คํานํา เม่ือเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ สมาชิกกลุ่มพุทธธรรม สวนหลวง ๑๐๑ ได้มีโอกาสร่วมเดินทาง “ตามรอยพระเจ้า อโศกมหาราช” ท่ีประเทศอินเดีย ซ่ึง บริษัท มหพันธ์ไฟเบอร์ ซเี มนต์ จา� กดั (มหาชน) ไดจ้ ดั ขนึ้ ภายหลงั ทค่ี ณะผบู้ รหิ ารและ พนักงานบริษัทได้จบรายการปฏิบัติธรรมท่ีสังเวชนียสถาน ณ แดนพุทธภูมิแล้ว ชาวพุทธธรรมสวนหลวงท่ีตามไปสมทบนี้ ได้มีโอกาส พบคณะสงฆ์จากส�านักสงฆ์ป่านาโสกฮัง น�าโดยท่านอาจารย์ พระทวีวัฒน์ จารุวัณโณ (ท่านอาจารย์ต้น) และในระหว่าง การเดินทางร่วมกัน จึงได้กราบอาราธนาให้ท่านแสดงธรรม ธรรมะที่ท่านอาจารย์บรรยายนั้น มีความลึกซ้ึง ด้วยอรรถและพยัญชนะ ท่านได้น�าค�าสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาขยายและย่อ พร้อมกับยกตัวอย่าง การปฏบิ ตั ทิ ที่ ่านไดป้ ระจกั ษแ์ ลว้ ดว้ ยตนเอง พวกเราจงึ น�ามา ปฏิบัติตามได้แบบไม่มีข้อสงสัย นับเป็นประโยชน์อย่างย่ิง จากการได้ฟังธรรมในหลายโอกาสและได้น้อมน�ามา ปฏิบัติ พบว่ามีมากมายหลายกัณฑ์ท่ีสมควรน�ามาเผยแผ่ให้
กลั ยาณมติ รไดร้ ู้ ไดเ้ ขา้ ใจ โดยเฉพาะเรอ่ื ง “รอู ตั ตาเพอื่ ละอตั ตา” เป็นเรื่องส�าคัญท่ีชาวพุทธควรรู้ ทางกลุ่มพุทธธรรมสวนหลวง ๑๐๑ จึงได้ขออนุญาต พิมพ์ถวายท่านอาจารย์เพ่ือแจกเป็นของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๒ ซ่ึงท่านยินดีอนุโมทนา และได้ตรวจทานแก้ไข ให้ค�าแนะน�า ในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มน้ี ขอนอบนอ้ มแดอ่ งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กบั ทงั้ พระสัทธรรม และพระอริยสงฆ์ท้ังหลาย ผู้เป็นที่พึ่ง ก�าจัดภัย ได้จริง ขอกราบบูชาคุณพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่ีอบรมส่ังสอน พวกเราทุกคนให้รู้ธรรม ตามสมควรแก่ธรรม ด้วยเศียรเกล้า ขอขอบคุณ คุณองอร เตชะมหพันธ์ แห่งกลุ่มมหพันธ์ ท่ีอนุญาตให้พวกเราได้ร่วมคณะไปอินเดียด้วย และเป็นเหตุ ให้พวกเราได้พบกับท่านอาจารย์ หนังสือเล่มน้ี ถอดความจากพระธรรมเทศนาที่ แสดงโดยทา่ นอาจารย์ ๒ ครงั้ ครงั้ แรกณ ศนู ยน์ วดกายสมบรู ณ์ รามค�าแหง ๖๕ กรุงเทพมหานคร เม่ือวันพฤหัสบดีท่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๒ ณ ส�านักสงฆ์ป่านาโสกฮัง จ.อ�านาจเจริญ เมื่อวันเสาร์ท่ี ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยมี
คณุ กรองแกว้ จริ ะกาล คณุ ชญั ญาภคั พงศช์ ยกร คณุ สายสมั พนั ธ์ สุวรรณประทีป คุณอัญชลี จันทร์คง และคุณอัจฉริยา เกตุทัต เป็นผู้ถอดความ พิมพ์ และตรวจทานต้นฉบับ หวงั วา่ หนงั สอื นจ้ี ะเปน็ ประโยชนแ์ กท่ กุ ทา่ นทม่ี ศี รทั ธา ในพระพุทธศาสนา ตั้งเจตนาที่จะท�าประโยชน์ตน คือการ ปฏิบัติฯ เพ่ือกระท�าที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง โดยมีองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระสัทธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นท่ีพึ่งที่ระลึกอันสูงสุด กลุ่มพุทธธรรมสวนหลวง ๑๐๑ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
“ร้อู ตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” 1 อัตตาคืออะไร ถอดความจากธรรมบรรยาย โดย พระทวีวัฒน์ บุญยืน (จารุวัณโณ) ณ ส�านักสงฆ์ป่านาโสกฮัง จ.อ�านาจเจริญ วันเสาร์ท่ี ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ การทะเลาะเบาะแวง้ กนั เพราะมอี ตั ตานแี่ หละ จงึ เปน็ ปัญหาส�าหรับพวกมนุษย์ ธรรมะจึงเป็นไปเพื่อการท�าลาย อัตตา อัตตา มีความหมายว่า ความเป็นตัวตน เราเห็นตัวเรา ว่าเป็นตัวตนมาโดยตลอด การที่เรามีความเห็นว่าตัวเรา มีตัวตน หรือเป็นตัวตนมาโดยตลอด อัตตาจึงเกิดข้ึนจาก ความเห็นนั้น ร่างกายเราไม่ใช่อัตตา คือร่างกายเราไม่ใช่ ตัวตน พูดง่าย ๆ พระพุทธเจ้า จึงทรงตรัสว่า อนัตตา อน (อ่านว่า อะ + นะ) แปลว่า ไม่, น + อัตตา, น (อ่านว่า นะ) แปลว่า ไม่, อัตตา คือ ตัวตน, น + อัตตา = ไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็นตัวตน ไม่มีตัวตน เรียกว่า อนัตตา
2 “รู้อัตตาเพื่อละอัตตา” (อนัตตา มาจาก น + อัตตา, เพราะมีสระอยู่หลัง จึงแปลง น เป็น อน เมื่อรวมศัพท์จึงเป็นค�าว่า อนัตตา) อัตตา กับ อนัตตา จึงเป็นส่ิงที่แก้ไขกัน อัตตา เปน ความเห็นของเรา แตอนัตตานั้น คือความเปนธรรมชาติ ที่เขาเปน ธรรมชาติท่ีเขาเปนคือกายเปนอนัตตา คือกาย ไมใชตน ลักษณะแห่งความมิใช่ตน หรือไม่ใช่ตน คือไม่ใช่ อัตตานั้นเป็นอย่างไร เราก็ต้องมองว่า อัตตา ตัวตน เปนอยางไร ตัวตน ก็มีความหมายวา เที่ยงแท ตั้งมั่น ยั่งยืน ไมแปรปรวน เปล่ียนแปลงไปเปนอยางอ่ืน เรียกวา อัตตา เท่ียงแท้ ย่ังยืน มั่นคง ตั้งมั่นอยู่คงที่ ไม่แปรเปล่ียนไป เป็นอย่างอื่น เราลองมองว่ามีส่ิงใดบ้างท่ีเท่ียงแท้ ต้ังมั่น ยั่งยืน คงที่ ไม่เปล่ียนแปลงไปเป็นอย่างอ่ืน ท่านอาจารย์ : กายของเราเที่ยงแท้ไหม ผู้ฟัง : ไม่เที่ยง ท่านอาจารย์ : คงท่ีไหม ผู้ฟัง : ไม่คงที่ ท่านอาจารย์ : ตง้ั มน่ั อยยู่ งั่ ยนื อยา่ งนน้ั ตลอดไปไหม ผู้ฟัง : ไม่ยั่งยืน
