

๕๗ - องค์มติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่สังคม ทําให้เกิดความสามัคคีและความเป็น อันหน่ึงอันเดียวกัน สร้างเสริมและถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่สังคม ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมใน สังคมอยา่ งมากมาย โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางคติธรรม และวัฒนธรรมทางวตั ถุท่ีมีคุณค่าแกส่ ังคม - องค์พิธีการ ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมของศาสนาท่ีตนนับถือ และเป็นไปตามประเพณีทาง ศาสนานน้ั ๆ เชน่ ประเพณีการบวช ประเพณีการทําบุญในวันสําคัญทางศาสนา เป็นต้น - องค์วัตถุ สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธรูป ใบเสมา ธรรมจักร เป็นต้น สําหรับค่านยิ มแตกต่างไปตามหลกั สถาบันศาสนาของศาสนาน้ันๆ เช่น พระพทุ ธศาสนามคี ่านิยมและ ความเชื่อในเรื่องบาปบุญทีแ่ ต่ละบุคคลกระทํา เปน็ ต้น 4. สถาบนั เศรษฐกจิ หมายถึง สถาบันสังคมท่ีเกี่ยวข้องกับแบบแผนการสนองความต้องการเกี่ยวกับความ จําเป็นทางวัตถุเพ่ือการดํารงชีวิต เป็นแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การกระจาย สินค้าและบริการไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย์ สถาบันเศรษฐกิจ มอี งคป์ ระกอบทส่ี ําคัญ ดงั น้ี - องค์การ กลุ่มสังคมในสถาบันเศรษฐกิจมีเป็นจํานวนมาก เช่น กลุ่มบุคคลในบริษัท ร้านค้า โรงงาน และองค์การทางเศรษฐกิจต่างๆ แต่ละกลุ่มสังคมประกอบไปด้วยตําแหน่งและบทบาท หนา้ ที่ ซึ่งเกีย่ วข้องสัมพนั ธก์ นั - องค์มติ ผลิตสินค้า เพ่ือสนองความต้องการของสมาชิกในสังคมชีพ เช่น อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค บ้านเรือนที่อยู่อาศัย และกระจายสินค้าท่ีผลิตไปสู่สมาชิกในสังคม อย่างท่วั ถงึ - องค์พิธีการ ประกอบด้วย แบบแผนพฤติกรรมท่ีมีความสําคัญในการดํารงชีวิตร่วมกันของ สมาชิกในสังคม ได้แก่ แบบแผนในการผลิตสินค้า แบบแผนการจัดระบบการตลาดและการบริการ แบบ แผนของการประกอบอาชีพต่างๆ - องค์วัตถุ สถาบันเศรษฐกิจส่วนใหญ่ เป็นสัญลักษณ์ขององค์การสังคมต่างๆ ของสถาบัน เศรษฐกจิ เช่น เครื่องหมายการคา้ สัญลักษณ์ 5. สถาบนั การเมอื งการปกครอง เป็นสถาบันสังคมที่เป็นแบบแผนท่ีเก่ียวข้องกับการสนองความต้องการของสมาชิกในการ ดํารงชีวติ ตามกฎระเบียบของสงั คม ควบคุมกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมให้ดํารงชีวิตรว่ มกันอย่างมีระเบียบและ มคี วามปลอดภัย สถาบนั การเมอื งการปกครองมีองคป์ ระกอบท่ีสาํ คัญ ดงั นี้ - องคก์ าร ประกอบดว้ ยกลุ่มสังคมต่างๆ ที่สําคญั มีการจัดระเบียบอย่างชดั เจนท่ีเรียกว่า องค์การ เช่น สภานิติบัญญตั ิ คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม พรรคการเมอื ง เปน็ ต้น - องค์มติ สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้แก่สังคม โดยมีองค์การท่ีทําหน้าท่ีสร้างกฎหมายเพ่ือ คุม้ ครองใหร้ ะบบความสมั พนั ธข์ องสถาบันอน่ื ๆ ในสังคมดาํ เนนิ ไปตามวตั ถุประสงค์ของสถาบันนน้ั - องค์พิธีการ ประกอบไปด้วยแบบแผนพฤติกรรม เพื่อสนองหน้าที่ต่างๆ ของสถาบันให้ บรรลุผล เช่น แบบแผนพฤติกรรมในการเลือกตั้ง แบบแผนพฤติกรรมในการประชุมรัฐสภา แบบ แผนการสอบสวนและพิจารณาคดี เป็นตน้ - องค์วัตถุ สัญลักษณ์ที่สําคัญของสถาบันการเมืองการปกครอง ได้แก่ ธงชาติ เพลงชาติ เครื่องหมายสัญลกั ษณข์ ององคก์ ารราชการแตล่ ะแห่ง เปน็ ต้น สาํ หรับค่านยิ มของสถาบันการเมอื งการ เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กิตติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๕๘ ปกครอง มีความแตกต่างกันตามวัฒนธรรมของแต่ละสังคม เช่น ค่านิยมในการปกครองระบบ ประชาธปิ ไตย ค่านยิ มของสงั คมไทย ค่านิยม (Value) คือ สิ่งท่ีกลุ่มสังคมหนึ่งๆ เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่านิยม น่ากระทํา น่ายกย่อง เปน็ ส่งิ ท่ีถกู ต้องดงี าม เหมาะสมที่จะยดึ ถือพึงปฏิบตั ริ ่วมกนั ในสังคม ค่านิยมเป็นส่วนหนง่ึ ของวัฒนธรรม เนือ่ งจากมีการเรียนรู้ปลูกฝังและถ่ายทอดจากสมาชกิ รุ่น หนึ่งไปสู่อีกรุ่นหน่ึง สังคมแต่ละสังคมจึงมีค่านิยมแตกต่างกันไป ค่านิยมช่วยให้การดําเนินชีวิตใน สังคมมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน และทําให้การดําเนินชีวิตของสมาชิกมีเป้าหมายช่วยสร้างความ ปกึ แผ่นให้แกส่ งั คม ค่านิยมแบง่ เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ค่านิยมของบุคคล อาจจะแสดงออกได้จากการตัดสินใจแต่ละคน ตามความถนัดและ ความสนใจของแตล่ ะบคุ คล 2. ค่านิยมของกลุ่มหรือค่านิยมสังคม แสดงถึงบุคคลในสังคมปรารถนาอะไรในสถานการณ์ ใดสถานการณห์ นึ่ง คา่ นยิ มทีค่ วรปลูกฝังในสังคมไทย ไดแ้ ก่ 1. การรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 2. ความเอ้อื เฟอื้ เผ่อื แผ่ 3. ความกตญั ญกู ตเวที 4. ความซอื่ สัตย์สจุ รติ 5. การเคารพผูอ้ าวุโส 6. การนยิ มของไทย 7. การประหยัด ค่านยิ มทคี่ วรแกไ้ ขในสงั คมไทย ได้แก่ 1. การเห็นคุณค่าของเงนิ ตรา สิ่งของ มากกว่าคุณคา่ มนุษย์ 2. ยึดถือโชคลาง การเส่ยี งโชค 3. ขาดระเบยี บวินัย 4. ไมป่ ระมาณตนในการดาํ เนนิ ชีวติ 5. ชิงดชี งิ เดน่ 6. ความนิยมวฒั นธรรมตะวนั ตก เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโนม้ การศกึ ษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ตศิ กั ดิ์ ณ สงขลา

