Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ไวยากรณ์เบื้องต้น

ไวยากรณ์เบื้องต้น

Description: ไวยากรณ์เบื้องต้น

Search

Read the Text Version

239 สมาส ว่าดว้ ยการย่อบทต้งั แต่สองบทขนึ้ ไปเข้าดว้ ยกัน วิ. วีโต ราโค อสสฺ าติ วีตราโค, ภิกขฺ ุ (วตี + ราค) อ.ราคะ อนั ไปปราศแลว้ ของภกิ ษนุ นั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ วตี ราค (ผมู้ รี าคะไปปราศแลว้ ) วิ. เทวฺ ปทานิ อสสฺ าติ ทวฺ ปิ โท, สตโฺ ต (ทฺวิ + ปท) อ.เทา้ ท. สอง ของสัตวน์ ้ัน มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื ว่า ทวฺ ปิ ท (ผมู้ สี องเทา้ ) ว.ิ เทฺว หตฺถา อสฺสาติ ทฺวหิ ตฺโถ, ปโฏ (ทฺวิ + หตถฺ ) อ.ศอก ท. สอง ของผา้ น้ัน มีอยู่ เพราะเหตนุ ้ัน ช่อื ว่า ทฺวิหตฺถ (ทีม่ ีสองศอก) ว.ิ ตสิ โฺ ส วชิ ชฺ า อสฺสาติ เตวิชฺโช, ภควา (ติ + วิชชฺ า) (แปลง ติ เปน็ เต, รัสสะ) อ.วชิ ชา ท. ๓ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้นั ช่ือวา่ เตวชิ ชฺ (ผู้มวี ิชชา ๓) วิ. ปญฺจ จกขฺ นู ิ อสสฺ าติ ปญฺจจกฺขุ, ภควา (ปญจฺ + จกขฺ ุ) อ.จักษุ ท. ๕ ของพระผมู้ พี ระภาคเจ้านั้น มีอยู่ เพราะเหตุนนั้ ชอ่ื วา่ ปญจฺ จกขฺ ุ (ผมู้ ีจกั ษุ ๕) วิ. ฉ อภญิ ฺ าโย อสฺสาติ ฉฬภิฺโ, ภควา (ฉ + อภิ ฺา) (รัสสะ, ลง ลฺอาคม) อ.อภิญญา ท. ๖ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า ฉฬภิฺ (ผู้มี อภิญญา ๖) ว.ิ นว องคฺ านิ อสฺสาติ นวงฺคํ, สตถฺ สุ าสนํ (นว + องคฺ ) อ.องค์ ท. ๙ แหง่ ค�ำสอนของพระศาสดาน้ัน มอี ยู่ เพราะเหตนุ ัน้ ชอ่ื วา่ นวงฺค (มีองค์ ๙) ว.ิ ทส พลานิ อสสฺ าติ ทสพโล, พทุ ฺโธ (ทส + พล ) อ.กำ� ลงั ท. ๑๐ ของพระพทุ ธเจา้ พระองคน์ นั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ ทสพล (ผมู้ พี ลญาณ ๑๐) วิ. อนนตฺ านิ าณานิ อสสฺ าติ อนนตฺ าโณ, พุทโฺ ธ (อนนตฺ + าณ) อ.ญาณ ท. อนั ไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ของพระพทุ ธเจา้ พระองคน์ น้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ อนนตฺ าณ (ผู้มญี าณอันไม่มที ่สี ้ินสุด) วิ. วิคตํ มลมสสฺ าติ วิมโล, ปคุ ฺคโล (วิ + มล) อ.มลทนิ อนั ไปปราศจากแลว้ ของบคุ คลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ วมิ ล (ผปู้ ราศจากมลทนิ ) ว.ิ สนุ ทฺ โร คนโฺ ธ อสฺสาติ สุคนฺธ,ํ จนทฺ นํ (สุ + คนธฺ ) อ.กลิ่น อนั ดี ของไม้จนั ทน์นนั้ มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั ชอื่ วา่ สคุ นฺธ (อนั มีกล่นิ หอม) ว.ิ สุนทฺ รานิ สลี านิ อสสฺ าติ สุสโี ล, ภิกขฺ ุ (สุ + สลี ) อ.ศีล ท. อันดี ของภกิ ษนุ ัน้ มีอยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ สุสลี (ผมู้ ศี ลี อนั ด)ี วิ. สนุ ฺทรํ มุขํ อสสฺ าติ สุมโุ ข, ปคุ ฺคโล (สุ + มุข) อ.หนา้ อนั งาม ของบคุ คลน้นั มีอยู่ เพราะเหตนุ ้นั ช่ือว่า สุมุข (ผ้มู หี นา้ งาม) วิ. กจุ ฺฉิโต คนโฺ ธ อสสฺ าติ ทุคคฺ นฺธํ, กุณปํ (ทุ + คนธฺ ) อ.กลน่ิ อนั นา่ รังเกยี จ ของซากศพนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนัน้ ช่ือวา่ ทคุ ฺคนธฺ (มีกลนิ่ เหมน็ ) วิ. ทฏุ ฺ ุ มโน อสสฺ าติ ทุมฺมโน, ปคุ ฺคโล (ทุ + มน) อ.ใจ อนั ไม่ดี ของบุคคลนั้น มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้ัน ช่อื ว่า ทุมฺมน (ผมู้ ใี จไมด่ ี, เสียใจ)

240 ไวยากรณบ์ าลีเบอื้ งตน้ วิ. ทฏุ ฺ ุ สีลานิ อสฺสาติ ทุสฺสีโล, ภิกขฺ ุ (ทุ + สลี ) อ.ศลี ท. อันไม่ดี ของภกิ ษนุ ั้น มอี ยู่ เพราะเหตุนนั้ ชอ่ื ว่า ทสุ ฺสีล (ผูม้ ศี ลี ไมด่ ,ี ผทู้ ศุ ีล) ว.ิ ทฏุ ฺุ มุขํ อสสฺ าติ ทมุ ฺมโุ ข, ปรุ ิโส (ทุ + มขุ ) อ.หน้า อันไม่ดี ของบุรุษน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุนนั้ ชอื่ วา่ ทมุ ฺมุข (ผู้มหี น้าไมด่ ,ี หน้าเศร้าหมอง) ว.ิ ตโป เอว ธนํ อสสฺ าติ ตโปธโน, ภิกฺขุ (ตป + ธน) อ.ตบะนนั่ เทยี ว เปน็ ทรพั ย์ ของภกิ ษนุ นั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ ตโปธน (ผมู้ ที รพั ยค์ อื ตบะ) วิ. ขนฺติสงขฺ าตํ พลํ อสฺสาติ ขนตฺ ิพโล, ภกิ ขฺ ุ (ขนตฺ ิ + พล) อ.กำ� ลงั กลา่ วคอื ความอดทน ของภกิ ษนุ น้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ ขนตฺ พิ ล (ผมู้ กี �ำลงั กลา่ ว คอื ความอดทน) ว.ิ อินโฺ ทติ นามํ เอตสสฺ าติ อนิ ฺทนาโม, ปุคคฺ โล (อนิ ฺท + นาม) อ.ช่อื วา่ อินทร์ ของบคุ คลนนั้ มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื ว่า อินทฺ นาม (ผมู้ ชี อ่ื ว่าอนิ ทร์) ว.ิ ฉนโฺ ท ชาโต อสสฺ าติ ฉนฺทชาโต, ปคุ คฺ โล (ฉนฺท + ชาต) อ.ฉันทะ อันเกดิ ขน้ึ แล้ว ของบคุ คลน้นั มอี ยู่ เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื ว่า ฉนทฺ ชาต (ผมู้ ีฉันทะอนั เกิด ขึน้ แลว้ ) ว.ิ ชาโต ฉนโฺ ท อสฺสาติ ชาตฉนโฺ ท, ปุคคฺ โล (ชาต + ฉนฺท) อ.ฉันทะ อันเกิดข้ึนแล้ว ของบุคคลนั้น มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า ชาตฉนฺท (ผู้มีฉันทะ อนั เกิดข้นึ แล้ว) ว.ิ สญฺชาตา ปีตโิ สมนสสฺ า อสฺสาติ สญฺชาตปตี ิโสมนสฺโส, ปุคฺคโล (สญชฺ าต + ปีตโิ สมนสสฺ ) อ.ปีตแิ ละโสมนัส ท. อนั เกดิ ขึ้นพรอ้ มแลว้ ของบุคคลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตุนั้น ชือ่ ว่า สญชฺ าตปตี ิโสมนสสฺ (ผมู้ ปี ีตแิ ละโสมนัสอนั เกิดขึน้ พรอ้ มแลว้ ) วิ. ปตี โิ สมนสสฺ า สญชฺ าตา อสสฺ าติ ปตี โิ สมนสสฺ สญชฺ าโต, ปคุ คฺ โล (ปตี โิ สมนสสฺ + สญชฺ าต) อ.ปีติและโสมนัส ท. อันเกิดขึ้นพร้อมแล้ว ของบุคคลน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า ปตี ิโสมนสฺสสญชฺ าต (ผู้มปี ีตแิ ละโสมนสั อนั เกดิ ขึ้นพรอ้ มแลว้ ) ว.ิ ฉนิ นฺ า หตถฺ า อสสฺ าติ ฉินนฺ หตฺโถ, ปรุ ิโส (ฉินนฺ + หตถฺ ) อ.มือ ท. อันขาดแลว้ ของบุรุษนั้น มอี ยู่ เพราะเหตุนนั้ ช่ือวา่ ฉินฺนหตฺถ (ผ้มู ีมือขาด) วิ. หตถฺ า ฉนิ นฺ า อสฺสาติ หตฺถจฺฉินฺโน, ปุริโส (หตฺถ + ฉนิ นฺ ) อ.มือ ท. อันขาดแลว้ ของบุรุษนนั้ มีอยู่ เพราะเหตนุ ั้น ชื่อว่า หตฺถจฺฉนิ นฺ (ผูม้ มี ือขาด) วิ. ปหูตา ชวิ ฺหา อสสฺ าติ ปหตู ชวิ โฺ ห, ภควา (ปหูตา + ชิวหฺ า) อ.พระชวิ หา อนั กวา้ งยาว ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นนั้ ชือ่ ว่า ปหตู ชิวฺห (ผูม้ ีพระชิวหาอนั กว้างยาว) ว.ิ มหตี ปญฺ า อสสฺ าติ มหาปโฺ , ปคุ ฺคโล (มหนฺตี + ปฺา) (แปลง มหนฺต เป็น มหา) อ.ปัญญา อันมาก ของบุคคลนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.บุคคลนั้น ชื่อว่า มหาปฺ (ผู้มี ปัญญามาก)

241 สมาส ว่าด้วยการยอ่ บทต้ังแต่สองบทขึน้ ไปเข้าดว้ ยกนั ว.ิ ขมาเอว ธนํ อสสฺ าติ ขมาธโน, ปุริโส (ขมา + ธน) อ.ความอดทนนน่ั เทียว เป็นทรพั ย์ ของบรุ ุษนั้น มอี ยู่ เพราะเหตนุ ั้น อ.บุรษุ นน้ั ชอ่ื วา่ ขมาธน (ผู้มที รัพยค์ อื ความอดทน) วิ. สทฺธา ธุรา เอตสฺสาติ สทธฺ าธุโร, ปรุ โิ ส (สทธฺ า + ธุร) อ.ศรทั ธา เปน็ ธรุ ะ(เปน็ ใหญ)่ ของบรุ ษุ นน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ สทธฺ าธรุ (ผมู้ ศี รทั ธา เปน็ ใหญ)่ ว.ิ ปฺ า ปกติ ยสฺสาติ ปฺ าปกติโก, ปรุ โิ ส (ปฺา + ปกติ) (ลง ก ปัจจัย) อ.ปญั ญา เปน็ ปกติ ของบรุ ษุ ใด มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.บรุ ษุ นนั้ ชอื่ วา่ ปญฺาปกตกิ (ผมู้ ปี ญั ญา เปน็ ปกต)ิ ว.ิ ปฺา วสิ ทุ ธฺ ิ ยสสฺ าติ ปฺาวสิ ุทธฺ ิโก, ปรุ ิโส (ปฺา + วสิ ุทฺธิ) (ลง ก ปจั จยั ) อ.ปัญญา อันบริสุทธิ์ ของบุรุษใด มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.บุรุษนั้น ชื่อว่า ปฺาวิสุทฺธิก (ผมู้ ีปัญญาอนั บรสิ ทุ ธ)ิ์ ๑.๖ สตตฺ มีทฺวิปทตลุ ยฺ าธกิ รณพหุพพฺ ีหสิ มาส สตฺตมิยตฺถ ทฺวิปทตุลฺยาธิกรณพหุพฺพีหิสมาส คือพหุพพีหิสมาสที่มีอรรถของบท ทั้งสอง มีที่ตั้งเหมือนกัน วิเสสนสัพพนามลงในอรรถสัตตมีวิภัตติ เช่น สมฺปนฺนานิ สสฺสานิ ยสฺมึ ชนปเท โสยํ สมปฺ นนฺ สสโฺ ส, ชนปโท อ.ขา้ วกลา้ ท. อันถึงพร้อมแล้ว ในชนบทใด มอี ยู่ อ.ชนบทนน้ั ชอื่ วา่ สมปฺ นนฺ สสสฺ (มขี า้ วกลา้ อนั ถงึ พรอ้ มแลว้ ) ในตวั อยา่ งน้ี บทวา่ “สมปฺ นนฺ าน”ิ กบั บทว่า “สสฺสานิ” เปน็ ตุลยาธกิ รณะกนั เพราะเปน็ นปุงสกลงิ ค์ ปฐมาวิภตั ติ พหวุ จนะเหมอื นกัน ส่วนบทวา่ “ยสมฺ ”ึ เปน็ อญั ญบท ลงสตั ตมีวภิ ัตติ ว.ิ สมปฺ นฺนานิ สสสฺ านิ ยสมฺ ึ ชนปเท โสยํ สมฺปนฺนสสโฺ ส, ชนปโท (สมปฺ นฺน + สสสฺ ) อ.ขา้ วกล้า ท. อนั ถงึ พร้อมแลว้ ในชนบทใด มีอยู่ อ.ชนบทนนั้ ชือ่ วา่ สมปฺ นนฺ สสฺส, ได้แก่ ชนบท (มขี ้าวกล้าสมบูรณ)์ วิ. สลุ โภ ปิณฺโฑ อมิ สฺมินฺติ สลุ ภปณิ ฺโฑ, เทโส (สลุ ภ + ปณิ ฺฑ) อ.กอ้ นข้าว อนั หาได้โดยง่าย ในสถานท่นี ้ี มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.สถานท่ีน้ี ชือ่ ว่า สุลภปิณฑฺ (มีกอ้ นข้าวหาไดง้ า่ ย) วิ. อากิณฺณา มนุสสฺ า ยสฺสํ ราชธานยิ ํ สา อากณิ ฺณมนุสฺสา, ราชธานี (อากิณฺณ + มนสุ สฺ ) อ.มนุษย์ ท. อันเกลื่อนกล่นแล้ว ในราชธานีใด มอี ยู่ อ.ราชธานีนน้ั ชอ่ื วา่ อากิณฺณมนสุ สฺ า (มีมนุษย์เกล่อื นกล่น) ว.ิ พหโว ตาปสา เอตสมฺ ินฺติ พหุตาปโส, อสฺสโม (พหุ + ตาปส) อ.ดาบส ท. มาก ในอาศรมนน่ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.อาศรมนนั่ ชอ่ื วา่ พหตุ าปส (มดี าบสมาก)

242 ไวยากรณบ์ าลีเบ้อื งตน้ วิ. อุปจติ ํ มํสโลหิตํ อสมฺ ินฺติ อปุ จิตมสํ โลหิต,ํ สรีรํ (อุปจิต + มํสโลหติ ) อ.เนอ้ื และเลอื ด อนั ถกู สงั่ สมแลว้ ในสรรี ะน้ี มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.สรรี ะนี้ ชอื่ วา่ อปุ จติ มํสโลหติ (มเี น้อื และเลอื ด อันถูกส่งั สมแล้ว) วิ. พหโว สามโิ น อสฺมนิ ตฺ ิ พหุสสฺ ามกิ ,ํ นครํ (พหุ + สาม)ี (ลง ก ปจั จยั ) อ.เจา้ นาย ท. มาก ในเมอื งนี้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้นั อ.เมอื งนี้ ช่อื ว่า พหุสฺสามกิ (มีเจา้ นายมาก) วิ. พหู นทโิ ย อสมฺ นิ ตฺ ิ พหนุ ทโิ ก, ชนปโท (พหุ + นท)ี อ.แมน่ ำ�้ ท. อนั มาก ในชนบทนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.ชนบทนนั้ ชอ่ื วา่ พหนุ ทกิ (มแี มน่ ำ�้ มาก) ว.ิ พหู ชมฺพุโย อสฺมนิ ตฺ ิ พหุชมฺพุก,ํ วนํ (พหุ + ชมพฺ ู) อ.ต้นหวา้ ท. มาก ในป่านี้ มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั อ.ป่าน้ี ชอื่ วา่ พหุชมฺพกุ (มตี น้ หว้ามาก) ว.ิ พหู นารโิ ย ยสสฺ าติ พหนุ ารโิ ก, ปคุ คฺ โล (พหุ + นาร)ี อ.หญงิ ท. มาก ของบคุ คลใด มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.บคุ คลนน้ั ชอ่ื วา่ พหนุ ารกิ (ผมู้ ผี หู้ ญงิ มาก) วิ. พหโว กตตฺ าโร อสฺมนิ ฺติ พหกุ ตตฺ ุโก, เทโส. (พหุ + กตฺตุ) (ลง ก ปัจจยั ) อ.กรรมกร ท. มาก ในประเทศน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.ประเทศน้ัน ชื่อว่า พหุกตฺตุก (มกี รรมกรมาก) ว.ิ พหโว กตฺตาโร อสฺสาติ พหุกตฺตุโก, เทโส (พหุ + กตฺต)ุ (ลง ก ปัจจัย) อ.กรรมกร ท. มาก แห่งประเทศน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.ประเทศน้ัน ชื่อว่า พหุกตฺตุก (มกี รรมกรมาก) ๒. ทวฺ ิปทภนิ ฺนาธกิ รณพหพุ พฺ ีหสิ มาส ทฺวิปทภินฺนาธิกรณพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีอรรถของบทท้ังสอง มีที่ตั้ง แตกต่างกัน หมายความว่า มีวิภัตติที่แตกต่างกัน ส่วนลิงค์น้ัน จะเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ เชน่ เอกรตตฺ ึ วาโส อสสฺ าติ เอกรตฺตวิ าโส, ปรุ ิโส อ.การอยู่ สน้ิ ราตรีหนึ่ง ของบรุ ษุ น้ัน มอี ยู่ เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าเอกรตฺติวาส (ผู้มีการอยู่ส้ินราตรีเดียว) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “เอกรตฺตึ” เปน็ อติ ถลี งิ ค์ทตุ ยิ าวภิ ตั ติสว่ นบทวา่ “วาโส”เปน็ ปงุ ลงิ ค์ปฐมาวภิ ตั ติโดยมบี ทวา่ “อสสฺ ”เปน็ อญั ญบท ฉะนนั้ บททง้ั สองคอื บทวา่ “เอกรตตฺ ”ึ กบั บวา่ “วาโส”จงึ มที ตี่ งั้ แตกตา่ งกนั เพราะมวี ภิ ตั ตทิ แ่ี ตกตา่ งกนั นั่นเอง ฉะน้ัน จึงไดช้ อื่ ว่าเปน็ “ทฺวปิ ทภนิ นฺ าธกิ รณพหพุ ฺพีหสิ มาส” วิ. เอกรตฺตึ วาโส อสฺสาติ เอกรตฺตวิ าโส, ปรุ โิ ส (เอกรตฺติ + วาส) อ.การอยู่ ส้ินราตรีหน่ึง ของบุรุษนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.บุรุษนั้น ชื่อว่า เอกรตฺติวาส (ผู้มีการอยสู่ นิ้ ราตรเี ดยี ว) วิ. สมาเนน ชเนน สทธฺ ึ วาโส อสสฺ าติ สมานวาโส, ปรุ โิ ส (สมาน + วาส) อ.การอยู่ กบั ดว้ ยชน ผเู้ สมอกนั ของบรุ ษุ นนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.บรุ ษุ นนั้ ชอื่ วา่ สมานวาส (ผ้มู กี ารอย่เู สมอกัน)

243 สมาส วา่ ด้วยการย่อบทตัง้ แตส่ องบทขนึ้ ไปเขา้ ดว้ ยกนั ว.ิ อภุ โต พยฺ ญชฺ นมสฺส อตฺถตี ิ อุภโตพยฺ ญชฺ นโก, ปคุ ฺคโล (อภุ + พยฺ ญฺชน) อ.องคชาต (อนั เกดิ ขนึ้ แลว้ ) เพราะกรรม ๒ อยา่ ง ของบคุ คลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.บคุ คลนนั้ ชอ่ื วา่ อภุ โตพฺยญชฺ นก (ผูม้ ีองคชาตเกดิ ข้ึนเพราะกรรม ๒ อย่าง) ว.ิ ฉตฺตํ ปาณิมหฺ ิ อสสฺ าติ ฉตตฺ ปาณิ, ปรุ ิโส (ฉตฺต + ปาณิ) อ.ร่ม ในมอื ของบรุ ุษนัน้ มีอยู่ เพราะเหตุนนั้ อ.บรุ ุษนนั้ ชื่อวา่ ฉตตฺ ปาณิ (ผ้มู รี ม่ ในมอื ) ว.ิ ทณฺโฑ ปาณมิ ฺหิ อสฺสาติ ทณฑฺ ปาณ,ิ ปุริโส (ทณฺฑ + ปาณิ) อ.ไมเ้ ทา้ ในมอื ของบรุ ษุ นน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.บรุ ษุ นนั้ ชอ่ื วา่ ทณฑฺ ปาณิ (ผมู้ ไี มเ้ ทา้ ในมอื ) วิ. วชริ ํ ปาณมิ หฺ ิ อสสฺ าติ วชิรปาณ,ิ สกโฺ ก (วชริ + ปาณ)ิ อ.วเิ ชยี ร ในพระหัตถ์ ของทา้ วสักกะนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.ทา้ วสกั กะนั้น ช่อื วา่ วชิรปาณิ (ผมู้ ีวิเชียรในพระหตั ถ์, พระอินทร์) วิ. ขคโฺ ค หตถฺ สฺมึ อสฺสาติ ขคฺคหตฺโถ, ราชา (ขคคฺ + หตฺถ) อ.พระขรรค์ ในพระหตั ถ์ ของพระราชาพระองคน์ น้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.พระราชาพระองคน์ น้ั ช่ือวา่ ขคคฺ หตถฺ (ผู้มีพระขรรคใ์ นพระหตั ถ)์ ว.ิ สตฺถํ หตฺถสมฺ ึ อสฺสาติ สตฺถหตฺโถ, ปุคฺคโล (สตฺถ + หตถฺ ) อ.ศสั ตรา ในมอื ของบคุ คลนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.บคุ คลนนั้ ชอ่ื วา่ สตถฺ หตถฺ (ผมู้ ศี สั ตรา ในมอื ) วิ. ทาเน อชฺฌาสโย อสฺสาติ ทานชฺฌาสโย, ปุคคฺ โล (ทาน + อชฌฺ าสย) อ.อัธยาศัย ในทาน ของบุคคลนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.บุคคลน้ัน ช่ือว่า ทานชฺฌาสย (ผมู้ ีอัธยาศัยในทาน) ว.ิ ทาเน อธมิ ตุ ตฺ โิ ก อสสฺ าติ ทานาธิมุตฺติโก, ปุคคฺ โล (ทาน + อธิมุตตฺ กิ ) อ.การนอ้ มไป ในทาน ของบุคคลน้นั มอี ยู่ เพราะเหตุน้นั อ.บุคคลนนั้ ชอ่ื วา่ ทานาธมิ ตุ ตฺ ิก (ผู้มคี วามนอ้ มไปในทาน) ว.ิ พทุ เฺ ธ ภตฺตโิ ก อสฺสาติ พุทฺธภตฺตโิ ก, ปคุ ฺคโล (พุทฺธ + ภตตฺ กิ ) อ.ความภกั ดี ในพระพทุ ธเจา้ ของบคุ คลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.บคุ คลนนั้ ชอ่ื วา่ พทุ ธฺ ภตตฺ กิ (ผู้มคี วามภักดใี นพระพุทธเจา้ ) ว.ิ สทธฺ มฺเม คารโว อสฺสาติ สทฺธมมฺ คารโว, ปุคคฺ โล (สทธฺ มฺม + คารว) อ.ความเคารพ ในพระสัทธรรม ของบุคคลนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.บุคคลนั้น ช่ือว่า สทธฺ มฺมคารว (ผู้มคี วามเคารพในพระสทั ธรรม)

244 ไวยากรณ์บาลีเบื้องตน้ ๓. ตปิ ทพหุพฺพีหสิ มาส ติปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีสามบทมาย่อเข้าเป็นบทเดียวกัน โดยมี อญั ญบท เปน็ ประธาน เชน่ ปรกฺกเมนาธคิ ตา สมปฺ ทา เยหิ เต (ภวนตฺ ิ) ปรกฺกมาธิคตสมฺปทา, มหาปุริสา (ปรกฺกม + อธิคตา + สมฺปทา) อ.ความถึงพร้อม อันมหาบุรุษ ท.เหล่าใด ได้แล้ว ดว้ ยความบากบน่ั อ.มหาบรุ ษุ ท.เหลา่ นนั้ ชอื่ วา่ ปรกกฺ มาธคิ ตสมปฺ ท (ผมู้ คี วามถงึ พรอ้ มอนั ไดแ้ ลว้ ดว้ ยความบากบ่นั ) ในตวั อย่างนี้ บทวา่ “ปรกกฺ เมน” บทหนึ่ง บทว่า “อธคิ ตา” บทหน่งึ และบทวา่ “สมปฺ ทา” อีกบทหนงึ่ รวมเป็นสามบท โดยมีบทวา่ “เยหิ” เป็นอญั ญบท ท้งั สามบทดังกลา่ วมา ย่อเขา้ เป็นบทเดยี วกัน และมีบทอ่นื เปน็ ประธาน ฉะนั้น จงึ ไดช้ อื่ วา่ เปน็ “ติปทพหุพพฺ ีหิสมาส” วิ. ธมเฺ มน อธิคตา โภคา เยหิ เต ธมมฺ าธคิ ตโภคา, ปุคคฺ ลา (ธมมฺ + อธิคต + โภค) อ.โภคทรพั ย์ ท. อันบุคคล ท.เหลา่ ใด ไดแ้ ลว้ โดยธรรม มอี ยู่ อ.บุคคล ท.เหล่านนั้ ชื่อวา่ ธมมฺ าธิคตโภค (ผู้มีโภคทรัพย์อันไดแ้ ลว้ โดยธรรม) ว.ิ ปรกฺกเมนาธคิ ตา สมฺปทา เยหิ เต ภวนฺติ ปรกกฺ มาธิคตสมปฺ ทา, มหาปุรสิ า (ปรกฺกม + อธคิ ตา + สมปฺ ทา) อ.ความถึงพรอ้ ม ท. อนั มหาบรุ ษุ ท.เหลา่ ใด ได้แลว้ ด้วยความบากบัน่ มอี ย,ู่ อ.มหาบุรุษ ท. เหลา่ นน้ั ชอื่ ว่า ปรกกฺ มาธิคตสมปฺ ท (ผ้มู ีความถงึ พรอ้ มอันได้แล้วดว้ ยความบากบน่ั ) ว.ิ โอณโี ต ปตตฺ โต ปาณิ เยน โสยํ โอณีตปตฺตปาณ,ิ ภิกขฺ ุ (โอณีต + ปตฺต + ปาณิ) อ.มือ อันภกิ ษใุ ด น�ำออกแล้ว จากบาตร มอี ย,ู่ อ.ภิกษนุ นั้ ชอ่ื ว่า โอณตี ปตตฺ ปาณิ (ผมู้ มี ือ อันน�ำออกแลว้ จากบาตร) ว.ิ สหี สฺส ปพุ พฺ ทฺธํ วยิ กาโย อสฺสาติ สีหปพุ พฺ ทฺธกาโย, ภควา (สหี + ปุพฺพทฺธ + กาย) อ.กาย เพียงดังกายคร่ึงข้างหน้า ของราชสีห์ ของพระผู้มีพระภาคน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน อ.พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั ชอ่ื วา่ สหี ปพุ พฺ ทธฺ กาย (ผมู้ กี ายเพยี งดงั กายครงึ่ ขา้ งหนา้ ของราชสหี )์ วิ. มตฺตา พหโว มาตงฺคา อสฺมนิ ตฺ ิ มตฺตพหมุ าตงฺคํ, วนํ (มตฺต + พหุ + มาตงคฺ ) อ.ชา้ ง ท. ตวั ซบั มนั แลว้ จำ� นวนมาก ในปา่ นี้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.ปา่ นี้ ชอ่ื วา่ มตตฺ พหมุ าตงคฺ (มชี ้างตวั ซบั มนั จ�ำนวนมาก) ๔. นนิปาตปุพฺพปทพหพุ ฺพีหสิ มาส นนปิ าตปพุ พฺ ปทพหพุ พฺ หี สิ มาส คอื พหพุ พหี สิ มาสทมี่ ี น นบิ าตอยหู่ นา้ แปลวา่ “ไมม่ .ี ..” โดยมีอญั ญบทเป็นประธาน เช่น นตถฺ ิ เอตสสฺ สโมติ อสโม, ภควา (น + สม) อ.บุคคล ผู้เสมอ ของพระผู้มีพระภาคน้ัน ย่อมไม่มี เพราะเหตุน้ัน อ.พระผู้มีพระภาคนั้น ชื่อว่า อสม (ผู้ไม่มีผู้เสมอ) ในตัวอย่างนี้ บทว่า “น” เป็นนิบาต อยู่หน้า ปฏิเสธบทว่า “สโม” โดยมีบทว่า “เอตสสฺ ” เปน็ อัญญบท ฉะนนั้ จงึ ไดช้ อื่ ว่าเปน็ “นนปิ าตปพุ พฺ ปทพหุพพฺ ีหิสมาส”

