139 อาขยาต ว่าด้วยการสรา้ งค�ำ ศพั ท์กริ ิยา กร ธาตุ + โอ ปจั จัย + ภวสิ สันตีวิภัตติ (กระท�ำ) ปรัสสบท บรุ ุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม กาหต,ิ กาหิติ กาหนฺติ, กาหินฺต ิ นามโยค มัชฌมิ กาหสิ, กาหสิ ิ กาหถ, กาหถิ ตมุ หฺ โยค อุตตม กาหาม,ิ กาหิมิ กาหาม, กาหมิ อมฺหโยค กร ธาตุ + โอ ปัจจยั + ภวสิ สนั ตีวิภตั ติ (กระท�ำ) ปรสั สบท อตั ตโนบท บุรษุ เอก. พห.ุ เอก. พหุ. โยค ปฐม กริสสฺ ติ กรสิ ฺสนฺติ กรสิ สฺ เต กรสิ สฺ นเฺ ต นามโยค มชั ฌิม กรสิ สฺ สิ กริสสฺ ถ กริสฺสเส กรสิ ฺสวเฺ ห ตุมฺหโยค อุตตม กรสิ สฺ ามิ กรสิ สฺ าม กรสิ ฺสํ กริสสฺ ามฺเห อมฺหโยค สก ธาตุ + โอ ปจั จยั + วตั ตมานาวิภตั ติ (อาจ, สามารถ) ปรสั สบท บรุ ุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม สกโฺ กติ สกโฺ กนฺต ิ นามโยค มัชฌิม สกฺโกสิ สกโฺ กถ ตุมหฺ โยค อตุ ตม สกโฺ กมิ สกฺโกม อมหฺ โยค ป บทหนา้ + อป ธาตุ + โอ ปัจจัย + วตั ตมานาวภิ ัตติ (ถึง, บรรล)ุ ปรัสสบท บรุ ุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปปฺโปติ ปปฺโปนตฺ ิ นามโยค มัชฌมิ ปปโฺ ปสิ ปปฺโปถ ตมุ หฺ โยค อุตตม ปปโฺ ปมิ ปปโฺ ปม อมหฺ โยค
140 ไวยากรณบ์ าลเี บอ้ื งตน้ ๔.๘ จุราทคิ ณะ (เณ, ณย ปจั จยั ) จนิ ฺต ธาตุ + เณ ปจั จยั + วตั ตมานาวภิ ตั ติ (คดิ ) ปรสั สบท บุรุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม จนิ ฺเตติ จินฺเตนตฺ ิ นามโยค มัชฌมิ จินเฺ ตส ิ จนิ เฺ ตถ ตุมฺหโยค อุตตม จินฺเตมิ จนิ เฺ ตม อมฺหโยค จินตฺ ธาตุ + ณย ปัจจยั + วตั ตมานาวิภตั ติ (คดิ ) ปรัสสบท บรุ ุษ เอก. พหุ. โยค ปฐม จินฺตยติ จนิ ฺตยนฺติ นามโยค มัชฌิม จินฺตยสิ จนิ ฺตยถ ตุมหฺ โยค อตุ ตม จนิ ตฺ ยามิ จนิ ฺตยาม อมหฺ โยค จินตฺ ธาตุ + ณย ปจั จยั + อัชชตนวี ิภตั ติ (คดิ ) ปรัสสบท บรุ ษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม จนิ ตฺ ยิ จนิ ฺตยึสุ นามโยค มชั ฌิม จนิ ตฺ ยิ จินตฺ ยติ ถฺ ตุมฺหโยค อตุ ตม จินฺตยึ จนิ ตฺ ยิมหฺ อมฺหโยค
141 อาขยาต ว่าดว้ ยการสร้างคำ�ศัพทก์ ริ ิยา ๔.๙ ธาตุปจั จยันตนยั ค�ำว่า “ธาตุปัจจัย” หมายความว่าปัจจัยท่ีแสดงอรรถของธาตุ มีวิเคราะห์ ว่า “ธาตฺวตฺเถ นิทฺทิฏฺา ปจฺจยา ธาตุปฺปจฺจยา” อ.ปัจจัย ท. อันถูกแสดงแล้ว ในอรรถของธาตุ ช่อื วา่ ธาตุปปฺ จจฺ ย (ธาตุ + นทิ ทฺ ฏิ ฐฺ + ปจฺจย) (สตั ตมตี ปั ปุริสสมาส, มัชเฌโลป สมาส) ไดแ้ ก่ ข ปัจจยั เป็นตน้ การติ ปจั จัยเป็นท่ีสดุ ธาตปุ จั จัยนี้มที ง้ั หมด ๑๐ ตวั คอื ข, ฉ, ส, อาย, อยี , ณย, เณ, ณย, ณาเป และ ณาปย ปจั จัย ซ่งึ แบ่งออกเป็น ๓ กล่มุ ดังน้ี ๑. กลุม่ ข, ฉ และ ส ปจั จัย ลงหลงั จากธาตุ ๑.๑ ข, ฉ และ ส ปัจจัย ลงหลังจากธาตุ โดยเจาะจงธาตุและอรรถของธาตุ เชน่ - ตติ ิกฺขติ ยอ่ มอดกลน้ั (ติช ขนฺติยํ ในความอดทน + ข + ติ) - ชิคุจฉฺ ติ ยอ่ มเกลยี ด, ยอ่ มรงั เกยี จ (คปุ นนิ ทฺ ายํ ในการตเิ ตยี น + ฉ + ต)ิ - วจิ ิกจิ ฉฺ ติ ย่อมสงสัย (วิ + กติ สสํ เย ในความสงสยั + ฉ + ติ) - ตกิ ิจฉฺ ติ ยอ่ มเยยี วยา (กติ โรคาปนยเน ในการนำ� ออกซง่ึ โรค + ฉ + ต)ิ - วีมํสติ ย่อมพจิ ารณา (มาน วมี สํ เน ในการพิจารณา + ส + ติ) ๑.๒ ข, ฉ และ ส ปจั จยั ลงหลังจากธาตุ โดยเจาะจงธาตุ และลงในอรรถ ปรารถนา เพือ่ ... (ตุมิจฺฉตฺถ) เช่น - พุภุกฺขติ ยอ่ มปรารถนาเพอื่ จะกนิ (ภชุ พยฺ วหรเณ ในการกลนื กนิ + ข + ต)ิ - ชิฆจฉฺ ติ ยอ่ มปรารถนาเพื่อจะกนิ (ฆส อทเน ในการกิน + ฉ + ต)ิ - ชิคีสติ ยอ่ มปรารถนาเพอ่ื จะน�ำไป (หร หรเณ ในการน�ำไป + ส + ติ) - สสุ ฺสสู ติ ย่อมปรารถนาเพือ่ จะฟัง (สุ สวเณ ในการฟงั + ส + ต)ิ - ปวิ าสติ ย่อมปรารถนาเพอ่ื จะด่มื (ปา ปาเน ในการดม่ื + ส + ต)ิ - วชิ ิคสี ติ ย่อมปรารถนาเพอื่ จะชนะ (วิ + ชิ ชเย ในความชนะ + ส + ติ) ๒. กลุ่ม อาย, อีย และ ณย ปัจจัย ลงหลังจากนาม ๒.๑ อาย ปจั จยั ลงหลงั จากนามทเี่ ปน็ อปุ มา ในอรรถการประพฤติ (อาจารตถฺ ) เชน่ ปพฺพตมิว อตตฺ านมาจรติ ปพฺพตายติ สํโฆ (ปพฺพต + อาย + ติ) อ.พระสงฆ์ ย่อมประพฤติ ซึง่ ตน เพยี งดังภูเขา ช่ือว่า ปพพฺ ตายติ (ยอ่ มประพฤติ ดุจภูเขา) ๒.๒ อีย ปัจจยั มี ๒ อย่าง คอื ๒.๒.๑ อยี ปจั จยั ลงหลงั จากนามทเ่ี ปน็ อปุ มา ในอรรถการประพฤติ (อาจารตถฺ ) เชน่ อฉตฺตํ ฉตตฺ มิวาจรติ ฉตฺตียติ (ฉตฺต + อีย + ติ) ยอ่ มประพฤติ ซง่ึ วตั ถทุ ไ่ี มใ่ ชร่ ม่ เพยี งดงั รม่ ชอ่ื วา่ ฉตตฺ ยี ต.ิ (ยอ่ มประพฤตดิ จุ รม่ ) ๒.๒.๒ อยี ปัจจัย ลงหลงั จากนาม ในอรรถปรารถนาเพ่อื ตน (อตฺติจฉฺ ตฺถ) เช่น อตฺตโน ปตฺตมิจฉฺ ติ ปตฺตียติ (ปตฺต + อยี + ต)ิ ย่อมปรารถนา ซง่ึ บาตร เพือ่ ตน ชอื่ วา่ ปตตฺ ยี ติ (ย่อมปรารถนา บาตรเพื่อตน)
142 ไวยากรณ์บาลเี บอ้ื งต้น ๒.๓ ณย ปจั จยั ลงหลังจากนาม ท่ใี ชใ้ นรูปของธาตุ เชน่ - ทฬฺหํ กโรติ วรี ยิ ํ ทฬฺหยติ (ทฬฺห + ณย + ติ) ยอ่ มกระทำ� ซง่ึ ความเพยี ร ให้มั่น ชื่อวา่ ทฬหฺ ยติ (ยอ่ มทำ� ใหม้ ั่น) ๓. กลุ่ม การิตปจั จยั (เณ, ณย, ณาเป, ณาปย) ลงหลังจากธาตุ ลงในอรรถ เปสน การใช้ และอรรถ อชฺเฌสน การกระตนุ้ เชน่ กาเรติ (ยัง.....) ย่อมใหก้ ระท�ำ (กร กรเณ ในการกระทำ� + เณ + ต)ิ การยติ (ยัง.....) ยอ่ มให้กระทำ� (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณย + ติ) การาเปติ (ยงั .....) ย่อมใหก้ ระทำ� (กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาเป + ต)ิ การาปยติ (ยงั .....) ยอ่ มให้กระทำ� (กร กรเณ ในการกระท�ำ +ณาปย+ต)ิ ตัวอยา่ งการประกอบธาตกุ ับการิตปัจจยั ภู ธาตุ + เณ ปัจจัย + วัตตมานาวิภตั ติ (เหตกุ ตั ต)ุ ปรัสสบท บุรษุ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ภาเวติ ภาเวนฺติ นามโยค มัชฌมิ ภาเวสิ ภาเวถ ตุมฺหโยค อุตตม ภาเวมิ ภาเวม อมหฺ โยค ภู ธาตุ + ณย ปจั จัย + วัตตมานาวิภัตติ (เหตกุ ตั ต)ุ ปรัสสบท อัตตโนบท บุรษุ เอก. พหุ. เอก. พห.ุ โยค ปฐม ภาวยติ ภาวยนตฺ ิ ภาวยเต ภาวยนฺเต นามโยค มัชฌมิ ภาวยสิ ภาวยถ ภาวยเส ภาวยวเฺ ห ตุมฺหโยค อตุ ตม ภาวยามิ ภาวยาม ภาวเย ภาวยามฺเห อมฺหโยค ภู ธาตุ + เณ ปัจจัย + ปญั จมวี ิภัตติ (เหตุกัตต)ุ ปรสั สบท บุรษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ภาเวตุ ภาเวนตฺ ุ นามโยค มัชฌมิ ภาเวหิ ภาเวถ ตมุ หฺ โยค อตุ ตม ภาเวมิ ภาเวม อมฺหโยค
143 อาขยาต ว่าดว้ ยการสร้างคำ�ศพั ทก์ ริ ิยา ภู ธาตุ + ณย ปจั จยั + ปัญจมวี ภิ ตั ติ (เหตุกตั ตุ) ปรสั สบท อตั ตโนบท บุรษุ เอก. พห.ุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ภาวยตุ ภาวยนตฺ ุ ภาวยตํ ภาวยนฺตํ นามโยค มัชฌิม ภาวย, ภาวยาหิ ภาวยถ ภาวยสฺสุ ภาวยวฺโห ตมุ หฺ โยค อตุ ตม ภาวยามิ ภาวยาม ภาวเย ภาวยามเส อมหฺ โยค ภู ธาตุ + เณ ปัจจัย + สตั ตมีวิภัตติ (เหตุกตั ต)ุ ปรสั สบท บุรษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ภาเวยฺย ภาเวยฺยุํ นามโยค มัชฌมิ ภาเวยยฺ าสิ ภาเวยฺยาถ ตมุ ฺหโยค อุตตม ภาเวยยฺ าม ิ ภาเวยยฺ าม อมหฺ โยค ภู ธาตุ + ณย ปัจจยั + สัตตมีวิภตั ติ (เหตกุ ตั ตุ) ปรัสสบท อัตตโนบท บรุ ษุ เอก. พหุ. เอก. พหุ. โยค ปฐม ภาวเย, ภาวเยยยฺ ภาวเยยยฺ ุํ ภาวเยถ ภาวเยรํ นามโยค มัชฌมิ ภาวเยยยฺ าสิ ภาวเยยยฺ าถ ภาวเยโถ ภาวเยยยฺ าวโฺ ห ตมุ หฺ โยค อุตตม ภาวเยยยฺ ามิ ภาวเยยฺยาม ภาวเยยฺยํ ภาวเยยฺยามเฺ ห อมหฺ โยค อ อาคม + ภู ธาตุ + เณ ปจั จยั + อชั ชตนวี ิภตั ติ (เหตุกตั ต)ุ ปรสั สบท บุรุษ เอก. พหุ. โยค ปฐม อภาเวสิ อภาเวสํุ นามโยค มชั ฌิม อภาเวสิ อภาวติ ถฺ ตมุ หฺ โยค อตุ ตม อภาเวสึ อภาวิมหฺ อมฺหโยค อ อาคม + ภู ธาตุ + ณย ปจั จัย + อัชชตนีวภิ ตั ติ (เหตุกตั ตุ) ปรัสสบท บุรษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม อภาวย ิ อภาวยึสุ, อภาวยุํ นามโยค มัชฌมิ อภาวยสิ อภาวยิตถฺ ตุมฺหโยค อตุ ตม อภาวยึ อภาวยิมฺห อมฺหโยค
144 ไวยากรณบ์ าลีเบอ้ื งต้น ภู ธาตุ + เณ ปจั จัย + ภวิสสนั ตีวิภัตติ (เหตุกตั ต)ุ ปรสั สบท บรุ ุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ภาเวสฺสติ ภาเวสฺสนฺติ นามโยค มชั ฌิม ภาเวสฺสสิ ภาเวสสฺ ถ ตุมฺหโยค อตุ ตม ภาเวสฺสามิ ภาเวสฺสาม อมหฺ โยค ภู ธาตุ + ณย ปจั จยั + ภวิสสนั ตีวิภัตติ (เหตกุ ัตต)ุ ปรัสสบท บุรษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ภาวยสิ ฺสติ ภาวยิสสฺ นฺต ิ นามโยค มัชฌิม ภาวยสิ สฺ สิ ภาวยสิ ฺสถ ตุมหฺ โยค อุตตม ภาวยสิ ฺสามิ ภาวยิสสฺ าม อมหฺ โยค ปจ ธาตุ + เณ ปจั จัย + วตั ตมานาวิภัตติ (เหตุกัตตุ) ปรสั สบท บรุ ษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาเจติ ปาเจนฺต ิ นามโยค มชั ฌมิ ปาเจสิ ปาเจถ ตุมฺหโยค อตุ ตม ปาเจมิ ปาเจม อมหฺ โยค ปจ ธาตุ + ณย ปจั จัย + วตั ตมานาวภิ ตั ติ (เหตกุ ัตตุ) ปรสั สบท บุรษุ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาจยติ ปาจยนตฺ ิ นามโยค มัชฌมิ ปาจยสิ ปาจยถ ตมุ หฺ โยค อุตตม ปาจยามิ ปาจยาม อมฺหโยค ปจ ธาตุ + ณาเป ปจั จัย + วัตตมานาวิภตั ติ (เหตกุ ตั ตุ) ปรสั สบท บรุ ษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาจาเปติ ปาจาเปนตฺ ิ นามโยค มัชฌมิ ปาจาเปสิ ปาจาเปถ ตุมฺหโยค อุตตม ปาจาเปมิ ปาจาเปม อมฺหโยค
145 อาขยาต วา่ ดว้ ยการสรา้ งค�ำ ศพั ทก์ ิริยา ปจ ธาตุ + ณาปย ปัจจัย + วตั ตมานาวภิ ัตติ (เหตุกัตต)ุ ปรสั สบท บุรษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาจาปยติ ปาจาปยนฺติ นามโยค มชั ฌิม ปาจาปยสิ ปาจาปยถ ตุมหฺ โยค อุตตม ปาจาปยามิ ปาจาปยาม อมหฺ โยค ปจ ธาตุ + เณ ปัจจยั + ปญั จมีวิภัตติ (เหตกุ ตั ตุ) ปรสั สบท บรุ ษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาเจตุ ปาเจนตฺ ุ นามโยค มชั ฌมิ ปาเจหิ ปาเจถ ตมุ ฺหโยค อุตตม ปาเจมิ ปาเจม อมฺหโยค ปจ ธาตุ + ณย ปจั จยั + ปัญจมวี ภิ ตั ติ (เหตุกตั ต)ุ ปรัสสบท บรุ ุษ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาจยตุ ปาจยนตฺ ุ นามโยค มัชฌมิ ปาจย, ปาจยาหิ ปาจยถ ตมุ หฺ โยค อตุ ตม ปาจยามิ ปาจยาม อมหฺ โยค ปจ ธาตุ + ณาเป ปัจจัย + ปัญจมวี ภิ ัตติ (เหตกุ ัตตุ) ปรัสสบท บรุ ษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาจาเปตุ ปาจาเปนฺตุ นามโยค มชั ฌมิ ปาจาเปหิ ปาจาเปถ ตุมหฺ โยค อตุ ตม ปาจาเปมิ ปาจาเปม อมฺหโยค ปจ ธาตุ + ณาปย ปจั จัย + ปญั จมีวิภตั ติ (เหตุกัตต)ุ ปรัสสบท บรุ ษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาจาปยตุ ปาจาปยนฺตุ นามโยค มชั ฌิม ปาจาปย, ปาจาปยาหิ ปาจาปยถ ตมุ หฺ โยค อตุ ตม ปาจาปยามิ ปาจาปยาม อมหฺ โยค
146 ไวยากรณ์บาลีเบื้องตน้ ปจ ธาตุ + เณ ปจั จัย + สัตตมวี ภิ ตั ติ (เหตกุ ตั ตุ) ปรัสสบท บรุ ุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาเจยฺย ปาเจยยฺ ํุ นามโยค มชั ฌิม ปาเจยยฺ าสิ ปาเจยฺยาถ ตุมฺหโยค อตุ ตม ปาเจยฺยามิ ปาเจยฺยาม อมหฺ โยค ปจ ธาตุ + ณย ปัจจัย + สัตตมวี ภิ ัตติ (เหตกุ ัตตุ) ปรสั สบท บุรษุ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาจเยยยฺ ปาจเยยยฺ ํุ นามโยค มชั ฌมิ ปาจเยยยฺ าสิ ปาจเยยยฺ าถ ตมุ หฺ โยค อตุ ตม ปาจเยยฺยามิ ปาจเยยยฺ าม อมหฺ โยค ปจ ธาตุ + ณาเป ปัจจยั + สตั ตมีวภิ ัตติ (เหตกุ ตั ต)ุ ปรัสสบท บรุ ุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาจาเปยฺย ปาจาเปยยฺ ํุ นามโยค มัชฌิม ปาจาเปยยฺ าสิ ปาจาเปยยฺ าถ ตมุ ฺหโยค อตุ ตม ปาจาเปยฺยามิ ปาจาเปยฺยาม อมฺหโยค ปจ ธาตุ + ณาปย ปัจจัย + สตั ตมวี ภิ ตั ติ (เหตกุ ัตต)ุ ปรสั สบท บรุ ุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาจาปเยยยฺ ปาจาปเยยฺยํุ นามโยค มัชฌิม ปาจาปเยยฺยาสิ ปาจาปเยยฺยาถ ตุมหฺ โยค อตุ ตม ปาจาปเยยยฺ ามิ ปาจาปเยยฺยาม อมฺหโยค ปจ ธาตุ + เณ ปจั จยั + ภวสิ สันตวี ิภัตติ (เหตกุ ตั ตุ) ปรสั สบท บรุ ษุ เอก. พหุ. โยค ปฐม ปาเจสฺสติ ปาเจสฺสนฺต ิ นามโยค มัชฌมิ ปาเจสสฺ สิ ปาเจสสฺ ถ ตุมหฺ โยค อุตตม ปาเจสสฺ ามิ ปาเจสฺสาม อมหฺ โยค
147 อาขยาต ว่าด้วยการสร้างคำ�ศพั ทก์ ริ ยิ า ปจ ธาตุ + ณย ปจั จยั + ภวสิ สนั ตวี ิภตั ติ (เหตกุ ตั ต)ุ ปรสั สบท บรุ ษุ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาจยิสฺสติ ปาจยิสฺสนฺต ิ นามโยค มชั ฌิม ปาจยสิ ฺสสิ ปาจยิสสฺ ถ ตุมหฺ โยค อุตตม ปาจยสิ สฺ ามิ ปาจยิสสฺ าม อมฺหโยค ปจ ธาตุ + ณาเป ปจั จยั + ภวสิ สันตวี ิภัตติ (เหตกุ ตั ต)ุ ปรัสสบท บุรุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาจาเปสสฺ ติ ปาจาเปสสฺ นตฺ ิ นามโยค มัชฌิม ปาจาเปสฺสสิ ปาจาเปสฺสถ ตุมหฺ โยค อตุ ตม ปาจาเปสฺสามิ ปาจาเปสสฺ าม อมหฺ โยค ปจ ธาตุ + ณาปย ปจั จัย + ภวิสสันตีวภิ ัตติ (เหตุกตั ต)ุ ปรสั สบท บุรุษ เอก. พห.ุ โยค ปฐม ปาจาปยิสสฺ ต ิ ปาจาปยสิ สฺ นตฺ ิ นามโยค มัชฌมิ ปาจาปยสิ สฺ สิ ปาจาปยสิ ฺสถ ตุมหฺ โยค อตุ ตม ปาจาปยสิ สฺ ามิ ปาจาปยิสฺสาม อมหฺ โยค R อเวยฺยากรโณ ตวฺ นโฺ ธ พธิโร โกสวชชฺ โิ ต สาหจิ จฺ รหิโต ปงคฺ ุ มโู ค ฉนฺทววิ ชฺชโิ ต ผไู้ มไ่ ด้ศึกษาไวยากรณ์เปรยี บเหมอื นคนตาบอด ผูไ้ ม่ไดศ้ กึ ษาคัมภรี ์อภธิ านเปรียบเหมอื นคนหูหนวก ผูไ้ มไ่ ด้ศึกษาคัมภรี อ์ ลงั การเปรียบเหมอื นคนง่อย ผู้ไม่ไดศ้ กึ ษาคมั ภรี ฉ์ ันท์เปรียบเหมือนคนใบ้
บทท่ี ๕ กิตก์ วา่ ดว้ ยการสรา้ งค�ำศัพท์นามกิตก์และกิรยิ ากิตก์ ความหมายของกติ ก์ คำ� วา่ “กติ ก”์ แปลวา่ นำ� ความสงสยั ของผศู้ กึ ษาออกไป เมอื่ รวู้ า่ ศพั ทน์ น้ั ๆ ประกอบดว้ ย ปจั จยั อะไร มวี เิ คราะหว์ า่ “สสิ สฺ านํ กงขฺ ํ กริ ติ อปเนตตี ิ กโิ ต, ณาทปิ จจฺ โย” ชอื่ วา่ กติ เพราะนำ� ความสงสัยของศษิ ยอ์ อกไป, ได้แกป่ จั จัยมี ณ เป็นต้น (กิร วกิ ิรเณ ในการเกล่ีย + ต ปจั จยั ) ในคัมภรี เ์ ภทจนิ ตาฎกี า กล่าวไวว้ ่า “ปจจฺ ยํ หิ ทสิ วฺ า สาธเน นิราสงโฺ ก โหต”ิ จรงิ อยู่ ผู้ศึกษาเห็นปัจจัยแล้ว ย่อมเป็นผู้หมดความสงสัยในสาธนะ ฉะน้ัน ที่ชื่อว่ากิต จึงได้แก่ กลุ่มของปัจจัยท่ีลงหลังธาตุ นักศึกษาจะหมดความสงสัยในเร่ืองสาธนะ เม่ือเห็นรูปศัพท์แล้ว รู้ว่ามาจากปัจจัยอะไร ก็จะบอกได้ทันทีว่าเป็นสาธนะอะไร ซึ่งจะช่วยให้แปลถูกต้องตาม วัตถุประสงคท์ ี่แทจ้ ริงได้ ๑. กิตก์ มี ๓ กลุม่ ตามกลมุ่ ของปจั จัย ดังน้ี ๑.๑ กจิ จปัจจยั มี ๕ ตวั คอื ตพพฺ , อนีย, ณฺย, เตยฺย และ รจิ จฺ ปจั จัย เปน็ เคร่ืองหมาย กัมมวาจก เหตุกัมมวาจก และภาววาจก ถ้าลงหลังจากสกัมมกธาตุ เป็นกัมมวาจก และ ถ้าลงหลังจากธาตุท่ีมีการิตปัจจัย เป็นเหตุกัมมวาจก ส่วนที่ลงหลังจากอกัมมกธาตุ เป็น ภาววาจก ๑.๒ กิตปัจจัย มี ๔๓ ตวั คอื ณ, อ, ณวฺ ุ, ตุ, อาว,ี ย,ุ รตถฺ ุ, ริตุ, ราตุ, กฺว,ิ รมฺม, ณ,ี รู, ณกุ , ร, อิ, ต,ิ ริริย, อิน, ข, ต, ตุก อิก (เตกาลิก), ต, ตวนฺต,ุ ตาว,ี กฺต (อตีตกาลกิ ), ตเว, ตํ,ุ ตุน, ตฺวาน, ตฺวา (ตเวตนุ าทปิ ัจจยั ), มาน, อนฺต (วตั ตมานกาลกิ ), ณี, ฆิณฺ, ณฺวุ, ตุ, ณ, สฺส,ํ นฺตุ, มาน และ อาน ปจั จยั (อนาคตกาลกิ ) รูปสำ� เรจ็ เป็นกริ ยิ ากติ ก์กม็ ี เป็นนามกิตกก์ ม็ ี ทเ่ี ปน็ กริ ิยากติ ก์ เปน็ ได้ทั้ง ๕ วาจก ไดแ้ ก่ กตั ตุวาจก, เหตุกตั ตุวาจก, กมั มวาจก, เหตุกัมมวาจก และภาววาจก ๑.๓ อุณาทปิ ัจจัย มี ๔๓ ตัว คอื ณ,ุ ยุ, กฺต, มิ, มน,ฺ ถ, ม, ล, ย, ยาณ, ลาณ, ณ,ี ฉ, ตฺย, ตฺยุ, ถ,ุ ตตฺ ิม, ณิม, อานิ, ต, ตฺรณ,ฺ ณิตตฺ , ตตฺ ,ิ ติ, ฒ, , ธ, ท, อทิ ฺท, ก, อิร, อล, อม, ตุ, ทุ, อวี ร, อิ, อรู , น,ุ อสุ ฺส, นุส, อิส และ การ ปัจจยั รปู ส�ำเรจ็ เป็นนามกติ กท์ ้ังหมด