๕๙ การเปลย่ี นแปลงของสงั คมไทยและแนวโน้มการเปลยี่ นแปลงของสงั คมไทย การเปลีย่ นแปลงเป็นลักษณะธรรมชาตขิ องสังคมมนุษย์และย่อมเกิดขนึ้ ในทุกสังคม แต่จะเร็ว หรอื ชา้ ขึ้นอย่กู ับกาลเวลา และอาจเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดขี ึน้ หรือเลวลงก็ได้ ประเภทของการเปล่ียนแปลง เราอาจจําแนกการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนในสังคม ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การเปล่ียนแปลงทางสังคม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมและระบบ ความสัมพนั ธ์ของกลุม่ คน เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวระหวา่ งพ่อ แม่ ลกู นายจา้ ง ลกู จ้าง เปน็ ตน้ 2. การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงวิถีการดําเนินชีวิต ความรู้ ความคิด ค่านิยม อุดมการณ์ และบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งรวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ของ สังคม โดยรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาสู่วัฒนธรรมไทย เป็นเหตุให้ละเลยหรือหลงลืมวัฒนธรรมไทย บางอยา่ ง แนวโนม้ การเปลยี่ นแปลงของสังคมไทย สังคมไทยปัจจุบัน ผ่านเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์หรือโลกไร้พรมแดน ที่มีการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยไม่อาจควบคุมด้วยเครื่องมือ เทคโนโลยี หรือกฎหมายของรัฐได้ สังคมไทยจึง เป็นสังคมที่สามารถรับวัฒนธรรมจากทุกมุมโลก ทําให้เกิดการนําวัฒนธรรมหลายอย่างมาใช้ เช่น แฟช่ัน การแตง่ กาย การตกแตง่ รา่ งกาย การใช้คําพดู ตามคาํ โฆษณา การใชเ้ วลาว่างตามห้างสรรพสนิ คา้ ปญั หาสังคมของไทยและแนวทางในการแก้ปญั หา ปัญหาสังคม คือ ปญั หาหรอื สภาวการณ์ที่เกดิ ขน้ึ ในสังคม และสภาวการณ์น้ันกระทบ กระเทอื น ตอ่ คนส่วนมากในสังคม เป็นวิถที างทไ่ี ม่พงึ ปรารถนา 1. ปัญหาประชากร ปัจจุบันประเทศไทยประสบกับปัญหาประชากรเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็ว และมจี าํ นวนประชากรมากจนไมอ่ าจจัดสรรทรพั ยากรตา่ งๆ ให้เพียงพอได้ แนวทางแกป้ ัญหา การวางแผนครอบครัวและการใหก้ ารศึกษาเรื่องประชากร 2. ปญั หาสง่ิ เสพตดิ เป็นปญั หาสําคญั ของชาตใิ นปจั จุบัน เนอื่ งจากมกี ารระบาดอย่างรนุ แรงทัง้ ในเขตเมอื งและชนบท โดยเฉพาะกลมุ่ ของเยาวชน แนวทางแกป้ ญั หา การใหค้ วามรเู้ ร่อื งโทษของสงิ่ เสพติด การรว่ มมอื ระหว่างโรงเรียนกับ ผ้ปู กครองเพื่อดูแลความประพฤติของเด็กอย่างใกลช้ ดิ การสง่ เสรมิ สุขภาพจติ 3. ปญั หาสงิ่ แวดล้อมเปน็ พษิ สิง่ แวดลอ้ มเป็นพเิ ศษไดท้ วคี วามรนุ แรงขึน้ เปน็ ลาํ ดับ อากาศ เสียเต็มไปด้วยควันไอเสียจากรถยนต์ ฝุ่นละอองจากโรงงาน คนสูดอากาศเป็นพิษทําให้เกิดอันตราย ตอ่ สุขภาพ นํ้าในลําคลองเน่าเหม็น ใช้อปุ โภคบริโภคไม่ได้ เพราะโรงงานต่างๆ ปล่อยนํ้าเสยี ลงไปในแม่นํ้า ลาํ คลอง ประชาชนทงิ้ เศษขยะเนา่ เหม็นลงแมน่ ้ํา ฯลฯ แนวทางแก้ปัญหา การใช้มาตรการทางกฎหมายควบคุมแหล่งกําเนิดมลพิษท่ีเป็นปัญหา สงั คม เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารย์กิตตศิ กั ด์ิ ณ สงขลา

๖๐ 4. ปัญหาความยากจน สภาพการดํารงชีวิตของบุคคลที่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ไม่สามารถ จะหาสิ่งจําเป็นมาสนองความต้องการทางร่างกายและจิตใจได้อย่างเพียงพอ จนทําให้บุคคลนั้นมีสภาพ ความเป็นอยู่ท่ตี ่ํากว่าเกณฑม์ าตรฐานท่ีสังคมวางไว้ ความยากจนข้นึ อยูก่ ับมาตรฐานของแต่ละสงั คม แนวทางแกป้ ญั หา พฒั นาดา้ นการศึกษา เพอื่ พัฒนาคุณภาพของประชากร 5. ปัญหาอาชญากรรม เป็นการกระทําท่ีมีความผิดทางอาญา อันมีผลกระทบต่อการอยู่ ร่วมกันของประชาชนในสังคม รัฐจําเป็นต้องออกกฎหมายเพ่ือคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ร่างกาย ชีวิต และทรพั ย์สินของประชาชน แนวทางแก้ปัญหา รัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาการว่างงาน ขาดแคลน ท่ีดนิ ทํากิน 6. ปัญหาโรคเอดส์ เป็นปัญหาท่ีสําคัญในระดับชาติ เพราะการแพร่กระจายของโรคเอดส์ เป็นไปอย่างรวดเร็วและอาจลุกลามเข้าสู่สถาบันครอบครัวและประชาชนกลุ่มอ่ืนๆ โดยยากท่ีจะแก้ไข จึง ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนและสําคัญประการหนึ่งที่จะต้องดําเนินการ เพ่ือป้องกันและควบคุมการ ขยายตัว แนวทางแก้ปัญหา ให้ความรู้เร่ืองโรคเอดสแ์ ละเพศศึกษา สงั คมไทยในอดีต สังคมไทยโบราณ มีการแบ่งคนเป็นชนช้ันต่างๆ เพราะความต้องการแรงงานในการผลิตและ การสงคราม ลักษณะชนชัน้ ในสงั คมไทย คอื 1. เป็นระบบอุปถัมถ์ คอื พ่งึ พาอาศยั กัน 2. เล่อื นชน้ั ไดต้ ามความสามารถ สมัยสุโขทยั มีการแบ่งคนออกเปน็ 2 ชน้ั ได้แก่ 1. ชนชน้ั ปกครอง ได้แก่ พระมหากษตั ริยแ์ ละขุนนาง 2. ชนชั้นผู้ถูกปกครอง ได้แก่ ไพร่และขา้ สมยั อยุธยา การควบคมุ กาํ ลังคน แบง่ เปน็ 2 ระบบ คอื ระบบไพร่และระบบศักดนิ า สังคมไทยในสมัยอยุธยา แบ่งออกเป็น 4 ชั้น ได้แก่ เจ้า ขุนนาง ไพร่ ทาส ส่วนพระสงฆ์ ถือเป็นชนช้นั พิเศษ เจ้า หมายถึง พระมหากษัตริย์และเจ้านาย ซ่ึงหมายถึง ผู้สืบเชื้อสายใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ ได้แก่ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า ถือศักดินาลดหลั่นกันลงไป และมีสิทธิพิเศษ คือ ไม่ต้องถูก เกณฑแ์ รงงาน ไมต่ อ้ งเสยี ภาษี ไดผ้ ลประโยชน์จากไพร่ในสังกัด ไดร้ บั พระราชทานเบี้ยหวดั ประจาํ ปี ขุนนาง (นาย, มูลนาย) คอื ข้าราชการมีบทบาทสาํ คัญด้านการปกครอง ถือศักดินา 400 – 10,000 ไร่ ประกอบดว้ ย ยศศกั ดิ์ 4 อยา่ ง คอื ยศ ตําแหนง่ ราชทนิ นาม ศกั ดนิ า เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กติ ตศิ ักดิ์ ณ สงขลา