245 สมาส วา่ ดว้ ยการย่อบทต้ังแต่สองบทขน้ึ ไปเข้าด้วยกนั ว.ิ นตฺถิ เอตสฺส สโมติ อสโม, ภควา (น + สม) อ.บุคคลผูเ้ สมอ ของพระผมู้ ีพระภาคน้นั ยอ่ มไม่มี เพราะเหตนุ นั้ ชื่อวา่ อสม (ผู้ไม่มผี เู้ สมอ) ว.ิ นตถฺ ิ เอตสฺส ปฏิปุคคฺ โลติ อปฺปฏปิ คุ ฺคโล, ภควา (น + ปฏปิ คุ ฺคล) อ.บุคคลผู้เปรียบ ของพระผู้มีพระภาคน้ัน ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น อ.พระผู้มีพระภาคน้ัน ชือ่ ว่า อปฺปฏิปคุ ฺคล (ผ้ไู ม่มผี ้เู ปรียบ) ว.ิ นตถฺ ิ ตสฺส ปุตฺโตติ อปุตตฺ โก, ปคุ ฺคโล (น + ปตุ ตฺ ) (ลง กปัจจัย) อ.บุตร ของบคุ คลน้นั ยอ่ มไม่มี เพราะเหตนุ ั้น อ.บุคคลนั้น ชอื่ ว่า อปุตฺตก (ผไู้ มม่ บี ุตร) วิ. นตฺถิ ตสฺส เหตูติ อเหตุโก, ปคุ คฺ โล (น + เหตุ) (ลง ก ปัจจยั ) อ.เหตุ ของบคุ คลนนั้ ย่อมไมม่ ี เพราะเหตุนนั้ อ.บุคคลนน้ั ช่อื วา่ อเหตุก (ผ้ไู ม่มีเหตุ) ว.ิ นตฺถิ สวํ าโส เอเตสนตฺ ิ อสวํ าสา, ชนา (น + สํวาส) อ.การอย่รู ่วม ของชน ท.เหลา่ น่นั ย่อมไมม่ ี เพราะเหตนุ นั้ อ.ชน ท.เหล่าน่ัน ชือ่ ว่า อสวํ าส (ผไู้ มม่ ีการอยรู่ ่วม) ว.ิ น วิชชฺ เต วฏุ ฺ ิ เอตฺถาติ อวฏุ ฺโิ ก, ชนปโท (น + วฏุ ฺ )ิ (ลง ก ปจั จัย) อ.ฝน ยอ่ มไม่มี ในชนบทนี้ เพราะเหตุน้ัน อ.ชนบทนี้ ชอ่ื วา่ อวุฏฺ ิก (ไมม่ ฝี น) วิ. นตฺถิ เอตสสฺ อุตฺตโรติ อนุตฺตโร, ภควา (น + อตุ ฺต + เอต) (แปลง น เปน็ อน)ฺ อ.บุคคลผู้ประเสริฐยิ่งกว่า ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั่น ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น อ.พระผู้มี- พระภาคเจา้ นนั่ ชือ่ วา่ อนุตตฺ ร (ผูไ้ มม่ ใี ครประเสรฐิ ยิ่งกว่า) ว.ิ นตถฺ ิ อนฺโต อสฺสาติ อนนฺตํ, จกกฺ วาฬํ (น + อนฺ) (แปลง น เปน็ อนตฺ ) อ.ทีส่ ุด ของจกั รวาลนน้ั ยอ่ มไมม่ ี เพราะเหตุนน้ั อ.จกั รวาลนัน้ ช่ือว่า อนนฺต (ไมม่ ีทสี่ ดุ ) ว.ิ น วชิ ฺชนตฺ ิ อาสวา เอเตสนตฺ ิ อนาสวา, ภกิ ขฺ ู (น + อาสว) (แปลง น เปน็ อนฺ) อ.อาสวะ ท. ของภกิ ษุ ท.เหลา่ น้นั ยอ่ มไมม่ ี เพราะเหตุนน้ั อ.ภกิ ษุ ท.เหลา่ น้ัน ชอ่ื ว่า อนาสว (ผไู้ ม่มีอาสวะ, พระอรหันต)์ ๕. [ปมายตถฺ ] สหปพุ พฺ ปทพหุพฺพหี สิ มาส [ปมายตฺถ] สหปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีสหนิบาตอยู่หน้า ใน อรรถปฐมาวิภัตติ เช่น สห เหตุนา โย วตฺตเตติ สเหตุโก, สเหตุ วา, ธมโฺ ม (สห + เหต)ุ อ.ธรรมใด ยอ่ มเปน็ ไป กบั ดว้ ยเหตุ เพราะเหตนุ น้ั อ.ธรรมนนั้ ชอื่ วา่ สเหตกุ หรอื ชอ่ื วา่ สเหตุ (เปน็ ไปกับด้วยเหตุ) ในตัวอยา่ งน้ี บทว่า “สห” เป็นนิบาต อยูข่ า้ งหน้าบทว่า “เหตุนา” โดยมบี ทว่า “โย” ลงปฐมาวิภตั ติ เป็นอัญญบท ฉะน้ัน จึงได้ช่อื ว่าเปน็ “สหปพุ ฺพปท พหุพพฺ หี ิสมาส” ว.ิ สห ปตี ยิ า อเิ ม วตฺตนฺตตี ิ สปปฺ ตี กิ า, ธมฺมา (สห + ปีติ) (ลง กปัจจยั ) อ.ธรรม ท.เหลา่ น้ี ย่อมเปน็ ไป กับ ดว้ ยปตี ิ เพราะเหตุนัน้ อ.ธรรม ท.เหลา่ นี้ ชือ่ ว่า สปฺปตี กิ (อันเปน็ ไปกบั ดว้ ยปตี ิ)

246 ไวยากรณบ์ าลีเบื้องตน้ วิ. สห ปจฺจเยหิ อิเม วตฺตนฺตีติ สปจฺจยา, ธมฺมา (สห + ปจฺจย) อ.ธรรม ท.เหล่านี้ ยอ่ มเป็นไป กับ ด้วยปจั จยั ท. เพราะเหตุน้ัน อ.ธรรม ท.เหลา่ นี้ ชือ่ วา่ สปจจฺ ย (อันเป็นไปกบั ดว้ ยปจั จยั ) วิ. สห อปุ าทาเนหิ อยํ วตตฺ ตีติ สอปุ าทาโน, ธมโฺ ม (สห + อปุ าทาน) อ.ธรรมน้ี ยอ่ มเปน็ ไป กบั ดว้ ยอปุ าทาน ท. เพราะเหตนุ นั้ อ.ธรรมน้ี ชอื่ วา่ สอปุ าทาน (อนั เปน็ ไป กับด้วยอปุ าทาน) ว.ิ สห ปริวาเรหิ อยํ วตฺตตตี ิ สปรวิ าโร, ปุคคฺ โล (สห + ปรวิ าร) อ.บคุ คลนี้ ยอ่ มเปน็ ไป กบั ดว้ ยบรวิ าร ท. เพราะเหตนุ น้ั อ.บคุ คลนี้ ชอ่ื วา่ สปรวิ าร (ผเู้ ปน็ ไปกบั ดว้ ยบริวาร) วิ. สห มูเลน อทุ ฺธโต สมลู ุทฺธโต, รกุ ฺโข (สห + มลู + อทุ ฺธต) อ.ตน้ ไม้ อันถูกถอนขน้ึ แลว้ กบั ดว้ ยราก ชือ่ วา่ สมูลุทฺธต (อันถูกถอนขนึ้ พร้อมกบั ราก) ๖. อุปมานปพุ ฺพปทพหพุ พฺ หี ิสมาส อุปมานปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่มีบทหน้าเป็นบทเปรียบเทียบ มี ๒ วิภตั ติ คอื ปฐมาวิภัตติ และฉฏั ฐวี ิภัตติ ๖.๑ ปมาอุปมานปพุ พฺ ปทพหุพพฺ ีหิสมาส ปมายตฺถ อุปมานปุพพฺ ปทพหพุ พฺ หี ิสมาส พหุพพีหสิ มาสที่มีบทหนา้ เปน็ บทเปรียบ เทยี บ ลงในอรรถปฐมาวภิ ัตติ เชน่ สงโฺ ข วยิ ปณฺฑโร อยนตฺ ิ สงฺขปณฺฑโร, ปคุ ฺคโล (สงฺข + วยิ + ปณฑฺ ร) อ.บคุ คลนี้ ขาว ราวกะ อ.หอยสงั ข์ เพราะเหตุนั้น อ.บคุ คลน้ี ชอื่ ว่า สงขฺ ปณฑฺ ร (ผู้ขาว เพียงดังหอยสังข์) ในตัวอย่างนี้ บทว่า “สงฺโข” เป็นบทอุปมา โดยมี “วิย” ศัพท์ส่อง อรรถอปุ มา ใหป้ รากฏ บทวา่ “ปณฑฺ โร” เปน็ สง่ิ ทถี่ กู เปรยี บเทยี บ โดยมบี ทวา่ “อยํ” ลงปฐมาวภิ ตั ติ เป็นอญั ญบท ว.ิ สงฺโข วยิ ปณฺฑโร อยนตฺ ิ สงฺขปณฺฑโร, ปุคฺคโล (สงขฺ + วิย + ปณฑฺ ร) อ.บคุ คลนี้ ขาว ราวกะวา่ อ.หอยสงั ข์ เพราะเหตนุ นั้ อ.บคุ คลนี้ ชอื่ วา่ สงขฺ ปณฑฺ ร (ผขู้ าวเพยี งดงั หอยสงั ข)์ ว.ิ กายพยฺ ามานํ สมปปฺ มาณตาย นโิ ครฺ โธ อวิ ปรมิ ณฑฺ โล โย ราชกมุ าโร โสยํ นโิ ครฺ ธปรมิ ณฑฺ โล, ราชกมุ าโร (นิโครฺ ธ + อิว + ปริมณฺฑล) อ.พระราชกมุ ารใดมปี รมิ ณฑลเพยี งดงั อ.ตน้ ไทรเพราะความทก่ี ายและวาท.มปี ระมาณเทา่ กนั อ.พระราชกมุ ารนน้ั ชื่อว่า นโิ คฺรธปรมิ ณฑฺ ล (มีปริมณฑลเพียงดังตน้ ไทร)

247 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทตงั้ แต่สองบทข้นึ ไปเข้าด้วยกัน ว.ิ กาโก วยิ สูโร อยนฺติ กากสโู ร, ปุคคฺ โล (กาก + วิย + สรู ) อ.บุคคลนี้ กลา้ เพยี งดัง อ.กา เพราะเหตุนนั้ อ.บุคคลน้ี ชอื่ ว่า กากสรู (ผกู้ ลา้ เพยี งดังกา) วิ. จกฺขุ อิว ภูโต อยํ ปรมตถฺ ทสสฺ นโตติ จกขฺ ภุ ูโต, ภควา (จกขฺ ุ + อิว + ภูต) อ.พระผู้มีพระภาคเจ้าน้ี ทรงเป็น เพียงดังจักษุ เพราะทรงเห็นซ่ึงปรมัตถ์ เพราะเหตุนั้น อ.พระผูม้ ีพระภาคเจ้าน้ี ชอ่ื ว่า จกฺขุภตู (ผูท้ รงเปน็ เพยี งดังจกั ษุ) วิ. อตโฺ ถ วยิ ภโู ต อยํ ปรมตถฺ ปสสฺ นโตติ อตฺถภูโต, ภควา (อตฺถ + วยิ + ภูต) อ.พระผู้มีพระภาคเจ้าน้ี ทรงเป็น เพียงดังอรรถ เพราะทรงเห็นซึ่งปรมัตถ์ เพราะเหตุน้ัน อ.พระผ้มู พี ระภาคเจา้ น้ี ช่อื วา่ อตฺถภตู (ผูท้ รงเป็นเพียงดังอรรถ) วิ. ธมฺโม วยิ ภูโต อยํ ปรมตฺถปสฺสนโตติ ธมมฺ ภโู ต, ภควา (ธมมฺ + วิย + ภูต) อ.พระผู้มีพระภาคเจ้าน้ี ทรงเป็น เพียงดังธรรม เพราะทรงเห็นซ่ึงปรมัตถ์ เพราะเหตุน้ัน อ.พระผู้มพี ระภาคเจา้ น้ี ชื่อวา่ ธมมฺ ภตู (ผทู้ รงเป็นเพยี งดังธรรม) ว.ิ พรฺ หมฺ า วิย ภโู ต อยํ ปรมตถฺ ปสฺสนโตติ พรฺ หมฺ ภูโต, ภควา (พรฺ หฺม + วิย + ภตู ) อ.พระผ้มู พี ระภาคเจ้านี้ ทรงเปน็ เพียงดังมรรคธรรมอนั ประเสรฐิ เพราะทรงเห็นซึ่งปรมัตถ์ เพราะเหตุน้ัน อ.พระผู้มีพระภาคเจ้าน้ี ช่ือว่า พฺรหฺมภูต (ผู้ทรงเป็นเพียงดังมรรคธรรมอัน ประเสรฐิ ) ว.ิ อนฺโธ วยิ ภูโต อยนตฺ ิ อนฺธภูโต, พาโล (อนฺธ + วิย + ภูต) อ.คนพาลน้ี เปน็ เพียงดังคนบอด เพราะเหตุน้ัน อ.คนพาลน้ี ช่อื ว่า อนฺธภูต (ผเู้ ป็นเพยี งดัง คนบอด) ๖.๒ ฉฏฺีอุปมานปพุ พฺ ปทพหพุ พฺ ีหสิ มาส ฉฏฺิยตฺถ อุปมานปุพฺพปทพหุพฺพีหิสมาส พหุพพีหิสมาสที่มีบทหน้าเป็นบทเปรียบ เทียบ ลงในอรรถฉฏั ฐีวภิ ตั ติ เชน่ สวุ ณณฺ วณโฺ ณ วิย วณโฺ ณ ยสสฺ โสยํ สุวณฺณวณฺโณ, ภควา (สวุ ณณฺ วณณฺ + วยิ + วณณฺ ) อ.วรรณะ เพยี งดงั วรรณะแหง่ ทอง ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคใ์ ด มีอยู่ อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ชื่อว่า สุวณฺณวณฺณ (ผู้มีวรรณะเพียงดังวรรณะ แห่งทอง) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “สุวณฺณวณฺโณ” เป็นบทอุปมา โดยมี “วิย”ศัพท์เป็นบทส่อง อรรถอุปมาให้ปรากฏ บทว่า “วณโฺ ณ” เป็นบทท่ีถูกนำ� มาเปรยี บเทียบ โดยมบี ทว่า “ยสฺส” ลงฉฏั ฐี วภิ ัตติ เป็นอญั ญบท ฉะนัน้ จึงไดช้ อ่ื วา่ เป็น “ฉฏฺิยตฺถ อุปมานปพุ พฺ ปทพหุพพฺ หี ิสมาส” ว.ิ สุวณณฺ วณฺโณ วิย วณฺโณ ยสฺส โสยํ สวุ ณณฺ วณฺโณ, ภควา (สวุ ณณฺ วณฺณ + วยิ + วณณฺ ) อ.วรรณะ เพียงดังวรรณะแห่งทอง ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด มีอยู่ อ.พระผู้มี พระภาคเจ้า พระองค์นั้น ชื่อว่า สุวณฺณวณฺณ (ผู้มีวรรณะเพียงดังวรรณะแห่งทอง) (ลบ วณฺณ ศัพท์หลัง)

248 ไวยากรณบ์ าลีเบ้ืองต้น วิ. นาคสฺส วยิ อสสฺ คตตี ิ นาคคต,ิ ภควา (นาค + วยิ + คติ) อ.การไป เพยี งดงั การไปแหง่ ชา้ งตวั ประเสรฐิ ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ นนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.พระผ้มู ีพระภาคเจา้ น้นั ช่อื วา่ นาคคติ (ผู้มกี ารไปเพียงดังการไปของช้าง) ว.ิ สีหสฺส วิย อสฺส หนตู ิ สหี หน,ุ ภควา (สีห + วิย + หน)ุ อ.คาง เพียงดังคางของราชสีห์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์น้ัน ชอ่ื ว่า สหี หนุ (ผู้มีคางเพยี งดังคางของราชสีห)์ ว.ิ เอณิสสฺ วิย อสสฺ ชงฆฺ าติ เอณิชงโฺ ฆ, ภควา (เอณิ + วยิ + ชงฺฆา) อ.พระชงฆ์ เพยี งดงั แขง้ ของเนอ้ื ทราย ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ น้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.พระผูม้ พี ระภาคเจ้า พระองคน์ นั้ ชอ่ื ว่า เอณชิ งฆฺ (ผู้มแี ขง้ เพียงดังแขง้ ของเน้อื ทราย) ว.ิ สหี สฺส ปพุ ฺพทฺธํ วยิ อสสฺ กาโยติ สีหปพุ ฺพทธฺ กาโย, ภควา (สหี ปุพฺพทฺธ + วยิ + กาย) อ.กาย เพียงดังกายข้างหน้า ของราชสีห์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีอยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ นั้ ชอื่ วา่ สหี ปพุ พฺ ทธฺ กาย (ผมู้ กี ายเพยี งดงั กาย ขา้ งหนา้ ของราชสีห์) วิ. พฺรหมฺ โุ น วยิ อฏฺ งคฺ สมนฺนาคโต สโร อสสฺ าติ พรฺ หฺมสฺสโร, ภควา (พรฺ หฺม + วยิ + สร) อ.เสยี ง อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ เพยี งดงั เสยี ง แหง่ พรหม ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ น้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.พระผู้มพี ระภาคเจ้าพระองคน์ ้ัน ช่ือวา่ พฺรหมฺ สฺสร (ผ้มู ีเสียงเพียงดงั เสยี งแหง่ พรหม) ๗. วาสทฺทตถฺ สงฺขฺโยภยปทพหุพพฺ หี สิ มาส วาสทฺทตฺถ สงฺขฺโยภยปทพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสท่ีบทท้ังสองเป็นสังขยา ในอรรถของ วา ศพั ท์ แสดงความไมแ่ นน่ อน เช่น เทฺว วา ตโย วา ปตตฺ า ทวฺ ตตฺ ิปตฺตา (ทวฺ ิ + ติ + ปตตฺ ) อ.บาตร ท. สอง หรือ หรือวา่ สาม ชอื่ วา่ ทวฺ ตตฺ ิปตฺต (สองหรอื สามบาตร) ในตวั อย่างนี้ บทว่า “เทวฺ ” กบั บทวา่ “ตโย” เปน็ สังขยา และมี “วา ศพั ท”์ ตอ่ ทา้ ยทัง้ สองศัพท์ ฉะน้นั จงึ ได้ ชอ่ื ว่าเป็น “วาสทฺทตถฺ สงฺขฺโยภยปทพหุพพฺ หี สิ มาส” ว.ิ เทวฺ วา ตโย วา ปตตฺ า ทวฺ ตฺตปิ ตฺตา (ทวิ + ติ + ปตฺต) อ.บาตร ท. สองหรือ หรือวา่ สาม ช่ือวา่ ทวตตฺ ปิ ตตฺ (สองหรอื สามบาตร) วิ. ทฺวหี ํ วา ตหี ํ วา ทวฺ หี ตีหํ (ทฺวีห + ตหี ) อ.สองวัน หรือ หรอื ว่า อ.สามวัน ช่ือวา่ ทวฺ หี ตีห (สองหรอื สามวนั ) ว.ิ ฉ วา ปญจฺ วา วาจา ฉปปฺ ญฺจวาจา (ฉ + ปญจฺ + วาจา) อ.ค�ำพูด ท. หกค�ำ หรือ หรอื วา่ ห้าค�ำ ชอ่ื วา่ ฉปฺปญฺจวาจา (หกหรือหา้ ค�ำ)

249 สมาส วา่ ด้วยการยอ่ บทตัง้ แต่สองบทขน้ึ ไปเข้าด้วยกัน ว.ิ สตตฺ วา อฏฺ วา มาสา สตตฺ ฏฺมาสา (สตฺต + อฏฺ + มาส) อ.เดือน ท. เจ็ด หรือ หรือวา่ แปด ชอื่ วา่ สตฺตฏฺมาส (เจด็ หรือแปดเดือน) วิ. เอกโยชนํ วา ทวฺ ิโยชนานิ วา เอกโยชนทวฺ ิโยชนานิ (เอกโยชน + ทฺวโิ ยชน) อ.หนงึ่ โยชน์ หรอื หรอื วา่ อ.สองโยชน์ ท. ชอื่ วา่ เอกโยชนทวฺ โิ ยชน (หนง่ึ โยชนห์ รอื สองโยชน)์ ๘. ทิสนตฺ ราฬตถฺ พหพุ ฺพหี ิสมาส ทิสนฺตราฬตฺถพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสที่ใช้ในอรรถระหว่างทิศทั้งสอง ไดแ้ กก่ ารพูดถงึ ทิศเฉยี งตา่ งๆ นั่นเอง เชน่ ปพุ พฺ สฺสา จ ทกขฺ ิณสฺสา จ ทสิ าย ยทนฺตราฬํ สายํ ปุพฺพทกฺขิณา, วิทิสา (ปุพฺพา + ทกฺขิณา) อ.ทิศเฉียงใด ถือเอาซึ่งระหว่างกลาง แห่งทิศ ตะวันออกด้วย แห่งทิศใต้ด้วย อ.ทิศเฉียงน้ัน ชื่อว่า ปุพฺพทกฺขิณา (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) ในตัวอย่างนี้ บทว่า “ปุพฺพสฺสา” พูดถึงทิศตะวันออก บทว่า “ทกฺขิณสฺสา” พูดถึงทิศใต้ บทว่า “ยา” เป็นอัญญบท หมายถงึ ทิศเฉียง ฉะนั้น เม่อื พูดถึงทิศเฉยี งของท้งั สองทิศดงั กล่าว จึงได้แก่ ทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ พหพุ พีหสิ มาสนี้ จงึ ไดช้ ื่อวา่ “ทิสนฺตราฬตถฺ พหุพฺพีหสิ มาส” ว.ิ ปพุ พฺ สสฺ า จ ทกขฺ ณิ สสฺ า จ ทสิ าย ยทนตฺ ราฬํ สายํ ปพุ พฺ ทกขฺ ณิ า, วทิ สิ า (ปพุ พฺ า + ทกขฺ ณิ า) อ.ทิศเฉียงใด ถือเอาซึ่งระหว่างกลาง แหง่ ทศิ ตะวนั ออกดว้ ย แห่งทิศใตด้ ้วย อ.ทศิ เฉยี งน้ัน ช่อื ว่า ปุพฺพทกฺขณิ า (ทิศตะวนั ออกเฉียงใต้) (รัสสะ) วิ. ปุพพฺ สฺสา จ อตุ ตฺ ราย จ ทิสาย ยทนตฺ ราฬํ สายํ ปพุ พฺ ุตตฺ รา, วทิ ิสา (ปุพฺพา + อุตตฺ รา) อ.ทศิ เฉยี งใด ถอื เอาซง่ึ ระหวา่ งกลาง แหง่ ทศิ ตะวนั ออกดว้ ย แหง่ ทศิ เหนอื ดว้ ย อ.ทศิ เฉยี งนน้ั ชือ่ วา่ ปุพพฺ ตุ ตฺ รา (ทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนอื ) (รัสสะ) ว.ิ อปราย จ ทกขฺ ิณสสฺ า จ ทิสาย ยทนฺตราฬํ สายํ อปรทกฺขิณา, วทิ ิสา (อปรา + ทกขฺ ณิ า) อ.ทิศเฉียงใด ถือเอาซึ่งระหว่างกลาง แห่งทิศตะวันตกด้วย แห่งทิศใต้ด้วย อ.ทิศเฉียงน้ัน ชือ่ วา่ อปรทกฺขณิ า (ทศิ ตะวันตกเฉียงใต)้ (รัสสะ) ว.ิ ปจฉฺ มิ าย จ อตุ ตฺ ราย จ ทสิ าย ยทนตฺ ราฬํ สายํ ปจฉฺ มิ ตุ ตฺ รา, วทิ สิ า (ปจฉฺ มิ า + อตุ ตฺ รา) อ.ทิศเฉยี งใด ถอื เอาซง่ึ ระหวา่ งกลาง แห่งทิศตะวนั ตกด้วย แห่งทิศเหนือดว้ ย อ.ทิศเฉยี งน้นั ชอื่ ว่า ปจฉฺ มิ ตุ ตฺ รา (ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ) (รัสสะ) ๙. พยฺ ตหิ ารลกขฺ ณพหุพพฺ ีหิสมาส พฺยติหารลกฺขณพหุพฺพีหิสมาส คือ พหุพพีหิสมาสท่ีลักษณะแผ่ขยายออกไป หมายความวา่ ลกุ ลามไปส่กู ิริยาการกระทำ� อย่างใดอย่างหน่งึ เช่น เกเสสุ จ เกเสสุ จ คเหตวฺ า อิทํ ยทุ ฺธํ ปวตฺตตีติ เกสาเกสิ (เกส + เกส + คเหตฺวา + อมิ ) อ.การต่อสู้น้ี จับดงึ แลว้ ท่ผี ม ท.

250 ไวยากรณบ์ าลีเบอ้ื งตน้ ของฝ่ายน้ีด้วย ที่ผม ท. ของฝ่ายโน้นด้วย ย่อมเป็นไป เพราะเหตุน้ัน อ.การต่อสู้น้ี ชื่อว่า เกสาเกสิ (การต่อสู้ท่ีมีการดึงผมกันและกัน) ในตัวอย่างน้ี บทว่า “เกเสสุ”ทั้งสองบท เป็นผล เน่ืองมาจากการทะเลาะกัน โดยมบี ทว่า “อิทํ” เปน็ อญั ญบท ฉะนน้ั จงึ ไดช้ ือ่ ว่าเป็น “พฺยติหาร- ลกขฺ ณพหุพพฺ หี ิสมาส” วิ. ทณฺเฑหิ จ ทณฺเฑหิ จ ปหรติ วฺ า อทิ ํ ยุทธฺ ํ ปวตฺตตตี ิ ทณฺฑาทณฺฑิ (ทณฺฑ + ทณฑฺ + ปหรติ วฺ า + อมิ ) อ.การตอ่ สนู้ ี้ ตแี ลว้ ดว้ ยทอ่ นไม้ ท.ของฝา่ ยนด้ี ว้ ย ดว้ ยทอ่ นไม้ ท.ของฝา่ ยโนน้ ดว้ ย ยอ่ มเปน็ ไป เพราะเหตนุ นั้ อ.การตอ่ ส้นู ้ี ชื่อว่า ทณฺฑาทณฑฺ ิ (การต่อสทู้ มี่ ีการตดี ว้ ยทอ่ นไม้) (ทีฆะ อ เปน็ อา ท่ามกลางสมาส, แปลงสระที่สดุ ของสมาสเป็น อ)ิ ๖.๖ ทวันทสมาส ทวฺ นฺทสมาส คอื สมาสท่ีย่อนามบทตั้งแต่สองบทขึน้ ไป อันมอี รรถรวบรวมซ่งึ กันและกัน และมวี ภิ ตั ติเหมอื นกัน ค�ำแปลของทวนั ทสมาสแปลวา่ “...และ...” หลักการเรยี งศัพทไ์ วก้ ่อนและหลงั ในทวนั ทสมาส มดี งั น้ี (๑) เรียงตามสิ่งท่ีน่าบูชามาก-น่าบูชาน้อย มีคุณมาก-มีคุณน้อย เช่น สาริปุตฺโต จ โมคคฺ ลฺลาโน จ สาริปุตฺตโมคคฺ ลฺลานา (๒) เรียงตามทมี่ สี ระนอ้ ย-มาก เชน่ จนโฺ ท จ สูรโิ ย จ จนทฺ สรู ิยา (๓) เรยี งตาม อิ วณั ณะ และ อวุ ณั ณะเป็นทส่ี ดุ เช่น อคฺคิ จ ธโู ม จ อคคฺ ธิ มู า (๔) เรยี งตาม อ การันตม์ ีสระเป็นเบื้องต้น เช่น อตฺโถ จ ธมฺโม จ อตฺถธมมฺ า (๕) เรียงตาม (สงั ขยา)จำ� นวน จากน้อยไปหามาก เชน่ เอกกญจฺ ทุกญจฺ เอกกทุกํ (๖) กรณที ่มี ศี ัพท์เปน็ จำ� นวนมาก ไม่มคี วามแนน่ อนในการเรยี งลำ� ดบั ๑. อติ รีตรโยคทวฺ นทฺ (อสมาหาร) อิตรีตรโยคทฺวนฺท (อสมาหาร) ได้แก่ ทวันทสมาสที่มีอรรถของแต่ละบท เป็นประธาน เสมอกัน ฉะน้ัน จึงมีรูปเป็นพหุวจนะเท่าน้ัน ส่วนลิงค์ มีลิงค์ตามบทหลัง เช่น สาริปุตฺโต จ โมคฺคลลฺ าโน จ สาริปุตฺตโมคคฺ ลลฺ านา พระสารบี ตุ รดว้ ย พระโมคคลั ลานะดว้ ย ชอ่ื ว่า สารปิ ุตฺต- โมคฺคลลฺ าน (พระสารบี ุตรและพระโมคคลั ลานะ) มาจาก “สารปิ ุตตฺ + โมคฺคลฺลาน” ท้ังสองศัพท์ มีอรรถเสมอกนั เท่าเทียมกัน ฉะน้นั ใหล้ งวิภัตติพหุวจนะเท่านน้ั

