ชุดกิจกรรมการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้สืบเสาะ เรื่อง การดารงชีวิตของพชื ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 จัดทาโดย นายอนวัช สวัสดหิ์ ริ ญั กิจ นางสาวศศิวภิ า ชาตศิ ริ ิ นางสาวสวิ ินีย์ เขม็ ทอง นายวงศ์ววิ รรธน์ วรนาม นางสาวพิมพ์นิภา ชะวาเขียว
คานา ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตรโ์ ดยใชก้ ระบวนการเรยี นรู้สืบเสาะเรือ่ ง การดารงชวี ิตของพืช จดั ทาขนึ้ เพอ่ื ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้น ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ภายในชดุ กิจกรรมนี้ประกอบไปด้วย 5 หนว่ ยการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ หน่วยท่ี 1 โครงสร้างของพืช หน่วยท่ี 2 การจาแนกประเภทพชื หน่วยที่ 3 ปจั จยั ในการ ดารงชวี ิตและการเจริญเติบโต หน่วยที่ 4 การสบื พนั ธขุ์ องพชื หนว่ ยท่ี 5 การขยายพนั ธ์ุ ของพชื โดยแต่ละหน่วยการเรยี นรมู้ แี บบทดสอบและแบบฝกึ ทักษะให้นกั เรียนได้ทาเพอื่ วดั ผลการเรียนรูข้ องแต่ละหน่วย ผู้จดั ทาหวงั ว่า ชดุ กจิ กรรมการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรเ์ ร่อื ง การดารงชีวิตของ พชื จะเป็นประโยชนต์ อ่ ผทู้ ่กี าลงั ศึกษาทาใหเ้ กิดกระบวนการเรยี นร้ทู างวิทยาศาสตร์ และสามารถนาไปใช้ในชวี ิตประจาวันได้ ผูจ้ ดั ทา 2
สารบัญ หน้า 2 เร่อื ง 3 คานา 5 สารบญั 8 คาแนะนาการใชช้ ุดกจิ กรรมโดยใช้กระบวนการเรียนรสู้ ืบเสาะ 11 แบบทดสอบก่อนเรียน 12 หนว่ ยท่ี 1 โครงสรา้ งของพชื 13 13 - มาตรฐานการเรยี นร้แู ละตัวชี้วัด 14 - สาระสาคัญ 23 - จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 28 - ใบความรหู้ น่วยท่ี 1 เร่ือง โครงสรา้ งของพชื 29 - ใบกจิ กรรมทหี่ นว่ ย 1 เรอ่ื ง โครงสร้างของพชื 30 - แบบทดสอบหน่วยที่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งของพืช 31 หนว่ ยที่ 2 การจาแนกประเภทพชื 31 - มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชีว้ ดั 32 - สาระสาคัญ 41 - จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 46 - ใบความรหู้ น่วยท่ี 2 เรือ่ ง การจาแนกประเภทพชื 47 - ใบกิจกรรมหนว่ ยท่ี 2 เร่อื ง การจาแนกประเภทพืช 48 - แบบทดสอบหน่วยท่ี 2 เรือ่ ง การจาแนกประเภทพืช 49 หนว่ ยท่ี 3 ปัจจัยในการดารงชีวติ และการเจรญิ เติบโต 49 - มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ดั 50 - สาระสาคญั 64 - จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 69 - ใบความรหู้ นว่ ยที่ 3 เร่ือง ปัจจยั ในการดารงชีวิตและการเจริญเติบโต 70 - ใบกจิ กรรมหน่วยที่ 3 เรื่อง ปจั จัยในการดารงชวี ติ และการเจริญเตบิ โต 71 - แบบทดสอบหนว่ ยที่ 3 เรือ่ ง ปัจจัยในการดารงชีวติ และการเจรญิ เตบิ โต 72 หน่วยท่ี 4 การสบื พันธุ์ของพชื 72 - มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตวั ชว้ี ดั 73 - สาระสาคญั 87 - จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 92 - ใบความรู้หนว่ ยท่ี 4 เรื่อง การสืบพนั ธ์ุของพืช - ใบกิจกรรมหนว่ ยท่ี 4 เรอ่ื ง การสืบพนั ธุข์ องพืช - แบบทดสอบหน่วยที่ 4 เรือ่ ง การสบื พนั ธขุ์ อง3พืช
เร่ือง หน้า หนว่ ยท่ี 5 การขยายพนั ธข์ุ องพืช 93 94 - มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้วี ัด 95 - สาระสาคัญ 95 - จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 96 - ใบความรูห้ น่วยท่ี 5 เร่อื ง การขยายพนั ธุข์ องพชื 110 - ใบกิจกรรมหน่วยที่ 5 เรอ่ื ง การขยายพนั ธขุ์ องพชื 115 - แบบทดสอบหนว่ ยที่ 5 เรอ่ื ง การขยายพันธุข์ องพืช 116 - แบบทดสอบหลงั เรียน 120 บรรณานกุ รม 121 ภาคผนวก 122 125 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น 126 เฉลยแบบทดสอบหนว่ ยที่ 1 เรื่อง โครงสรา้ งของพืช 127 เฉลยแบบทดสอบหน่วยท่ี 2 เรื่อง การจาแนกประเภทพชื 128 เฉลยแบบทดสอบหน่วยท่ี 3 เรอ่ื ง ปจั จัยในการดารงชีวิตและการเจรญิ เตบิ โต 129 เฉลยแบบทดสอบหน่วยท่ี 4 เรือ่ ง การสืบพนั ธ์ุของพชื 130 เฉลยแบบทดสอบหน่วยที่ 5 เรื่อง การขยายพนั ธุข์ องพชื 132 แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 1 เรอ่ื ง โครงสร้างของพืช 135 แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 2 เรือ่ ง การจาแนกประเภทพชื 138 แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 3 เรอ่ื ง ปจั จยั ในการดารงชวี ติ และการเจริญเตบิ โต 141 แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ 4 เรอ่ื ง การสืบพันธข์ุ องพืช แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 5 เรื่อง การขยายพนั ธขุ์ องพืช 4