๖๑ สิทธิของขนุ นาง ไดแ้ ก่ 1. ไมต่ ้องถูกเกณฑแ์ รงงาน 2. ขนุ นางผู้ใหญเ่ ขา้ เฝ้าพระมหากษตั รยิ ์ใกล้ชิดได้ 3. ไดผ้ ลประโยชน์จากไพร่ 4. ไดผ้ ลประโยชน์จากตําแหนง่ หนา้ ทก่ี ารงาน ไพร่ คือ ประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ของสังคม ถือศักดินา 10 – 25 ไร่ มีหน้าที่รับใช้ ราชการโดยสังกดั มลู นาย เพื่อจะไดร้ บั การคมุ้ ครองตามกฎหมาย แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. ไพร่หลวง คือ คนของทางราชการ มีหน้าทีท่ าํ งานใหก้ บั ทางราชการโดยการเกณฑ์แรงงาน 2. ไพรส่ ม คือ คนของขนุ นาง มีหน้าทท่ี ํางานกบั ขนุ นาง การเกณฑ์แรงงาน หมายถึง การทํางานให้กับทางราชการ โดยไม่ได้ค่าตอบแทน ในสมัยอยุธยา ความต้องการแรงงานมมี าก เกณฑแ์ รงงานไพร่ปลี ะ 6 เดอื น โดยเกณฑ์เข้าเดือนออกเดอื น สทิ ธิหนา้ ที่ของไพร่ คือ 1. เสยี ภาษีอากร 2. มีสิทธิจบั จองเป็นเจา้ ของทีด่ นิ ได้ 3. ตอ้ งข้นึ ทะเบยี นสังกัดมูลนาย 4. ย้ายสงั กดั กรมกอง ภมู ลิ าํ เนาไมไ่ ด้ ทาส คือ กลุ่มชนชั้นต่าํ ที่สุดของสังคม ถือศกั ดนิ า 5 ไร่ ทาสมี 7 ชนดิ ไดแ้ ก่ - ทาสสินไถ่ - ทาสในเรอื นเบย้ี - ทาสทา่ นให้ - ทาสไดม้ าแตบ่ ดิ ามารดา - ทาสท่ีช่วยไว้ยามเมื่อตอ้ งโทษทัณฑ์ - ท่านท่ีเล้ียงไว้ยามข้าวยากหมากแพง - ทาสเชลย ทาสท่ีมีมากท่สี ุด คอื ทาสสินไถ่ ทาสท่ีไดร้ บั การปลดปลอ่ ยเป็นอันดับแรก คือ ทาสในเรือนเบ้ีย ทาสเปน็ อสิ ระไดโ้ ดย 1. ไถถ่ อนตวั เอง 2. โดยการบวช 3. แตง่ งานกับนายเงิน หรือลกู หลานนายเงิน 4. ไปสงครามถกู จับเปน็ เชลย หนีรอดกลับมาได้ 5. ฟอ้ งรอ้ งนายเงนิ เปน็ กบฏ สอบสวนแล้วเป็นความจริง สังคมไทยในสมัยโบราณถึงต้นรัตนโกสินทร์ ผู้มีฐานะสูงสุดของสังคมคือ พระมหากษัตริย์ รองลงมาคือ มูลนาย (เจ้านายและขุนนาง) ชนช้ันที่มีจํานวนมากคือ ไพร่ พระสงฆ์ทําหน้าที่เป็น ตวั กลางระหว่างมูลนายกบั ไพร่ เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโนม้ การศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารยก์ ิตตศิ กั ด์ิ ณ สงขลา

๖๒ การเปล่ียนแปลงทางสังคมไทย (ปี พ.ศ. 2394 – 2475) มีปัจจัยภายนอกทําให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง คือ วัฒนธรรมและวิทยาการต่างๆ ของตะวันตกเข้ามาแพร่หลายต้ังแต่รัชกาลที่ 3 – 4 โดยมีความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาเข้ามาในประเทศไทย ส่วนปัจจัยภายใน คือ ทางด้านเศรษฐกิจ มีการเปล่ียนแปลงจากการผลิตแบบยังชีพไปเป็นการผลิตแบบการค้า การขยายที่ดินทํากิน การอพยพ เคล่อื นย้ายแรงงาน ผลกระทบต่อสังคมไทยที่สําคัญ คือ สนธิสัญญาบาวริ่ง (พ.ศ. 2398) ทําให้ไทยเสียดินแดน ใหก้ บั ฝรัง่ เศส อังกฤษ พม่า จีน รัชกาลท่ี 5 ได้ยกเลิกระบบไพร่ ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน เปิดโอกาสให้ทุกชั้นได้รับ การศึกษา การเปล่ียนแปลงทางสังคมไทย (ปี พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน) มีการขยายการศึกษาอย่างกว้างขวาง มีการจัดต้ังมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาคเหนือ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) และภาคใต้ (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ในแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บับท่ี 1, 2 (2504 – 2514) สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยโบราณมากมาย แต่ลักษณะรูปแบบความสัมพันธ์ บางอยา่ งในสังคมยงั คงได้รับการสืบทอดมากจนถึงปจั จุบัน คือ 1. ความสมั พันธใ์ นระบบอปุ ถมั ภ์ ผ้นู อ้ ยมคี วามจงรักภักดผี ใู้ หญ่ 2. การมีโครงสร้างของสังคมที่มีการแบ่งชนช้ัน โดยพิจารณาจากทรัพย์สิน สถานภาพ เกียรติยศ อํานาจ ระดับการศึกษา อาชีพ ความดี ชาติกําเนิด ยกย่องการเป็นเจ้าคนนายคน การ ยดึ ถอื ตวั บุคคล เอกสารประกอบการสอน วชิ าแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กิตติศักด์ิ ณ สงขลา

๖๓ คาํ ถามท้ายบท ๑. นิสิตคิดว่าอะไร คอื ตวั กาํ หนดลักษณะของสงั คมไทย ? ๒. ใหน้ สิ ติ วิเคราะห์แนวโน้มสังคมไทยในอนาคต ? ๓. ใหน้ สิ ิตวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บข้อดี ข้อด้อยของสังคมไทยในอดีต ปจั จบุ นั และในอนาคต ? เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโนม้ การศึกษาพระพทุ ธศาสนา โดย…อาจารยก์ ติ ตศิ กั ดิ์ ณ สงขลา

บทที่ ๔ การเปลยี่ นแปลงและแนวโนม้ ของสังคมไทยสสู่ งั คมโลก วตั ถุประสงค์การเรียนรปู้ ระจําบท ๑. เพ่ือใหน้ สิ ติ รแู้ ละเขา้ ใจถงึ การเปล่ยี นแปลงของสงั คมไทย ๒. เพ่ือใหน้ ิสิตสามารถอธิบายถงึ การเปลยี่ นแปลงของสงั คมไทยได้ ๓. เพอื่ ใหน้ สิ ิตสามารถวิเคราะหแ์ นวโนม้ การเปลี่ยนแปลงของสงั คมไทยส่สู ังคมโลก เอกสารประกอบการสอน วิชาแนวโน้มการศึกษาพระพุทธศาสนา โดย…อาจารย์กิตติศกั ด์ิ ณ สงขลา

๖๕ กรอบเนอ้ื หา ๑. การเปลยี่ นแปลงของสงั คมไทย - ความหมาย - ประเภทของการเปล่ยี นแปลงทางสงั คม - สาเหตุหรือปัจจัยของการเปลีย่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม - การเปลี่ยนแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม ๒. แนวโน้มของสังคมไทยสู่สงั คมโลก แนวคดิ ๑. ในสมัยพุทธกาลศึกษาประมาณ ๕ ปี เฉล่ียโดยมากเข้ามาบวชในสํานักของพระพุทธเจ้า แล้วจะอยู่ในสํานักพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือในสมัยหลังๆ จะอยู่ในสํานักพระมหาเถระอ่ืน ๆ และ เมื่อได้ระยะเวลาพอสมควรพากันออกไปอยู่ป่าลึก ๆ จึงขอกัมมัฏฐานจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ หรอื จากสมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าด้วยมขุ ปาฐะ ๒. สาเหตุสําคัญท่ีพราหมณ์ท้ังหลายในสมัยพุทธกาลละท้ิงความเช่ือเดิมที่สืบทอดกันมา หลายพันปี แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนามีหลายประการท่ีสําคัญที่สุดคือ คําสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมอันจริงแท้แน่นอนที่ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองในยุคนั้นมีผู้ ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมเป็นพระอริยบุคคลมากมาย ซ่ึงสามารถเป็นพยานยืนยันคําสอนได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ีเหล่าพราหมณ์ให้การยอมรับในบุคลิกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในฐานะท่ีทรงมีกายมหา บุรุษจึงต้ังใจฟังคําสอนของพระองค์ พุทธวิธีสอนธรรมก็มีส่วนอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ของคนในสังคมอินเดีย พระองค์ทรงสอนโดยยึดตามจริตผู้เรียนหรือในปัจจุบันเรียกว่าสอนโดยยึด ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) อีกประการหนึ่ง คําสอนของเหล่าพราหมณ์อาจารย์มีความ ขดั แย้งกนั เอง จึงทาํ ให้พราหมณจ์ าํ นวนไม่นอ้ ยเสือ่ มศรัทธาหันมานับถอื พระพุทธศาสนา