149 กิตก์ วา่ ดว้ ยการสร้างคำ�ศพั ท์นามกติ ก์และกิรยิ ากติ ก์ ๒. กติ ก์ มี ๓ กลุ่ม ตามประเภทหน้าทขี่ องศัพท์ กติ ก์ เมอ่ื จดั แบง่ ตามของหนา้ ทข่ี องศพั ท์ มี ๒ ประเภท คอื กริ ยิ ากติ ก์ กบั นามกติ ก์ ดงั นี้ ๒.๑ กริ ิยากติ ก์ มี ๒ จำ� พวก คือ ๒.๑.๑ ใชท้ ำ� หน้าท่ีเป็นกริ ยิ าคมุ พากยเ์ หมือนกิรยิ าอาขยาต มีปัจจัย ๕ ตัว คอื ต, อนีย, ตพพฺ , เตยฺย, กฺต ปัจจยั ๒.๑.๒ ใชท้ ำ� หนา้ ทเี่ ปน็ กริ ยิ าในระหวา่ ง ซงึ่ ยงั ไมจ่ บขอ้ ความของประโยค มปี จั จยั ๙ ตัว แบง่ ออกเปน็ ๓ พวก ตามกาลทง้ั สาม คือ (๑) อดีตกาล มปี จั จัย ๓ ตวั ได้แก่ ตุน, ตวฺ า และ ตวฺ าน ปัจจยั แปลว่า “.....แล้ว” (๒) ปัจจบุ นั กาล มปี จั จยั ๒ ตวั ไดแ้ ก่ อนฺต และ มาน ปจั จัย แปลวา่ “.....อยู่” หรอื “เม่ือ.....” (๓) อนาคตกาล มีปัจจัย ๔ ตัว ได้แก่ สฺสํ, นฺตุ, มาน และ อาน ปัจจัย แปลว่า “จะ.....” ๒.๒ นามกติ ก์ ใช้ท�ำหนา้ เป็นนามบท มีปจั จัย ๖๑ ตวั คือ ริจฺจ, ณ, อ, ณฺวุ, ยุ, ม,ิ ตุ, อาว,ี ยุ, รตถฺ ,ุ รติ ,ุ ราต,ุ กวฺ ิ, รมมฺ , ณ,ี รู, ณุก, ร, อ,ิ ติ, รริ ยิ , อนิ , ข, ตกุ , อิก, ฆณิ ,ฺ ณุ, มน,ฺ ถ, ม, ล, ย, ยาณ, ลาณ, ฉ, ตยฺ , ตยฺ ,ุ ถ,ุ ตฺติม, ณมิ , อาน,ิ ตรฺ ณฺ, ณิตฺต, ตตฺ ิ, ฒ, ฐ, ธ, ท, อทิ ทฺ , ก, อิร, อล, อม, ท,ุ อวี ร, อูร, น,ุ อุสสฺ , นสุ , อิส และ การปัจจัย ๒.๓ ปจั จยั ทเี่ ป็นได้ทง้ั กริ ยิ ากติ กแ์ ละนามกิตก์ มี ๔ ตวั คอื ๒.๓.๑ ณฺย ปจั จัย - เปน็ กริ ยิ ากิตก์ เช่น วิ เฺ ยฺยํ พงึ ถูกรู้ (วิ + า + ณฺย) เป็นตน้ - เปน็ นามกิตก์ เชน่ วากฺยํ พากย,์ ประโยค (วจ + ณยฺ ) เป็นต้น ๒.๓.๒ ต ปัจจยั - เปน็ กริ ิยากิตก์ เช่น ปสนโฺ น เลอ่ื มใสแล้ว (ป + สท + ต) เปน็ ตน้ - เปน็ นามกติ ก์ เช่น พุทฺโธ พระพุทธเจ้า, ผูต้ รสั รู้ (พธุ + ต), สตโฺ ต สัตว์, ผขู้ อ้ งอยู่ (สนฺช + ต), จติ ตฺ ํ จติ , สภาพทีร่ ู้อารมณ์ (จนิ ตฺ + ต) เป็นตน้ (พธุ คมาทติ ฺเถ กตฺตร,ิ ฉทาทหี ิ ตตรฺ ณ)ฺ ๒.๓.๓ กฺต ปจั จัย - เป็นกิรยิ ากติ ก์ เชน่ วทิ ิโต ถูกรแู้ ล้ว (วทิ + กตฺ ) เป็นต้น - เปน็ นามกิตก์ เช่น ตาโต พอ่ (ตา + กฺต) เปน็ ตน้ ๒.๓.๔ รจิ ฺจ ปจั จัย - เป็นกริ ิยากติ ก์ เชน่ กจิ ฺจํ พึงถกู กระทำ� (กร + ริจฺจ) เปน็ ตน้ - เปน็ นามกิตก์ เช่น กจิ จํ กิจ (กร + ริจจฺ ) เปน็ ตน้
150 ไวยากรณ์บาลเี บ้อื งต้น ๓. จัดประเภทตามกาลและกลมุ่ ของปัจจัย มี ๖ ประเภท คือ ๓.๑ เตกาลิกปัจจัย ปัจจัยท่ีลงในกาลท้ังสาม มีปัจจัยท้ังหมด ๒๘ ตัว แบ่งเป็น ๒ กลุม่ คือ ๓.๑.๑ เตกาลิก กิจจปัจจัย เป็นได้ทั้ง ๓ กาล มีปัจจัย ๕ ตัว คือ ตพฺพ, อนยี , ณยฺ , เตยฺย และ รจิ ฺจ ปจั จยั ๓.๑.๒ เตกาลกิ กิตกปจั จยั เปน็ ได้ทั้ง ๓ กาล มีปจั จยั ๒๓ ตัว คอื ณ, อ, ณฺวุ, ต,ุ อาวี, ยุ, รตถฺ ุ, ริตุ, ราตุ, กวฺ ิ, รมมฺ , ณี, รู, ณกุ , ร, อิ, ติ, รริ ิย, อิน, ข, ต, ตุก และ อกิ ปจั จัย ๓.๒ อตตี ปจั จยั มีปจั จัย ๔ ตวั คือ ต, ตวนฺตุ, ตาวี และ กฺต ปจั จยั ๓.๓ ตเวตุนาทิปัจจัย มีปัจจัย ๕ ตัว คือ ตเว ปัจจัย ใช้ในอรรถจตุตถีวิภัตติ ตุํ ปจั จยั ใชใ้ นอรรถปฐมาวิภตั ตแิ ละจตุตถีวิภัตติ ส่วน ตนุ , ตฺวาน และ ตฺวา ปจั จยั เปน็ อดตี กาล ปัจจัยท้งั ๕ ตัวนี้ รูปสำ� เรจ็ เป็นอพั ยยศัพท์ ๓.๔ วัตตมานกาลิกปัจจัย ปัจจัยท่ีลงในปัจจุบันกาล มี ๒ ตัว คือ อนฺต และ มาน ปัจจัย ๓.๕ อนาคตกาลิกปัจจัย ปัจจยั ท่ีลงในอนาคตกาล มี ๙ ตวั คือ ณี, ฆิณ,ฺ ณฺวุ, ตุ, ณ, สฺสํ, นตฺ ,ุ มาน และ อาน ปัจจัย ๓.๖ อุณาทปิ จั จัย มี ๔๓ ตวั คอื ณุ, ยุ, กตฺ , ม,ิ มนฺ, ถ, ม, ล, ย, ยาณ, ลาณ, ณ,ี ฉ, ตยฺ , ตฺย,ุ ถ,ุ ตตฺ ิม, ณิม, อานิ, ต, ตฺรณ,ฺ ณิตตฺ , ตฺติ, ติ, ฒ, , ธ, ท, อทิ ทฺ , ก, อิร, อล, อม, ต,ุ ทุ, อวี ร, อิ, อรู , น,ุ อสุ สฺ , นสุ , อสิ และ การ ปัจจยั รูปสำ� เร็จเป็นนามกติ ก์ วเิ คราะห์ (การให้ค�ำจ�ำกัดความของศพั ท)์ เน่ืองจากกิตก์ เป็นการศึกษาเก่ียวกับการให้ค�ำจ�ำกัดความ ความหมายของค�ำศัพท์ ทง้ั ทเี่ ปน็ กริ ยิ ากติ ก์ และนามกติ ก์ ดงั นนั้ จงึ เกยี่ วขอ้ งกบั การวเิ คราะห์ ซง่ึ บาลเี รยี กวา่ “วคิ คฺ ห” บา้ ง เรียกว่า “วจนตฺถ”บ้าง ดังมีบาลีว่า “นิปฺผนฺนสฺส อตฺโถ วิเสเสน คยฺหติ เอเตนาติ วิคฺคโห” (วิ + คห อุปาทาเน ในการถือเอา + อ) แปลว่า ช่ือว่า วิเคราะห์ เพราะเป็นเครื่องถือเอา ความหมายของค�ำศัพท์ หรือบททส่ี �ำเร็จแลว้ โดยพิเศษ สาธนะ ๗ ค�ำว่า “สาธนะ” หมายถงึ ศัพท์เป็นเครอื่ งกระทำ� กริ ิยาใหบ้ ริบูรณ์ยงิ่ ขึ้น เพราะประกอบ ด้วยกริ ิยานุเคราะห์ตา่ งๆ อนั แสดงเนื้อความให้ชัดเจนได้ ดงั มีวิเคราะหว์ า่ “สาธียติ นปิ ผฺ าทียติ กฺรยิ า เอเตนาติ สาธน”ํ (สาธ สิทธฺ ิมหฺ ิ ในความสำ� เรจ็ + เณ + ยปุ จั จัย) เช่น บทวา่ “ทาน”ํ
151 กติ ก์ วา่ ด้วยการสร้างค�ำ ศพั ทน์ ามกติ ก์และกริ ิยากิตก์ มาจาก “ทา ธาตุ + ยุ ปัจจัย” ทา ธาตุล้วนๆ กล่าวอรรถคือ “ให้” มีเน้ือความไม่ชัดเจนว่า หมายถึง “ผู้ให้” หรือ “สิ่งท่ีถูกให้” เป็นต้น เมื่อลง ยุปัจจัยในอรรถภาวสาธนะ ท�ำให้ทราบว่า “ทาน”ํ หมายถงึ “การให้” เม่ือลง ยปุ จั จยั ในอรรถกมั มสาธนะ ท�ำให้ทราบวา่ “ทาน”ํ หมายถงึ “ส่ิงท่ีถูกให้” เม่ือลง ยุ ปัจจัยในอรรถกรณสาธนะ ท�ำให้ทราบว่า “ทานํ” หมายถึง “เจตนา อันเป็นเครื่องให้” เม่ือลง ยุ ปัจจัยในอรรถอธิกรณสาธนะ ท�ำให้ทราบว่า “ทานํ” หมายถึง “โรงทานอนั เป็นสถานท่ใี ห้” เปน็ ตน้ ฉะนัน้ สาธนศัพทต์ า่ งๆ จึงสามารถทำ� ให้กิรยิ าบริบรู ณ์ ย่ิงขน้ึ เพราะแสดงเน้อื ความให้ชัดเจนได้ สาธนะนั้นมี ๗ ประการ ดังน้ี (๑) กัตตุสาธนะ สาธนะอันกลา่ วกัตตา(ผกู้ ระท�ำ) อนั มชี ่วั คราวในประโยครูปวเิ คราะห์ เมื่อสำ� เรจ็ เปน็ กติ กแ์ ล้ว แปลวา่ “ผ้.ู ....” เปน็ กตั ตุรปู อย่างเดยี ว เช่น พุชฺฌตตี ิ พทุ โฺ ธ ยอ่ มตรัสรู้ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ ว่าพทุ ฺธ (ผู้ตรัสรู้) (๒) กัมมสาธนะ สาธนะอันกล่าวกรรม (สิ่งท่ีถูกกระท�ำ) อันมีช่ัวคราวในประโยค รูปวิเคราะห์ เมื่อส�ำเร็จเป็นกิตก์แล้ว เป็นกัตตุรูป แปลว่า “เป็นที่.....” เป็นกัมมรูป แปลว่า “เปน็ ทีอ่ นั เขา.....” “ถกู .....” หรือ “อันเขา.....” เช่น - เทสียตีติ เทสนา (กมั มรูป, กัมมสาธนะ) ยอ่ มถกู แสดง เพราะเหตนุ ั้น ชื่อวา่ เทสนา (ธรรมท่ีถกู แสดง) - พชุ ฌฺ ิตพฺพนฺติ พุทธฺ ํ (กมั มรูป, กมั มสาธนะ) พงึ ถกู รู้ เพราะเหตนุ ั้น ชื่อว่าพทุ ฺธ (พึงถูกรู)้ - ปยิ ติ นนตฺ ิ ปิโย (กัตตุรูป, กมั มสาธนะ) ยอ่ มรัก ซ่ึงบุตรนัน้ เพราะเหตุนน้ั ชื่อวา่ ปยิ (เป็นท่ีรกั ) ข้อสังเกต : จะใช้กิริยาอาขยาตหรือกิริยากิตก์ที่เป็นกัมมรูป หรือบางกรณีใช้กิริยา อาขยาตท่ีเป็นกัตตุรูป และใช้วิเสสนสัพพนาม ซ่ึงส่วนใหญ่จะอยู่ติดกับอิติศัพท์ประกอบด้วย “ทุติยาวิภตั ต”ิ กม็ ีบา้ ง (๓) กรณสาธนะ สาธนะอนั กลา่ วกรณะ (เครอื่ งมอื ) อนั มชี วั่ คราวในประโยครปู วเิ คราะห์ เมื่อสำ� เรจ็ เป็นกติ กแ์ ลว้ เปน็ กตั ตรุ ูป แปลว่า “เปน็ เครือ่ ง.....” หรอื “เปน็ เหตุ.....” เป็นกมั มรปู แปลวา่ “เปน็ เครอ่ื งอันเขา.....” หรือ “เปน็ เหตอุ นั เขา.....” เช่น - วิเนติ เอเตนาติ วินโย (กตั ตุรปู , กรณสาธนะ) ย่อมแนะนำ� ดว้ ยอบุ ายนน่ั เพราะเหตุน้นั อุบายนน่ั ชื่อวา่ วนิ ย (อุบาย เปน็ เครอื่ ง แนะนำ� ) - กลยี ติ ปรมิ ียติ อทุ กํ เอเตนาติ กลลํ (กมั มรูป, กรณสาธนะ) น�้ำ ย่อมถูกวัดปริมาณ ด้วยตมน้ัน เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า กลล (ตมเป็นเคร่ือง อนั เขา วัดปรมิ าณน้�ำ)
152 ไวยากรณ์บาลเี บอื้ งตน้ ขอ้ สงั เกต : วเิ สสนสัพพนาม ซ่ึงสว่ นใหญ่จะอยู่ติดกบั อติ ิศัพท์ จะประกอบด้วย “ตติยา วิภตั ต”ิ เสมอ (๔) สัมปทานสาธนะ สาธนะอันกล่าวสัมปทาน (ผู้รับ) อันมีชั่วคราวในประโยค รูปวิเคราะห์ เม่ือส�ำเร็จเป็นกิตก์แล้ว เป็นกัตตุรูป แปลว่า “เป็นที่.....” เป็นกัมมรูป แปลว่า “เป็นทีอ่ นั เขา.....” เชน่ - สมฺมา ปกาเรน ททาติ อสฺสาติ สมฺปทานํ (กตั ตุรปู , สัมปทานสาธนะ) ย่อมให้ โดยประการ โดยชอบ แก่บุคคลน้ัน เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า สมฺปทาน (เป็นทใ่ี ห้) - ทาตพโฺ พ อสฺสาติ ทานีโย (กัมมรูป, สมั ปทานสาธนะ) อันบุคคลพงึ ให้ แกบ่ คุ คลนนั้ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ ทานยี (เปน็ ทอี่ นั เขาพงึ ให)้ ขอ้ สงั เกต : วิเสสนสัพพนาม ซ่งึ สว่ นใหญ่จะอยู่ติดกับอิตศิ ัพท์ จะประกอบดว้ ย “จตุตถี วภิ ัตต”ิ เสมอ (๕) อปาทานสาธนะ สาธนะอันกล่าวอปาทาน (ที่หลกี ออก) อนั มีช่วั คราวในประโยค รูปวเิ คราะห์ เมอ่ื ส�ำเร็จเปน็ กติ กแ์ ลว้ แปลวา่ “เป็นแดน.....” เป็นกตั ตรุ ปู อย่างเดียว เชน่ ปภวติ เอตสฺมาติ ปภโว ยอ่ มเกิดในเบอื้ งแรก จากทนี่ ั่น เพราะเหตนุ ั้น ช่อื วา่ ปภว. (เป็นแดนเกิดกอ่ น) ข้อสังเกต : วิเสสนสัพพนาม ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ติดกับอิติศัพท์ จะประกอบด้วย “ปญั จมวี ภิ ัตติ” เสมอ (๖) อธกิ รณสาธนะ สาธนะอันกล่าวอธิกรณะ (ที่รองรับ, โอกาส, ที่วา่ ง) อันมีชั่วคราว ในประโยครูปวิเคราะห์ เม่ือสำ� เร็จเป็นกิตก์แล้ว เป็นกัตตุรูป แปลว่า “เป็นท่ี.....” เป็นกัมมรูป แปลวา่ “เป็นทอ่ี ันเขา.....” หรอื “เป็นทีถ่ กู .....” เชน่ - วิเนติ เอตถฺ าติ วนิ โย (กัตตรุ ูป, อธิกรณสาธนะ) ย่อมแนะนำ� ในท่ีนี้ เพราะเหตนุ ัน้ ชือ่ วา่ วินย (เป็นทีแ่ นะนำ� ) - ชลํ ธียเต อสมฺ นิ ตฺ ิ ชลธิ (กมั มรปู , อธกิ รณสาธนะ) นำ้� ย่อมถกู ทรงไว้ ในที่น้ี เพราะเหตุนน้ั ช่ือวา่ ชลธิ (เป็นทถ่ี ูกทรงน้�ำไว้) ข้อสังเกต : วิเสสนสัพพนาม ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ติดกับอิติศัพท์ จะประกอบด้วย “สตั ตมีวิภตั ติ” เสมอ (๗) ภาวสาธนะ สาธนะอนั กล่าวกริ ยิ า อันมีช่วั คราวในประโยครูปวเิ คราะห์ เมื่อสำ� เร็จ เป็นกติ ก์แลว้ แปลว่า “การ....., ความ..... หรือ อัน.....” เปน็ ภาวรปู อย่างเดียว เช่น - ภยู เต ภยู มานํ (กิริยาอาขยาต ภาวรูป, ภาวสาธนะ) อนั เขาเป็นอยู่ ชื่อวา่ ภยู มาน. (ความเป็นอย)ู่ - จินตฺ นํ จนิ ตฺ า (กิริยากติ ก์ ภาวรูป, ภาวสาธนะ) อ.ความคิด ช่ือวา่ จนิ ฺตา (ความคิด) เป็นต้น
153 กิตก์ ว่าด้วยการสรา้ งคำ�ศพั ทน์ ามกิตกแ์ ละกิรยิ ากิตก์ ข้อสังเกต : จะใช้กิริยาอาขยาต ภาวรูป หรือกิริยากิตก์ท่ีลง ยุ ปัจจัยในอรรถภาวะ มาตงั้ เปน็ รปู วิเคราะหก์ ไ็ ด้ หมายเหตุ : วเิ สสนสัพพนามทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์และเปน็ เคร่ืองสงั เกตใหท้ ราบสาธนะ วา่ เปน็ สาธนะอะไรน้ัน ใช้ ๔ ตัว คือ ย, ต, เอต และ อมิ ศพั ท์ ใหส้ งั เกตวา่ วเิ สสนสัพพนามทงั้ ส่ี ตวั ดังกล่าว ประกอบดว้ ยวิภัตติอะไร ก็จะเปน็ สาธนะน้ันๆ ตามวภิ ตั ตทิ ปี่ ระกอบอยู่ และวิเสสน สพั พนามน้ี ต้องมีลงิ ค์เหมอื นลงิ ค์ของบทสำ� เร็จที่เปน็ สาธนะ เชน่ - วเิ นติ เอเตนาติ วนิ โย (วิ + นี นเย ในการน�ำไป + อ) (กัตตุรปู , กรณสาธนะ) ยอ่ มแนะน�ำ ด้วยอุบายนน่ั เพราะเหตุนนั้ อุบายนน่ั ชื่อวา่ วินย (อบุ ายเป็นเครือ่ ง แนะนำ� ) ในตวั อยา่ งน้ี บทสำ� เรจ็ คือ “วินโย” เป็นปุงลงิ ค์ เพราะฉะนั้น วิเสสนสพั พนาม ท่ีเปน็ ตวั บอกให้ทราบสาธนะ ก็ต้องเป็นปงุ ลิงค์ดว้ ย ในทนี่ ี้ วเิ สสนสพั พนามท่ใี ช้ คือ “เอเตน” มาจาก “เอต + นาตติยาวภิ ัตติ” เปน็ ปุงลงิ คด์ ว้ ย และประกอบดว้ ยตติยาวิภตั ติ ฉะนน้ั จึงเปน็ กรณสาธนะ - กเถติ เอตายาติ กถา (กถ กถเน ในการกล่าว + อ + อา) (กัตตรุ ูป, กรณสาธนะ) ย่อมกล่าว ด้วยวาจานี้ เพราะเหตนุ ้ัน วาจาน้ี ชื่อว่ากถา (วาจาเป็นเครอื่ งกล่าว) ในตัวอยา่ งนี้ บทสำ� เร็จ คอื “กถา” เปน็ อติ ถลี ิงค์ เพราะฉะนน้ั วิเสสนสัพพนาม ที่เป็นตัวบอกให้ทราบสาธนะ ก็ต้องเป็นอิตถีลิงค์ด้วย ในที่นี้ วิเสสนสัพพนามที่ใช้ คือ “เอ ตาย” มาจาก “เอตา + นา ตติยาวิภัตต”ิ เปน็ อติ ถลี ิงคด์ ว้ ยและประกอบดว้ ยตติยาวิภัตติ ฉะน้ัน จึงเป็นกรณสาธนะ - วินฺทติ ตุสฺสติ อเนนาติ วิตฺตํ, ธนํ (วิท ตุฏฺฐิยํ ในความยินดี + ต) (กัตตุรูป, กรณสาธนะ) ยอ่ มยนิ ดี ดว้ ยทรพั ยน์ ้ี เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ วติ ตฺ , ไดแ้ กท่ รพั ย์ (เปน็ เครอื่ งปลมื้ ใจ) ในตวั อยา่ งนี้ บทส�ำเรจ็ คอื “วติ ตฺ ํ” เปน็ นปงุ สกลงิ ค์ เพราะฉะนนั้ วเิ สสนสพั พนาม ที่เป็นตัวบอกให้ทราบสาธนะ ก็ต้องเป็นนปุงสกลิงค์ด้วย ในที่นี้ วิเสสนสัพพนามท่ีใช้ คือ “อเนน” มาจาก “อิม + นา ตติยาวิภัตติ” เป็นนปุงสกลิงค์ด้วย และประกอบด้วยตติยาวิภัตติ ฉะน้ัน จงึ เปน็ กรณสาธนะ
154 ไวยากรณ์บาลีเบอ้ื งต้น แผนผังโครงสรา้ งการต้ังวเิ คราะห์กิตกโ์ ดยสังเขป (๑) กัตตุสาธนะ ๑.๑ กตั ตุรูป กัตตุสาธนะ (วุตตกตั ตสุ าธนะ) .................ตตี ิ = ..............., (...........) แปลวา่ “ผ.ู้ ..” ๑.๒. กัตตรุ ปู ตสั สีลสาธนะ .................ติ สเี ลนาติ = ..............., (..........) แปลวา่ “ผู้...โดยปกต”ิ ๑.๓ สมาสรปู ตัสสีลสาธนะ .................ตุํ สลี มสสฺ าติ = ..............., (...........) แปลวา่ “ผมู้ อี นั ...เปน็ ปกต”ิ ๑.๔ กัมมรปู อวตุ ตกตั ตุสาธนะ .................อยี เต (นาม+ปฐมา) เอเตนาติ = ..............., (...........) แปลวา่ “ผ.ู้ ..” (๒) กัมมสาธนะ ๒.๑ กตั ตรุ ปู กัมมสาธนะ .................ติ ตนตฺ ิ = ..............., (...........) แปลวา่ “เป็นท่ี...” ๒.๒ กมั มรปู กัมมสาธนะ (อาขยาต) .................อยี เตติ = ..............., (...........) แปลวา่ “อนั เขา..., ถกู ...” ๒.๓ กัมมรปู กัมมสาธนะ (กติ ก)์ .................ตพโฺ พต,ิ ตพพฺ าต,ิ ตพพฺ นตฺ ิ = ..............., (...........) แปลวา่ “อนั เขาพงึ ...,พงึ ถกู ...” (๓) กรณสาธนะ ๓.๑ กัตตุรูป กรณสาธนะ .................ติ เอเตนาต,ิ เอตายาติ = ..............., (...........) แปลวา่ “เป็นเคร่ือง...” ๓.๒ กัมมรปู กรณสาธนะ .................อยี เต เอเตนาต,ิ เอตายาติ = ..............., (...........) แปลวา่ “เปน็ เครอ่ื งอนั เขา...” (๔) สมั ปทานสาธนะ ๔.๑ กตั ตุรูป สัมปทานสาธนะ .................ติ เอตสสฺ าต,ิ เอตายาติ = ..............., (...........) แปลว่า “เป็นท่ี...” ๔.๒ กมั มรูป สมั ปทานสาธนะ .................อยี เต เอตสสฺ าต,ิ เอตายาติ = ..............., (...........) แปลว่า “เป็นทีอ่ นั เขา...” (๕) อปาทานสาธนะ ๕.๑ กตั ตรุ ูป อปาทานสาธนะ .................ติ เอตสมฺ าต,ิ เอตายาติ = ..............., (...........) แปลวา่ “เปน็ แดน...”