คู่มอื การใชช้ ุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้การสบื เสาะ เรอื่ ง การดารงชวี ิตของพชื ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 1..ข้อเสนอแนะในการใช้ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ การใชช้ ดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การดารงชีวติ ของพืช สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โดยใช้ รูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้(Inquiry Cycle:5E) โดยการใช้ควบคู่กับแผน จัดการเรียนรทู้ ี่ 1 2 3 4 และ5 2. ส่วนประกอบของชดุ กจิ กรรมวิทยาศาสตร์ มสี ่วนประกอบทสี่ าคญั ดงั นี้ -เปน็ ชดุ กจิ กรรมที่ใชป้ ระกอบแผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 1 2 3 4 และ 5 -มีหน่วยการเรียนรูท้ ัง้ หมด 5 หน่วย คือ หน่วยที่ 1 โครสรา้ งของพชื หนว่ ยที่ 2 การจาแนกประเภทของพชื หนว่ ยที่ 3 ปัจจยั การดารงชวี ิตของพืช หนว่ ยที่ 4 การสืบพนั ธุข์ องพชื ดอก หนว่ ยที่ 5 การขยายพนั ธุ์ของพืช -ในแตล่ ะหนว่ ยประกอบดว้ ย มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้ สาระสาคัญและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.ส่วนประกอบของกิจกรรมในแต่ละหนว่ ย -ใบกจิ กรรม -ใบความรู้ 4.ส่วนประกอบของแบบทดสอบ -แบบทดสอบกอ่ น/หลังเรียน แบบทดสอบยอ่ ยของแตล่ ะหน่วย 5
คาแนะนาสาหรบั ครผู สู้ อน 1.ครูผู้สอนศกึ ษาสาระการเรียนรูแ้ ละชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตรโ์ ดยมี รายละเอียดดงั นี้ 1.1 ศกึ ษาค่มู ือการใชช้ ุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ 1.2 ข้อเสนอแนะสาหรบั ครผู ู้สอน 1.3 จัดเตรียมส่ือและกจิ กรรมตามลาดับการใช้กอ่ น-หลัง 1.4 คาชแ้ี จงในการปฏิบตั กิ ิจกรรม 2.ครูผู้สอนควรจัดเตรยี มหอ้ งเรยี นตามความเหมาะสมของเนอ้ื หาที่ เรยี น 3.ครผู ้สู อนตอ้ งศกึ ษาเนอ้ื หาทจ่ี ะสอนและศกึ ษาชุดกิจกรรม วิทยาศาสตร์ โดยละเอียด 4.กอ่ นสอน ครผู สู้ อนช้ีแจงใหน้ ักเรยี นทราบบทบาทของนกั เรยี นในการ เรยี น 5.ข้ันตอนการสอน โดยครูผู้สอนใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 5.1ขัน้ สรา้ งความสนใจ 5.2 ขน้ั สารวจและคน้ หา 5.3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป 5.4 ข้ันขยายความรู้ 5.5 ขัน้ ประเมนิ 6.ขณะทีน่ กั เรยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรมครูผู้สอนควรมีการกระตุ้น เสริมแรง ให้ กาลังใจ และคอยตอบคาถามหากนักเรียนมคี าถามและปัญหา ในขณะ ปฏิบัตงิ าน 7 ครผู ู้สอนควรดูแลนกั เรยี นขณะปฏิบัตกิ จิ กรรมอย่างใกลช้ ดิ พรอ้ มกับ ประเมินดา้ นทักษะกระบวนการและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.หลงั จากนักเรยี นทากิจกรรมครบตามขน้ั ตอนแลว้ ครเู ฉลยกิจกรรม ร่วมกับนกั เรยี น 6
คาชี้แจงสาหรบั ผเู้ รยี น 1.นักเรียนศกึ ษาและฟงั คาแนะนาจากครใู นการใชช้ ุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์ 2.นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี นจานวน 25 ข้อ 3.นกั เรียนปฏิบตั ติ ามขน้ั ตอนทีก่ าหนดไว้ในชดุ กิจกรรม เม่ือศึกษาและปฏบิ ัตใิ นชดุ กจิ กรรมเรยี บร้อยแล้วใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น 4.เม่อื จบบทเรยี นในชดุ กจิ กรรมนี้แล้ว ครูจะเป็นผ้ตู รวจและวดั ประเมนิ ผล 7
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น คาช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นเลือกคาตอบท่ถี ูกตอ้ งท่สี ดุ เพียงข้อเดียว 1. หมายเลข 1 เปน็ ส่วนใดของตน้ ไม้ 6. ข้อใดคือพชื ชั้นสูงทงั้ หมด ก. เฟื่องฟา้ เฟิร์น หญา้ ถอดปล้อง ดาวเรอื ง ก. ผล ข. กลว้ ยไม้ กุหลาบ ผกั ตบชวา ผักแวน่ ค. เฟ่อื งฟา้ มอส บานไม่รู้โรย ดอกเขม็ ข. ใบ ง. กุหลาบ ชบา ผักตบชวา ไมยราบ ค. ลาตน้ 1 7. ข้อใดตา่ งจากพวก ง. ราก ก. มะม่วง ข. สน 2. ข้อใด ไมใ่ ช่ หนา้ ที่ของลาต้น ค. ข้าว ก. ลาเลียงอาหาร ง. ตะไคร้ ข. ช่วยชกู งิ่ กา้ นและใบ ค. ลาเลียงน้าและแร่ธาตุ 8. ข้อใดไม่ใช่พืชไมม่ ดี อก ง. เปน็ ทางเข้าออกของออกซิเจน ก. ผกั ตบชวา ข. สน 3. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ลกั ษณะของใบ ค. มอส ก. ใบพชื สามารถสงั เคราะห์แสงได้ ง. จอกแหน ข. ใบพืชสามารถขยายพนั ธไ์ุ ด้ ค. ใบพืชสามารถดูดน้าและแร่ธาตุได้ 9.ขอ้ ใดบอกลกั ษณะพืชดอกไม่ถูกต้อง ง. ใบพชื สามารถหายใจได้ ก. มรี าก ข. มลี าต้น 4. ตน้ ไผแ่ ละตน้ ออ้ ย มลี ักษณะในขอ้ ใดเหมอื นกนั ค. มีใบ ก. ลาต้นตรงใหญ่ ง. มีสปอร์ ข. ลาตน้ มีขอ้ ปล้อง ค. ลาตน้ เปน็ เถาเลอื้ ย 10. จากภาพแสดงถงึ พืชกลมุ่ ใด ง. ลาตน้ อยใู่ ตด้ ิน ก. แหน ข. สน 5. พืชใดเหน็ ข้อปลอ้ งชัดเจน ค. มีดอก ก. พรกิ ง. ไมม่ ดี อก ข. ไผ่ ค. กุหลาบ ง. มะเขอื 8