๖๖ ความหมาย พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า “การเปลี่ยนแปลง ทางสังคม คือการท่ีระบบสังคม กระบวนการ แบบอย่างหรือรูปแบบทางสังคม เช่น ขนบธรรมเนยี มประเพณี ระบบครอบครัว ระบบการปกครอง ไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปไม่ว่าจะเป็นดา้ นใด ก็ตาม การเปล่ียนแปลงทางสังคมนี้อาจจะเป็นไปในทางก้าวหน้าหรือถดถอย เป็นไปอย่างถาวรหรือ ชวั่ คราว โดยวางแผนให้เปน็ ไปหรือเปน็ ไปเองและทีเ่ ป็นประโยชน์หรอื ใหโ้ ทษกไ็ ดท้ ัง้ สิ้น” ประเภทของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลยี่ นแปลงทางสงั คมมี 2 ประเภทคอื ๑. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม หมายถึงการเปล่ียนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ซึ่งมีได้ หลายแบบ เช่น เปล่ียนแปลงขนาดของความสัมพันธ์จากขนาดใหญ่เป็นขนาดเล็ก หรือจากขนาด เล็กเป็นขนาดใหญ่ หรือเปลีย่ นแปลงประเภทของความสมั พันธ์ เช่น เปลี่ยนความสัมพันธ์จากเพ่อื น เป็นความสมั พันธ์แบบสามภี รรยาเพราะแต่งงานกัน เปลี่ยนความสัมพนั ธแ์ บบเพอ่ื นเปน็ ความสัมพนั ธ์ แบบพ่อค้ากับลูกค้าเพราะมีการซ้ือขายสินค้ากัน หรือเปล่ียนแปลงสถานภาพของผู้ที่อยู่ใน ความสัมพันธ์ เช่น สถานภาพหญิงไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสมยั ก่อน คนไทยปัจจุบันมีสถานภาพเป็น พลเมอื งไทยซ่งึ นับวา่ สูงกวา่ สมยั เป็นไพรอ่ ย่างแต่กอ่ น ๒. การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม หมายถึงส่วนที่เป็นวัฒนธรรมของสังคม อันได้แก่ ความรู้ ความคิด ค่านิยม อุดมการณ์ และบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งรวมขนบธรรมเนียมประเพณี ตา่ งๆของสังคม รวมท้งั วัตถุท่ีควบคู่มากับสิ่งนั้นๆด้วย ตวั อย่างการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมทเี่ ห็น ได้ชัด เช่น ความรู้ ความคิด ค่านิยม อุดมการณ์ หรือแม้แต่บรรทัดฐานทางสังคมจากวัฒนธรรม ตะวันตกเข้ามาส่วู ัฒนธรรมไทย เปน็ เหตุให้ละเลยหรอื หลงลืมวฒั นธรรมไทยบางอยา่ งไป การเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมมีความเก่ียวข้องกันเสมอ เช่น เม่ือมีประชากร เพ่ิมขึ้น การจัดระบบการศึกษาย่อมเปลี่ยนไป มีการจัดการเรียนการสอนแก่นักเรียนจํานวนมากทํา ใหต้ ้องประดิษฐส์ ื่อการเรียนการสอนทเ่ี หมาะกับผู้เรียนจาํ นวนมาก มกี ารนําคอมพิวเตอรม์ าใช้ในงาน ทะเบียนและวัดผล เป็นต้น เม่ือมีการขยายถนนเข้าไปในชนบทย่อมเกิดร้านค้าและโรงงาน อุตสาหกรรม ทําให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนชนบทในท้องถ่ินนั้นเปล่ียนแปลงไปเป็นความสัมพันธ์ แบบคนในเมืองมากยิ่งข้ึน แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและทางวัฒนธรรมเป็น ปรากฏการณท์ ่เี กิดขนึ้ ตลอดเวลาในสงั คมมนษุ ย์

๖๗ สาเหตหุ รอื ปจั จัยของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม การเปลีย่ นแปลงทางสงั คมแตล่ ะสังคมเกดิ จากปจั จยั 2 ประการคอื ๑. การเปล่ียนแปลงที่เกิดจากสาเหตุภายในสังคม ที่เรียกว่า ปัจจัยภายในสังคม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสมาชิกหรือสิ่งแวดล้อมภายในสังคมนั้นเอง เช่น การท่ีสังคมมีประชากร เพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็ว ย่อมทําให้เกิดการเปล่ียนแปลงในด้านการตั้งถิ่นฐานท่ีอยู่อาศัย เกิดการบุกรุก ท่ดี นิ และการทาํ ลายทรพั ยากรธรรมชาติเพิม่ ขนึ้ เปน็ ตน้ ๒. การเปล่ียนแปลงที่เกิดจากสาเหตุภายนอกสังคม ที่เรียกว่า ปัจจัยภายนอกสังคม ท้ังนี้ เน่ืองจากการที่มีการติดต่อสัมพันธ์กับสังคมอ่ืนๆ เช่น การท่ีสังคมไทยรับแบบแผนการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย วิทยาการแพทย์สมัยใหม่ และเทคโนโลยีจากสังคมตะวันตก เป็นต้น นอกจากนี้สังคมไทยยังรับวัฒนธรรมแบบตะวันตกอีกมากมาย เช่น การแต่งกาย ดนตรี สถาปตั ยกรรม และสงิ่ ประดิษฐต์ า่ งๆมาใชท้ ําใหส้ ังคมไทยแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป การเปลีย่ นแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละสังคมจะมีอัตราแตกต่างกันไป เช่น ชุมชนเมืองยอ่ มมีการ เปล่ียนแปลงรวดเร็วกว่าชุมชนชนบท สังคมในภูมิภาคตะวันออก เช่น ญ่ีปุ่น เกาหลี มีกาน เปลย่ี นแปลงที่รวดเร็วกว่าสงั คมในเอเชยี ใต้ เช่น อินเดีย ปากสี ถาน ศรีลังกา ทงั้ น้ีอาจเน่อื งมาจาก สาเหตุที่สําคัญคอื - สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ สังคมที่เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่งย่อมมีโอกาส เปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจการค้า และการรับวัฒนธรรมจากสังคมอ่ืนได้ง่าย สังคมที่อุดมไปด้วย ทรพั ยากรธรรมชาติย่อมมีโอกาสพัฒนาให้เจริญไดง้ า่ ย เป็นต้น - โครงสร้างของประชากรในสังคม สังคมที่ประชารเพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็วย่อมมีโอกาส สร้างสรรค์ความเจริญได้ยากเพราะสังคมต้องมีภาระเล้ียงดูประชากรในวัยเด็ก ในทางตรงกันข้าม สังคมที่มีประชากรน้อยจนเกินไปย่อมเกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซ่ึงทําให้ไม่สามารถพัฒนา ทรพั ยากรมาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนไ์ ด้อย่างเตม็ ท่ี เปน็ ต้น - พื้นฐานด้ังเดิมทางวัฒนธรรมทางสังคม ลักษณะและโครงสร้างทางวัฒนธรรมของแต่ละ สังคมจะเป็นพื้นฐานสําคัญต่อการเปล่ียนแปลงในสังคมได้มากน้อยแตกต่างกันไป เช่น ชุมชนชนบท สมาชิกมีความผูกพันกับวัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนอย่างเหนียวแน่น จะรับการเปล่ียนแปลงได้ช้า กว่าชุมชนเมือง เปน็ ต้น - การติดต่อกับสังคมภายนอก สังคมที่ยอมรับการติดต่อกับสังคมอื่นๆย่อมมีการ เปล่ียนแปลงได้รวดเร็วกว่าสังคมท่ีสกัดก้ันการติดต่อของสมาชิกกับสังคมภายนอก ดังนั้นสังคม ประชาธปิ ไตยจงึ มกี ารเปลยี่ นแปลงได้เร็วกวา่ สงั คมคอมมิวนิสต์ เป็นตน้ - สมาชิกสังคมเห็นความจําเป็นของการเปล่ียนแปลง โดยสมาชิกรับรู้ว่าการเปล่ียนแปลงใด มีคุณค่าและให้ประโยชน์ต่อความต้องการของตนและสังคม เช่น ชาวกรุงเทพฯต่างเห็นว่า จําเป็นต้องมีมาตรการป้องกันน้ําท่วม ระบบการกําจัดขยะที่มีประสิทธิภาพ มีระบบขนส่งที่รวดเร็ว และปลอดภัย ดว้ ยเหตนุ ้ีกรุงเทพฯจึงมกี ารเปล่ยี นแปลงตามความจําเป็นดังกล่าวเร็วกว่าจงั หวัดอ่ืน ๆ ของไทย