251 สมาส วา่ ดว้ ยการยอ่ บทตงั้ แต่สองบทข้นึ ไปเขา้ ดว้ ยกัน วิ. เทโว จ มนุสฺโส จ เทวมนสุ สฺ า (เทว + มนุสสฺ ) อ.เทวดาดว้ ย อ.มนษุ ยด์ ว้ ย ช่ือว่า เทวมนุสฺส (เทวดาและมนษุ ยท์ ั้งหลาย) ว.ิ สารปิ ุตฺโต จ โมคฺคลฺลาโน จ สาริปตุ ตฺ โมคฺคลลฺ านา (สารปิ ุตตฺ + โมคคฺ ลฺลาน) อ.พระสารบี ุตรดว้ ย อ.พระโมคคัลลานะด้วย ชือ่ ว่า สาริปตุ ฺตโมคฺคลฺลาน (พระสารบี ุตร และ พระโมคคัลลานะทัง้ หลาย) ว.ิ สมโณ จ พรฺ าหมฺ โณ จ สมณพรฺ าหฺมณา (สมณ + พฺราหฺมณ) อ.สมณะด้วย อ.พราหมณ์ด้วย ชือ่ ว่า สมณพรฺ าหฺมณ (สมณะและพราหมณท์ ั้งหลาย) ว.ิ พรฺ าหมฺ โณ จ คหปติโก จ พรฺ าหฺมณคหปตกิ า (พรฺ าหมฺ ณ + คหปตกิ ) อ.พราหมณด์ ้วย อ.คหบดดี ว้ ย ชื่อว่า พรฺ าหฺมณคหปติก (พราหมณแ์ ละคหบดที ัง้ หลาย) ว.ิ ขตฺติโย จ พฺราหมฺ โณ จ ขตฺตยิ พรฺ าหฺมณา (ขตตฺ ิย + พรฺ าหฺมณ) อ.กษตั ริยด์ ้วย อ.พราหมณด์ ้วย ช่อื วา่ ขตตฺ ยิ พรฺ าหมฺ ณ (กษตั ริยแ์ ละพราหมณ์ทง้ั หลาย) วิ. จนฺทโิ ม จ สรู ิโย จ จนฺทมิ สรู ิยา (จนฺทมิ + สรู ิย) อ.พระจนั ทร์ดว้ ย อ.พระอาทติ ย์ดว้ ย ช่ือวา่ จนฺทิมสรู ิย (พระจันทร์และพระอาทิตยท์ ้ังหลาย) วิ. มาตา จ ปิตา จ มาตาปิตโร (มาตุ + ปิตุ) (แปลง อุ ของ มาตุ ศัพท์เป็น อา = เตสุ วทุ ฺธิโลปาคมฯ) อ.มารดาด้วย อ.บดิ าดว้ ย ชอ่ื วา่ มาตาปติ ุ (มารดาและบิดาทง้ั หลาย) วิ. ปิตา จ ปุตฺโต จ ปิตาปุตฺตา (ปิตุ + ปุตฺต) (แปลง อุ ของ ปิตุ ศัพท์เป็น อา = เตสุ วทุ ฺธโิ ลปาคมฯ) อ.บิดาด้วย อ.บุตรดว้ ย ช่ือว่า ปติ าปตุ ฺต (บดิ าและบุตรทงั้ หลาย) วิ. จนโฺ ท จ สรู ิโย จ จนฺทสูริยา (จนทฺ + สรู ยิ ) อ.พระจันทร์ดว้ ย อ.พระอาทติ ย์ด้วย ชอื่ ว่า จนฺทสรู ิย (พระจนั ทร์และพระอาทติ ยท์ ้ังหลาย) วิ. นคิ มา จ ชนปทา จ นคิ มชนปทา (นิคม + ชนปท) อ.นคิ ม ท.ด้วย อ.ชนบท ท.ด้วย ชอื่ ว่า นคิ มชนปท (นิคมและชนบททงั้ หลาย) วิ. สรุ า จ อสรุ า จ ครฬุ า จ มนชุ า จ ภชุ คา จ คนธฺ พพฺ า จ สรุ าสรุ ครฬุ มนชุ ภชุ คคนธฺ พพฺ า (สรุ + อสรุ + ครุฬ + มนชุ + ภชุ ค + คนฺธพฺพ) อ.เทวดา ท.ดว้ ย อ.อสูร ท.ดว้ ย อ.ครุฑ ท.ด้วย อ.มนษุ ย์ ท.ดว้ ย อ.นาค ท.ด้วย อ.คนธรรพ์ ท. ด้วย ชอื่ ว่า สรุ าสุรครฬุ มนชุ ภชุ คคนฺธพพฺ (เทวดา อสรู ครุฑ มนษุ ย์ นาค และคนธรรพ)์ ว.ิ อคฺคิ จ ธูโม จ อคฺคธิ มู า (อคฺคิ + ธูม) อ.ไฟด้วย อ.ควันดว้ ย ชือ่ วา่ อคฺคิธูม (ไฟและควนั ) วิ. ธาตโว จ ลิงฺคานิ จ ธาตลุ งิ คฺ านิ (ธาตุ + ลงิ คฺ ) อ.ธาตุ ท.ด้วย อ.ลิงค์ ท.ด้วย ชือ่ ว่า ธาตลุ ิงคฺ (ธาตุและลงิ ค์)

252 ไวยากรณบ์ าลีเบื้องต้น ว.ิ อตโฺ ถ จ ธมโฺ ม จ อตฺถธมฺมา (อตฺถ + ธมฺม) อ.อรรถด้วย อ.ธรรมดว้ ย ชอื่ วา่ อตฺถธมฺม (อรรถและธรรม) ว.ิ อตฺโถ จ สทโฺ ท จ อตถฺ สททฺ า (อตถฺ + สททฺ ) อ.อรรถดว้ ย อ.ศพั ทด์ ้วย ช่อื วา่ อตถฺ สทฺท (อรรถและศัพท)์ วิ. สทฺโท จ อตฺโถ จ สทฺทตถฺ า (สททฺ + อตฺถ) อ.ศพั ทด์ ว้ ย อ.อรรถดว้ ย ช่ือว่า สทฺทตฺถ (ศพั ท์และอรรถ) ๒. สมาหารทวฺ นทฺ สมาหารทฺวนฺท ได้แก่ การรวบรวมอรรถท้ังหลายให้เป็นอันเดียวกัน รูปส�ำเร็จจะเป็น นปงุ สกลิงค์เอกวจนะเทา่ นั้น เชน่ จกฺขุ จ โสตญจฺ จกขฺ โุ สตํ ตาด้วย หดู ้วย ช่อื วา่ จกขฺ โุ สต (ตาและห)ู มาจาก “จกขฺ ุ + โสต” บทวา่ “จกขฺ ”ุ และบทวา่ “โสต” ลว้ นเปน็ อวยั วะทไ่ี มไ่ ดก้ ลา่ วถงึ ความหมายแยกเป็นอิสระจากกัน แต่กล่าวโดยความเป็นอวัยวะท่ีรวมอยู่ด้วยกัน กล่าวถึง การรวมอยขู่ องศพั ทน์ ัน้ ว.ิ จกฺขุ จ โสตญฺจ จกขฺ ุโสตํ (จกฺขุ + โสต) อ.ตาด้วย อ.หูด้วย ช่อื ว่า จกฺขโุ สต (ตาและหู) ว.ิ สมโถ จ วิปสฺสนา จ สมถวปิ สฺสนํ (สมถ + วปิ สฺสนา) อ.สมถะดว้ ย อ.วปิ ัสสนาด้วย ชอื่ ว่า สมถวิปสสฺ น (สมถะและวิปัสสนา) วิ. มุขญฺจ นาสิกา จ มุขนาสิกํ (มขุ + นาสิกา) (รสั สะทสี่ ุดสมาส = สโร รสฺโส นปํสุ เก) อ.ปากด้วย อ.จมกู ด้วย ช่อื วา่ มขุ นาสิก (ปากและจมกู ) ว.ิ หนุ จ คีวา จ หนุคีวํ (หนุ + คีวา) (รสั สะท่สี ดุ สมาส) อ.คางด้วย อ.คอด้วย ช่ือว่า หนคุ วี (คางและคอ) วิ. กณโฺ ณ จ นาสา จ กณฺณนาสํ (กณณฺ + นาสา) (รัสสะท่สี ุดสมาส) อ.หูด้วย อ.จมกู ด้วย ชือ่ ว่า กณณฺ นาส (หแู ละจมกู ) วิ. ปาณิ จ ปาโท จ ปาณปิ าทํ (ปาณิ + ปาท) อ.มือดว้ ย อ.เทา้ ด้วย ชื่อว่า ปาณปิ าท (มอื และเทา้ ) ว.ิ ฉวิ จ มํสญฺจ โลหติ ญฺจ ฉวมิ ํสโลหิตํ (ฉวิ + มสํ + โลหติ ) อ.ผวิ หนงั ด้วย อ.เนอื้ ดว้ ย อ.เลอื ดด้วย ช่อื วา่ ฉวิมํสโลหติ (ผิวหนงั เนื้อ และเลอื ด) ว.ิ คตี ญจฺ วาทติ ญจฺ คีตวาทิตํ (คีต + วาทิต) อ.การขับร้องด้วย อ.การบรรเลงดว้ ย ช่อื วา่ คีตวาทติ (การขบั รอ้ งและการบรรเลง) ว.ิ สมฺมญฺจ ตาฬญฺจ สมฺมตาฬํ (สมมฺ + ตาฬ) อ.การตฆี ้องด้วย อ.การปรบมือดว้ ย ช่อื ว่า สมมฺ ตาฬ (การตฆี อ้ งและการปรบมือ)

253 สมาส วา่ ด้วยการย่อบทตั้งแตส่ องบทขึ้นไปเขา้ ดว้ ยกนั วิ. สงฺโข จ ปณโว จ ฑณิ ฑฺ ิโม จ สงฺขปณวฑิณฑฺ มิ ํ (สงฺข + ปณว + ฑิณฑฺ ิม) อ.สังข์ด้วย อ.กลองบัณเฑาะว์ด้วย อ.เปิงมางด้วย ช่ือว่า สงฺขปณวฑิณฺฑิม (สังข์ กลอง บัณเฑาะว์ และเปงิ มาง) วิ. สงฺขา จ ปณวา จ ฑณิ ฑฺ มิ า จ สงฺขปณวฑิณฺฑมิ ํ (สงขฺ + ปณว + ฑิณฑฺ มิ ) อ.สังข์ ท.ด้วย อ.กลองบัณเฑาะว์ ท.ด้วย อ.เปิงมาง ท.ด้วย ช่ือว่า สงฺขปณวฑิณฺฑิม (สงั ข์ กลองบัณเฑาะว์ และเปิงมาง) วิ. ผาโล จ ปาจนญฺจ ผาลปาจนํ (ผาล + ปาจน) อ.ผาลดว้ ย อ.ปฏักดว้ ย ช่ือวา่ ผาลปาจน (ผาลและปฏกั ) ว.ิ ยคุ ญฺจ นงฺคลญฺจ ยคุ นงฺคลํ (ยคุ + นงคฺ ล) อ.แอกด้วย อ.ไถด้วย ชอื่ วา่ ยุคนงฺคล (แอกและไถ) วิ. หตถฺ โิ น จ อสฺสา จ หตฺถอิ สสฺ ํ (หตถฺ ี + อสฺส) (รัสสะทา่ มกลางสมาส) อ.ช้าง ท.ดว้ ย อ.มา้ ท.ด้วย ชื่อวา่ หตฺถิอสสฺ (ชา้ งและม้า) วิ. รถา จ ปตฺติกา จ รถปตฺติกํ (รถ + ปตฺตกิ ) อ.รถ ท.ดว้ ย อ.ทหารบก ท.ดว้ ย ชอ่ื วา่ รถปตฺตกิ (รถและทหารบก) วิ. อสิ จ จมมฺ ญจฺ อสิจมฺมํ (อสิ + จมมฺ ) อ.ดาบดว้ ย อ.โลด่ ้วย ชอ่ื ว่า อสจิ มมฺ (ดาบและโล่) ว.ิ ธนุ จ กลาโป จ ธนุกลาปํ (ธนุ + กลาป) อ.ธนดู ว้ ย อ.แล่งธนดู ว้ ย ชื่อวา่ ธนุกลาป (ธนแู ละแลง่ ธน)ู ว.ิ ฑํสา จ มกสา จ ฑํสมกสํ (ฑํส + มกส) อ.เหลือบ ท.ด้วย อ.ยุง ท.ด้วย ช่อื ว่า ฑํสมกส (เหลอื บและยุง) วิ. กนุ ฺถา จ กปิ ิลลฺ กิ า จ กนุ ฺถกปิ ลิ ฺลิกํ (กนุ ถฺ + กิปิลฺลิก) อ.มด ท.ดว้ ย อ.ปลวก ท.ด้วย ช่อื ว่า กุนถฺ กปิ ลิ ฺลิก (มดและปลวก) ว.ิ กีฏา จ ปฏงฺคา จ กีฏปฏงฺคํ (กีฏ + ปฏงคฺ ) อ.ตวั แกว้ ท.ดว้ ย อ.ตกั๊ แตน ท.ด้วย ชอื่ ว่า กฏี ปฏงฺค (ตัวแก้วและต๊ักแตน) ว.ิ กีฏา จ สรีสปา จ กีฏสรสี ปํ (กฏี + สรสี ป) อ.ตัวแก้ว ท.ด้วย อ.แมงปอ่ ง ท.ด้วย ช่ือว่า กฏี สรีสป (ตัวแกว้ และแมงปอ่ ง) ว.ิ อหิ จ นกุโล จ อหนิ กุลํ (อหิ + นกุล) อ.งดู ้วย อ.พงั พอนดว้ ย ช่อื ว่า อหินกลุ (งูและพงั พอน) วิ. พฬิ าโร จ มสู ิกา จ พิฬารมูสกิ ํ (พิฬาร + มสู ิกา) (รสั สะทส่ี ุดสมาส) อ.แมวด้วย อ.หนูดว้ ย ชอ่ื วา่ พฬิ ารมสู ิก (แมวและหนู) วิ. กาโก จ โอลโู ก จ กาโกลกู ํ (กาก + โอลูก) อ.กาดว้ ย อ.นกเค้าด้วย ชือ่ ว่า กาโกลูก (กาและนกเคา้ )

254 ไวยากรณบ์ าลเี บ้อื งต้น ว.ิ สปโฺ ป จ มณฑฺ โู ก จ สปฺปมณฺฑกู ํ (สปปฺ + มณฑฺ ูก) อ.งดู ้วย อ.กบดว้ ย ชอ่ื วา่ สปฺปมณฺฑกู (งแู ละกบ) ว.ิ ครุโฬ จ สปโฺ ป จ ครุฬสปฺปํ (ครฬุ + สปปฺ ) อ.ครุฑดว้ ย อ.นาคดว้ ย ช่อื วา่ ครฬุ สปฺป (ครฑุ และนาค) ว.ิ สีลญฺจ ปญฺญาณญจฺ สลี ปญฺ าณํ (สลี + ปฺ าณ) อ.ศลี ดว้ ย อ.ปญั ญาดว้ ย ช่อื ว่า สลี ปญฺ าณ (ศลี และปญั ญา) วิ. นามญจฺ รปู ญจฺ นามรูปํ (นาม + รูป) อ.นามด้วย อ.รปู ดว้ ย ชื่อวา่ นามรปู (นามและรปู ) วิ. หริ ิ จ โอตฺตปปฺ ญจฺ หโิ รตฺตปปฺ ํ (หริ ิ + โอตตฺ ปปฺ ) อ.ความละอายดว้ ย อ.ความเกรงกลวั ดว้ ย ชอ่ื วา่ หโิ รตตฺ ปปฺ (ความละอายและความเกรงกลวั ) ว.ิ สติ จ สมฺปชญฺฺจ สตสิ มฺปชฺ ํ (สติ + สมฺปชฺ) อ.ความระลกึ ไดด้ ว้ ย อ.ความรูส้ กึ ตวั ด้วย ชอ่ื ว่า สติสมฺปชฺ (สติและสมั ปชญั ญะ) ว.ิ โลโภ จ โมโห จ โลภโมหํ (โลภ + โมห) อ.ความโลภดว้ ย อ.ความหลงด้วย ช่อื ว่า โลภโมห (โลภะและโมหะ) ว.ิ โทโส จ โมโห จ โทสโมหํ (โทส + โมห) อ.ความโกรธด้วย อ.ความหลงด้วย ชือ่ ว่า โทสโมห (โทสะและโมหะ) ว.ิ อหริ ิโก จ อโนตฺตปปฺ ญจฺ อหิริกาโนตฺตปปฺ ํ (อหิรกิ + อโนตตฺ ปปฺ ) อ.ความไมล่ ะอายด้วย อ.ความไมเ่ กรงกลัวด้วย ช่อื ว่า อหิรกิ าโนตฺตปปฺ (ความไม่ละอาย และ ไมเ่ กรงกลวั ) ว.ิ ถนี ญจฺ มทิ ธฺ ญฺจ ถีนมิทฺธํ (ถีน + มทิ ฺธ) อ.ความหดหูด่ ว้ ย อ.ความงว่ งเหงาหาวด้วย ชอื่ วา่ ถีนมทิ ธฺ (ถีนะและมิทธะ) วิ. อุทธฺ จฺจญฺจ กุกฺกุจจฺ ญฺจ อทุ ธฺ จจฺ กุกกฺ จุ ฺจํ (อทุ ธฺ จจฺ + กกุ กฺ ุจจฺ ) อ.ความฟงุ้ ซา่ นดว้ ย อ.ความรำ� คาญใจดว้ ย ชอ่ื วา่ อทุ ธฺ จจฺ กกุ กฺ จุ จฺ (ความฟงุ้ ซา่ นและรำ� คาญใจ) วิ. อาธปิ จจฺ ญฺจ ปริวาโร จ อาธิปจฺจปรวิ าโร (อาธิปจฺจ + ปริวาร) อ.ความเปน็ แหง่ อธิบดีด้วย อ.บริวารดว้ ย ชื่อวา่ อาธิปจจฺ ปริวาร (ความเปน็ แห่งอธิบดแี ละ บรวิ าร) วิ. ฉนโฺ ท จ ปาริสทุ ธฺ ิ จ ฉนฺทปาริสทุ ฺธิ (ฉนฺท + ปาริสุทธฺ )ิ อ.ฉันทะดว้ ย อ.ปาริสุทธิด้วย ช่อื วา่ ฉนฺทปารสิ ทุ ธฺ ิ (ฉนั ทะและปาริสทุ ธิ) วิ. ปฏิสนธฺ ิ จ ปวตตฺ ิ จ ปฏสิ นฺธิปปฺ วตตฺ ิ (ปฏิสนฺธิ + ปวตฺติ) อ.ปฏิสนธิกาลด้วย อ.ปวัตติกาลดว้ ย ช่อื วา่ ปฏสิ นธฺ ิปปฺ วตฺติ (ปฏิสนธิกาลและปวัตติกาล) ว.ิ ทาสี จ ทาโส จ ทาสทิ าสํ (ทาสี + ทาส) (รสั สะทา่ มกลางสมาส) อ.ทาสหญงิ ดว้ ย อ.ทาสชายด้วย ช่ือว่า ทาสิทาส (ทาสหญิงและทาสชาย)

255 สมาส วา่ ด้วยการย่อบทตงั้ แตส่ องบทขึ้นไปเข้าด้วยกัน วิ. อติ ฺถี จ ปมุ า จ อิตฺถิปมุ ํ (อติ ถฺ ี + ปมุ ) (รัสสะท่ามกลางสมาส) อ.หญิงด้วย อ.ชายด้วย ชือ่ ว่า อิตฺถิปมุ (หญิงและชาย) วิ. ปตโฺ ต จ จวี รญฺจ ปตตฺ จวี รํ (ปตฺต + จวี ร) อ.บาตรด้วย อ.จีวรด้วย ชื่อว่า ปตตฺ จีวร (บาตรและจีวร) ว.ิ สาขา จ ปลาโส จ สาขาปลาสํ (สาขา + ปลาส) อ.ก่ิงไม้ด้วย อ.ใบไม้ดว้ ย ชอ่ื ว่า สาขาปลาส (ก่ิงไม้และใบไม)้ วิ. เอกกญจฺ ทุกญฺจ เอกกทุกํ (เอกก + ทกุ ) อ.หมวดหน่งึ ดว้ ย อ.หมวดสองดว้ ย ช่อื ว่า เอกกทุก (หมวดหน่ึงและหมวดสอง) วิ. ทุกญฺจ ติกญจฺ ทกุ ติกํ (ทกุ + ติก) อ.หมวดสองด้วย อ.หมวดสามด้วย ชอ่ื วา่ ทกุ ตกิ (หมวดสองและหมวดสาม) ว.ิ ติกญฺจ จตุกกฺ ญฺจ ตกิ จตุกกฺ ํ (ตกิ + จตุกกฺ ) อ.หมวดสามด้วย อ.หมวดส่ดี ้วย ชอื่ วา่ ติกจตุกฺก (หมวดสามและหมวดส)ี่ ว.ิ จตกุ กฺ ญจฺ ปญจฺ กญฺจ จตกุ กฺ ปญจฺ กํ (จตุกฺก + ปญฺจก) อ.หมวดสี่ดว้ ย อ.หมวดห้าด้วย ช่ือว่า จตุกกฺ ปญฺจก (หมวดส่แี ละหมวดหา้ ) วิ. ทโี ฆ จ มชฌฺ โิ ม จ ทีฆมชฺฌมิ ํ (ทฆี + มชฌฺ ิม) อ.ยาวด้วย อ.ปานกลางดว้ ย ชอื่ วา่ ทฆี มชฌฺ มิ (ยาวและปานกลาง) วิ. โอรพภฺ กิ า จ สกู ริกา จ โอรพภฺ กิ สกู รกิ ํ (โอรพฺภกิ + สูกรกิ ) อ.คนฆ่าแกะ ท. ดว้ ย อ.คนฆา่ สุกร ท. ดว้ ย ชื่อวา่ โอรพฺภิกสกู ริก (คนฆ่าแกะและคนฆา่ สุกร เลี้ยงชพี ) ว.ิ สากุณิกา จ มาควิกา จ สากุณิกมาควกิ ํ (สากุณิก + มาควกิ ) อ.คนฆา่ นก ท.ด้วย อ.คนฆา่ เนือ้ ท.ดว้ ย ชอื่ วา่ สากณุ กิ มาควกิ (พรานนกและพรานเนอ้ื ) วิ. สปาโก จ จณฑฺ าโล จ สปากจณฑฺ าลํ (สปาก + จณฑฺ าล) อ.คนกนิ เนือ้ สุนัขดว้ ย อ.คนจณั ฑาลดว้ ย ชอ่ื วา่ สปากจณฑฺ าล (คนกนิ เน้อื สุนัขและจัณฑาล) ว.ิ ปกุ ฺกุโส จ ฉวฑาหโก จ ปกุ กฺ สุ ฉวฑาหกํ (ปุกกฺ ุส + ฉวฑาหก) อ.คนทิง้ ดอกไม้ (อจุ จาระ) ด้วย อ.คนเผาศพด้วย ช่อื วา่ ปกุ ฺกสุ ฉวฑาหก (คนทงิ้ ดอกไมแ้ ละ สัปเหร่อ) วิ. เวนา จ รถการา จ เวนรถการํ (เวน + รถการ) อ.ชา่ งสาน ท.ด้วย อ.ช่างหนัง ท.ด้วย ช่ือว่า เวนรถการ (ชา่ งสานและช่างหนงั ) วิ. ปุพฺพา จ อปรา จ ปุพฺพาปรํ (ปุพฺพา + อปรา) (รัสสะ) อ.ทิศตะวนั ออกดว้ ย อ.ทศิ ตะวนั ตกดว้ ย ชื่อวา่ ปุพพฺ าปร (ทศิ ตะวนั ออกและทศิ ตะวนั ตก) ว.ิ ปรุ ตถฺ มิ า จ ปจฉฺ มิ า จ ปรุ ตถฺ ิมปจฉฺ ิมํ (ปรุ ตฺถมิ า + ปจฺฉมิ า) (รสั สะ) อ.ทศิ ตะวนั ออกดว้ ย อ.ทศิ ตะวนั ตกดว้ ย ชอ่ื วา่ ปรุ ตถฺ มิ ปจฉฺ มิ (ทศิ ตะวนั ออกและทศิ ตะวนั ตก)

256 ไวยากรณบ์ าลเี บ้อื งตน้ ว.ิ ทกฺขณิ า จ อุตฺตรา จ ทกขฺ ิณตุ ตฺ รํ (ทกขฺ ณิ า + อุตตฺ รา) (รัสสะ) อ.ทิศใต้ดว้ ย อ.ทศิ เหนอื ดว้ ย ชื่อวา่ ทกขฺ ิณุตฺตร (ทิศใตแ้ ละทศิ เหนือ) วิ. อธรา จ อตุ ตฺ รา จ อธรุตฺตรํ (อธรา + อตุ ฺตรา) อ.ทิศเบอื้ งล่างด้วย อ.ทิศเบือ้ งบนดว้ ย ชอื่ ว่า อธรตุ ฺตร (ทศิ เบ้ืองลา่ งและทิศเบือ้ งบน) ตัวอย่างท่ีเป็นได้ทง้ั สมาหารทวนั ทสมาสและอติ รีตรโยคทวนั ทสมาส มีดงั นี้ วิ. อสฺสตฺถา จ กปิตฺถา จ อสฺสตฺถกปิตถฺ ,ํ อสฺสตถฺ กปติ ฺถา วา (อสฺสตถฺ + กปติ ถฺ ) อ.ต้นโพธ์ิ ท.ด้วย อ.ตน้ มะขวดิ ท.ดว้ ย ช่ือวา่ อสฺสตถฺ กปติ ฺถ (ต้นโพธ์แิ ละต้นมะขวดิ ) วิ. อชา จ เอฬกา จ อเชฬกํ, อเชฬกา วา (อช + เอฬก) อ.แพะ ท.ดว้ ย อ.แกะ ท.ด้วย ชือ่ วา่ อเชฬก (แพะและแกะ) วิ. หริ ญฺ จฺ สวุ ณณฺ จฺ หริ ฺ สวุ ณฺณ,ํ หริ ฺ สวุ ณณฺ านิ วา (หิรฺ + สวุ ณณฺ ) อ.เงินด้วย อ.ทองด้วย ช่อื วา่ หิรฺ สุวณฺณ (เงินและทอง) วิ. ชาตรูปญฺจ รชตญฺจ ชาตรปู รชตํ, ชาตรูปรชตานิ วา (ชาตรปู + รชต) อ.ทองดว้ ย อ.เงนิ ด้วย ชอ่ื วา่ ชาตรูปรชต (ทองและเงิน) วิ. มณิ จ มุตตฺ ญฺจ สงฺโข จ เวฬรุ ยิ ญจฺ มณิมุตฺตสงฺขเวฬุริย,ํ มณิมตุ ตฺ สงขฺ เวฬุริยานิ วา อ.แก้วมณีด้วย อ.มุกดาด้วย อ.สังข์ด้วย อ.แก้วไพฑูรย์ด้วย ชื่อว่า มณิมุตฺตสงฺขเวฬุริย (แกว้ มณี มกุ ดา สงั ข์ และแกว้ ไพฑรู ย)์ (มณิ + มุตฺต + สงขฺ + เวฬุรยิ ) วิ. กาสี จ โกสลา จ กาสโิ กสลํ, กาสิโกสลา วา (กาสี + โกสล) (รสั สะท่ามกลางสมาส) อ.แคว้นกาสี ท.ดว้ ย อ.แควน้ โกศล ท.ดว้ ย ช่อื ว่า กาสิโกสล (แคว้นกาสีและแควน้ โกศล) ว.ิ กสุ ลญจฺ อกุสลญฺจ กุสลากุสลํ, กสุ ลากสุ ลา วา (กุสล + อกสุ ล) อ.กุศลดว้ ย อ.อกศุ ลดว้ ย ชือ่ ว่า กสุ ลากสุ ล (กุศลและอกุศล) ว.ิ สาวชชฺ ญจฺ อนวชฺชญจฺ สาวชชฺ านวชชฺ ,ํ สาวชชฺ านวชฺชา วา (สาวชฺช + อนวชชฺ ) อ.ธรรมอันมีโทษด้วย อ.ธรรมอันไม่มีโทษด้วย ช่ือว่า สาวชฺชานวชฺช (ธรรมท่ีมีโทษและ ธรรม ที่ไม่มโี ทษ) ว.ิ หีนญฺจ ปณตี ญจฺ หนี ปฺปณีตํ, หีนปปฺ ณีตา วา (หนี + ปณตี ) อ.เลวดว้ ย อ.ประณีตด้วย ช่อื วา่ หีนปปฺ ณตี (เลวและประณตี ) วิ. กณฺหญจฺ สุกกฺ ญจฺ กณหฺ สกุ กฺ ,ํ กณฺหสุกกฺ า วา (กณหฺ + สุกฺก) อ.ด�ำดว้ ย อ.ขาวดว้ ย ชื่อว่า กณหฺ สกุ ฺก (ดำ� และขาว หรอื อกุศลและกุศล) วิ. สขุ ญฺจ ทุกฺขญฺจ สขุ ทุกขฺ ,ํ สุขทกุ ฺขานิ วา (สขุ + ทุกฺข) อ.ความสขุ ด้วย อ.ความทกุ ข์ด้วย ชื่อว่า สุขทกุ ฺข (ความสขุ และความทุกข์) ว.ิ ปฏิโฆ จ อนนุ โย จ ปฏฆิ านุนย,ํ ปฏิฆานุนยา วา (ปฏฆิ + อนุนย) อ.ความเคยี ดแคน้ ดว้ ย อ.ความยนิ ดดี ว้ ย ชอ่ื วา่ ปฏฆิ านนุ ย (ความเคยี ดแคน้ และความยนิ ด)ี

257 สมาส ว่าด้วยการยอ่ บทต้งั แตส่ องบทขึน้ ไปเขา้ ดว้ ยกัน ว.ิ ฉายา จ อาตโป จ ฉายาตป,ํ ฉายาตปา วา (ฉายา + อาตป) อ.รม่ เงาด้วย อ.แดดดว้ ย ช่อื วา่ ฉายาตป (ร่มเงาและแดด) ว.ิ อาโลโก จ อนฺธกาโร จ อาโลกนธฺ การํ, อาโลกนธฺ การา วา (อาโลก + อนฺธการ) อ.แสงสว่างดว้ ย อ.ความมดื ดว้ ย ชือ่ วา่ อาโลกนฺธการ (แสงสว่างและความมืด) วิ. รตตฺ ิ จ ทวิ า จ รตตฺ ินฺทวิ ํ, รตตฺ นิ ฺทิวา วา (รตฺติ + ทิวา) (ลงนิคหติ อาคม, แปลง อา เปน็ อ) อ.กลางคนื ดว้ ย อ.กลางวันดว้ ย ชื่อว่า รตตฺ นิ ฺทวิ (กลางคนื และกลางวนั ) ว.ิ อหญจฺ รตตฺ ิ จ อโหรตฺต,ํ อโหรตฺตา วา(อห + รตตฺ )ิ (แปลง อ เป็น โอ, แปลง อิ เปน็ อ) อ.วันด้วย อ.คืนดว้ ย ช่ือว่า อโหรตฺต (วันและคนื ) ว.ิ สุกา จ สาลกิ า จ สุกสาลิกํ, สกุ สาลิกา วา (สกุ + สาลกิ า) อ.นกแกว้ ท.ดว้ ย อ.นกสาลิกา ท.ด้วย ชื่อวา่ สกุ สาลกิ (นกแกว้ และนกสาลกิ า) ๖.๗ สมาสทอ้ ง (คพฺภสมาส) สมาสทอ้ ง คือ การย่อศพั ทห์ ลายๆ ศพั ทเ์ ข้าด้วยกัน โดยมีสมาสต้ังแต่สองสมาสข้ึนไป ยอ่ เขา้ เป็นบทเดยี วกัน โดยมสี มาสทีว่ ิเคราะห์สดุ ท้ายเปน็ ตัวหลัก และมีสมาสทีอ่ ยู่ภายใน เปน็ สมาสเช่ือม ส�ำหรับการเรียกช่ือสมาสน้ัน เรียกตามช่ือสมาสท่ีวิเคราะห์สุดท้าย แล้วเรียกช่ือสมาส ที่อยู่ภายในตั้งแต่ข้างหน้าสุดที่วิเคราะห์ก่อน ไปตามลำ� ดับ ส่วนการวิเคราะห์น้ัน ให้วิเคราะห์ สมาส ภายในสดุ ก่อน แลว้ จึงวเิ คราะหไ์ ล่เรียงไปตามล�ำดบั จนถงึ สมาสสดุ ท้าย ตัวอยา่ งท่ี ๑ : “นานาทุมปติตปุปผฺ วาสิตสาน,ุ ปพพฺ โต” อทุ าหรณว์ า่ “นานาทมุ ปตติ ปปุ ผฺ วาสติ สาน”ุ น้ีเปน็ สมาสทอ้ งโดยเปน็ ทวปิ ทตลุ ยาธกิ รณ- พหุพพหี สิ มาส มกี ัมมธารยสมาสและตปั ปุรสิ สมาสอยใู่ นทอ้ ง มวี เิ คราะหต์ ามลำ� ดบั ดงั นี้ ว.ิ นานปปฺ การา ทมุ า นานาทมุ า (นานา + ทมุ ) (วิเสสนบุพพบทกัมมธารยสมาส) อ.ตน้ ไม้ ท. อันมปี ระการต่างๆ ชือ่ วา่ นานาทุม (ต้นไมห้ ลายชนิด) วิ. นานาทเุ มหิ ปติตานิ นานาทมุ ปติตานิ, ปปุ ฺผานิ (นานาทุม + ปติต) (ปญั จมีตัปปรุ สิ สมาส) อ.ดอกไม้ ท. อันตกไปแลว้ จากตน้ ไม้ต่างๆ ท. ชอ่ื วา่ นานาทุมปติต (ตกจากต้นไมต้ ่างๆ) วิ. นานาทุมปติตานิ จ ตานิ ปุปผฺ านิ จาติ นานาทมุ ปติตปปุ ผฺ านิ (นานาทมุ ปตติ + ปุปผฺ ) อ.อันตกไปแล้วจากต้นไม้ต่างๆ ท.ด้วย อ.อันตกไปแล้วจากต้นไม้ต่างๆ ท.เหล่านั้น เป็น ดอกไม้ด้วย เพราะเหตุน้ัน ชื่อว่า นานาทุมปติตปุปฺผ (ดอกไม้อันตกจากต้นไม้ต่างๆ) (ว.ิ ป.ุ กมั .)

258 ไวยากรณบ์ าลเี บื้องต้น วิ. นานาทมุ ปติตปปุ เฺ ผหิ วาสติ า นานาทุมปตติ ปปุ ผฺ วาสิตา, สานู (นานาทุมปติตปุปฺผ + วาสิต) (ตตยิ าตปั ปรุ ิสสมาส) อ.ไหล่เขา ท. อันถูกอบแล้ว ด้วยดอกไมอ้ ันตกไปแลว้ จากตน้ ไม้ตา่ งๆ ท. ชื่อวา่ นานาทุม- ปติตปุปฺผวาสติ (ถูกอบดว้ ยดอกไมท้ ีห่ ล่นจากตน้ ไม้ต่างๆ) ว.ิ นานาทมุ ปตติ ปปุ ผฺ วาสติ า สานู ยสสฺ ปพพฺ ตสสฺ โสยํ นานาทมุ ปตติ ปปุ ผฺ วาสติ สาน,ุ ปพพฺ โต (นานาทมุ ปตติ ปุปผฺ วาสติ + สาน)ุ (ฉัฏฐีทวปิ ทตลุ ยาธิกรณพหุพพีหิสมาส) อ.ไหล่เขา ท. อันถูกอบแล้วด้วยดอกไม้อันตกไปแล้วจากต้นไม้ต่างๆ แห่งภูเขาใด มีอยู่ อ.ภเู ขาน้ัน ช่ือวา่ นานาทมุ ปติตปปุ ฺผวาสิตสาน,ุ ได้แกภ่ ูเขา (ทมี่ ีไหลเ่ ขาท่ถี ูกอบดว้ ยดอกไม้ ทห่ี ล่นจากตน้ ไม้ต่างๆ) ตัวอย่างที่ ๒ : “พฺยาลมฺพมพฺ ุธรพินทฺ ุจุมฺพติ กูโฏ, ปพพฺ โต” อทุ าหรณว์ า่ “พฺยาลมฺพมฺพธุ รพินทฺ จุ มุ พฺ ิตกโู ฏ” น้ี เปน็ ฉฏั ฐีตุลยาธิกรณพหุพพีหิสมาส โดยมกี มั มธารยสมาส และตปั ปุริสสมาสอย่ใู นท้อง มีวเิ คราะหต์ ามลำ� ดบั ดงั น้ี วิ. พยฺ าลมโฺ พ อมพฺ ธุ โร พยฺ าลมพฺ มพฺ ธุ โร (พยฺ าลมพฺ + อมพฺ ธุ ร) (วเิ สสนบพุ พบทกมั มธารยสมาส) อ.เมฆ อันยอ้ ย ช่ือว่าพยฺ าลมฺพมพฺ ธุ ร (เมฆอนั ย้อย) ว.ิ พฺยาลมฺพมฺพุธรสฺส พินฺทูนิ พฺยาลมฺพมฺพุธรพินฺทูนิ (พฺยาลมฺพมฺพุธร + พินฺทุ) (ฉัฏฐี- ตปั ปุรสิ สมาส) อ.หยาดน้ำ� ท. แหง่ เมฆอนั ยอ้ ย ชื่อวา่ พฺยาลมฺพมพฺ ุธรพินทฺ ุ (หยาดนำ�้ แหง่ เมฆที่ยอ้ ย) ว.ิ พยฺ าลมพฺ มพฺ ธุ รพนิ ทฺ หู ิ จมุ พฺ โิ ต พยฺ าลมพฺ มพฺ ธุ รพนิ ทฺ จุ มุ พฺ โิ ต, กโู ฏ (พยฺ าลมพฺ มพฺ ธุ รพนิ ทฺ ุ + จุมพฺ ิต) (ตติยาตัปปุรสิ สมาส) อ.ยอด อนั หยาดนำ้� แหง่ เมฆอนั ยอ้ ย ท. จบู แลว้ ชอ่ื วา่ พยฺ าลมพฺ มพฺ ธุ รพนิ ทฺ จุ มุ พฺ ติ (ถกู หยาดน้�ำ แหง่ เมฆทยี่ อ้ ยจูบแลว้ ) ว.ิ พยฺ าลมฺพมพฺ ธุ รพนิ ทฺ ุจุมพฺ ิโต กโู ฏ ยสสฺ โสยํ พฺยาลมฺพมฺพธุ รพินทฺ ุจมุ พฺ ิตกโู ฏ, ปพพฺ โต (พยฺ าลมพฺ มพฺ ุธรพนิ ฺทุจมุ พฺ ติ + กูฏ) (ฉฏั ฐตี ลุ ยาธิกรณพหพุ พหี สิ มาส) อ.ยอด อันหยาดน�้ำแห่งเมฆอันย้อยจูบแล้ว แห่งภูเขาใด มีอยู่ อ.ภูเขานั้น ช่ือว่า พยฺ าลมพฺ มฺพุธรพนิ ทฺ ุจุมพฺ ิตกูฏ, ได้แกภ่ ูเขา (ท่มี ียอดเขาอนั หยาดนำ้� แห่งเมฆทย่ี ้อยจูบแลว้ )

บทที่ ๗ ตทั ธิต ว่าด้วยการยอ่ บทกับปัจจยั เขา้ ด้วยกัน ความหมายของตัทธิต ตัทธิต คือปจั จยั หมหู่ น่ึงทใี่ ชป้ ระกอบหลงั นามบท เพ่ือแทนศัพท์ทถ่ี ูกลบไป (Nominal derivation) มวี เิ คราะหว์ า่ “ตสมฺ า ตวิ ธิ ลงิ คฺ โต ปรํ หตุ วฺ า หติ า สหติ าติ ตทธฺ ติ า, ณาทปิ จจฺ ยา” (ต + หิต) ปัจจัยทั้งหลายมี ณ เป็นต้น เป็นเบื้องหลังจากลิงค์ท้ังสามนั้น เป็นไปด้วยกัน เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า ตัทธิต หรือวิเคราะห์ว่า “เตสํ นามิกานํ หิตา อุปการา ตทฺธิตา” ปจั จยั ท้งั หลายอนั เกือ้ หนุน แกบ่ ททัง้ หลายอันประกอบดว้ ยนามวภิ ัตติเหล่านั้น ช่ือวา่ ตทั ธติ ฉะน้ัน ตัทธิตน้ี จึงได้แก่ศัพท์นามใหม่ที่เกิดจากการผสมค�ำนามกับปัจจัยเข้าด้วยกัน การเรียกช่ือตัทธิตต่างๆ เรียกตามศัพท์ท่ีถูกลบไป ดังมีค�ำกล่าวที่ว่า “หมูตาย หมูตัทธิต, หมาตาย หมาตัทธิต” เช่นในตัวอย่างว่า “วาสิฏฺโ” แปลว่า เหล่ากอของนายวสิฏฐะ มาจาก “ วสิฏฺ + ณ ปัจจัย” มีรูปวิเคราะห์ว่า “วสิฏฺสฺส อปจฺจํ วาสิฏฺโ” ในท่ีนี้ ลง ณ ปัจจัยมาแทน “อปจฺจ”ศัพทท์ ่ถี ูกลบไป ดังนั้นจึงเรยี กตทั ธติ นว้ี ่า “อปจั จตัทธติ ” เป็นตน้ ความหมายของค�ำว่า “ปัจจยั ” ค�ำว่า “ปจั จัย” หมายความวา่ เป็นแดนให้ทราบเนือ้ ความของบทท่ีถูกลบไป หรือเปน็ เหตุ ให้ทราบเนื้อความของบทที่ถูกลบไป มีวิเคราะห์ว่า “ปฏิจฺจ เอตสฺมา อตฺโถ เอตีติ ปจฺจโย (ปติ + อิ คติมฺหิ ในการไป + อ) แปลว่า อ.เนื้อความ (มีอปัจจะเป็นต้น) อาศัยแล้วจาก ณ เปน็ ตน้ น้ี ย่อมเป็นไป เพราะเหตนุ น้ั อ.ณ เป็นต้นนี้ ชื่อวา่ ปจั จยั หรอื วิเคราะหว์ ่า “ปตียนฺติ อเนน อตฺถาติ ปจฺจโย แปลว่า อ.เนือ้ ความ ท. (มีอปัจจะเป็นตน้ ) ยอ่ มถูกรู้ ดว้ ย ณ เปน็ ต้นนี้ เพราะเหตุนั้น อ.ณ เป็นต้นนี้ ช่ือว่า ปัจจัย อนุพนั ธ์ (ตทั ธิตอนพุ นั ธ)์ อนุพันธ์ คืออักษรที่จะต้องถูกลบไปแน่นอน ไม่มีการประกอบใช้ในบาลี ดังมีค�ำกล่าว ที่ว่า “อปฺปโยคี อนุพนฺโธ” และเม่ือลบไปแล้วมีผลท�ำให้มีการวุทธิ (พฤทธิ์) สระหน้าในกรณี ที่ไม่มีสังโยคเป็นที่สุด ในตัทธิตมีตัวเดียว คือ ณฺ อนุพันธ์ มีปัจจัย ๑๐ ตัว ได้แก่ ณ, ณายน, ณาน, เณยยฺ , ณ,ิ ณิก, ณยฺ , ณว, เณร และ กณฺ ปัจจยั

260 ไวยากรณ์บาลเี บอื้ งตน้ ประเภทของนามศพั ท์และนิบาตที่น�ำมาท�ำเปน็ ตัทธิต ๑. สุทธนาม+ปจั จยั เช่น สมณสสฺ อปจฺจํ สามเณโร (สมณ + เณร) (อปัจจตัทธิต) เหลา่ กอ แห่งพระสมณะ ชือ่ ว่า สามเณร (สามเณร) ๒. คุณนาม+ปัจจัย เชน่ สพฺเพสํ วิเสเสน วโรติ วรตโร (วร + ตร) (วิเสสตทั ธิต) ผู้ประเสริฐ โดยยิ่ง กว่าชนทั้งหลาย ทั้งปวง เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า วรตร (ผ้ปู ระเสรฐิ กวา่ ) ๓. สพั พนาม+ปัจจยั เช่น เตน ปกาเรน ตถา (ต + ถา) (อพั ยยตทั ธติ ) โดยประการนัน้ ชื่อว่า ตถา (โดยประการน้นั ) ๔. สมาสนาม+ปจั จัย เช่น สุนฺทโร มโน ยสสฺ าติ สมุ โน (สุ + มน) (พหุพพหี ิสมาส) ใจ อันดี ของบคุ คลใด มอี ยู่ เพราะเหตุนน้ั บุคคลน้ัน ชื่อว่า สุมน (ผู้มใี จด)ี สมุ นสฺส ภาโว โสมนสฺสํ (สมุ น + ณยฺ ) (ภาวตัทธิต) ความเป็น แห่งผู้มีใจดี ชอ่ื วา่ โสมนสฺส (ความเป็นแห่งผ้มู ใี จดี) ๕. ตทั ธิตนาม+ปจั จยั เช่น เมธา อสฺส อตถฺ ตี ิ เมธาวี (เมธา + วี) (อสั สตั ถติ ัทธติ ) ปญั ญา ของบคุ คลนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ เมธาวี (ผมู้ ปี ญั ญา) วเิ สเสน เมธาวีติ เมธิโย (เมธาวี + อิย) (วเิ สสตัทธติ ) ผมู้ ีปญั ญา โดยพิเศษ เพราะเหตนุ ัน้ ชือ่ ว่าเมธยิ (ผมู้ ปี ัญญากวา่ ) ๖. นิบาต+ปจั จัย เช่น ปจฺฉา ชาโต ปจฺฉโิ ม (ปจฺฉา + อิม) (สงั สฏั าทอิ เนกตั ถตัทธิต) อ.ผู้เกิดแลว้ ในภายหลงั ชอื่ ว่า ปจฺฉมิ (ผเู้ กิดในภายหลัง) ตทั ธติ วา่ โดยประเภทใหญๆ่ มี ๓ ประเภท คือ (๑) สามญั ญวุตตติ ัทธติ คือตทั ธติ ทวั่ ๆ ไป แบง่ ออกเป็น ๕ ประการ คือ ๑.๑ อปัจจตัทธิต ตัทธิตที่เกี่ยวข้องกับโคตร ตระกูล เหล่ากอ บุตร มีปัจจัย ๙ ตวั คอื ณ, ณายน, ณาน, เณยฺย, ณิ, ณกิ , ณยฺ , ณว และ เณร ปจั จัย ๑.๒ สังสัฏฐาทิอเนกัตถตัทธิต ตัทธิตท่ีมีอรรถสังสัฏฐะ (ระคน) เป็นต้น มีปจั จยั ๑๘ ตัว คือ ณกิ , ณ, เณยฺย, อมิ , อยิ , อกิ , กิย, ย, ณยฺ , กณฺ, ตา, อายติ ตตฺ , ล, อาล,ุ ก, ตตฺ ก, วนตฺ ุ และ มย ปจั จยั ๑.๓ วเิ สสตทั ธติ ตทั ธติ ทลี่ งหลงั คณุ ศพั ท์ รปู สำ� เรจ็ ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ คณุ ศพั ทช์ นั้ วเิ ศษ และ อติวเิ ศษ มปี จั จัย ๕ ตัว คือ ตร, ตม, อสิ กิ , อยิ และ อฏิ ฺ ปัจจัย

261 ตทั ธิต วา่ ด้วยการยอ่ บทกบั ปัจจยั เขา้ ดว้ ยกนั ๑.๔ อัสสัตถิตัทธิต ตัทธิตที่มี “อสฺส+อตฺถิ” หรือเรียกว่า “ตทัสสัตถิตัทธิต” มปี จั จัย ๑๒ ตัว คือ ว,ี โส, อิล, ว, อาล, สี, อกิ , อี, ร, วนตฺ ,ุ มนตฺ ุ และ ณ ปัจจยั ๑.๕ สงั ขยาตทั ธิต ปัจจัยที่ลงในอรรถสังขยาตทั ธิตมี ๖ ตวั โดยเปน็ ปรู ณสังขยา มีปจั จัย ๕ ตัว คือ ม, ถ, , ตยิ และ อี ปจั จยั แปลว่า “ท่.ี ..” และทเี่ ป็นอเนกตั ถสังขยามปี จั จัย ๑ ตัว คอื ก ปจั จยั ๒) ภาวตทั ธิต คอื ตทั ธติ ท่ีมี “ภาว”ศัพท์ แปลว่า “ความม,ี ความเปน็ ” จะต้องสมั พนั ธ์ กับบทที่มีฉัฏฐีวิภัตติเป็นท่ีสุดเสมอ ในภาวตัทธิตน้ี มีปัจจัย ๗ ตัว คือ ณฺย, ตฺต, ตา, ตฺตน, เณยยฺ , ณ และ กณฺ ปจั จัย (๓) อัพยยตัทธิต ปัจจัยที่ลงท้ายค�ำนามก็มี ท้ายสังขยาก็มี รูปส�ำเร็จจะเป็น อัพยยศพั ท์ (นบิ าต) ทง้ั หมด จึงเรยี กตทั ธิตนีว้ ่า อัพยยตัทธติ มีปัจจยั ๑๐ ตัว คือ กฺขตฺตุํ, ธา, ชฺฌํ, โส, ถา, ถตฺตา, ถํ, ชฺช, ชฺชุ และ ตน ปจั จัย ๗.๑ อปจั จตทั ธิต อปัจจตัทธิต คือตัทธิตที่เกี่ยวข้องกับโคตร ตระกูล เหล่ากอ บุตร มีวิเคราะห์ว่า “น ปตติ น ฉิชฺชติ วํโส เอเตนาติ อปจฺจํ” ชื่อว่า อปัจจะ เพราะเป็นเคร่ืองไม่ขาดสูญแห่ง วงศ์ตระกลู ในอปจั จตทั ธติ น้ี มปี จั จยั ๙ ตวั คือ ณ, ณายน, ณาน, เณยยฺ , ณิ, ณิก, ณฺย, ณว และ เณร ปจั จัย รปู สำ� เรจ็ เป็นนามนาม วิ. วสิฏฺสสฺ อปจจฺ ํ วาสฏิ โฺ  (วสิฏฺ + ณ) อ.เหล่ากอ ของนายวสฏิ ฐะ ชอ่ื วา่ วาสิฏฺ (เหล่ากอของวสิฏฐะ) วิ. กจฺจสฺส ปตุ โฺ ต กจจฺ ายโน, กจฺจาโน (กจจฺ + ณายน, ณาน) อ.บุตร ของกัจจะ ชอ่ื วา่ กจฺจายน, กจจฺ าน (บุตรของกจั จะ) วิ. ภคนิ ิยา ปุตฺโต ภาคเิ นยฺโย (ภคินิ + เณยยฺ ) อ.บตุ ร ของพีส่ าว/นอ้ งสาว ช่อื ว่า ภาคิเนยฺย (บตุ รของพส่ี าว/นอ้ งสาว, หลาน) วิ. สทุ โฺ ธทนสฺส อปจฺจํ สุทฺโธทนิ (สุทโฺ ธทน + ณิ) อ.พระราชโอรส ของพระเจ้าสทุ โธทนะ ช่ือวา่ สทุ ฺโธทนิ (พระราชโอรสของพระเจ้าสทุ โธทนะ, พระนามของพระพุทธเจา้ โคดม) ว.ิ สกยฺ ปตุ ฺตสฺส ปุตฺโต สกฺยปตุ ฺตโิ ก, สกฺยปุตฺติโย (สกฺยปตุ ฺต + ณิก) (ลง ณกิ ปจั จยั ) อ.ลูก ของศากยบตุ ร ชอ่ื ว่า สกยฺ ปุตฺติก, สกฺยปตุ ตฺ ิย (ลกู ของศากยบุตร) (แปลง ก เปน็ ย) วิ. อทิตยิ า ปุตฺโต อาทิจฺโจ (อทิติ + ณฺย) (วุทธิ อ เป็น อา) อ.ลูก ของอทติ ิเทพธิดา ช่ือวา่ อาทิจฺจ (ลกู ของอทิตเิ ทพธิดา, พระอาทติ ย์)

262 ไวยากรณ์บาลเี บอื้ งตน้ วิ. อุปคุสสฺ อปจจฺ ํ โอปคโว (อุปคุ + ณว) อ.เหล่ากอ ของอุปคุ ชือ่ วา่ โอปคว (เหลา่ กอของอุปค)ุ วิ. สมณสฺส อปจฺจํ สามเณโร (สมณ + เณร) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.เหล่ากอ ของพระสมณะ ช่อื ว่า สามเณร (เหล่ากอของพระสมณะ, สามเณร) ๗.๒ สงั สฏั ฐาทอิ เนกตั ถตทั ธิต สังสัฏฐาทิอเนกัตถตัทธิต คือตัทธิตท่ีมีอรรถมากมีอรรถสังสัฏฐะ (ระคน) เป็นต้น มีปัจจัย ๑๘ ตัว คอื ณิก, ณ, เณยฺย, อิม, อิย, อกิ , กิย, ย, ณยฺ , กณ,ฺ ตา, อายิตตตฺ , ล, อาลุ, ก, ตฺตก, วนฺตุ และ มย ปจั จยั รูปส�ำเร็จเปน็ นามนามกม็ ี เป็นคณุ นามก็มี วิ. ติเลน สสํ ฏฺ ํ เตลิกํ, โภชนํ (ติล + ณกิ ) (วุทธิ อิ เป็น เอ) ระคนแล้ว ดว้ ยงา ชอื่ ว่า เตลกิ , ไดแ้ กอ่ าหาร (ผสมดว้ ยงา) วิ. นาวาย ตรตีติ นาวโิ ก (นาวา + ณกิ ) ยอ่ มขา้ ม ดว้ ยเรือ เพราะเหตนุ น้ั ช่ือว่า นาวิก (ผขู้ ้ามดว้ ยเรอื ) วิ. สกเฏน จรตตี ิ สากฏิโก (สกฏ + ณกิ ) (วุทธิ อ เป็น อา) ย่อมเท่ียวไป ด้วยเกวยี น เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า สากฏกิ (ผเู้ ทย่ี วไปด้วยเกวียน) วิ. ธมฺเมน จรติ ปวตฺตตตี ิ ธมฺมิโก (ธมมฺ + ณกิ ) ย่อมเปน็ ไป ด้วยธรรม เพราะเหตุนนั้ ชอื่ วา่ ธมฺมิก (ผู้เปน็ ไปด้วยธรรม) วิ. วินยมธเี ตติ เวนยโิ ก (วินย + ณิก) (วทุ ธิ อิ เป็น เอ) ย่อมสวด ซึง่ พระวนิ ัย เพราะเหตุนน้ั ชอ่ื ว่า เวนยกิ (ผ้สู วดพระวนิ ยั , ผู้ชำ� นาญพระวนิ ัย) วิ. วนิ ยํ อเวจฺจาธีเตติ เวนยิโก (วนิ ย + ณกิ ) (วทุ ธิ อิ เป็น เอ) พจิ ารณาแล้ว ซง่ึ พระวินยั ยอ่ มสวด เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื วา่ เวนยกิ (ผู้สวดพระวินยั , ผู้ชำ� นาญ พระวินัย) ว.ิ สตุ ตฺ นฺตํ อธเี ตติ สตุ ตฺ นฺตโิ ก (สตุ ฺตนตฺ + ณกิ ) ย่อมสวด ซึง่ พระสูตร เพราะเหตุนัน้ ชอ่ื วา่ สุตตฺ นตฺ ิก (ผสู้ วดพระสตู ร, ผู้ช�ำนาญพระสูตร) วิ. สตุ ตฺ นตฺ ํ อเวจจฺ าธเี ตติ สตุ ตฺ นฺติโก (สุตฺตนตฺ + ณกิ ) พจิ ารณาแลว้ ซงึ่ พระสตู ร ยอ่ มสวด เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ สตุ ตฺ นตฺ กิ (ผสู้ วดพระสตู ร, ผชู้ �ำนาญ พระสตู ร) วิ. อภิธมมฺ ํ อธีเตติ อาภิธมมฺ ิโก (อภิธมมฺ + ณกิ ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) ยอ่ มสวด ซึง่ พระอภธิ รรม เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า อาภธิ มฺมกิ (ผูส้ วดพระอภธิ รรม, ผ้ชู ำ� นาญ พระอภิธรรม)

263 ตทั ธติ วา่ ด้วยการยอ่ บทกับปจั จยั เข้าดว้ ยกนั วิ. อภิธมฺมํ อเวจฺจาธีเตติ อาภิธมมฺ โิ ก (อภิธมฺม + ณกิ ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) พจิ ารณาแลว้ ซง่ึ พระอภธิ รรม ยอ่ มสวด เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ อาภธิ มมฺ กิ (ผสู้ วดพระอภธิ รรม, ผูช้ ำ� นาญพระอภิธรรม) วิ. กาเยน กโต ปโยโค กายโิ ก (กาย + ณิก) อ.ความพยายาม อันบุคคลกระท�ำแลว้ ด้วยกาย ชอื่ ว่า กายกิ (ผ้พู ยายามทางกาย) ว.ิ กาเยน กตํ กมมฺ ํ กายิกํ (กาย + ณิก) อ.กรรม อันบุคคลกระทำ� แล้ว ด้วยกาย ช่ือวา่ กายิก (กรรมทท่ี ำ� ทางกาย, กายกรรม) ว.ิ วจสา กตํ กมฺมํ วาจสิกํ (วจ + ณกิ ) (วทุ ธิ อ เปน็ อา, ลง สฺ อาคม) อ.กรรม อนั บคุ คลกระท�ำแลว้ ด้วยวาจา ช่อื ว่า วาจสกิ (กรรมทท่ี �ำทางวาจา, วจีกรรม) ว.ิ มนสา กตํ กมมฺ ํ มานสกิ ํ (มน + ณิก) (วทุ ธิ อ เปน็ อา, ลง สฺ อาคม) อ.กรรม อนั บุคคลกระท�ำแล้ว ด้วยใจ ชอื่ วา่ มานสิก (กรรมที่ท�ำทางใจ, มโนกรรม) วิ. สรีเร สนนฺ ิธานา เวทนา สารรี ิกา (สรรี + ณกิ + อา) (สนนฺ ธิ านตฺถ = อรรถนับเนอื่ ง) อ.เวทนา อันนับเนือ่ ง ในสรรี ะ ชอ่ื วา่ สารีรกิ า, ได้แก่เวทนา (อันนบั เนื่องในสรรี ะ) ว.ิ สรเี ร สนนฺ ธิ านํ ทุกขฺ ํ สารรี กิ ํ (สรรี + ณิก) (วทุ ธิ อ เป็น อา) อ.ทกุ ข์ อันนับเน่ือง ในสรีระ ช่อื ว่า สารรี ิก, ได้แก่ทุกข์ (อนั นับเนื่องในรา่ งกาย) วิ. มนสิ สนนฺ ธิ านา เวทนา มานสกิ า (มน + ณิก + อา) (วทุ ธิ อ เปน็ อา, ลง สฺ อาคม) อ.เวทนา อนั นบั เนอื่ ง ในใจ ชอื่ วา่ มานสกิ า, ไดแ้ กเ่ วทนา (อันนบั เนือ่ งในใจ) วิ. มนสิ สนนฺ ธิ านํ ทกุ ขฺ ํ มานสกิ ํ (มน + ณกิ ) (วทุ ธิ อ เปน็ อา, ลง สฺ อาคม) อ.ทกุ ข์ อันนบั เนอื่ ง ในใจ ชื่อวา่ มานสกิ , ได้แก่ทกุ ข์ (อนั นับเน่ืองในใจ) ว.ิ ทวฺ าเร นยิ ตุ โฺ ต โทวาริโก (ทฺวาร + ณกิ ) (ลง โออาคม) (นิยตุ ฺตตฺถ = อรรถประกอบ) ประกอบแลว้ ท่ปี ระตู ชือ่ วา่ โทวาริก (ผเู้ ฝ้าประต)ู ว.ิ ภณฑฺ าคาเร นิยตุ โฺ ต ภณฑฺ าคารโิ ก (ภณฑฺ าคาร + ณิก) ประกอบแล้ว ในเรือนคลัง ชอ่ื วา่ ภณฺฑาคาริก (ผ้เู ฝา้ เรอื นคลงั , ขุนคลงั ) วิ. นคเร นยิ ตุ โฺ ต นาครโิ ก (นคร + ณิก) (วุทธิ อ เป็น อา) ประกอบแล้ว ในเมือง ชือ่ ว่า นาครกิ (ผรู้ ักษานคร) ว.ิ อาทกิ มฺเม นิยุตฺโต อาทิกมฺมโิ ก (อาทกิ มมฺ + ณกิ ) ประกอบแลว้ ในกรรมเบอ้ื งแรก ช่อื ว่า อาทกิ มมฺ ิก (ผทู้ �ำกรรมเบ้อื งแรก) วิ. เจตสิ นิยตุ ฺตา เจตสกิ า (เจต + ณกิ ) (ลง สฺ อาคม) ประกอบแล้ว ในใจ ชอ่ื วา่ เจตสกิ (ประกอบในใจ) วิ. วีณา อสสฺ สิปปฺ นตฺ ิ เวณโิ ก (วณี า + ณิก) (วทุ ธิ อี เป็น เอ) (สิปฺปตถฺ = อรรถศิลปะ) อ.การดีดพิณ เป็นศิลปะ ของบุคคลน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ช่ือว่า เวณิก (ผู้มีการดีดพิณ เป็นศิลปะ)