11. ส่ิงใดจาเป็นตอ่ การดารงชวี ติ ของพืช 16. ข้อใดเปน็ สว่ นประกอบทสี่ าคญั ของดอกไม้ ก. นา้ ก. ก้านดอก กลีบดอก กลบี เลย้ี ง เกสรเพศเมีย ข. แสงแดด ข. กลบี เล้ยี ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ค. ดิน ค. ก้านดอก ร้ิวประดบั เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย ง. ถูกทุกขอ้ ง. กลบี ดอก ฐานรองดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี 12. ปจั จยั ใดมีผลตอ่ การงอกของเมลด็ มากทีส่ ดุ 17. สว่ นทีส่ าคญั ของดอกทใ่ี ชใ้ นการสบื พนั ธค์ อื ข้อใด ก. แสงแดด ก. กลีบดอก ข. แร่ธาตุ ข. อับเรณูและรังไข่ ค. ยาฆา่ แมลง ค. กลบี ดอกและเกสรเพศผู้ ง. นา้ ง. เกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมยี 13.นา้ ท่ใี ช้รดตน้ พชื ไมค่ วรใชน้ า้ ประเภทใด 18. กลบี เลี้ยงมีประโยชนอ์ ยา่ งไร ก. นา้ ประปา ก. สรา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์ ข. นา้ สะอาด ข. ใช้ในการสังเคราะหแ์ สง ค. นา้ ร้อน ค. ป้องกนั อนั ตรายจากแมลง ง. นา้ ฝน ง. ล่อแมลงเพือ่ ช่วยผสมเกสร 14.ตน้ พชื ทีไ่ มไ่ ด้รดน้านาน ๆ จะมีลกั ษณะอย่างไร 19. เกสรเพศเมยี มสี ่วนประกอบอะไรบา้ ง ก. เหีย่ วเฉา ก. รังไข่ ข. รากเนา่ ข. ยอดเกสรเพศเมีย ค. ใบซดี ค. กา้ นชูเกสรเพศเมยี ง. ออกดอกสวยงาม ง. ถูกทุกขอ้ 15.ถ้าต้นพืชไมไ่ ด้รบั แสงแดดเปน็ เวลานานๆ ตน้ พชื 20. ลกั ษณะของดอกในข้อใดท่แี มลงมโี อกาสมาช่วย จะเปน็ อยา่ งไร ผสมเกสรมากทส่ี ดุ ก. เหย่ี วเฉา ก. มจี านวนเกสรเพศผมู้ าก ข. ใบซดี ข. กลบี เลย้ี งเรยี งตัวเปน็ ชั้นสวยงาม ค. ราดเนา่ ค. กลบี ดอกมสี ีสนั สวยงามและมีนา้ หวาน ง. ใบเขียวสด ง. ดอกมขี นาดใหญ่ มีกลบี ดอกจานวนมาก 9
21. จากรปู เป็นการขยายพันธ์ุด้วยวธิ ใี ด ก. การตดิ ตา ข. การตอนก่ิง ค. การปักชา ง. การทาบก่งิ 22. วิธกี ารใดเปน็ การขยายพนั ธแุ์ บบอาศัยเพศ ก. การปกั กงิ่ ข. แยกหนอ่ ค. การเพาะเมลด็ ง. การตดิ ตา 23. การปักชา ควรตดั ตน้ ไมท้ จี่ ะปกั ชาเฉยี งก่อี งศา ก. 25 องศา ข. 37 องศา ค. 45 องศา ง. 90 องศา 24. หอมควรใช้การขยายพนั ธ์แุ บบไม่อาศยั เพศด้วยวิธีใด ก. การแยกหน่อ ข. การเสียบยอด ค. การทาบกิ่ง ง. การปกั ชา 25. ข้อใดไม่ใช่การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศท้ังหมด ก. การตอนกง่ิ การปกั ชา ข. การปักชา การแยกหน่อ ค. การปกั ชา การเพาะเมลด็ ง. การทาบกิ่ง การเสยี บยอด 10
หนว่ ยท่ี 1 เรื่อง โครงสร้างของพชื 11
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสิ่งมีชีวติ หน่วยพ้นื ฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารผ่าน เซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสร้าง และหนา้ ที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนษุ ยท์ างาน สมั พนั ธก์ ัน ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้าง และหน้าทีข่ องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พันธ์ กัน รวมทัง้ นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวช้วี ัด ว 1.1 ป.4/1 บรรยายหนา้ ทีข่ องราก ลาตน้ ใบ และ ดอกของพืชดอกโดยใชข้ ้อมลู ท่รี วบรวมได้ 12
สาระสาคญั พืชประกอบดว้ ยอวยั วะที่สาคญั ตอ่ การดารงชีวิต ได้แก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล และเมลด็ ซ่งึ อวัยวะ แตล่ ะสว่ นของพชื นน้ั มีหน้าท่ีและสว่ นประกอบแตกต่างกัน แตท่ างานเกี่ยวขอ้ งและสัมพนั ธ์กันหากขาด อวัยวะสว่ นใดส่วนหน่ึงไป อาจทาใหพ้ ชื นน้ั ผดิ ปกตหิ รือตายได้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสรา้ งภายนอกของพชื ได้ ( K ) 2. นกั เรยี นสามารถสารวจและจาแนกสว่ นประกอบของพชื ได้ ( P ) 3. นกั เรยี นมงุ่ มน่ั ในการทางาน ( A ) 13
ใบความร้หู น่วยท่ี 1 เรื่อง โครงสร้างของพชื ขนั้ ที่ 1 ข้ันสร้างความสนใจ พืชใช้อะไรหายใจ? ผลของพชื มหี น้าที่อะไร? พชื ใช้ส่วนใดสืบพันธุ์? โครงสร้างภายนอกของพืช มีสว่ นประกอบอะไรบ้าง? รากมีกปี่ ระเภท? ลาตน้ ของพืชมหี น้าที่อะไร? 14
ขัน้ ที่ 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา โครงสรา้ งของพืช ส่วนประกอบของพชื ทส่ี าคญั ตอ่ การดารงชีวติ ไดแ้ ก่ ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล และเมลด็ ทั้งหมดเรยี กว่า โครงสร้างของพืช ส่วนประกอบภายนอกท่ีสาคัญของพชื ไดแ้ ก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก และผล ซึง่ แตล่ ะสว่ น ของพชื น้ันมีหน้าที่แตกตา่ งกนั แตท่ างานประสานกันเปน็ ระบบ ทาให้พชื ดารงชวี ิตอย่ไู ด้ ใบ ผล ดอก ลาต้น ราก 15