๖๘ - ความสามารถของผู้นํา ผู้นําท่ีสามารถและเป็นท่ียอมรับของสมาชิกย่อมเป็นบ่อเกิดของ การเปล่ียนแปลง เช่น พระมหากษัตริย์ของไทยหลายพระองค์ที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงท้ังทาง กา้ วหนา้ และถดถอย - การสะสมความรู้และเทคนิควิทยาการของสังคม สังคมตะวันตกมีการสะสมความรู้และ เทคนิควิทยาการมาอย่างต่อเนื่องทําให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ต่อเน่ืองกันไปได้อย่างรวดเร็ว สังคมไทยวิทยาการทางการเกษตรปัจจุบันเจริญอย่างรวดเร็วเพราะมีการค้นคว้ามาช้านาน ตรงกัน ข้ามกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ท่ีเพ่ิงเข้ามาในสังคมไทยจึงมีอุปสรรคที่จะพัฒนาท้ังน้ีเพราะการศึกษา ไทยไมเ่ คยปลกู ฝังเรอ่ื งนม้ี าก่อน ผลของการเปล่ยี นแปลงทางสังคม การเปลีย่ นแปลงทางสังคมกอ่ ให้เกดิ ผลคือ ๑. ผลดี การเปล่ียนแปลงช่วยให้มนุษย์มีความสามารถเพ่ิมมากขึ้น เช่น ทําให้มนุษย์หา อาหารได้มากข้ึน ผลิตสิ่งของเคร่ืองใช้ต่างๆเพื่อช่วยอํานวยความสะดวกสบายได้มากข้ึน ติดต่อถึง กันได้อยา่ งรวดเรว็ ยง่ิ ข้ึน เป็นตน้ ๒. ผลเสีย การเปลี่ยนแปลงทําให้เกิดมลภาวะ การเป็นทาสของผลิตผลซ่ึงเกิดจากการ นําเอาเทคโนโลยีเข้าช่วย โดยเฉพาะทาสทางเศรษฐกิจ ค่านิยมทางวัตถุ ความมั่งค่ังร่ํารวย นอกจากนั้นความสะดวกสบายเกินไปบางครั้งทําให้คนเกียจคร้านไม่รู้จักช่วยตนเอง ความสัมพันธ์ ของผู้คนเปลย่ี นไป เป็นตน้ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ๑. การเปลย่ี นแปลงในสมัยสุโขทัย ๑.๑ ด้านการเมืองการปกครอง ที่สําคัญคือ การมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงปกครองทวยราษฎร์ดุจบิดาปกครองบุตร ทางปฏิบัติพระราชกรณียกิจตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา เช่น ทศพิธราชธรรม และจักรวรรดิวัตร เป็นต้น ต่อมาในสมัย สโุ ขทยั ตอนปลายอาํ นาจทางทหารเสอื่ มถอยลง พระมหากษตั ริย์ทรงทํานบุ ํารุงพระพุทธศาสนา และ ทรงเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่างให้ราษฎร์เล่ือมใสในพระมหากษัตริย์ เรียกการปกครองที่อาศัย พระพทุ ธศาสนาน้ีวา่ การปกครองแบบธรรมราชา ๑.๒ ด้านเศรษฐกิจ สังคมไทยในสมัยสุโขทัยเป็นสังคมเกษตรกรรมเพ่ือการยังชีพ ราษฎรมี เสรีภาพในการประกอบอาชีพสุจริต นอกจากอาชีพเพาะปลูกแล้วยังมีอาชีพหัตถกรรมที่สําคัญคือ การประดิษฐ์เครื่องสังคโลกซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากชาวจีน มีหลักฐานปรากฏว่า เครื่องสังคโลก ของไทยเป็นสินค้าที่ส่งไปขายยังประเทศต่าง ๆ เช่น ฟิลิปปินส์ และเปอร์เซีย ระบบเงินตราของ สโุ ขทัยใช้เงินพดด้วงทท่ี าํ จากโลหะและเบี้ยท่ไี ดจ้ ากเปลือกหอยเปน็ สอื่ กลางในการแลกเปลย่ี น ๑.๓ ด้านสังคมและวัฒนธรรม สังคมไทยในสมัยสุโขทัยเป็นระยะของการเริ่มต้นสร้างความ เป็นปึกแผ่นแก่สังคม การเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะแรกคือ การนับถือพระพุทธศาสนานิกาย หินยาน มีการประดิษฐ์อักษรไทยอันเป็นรากฐานสําคัญของการมีภาษาเขียนเกิดประเพณีไทยซึ่งเป็น

๖๙ รากฐานมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีลอยกระทง ประเพณีการฟังธรรมใจวันธรรมสวนะ เกิด วรรณคดีท่ีสําคัญของไทย เช่น ไตรภูมิพระร่วง และเกิดสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม อันเป็นวัฒนธรรมของสังคม เช่น วัด พระพุทธรูป ซ่ึงได้มีการเปล่ียนแปลงรูปแบบของศิลปกรรม เหล่านีใ้ นสมัยต่อมา ๒. การเปลี่ยนแปลงในสมัยอยธุ ยาและธนบุรี ๒.๑ ด้านการเมืองการปกครอง ทส่ี าํ คญั คอื มีแบบแผนการปกครองตามระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ยกพระมหากษัตริย์ขึ้นเป็นสมมุติเทพตามคติลัทธิเทวราชและการจัดการ ปกครองแบบจตุสดมภ์ ซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากขอม โดยเป็นการรวมอํานาจเข้าสู่รัฐบาลกลาง ใน ส่วนของการใช้อํานาจตุลาการก็ได้รับอิทธิพลมาจากมอญและขอมเช่นกัน โดยมีองค์การท่ีทําหน้าที่ ด้านตุลาการอย่างเป็นระบบ สถาบันการเมืองการปกครองของสังคมไทยในสมัยอยุธยา จึงมีการ เปล่ยี นแปลงไปจากในสมยั สโุ ขทัย ๒.๒ ด้านเศรษฐกิจ สังคมไทยในสมัยอยุธยายังคงเป็นสังคมเกษตรกรรมแบบยังชีพ แต่มี การตดิ ตอ่ ค้าขายกบั สงั คมภายนอกมากยิ่งขึน้ จึงมกี ารจัดระเบียบสถาบันเศรษฐกิจชัดเจนกวา่ ในสมัย สุโขทัย มีองค์การของรัฐ ได้แก่ พระคลังสินค้าเข้าควบคุมการค้าต่างประเทศ มีการจัดระบบภาษี อากร ระบบเงินตรา นอกจากจะใช้เงินพดด้วงและเบี้ย เช่นเดียวกับสมัยสุโขทัยแล้ว ยังมี ไพ และ กล่าํ ทาํ จากโลหะซึ่งไมใ่ ชเ่ งนิ กับ เงนิ ประกับ ทําด้วยดนิ เผาใช้แทนเบ้ียในระยะทเ่ี บี้ยหายาก ๒.๓ ดา้ นสงั คมและวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลทางดา้ นสงั คมและวัฒนธรรมมาจากสังคมอืน่ ๆ มากยิ่งข้ึน อย่างไรก็ตามอิทธพิ ลของวัฒนธรรมตะวนั ตกในสมยั น้ันยังแพรก่ ระจายเข้ามาในสังคมไทย ไม่มากนัก เนื่องจากสังคมตะวันตกเพ่ิงจะอยู่ในระยะเร่ิมการปฏิวัติอุตสาหกรรม สังคมไทยสมัย อยุธยาได้รับอิทธพิ ลแบบแผนประเพณีและวัฒนธรรมในการดํารงชีวิตมาจากขอก อินเดีย และมอญ เชน่ มีการแบ่งชนชน้ั ตามระบบศักดนิ าสวามภิ ักด์ิ นอกจากนย้ี ังมกี ารเปล่ียนแปลงอันเกิดจากสมาชิก ภายในสังคม และกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น ประเพณีเล่นเพลงยาว การแต่งโคลง ฉันท์ โดยกวีไทย การเกิดวรรณคดีไทยหลายเรื่อง วัฒนธรรมท่ีเกิดในสมัยอยุธยาได้สืบทอดต่อมาจนถึง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของสังคมใน สมยั ตอ่ มา ๓. การเปลีย่ นแปลงในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ โครงสร้างโดยทัว่ ไปของสังคมไทยยังคงยึดแบบอย่างตามวฒั น- ธรรมไทยในสมัยอยุธยา จนถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 สังคมไทยเริ่มรับวัฒนธรรมจากชาติตะวันตกเข้ามามาก ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคม เหตุการณ์สําคัญคือ การที่ประเทศไทยทําสนธิสัญญาเบาริงกับประเทศอังกฤษ เม่ือ พ.ศ. 2398 ในสมัยรัชกาลท่ี 4 หลังจากนั้นสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลําดับ เราอาจแบ่งการ เปล่ยี นแปลงที่เกิดขน้ึ ในสังคมไทยตง้ั แตส่ มยั รตั นโกสินทรต์ อนต้นจนถึงปัจจบุ ันออกเปน็ 3 ช่วงดงั นี้