155 กติ ก์ วา่ ดว้ ยการสรา้ งคำ�ศพั ทน์ ามกติ ก์และกริ ยิ ากติ ก์ (๖) อธิกรณสาธนะ ๖.๑ กตั ตุรปู อธกิ รณสาธนะ .................ติ เอตถฺ าต,ิ เอตสมฺ นิ ตฺ ,ิ เอตายนตฺ ิ = ................, (...........) แปลว่า “เป็นท.ี่ ..” ๖.๒ กัมมรปู อธกิ รณสาธนะ .................อยี เต เอตถฺ าต,ิ เอตสมฺ นิ ตฺ ิ เอตายนตฺ ิ = ................, (...........) แปลวา่ “เปน็ ทอี่ นั เขา...” (๗) ภาวสาธนะ ๗.๑ ภาวรูป ภาวสาธนะ อกมั มธาตุ (อาขยาต) .................ยเตติ = ..............., (ไมม่ ีอญั ญบท) แปลวา่ “การ...,ความ...,อนั ...” ๗.๒ ภาวรูป ภาวสาธนะ สกมั มธาตุ (กิตก)์ .................น,ํ ณํ (ยปุ จั จยั ) = ..............., (ไมม่ ีอัญญบท) แปลวา่ “การ...,ความ...,อนั ...” รปู ท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ศพั ทม์ ี ๓ คือ ๑. กตั ตรุ ปู (ใช้กริ ิยาอาขยาต กตั ตุรูปอยา่ งเดียว) ๑.๑ กตั ตรุ ูป เชน่ พชุ ฌฺ ตีติ พทุ โฺ ธ (กัตตุรปู , กัตตุสาธนะ) ๑.๒ เหตกุ ตั ตุรูป เชน่ ภาเวตตี ิ ภาเวนฺโต (กัตตรุ ูป, กตั ตสุ าธนะ) ๒. กัมมรปู (ใชก้ ริ ยิ าอาขยาต หรอื กิริยากติ ก์ทเ่ี ป็นกมั มรปู และเหตุกมั มรปู ) ๒.๑ กัมมรปู เช่น เทสยี ตีติ เทสนา (กมั มรปู , กัมมสาธนะ) (อาขยาต) ทกุ เฺ ขน รกขฺ ติ พพฺ นตฺ ิ ทรุ กขฺ ํ (กมั มรปู , กมั มสาธนะ) (กติ ก)์ ๒.๒ เหตุกัมมรูป เช่น ภาวียตีติ ภาวนา (กัมมรปู , กัมมสาธนะ) (อาขยาต) ๓. ภาวรปู (ใชก้ ริ ยิ าอาขยาตทเ่ี ปน็ ภาวรปู หรอื ใชก้ ริ ยิ ากติ กท์ ลี่ งยปุ จั จยั ในอรรถภาวะ) เช่น ภูยเต ภวติ พพฺ ํ (ภาวรูป, ภาวสาธนะ) (อาขยาต) คมนํ คติ (ภาวรูป, ภาวสาธนะ) (กิตก)์ ส่วนประกอบของกติ ก์ กิตก์ท้งั ทเ่ี ป็นกิริยากิตกแ์ ละนามกิตก์ มีส่วนประกอบ ๒ อยา่ ง คอื ธาตุ + ปัจจัย ๑. ธาตุ คอื รากศพั ท์ เปน็ บ่อเกิดความหมายของคำ� ศัพท์ต่างๆ ๒. ปจั จยั คอื อกั ษรพวกหนงึ่ ทล่ี งหลงั ธาตุ เปน็ เหตใุ หท้ ราบสาธนะของศพั ทท์ สี่ �ำเรจ็ แลว้ ทัง้ ธาตุและปัจจยั เมอ่ื ประกอบรูปส�ำเรจ็ เปน็ ศัพท์แล้ว ให้ลงวิภตั ตนิ ามและแจกปทมาลา เหมือนในนามกัณฑ์ทุกประการ ยกเว้นกลุ่มตุนาทิปัจจัย รูปส�ำเร็จเป็นอัพยยศัพท์ ไม่ต้องแจก ปทมาลา แต่ต้องลงวิภัตตแิ ลว้ ให้ลบวภิ ตั ติท้ิงเสีย
156 ไวยากรณบ์ าลีเบื้องตน้ อนุพันธ์ (อาขยาตและกิตก์) ค�ำว่า “อนุพันธ์” แปลว่า อักษรท่ีติดตามมากับปัจจัย เป็นเคร่ืองหมายให้รู้วิธีท�ำ บางอยา่ ง และจะตอ้ งถกู ลบไปเสมอ ไมม่ ปี ระกอบอยู่ในบาลี ดงั มคี �ำที่ท่านกล่าวไว้วา่ “อนพุ นโฺ ธ อปฺปโยคี” อนุพันธ์ ได้แก่อักษรท่ีไม่มีการประกอบในอุทาหรณ์บาลี อนุพันธ์น้ี มี ๖ ตัว คือ ก,ฺ ขฺ, ฆ,ฺ ณ,ฺ นฺ และ รฺ ดงั นี้ (๑) กฺ อนพุ นั ธ์ มีปัจจยั ๒ ตวั คือ กฺต และ ก ปัจจัย (๒) ขฺ อนพุ ันธ์ มีปัจจยั ๑ ตัว คือ ข ปจั จัย (๓) ฆฺ อนพุ นั ธ์ มีปจั จัย ๑ ตวั คอื ฆิณฺ ปัจจยั (๔) ณฺ อนพุ ันธ์ มีปจั จยั ๑๔ ตัวและตัวอาเทศ ๒ ตวั รวมทั้งหมด ๑๖ ตวั คือ เณ, ณย, ณาเป, ณาปย, ณยฺ , ณ, ณ,ี ฆณิ ,ฺ ณวฺ ุ, ณุ, ณกุ , ณิม, ณติ ตฺ , ตรฺ ณฺ เหรณฺ, และ หีรณฺ อาเทศปจั จยั (๕) นฺ อนุพันธ์ มปี ัจจัย ๑ ตวั คือ มนฺ ปจั จยั (๖) รอฺ นพุ ันธ์ มีปจั จัย ๘ ตวั คอื รจิ จฺ , รตถฺ ,ุ ราต,ุ รติ ุ, ร,ู รมฺม, ร และ รริ ยิ ปัจจัย และ ตัวอาเทศ ๕ ตวั คือ รฏิ ฐฺ , รฏิ ฐฺ ิ, รฏฺฐํุ, รฏฐฺ า และ รจฺจ อาเทศ รวมทัง้ หมด ๑๓ ตัว โครงสร้างประโยคภาษาบาลีทปี่ ระกอบกิริยากติ ก์มี ๕ วาจก ๑. ประโยคกัตตวุ าจก เช่น สโู ท โอทนํ ปจนฺโต... หรือ ปจติ ฺวา... อ.พ่อครัว หงุ อยู่ หรือ หงุ แล้ว ซ่ึงข้าวสกุ ... ๒. ประโยคกมั มวาจก เชน่ สเู ทน โอทโน ปจติ พฺโพ อ.ขา้ วสุก อันพ่อครวั พึงหงุ ๓. ประโยคเหตุกัตตวุ าจก เชน่ สามโิ ก สูทํ โอทนํ ปาเจนฺโต... หรอื ปาเจตวฺ า... อ.เจ้านาย ยังพ่อครัว ให้หุงอยู่ หรือ ให้หุงแล้ว ซงึ่ ข้าวสกุ ... ๔. ประโยคเหตกุ มั มวาจก เชน่ สามิเกน สูโท โอทนํ ปาจโิ ต. อ.พอ่ ครวั อันเจา้ นาย ใหห้ ุงแลว้ ซง่ึ ขา้ วสุก สามิเกน สูทํ โอทโน ปาจิโต. (มีใชบ้ ้าง) อ.ข้าวสุก อนั เจา้ นาย ยงั พ่อครวั ใหห้ ุงแลว้ ๕. ประโยคภาววาจก เช่น เตน ภวิตพฺพํ อันเขา พงึ เปน็
157 กติ ก์ วา่ ด้วยการสร้างคำ�ศพั ท์นามกติ กแ์ ละกิรยิ ากิตก์ ๕.๑ กจิ จปัจจยั กิจจปจั จัยนี้ สามารถตง้ั วิเคราะหไ์ ด้ท้งั ๓ กาล มี ๕ ตวั คอื ตพพฺ , อนยี , ณฺย, เตยฺย และ ริจฺจ ปัจจัย แปลว่า “พึง...” หรือ “ควร...” มีใช้ในกัมมสาธนะและภาวสาธนะ โดยมาก นอกจากนี้ยังมีใช้ในกัตตุสาธนะ กรณสาธนะ และสัมปทานสาธนะ บ้างเล็กน้อย รูปส�ำเร็จ เปน็ กิรยิ ากติ กก์ ม็ ี เปน็ นามกติ ก์กม็ ี ดงั น้ี ๑. กิจจ ปัจจยั ๓ ตัว คอื ตพพฺ , อนยี และ เตยฺย ปัจจยั รูปสำ� เรจ็ ทำ� หนา้ ทีเ่ ปน็ กริ ยิ า คุมพากย์เหมือนกิริยาอาขยาต แต่เวลาใช้ต้องเปลี่ยนลิงค์และวจนะให้เหมือนกับบทนาม ทไ่ี ปสัมพันธด์ ว้ ย เช่น - ธมฺโม ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ อ.ธรรม อันบัณฑิต ท. พึงรู้ได้ เฉพาะตน (วิท เณ + อิ + ตพฺพ) - ภวตา ปญฺเน ภวนียํ อนั ท่าน เป็นผมู้ ปี ัญญา ควรเป็น (ภู + อนีย) - เอวํ วธิ านํ โสตชุ เนน าเตยฺยํ อ.วธิ ีอยา่ งน้ี อันนกั ศึกษา พงึ ทราบ (า + เตยฺย) ๒. ณยฺ ปัจจยั รปู ส�ำเร็จเปน็ ไดท้ ้งั กริ ยิ ากิตกแ์ ละนามกติ ก์ ดังนี้ ๒.๑ กิรยิ ากติ ก์ ทำ� หน้าท่เี ปน็ กริ ิยาคมุ พากย์ เช่น - เสสํ เนยฺยํ อ.วิธที เ่ี หลือ อนั นกั ศกึ ษาพงึ น�ำไป (นี + ณยฺ ) ๒.๒ นามกติ ก์ ท�ำหนา้ ท่ีเป็นบทนาม เชน่ - สุทสฺสํ วชฺชมฺเสํ อ.โทษ ของบุคคล ท. เหล่าอื่น อันบุคคลเห็นได้ โดยง่าย (วท + ณยฺ ) ๓. รจิ จฺ ปจั จยั รปู สำ� เร็จเปน็ กิรยิ ากติ ก์กม็ ี นามกิตกก์ ม็ ี ๓.๑ กริ ิยากิตก์ ท�ำหนา้ ทีเ่ ป็นกิริยาคมุ พากย์ เช่น - กมฺมํ ปคุ ฺคเลน กจิ จฺ ํ อ.กรรม อนั บคุ คล พงึ กระทำ� (กร + ริจจฺ ) ๓.๒ นามกติ ก์ ทำ� หนา้ ทเี่ ป็นบทนาม เช่น - กิจฺจํ เม อตถฺ ิ อ.กจิ ของขา้ พเจ้า มีอยู่ (กร + รจิ จฺ ) กิจจปัจจัย ๓ ตัวเหล่าน้ี คือ ตพฺพ, อนีย และ เตยฺย ถ้าลงหลังสกัมมกธาตุ กัมมวาจกและเหตุกัมมวาจก เป็นได้สามลิงค์ ถ้าลงหลังอกัมมกธาตุ เป็นภาววาจก เป็น นปงุ สกลิงค์ เอกวจนะ มีรูปเฉพาะปฐมาวิภัตตเิ ทา่ นั้น
158 ไวยากรณบ์ าลีเบ้อื งตน้ ตวั อยา่ งการวิเคราะห์และประกอบค�ำศพั ท์ ว.ิ ภยู เต ภวิตพพฺ ํ (ภู สตฺตายํ ในความมี, ความเป็น + ตพพฺ ) (ภาวสาธนะ) อนั เขาเปน็ อยู่ ช่อื ว่า ภวติ พฺพ (พึงม,ี พงึ เป็น) ว.ิ กรียตตี ิ กตฺตพฺพํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + ตพฺพ) (กัมมสาธนะ) ย่อมถกู กระท�ำ เพราะเหตนุ ้นั ชอื่ ว่า กตตฺ พพฺ (อันบุคคลจงกระทำ� ) ว.ิ กรียตีติ กรณียํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + อนีย) (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถกู กระท�ำ เพราะเหตุนน้ั ชือ่ วา่ กรณยี (อนั บคุ คลจงกระทำ� ) ว.ิ ปชู ียตตี ิ ปูชนีโย, ภควา (ปชู ปชู ายํ ในการบูชา + เณ + อนีย) (กัมมสาธนะ) ย่อมถูกบูชา เพราะเหตนุ ้ัน ช่ือวา่ ปชู นีย, ไดแ้ ก่พระผมู้ ีพระภาคเจา้ (พงึ ถูกบูชา) วิ. อครยฺหิตฺถาติ คารยฺโห, ปุคคฺ โล (ครห นินฺทายํ ในการติเตยี น + ณยฺ ) (กัมมสาธนะ) ได้ถกู ติเตยี นแล้ว เพราะเหตนุ นั้ ช่อื วา่ คารยฺห, ไดแ้ กบ่ คุ คล (พึงถกู ติเตียน) วิ. ายตีติ เยฺยํ, าเตยยฺ ํ (า อวโพธเน ในการรู้ + ณฺย, เตยฺย) (กัมมสาธนะ) ย่อมถกู รู้ เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อว่า เยฺย, าเตยยฺ (พงึ ถูกร)ู้ (แปลง อา+ณฺย เปน็ เอยฺย) วิ. กตฺตพฺพนตฺ ิ กจิ จฺ ํ (กร กรเณ ในการกระท�ำ + ริจฺจ) (กมั มสาธนะ) พึงถกู กระท�ำ เพราะเหตนุ ้นั ชือ่ วา่ กจิ ฺจ (พงึ ถกู กระท�ำ) ว.ิ ยุชฺชตตี ิ ยุชฺ ิตพฺพํ (ยุช โยเค ในการประกอบ + อิ + ตพฺพ) (กัมมสาธนะ) ยอ่ มถกู ประกอบ เพราะเหตนุ นั้ ช่อื ว่า ยฺุชิตพฺพ (อันบุคคลพึงประกอบ) ว.ิ ธารยี ตตี ิ ธาเรตพฺพํ (ธร ธารเณ ในการทรงไว้ + เณ + ตพฺพ) (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถูกทรงไว้ เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ ว่า ธาเรตพฺพ (พงึ ถกู ทรงไว)้ วิ. ตติ กิ ขฺ าปยี ตตี ิ ตติ กิ ขฺ าเปตพโฺ พ (ตชิ ขมายํ ในความอดทน + ข + ณาเป + ตพพฺ ) (กมั มสาธนะ) ย่อมถกู ใหอ้ ดกลน้ั เพราะเหตนุ ้นั ช่ือว่า ติติกขฺ าเปตพพฺ (พึงถกู ให้อดกลัน้ ) วิ. ติกจิ ฉฺ าปียตตี ิ ตกิ ิจฉฺ าเปตพโฺ พ (กติ โรคาปนยเน ในการนำ� ออกซึ่งโรค +ฉ+ณาเป+ตพพฺ ) ยอ่ มถกู ใหเ้ ยยี วยา เพราะเหตุนน้ั ชอื่ วา่ ตกิ ิจฺฉาเปตพฺพ (พึงถูกให้เยยี วยา) (กัมมสาธนะ) ว.ิ อภาวยี ติ ฺถาติ ภาเวตพโฺ พ, ภาวยิตพฺโพ (ภู สตฺตายํ ... + เณ,ณย + ตพฺพ) (กมั มสาธนะ) ได้ถูกให้เจรญิ แล้ว เพราะเหตุนนั้ ชื่อว่า ภาเวตพฺพ, ภาวยิตพฺพ (พึงถูกให้เจริญ) ว.ิ อภาวยี ิตฺถาติ ภาวนีโย, ภาวนยี า, ภาวนียํ (ภู สตตฺ ายํ ... + เณ + อนยี ) (กมั มสาธนะ) ไดถ้ กู ให้เจริญแลว้ เพราะเหตุนัน้ ชือ่ ว่า ภาวนีย, ภาวนยี า, ภาวนยี (ควรถกู ให้เจริญ) ว.ิ อการยี ติ ฺถาติ กาเรตพพฺ ํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + เณ + ตพฺพ) (กัมมสาธนะ) ได้ถกู ใหก้ ระท�ำแลว้ เพราะเหตนุ ้ัน ช่ือว่า กาเรตพฺพ (พงึ ถกู ใหก้ ระท�ำ)
159 กิตก์ วา่ ดว้ ยการสร้างค�ำ ศพั ทน์ ามกติ กแ์ ละกิรยิ ากิตก์ ๕.๒ กิตกปัจจัย (นามกติ ก์) ศัพท์กิตก์ทเี่ ปน็ นามนามกด็ ี คุณนามก็ดี เรียกวา่ “นามกติ ก์” นามกิตก์น้ี จัดเปน็ สาธนะ โดยมีปัจจัยเปน็ เครื่องหมายบง่ ชีว้ ่า ศัพทแ์ ตล่ ะศัพท์ มสี าธนะต่างกันไป วิ. กมุ ภฺ ํ กโรตีติ กมุ ภฺ กาโร (กมุ ฺภสทฺทูปปท + กร กรเณ ในการกระทำ� + ณ) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มกระทำ� ซึง่ หมอ้ เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า กุมฺภการ (ผกู้ ระท�ำหม้อ, ช่างป้นั หม้อ) วิ. มาลํ กโรตตี ิ มาลากาโร (มาลาสททฺ ปู ปท + กร กรเณ ในการกระทำ� + ณ) (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มกระทำ� ซ่งึ ระเบยี บ เพราะเหตนุ นั้ ชื่อว่า มาลาการ (ผู้ร้อยพวงมาลยั ) ว.ิ ธมมฺ ํ กาเมตีติ ธมฺมกาโม, ปุรโิ ส (ธมฺมสทฺทปู ปท + กมุ กนฺติยํ ในความใคร่ + ณ) อ.บุรษุ ยอ่ มใคร่ ซึ่งธรรม เพราะเหตุนั้น ชอื่ วา่ ธมฺมกาม (ผ้ใู คร่ธรรม) ว.ิ เวสสฺ ํ ตรตีติ เวสฺสนตฺ โร (เวสสฺ าสทฺทูปปท + ตร ตรเณ ในการขา้ ม + อ) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มข้าม ซ่ึงถนนพ่อคา้ เพราะเหตุนน้ั ช่อื วา่ เวสสฺ นฺตร (ผู้ขา้ มถนนพอ่ คา้ , พระเวสสนั ดร โพธสิ ตั ว)์ ว.ิ ธมมฺ ํ ธรตตี ิ ธมฺมธโร (ธมฺมสททฺ ปู ปท + ธร ธารเณ ในการทรงไว้ + อ) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มทรงไว้ ซึ่งธรรม เพราะเหตุนนั้ ชอ่ื วา่ ธมมฺ ธร (ผ้ทู รงธรรม) วิ. วินยํ ธรตีติ วินยธโร (วนิ ยสทฺทูปปท + ธร ธารเณ ในการทรงไว้ + อ) (กัตตสุ าธนะ) ย่อมทรงไว้ ซ่ึงวินัย เพราะเหตุน้นั ช่ือว่า วนิ ยธร (ผู้ทรงวนิ ัย) ว.ิ อนนฺ ํ ททาตตี ิ อนฺนโท (อนฺนสทฺทูปปท + ทา ทาเน ในการให้ + อ) (กตั ตุสาธนะ) ย่อมให้ ซึง่ ข้าวน�ำ้ เพราะเหตนุ ้นั ชื่อว่า อนนฺ ท (ผูใ้ หข้ า้ วน้ำ� ) วิ. - วิเนติ เอเตนาติ วนิ โย (วปิ ุพพฺ + นี ปาปเณ ในการใหถ้ งึ + อ) (กรณสาธนะ) ย่อมแนะนำ� ดว้ ยธรรมน้ี เพราะเหตุนนั้ ชือ่ ว่า วนิ ย (วนิ ยั เป็นเคร่อื งแนะนำ� , วินยั ) - วิเนติ เอตถฺ าติ วินโย (วิปุพพฺ + นี ปาปเณ ในการให้ถงึ + อ) (อธกิ รณสาธนะ) ยอ่ มแนะน�ำ ในธรรมน้ี เพราะเหตนุ ้นั ช่อื ว่า วินย (ท่ีเปน็ ท่ีแนะน�ำ, วินยั ) ว.ิ นยนํ นโย (นี ปาปเณ ในการใหถ้ งึ + อ) (ภาวสาธนะ) อ.การน�ำไป ช่ือว่า นย (การน�ำไป, นยั ) ว.ิ นสิ สฺ ยี ติ ถฺ นสิ สฺ ยี ติ นิสสฺ ยี สิ สฺ ตีติ วา นิสสฺ โย (นปิ พุ พฺ + สิ เสวายํ ในการเสพ + อ) (กมั มสาธนะ) ถูกอาศยั แล้ว ยอ่ มถูกอาศยั หรอื จกั ถูกอาศัย เพราะเหตุน้นั ชอื่ ว่า นิสสฺ ย (เป็นท่ีอาศยั ได้แก่ อาจารย์) ว.ิ อนสุ ยิ อนุเสติ อนุเสสสฺ ตีติ วา อนุสโย (อนุปุพพฺ + สิ สเย ในการนอน + อ) (กัตตุสาธนะ) นอนเนอ่ื งแล้ว ย่อมนอนเนื่อง หรอื จักนอนเน่อื ง เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื ว่า อนสุ ย (อนสุ ยั , กเิ ลส อนั นอนเนอ่ื ง)
160 ไวยากรณ์บาลีเบ้อื งตน้ วิ. ปฏจิ จฺ เอตสมฺ า ผลเมตตี ิ ปจจฺ โย, สมทุ โย (ปตปิ พุ พฺ + อิ คตมิ หฺ ิ ในการไป + อ) (อปาทานสาธนะ) อ.ผล อาศยั แล้ว จากเหตุนี้ ยอ่ มเปน็ ไป เพราะเหตนุ ั้น ช่ือวา่ ปจจฺ ย, ได้แก่สมุทัย (เหตเุ ปน็ แดนเกิด ของผล, ปัจจยั ) วิ. - วนิ จิ ฺฉียเต อเนนาติ วนิ จิ ฺฉโย (ว+ิ นปิ พุ พฺ + จิ จเย ในการส่ังสม + อ) (กรณสาธนะ) ย่อมถูกวินิจฉัย ด้วยถ้อยค�ำน้ี เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า วินิจฺฉย (ถ้อยค�ำเป็นเครื่องตัดสิน, ค�ำวินจิ ฉยั ) - วนิ จิ ฉฺ ยนํ วนิ จิ ฺฉโย (วิ+นปิ ุพพฺ + จิ จเย ในการสัง่ สม + อ) (ภาวสาธนะ) อ.การวนิ จิ ฉยั ชือ่ ว่า วนิ จิ ฉฺ ย (การตดั สิน, การวนิ ิจฉัย) (แปลง จ เปน็ ฉ) ว.ิ ธมมฺ ํ วจิ นิ าตตี ิ ธมมฺ วจิ โย (ธมมฺ สททฺ ปู ปท + วปิ พุ พฺ + จิ จเย ในการสง่ั สม + อ) (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มพจิ ารณา ซงึ่ ธรรม เพราะเหตุนน้ั ช่ือวา่ ธมฺมวจิ ย (ผพู้ จิ ารณาธรรม, ธรรมวิจยั ) ว.ิ ขยนํ ขโย (ขี ขเย ในการส้ินไป + อ) (ภาวสาธนะ) (วทุ ธิ อิ เปน็ เอ, แปลง เอ เปน็ อย) อ.การส้ินไป ชือ่ วา่ ขย (การสน้ิ ไป, ขัย) วิ. - สงฺคณหฺ าติ เตนาติ สงฺคโห (สํปุพฺพ + คห อปุ าทาเน ในการถอื เอา + อ) (กรณสาธนะ) ยอ่ มสงเคราะห์ ดว้ ยวตั ถุนั้น เพราะเหตุนน้ั ชือ่ ว่า สงคฺ ห (วตั ถุเป็นเครือ่ งสงเคราะห)์ - สงคฺ หณํ สงฺคโห (สํปพุ พฺ + คห อุปาทาเน ในการถอื เอา + อ) (ภาวสาธนะ) อ.การสงเคราะห์ ช่อื ว่า สงคฺ ห (การสงเคราะห์) ว.ิ สํวรณํ สวํ โร (สปํ พุ พฺ + วร วรเณ ในการระวังรกั ษา + อ) (ภาวสาธนะ) อ.การสำ� รวม ชื่อวา่ สํวร (การสังวร, การส�ำรวมระวัง) วิ. อาทรณํ อาทโร (อาปพุ พฺ + ทร อาทเร ในการเคารพ-การเอือ้ เฟื้อ + อ) (ภาวสาธนะ) อ.การเออ้ื เฟ้ือ ช่อื ว่า อาทร (ความเออื้ อาทร, ความเอื้อเฟือ้ ) ว.ิ กาโม อวจรติ เอตถฺ าติ กามาวจโร, โลโก (กาม+อว+ จร จรเณ ในการเทย่ี วไป +อ) (อธกิ รณะ) อ.กาม ย่อมเปน็ ไป ในโลกนี้ เพราะเหตุน้นั อ.โลกนี้ ช่ือว่า กามาวจร (ทเ่ี ป็นท่ีท่องเท่ียวไป ของกาม) วิ. คาโว จรนตฺ ิ เอตถฺ าติ โคจโร (โคสททฺ ปู ปท + จร จรเณ ในการเทย่ี วไป + อ) (อธกิ รณสาธนะ) อ.โค ท. ย่อมเที่ยวไป ในท่ีนี้ เพราะเหตุนั้น ชือ่ ว่า โคจร (ท่ีเป็นท่ีเทย่ี วไปของโค, ที่โคจร) วิ. ปาเทน ปวิ ตีติ ปาทโป (ปาทสททฺ ูปปท + ปา ปาเน ในการด่ืม + อ) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มดม่ื ด้วยราก เพราะเหตนุ ัน้ ช่ือวา่ ปาทป (ตน้ ไม)้ วิ. คหุ ายํ สยตีติ คหุ าสย,ํ จติ ตฺ ํ (คหุ าสทฺทูปปท + สิ สเย ในการนอน + อ) (กัตตสุ าธนะ) อ.จิต ย่อมอาศัยอยู่ ในถำ�้ คอื หทยั วัตถุ เพราะเหตนุ ้ัน ชื่อวา่ คุหาสย (ผอู้ าศยั อยใู่ นถำ�้ คอื หทัย วัตถ)ุ ว.ิ - ททาตีติ ทายโก, ปุรโิ ส (ทา ทาเน ในการให้ + ณวฺ )ุ (กัตตุสาธนะ) (แปลง อา เป็น อาย) ย่อมให้ เพราะเหตุนนั้ ชอ่ื วา่ ทายก (ผ้ใู ห)้