ส่วนประกอบของพืช ส่วนประกอบของพืชทส่ี าคัญ มีดังน้ี 1. ราก เปน็ ส่วนประกอบของพชื ซึ่งสว่ นมากอยูใ่ นดินมีลักษณะแตกต่างกันไปตามชนดิ ของ พืชและตามประเภทของราก รากพืชแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คือ รากแกว้ รากแขนง และราก ฝอย รากแก้ว รากแขนง รากฝอย รากมีหน้าทยี่ ึดลาต้น ดดู นา้ ดดู สารอาหาร สง่ ไปยัง ลาตน้ ปลายสดุ ของราก จะมีหมวกราก พชื ใบเลี้ยงคู่จะมรี ากแก้วจงึ ทาใหอ้ าหาร และนา้ ได้มากทาใหพ้ ืชสูงและมอี ายยุ ืน เช่น มะม่วง มะขาม กระทอ้ น ขนนุ ฯลฯ ส่วนพชื ใบเลีย้ งเดี่ยวไมม่ รี ากแกว้ แต่จะมีรากฝอย พืชใบเลี้ยงเดย่ี ว จึงอาหารและดดู นา้ ไดน้ ้อย พืชใบเลี้ยงเดย่ี วจะมตี ้นเลก็ และอายไุ มย่ นื เชน่ ข้าว ออ้ ย ขา้ วโพด และหญา้ ตา่ ง ๆ ต้นมะมว่ ง ( พืชใบเล้ียงคู่ ) ต้นขา้ วโพด ( พชื ใบเลีย้ งเดี่ยว ) 16
2. ลาตน้ เป็นสว่ นประกอบของพืช สูงตอ่ มาจากรากขน้ึ มา ลาตน้ ประกอบดว้ ย เปลอื ก ทอ่ ลาเลยี งน้าและทอ่ ลาเลยี งอาหาร หากเปน็ พชื ใบเลย้ี งคู่จะมีส่วนทีแ่ ขง็ แกรง่ เรยี กว่า แกน่ ลาต้น เปลอื ก ลาต้น ทาหนา้ ท่ีลาเลยี งน้า แรธ่ าตุ และอาหาร ชูก่ิงก้านของพืชเพื่อใหไ้ ด้รับแสงแดด อยา่ งทั่วถงึ พืชบางชนดิ จะมีลาตน้ สูงใหญ่ บางชนิดมลี าตน้ เลก็ ลาต้นประกอบดว้ ยส่วนสาคญั 2 ส่วนคือ 1. ข้อ เป็นส่วนของลาตน้ ที่มีตาซ่งึ จะเจรญิ ไปเปน็ กิ่ง ดอก หรือใบ 2..ปล้อง เป็นส่วนของลาตน้ ท่ีอยู่ระหว่างข้อ พืชใบเลี้ยงเดีย่ วจะสงั เกตส่วนของข้อปลอ้ ง ได้อยา่ งชดั เจนตลอดชีวติ เช่น ต้นไผ่ ต้นอ้อย ขา้ วโพด เป็นต้น สว่ นพืชใบเลย้ี งคู่นั้นสว่ น ใหญแ่ ลว้ ขอ้ ปลอ้ งจะสังเกตไดไ้ มช่ ดั เจนทั้งนี้ ก่ิง เปน็ สว่ นประกอบของพชื ท่งี อกออกมาจากลาต้น มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ลาต้นทุก ประการ มีหนา้ ท่ีชกู า้ นใบของพชื ใหไ้ ดร้ ับอากาศ และแสงแดดใหไ้ ด้มากทส่ี ุด กิ่งไม้ 17
3. ใบ เป็นสว่ นประกอบของพืช ทงี่ อกออกจากกง่ิ ใบเปน็ สว่ นประกอบท่ีมจี านวนมากท่สี ดุ ใน พชื ทม่ี ใี บ ใบประกอบดว้ ยสว่ นทเ่ี ปน็ สเี ขยี วเรยี กวา่ คลอโรฟลิ ล์ ใบ มหี นา้ ท่ีปรุงอาหาร โดยการสังเคราะห์ด้วยแสง นอกจากนี้เรายงั ทาหนา้ ท่ีหายใจใน เวลากลางคืนโดยการดดู ก๊าซออกซเิ จนแลว้ คายกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ใบของพืช 4. ดอก เป็นสว่ นประกอบท่ีสาคัญของพืชมีดอกที่มีลักษณะและสที ี่แตกตา่ งกนั ออกไปตาม ชนิดของพืช ประกอบไปดว้ ย กลีบดอก กลีบเลยี้ ง เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ดอกมหี น้าทส่ี ืบพนั ธ์ุ โดยการถา่ ยละอองเรณูจากเกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมยี ทาให้เกิด การสมั ผัสกนั ระหว่างเซลล์สืบพนั ธเ์ุ พศผกู้ บั เซลล์สืบพนั ธุข์ องเพศเมยี ดอกของพืช 18
5. ผล เป็นสว่ นประกอบทสี่ าคัญของพชื ผลเจริญมาจากรังไข่ ภายหลงั จากท่ไี ด้รับการปฏสิ นธิ แลว้ ส่วนประกอบของผลประกอบไปดว้ ย 3 ส่วนไดแ้ ก่ เปลือก เน้ือ และเมล็ดด้านในของผล จะมเี มลด็ เจริญมาจากออวุล ซึง่ พชื ใช้ขยายขยายพนั ธ์ุ ผล มหี นา้ ที่สะสมอาหาร และหอ่ หุม้ เมลด็ เพ่อื ป้องกนั ไมใ่ หเ้ มลด็ เกิดอันตราย ผลของ พชื 19
ขน้ั ที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรปุ สรปุ หนว่ ยที่ 1 เร่อื งโครงสรา้ งของพชื โครงสร้างของพืช มีส่วนประกอบทสี่ าคญั ต่อการดารงชวี ติ ไดแ้ ก่ ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล และเมลด็ ราก มหี นา้ ทีย่ ดึ ลาต้น ดดู น้า ดดู สารอาหาร ส่งไปยงั ปลายสุดของราก ลาตน้ มหี นา้ ท่ลี าเลยี งนา้ แรธ่ าตุ และอาหาร ชูก่งิ กา้ นของพชื เพื่อให้ได้รบั แสง ใบ มหี น้าท่ปี รงุ อาหาร โดยการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง และหายใจในเวลากลางคืน โดยการดูดก๊าซออกซเิ จนแลว้ คายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดอก มีหน้าที่สืบพันธุ์ โดยการถา่ ยละอองเรณจู ากเกสรเพศผู้ปยังเกสรเพศเมยี ผล มีหนา้ ทส่ี ะสมอาหาร และห่อห้มุ เมล็ดเพือ่ ปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ มล็ดเกดิ อนั ตราย 20
ข้นั ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นแบง่ กลุม่ 5-6 คน วาดรูปตน้ ไม้ทสี่ นใจพร้อมและระบสุ ว่ นประกอบ ( ราก ลาต้น ใบ ผล ดอก ) ของพชื ใหถ้ กู ตอ้ ง ต้น ............................. 21