๗๐ ช่วงที่ 1 ตัง้ แต่รชั กาลที่ 1 ถงึ พ.ศ. 2475 การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนถึงสมัยการเปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ.2475 เป็นระยะท่ีสังคมไทยเร่ิมรับวัฒนธรรม ตะวันตก ในระยะนี้การรับวัฒนธรรมตะวันตกของสังคมไทยเกิดข้ึนจากผู้นําประเทศ โดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 4 จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระมหากษัตริย์ไทยทรงวางรากฐานการเปล่ียนแปลงของสังคมไทยไปสู่ แบบอย่างของสังคมตะวันตกดงั น้ี ๑. ด้านการเมืองการปกครอง มีการเปล่ียนแปลงระเบียบการปกครองของสงั คมไทยทสี่ ําคัญ คือ การตั้งกระทรวง ทบวง กรม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงเป็นการ จัดการปกครองส่วนกลาง แทนการปกครองแบบจตุสดมภ์ที่สังคมไทยยึดถือมาตั้งแต่สมัยอยุธยา การวางรากฐานระเบียบการปกครองในส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น การฝึกหัดให้ข้าราชการได้ เรียนรู้วิธีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เช่น การจัดต้ังองคมนตรีสภา และรัฐมนตรีสภาใน สมัยรัชกาลที่ 5 และการตง้ั เมืองจําลองดุสิตธานีในสมยั รชั กาลท่ี 6 เป็นตน้ ๒. ด้านเศรษฐกิจ มีการจัดระบบเศรษฐกิจเช่นเดียวกับในสมัยอยุธยา จนถึง พ.ศ.2398 ที่ทําสนธิสัญญาเบาริงกับประเทศอังกฤษ จึงได้ยกเลิกระบบที่รัฐบาลเข้าควบคุมการค้าระหว่าง ประเทศโดยให้เสรภี าพแก่ราษฎรในการขายสนิ คา้ กับชาวต่างชาติโดยตรง ๓. ด้านสังคมและวัฒนธรรม มีการเปล่ียแปลงขนบธรรมเนียนประเพณีไทย เช่น ประเพณี การแต่งกาย และการเข้าเฝ้าให้เป็นไปตามแบบอย่างของวัฒนธรรมตะวันตก การยกเลิกจารีตนคร บาลหรือวิธีการลงโทษผู้กระทําความผิดในสมัยก่อนมาเป็นการใช้กฎหมาย การเลิกทาส การรับ วิทยาการสมัยใหม่ เชน่ การแพทย์และการอนามัย ตลอดจนถึงการจัดต้งั โรงเรียนและมหาวิทยาลัย เปน็ ตน้ ชว่ งท่ี 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถงึ พ.ศ. 2504 ตั้งแต่เปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ.2475 จนถึง พ.ศ.2504 มีการเปล่ียนแปลงเกิดขึ้นในสังคมไทยดังนี้ คือ ๑ . ด้ าน ก ารเมื อ งก ารป ก ค รอง มี ก ารเป ลี่ ยน แป ล งก ารป ก ค รองจาก ระบ อ บ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เม่ือ พ.ศ.2475 โดยมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อกําหนดแบบแผนการปกครอง ประเทศ รัฐธรรมนูญยังได้กําหนดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าท่ีของพลเมืองไทย สังคมไทยเร่ิมเกิด องค์การทางการเมืองใหม่ ๆ เพ่ิมข้ึน เช่น พรรคการเมือง คณะรัฐมนตรี รัฐสภา เป็นต้น ทําให้มี การเปล่ียนแปลงค่านิยม และวิถีการดํารงชีวิตของสมาชิกในสังคมให้เหมาะสมกับการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตย

๗๑ ๒. ดา้ นเศรษฐกจิ ในชว่ งระยะเวลาดังกลา่ วเป็นสมยั เศรษฐกจิ ตกตํ่าทั่วโลกอนั เปน็ ผลมาจาก สงครามโลกคร้ังที่ 1 ประกอบกับรัฐบาลไทยในสมัยน้ันยังขาดความพร้อมในการพัฒนประเทศ จึง เป็นชว่ งเวลาทสี่ งั คมไทยมีการเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจอย่างชา้ ๆ ๓. ด้านสังคมและวัฒนธรรม แนวนโยบายสําคัญของรัฐบาลในสมัยนั้นคือ การสร้างเสริม เอกลักษณ์ของสังคมไทย จึงมีการฟ้ืนฟูทางวัฒนธรรมของสังคมไทย ใน พ.ศ.2485 รัฐบาลออก พระราชบัญญตั ิวัฒนธรรมแหง่ ชาติ พุทธศักราช 2485 กําหนดหน้าทีข่ องพลเมืองไทยในการรักษา และส่งเสริมวัฒนธรรมไทย มีการออกระเบียบในการเคารพธงชาติ การส่งเสริมให้ใช้ของไทย เป็น ต้น ชว่ งที่ 3 ตง้ั แต่ พ.ศ. 2504 จนถงึ ปจั จุบนั ประเทศไทยไทยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรก พ.ศ.2504 และได้ ประกาศใชแ้ ผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติฉบับต่อ ๆ มาอย่างตอ่ เน่ืองจนถงึ ปจั จุบัน เปน็ การ กําหนดรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอย่างมีแบบแผน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติท่ปี ระกาศใชแ้ ลว้ และผลของการใชแ้ ผนพัฒนาฯ ดังกลา่ วมีดังนี้ ฉบับที่ 1 ( พ.ศ. 2504 - 2506 และต่อมาได้ขยายแผนออกไปจาก พ.ศ. 2507 จนถงึ พ.ศ. 2509) โดยมุง่ สร้างบรกิ ารขั้นพน้ื ฐานจาํ เป็นแก่การพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ เชน่ การ ชลประทานโดยการสร้างเข่ือนขนาดใหญ่ กายขยายถนนไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ การสร้าง ระบบไฟฟ้า เป็นตน้ ผลของการใชแ้ ผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 ปรากฏว่าสังคมไทยมีความเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจ มากขึ้น โดยมีพ้ืนที่การชลประทาน พลังงานไฟฟ้า และถนนหนทางอันเป็นบริการพื้นฐานที่จําเป็น เบื้องต้น เพิ่มมากขึ้น ส่ิงที่เปล่ียนแปลงซึ่งเป็นปัญหาสําคัญคือ การเพ่ิมของประชากรไทยอย่าง รวดเร็ว คือ มีอัตราเพ่ิมร้อยละ 3.22 (พ.ศ. 2503) นับได้ว่าเป็นปัญหาสําคัญที่ไม่เคยปรากฏมา กอ่ นในสังคมไทย ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2510 – 2514 ) เป็นการดําเนินแผนต่อเน่ืองจากฉบับท่ี 1 แต่เริ่มมี การพัฒนาสังคมควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ เพ่ือแก้ปัญหาความเหลื่อมลํ้าของรายได้ประชากร ไม่ให้รายได้ตกอยู่กับประชากรบางกลุ่มเท่าน้ัน แผนพัฒนาฯ ฉบับน้ีจึงรวมนโยบายการพัฒนา กําลังคนให้มีประสิทธิภาพ โดยพัฒนาการประกอบอาชีพของประชากรควบคู่ไปกับการขยายบริการ พ้นื ฐานของสงั คม เพือ่ ใหส้ ามารถกระจายรายไดไ้ ปสู่ประชากรอย่างท่ังถงึ ผลของการใชแ้ ผนพฒั นาฯ ฉบับที่ 2 ปรากฏวา่ สงั คมไทยได้ขยายบริการข้ันพืน้ ฐานเพม่ิ ขึ้น แต่ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาการกระจายรายไดไ้ ปสปู่ ระชากรในท้องถ่ินชนบทท่ีห่างไกล เนื่องจากในการ พัฒนาบริการขั้นพื้นฐานดังกล่าว ผู้ที่ได้รับประโยชน์เป็นเพียงประชากรที่ตั้งถ่ินฐานในบริเวณ ใกล้เคียงกับแหล่งบรกิ ารเท่านั้น อย่างไรก็ตามอัตราเพิ่มของประชากรยังอยู่ในระดับสูง คือ ร้อยละ 2.76(พ.ศ. 2513) นับเป็นปัญหาสําคัญท่ีจะต้องแก้ไขในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ต่อไป