161 กิตก์ วา่ ด้วยการสร้างค�ำ ศัพท์นามกติ ก์และกริ ิยากิตก์ - ททาตีติ ทายิกา, อติ ฺถี (ทา ทาเน ในการให้ +ณฺวุ+อา) (กตั ตุสาธนะ) (แปลง อ เปน็ อ)ิ ยอ่ มให้ เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า ทายิกา (ผูใ้ ห้) - ททาตตี ิ ทายก,ํ กลุ ํ (ทา ทาเน ในการให้ + ณวฺ )ุ (กัตตสุ าธนะ) ย่อมให้ เพราะเหตนุ ัน้ ชอ่ื วา่ ทายก (ผ้ใู ห้) ว.ิ ภควโต โอวาทานสุ าสนึ สณุ าตตี ิ สาวโก, สาวกิ า (สุ สวเณ ในการฟงั + ณวฺ )ุ (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมฟงั ซึ่งโอวาท และอนุสาสนี ของพระผูม้ ีพระภาคเจ้า เพราะเหตุนนั้ ชื่อว่า สาวก, สาวิกา ว.ิ - รตนตตฺ ยํ อุปาสตีติ อปุ าสโก (อุปปพุ ฺพ + อาส อุปเวสเน ในการเข้าไปใกล้ + ณฺว)ุ ยอ่ มเขา้ ไปนงั่ ใกล้ ซง่ึ พระรตั นตรยั เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ อปุ าสก (ผเู้ ขา้ ไปนง่ั ใกลพ้ ระรตั นตรยั ) - รตนตฺตยํ อุปาสตตี ิ อปุ าสกิ า (อุปปุพพฺ + อาส อุปเวสเน ในการเขา้ ไปใกล้ + ณวฺ ุ + อา) ย่อมเข้าไปนั่งใกล้ ซ่ึงพระรัตนตรัย เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า อุปาสิกา (ผู้เข้าไปนั่งใกล้ พระรตั นตรัย) วิ. ชเนตตี ิ ชนโก, ชนิกา (ชน ชนเน ในการเกิด + เณ + ณฺวุ) (กัตตสุ าธนะ) ย่อมใหเ้ กดิ เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ ว่า ชนก, ชนิกา (ผใู้ หก้ ำ� เนดิ , บิดา, มารดา) วิ. หนตฺ ีติ วธโก (หน หึสายํ ในการเบยี ดเบยี น + ณฺว)ุ (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มฆ่า เพราะเหตุน้นั ชื่อว่า วธก (ผู้ฆา่ ) (แปลง หน เป็น วธ) ว.ิ กโรตตี ิ กตฺตา (กร กรเณ ในการกระทำ� + ต)ุ (กัตตสุ าธนะ) ย่อมกระท�ำ เพราะเหตนุ ้ัน ชอื่ วา่ กตตฺ ุ (ผกู้ ระท�ำ) ว.ิ ภาเวตีติ ภาเวตา (ภู สตฺตายํ ในความมี ความเป็น + เณ + ตุ) (กตั ตสุ าธนะ) (การิตปัจจยั ) ยอ่ มใหม้ ี เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ ภาเวตุ (ผใู้ หม้ ,ี ผใู้ หเ้ จรญิ ) (วทุ ธิ อู เปน็ โอ, แปลง โอ เปน็ อาว) ว.ิ กาเรตีติ กาเรตา, การยติ า, การาเปตา, การาปยติ า (กร กรเณ ในการกระท�ำ +เณ, ณย, ณาเป,ณาปย+ตุ) ย่อมให้กระท�ำ เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า กาเรตุ, การยิตุ, การาเปตุ, การาปยิตุ (ผใู้ หก้ ระทำ� ) ว.ิ ภยํ ปสฺสตตี ิ ภยทสฺสาวี (ภยสทฺทูปปท + ทสิ เปกขฺ เน ในการดู-เห็น + อาวี) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มเหน็ ซงึ่ ภัย เพราะเหตุนนั้ ชอื่ วา่ ภยทสฺสาวี (ผู้เห็นภัย) (แปลง ทิส เปน็ ทสฺส) ว.ิ สเทวกํ โลกํ ทฏิ ฺฐธมมฺ ิกาทวิ เสน สาสตตี ิ สตถฺ า (สาส อนสุ ฏิ ฺิมฺหิ ในการสง่ั สอน + รตฺถุ) (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มสง่ั สอน ซง่ึ ชาวโลก พรอ้ มทง้ั เทวโลก ดว้ ยสามารถแหง่ ประโยชน์ มปี ระโยชน์ ในปัจจบุ นั เปน็ ต้น เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ ว่า สตถฺ ุ (ผูส้ งั่ สอน, พระศาสดา, ครู) วิ. ปุตฺตํ ปาตีติ ปิตา (ปา รกฺขเณ ในการรักษา + ริตุ) (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมรักษา ซ่ึงบตุ ร เพราะเหตุนนั้ ชื่อว่า ปติ ุ (ผรู้ ักษา, บดิ า) ว.ิ ธมเฺ มน ปตุ ตฺ ํ มาเนตีติ มาตา (มาน ปูชายํ ในการบชู า + ราต)ุ (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มยกย่อง ซ่ึงบุตร โดยธรรม เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื ว่า มาตุ (ผ้ยู กยอ่ งบตุ ร, มารดา)
162 ไวยากรณบ์ าลเี บ้ืองต้น วิ. อรุชิ รุชติ รุชิสฺสตีติ วา โรโค (รุช โรเค ในการเสียดแทง + ณ) (กัตตุ) (แปลง ช เปน็ ค) ได้เสยี ดแทงแล้ว ยอ่ มเสยี ดแทง หรอื จกั เสียดแทง เพราะเหตนุ ั้น ช่อื วา่ โรค (โรคผเู้ สียดแทง) ว.ิ อปุ ปฺ ชฺชตีติ อปุ ปฺ าโท (อุ + ปท คตมิ หฺ ิ ในการไป + ณ) (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มเกดิ ข้นึ เพราะเหตุน้นั ชื่อวา่ อุปปฺ าท (ผเู้ กดิ ขึ้น) วิ. - อผุสิ ผสุ ติ ผุสิสฺสตีติ วา ผสโฺ ส (ผสุ ผุสเน ในการกระทบ + ณ) (กตั ตุสาธนะ) ได้กระทบแล้ว ย่อมกระทบ หรือจักกระทบ เพราะเหตุน้ัน ช่อื วา่ ผสสฺ (ผู้กระทบ, ผู้สมั ผสั ) - ผสุ นฺติ เตน สมปฺ ยุตตฺ าติ ผสโฺ ส (ผสุ ผุสเน ในการกระทบ + ณ) (กรณสาธนะ) อ.สปั ยุตตธรรม ท. ยอ่ มกระทบ ดว้ ยธรรมนั้น เพราะเหตนุ ้ัน ชอื่ ว่า ผสฺส (ธรรมเป็นเครื่อง กระทบ) วิ. อาหรตตี ิ อาหาโร (อาปพุ พฺ + หร หรเณ ในการน�ำไป + ณ) (กตั ตสุ าธนะ) (วุทธิ อ เปน็ อา) ยอ่ มน�ำมา เพราะเหตุน้ัน ช่อื ว่า อาหาร (อาหาร, ผนู้ ำ� มา) ว.ิ อปุ หนตตี ิ อุปฆาโต (อปุ ปุพฺพ + หน หึสายํ ในการเบียดเบยี น + ณ) (แปลง หน เปน็ ฆาต) ยอ่ มเขา้ ไปเบยี ดเบยี น เพราะเหตุนน้ั ชื่อว่า อุปฆาต (ผเู้ ข้าไปเบียดเบยี น) (กตั ตุสาธนะ) วิ. รญชฺ นตฺ ิ อเนนาติ ราโค (รนชฺ ราเค ในความก�ำหนัด + ณ) (กรณสาธนะ) ยอ่ มกำ� หนดั ดว้ ยโลภะนี้ เพราะเหตุนัน้ ชือ่ ว่า ราค (ราคะเป็นเครอ่ื งก�ำหนัด) วิ. รญชฺ ยี ติ อเนนาติ ราโค (รนฺช ราเค ในความก�ำหนดั + ณ) (กรณสาธนะ) ย่อมถูกกำ� หนัด ดว้ ยโลภะน้ี เพราะเหตนุ ้ัน อ.โลภะนี้ ชอื่ วา่ ราค (โลภะเปน็ เคร่อื งถกู ก�ำหนัด) วิ. สยํ รญชฺ ตตี ิ ราโค (รนฺช ราเค ในความก�ำหนัด + ณ) (กัตตสุ าธนะ) (แปลง นฺช เป็น ช) ยอ่ มก�ำหนดั เอง เพราะเหตนุ ัน้ ชอื่ ว่า ราค (ผกู้ ำ� หนัด) ว.ิ ปชฺชเต อเนนาติ ปาโท (ปท คติมฺหิ ในการไป + ณ) (กรณสาธนะ) ยอ่ มถูกไป ดว้ ยอวัยวะน้ี เพราะเหตุน้นั ชื่อว่า ปาท (อวยั วะเปน็ เครือ่ งไป, เท้า) ว.ิ ภชุ ชฺ ตีติ โภโค (ภุช พยฺ วหรเณ ในการกลนื กิน + ณ) (กัมมสาธนะ) (แปลง ช เปน็ ค) ย่อมถูกบรโิ ภค เพราะเหตนุ ั้น ชอื่ ว่า โภค (โภคทรพั ย์) วิ. ภชียตีติ ภาโค (ภช ภาชเน ในการแบง่ + ณ) (กมั มสาธนะ) (แปลง ช เป็น ค) ย่อมถูกแบง่ เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ ภาค (สว่ นท่ีถูกแบง่ , ส่วน) วิ. ภรียตีติ ภาโร (ภร หรเณ ในการน�ำไป + ณ) (กัมมสาธนะ) ย่อมถูกน�ำไป เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า ภาร (สงิ่ ท่ีถกู น�ำไป, ภาระ) ว.ิ ลพภฺ ตตี ิ ลาโภ (ลภ ลาเภ ในการได้ + ณ) (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถูกได้ เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า ลาภ (สว่ นทถ่ี ูกได้, ลาภ) ว.ิ โวหรยี ตตี ิ โวหาโร (วิ + อวปุพฺพ + หร หรเณ ในการน�ำไป + ณ) (กัมมสาธนะ) (แปลง อว เป็น โอ) ยอ่ มถกู เรียก เพราะเหตนุ นั้ ช่ือวา่ โวหาร (เป็นทอี่ ันเขาเรียก, สำ� นวน, โวหาร, คำ� พดู )
163 กิตก์ ว่าดว้ ยการสร้างคำ�ศพั ทน์ ามกิตก์และกิริยากิตก์ ว.ิ ทยี ตตี ิ ทาโย (ทา ทาเน ในการให้ + ณ) (กมั มสาธนะ) (แปลง อา เปน็ อาย = อาการนตฺ านมาโย) ย่อมถกู ให้ เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ ว่า ทาย (เปน็ ที่อนั เขาให้, รางวลั ) ว.ิ วิหรนฺติ เอตฺถาติ วิหาโร (วิปุพฺพ + หร นิวาเส ในการอยู่ + ณ) (อธิกรณสาธนะ) อ.ภกิ ษุ ท. ยอ่ มอยู่ ในทนี่ ้ี เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื ว่า วหิ าร (ที่เป็นที่อย,ู่ วิหาร, วัด) ว.ิ อารมนตฺ ิ เอตสฺมนิ ฺติ อาราโม (อาปพุ พฺ + รมุ กฬี ายํ ในการเล่น + ณ) (อธิกรณสาธนะ) อ.ภิกษุ ท. ย่อมรื่นรมย์ ในที่น้ี เพราะเหตุน้นั ชื่อว่า อาราม (ท่ีเปน็ ทรี่ นื่ รมย์, อาราม, วดั ) วิ. โสจนํ โสโก (สุจ โสเก ในความเศรา้ โศก + ณ) (ภาวสาธนะ) (แปลง จ เปน็ ก) อ.ความเศร้าโศก ชื่อว่า โสก (ความเศรา้ โศก) ว.ิ จชนํ จาโค (จช หานมิ ฺหิ ในการสละ + ณ) (ภาวสาธนะ) (แปลง ช เป็น ค = กคา จชานํ) อ.การสละ ชอ่ื วา่ จาค (การสละ, การบริจาค) วิ. ยญุ ฺชนํ โยโค (ยชุ โยเค ในการประกอบ + ณ) (ภาวสาธนะ) (แปลง ช เป็น ค) อ.การประกอบ ชือ่ ว่า โยค (การประกอบ) ว.ิ ภญฺชนํ ภงโฺ ค (ภนชฺ อวมททฺ เน ในการหักทำ� ลาย + ณ) (แปลง นฺ เปน็ นคิ หติ ) อ.การแตกหกั ไป ชือ่ ว่า ภงฺค (การแตกไป) (แปลง ช เป็น ค) (ภาวสาธนะ) ว.ิ ปจจฺ เยหิ สงคฺ มมฺ กรยี ตตี ิ สงขฺ าโร (สปํ พุ พฺ + กร กรเณ ในการกระทำ� + ณ) (กมั มสาธนะ) อันปจั จัย ท. ประชุมกันแล้ว ย่อมกระทำ� เพราะเหตุนน้ั ช่อื ว่า สงฺขาร (ถกู ปจั จัยปรงุ แต่ง) วิ. สงฺขรียติ เตนาติ สงขฺ าโร (สปํ ุพพฺ + กร กรเณ ในการกระทำ� + ณ) (กรณสาธนะ) ยอ่ มถูกปรงุ แตง่ ด้วยธรรมนัน้ เพราะเหตุนนั้ ชื่อวา่ สงขฺ าร (ธรรมเปน็ เครอ่ื งปรงุ แตง่ ) ว.ิ สงขฺ รณํ สงขฺ าโร (สํปุพพฺ + กร กรเณ ในการกระทำ� + ณ) (ภาวสาธนะ) อ.การปรุงแต่ง ชอื่ วา่ สงฺขาร (การปรุงแต่ง) ว.ิ ปริ สมนฺตโต กรียตีติ ปริกขฺ าโร (ปรปิ พุ ฺพ + กร กรเณ ในการกระท�ำ + ณ) (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถกู กระท�ำ โดยรอบ เพราะเหตนุ ั้น ช่ือว่า ปริกฺขาร (บรขิ าร) วิ. อุปคนฺตวฺ า กโรตีติ อปุ กาโร (อุปปพุ ฺพ + กร กรเณ ในการกระทำ� + ณ) (กัตตสุ าธนะ) เขา้ ไปใกลแ้ ล้ว ยอ่ มกระท�ำ เพราะเหตนุ ้นั ช่อื วา่ อปุ การ (อุปการะ) ว.ิ ลุพภฺ นฺติ เตนาติ โลโภ (ลภุ คิทฺธิมหฺ ิ ในความอยากได้ + ณ) (กรณสาธนะ) ยอ่ มอยากได้ ด้วยธรรมนนั้ เพราะเหตุนัน้ ชือ่ ว่า โลภ (ธรรมเป็นเคร่อื งอยากได,้ โลภะ) ว.ิ สยํ ลพุ ภฺ ตีติ โลโภ (ลภุ คิทฺธิมฺหิ ในความอยากได้ + ณ) (กัตตสุ าธนะ) ย่อมอยากได้ ด้วยโลภะเอง เพราะเหตนุ ั้น ชือ่ วา่ โลภ (อยากได้เอง, โลภะ) ว.ิ ลุพภฺ นํ โลโภ (ลุภ คทิ ธฺ ิมฺหิ ในความอยากได้ + ณ) (ภาวสาธนะ) อ.ความอยากได้ ช่อื วา่ โลภ (ความโลภ, ความอยากได)้ วิ. ทสุ สฺ นตฺ ิ เตนาติ โทโส (ทสุ อปปฺ ีติมฺหิ ในความไม่ยินดี + ณ) (กรณสาธนะ) ย่อมประทุษร้าย ดว้ ยธรรมนนั้ เพราะเหตนุ ัน้ ชือ่ วา่ โทส (ธรรมเป็นเคร่อื งประทุษร้าย, โทสะ)
164 ไวยากรณบ์ าลเี บ้ืองต้น ว.ิ สยํ ทสุ ฺสตตี ิ โทโส (ทสุ อปปฺ ีติมหฺ ิ ในความไม่ยินดี + ณ) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มประทุษร้าย ด้วยโทสะเอง เพราะเหตนุ ้ัน ชื่อว่า โทส (ประทุษร้ายเอง, โทสะ) วิ. ทสุ ฺสนํ โทโส (ทุส อปฺปีตมิ ฺหิ ในความไมย่ ินดี + ณ) (ภาวสาธนะ) อ.ความประทษุ ร้าย ชือ่ วา่ โทส (ความประทุษร้าย, โทสะ) ว.ิ มุยหฺ นตฺ ิ เตนาติ โมโห (มุห เวจิตเฺ ต ในความหลง + ณ) (กรณสาธนะ) ย่อมหลง ด้วยธรรมน้นั เพราะเหตนุ ั้น ชื่อวา่ โมห (ธรรมเป็นเคร่ืองหลง, โมหะ) วิ. สยํ มุยหฺ ตตี ิ โมโห (มุห เวจติ เฺ ต ในความหลง + ณ) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มหลง ดว้ ยโมหะเอง เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื ว่า โมห (หลงเอง, โมหะ) ว.ิ มยุ ฺหนํ โมโห (มุห เวจิตเฺ ต ในความหลง + ณ) (ภาวสาธนะ) อ.ความหลง ชอ่ื ว่า โมห (ความหลง, โมหะ) ว.ิ สยํ ภวตีติ สยมภฺ ู (สยํสททฺ ูปปท + ภู สตฺตายํ ในความม-ี ความเป็น + กวฺ )ิ (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มเป็น เอง เพราะเหตุนน้ั ชือ่ วา่ สยมภฺ ู (พระผู้เปน็ เอง, พระพุทธเจ้า) ว.ิ สงคฺ มมฺ ภาสนตฺ ิ เอตถฺ าติ สภา (สปํ พุ พฺ + ภาส วยิ ตตฺ ยิ ํ วาจายํ ในการพดู ชดั +กวฺ )ิ (อธกิ รณะ) ประชมุ กนั แลว้ ยอ่ มกลา่ ว ในทป่ี ระชมุ น้ี เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ สภา (ทเี่ ปน็ ทป่ี ระชมุ พดู คยุ กนั ) ว.ิ ภุเชน คจฺฉตตี ิ ภุชโค (ภชุ สทฺทูปปท + คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + กฺวิ) (กตั ตสุ าธนะ) อ.สตั วใ์ ด ย่อมไป ดว้ ยขนด เพราะเหตนุ นั้ อ.สตั ว์นั้น ชื่อวา่ ภุชค (ผ้ไู ปดว้ ยขนด, งู) วิ. วิหายเส คจฉฺ ตตี ิ วหิ โค (วหิ ายสสททฺ ปู ปท + คมุ คติมฺหิ ในการไป + กฺวิ) ย่อมไป ในอากาศ เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า วิหค (นก) (กัตตสุ าธนะ) (แปลงวหิ ายส เป็น วหิ ) วิ. กมมฺ โต ชาโต กมฺมโช, วิปาโก (กมฺมสทฺทปู ปท + ชน ชนเน ในการเกดิ + กฺวิ) (ปงุ ลิงค)์ เกดิ แล้ว เพราะกรรม ช่อื วา่ กมมฺ ช, ไดแ้ กว่ ิบาก (เกดิ เพราะกรรม) (ปัญจมตี ปั ปุริสสมาส) วิ. กมมฺ โต ชาตา กมฺมชา, ปฏสิ นฺธิ (กมฺมสทฺทปู ปท + ชน ชนเน ในการเกดิ + กฺวิ) (อติ ถลี ิงค)์ เกดิ แล้ว เพราะกรรม ชือ่ วา่ กมฺมชา, ได้แก่ปฏสิ นธิ (เกดิ เพราะกรรม) (ปัญจมตี ปั ปุรสิ สมาส) ว.ิ กมฺมโต ชาตํ กมมฺ ชํ, รปู ํ (กมฺมสทฺทปู ปท + ชน ชนเน ในการเกดิ + กวฺ )ิ (นปุงสกลงิ ค์) เกดิ แล้ว เพราะกรรม ช่ือวา่ กมฺมช, ไดแ้ กร่ ูป (เกิดเพราะกรรม) (ปัญจมีตปั ปุรสิ สมาส) วิ. จิตฺตโต ชาตํ จติ ตฺ ช,ํ รปู ํ (จติ ตฺ สทฺทปู ปท + ชน ชนเน ในการเกดิ + กวฺ )ิ (ปญั จมีตปั ปุรสิ สมาส) (อ.รปู ) อนั เกดิ แลว้ เพราะจิต ชื่อวา่ จิตตฺ ช (อันเกดิ เพราะจติ ) วิ. อตุ ุโต ชาตํ อตุ ชุ ,ํ รูปํ (อตุ สุ ทฺทปู ปท + ชน ชนเน ในการเกดิ + กฺวิ) (ปัญจมีตปั ปุรสิ สมาส) (อ.รปู ) อนั เกิดแลว้ เพราะอตุ ุ ชอ่ื วา่ อตุ ชุ (อนั เกดิ เพราะอุต)ุ วิ. อาหารโต ชาตํ อาหารช,ํ รปู ํ (อาหารสทฺทูปปท + ชน ชนเน ในการเกดิ + กฺวิ) (อ.รปู ) อันเกดิ แลว้ เพราะอาหาร ชอ่ื วา่ อาหารช (อันเกิดเพราะอาหาร) ว.ิ ปงเฺ ก ชาตํ ปงฺกชํ (ปงฺกสทฺทปู ปท + ชน ชนเน ในการเกดิ + กวฺ ิ) (สัตตมตี ปั ปรุ ิสสมาส) เกดิ แลว้ ในตม ช่อื วา่ ปงกฺ ช (เกดิ ในตม, บงกช, บัว)
165 กิตก์ วา่ ด้วยการสร้างค�ำ ศัพท์นามกิตก์และกิรยิ ากติ ก์ วิ. โลกํ อเวทีติ โลกวทิ ู (โลกสทฺทูปปท + วิท าเณ ในความรู้ + กฺว)ิ (กัตตสุ าธนะ) อ.บุคคลใด ได้รู้แจ้งแล้ว ซึ่งโลก เพราะเหตุน้ัน อ.บุคคลน้ัน ช่ือว่า โลกวิทู (ผู้รู้แจ้งโลก, พระพทุ ธเจ้า) ๑. แปลง สฺ ของ ทิส ธาตุ เป็น ส และทีฆะสระหน้า ตัวอย่าง ศพั ท์เดมิ ค�ำแปล อีทโิ ส, อที สิ า อีทิส,ี อีทสิ ํ อิม + ทสิ + กวฺ ิ ผเู้ ชน่ นี้ ยาทิโส, ยาทสิ า ยาทิส,ี ยาทสิ ํ ย + ทิส + กวฺ ิ ผูเ้ ชน่ ใด ตาทิโส, ตาทสิ า ตาทิสี, ตาทสิ ํ ต + ทิส + กวฺ ิ ผู้เชน่ นน้ั มาทโิ ส, มาทิสา มาทิสี, มาทสิ ํ อมฺห + ทสิ + กวฺ ิ ผู้เชน่ กับเรา กที โิ ส, กีทิสา กีทิส,ี กีทสิ ํ กึ + ทสิ + กวฺ ิ ผเู้ ช่นไร เอทโิ ส เอตาทิโส, เอทิสา เอทสิ ,ี เอทิสํ เอต + ทิส + กฺว ิ ผู้เช่นน่ัน, ผูเ้ ช่นน้ี สาทโิ ส สทิโส, สาทิสา สาทิสี สทิสา สทิส,ี สาทิสํ สทสิ ํ สมาน + ทิส + กฺว ิ ผเู้ ชน่ กับ, ผเู้ หมือน ๒. แปลง สฺ ของ ทสิ ธาตุ เป็น ส, แปลง ท ของ ทสิ ธาตุ เป็น ร และทฆี ะสระหน้า อีรโิ ส (แปลง อิม เปน็ อิ) อมิ + ทิส + กฺวิ ผู้เชน่ นี้ ยาริโส ย + ทิส + กฺว ิ ผู้เชน่ ใด ตาริโส ต + ทสิ + กวฺ ิ ผู้เช่นนน้ั มาริโส (แปลง อมหฺ เป็น ม) อมหฺ + ทสิ + กวฺ ิ ผ้เู ชน่ กับเรา กรี โิ ส (ลบนคิ หติ ) กึ + ทิส + กวฺ ิ ผเู้ ช่นไร เอรโิ ส (แปลง เอต เปน็ เอ) เอต + ทิส + กวฺ ิ ผเู้ ช่นนน่ั , ผเู้ ช่นน้ี สารโิ ส สริโส (แปลง สมาน เป็น ส) สมาน + ทิส + กฺวิ ผเู้ ชน่ กับ, ผเู้ หมือน ๓. แปลง สฺ ของ ทสิ ธาตุ เป็น กฺข และทีฆะสระหน้า อีทกิ ฺโข (แปลง อมิ เปน็ อิ) อมิ + ทิส + กวฺ ิ ผเู้ ช่นนี้ ยาทกิ ฺโข ย + ทิส + กฺวิ ผเู้ ช่นใด ตาทิกฺโข ต + ทิส + กฺว ิ ผูเ้ ชน่ น้นั มาทกิ ฺโข (แปลง อมฺห เปน็ ม) อมหฺ + ทิส + กวฺ ิ ผ้เู ช่นกบั เรา กที ิกฺโข (ลบนคิ หิต) กึ + ทิส + กวฺ ิ ผู้เช่นไร เอทกิ โฺ ข (แปลง เอต เปน็ เอ) เอต + ทสิ + กฺว ิ ผเู้ ช่นน่ัน, ผเู้ ช่นน้ี สาทกิ ฺโข สทิกโฺ ข สารกิ โฺ ข สรกิ ฺโข สมาน + ทิส + กวฺ ิ ผู้เช่นกับ, ผู้เหมอื น