ข้ันท่ี 5 ข้นั ประเมิน ดาเนินการประเมิน หนว่ ยที่ 1 โครงสรา้ งของพชื 1. ประเมนิ ความรรู้ ะหวา่ งเรยี นดว้ ยใบกิจกรรมเติมเครอื่ งหมายถูกผิด 2.ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแบบทดสอบ หน่วยที่ 1 เร่ือง โครงสร้างของพืช 22
ใบกจิ กรรมท่ี 1 หน่วยท่ี 1 เรอ่ื ง โครงสร้างของพืช ขน้ั ที่ 1 ข้นั สร้างความสนใจ คาส่งั ให้นกั เรียนโยงเส้นจบั คู่คาตอบให้ถกู ตอ้ ง 1 .โครงสรา้ งภายนอกของพชื มี สะสมอาหาร สว่ นประกอบอะไรบา้ ง 2. ลาตน้ ของพืชมีทาหนา้ ที่อะไร ใบ 3. พชื ใช้อะไรหายใจ ลาเลียงนา้ แรธาตแุ ละ อาหาร 4. รากมีก่ีประเภท 3 ประเภท 5. ผลของพืชมที าหน้าทอี่ ะไร? ใบ ผล ดอก ลาต้น ราก 23
ใบกจิ กรรมท่ี 2 หนว่ ยที่ 1 เรือ่ ง โครงสรา้ งของพืช ขั้นที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นหา คำชีแ้ จง ให้นกั เรียนเติมช่ือสว่ นประกอบของพืชให้ถกู ต้องและระบายสใี ห้สวยงาม 24
ใบกิจกรรมท่ี 3 หน่วยที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างของพชื ขนั้ ท3่ี ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ คำชีแ้ จง ให้นกั เรียนอธิบายหน้าทสี่ ว่ นประกอบของพืชทกี่ าหนดให้ หนา้ ท่ีของดอก หน้าทข่ี องใบ ........................................ ................................... ........................................ ................................... ........................................ ................................... หน้าท่ขี องผล ........................................ ........................................ ........................................ หนา้ ท่ีของราก หนา้ ทข่ี องลาตน้ ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ ........................................ 25
ใบกจิ กรรมที่ 4 หน่วยที่ 1 เรือ่ ง โครงสรา้ งของพชื ขัน้ ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรียนสารวจต้นไม้ในบา้ นและบนั ทึกลงในใบกจิ กรรมตามตัวอยา่ ง ชือ่ พชื สว่ นประกอบของพชื ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล ตัวอย่าง ต้นเขม็ √ √√√- 1. 2. 3. 4. 5. 26
ใบกิจกรรมท่ี 5 หน่วยที่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งของพืช ข้นั ท่ี 5 ขัน้ ประเมนิ คาส่ัง ให้นักเรยี นใสเ่ ครอื่ งหมาย √ หน้าขอ้ ความทถี่ ูก และทาเครือ่ งหมาย X หน้าข้อความทผ่ี ดิ _____ 1. ส่วนประกอบภายนอกพืช ไดแ้ ก่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก และผล _____ 2. มหี น้าที่ยึดลาตน้ ดดู นา้ ดดู สารอาหาร คอื ใบ _____ 3. ใบเลย้ี งเดยี่ วมีรากแก้ว _____ 4. ลาตน้ ประกอบไปดว้ ยท่อลาเลยี งน้า ทอ่ ลาเลยี งอาหาร _____ 5. ต้นไผ่ ต้นอ้อย ขา้ วโพด เป็นพชื ทมี่ ีขอ้ ปล้อง _____ 6. ก่ิงพืชมหี นา้ ที่ สะสมอาหาร _____ 7. ใบประกอบด้วยส่วนทเ่ี ป็นสีเขยี วเรยี กว่าคลอโรกรนี _____ 8. ใบมีหน้าทป่ี รงุ อาหาร _____ 9. ดอกประกอบไปดว้ ย กลีบดอก กลีบเลย้ี ง เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี _____ 10. ผลเจรญิ มาจากออวุล เกณฑค์ ะแนน 8-10 ดมี าก 5-7 ดี ตา่ กว่า 4 พอใช้ 27
แบบทดสอบหนว่ ยที่ 1 เรือ่ ง โครงสร้างของพชื คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นเลอื กคาตอบท่ถี กู ต้องท่ีสดุ เพยี งขอ้ เดียว 1. สว่ นประกอบที่สาคญั ของพชื 6. ใบของพืชเปรียบเหมอื นส่วนใดของคนเรา ก. ลาตน้ ราก ใบ ก. ขา ข. ลาต้น ราก ใบ ดอก ผล ข. แขน ค. ลาต้น ใบ ผล ค. จมูก ง. ผล ดอก ใบ ราก ง. ลาตัว 2. พืชชนดิ ใดทม่ี ลี าต้นอยู่ใต้ดิน 7. ใบของพืชทาหน้าท่ีอะไร ก. เผอื ก ก. ยึดลาตน้ ข. ผักบงุ้ ข. ลาเลยี งนา้ ค. มะมว่ ง ค. สร้างอาหาร ง. กล้วยไม้ ง. ดดู น้าและแร่ธาตุ 3. หน้าทห่ี ลักของราก คอื ขอ้ ใด 8. สว่ นใดของพืชที่ทาหน้าทีข่ ยายพันธ์ุมากท่สี ดุ ก. สร้างอาหารให้พชื ก. ใบ ข. ยดึ ลาต้นให้ตงั้ ตรง ข. ผล ค. ชูใบให้ไดร้ ับแสงแดด ค. ดอก ง. ดดู นา้ และแร่ธาตุจากดิน ง. ลาต้น 4. พืชชนดิ ใดเปล่ยี นใบเปน็ หนามเพ่อื ลดการคายน้า 9. การคายนา้ มีประโยชน์ต่อพืชอย่างไร ก. ตาลึง ก. ทาใหใ้ บเหี่ยวเฉา ข. ตะบองเพชร ข. ป้องกันแมลงมากัด ค. ว่านหางจระเข้ ค. ลดความร้อนในใบ ง. ควา่ ตายหงายเปน็ ง. ให้รบั แสงแดดมากขนึ้ 5. การแลกเปลยี่ นก๊าซของต้นพชื เกิดข้นึ ทสี่ ่วนใด 10. หนา้ ที่ของลาตน้ คอื ข้อใด ก. ใบ ก. หายใจ ข. ดอก ข. สร้างอาหาร ค. ราก ค. เปน็ ทางลาเลยี งนา้ และอาหาร ง. ลาต้น ง. เป็นทางเขา้ -ออกของออกซิเจน 28
หน่วยท่ี 2 การจาแนกประเภทของพชื 29
มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชีว้ ดั มาตรฐานการเรยี นรู้ ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสาคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พนั ธกุ รรม การเปลยี่ นแปลงทางพนั ธุกรรมท่มี ผี ลตอ่ สง่ิ มชี ีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพ และววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี ีวติ รวมทั้งนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชว้ี ดั ว 1.3 ป.4/2 จาแนกพชื ออกเปน็ พืชดอกและพืชไมม่ ีดอก โดยใชก้ ารมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ ข้อมูล ท่ีรวบรวมได้ 30
สาระสาคญั การจาแนกพชื พืชมีมากมายหลายชนิด แตล่ ะชนดิ มโี ครงสร้างทเี่ หมือนกนั และแตกตา่ ง กนั เราสามารถใช้โครงสร้างที่เหมือนกันของพืชจดั พชื ให้อยใู่ นกลุม่ เดยี วกนั เชน่ ใชด้ อก เป็นเกณฑ์ แบง่ พชื ออกเป็นพืชมีดอกกบั พชื ไม่มดี อก และพชื มี ดอกสามารถจาแนกโดยใช้ โครงสร้างภายนอกเป็นเกณฑ์ แบง่ พชื ดอกออกเป็นพชื ใบเลยี้ งเด่ยี วและพืชใบเล้ยี งคู่ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.นกั เรยี นสามารถจาแนกพืชดอกและพืชไม่มดี อกได้ (K) 2.นกั เรยี นสารถเขยี นแผนผังความคดิ สรุปองค์ความรู้ เรื่องการจาแนกพืชได้ (p) 3.นกั เรยี นมึความกระตือรือร้นในการเรยี น (A) 31
ใบความรหู้ น่วยที่ 1 เร่ือง การจาแนกประเภทพชื ขน้ั ที่ 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ รจู้ ักพืชในรูปหรือไม่ มีความแตกตา่ งกนั หรอื ไม่ แต่ละตน้ มชี ือ่ วา่ อะไรบา้ ง และแตกตา่ งกนั อย่างไร จะใชเ้ กณฑ์ใดในการจาแนกพืช ทาไมดอกเหด็ จงึ ไม่มีสีเขียว แตล่ ะประเภทได้บา้ ง การมีสเี ขยี วเปน็ ประโยชน์กับ พืชอย่างไร 32
ข้นั ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นคว้า พชื มีดอกและพชื ไม่มีดอก พชื เป็นสิง่ มชี วี ติ ทม่ี ีความสาคัญตอ่ คนและสัตว์เปน็ อย่างมาก เพราะเป็นแหลง่ อาหารและ อากาศซ่ึงจาเป็นตอ่ การดารงชีวติ ของคนและสตั ว์และยงั ชว่ ยสรา้ งสมดุลใหแ้ กธ่ รรมชาติ ซ่ึงพชื ในโลกนี้มอี ย่มู ากมายหลายชนิด นักวิทยาศาสตรจ์ งึ ไดใ้ ช้เกณฑ์ตา่ ง ๆ ในการจดั หมวดหมู่พชื เกณฑท์ ใี่ ช้ในการจดั หมวดหมู่พชื ท่ีแสดงถงึ สายสมั พันธ์ุของพชื ท่ีใกล้ชิดท่สี ดุ คือ การจาแนก พืชโดยการสืบพนั ธุ์ ซึ่งทาให้สามารถแบ่งพชื ไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ พืชมดี อก และพืชไม่มดี อก พชื ดอก พชื ดอก หมายถึง พืชท่เี มื่อเจริญเตบิ โตเต็มทแ่ี ลว้ จะมีดอกใหเ้ หน็ พชื ดอกจดั เป็น พชื ชน้ั สงู ทม่ี ีอวยั วะตา่ งๆ ครบสมบูรณ์ คือ ราก ลาต้น ใบ ตา ดอกและเมล็ด มีไว้เพอ่ื สาหรบั ขยายพนั ธุ์พชื ดอกมอี ยทู่ ่วั ไปหลายชนดิ มที ง้ั ที่อยู่บนบกและอยูใ่ นน้า 33
- พืชดอกท่อี ยบู่ นบก เชน่ มะมว่ ง ชบา กหุ ลาบ มะเขอื มะขาม มะพร้าว ฟักทอง มะละกอ มะลิ มะกอก มะพรา้ ว ชบา -พืชดอกท่ีอยใู่ นนา้ เช่น บวั สนั ตะวา ผกั ตบชวา ผกั กระเฉด จอก แหน ผกั ตบชวา สันตะวา 34
ดอกของพชื จาแนกไดต้ ามการเกดิ ได้ 2 ชนิด 1.ดอกเดยี่ ว คอื ดอกทีโ่ พลข่ น้ึ มาจากกา้ นชดู อกเพยี งกา้ นเดยี ว เช่น กหุ ลาบ ดอกบัว ดอกกุหลาบ ดอกบวั 2.ดอกช่อ คอื ดอกหลายๆดอกทีอ่ อกมาจากก้านดอกเดียวกนั เช่น ดอกเข็ม ดอกกล้วยไม้ ดอกเขม็ ดอกล้วยไม้ การสืบพนั ธข์ุ องพืชดอก พืชมีดอกและพืชไร้ดอกมวี ิธีแพร่พันธุแ์ ตกตา่ งกัน พืชมดี อกจะอาศัยดอกในการสืบพนั ธ์ุ เรียกว่า การสืบพันธแุ์ บบอาศยั เพศ และยงั สามารถสบื พันธโุ์ ดยวธิ อี ่นื ท่ีไม่ตอ้ งใชด้ อก เรียกวา่ การสืบพนั ธ์ุแบบไม่อาศยั เพศ สว่ นพชื ไรด้ อก จะสบื พนั ธแ์ุ บบไมอ่ าศัยเพศ 35
พืชไมม่ ีดอก พชื ไมม่ ดี อก หมายถงึ พชื ทีต่ ลอดการดารงชีวติ ไม่สามารถออกดอกเพือ่ ใช้ในการสบื พนั ธ์ุ พืชไร้ดอกคือพชื ชนิดหนง่ึ ทไี่ มม่ ดี อก ไมส่ ามารถสบื พันธุ์โดยใช้เมลด็ แตพ่ ชื ไรด้ อกจะใช้ การผสมพันธโ์ุ ดยแบ่งเซลล์ การแตกหนอ่ และการใช้ สปอร์ เช่น เหด็ รา สาหร่าย ตะไคร่ เปน็ ตน้ พชื ไร้ดอกจะเปน็ พชื ชั้นต่า เป็นพชื ทีม่ ีสว่ นประกอบไมค่ รบถว้ นเหมอื นกบั พืชดอก พชื ไมม่ ดี อกแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ 1.พชื ไมม่ ดี อกทม่ี คี ลอโรฟลิ ล์ (สารสเี ขยี ว) เป็นพืชทีส่ ามารถสร้างอาหารได้เองเช่นเฟริ น์ มอส ตะไคร่นา้ สาหร่าย ตะไคร่นา้ เฟิ ร์น 36
2.พชื ไมม่ ดี อกทไ่ี ม่มคี ลอโรฟลิ ล์ เปน็ พชื ทไี่ มส่ ามารถสร้างอาหารได้เอง ต้องอาศยั อาหารจากสิง่ อื่น เชน่ เห็ด รา ยีสต์ แบคทีเรีย เหด็ รา การสบื พนั ธขุ์ องพืชไม่มีดอก 1.การแบง่ เซลล์ เช่น สาหร่าย ตะไคร่นา้ 2.การแตกหนอ่ เชน่ ยีสต์สืบพนั ธ์ุโดยการสร้างหนอ่ เลก็ ๆ ออกมาด้านข้างของเซลล์เดิม 3.การปลอ่ ยสปอร์ การแบง่ เซลล์ การแตกหน่อ การปลอ่ ยสปอร์ 37
ขั้นที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ สรุป หนว่ ยที่ 2 เรื่องการจาแนกประเภทของพืช เกณฑ์ทีใ่ ชใ้ นการจดั หมวดหมู่พืชที่แสดงถงึ สาย สัมพนั ธไ์ ด้ใกล้ชดิ ทส่ี ดุ คือ การจาแนกพชื โดยการสบื พันธ์ุ ทาใหส้ ามารถจาแนกพชื ไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ พืชมดี อก และพชื ไมม่ ดี อก 1.พชื มดี อก คือ พืชท่ีเมือ่ เจริญเติบโตเตม็ ท่ีแลว้ จะออกดอกเพ่ือใชใ้ นการสบื พันธุ์ 2.พชื ไม่มีดอก คือ พชื ท่ีตลอดการดารงชวี ิตไมส่ ามารถออกดอกไดจ้ ึงไมอ่ าศัยดอก ในการสืบพันธ์ุ 38
ข้นั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ ตารางเปรยี บเทยี บความแตกต่างพืชดอกและพชื ไม่มีดอก พชื ดอก พืชไมม่ ดี อก พชื ทเ่ี มอื่ เจริญเติบโตเต็มทแี่ ล้วจะมี พืชทีเ่ มอื่ เจริญเตบิ โตเต้มที่แลว้ ไม่มี ดอก ดอก ใชด้ อกในการสืบพนั ธุ์ ใชก้ ารแตกหนอและแบง่ เซล์ในการ จัดเปน็ พชื ชั้นสงู สบื พันธุ์ จัดเป็นพชื ชั้นต่ากวา่ พืชมีดอก พบเหน็ อยู่ทั่วไป มีจานวนชนิดไมม่ ากเท่าพชื มดี อก เชน่ มะมว่ ง ลาไย มะลิ กหุ ลาบ ถ่ัว เช่น มอส เพิรน์ หวายทะนอย สามารถสบื พันธ์ุไดท้ ัง้ การอาศยั เพศ สามารถสบื พันธไ์ุ ด้เพยี งแบบไมอ่ าศยั และไม่อาศัยเพศ เพศ มที งั้ ผลและเมลด็ ไมม่ ีผลและเมล็ด 39
ข้นั ท่ี 5 ข้นั ประเมิน ดาเนนิ การประเมิน หน่วยที่ 1 โครงสรา้ งของพชื 1. ประเมนิ ความรรู้ ะหวา่ งเรียนดว้ ยใบกจิ กรรมโยงเสน้ ประเภทของพชื 2.ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้วยแบบทดสอบ หน่วยท่ี 2 เรื่อง การ จาแนกประเภทของพืช 40
ใบกจิ กรรมท่ี 1 หน่วยท่ี 2 เร่ือง การจาแนกประเภทของ พืช ขน้ั ที่ 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนดูรปู ภาพพืชทก่ี าหนดพรอ้ มท้ังตอบคาถามลงในช่องว่างให้ถูกต้อง ..1....ร..ูจ้ ..กั ..พ..ืช..ใ..น..ร..ปู ..ห...ร.อื..ไ..ม..่.แ..ต..่ล...ะ.ต...้น..ม..ชี..่อื..ว..า่..อ..ะ..ไ..ร.บ...้า.ง..?..................................................................... ........................................................................................................................................... ..2....ม..คี..ว..า..ม..แ..ต...ก..ต..า่ ..ง.ก..นั...ห..ร..อื ..ไ.ม...แ่ ..ล..ะ..แ..ต..ก..ต..่า..ง..ก..ัน..อ..ย..า่..ง..ไ.ร..?................................................................ ........................................................................................................................................... ..3....จ..ะ..ใ.ช...้เ.ก..ณ...ฑ..ใ์..ด..ใ.น...ก..า.ร..จ..า..แ..น..ก...พ..ชื ..แ..ต..ล่..ะ..ป...ร..ะ..เ.ภ..ท..ไ..ด..้บ..า้..ง..?............................................................ ........................................................................................................................................... .4....ท...า.ไ..ม..ด..อ..ก..เ..ห..ด็ ..จ..ึง..ไ.ม..ม่...สี ..เี .ข..ีย..ว..ก..า..ร.ม...สี ..ีเ.ข..ยี..ว..เ.ป..็น...ป..ร..ะ..โ.ย..ช..น...ก์ ..บั ..พ...ืช..อ..ย..า่..ง.ไ..ร..?....................................... ........................................................................................................................................... 41
ใบกจิ กรรมท่ี 2 หน่วยที่ 2 เรอ่ื ง การจาแนกประเภท ของพืช ข้นั ท่ี 2 ข้ันสารวจและคน้ คว้า คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนจาแนกประเภทของพืชท่กี าหนดใหแ้ ละเขียนลงในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ ง กหุ ลาบ ข้าว มอส สน บวั ตอง มะลิ ชายผ้าสีดา ปรง ลลี าวดี บวั กล้วย แหนแดง มะพร้ าว จอกหหู นู ชบา มอส เหด็ ผกั แวน่ ผกั ตบชวา มะละกอ เฟิร์น ข้าหลวงหลงั ลาย ผกั ตบชวา มะเขือเทศ เฟ่ืองฟา้ พืชดอก พืชไมม่ ีดอก ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………... ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………42
ใบกจิ กรรมที่ 3 หนว่ ยที่ 2 เรือ่ ง การจาแนกประเภทของ พชื ขัน้ ที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป คาช้แี จง ให้นักเรยี นสรปุ เรือ่ งพชื ดอกและพชื ไม่มดี อกเป็นแผนผังความคดิ และตกแตง่ ใหส้ วยงาม 43