๗๒ ฉบับท่ี 3 (พ.ศ. 2515 – 2519) เป็นการดําเนินแผนต่อเนื่องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมฉบับท่ี 1 และฉบับที่ 2 แต่ได้เพ่ิมการบริการทางสังคมในด้านต่าง ๆ และเน้นแก้ไข ปัญหาความไม่เทา่ เทียมกันของประชากรในด้านการรับบริการทางเศรษฐกจิ และสังคม รวมท้ังเริ่มนํา นโยบายการลดอัตราเพ่ิมประชากรไทยเข้ามาแก้ไขปัญหาประชากรในประเทศเป็นคร้ังแรก โดยเฉพาะคอื การวางแผนครอบครัว ผลของการใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 3 ปรากฏว่ายังมีประชากรไทยที่อยู่ในระดับยากจน ประมาณร้อยละ 25 ของประชากรทั่วประเทศ นอกจากนั้นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจยังทําให้ ทรพั ยากรธรรมชาติเกดิ ความเสอื่ มโทรมอยา่ งรนุ แรง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 – 2524) เป็นการดําเนินการต่อเน่ืองจากฉบับท่ี 3 แต่ได้เริ่ม เน้นการพัฒนาส่ิงแวดล้อมและการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาความยากจนและการ พัฒนาขยายเมืองเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมท่ีเร่ิมตระหนักถึงความจําเป็นในการขยายสังคม เมือง แตก่ ็คํานึงถงึ การพฒั นาชนบทควบคกู่ ันไป ผลของการใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 4 คือ สามารถวางรากฐานในการพัฒนาเฉพาะด้าน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตทางการเกษตรกรรมแทนการขยายพื้นท่ีเพื่อการเพาะปลูก ดังเช่นในแผนพัฒนาฯ ฉบับก่อน การวางรากฐานการอุตสาหกรรมเพ่ือการส่งออก การพัฒนาเมือง หลักในภูมิภาคอย่างชัดเจน และการนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนา แต่ แผนพัฒนาฯ ฉบับนี้ประสบปัญหาเนื่องจากเกิดภาวะน้ํามันซ่ึงเป็นวิกฤตการณ์ของโลกที่กระทบมาถึง ประเทศไทย ทําให้เกิดการขาดดุลการค้าถึงร้อยละ 7.6 ของผลิตผลรวมของประเทศ หรือ ประมาณปีละ 45,000 ลา้ นบาท การพฒั นาไม่บรรลุผลเท่าทค่ี วร ฉบับท่ี 5 (พ.ศ. 2525 – 2529) เป็นการดําเนินการพัฒนาประเทศต่อเนื่องจากฉบับท่ี 4 แต่ได้เพิ่มการพัฒนาสังคมเมืองในพื้นท่ีชายฝ่ังตะวันออกของประเทศ รวมท้ังการพัฒนาชนบทใน เขตยากจน ซึ่งเป็นการดาํ เนินงานต่อเนอื่ งในการขยายสงั คมเมอื งแต่กไ็ ม่ละท้ิงการพัฒนาประชากรใน เขตชนบทของประเทศโดยเฉพาะใจเขตชนบทยากจน ผลของการใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 5 คือ สามารถขยายบริการพ้ืนฐานที่สําคัญคือ พลังงานนํ้ามันและก๊าซธรรมชาติ ระบบประปา บริการพ้ืนฐานในการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝ่ัง ทะเลตะวันออก และประสบความสําเร็จในโครงการวางแผนครอบครัวเพ่ือลดอัตราเพิ่มประชากร บรรลุผลโดยลดอัตราเพ่ิมประชากรเหลือเพียงร้อยละ 1.7 (พ.ศ.2529) โครงการพัฒนาชนบท ยากจนบรรลุผลตามเป็นหมาย แตจ่ ะต้องดําเนนิ การต่อไปในแผนพฒั นาฯ ฉบับที่ 6 ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 - 2534) มุ่งในการดําเนินการพัฒนาประเทศต่อเน่ืองจาก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 5 และเริ่มคํานึงถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร โดยมีหลักสําคัญว่า การแก้ไขปัญหาประชากรโดยการวางแผนครอบครัวเพียงอย่างเดียวยังไม่พอแก่ การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประชากรในประเทศ และยังไม่สามารถพัฒนาประเทศให้เจริญรุดหน้า เท่าทค่ี วร จําเป็นท่จี ะต้องสร้างเสรมิ ประชากรทด่ี าํ รงชีวติ ในสังคมไทย ให้เป็นผทู้ ม่ี คี ุณภาพทั้งในทาง รา่ งกาย จิตใจ และทางสังคม จึงได้เร่ิมกําหนดมาตรฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตไว้ในแผนพัฒนา ฯ ฉบับนี้

๗๓ ผลของการใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 คือ เศรษฐกิจไทยขยายตัวเกินกว่าเป้าหมาย ทั้งนี้ เน่ืองจากการขยายตัวของการส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยวได้ขยายตัวดีกว่าท่ีได้ประมาณ การไว้ ดุลการคลังของรัฐบาลเริ่มเกินดุลเป็นคร้ังแรกใน พ.ศ.2531 เป็นต้นมา โครงสร้างของ เศรษฐกิจเปลี่ยนไปสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยเพิ่มร้อยละ 25.6 ต่อผลผลิตรวมของประเทศใน พ.ศ. 2532 สังคมไทยเริ่มเปล่ียนจากชนบทสู่ความเป็นเมืองมากยิ่งขึ้น ในด้านประชากรสามารถลด อัตราเพิ่มของประชากรไทยจากร้อยละ 1.7 ใน พ.ศ. 2529 เหลือเพียงร้อยละ 1.56 ใน พ.ศ. 2532 ฉบับท่ี 7 (พ.ศ.2535 – 2539) เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติท่ีเน้น เป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ปริมาณในทางเศรษฐกิจ คุณภาพของประชากร และความเป็น ธรรมทางสังคมควบคู่กันไป โดยรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเน่ืองในระดับท่ีสูง พอควร มงุ่ กระจายรายได้ และกระจายการพัฒนาไปสูภ่ ูมภิ าคให้มากข้นึ ในขณะเดยี วกนั จะต้องเร่ง พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในด้านโครงสร้าง ประชากรมุ่งลดอัตราการเพิ่มประชากรให้เหลือร้อยละ 1.2 ใน พ.ศ. 2539 และลดอัตรา ประชากรที่ยากจนของประเทศร้อยละ 25 ใหเ้ หลือร้อยละ 20 เมือ่ สนิ้ สุดแผนพัฒนาฯ ฉบบั นี้ ผลของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 คือ สามารถขยายโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 9 ปี และสามารถลดอัตราการเพิ่มของประชากรเหลือร้อยละ 1.2 ตามเป้าหมาย การลงทุนเพื่อการ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปรากฏว่ายังมีประชากรที่ขาดมาตรฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การ แก้ปัญหาด้านส่ิงแวดล้อมจะสูงขึ้น และช่วงท้ายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 เศรษฐกิจตกต่ําส่ง ผลกระทบดา้ นการเงนิ การคลังของประเทศอยา่ งมาก ฉบับท่ี 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง โดยมี เป้าหมายที่สําคัญคือ เพ่ิมปริมาณการเตรียมความพร้อมเด็กปฐมวัย เตรียมการขยายโอกาสทาง การศึกษาเป็น 12 ปี ยกระดับฝีมือแรงงาน ให้ผู้ด้อยโอกาสได้รับโอกาสพัฒนาเต็มตามศักยภาพ ลดอตั ราการประสบอันตรายจากการทํางานและอุบัตเิ หตุต่าง ๆ รักษาเสถยี รภาพของระบบเศรษฐกิจ ไทยโดยลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดให้อยู่ในระดับร้อยละ 3.4 ของผลิตผลรวม ระดมการออม ภาคครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 ของผลิตผลรวม ขยายบริการโครงสร้างพ้ืนฐานสู่ ภมู ภิ าคและชนบท ลดสัดส่วนคนยากจนของประเทศให้นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 10 อนุรกั ษ์และฟ้นื ฟูพ้นื ที่ ป่า และรักษาป่าชายเลน สร้างโอกาสและเพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพเกษตรแบบยั่งยืน และเพิม่ การลงทุนในการควบคมุ และฟ้ืนฟูคุณภาพสงิ่ แวดล้อมเพ่ือยกระดับคณุ ภาพชีวติ ของประชากร