264 ไวยากรณ์บาลีเบอ้ื งตน้ ว.ิ เตลํ อสฺส ภณฑฺ นตฺ ิ เตลโิ ก (เตล + ณิก) (ภณฑฺ ตฺถ = อรรถสินค้า) อ.น้�ำมัน เปน็ สินค้า ของบุคคลนน้ั มีอยู่ เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อวา่ เตลิก (ผู้มนี ้�ำมนั เปน็ สินคา้ ) ว.ิ อรุ พภฺ ํ หนตฺ วฺ า ชวี ตตี ิ โอรพภฺ โิ ก (อรุ พภฺ + ณกิ ) (วทุ ธิ อุ เปน็ โอ) (ชวี กิ ตถฺ = อรรถคอื อาชพี ) ฆ่าแลว้ ซ่งึ แกะ ย่อมเลย้ี งชพี เพราะเหตนุ ัน้ ช่ือว่า โอรพภฺ กิ (ผ้ฆู ่าแกะเลย้ี งชีพ) วิ. มคํ หนฺตวฺ า ชวี ตตี ิ มาควิโก (มค + ณิก) (วุทธิ อ เปน็ อา, ลง วอฺ าคม) ฆ่าแลว้ ซงึ่ เนอื้ ย่อมเล้ียงชีพ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ มาควกิ (ผ้ฆู า่ เน้อื เลย้ี งชีพ) วิ. สกู รํ หนฺตฺวา ชวี ตีติ สูกริโก (สกู ร + ณกิ ) ฆา่ แลว้ ซง่ึ สกุ ร ย่อมเล้ยี งชพี เพราะเหตนุ นั้ ชื่อวา่ สูกรกิ (ผู้ฆ่าสกุ รเล้ียงชพี ) วิ. สกุณํ หนตฺ ฺวา ชวี ตีติ สากณุ โิ ก (สกุณ + ณกิ ) (วุทธิ อ เปน็ อา) ฆา่ แลว้ ซึ่งนก ย่อมเล้ยี งชีพ เพราะเหตุน้ัน ชื่อวา่ สากณุ กิ (ผฆู้ า่ นกเลยี้ งชีพ, พรานนก) ว.ิ มจฉฺ ํ หนตฺ วฺ า ชวี ตตี ิ มจฉฺ โิ ก (มจฺฉ + ณิก) ฆ่าแล้ว ซึง่ ปลา ยอ่ มเลย้ี งชพี เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื วา่ มจฉฺ ิก (ผ้ฆู ่าปลาเลย้ี งชพี ) วิ. ชาเลน หนตีติ ชาลโิ ก (ชาล + ณิก) ย่อมฆา่ ดว้ ยตาข่าย เพราะเหตนุ นั้ ชื่อว่า ชาลิก (ผ้ฆู า่ ดว้ ยตาขา่ ย) วิ. พฬิเสน หนตีติ พาฬสิ ิโก (พฬสิ + ณิก) (วทุ ธิ อ เปน็ อา) ย่อมฆ่า ดว้ ยเบด็ เพราะเหตุน้นั ชือ่ วา่ พาฬสิ ิก (ผู้ฆ่าดว้ ยเบด็ , พรานเบ็ด) วิ. จาโป อสฺส อาวโุ ธติ จาปโิ ก (จาป + ณกิ ) อ.ธนู เปน็ อาวธุ ของบคุ คลน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั ช่อื ว่า จาปกิ (ผมู้ ธี นเู ป็นอาวธุ ) ว.ิ เสมฺโห อสสฺ อาพาโธติ เสมหฺ โิ ก (เสมหฺ + ณกิ ) อ.เสลด เปน็ อาพาธ ของบคุ คลนน้ั มีอยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชื่อว่า เสมหฺ กิ (ผูม้ ีโรคเสลด) ว.ิ พุทเฺ ธ ปสนฺโน พุทฺธโิ ก (พุทธฺ + ณิก) เล่อื มใสแลว้ ในพระพุทธเจา้ ช่อื ว่า พุทธฺ กิ (ผเู้ ล่อื มใสในพระพทุ ธเจ้า) วิ. ธมฺเม ปสนฺโน ธมมฺ โิ ก (ธมฺม + ณกิ ) เล่ือมใสแลว้ ในพระธรรม ช่ือว่า ธมมฺ กิ (ผูเ้ ลอ่ื มใสในพระธรรม) ว.ิ สํเฆ ปสนฺโน สฆํ โิ ก (สฆํ + ณิก) เลื่อมใสแลว้ ในพระสงฆ์ ชือ่ ว่า สฆํ ิก (ผเู้ ล่ือมใสในพระสงฆ)์ วิ. พทุ ฺธสฺส สนตฺ โก พทุ ฺธโิ ก (พทุ ธฺ + ณกิ ) อ.สมบตั ิ ของพระพทุ ธเจา้ ชอ่ื วา่ พทุ ฺธิก (สมบัติของพระพทุ ธเจา้ ) วิ. ธมฺมสฺส สนตฺ โก ธมมฺ โิ ก (ธมมฺ + ณกิ ) อ.สมบัติ ของพระธรรม ชือ่ ว่า ธมมฺ กิ (สมบตั ขิ องพระธรรม) ว.ิ สํฆสฺส สนตฺ โก สฆํ ิโก วิหาโร, สํฆิกา ภมู ิ, สํฆกิ ํ จีวรํ (สํฆ + ณกิ ) อ.สมบัติ ของพระสงฆ์ ช่อื ว่า สฆํ ิก (สมบตั ิของพระสงฆ์)

265 ตัทธิต วา่ ดว้ ยการยอ่ บทกบั ปัจจยั เข้าด้วยกัน วิ. ปคุ ฺคลสสฺ สนตฺ กํ ปุคฺคลกิ ,ํ จวี รํ (ปุคฺคล + ณิก) อ.จวี ร อนั เปน็ สมบตั ิ ของบุคคล ช่อื วา่ ปคุ คฺ ลกิ (อันเป็นสมบัตขิ องบคุ คล) วิ. สนฺทิฏฺมรหตีติ สนทฺ ฏิ ฺ โิ ก (สนฺทิฏฺ + ณกิ ) ย่อมควร ซึ่งการเหน็ เอง เพราะเหตุน้ัน ช่อื ว่า สนทฺ ิฏฐฺ กิ (อนั ควรซ่งึ การเห็นเอง) วิ. “เอหิ ปสสฺ า”ติ อิมํ วิธึ อรหตีติ เอหิปสสฺ ิโก (เอหปิ สสฺ + ณกิ ) ย่อมควร ซ่ึงวิธีน้ีว่า อ.ท่าน จงมา จงดู ดังนี้ เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า เอหิปสฺสิก (อันควรซึ่ง วิธีวา่ จงมาและจงด)ู ว.ิ ปสํ กุ ลู ธารณํ ปํสกุ ลู ํ, ตํ สีลมสฺสาติ ปํสุกลู โิ ก, ภกิ ขฺ ุ (ปสํ กุ ลู + ณิก) (สีลตฺถ = อรรถปกต)ิ อ.การทรงไวซ้ ง่ึ ผา้ บงั สกุ ลุ ชอื่ วา่ ปสํ กุ ลู , อ.การทรงไวซ้ งึ่ ผา้ บงั สกุ ลุ นน้ั เปน็ ปกติ ของภกิ ษนุ นั้ มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน ชือ่ ว่า ปสํ กุ ลู กิ , ได้แก่ภิกษุ (ผู้มีการทรงไว้ซง่ึ ผา้ บังสกุ ลุ เปน็ ปกติ) วิ. ติจีวรํ สลี มสสฺ าติ เตจีวรโิ ก, ภกิ ขฺ ุ (ติจีวร + ณิก) (วุทธิ อิ เปน็ เอ) อ.การทรงไวซ้ ง่ึ ผา้ ไตรจวี ร เปน็ ปกติ ของภกิ ษนุ ั้น มีอยู่ เพราะเหตนุ ้ัน ชื่อว่า เตจีวริก, ได้แก่ ภกิ ษุ (ผูม้ กี ารทรงไวซ้ ่ึงผา้ ไตรจวี รเปน็ ปกต)ิ วิ. เอกาสเน โภชนสีโล เอกาสนโิ ก, ภกิ ฺขุ (เอกาสน + ณิก) อ.ผู้มีการฉัน-บนอาสนะเดียว-เป็นปกติ ชื่อว่า เอกาสนิก, ได้แก่ภิกษุ (ผู้มีการฉันบน อาสนะเดยี ว เป็นปกต,ิ ผฉู้ นั มอ้ื เดยี ว) ว.ิ รุกฺขมเู ล วสนสโี ล รุกฺขมลู ิโก, ภกิ ฺขุ (รกุ ฺขมูล + ณกิ ) อ.ผมู้ ีการอย่-ู ทีโ่ คนแหง่ ตน้ ไม-้ เป็นปกติ ชือ่ วา่ รกุ ฺขมูลกิ , ได้แก่ภิกษุ (ผู้มีการอยู่ท่โี คนตน้ ไม้ เปน็ ปกต)ิ วิ. อรญฺเ วสนสีโล อารฺโิ ก, ภิกขฺ ุ (อรฺ + ณิก) (วุทธิ อ เป็น อา) อ.ผมู้ ีการอยู-่ ในปา่ -เป็นปกติ ชือ่ ว่า อารฺ กิ , ไดแ้ กภ่ กิ ษุ (ผมู้ กี ารอยูใ่ นป่าเป็นปกติ) วิ. สุสาเน วสนสโี ล โสสานโิ ก, ภิกขฺ ุ (สสุ าน + ณกิ ) (วทุ ธิ อุ เปน็ โอ) อ.ผู้มีการอยู่-ในปา่ ช้า-เป็นปกติ ชอ่ื ว่า โสสานิก, ได้แกภ่ ิกษุ (ผมู้ กี ารอย่ใู นปา่ ชา้ เปน็ ปกติ) ว.ิ อปาเย ชาโต อาปายิโก (อปาย + ณิก) (วทุ ธิ อ เป็น อา) (ชาตตถฺ = อรรถคอื เกดิ ) ผเู้ กิดแลว้ ในอบายภมู ิ ชอื่ ว่า อาปายกิ (ผู้เกดิ ในอบายภูมิ) วิ. นิรเย ชาโต เนรยโิ ก (นริ ย + ณิก) (วทุ ธิ อิ เปน็ เอ) ผ้เู กิดแลว้ ในนรก ชือ่ ว่า เนรยิก (ผู้เกดิ ในนรก, สัตว์นรก) ว.ิ ราชคเห ชาโต ราชคหิโก, ชโน (ราชคห + ณิก) อ.ชน ผเู้ กิดแลว้ ในเมอื งราชคฤห์ ชอื่ ว่า ราชคหกิ (ผู้เกิดในเมืองราชคฤห์) ว.ิ ราชคเห วสตตี ิ ราชคหโิ ก, ชโน (ราชคห + ณกิ ) อ.ชน ยอ่ มอยู่ ในเมอื งราชคฤห์ เพราะเหตุน้นั ชอ่ื วา่ ราชคหิก (ผ้อู ยู่ในเมืองราชคฤห์)

266 ไวยากรณบ์ าลีเบอื้ งตน้ ว.ิ มคเธสุ ชาโต มาคธิโก, มาคธกิ า, มาคธิกํ (มคธ + ณกิ ) (วทุ ธิ อ เปน็ อา) ผูเ้ กิดแล้ว ในแควน้ มคธ ท. ชอื่ วา่ มาคธกิ , มาคธกิ า, มาคธกิ (ผู้เกิดในแควน้ มคธ) ว.ิ มคเธสุ วสตตี ิ มาคธิโก, มาคธกิ า, มาคธิกํ (มคธ + ณิก) (วุทธิ อ เปน็ อา) ยอ่ มอยู่ ในแคว้นมคธ ท. เพราะเหตุนน้ั ชื่อวา่ มาคธกิ , มาคธกิ า, มาคธิก (ผู้อยู่ในแควน้ มคธ) ว.ิ โลเก วทิ ิโต โลกิโก (โลก + ณกิ ) ผู้ปรากฏแล้ว ในโลก ชือ่ ว่า โลกิก (ผปู้ รากฏในโลก) ว.ิ โลกาย สํวตตฺ ตตี ิปิ โลกิโก (โลก + ณิก) ย่อมเปน็ ไป เพ่อื โลก แม้เพราะเหตนุ น้ั ชือ่ ว่า โลกิก (ผู้เปน็ ไปเพอื่ โลก) วิ. อสงขฺ าโรเยว อสงขฺ ารกิ ํ (อสงขฺ าร + ณิก) (สกตฺถ = อรรถของตัวเอง, มคี วามหมายเทา่ เดิม) อ.อสงั ขารนั่นเทียว ชื่อวา่ อสงฺขาริก (อสงั ขาริก) วิ. สสงฺขาโรเยว สสงฺขารกิ ํ (สสงฺขาร + ณิก) อ.สสงั ขารนัน่ เทยี ว ชื่อวา่ สสงขฺ ารกิ (สสังขาริก) วิ. นามเมว นามกิ ํ (นาม + ณิก) อ.ชอ่ื นัน่ เทียว ชอื่ วา่ นามิก (ชือ่ , นาม) ว.ิ อาขยฺ าตเมว อาขยฺ าติกํ (อาขยฺ าต + ณกิ ) อ.อาขยาตน่ันเทียว ชื่อว่า อาขยฺ าตกิ (อาขยาต) ว.ิ อุปสคคฺ เมว โอปสคฺคกิ ํ (อปุ สคคฺ + ณิก) (วทุ ธิ อุ เป็น โอ) อ.อุปสัคนัน่ เทียว ชอ่ื ว่า โอปสคฺคิก (อุปสคั ) วิ. นปิ าตเมว เนปาติกํ (นิปาต + ณกิ ) (วุทธิ อิ เป็น เอ) อ.นบิ าตน่ันเทยี ว ช่อื ว่า เนปาตกิ (นิบาต) วิ. จตุมหาราเช ภตตฺ ิ เอเตสนฺติ จาตุมหาราชกิ า (จตุมหาราช + ณกิ ) (วทุ ธิ อ เปน็ อา) อ.ความภักดี ในท้าวมหาราช ๔ พระองค์ ของเทวดา ท.เหล่าน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน ชอ่ื วา่ จาตมุ หาราชกิ า (ผมู้ คี วามภักดใี นท้าวมหาราชทงั้ ๔ พระองค)์ วิ. กสาเวน รตตฺ ํ กาสาวํ, วตถฺ ํ (กสาว + ณ) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.ผา้ อนั ถกู ย้อมแล้ว ดว้ ยน้ำ� ฝาด ชอ่ื วา่ กาสาว (อนั ถกู ย้อมดว้ ยนำ้� ฝาด, ผ้ากาสาวพสั ตร์) วิ. กสาเยน รตฺตํ กาสายํ, วตถฺ ํ (กสาย + ณ) (วทุ ธิ อ เปน็ อา) อ.ผ้า อนั ถกู ยอ้ มแลว้ ดว้ ยนำ้� ฝาด ชอื่ ว่า กาสาย (อันถกู ย้อมดว้ ยน้ำ� ฝาด, ผา้ กาสาวพัสตร์) วิ. มิตเฺ ต ภวา เมตตฺ า, เมตตฺ ี วา (มิตตฺ + ณ + อา, อ)ี (วุทธิ อิ เป็น เอ) อ.ความรกั อันเปน็ อยู่(อันเกดิ ) ในมิตร ชอื่ ว่า เมตตฺ า, เมตฺตี (ความรกั ท่ีเกิดในมติ ร) ว.ิ ปาวุเส ชาโต ปาวโุ ส เมโฆ, ปาวสุ า รตตฺ ,ิ ปาวสุ ํ อพฺภํ (ปาวสุ + ณ) (ชาตาทิอตฺถ) อ.เมฆ เกิดแล้ว ในฤดูฝน ช่ือว่า ปาวสุ (เกดิ ในฤดฝู น)

267 ตทั ธติ วา่ ด้วยการย่อบทกับปัจจยั เขา้ ดว้ ยกนั วิ. สรเท ชาโต สารโท มาโส, สารทา รตฺติ, สารทํ ปปุ ผฺ ํ (สรท + ณ) (วุทธิ อ เป็น อา) อ.เดือน เกิดแลว้ ในฤดูอบั ลม ช่ือว่า สารท (เกดิ ในฤดอู ับลม) วิ. สิสเิ ร ชาโต สสิ โิ ร (สสิ ริ + ณ) เกดิ แลว้ ในฤดูใบไม้ผลิ ชอ่ื วา่ สสิ ริ . (เกดิ ในฤดใู บไมผ้ ลิ) ว.ิ เหมนเฺ ต ชาโต เหมนโฺ ต (เหมนฺต + ณ) เกดิ แลว้ ในฤดหู นาว ช่ือว่า เหมนตฺ (เกดิ ในฤดหู นาว) วิ. วสนฺเต ชาโต วสนโฺ ต (วสนตฺ + ณ) เกิดแล้ว ในฤดฝู น ชอื่ ว่า วสนตฺ (เกดิ ในฤดฝู น) ว.ิ คิมฺเห ชาโต คิมฺโห (คมิ ฺห + ณ) เกิดแลว้ ในฤดูรอ้ น ช่ือวา่ คิมฺห (เกิดในฤดูรอ้ น) วิ. ราชคเห ชาโต ราชคโห (ราชคห + ณ) เกดิ แลว้ ในเมอื งราชคฤห์ ชอ่ื วา่ ราชคห (ผเู้ กดิ ในเมอื งราชคฤห)์ ว.ิ ราชคหา อาคโต ราชคโห (ราชคห + ณ) มาแลว้ จากเมืองราชคฤห์ ชอ่ื วา่ ราชคห (ผู้มาจากเมืองราชคฤห)์ ว.ิ ราชคโห อสฺส นิวาโสติ ราชคโห (ราชคห + ณ) อ.เมอื งราชคฤห์ เปน็ ทอี่ ยู่ ของบคุ คลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอื่ วา่ ราชคห (ผมู้ เี มอื งราชคฤห์ เป็นท่ีอยู่) วิ. ราชคหสสฺ อิสฺสโรติ ราชคโห, ราชคหโก วา (ราชคห + ณ) (ลง กฺ อาคม) ผู้เป็นใหญ่ แห่งเมืองราชคฤห์ เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า ราชคห, ราชคหก (ผู้เป็นใหญ่แห่ง เมอื งราชคฤห์) วิ. นคเร วสตตี ิ นาคโร, นาครโก วา (นคร + ณ) (วุทธิ อ เปน็ อา) (ลง กฺ อาคม) ยอ่ มอยู่ ในเมือง เพราะเหตุนนั้ ชื่อวา่ นาคร หรอื ช่อื ว่า นาครก (ผอู้ ยู่ในเมือง, ชาวเมือง) วิ. ชนปเท วสตตี ิ ชานปโท (ชนปท + ณ) (วุทธิ อ เปน็ อา) ยอ่ มอยู่ ในชนบท เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ วา่ ชานปท (ผอู้ ย่ใู นชนบท) วิ. มคเธสุ ชาโต มาคโธ (มคธ + ณ) (วทุ ธิ) (ชื่อชนบทท้งั ๑๖ แคว้น ใช้เปน็ พหุวจนะเทา่ นั้น) เกดิ แลว้ ในแคว้นมคธ ท. ชอ่ื ว่า มาคธ (ผเู้ กดิ ในแควน้ มคธ) ว.ิ มคเธหิ อาคโต มาคโธ (มคธ + ณ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) มาแลว้ จากแคว้นมคธ ท. ช่อื ว่า มาคธ (ผู้มาจากแควน้ มคธ) วิ. มคธา อสสฺ นวิ าโสติ มาคโธ (มคธ + ณ) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.แควน้ มคธ ท. เป็นที่อยู่ ของบคุ คลน้นั มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ช่อื ว่า มาคธ (ผู้มแี ควน้ มคธ เปน็ ทอี่ ย)ู่

268 ไวยากรณบ์ าลีเบื้องต้น ว.ิ มคธานํ อิสฺสโรติ มาคโธ, มาคธโก วา (มคธ + ณ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) (ลง กฺ อาคม) ผเู้ ปน็ ใหญ่ แหง่ แควน้ ท. เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ มาคธ หรอื ชอ่ื วา่ มาคธก (ผเู้ ปน็ ใหญแ่ หง่ แควน้ มคธ ว.ิ กตตฺ ิกาย ปุณณฺ จนฺทยุตตฺ าย ยตุ ฺโต มาโส กตฺติโก (กตตฺ กิ า + ณ) (นกขฺ ตตฺ โยค = ดาว) อ.เดือน อันประกอบด้วยดาวลูกไก่ อันประกอบด้วยพระจันทร์เต็มดวง ชื่อว่า กตฺติก (เดือน ๑๒) วิ. มคสิเรน จนทฺ ยตุ เฺ ตน นกฺขตเฺ ตน ยตุ โฺ ต มาโส มาคสโิ ร (มคสริ + ณ) (วุทธิ อ เป็น อา) อ.เดือน อันประกอบด้วยดาวหัวเนื้อ อันประกอบด้วยพระจันทร์เต็มดวง ช่ือว่า มาคสิร (เดอื นอา้ ย) ว.ิ ผุสเฺ สน ยตุ โฺ ต มาโส ผุสฺโส (ผสุ ฺส + ณ) อ.เดือน อันประกอบแลว้ ดว้ ยดาวสมอสำ� เภา ช่ือวา่ ผสุ สฺ (เดอื นยี่) วิ. มฆาย ยตุ โฺ ต มาโส มาโฆ (มฆา + ณ) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.เดือน อนั ประกอบแล้ว ด้วยดาวงูตัวผู้ ชอื่ ว่า มาฆ (เดอื น ๓) ว.ิ ผคฺคุนิยา ยุตโฺ ต มาโส ผคคฺ โุ น (ผคคฺ นุ ี + ณ) อ.เดอื น อันประกอบแล้ว ด้วยดาวงตู ัวเมยี ชอื่ ว่า ผคฺคุน (เดอื น ๔) วิ. จิตฺตาย ยุตฺโต มาโส จติ ฺโต (จิตฺตา + ณ) อ.เดอื น อนั ประกอบแล้ว ดว้ ยดาวจระเข้ ชือ่ วา่ จติ ฺต (เดือน ๕) ว.ิ วสิ าขาย ยตุ โฺ ต มาโส เวสาโข (วสิ าขา + ณ) (วุทธิ อิ เปน็ เอ) อ.เดือน อนั ประกอบแล้ว ดว้ ยดาวคนั ฉัตร ช่อื วา่ เวสาข (เดือน ๖) วิ. เชฏฺ าย ยุตโฺ ต มาโส เชฏฺโ (เชฏฺา + ณ) อ.เดือน อันประกอบแลว้ ด้วยดาวชา้ งใหญ่ ชอ่ื ว่า เชฏฺ (เดือน ๗) วิ. อตุ ตฺ ราสาฬหฺ าย ยตุ โฺ ต มาโส อาสาฬฺโห, อาสาฬฺหี วา (อาสาฬหฺ า + ณ) อ.เดอื น อันประกอบแล้ว ด้วยดาวอาสาฬหะเหนอื ชอื่ วา่ อาสาฬฺห, อาสาฬหฺ ี บา้ ง (เดือน ๘) ว.ิ สวเณน ยุตโฺ ต มาโส สาวโณ สาวณี (สวณ + ณ) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.เดอื น อันประกอบแล้ว ด้วยดาวหลกั ชยั ชอ่ื วา่ สาวณ, สาวณี (เดอื น ๙) ว.ิ ภทเฺ ทน ยตุ โฺ ต มาโส ภทโฺ ท (ภทฺท + ณ) อ.เดอื น อันประกอบแล้ว ด้วยดาวเนื้อทราย ชอื่ ว่า ภททฺ (เดือน ๑๐) วิ. อสฺสยุเชน ยุตโฺ ต มาโส อสฺสยุโช (อสสฺ ยชุ + ณ) อ.เดอื น อนั ประกอบแลว้ ด้วยดาวมา้ ชือ่ ว่า อสฺสยชุ (เดอื น ๑๑) ว.ิ วเน ชาตํ วาเนยฺย,ํ ปุปฺผํ (วน + เณยยฺ ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) เกิดแลว้ ในปา่ ชื่อวา่ วาเนยฺย, ไดแ้ ก่ดอกไม้ (ที่เกดิ ในป่า) วิ. ปถสฺส หิตํ ปาเถยฺยํ (ปถ + เณยยฺ ) (วุทธิ อ เปน็ อา) เปน็ ประโยชนเ์ กอื้ กลู แกห่ นทาง ชอื่ วา่ ปาเถยยฺ (เสบยี งเปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู แกก่ ารเดนิ ทาง)

269 ตทั ธติ ว่าดว้ ยการยอ่ บทกับปัจจัยเขา้ ด้วยกัน วิ. สปตสิ สฺ หิตํ สาปเตยฺย,ํ ธนํ (สปติ + เณยยฺ ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) เปน็ ประโยชนเ์ กื้อกลู แกเ่ จา้ ของ ช่อื ว่า สาปเตยฺย, ไดแ้ กท่ รัพย์ (ทรัพยส์ มบัติเปน็ ประโยชน์ เกอ้ื กูลแกเ่ จา้ ของ) วิ. ปทปี สสฺ หิตํ ปทีเปยยฺ ,ํ เตลํ (ปทีป + เณยยฺ ) เปน็ ประโยชนเ์ กอื้ กลู แกป่ ระทปี ชอื่ วา่ ปทเี ปยยฺ , ไดแ้ กน่ �้ำมนั (เปน็ ประโยชนเ์ กอ้ื กลู แกป่ ระทปี ) ว.ิ ทกฺขณิ มรหตีติ ทกขฺ เิ ณยฺโย (ทกขฺ ณิ า + เณยยฺ ) ยอ่ มควร ซง่ึ ทกั ษณิ า เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ ทกขฺ ิเณยยฺ (ผู้ควรซ่งึ ทกั ษณิ า) วิ. ปจฉฺ า ชาโต ปจฉฺ โิ ม (ปจฺฉา + อมิ ) เกิดแล้ว ในภายหลัง ช่ือวา่ ปจฉฺ มิ (ผู้เกดิ ในภายหลงั ) วิ. ปจฉฺ า ชาตา ปจฉฺ มิ า, ชนตา (ปจฺฉา + อมิ ) เกิดแลว้ ในภายหลงั ชอ่ื ว่า ปจฉฺ ิมา, ไดแ้ ก่หมู่ชน (ผู้เกิดในภายหลัง) ว.ิ ปจฉฺ า ชาตํ ปจฺฉมิ ,ํ จติ ฺตํ (ปจฉฺ า + อมิ ) เกดิ แลว้ ในภายหลัง ชอ่ื วา่ ปจฺฉมิ , ได้แก่จติ (ดวงท่ีเกิดในภายหลงั ) ว.ิ อนเฺ ต ชาโต อนฺตโิ ม, อนฺตมิ า, อนตฺ มิ ํ (อนฺต + อมิ ) เกดิ แล้ว ในท่ีสดุ ชื่อวา่ อนตฺ ิม, อนฺติมา, อนฺตมิ (ผู้เกดิ ในสุดทา้ ย) ว.ิ มชเฺ ฌ ชาโต มชฌฺ โิ ม (มชฺฌ + อมิ ) เกิดแล้ว ในทา่ มกลาง ช่ือวา่ มชฺฌมิ (ผ้เู กิดในทา่ มกลาง) ว.ิ ปุเร ชาโต ปรุ โิ ม (ปุร + อมิ ) เกิดแล้ว ในกาลกอ่ น ช่ือว่า ปรุ ิม (ผเู้ กดิ ในกาลก่อน) ว.ิ มนสุ สฺ ชาติยา ชาโต มนสุ ฺสชาตโิ ย (มนุสสฺ ชาติ + อยิ ) (ปุงลิงค)์ เกิดแล้ว ในชาตแิ หง่ มนุษย์ ชอ่ื วา่ มนสุ สฺ ชาตยิ (ผเู้ กิดในชาตมิ นุษย)์ วิ. มนสุ สฺ ชาตยิ า ชาตา มนสุ สฺ ชาติยา (มนสุ สฺ ชาติ + อยิ + อา) (อติ ถีลงิ ค์) เกิดแล้ว ในชาตแิ หง่ มนษุ ย์ ชื่อวา่ มนุสสฺ ชาตยิ า (ผู้เกดิ ในชาติมนุษย)์ วิ. มนสุ สฺ ชาตยิ า ชาตํ มนสุ ฺสชาตยิ ํ (มนสุ ฺสชาติ + อิย) (นปุงสกลิงค)์ เกิดแล้ว ในชาติแห่งมนุษย์ ชื่อว่า มนุสฺสชาตยิ (ผเู้ กิดในชาติมนษุ ย์) วิ. โลเก ชาโต โลกิโย (โลก + อิย) เกดิ แล้ว ในโลก ชื่อว่า โลกยิ (ผ้เู กิดในโลก) วิ. อนเฺ ต นิยุตโฺ ต อนฺตโิ ม, อนฺตโิ ย, อนฺติโก (อนฺต + อิม, อิย, อกิ ) ประกอบแล้ว ในท่สี ุด ชอ่ื ว่า อนฺตมิ , อนฺติย, อนตฺ กิ (ผูป้ ระกอบในที่สุด) วิ. กปโฺ ป อสฺส อตถฺ ีติ กปปฺ โิ ย (กปฺป + อยิ ) อ.การกระท�ำสมควรแห่งภกิ ษุ แหง่ โวหารนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ช่ือวา่ กปปฺ ยิ (โวหารอันทำ� สมควรแหง่ ภกิ ษุ)

270 ไวยากรณบ์ าลีเบือ้ งตน้ วิ. โพธสิ ฺส ปกฺเข ภวา โพธปิ กฺขยิ า, ธมฺมา (โพธิ + ปกฺข + อยิ ) อ.ธรรม ท. อันมีอยู่ ในฝักฝา่ ย แห่งปญั ญาเปน็ เครอ่ื งตรสั รู้ ชื่อว่า โพธปิ กฺขยิ , ไดแ้ ก่ธรรม ทงั้ หลาย (อนั มีในฝกั ฝา่ ยแหง่ ปัญญาเป็นเคร่ืองตรสั รู้) ว.ิ ปญฺจวคฺเค ภวา ปญฺจวคฺคยิ า, ภิกฺขู (ปญจฺ วคคฺ + อิย) อ.ภิกษุ ท. ผมู้ อี ยู่ ในพวกห้า ชอ่ื วา่ ปญจฺ วคคฺ ยิ (ภิกษุผู้มอี ยู่ในพวกหา้ รปู ) ว.ิ ฉพฺพคฺเค ภวา ฉพฺพคคฺ ยิ า, ภกิ ขฺ ู (ฉพฺพคคฺ + อิย) อ.ภกิ ษุ ท. ผ้มู อี ยู่ ในพวกหก ชือ่ วา่ ฉพฺพคฺคยิ (ภกิ ษุผมู้ ีอยู่ในพวกหกรูป) วิ. ปาทานํ หิตํ ปชฺชํ, เตลํ (ปาท + ย) เก้อื กลู แกเ่ ท้า ท. ชอื่ วา่ ปชฺช, ไดแ้ กน่ ้�ำมนั (เก้ือกูลแก่เท้า) วิ. ปาทํ อรหตตี ิ ปชฺช,ํ คาถา (ปาท + ย) ยอ่ มควร ซ่งึ บาท เพราะเหตนุ ัน้ ชอ่ื วา่ ปชชฺ , ไดแ้ กค่ าถา (คาถาอันสมควรซึ่งบาท) วิ. คาเม ภโว คมโฺ ม (คาม + ย) อ.ความประพฤตอิ ันมีอยู่ ในบ้าน ชอื่ ว่า คมฺม (อันมีอยู่ในบา้ น) ว.ิ ถนโต ชาตํ ถญฺํ (ถน + ย) (อ.นำ�้ นม) อนั เกิดขึน้ จากเต้า ชอ่ื ว่า ถฺ (นำ�้ นมอันเกดิ ข้นึ จากเตา้ นม) วิ. ธนาย สํวตฺตตตี ิ ธฺ ํ (ธน + ย) ยอ่ มเป็นไป เพ่ือทรพั ย์ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ ว่า ธฺ (เปน็ ไปเพอื่ ทรัพย)์ ว.ิ สมณานํ หิตา สามฺา, ชนา (สมณ + ณยฺ ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) อ.ชน ท. ผู้เก้ือกลู แก่พระสมณะ ท. ชื่อวา่ สามฺ (ผู้เกอื้ กูลแกพ่ ระสมณะ) วิ. มนุสฺสานํ สมโู ห มานสุ สฺ โก (มนุสฺส + กณฺ) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.หมู่ ของมนษุ ย์ ท. ชอื่ ว่า มานุสฺสก (หมขู่ องมนษุ ย์) ว.ิ มนสุ สฺ านํ สมโู ห มานสุ โฺ ส (มนุสสฺ + ณ) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.หมู่ ของมนษุ ย์ ท. ชื่อว่า มานสุ สฺ (หมู่ของมนษุ ย์) วิ. อฏฺ นฺนํ สมโู ห อฏฺ โก (อฏฺ + กณ)ฺ อ.หมู่ แหง่ แปด ท. ช่ือว่า อฏฺก (หม่แู ห่งแปด) ว.ิ ทวฺ ินฺนํ สมโู ห ทฺวยํ (ทวฺ ิ + ณ) (แปลง อิ เป็น อย) อ.หมู่ แหง่ สอง ท. ชือ่ วา่ ทฺวย (หมูแ่ ห่งสอง) วิ. ตณิ ณฺ ํ สมูโห ตยํ (ติ + ณ) (แปลง อิ เป็น อย) อ.หมู่ แหง่ สาม ท. ชอ่ื ว่า ตย (หม่แู หง่ สาม) ว.ิ ชนานํ สมูโห ชนตา (ชน + ตา) อ.หมู่ แห่งชน ท. ช่ือวา่ ชนตา (หม่แู ห่งชน)

271 ตัทธิต ว่าด้วยการยอ่ บทกับปัจจยั เขา้ ดว้ ยกนั วิ. สหายานํ สมโู ห สหายตา (สหาย + ตา) อ.หมู่ แหง่ สหาย ท. ชอื่ ว่า สหายตา (หมแู่ ห่งสหาย) ว.ิ นาครานํ สมูโห นาครตา (นาคร + ตา) อ.หมู่ แหง่ ชาวเมือง ท. ชอื่ ว่า นาครตา (หม่แู หง่ ชาวเมอื ง) ว.ิ เทโวเยว เทวตา (เทว + ตา) (ลง ตา ปัจจัยในอรรถสกัตถะ) อ.เทวดานนั่ เทยี ว ช่อื วา่ เทวตา (เทวดา) วิ. อปุ าทานานํ หิตา อปุ าทานิยา (อุปาทาน + อิย) (ลง อยิ ปจั จยั ในอรรถ “หติ ”) อ.ธรรม ท. อนั เก้ือกลู ตอ่ อปุ าทาน ท. ชื่อวา่ อปุ าทานยิ (ธรรมอนั เกอ้ื กูลต่ออปุ าทาน) ว.ิ ธโู ม วยิ ทิสสฺ ตตี ิ ธมู ายติ ตฺตํ (ธูม + วิย + อายติ ตตฺ ) ยอ่ มปรากฏ เพยี งดังควันไฟ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื ว่า ธูมายติ ตตฺ (ปรากฏเพียงดังควันไฟ) ว.ิ ตมิ ริ ํ วิย ทสิ สฺ ตตี ิ ตมิ ิรายิตตตฺ ํ (ตมิ ริ + วิย + อายติ ตฺต) ย่อมปรากฏ เพยี งดงั ความมดื เพราะเหตนุ ัน้ ชอื่ ว่า ตมิ ิรายิตตตฺ (ปรากฏเพยี งดงั ความมดื ) ว.ิ ทุฏฺุ นิสฺสิตํ ทุฏฺ ุลลฺ ํ (ทุฏฺุ + ล) (ซ้อน ล)ฺ อาศยั แล้ว ซงึ่ วตั ถไุ มด่ ี ช่อื วา่ ทุฏฺลุ ฺล (อาศยั วตั ถไุ มด่ ี) ว.ิ ทฏุ ฺุ านํ ทฏุ ฺุลลฺ ํ (ทุฏฺุ + ล) (ซ้อน ล)ฺ อ.เหตุเป็นทตี่ ้ัง ไมด่ ี ช่อื วา่ ทุฏฺลุ ลฺ (เหตุเป็นทีต่ ้งั ไม่ดี) ว.ิ เวทํ นิสฺสิตํ เวทลลฺ ํ (เวท + ล) (ซอ้ น ล)ฺ อ.พระพทุ ธพจน์ อันอาศยั แล้ว ซ่ึงความยนิ ดี ชื่อวา่ เวทลลฺ (อาศัยความยินด)ี วิ. อภิชฺฌา อสฺส ปกตีติ อภิชฺฌาลุ (อภิชฌฺ า + อาลุ) อ.อภชิ ฌา เปน็ ปกติ ของบคุ คลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ อภชิ ฌฺ าลุ (ผมู้ อี ภชิ ฌาเปน็ ปกต)ิ วิ. อภิชฺฌา อสฺส พหุลาติ อภิชฌฺ าลุ (อภชิ ฺฌา + อาลุ) อ.อภิชฌา อนั มาก ของบุคคลน้นั มอี ยู่ เพราะเหตนุ ัน้ ชือ่ วา่ อภชิ ฌฺ าลุ (ผมู้ อี ภชิ ฌามาก) วิ. สีตํ อสฺส ปกตตี ิ สีตาลุ (สีต + อาลุ) อ.ความหนาว เปน็ ปกติ ของบคุ คลนนั้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั ชอ่ื วา่ สตี าลุ (ผมู้ คี วามหนาวเปน็ ปกต)ิ วิ. ทยา อสสฺ ปกตตี ิ ทยาลุ (ทยา + อาลุ) อ.ความกรณุ า เปน็ ปกติ ของบคุ คลนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ชอ่ื วา่ ทยาลุ (ผมู้ คี วามกรณุ าเปน็ ปกต)ิ วิ. อภชิ ฌฺ า อสสฺ ปกตตี ิ อภชิ ฌฺ าลโุ ก, อภชิ ฌฺ าลกุ า, อภชิ ฌฺ าลกุ ํ (อภชิ ฌฺ า+อาล)ุ (ลง กฺ อาคม) อ.อภิชฌา เปน็ ปกติ ของบคุ คล มอี ยู่ เพราะเหตุน้ัน ชือ่ วา่ อภิชฺฌาลุก (ผ้มู ีอภิชฌาเป็นปกติ) ว.ิ อชุ ุเยว อุชโุ ก (อชุ )ุ (ลง กฺ อาคม) อ.ผู้ตรงนั่นเทียว ชือ่ ว่า อชุ กุ (ผ้ตู รง) วิ. สีลมตฺตเมว สลี มตตฺ กํ (สลี มตตฺ ) (ลง กฺ อาคม) อ.สักวา่ ศีลน่นั เทยี ว ชอ่ื ว่า สีลมตฺตก (สักว่าศลี )

272 ไวยากรณบ์ าลีเบอ้ื งต้น วิ. หตฺถิโน อวิ หตฺถิกา (หตถฺ ี + ก) (ลง ก ปจั จัย ในอรรถปฏิภาคะ - สว่ นเหมอื น) เพียงดัง อ.ชา้ ง ท. ช่ือวา่ หตฺถิก (เพียงดงั ช้าง, ต๊กุ ตาชา้ ง) (รัสสะท่ามกลางตัทธติ ) วิ. อสฺสา อิว อสสฺ กา (อสสฺ + ก) (ลง ก ปจั จยั ในอรรถปฏภิ าคะ - ส่วนเหมือน) เพียงดงั อ.มา้ ท. ชอื่ วา่ อสสฺ ก (เพยี งดังมา้ , ต๊กุ ตาม้า) ว.ิ กุจฺฉโิ ต ปณฑฺ ิโต ปณฑฺ ิตโก (ปณฺฑิต + ก) (ลง ก ปจั จยั ในอรรถกุจฉติ ะ - นา่ รังเกียจ) อ.บณั ฑติ ผนู้ ่ารังเกยี จ ช่ือว่า ปณฑฺ ติ ก (บณั ฑติ ผนู้ า่ รังเกยี จ) วิ. ภติยา ชีวนฺติ ภโฏ, ภโฏเยว ภฏโก (ภฏ + ก) (ลง ก ปจั จัยในอรรถสัญญา - นามบญั ญตั )ิ ยอ่ มเป็นอยู่ ดว้ ยคา่ จา้ ง ช่ือว่า ภฏ, อ.ผ้เู ป็นอยู่ด้วยคา่ จ้างนั่นเทยี ว ชื่อว่า ภฏก (ลกู จา้ ง) ว.ิ อนกุ มปฺ ิโต ปตุ ฺโต ปตุ ตฺ โก (ปุตฺต + ก) (ลง ก ปัจจยั ในอรรถอนุกัมปา - น่าสงสาร) อ.บุตร ผถู้ กู สงสาร ชือ่ วา่ ปุตตฺ ก (บตุ รน้อยผู้น่าสงสาร) ว.ิ กึ ปรมิ าณมสฺสาติ กติ ฺตกํ (กึ + ตตฺ ก) (ลง ตฺตก ปจั จัยในอรรถปริมาณ - ประมาณ) อ.ปรมิ าณ เท่าไร แห่งวตั ถุนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้ัน ชอ่ื ว่า กติ ตฺ ก (มปี ระมาณเท่าไร) วิ. ยํ ปริมาณมสฺสาติ ยตฺตกํ (ย + ตตฺ ก) อ.ปรมิ าณ เท่าใด แหง่ วัตถนุ น้ั มีอยู่ เพราะเหตนุ ัน้ ชือ่ ว่า ยตฺตก (มปี ระมาณเท่าใด) วิ. ตํ ปรมิ าณมสสฺ าติ ตตฺตกํ (ต + ตฺตก) อ.ปริมาณ เทา่ นน้ั แห่งวัตถนุ น้ั มีอยู่ เพราะเหตุน้นั ชื่อว่า ตตตฺ ก (มีประมาณเทา่ นน้ั ) ว.ิ เอตํ ปรมิ าณมสฺสาติ เอตตฺ กํ (เอต + ตฺตก) (แปลง เอต เปน็ เอ) อ.ปรมิ าณ เทา่ น้ี แห่งวตั ถุนัน้ มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า เอตตฺ ก (มปี ระมาณเทา่ นี้) วิ. ยํ ปรมิ าณมสสฺ าติ ยาวา (ย + วนฺต)ุ (ทีฆะ อ เป็น อา) อ.ปรมิ าณ เทา่ ใด แหง่ วัตถุนัน้ มอี ยู่ เพราะเหตุนน้ั ชือ่ วา่ ยาวนตฺ ุ (มีประมาณเทา่ ใด) ว.ิ สุวณเฺ ณน ปกโต สวุ ณฺณมโย โสวณณฺ มโย วา, รโถ (สวุ ณฺณ + มย) (ปุงลิงค)์ ถูกกระทำ� แล้ว ด้วยทอง ชื่อว่า สวุ ณณฺ มย, โสวณฺณมย, ได้แก่รถ (ถูกกระทำ� ดว้ ยทอง) ว.ิ สวุ ณเฺ ณน ปกตา สุวณณฺ มยา, ภาชนวกิ ติ (สุวณณฺ + มย + อา) (อติ ถีลิงค์) ถกู กระทำ� แลว้ ด้วยทอง ชือ่ วา่ สุวณฺณมยา, ได้แก่ภาชนะพเิ ศษ (ถูกกระทำ� ดว้ ยทอง) วิ. สุวณฺเณน ปกตํ สุวณฺณมย,ํ ภาชนํ (สุวณณฺ + มย) (นปงุ สกลงิ ค)์ ถูกกระท�ำแลว้ ดว้ ยทอง ชื่อวา่ สวุ ณฺณมย, ไดแ้ ก่ภาชนะ (ถกู กระท�ำด้วยทอง) วิ. รูปิเยน ปกตํ รูปิยมยํ (รูปิย + มย) ถูกกระท�ำแล้ว ด้วยเงิน ช่ือว่า รปู ิยมย (ถูกกระท�ำด้วยเงิน) วิ. รชเตน ปกตํ รชตมยํ (รชต + มย) ถูกกระทำ� แล้ว ดว้ ยเงนิ ช่ือว่า รชตมย (ถูกกระท�ำด้วยเงนิ ) ว.ิ มตตฺ กิ าย ปกตํ มตตฺ กิ ามยํ (มตตฺ กิ า + มย) ถกู กระทำ� แลว้ ด้วยดินเหนียว ชอื่ ว่า มตฺติกามย (ถกู กระท�ำด้วยดนิ เหนยี ว)

273 ตัทธติ ว่าด้วยการยอ่ บทกับปจั จยั เขา้ ดว้ ยกนั ว.ิ อิทธฺ ยิ า นพิ พฺ ตฺตํ อทิ ฺธมิ ยํ (อิทธฺ ิ + มย) อันเกดิ ขนึ้ แล้ว ดว้ ยฤทธ์ิ ชื่อวา่ อทิ ฺธิมย (อันเกดิ ขึน้ ดว้ ยฤทธิ์, อนั ส�ำเรจ็ แลว้ ดว้ ยฤทธิ์) ว.ิ มนโต นิปฺผนฺนา มโนมยา (มน + มย) (แปลง อ เป็น โอ ทา่ มกลางตัทธิต) สำ� เรจ็ แล้ว เพราะใจ ช่ือว่า มโนมย (อนั ส�ำเรจ็ เพราะใจ) วิ. ทานเมว ทานมยํ (ทาน + มย) (ลง มย ปจั จยั ในอรรถสกตั ถะ) อ.ทานน่นั เทียว ชือ่ วา่ ทานมย (ทาน) ว.ิ สลี เมว สีลมยํ (สลี + มย) (ลง มย ปัจจยั ในอรรถสกัตถะ) อ.ศีลน่นั เทียว ชอ่ื วา่ สลี มย (ศีล) --------------------------------------------- ๗.๓ ภาวตทั ธติ ภาวตัทธิต คือ ตัทธิตที่มี “ภาว”ศัพท์ แปลว่า “ปวัตตินิมิต เป็นแดนเกิดความรู้และ ศพั ท”์ มีวิเคราะห์วา่ “ภวนฺติ เอตสมฺ า พุทธฺ สิ ททฺ า อติ ิ ภาโว” แปลว่า ช่ือว่า ภาวะ เพราะเป็น แดนเกิดของความรู้และศัพท์ (ภู + ณ) ภาว ศัพท์นี้ จะต้องสัมพันธ์กับฉัฏฐีวิภัตติเสมอ ใน ภาวตัทธติ นม้ี ีปัจจยั ๗ ตัว คอื ณฺย, ตตฺ , ตา, ตตฺ น, เณยยฺ , ณ และ กณฺ ปัจจยั รูปสำ� เร็จเปน็ นามนาม ภาวะ มี ๕ อย่าง (๑) ชาติ = ชาติก�ำเนิด, ชนิด เช่น ควสฺส ภาโว โคตฺตํ อ.เหตุอันเป็นมา แห่งวัว ชื่อวา่ โคตฺต (เหตอุ ันเปน็ มาแห่งวัว, ความเปน็ แห่งววั ) หมายถงึ โคชาติ (ชาติ) อนั เปน็ เหตุให้ เกิดศพั ทว์ า่ “โค” (วัว) (๒) ทพพฺ = ทพั พะ (ตวั , องค์ธรรม) เช่น ทณฑฺ ิโน ภาโว ทณฑฺ ิตฺตํ อ.เหตุอันเป็นมา แห่งผมู้ ไี มเ้ ท้า ชือ่ วา่ ทณฺฑติ ตฺ (เหตุอันเปน็ มาแหง่ ผ้มู ีไม้เทา้ ) หมายถงึ ไมเ้ ท้า (ทัพพะ) อันเป็น เหตุ ใหเ้ กดิ ศัพทว์ า่ “ทณฑฺ ี” (ผู้มีไม้เทา้ ) (๓) คุณ = คุณศัพท์ (สภาพ) เช่น นีลสฺส ภาโว นีลตฺตํ อ.เหตุอันเป็นมา แห่ง ผ้าสเี ขียว ชอ่ื วา่ นีลตฺต (เหตอุ นั เปน็ มาแห่งผา้ สีเขียว) หมายถงึ สเี ขยี ว (คณุ ) อันเป็นเหตุใหเ้ กิด ศัพท์วา่ “นลี ”ํ (ผ้าเขียว) (๔) กฺรยิ า = กิรยิ าการกระทำ� (อาการ) เช่น ปาจกสสฺ ภาโว ปาจกตตฺ ํ อ.เหตุอนั เป็น มา แห่งผู้หุง ชอื่ วา่ ปาจกตฺต (เหตอุ นั เปน็ มาแหง่ ผหู้ งุ ) หมายถึง กริ ยิ าการหุง (กิริยา) อันเปน็

274 ไวยากรณบ์ าลีเบ้ืองต้น เหตใุ หเ้ กดิ ศพั ท์ว่า ปาจโก (ผูห้ งุ ) (๕) นาม = นาม, ช่ือ เช่น เทวทตฺตสฺส ภาโว เทวทตฺตตฺตํ อเหตุอันเป็นมา แห่ง เทวทตั ช่อื ว่า เทวทตตฺ ตตฺ (เหตุอันเปน็ มาแหง่ เทวทตั ) หมายถงึ ชอ่ื ว่า เทวทตั (นาม) อันเป็น เหตุให้เกิดศัพทว์ า่ “เทวทตโฺ ต” (เทวทตั ) วิ. อลสสสฺ ภาโว อาลสฺยํ (อลส + ณยฺ ) (วทุ ธิ อ เปน็ อา) อ.ความเป็น แห่งบุคคลผ้เู กยี จคร้าน ชือ่ ว่า อาลสยฺ (ความเป็นผูเ้ กียจครา้ น) วิ. อโรคสฺส ภาโว อาโรคยฺ ํ (อโรค + ณยฺ ) (วทุ ธิ อ เป็น อา) อ.ความเปน็ แห่งบคุ คลผู้ไม่มีโรค ชื่อวา่ อาโรคฺย (ความเป็นผไู้ มม่ ีโรค) ว.ิ ทุพพฺ ลสสฺ ภาโว ทพุ ฺพลยฺ ํ (ทุพพฺ ล + ณฺย) อ.ความเปน็ แหง่ บุคคลผู้ไม่มกี ำ� ลัง ชือ่ ว่า ทุพฺพลยฺ (ความเป็นผไู้ มม่ ีกำ� ลงั , ทพุ พลภาพ) วิ. มจฉฺ รสสฺ ภาโว มจฉฺ ริยํ (มจฉฺ ร + ณฺย) (เพราะ ย ปจั จยั ลง อิ อาคม) อ.ความเป็น แห่งบุคคลผตู้ ระหน่ี ชือ่ วา่ มจฉฺ รยิ (ความเปน็ ผู้ตระหน่)ี วิ. อสิ ฺสรสสฺ ภาโว อิสฺสริยํ (อสิ สฺ ร + ณยฺ ) (เพราะ ย ปัจจยั ลง อิ อาคม) อ.ความเปน็ แห่งบคุ คลผู้เปน็ ใหญ่ ชอ่ื ว่า อสิ สฺ ริย (ความเป็นใหญ่) ว.ิ ปณฺฑิตสฺส ภาโว ปณฺฑจิ ฺจํ (ปณฺฑิต + ณฺย) (แปลง ตยฺ เปน็ จ, ซ้อน จ)ฺ อ.ความเป็น แหง่ บณั ฑิต ช่อื ว่า ปณฑฺ จิ จฺ (ความเปน็ บัณฑติ ) ว.ิ พหสุ ฺสุตสฺส ภาโว พาหสุ สฺ จจฺ ํ (พหสุ สฺ ตุ + ณยฺ ) (วุทธิ อ เปน็ อา, แปลง อุ ของ สตุ เปน็ อ) อ.ความเปน็ แหง่ บคุ คลผู้พหสู ูตร ชื่อวา่ พาหสุ สฺ จจฺ (ความเป็นพหสู ตู ร) ว.ิ มุฏฺสสฺ ติสสฺ ภาโว มฏุ ฺ สฺสจฺจํ (มุฏฺสฺสติ + ณฺย) (ลบอิ, แปลง ตฺย ปน็ จ, ซอ้ น จฺ) อ.ความเป็น แหง่ บุคคลผมู้ สี ติหลงลมื ชอ่ื ว่า มฏุ ฺสฺสจจฺ (ความเป็นผูม้ ีสติหลงลมื ) วิ. กุสลสสฺ ภาโว โกสลฺลํ (กสุ ล + ณฺย) (วุทธิ อุ เป็น โอ, แปลง ลฺย เป็น ล, ซ้อน ลฺ) อ.ความเป็น แหง่ บคุ คลผฉู้ ลาด ชอื่ วา่ โกสลลฺ (ความเป็นผู้ฉลาด) วิ. วิปุลสสฺ ภาโว เวปุลฺลํ (วิปุล + ณยฺ ) (วุทธิ อิ เปน็ เอ, แแปลง ลยฺ เป็น ล, ซอ้ น ลฺ) อ.ความเปน็ แหง่ บคุ คลผู้บริบรู ณ์ ชื่อวา่ เวปุลลฺ (ความเป็นผบู้ รบิ รู ณ)์ วิ. สมานานํ ภาโว สามฺํ (สมาน + ณฺย) (วุทธิ อ เปน็ อา, แปลง นยฺ เป็น , ซ้อน )ฺ อ.ความเปน็ แห่งสง่ิ อนั เหมือนกัน ท. ชอื่ ว่า สามฺ (ความเปน็ สง่ิ เหมือนกัน) (รัสสะ อา เป็น อ) ว.ิ คิลานสฺส ภาโว เคลฺํ (คลิ าน + ณยฺ ) (วทุ ธิ อิ เป็น เอ, รสั สะ, แปลง นยฺ เป็น , ซอ้ น )ฺ อ.ความเป็น แหง่ บคุ คลผเู้ ปน็ ไข้ ช่อื วา่ เคลฺ (ความเป็นผู้เป็นไข)้ ว.ิ สหุ ทสสฺ ภาโว โสหชฺชํ (สุหท + ณยฺ ) (วทุ ธิ อุ เปน็ โอ, แปลง ทฺย เปน็ ช,ฺ ซอ้ น ชฺ) อ.ความเป็น แหง่ บุคคลผู้มใี จดี ชอื่ ว่า โสหชฺช (ความเปน็ ผู้มใี จด)ี

275 ตัทธติ ว่าดว้ ยการย่อบทกับปัจจัยเข้าด้วยกัน วิ. วสิ ารทสฺส ภาโว เวสารชชฺ ํ (วิสารท + ณยฺ ) (วทุ ธิ อิ เป็น เอ, แปลง ทยฺ เปน็ ช, ซ้อน ช)ฺ อ.ความเป็น แห่งบคุ คลผู้แกล้วกล้า ช่อื ว่า เวสารชชฺ (ความเปน็ ผแู้ กลว้ กล้า) ว.ิ สุมนสฺส ภาโว โสมนสฺสํ (สุมน + ณฺย) (วุทธิ อุ เป็น โอ, ลง สฺ อาคม, แปลง สยฺ เป็น ส, ซ้อน สฺ) อ.ความเปน็ แหง่ บคุ คลผู้มใี จดี ชือ่ ว่า โสมนสสฺ (ความเป็นผมู้ ีใจดี) วิ. ทมุ นสสฺ ภาโว โทมนสสฺ ํ (ทุมน + ณฺย) (วทุ ธิ อุ เป็น โอ, ลง สฺ อาคม, แปลง สยฺ เปน็ ส, ซ้อน ส)ฺ อ.ความเปน็ แหง่ บุคคลผู้มีใจไมด่ ี ชื่อวา่ โทมนสฺส (ความเปน็ ผู้มใี จไมด่ ี) ว.ิ สวุ จสสฺ ภาโว โสวจสสฺ ํ (สวุ จ + ณยฺ ) (วทุ ธิ อุ เปน็ โอ, ลง สฺ อาคม , แปลง สยฺ เปน็ ส, ซอ้ น ส)ฺ อ.ความเป็น แหง่ บคุ คลผ้วู า่ งา่ ย ช่ือว่า โสวจสสฺ (ความเป็นผ้วู า่ งา่ ย) วิ. ทวุ จสสฺ ภาโว โทวจสสฺ ํ (ทวุ จ + ณยฺ ) (วทุ ธิ อุ เปน็ โอ, ลง สฺ อาคม, แปลง สยฺ เปน็ ส, ซอ้ น ส)ฺ อ.ความเป็น แห่งบคุ คลผวู้ า่ ยาก ช่อื ว่า โทวจสฺส (ความเป็นผวู้ า่ ยาก) วิ. นปิ กสสฺ ภาโว เนปกฺกํ (นปิ ก + ณฺย) (วุทธิ อิ เป็น เอ, แปลง กยฺ เป็น ก, ซอ้ น กฺ) อ.ความเปน็ แห่งบคุ คลผมู้ ีปัญญา ชอ่ื วา่ เนปกฺก (ความเปน็ ผู้มีปญั ญา) วิ. ราชโิ น ภาโว รชฺชํ (ราช + ณยฺ ) (รัสสะ อา เปน็ อ, แปลง ชฺย เป็น ช, ซ้อน ชฺ) อ.ความเป็น แหง่ พระราชา ช่อื ว่า รชฺช (ความเป็นพระราชา) ว.ิ สมณสสฺ ภาโว สามฺ ํ (สมณ + ณฺย) (วุทธิ อ เปน็ อา, แปลง ณยฺ เป็น , ซ้อน )ฺ อ.ความเปน็ แห่งพระสมณะ ชือ่ ว่า สามฺ (ความเปน็ พระสมณะ) วิ. ปสํ ุกลู ิกสฺส ภาโว ปสํ ุกูลกิ ตตฺ ํ (ปสํ ุกลู ิก + ตฺต) อ.ความเป็น แห่งภิกษุผู้มีการทรงไว้ซึ่งผ้าบังสุกุลเป็นปกติ ชื่อว่า ปํสุกูลิกตฺต (ความเป็น ผมู้ กี ารทรงผ้าบังสุกลุ เป็นปกติ) ว.ิ ปํสุกลู กิ สฺส ภาโว ปสํ ุกูลิกตา (ปํสกุ ูลกิ + ตา) อ.ความเป็น แห่งภิกษุผู้มีการทรงไว้ซ่ึงผ้าบังสุกุลเป็นปกติ ชื่อว่า ปํสุกูลิกตา (ความเป็น ผมู้ กี ารทรงผ้าบงั สุกุลเปน็ ปกติ) ว.ิ เตจีวรกิ สฺส ภาโว เตจวี ริกตา (เตจวี ริก + ตา) อ.ความเป็น แห่งภิกษุผู้มีการทรงไว้ซ่ึงผ้าไตรจีวรเป็นปกติ ช่ือว่า เตจีวริกตา (ความเป็น ผูม้ กี ารทรงผา้ ไตรจวี รเป็นปกต)ิ ว.ิ กตฺุสฺส ภาโว กตญญฺ ตุ า (กตญฺญู + ตา) (เพราะตาปจั จยั รัสสะ อู เปน็ อ)ุ อ.ความเป็น แห่งบุคคลผู้รู้อุปการะท่ีบุคคลอ่ืนกระท�ำแล้ว ชื่อว่า กตญฺญุตา (ความเป็น ผรู้ ้อู ุปการะท่ีผอู้ นื่ ท�ำแล้ว) วิ. อปฺปจิ ฺฉสสฺ ภาโว อปฺปจิ ฺฉตา (อปฺปิจฺฉ + ตา) อ.ความเป็น แห่งบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย ช่ือว่า อปฺปิจฺฉตา (ความเป็นผู้มีความ

276 ไวยากรณ์บาลเี บ้ืองต้น ปรารถนาน้อย) วิ. อสสํ คคฺ สสฺ ภาโว อสสํ คฺคตา (อสสํ คฺค + ตา) อ.ความเป็น แห่งบุคคลผู้ไม่มีความเก่ียวข้อง ช่ือว่า อสํสคฺคตา (ความเป็นผู้ไม่มีความ เก่ียวข้อง) ว.ิ ภสฺสารามสสฺ ภาโว ภสสฺ ารามตา (ภสฺสาราม + ตา) อ.ความเป็น แห่งบุคคลผู้มีความยินดีในการพูด ชื่อว่า ภสฺสารามตา (ความเป็นผู้ชอบ พูดมาก) ว.ิ นทิ ทฺ ารามสสฺ ภาโว นทิ ฺทารามตา (นิททฺ าราม + ตา) อ.ความเป็น แห่งบุคคลผู้ชอบในการนอน ชอ่ื ว่า นิทฺทารามตา (ความเปน็ ผ้ชู อบนอนมาก) วิ. ลหโุ น ภาโว ลหตุ า (ลหุ + ตา) อ.ความเปน็ แหง่ วัตถอุ ันเบา ช่อื วา่ ลหตุ า (ความเป็นวตั ถเุ บา) วิ. ปุถุชฺชนสฺส ภาโว ปถุ ุชชฺ นตฺตนํ (ปถุ ชุ ฺชน + ตตฺ น) อ.ความเปน็ แห่งปถุ ุชน ชื่อวา่ ปุถุชชฺ นตตฺ น (ความเปน็ ปถุ ุชน) วิ. อธิปติสฺส ภาโว อาธิปเตยยฺ ํ (อธปิ ติ + เณยยฺ ) (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.ความเปน็ แหง่ บคุ คลผเู้ ปน็ ใหญ่ ชอื่ วา่ อาธิปเตยฺย (ความเป็นใหญ,่ ความเป็นอธิบดี) ว.ิ เถนสฺส ภาโว เถยฺยํ (เถน + เณยฺย) (ลบ น ของ เถน) อ.ความเป็น แหง่ ขโมย ชื่อว่า เถยฺย (ความเป็นขโมย) วิ. วีรานํ ภาโว กมมฺ ํ วา วีรยิ ํ (วีร + ณยฺ ) (ลง อิ อาคม) อ.ความเป็น หรอื อ.กรรม แห่งบุคคลผู้กล้าหาญ ท. ชอ่ื วา่ วรี ิย (ความเปน็ ผู้กล้าหาญ, กรรม ของผ้กู ลา้ หาญ, วริ ยิ ะ) วิ. โสวจสฺสสสฺ ภาโว โสวจสสฺ ตา (โสวจสฺส + ตา) อ.ความเป็น แห่งบุคคลผู้ว่างา่ ย ชือ่ วา่ โสวจสฺสตา (ความเป็นผวู้ า่ งา่ ย) ว.ิ ภสิ คฺคสฺส กมมฺ ํ เภสชฺชํ (ภิสคฺค + ณยฺ ) (วทุ ธิ อิ เป็น เอ, ลบ คฺ, แปลง คยฺ เป็น ช, ซอ้ น ช)ฺ อ.กรรม แห่งหมอ ช่อื ว่า เภสชชฺ (กรรมแหง่ หมอ, เภสชั , ยา) วิ. พฺยาวฏสฺส กมฺมํ เวยยฺ าวจจฺ ํ (พฺยาวฏ + ณฺย) (แปลง พฺ เปน็ วฺ, ลง เอ อาคม) อ.กรรม แห่งบุคคลผขู้ วนขวาย ชือ่ วา่ เวยยฺ าวจจฺ (กรรมแห่งผู้ขวนขวาย) (ฏฺย เป็น ฏ, ฏ เปน็ จจฺ ) ว.ิ สสฺส ภาโว สาเยฺยํ (ส + เณยฺย) (วุทธิ อ เป็น อา, ลง เณยยฺ ปจั จัย) อ.ความเป็น แห่งผู้หลอกลวง ช่อื ว่า สาเยยฺ (ความเป็นผ้หู ลอกลวง) วิ. กรณุ าเยว การุฺํ (กรุณา + ณฺย) (วุทธิ อ เปน็ อา, แปลง ณฺย เป็น , ซ้อน )ฺ (สกตั ถะ) อ.ความเอน็ ดูน่ันเทยี ว ช่ือว่า การุ ฺ (ความเอน็ ด)ู

277 ตัทธิต วา่ ด้วยการยอ่ บทกบั ปจั จยั เข้าดว้ ยกัน ว.ิ ปตฺตกาลเมว ปตตฺ กลลฺ ํ (ปตฺตกาล + ณยฺ ) (รสั สะ อา เปน็ อ, แปลง ลยฺ เปน็ ล, ซอ้ น ล)ฺ อ.กรรมอนั มีกาลอันสมควรนัน่ เทยี ว ชอ่ื ว่า ปตฺตกลฺล (กรรมมกี าลอันสมควรนน่ั เทียว) ว.ิ อากาสานนฺโตเยว อากาสานจฺ ํ (อากาสานนตฺ + ณฺย) (แปลง ตฺย เปน็ จ, แปลง นฺ เป็น นิคหติ ) อ.อากาศอันไม่มีทส่ี ดุ นั่นเทยี ว ชื่อวา่ อากาสานจฺ (อากาศไมม่ ีทส่ี นิ้ สดุ ) วิ. กายปาคุ ฺ เมว กายปาคุฺตา (กายปาคุ ฺ + ตา) อ.ความคล่องแคล่วแห่งหมู่เจตสิกนั่นเทียว ชื่อว่า กายปาคุฺตา (ความคล่องแคล่วแห่ง หมู่เจตสิก) ว.ิ มุทุโน ภาโว มททฺ วํ (มทุ ุ + ณ) (แปลง อุ เป็น อา, ซอ้ น ทฺ, รัสสะ อา เปน็ อ, แปลง อุ หลงั เปน็ อว) อ.ความเปน็ แหง่ ผู้ออ่ นโยน ชอื่ ว่า มทฺทว (ความเปน็ แหง่ ผอู้ อ่ นโยน) ว.ิ มุทโุ น ภาโว มทุ ุตา (มุทุ + ตา) อ.ความเป็น แหง่ ผู้ออ่ นโยน ชอื่ วา่ มทุ ุตา (ความเปน็ แห่งผู้ออ่ นโยน) วิ. ปรมานํ ภาโว กมฺมํ วา ปารม,ี ทานาทกิ รฺ ิยา (ปรม + ณ + อี) (วุทธิ อ เป็น อา) อ.ความเป็น หรือ อ.กรรม แห่งพระโพธิสัตว์เป็นต้น ท. ผู้ประเสริฐ ชื่อว่า ปารมี, ได้แก่ กิรยิ า มกี ารใหท้ านเป็นตน้ ว.ิ สมคฺคานํ ภาโว สามคคฺ ี (สมคฺค + ณ + อ)ี (วุทธิ อ เปน็ อา) อ.ความเป็น แห่งชนผู้พร้อมเพรยี งกัน ท. ชอ่ื วา่ สามคคฺ ี (ความเปน็ ผู้พรอ้ มเพรยี งกนั ) ว.ิ รมณียสฺส ภาโว รามณยี กํ (รมณยี + กณ)ฺ (ลบ ณฺ, วุทธิ อ เป็น อา) อ.ความเปน็ แหง่ สถานทอี่ นั นา่ รนื่ รมย์ ชอ่ื วา่ รามณยี ก (ความเปน็ แหง่ สถานทอี่ นั นา่ รน่ื รมย)์

278 ไวยากรณ์บาลีเบอ้ื งต้น ๗.๔ วิเสสตัทธติ วิเสสตัทธิต คือ ตัทธิตที่ลงหลังคุณศัพท์ มีปัจจัย ๕ ตัว คือ ตร, ตม, อิสิก, อิย และ อิฏฺ ปจั จัย ศพั ทท์ ล่ี งปจั จยั ๓ ตัว คือ ตร, อิสิก และ อยิ ปัจจยั รปู สำ� เร็จทำ� หนา้ ท่ีเปน็ คุณศัพท์ชั้นวิเศษ และศัพท์ท่ีลงปัจจัย ๒ ตัว คือ ตม และ อิฏฺ ปัจจัย รูปส�ำเร็จท�ำหน้าที่ เป็นคุณศพั ทช์ น้ั อติวเิ ศษ (ชน้ั สูงสดุ ) ว.ิ สพฺเพ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มสํ วเิ สเสน ปาโปติ ปาปตโร, ปุรโิ ส (ปาป + ตร) (ปงุ ลิงค์) อ.บรุ ษุ ท.เหลา่ นี้ ทง้ั ปวง เปน็ ผเู้ ลว, อ.- แหง่ บรุ ษุ ท.เหลา่ นห้ี นา -บรุ ษุ น้ี เปน็ ผเู้ ลว โดยพเิ ศษ เพราะเหตนุ ้นั ชอ่ื ว่า ปาปตร, ได้แก่ บุรษุ (ผเู้ ลวกวา่ ) ว.ิ สพฺพาโย อมิ าโย ปาปาโย, อยมมิ าสํ วิเสเสน ปาปาติ ปาปตรา, อติ ฺถี (ปาป + ตร + อา) อ.หญิง ท.เหล่านี้ ท้ังปวง เป็นผู้เลว, อ.- แห่งหญิง ท.เหล่าน้ีหนา -หญิงนี้ เป็นผู้เลว โดยพเิ ศษ เพราะเหตุนั้น ช่ือวา่ ปาปตรา, ไดแ้ ก่ หญิง (ผู้เลวกวา่ ) (อิตถีลงิ ค)์ ว.ิ สพฺพานิ อิมานิ ปาปาน,ิ อิทมเิ มสํ วเิ สเสน ปาปนฺติ ปาปตร,ํ กุลํ (ปาป + ตร) (นปงุ สกลงิ ค์) อ.ตระกลู ท. เหล่าน้ี ทั้งปวง เปน็ ผู้เลว, อ.- แห่งตระกลู ท.เหล่านี้หนา -ตระกลู น้ี เปน็ ผเู้ ลว โดยพิเศษ เพราะเหตนุ น้ั ชอื่ วา่ ปาปตร, ไดแ้ ก่ ตระกลู (ผ้เู ลวกวา่ ) ว.ิ สพเฺ พ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มสํ อตสิ เยน ปาโปติ ปาปตโม, ชโน (ปาป + ตม) (ตโตปิ อธิโก) อ.ชน ท.เหล่านี้ ท้ังปวง เป็นผู้เลว, อ.- แห่งชน ท.เหล่านี้หนา -ชนน้ี เป็นผู้เลว โดยยิ่ง เพราะเหตุน้ัน ช่ือว่า ปาปตม, ได้แก่ ชน (ผู้เลวทส่ี ดุ ) วิ. สพฺเพ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มสํ วิเสเสน ปาโปติ ปาปิสิโก, ชโน (ปาป + อสิ กิ ) อ.ชน ท.เหล่านี้ ท้งั ปวง เป็นผูเ้ ลว, อ.- แหง่ ชน ท.เหลา่ นีห้ นา -ชนนี้ เป็นผเู้ ลว โดยพิเศษ เพราะเหตุน้นั ช่อื วา่ ปาปิสิก, ได้แก่ ชน (ผเู้ ลวกวา่ ) วิ. สพฺเพ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มสํ วิเสเสน ปาโปติ ปาปิโย, ชโน (ปาป + อิย) อ.ชน ท.เหลา่ น้ี ท้งั ปวง เปน็ ผเู้ ลว, อ.- แหง่ ชน ท. เหล่านหี้ นา -ชนนี้ เป็นผู้เลว โดยพเิ ศษ เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า ปาปยิ , ไดแ้ ก่ ชน (ผู้เลวกวา่ ) ว.ิ สพเฺ พ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มสํ อตสิ เยน ปาโปติ ปาปฏิ โฺ , ชโน (ปาป + อิฏฺ ) อ.ชน ท.เหล่าน้ี ท้ังปวง เป็นผู้เลว, อ.- แห่งชน ท.เหล่าน้ีหนา -ชนน้ี เป็นผู้เลว โดยย่ิง เพราะเหตุนั้น ช่อื วา่ ปาปฏิ ฺ , ไดแ้ ก่ ชน (ผเู้ ลวทีส่ ุด) ว.ิ สพเฺ พ อเิ ม ปาปา, อยมเิ มสํ อตสิ เยน ปาโปติ ปาปิฏฺ ตโร, ชโน (ปาป + อฏิ ฺ + ตร) อ.ชน ท.เหล่าน้ี ทั้งปวง เป็นผู้เลว, อ.- แห่งชน ท.เหล่านี้หนา -ชนนี้ เป็นผู้เลว โดยย่ิง เพราะเหตุนน้ั ชื่อวา่ ปาปฏิ ฺตร, ไดแ้ ก่ชน (ผู้เลวท่สี ุด)

279 ตัทธติ วา่ ดว้ ยการย่อบทกบั ปัจจยั เข้าด้วยกัน ว.ิ สพฺเพ อิเม วุฑฒฺ า, อยมิเมสํ วิเสเสน วฑุ โฺ ฒติ เชยฺโย (วุฑฺฒ + อิย) (แปลง วฑุ ฒฺ เปน็ ช) อ.ชน ท.เหลา่ น้ี ทั้งปวง เป็นผู้เจรญิ , อ.- แหง่ ชน ท.เหล่านห้ี นา -ชนนี้ เป็นผูเ้ จริญ โดยพิเศษ เพราะเหตุนน้ั ชื่อวา่ เชยยฺ (ผู้เจรญิ กว่า) (ลบสระหนา้ , เม่อื ลบสระหนา้ แล้ว วิการ อิ เปน็ เอ) วิ. สพฺเพ อเิ ม วุฑฒฺ า, อยมิเมสํ อติสเยน วุฑโฺ ฒติ เชฏโฺ  (วฑุ ฺฒ + อฏิ ฺ ) (แปลง วุฑฒฺ เปน็ ช) อ.ชน ท.เหล่านี้ ทั้งปวง เปน็ ผู้เจริญ, อ.- แห่งชน ท.เหล่าน้หี นา -ชนน้ี เป็นผู้เจรญิ โดยยิ่ง เพราะเหตนุ ้ัน ชือ่ ว่า เชฏฺ (ผูเ้ จรญิ ทีส่ ดุ ) (ลบสระหนา้ , เมื่อลบสระหนา้ แลว้ วกิ าร อิ เปน็ เอ) วิ. อยญฺจ ปสตฺโถ อยญฺจ ปสตฺโถ, สพฺเพ อิเม ปสตฺถา, อยมิเมสํ วิเสเสน ปสตฺโถติ เสยฺโย (ปสตถฺ + อิย) (แปลง ปสตฺถ เป็น ส, ลบสระหนา้ , เมอ่ื ลบสระหนา้ แลว้ วิการ อิ เป็น เอ) อ.บุคคลนี้ด้วย เป็นผู้ประเสริฐ อ.บุคคลนี้ด้วย เป็นผู้ประเสริฐ, อ.ชน ท.เหล่านี้ ทั้งปวง เปน็ ผู้ประเสรฐิ , อ.- แหง่ ชน ท.เหล่านี้หนา -บุคคลนี้ เปน็ ผ้ปู ระเสริฐ โดยพิเศษ เพราะเหตุน้ัน ชอื่ วา่ เสยฺย (ผปู้ ระเสรฐิ กว่า) วิ. สพเฺ พ อเิ ม ปสตถฺ า, อยมเิ มสํ อตสิ เยน ปสตโฺ ถติ เสฏโฺ  (ปสตถฺ + อิฏฺ) อ.ชน ท.เหล่านี้ ท้งั ปวง เปน็ ผ้ปู ระเสรฐิ , อ.- แหง่ ชน ท.เหล่าน้หี นา -บุคคลนี้ เป็นผู้ประเสริฐ โดยย่ิง เพราะเหตุนั้น ชือ่ วา่ เสฏฺ (ผู้ประเสริฐทีส่ ดุ ) วิ. อตสิ เยน อปโฺ ปติ กณิฏโฺ  (อปปฺ + อิฏฺ ) อ.ผู้น้อย โดยยิง่ เพราะเหตนุ ัน้ ชื่อว่า กณฏิ ฺ (ผู้นอ้ ยท่ีสุด) วิ. วเิ สเสน สตมิ าติ สตโิ ย (สตมิ นฺตุ + อยิ ) อ.บุคคลผู้มีสติ โดยพเิ ศษ เพราะเหตนุ ัน้ ชอ่ื วา่ สตยิ (ผมู้ สี ตกิ ว่า) วิ. อติสเยน สติมาติ สติฏโฺ  (สตมิ นตฺ ุ + อฏิ ฺ) อ.บคุ คลผ้มู ีสติ โดยยง่ิ เพราะเหตุนัน้ ชอื่ ว่า สตฏิ ฺ (ผู้มสี ตทิ ่ีสุด) ๗.๕ อัสสัตถติ ัทธิต อัสสัตถิตัทธิต คือ ตัทธิตที่มี “อสฺส+อตฺถิ” หรือเรียกว่า “ตทัสสัตถิตัทธิต” แปลว่า “สง่ิ นน้ั ของบคุ คลนั้น มีอย”ู่ มปี ัจจัย ๑๒ ตวั คือ วี, โส, อลิ , ว, อาล, สี, อกิ , อ,ี ร, วนตฺ ,ุ มนฺตุ และ ณ ปจั จยั รปู ส�ำเร็จท�ำหน้าที่เปน็ คุณศพั ท์ (วเิ สสนะ) มบี างตัวที่นยิ มแปลเป็นวิเสสยะ คำ� แปลของอสั สัตถิตัทธิต แปลวา่ “ผูม้ ี..., อนั ม.ี ..” วิ. เมธา ยสสฺ อตถฺ ตี ิ เมธาว,ี ปรุ ิโส (เมธา + วี) อ.ปญั ญา ของบรุ ษุ ใด มีอยู่ เพราะเหตนุ ั้น อ.บรุ ุษนนั้ ชอื่ วา่ เมธาวี, ไดแ้ ก่บุรุษ (ผู้มปี ญั ญา) ว.ิ สเุ มธา ยสฺส อตถฺ ตี ิ สุเมธโส (สเุ มธา + โส) (รัสสะ อา ท่ี ธา เปน็ อ) อ.ปัญญาดี ของบุคคลใด มีอยู่ เพราะเหตนุ ้นั อ.บุคคลน้ัน ชือ่ ว่า สเุ มธโส (ผู้มปี ญั ญาดี)

280 ไวยากรณ์บาลีเบื้องตน้ ว.ิ ชฏา อสสฺ อตฺถตี ิ ชฏโิ ล (ชฏา + อิล) อ.มวยผม ของฤาษนี ้นั มอี ยู่ เพราะเหตุนน้ั อ.ฤาษนี น้ั ช่ือวา่ ชฏลิ (ผมู้ ีมวยผม) วิ. เกสา อสสฺ อตฺถตี ิ เกสโว (เกส + ว) อ.ผม ท. ของฤาษนี น้ั มีอยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.ฤาษีนนั้ ชอื่ ว่า เกสว (ผู้มีผม) วิ. สขุ มุ ํ อสสฺ อตฺถตี ิ สขุ ุมาโล (สขุ มุ + อาล) อ.ความละเอยี ดอ่อน แห่งบุคคลนั้น มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.บุคคลน้ัน ชื่อว่า สุขมุ าล (ผู้มีความ ละเอียดอ่อน) วิ. ตโป อสฺส อตถฺ ตี ิ ตปสสฺ ,ี ปุคฺคโล (ตป + สี) (ปงุ ลงิ ค)์ (ซ้อน ส)ฺ อ.ตบะ (ขอ้ ปฏบิ ัต)ิ ของบุคคลนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตุนัน้ อ.บุคคลนนั้ ช่ือว่า ตปสฺสี (ผมู้ ีตบะ) ว.ิ ตโป อสฺสา อตถฺ ตี ิ ตปสฺสิน,ี อิตถฺ ี (ตป + สี + อินี) (อติ ถีลงิ ค์) (ลง อินีปจั จยั ) อ.ตบะ (ข้อปฏิบัติ) ของหญิงน้ัน มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน อ.หญิงน้ัน ช่ือว่า ตปสฺสินี (หญิง ผมู้ ีตบะ) ว.ิ ตโป อสสฺ อตถฺ ีติ ตปสฺสิ, กุลํ (ตป + สี) (นปงุ สกลิงค)์ (รัสสะ) อ.ตบะ (ขอ้ ปฏบิ ัต)ิ ของตระกลู น้ัน มีอยู่ เพราะเหตุน้นั อ.ตระกูลนั้น ช่ือวา่ ตปสสฺ ิ (ตระกลู ท่ี มีตบะ) วิ. ทณโฺ ฑ อสสฺ อตฺถตี ิ ทณฺฑโิ ก, ปคุ ฺคโล (ทณฑฺ + อิก) (ปุงลิงค์) อ.ไม้เทา้ ของบุคคลนั้น มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.บุคคลนั้น ชอื่ วา่ ทณฑฺ ิก (ผมู้ ีไมเ้ ทา้ ) ว.ิ ทณฺโฑ อสฺส อตฺถีติ ทณฺฑ,ี ปุริโส (ทณฑฺ + อี) (ปงุ ลิงค)์ อ.ไม้เทา้ ของบุรษุ นั้น มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้ัน อ.บรุ ษุ นนั้ ชอื่ วา่ ทณฺฑี (ผู้มไี มเ้ ทา้ ) วิ. ทณโฺ ฑ อสสฺ า อตฺถตี ิ ทณฑฺ ิน,ี อติ ถฺ ี (ทณฑฺ + อี + อนิ ี) (อติ ถีลิงค)์ อ.ไมเ้ ทา้ ของหญิงน้นั มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.หญงิ นั้น ชอื่ ว่า ทณฺฑนิ ี (ผู้มีไม้เท้า) วิ. มธุ อสสฺ อตฺถตี ิ มธโุ ร, คุโฬ (มธุ + ร) อ.รสหวาน ของน้�ำตาลก้อนนั้น มีอยู่ เพราะเหตุนั้น อ.นำ�้ ตาลก้อนนั้น ช่ือว่า มธุร, ได้แก่ น�้ำตาลก้อน (มรี สหวาน) ว.ิ สลี ํ อสสฺ อตถฺ ตี ิ สลี วา, ปุริโส (สีล + วนตฺ )ุ อ.ศีล ของบรุ ุษนน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.บรุ ุษนน้ั ชือ่ ว่า สีลวนฺตุ (ผู้มศี ีล) ว.ิ ปญฺา อสฺส อตถฺ ตี ิ ปฺ วา, ปรุ โิ ส (ปฺา + วนฺตุ) (รัสสะ อา เป็น อ) อ.ปัญญา ของบรุ ุษนนั้ มีอยู่ เพราะเหตนุ น้ั อ.บรุ ษุ นั้น ชอ่ื ว่า ปญฺ วนฺตุ (ผู้มปี ัญญา) ว.ิ สติ อสฺส อตฺถตี ิ สตมิ า, ปุคคฺ โล (สติ + มนตฺ )ุ (ปุงลิงค์) (แปลง นตฺ ุ+สิ เป็น อา) อ.สติ ของบคุ คลนัน้ มอี ยู่ เพราะเหตนุ ั้น อ.บคุ คลนนั้ ชอ่ื วา่ สติมนฺตุ (ผูม้ สี ติ) วิ. สติ อสฺสา อตถฺ ีติ สติมต,ี อติ ถฺ ี (สติ + มนตฺ ุ + อ)ี (อติ ถลี งิ ค)์ อ.สติ ของหญงิ นน้ั มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้ัน อ.หญิงนั้น ชื่อว่า สติมต,ี ได้แก่หญิง (ผู้มสี ติ)

281 ตทั ธิต ว่าด้วยการยอ่ บทกบั ปจั จัยเข้าดว้ ยกนั วิ. สติ อสสฺ อตฺถีติ สติมํ, กลุ ํ (สติ + มนตฺ )ุ (นปงุ สกลงิ ค์) อ.สติ ของตระกลูนัน้ มีอยู่ เพราะเหตุนนั้ อ.ตระกูลน้นั ชื่อว่า สตมิ นฺตุ (ผูม้ ีสติ) วิ. อายุ อสสฺ อตถฺ ตี ิ อายสมฺ า, ภกิ ขฺ ุ (อายุ + มนตฺ )ุ (แปลง อุ เปน็ อส,ฺ แปลง นตฺ ุ กบั สิ เปน็ อา) อ.อายุ ของภิกษุน้ัน มีอยู่ เพราะเหตนุ ้ัน อ.ภกิ ษุนน้ั ชื่อว่า อายสฺมนฺต,ุ ได้แกภ่ ิกษุ (ผู้มีอาย)ุ วิ. สทธฺ า อสฺส อตถฺ ตี ิ สทฺโธ, ปรุ ิโส (สทฺธา + ณ) (ปงุ ลงิ ค)์ อ.ศรทั ธา ของบรุ ษุ นนั้ มีอยู่ เพราะเหตุน้นั อ.บุรุษนน้ั ชื่อว่า สทฺธ (ผมู้ ีศรัทธา) ว.ิ สทฺธา อสฺสา อตถฺ ตี ิ สทฺธา, อติ ถฺ ี (สทฺธา + ณ + อา) (อติ ถีลิงค์) อ.ศรัทธา ของหญิงนน้ั มีอยู่ เพราะเหตนุ ้ัน อ.หญิงนั้น ช่ือว่า สทฺธา (ผูม้ ีศรัทธา) ว.ิ สทธฺ า อสสฺ อตฺถีติ สทธฺ ํ, กลุ ํ (สทฺธา + ณ) (นปงุ สกลงิ ค)์ อ.ศรัทธา ของตระกูลนั้น มีอยู่ เพราะเหตุน้ัน อ.ตระกูลนน้ั ช่อื ว่า สทธฺ (ผู้มีศรัทธา) วิ. ปญฺ า อสฺส อตฺถีติ ปโฺ , ปคุ ฺคโล (ปฺ า + ณ) อ.ปญั ญา ของบคุ คลน้ัน มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.บุคคลนั้น ชื่อวา่ ปฺ (ผูม้ ีปญั ญา) ๗.๖ สังขยาตัทธติ สังขยาตัทธิต คือ ตัทธิตที่เก่ียวข้องกับจ�ำนวน ปัจจัยท่ีลงในอรรถสังขยาตัทธิตมี ๖ ตัว โดยเปน็ ปรู ณสังขยา มปี จั จัย ๕ ตัว คือ ตยิ , ถ, , ม และ อี ปจั จยั แปลว่า “ที.่ ..” และ ทีเ่ ป็นอเนกตั ถะสังขยามีปจั จยั ๑ ตวั คอื ก ปจั จัย ค�ำว่า “ปรู ณสังขยา” หมายถึง สงั ขยาเปน็ เหตุเตม็ ดังมรี ูปวเิ คราะหว์ ่า “ปรู ยติ สงขฺ ฺ ยา อเนนาติ ปรู โณ (ปรู + ย)ุ อ.สังขยา ย่อมเต็ม ด้วยอรรถนี้ เพราะเหตุน้นั ชือ่ ว่า ปูรณ (เปน็ เครื่องเตม็ , เปน็ เหตเุ ต็ม), สงขฺ ฺยาย ปรู โณ สงขฺ ยฺ าปูรโณ (สงฺขฺยา + ปูรณ) อ.เหตอุ ันเตม็ แหง่ สงั ขยา ชือ่ ว่า สงฺขฺยาปูรณ (สงั ขยาเปน็ เหตุเตม็ )” ว.ิ ทวฺ ินฺนํ ปรู โณ ทตุ โิ ย, ปรุ ิโส (ทวฺ ิ + ตยิ ) (แปลง ทฺวิ เป็น ทุ) อ.บรุ ุษ อนั เป็นเหตเุ ต็ม แหง่ สอง ท. ชือ่ ว่า ทตุ ยิ , ได้แกบ่ ุรุษ (ท่สี อง) ว.ิ ทฺวนิ นฺ ํ ปรู ณี ทุตยิ า, อิตถฺ ี (ทวฺ ิ + ติย + อา) อ.หญิง อันเปน็ เหตุเต็ม แหง่ สอง ท. ช่ือวา่ ทุติยา, ได้แก่หญงิ (ทีส่ อง) วิ. ทฺวินนฺ ํ ปูรณํ ทุติยํ, กลุ ํ (ทวฺ ิ + ตยิ ) อ.ตระกลู อันเป็นเหตเุ ต็ม แห่งสอง ท. ชือ่ วา่ ทตุ ยิ , ไดแ้ กต่ ระกลู (ทสี่ อง) วิ. ติณณฺ ํ ปูรโณ ตติโย, ปรุ โิ ส (ติ + ติย) (แปลง ติ เปน็ ต) อ.บุรุษ อันเป็นเหตเุ ตม็ แห่งสาม ท. ช่อื วา่ ตติย, ได้แกบ่ รุ ุษ (ทีส่ าม) ว.ิ ตณิ ณฺ ํ ปรู ณี ตตยิ า, อติ ฺถี (ติ + ติย + อา) อ.หญงิ อนั เป็นเหตุเต็ม แหง่ สาม ท. ชือ่ วา่ ตตยิ า, ไดแ้ กห่ ญงิ (ที่สาม)

282 ไวยากรณ์บาลีเบ้ืองตน้ ว.ิ ติณฺณํ ปรู ณํ ตติยํ, กลุ ํ (ติ + ตยิ ) อ.ตระกูล อนั เป็นเหตเุ ตม็ แหง่ สาม ท. ชอื่ วา่ ตติย, ได้แกต่ ระกลู (ที่สาม) วิ. จตนุ ฺนํ ปูรโณ จตตุ โฺ ถ (จตุ + ถ) (ตฺ อสทิสเทวภาวะ) อ.อรรถอนั เป็นเหตุเต็ม แห่งส่ี ท. ชอื่ ว่าจตุตถฺ (ทสี่ ่ี) ว.ิ จตนุ ฺนํ ปรู ณี จตุตถฺ ,ี จตุตฺถา (จตุ + ถ + อ,ี อา) อ.ดิถีอนั เป็นเหตเุ ต็ม แห่งสี่ ท. ชื่อว่า จตุตฺถ,ี จตตุ ฺถา (ทีส่ )ี่ วิ. จตุนฺนํ ปูรณํ จตุตฺถํ (จตุ + ถ) อ.ตระกูลอนั เปน็ เหตุเต็ม แหง่ สี่ ท. ชือ่ วา่ จตุตฺถ (ทสี่ ่)ี วิ. ปญฺจนฺนํ ปรู โณ ปญจฺ โม (ปญจฺ + ม) อ.อรรถอันเปน็ เหตุเต็ม แหง่ ห้า ท. ชื่อวา่ ปญจฺ ม (ทห่ี า้ ) ว.ิ ปญจฺ นนฺ ํ ปรู ณี ปญจฺ ม,ี ปญจฺ มา, วีรยิ ปารมี (ปญจฺ + ม + อี, อา) อ.วริ ยิ บารมี อนั เปน็ เหตุเต็ม แห่งหา้ ท. ชอ่ื วา่ ปญจฺ ม,ี ปญฺจมา, ไดแ้ ก่วิริยบารมี (ท่หี ้า) ว.ิ ปญจฺ นนฺ ํ ปรู ณํ ปญฺจมํ, ฌานํ (ปญฺจ + ม) อ.ฌาน อนั เปน็ เหตุเตม็ แหง่ หา้ ท. ช่ือว่า ปญฺจม, ได้แก่ฌาน (ที่ห้า) ตวั อย่างทีล่ ง ม ปจั จยั และวิเคราะหเ์ หมอื น ปญฺจสังขยา มดี งั นี้ สตตฺ โม, สตตฺ มี สตฺ ตมา, สตฺตมํ (ที่ ๗), อฏฺ โม, อฏฺมี อฏฺมา, อฏฺ มํ (ที่ ๘), นวโม, นวมี นวมา, นวมํ (ท่ี ๙), ทสโม, ทสมี ทสมา, ทสมํ (ท่ี ๑๐) วิ. ฉนฺนํ ปรู โณ ฉฏฺโ (ฉ + ) (ฏฺ อสทิสเทวภาวะ) อ.อรรถอนั เป็นเหตเุ ต็ม แหง่ หก ท. ชอื่ ว่า ฉฏฺ (ท่ีหก) วิ. ฉนนฺ ํ ปูรณี ฉฏฺ ,ี ฉฏฺ า (ฉ +  + อี, อา) อ.ดิถีอนั เป็นเหตุเตม็ แห่งหก ท. ชอ่ื วา่ ฉฏฺ ,ี ฉฏฺา (ทหี่ ก) ว.ิ ฉนนฺ ํ ปูรณํ ฉฏฺ .ํ (ฉ + ) อ.ตระกลู อันเป็นเหตเุ ตม็ แหง่ หก ท. ชอ่ื ว่า ฉฏฺ (ทห่ี ก) วิ. ฉฏโฺ  เอว ฉฏฺ โม (ฉฏฺ + ม) (ลง มปจั จัย) อ.ทีห่ กน่นั เทยี ว ชอื่ วา่ ฉฏฺ ม (ทีห่ ก) ว.ิ เอกาทสนฺนํ ปรู ณี เอกาทส,ี อติ ถฺ ี (เอกาทส + อี) อ.หญิงผ้เู ป็นเหตุเตม็ แหง่ หญิง ท. สิบเอ็ด ชอ่ื วา่ เอกาทสี, ได้แกห่ ญงิ (ท่สี ิบเอด็ ) ว.ิ เอกาทสนนฺ ํ ปูรโณ เอกาทสโม, ปรุ โิ ส (เอกาทส + ม) อ.บรุ ษุ ผเู้ ปน็ เหตุเตม็ แห่งบุรุษ ท. สบิ เอ็ด ช่อื วา่ เอกาทสม (ทสี่ บิ เอ็ด)

283 ตัทธติ ว่าดว้ ยการยอ่ บทกบั ปัจจยั เข้าดว้ ยกัน วิ. เอกาทสนฺนํ ปรู ณํ เอกาทสม,ํ กลุ ํ (เอกาทส + ม) อ.ตระกูลผูเ้ ปน็ เหตเุ ตม็ แห่งตระกลู ท. สิบเอ็ด ช่ือวา่ เอกาทสม (ทสี่ บิ เอด็ ) วิ. ทฺวาทสนนฺ ํ ปูรโณ พารสโม, ทฺวาทสโม, ปุรโิ ส (ทวฺ าทส + ม) อ.บุรษุ ผู้เปน็ เหตเุ ตม็ แหง่ บรุ ุษ ท. สิบสอง ชอื่ ว่า พารสม, ทวฺ าทสม (ทสี่ บิ สอง) วิ. ทฺวาทสนนฺ ํ ปูรณี ทวฺ าทสี, อิตถฺ ี (ทฺวาทส + อี) อ.หญิงผู้เปน็ เหตเุ ต็ม แห่งหญงิ ท. สิบสอง ชื่อว่า ทวฺ าทสี (ท่ีสิบสอง) ว.ิ เตรสนนฺ ํ ปูรโณ เตรสโม, ปุริโส (เตรส + ม) อ.บุรุษผเู้ ป็นเหตุเต็ม แห่งบุรุษ ท. สบิ สามคน ช่ือว่า เตรสม (ทีส่ บิ สาม) วิ. เตรสนนฺ ํ ปรู ณี เตรสี, อิตถฺ ี (เตรส + อี) อ.หญิงผู้เป็นเหตุเตม็ แห่งหญิง ท. สิบสามคน ชอ่ื ว่า เตรสี, ไดแ้ ก่หญงิ (ทีส่ บิ สาม) วิ. จตุทฺทสนฺนํ ปูรโณ จุทฺทสโม, จตทุ ฺทสโม, ปุรโิ ส (จทุ ทฺ ส + ม, จตุทฺทส + ม) อ.บุรุษผู้เปน็ เหตุเตม็ แหง่ บรุ ษุ ท. สิบส่ีคน ช่อื ว่า จุททฺ สม, จตุทฺทสม, ไดแ้ ก่บรุ ุษ (ทสี่ ิบสี่) วิ. จตุทฺทสนฺนํ ปรู ณี จตทุ ฺทส,ี จาตุททฺ สี วา, อิตฺถี (จตุทฺทส + อี) อ.หญงิ ผู้เป็นเหตเุ ต็ม แหง่ หญิง ท. สิบส่ีคน ชือ่ ว่า จตทุ ฺทสี, จาตทุ ทฺ สี, ได้แกห่ ญิง (ทสี่ บิ สี่) ว.ิ ปญฺจทสนนฺ ํ ปรู โณ ปนนฺ รสโม, ปญจฺ ทสโม, ปุรโิ ส (ปญจฺ ทส + ม) อ.บรุ ษุ ผเู้ ปน็ เหตเุ ตม็ แหง่ บรุ ษุ ท. สบิ หา้ คน ชอื่ วา่ ปนนฺ รสม, ปญจฺ ทสม, ไดแ้ กบ่ รุ ษุ (ทส่ี บิ หา้ ) ว.ิ ปญจฺ ทสนนฺ ํ ปรู ณี ปนนฺ รส,ี ปญจฺ ทสี, อติ ฺถี (ปญฺจทส + อ)ี อ.หญิงผ้เู ปน็ เหตุเตม็ แห่งหญิง ท. สบิ ห้าคน ชือ่ วา่ ปนฺนรสี, ปญฺจทสี, ไดแ้ กห่ ญงิ (ทส่ี บิ ห้า) ว.ิ โสฬสนนฺ ํ ปูรโณ โสฬสโม, ปรุ โิ ส (โสฬส + ม) อ.บุรุษผ้เู ป็นเหตุเต็ม แห่งบรุ ุษ ท. สบิ หก ช่ือวา่ โสฬสม, ได้แกบ่ ุรษุ (ทส่ี บิ หก) ว.ิ โสฬสนฺนํ ปูรณี โสฬส,ี อติ ฺถี (โสฬส + อ)ี อ.หญงิ ผู้เป็นเหตุเต็ม แห่งหญิง ท. สบิ หก ช่ือว่า โสฬส,ี ไดแ้ ก่หญิง (ทส่ี บิ หก) ว.ิ สตฺตรสนนฺ ํ ปูรโณ สตตฺ รสโม, สตตฺ ทสโม, ปุรโิ ส (สตฺตทส + ม) อ.บรุ ษุ ผเู้ ปน็ เหตเุ ตม็ แหง่ บรุ ษุ ท. สบิ เจด็ คน ชอื่ วา่ สตตฺ รสม, สตตฺ ทสม, ไดแ้ กบ่ รุ ษุ (ทสี่ บิ เจด็ ) วิ. อฏฺารสนฺนํ ปูรโณ อฏฺ ารสโม, อฏฺาทสโม, ปรุ ิโส (อฏฺ าทส + ม) อ.บุรุษผู้เป็นเหตุเต็ม แห่งบุรุษ ท. สิบแปดคน ช่ือว่า อฏฺารสม, อฏฺาทสม, ได้แก่บุรุษ (ท่ีสิบแปด) วิ. เอกูนวีสตยิ า ปูรโณ เอกูนวสี ติโม, ปรุ โิ ส (เอกูนวสี ติ + ม) อ.บรุ ุษผู้เปน็ เหตเุ ต็ม แห่งบรุ ุษ ท. สิบเกา้ คน ช่อื วา่ เอกนู วีสตมิ , ได้แกบ่ รุ ุษ (ทีส่ ิบเก้า) วิ. วสี ตยิ า ปรู โณ วสี ติโม, ปรุ ิโส (วีสติ + ม) อ.บุรุษผูเ้ ปน็ เหตุเต็ม แหง่ บุรุษ ท. ยี่สบิ ชือ่ ว่า วสี ติม, ได้แก่บุรุษ (ทย่ี ีส่ ิบ)

284 ไวยากรณ์บาลีเบ้ืองตน้ สังขยา มี ๕ ประการ คอื (๑) มิสสฺ สงฺขฺยา = สังขยาผสมกัน หรอื สงั ขยาบวก เช่น เอกาทส = เอก + ทส (สงั ขยา ต้งั แต่ ๑๑ ถึง ๙๙ เปน็ สงั ขยาบวก) (เอกาทส ถึง เอกูนสต) (๒) คุณติ สงขฺ ยฺ า = สังขยาคณู เชน่ ติสตํ แปลว่า สามร้อย มาจากรปู วเิ คราะห์ว่า “ตหี ิ คณุ ติ ํ สตํ ตสิ ต”ํ อ.ร้อย อนั ถูกคูณ ดว้ ยสาม ท. ช่อื วา่ ตสิ ต (สต x ต)ิ สามรอ้ ย (๑๐๐ x ๓ = ๓๐๐), จตตฺ าริ สตสหสสฺ านิ ฉฬภิญฺา มหิทฺธกิ า ภกิ ษุผมู้ ีอภิญญา ๖ มฤี ทธิม์ าก มสี แี่ สนรปู (๔๐๐,๐๐๐) ในตวั อยา่ งนี้ บทวา่ จตตฺ าริ แปลวา่ ส,่ี บทวา่ สตสหสสฺ านิ แปลวา่ หนงึ่ แสน น�ำไปคณู กนั คือ ๑๐๐,๐๐๐ x ๔ = ๔๐๐,๐๐๐ (๓) สมฺพนฺธสงฺขฺยา = สังขยาสัมพันธ์กัน หมายความว่าศัพท์ที่เป็นสังขยาศัพท์ สุดท้าย ต้องน�ำไปคูณกับสังขยาศัพท์ข้างหน้าทีละศัพท์ โดยสังขยาศัพท์สุดท้ายเป็นสังขยา หลกั แล้วนำ� ไปคณู กับสงั ขยาตวั ที่อยู่ขา้ งหนา้ ของสังขยาหลักทีละตัว เช่น “จตุราสีตสิ หสฺสานิ” แปดหม่นื สี่พนั (๘๔,๐๐๐) มาจาก “จตุ แปลว่า ส,ี่ อสีติ แปลวา่ แปดสิบ, สหสฺส แปลว่า หนึง่ พนั ” ในตัวอย่างนี้ บทว่า “สหสฺส” ซึ่งแปลว่า “หนึ่งพัน”นี้ จะต้องไปสัมพันธ์กับศัพท์ข้างหน้า คือ สหสสฺ x อสีติ = แปดหมน่ื (๑,๐๐๐ x ๘๐ = ๘๐,๐๐๐), สหสฺส x จตุ = ส่พี นั (๑,๐๐๐ x ๔ = ๔,๐๐๐) เม่อื รวมกนั แลว้ จงึ แปลว่า แปดหม่นื สีพ่ ัน (๘๔,๐๐๐) เปน็ ต้น (๔) สงเฺ กตสงฺขยฺ า = สงั ขยาทใ่ี ช้สิง่ ท่ีมีปรากฏอยู่ในโลกเป็นเครอ่ื งสงั เกต ๔.๑ ใช้อักษรในภาษาบาลแี ละสันสกฤตเปน็ เครอ่ื งสังเกต ดังน้ี กาที ฏาที ยการาท ี นวสงฺขฺยา ปกาสิตา ปญจฺ สงขฺ ฺยา ปการาท ี สุญฺ า นาม สรฺนา อกั ษรมี ก เปน็ ต้น อกั ษรมี ฏ เปน็ ต้น และอักษรมี ย เป็นต้น ถูกแสดงแลว้ วา่ เปน็ สงั ขยาต้งั แต่ ๑ - ๙, อักษรมี ป เป็นต้น ถกู แสดงแลว้ ว่าเปน็ สังขยาต้ังแต่ ๑ - ๕ และสระแปดตวั , ญ และ น อกั ษร ถูกแสดงแล้วว่าชื่อว่าศูนย์ ตารางแสดงอกั ษรทีใ่ ชเ้ ปน็ สงั เกตสังขยา ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ฌ  ฏ  ฑ ฒ ณ ต ถ ท ธ น ป ผ พ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ-โอ

285 ตัทธติ ว่าดว้ ยการย่อบทกับปัจจัยเข้าดว้ ยกนั ๔.๒ ใช้ส่ิงท่ีมปี รากฏอย่โู ลก ตง้ั แตใ่ นอดตี จนถึงปัจจบุ นั เปน็ เคร่อื งสังเกต ดังนี้ สังเกตสังขยาแทนเลข ๑ เชน่ จนทฺ พระจนั ทร,์ สรู ยิ พระอาทติ ย์ เปน็ ตน้ สงั เกตสังขยาแทนเลข ๒ เชน่ เนตตฺ นยั นต์ า, หตถฺ มอื , ปกขฺ ปกั ษ์ เปน็ ตน้ สงั เกตสังขยาแทนเลข ๓ เชน่ อคฺคิ ไฟ, กาล กาลเวลา เป็นต้น สงั เกตสังขยาแทนเลข ๔ เชน่ อณณฺ ว, สนิ ธฺ ุ มหาสมุทร เปน็ ตน้ สงั เกตสงั ขยาแทนเลข ๕ เช่น อุสุ ลกู ศร เป็นตน้ สังเกตสงั ขยาแทนเลข ๖ เช่น รส รสอาหาร, อตุ ุ ฤดู เปน็ ตน้ สังเกตสังขยาแทนเลข ๗ เช่น สร สระน้�ำ, เสยี งดนตรี เป็นต้น สงั เกตสงั ขยาแทนเลข ๘ เชน่ วสุ วสุเทพ เปน็ ตน้ สงั เกตสังขยาแทนเลข ๙ เชน่ คห ดาวนพเคราะห์ เป็นต้น สงั เกตสงั ขยาแทนเลข ๑๐ เช่น ทสิ า ทศิ เป็นต้น สงั เกตสังขยาแทนเลข ๑๑ เชน่ รทุ ทฺ , สวิ พระศิวะ เปน็ ต้น สงั เกตสังขยาแทนเลข ๑๒ เชน่ ราสิ ราศ,ี มาส เดือน เป็นตน้ สังเกตสังขยาแทนเลข ๑๓ เชน่ วิสสฺ วสิ สเทพ เป็นตน้ สงั เกตสังขยาแทนเลข ๑๔ เช่น ภวุ น ภุวนเทพ เป็นตน้ สังเกตสงั ขยาแทนเลข ๑๕ เชน่ ตถิ ิ ดถิ ี เป็นต้น สงั เกตสงั ขยาแทนเลข ๑๖ เช่น กลา เสี้ยวของพระจนั ทร์ เป็นต้น (๕) อเนกสงขฺ ยฺ า = สงั ขยาทม่ี จี ำ� นวนมาก เชน่ สหสสฺ รสํ ิ รัศมหี ลายพนั , สตเตโช มีเดชหลายร้อย เปน็ ตน้ สงั ขยาจ�ำนวนโกฏิขนึ้ ไป แสนของจ�ำนวนนน้ั ๆ คูณด้วยร้อยเสมอ ดงั นี้ สตสหสสฺ านํ สตํ โกฏิ อ.รอ้ ย แหง่ แสน ท. ชื่อวา่ โกฏิ โกฏิสตสหสฺสานํ สตํ ปโกฏ ิ อ.รอ้ ย แห่งแสนโกฏิ ท. ชอ่ื ว่า ปโกฏิ ปโกฏสิ ตสหสฺสานํ สตํ โกฏปิ ปฺ โกฏิ อ.ร้อย แหง่ แสนปโกฏิ ท. ชอ่ื วา่ โกฏิปปฺ โกฏิ โกฏิปปฺ โกฏสิ ตสหสฺสานํ สตํ นหุต ํ อ.ร้อย แหง่ แสนโกฏิปโกฏิ ท. ชอื่ ว่า นหตุ นหุตสตสหสฺสานํ สตํ นนิ ฺนหุต ํ อ.รอ้ ย แหง่ แสนนหุต ท. ชือ่ วา่ นนิ ฺนหุต นนิ นฺ หตุ สตสหสฺสานํ สตํ อกฺโขภินี อ.รอ้ ย แห่งแสนนนิ นหตุ ท. ช่ือว่า อกฺโขภนิ ี อกฺโขภนิ ีสตสหสฺสานํ สตํ พินทฺ ุ อ.รอ้ ย แห่งแสนอักโขภินี ท. ชอ่ื ว่า พินทฺ ุ พนิ ทฺ ุสตสหสสฺ านํ สตํ อพพฺ ทุ ํ อ.รอ้ ย แหง่ แสนพนิ ทุ ท. ชอื่ วา่ อพฺพุท อพพฺ ทุ สตสหสฺสานํ สตํ นิรพฺพุทํ อ.รอ้ ย แหง่ แสนอพั พุทะ ท. ชอื่ ว่า นิรพพฺ ุท นิรพพฺ ุทสตสหสฺสานํ สตํ อหห ํ อ.ร้อย แห่งแสนนิรัพพทุ ะ ท. ชอื่ ว่า อหห

286 ไวยากรณ์บาลเี บ้ืองตน้ อหหสตสหสฺสานํ สตํ อพพ ํ อ.ร้อย แหง่ แสนอหหะ ท. ช่อื วา่ อพพ อพพสตสหสฺสานํ สตํ อฏฏํ อ.ร้อย แห่งแสนอพพะ ท. ชื่อว่า อฏฏ อฏฏสตสหสสฺ านํ สตํ โสคนธฺ กิ ํ อ.รอ้ ย แหง่ แสนอฏฏะ ท. ชือ่ ว่า โสคนฺธิก โสคนธฺ กิ สตสหสสฺ านํ สตํ อปุ ฺปล ํ อ.ร้อย แห่งแสนโสคันธิกะ ท. ช่ือวา่ อุปฺปล อปุ ฺปลสตสหสสฺ านํ สตํ กมุ ทุ ํ อ.รอ้ ย แหง่ แสนอุปปละ ท. ชือ่ ว่า กุมทุ กมุ ทุ สตสหสฺสานํ สตํ ปุณฺฑรีกํ อ.รอ้ ย แห่งแสนกมุ ุท ท. ช่อื วา่ ปณุ ฺฑรีก ปณุ ฑฺ รีกสตสหสฺสานํ สตํ ปทุม ํ อ.ร้อย แหง่ แสนปุณฑรกี ะ ท. ช่อื ว่า ปทมุ ปทุมสตสหสสฺ านํ สตํ กถานํ อ.รอ้ ย แห่งแสนปทุม ท. ช่อื ว่า กถาน กถานสตสหสสฺ านํ สตํ มหากถานํ อ.ร้อย แหง่ แสนกถานะ ท. ชือ่ ว่า มหากถาน มหากถานสตสหสสฺ านํ สตํ อสงเฺ ขฺยยยฺ ํ อ.ร้อย แห่งแสนมหากถานะ ท. ช่ือว่า อสงเฺ ขฺยยฺย วิ. เทวฺ ปริมาณานิ เอตสสฺ าติ ทฺวิโก, ราสิ (ทฺวิ + ก) อ.ปรมิ าณ ท. สอง แหง่ กองน่ัน มีอยู่ เพราะเหตุนน้ั ช่อื วา่ ทฺวิก, ไดแ้ ก่ กอง (มปี รมิ าณ ๒) ว.ิ เทฺวเยว ทวฺ กิ ํ, ทุกํ (ทวฺ ิ + ก) อ.สอง ท. นั่นเทียว ชื่อว่า ทฺวกิ , ทุก (หมวดสอง) วิ. ตีณิ ปริมาณานิ เอตสสฺ าติ ติโก, ราสิ (ติ + ก) อ.ปรมิ าณ ท. สาม แห่งกองนั่น มอี ยู่ เพราะเหตุน้ัน ช่อื วา่ ตกิ , ไดแ้ ก่ กอง (มีปริมาณ ๓) วิ. ตีณิเยว ติกํ (ติ + ก) อ.สาม ท. น่นั เทียว ช่ือว่า ติก (หมวดสาม) วิ. จตฺตาริ ปริมาณานิ เอตสสฺ าติ จตุกโฺ ก, ราสิ (จตุ + ก) อ.ปรมิ าณ ท. ส่ี แห่งกองนั่น มอี ยู่ เพราะเหตนุ ัน้ ชอื่ ว่า จตกุ ฺก, ได้แก่ กอง (มีปริมาณ ๔) ว.ิ จตฺตาริเยว จตกุ ฺกํ (จตุ + ก) (ซอ้ น กฺ) อ.ส่ี ท. นนั่ เทยี ว ชือ่ ว่า จตกุ กฺ (หมวดส)่ี ว.ิ ปฺจ ปรมิ าณานิ เอตสสฺ าติ ปญฺจโก, ราสิ (ปญฺจ + ก) อ.ปริมาณ ท. หา้ แห่งกองน่นั มอี ยู่ เพราะเหตนุ ้ัน ชอื่ วา่ ปญฺจก, ได้แก่ กอง (มปี ริมาณ ๕) ว.ิ ปญฺจเยว ปญฺจกํ (ปญฺจ + ก) อ.หา้ ท. นนั่ เทยี ว ชอ่ื วา่ ปญจฺ ก. (หมวดหา้ ) ว.ิ ฉ ปรมิ าณานิ เอตสฺสาติ ฉกโฺ ก, ราส.ิ (ฉ + ก) อ.ปรมิ าณ ท. หก แหง่ กองนน่ั มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ชือ่ วา่ ฉกฺก, ได้แก่ กอง (มีปริมาณ ๖) ว.ิ ฉเยว ฉกฺกํ (ฉ + ก) (ซอ้ น กฺ) อ.หก ท. น่นั เทียว ช่อื ว่า ฉกฺก (หมวดหก)

287 ตทั ธิต ว่าดว้ ยการยอ่ บทกับปัจจยั เขา้ ด้วยกัน วิ. สตฺต ปรมิ าณานิ เอตสสฺ าติ สตฺตโก, ราสิ (สตตฺ + ก) อ.ปรมิ าณ ท. เจด็ แหง่ กองน่นั มีอยู่ เพราะเหตนุ ้นั ชอื่ ว่า สตตฺ ก, ไดแ้ ก่ กอง (มปี ริมาณ ๗) วิ. สตตฺ เยว สตตฺ กํ (สตฺต + ก) อ.เจด็ ท. นั่นเทยี ว ชื่อว่า สตตฺ ก (หมวดเจด็ ) ว.ิ อฏฺ ปริมาณานิ เอตสสฺ าติ อฏฺโก, ราสิ (อฏฺ + ก) อ.ปรมิ าณ ท. แปด แหง่ กองนนั่ มอี ยู่ เพราะเหตุน้นั ช่อื วา่ อฏฺ ก, ได้แก่ กอง (มีปรมิ าณ ๘) วิ. อฏฺ เยว อฏฺ กํ (อฏฺ + ก) อ.แปด ท. นัน่ เทียว ชื่อว่า อฏฺก (หมวดแปด) วิ. นว ปรมิ าณานิ เอตสสฺ าติ นวโก, ราสิ (นว + ก) อ.ปริมาณ ท. เก้า แหง่ กองนั่น มอี ยู่ เพราะเหตุนนั้ ช่อื ว่า นวก, ได้แก่กอง (มีปริมาณ ๙) ว.ิ นวเยว นวกํ (นว + ก) อ.เกา้ ท. นน่ั เทียว ช่อื วา่ นวก (หมวดเก้า) ว.ิ ทส ปริมาณานิ เอตสฺสาติ ทสโก, ราสิ (ทส + ก) อ.ปรมิ าณ ท. สบิ แห่งกองน่นั มอี ยู่ เพราะเหตนุ นั้ ช่ือว่า ทสก, ได้แก่ กอง (มีปริมาณ ๑๐) วิ. ทสเยว ทสกํ (ทส + ก) อ.สิบ ท. นนั่ เทยี ว ชือ่ ว่า ทสก (หมวดสิบ) ว.ิ ปณณฺ าส ปริมาณานิ เอตสสฺ าติ ปณฺณาสโก, ราสิ (ปณฺณาส + ก) อ.ปริมาณ ท. ห้าสิบ แห่งกองน่ัน มีอยู่ เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า ปณฺณาสก, ได้แก่ กอง (มปี รมิ าณ ๕๐) วิ. ปณฺณาสเยว ปณฺณาสกํ (ปณณฺ าส + ก) อ.ห้าสบิ ท. นนั่ เทียว ชอื่ วา่ ปณฺณาสก (หมวดหา้ สบิ ) ๗.๗ อัพยยตัทธติ อัพยยตัทธิต คือตัทธิตปัจจัยท่ีลงท้ายสังขยา สุทธนามและสัพพนาม รูปสำ� เร็จเป็น อพั ยยศัพท์ (นบิ าต) ท้งั หมด จึงเรียกตทั ธติ นีว้ ่า อัพยยตัทธิต มปี ัจจัย ๑๐ ตวั คอื กฺขตตฺ ุํ, ธา, ชฌฺ ,ํ โส, ถา, ถตฺตา, ถ,ํ ชฺช, ชชฺ ุ และ ตน ปัจจัย วิ. เอกสฺมึ วาเร เอกกฺขตตฺ ํุ (เอก + กขฺ ตฺตุ)ํ (กฺขตฺตุํ ปจั จยั ลงในอรรถวาระ = ครง้ั , วาระ) ในวาระ หนึง่ ช่ือว่า เอกกขฺ ตตฺ ุํ (ครั้งหนึง่ , วาระหนง่ึ ) ว.ิ ทฺวีสุ วาเรสุ ทวฺ ิกฺขตฺตํุ (ทฺวิ + กฺขตฺตุ)ํ ในวาระ ท. สอง ชอื่ ว่า ทฺวกิ ขฺ ตฺตํุ (สองคร้งั )

288 ไวยากรณบ์ าลเี บอื้ งต้น วิ. ตสี ุ วาเรสุ ตกิ ขฺ ตฺตุํ (ติ + กฺขตตฺ )ํุ ในวาระ ท. สาม ชอ่ื วา่ ตกิ ฺขตฺตํุ (สามครง้ั ) วิ. เอเกน วภิ าเคน เอกธา (เอก + ธา) (ลง ธา ปัจจัยในอรรถวิภาคะ = สว่ น) โดยส่วน หน่ึง ชอื่ ว่า เอกธา (โดยส่วนเดยี ว) ว.ิ ทฺวีหิ วภิ าเคหิ ทฺวิธา, เทฺวธา, ทธุ า (ทวฺ ิ + ธา) (แปลง อิ เป็น เอ, ทฺวิ เปน็ ท)ุ โดยส่วน ท. สอง ชือ่ วา่ ทวฺ ิธา, เทวฺ ธา, ทุธา (โดยสองสว่ น) ว.ิ เอกธา กโรตตี ิ เอกชฌฺ ํ (เอก + ชฺฌํ) ย่อมกระท�ำ โดยสว่ นเดยี ว เพราะเหตุนัน้ ช่ือว่า เอกชฺฌํ (โดยสว่ นเดยี ว) วิ. ทวฺ ธิ า กโรตตี ิ เทฺวชฌฺ ํ (ทวฺ ิ + ชฺฌ)ํ (แปลง อิ เปน็ เอ) ยอ่ มกระทำ� โดยสองส่วน เพราะเหตุนน้ั ชอื่ วา่ เทวฺ ชฌฺ ํ (โดยสองส่วน) ว.ิ สตุ ฺเตน วภิ าเคน สุตฺตโส (สตุ ตฺ + โส) โดยสว่ น โดยสตู ร (มาติกา) ช่ือวา่ สตุ ฺตโส (โดยส่วนคอื สตู ร) ว.ิ ปเทน วิภาเคน ปทโส (ปท + โส) โดยสว่ น โดยบท ชื่อว่า ปทโส (โดยสว่ นคือบท) ว.ิ สพฺพากาเรน สพฺพโส (สพฺพ + โส) โดยอาการท้งั ปวง ชอ่ื วา่ สพฺพโส (โดยอาการทงั้ ปวง) ว.ิ โยนิยา วภิ าเคน โยนโิ ส (โยนิ + โส) โดยส่วน โดยแยบคาย ชอ่ื วา่ โยนโิ ส (โดยแยบคาย) วิ. เตน ปกาเรน ตถา (ต + ถา) โดยประการนัน้ ชือ่ ว่า ตถา (โดยประการนัน้ ) วิ. เยน ปกาเรน ยถา (ย + ถา) โดยประการใด ชื่อวา่ ยถา (โดยประการใด) วิ. สพฺเพน ปกาเรน สพฺพถา (สพพฺ + ถา) โดยประการทง้ั ปวง ชื่อว่า สพพฺ ถา (โดยประการทั้งปวง) วิ. อญฺเน ปกาเรน อฺ ถา (อฺ + ถา) โดยประการอนื่ ชอื่ วา่ อฺถา (โดยประการอนื่ ) ว.ิ เตน ปกาเรน ตถตฺตา (ต + ถตฺตา) โดยประการน้ัน ช่ือว่า ตถตตฺ า (โดยประการนน้ั ) วิ. เยน ปกาเรน ยถตตฺ า (ย + ถตฺตา) โดยประการใด ชอื่ ว่า ยถตฺตา (โดยประการใด) วิ. อฺเน ปกาเรน อฺ ถตฺตา (อฺ + ถตตฺ า) โดยประการอืน่ ช่ือวา่ อฺ ถตตฺ า (โดยประการอ่นื )