166 ไวยากรณบ์ าลเี บือ้ งต้น ๔. แปลง สฺ ของ ทิส ธาตุ เปน็ อี และทีฆะสระหนา้ อีท ี (แปลง อมิ เปน็ อ)ิ อิม + ทิส + กวฺ ิ ผ้เู ช่นนี้ ยาที ย + ทิส + กฺวิ ผู้เช่นใด ตาที ต + ทิส + กฺวิ ผเู้ ชน่ นน้ั มาที (แปลง อมหฺ เป็น ม) อมฺห + ทสิ + กฺวิ ผเู้ ชน่ กับเรา กที ี (ลบนิคหติ ) กึ + ทสิ + กวฺ ิ ผู้เช่นไร เอที (แปลง เอต เป็น เอ) เอต + ทิส + กวฺ ิ ผูเ้ ชน่ นัน่ , ผูเ้ ช่นนี้ สาท ี (แปลง สมาน เป็น ส) สมาน + ทิส + กวฺ ิ ผเู้ ช่นกบั , ผ้เู หมือน ๕. แปลง สฺ ของ ทสิ ธาตุ ท่มี ี ตุมหฺ ศพั ทเ์ ป็นตน้ อยู่หน้า เป็น ส และทีฆะสระหนา้ ตุมฺหาทิโส, ตุมหฺ าทิสี ตุมฺห + ทิส + กฺว ิ ผเู้ ช่นทา่ น ขนธฺ าทิสา ขนธฺ + ทิส + กวฺ ิ ผเู้ ช่นขนั ธ์ วธิ กี ารแปลงศพั ท์ (อาเทศ) มีดังน้ี ๑. แปลง อมิ เปน็ อิ ด้วย “อ”ิ นปิ าตนะ เชน่ อีทิโส, อที สิ า, อที ิส,ี อที สิ ํ (อิม + ทิส + กวฺ ิ) ผู้เช่นนี้ อรี โิ ส (อมิ + ทิส + กวฺ ิ) ผูเ้ ช่นนี้ อที ิกฺโข (อมิ + ทิส + กฺวิ) ผู้เช่นน้ี อีที (อิม + ทิส + กวฺ ิ) ผู้เชน่ นี้ ๒. แปลง อมหฺ เปน็ ม ดว้ ย “ม” นิปาตนะ เชน่ มาทิโส, มาทสิ า, มาทิสี, มาทิสํ (อมหฺ + ทสิ + กวฺ )ิ ผเู้ ช่นกับเรา มารโิ ส (อมหฺ + ทิส + กฺว)ิ ผู้เชน่ กบั เรา มาท ี (อมหฺ + ทสิ + กวฺ ิ) ผเู้ ช่นกบั เรา ๓. แปลง เอต เป็น เอ ดว้ ย “เอ” นปิ าตนะ เชน่ เอทิโส, เอทสิ า, เอทิส,ี เอทสิ ํ (เอต + ทิส + กฺวิ) ผเู้ ชน่ นัน่ , ผเู้ ชน่ นี้ เอรโิ ส (เอต + ทสิ + กวฺ ิ) ผเู้ ชน่ นั่น, ผู้เช่นนี้ เอท ี (เอต + ทิส + กวฺ ิ) ผเู้ ช่นนั่น, ผู้เช่นน้ี ๔. แปลง สมาน เป็น ส ด้วย “ส” นปิ าตนะ เช่น สาทโิ ส, สทโิ ส, สาทิสา, สาทิส,ี สทสิ า, สทิสี, สาทสิ ํ, สทิสํ (สมาน + ทิส + กวฺ ิ) ผเู้ หมอื นกบั , ผเู้ หมือน สารโิ ส, สริโส (สมาน + ทสิ + กฺว)ิ ผู้เหมือนกับ, ผู้เหมือน สาทกิ โฺ ข, สทิกฺโข (สมาน + ทสิ + กฺวิ) ผู้เหมือนกับ, ผเู้ หมือน สารกิ ฺโข, สริกโฺ ข (สมาน + ทิส + กวฺ )ิ ผเู้ หมือนกับ, ผู้เหมือน สาท ี (สมาน + ทสิ + กฺวิ) ผูเ้ หมือนกับ, ผู้เหมอื น
167 กิตก์ วา่ ด้วยการสรา้ งค�ำ ศพั ทน์ ามกิตกแ์ ละกริ ิยากิตก์ วิ. อมิ มวิ นํ ปสสฺ ตตี ิ อที โิ ส, ปรุ โิ ส (อมิ สททฺ ปู ปท + อวิ + ทสิ เปกขฺ เณ ในการดู + กวฺ )ิ (กมั มะ) ย่อมเห็น ซ่ึงบุคคลน้นั เพยี งดังบุคคลนี้ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ อีทิส (ผู้เชน่ น้)ี (ทุตยิ าตปั ปุริส- สมาส) ว.ิ อมิ มวิ นํ ปสสฺ ตตี ิ อที สิ ,ี กฺ า (อมิ าสททฺ ปู ปท + อวิ + ทสิ เปกขฺ เณ ในการดู + กวฺ ิ + อ)ี ยอ่ มเหน็ ซ่งึ สาวน้อยคนนั้น เพยี งดังสาวนอ้ ยคนน้ี เพราะเหตุน้นั ชอ่ื ว่า อที ิสี (ผ้เู ช่นนี)้ ว.ิ อิทมวิ นํ ปสสฺ ตีติ อที ิส,ํ จิตฺตํ (อิมสททฺ ูปปท + อิว + ทสิ เปกฺขเณ ในการดู + กวฺ )ิ (กัมมะ) ย่อมเห็น ซึ่งจิตดวงนั้น เพียงดังจิตดวงน้ี เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า อีทิส (ผู้เช่นน้ี) (ทุติยา- ตปั ปรุ ิสสมาส) ว.ิ อยมวิ ทสิ สฺ ตตี ิ อที โิ ส, ปรุ โิ ส (อมิ สททฺ ปู ปท + อวิ + ทสิ เปกขฺ เณ ในการดู + กวฺ )ิ (กมั มสาธนะ) (อ.บคุ คลนน้ั ) ยอ่ มถกู เหน็ เพยี งดงั บคุ คลน้ี เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ อที สิ (ผเู้ ชน่ น)้ี (กมั มธารยสมาส) วิ. อยมวิ ทสิ สฺ ตตี ิ อที สิ ,ี กฺ า (อมิ สททฺ ปู ปท + อวิ + ทสิ เปกขฺ เณ ในการดู + กวฺ ิ + อ)ี (กมั มะ) (อ.สาวน้อยคนนน้ั ) ยอ่ มถูกเหน็ เพยี งดงั สาวน้อยคนนี้ เพราะเหตนุ ้นั ช่อื ว่า อที ิสี (ผู้เชน่ น้)ี วิ. อทิ มิว ทสิ สฺ ตีติ อที สิ ํ, วตถฺ ุ (อิมสทฺทูปปท + อวิ + ทิส เปกฺขเณ ในการดู + กฺว)ิ (กัมมสาธนะ) (อ.วตั ถนุ น้ั ) ยอ่ มถกู เหน็ เพยี งดงั วตั ถนุ ี้ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ อที สิ (ผเู้ ชน่ น)้ี (กมั มธารยสมาส) วิ. อปาเยสฺวปตมาเน อธคิ ตมคฺคาทเิ ก สตเฺ ต ธาเรตีติ ธมฺโม (ธร ธารเณ ในการทรงไว้ + รมฺม) ยอ่ มทรงไว้ ซง่ึ สตั ว์ ท. ผมู้ มี รรคอนั ไดบ้ รรลแุ ลว้ เปน็ ตน้ กระท�ำ ไมใ่ หต้ กไปอยู่ ในอบายภมู ิ ท. เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ ธมมฺ (สภาพทที่ รงไว)้ (กตั ตสุ าธนะ) วิ. ธรนตฺ ิ เตนาติ ธมโฺ ม (ธร ธารเณ ในการทรงไว้ + รมมฺ ) (กรณสาธนะ) ย่อมทรงไว้ ดว้ ยสภาพน้ัน เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ วา่ ธมมฺ (สภาพเป็นเครือ่ งทรงไว้) ว.ิ สลกฺขณํ ธาเรตตี ิ ธมฺโม (ธร ธารเณ ในการทรงไว้ + รมมฺ ) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มทรงไว้ ซึง่ ลกั ษณะของตน เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า ธมฺม (ทรงลักษณะของตนไว้) ว.ิ ปจจฺ เยหิ ธรียตตี ิ ธมฺโม (ธร ธารเณ ในการทรงไว้ + รมฺม) (กัมมสาธนะ) อนั ปจั จยั ท. ยอ่ มทรงไว้ เพราะเหตุนนั้ ชอื่ ว่า ธมมฺ (สภาพทถ่ี กู ปัจจัยทรงไว้) ว.ิ กรยี ตีติ กมฺมํ (กร กรเณ ในการกระท�ำ + รมมฺ ) (กมั มสาธนะ) ย่อมถูกกระท�ำ เพราะเหตุนัน้ ชื่อวา่ กมมฺ (สง่ิ ทถี่ กู กระท�ำ, กรรม) วิ. พรฺ หมฺ ํ จรติ ํุ สลี ํ ยสสฺ าติ พรฺ หมฺ จาร,ี พรฺ หมฺ จารนิ ,ี พรฺ หมฺ จาริ (พรฺ หมฺ สททฺ ปู ปท + จร จรเณ ในความประพฤติ + ณี) สมาสรปู , ตัสสีลสาธนะ อ.อนั ประพฤติ ซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั ประเสรฐิ เปน็ ปกติ ของบคุ คลใด มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.บคุ คลนน้ั ชอ่ื ว่า พรฺ หฺมจาร,ี พฺรหฺมจารนิ ,ี พฺรหฺมจารี (ผ้มู กี ารประพฤตขิ อ้ ปฏบิ ตั อิ ันประเสริฐเป็นปกติ) วิ. พรฺ หฺมํ จรติ สีเลนาติ พรฺ หมฺ จาร,ี พรฺ หมฺ จารนิ ี, พฺรหฺมจาริ (พรฺ หฺม + จร จรเณ + ณ)ี ยอ่ มประพฤติ ซงึ่ ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั ประเสรฐิ โดยปกติ เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ พรฺ หมฺ จาร,ี พรฺ หมฺ จารนิ ,ี พฺรหฺมจารี (ผู้ประพฤตขิ ้อปฏบิ ตั ิอนั ประเสริฐโดยปกติ) กัตตุรปู , ตสั สีลสาธนะ
168 ไวยากรณ์บาลีเบอื้ งตน้ วิ. สจจฺ ํ วทติ ุํ สลี ํ ยสสฺ าติ สจจฺ วาท,ี สจจฺ วาทนิ ,ี สจจฺ วาทิ (สจจฺ สททฺ ปู ปท + วท วยิ ตตฺ ยิ ํ วาจายํ ในการพูดชดั + ณ)ี สมาสรูป, ตัสสลี สาธนะ อ.อันกล่าว ซึ่งความจริง เป็นปกติ ของบุคคลใด มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน อ.บุคคลนั้น ชื่อว่า สจจฺ วาที, สจจฺ วาทิน,ี สจฺจวาที (ผู้มกี ารกล่าวความจรงิ เปน็ ปกต)ิ วิ. สจจฺ ํ วทติ สเี ลนาติ สจจฺ วาท,ี สจจฺ วาทิน,ี สจฺจวาทิ (สจจฺ ส + วท วิยตฺตยิ ํ วาจายํ + ณี) ยอ่ มกลา่ ว ซง่ึ ความจรงิ โดยปกติ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ สจจฺ วาท,ี สจจฺ วาทนิ ,ี สจจฺ วาที (ผกู้ ลา่ ว ความจรงิ โดยปกต)ิ กตั ตรุ ูป, ตัสสลี สาธนะ วิ. ปณฑฺ ติ ํ อตตฺ านํ มฺ ตตี ิ ปณฑฺ ติ มาน,ี พาโล (ปณฑฺ ติ สททฺ ปู ปท+มน าเณ ในความรู้ + ณ)ี ยอ่ มสำ� คญั ซงึ่ ตน วา่ เปน็ บณั ฑติ เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ ปณฑฺ ติ มานี (ผสู้ �ำคญั ตนวา่ เปน็ บณั ฑติ ) ว.ิ พหสุ ฺสตุ ํ อตฺตานํ มฺตตี ิ พหสุ สฺ ุตมานี, พาโล (พหสุ ฺสตุ สททฺ ูปปท+มน าเณ ในความรู้ +ณ)ี ยอ่ มสำ� คญั ซง่ึ ตนวา่ เปน็ ผมู้ กี ารศกึ ษามากเพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ พหสุ สฺ ตุ มานี(ผสู้ ำ� คญั ตนวา่ เป็นผู้มีการศกึ ษามาก) วิ. ภิกฺขติ ุํ สีลํ ยสฺสาติ ภิกขฺ ุ (ภกิ ฺข ยาจเน ในการขอ + รู) (รัสสะ อู เป็น อุ) (ตัสสีลสาธนะ) อ.อันขอ เป็นปกติ ของบุคคลใด มอี ยู่ เพราะเหตุน้ัน อ.บุคคลนั้น ชอ่ื ว่า ภิกฺขุ (ผมู้ กี ารขอ เปน็ ปกติ) ว.ิ อภกิ ขฺ ิ ภกิ ขฺ ติ ภกิ ขฺ สิ สฺ ติ วา สเี ลนาติ ภกิ ขฺ ุ (ภกิ ขฺ ยาจเน ในการขอ + ร)ู (รสั สะ อู เปน็ อ)ุ ได้ขอแลว้ ย่อมขอ หรอื จกั ขอ โดยปกติ เพราะเหตุนัน้ ชือ่ ว่า ภิกฺขุ (ผขู้ อโดยปกต,ิ ภกิ ษ)ุ วิ. สสํ าเร ภยํ อกิ ขฺ ตตี ิ ภกิ ขฺ ุ (ภยสททฺ ปู ปท + อกิ ขฺ ทสสฺ นงเฺ กสุ ในการเหน็ และเครอื่ งหมาย + ร)ู ยอ่ มเหน็ ซึ่งภยั ในสงสาร เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ ภิกขฺ ุ (ผู้เหน็ ภัยในสงสาร) (ลบ ย ของ ภย) วิ. สพพฺ ํ ชานาตตี ิ สพพฺ ญญฺ ู (สพพฺ สททฺ ปู ปท + า อวโพธเน ในการรู้ + ร)ู (ทตุ ยิ าตปั ปรุ สิ สมาส) ยอ่ มรู้ ซงึ่ สง่ิ ทงั้ ปวง เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ สพพฺ ฺ ู (ผรู้ สู้ งิ่ ทงั้ ปวง, พระพทุ ธเจา้ ) (กตั ตสุ าธนะ) วิ. มตตฺ ํ ชานาตตี ิ มตตฺ ฺ ู (มตตฺ าสททฺ ปู ปท + า อวโพธเน ในการรู้ + ร)ู (ทตุ ยิ าตปั ปรุ สิ สมาส) ย่อมรู้ ซึง่ ประมาณ เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ มตฺตญญฺ ู (ผู้รจู้ กั ประมาณ) (กัตตุสาธนะ) วิ. ธมมฺ ํ ชานาตตี ิ ธมมฺ ญญฺ ู (ธมมฺ สททฺ ปู ปท + า อวโพธเน ในการรู้ + ร)ู (ทตุ ยิ าตปั ปรุ สิ สมาส) ย่อมรู้ ซึ่งธรรม(เหตุ) เพราะเหตนุ ัน้ ช่ือวา่ ธมฺมญฺญู (ผู้รูธ้ รรม, ผู้รู้จกั เหตุ) (กัตตสุ าธนะ) ว.ิ กรณสโี ล การุโก, สปิ ปฺ ี (กร กรเณ ในการกระท�ำ + ณุก) (วทุ ธิ อ เป็น อา ) อ.ผู้มีการกระทำ� เปน็ ปกติ ช่อื วา่ การกุ , ไดแ้ ก่ผู้มีศลิ ปะ (นายชา่ ง) ว.ิ สํหนติ สมคฺคํ กมฺมํ สมปุ คจฉฺ ตีติ สโํ ฆ (สปํ ุพฺพ + หน คตยิ ํ ในการไป + ร) (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มเขา้ ถงึ ซงึ่ กรรม อนั พรอ้ มเพียงกนั เพราะเหตุนัน้ ช่อื ว่า สํฆ (พระสมมตสิ งฆ์) วิ. สมมฺ เทว กเิ ลสทรเถ หนตีติ สํโฆ (สปํ พุ พฺ + หน หสึ ายํ ในเบียดเบยี น + ร) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มฆา่ ซึ่งกิเลสอันเร่าร้อน ท. ดว้ ยดี นน่ั เทียว เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ สฆํ (พระอริยสงฆ์)
169 กติ ก์ วา่ ด้วยการสรา้ งคำ�ศัพท์นามกติ กแ์ ละกริ ิยากติ ก์ วิ. อารมมฺ เณ ปฏหิ ญฺ ตตี ิ ปฏโิ ฆ, โทโส (ปตปิ พุ พฺ + หน หสึ าคตสี ุ ในเบยี ดเบยี นและการไป + ร) ยอ่ มเคยี ดแคน้ ในอารมณ์ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ ปฏฆิ , ไดแ้ ก่ โทสะ (ความคบั แคน้ ) (กตั ตสุ าธนะ) วิ. นนฺทียเต นนทฺ นํ (นนฺท นนฺทเน ในความเพลิดเพลิน + ย)ุ (ภาวสาธนะ) เพลดิ เพลินอยู่ ชือ่ วา่ นนฺทน (ความเพลดิ เพลิน) วิ. นนฺทิตพพฺ นฺติ นนฺทน,ํ วนํ (นนทฺ นนฺทเน ในความยนิ ดี + ยุ) (กัมมสาธนะ) พงึ ถูกเพลิดเพลิน เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ วา่ นนฺทน, ไดแ้ กป่ า่ (สงิ่ ท่ีถกู เพลดิ เพลนิ ) วิ. สยู ติ สวณํ (สุ สวเณ ในการฟัง + ยุ) (ภาวสาธนะ) การฟงั อยู่ ช่ือวา่ สวณ (การฟงั ) วิ. สุติ สวณํ (สุ สวเณ ในการฟัง + ย)ุ (ภาวสาธนะ) อ.การฟัง ช่ือว่า สวณ (การฟงั ) วิ. อารมมฺ ณํ วชิ านาตตี ิ วิ ฺ าณ,ํ วชิ านนํ วา (วปิ พุ พฺ + า อวคมเน ในการรู้ + ย)ุ (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมรู้ ซ่งึ อารมณ์ เพราะเหตนุ ้ัน ช่ือว่า วิญญฺ าณ, วิชานน (สภาพทรี่ ู้อารมณ์, วญิ ญาณ, จติ ) วิ. ฆายตีติ ฆานํ (ฆา คนฺโธปาทาเน ในการถือเอาซงึ่ กลิ่น + ยุ) (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มสูดดม เพราะเหตุนัน้ ชอ่ื วา่ ฆาน (จมูก) วิ. ฌายตีติ ฌานํ (เฌ จินตฺ ายํ ในความคิด-การเพ่ง + ยุ) (กัตตสุ าธนะ) (แปลง เอ เป็น อา) ย่อมเพง่ พนิ จิ เพราะเหตุนนั้ ช่อื วา่ ฌาน (ฌาน, การเพ่ง) วิ. กโรติ เตนาติ กรณํ (กร กรเณ ในการกระทำ� + ยุ) (กรณสาธนะ) ย่อมกระทำ� ดว้ ยวตั ถุนนั้ เพราะเหตนุ ั้น อ.วัตถุนน้ั ชือ่ ว่า กรณ (เปน็ เคร่ืองกระท�ำ, เครือ่ งมอื ) วิ. ยถาสรปู ํ สททฺ า พยฺ ากรยี นตฺ ิ เอเตนาติ พยฺ ากรณํ (ว+ิ อา + กร กรเณ ในการกระทำ� + ย)ุ อ.ศัพท์ ท. ย่อมถูกกล่าว ตามสภาพของตน ด้วยคัมภีร์น้ี เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า พฺยากรณ (คมั ภรี ์ไวยากรณ์) (กรณสาธนะ) ว.ิ ปูรยติ เตนาติ ปรู ณํ (ปรู ปรู เณ ในการให้เต็ม + ย)ุ (กรณสาธนะ) ยอ่ มใหเ้ ต็ม ดว้ ยวัตถุนัน้ เพราะเหตุน้นั ชื่อว่า ปูรณ (วตั ถเุ ป็นเคร่อื งใหเ้ ตม็ ) ว.ิ ทียติ อเนนาติ ทานํ (ทา ทาเน ในการให้ + ย)ุ (กรณสาธนะ) ยอ่ มถกู ให้ ดว้ ยเจตนาน้ี เพราะเหตนุ ้นั ชอื่ วา่ ทาน (เจตนาเปน็ เหตุอันเขาให้, ทานเจตนา) วิ. ปมียติ อเนนาติ ปมาณํ (ปปุพฺพ + มา ปรมิ าเณ ในการนับ-ชั่ง-ตวง + ย)ุ ย่อมถูกค�ำนวณ ด้วยวัตถุน้ี เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า ปมาณ (วัตถุเป็นเครื่องอันเขาค�ำนวณ, ประมาณ) ว.ิ วจุ ฺจติ อเนนาติ วจนํ (วจ วิยตตฺ ยิ ํ วาจายํ ในการพูดชดั + ย)ุ (กรณสาธนะ) ยอ่ มถูกกลา่ ว ด้วยค�ำพูดน้ี เพราะเหตุนนั้ ชื่อวา่ วจน (ค�ำพดู เป็นเคร่ืองอนั เขากล่าว) ว.ิ ภาเวตตี ิ ภาวนา (ภู สตตฺ ายํ ในความมี ความเป็น + เณ + ยุ + อา) (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมให้เจริญ เพราะเหตนุ ้นั ชื่อวา่ ภาวนา (ธรรมชาติผู้ให้เจรญิ , ภาวนา)
170 ไวยากรณ์บาลีเบอื้ งตน้ ว.ิ ภาวยี ติ เอตายาติ ภาวนา (ภู สตตฺ ายํ ในความมี ความเปน็ + เณ + ยุ + อา) (กรณสาธนะ) ยอ่ มถกู ใหเ้ จรญิ ดว้ ยธรรมนี้ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ ภาวนา (เปน็ เครอ่ื งอนั เขาใหเ้ จรญิ , ภาวนา) ว.ิ ติฏฺฐติ ตสมฺ ินตฺ ิ ฐานํ (ฐา คตินวิ ตฺติมหฺ ิ ในการหา้ มการไป + ย)ุ (อธกิ รณสาธนะ) ยอ่ มตง้ั อยู่ ในท่นี ั้น เพราะเหตุนัน้ ชอ่ื ว่า ฐาน (ทีเ่ ปน็ ท่ตี ง้ั , ฐาน) ว.ิ สยติ ตสมฺ ินตฺ ิ สยน,ํ เสนํ วา (สิ สเย ในการนอน + ย)ุ (อธิกรณสาธนะ) (วุทธิ อิ เป็น เอ) ยอ่ มนอน ในทน่ี ้นั เพราะเหตุนนั้ ช่อื วา่ สยน, เสน (ทเ่ี ปน็ ท่นี อน) (แปลง เอ เป็น อย) ว.ิ อจฺฉติ ตสฺมนิ ฺติ อาสนํ (อาส อุปเวสเน ในการเขา้ ไปใกล้ + ยุ) (อธกิ รณสาธนะ) ย่อมเข้าไปใกล้ ในทนี่ ้ัน เพราะเหตนุ น้ั ช่ือว่า อาสน (ทเ่ี ป็นทน่ี ่ัง, อาสนะ) วิ. อธกิ รียติ เอตฺถาติ อธกิ รณํ (อธิปุพฺพ + กร กรเณ ในการกระท�ำ + ยุ) (อธกิ รณสาธนะ) ย่อมถูกอาศัยกระท�ำ ในท่ีน้ี เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า อธิกรณ (ท่ีเป็นที่อันเขาอาศัยกระท�ำ, อธกิ รณ)์ วิ. สมมฺ า ปกาเรน ททาติ อสสฺ าติ สมปฺ ทานํ (ส+ํ ปปพุ พฺ + ทา ทาเน ในการให้ + ย)ุ (สมั ปทาน) ยอ่ มให้ โดยประการ ดว้ ยดี แกบ่ คุ คลนน้ั เพราะเหตุน้นั ช่ือว่า สมปฺ ทาน (เปน็ ทใ่ี ห้) วิ. อเปจจฺ เอตสมฺ า อาททาตีติ อปาทานํ (อป+อา+ ทา อาทาเน ในการถือเอา + ย)ุ (อปาทาน) หลกี ไปแลว้ จากทน่ี ี้ ยอ่ มถอื เอา (ซง่ึ ทอ่ี น่ื ) เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ อปาทาน (เปน็ แดนหลกี ออก) วิ. อาทยี ตตี ิ อาทิ (อาปพุ ฺพ + ทา อาทาเน ในการถอื เอา + อ)ิ (กัมมสาธนะ) ย่อมถูกถอื เอาเบอื้ งแรก เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า อาทิ (เบอื้ งแรก, เบ้อื งต้น) ว.ิ นธิ ียตตี ิ นธิ ิ (นปิ ุพพฺ + ธา ธารเณ ในการทรงไว้ + อิ) (กมั มสาธนะ) ย่อมถกู ฝังไว้ เพราะเหตนุ ้ัน ช่ือว่า นิธิ (ขุมทรัพย)์ วิ. วิธยี ตีติ วิธิ (วปิ ุพฺพ + ธา กรเณ ในการกระท�ำ + อ)ิ (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถกู กระท�ำ เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื ว่า วธิ ิ (วธิ ี, พิธ)ี ว.ิ วิทธาตตี ิ วธิ ิ (วิปุพพฺ + ธา กรเณ ในการกระทำ� + อ)ิ (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มกระทำ� เพราะเหตุนน้ั ชื่อว่า วธิ ิ (วิธ,ี พิธี) ว.ิ วิธานํ วธิ ิ (วปิ ุพพฺ + ธา กรเณ ในการกระท�ำ + อิ) (ภาวสาธนะ) อ.การกระทำ� ช่ือวา่ วิธิ (วิธี, พธิ ี, การกระทำ� ) วิ. สมมฺ า สมํ วา จติ ตฺ ํ อาทธาตตี ิ สมาธิ (ส+ํ อาปพุ ฺพ + ธา ธารเณ ในการทรงไว้ + อ)ิ (กัตต)ุ ยอ่ มต้ังไว้ ซึ่งจติ ดว้ ยดี หรอื สมำ�่ เสมอ เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื วา่ สมาธิ (สภาพธรรมท่ดี ำ� รงจิตไว้ ด้วยด)ี ว.ิ ชรี ตีติ ชรา (ชร วโยหานิมหฺ ิ ในการเส่อื มแหง่ วัย + อ + อา) (กตั ตสุ าธนะ) (ลง อาปจั จยั ) ย่อมคร่ำ� คร่า เพราะเหตนุ ้นั ช่ือว่า ชรา (ผูแ้ ก,่ ชรา) วิ. ชรี ณํ ชรา (ชร วโยหานิมฺหิ ในการเสอ่ื มแห่งวยั + อ + อา) (ภาวสาธนะ) (ลง อาปัจจยั ) อ.ความแก่ ช่อื วา่ ชรา (ความแก,่ ชรา)