๗๔ แนวโน้มของสังคมไทยส่สู ังคมโลก เมื่อพิจารณาถึงสภาพของสังคมไทยในปัจจุบันแล้ว จะเห็นได้ว่าแนวโน้มของสังคมไทยใน อนาคตเพื่อทดั เทียมกบั สังคมโลกจะมีลักษณะดงั ต่อไปน้ี 1. ด้านครอบครวั และสงั คม 1.1 ครอบครวั แต่ละครวั เรือนจะมขี นาดเล็กลง มีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขน้ึ 1.2 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างเครือญาตคิ อ่ ย ๆ ลดลง 1.3 สตรีสามารถทํางานมีรายได้เล้ียงตัว และสามีได้ ทําให้หน้าที่ในการอบรมเล้ียงดู สมาชกิ ใหม่ของครอบครัวลดลง 1.4 ครอบครัวมีการหยา่ รา้ งกนั มากขน้ึ 1.5 ประชากรวัยสูงอายุมีจํานวนมากข้ึน วัยเด็กลดลง เนื่องจากความสําเร็จของการ วางแผนครอบครวั และความเจรญิ ทางการแพทย์ 1.6 มีความเป็นปัจเจกชนมากข้ึน คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าเรื่องของ ส่วนรวม 1.7 คา่ นยิ มและแบบแผนการดําเนินชีวิตตามแบบตะวนั ตก 1.8 เป็นยคุ แห่งข้อมลู ขา่ วสารและเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งท่ีเหมาะสมและไมเ่ หมาะสม 1.9 ทรพั ยากรธรรมชาติถกู ใช้ ทําลายในอตั ราสงู เกดิ มลภาวะตา่ ง ๆ 1.10 สงั คมในเขตอุตสาหกรรมมีปัญหามากข้ึน เช่น อาชญากรรม ยาเสพยต์ ดิ 2. ดา้ นการเมือง 2.1 วฒั นธรรมตามแนวคิดประชาธิปไตยแพรห่ ลายมากขึน้ 2.2 ประชาชนมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งในรปู แบบตา่ ง ๆ มากขนึ้ 2.3 ผู้ทมี่ ีฐานะดแี ละมอี ํานาจจะมสี ว่ นรว่ มทางการเมืองมากกว่าคนกลุ่มอน่ื ๆ 2.4 คนไทยมลี ักษณะเปน็ นกั ปฏบิ ัติมากกว่านกั อดุ มการณ์ 2.5 ขาดการกระตนุ้ ให้มกี ารสร้างผนู้ ําอย่างแท้จริง 2.6 พรรคการเมืองทม่ี ีขนาดเลก็ จะรวมตวั กับพรรคการเมืองทม่ี ขี นาดใหญ่ 3. ดา้ นเศรษฐกิจ 3.1 ระบบเศรษฐกจิ ไทยจะผกู พนั กบั ระบบเศรษฐกจิ โลกมากขึน้ 3.2 ธุรกิจขนาดใหญ่ บริษัทข้ามชาติจะเกิดขึ้นมากมาย ขณะเดียวกันธุรกิจร้านค้า ยอ่ ยจะคอ่ ย ๆ หมดไป 3.3 โรงงานอุตสาหกรรมจะเกิดข้ึนมาก มีการกําหนดพ้ืนที่เขตเศรษฐกิจใหม่บริเวณ ชายฝ่ังทะเลตะวันออก ชายฝง่ั ภาคใต้ เขตรอ่ งนํา้ ลึกและแหล่งกา๊ ซธรรมชาติ 3.4 ตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดหลกั ทรัพยม์ บี ทบาทตอ่ เศรษฐกิจมากขึน้ 3.5 เสยี เปรียบดุลการค้าต่อเนือ่ ง 3.6 การคมนาคมขนส่งและการส่อื สารเจรญิ ก้าวหนา้

๗๕ 3.7 รายได้ของชาวเมืองกับชาวชนบทจะแตกตา่ งกันมากขึ้น 3.8 ชาวชนบทจะมที ท่ี ํากนิ ลดนอ้ ยลง 3.9 แรงงานภาคเกษตรกรรมจะไหลเข้าส่ภู าคอตุ สาหกรรมมากขึน้ 3.10 มกี ารใช้เครอื่ งจกั รกล เพื่อเปน็ เคร่อื งท่นุ แรงมากขน้ึ 3.11 ลักษณะของการทาํ งานและการใช้แรงงานเนน้ ความชาํ นาญเฉพาะเร่ืองมากขึ้น 3.12 เศรษฐกิจก้าวไปสคู่ วามเปน็ ประเทศอตุ สาหกรรมใหม่ (นกิ ส์ – NICS) 4. ด้านการศึกษาและศาสนา 4.1 มกี ารจดั การศกึ ษาพ้ืนฐานแก่สมาชกิ อย่างกวา้ งขวาง 4.2 มกี ารศกึ ษาทัง้ ในระบบและนอกระบบ เปน็ การเรียนรตู้ ลอดชวี ติ 4.3 ฝึกให้มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ ตัดสินใจ สามารถรับเอา สง่ิ ใหม่ ๆ มาผสมผสานกับของเดิมได้อยา่ งเหมาะสม 4.4 มีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและ ภาษาอื่นๆที่มกี ารตดิ ต่อซ้ือขาย เช่น ญีป่ ุน่ เกาหลี จีน เยอรมนั ฝร่ังเศส เป็นตน้ 4.5 ฝึกทักษะการทํางานเป็นหมู่คณะ ทักษะในการฟัง ในการเจรจาโต้ตอบ การคิด อยา่ งมเี หตผุ ล การมองคนในแง่ดี และมีความคิดทดี่ ตี อ่ ตนเองและผอู้ น่ื 4.6 ผลิตผู้มีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และการบริการต่าง ๆให้ เหมาะสมกบั อาชีพ 4.7 อบรมพฒั นานสิ ัยท่ีดงี ามแก่สมาชกิ เพื่อให้เปน็ ทรัพยากรมนษุ ยท์ ่ดี ี

๗๖ คาํ ถามทา้ ยบท ๑. อะไรเป็นปัจจัยหรือสาเหตุของการเปล่ียนแปลงของสังคมไทย ให้อธิบายเป็นด้านๆพร้อมระบุ สาเหตุ ? ๒. สงั คมไทยมีแนวโนม้ ในการพฒั นาไปเปน็ สังคมแบบไหน อันเนื่องจากสาเหตใุ ด จงอธิบาย ? ๓. ใหน้ สิ ติ วเิ คราะหข์ ้อดี ข้อด้อยสงั คมไทยในอนาคตที่จะพัฒนาเข้าสู่สังคมโลก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook