(Â¸É Ó) (ª´ °¥µn ) ¦µ¥µ¨µ¦¦³Á¤· »¨´ ¬³°´¡¹ ¦³r (Â¸É Ó) ¦³´¦³¤«¹ ¬µ æÁ¦¥¸ .............................................................................................................. Á
/°ÎµÁ£° ................................................................................................................... ´ ®ª´ ........................................................................................... º°É ´Á¦¥¸ .................................................................................................................... Á¨
¦³µÎ ´ª ................................................................................. » ¨´¬³°´ ¡¹¦³r eµ¦«¹¬µ..... e µ¦«¹ ¬µ..... e µ¦«¹ ¬µ..... eµ¦«¹¬µ..... eµ¦«¹¬µ..... e µ¦«¹ ¬µ..... ¦» Ò. ¦´ µ· «µµ ¬´¦·¥r £µ Ò £µ Ó ¦» £µ Ò £µ Ó ¦» £µ Ò £µ Ó ¦» £µ Ò £µ Ó ¦» £µ Ò £µ Ó ¦» £µ Ò £µ Ó ¦» Ó. ɺ°´ ¥r »¦· Ô. ¤ª¸ · ¥´ Õ. Ä Ái ¦¸¥¦¼o Ö. °¥°¼n ¥nµ¡°Á¡¸¥ ×. ¤»n¤´É ĵ¦µÎ µ Ø. ¦´ ªµ¤Á}Å¥ Ù. ¤¸·µµ¦³ ¦» ¨µ¦´· »¨´ ¬³°´ ¡¹ ¦³¦r ³´¦³¤«¹¬µ Ñ Å¤nµn Ò µn Ó ¸ Ô ¸Á¥¥¸É ¤ »¨´¬³°´ ¡¹ ¦³r ɸ ª¦Å¦o ´ µ¦¡´µ ÒÙı ............................................................................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................................................................................................
๑๔๖ (แบบท่ี ๒) (ตัวอยาง) แบบรายงานผลการประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค ระดบั มัธยมศกึ ษา............ โรงเรยี น.................................................................................................................................................... เขต/อาํ เภอ .......................................................... จงั หวดั ....................................................................... ชอ่ื นกั เรียน ......................................................... เลขประจาํ ตัว ........................................................... คณุ ลักษณะอันพึงประสงค ปก ารศกึ ษา.... ปก ารศึกษา.... ปการศกึ ษา.... สรุป ๑. รักชาติ ศาสนา กษัตรยิ ภาค ๑ ภาค ๒ สรุป ภาค ๑ ภาค ๒ สรปุ ภาค ๑ ภาค ๒ สรุป ๒. ซอ่ื สตั ย สจุ ริต ๓. มีวนิ ยั ๔. ใฝเ รยี นรู ๕. อยูอยา งพอเพียง ๖. มุงมั่นในการทํางาน ๗. รักความเปนไทย ๘. มีจิตสาธารณะ สรุป ผลการตดั สนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคร ะดบั มธั ยมศกึ ษา ๐ ไมผ า น ๑ ผาน ๒ ดี ๓ ดีเยย่ี ม คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคท คี่ วรพฒั นา .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................
๑๔๗ (แบบที่ ๓.๑) แบบบันทึกการพฒั นาคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค ระดับประถมศึกษา ปก ารศกึ ษา ................. ถึง ปก ารศึกษา........................ ชื่อนักเรียน.........................................................ชั้น.................โรงเรยี น................................. คุณลักษณะอันพึง ระดับ ความกาวหนา การพฒั นาคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค สรุป ประสงค คุณภา ระดับคณุ ภาพ พ ๓ ( ) ดเี ยย่ี ม ๒ ( ) ดี ๑. รกั ชาติ ศาสน กษัตรยิ ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผาน ๓ ( ) ดีเยี่ยม ๒ ( ) ดี ๒. ซอื่ สตั ยสุจริต ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผ าน ๓ ( ) ดเี ยีย่ ม ๒ ( ) ดี ๓. มวี ินยั ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผา น ๓ ( ) ดีเยยี่ ม ๒ ( ) ดี ๔. ใฝเ รียนรู ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผาน ๓ ( ) ดเี ย่ียม ๒ ( ) ดี ๕. อยูอ ยางพอเพียง ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผ า น ๓ ( ) ดีเยี่ยม ๒ ( ) ดี ๖. มุงมั่นในการทํางาน ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผ า น ๓ ( ) ดีเยี่ยม ๒ ( ) ดี ๗. รักความเปน ไทย ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผ าน ๓ ( ) ดเี ยี่ยม ๒ ( ) ดี ๘. มจี ติ สาธารณะ ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผ าน ภาคเรียนท่ี ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑ ๒ ๑๒๑๒ สรุปผลการประเมนิ รายป ( ) ดเี ย่ยี ม ( ) ดเี ยย่ี ม ( ) ดีเยยี่ ม ( ) ดีเยยี่ ม ( ) ดี ( ) ดี ช้ันประถมศึกษาปท ี่ ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ผา น ( ) ผา น ( ) ผา น ( ) ผา น ( ) ผา น ( ) ผาน ( ) ไมผา น ( ) ไมผา น ( ) ไมผ า น ( ) ไมผาน ( ) ไม ( ) ไม ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ สรุปผลการประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค ระดับประถมศกึ ษา ( ) ไมผ าน ( ) ผาน ( ) ดี ( ) ดเี ยย่ี ม (ลงช่ือ) กรรมการผูประเมิน (.........................................................................)
๑๔๘ (แบบที่ ๓.๒) แบบบนั ทกึ การพัฒนาคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน ปก ารศึกษา........................... ถงึ ปก ารศึกษา........................... ชอ่ื นกั เรยี น......................................................................ช้ัน.................โรงเรยี น....................................................... ระดบั ความกาวหนาการพัฒนาคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค สรุป คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค คณุ ภาพ ระดบั คณุ ภาพ ๓ ( ) ดีเยี่ยม ๒ ( ) ดี ๑. รักชาติ ศาสน กษตั รยิ ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผา น ๓ ( ) ดเี ย่ยี ม ๒ ( ) ดี ๒. ซือ่ สตั ยสจุ ริต ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผ า น ๓ ( ) ดเี ยีย่ ม ๒ ( ) ดี ๓. มีวนิ ัย ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผาน ๓ ( ) ดเี ยย่ี ม ๒ ( ) ดี ๔. ใฝเ รียนรู ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผ าน ๓ ( ) ดเี ย่ยี ม ๒ ( ) ดี ๕. อยอู ยา งพอเพียง ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผา น ๓ ( ) ดเี ยย่ี ม ๒ ( ) ดี ๖. มงุ ม่นั ในการทํางาน ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผา น ๓ ( ) ดีเย่ยี ม ๒ ( ) ดี ๗. รกั ความเปน ไทย ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผ า น ๓ ( ) ดีเยี่ยม ๒ ( ) ดี ๘. มจี ติ สาธารณะ ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผ าน ภาคเรยี นท่ี ๑๒๑๒๑๒ สรุปผลการประเมนิ รายป ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี เยีย่ ม เยยี่ ม เย่ยี ม ( ) ไม ( ) ไม ( ) ไม () ผาน () ผา น () ผาน ผาน ผาน ผาน ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี ๑ มธั ยมศึกษาปท ่ี ๒ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ ๓ สรุปผลการประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค ระดับมัธยมศึกษาตอนตน ( ) ไมผ า น ( ) ผาน ( ) ดี ( ) ดเี ย่ยี ม (ลงช่ือ) กรรมการผูประเมิน (.....................................................................)
๑๔๙ (แบบที่ ๓.๓) แบบบนั ทึกการพฒั นาคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปการศกึ ษา......................... ถึง ปการศึกษา........................... ชอื่ นกั เรียน......................................................................ชั้น.................โรงเรยี น....................................................... ระดบั ความกาวหนา การพัฒนาคุณลกั ษณะอันพึงประสงค สรุป คุณลักษณะอนั พึงประสงค คุณภาพ ระดับ ๑. รักชาติ ศาสน กษัตริย ๓ ๒. ซอ่ื สัตยส ุจริต ๒ คณุ ภาพ ๓. มวี ินยั ๑ ๔. ใฝเ รียนรู ๐ ( ) ดีเยี่ยม ๕. อยูอยางพอเพยี ง ๓ ( ) ดี ๖. มงุ ม่ันในการทํางาน ๒ ( ) ผา น ๗. รักความปน ไทย ๑ ( ) ไมผ าน ๘. มีจติ สาธารณะ ๐ ๓ ( ) ดีเย่ยี ม ภาคเรยี นท่ี ๒ ( ) ดี ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผ าน ๓ ( ) ดเี ยี่ยม ๒ ( ) ดี ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผาน ๓ ( ) ดเี ยีย่ ม ๒ ( ) ดี ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผ า น ๓ ( ) ดีเยย่ี ม ๒ ( ) ดี ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผาน ๓ ( ) ดเี ย่ียม ๒ ( ) ดี ๑ ( ) ผาน ๐ ( ) ไมผา น ๓ ( ) ดเี ยี่ยม ๒ ( ) ดี ๑ ( ) ผา น ๐ ( ) ไมผา น ( ) ดีเยย่ี ม ( ) ดี ( ) ผา น ( ) ไมผ าน ๑๒ ๑๒ ๑๒ ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี ( ) ดี เยย่ี ม เยย่ี ม เย่ียม สรปุ ผลการประเมนิ รายป ( ) ( ) ไม ( ) ( ) ไม ( ) ( ) ไม ผาน ผาน ผาน ผาน ผา น ผา น ชั้น มัธยมศกึ ษาปท ่ี ๔ มัธยมศึกษาปท ี่ ๕ มัธยมศึกษาปท ี่ ๖ สรปุ ผลการประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน ( ) ไมผา น ( ) ผาน ( ) ดี ( ) ดเี ย่ยี ม (ลงช่อื ) กรรมการผูประเมิน (.....................................................................)
๑๕๐ แนวทางการบนั ทกึ ผลการประเมนิ จากตวั อยา งแบบรายงานผลการประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค (แบบท่ี ๒) มี วิธกี ารดาํ เนนิ การ ดงั นี้ ๑. นําผลการประเมินท่ีสรปุ จากคณะกรรมการประเมนิ มาบันทึกลงในแตล ะภาคเรยี น ของแตละปการศึกษา ๒. ในชอ งสรปุ ของแตละปก ารศึกษาใหน าํ ผลการประเมนิ ท่ีแสดงพัฒนาการสุดทา ย นนั่ คอื ผลจากภาคเรยี นท่ี ๒ บันทึกลงในชองสรุปในปก ารศึกษานนั้ ๆ ๓. เมื่อเสรจ็ ส้นิ การบันทกึ ในแตละปก ารศึกษา ใหนําผลในชองสรุปไปบนั ทกึ ลงใน แบบบันทึกการพัฒนาคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค ของแตล ะระดบั ชั้น คือ ระดับประถมศึกษา(แบบที่ ๓.๑) มัธยมศกึ ษาตอนตน (แบบที่ ๓.๒) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (แบบท่ี ๓.๓) ๔. การพจิ ารณาตดั สินผลการประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค ของแตละระดบั การศกึ ษา เชน ระดบั ประถมศกึ ษา ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย มแี นว ดําเนินการดังน้ี ๔.๑ คณะกรรมการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคพจิ ารณาผลการตดั สินใน แตล ะช้ันป ถา ผลการประเมนิ ในปส ุดทา ยไดร ะดบั ใดใหถ ือวาผูเรียนไดคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค ระดับนน้ั เชน เดก็ ชายดี มคี ุณธรรม ไดร บั การประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข องชั้นปท ี่ ๖ ได ระดับดีเยยี่ ม การสรปุ ผลในระดับประถมศกึ ษา คอื ไดร ะดับดีเยย่ี ม ๔.๒ ถามกี รณที ี่ผลการประเมนิ ในปกอ น ๆไดระดับดี หรือ ดเี ยย่ี ม แตป สุดทายของระดับการศกึ ษาไดระดบั ผา น ใหค ณะกรรมการประเมินคุณลกั ษณะใชด ลุ พินจิ อยา ง รอบคอบและเปน ไปตามสภาพจรงิ โดยนาํ ขอ มลู จากประวัติทผ่ี านมาประกอบการพจิ ารณาวาจะให ระดบั ใด ๕. นําผลการประเมนิ ปสดุ ทา ยของแตละระดบั ช้ันไปบนั ทกึ ลงใน ปพ.๑
๑๕๑ บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพช มุ นมุ สหกรณการเกษตรแหง ประเทศไทย จํากัด, ๒๕๕๑. กลมุ สง เสรมิ การเรียนการสอนและประเมนิ ผล. การประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค ตามหลกั สูตรการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพร ับสงสินคา และพสั ดภุ ณั ฑ( ร.ส.พ.). ๒๕๔๘. พศิ เพลนิ เขียวหวาน และคณะ. เอกสารประกอบการฝกอบรมหลกั สูตรการวัดประเมนิ ผล คุณธรรม จรยิ ธรรม ตาม พ.ร.บ. ๒๕๔๒. นนทบุรี : สํานักพิมพม หาวิทยาลยั สโู ขทัย ธรรมาธริ าช. ๒๕๔๖. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชาสถิติ วิจัยและการประเมินผลการศึกษา หนวยท่ี ๙-๑๕ สาขาวิชาศึกษาศาสตร. นนทบุรี: สํานักพิมพมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๕๒ ศนู ยสงเสริมและพฒั นาพลังแผน ดนิ เชงิ คณุ ธรรม (ศนู ยคณุ ธรรม). การสังเคราะหง านวจิ ัย เกย่ี วกบั คณุ ธรรมจรยิ ธรรมในประเทศและตางประเทศ. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั พรกิ หวาน กราฟฟค จํากัด, ๒๕๕๑. สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง ชาติ. พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแี่ กไ ขเพ่ิมเตมิ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕. กรงุ เทพมหานคร: สาํ นักนายกรฐั มนตรี. ๒๕๔๕. สาํ นักทะเบยี นและวัดผล มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. (๒๕๔๗). เอกสารอัดสําเนาประกอบ การฝก อบรมการวัดและประเมินผล คุณธรรม จริยธรรมและคา นิยม. นนทบุรี : ม.ป.ท. สาํ นกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (ราง)เอกสารประกอบหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ แนวปฏบิ ตั ิการวดั และประเมินผลการเรียนรู. กรงุ เทพมหานคร : สํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน, ๒๕๕๑.(อดั สําเนา) _____. การประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคต ามหลักสูตรการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๔. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพองคการรับสง สนิ คา และพสั ดภุ ณั ฑ (รสพ.), ๒๕๔๘. _____. เอกสารประกอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพชมุ นุมสหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จํากดั , ๒๕๕๑. _____.. แนวทางการประเมนิ คุณธรรมของผเู รยี น. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช มุ นุมสหกรณ การเกษตรแหงประเทศไทย จํากดั , ๒๕๕๑. หนวยศึกษานิเทศก กรมสามญั ศกึ ษา. เอกสารเสริมประสบการณว ิชาชีพครู การวดั คณุ ลกั ษณะ ดา นจิตพสิ ยั . ม.ป.ท., ๒๕๔๕.
๑๕๒
๑๕๓ ภาคผนวก
๑๕๔
๑๕๕ เคร่อื งมือวดั ดานจติ พสิ ยั เคร่ืองมือที่นํามาใชวัดความรูสึก หรือเคร่ืองมือวัดดานจิตพิสัย นิยมใชกันอยู ๓ แบบ คอื ๑ มาตรประเมนิ คา ๒ แบบสอบใชส ถานการณ ๓ แบบบันทึกการสงั เกต แตละแบบมีรายละเอียดดานลักษณะ การสรางและการตรวจสอบคุณภาพของ เครือ่ งมอื ดงั ตอ ไปน้ี ๑. มาตรประเมนิ คา (rating scale) ลักษณะของมาตรประเมินคา มาตรประเมินคาเปนเคร่ืองมืออยางหน่ึงที่นํามาใชในการวัดความรูสึก ไดอยางกวางขวาง โดยท่ัวๆ ไปแลวจะมีมาตรวัดท่ีนํามาใชกันมากอยู ๒ แบบ คือ แบบประเมิน เจตคติ และแบบประเมินคา ความหมาย แบบประเมินเจตคติ ใชวัดระดับความชอบ-ไมชอบ และเห็นดวย-ไมเห็นดวย โดยใชค าคะแนนแบบชัว่ คราว อาจกาํ หนดเปน ๕ , ๔ , ๓ , ๒ , ๑ หรอื ๔ , ๓ , ๒ , ๑ เชน ทานเหน็ ดว ยกบั คํากลา วตอ ไปน้ีมากนอยเพยี งใด คนซ่ือก็ถกู เขาเอาเปรียบตลอดเวลานนั่ แหละ ๕๔๓๒๑ หรือ ความขยันยอมนาํ มาซึ่งความสําเรจ็ เสมอ ๕๔๓๒๑ ตัวเลขที่นํามาใชน้ีเปนตัวเลขช่ัวคราวที่แทนระดับความเขมขนของความรูสึก ทิศทางก็เปนไปตามขอ กระทงท่ียกมา บางขออาจเปน ดี-ไมดี มีคุณคา-ไมมีคุณคา หรือเปนประโยชน-ไมเปนประโยชน ขึ้นอยูกับคํากลาวในขอกระทงน้ัน ๆ คานํ้าหนักตัวน้ีจะตองอธิบายใหชัดเจนวาจะหมายถึง เห็นดวย- ไมเหน็ ดว ย ซึง่ มีมาตรเปน เห็นดว ยอยา งยิ่ง = ๕ เห็นดวยมากทส่ี ดุ = ๕ เหน็ ดวย = ๔ เห็นดว ยมาก =๔ ไมแ นใ จ = ๓ เหน็ ดวยปานกลาง = ๓ ไมเ หน็ ดว ย = ๒ เหน็ ดวยนอ ย =๒ ไมเ ห็นดวยอยางยิง่ = ๑ เห็นดวยนอยท่ีสุด = ๑ หรืออาจเปน ชอบมากท่ีสุด ชอบมาก ชอบปานกลาง ชอบนอย ชอบนอยมาก ก็ได คาตัวเลข ช่ัวคราวนี้จึงตองมีการชแี้ จงกําหนดใหชดั เจน
๑๕๖ แบบประเมินคาความหมาย เปนแบบท่ีวัดไดละเอียดกวาแบบแรก มีองคประกอบ ท่ีจะประเมินไดหลายทิศทางตามที่ผูสอบวัดตองการ มุงวัดความรูสึกของบุคคลตอส่ิงหนึ่งสิ่งใด ในหลายๆ ดาน เชน การรักษาความสะอาด ยาก ๓๒๑๐๑๒๓ งาย เปนประโยชน ๓๒๑๐๑๒๓ ไมเปน ประโยชน นา เบือ่ ๓๒๑๐๑๒๓ สนุก ลักษณะของแบบประเมินคาความหมายน้ี ประกอบดวยความคิดรวบยอดที่ใชเปนเปารองรับวางไว ขางบน แลวมีมาตรท่ีประกอบไปดวยคําคุณศัพทในทิศทางตาง ๆ มาใหผูถูกประเมินตัดสินวา จะเปน ระดบั ใด มคี วามเขมขนมากนอย ไปในทิศทางใด คําคุณศัพทที่นํามาใชจัดเปน ๓ หมวดใหญ หมวดแรก ไดแก คําคุณศัพทที่เก่ียวกับ ศักยภาพหรือลักษณะของเร่ืองน้ันๆ เชน ยาก-งาย เปนระเบียบ-ไมเปนระเบียบ ซ่ึงเปนคําอธิบาย สภาพ หมวดที่สอง ไดแก คําคุณศัพทที่เกี่ยวกับคุณคา การประเมินคา เชน ดี-เลว เปนประโยชน- ไมเปนประโยชน มีคา-ไมมีคา ซ่ึงเปนการลงความเห็นเก่ียวกับคุณคา ราคาของส่ิงนั้นๆ หมวดที่สาม เปนคําอธิบายเก่ียวกับการกระทํา เชน ทําได-ทําไมได ทําแลวนาเบ่ือ นาสนุก ใชแรงมาก- ใชแรงนอย ซึ่งเปนการบงบอกถึงการลงมือทํา ถาจะพาดพิงกลับไปสู ๓ องคประกอบเดิม ก็คือ ชุดแรกเปนความรู ชุดท่ีสองเปนความรูสึก คุณคา ชุดท่ีสามเปนการกระทํา ซึ่งแบบวัดการประเมิน คาความหมายน้ี ก็จะวัดครอบคลุมถึง ๓ องคประกอบเลยทีเดียว แตเปนการวัดในลักษณะที่เปน ทางออม เพราะใชก ารแสดงออกทางวาจามใิ ชการลงมอื ทาํ อยา งแทจริง ขอ จาํ กัดของแบบสอบวดั โดยใชมาตรประเมินคา ขอจํากัดของแบบสอบวัดโดยใชมาตรประเมินคานี้อยูท่ีความตรงตอสภาพ เน่ืองจาก ผูถูกสอบวัดเปนผูบอกเลาเองวาเขาทําหรือไมทํา เขาชอบหรือไมชอบ เขาเห็นวายาก – งาย อยางไร ดังน้ันการตอบของเขาอาจจะไมตรงกับสภาพจริงท่ีเขาปฏิบัติ เชน ถาเราสํารวจพนักงานตอนรับ เขาอาจจะบอกวาเขาไมชอบรับ ไมยินดีรับคนไทย เพราะวาคนไทยสวนใหญจูจี้ ไมใหคาบริการ เพิ่มเติม เขาจึงไมอยากตอนรับคนไทย และอาจจะตอบวาเขาไมรับคนไทยเขาพักหรือเขารับบริการ เลยก็ได แตเมื่อคนไทยไปขอรับบริการ หรือขอเขาพักจริงๆ เขาก็ยังยินยอมบริการหรือใหเขาพัก แตเขาคงไมชอบใจนัก ดังน้ันการบอก การรายงานโดยคําพูดอาจไมตรงกับสภาพจริง ๆ ก็ได การใช แบบวัดชดุ นจี้ งึ ตองจํากดั อยูเ พียงความรูส ึกเทานน้ั ยังไมส ามารถสรุปไปสกู ารกระทาํ ทแี่ ทจ รงิ ได
๑๕๗ ตวั อยางแบบสอบวดั โดยใชม าตรประเมนิ คา ในระดับประถมศกึ ษา แบบสอบวัดทนี่ ํามาใชในโรงเรียน โดยเฉพาะชนั้ ประถมศึกษา ควรเปนแบบงา ย ๆ ใชร ปู ภาพมาก ๆ ไมค วรใชภาษา ซงึ่ จะขอเสนอเปนตัวอยา งดงั น้ี ๑. แบบวดั ความรสู ึกท่ีมีตอผกั หนา ไหนทต่ี รงกบั ความรสู ึกของนกั เรยี นทมี่ ีตอ ผกั มากทส่ี ดุ ๒. แบบวดั ความรสู กึ ที่มตี อการทาํ งาน ครู ขาว เขม ขาว ครสู ั่งใหขาวทาํ ความสะอาดสนามใหเ รยี บรอ ย ขณะท่ขี าวกําลังทาํ อยู เขมเดินผา นมา ถามวา “เปนอยางไรพวก” ใหน ักเรยี นเขยี นรปู ปากของขาว
๑๕๘ ๑. แบบวดั ความรสู กึ ตอ รฐั ธรรมนูญ ใหนักเรียนวงกลมรอบตัวเลขเพียงตัวเดียวในแตละขอที่ตรงกับความรูสึกของนักเรียนท่ีมีตอ รัฐธรรมนูญมากทสี่ ุด แขง็ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ออ น เปน ระเบยี บ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ยงุ เหยิง ราคาถกู ๑ ๒๓๔๕๖ ๗ ราคาแพง ๔. แบบประเมินเจตคติเกย่ี วกับวิทยาศาสตร คําช้ีแจง โปรดพิจารณาขอความขางลางนี้แลวตอบคําถาม โดยเขียนเคร่ืองหมาย 3ลงในชองท่ีตรงกับความเห็นของทานโปรดตอบโดยใชความรูสึกครั้งแรกท่ีทานรูสึกเมื่ออาน ขอ ความนน้ั เม่ือ ๕ หมายถึง เห็นดว ยอยา งมาก ๔ หมายถึง เหน็ ดว ย ๓ หมายถงึ เห็นดว ยปานกลาง ๒ หมายถึง ไมค อยเห็นดวย ๑ หมายถงึ ไมเ ห็นดว ยอยา งมาก ขอความ ๕๔๓๒ ๑ ๑. การคน พบทางวิทยาศาสตรชว ยใหป ระเทศไทยพฒั นาเปน ประเทศ อตุ สาหกรรมใหมไ ด ๒. สังคมไทยใหความสําคญั กับการเรียนทางสายวทิ ยาศาสตรม าก เกนิ ไป ๓. สงิ่ ประดษิ ฐท างวิทยาศาสตรใหโทษมากกวา คณุ ๔. ความกาวหนาของวิทยาศาสตรเ ปนความกา วหนาของมนษุ ยชาติ
๑๕๙ ๕. แบบประเมนิ คา ความรสู กึ ตอ พฤติกรรมของครู คําชี้แจง โปรดพิจารณาขอความขางลางนี้ แลวตอบโดยวงกลมรอบตัวเลขท่ีตรงกับ ความเหน็ ของทา นเกีย่ วกบั พฤติกรรมของครูมากท่สี ุด พฤติกรรมของครู ลาํ เอยี ง ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ ยตุ ธิ รรม อัตตาธิปไตย ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ ประชาธปิ ไตย เยน็ ชา ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ เปน มติ ร เขม งวด ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ ยืดหยุน ใจราย ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ เมตตากรุณา ใจแคบ ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ ใจกวา ง แปรปรวน ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ มนั่ คง เฉื่อยชา ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ กระฉับกระเฉง สบั สน ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ เปน ระบบ คิดตามแบบ ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ คดิ รเิ ริม่ อนั ตราย ๓ ๒ ๑ ๐ ๑ ๒ ๓ ปลอดภยั การสรางมาตรประเมนิ คา มาตรประเมินคาที่ไดนําเสนอไปแลว เปนรูปแบบที่ใชในการสรางเครื่องมือท่ีเปน มาตรฐาน ซ่ึงจะตองมีกระบวนการท่ีจะทําใหไดรูปแบบที่มีความคงที่สม่ําเสมอในการสอบวัด สําหรับวิธีสรางที่จะนําเสนอตอไปนี้ จะเปนวิธีที่ครูนํามาใชในหองเรียน ซึ่งมีความเปนมาตรฐาน นอ ยกวา แบบสอบวดั ท่ีใชม าตรประเมินคานี้ เปนมาตรวัดที่สรางข้ึนไดงายๆ โดยการนําเสนอ ส่ิงท่ีตองการจะใหนักเรียนแสดงความรูสึกมาเปนสิ่งเรา แบบที่งายท่ีสุด ไดแก การนําเอาเปาท่ีจะให นักเรียนแสดงความรูสึกมาเสนอ แลวใหนักเรียนแสดงความรูสึกออกมาวาชอบ – ไมชอบ หรือ เห็นดวย – ไมเห็นดวย วิธีการสรางก็เพียงแตนําเอาเปานี้มาตั้งเปนตัวขอสอบ แลวนํามาตรจัดอันดับ มาใหนกั เรียนเลือกตอบ เชน นักเรียนมีความรูสกึ อยา งไรตอ ภาพทเ่ี ห็นตอ ไปน้ี
๑๖๐ เม่ือตองการสอบวัดในเร่ืองอ่ืน ๆ ก็เปล่ียนภาพที่เปนตัวเราไปตามสิ่งท่ีตองการจะวัด เชน ผูสอน หรือวิชาตาง ๆ หรือวัสดุ ส่ิงของตาง ๆ ท่ีเก่ียวกับเรื่องที่จะสอบวัด หรือภาพของ การกระทําที่ตองการจะสอบวัด ในการเลือกส่ิงเราน้ัน ถาเปนวิชาก็ใชรูปหนังสือแสดงวิชาน้ันๆ ตัวครูก็ทําเปนภาพครู หลักการสําคัญในการเลือกเปาก็คือ เปา จะตองเปนตัวแทนของเรื่อง หรือ ส่ิงท่ีเราจะใหนักเรียนแสดงความรูสึกออกมา เชน ถาเปนเรื่องการเรียน ก็เปนรูปนักเรียนกําลังอาน หนังสือ นักเรียนกําลังเลน นักเรียนกําลังลงมือทดลอง เพื่อจะดูวานักเรียนชอบกิจกรรมแบบไหน มากกวากัน ถาเปนเรื่องจริยธรรม คานิยม ก็เปนสัญลักษณเก่ียวกับคานิยมนั้นๆ บุคคลท่ีมีคานิยม นั้นๆ การกระทําเก่ียวกับการปฏิบัติคานิยมนั้น ๆ หรือคํากลาวท่ีเกี่ยวกับคานิยมนั้น ๆ ดังตัวอยาง ตอ ไปน้ี ในการสรางมาตรวัดความรูสึกแบบจัดอันดับนี้ ในบางคร้ังเราไมสามารถจะใชภาพ ได จึงเปล่ียนมาเปนคํากลาวตาง ๆ ท่ีดีหรือไมดีตอเรื่องท่ีเราจะสอบวัด เชน การเรียน อาชีพครู วิชาที่เรียน หรือคานิยม จริยธรรม ผูเรียนตองแสดงออกในลักษณะเห็นดวยหรือไมเห็นดวยตอ คํากลา วเหลา นนั้ เชน { เห็นดว ยอยางยิ่ง { เห็นดว ย ปาไมเ ปนทรพั ยากรทมี่ คี า มาก { เฉยๆ { ไมเ หน็ ดว ย
๑๖๑ { ไมเ หน็ ดว ยอยา งยิง่ ลักษณะคําตอบอาจเปลี่ยนเปน เห็นดวยมากที่สุด จนถึงเห็นดวยนอยที่สุดก็ได หรือ จะใชมาตรเปนตัวเลข เชน ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ โดยกําหนดให ๕ เปนเห็นดวยอยางย่ิง หรือเห็นดวย มากทส่ี ุด ลดหล่ันไปตามลําดบั ในการสอบวดั โดยใชมาตรท่ีเปน คํากลาวเหลาน้ี นิยมใชมากในการสอบวัดเจตคติตอ ส่ิงใดสิง่ หนึ่ง ซ่ึงมีขัน้ ตอนการสรา งดงั น้ี ๑. รวบรวมคํากลาวท้ังในสวนท่ีดีหรือไมดีตอเร่ืองท่ีจะสอบวัด คานิยม จริยธรรม ท่ตี อ งการจะวัดใหม าก ๆ ประมาณ ๕๐ - ๖๐ คํากลาว ๒. นําคํากลาวเหลาน้ันมาเรียบเรียงคัดเลือกใหมีทั้งคํากลาวที่ดี และไมดีตอส่ิงที่เรา จะใหน ักเรยี นแสดงเจตคติตอสิ่งน้ัน และใหมีระดับดีมาก ๆ ดีนอย ๆ ไมดีมาก ๆ ไมดีนอย ๆ กระจาย ไปใหทวั่ ถึง ๓. กระจายลักษณะที่ดีหรือไมดีตอสิ่งน้ันๆ ใหครอบคลุมลักษณะท่ัวไป การลงมือทํา และคณุ คาของเรือ่ งน้ันๆ ในการสอบวัดครั้งหน่ึงๆ จะตองมีท้ังในดานลักษณะ การกระทํา และคุณคา อยใู นมาตรวัดนั้นๆ เสมอ ๔. นําไปทดลองใชกบั กลุมนกั เรียนในระดับเดยี วกัน หรือระดบั ใกลเคยี งกบั นักเรียน ของเรา เพื่อดูลักษณะการกระจาย การตอบจะตองมีการกระจายความคิดเห็นมาก ๆ ไมใชขอน้ีทุกคน เหน็ ดว ยกค็ งไมม ปี ระโยชนในการวัด ๕. นําคํากลาวเหลานั้นมารวบรวมเปนฉบับ ซึ่งอาจประกอบดวยคํากลาวประมาณ ๗ - ๑๑ คํากลาว เพ่ือสอบวัดเจตคติของนักเรียน เชน แบบวัดเจตคติตอการทํางานรวมทํากัน อาจมี รปู แบบดงั นี้ คํากลา ว เห็นดวยอยางยิ่ง เห็นดวย ๑. การทาํ งานรว มกันเปน เรอ่ื งยาก เฉยๆ ๒. การทํางานรว มกนั ตอ งใชเวลามาก ไมเห็นดวย ๓. การทํางานรว มกันทําใหเราไดเ รยี นรูรอบดาน ๔. การทํางานรว มกันใชไ ดใ นทุกงาน ไมเห็นดวยอยาง ๕. การทํางานรว มกนั มีความจําเปน นอ ย ยิ่ง ๖. การทํางานรวมกนั เปน พน้ื ฐานของความเจรญิ ๗. การทํางานรว มกนั มีขั้นตอนชดั เจนปฏบิ ัตไิ ด ๕๔๓๒๑ ๕๔๓๒๑ ๕๔๓๒๑ ๕๔๓๒๑ ๕๔๓๒๑ ๕๔๓๒๑ ๕๔๓๒๑
๑๖๒ ๕๔๓๒๑ ๘. การทํางานรวมกนั ไมเ ปน เรอ่ื งนา เบื่อหนา ย การนําคะแนนผลการตรวจสอบดวยมาตรประเมินคาไปใชนั้น ก็นําเอาคะแนนของ แตละขอท่ีเปนเปนคําตอบของนักเรียนมารวมกันก็จะไดคะแนนเต็ม การรวมเพื่อหาคะแนนเต็มนี้ มีขอควรระวังอยู ๒ ประการ คือ ประการแรก ขอคําถามท่ีเปนไปในทางลบก็ตองนํามากลับทิศทาง เสียกอน ทุกๆ ขอ จะตองมีคะแนนเปนทิศทางเดียวกัน คือ ถามีเจตคติที่ดีมากก็ไดคะแนนมาก แตถามีเจตคติท่ีดีนอยหรือเปนลบก็ตองไดคะแนนนอย ประการที่สอง คํากลาวเหลานั้นจะตอง เปนเร่ืองเดียวกัน ถาคํากลาวน้ีมีความหลากหลายมากแลว จะทําใหคุณคาของเคร่ืองมือวัดเหลาน้ี ดอ ยลงไปดว ย ตารางที่ ๓ พฤติกรรมทีส่ ะทอนใหเหน็ ถึงเจตคติของนกั เรยี นตอการเรียน พฤติกรรมทางบวก พฤตกิ รรมทางลบ ๑. แสดงความสนใจในหวั ขอท่ีกําลงั ศกึ ษาอยู ๑. แสดงความเบือ่ หนายในหวั ขอ ทีก่ าํ ลงั ศึกษาอยู ๒. แสดงความอยากรูอ ยากเหน็ โดยการถาม ๒. ปฏเิ สธหรอื ไมยอมรับแนวความคดิ ทถี่ กู คาํ ถามหรือหาขอ มลู เพ่มิ เตมิ เสนอมา และไมแ สวงหาขอมลู เพม่ิ เตมิ ๓. แสดงความเชือ่ มัน่ ในตนเองทจี่ ะเรยี นรู ๓. ขาดความเช่อื มั่นในความสามารถของตนเอง เร่อื งราวใหมห รอื ทกั ษะใหม มคี วามกระตือรือรน หรือจะเรยี นรสู ิ่งใหมๆ ที่จะเรยี นรสู ่งิ ใหมๆ ๑. มาตรประเมินเจตคตติ อการเรยี น อาจมีลกั ษณะดงั น้ี ชอ่ื นักเรยี น............................................................วนั ที่ประเมนิ ........................................................ ผูประเมนิ .............................................................. คะแนนเต็ม ๑๘ คะแนน คะแนนท่ไี ด.................... พฤติกรรม คาน้าํ หนกั ๑. ความสนใจ ๑ ๒๓ ๒. ความอยากรู เบ่อื หนา ยหรอื ไมสนใจ หนั เหความสนใจ สนใจหรอื เอาใจใส อยากเหน็ ๓. ความเชื่อมัน่ ไปสสู ่งิ อืน่ ไดง า ย ๔. ความเปน ตวั ของ ไมหาขอมลู เพม่ิ เติม ถามคําถามบางประเดน็ คนควา หาแหลง ขอ มลู ในบางโอกาส เพิ่มเติม ขาดความพยายาม ทําอยา งขอไปที กระตอื รอื รนท่จี ะ พยายามทาํ ใหส ําเรจ็ ตองการกาํ ลังใจหรอื หยุดทําเม่ือไมม กี าร มีการเตรยี มพรอ มและ
๑๖๓ ตัวเองหรอื ความอสิ ระ การกระตุน ควบคมุ สามารถทําอยา งอิสระ ๕. ความมานะ ทอแทและ พากเพยี ร หยดุ การกระทาํ บอ ย ๆ ทอ แทและหยดุ การ ทํางานอยา งสมา่ํ เสมอ ๖. การยอมรบั คํา เพกิ เฉยตอคาํ วจิ ารณ วจิ ารณแ ละ และขอเสนอแนะ กระทําในบางโอกาส และไดผลงานสมบูรณ ขอเสนอแนะ และไมย อมแกไ ขงาน เสนอการโตแ ยงคํา คน หาจดุ เดน จดุ ดอ ย วจิ ารณ และขอเสนอแนะ เพือ่ แกไ ขและปรับปรุง ในบางโอกาสและ งานใหด ีย่งิ ข้ึน ยอมแกไ ขงาน ในบางคร้ัง แบบประเมินเจตคติตอการเรียนนี้ ครูจะเปนผูใชดวยการสังเกตพฤติกรรมของ นักเรียนเปนรายบุคคล ผลการสังเกตจะมีความเท่ียงข้ึนอยูกับคําอธิบายพฤติกรรมท่ีเปนเปารองรับ ในแตละคาน้ําหนักไดช ดั เจนเพียงไร ๒. แบบประเมินเจตคติตอการมีระเบียบวินัย นักเรียนจะเปนผูใชโดยการตอบ อาจดว ยวธิ ีกากบาททบั รปู ท่ตี รงกบั ความคดิ เห็นของนกั เรยี นมากที่สุด ดังตวั อยา ง
๑๖๔ อาจเสนอผลสรุปการสงั เกตในรูปแผนภมู แิ ทง เชน สมมตวิ า ผลสรปุ การสงั เกต พฤติกรรมดานความสนใจตอการเรยี น เปนดงั น้ี จาํ นวนคน ในแตละคานํา้ หนกั คา น้าํ หนกั พฤตกิ รรมความสนใจ แสดงวา นักเรียนสวนใหญมีทัศนคติที่ไมพึงประสงคตอการเรียน คือ ขาดความ สนใจและขาดสมาธิในการเรยี นรู ครูตอ งหาทางแกไข โดยคน หาสาเหตแุ ละทางเลอื กในการแกป ญ หา ทเ่ี หมาะสมตอ ไป การตรวจสอบคุณภาพของมาตรประเมนิ คา คุณภาพของมาตรประเมนิ คา ขึ้นอยกู ับความตรงและความเที่ยงเชนเดียวกับเครื่องมือ สอบวัดแบบอ่ืนโดยท่ัวไป การตรวจสอบท่ีจะนําเสนอตอไปน้ี เปนแบบท่ีจัดทําขึ้นไดงาย ๆ ไมจําเปนตองใชกระบวนการทางสถิติมากนัก อยางไรก็ตาม การคํานวณโดยวิธีการทางสถิติก็ยอม ใหคาทแ่ี นน อนเชือ่ ถือได ความตรงของมาตรประเมินคา การตรวจสอบความตรงจดั ทาํ ไดใน ๒ ลักษณะ ลักษณะแรก ไดแก การตรวจดูภาพที่จะนํามาใชเปนเปา หรือคํากลาวที่จะนํามาใช เปนเปา ใหตรวจสอบดูวา เปาเหลาน้ันเก่ียวของกับส่ิงที่เราจะวัดมากเพียงใด เชน เปาท่ีใชในการ ทดสอบน้ีเปน บุคคล หรอื การกระทําหรอื สัญลักษณของเรอ่ื งทีจ่ ะสอบวดั จริงๆ ดังตวั อยา ง คนซ่อื สัตย ใชเ ปนเปาในการแสดงความรูสึกของบุคคลทมี่ ตี อความ ความซ่ือสตั ย ซื่อสตั ย หรอื คา นยิ มของบคุ คลท่มี ตี อความซ่ือสัตย การไมพ ูดปด สัญญา ลกั ษณะทสี่ อง ไดแก การดูคุณศัพทท ใี่ ชในมาตรวัดวา คณุ ศพั ทเ หลา น้ันเปนลักษณะ ใดลักษณะหน่ึงในดานศักยภาพ การกระทํา และการประเมินหรือไม ถาคําศัพทเหลาน้ันไมชี้บง
๑๖๕ ความรูสึก : ชอบ-ไมชอบ ความดีงาม : มีคา-ไมมีคา การกระทํา : ทําไดงาย-ทําไดยาก โครงสราง ของลกั ษณะทีว่ ดั ก็ยอมมิใชความรสู ึกหรอื องคประกอบใดองคป ระกอบหนง่ึ ของความรสู กึ เหลา น้นั ในการตรวจสอบความตรงน้ี ในบางคร้ังเราไมสามารถตัดสินเองได นักทดสอบ จงึ นิยมใชค วามคดิ เห็นของผูทรงคณุ วุฒิ เพอื่ ดวู าความคิดเห็นของผทู รงคณุ วฒุ ติ รงกันหรือไม โดยอาจ สอบถามความคิดเห็นของผูทรงคุณวุฒิวา ๑. ขอ กระทงหรือรปู ภาพท่ีนํามาใชเปน คาํ ถามทเ่ี กีย่ วกับคานิยม คุณธรรม จริยธรรม นน้ั ๆ หรอื ไม ๒. คําคุณศัพทที่อยูในขอคําถามน้ัน เปนตัวแทนความรูสึกของบุคคลที่แสดงตอ ส่ิงนนั้ ๆ ไดหรอื ไม ผลการตรวจสอบนี้จะตองไดคาอยางนอยรอยละ ๘๐ ของผูตอบวาใชไดจริง จงึ จะเช่ือไดวา ขอกระทงน้ันๆ มคี วามตรงตามความคดิ เห็นของผเู ช่ียวชาญหรอื ผูทรงคณุ วุฒไิ ดจริง ความเที่ยงของมาตรประเมนิ คา การตรวจสอบคาความเทย่ี งนน้ั ก็ตรวจสอบได ๒ ประการเชน เดยี วกัน ประการแรก ตรวจสอบการกระจายของการตอบของนักเรียน เมื่อนําขอทดสอบ ดังกลาวไปทดสอบกับนักเรียนแลวนักเรียนจะตองมีการตอบท่ีหลากหลาย ไมเปนคําตอบเดียวหรือ ๒ คําตอบเทาน้ัน ตวั อยางเชน หนาไหนตรงกับความรูสึกของนกั เรียนทมี่ ีตอ ผกั มากทส่ี ุด จาํ นวนนกั เรียนท่ีตอบควรมกี ารกระจายเปน รปู ดงั นี้ รอยละของจํานวนผตู อบ 1 23 คาํ ตอบท่ี
๑๖๖ เมื่อกําหนดใหแกนนอนเปนหนวยของภาพคําตอบภาพท่ี ๑ , ๒ และ ๓ และให แกนต้ังเปนจํานวนผูตอบ ถาจะคิดเปนรอยละก็ได หรือถามีจํานวนนอย ๆ ก็ไมจําเปนตองแปลงเปน รอยละ ภาพการตอบควรจะเปนรปู ที่มกี ารกระจาย มีผูตอบอยูในทุก ๆ ภาพ มากบางนอยบาง แทงสูง อาจจะอยูท่ีภาพที่ ๑ หรือ ๓ ก็ได อยางนอยที่สุดจะตองมีผูตอบใน ๒ ภาพ ไมควรมีการตอบ ภาพเดียวเปนคําตอบเดียวเหมือนกันหมด ย่ิงมีหลายๆ คําตอบ ตอบกันหลายๆ ภาพย่ิงดี ในกรณีที่มี ๕ ตัวเลือก ถือวาถามีผูตอบอยางนอย ๓ คําตอบก็ใชได แตถาตอบเพียง ๒ ตัวเลือกก็ถือวานอยไป ในตัวอยางน้ีถามีผูตอบเพียงตัวเลือกเดียวก็ใชไมได ถือวาขอสอบขอน้ีไมสามารถจําแนกความรูสึก ของบุคคลได จงึ ไมเหมาะทจี่ ะนาํ มาเปนเครือ่ งมอื สอบวดั การตรวจสอบประการที่สอง ไดแก การตรวจสอบดูวาขอกระทงท้ังชุดวัดในเรื่อง เดียวกัน ส่ิงเดียวกัน เปนเปาเดียวกัน เชน เราจะวัดอาชีพครู คํากลาวก็ควรเปนความรูสึกท่ีแสดงตอ อาชีพครูทั้งหมด หรือความขยัน คํากลาวหรือรูปภาพก็ตองแสดงเปนเร่ืองของความขยันทั้งหมด ถาเปาน้ีเปลี่ยนแปลงไปเร่ือยๆ แลว ก็จะทําใหขอกระทงไมเปนอันเดียวกัน ทําใหคะแนนที่นํามา รวมกันมีความหมายหลากหลายไมเปนทิศทางเดียว การพิสูจนความเปนอันเดียวกันนี้ทางสถิติจะใช คาสหสัมพันธ คํานวณคาสหสัมพันธระหวางขอ คาความสัมพันธน้ีตองเปนบวกหมด ถาขอใดเปน ลบก็ใหตัดขอนั้นทิ้งเสีย สําหรับผูที่มิไดมีความชํานาญในทางสถิติก็เพียงแตนําเอาจํานวนคําตอบ ของ ๒ ขอ มาวาดภาพรว มกนั จัดทําภาพ ๓ มิติของการตอบของขอกระทง ๒ ขอ ใชภาพท่ีทําไวเดิมในการ ตรวจสอบการกระจายนํามาประกอบกันเปนภาพที่มุมหอง ภาพหน่ึงเปนแนวต้ังขางฝาและอีกภาพ หนึ่งเปนแนวนอนที่พ้ืน ก็จะไดภาพท่ีฝาและพ้ืนเปนเงา ถาภาพที่ฝาและเงาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทาง เดียวกัน ข้ึนพรอมกัน ลงพรอมกัน ก็แสดงวามีคาสหสัมพันธเปนบวก แตถาสลับกัน ภาพที่ฝาข้ึน แตภาพท่ีพ้ืนที่เปนเงาลดลง ก็แสดงวาสหสัมพันธเปนลบ ถาข้ึนบางลงบางไมแนนอน ก็ถือวา สหสัมพันธเปนศูนย ถาเราลองศึกษารูปแบบตาง ๆ ดูแลว ก็จะพบลักษณะความสัมพันธแบบตาง ๆ เชน ขอที่ 2 จาํ นวนผูตอบ ขอท่ี 1 จํานวนผูตอบ คําตอบที่
๑๖๗ ภาพท่ี สหสัมพันธร ะหวางการตอบขอ ๑ และ ขอ ๒ เปนคาบวก ภาพท่ี สหสมั พนั ธระหวา งการตอบขอ ๑ และ ขอ ๒ เขา ใกลศ นู ย ขอท่ี 1 จาํ นวนผตู อบ คําตอบท่ี ภาพที่ สหสมั พันธร ะหวางการตอบขอ ๑ และขอ ๒ เปน ลบ นําขอมูลท่ีไดจากการตอบของนักเรียนมาแสดงโดยภาพ ก็จะพบความสัมพันธ แบบตาง ๆ และเลือกเอาแตขอที่มีสหสัมพันธทางบวกกับขออ่ืนๆ เทาน้ัน ผูท่ีมีความชํานาญในเร่ือง การคํานวณหาสหสัมพันธ หรือใชเคร่ืองคํานวณ ก็สามารถใชคาสถิติเหลาน้ีมาคัดเลือกขอกระทง ท่มี ีทิศทางไปในทางเดียวกัน
๑๖๘ สมมติวานําแบบประเมินไปสอบวัดกับนักเรียนในชั้น ๓๐ คน มีจํานวนผูตอบคําถาม แตละขอ ดังนี้ ภาพที่ ระดบั ความคดิ เห็น ๑ ๕ ๔๓๒ คาํ ถามขอที่ ๑ ๒ ๘ ๑๐ ๖ ๔ ๒ ๑๒ ๑๐ ๕ ๒ ๑ ๓ ๙ ๑๐ ๘ ๒ ๑ ๔ ๘ ๑๐ ๖ ๔ ๒ จะสรางแผนภูมิแทงของผลการตอบระหวางขอ ๑ กับ ๒ ขอ ๒ กับ ๓ ขอ ๓ กับ ๔ ขอ ๑ กับ ๓ ขอ ๑ กับ ๔ และขอ ๒ กบั ๔ ดงั แสดงตัวอยางแผนภูมิแทงของผลการตอบระหวางขอ ๓ กับ ๔ ดังนี้ จากภาพแสดงวา การตอบขอ ๓ กบั ๔ มีความสมั พันธท างบวกตอกนั
๑๖๙ ๒. แบบทดสอบใชส ถานการณ (situational test) ลกั ษณะของแบบทดสอบใชสถานการณ แบบทดสอบใชสถานการณเปนการนําเอาเร่ืองราวมาเสนอ เร่ืองราวตาง ๆ เหลาน้ีจะเปนปญหาทางจริยธรรมหรือคุณธรรม แลวใหผูตอบแสดงความรูสึกตอเร่ืองราวน้ัน ๆ โดย สวนใหญแลวเปนการนําเอาเร่ืองมาเปนเง่ือนไขในการสะทอนภาพความรูสึกตาง ๆ เอาภาพเอาเร่ือง มากระตุนใหผูตอบแสดงความรูสึกตาง ๆ ออกมา อยางไรก็ตามขอจํากัดของขอทดสอบแบบน้ีก็ เหมือนกับขอจํากัดของขอทดสอบโดยท่ัวๆไป ก็คือ ผูตอบอาจคิดอยางหน่ึงและตอบออกมาอีกอยาง หนงึ่ กไ็ ด เพอื่ ที่จะไมใหเ กิดเง่อื นไขเหลา น้ขี ้ึน การทดสอบโดยใชส ถานการณจ ําเปนตองมีคําอธิบายท่ี เนนย้ําวา การทดสอบแบบน้ีจะไมมีคําตอบถูกคําตอบผิด เพียงแตเราตองการจะวัดวาผูตอบมี ความชอบไมชอบในเร่ืองใด ซ่ึงถือวามิใชสิ่งท่ีผิดหรือถูก และนอกจากนี้การใชภาพก็จะชวยใหเกิด การสอบวดั ที่ตรงประเด็นมากยงิ่ ข้ึน แบบสอบใชสถานการณท่ีใชอยูในการสอบวัดดานสติปญญาหรือวัดผลสัมฤทธ์ิ ประกอบดวย เร่ืองราว ประเด็นปญหาแลวใหผูเรียนแกปญหานั้นๆ ในการสอบวัดทางคานิยมและ จรยิ ธรรมทเ่ี ปน สวนสติปญ ญา อันไดแก เหตผุ ล เชิงจริยธรรม ก็มีการนําเอาวิธนี มี้ าใชม าก เชน ขาวเปนฆาตรกรทดี่ รุ า ยมาก วันหน่งึ ไปยงิ นายกรฐั มนตรีตาย ดําเปนฆาตรกรทดี่ ุรา ยเชนกัน วนั หน่งึ ก็ไปยงิ ผนู าํ ชาวนาตาย ถาทานเปน ผูพ พิ ากษาทา นจะลงโทษใครมากกวากนั เพราะเหตุใด การสอบวัดดังกลาวนี้ก็ใชสถานการณมาสอบวัด การตัดสินคําตอบก็ใชหลัก ทฤษฎีเหตุผลเชิงจริยธรรมวาเขาใชเหตุผลเชนใด ทําเพื่อใคร เขาใหความสําคัญกับผูใด ถาเขา ตัดสินใจ โดยใชเหตุผลท่ีเปนประโยชนตอตนเอง ก็ถือวามีเหตุผลเชิงจริยธรรมอยูในระดับตํ่า ถาเปน เหตุผล ท่ีเปนประโยชนตอหมูคณะในวงแคบ ก็สูงข้ึนมาเปนระดับ ๒ สวนเหตุผลท่ีสูงท่ีสุดไดแก การกระทํามุงประโยชนใหแกสังคมโดยสวนรวม ไมคํานึงถึงบุคคล ถือวาบุคคลทุกคนสําคัญ เทา กันหมด กถ็ อื วาเปนเหตผุ ลที่สูงท่ีสุด คะแนนก็ใหไปตามระดับดงั กลา ว โครงสรางของแบบสอบใชสถานการณจึงประกอบไปดวยเรื่องราวนําท่ีจะเสนอ ปญหา เสนอขอวินิจฉัยตาง ๆ แลวใหผูตอบตอบตามระดับขั้นของคุณคาของคําตอบตามลักษณะ พื้นฐานที่กําหนด ขอสอบแบบใชสถานการณท่ีนํามาใชสอบวัดความรูสึกก็ใชหลักการเดียวกัน คือ มีขอกระทงเปนเรื่องราว ชี้นําใหผูตอบไดแสดงความรูสึกตอเรื่องราวหรือบุคคลหรือสัญลักษณตาง ๆ เหลาน้ัน เร่ืองราวเหลาน้ันก็คือการนําเสนอเปาที่จะใหบุคคลแสดงความรูสึกออกมานั่นเอง แลวก็ให ผูตอบแสดงความรูสึก อาจใชการใหนักเรียนพูดหรือเขียนออกมา หรือเลือกตอบตามตัวเลือก ที่กาํ หนดให ตัวเลอื กเหลานี้จะตองสะทอนใหเห็นถึงความรูสึกดวยทฤษฎีใดทฤษฎีหน่ึงที่เปนพ้ืนฐาน ของการจัดระดับความรูสึกของบุคคล การใชขอทดสอบแบบสถานการณเหลาน้ี จะตองมีคําช้ีแจง ท่ีชัดเจนวา คําตอบเหลานี้ไมมีถูกไมมีผิด ความรูสึกไมใชสิ่งที่บอกไดวาถูกหรือผิด และคําตอบ ท่อี อกมาจะใหตามระดับความเขมขน ของความรูสึกของบุคคลท่ีแสดงตอเรื่องราวนั้นๆ เร่ืองราวหรือ สถานการณต าง ๆที่เปน เปา จะตอ งเปนปญ หา เปน เง่ือนไข ทีเ่ ก่ยี วกบั เร่อื งทจี่ ะสอบวดั นัน้ ๆ
๑๗๐ โปรดศกึ ษาตวั อยางของแบบสอบวดั ความรสู กึ ท่ีใชส ถานการณดังตอ ไปนี้ ทานชอบคาํ ตอบของทิดแบนขอไหนมากที่สุด ก. เราคงตองทํางานหนกั ขนึ้ ซนิ ะ ข. จริงหรอื กาํ ลังจะหมดไปแลวหรือ ค. ง้ันเราไปกรงุ เทพฯ กันเถอะ ง. เราคงตองทาํ อะไรใหม ีผลถาวรเสียแลว แบบทดสอบขอน้ีมุงวัดความรักในทองถ่ินของตนโดยใชเร่ืองราวสถานการณหรือ ปญหาท่ีเกิดขึ้นในชุมชน แลวใหบุคคลแสดงความรูสึกตอปญหาน้ัน ๆ ถาหนีปญหาแสดงวาไมยอม เขาชวยชุมชน มีความรักในชุมชนนอยมาก ตอบขอ ค. ได ๑ ถาเพียงรับรูปญหา ก็เปนความรูสึก ที่ยังต่ําอยู ตอบขอ ข. ได ๒ ถาแสดงความตั้งใจในการแกปญหา ตอบขอ ก. ไ ด ๓ คะแนน และ ถาตอบขอ ง. แสดงวาตั้งใจทําใหมีผลงาน แสดงถึงความเขมขนในความรักทองถิ่นมากท่ีสุดก็ได ๔ คะแนน โปรดอยาลืมวาคะแนนเหลานี้เปนระดับความเขมขนเทานั้น คาของคะแนนแทนระดับ ความเขมขนแบบจดั อนั ดบั ยงั ไมเ ปนคะแนนทม่ี ีชวงแนนอนเปนหนวยมาตรฐาน เหมือนการใชตาช่ัง หรอื ไมบ รรทัด
๑๗๑ คําถามขอ ๑ ถาทา นเปนครสู ายันตทานจะตอบวาอยางไร ก. ปลูกแอปเปลซดิ ีนะ (การตอบสนอง) ข. เขาเสนอใหป ลกู อะไรละ (การรับ) ค. ผมวาตอ งลองดูนะ (การเห็นคุณคา ) ง. ม่ันใจวา ตองดกี วาเดิมแน (การมรี ะบบ) คาํ ถามขอ ๒ ทานช่ืนชอบตอ คําตอบของคณุ ยายขอใดมากที่สดุ ก. ฉนั กเ็ ห็นมามากมายเหมอื นกัน (มีความรูสึกทีด่ ีตอ ความซอ่ื สตั ยในระดับ ๒) ข. ไมจ รงิ เสมอไปหรอก (มคี วามรูส ึกทีด่ ตี อ ความซอ่ื สัตยใ นระดบั ๓) ค. ฉันก็วาอยางนั้นแหละ (มีความรสู กึ ทด่ี ีตอ ความซอื่ สตั ยใ นระดบั ๑) ง. ก็ดีกวาเปนอยา งอืน่ ละ (มคี วามรูสกึ ทีด่ ีตอ ความซอ่ื สัตยใ นระดบั ๔)
๑๗๒ การสรางแบบสอบใชสถานการณ ขอควรระวังในการสรางแบบสอบใชสถานการณ ไดแก การกําหนดเร่ืองท่ีจะ สอบวัด สถานการณที่ใชจะตองเอื้อตอการแสดงความรูสึก ไมใชเรื่องราวปญหาที่จะใหบุคคล ตัดสินใจดวยเหตุและผลเหมือนการสอบวัดคิดแกปญหาในดานสติปญญา สถานการณตาง ๆ เหลาน้ี ก็คือการนําเปามาเสนอใหผูตอบไดแสดงความรูสึกนั่นเอง คุณภาพขอสอบแบบน้ีจึงข้ึนอยูกับเปา ท่นี าํ มาใช รูปแบบของสถานการณ การสรางสถานการณโดยใชรูปภาพจะชวยใหการนําเสนอชัดเจน เพราะ ไมจําเปนตองใชพ้ืนฐานความสามารถในการอานของนักเรียนมากนัก นอกจากน้ียังเสนอเปาหมาย ไดชัดเจนดีกวาใชคําบรรยาย ชวยใหการตัดสินใจของผูตอบเปนไปอยางฉับไว ไมคิดถึงขอปลีกยอย มากนัก รูปแบบของสถานการณทจ่ี ะใชม ดี ังตอ ไปนี้ แบบท่ี ๑ เปนภาพท่ีมีบุคคลมากลาวชมเชย หรือตําหนิบุคคล หรือการกระทํา อันเกี่ยวกับเร่ืองท่ีเราจะสอบวัด แลวใหนักเรียนประเมินดูวาเขาช่ืนชม-ชอบ คําตอบของบุคคล อกี คนหนึง่ ในลักษณะใด เขียนเปน ภาพตัวแบบไดดงั น้ี ทา นชอบคาํ ตอบของ ข. ขอใดมากทส่ี ดุ หรอื ทานชนื่ ชมคําตอบของ ข. ขอใดมากทีส่ ุด ตวั อยางสถานการณมีดังน้ี ดสู มชายซิ มีงานอาสาสมัครท่ใี ดกร็ วมทําทุกที สมยศเปน คนมีระเบียบทําอะไรก็เรียบรอยทุกอยาง แดงมาสายอกี แลว
๑๗๓ คําพูดของ ก. นี้มีความสําคัญมากเพราะจะเปนตัวเสนอเปา ถาคําพูดนี้ไมชัดเจน ไมเปนความคิดรวบยอดของเรื่องนั้นๆ แลวจะทําใหการแสดงความรูสึกคลาดเคลื่อน มีองคประกอบ อ่ืนๆ เ ขา มาเกย่ี วขอ งทนั ที แบบท่ี ๒ เปนภาพของบุคคลแรกมาชักชวนหรือกลาวในเชิงชวนใหรวมกิจกรรม ท่ีเปนตัวช้ีผลของคานิยมหรือจริยธรรมตาง ๆ หรือการกระทําท่ีตองการจะใชเปนเปา แลวใหผูตอบ แสดงความชื่นชมตอคําตอบของบุคคลที่ ๒ เพื่อตรวจดูความรูสึกตอการกระทําการแสดงพฤติกรรม นน้ั ๆ ทา นชนื่ ชมตอ คําตอบของ ข. ในขอ ใดมากทสี่ ุด รูปแบบนี้มุงเนน การวัดความรสู ึกของบคุ คลที่มีตอกิจกรรมการกระทําท่ีเปนเปาหมาย ซึ่งเปน ตวั ชบ้ี ง ของคานยิ มจริยธรรมตาง ๆ เชน ไปชวยเขาทําความสะอาดหมูบา นกันไหม เราไปทําบญุ กันดีกวา จะถึงเวลาประชุมแลวไปกันเถอะ ไปเรยี นคณติ ศาสตรกันดีกวา
๑๗๔ แบบท่ี ๓ ใชตัวละคร ๓ คน คนแรกจะกลาวชม ภาพ บุคคล หรือสัญลักษณ เก่ียวกับเร่ืองที่จะสอบวัดแลวมีบุคคลที่ ๒ มาแสดงความรูสึกตอบสนอง และมีบุคคลที่ ๓ รวมอยดู วย ภาพมุงใหผ ูตอบสะทอนความรูสกึ โดยผานบุคคลที่ ๓ วา รสู ึกอยา งไร ถา ทา นเปน ค. จะรสู กึ อยา งไรตอ การพูดของ ก. และ ข. การใชต ัวละคร ๓ คนนี้ ผูสรา งแบบสอบถามตอ งมคี วามชาํ นาญมากกวา ๒ แบบ แรก มฉิ ะนนั้ แลวเปา จะไมช ดั เจน ตอไปนเ้ี ปน ตวั อยางแบบสอบถามท่มี ตี วั ละคร ๓ ตวั ก. ดาํ น่ีดจี ัง ขยนั ทํางานทกุ อยา ง ข. เขาดจี รงิ ๆ นะ ค. ..................................................... รูปแบบสถานการณเหลานี้ ถานํามาใชในการสอบวัดคานิยมจริยธรรม เพื่อวัด ความรสู ึกทมี่ ตี อคานิยมจรยิ ธรรมเหลานี้ ผูเขียนขอสอบก็ตองระมัดระวังในเรื่องของการใชพฤติกรรม ช้ีบงของคานยิ มและจรยิ ธรรมนัน้ ๆ ใหถกู ตอ งเหมาะสม เชน ความรับผดิ ชอบ พฤติกรรมชี้บง ไดแก ทาํ งานเสร็จตามกําหนด ยอมรบั ในผลงาน ยอมรบั ผลของการกระทําของตน ใชความพยายามเพอ่ื ผลงาน ความซ่อื สตั ย พฤติกรรมชบ้ี ง ไดแก รายงานตรงตอขอ มูล ไมบ ิดเบือน ขอ มลู พูดตามท่ีไดแสดงจรงิ ใชเ วลาทาํ งานเตม็ ท่ี ไมอา ง ประโยชนอ่ืนๆ เพ่ือตนเอง ไมน าํ ของผูอ่นื มาเปน ของตน
๑๗๕ ความมีเหตุผล พฤติกรรมชบ้ี ง ไดแ ก ตัดสนิ ตามขอมูล ไมเ ช่ือตามบุคคล เพราะเขามชี อ่ื เสียง ยนื ยันในการพสิ ูจนด ว ยขอมลู ความเสียสละ พฤตกิ รรมช้ีบง ไดแก ไมเ บยี ดเบยี นผอู น่ื ชว ยเหลือ สนบั สนนุ ผอู ่นื แบงปน ของใหย มื ตามความจําเปน พฤติกรรมช้ีบงเหลาน้ีจะตองนํามาใชในการสรางสถานการณเพื่อนํามาเปนเปาของ การแสดงคานยิ มและจริยธรรมน้ัน ๆ กลา วโดยสรุปก็คอื รูปแบบของสถานการณน้นั จะตอ งใหผตู อบ แสดงความรูสึกตอบุคคลท่ีแสดงพฤติกรรมช้ีบงของคานิยมจริยธรรม หรือแสดงความรูสึกตอ การกระทําท่เี ปน พฤติกรรมช้ีบง ของคานยิ มจริยธรรมท่เี ราตองการจะสอบวดั นั้น ๆ สําหรับการสอบวัดความรูสึกท่ีมีตอการเรียน การทํากิจกรรมตางๆในการเรียน สามารถนํามาใชเปนเปาไดเลย เพราะเปนพฤติกรรมที่ชัดเจนอยูแลว เชน คนควาอยูเสมอ ลงมือ ทดลองอยูเสมอ ทําแบบฝกหดั คณติ ศาสตร วาดภาพ หรอื การเรียนวิชาตา ง ๆ ตวั เลอื กในแบบสอบใชส ถานการณ เม่ือเลือกเปาหมายที่เปนบุคคล การกระทํา แลวนําเสนอเปนรูปภาพแบบใด แบบหนึ่งแลว ก็นําไปทดลองใชกับนักเรียนประมาณ ๒๐-๓๐ คน เพ่ือทดสอบดูวา สถานการณ ที่เลือกใชน้ัน สามารถนํามาซึ่งการตอบสนองที่แสดงถึงความรูสึกตาง ๆ แลวหรือไม ถาสถานการณ ยังไมสามารถนํามาซึ่งความรูสึกตาง ๆ ได ก็จําเปนตองปรับปรุงเปล่ียนแปลง โดยใชพฤติกรรมชี้บง ในแบบอื่นๆ การทดลองใชน้ีอาจนําเอาคําตอบของนักเรียนท่ีเขียนตอบมาสรางเปนตัวเลือกได ซึ่งตัวเลือกท่ีไดมาจากคําตอบจริง ๆของนักเรียนนี้ก็จะดึงดูดใหนักเรียนตอบไดมาก อยางไรก็ตาม คําตอบเหลาน้ีจะตองเปนคําตอบท่ีบงบอกถึงความรูสึกของผูตอบอยางชัดเจน ไมใชเหตุผลหรือความ คิดเห็นดา นอื่นๆ ในการสรางตัวเลือกน้ันจําเปนตองอาศัยลักษณะการแสดงออกของความรูสึกจาก คําอธิบายในเร่ืองพฤติกรรมชี้บง โดยใชขอมูลในชองการแสดงออกทางวาจา นํามาแตงเปนคําพูด ตอบสนองตามเงื่อนไขตาง ๆ ถาเปนในกรณีที่จะนําเอาคําตอบของนักเรียนมาตรวจ ก็ตองจัดทําคํา เฉลยตามขน้ั ตอนทง้ั หมดตามตารางนน้ั ตวั อยางคําพูดทใ่ี ชเปน ตวั ชีบ้ งระดับความรูสกึ มดี งั นี้ ขัน้ การรบั จะทําอยา งไรละ ไมเหมือนท่เี คยทํานี่ จะทาํ เมือ่ ไร จริงๆ หรือ ขั้นการตอบสนอง พรอมแลว ทําไดเลย ต้งั ใจทาํ อยแู ลว ถา ส่งั มาก็จะทาํ คนอ่ืนเขาทํา เราก็ทําดว ย
๑๗๖ ข้ันการเห็นคณุ คา นา ชมเชยเขานะ ตองทําอยางนใี้ นงานอน่ื ๆ ดว ย ยินดสี นบั สนนุ โครงการน้ี ตองรณรงคใหท ุกคนทาํ ตามใหหมด ใครมาตเิ ขาไมไ ดนะ ขัน้ การมีระบบ งานนสี้ าํ คัญกวางานอนื่ ใดทง้ั หมด ทําอยา งนีค้ งไดผ ลดแี นน อน เรอ่ื งนีต้ องสาํ คญั กวาเรือ่ งอน่ื ๆ ขัน้ มคี ณุ ลกั ษณะ ทํามาเปน ประจาํ อยแู ลว ตองทาํ ใหส มบรู ณท สี่ ุด ใครๆ เขากร็ ูกันท้งั นั้นวาคนนเี้ ปนอยางไร โปรดสังเกตดูลักษณะคํากลาว และใชพฤติกรรมชี้บงทางวาจาเปนขอกําหนดในการ จัดคําตอบ เฉลยคําตอบ และสรางตัวเลือก เม่ือสรางตัวเลือกไดครบแลวก็จะจัดพิมพเปนตัวขอสอบ และนําไปใชต อ ไป ขั้นตอนการเขยี นแบบสอบใชสถานการณ เพื่อที่จะใหการเขียนแบบสอบใชสถานการณงายข้ึน จึงขอเสนอตัวอยางพรอมท้ัง ข้ันตอนการเขียนแบบสอบ ดงั นี้ ๑. กําหนดเปาที่จะใชในการสอบวัด เลือกบุคคลหรือการกระทํามาเปนเปา บุคคล และการกระทําน้ันตองเปนพฤติกรรมช้ีบงของคานิยม จริยธรรมหรือพฤติกรรมท่ีเราตองการจะวัด เชน ๑.๑ บุคคลทแี่ สดงความเออ้ื เฟอ โดยใหของเพ่ือหยิบยมื โดยไมตอ งขอ ๑.๒ การกระทําที่เปนการใชกระบวนการวิทยาศาสตรในดานการตรวจสอบผล เสมอ
๑๗๗ ๒. นาํ เอาเปา น้ันมานาํ เสนอในรูปของภาพ ใหผตู อบแสดงความรสู ึกตอ เปา นัน้ เชน ๒.๑ ตัวอยา งสถานการณถ ามความรสู ึกของบคุ คลตอความเสียสละ ๒.๒ ตวั อยางสถานการณถ ามความรสู กึ ของบุคคลตอความมีเหตผุ ล
๑๗๘ ๓. นําไปทดลองกับนักเรียน ใหนักเรียนลองตอบเพื่อดูการกระจายของคําตอบ แลว นาํ มาจดั ทาํ เปน ตัวเลอื กโดยเติมคําถาม ๓.๑ นกั เรยี นช่ืนชมคําตอบของ ข. ขอใดมากทีส่ ดุ ๓.๒ นกั เรียนชอบคําตอบของ ก. ขอ ใดมากทีส่ ุด ๔. นาํ คาํ พูดของนกั เรียนท่ีทดลองตอบ มาใชเปนคาํ ตอบตวั เลือก ตามขัน้ ตอนตาง ๆ ของระดับความรสู กึ เชน ๔.๑ เขาทําบอ ยไหม ไมม ใี ครส่ังเขาเลยนะ เขาเปนตัวอยางได เขาทาํ อยา งนีท้ กุ เรอื่ งแหละ ๔.๒ ตองตรวจอกี หรือ เอาตรวจกต็ รวจ งานอืน่ ๆ กต็ อ งตรวจดว ย จะไดค ําตอบทถี่ กู ตอ งจริงๆ ๕. นําสิ่งท่ีเขียนท้ังหมด มารวมเสนอเปนตัวขอทดสอบ และสลับตัวเลือกผสม กนั ไป ไมใหเรยี งเปน ข้นั อยางชดั เจน ๕.๑ ตัวอยา งแบบสอบใชส ถานการณถ ามความรูสกึ ของบุคคลตอ ความเสยี สละ
๑๗๙ นักเรยี นช่นื ชมคาํ ตอบของดวงใจขอ ใดมากทสี่ ดุ ก. เขาเปนตวั อยา งได ข. เขาทาํ บอ ยไหม ค. ไมมีใครสง่ั เขาเลยนะ ง. เขาทาํ อยางนท้ี กุ เรอื่ งแหละ ๕.๒ ตัวอยางแบบสอบใชส ถานการณถามความรูสึกของบุคคลตอความมี เหตุผล นักเรยี นชอบคาํ ตอบของสุทธิขอใดมากทส่ี ุด ก. งานอน่ื ๆ กต็ อ งตรวจดว ย ข. จะไดคาํ ตอบทถี่ กู ตองจริงๆ ค. ตอ งตรวจอกี หรือ ง. เอาตรวจกต็ รวจ ๖. จัดทําคําเฉลยการใหคะแนน ซ่ึงจัดทําได ๒ รูปแบบ รูปแบบแรกใหไดคะแนน เปน ๔ ๓ ๒ ๑ และรูปแบบที่ ๒ ไดคะแนนเปนระดับขั้นตามระดับของจิตพิสัย เม่ือนักเรียน เลือกตอบขอใดกจ็ ะไดค ะแนนไปตามเฉลยน้ัน ๆ เม่ือไดจัดพิมพใหสมบูรณ ขอทดสอบเหลาน้ีก็พรอมท่ีจะนําไปใชประเมินความรูสึก ของนกั เรียนตอ ไป
๑๘๐ การแปลความหมายของคะแนนทไี่ ดจากการใชแบบสอบใชสถานการณ การหาคะแนนรวมของการทดสอบในฉบับหน่ึงๆ จัดทําได ๒ แนวทาง ซึ่งผูทดสอบจําเปนตองระมัดระวัง คือ ถาตัวเลือกในขอตาง ๆจัดเปนรูปเปรียบเทียบระดับเทานั้น โดยถือวาการตอบแตละตัวเลือกมากกวาหรือนอยกวา มีจิตพิสัยในระดับสูงกวา หรือต่ํากวาเทาน้ัน ก็เพียงแตนําผลการตอบที่ใหคะแนนเปา ๔ ๓ ๒ ๑ ของแตละขอนํามารวมกัน ก็จะไดคะแนนรวม สวนอีกแบบหนึ่ง ไดแก การใชคะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ น้ี แทนคาระดับของจิตพิสัยโดยตรง เชน ๑ แทนการรบั รู ๒ แทนการตอบสนอง ๓ แทนการเห็นคุณคา ๔ แทนการมีระบบคานิยม ถาตองการ สรางแบบสอบวัดในลักษณะนี้ ก็จําเปนตองทําระดับคะแนนใหมใหตรงกับตัวเลือกน้ันๆ แลวนับ จํานวนการตอบที่ตกในระดับใดมากท่ีสุด ถือวาบุคคลนั้นมีระดับจิตพิสัยอยูในข้ันนั้นเลย กลาวคือ เราจะใชร ะดบั จติ พิสัยที่นักเรียนคนน้ันแสดงออกมากท่ีสุดในเร่ืองท่ีจะสอบวัดมาเปนระดับคะแนนจิต พสิ ยั ของเขาเลย จงึ ไดค ะแนนเพียง ๔ หรือ ๓ หรอื ๒ หรือ ๑ ตามระดับพฒั นาการของจติ พสิ ยั การรวมคะแนนก็ยงั มีขอ ควรระวังเชนเดยี วกบั การวดั แบบมาตรประเมนิ คา คอื ความ เปน อันหนง่ึ อันเดยี วกันของขอ ทดสอบท่อี ยูใ นชุดเดียวกนั ซึ่งตองวดั ในเร่ืองเดียวกัน ถาแตละขอสอบ วัดคนละเร่อื ง มกี ารกระจายของแตละเร่ืองอยางหลากหลายแลว ก็จะทําใหคุณภาพของการสอบวัดต่ํา คะแนนจะแทนคุณภาพหลายดาน ซ่ึงบางอยางอาจกลับกัน ทําใหคะแนนรวมไมมีความหมาย ไปในทิศทางเดียวดังที่เราตั้งใจไว ดังน้ันแบบสอบวัดคานิยม จริยธรรม เพ่ือดูพัฒนาการดานจิตพิสัย เหลานี้จึงไมนิยมรวมคะแนนท้ังหมด แตจะรวมเปนดาน ๆ เชน ดานความรับผิดชอบ ประกอบดวย ๒-๓ ขอ ดานความประหยัดอีก ๓-๔ ขอ หรือดานการเสียสละอีก ๓-๔ ขอ เปนตน ถาเอาทั้ง ๓ ดานมารวมกันแลว คะแนนอาจมคี วามหมายไมแ นน อน ไมสามารถชค้ี ณุ ภาพอยา งใดอยางหนึ่งได การตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบใชสถานการณ คุณภาพของแบบสอบใชสถานการณก็ตองมีลักษณะเหมือนกับแบบทดสอบ โดยท่ัวไป คือ ตองมีคุณภาพในดานความตรงและความเที่ยง การตรวจสอบคุณภาพของแบบใช สถานการณ จึงมุงไปท่ีความตรงและความเที่ยง ซ่ึงวิธีการตรวจหาความตรงและความเที่ยงของมาตร ประเมินคาสามารถนํามาใชตรวจสอบคาความตรงและความเที่ยงของแบบสอบใชสถานการณได เชน เดยี วกัน ในสวนทจี่ ะกลาวตอไปนจ้ี ะเปนสว นทเ่ี พม่ิ เติมไปจากวิธีการท่เี สนอไวแลว ในตอนกอ น ความตรงของแบบสอบใชสถานการณ การหาคาความตรงของแบบสอบใชสถานการณจะประเมินใน ๒ เร่ือง คือ เปาท่ีนํามาใชน้ันเปนพฤติกรรมชี้บงหรือเนนพฤติกรรมสําคัญของเรื่องที่จะสอบวัดหรือไม และ การตอบคําถามนั้น ผูตอบใชความคิดหรือความรูสึกในการตอบ ซ่ึงเราสามารถเรียกความตรง ท้ังสองแบบน้ีไดวา ความตรงตามเนื้อหา และความตรงตามโครงสราง ดังน้ัน เราจึงสามารถนําเอา วธิ ีการตาง ๆ ท่ไี ดอธบิ ายไวในเรือ่ งความตรงของทง้ั สองประเภทน้มี าใชได
๑๘๑ ความตรงตามเนื้อหาของแบบสอบใชสถานการณ การตรวจสอบคาความตรงตาม เน้ือหาน้ัน นอกจากจะใชวิธีถามความเห็นของผูเชี่ยวชาญวา สถานการณนี้ใชวัดเรื่องที่ตองการวัดได จริงหรือไม แลวนํามาตรวจสอบความเห็นที่ตรงกันของผูเชี่ยวชาญทั้งหมด เรายังสามารถดําเนินการ วิเคราะหตรวจสอบโดยใชการประเมินพฤติกรรมชี้บงได ทั้งสองวิธีมุงตอบคําถามที่วา ผูตอบกําลัง มองไปทจ่ี ดุ ใดในสถานการณข องขอ สอบขอนี้ และจุดทมี่ องนน้ั เปนพฤติกรรมที่เราตองการวดั หรอื ไม ถาตอบวาใชก็แสดงวาใชได ตัวอยางเชน การสอบวัดความรูสึกช่ืนชมตอการแสวงหาทางใหมๆ ในการสอน สถานการณที่นํามาใชเ ปน ดงั นี้ การวิเคราะหความตรงก็มองไปที่สถานการณ จะเห็นวาสถานการณน้ีใชบุคคลที่มี วิธีสอนใหมๆ แปลก ๆ เร่ืองใหม ๆ แปลก ๆ มาสอนเสมอ ถามวากรณีบุคคลมีวิธีใหมๆ มาสอน เปนบุคคลที่แสวงหาแนวทางใหม ๆ อยูเสมอหรือไม ตรงน้ีจะเห็นวา เกิดปญหาเล็กนอย เขาอาจจะ แสวงหา นิยมการแสวงหา หรือไมนิยมก็ได แตเขาก็มีวิธีใหมๆ มาเสมอ สถานการณนี้ จงึ เพยี งพอที่จะแทนการแสวงหาไดอยา งสมบรู ณ สถานการณนี้เปนผลอันเกิดจากการแสวงหาหรือไม เกิดปญหาเหตแุ ละผลข้นึ ผลนัน้ ไมไดมาจากเหตเุ ดยี วเทา น้ัน การสอนวิธใี หมๆ จงึ ไมส ามารถบอกได วาเขาตองนิยมการแสวงหาดวย ทั้งน้ีจึงนํามาใชสอบวัดการแสวงหาไมได แตใชสําหรับการวัดความ นิยมในวิธีการใหมๆ ได วัดความช่ืนชมตอนวัตกรรมได ถาจะนํามาใชสอบวัดคานิยมในการแสวงหา ก็ตองปรบั สถานการณเ ปนดังน้ี ครูสมร นช่ี อบคนหาวิธแี ปลก ๆ ใหมๆ เสมอ ครูแดง ขยันเขา อบรมหาความรูใหมๆ อยเู รื่อย ครูสุทธิ แลกเปลย่ี นวิธีการกบั เพอ่ื นครเู ปนประจํา
๑๘๒ ในการวิเคราะหความตรงตามเน้ือหานี้ การตรวจสอบพฤติกรรมชี้บงคานิยมตามท่ี เสนอไวในตอนท่ีแลว จะชวยใหผูตรวจดําเนินการไดอยางดี ดังนั้น ผูเขียนขอสอบจึงควรมีความ ชาํ นาญในการวิเคราะหพ ฤติกรรมช้ีบงของคานิยมและจริยธรรมตาง ๆ เพื่อใหการเขียนขอสอบแบบใช สถานการณมคี ุณภาพสูง ความตรงตามโครงสรางของแบบสอบใชสถานการณ การตรวจสอบคุณภาพความ ตรงตามโครงสราง นอกจากจะใชความคิดเห็นของผูเชี่ยวชาญ โดยประเมินวาขอนี้วัดความรูสึกจริง หรือตัวเลือกตาง ๆ นี้เปนตัวเลือกช้ีบงความรูสึกแลว ก็ยังสามารถวิเคราะหไดโดยการตรวจสอบ โครงสรางของตัวเลือกท่ีสรางขึ้นวาเปนความรูสึกจริง การวิเคราะหนี้ก็ทําโดยใชตารางพฤติกรรม ชบี้ ง ทางวาจา โดยตรวจคณุ สมบัติดงั ตอไปน้ี ๑. ตวั เลอื กแตล ะตวั นั้นบอกไดห รือไมว า ตอบอยางนีแ้ ลว ถอื วาถูก ถอื วาผิด ๒. ตัวเลือกแตละตัวเปนระดับความเขมขนของความรูสึกตามข้ันตอนของจิตพิสัย จริงหรอื ไม การเขียนขอสอบแบบใชสถานการณจึงจําเปนจะตองตรวจสอบตัวเลือกอยูเสมอวา เปน ตัวเลือกท่สี ะทอนความรสู กึ จริง ๆ จึงไมมีคําตอบถูกคําตอบผิด และเปนตัวเลือกท่ีจัดระดับไดตาม ทฤษฎีจิตพิสัย บอกไดว าอยูข้ันใดขั้นหน่ึง ถาไมสามารถบอกไดก็จะเกิดการเปรียบเทียบที่ไมแนนอน ขึ้น ระดับความเขมขนที่กําหนดเปน ๔ ๓ ๒ ๑ ก็อาจจะสลับท่ีกันได ถามีตัวเลือกใดท่ีเกิดความ ไมแนนอน อาจจะอยูระดับสูงหรือตํ่าก็ได ก็ตองมีการเปล่ียนแปลงหรือปรับปรุงใหชัดเจนยิ่งข้ึน การวิเคราะหต ัวเลือกนก้ี อ็ าจนาํ เอาคําพดู ทส่ี ะทอ นความรสู ึกในระดบั ตา ง ๆ ที่ไดอ ภิปรายไวแ ลว มาชว ย ในการประเมิน ความเท่ียงของแบบสอบใชส ถานการณ การตรวจสอบคุณภาพของขอสอบแบบใชสถานการณเพื่อนําไปสูคาความเท่ียง ที่ตองการ นอกจากจะใชวิธีที่ไดเสนอไวแลวอันไดแก การตรวจสอบดูการกระจายของการตอบและ การตรวจสอบดูความสัมพนั ธข องการตอบระหวา งขอโดยใชรูปภาพแลว การตรวจสอบนี้ก็ยังสามารถ ใชวิธีการทางสถิติท่ีมีการคํานวณได การคํานวณดังกลาว ไดแก การหาคาการกระจายของการตอบ ของนักเรียน และการหาสหสัมพนั ธร ะหวา งขอ ดงั ตวั อยางตอไปน้ี
๑๘๓ ตารางสหสมั พนั ธร ะหวางขอ สอบ ขอ ท่ี ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๑ ๑.๐๐ .๔๓ .๓๑ -.๑๐ .๓๗ .๒๙ ๒ ๑.๐๐ .๒๒ .๑๑ .๕๕ .๒๖ ๓ ๑.๐๐ -.๐๕ .๒๙ .๓๙ ๔ ๑.๐๐ .๑๘ -.๑๒ ๕ ๑.๐๐ .๔๔ ๖ ๑.๐๐ จากตารางสหสัมพันธระหวางขอทดสอบจะพบวา ขอที่ ๔ มีสหสัมพันธเปนลบกับ ขออนื่ ๆ หลายขอคือ ขอ ๑ ขอ ๓ และขอ ๖ เพ่ือท่ีจะใหแบบทดสอบท้ังชุดนี้มีคุณภาพในดานความ เที่ยงตรง จึงควรตัดขอ ๔ น้ีออก หรืออาจตรวจสอบคุณภาพในดานความตรงตามเน้ือหาและความ ตรงตามโครงสรางดู ถาเห็นวาผดิ ไปก็ปรับปรุงแกไขได เพ่ือใหค า สหสัมพนั ธเ หลา นีเ้ ปน บวกใหห มด ในกรณีท่ีมีขอทดสอบหลายดานอยูในฉบับเดียวกัน เชน แบบทดสอบท้ังฉบับ ประกอบดวย การวัดคานิยมในความรับผิดชอบ คานิยมในความอดทน คานิยมในการใชวิธีการ ใหม ๆ โดยวัดความรูสึกเก่ียวกับความช่ืนชมตอคานิยมเหลาน้ี ตารางสัมพันธระหวางขอก็จัดทําได เชนเดียวกัน และขอที่ควรตรวจสอบดูอยูเสมอก็คือ คาสหสัมพันธระหวางขอท่ีอยูในเรื่องเดียวกัน ควรมีคาสูงกวาสหสัมพันธระหวางขอของขอที่วัดคนละเรื่องกันในจํานวนสหสัมพันธของทุก ๆ ขอ ท่ีวัดความรับผิดชอบ จะตองมีคาสูงกวาสหสัมพันธระหวางขอที่วัดดานความรับผิดชอบกับดาน การแสวงหาวิธีใหมๆ คาสหสัมพันธจึงจะนํามาใชบงช้ีความเปนอันหน่ึงอันเดียวกันภายในเรื่อง เดียวกัน ซึ่งตองมีคามากกวาสหสัมพันธระหวางขอท่ีอยูคนละเรื่องกัน ในเรื่องนี้ผูท่ีสนใจควรศึกษา เพม่ิ เติมจากเอกสารประกอบตาง ๆ การตรวจสอบคาความเที่ยงที่ใชกระบวนการทางการคํานวณ ก็จะใชคาอัลฟาเปน ตวั แสดง ซงึ่ มสี ตู รดังนี้ เม่อื คอื คา สมั ประสทิ ธิ์ของความเท่ยี ง คือ จาํ นวนขอ คอื ผลรวมของคา ความแปรปรวนของคะแนนแตล ะขอ คือ คา ความแปรปรวนของคะแนนรวมทงั้ ฉบับ
๑๘๔ ถาแบบสอบใหสถานการณท้ัง ๔ ขอน้ัน มีตัวเลือกขอละ ๔ ตัวเลือก ตามระดับ พฒั นาการของจติ พสิ ัย ๔ ข้นั คอื การรบั การตอบสนอง การเห็นคณุ คา และการมรี ะบบคานยิ ม ตัวเลือกท่ีอยูในขั้นรับ ใหน้ําหนักคะแนนเปน ๑ ตัวเลือกในขั้นการตอบสนอง ใหน า้ํ หนักคะแนนเปน ๒ ตัวเลือกในข้ันการเห็นคณุ คาใหน้ําหนักคะแนนเปน ๓ และตัวเลือกในข้ัน การมีระบบคานิยมใหน ํา้ หนกั คะแนนเปน ๔ เพ่ือใหเขาใจไดงาย ๆ สมมติวาไดนําแบบสอบนี้ไปใชสอบกับนักเรียน ๕ คน และ ไดผลการสอบวดั ดังนี้ นกั เรยี น ๑ คําถามขอ ที่ ๔ ๓ ๔ คนท่ี ๔ ๒๓ ๓ ๔ ๓๓ ๔ ๑ ๒ ๔๓ ๓ ๒ ๓ ๓๔ ๒ ๓ ๒๔ ๔ ๒๓ ๕ หาคาสัมประสทิ ธสิ หสมั พนั ธระหวางขอ โดยใชสูตร Pearson Product Moment ไดต ารางคา สัมประสทิ ธิส์ หสัมพนั ธร ะหวา งขอ เปนดงั น้ี ขอ ที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๑ ๑.๐๐ ๐.๗๘ -๐.๒๒ ๐.๒๘ ๒ ๑.๐๐ -๐.๓๓ ๐.๔๓ ๓ ๑.๐๐ ๐.๓๓ ๔ ๑.๐๐ จากตวั อยา งสมมติ จะพบวาคาํ ถามท่มี สี หสัมพันธท างลบกับขอ อื่น ๆ หลายขอ คือ ขอ ๓ จึงควรปรบั ปรงุ คาํ ถามขอ ๓ นี้ หรอื ตดั ทง้ิ ไป
๑๘๕ ๓ แบบบนั ทกึ การสังเกต ลกั ษณะของแบบบันทกึ การสังเกต การสอบวดั ความรูสกึ ไมว า จะวัดดวยมาตรประเมนิ คา หรือแบบสอบใชสถานการณ ก็ตาม เปนแบบวัดท่ีมีขอจํากัดเพราะยังไมใชเปนการแสดงที่แทจริง และข้ึนอยูกับการตอบของ นักเรียน บุคคลอาจมีความรูสึกอยางหนึ่งแตเวลาแสดงจริงๆ ก็อาจแสดงอีกอยางหน่ึง บอกอีกอยาง หนึ่ง ดังน้ันการวัดโดยการสังเกตจะเปนขอมูลที่ดี ตรงกับสภาพความเปนจริง และเปนขอมูล ท่ีปรากฏออกมา อันจะเปนการสอบวัดถึงพฤติกรรมท่ีแทจริงได แตอยางไรก็ตาม การสังเกตท่ีดีน้ัน ก็ตองเปนการสังเกตในสภาวะปกติ ไมใชในสถานการณเฉพาะหรือเหตุการณท่ีมีขอกําหนดมาแลว เชน ในขณะท่ีมีครูอยูมีบุคคลอื่นอยู นักเรียนอาจแสดงความชื่นชม กลาวคําชม แตถาไมมีครูอยูแลว หรือครูไมบ อกเตือนแลว นกั เรยี นก็อาจไมแ สดงความช่นื ชมออกมาก็ได ขอท่ีควรระวังอีกอยางหน่ึงในการสอบวัดความรูสึกโดยการสังเกตน้ี ตองพึงระลึก เสมอวา เรากําลังตรวจสอบดานความรูสึกท่ีแฝงมากับการกระทํา ไมใชการตรวจดูการกระทํา ตัวอยางเชน เรามีความเชื่อกันวาถาทุกคนมีความชื่นชมแลว ก็ตองทําเปนประจําอยูสม่ําเสมอ แตถาจะตรวจดูวาเขาทําสม่ําเสมอแลวสรุปวาเขาชื่นชมดวยน้ัน คงจะไมสมบูรณเพียงพอ เราจําเปนตองดูลักษณะการกระทําอยางสม่ําเสมอดวยความชื่นชม ดวยทาทางท่ีสงางาม ดวยความเต็มใจ ไมลังเลมาประกอบ จึงจะสรุปไดวาเขามีความช่ืนชม ดังนั้นพฤติกรรมที่ทําเปนประจําอยางเดียว ยังไมเพียงพอท่ีจะสรุปไปสูความช่ืนชมได แตพฤติกรรมที่ทําเปนประจําน้ีเอง ก็เปนเงื่อนไขที่จําเปน ตอการสรุปวา เขามีความช่ืนชมแลว ความช่ืนชมเปนเพียงความรูสึกที่ผนวกมากับการกระทํา ในทกุ ๆ เร่ือง ในบางคร้ังความรสู กึ น้ีกไ็ มส มารถตรวจวัดไดใ นทกุ ๆงาน การสังเกตท่ีดีเกิดขึ้นในสภาวะที่ผูถูกสังเกตไมรูตัววากําลังมีการประเมิน ดังนั้น การสังเกตจึงควรจัดทําเปนสวนหน่ึงควบคูกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปกติ ไมควรบอกวา ช่ัวโมงนี้จะมีการประเมินเรื่องน้ันเร่ืองนี้ ถาผูถูกประเมินรูตัวแลวก็จะมีการเสแสรงมากขึ้นโดยเฉพาะ นักเรียนโตๆ ในช้ันเล็ก ๆ อาจมีปญหาเร่ืองน้ีนอย แตอยางไรก็ตามการสังเกตในสภาวะปกติ ถือวา เปนการใชการสังเกตท่ีดีท่ีสุด การจัดกิจกรรมบางอยางอยางจงใจ เพ่ือทําใหนักเรียนแสดงความรูสึก ออกมาจึงเปนเรื่องท่ีครูจะตองตระหนักและดําเนินการขึ้นเปนบางครั้ง มิฉะน้ันแลวความรูสึกตาง ๆ เหลานี้ก็จะไมผนวกมากับการกระทําดังที่ตองการ เชน ถาเราตองการวัดความรูสึกของนักเรียนตอ ความยุติธรรม ครูจําเปนตองสรางสภาพความยุติธรรมและไมยุติธรรมเขาไปในกิจกรรมเพื่อสังเกต ความรูสึกของนกั เรยี น แตไ มค วรบอกใหนักเรียนรูวากําลังจะสังเกตอะไร แตจําเปนตองแจงผูเรียนวา ความชื่นชมเปนสวนหนึ่งของการประเมินผลรวม การแจงนี้ใหจัดกระทําเม่ือตนภาคเรียน เมื่อกอน ลงมือเรยี น ถอื เปนการประเมนิ ผลรวม
๑๘๖ จุดออนของการสังเกตที่พึงระวังและหลีกเล่ียงอยูเสมอ ก็คือ การตีความพฤติกรรม ผูสังเกตมักใชมาตรฐานของตนเองเปนตัวกําหนดวา พฤติกรรมอยางใดเปนการแสดงความรูสึกดีใจ พฤติกรรมอยางใดเปนการแสดงความช่ืนชม การใชความรูของผูสังเกตไปตีความน้ี ถือเปนขอปฏิบัติ ท่ีไมควรทําอยางยิ่ง เพราะแตละบุคคลมีลักษณะของเขาเองในการแสดงพฤติกรมนั้นๆ บางคนดีใจ มากกเ็ ฉย บางคนดใี จมากตองกระโดดโลดเตน บางคนชน่ื ชมก็นาํ ไปพูดคุย แตบ างคนผิดหวังไมชอบ จงึ นําไปพูดคุย สว นท่ีชอบก็เงียบไว การใชมาตรฐานของผูสังเกตจึงเปนการตีความที่ผิดไปจากบริบท ในเรื่องน้ันๆ โดยสิ้นเชิง ถาตองการทราบวาทําไมบุคคลจึงแสดงพฤติกรรมอยางน้ันก็สามารถ ใชวธิ ีการสัมภาษณป ระกอบได แตไ มค วรเขาใจเอาเอง เพ่ือท่ีจะหลีกเล่ียงการตีความของผูสังเกต วิธีการสังเกตจึงตองมีการจัดทําคําอธิบาย พฤติกรรมใหชัดเจนและฝกฝนใหผูสังเกตหลายๆ คนทําไดเหมือน ๆ กัน เพ่ือใหเกิดความเปนปรนัย ในกระบวนการสังเกต คําอธิบายเหลาน้ีจะตองใหผูสังเกตศึกษาอยางเขาใจแจมแจงและจดจําไวอยาง ขึ้นใจกอนที่จะไปลงมือสังเกต จะเปนการดีอยางยิ่งถาผูสังเกตจะไดเขารับการอบรมในเทคนิควิธีการ โดยเฉพาะในเร่ืองการสังเกตและการใชเคร่ืองมือแตละชุด สําหรับในเรื่องการสังเกตความรูสึกน้ี ก็จะใชพฤติกรรมชี้บงทางกายเปนสําคัญ การสังเกตก็มุงที่จะดูพฤติกรรมเหลานั้นที่แฝงมากับ การกระทําในเรื่องตาง ๆ ผูสังเกตพึงระวังใหดีวา ถาผูปฏิบัติทําถูก ทําได ถือเปนภาคปฏิบัติ แตถา ทําไดอยางภาคภูมิใจ ดีใจ ชื่นใจท่ีไดทํา จึงจะถือวาเปนความรูสึกที่แฝงมากับการกระทํา แตจะไป สังเกตเฉพาะความรูสึก โดยไมม กี ารปฏบิ ตั ิไมไ ด ความเขาใจอีกประการหนึ่งท่ีเก่ียวกับการสังเกตก็คือ พัฒนาการทางดานความรูสึก เปนไปอยางตอเน่ืองคอย ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยสัมพันธกับการตอบที่ถูกตอง การทําไดถูกตอง การพัฒนาจากระยะหนึ่งไปอีกระยะหน่ึงจะตองดูปริมาณการแสดงออกท่ีรวมเอาเหตุการณตาง ๆ มาสัมพันธกัน ในขณะท่ีบางเหตุการณผูตอบอาจจะทําดวยความไมเต็มใจ แตบางสถานการณเขาก็ทํา ดวยความเต็มใจ เม่ือรวมสถานการณ เหตุการณท้ังหมดแลว เขาแสดงอยางไรมากกวากัน ก็ถือวา เขาพัฒนาอยใู นขน้ั นนั้ แลว การประเมนิ ผลรวมจึงตอ งดูการกระจาย และการแปรผันของการแสดงของ ผถู กู ประเมินอกี ดว ย รปู แบบของแบบบนั ทกึ การสงั เกต แบบบันทึกการสังเกตมี ๒ แบบ คือ แบบบันทึกพฤติกรรมนักเรียน โดยเขียน พฤติกรรมที่นักเรียนแสดงจริง ๆ ไว แลวจึงมาตีความ จัดลําดับระดับความรูสึกในภายหลัง สวนแบบท่ี ๒ ไดแก การบันทึกระดับความรูสึกเปนตัวเลขลงในชองบันทึกไวเลย อันเปนการ ตคี วามระดับพฒั นาการเรยี บรอ ยแลว การบันทกึ แบบแรกเหมาะสําหรับผูที่ยังไมมีความชํานาญในการ ใชพฤติกรรมชี้บงดานการแสดงทางกาย สวนแบบท่ีสองเหมาะสําหรับผูท่ีชํานาญในการจัดลําดับ พฤติกรรมแลว แบบแรกตองการฝกอบรมนอย ช้ีแจงเพียงเล็กนอยก็ใชได สวนแบบท่ีสองตองมี คําอธิบาย คาํ ชีแ้ จง และมีการฝกอบรมอยา งเปนระบบจึงจะใชไ ดดี ตัวอยา งแบบบนั ทกึ เปนดงั น้ี
แบบบนั ทกึ การสงั เกต ๑๘๗ นักเรยี น ช่นื ชมตอการทํางาน ระดบั จิตพิสัย งานบา น งานศลิ ปะ งานกลุม คนที่ ๑. ..................... มสี งิ่ กระตนุ จงึ ทํา ๒. ……………… รอ งขอ อาสาทํา ๓. ……………… ยังไมร ว มทาํ ๔. ……………… แบบบันทึกการสงั เกต นักเรียน ความมเี หตผุ ล หมาย เหตุ ตดั สนิ ตามขอ มลู ยนื ยันการพสิ จู นด ว ยขอมูล ๑ ๒๓๔๕ ๑ ๒๓๔๕ คนท่ี ๑. ..................... 3 ๒. ……………… 3 ๓. ……………… 3 ๔. ……………… 3 ๕. ……………… คาํ อธิบาย ระดับ ๑ หมายถึง การรบั รู ๒ หมายถึง การตอบสนอง ๓ หมายถึง การเห็นคุณคา ๔ หมายถงึ การมรี ะบบ ๕ หมายถึง การมคี ณุ ลักษณะ
๑๘๘ ๑. การสังเกตพฤติกรรมดานจิตพิสัยมี ๒ แนวทาง คือ แนวทางแรก เขียน พฤติกรรมชี้บงทางกายท่ีนักเรียนแสดงจริง ๆ ไวในแบบบันทึกการสังเกต แลวจึงมาตีความหรือ จัดลําดับพัฒนาการดานจิตพิสัยภายหลัง สวนแนวทางที่สอง จะบันทึกระดับพฤติกรรมดานจิตพิสัย สําหรับพฤติกรรมช้ีบงท่ีสังเกตลงในแบบบันทึกเลย แนวทางท่ีสองน้ีจึงตองการผูสังเกตที่มีความ ชํานาญในการตีความพฤติกรรมชี้บงทางกายที่แสดงพัฒนาการดานจิตพิสัยเปนอยางดี และตองมี คําอธบิ ายพฤติกรรมชบี้ ง ทช่ี ดั เจนในแตละคา น้ําหนักไวดวย ๒. การสงั เกตพฤติกรรมดานจิตพสิ ัย มขี อ ควรระวงั คือ ๒.๑ สงั เกตในสภาวะปกติ ทผ่ี ูถกู สงั เกตตอ งไมร ูต วั วากําลงั มกี ารประเมนิ ๒.๒ พฤติกรรมดานจิตพิสัย เชน ความรูสึกตาง ๆ จะผนวกมากับการ กระทําซึ่งตองสังเกตอยางตอเน่ืองภายใตเหตุการณตาง ๆ เนื่องจากพฤติกรรมที่มุงสังเกตอาจไม เกดิ ขนึ้ ภายใตเหตุการณหน่ึง แตเกิดขึน้ ในอกี เหตุการณห น่งึ กไ็ ด ๒.๓ ผูสังเกตตองไมตีความพฤติกรรมโดยใชมาตรฐานของตนเอง แตตอง ตีความตามคําชแ้ี จงท่จี ดั ทําไวอยางชดั เจน การสรา งแบบบนั ทกึ การสังเกต การสังเกตเปน กระบวนการรวมทัง้ หมด งานสําคัญจึงไมไดอยูท่ีการสรางแบบบันทึก การสงั เกต แตจ ะอยูท ่กี ระบวนการดาํ เนนิ งาน แบบบันทึกเปนแตเพียงแบบรายงานผลท่ีเกิดข้ึนเทาน้ัน ดังน้ันการสรางวิธีการสังเกต จึงมีความสําคัญมากกวาแบบบันทึกดังกลาว กระบวนการดังกลาว จะตองทําใหมีการเกิดพฤติกรรมที่เราตองการจะสังเกต และการตีความของบุคคลหลาย ๆ คนท่ีจะมา สังเกตงานเดยี วกัน บคุ คลเดยี วกัน การแสดงออกอยางเดียวกันจะตองตรงกัน ถาเราไมมีกระบวนการ ดําเนินงานใด ๆ เลย แตรอสังเกตเพียงอยางเดียว ก็คงจะไมสามารถประกันไดวา จะมีพฤติกรรม ทีน่ กั เรยี นแสดงออกตามเรือ่ ง ตามสถานการณทีค่ รอบคลมุ ได การออกแบบการสังเกต เร่ิมตั้งแตการเลือกงานที่จะใหนักเรียนลงมือปฏิบัติ งานนั้น จะตองมีขั้นตอนท่ีจะใหผูเรียนแสดงความรูสึกในระดับตาง ๆ งานเหลาน้ีก็คือการออกแบบพฤติกรรม ช้ีบงในแตละเรื่องน่ันเอง การกําหนดพฤติกรรมช้ีบงจึงเพียงแตเปล่ียนรูปไปจากเรื่องท่ีจะใช ในแบบสอบมาเปนกิจกรรมในช้ันเรียน ในการสรางกิจกรรมเหลานี้ จะตองจัดใหมีเงื่อนไขสําหรับ การประเมนิ ดงั ตอ ไปน้ี
๑๘๙ เงอ่ื นไข ส่งิ ท่จี ะประเมิน เปด โอกาสใหซ ักถาม ตงั้ ใจรับรู เปดโอกาสใหเ ลือกฟง ตดิ ตามรบั ฟง สั่งใหลงมือทาํ ทําตามสัง่ เปดโอกาสใหเ ลือกทํา อาสาทาํ ทาํ โดยไมมกี ารบังคบั เปดโอกาสใหแ สดงความรูสกึ ยนิ ดที ํา ภูมใิ จที่ไดทาํ เปด โอกาสใหแ สดงความชมเชย นยิ ม ชื่นชม เปดโอกาสใหช วยผอู ืน่ สงเสริม สนับสนุน ทาทายในคณุ คา ปกปอง แกตา ง เปดโอกาสใหเ ลอื กอยางอนื่ เลอื กมากกวาสง่ิ อนื่ ใหต ดั สนิ ใจเลอื กเอง ทาํ เอง ประเมนิ เอง การกระทาํ ใหส มบรู ณเปนประจาํ เงื่อนไขตาง ๆ เหลานี้จําเปนตองนําไปแทรกในการทํากิจกรรมการเรียน เพื่อนําไปสู การสังเกตความรูสึกของนักเรียน เมื่อไดกําหนดเง่ือนไขครบถวนแลว ก็ดําเนินการจัดทําคําอธิบาย พฤติกรรมในแตละขั้นท่ีจะสังเกต โดยใชคําที่ชี้บงลักษณะของแตละข้ันตอน ในชองพฤติกรรมช้ีบง ทางกาย ในกรณีที่จะจัดทาํ แบบบันทึกการสังเกต แบบท่ี ๑ คําอธิบายเหลานี้จะใชเปนคําเฉลยในการ ตีความระดับจิตพิสัยในกรณีที่จะใชแบบสังเกตแบบที่ ๒ ก็จะใชคําอธิบายในการประเมินระดับ ๑ ๒ ๓ ๔ หรือ ๕ ในแบบบันทึกน้ัน ๆ ระดับตาง ๆ เหลานี้ จําเปนตองตัดตอนไปตามระดับ พัฒนาการดานจิตพิสัยของนักเรียน เชน นักเรียนช้ันเด็กเล็ก อาจมีเพียงระดับการรับและการ ตอบสนอง คาระดับ ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ อาจลดลงเหลือ ๔ แลวจัดทําคําอธิบายใหสอดคลองเปน ๑ ตั้งใจรับ ๒ ติดตามรับ ๓ ตอบตามส่ัง และ ๔ อาสาตอบ แทนท่ีจะเปนระดับ ๑ ถึง ๕ ตามระดับจิตพิสัยทั้งหมด เหมือนในการประเมินบุคคลทุกระดับ ในระดับมัธยมศึกษาอาจเริ่มตั้งแต ๑ หมายถึง ตอบตามส่ัง ๒ อาสาตอบ ๓ ยินดีตอบ ๔ ชมเชย ๕ สงเสริม สนับสนุน เปนตน คําอธิบายเหลานี้จะเปล่ียนแปลงไปตามเรื่องท่ีจะวัดและระดับพัฒนาการดานจิตพิสัยของบุคคลที่จะ ประเมิน ไมจําเปนตองเหมือนกัน แตการตีความหมายจะตองจัดทําใหสอดคลอง ถูกตองตาม ความหมายของแตละแบบบนั ทกึ ทไ่ี ดจดั ทาํ ขน้ึ ดังไดก ลา วมาแลววา ตวั แบบบนั ทึกการสังเกตเองมิไดมีความสําคัญมากนัก ดงั นน้ั รปู แบบจงึ อาจแปรเปลย่ี นไปไดหลากหลาย เพราะแบบบนั ทึกน้ีมีประโยชนเพยี งจดบนั ทึกสงิ่ ทีเ่ กิดข้ึน เพอื่ ใหงา ยตอ การนํามาวเิ คราะหเ ทา นั้น แตคําอธิบายความหมายของพฤตกิ รรมเปน ตวั ท่ีสําคญั มาก และตองทําใหช ัดเจนอยเู สมอ มิฉะนน้ั แลวคุณภาพของการสงั เกตกจ็ ะตํา่ ลงไปดว ย คุณภาพของ
๑๙๐ เครอ่ื งมือวัดเหลานจ้ี งึ ข้นึ อยกู บั กระบวนการ และคาํ อธบิ ายท่จี ะทําใหมกี ารตคี วามไดต รงกัน แปลจาก พฤตกิ รรมมาเปน ระดบั จติ พสิ ัยไดต รงกนั การฝกอบรมชี้แจงใหเขาใจความหมายของพฤติกรรมช้ีบงทางกายของจิตพิสัย และ การทดลองสังเกตจงึ เปนส่งิ ท่คี วรทาํ อยา งยงิ่ เพอ่ื ใหเ กดิ ความกระจางและความเปนปรนยั ในการสงั เกต การสงั เกตทีด่ ีจึงตอ งมกี ารทดลอง การฝกใหต ีความ ใหสงั เกตพฤตกิ รรมช้ีบงไดอยา งตรงกัน การหาคะแนนรวมจากการใชแบบบันทึกการสังเกต มีขอปฏิบัติเชนดียวกันกับ การสอบวดั โดยใชแบบสอบใชสถานการณ ท่ีกลา วถงึ เรอื่ งการรวมคะแนน แบบบันทึกแสดงพฤติกรรมช้ีบงทางกายเก่ียวกับความมีระเบียบวินัยในการเขาแถว ซ้ืออาหาร โดยมีความรูสึกตามขั้นพัฒนาการของจิตพิสัยแฝงอยู การสังเกตจะสังเกตความรูสึกที่แฝง มากับการกระทําน้ี ดังตัวอยางแบบบันทึกการสังเกตความมีระเบียบวินัยในการเขาแถวซ้ืออาหาร ตอไปน้ี ความมรี ะเบียบวนิ ัยในการเขา แถวซือ้ อาหาร ชอื่ นักเรยี น ทําตามสงั่ ทําโดยไมม ีการ ทํานําเปนตวั อยาง เลอื กกระทาํ ทนั ที ทําเปน ประจําจนเปน บังคับ ลักษณะเฉพาะตน ๑ ๒๓๔ ๕ ๑ ๒ ๓ .. .. .. ความหมาย ๑. นํ้าหนักคะแนน ๑ อยูในระดับพัฒนาการจิตพิสัยข้ันการตอบสนอง พฤติกรรม ชี้บงคอื การทําตามคําส่ัง คําชีแ้ จง กฎ ระเบยี บ ๒. น้ําหนักคะแนน ๒ อยูในระดับพัฒนาการจิตพิสัยข้ันการตอบสนอง พฤติกรรม ช้บี ง คอื การทําเองโดยไมม ีการบังคบั กระทําเองดวยความยม้ิ แยม พงึ พอใจ ๓. นํ้าหนักคะแนน ๓ อยูในระดับพัฒนาการจิตพิสัยขั้นการเห็นคุณคา พฤติกรรม ชบ้ี งคอื การทาํ นาํ เปน ตวั อยา ง หรือสนับสนนุ ใหผ ูอน่ื ทํา อยา งมนั่ คงและมน่ั ใจ ๔. น้ําหนักคะแนน ๔ อยูในระดับพัฒนาการจิตพิสัยขั้นการมีระบบคานิยาม พฤติกรรมช้ีบงคือ ใหความสําคัญกับการกระทําน้ัน และเลือกที่จะกระทําทันที ไมวาจะอยูภายใต สภาพการณใด
๑๙๑ ๕. นํ้าหนักคะแนน ๕ อยูในระดับพัฒนาการจิตพิสัยขั้นการมีคุณลักษณะ พฤติกรรมชี้บงคือ ทําเปนประจําจนเปนลักษณะเฉพาะของตนเองอยางม่ันคง ไมเปลี่ยนแปลง หว่นั ไหวดว ยอิทธพิ ลใด ๆ ท้ังสิน้ การตรวจสอบคุณภาพของแบบบนั ทึกการสังเกต เนื่องจากคุณภาพของการสังเกตอยูท่ีกระบวนการที่จะทําใหผูสังเกตหลาย ๆ คนมองได ตรงกัน ประเมินไดตรงกัน การตรวจสอบคุณภาพของแบบบันทึกจึงอยูท่ีคุณภาพของกระบวนการ ทั้งหมด ในการประเมินคุณภาพน้ี จึงตองจัดทําทั้งกระบวนการ โดยจัดใหผูประเมิน ๒-๔ คน มาสังเกตนักเรียนคนเดียวกัน ขณะเดียวกัน ในเรื่องเดียวกัน โดยใชแบบประเมินเดียวกัน แลวนํามา ตรวจดูวา ผูประเมินทุกคนน้ันประเมินไดตรงกันหรือไม ไมวาจะเปนแบบบันทึกแบบใดก็ตาม การตรวจสอบคุณภาพจึงตองจัดทําเปนกิจกรรมอีกตางหาก ตางออกไปจากการใชมาตรประเมินคา และแบบสอบใชสถานการณ ซ่ึงจัดทําไดภายในตัวของแบบวัดเอง ข้ันตอนในการตรวจสอบคุณภาพ แบบบนั ทกึ การสงั เกตมดี ังนี้ ๑. จัดใหผูประเมินประมาณ ๒-๔ คน หรือมากกวานี้ ประเมินนักเรียนท่ีมีระดับ พัฒนาการจิตพิสัยตาง ๆ กัน ในเวลาเดียวกัน โดยใชคําชี้แจงชุดเดียวกัน ควรใหมีนักเรียนแสดง พฤติกรรมตางระดบั รวมกันอยูอยา งนอย ๕ ระดบั เพือ่ จะไดมีการจาํ แนกไดดี ๒. นําผลของการประเมินมาลงรหัสเปนตัวเลข หรือในแบบท่ี ๒ ก็จะใชระดับ จิตพิสัยท่มี ีอยูแ ลว มานําเสนอใหเหน็ ความสอดคลอ งใหตรงกัน ดงั นี้ นักเรยี น ๑ ผูประเมินคนท่ี .............. ๑ .............. คนท่ี ๒ ๒๓ .............. ๓ ๒๑ .............. ๑ ๔ ๑๓ .............. ๒ ๒ ๒๒ .............. ๓ ๒ ๓๑ .............. ๔ ๒๑ ๕ ๓๔ ๖ .. .. ๓. นําผลการประเมินมาหาสหสัมพันธระหวางบุคคลที่เปนผูประเมินท้ัง ๒-๔ คน คาสหสัมพนั ธถามคี าสูง แสดงวา การสังเกตมคี ณุ ภาพสงู แตถ าตํ่าใกล ๐ หรือเปน ลบ แสดงวาคณุ ภาพ ของการสังเกตยังใชไมได ในกรณีท่ีผูประเมินมี ๓ คนจะมีคาสหสัมพันธ ๓ คา ซ่ึงจะตองมีคาสูง ทง้ั ๓ คา
๑๙๒ ๔. ในการคํานวณคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธรวมน้ัน มีวิธีท่ีจะคํานวณได ๒ วิธี ไดแก การหาคาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธแบบรวมกัน คือ ความสัมพันธแบบรวมของทุกคน หรือจะ นําไปหาโดยใชการวิเคราะหความแปรปรวนก็ได ซึ่งสามารถศึกษาไดจากหนังสืออางอิงทางสถิติ โดยท่วั ไป ถานําแบบบันทึกการสังเกตพฤตกรรมจิตพิสัยเร่ือง ความมีระเบียบวินัยในการเขา แถวซื้ออาหารของนักเรียน ไปใหผูสังเกตสัก ๓ ทาน สังเกตพฤติกรรมนักเรียน ๕ คน แลวนํา ผลการสังเกตของผูสังเกตทั้ง ๓ ทานนี้ มาหาคาสหสัมพันธระหวางผูสังเกตเพ่ืออภิปรายผลเก่ียวกับ คุณภาพของแบบบันทึกการสงั เกต ดงั ตารางตอ ไปน้ี นกั เรียน ผสู ังเกตคนที่ คนท่ี ๑๒ ๓ ๑ ๒๓ ๒ ๒ ๓ ๓๓ ๓ ๔ ๕ ๑๒ ๒ ๔๔ ๔ ๕๔ ๔ คํานวณคาสหสัมพันธของผลการสังเกตระหวางผูสังเกตแตละทานโดยใชสูตร Pearson Product Moment ไดผลการคํานวณ ดงั น้ี ผสู ังเกต ๑ ๒ ๓ คนที่ ๑.๐๐ ๑ ๐.๙๔ ๐.๙๕ ๒ ๑.๐๐ ๐.๙๐ ๓ ๑.๐๐
๑๙๓ จากคาสหสัมพันธสรุปไดวา การสังเกตมีคุณภาพสูง กลาวคือ ผูสังเกตท้ัง ๓ ทาน สังเกตพฤติกรรมนักเรียนคนเดียวกัน ในเร่ืองเดียวกัน แลวไดผลการสังเกตออกมาในแนวเดียวกัน ซึ่งเนอ่ื งมาจากความชดั เจนของพฤตกิ รรมช้บี ง ในแบบบนั ทกึ การสังเกตดว ย
๑๙๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208