171 กิตก์ วา่ ด้วยการสรา้ งคำ�ศพั ท์นามกติ ก์และกริ ยิ ากติ ก์ วิ. ปฏสิ มภฺ ชิ ชฺ ตตี ิ ปฏสิ มภฺ ทิ า (ปต+ิ สํ + ภทิ ิ ทวฺ ธิ ากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ปน็ สองสว่ น + อ + อา) ย่อมแตกฉาน เพราะเหตนุ ้ัน ช่ือว่า ปฏิสมภฺ ิทา (ปฏิสัมภทิ า) (กัตตุสาธนะ) ว.ิ ปฏปิ ชชฺ ติ เอตายาติ ปฏิปทา (ปติปพุ พฺ + ปท คตมิ ฺหิ ในการไป + อ + อา) (กรณสาธนะ) ยอ่ มปฏิบตั ิ ดว้ ยข้อปฏิบัติน้ี เพราะเหตุนนั้ ช่อื ว่า ปฏิปทา (ข้อวตั รเป็นเคร่อื งปฏิบตั ิ) ว.ิ สมฺปชฺชติ เอตายาติ สมฺปทา (สํปุพฺพ + ปท คติมฺหิ ในการไป + อ + อา) (กรณสาธนะ) ยอ่ มถึงพรอ้ ม ด้วยสมบัตนิ ้ี เพราะเหตุนั้น ช่อื วา่ สมฺปทา (สมบตั เิ ป็นเครื่องถึงพรอ้ ม) ว.ิ สญฺชานาตตี ิ สญฺา (สปํ พุ ฺพ + า อวคมเน ในการรู้ + อ + อา) (กตั ตุสาธนะ) ยอ่ มรโู้ ดยการจดจำ� เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื ว่า สฺา (ความจ�ำไดห้ มายรู้, สญั ญา) วิ. ปชานาตีติ ปญฺ า (ปปพุ พฺ + า อวคมเน ในการรู้ + อ + อา) (กตั ตุสาธนะ) ย่อมรโู้ ดยประการตา่ งๆ เพราะเหตนุ น้ั ช่อื วา่ ปฺ า (ปัญญา) ว.ิ อุเปกฺขตตี ิ อเุ ปกฺขา (อุปปุพพฺ + อิกขฺ ทสสฺ นงเฺ กสุ ในการเห็นและเครือ่ งหมาย + อ + อา) ย่อมแลดโู ดยสมควร เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ ว่า อุเปกขฺ า (วางเฉย, อุเบกขา) (กตั ตสุ าธนะ) วิ. จนิ ฺตนํ จินตฺ า (จินตฺ จินตฺ ายํ ในความคิด + อ + อา) (ภาวสาธนะ) อ.ความคิด ชื่อว่า จนิ ตฺ า (ความคดิ , ปญั ญา) ว.ิ ปตฏิ ฺ านํ ปตฏิ ฺ า (ปตปิ พุ พฺ + า คตนิ วิ ตตฺ มิ หฺ ิ ในการหา้ มการไป + อ + อา) (ภาวสาธนะ) อ.การตั้งอยู่เฉพาะ ชือ่ วา่ ปตฏิ ฺฐา (การต้ังไวเ้ ฉพาะ, การประดิษฐานไว้, ทพ่ี งึ่ ) ว.ิ สกิ ขฺ นํ สิกฺขา (สิกขฺ วิชฺโชปาทาเน ในการถือเอาซ่งึ วชิ า + อ + อา) (ภาวสาธนะ) อ.การศึกษา ชอ่ื ว่า สิกขฺ า (การศึกษา) วิ. สกิ ฺขยี ตีติ สกิ ฺขา (สกิ ฺข วชิ โฺ ชปาทาเน ในการถือเอาซ่งึ วิชา + อ + อา) (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถกู ศึกษา เพราะเหตนุ ้นั ช่ือว่า สิกฺขา (ข้อทถ่ี กู ศึกษา) วิ. ปรสมฺปตฺตึ อภิมขุ ํ ฌายตีติ อภิชฌฺ า (อภิปุพฺพ + เฌ จนิ ฺตายํ ในการเพ่ง-คดิ + อ + อา) ยอ่ มคดิ อยากได้ โดยมงุ่ ซึ่งสมบตั ขิ องบุคคลอ่ืน เพราะเหตนุ ั้น ช่ือวา่ อภิชฺฌา (สภาวะทเ่ี พ่ง อยากได้ สมบัติของผูอ้ น่ื ) (กตั ตสุ าธนะ) ว.ิ หเิ ตสตี ํ อปุ ฏฺ เปตวฺ า ฌายตตี ิ อปุ ชฌฺ า, อปุ ชฌฺ าโย (อปุ + เฌ จนิ ตฺ ายํ ในการเพง่ -คดิ + อ + อา) ยังความเป็นผู้แสวงหาประโยชน์เก้ือกูล ให้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ย่อมเพ่ง เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า อุปชฺฌา, ไดแ้ กพ่ ระอุปัชฌาย์ (พระอปุ ัชฌาย์) (แปลง เอ เปน็ อาย) (กัตตุสาธนะ) ว.ิ เอสนํ อจิ ฉฺ า (อสิ ุ อจิ ฉฺ ายํ ในความปรารถนา + อ + อา) (ภาวสาธนะ) (แปลงทสี่ ดุ ธาตเุ ปน็ จฉฺ ) อ.ความปรารถนา ชอ่ื วา่ อิจฉฺ า (ความปรารถนา, ความต้องการ) ว.ิ ปจุ ฺฉนํ ปุจฺฉา (ปจุ ฺฉ ปจุ ฺฉเน ในการถาม + อ + อา) (ภาวสาธนะ) อ.การถาม ชอื่ วา่ ปจุ ฉฺ า (การถาม, ปุจฉา) วิ. นยนํ นตี ิ (นี นเย ในการน�ำไป + ต)ิ (ภาวสาธนะ) อ.การน�ำไป ช่อื วา่ นีติ (การนำ� ไป, กฎหมาย, กฎระเบียบ)
172 ไวยากรณบ์ าลีเบอ้ื งตน้ ว.ิ นียติ เอตายาติ นตี ิ (นี นเย ในการน�ำไป + ต)ิ (กรณสาธนะ) ยอ่ มถูกน�ำไป ดว้ ยนยั นี้ เพราะเหตุน้นั ชอื่ ว่า นตี ิ (นัยเปน็ เครอื่ งอนั เขานำ� ไป, กฎหมาย) วิ. มญฺ ตตี ิ มติ (มน าเณ ในการรู้ + ต)ิ (กัตตุสาธนะ) ยอ่ มรู้ เพราะเหตุน้ัน ช่อื ว่า มติ (ปญั ญา, มต)ิ ว.ิ คมนํ คติ (คมุ คติมหฺ ิ ในการไป + ต)ิ (ภาวสาธนะ) อ.การไป ช่ือวา่ คติ (การไป) วิ. คนตฺ พพฺ าติ คติ (คมุ คติมฺหิ ในการไป + ต)ิ (กมั มสาธนะ) อ.ภมู ิอนั สตั ว์พึงไป เพราะเหตุนั้น ช่ือวา่ คติ (ภูมิอนั สัตว์พึงไป) ว.ิ สมาปชฺชนํ สมาปตตฺ ิ (สํ+อาปุพฺพ + ปท คติมฺหิ ในการไป + ต)ิ (ภาวสาธนะ) อ.การเข้าถึงด้วยดี ช่ือว่า สมาปตฺติ (สมาบัติ) (ลบพยัญชนะท่ีสุดธาตุ และเทวภาวะ = คปุ าทนี ญจฺ ) วิ. สมาปชฺชเตติ สมาปตตฺ ิ (ส+ํ อาปุพพฺ + ปท คติมฺหิ ในการไป + ต)ิ (กัมมสาธนะ) ย่อมถูกเข้าถึงด้วยดี เพราะเหตนุ ัน้ ช่ือวา่ สมาปตฺติ (สมาบตั )ิ ว.ิ สมฺปชชฺ นํ สมฺปตฺติ (สปํ พุ พฺ + ปท คตมิ หฺ ิ ในการไป + ติ) (ภาวสาธนะ) อ.การถงึ พรอ้ ม ชอ่ื ว่า สมปฺ ตฺติ (ความถงึ พรอ้ ม, สมบัติ) ว.ิ สมฺปชชฺ เตติ สมปฺ ตฺติ (สํ + ปท คตมิ ฺหิ ในการไป + ต)ิ (กัมมสาธนะ) ยอ่ มถกู ถงึ พรอ้ ม เพราะเหตุนน้ั ช่ือวา่ สมปฺ ตฺติ (ส่งิ ทถี่ ูกถึงพร้อม, สมบัติ) วิ. หายนํ หานิ, ชานิ (หา ชานิมหฺ ิ ในความเส่ือม + ต)ิ (แปลง ติ เปน็ นิ และแปลง ห เป็น ช) อ.ความเส่อื ม ชอ่ื วา่ หาน,ิ ชานิ (ความเสื่อม) (ภาวสาธนะ) ว.ิ เจตยตีติ เจตนา (จติ สญเฺ จตเน ในการจงใจ + ยุ + อา) (กัตตุสาธนะ) (ลง อาปจั จยั ) ยอ่ มจงใจ เพราะเหตนุ ั้น ช่อื วา่ เจตนา (ธรรมชาติผูจ้ งใจ, เจตนา) วิ. เวทยตีติ เวทนา (วิท อนภุ วเน ในการเสวย + ยุ + อา) (กตั ตุสาธนะ) (ลง อาปัจจัย) ย่อมเสวย(อารมณ)์ เพราะเหตนุ ั้น ชอื่ ว่า เวทนา (ธรรมชาติผูเ้ สวยอารมณ,์ เวทนา) ว.ิ เทสยี ตีติ เทสนา (ทสิ ี อุจจฺ ารเณ ในการสวด-แสดง + ยุ + อา) (กัมมสาธนะ) ยอ่ มถกู แสดง เพราะเหตุนั้น ช่อื วา่ เทสนา (สิ่งที่ถูกแสดง, เทศนา, เทศน)์ ว.ิ ภาวียตีติ ภาวนา (ภู สตฺตายํ ในความมี ความเปน็ + เณ + ยุ + อา) (กมั มสาธนะ) ยอ่ มถูกให้มี หรอื ย่อมถูกให้เจรญิ เพราะเหตุนั้น ชอ่ื ว่า ภาวนา (สิ่งที่ถกู ใหเ้ จรญิ , ภาวนา) วิ. กตตฺ พฺพา กริ ยิ า (กร กรเณ ในการกระท�ำ + รริ ิย + อา) (กัมมสาธนะ) อ.อาการอันบุคคลพงึ กระทำ� ชอ่ื ว่า กิริยา (กิรยิ า) ว.ิ สุปนํ สปุ โิ น, สปุ นิ ํ (สปุ สเย ในการนอน + อนิ ) (ภาวสาธนะ) อ.การนอน ช่อื ว่า สปุ นิ (การนอน, การฝนั )
173 กติ ก์ ว่าด้วยการสรา้ งค�ำ ศัพท์นามกติ ก์และกิริยากติ ก์ ว.ิ ทกุ ฺเขน กรยี ตตี ิ ทุกกฺ ร,ํ หติ ํ (ทปุ พุ พฺ + กร กรเณ ในการกระทำ� + ข) (กัมมสาธนะ) ยอ่ มถกู กระทำ� โดยยาก เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ ทกุ กฺ ร, ไดแ้ กป่ ระโยชนเ์ กอ้ื กลู (ถกู กระทำ� ไดย้ าก) ว.ิ สุเขน กรียตีติ สุกรํ, ปาปํ (สปุ ุพพฺ + กร กรเณ ในการกระท�ำ + ข) (กมั มสาธนะ) ย่อมถูกกระทำ� โดยง่าย เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อว่า สกุ ร, ไดแ้ ก่บาป (ถูกกระท�ำได้ง่าย) ว.ิ ทกุ เฺ ขน รกขฺ ิตพฺพนตฺ ิ ทรุ กฺขํ, จติ ฺตํ (ทปุ ุพฺพ + รกขฺ ปาลเน ในการรกั ษา + ข) (กมั มสาธนะ) พึงถกู รกั ษา โดยยาก เพราะเหตุน้นั ชอื่ วา่ ทรุ กขฺ , ได้แก่จติ (ถกู รกั ษาไดย้ าก) ว.ิ ทกุ เฺ ขน ปสสฺ ติ พโฺ พติ ททุ ทฺ โส, ธมโฺ ม (ทปุ พุ พฺ + ทสิ เปกขฺ เณ ในการด-ู เหน็ + ข) (กมั มสาธนะ) พงึ ถกู เหน็ โดยยาก เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ ททุ ทฺ ส, ไดแ้ กธ่ รรม (ถกู เหน็ ไดย้ าก) (แปลง อิ เปน็ อ) วิ. สุเขน ปสสฺ ติ พพฺ นตฺ ิ สทุ สสฺ ,ํ ปรวชชฺ ํ (สปุ พุ พฺ + ทสิ เปกขฺ เณ ในการด-ู เหน็ + ข) (กมั มสาธนะ) พึงถูกเห็น โดยง่าย เพราะเหตนุ นั้ ชื่อวา่ สุทสสฺ , ได้แก่โทษของผ้อู ่ืน (ถกู เหน็ ไดง้ ่าย) วิ. สุเขน พชุ ฺฌิตพพฺ นฺติ สุโพธํ (สุปพุ พฺ + พุธ อวโพธเน ในการรู้ + ข) (กัมมสาธนะ) พงึ ถูกรู้ โดยงา่ ย เพราะเหตนุ ั้น ชอื่ วา่ สโุ พธ (ถกู รู้ไดง้ ่าย) ว.ิ สพเฺ พ สงขฺ ตาสงขฺ ตสมมฺ ตุ เิ ภเท ธมเฺ ม อพชุ ฌฺ ิ พชุ ฌฺ ติ พชุ ฌฺ สิ สฺ ตตี ิ วา พทุ โฺ ธ (พธุ อวคมเน+ต) ได้ตรสั รแู้ ล้ว ย่อมตรสั รู้ หรอื จกั ตรสั รู้ ซ่งึ ธรรม ท. อนั มปี ระเภทแห่งสงั ขตะ อสังขตะ และ บญั ญตั ิ ทัง้ ปวง เพราะเหตุนนั้ ชอ่ื วา่ พทุ ฺธ (ผ้ตู รสั ร,ู้ พระพทุ ธเจ้า) (กัตตสุ าธนะ) ว.ิ รูปาทสี ุ สญฺชตีติ สตโฺ ต (สนชฺ สงฺเค ในการติด + ต) (กตั ตสุ าธนะ) ย่อมขอ้ ง ในอารมณ์ ท. มีรูปเป็นตน้ เพราะเหตนุ ัน้ ช่อื ว่า สตฺต (ผขู้ ้องในอารมณ,์ สัตว)์ วิ. อาคจฺฉตีติ อาคนฺตโุ ก (อาปพุ ฺพ + คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + ตกุ ) (กตั ตสุ าธนะ) ยอ่ มมา เพราะเหตนุ นั้ ชื่อว่า อาคนตฺ กุ (แขกผู้มาถงึ , แขก, อาคันตกุ ะ) ว.ิ คนตฺ ํุ ภพฺโพติ คมิโก, ภกิ ฺขุ (คมุ คตมิ ฺหิ ในการไป + อิก) เปน็ ผูค้ วร เพือ่ อนั ไป เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ วา่ คมิก, ไดแ้ กภ่ ิกษุ (ผู้จะเดินทาง)
174 ไวยากรณ์บาลีเบือ้ งต้น ๕.๓ อตตี กาลิกปจั จยั (ต ปจั จัย) บทกิตก์ท่ีประกอบด้วย ต ปัจจัย รูปส�ำเร็จเป็นกิริยากิตก์ ท�ำหน้าท่ี ๒ อย่าง คือ (๑) กริ ยิ าคมุ พากย์ และ (๒) วเิ สสนะ เวลาน�ำไปใชต้ ้องมลี ิงค์ วิภตั ติ และวจนะเหมอื นบทท่ีไป สัมพนั ธ์ดว้ ยเสมอ มอี ำ� นาจดงั นี้ ๑. ธาตทุ ่ีมี ม, น และ ร เป็นท่ีสดุ ใหล้ บพยญั ชนะทส่ี ดุ ธาตุ เช่น คโต ไปแลว้ คมุ คตมิ ฺหิ ในการไป, ถงึ , บรรลุ + ต ปัจจัย รโต ยนิ ดีแลว้ รมุ กฬี ายํ ในการเลน่ + ต ปจั จัย ขโต อันเขาขดุ แล้ว ขนุ อวทารเณ ในการขุด + ต ปัจจัย หโต อันเขาฆา่ แล้ว หน หสึ ายํ ในความเบยี ดเบียน + ต ปจั จยั มโต อันเขารแู้ ลว้ มน าเณ ในความรู้ + ต ปัจจัย หโฏ อนั เขาน�ำไปแล้ว หร หรเณ ในการนำ� ไป + ต ปจั จยั กโต อนั เขาท�ำแล้ว กร กรเณ ในการกระทำ� + ต ปัจจัย มโต ตายแลว้ มร ปาณจาเค ในการสละชีวติ + ต ปจั จัย ๒. ธาตุทีม่ ี จ, ช และ ป เป็นที่สดุ ใหล้ บที่สดุ ธาตุ และซ้อน ตฺ เช่น สติ ฺโต อันเขารดแลว้ สิจ สญิ ฺจเน ในการรด + ต ปัจจยั วิวติ โฺ ต สงดั แล้ว วิ + วจิ วิเวเก ในความสงบ + ต ปจั จยั ภุตฺโต อนั เขากนิ แลว้ ภุช พยฺ วหรเณ ในการกลืนกนิ + ต ปัจจยั จตโฺ ต อันเขาสละแลว้ จช จาเค ในการสละ + ต ปจั จยั คุตฺโต อนั เขาคมุ้ ครองแลว้ คปุ โคปเน ในการค้มุ ครอง,รกั ษา + ต ปจั จยั ตตฺโต รอ้ นแล้ว ตป ทาเห ในความรอ้ น + ต ปัจจยั ๓. เพราะพยัญชนาทปิ ัจจยั ถ้าธาตุมพี ยัญชนะตั้งแตส่ องตวั ขนึ้ ไป ใหล้ ง อิ อาคมหน้า ต ปจั จัย เชน่ ภาสโิ ต อันเขากลา่ วแลว้ ภาส วยิ ตตฺ ิยํ วาจายํ ในการพดู ชดั + ต ปจั จัย เทสโิ ต อันเขาแสดงแลว้ ทิสี อจุ ฺจารเณ ในการสวด,แสดง + เณ + ต ปัจจัย อิจฺฉติ ํ อนั เขาปรารถนาแล้ว อสิ ุ อจิ ฉฺ ากนตฺ สี ุ ในความปรารถนาและใคร่ + ต ปจั จยั ปจุ ฺฉโิ ต อนั เขาถามแลว้ ปจุ ฉฺ ปจุ ฉฺ เน ในการถาม + ต ปัจจัย ปาลติ ํ อันเขารักษาแล้ว ปาล รกขฺ เณ ในการรกั ษา + เณ + ต ปจั จยั ๔. ธาตทุ มี่ ี ท เปน็ ตน้ เปน็ ทสี่ ดุ แปลง ต เปน็ อนิ นฺ , อนนฺ และ อณี และลบพยญั ชนะทส่ี ดุ ธาตุ เชน่ ทินโฺ น ให้แล้ว, อันเขาใหแ้ ล้ว ทา ทาเน ในการให้ + ต ปัจจัย นิสินโฺ น นง่ั แลว้ นิ + สท คตยฺ าวสาเน ในการสนิ้ สดุ การไป + ต ปจั จยั ภนิ ฺโน แตกแลว้ ภทิ ิ วิทารเณ ในการผา่ , ทำ� ลาย + ต ปัจจัย ฉนิ โฺ น อนั เขาตัดแลว้ ฉทิ ิ ทวฺ ธิ ากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ปน็ สองสว่ น + ต ปจั จยั
175 กติ ก์ วา่ ด้วยการสรา้ งค�ำ ศัพทน์ ามกติ กแ์ ละกริ ิยากติ ก์ ปสนโฺ น เล่อื มใสแลว้ ป + สท ปสาเท ในความเลื่อมใส + ต ปัจจยั อุปปฺ นโฺ น เกดิ ขนึ้ แลว้ อุ + ปท คตมิ ฺหิ ในการไป + ต ปจั จัย ขณี า สิน้ แล้ว ขี ขเย ในความสน้ิ ไป + ต ปจั จัย ปหีนา อนั เขาละแลว้ ป + หา จาเค ในการสละ + ตปจั จัย ๕. ธาตทุ ม่ี ี ร เป็นท่สี ุด แปลง ต เป็น อณิ ณฺ และลบพยญั ชนะท่ีสุดธาตุ เชน่ ติณฺโณ ข้ามแล้ว ตร ตรเณ ในการข้าม + ต ปจั จยั ชิณฺโณ แก่แล้ว ชร วโยหานมิ ฺหิ ในความเส่ือมแห่งวัย + ต ปจั จัย ปณุ ฺโณ เตม็ แล้ว ปรู ปูรเณ ในการเตม็ + ต ปจั จัย ๖. ธาตทุ ม่ี ี ส เปน็ ทส่ี ุด แปลง ต พร้อมกับพยญั ชนะท่สี ุดธาตุ เป็น ฏฺ เช่น ตฏุ ฺโ ยนิ ดแี ล้ว ตสุ ปีตมิ หฺ ิ ในความยินดี + ต ปจั จยั อิฏโฺ ถูกปรารถนาแลว้ อสิ ุ อจิ ฉฺ ากนตฺ สี ุ ในความปรารถนาและนา่ ใคร่ + ต ปจั จยั หฏฺโ ร่าเรงิ แลว้ หส หาเส ในความหัวเราะ + ต ปัจจยั ปวิฏฺโ เข้าไปแลว้ ป + วิส ปเวสเน ในการเข้าไป + ต ปัจจยั ๗. หลังจาก ทสิ และ สาส ธาตุ แปลง ต เป็น รฏิ ฺ และลบพยญั ชนะท่สี ดุ ธาตุ เชน่ ทิฏโฺ ถกู เห็นแล้ว ทิส เปกฺขเณ ในการดู,การเหน็ + ต ปัจจยั อนสุ ิฏโฺ ถูกพร่ำ� สอนแล้ว อนุ + สาส อนสุ ฏิ ฺ มิ ฺหิ ในการพร�่ำสอน + ต ปัจจัย ๘. ธาตทุ ีม่ ี ธ และ ภ เปน็ ทีส่ ดุ แปลง ต เป็น ธ และแปลงทีส่ ุดธาตุ เป็น ทฺ เช่น พทุ โฺ ธ รแู้ ลว้ พธุ อวโพธเน ในการรู้ + ต ปจั จัย กุทโฺ ธ โกรธแล้ว กธุ โกเป ในความก�ำเริบ + ต ปจั จยั รุทฺโธ อันเขาปิดแลว้ รธุ ิ อาวรเณ ในการปดิ กั้น + ต ปัจจยั อารทฺโธ อนั เขาปรารภแลว้ อา + รภ ราภสฺเส ในการเรมิ่ ตน้ + ต ปัจจัย ๙. ธาตุทีม่ ี ม เปน็ ท่สี ุด แปลง ต เปน็ นฺต และลบพยญั ชนะทส่ี ุดธาตุ เช่น ปกกฺ นโฺ ต หลีกไปแลว้ ป + กมุ ปทวิกฺเขเป ในการก้าวเท้า + ต ปัจจยั นิกฺขนโฺ ต ออกไปแล้ว นิ + กมุ ปทวกิ ฺเขเป ในการกา้ วเทา้ + ต ปัจจยั ทนฺโต ทรมานแล้ว, ฝึกแล้ว ทมุ ทมเน ในการฝกึ + ต ปัจจัย สนโฺ ต สงบแลว้ สมุ อปุ สเม ในความสงบ + ต ปัจจยั ๑๐. ธาตุท่ีมี ห เป็นทส่ี ดุ แปลง ต เปน็ ห และแปลงพยญั ชนะที่สุดธาตเุ ปน็ ล เช่น รฬู ฺโห งอกแลว้ , เจริญแล้ว รหุ ชนเน ในการเกดิ + ต ปัจจัย มูฬฺโห หลงแล้ว มุห เวจติ ฺเต ในความหลง + ต ปัจจัย วฬู ฺโห อันนำ้� พัดไปแลว้ วห ปาปเน ในการให้ถึง, น�ำไป + ต ปจั จยั
176 ไวยากรณ์บาลเี บ้อื งต้น ๕.๔ ตเวตนุ าทิปจั จยั ตเวตนุ าทปิ ัจจยั ได้แกป่ จั จัย ๕ ตัว คอื ตเว, ตํุ, ตนุ , ตฺวาน และ ตวฺ า ปัจจยั แบง่ ออก เป็น ๒ พวก คือ (๑) ตเว และ ตุํ ปัจจัย (๒) ตุน, ตฺวาน และ ตฺวา ปัจจัย สาเหตุท่ีจัดอยู่ ในกลุ่มเดียวกัน เพราะรปู ส�ำเรจ็ เปน็ นบิ าตทง้ั หมด ๕.๔.๑ ตเว และ ตุํ ปัจจัย อภิสงฺขรติ ุํ = เพ่อื อนั ปรุงแตง่ อภิ + สํ + กร กรเณ ในการกระท�ำ + (อ)ิ + ตํุ โสตเว = เพอ่ื อนั ฟงั สุ สวเณ ในการฟัง + ตเว โสต ํุ = เพือ่ อันฟัง สุ สวเณ ในการฟงั + ตุํ สุณติ ุํ = เพื่ออันฟัง สุ สวเณ ในการฟัง + ณา + (อ)ิ + ตํุ กาตุํ = เพ่ืออนั กระทำ� กร กรเณ ในการกระทำ� + ตํุ กาตเว = เพ่ืออันกระทำ� กร กรเณ ในการกระท�ำ + ตเว อนุภวิต ุํ = เพอื่ อนั เสวย อนุ + ภู สตฺตายํ ในความม-ี ความเปน็ + (อ)ิ + ตํุ ปจิต ํุ = เพอื่ อันหุง ปจ ปาเก ในการหุง-ต้ม + (อ)ิ + ตํุ คนตฺ ํุ = เพ่อื อันไป คมุ คติมหฺ ิ ในการไป + ตํุ (แปลงทส่ี ดุ ธาตุ เป็น นฺ) คมิต ุํ = เพอื่ อันไป คมุ คติมฺหิ ในการไป + (อ)ิ + ตุํ ขนตฺ ํุ = เพอื่ อนั ขดุ ขนุ อวทารเณ ในการขดุ + ตํุ ขนติ ุํ = เพ่อื อนั ขุด ขนุ อวทารเณ ในการขุด + (อิ) + ตํุ หนตฺ ํุ = เพือ่ อันเบยี ดเบยี น หน หสึ าคตีสุ ในการเบยี ดเบยี นและการไป + ตุํ หนติ ํุ = เพอ่ื อนั เบียดเบียน หน หสึ าคตีสุ ในการเบยี ดเบยี นและการไป + (อ)ิ + ตํุ มนฺต ุํ = เพื่ออนั รู้ มน าเณ ในความรู้ + ตํุ มนิต ุํ = เพอ่ื อันรู้ มน าเณ ในความรู้ + (อิ) + ตํุ หริต ุํ = เพ่ืออนั นำ� ไป หร หรเณ ในการนำ� ไป + (อ)ิ + ตุํ อนุสสฺ รติ ํุ = เพื่ออนั ระลกึ ถงึ อนุ + สร คตจิ ินตฺ ายํ ในการไปและการคดิ + (อ)ิ + ตํุ ตุทิต ํุ = เพ่อื อันแทง ตุท พยฺ ถเน ในการแทง + (อิ) + ตุํ ปวิสติ ุํ = เพือ่ อันเข้าไป ป + วสิ ปเวสเน ในการเข้าไป + (อิ) + ตุํ อุทฺทิสิต ํุ = เพอ่ื อันสวด, แสดง อุ + ทสิ ี อจุ จฺ ารเณ ในการสวด-แสดง + (อ)ิ + ตุํ โหต ํุ = เพ่ืออันเปน็ หู สตฺตายํ ในความมี-ความเป็น + ตุํ สยติ ุํ = เพอื่ อนั นอน สิ สเย ในการนอน + (อิ) + ตุํ เนต ุํ = เพ่อื อันนำ� ไป นี นเย ในการน�ำไป + ตํุ ชโุ หต ุํ = เพือ่ อนั บวงสรวง หุ หพยฺ ปทาเน ในการบวงสรวง + ตุํ
177 กติ ก์ ว่าด้วยการสร้างค�ำ ศพั ท์นามกติ กแ์ ละกิริยากิตก์ ปชหิตํุ = เพอื่ อันละ ป + หา จาเค ในการสละ + (อ)ิ + ตํุ ปหาตํ ุ = เพ่อื อันละ ป + หา จาเค ในการสละ + ตุํ ทาตุํ = เพื่ออันให้ ทา ทาเน ในการให้ + ตํุ โรทฺธํุ = เพื่ออันปิดก้นั รุธิ อาวรเณ ในการปิด-กน้ั + ตุํ รุนธฺ ติ ุํ = เพ่อื อันปดิ กนั้ รธุ ิ อาวรเณ ในการปิดก้ัน + (อ)ิ + ตํุ โภตตฺ ํุ = เพอื่ อนั กนิ ภชุ พฺยวหรเณ ในการกลืนกิน + ตํุ ภุญฺชติ ํุ = เพ่อื อันกนิ ภุช พฺยวหรเณ ในการกลืนกนิ + (อ)ิ + ตํุ เฉตฺต ํุ = เพอื่ อนั ตดั ฉิทิ ทวฺ ธิ ากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ป็นสองสว่ น, ตดั + ตํุ ฉินทฺ ติ ุํ = เพ่ืออันตัด ฉิทิ ทฺวิธากรเณ ในการท�ำให้เป็นสองสว่ น, ตดั +(อ)ิ + ตุํ สิพพฺ ิตุ ํ = เพื่ออนั เย็บ สิวุ ตนฺตสนตฺ าเน ในการสืบต่อเสน้ ดา้ ย + ย + (อิ) + ตํุ โพทฺธํุ = เพ่ืออนั รู้ พุธ อวคมเน ในการรู้ + ตํุ พุชฌฺ ติ ํุ = เพ่อื อันรู้ พุธ อวคมเน ในการรู้ + ย + (อ)ิ + ตุํ ชายิต ุํ = เพอ่ื อนั เกดิ ชน ชนเน ในการเกิด + ย + (อ)ิ + ตุํ ชนิต ํุ = เพ่อื อันเกดิ ชน ชนเน ในการเกิด + (อิ) + ตุํ ปตฺต ุํ = เพอ่ื อนั ถึง ป + อป ปาปุณเน ในการให้ถึง + ตํุ ปาปณุ ติ ุํ = เพอ่ื อนั ถึง ป + อป ปาปณุ เน ในการให้ถงึ + อุณา + (อิ) + ตุํ เชต ํุ = เพ่ืออันชนะ ชิ ชเย ในความชนะ + ตุํ ชินติ ุํ = เพอ่ื อนั ชนะ ชิ ชเย ในความชนะ + นา + (อ)ิ + ตํุ เกต ํุ = เพือ่ อนั ซื้อ กี ทพฺพวินิมเย ในการแลกเปลี่ยนด้วยทรพั ย์ + ตุํ กณิ ติ ํุ = เพ่ืออนั ซอื้ กี ทพพฺ วนิ มิ เย ในการแลกเปลย่ี นดว้ ยทรพั ย์ +นา+อ+ิ ตุํ วินจิ เฺ ฉต ุํ = เพื่ออันวินจิ ฉยั วิ + นิ + จิ จเย ในการสัง่ สม + ตํุ วินิจฉฺ นิ ติ ุ ํ = เพอ่ื อันวินจิ ฉยั วิ + นิ + จิ จเย ในการสั่งสม + นา + (อิ) + ตุํ าตํุ = เพ่อื อันรู้ า อวโพธเน ในการรู้ + ตุํ ชานติ ุํ = เพ่อื อนั รู้ า อวโพธเน ในการรู้ + นา + (อิ) + ตํุ คเหต ํุ = เพอ่ื อันถอื เอา คห อปุ าทาเน ในการถอื เอา + (อ)ิ + ตุํ คณหฺ ิต ํุ = เพ่ืออนั ถอื เอา คห อปุ าทาเน ในการถือเอา + ณฺหา + (อิ) + ตํุ โจเรต ํุ = เพือ่ อันลักขโมย จุร เถยฺเย ในการลกั ขโมย + เณ + ตํุ โจรยิต ํุ = เพือ่ อนั ลักขโมย จรุ เถยฺเย ในการลกั ขโมย + ณย + (อ)ิ + ตํุ ปาเลต ุํ = เพอ่ื อันรกั ษา ปาล รกฺขเณ ในการรักษา + เณ + ตุํ ปาลยติ ุํ = เพอ่ื อันรกั ษา ปาล รกขฺ เณ ในการรกั ษา + ณย + (อ)ิ + ตุํ ภาเวต ุํ = เพอ่ื อนั ยงั ... ใหเ้ จรญิ ภู สตตฺ ายํ ในความมี-ความเปน็ + เณ + ตํุ ภาวยติ ํุ = เพอื่ อนั ยงั ... ใหเ้ จรญิ ภู สตฺตายํ ในความม-ี ความเปน็ + ณย + (อ)ิ + ตํุ
178 ไวยากรณ์บาลเี บื้องตน้ กาเรตุํ = เพอ่ื อนั ยงั ... ใหก้ ระทำ� กร กรเณ ในการกระทำ� + เณ + ตํุ การยิตํุ = เพอื่ อนั ยงั ... ใหก้ ระทำ� กร กรเณ ในการกระทำ� + ณย + (อ)ิ + ตํุ การาเปต ุํ = เพอื่ อนั ยงั ... ใหก้ ระทำ� กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาเป + ตุํ การาปยิต ํุ = เพอ่ื อนั ยงั ... ใหก้ ระทำ� กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาปย + (อ)ิ + ตํุ สพุ ทุ ฺธํุ = เพื่ออันรู้ดว้ ยดี สุ + พุธ อวคมเน ในการรู้ + ตํุ ตุํ ปจั จยั ใชใ้ นอรรถ ๒ อยา่ ง (๑) ตํุ ปัจจัย ใช้ในอรรถปฐมาวิภัตติ เรียกว่า “ตุมตฺถกตฺตา” แปลว่า “อ.อัน...” เช่น “ปณฺฑิเตน ปน สีลํ วิโสเธตฺวา อตฺตโน นิพฺพานคามิมคฺคเมว โสเธตํุ วฏฺฏติ”. ค�ำแปล “แต่ว่า อ.อัน- อันบัณฑิต ยังศีล ให้หมดจดแล้ว ยังทางอันมีปกติไปสู่พระนิพพาน เพ่ือตน น่นั เทียว -ให้หมดจด ยอ่ มควร” (อนั การทบี่ ณั ฑติ ช�ำระศีลให้หมดจดแล้ว ชำ� ระหนทางเป็นทีไ่ ป พระนพิ พานเพ่ือตนนน่ั แล ยอ่ มควร) (ธม.ฺ ๗/๑๐/๘๕) “ภิกฺขุนา นาม อริยมคฺเค กมฺมํ กาตุํ วฏฺฏติ” ค�ำแปล “อ.อัน- ช่ืออันภิกษุ -กระท�ำ ซง่ึ กรรม ในอริยมรรค ย่อมควร” (ธรรมดาภิกษุทำ� กรรมในอริยมรรคจึงควร) (ธมฺ.๗/๑/๕๘) (๒) ตํุ ปจั จยั ใชใ้ นอรรถจตตุ ถวี ภิ ตั ติ เรยี กวา่ “ตมุ ตถฺ สมปฺ ทาน” แปลวา่ “เพอื่ อนั ...” เช่น “ปฏาจาเร ปุตฺตาทโย นาม ปรโลกํ คจฺฉนฺตสฺส ตาณํ วา เลนํ วา ภวิตํุ น สกฺโกนฺติ” คำ� แปล “ดูก่อนปฏาจารา ชอื่ วา่ อ.ปยิ ชน ท.มีบุตรเปน็ ตน้ ย่อมไมอ่ าจ เพอื่ อันเปน็ ผตู้ ้านทาน หรอื หรอื วา่ ผปู้ อ้ งกนั ของบคุ คลผไู้ ปอยู่ สโู่ ลกอน่ื ” (ปฏาจารา ชอื่ วา่ ปยิ ชนทง้ั หลาย มบี ตุ รเปน็ ตน้ ยอ่ มไม่อาจ เป็นผ้ตู ้านทานหรือปอ้ งกนั ของบุคคลผูไ้ ปสูป่ รโลกได้) (ธม.ฺ ๗/๑๐/๘๔-๕) “โส เอกทวิ สํ ทวิ สภาเค วิกฺกณี ิตฺวา อตฺตโน อตฺถาย ปจติ ุํ เอกํ มํสขณฑฺ ํ ภริยาย ทตฺวา นหายติ ุํ อคมาส”ิ ค�ำแปล “อ.เขา ขายแล้ว ในส่วนแห่งวนั ในวนั หนึง่ ใหแ้ ลว้ ซึง่ กอ้ น แหง่ เนอื้ ก้อนหนึ่ง แกภ่ รรยา เพ่ืออันป้ิง เพื่อประโยชน์ แกต่ น ได้ไปแลว้ เพอ่ื อันอาบ” (วนั หนึ่ง เขาขายเนอื้ ในตอนกลางวนั แลว้ ใหก้ อ้ นเนอื้ กอ้ นหนงึ่ แกภ่ รรยา เพอ่ื ปง้ิ เพอ่ื ประโยชนแ์ กต่ นแลว้ ได้ไปอาบนำ้� ) (ธมฺ.๗/๑/๑) สว่ น ตเว ปัจจยั ใชใ้ นอรรถจตุตถีวภิ ัตติเพยี งอย่างเดยี ว เชน่ โส ปุ ฺ านิ กาตเว อิจฉฺ ติ อ.เขา ย่อมปรารถนา เพ่อื อันกระทำ� ซ่ึงบุญ ท.
179 กติ ก์ ว่าดว้ ยการสรา้ งคำ�ศัพท์นามกิตก์และกิริยากติ ก์ ๕.๔.๒ ตนุ , ตฺวาน และ ตฺวา ปัจจยั อภสิ งฺขริตฺวา = ปรงุ แตง่ แลว้ อภิ + สํ + กร กรเณ + (อ)ิ + ตวฺ า (แปลง กรฺ เป็น ขร) กริตฺวา = กระท�ำแล้ว กร กรเณ ในการกระทำ� + (อ)ิ + ตวฺ า กตวฺ า = กระท�ำแล้ว กร กรเณ ในการกระท�ำ + ตวฺ า สพิ พฺ ิตวฺ า = เยบ็ แล้ว สวิ ุ ตนตฺ สนตฺ าเน ในการสบื ตอ่ เสน้ ดา้ ย + ย + (อ)ิ + ตวฺ า ชายิตวฺ า = เกดิ แล้ว ชน ชนเน ในการเกิด + ย + (อิ) + ตฺวา ชนติ ฺวา = เกิดแลว้ ชน ชนเน ในการเกิด + (อิ) + ตฺวา สตุ ฺวา = ฟงั แลว้ สุ สวเณ ในการฟงั + ตฺวา สตุ ฺวาน = ฟงั แล้ว สุ สวเณ ในการฟัง + ตฺวาน สุณติ วฺ า = ฟงั แล้ว สุ สวเณ ในการฟัง + ณา + (อ)ิ + ตวฺ า ปตฺวา = ถงึ แล้ว, บรรลแุ ล้ว ป + อป ปาปณุ เน ในการถงึ + ตวฺ า ปาปุณติ ฺวา = ถงึ แล้ว, บรรลุแลว้ ป + อป ปาปณุ เน ในการถงึ + อุณา + (อ)ิ + ตวฺ า กณิ ติ ฺวา = ซอื้ แลว้ กี ทพพฺ วนิ มิ เย ในการแลกเปลยี่ นทรพั ย์ +นา+(อ)ิ +ตวฺ า เชตฺวา = ชนะแลว้ ชิ ชเย ในการชนะ + ตฺวา (วทุ ธิ อิ เปน็ เอ) ชินติ ฺวา = ชนะแลว้ ชิ ชเย ในการชนะ + นา + (อิ) + ตวฺ า ชิตวฺ า = ชนะแลว้ ชิ ชเย ในการชนะ + ตฺวา โจเรตฺวา = ลกั ขโมยแล้ว จุร เถยฺเย ในการลักขโมย + เณ + ตวฺ า โจรยติ ฺวา = ลักขโมยแลว้ จรุ เถยเฺ ย ในการลกั ขโมย + ณย + (อ)ิ + ตฺวา ปเู ชตฺวา = บูชาแล้ว ปชู ปูชายํ ในการบูชา + เณ + ตวฺ า ปูชยิตวฺ า = บชู าแล้ว ปชู ปชู ายํ ในการบูชา + ณย + (อิ) + ตวฺ า ภาเวตวฺ า = ยัง... ใหเ้ จรญิ แลว้ ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเปน็ + เณ + ตวฺ า ภาวยติ วฺ า = ยัง... ใหเ้ จรญิ แล้ว ภู สตตฺ ายํ ในความมี-ความเป็น + ณย + (อิ) + ตฺวา กาเรตวฺ า = ยัง... ให้กระทำ� แล้ว กร กรเณ ในการกระทำ� + เณ + ตวฺ า การยิตวฺ า = ยัง... ให้กระท�ำแลว้ กร กรเณ ในการกระทำ� + ณย + (อิ) + ตฺวา การาเปตวฺ า = ยัง... ใหก้ ระท�ำแล้ว กร กรเณ ในการกระท�ำ + ณาเป + ตฺวา การาปยติ ฺวา = ยงั ... ให้กระทำ� แลว้ กร กรเณ ในการกระทำ� + ณาปย + (อิ) + ตวฺ า อภิวนฺทิย = กราบไหว้แล้ว อภิ + วนฺท วนทฺ เน ในการกราบไหว้ + (อ)ิ + ตวฺ า อภิวนทฺ ติ ฺวา = กราบไหวแ้ ล้ว อภิ + วนฺท วนฺทเน ในการกราบไหว้ + (อิ) + ตวฺ า วนทฺ ยิ = กราบไหวแ้ ล้ว วนฺท วนทฺ เน ในการกราบไหว้ + (อิ) + ตฺวา วนฺทิตวฺ า = กราบไหวแ้ ลว้ วนฺท วนทฺ เน ในการกราบไหว้ + (อิ) + ตฺวา อภภิ ุยฺย = ครอบงำ� แล้ว อภิ + ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเป็น + ตวฺ า
180 ไวยากรณ์บาลีเบื้องตน้ อภภิ วิตวฺ า = ครอบง�ำแล้ว อภิ + ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเป็น + (อ)ิ + ตวฺ า อภโิ ภตฺวา = ครอบง�ำแลว้ อภิ + ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเปน็ + ตฺวา นสิ ฺสาย = อาศยั แล้ว นิ + สิ เสวายํ ในการเสพ + ตฺวา นิสฺสติ วฺ า = อาศัยแลว้ นิ + สิ เสวายํ ในการเสพ + ตวฺ า วิภชชฺ = คบแล้ว, จ�ำแนกแล้ว วิ + ภช เสวายํ ในการเสพ + ตวฺ า วิภชยิ = คบแลว้ , จำ� แนกแล้ว วิ + ภช เสวายํ ในการเสพ + (อ)ิ + ตฺวา วภิ ชติ ฺวา = คบแล้ว, จ�ำแนกแล้ว วิ + ภช เสวายํ ในการเสพ + (อิ) + ตฺวา อุททฺ ิสสฺ = แสดงแลว้ อุ + ทสิ อตสิ ชฺชเน ในการสวด-แสดง + ตวฺ า อทุ ทฺ ิสิย = แสดงแลว้ อุ + ทิส อติสชฺชเน ในการสวด-แสดง + (อ)ิ + ตฺวา อทุ ฺทสิ ติ วฺ า = แสดงแลว้ อุ + ทิส อตสิ ชฺชเน ในการสวด-แสดง + (อิ) + ตฺวา ปวสิ สฺ = เขา้ ไปแล้ว ป + วิส ปเวสเน ในการเขา้ ไป + ตฺวา ปวิสิย = เขา้ ไปแล้ว ป + วิส ปเวสเน ในการเข้าไป + (อ)ิ + ตวฺ า ปวิสิตวฺ า = เข้าไปแล้ว ป + วสิ ปเวสเน ในการเข้าไป + (อิ) + ตวฺ า อปุ นยี = น�ำเข้าไปแล้ว อปุ + นี ปาปเณ ในการถึง + ตฺวา อุปเนตวฺ า = น�ำเข้าไปแล้ว อุป + นี ปาปเณ ในการถึง + ตวฺ า อตเิ สยยฺ = นอนเกินแล้ว อติ + สิ สเย ในการนอน + ตวฺ า อติสยติ วฺ า = นอนเกนิ แลว้ อติ + สิ สเย ในการนอน + (อิ) + ตวฺ า โอหาย = ละแลว้ , เหลือแลว้ อว + หา จาเค ในการสละ + ตวฺ า โอหิตฺวา = ละแลว้ , เหลอื แล้ว อว + หา จาเค ในการสละ + (อิ) + ตวฺ า ชหติ วฺ า = ละแล้ว, เหลือแลว้ หา จาเค ในการสละ + (อ)ิ + ตวฺ า หิตฺวา = ละแล้ว, เหลอื แลว้ หา จาเค ในการสละ + ตวฺ า อาทาย = ถือเอาแลว้ อา + ทา อาทาเน ในการถือเอา + ตวฺ า อาทยิ ิตฺวา = ถอื เอาแลว้ อา + ทา อาทาเน ในการถอื เอา + ย + (อิ) + ตวฺ า ทตวฺ า = ให้แล้ว ทา ทาเน ในการให้ + ตฺวา ทตฺวาน = ให้แลว้ ทา ทาเน ในการให้ + ตฺวาน ปธิ าย = ปิดแลว้ อปิ + ธา อจฺฉาทเน ในการปกปิด + ตฺวา ปิทหิตฺวา = ปดิ แล้ว อปิ + ธา อจฺฉาทเน ในการปกปดิ + (อ)ิ + ตฺวา ภญุ ฺชยิ = กนิ แลว้ ภชุ ปาลนพยฺ วหรเณสุ ในการรกั ษาและกลนื กนิ +อ+ิ ตวฺ า ภญุ ชฺ ติ วฺ า = กินแลว้ ภชุ ปาลนพยฺ วหรเณสุ ในการรกั ษาและกลนื กนิ +อ+ิ ตวฺ า โภตฺวา = กินแลว้ ภุช ปาลนพยฺ วหรเณสุ ในการรกั ษาและกลนื กิน + ตวฺ า วิเจยฺย = พิจารณาแลว้ วิ + จิ จเย ในการส่งั สม + ตฺวา วจิ ินิตฺวา = พิจารณาแลว้ วิ + จิ จเย ในการสง่ั สม + นา + (อ)ิ + ตวฺ า
181 กติ ก์ วา่ ดว้ ยการสร้างคำ�ศพั ทน์ ามกติ กแ์ ละกริ ิยากิตก์ วญิ ฺาย = รูแ้ ลว้ วิ + า อวโพธเน ในการรู้ + ตวฺ า วชิ านิตวฺ า = รแู้ ลว้ วิ + า อวโพธเน ในการรู้ + นา + (อ)ิ + ตฺวา ตวฺ า = รแู้ ลว้ า อวโพธเน ในการรู้ + ตวฺ า สมาปชชฺ ติ วฺ า = เขา้ แลว้ สํ + อา + ปท คตมิ ฺหิ ในการไป-ถึง + (ย) + (อิ) + ตวฺ า อปุ ปฺ ชชฺ ิตฺวา = เกิดข้นึ แลว้ อุ + ปท คตมิ ฺหิ ในการไป-ถึง + (ย) + (อิ) + ตฺวา ภิชชฺ ิตวฺ า = แตกแล้ว ภทิ ิ วทิ ารเณ ในการผ่า, ทำ� ลาย + (ย) + (อิ) + ตวฺ า ฉชิ ฺชิตฺวา = ตดั แล้ว ฉทิ ิ ทวฺ ธิ ากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ปน็ สองสว่ น +(ย)+(อ)ิ +ตวฺ า พชุ ฌฺ ิย = รแู้ ล้ว พธุ อวคมเน ในการรู้ + (ย) + (อ)ิ + ตฺวา พชุ ฌฺ ติ วฺ า = รูแ้ ล้ว พธุ อวคมเน ในการรู้ + (ย) + (อ)ิ + ตวฺ า วริ ชฺฌยิ = ผดิ แล้ว วิ + รธ อปราเธ ในความผดิ + (ย) + (อิ) + ตวฺ า วริ ชฌฺ ติ ฺวา = ผิดแล้ว วิ + รธ อปราเธ ในความผดิ + (ย) + (อ)ิ + ตฺวา รุนฺธิย = ปดิ ก้ันแล้ว รธุ ิ อาวรเณ ในการปิด-ก้นั + (อิ) + ตวฺ า รุนฺธติ วฺ า = ปดิ ก้นั แลว้ รุธิ อาวรเณ ในการปดิ -กั้น + (อิ) + ตวฺ า ววิ ิจจฺ = สงัดแลว้ วิ + วิจ วเิ วจเน ในความสงดั + ตฺวา ววิ ิจฺจติ วฺ า = สงัดแลว้ วิ + วิจ วิเวจเน ในความสงดั + (ย) + (อิ) + ตฺวา ปจฺจ = หงุ แล้ว ปจ ปาเก ในการหงุ -ต้ม + ตฺวา ปจจฺ ิย = หงุ แลว้ ปจ ปาเก ในการหงุ -ตม้ + (ย) + (อ)ิ + ตฺวา ปจจฺ ิตฺวา = หงุ แล้ว ปจ ปาเก ในการหงุ -ต้ม + (ย) + (อิ) + ตวฺ า วิมุจจฺ = พน้ แลว้ วิ + มุจ วโิ มจเน ในการหลดุ -พน้ + ตฺวา วิมุจจฺ ติ วฺ า = พ้นแลว้ วิ + มุจ วิโมจเน ในการหลดุ -พ้น + (ย) + (อิ) + ตฺวา อาหจฺจ = กระทบแล้ว อา + หน หสึ าคตสี ุ ในการเบยี ดเบยี นและการไป + ตวฺ า อปุ หจจฺ = เขา้ ถึงแล้ว อปุ + หน หสึ าคตสี ุ ในการเบยี ดเบยี นและการไป + ตวฺ า อาหนฺตวฺ า = กระทบแลว้ อา + หน หสึ าคตสี ุ ในการเบยี ดเบยี นและการไป + ตวฺ า อุปหนฺตฺวา = เข้าถึงแล้ว อปุ + หน หสึ าคตสี ุ ในการเบยี ดเบยี นและการไป + ตวฺ า อวมฺิตวฺ า = ดหู มน่ิ แล้ว อว + มน าเณ ในการรู้ + (ย) + (อ)ิ + ตฺวา มนฺตวฺ า = ร้แู ลว้ มน าเณ ในการรู้ + ตฺวา ปฏจิ ฺจ = อาศัยแล้ว ปติ + อิ คติมหฺ ิ ในการไป + ตวฺ า อเวจฺจ = พิจารณาแลว้ อว + อิ คติมหฺ ิ ในการไป + ตวฺ า อุเปจฺจ = เขา้ ถงึ แลว้ อปุ + อิ คตมิ หฺ ิ ในการไป + ตวฺ า อุเปตวฺ า = เขา้ ถึงแล้ว อปุ + อิ คติมฺหิ ในการไป + ตฺวา สกฺกจจฺ = กระทำ� ดว้ ยดีแลว้ สํ + กร กรเณ ในการกระท�ำ + ตวฺ า อธกิ จิ ฺจ = อาศยั แล้ว อธิ + กร กรเณ ในการกระท�ำ + ตวฺ า
182 ไวยากรณบ์ าลีเบ้อื งต้น กร กรเณ ในการกระทำ� + (อ)ิ + ตฺวา กริย = กระทำ� แลว้ ทสิ เปกขฺ เณ ในการด-ู การเห็น + ตฺวาน ทิสวฺ าน = เหน็ แล้ว ทสิ เปกขฺ เณ ในการดู-การเห็น + ตวฺ า ทิสวฺ า = เหน็ แลว้ ทสิ เปกฺขเณ ในการดู-การเหน็ + (อ)ิ + ตวฺ า ปสสฺ ิย = เหน็ แล้ว ทิส เปกขฺ เณ ในการด-ู การเห็น + (อิ) + ตนุ ปสฺสติ ุน = เห็นแล้ว ทสิ เปกฺขเณ ในการด-ู การเห็น + (อิ) + ตวฺ า ปสสฺ ติ ฺวา = เหน็ แล้ว ข้อก�ำหนดในการแปลง (อาเทส) ตฺวาทิปัจจัย (๑) ธาตุทีม่ ี ม เป็นทสี่ ดุ แปลง ตนุ าทปิ ัจจยั เป็น มมฺ และลบพยัญชนะทีส่ ดุ ธาตุ เชน่ อาคมฺม = มาแล้ว, อาศัยแลว้ อา + คมุ คติมหฺ ิ ในการไป + ตฺวา อาคนฺตวฺ า = มาแล้ว อา + คมุ คติมฺหิ ในการไป + ตวฺ า โอกกฺ มฺม = กา้ วลงแล้ว อว + กมุ ปทวิกเฺ ขเป ในการก้าวเทา้ + ตวฺ า โอกกฺ มิตฺวา = ก้าวลงแลว้ อว + กมุ ปทวิกฺเขเป ในการก้าวเทา้ + (อ)ิ + ตฺวา นิกฺขมมฺ = ออกไปแลว้ นิ + กมุ ปทวิกฺเขเป ในการกา้ วเทา้ + ตวฺ า นกิ ขฺ มติ วฺ า = ออกไปแล้ว นิ + กมุ ปทวิกฺเขเป ในการกา้ วเทา้ + (อ)ิ + ตฺวา อภริ มฺม = ยินดียง่ิ แลว้ อภิ + รมุ กีฬายํ ในการเล่น + ตวฺ า อภิรมติ วฺ า = ยินดีย่งิ แล้ว อภิ + รมุ กฬี ายํ ในการเลน่ + (อ)ิ + ตวฺ า (๒) ธาตทุ ่มี ี ห เป็นทส่ี ุด แปลง ตนุ าทิปัจจยั เปน็ ยหฺ และลบพยญั ชนะทส่ี ดุ ธาตุ เชน่ ปคคฺ ยฺห = ประคองแลว้ , ยกย่องแลว้ ป + คห อุปาทาเน ในการถือเอา + ตฺวา ปคคฺ ณหฺ ติ ฺวา = ประคองแล้ว, ยกยอ่ งแล้ว ป + คห อุปาทาเน ในการถอื เอา +ณหฺ า+อิ+ตวฺ า ปคฺคเหตฺวา = ประคองแล้ว, ยกย่องแลว้ ป + คห อุปาทาเน ในการถอื เอา + (อิ) + ตวฺ า สมมฺ ยุ หฺ = หลงแลว้ สํ + มหุ เวจติ ฺเต ในความหลง + ตฺวา สมมฺ ยุ ฺหิตวฺ า = หลงแล้ว สํ + มุห เวจติ เฺ ต ในความหลง + (ย) + (อิ) + ตฺวา อารยุ หฺ = ขนึ้ แล้ว อา + รหุ อาโรหเน ในการข้ึน + ตวฺ า อารหุ ติ ฺวา = ข้ึนแลว้ อา + รหุ อาโรหเน ในการข้นึ + (อิ) + ตวฺ า โอคยหฺ = หยง่ั ลงแลว้ อว + คห อุปาทาเน ในการถือเอา + ตวฺ า โอคเหตวฺ า = หยงั่ ลงแลว้ อว + คห อปุ าทาเน ในการถือเอา + (อิ) + ตวฺ า (๓) ธาตทุ มี่ ี ท เปน็ ท่สี ุด แปลง ตุนาทิปัจจยั เป็น ชฺช และลบพยัญชนะทส่ี ุดธาตุ เช่น อปุ ปฺ ชฺช = เกิดขนึ้ แล้ว อุ + ปท คติมหฺ ิ ในการไป + ตวฺ า อุปฺปชชฺ ิตวฺ า = เกิดขนึ้ แล้ว อุ + ปท คตมิ หฺ ิ ในการไป + (อ)ิ + ตวฺ า
183 กิตก์ ว่าด้วยการสรา้ งค�ำ ศัพทน์ ามกติ ก์และกิริยากิตก์ ปมชฺช = ประมาทแลว้ ป + มท อุมมฺ าเท ในความบา้ + ตวฺ า ปมชชฺ ิตวฺ า = ประมาทแล้ว ป + มท อมุ มฺ าเท ในความบา้ + (อ)ิ + ตฺวา อปุ สมฺปชชฺ = อุปสมบทแลว้ อปุ + สํ + ปท คตมิ หฺ ิ ในการไป + ตฺวา อปุ สมฺปชฺชติ ฺวา = อุปสมบทแลว้ อปุ + สํ + ปท คติมหฺ ิ ในการไป + (อ)ิ + ตวฺ า อจฺฉิชชฺ = ตัดแลว้ อา + ฉทิ ิ ทวฺ ิธากรเณ ในการทำ� ให้เป็นสองส่วน + ตวฺ า ฉชิ ฺช = ตัดแลว้ ฉทิ ิ ทวฺ ธิ ากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ป็นสองส่วน + ตฺวา ฉชิ ฺชิตฺวา = ตดั แลว้ ฉิทิ ทวฺ ิธากรเณ ในการท�ำใหเ้ ป็นสองสว่ น + (อิ) + ตวฺ า ฉินทฺ ิย = ตัดแล้ว ฉทิ ิ ทฺวธิ ากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ป็นสองสว่ น + (อิ) + ตวฺ า ฉนิ ฺทติ วฺ า = ตัดแล้ว ฉทิ ิ ทฺวธิ ากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ปน็ สองสว่ น + (อ)ิ + ตฺวา เฉตวฺ า = ตดั แลว้ ฉิทิ ทวฺ ิธากรเณ ในการทำ� ใหเ้ ปน็ สองส่วน + ตฺวา (๔) ธาตทุ มี่ ี ภ เปน็ ทส่ี ดุ แปลง ตนุ าทปิ จั จยั เปน็ พภฺ , ทธฺ า และลบพยญั ชนะทส่ี ดุ ธาตุ เชน่ อารพฺภ = ปรารภแล้ว,เรมิ่ แล้ว อา + รภ ราภสฺเส ในการเร่มิ + ตฺวา อารทธฺ า = ปรารภแลว้ ,เริม่ แล้ว อา + รภ ราภสฺเส ในการเริ่ม + ตวฺ า อารภิตฺวา = ปรารภแลว้ ,เรม่ิ แลว้ อา + รภ ราภสเฺ ส ในการเรม่ิ + (อ)ิ + ตวฺ า อปุ ลพฺภ = ได้แลว้ อปุ + ลภ ลาเภ ในการได้ + ตวฺ า อปุ ลทฺธา = ได้แล้ว อปุ + ลภ ลาเภ ในการได้ + ตวฺ า ปฏลิ ภติ วฺ า = ได้เฉพาะแลว้ ปติ + ลภ ลาเภ ในการได้ + (อิ) + ตวฺ า (๕) มอี ุปสัคอยู่หนา้ หรือไมม่ อี ปุ สคั อยู่หน้า แปลง ตุนาทปิ จั จัย เปน็ ย เช่น อาทาย = ถอื เอาแลว้ อา + ทา อาทาเน ในการถือเอา + ตฺวา ปหาย = ละแลว้ ป + หา จาเค ในการสละ + ตวฺ า นิสสฺ าย = อาศัยแลว้ นิ + สิ เสวายํ ในการเสพ + ตวฺ า อภิวนทฺ ิย = กราบไหวแ้ ล้ว อภิ + วนฺท อภิวนฺทเน ในการกราบไหว้ + (อิ) + ตฺวา ตฺวาทิปจจฺ ยฏฺาน : ฐานะของปจั จยั มี ตวฺ า เปน็ ต้น มี ๕ อยา่ ง คือ (๑) ปุพพฺ กาลกฺริยา กริ ยิ าทท่ี �ำก่อนกริ ิยาอน่ื แปลวา่ “...แล้ว” [ก่อน] เชน่ ปจติ ฺวา ภญุ ฺชติ หงุ แล้ว ยอ่ มกิน ภญุ ฺชติ วฺ า นฺหายติ กินแล้ว ย่อมอาบนำ้� นหฺ าตฺวา สยต ิ อาบแล้ว ย่อมนอน (๒) อปรกาลกฺริยา กิริยาที่ท�ำทีหลังกิริยาคุมพากย์ แปลว่า “...แล้ว” หรือไม่ออก สำ� เนียงของปัจจัย [หลัง]
184 ไวยากรณบ์ าลีเบอื้ งต้น เช่น ทฺวารํ ปทิ หิตวฺ า นิกขฺ มิ ออกไปแล้ว ปิด ซง่ึ ประตู อูรํ ปูรยิตฺวา ภุญชฺ ติ ย่อมกนิ ยงั ท้องใหเ้ ตม็ แล้ว (๓) สมานกาลกฺรยิ า กริ ิยาที่ท�ำพร้อมกับกริ ิยาอื่น แปลวา่ “...แล้ว” หรอื ไม่ต้องออก ส�ำเนียง ของปจั จยั [พร้อมกนั ] เช่น มขุ ํ พฺยาทาย สปุ ต ิ ย่อมหลับอ้าปาก อกฺขีนิ นมิ มฺ ีลติ วฺ า หสต ิ ยอ่ มหัวเราะหลับซง่ึ ตา ท. อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺโต... เมื่อทรง-สืบต่อ-ซ่ึงอนุสนธิ-แสดง- ซึ่งธรรม (๔) ลกขฺ ณตถฺ กริ ยิ าทม่ี อี รรถลกั ษณะ แปลวา่ “ครนั้ ... แลว้ , เมอ่ื ...” [เครอื่ งหมายจดจำ� ] เชน่ สตุ ฺวา เวทิสสฺ าม ครัน้ ฟังแล้ว จักรู้ สหี ํ ทิสฺวา ภยํ โหต ิ ครนั้ เหน็ แลว้ ซง่ึ ราชสีห์ อ.ภยั ยอ่ มมี วสิ ารทา กลุ ธีตา มม สงฺคหํ กรสิ ฺสต,ิ กตวฺ า จ ปน มหาสมฺปตฺตึ ลภิสสฺ ติ (ธม.ฺ ๕/๓) อ.กุลธดิ า ผู้กล้าหาญ จักกระท�ำ ซงึ่ การสงเคราะห์ แก่เรา, กแ็ ล ครน้ั กระทำ� แล้ว จกั ได้ ซึง่ สมบตั ิใหญ่ (๕) เหตวฺ ตฺถ กริ ิยาทีม่ อี รรถเหตุ แปลวา่ “เพราะ...” [เหตุ] เชน่ ทสิ ฺวานสสฺ เอตทโหสิ อ.ความดำ� รนิ น่ั ไดม้ แี ลว้ แกบ่ คุ คลนนั้ เพราะเหน็ ปตุ ฺตํ ทิสวฺ า สขุ ํ โหติ อ.ความสุข ย่อมมี เพราะเห็น ซง่ึ บุตร สตตฺ ํุ ทิสวฺ า ทุกขฺ ํ ภวติ อ.ความทกุ ข์ ยอ่ มมี เพราะเห็น ซ่ึงศตั รู ชวนมฺปิ อนุปปฺ ชชฺ ิตวฺ า ทวฺ ิกฺขตตฺ ํุ โวฏฺพฺพนเมว ปวตฺตติ (อภ.ิ สํ. วถิ )ี อ.โวฏฐัพพนะนั่นเทียว ย่อมเป็นไป สองคร้ัง เพราะความไม่เกิดขึ้น แมแ้ หง่ ชวนะ “ชวนมปฺ ิ อนปุ ปฺ ชชฺ ติ วฺ าติ เหตมุ หฺ ิ จายํ ตวฺ าปจจฺ โย, ชวนสสฺ าปิ อนปุ ปฺ ตตฺ ยิ าติ อตโฺ ถ ก็ อ.ตฺวา ปจั จัยนี้ ในบทว่า “ชวนมฺปิ อนุปปฺ ชฺชิตวฺ า” ยอ่ มลง ในอรรถเหต,ุ อธบิ ายว่า เพราะความไม่เกิดข้นึ แมแ้ หง่ ชวนะ (อภธิ มมฺ ตถฺ วภิ าวินี)
185 กิตก์ วา่ ด้วยการสรา้ งคำ�ศัพทน์ ามกติ ก์และกิรยิ ากติ ก์ ๕.๕ อนตฺ มาน ปัจจยั อนฺต และ มาน ปัจจยั เปน็ ปจั จบุ ันกาล ปัจจัยที่ลงในปัจจุบันกาลมี ๒ ตัว คือ อนฺต และ มาน ปัจจัย เป็นกัตตุวาจก ให้ลง วิกรณปัจจัยในอาขยาตนั้นก่อน รูปส�ำเร็จเป็นกิริยากิตก์ ท�ำหน้าท่ีเป็นกิริยาในระหว่างของ ประธานในประโยค เรียกว่า “อพภฺ นฺตรกิริยา” ท�ำหนา้ ทข่ี ยายสุทธนาม ประกอบด้วยวิภตั ตติ ัง้ แต่ ทุตยิ า-สัตตมี เรยี กวา่ “วิเสสน” แปลวา่ “...อยู”่ หรือ “เม่อื ...” มีขอ้ ก�ำหนดเรอื่ งอรรถของปัจจยั ดงั น้ี ๑. อนตฺ ปจั จยั ลงในอรรถกตั ตาอย่างเดยี ว - อนฺต ปัจจัย ลงในอรรถกัตตาเท่านั้น เช่น โส กุฏุมฺพิโก คามํ คจฺฉนฺโต อนตฺ รามคฺเค เอกํ วนปฺปตึ ปสฺสิ อ.กุฏมุ พีนั้น ไปอยู่ สู่หม่บู า้ น เห็นแลว้ ซง่ึ ตน้ ไมเ้ จา้ ปา่ ต้นหนึง่ ในระหวา่ งทาง ๒. มาน ปจั จยั ลงได้ ๓ อรรถ คอื ๒.๑ ลงในอรรถกัตตา เช่น โส ปุริโส คามํ คจฺฉมาโน ทารํุ คณฺหาติ อ.บุรุษนั้น ไปอยู่ สู่หม่บู ้าน ยอ่ มถอื เอา ซ่งึ ฟืน ๒.๒ ลงในอรรถกรรม เชน่ เตน ปรุ ิเสน คาโม คจฺฉียมาโน.... อ.หมบู่ ้าน อนั บุรษุ นนั้ ไปอย.ู่ .. ๒.๓ ลงในอรรถภาวะ เชน่ เตน ภยู มานํ อันเขา เป็นอยู่ ตวั อยา่ งการประกอบศัพท์ทปี่ ระกอบด้วย อนฺต และ มาน ปจั จยั ว.ิ คจฉฺ ตตี ิ คจฉฺ ,ํ คจฉฺ นโฺ ต, ปรุ โิ ส (คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + อ + อนตฺ ) (ปงุ ลงิ ค)์ (กตั ตสุ าธนะ) ไปอยู่ เพราะเหตุนนั้ ช่อื วา่ คจฉฺ นฺต (ผ้ไู ปอยู่) วิ. คจฉฺ ตตี ิ คจฉฺ ต,ี คจฉฺ นตฺ ,ี อติ ถฺ ี (คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป +อ+อนตฺ อ)ี (อติ ถลี งิ ค)์ (กตั ตสุ าธนะ) ไปอยู่ เพราะเหตุนน้ั ช่ือว่า คจฉฺ ตี, คจฉฺ นฺตี (ผูไ้ ปอย)ู่ ว.ิ คจฉฺ ตตี ิ คจฉฺ ,ํ คจฉฺ นตฺ ,ํ จติ ตฺ ํ (คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + อ + อนตฺ ) (นปงุ สกลงิ ค)์ (กตั ตสุ าธนะ) ไปอยู่ เพราะเหตนุ ั้น ชอ่ื ว่า คจฺฉนฺต (ผ้ไู ปอย)ู่ วิ. คจฺฉตตี ิ คจฺฉมาโน, ปุริโส (คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + อ + มาน) (ปงุ ลิงค)์ (กตั ตุสาธนะ) ไปอยู่ เพราะเหตนุ ้ัน ชื่อว่า คจฉฺ มาน (ผูไ้ ปอย)ู่ ว.ิ คจฉฺ ตตี ิ คจฉฺ มานา, อิตถฺ ี (คมุ คติมหฺ ิ ในการไป + อ + มาน + อา) (อิตถีลงิ ค)์ (กัตตุสาธนะ) ไปอยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชื่อวา่ คจฺฉมานา (ผไู้ ปอย)ู่
186 ไวยากรณบ์ าลเี บ้ืองตน้ ว.ิ คจฺฉตีติ คจฉฺ มานํ, จิตตฺ ํ (คมุ คตมิ ฺหิ ในการไป + อ + มาน) (นปุงสกลงิ ค์) (กัตตสุ าธนะ) ไปอยู่ เพราะเหตุน้นั ช่อื วา่ คจฺฉมาน (ผู้ไปอย)ู่ วิ. คจฉฺ ยี ตตี ิ คจฉฺ ยิ มาโน, คาโม (คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + อิ + ย + มาน) (ปงุ ลงิ ค)์ (กมั มสาธนะ) ถูกไปอยู่ เพราะเหตุนั้น ชอ่ื วา่ คจฺฉยิ มาน (ถกู ไปอยู)่ วิ. คจฉฺ ยี ตตี ิ คจฉฺ ยิ มานา, ธานี (คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป +อ+ิ ย+มาน+อา) (อติ ถลี งิ ค)์ (กมั มสาธนะ) ถกู ไปอยู่ เพราะเหตุน้ัน ช่อื ว่า คจฉฺ ิยมานา (ถูกไปอยู่) วิ. คจฉฺ ยี ตตี ิ คจฉฺ ยิ มาน,ํ านํ (คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + อิ + ย + มาน) (นปงุ สกลงิ ค)์ (กมั มสาธนะ) ถกู ไปอยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ คจฺฉิยมาน (ถกู ไปอย)ู่ ว.ิ อธคิ มมฺ เตติ อธคิ มมฺ มาโน, ธมโฺ ม (อธิ + คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป +ย+มาน) (ปงุ ลงิ ค)์ (กมั มสาธนะ) ถกู รู้อยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ วา่ อธิคมฺมมาน (ถกู รู้อย)ู่ ว.ิ อธคิ มมฺ เตติ อธคิ มมฺ มานา, ปรยิ ตตฺ ิ (อธิ + คมุ คตมิ หฺ ิ ในการไป + ย + มาน + อา) (อติ ถลี งิ ค)์ ถูกรอู้ ยู่ เพราะเหตนุ ั้น ชื่อว่า อธคิ มฺมมานา (ถกู รู้อยู่) (กมั มสาธนะ) วิ. อธิคมฺมเตติ อธิคมฺมมานํ, ธมฺมํ (อธิ + คมุ คติมฺหิ ในการไป +ย+มาน) (นปุงสกลิงค์) (กมั มสาธนะ) ถกู รูอ้ ยู่ เพราะเหตนุ ้นั ชือ่ วา่ อธิคมมฺ มาน (ถูกรู้อยู่) หมายเหตุ : ศพั ท์กิริยาทีล่ ง อนตฺ และ มาน ปจั จยั เป็นได้ ๓ ลงิ ค์ เมือ่ ประสงคจ์ ะใช้ คู่กับนาม (วิเสสยะ) บทนามที่ อนฺต และ มาน ไปขยาย มีรูปเป็นอิตถีลิงค์ มีกฎเกณฑ์การ ลงปจั จัย ดังน้ี ๑. ถ้าเป็น อนตฺ ปจั จัย ใหล้ ง “อ”ี ปัจจัยอติ ถีลงิ ค์โชตกะต่อท้าย เช่น คจฺฉนฺตี (คมุ + อ + อนฺต + อ)ี แปลวา่ หญิงผไู้ ปอยู่ ๒. แต่ถ้าเปน็ มาน ปจั จยั ใหล้ ง “อา” ปัจจยั อิตถลี งิ ค์โชตกะตอ่ ทา้ ย เช่น คจฺฉมานา (คมุ + อ + มาน + อา) แปลว่า หญงิ ผู้ไปอยู่ วภิ ัตติ เอกวจนะ คจฉฺ นตฺ สทฺทปทมาลา (ปงุ ลิงค์) พหุวจนะ ปฐมา. คจฺฉํ คจฉฺ นฺโต คจฺฉนโฺ ต คจฉฺ นตฺ า อาลปนะ. โภ คจฺฉํ คจฺฉ คจฺฉา ภวนฺโต คจฺฉนโฺ ต คจฺฉนฺตา ทุติยา. คจฉฺ นฺตํ คจฺฉนฺเต ตตยิ า. คจฉฺ ตา คจฉฺ นเฺ ตน คจฺฉนเฺ ตหิ คจฺฉนฺเตหิ จตุตถี. คจฉฺ โต คจฉฺ นฺตสสฺ คจฉฺ ตํ คจฺฉนตฺ านํ ปญั จม.ี คจฺฉตา คจฺฉนตฺ า คจฺฉนฺตมฺหา คจฺฉนตฺ สมฺ า คจฉฺ นฺเตหิ คจฺฉนเฺ ตภิ ฉฏั ฐี. คจฉฺ โต คจฉฺ นฺตสฺส คจฉฺ ตํ คจฺฉนตฺ านํ สตั ตม.ี คจฺฉติ คจฺฉนฺเต คจฉฺ นฺตมฺหิ คจฺฉนตฺ สมฺ ึ คจฉฺ นเฺ ตสุ
187 กิตก์ ว่าด้วยการสรา้ งค�ำ ศพั ท์นามกติ ก์และกริ ยิ ากิตก์ วิภตั ติ เอกวจนะ คจฉฺ นฺตีสททฺ ปทมาลา (อิตถีลงิ ค์) พหวุ จนะ ปฐมา. คจฺฉนฺตี คจฺฉนฺตี คจฉฺ นฺตโิ ย อาลปนะ. โภติ คจฺฉนฺติ โภตโิ ย คจฉฺ นตฺ ี คจฺฉนฺตโิ ย ทุติยา. คจฺฉนฺต ึ คจฺฉนตฺ ี คจฺฉนฺติโย ตตยิ า. คจฉฺ นตฺ ิยา คจฺฉนฺตหี ิ คจฺฉนฺตีหิ จตุตถ.ี คจฉฺ นฺติยา คจฺฉนตฺ นี ํ ปัญจมี. คจฉฺ นตฺ ยิ า คจฉฺ นตฺ ีหิ คจฉฺ นฺตีภิ ฉฏั ฐ.ี คจฉฺ นฺตยิ า คจฺฉนตฺ นี ํ สตั ตมี. คจฺฉนฺติยา คจฺฉนตฺ ยิ ํ คจฺฉนตฺ ีสุ วภิ ตั ติ เอกวจนะ คจฉฺ นตฺ สททฺ ปทมาลา (นปุงสกลงิ ค์) พหุวจนะ ปฐมา. คจฺฉํ คจฺฉนตฺ ํ คจฉฺ นตฺ า คจฉฺ นตฺ านิ อาลปนะ. โภ คจฉฺ นฺต ภวนโฺ ต คจฉฺ นตฺ า คจฺฉนฺตานิ ทุติยา. คจฉฺ นฺตํ คจฉฺ นเฺ ต คจฺฉนฺตานิ ตตยิ า. คจฉฺ ตา คจฉฺ นเฺ ตน คจฺฉนเฺ ตหิ คจฺฉนเฺ ตภิ จตตุ ฺถ.ี คจฉฺ โต คจฉฺ นฺตสฺส คจฺฉตํ คจฉฺ นฺตานํ ปญฺจมี. คจฉฺ ตา คจฉฺ นตฺ า คจฉฺ นฺตมฺหา คจฉฺ นตฺ สมฺ า คจฺฉนเฺ ตหิ คจฉฺ นฺเตภิ ฉฏฐฺ ี. คจฉฺ โต คจฉฺ นตฺ สฺส คจฉฺ ตํ คจฺฉนฺตานํ สตฺตม.ี คจฉฺ ติ คจฉฺ นเฺ ต คจฉฺ นตฺ มหฺ ิ คจฉฺ นฺตสฺม ึ คจฺฉนเฺ ตสุ คจฺฉมานสททฺ ปทมาลา (ปุงลงิ ค์) วิภตั ต ิ เอกวจนะ พหวุ จนะ ปฐมา. คจฺฉมาโน คจฉฺ มานา อาลปนะ. โภ คจฺฉมาน คจฉฺ มานา ภวนฺโต คจฺฉมานา ทตุ ิยา. คจฺฉมานํ คจฉฺ มาเน ตตยิ า. คจฺฉมาเนน คจฉฺ มาเนหิ คจฺฉมาเนภิ จตตุ ถี. คจฉฺ มานสสฺ คจฉฺ มานานํ ปัญจม.ี คจฉฺ มานา คจฺฉมานมหฺ า คจฉฺ มานสมฺ า คจฉฺ มาเนหิ คจฉฺ มาเนภิ ฉฏั ฐ.ี คจฺฉมานสสฺ คจฺฉมานานํ สตั ตมี. คจฺฉมาเน คจฺฉมานมฺหิ คจฉฺ มานสฺม ึ คจฉฺ มาเนสุ
188 ไวยากรณบ์ าลีเบ้อื งตน้ วิภัตต ิ เอกวจนะ คจฉฺ มานาสททฺ ปทมาลา (อิตถลี ิงค์) พหวุ จนะ ปฐมา. คจฺฉมานา คจฉฺ มานา คจฺฉมานาโย อาลปนะ. โภติ คจฺฉมาเน โภตโิ ย คจฉฺ มานา คจฺฉมานาโย ทุตยิ า. คจฺฉมานํ คจฉฺ มานา คจฺฉมานาโย ตตยิ า. คจฺฉมานาย คจฉฺ มานาหิ คจฉฺ มานาภิ จตตุ ฺถ.ี คจฺฉมานาย คจฺฉมานานํ ปญจฺ ม.ี คจฉฺ มานาย คจฉฺ มานาหิ คจฉฺ มานาภิ ฉฏฺฐี. คจฺฉมานาย คจฉฺ มานานํ สตฺตม.ี คจฉฺ มานาย คจฺฉมานายํ คจฉฺ มานาสุ คจฺฉมานสททฺ ปทมาลา (นปงุ สกลิงค์) วภิ ัตต ิ เอกวจนะ พหวุ จนะ ปฐมา. คจฺฉมานํ คจฺฉมานา คจฺฉมานานิ อาลปนะ. โภ คจฺฉมาน ภวนฺโต คจฺฉมานา คจฉฺ มานานิ ทตุ ิยา. คจฺฉมานํ คจฉฺ มาเน คจฺฉมานานิ ตตยิ า. คจฺฉมาเนน คจฺฉมาเนหิ คจฉฺ มาเนภิ จตุตถ.ี คจฉฺ มานสฺส คจฉฺ มานานํ ปญั จมี. คจฉฺ มานา คจฺฉมานมหฺ า คจฉฺ มานสมฺ า คจฺฉมาเนหิ คจฺฉมาเนภิ ฉฏั ฐี. คจฺฉมานสฺส คจฉฺ มานานํ สตั ตม.ี คจฺฉมาเน คจฉฺ มานมหฺ ิ คจฺฉมานสฺมึ คจฺฉมาเนสุ ตัวอยา่ งการประกอบดว้ ย อนฺต และ มาน ปจั จยั หลังการิตปัจจัย รปู ส�ำเร็จเปน็ “เหตกุ ตั ตุวาจก” และ “เหตุกมั มวาจก” ดงั น้ี ว.ิ ภาเวตตี ิ ภาเวนโฺ ต (ภู สตฺตายํ ในความม-ี ความเปน็ + เณ + อนฺต) (กตั ตุสาธนะ) (ปุงลิงค)์ (ยัง...) ใหเ้ จรญิ อยู่ เพราะเหตุนัน้ ช่อื วา่ ภาเวนฺต (ใหเ้ จรญิ อย)ู่ (เหตกุ ัตตวุ าจก) ว.ิ ภาเวตตี ิ ภาเวนตฺ ี (ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเปน็ + เณ + อนตฺ + อ)ี (กตั ตสุ าธนะ) (อติ ถลี งิ ค)์ (ยัง...) ให้เจรญิ อยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชื่อว่า ภาเวนตฺ ี (ใหเ้ จริญอย)ู่ (เหตุกตั ตุวาจก) วิ. ภาเวตตี ิ ภาเวนตฺ ํ (ภู สตตฺ ายํ ในความม-ี ความเปน็ + เณ + อนตฺ ) (กตั ตสุ าธนะ) (นปงุ สกลงิ ค)์ (ยงั ...) ให้เจรญิ อยู่ เพราะเหตุนัน้ ช่ือว่า ภาเวนตฺ (ใหเ้ จริญอยู)่ (เหตุกัตตวุ าจก)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308