ใบกิจกรรมที่ 4 หนว่ ยที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างของพืช ขั้นท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นสารวจพชื ภายในโรงเรียนโดยเลอื กพืชทส่ี นใจมา 1 ชนดิ ตอบคาถามลงในช่องวาง และวาดภาพประกอบพร้อมทั้งระบายสใี ให้สวยงาม ชื่อของพืชคอื ....................................................................................... ประเภทคือ......................................................................................... ลกั ษณะภายนอก................................................................................ .......................................................................................................... พบบริเวณใด....................................................................................... 44
ใบกิจกรรมที่ 5 หนว่ ยที่ 2 เร่อื ง การจาแนกประเภท ของพชื ข้ันท่ี 5 ข้ันประเมิน คาสงั่ ให้นกั เรียนโยงเสน้ คาตอบทีถ่ กู ต้อง มีการสบื พนั ธ์ุทงั้ แบบอาศยั เพศและไมอ่ าศยั เพศ พืชดอก สืบพนั ธ์ุโดยการสร้างหนอ่ เลก็ ๆ พืชไมม่ ีดอก ไมม่ ีผลและไมม่ ีเมลด็ พืชจาแนกได้ตามการเกิดได้ 2 ชนิด คือ ดอกเดยี่ ว ดอกช่อ จดั เป็นพชื ชนั้ สงู พบได้โดยทวั่ ไป ไผ่ วา่ น จอก แหน ตะไคร้ พืชที่มวี วิ ฒั นาการต่า พบได้น้อย ปรง แป๊ ะก๊วย หวายทะนอย หญ้าถอดปล้อง มีสว่ นประกอบตา่ งๆ ครบสมบรู ณ์ ไมม่ ีคลอโรฟิลล์ เป็นพืชท่ีไม่สามารถสร้าง อาหารได้เอง 8-10 ดมี าก 5-7 ดี น้อยกวา่ หรือเทา่ กบั 4 พอใช้ 45
แบบทดสอบหน่วยท่ี 2 เร่ือง การจาแยกประเภทของพชื คาช้ีแจง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบทีถ่ ูกตอ้ งทีส่ ดุ เพยี งข้อเดียว 1. พืชดอกมลี กั ษณะสาคญั อย่างไร จากภาพใชต้ อบคาถามข้อ 6-8 ก. มีรากฝอย ข. เส้นใบเปน็ ร่างแห 6. พืชในภาพอย่ใู นพชื กลมุ่ ใด ค. มดี อกใช้ในการสืบพนั ธุ์ ก. เฟริ ์น ง. กลบี ดอกแบง่ เปน็ ชุด ชุดละ 4-5 กลีบ ข. มอส ค. พชื มดี อก 2. ลักษณะสาคัญของพชื ไมม่ ดี อก คอื อะไร ง. พืชไม่มดี อก ก. มีระบบรากแกว้ ข. สืบพนั ธ์ุดว้ ยสปอร์ 7. ขอ้ ใดไม่ใช่ลกั ษณะของพชื ในภาพ ค. ลาตน้ เป็นข้อปล้องชัดเจน ก. ไมม่ ีดอก และเมล็ด ง. สร้างเมลด็ จากดอกทผี่ สมพนั ธุแ์ ลว้ ข. มีราก ลาตน้ และใบ ค. มีดอก และเมล็ด 3. ขอ้ ใดไมเ่ กี่ยวขอ้ งกับพชื ดอก ง. มกี ลบี ดอก ก. รังไข่ ข. สปอร์ 8. ขอ้ ใดคือการสืบพันธ์ุของพชื ในภาพ ค. เกสร ก. การแบ่งเซลล์ ง. ละอองเรณู ข. สปอร์ ค. เมล็ด 4. กลมุ่ ของพืชดอก คือข้อใด ง. การแตกหนอ่ ก. กุหลาบ เฟ่ืองฟ้า มะลิ ข. กุหลาบ มอส เฟริ น์ 9. พชื ชนิดใดมกี ารสืบพันธ์โุ ดยการแบ่งเซลล์ ค. มอส เฟริ น์ ผักกดู ก. ตะไคร้ ง. มอส มะลิ สน ข. ผกั ตบชวา ค. กาละเวก 5. กลุ่มของพชื ไมม่ ดี อก คือข้อใด ง. พับพงึ ก. ปรง ผักกูด จอก ข. เฟิรน์ ไผ่ ผักแว่น 10. พชื ในขอ้ ใดตา่ งจากพวก ค. มอส เฟิรน์ ผกั กดู ก. ฟักทอง ง. มอส สน ผักตบชวา ข. กหุ ลาบ ค. เห็ด 46 ง. คะน้า
หน่วยท่ี 3 เร่อื ง ปัจจัยในการดารงชวี ิต และการเจรญิ เตบิ โตของพชื 47
มาตรฐานการเรียนร้แู ละตวั ชวี้ ัด มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารผ่าน เซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางาน สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พันธ์ กนั รวมทง้ั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวดั ว 1.1 ป.2/1 ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้าเพ่ือการเจริญเติบโต โดยใช้ข้อมูลจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ ว 1.2 ป.2/2 ตระหนักถึงความจาเป็นที่พืชต้องการได้รับน้า และแสงเพื่อการเจริญเติบโต โดย ดูแลพชื ใหไ้ ด้รบั ส่งิ ดังกล่าวอยา่ งเหมาะสม 48
สาระสาคัญ พืชเป็นสิ่งมีชีวิต จึงต้องการปัจจัยในการดารงชีวิต พืชต้องการอาหาร น้า อากาศ แสงสวา่ ง และอุณหภมู ทิ ี่พอเหมาะ ในการดารงชีวิตและการเจรญิ เตบิ โต จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายได้ว่าอาหาร น้า แสงแดด ดิน และอุณหภูมิ เป็นปัจจัยที่จาเป็น ตอ่ การดารงชีวติ ของพืช และการเจริญเตบิ โตของพืช (K) 2. นกั เรยี นสามารถยกตัวอย่างปัจจยั ท่ีจาเป็นตอ่ การดารงชวี ติ ของพืชได้ (P) 3. นักเรยี นมคี วามสนใจในการเรยี นรู้ (A) 49
ใบความรู้ หน่วยท่ี 3 เรอื่ ง ปัจจัยในการดารงชวี ิต และการเจรญิ เติบโตของพืช พชื มกี ารเจริญเติบโต อย่างไร ? ขั้นที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ น้ามคี วามจาเปน็ ตอ่ การเจริญเตบิ โตของ อะไรเป็นปัจจัยท่จี าเป็นตอ่ การ พชื อยา่ งไร ? เจรญิ เตบิ โตของพชื ? ดนิ มคี วามจาเป็นต่อการเจรญิ เติบโต แสงแดดมีความจาเปน็ ตอ่ การ ของพืชอยา่ งไร ? เจรญิ เติบโตพชื อยา่ งไร ? อุณหภมู มิ คี วามจาเปน็ ตอ่ การ เจริญเตบิ โตของพชื อย่างไร ? 50
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144