“รู้อตั ตาเพ่อื ละอตั ตา” 3 ท่านอาจารย์ : เปล่ียนแปลงไปเป็นอย่างอ่ืนไหม ผู้ฟัง : เปลี่ยน ท่านอาจารย์ : เปลี่ยนอย่างไร เปลี่ยนจากเด็ก เป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่เป็นคนแก่ จากคนแก่เป็นคนตาย แล้วลักษณะ ของความเปลี่ยน จากเด็กไปเป็น ผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่เป็นคนแก่ จากคนแกไ่ ปเปน็ คนตาย จากคนตาย เป็นขี้เถ้า น่ีคือความเปลี่ยนหรือ แสดงว่าถ้ายังไม่แก่ก็ยังไม่เปลี่ยน หรือถ้ายังไม่ตายก็ยังไม่เปล่ียนหรือ ท่านอาจารย์ : ค�าว่าเปล่ียนนั้น เปลี่ยนอย่างไร ผู้ฟัง : เส่ือมตลอด ท่านอาจารย์ : เสอ่ื มตลอดเปลย่ี นโดยความเสอ่ื มสน้ิ อยู่ตลอด เสื่อมอยู่ทุกขณะ น่ันคือ ความเปลี่ยน ส่ิงท่ีเปล่ียนแปลงไป เป็นอย่างอ่ืนได้ สิ่งน้ันหาความคงที่ ไม่ได้
4 “รูอ้ ัตตาเพ่ือละอตั ตา” อัตตาแปลว่าความคงท่ี คงตัว ความมีอยู่อย่างนั้น อย่างถาวร อัตตาแปลว่าอย่างน้ัน เมอ่ื กายของเราไมไ่ ดม้ คี วามเปน็ อยอู่ ยา่ งนน้ั อยา่ งถาวร ไม่ใช่เป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา มีใครเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาไหม ไม่มี มีใครโตขึ้นมาแล้ว แล้วก็โตอยู่อย่างน้ัน ไม่มาถึง ความชราบ้าง ไม่มี แล้วมีใครชราแล้ว แล้วชราอยู่อย่างนั้น ตลอดไป โดยทไี่ มถ่ งึ มรณะ คอื ความตาย มไี หม ไมม่ ี ตายแลว้ เอาไปเผาแล้วไม่เป็นขี้เถ้า มีไหม เขาบอกว่ามี เป็นพระธาตุ พระธาตุก็คือขี้เถ้านั่นแหละ พระธาตุก็คือข้ีเถ้า เมื่อมันไมมี มันหาไมมี และมันไมใชฐานะที่จะมีได คือ รางกายเรานี้ จะใหมันมีอยู คงอยู ตั้งอยู แบบตายตัว โดยไมแปรเปล่ียนไปเปนอยางอื่น มันไมใชฐานะที่จะ เปนไปได เพราะความที่กายไมสามารถท่ีจะตั้งมั่นอยู อยางยั่งยืนได ไมใชวิสัย ไมใชฐานะท่ีจะเปนไดน่ันเอง พระพุทธเจาจึงทรงตรัสวาเปนอนัตตา แต่ทีน้ีในความเห็น ของคน ไมไ่ ดเ้ หน็ อนตั ตา คนไมไ่ ดเ้ หน็ วา่ กายนเ้ี ปน็ สง่ิ ไมใ่ ชต่ น กายน้ีเป็นส่ิงท่ีแปรปรวน กายนี้เป็นส่ิงท่ีเปล่ียนแปลงไป เป็นอย่างอื่น เราไม่ได้มองเห็น ถ้าไม่อาศัยการฟังธรรมะ เราจะมองไม่เห็น หรือไม่กลับไปมอง หรือย้อนไปมอง หรือ
“รอู้ ัตตาเพ่อื ละอตั ตา” 5 ไม่ใส่ใจในการพิจารณาที่จะมอง เมื่อเรามองไม่เห็น เราก็จะ ไม่เข้าใจ แล้วความเห็นของเราก็จะหลงยึดจับกายของเราว่า เป็นตัวเรา เป็นเรา เป็นของ ๆ เรา ถ้าเราบอกว่ากายเป็นของเรา เราจะเอากายตอนไหน เปน็ ของเรา เอากายตอนเปน็ เดก็ หรอื เปน็ ของเรา ตอนเปน็ เดก็ มันก็หายไปแล้ว แล้วอยู่ไหนล่ะ ตัวเราตอนน้ัน ไปอยู่ไหนล่ะ ตอนทเี่ ปน็ ผใู้ หญห่ รอื ตอนเปน็ ผใู้ หญก่ ห็ ายไปแลว้ แลว้ จะเอา ตัวตนตอนไหนละ่ เปน็ ตัวตนของเรา ตอนเปน็ ผู้ใหญ่กห็ ายไป หมดแล้ว ดับไปหมดแล้ว หรือจะเอาตอนน้ี ตอนนี้ก็ก�าลัง จะเปลย่ี น ตอนทเ่ี ปน็ อยใู่ นเวลานม้ี นั กา� ลงั จะเปลยี่ น เปลย่ี นไป อยู่ตลอดเวลา คือแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา สังเกตได้จาก ลมหายใจของเรามันเคยหยุดน่ิงไหม หยุดนิ่งก็คือ ยุติการ สืบต่ออินทรีย์ชีวิตของกาย มันคือลมหายใจหยุดน่ิง แต่ถ้า มนั ไมห่ ยดุ นง่ิ คอื ความเปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา เราหายใจ อยู่ตลอดเวลา คือ ชีวิตเราเสื่อม เราสิ้นอยู่ตลอดเวลา หมดไปอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นอัตตาเกิดจากความเห็นผิด ท่ีเราเขาไปยึดจับกายสังขารวาเปนตัวเรา มันจะมีตัวเรา ไดท่ีไหน พระพุทธเจ้าทรงตรัสอย่างนั้น
6 “รอู้ ตั ตาเพ่ือละอตั ตา” พระพุทธองคจึงทรงสอน อนัตตา มาแกวา มิใชตัวเรา ไมเปนตัวเรา และหาความเปนตัวเราในตัวเราเองก็ไมได หรือแมแตตัวของอัตตาเอง ตัวท่ีเราเขาใจวาเปนตัวเรานั้น ก็ไมไดแสดงความเปนตัวของมันเลย มันแคเปลี่ยนแปลง ไปตามสภาพการณ เปล่ียนแปลงไปตลอดเวลา ตามเหตุ ปจจัย เกิด แก เจ็บ ตาย เปนสิ่งที่พระพุทธเจาทรงบอก และสอนพวกเรามาโดยตลอด พระองค์จึงทรงย�้าชัดเข้าไปในหลักของปรมัติธรรม หรืออภิธรรมว่า นิสสัตโต คือ ไม่ใช่สัตว์ นิชชีโว คือ ไม่ใช่ชีวะ ไม่มีชีวิต ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่ตัวชีวิต พูดง่าย ๆ ว่า ตัวเราไม่ใช่ชีวิต ไม่มีชีวิต เราหลงเข้าใจว่ามันมีชีวิต แต่ตัวของมันไม่มีชีวิต นิชชีโว สุญโญ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ว่างเปล่าจาก สิ่งที่เป็นชีวิต ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ ว่างเปล่าจากความ ยึดม่ัน ถือม่ัน ว่าเป็นเรา เป็นของ ๆ เรา จะไปยึดว่าเป็นเรา ไดอ้ ยา่ งไร ถา้ ยดึ วา่ เปน็ เรา เปน็ ของเรา ตอ้ งอยกู่ บั เราไปตลอด แต่มันไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด ความเป็นเด็กไม่ได้อยู่กับเรา ไปตลอด ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด ความแก่ ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด ความตายก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด ตายแล้วเปลี่ยนแปลงภพภูมิใหม่ เกิดใหม่ แล้วเราก็จะไป
“รอู้ ตั ตาเพ่อื ละอตั ตา” 7 หลงผิดอย่างนี้ทุกครั้งที่เราเกิด เราก็จะหลงผิด ยึดอยู่ใน ตัวเราว่า เป็นเรา เป็นของ ๆ เรา มาโดยตลอด ทกุ ครง้ั ทเ่ี ราหลงผดิ นนั่ แหละ คอื มลู เหตแุ หง่ ความทกุ ข์ เพราะอะไร เพราะหากเราใช้ชีวิตด้วยอ�านาจของอัตตา คือ ความเห็นผิดว่าเป็นเรา อะไรก็ตามมากระทบเรา อะไรก็ตาม มาท�าให้เราเกิดสุขหรือทุกข์ เราก็จะกระเทือนตามอาการ ที่เข้ามาสัมผัสหรือกระทบน้ัน ส่ิงท่ีมากระทบตัวเรา ในส่ิงท่ี เป็นสุข เราก็รู้สึกสุข ส่ิงท่ีมากระทบตัวเราในส่วนท่ีเป็นทุกข์ เรากร็ สู้ กึ ทกุ ข์ แลวกส็ ขุ กบั ทกุ ขนแ้ี หละทว่ี นเวยี นกบั ชวี ติ เรา มาตลอดทง้ั ชวี ติ ตงั้ แตเกดิ ถงึ ตอนน้ี มนั ไมสขุ กท็ กุ ข ไมทกุ ข กส็ ขุ อยอู ยางน้ี แตเราไมเคยรเู ทาทนั ตอความสขุ ความทกุ ข เพราะอะไร ถาเรายดึ ถอื ตวั ตนของเรา ยดึ วาสขุ เราตองการ ทุกขเราไมตองการ มันไมเก่ียวกับความตองการหรือ ไมตองการ สุขเกิดข้ึนตามเหตุปจจัยของมัน ทุกขเกิดขึ้น ตามเหตุปจจัยของมัน ตองการอยางไรก็ตาม ถาไมมี เหตุปจจัยกอใหเกิดสุข มันก็ไมสุข ปฏิเสธอยางไรก็ตาม ถามีเหตุปจจัยกอใหเกิดทุกข ทุกขมันมีอยู ถาเราปฏิเสธมัน ปฏิเสธอยูตลอดเวลา หากไมหมดเหตุปจจัยของมัน ก็ยังทุกข อยอู ยางนน้ั จะตองการหรอื ไมตองการ มนั ไมเกยี่ วกบั ความ ตองการหรือไมตองการ
8 “รู้อัตตาเพ่อื ละอัตตา” พระพุทธเจ าจึงตรัสว า อย าใชความตองการ ไปกําหนดหมายในส่ิงที่ผ านเข ามาในชีวิตของเรา ดวยอํานาจของอัตตา คือ ความเห็นผิดวาเปนตัวเรา หากเราไปใช้ความอยากก�าหนดหมายยึดจับกายว่าเป็น ตัวเรา เป็นของ ๆ เราอย่างน้ี เราก็จะทุกข์ตามอาการที่เข้ามา เก่ียวข้องและสัมผัส ตรงนี้ที่พระพุทธเจ้าจึงทรงบอกว่า ให้ท�าลายความเห็นผิดออกไป เพราะถ้าเรายังยึดจับกายสังขาร วา่ เปน็ ตวั เรา เปน็ ของเราอยตู่ ลอดเวลา เราจะพน้ จากความทกุ ข์ ไมไ่ ด้ สขุ เกดิ ขน้ึ ตงั้ อยู่ ดบั ไป กป็ ลอ่ ยใหม้ นั เกดิ ขนึ้ ตงั้ อยู่ ดบั ไป ทุกข์เกิดข้ึนต้ังอยู่ ดับไป ก็ปล่อยให้มันเกิดข้ึน ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ต้องไปปฏิเสธ การทเ่ี ราเขาไปใชความตองการ เรยี กวาใชความอยาก อยาก คือ มีสภาพแหงความตองการอยูภายใน ตองการ ใหสิ่งน้ีเปนอยางนี้ ตองการใหสิ่งน้ันเปนอยางนั้น ถ้าเรา สรา้ งความตอ้ งการขนึ้ มาเมอื่ ไรกท็ กุ ขเ์ มอื่ นนั้ แลว้ เรากเ็ ดนิ หนี ออกจากวงจรทุกข์นี้ไม่ได้ เพราะเราจะมีแต่ความอยาก มีแต่ แรงแห่งความอยากสะสม ๆ ๆ ๆ ๆ อยู่นั่นแหละ อยู่ในจิตเรา อยากก่ีครั้งก่ีหนก็ใช้ความอยากเหล่าน้ันด้วยก�าลังของอัตตา เป็นแรงผลักดันหรือกระท�าตอบต่อส่ิงที่เข้ามากระทบ พอใจ
“รู้อัตตาเพอ่ื ละอัตตา” 9 ยึดถือไว ไมพอใจ ผลักดันออก พอใจ ยึดถือไว้ ไม่พอใจ ผลักดันออก แล้วเราก็ไม่เคยหนีจากสภาพเหล่าน้ีได้เลย ทงั้ ชวี ติ เรา เรากแ็ คท่ า� สงิ่ ทเี่ ราพอใจแลว้ ดงึ มนั ไว้ แลว้ กห็ วงแหน มนั ไว้ แลว้ กท็ า� กบั สง่ิ ทเ่ี ราไมพ่ อใจ ผลกั ดนั ออก แลว้ ปฏเิ สธมนั แลว้ เราจะมคี วามสขุ ไดอ้ ยา่ งไร เพราะเราไมร่ จู้ กั การปลอ่ ยวาง เรายึดอยู่ แทท่ีจริงเราไมไดยึดอารมณสุขทุกขหรอก แตเรา ยดึ ตวั เรา เพราะเราไมอยากใหตวั เรามคี วามทกุ ข เราอยากให เรามีความสุข พระพทุ ธเจาจงึ ทรงบอกวา เราอยากใหเรามคี วามสขุ แตเราไมยอมดับทุกข มันจะมีความสขุ ไดอยางไร เราอยากให เรามีความสุข แตเราไปแสวงหาความสุข ทําทุกวิถีทาง เพอ่ื ไมใหเจอกบั ความทกุ ข แลวเราทาํ มาเทาไหร ความทกุ ข มันเคยหายไปไหม ไมเคยหาย มันก็ยังมีอยู ฉะนั้นการใช ความอยากเพ่ือเปนแรงผลักดันใหความทุกขออกไปจาก ชวี ติ เรา แลวแสวงหาความสขุ เขามาในชวี ติ ปฏเิ สธความทกุ ข อยูตลอดท้ังชีวิต มันจึงไมใชวิธีการท่ีจะนําเราพนออกไป จากกองทุกข และไมใชทางออกของชีวิต ทางออกของชีวิต คือ ปลอยสุขเปนสุข ปลอยทุกข เปนทุกข อยาแสวงหาสุข อยาปฏิเสธความทุกข แตจง
10 “รอู้ ตั ตาเพอ่ื ละอตั ตา” เขาไปรูทุกข รูเหตุใหเกิดทุกข รูความดับของทุกข และรูวิธี ปฏิบัติตอความทุกขวาควรปฏิบัติตอความทุกขนั้นอยางไร ควรปฏิบัติตอเหตุใหเกิดทุกขน้ันอยางไร ควรปฏิบัติตอ ความดับไปของทุกขนั้นอยางไร และวิธีปฏิบัติท่ีจะปฏิบัติ ทกุ ๆ คราวเมอื่ ความทกุ ขเกดิ ขนึ้ ควรจะปฏบิ ตั กิ บั ความทกุ ข นน้ั อยางไร นค่ี อื สงิ่ ทเี่ ราตองทาํ ไมใชวาวง่ิ หาสขุ ปฏเิ สธทกุ ข วิ่งหาสุขปฏิเสธทุกข ไมมีทาง เราต้องการความสุข แต่เราไม่ยอมดับทุกข์ มันจะมี ความสุขไม่ได้ มันก็จะมีสุขปนทุกข์ สุขปนทุกข์ สุขปนทุกข์ อยู่อย่างนี้ สุขปนทุกข์น้ันจะเป็นสุขท่ีแท้จริงไม่ได้ เม่ือเป็น สุขท่ีแท้จริงไม่ได้ เราก็อยู่กับความสุขจอมปลอม ความสุข ท่ีมีอยู่เพียงชั่วคร้ังช่ัวคราวในโลกนี้ ความสุขเฉพาะหน้า ความสุขที่เกิดขึ้นมีไม่เท่าไหร่เอง ไม่กี่เวลา ไม่กี่นาที ไม่ก่ี ชั่วโมง ไม่ก่ีวัน ไม่ก่ีสัปดาห์ ไม่กี่เดือน ไม่ก่ีปี ไม่ก่ีชาติเอง หรือบางคนสุขทั้งชีวิต ทั้งชาติ ก็สุขไป แต่นั่นไม่ใช่ทาง แห่งความพ้นทุกข์ พระพุทธเจาจึงทรงบอกวา อนัตตา ความมิใชตน นนั่ คอื ความจรงิ ของกาย ทนี เ้ี ราจะพจิ ารณาอยางไรใหเหน็ ความไมใชตนก็พิจารณาดูสิ มันเปนตัวตนของเราได
“ร้อู ตั ตาเพอื่ ละอัตตา” 11 อยางไร เสนผมนี่หรือเปนตัวเรา เสนผมน่ีหรือเปนสัตว เปนบุคคล เปนเรา เปนของ ๆ เรา เสนผมน่ีหรือเปนผูสุข เปนผูทุกข เสนผมน่ีหรือเปนผูรัก ผูชัง เสนผมนี่หรือ เปนผูดีผูช่ัว เสนผมนี่หรือเปนผูทําบุญ ทําบาป ขนนี่หรือ เปนเรา เสนขนน่ีหรือเปนสัตว เปนบุคคล เปนตัว เปนตน เล็บน่ีหรือ ไลไปสิ พิจารณาไปสิ อะไรเปนเรา เสนผม รวงไหม รวง ถาเสนผมรวง ตัวเราก็รวงไปสิ ถาวาเสนผม เปนตัวเรา ฉะน้ันการท่ีพระพุทธเจ าทรงสอนให เราขบคิด พิจารณา เราตองพิจารณานะ ไมพิจารณาไมได ถาเรา ไมพิจารณา เราก็ไมรู การพิจารณาจะนําไปสูความรู หากไมพิจารณาเราก็จะไมมีทางรูเลย แลวพิจารณาน้ัน ทําอยางไร ก็คือ คิดน่ันแหละ เขาเรียกวาคิดพิจารณา แตความคิดท่ีพิจารณาน้ัน เปนความคิดที่อยูบนพื้นฐาน ของสัจธรรม ความคิดที่อยูบนพ้ืนฐานของสัจธรรม หรือ ความจรงิ เขาเรยี กวา พจิ ารณา แตการพจิ ารณานนั้ จะตองเปน การพิจารณาแลว พิจารณาอีก พิจารณาแลว พิจารณาอีก พิจารณาย้ําแลวยํ้าอีก ยํ้าเขาไปใหจิตรู ทําไมเราตองยํ้า เพราะเราเคยเห็นวากายมันเปนเรา เราเปนกาย กายมีในเรา
12 “ร้อู ัตตาเพื่อละอตั ตา” เรามีในกาย โดยเรามีความเห็นยํ้า ๆ อยูในตัวเรา อยูโดย ตลอดมา ไมรกู ภ่ี พ กช่ี าตแิ ลว เรายาํ้ อยกู บั ความเหน็ อนั เดมิ วาเปนเรา เปนของ ๆ เรา อยู่ในก�าเนิดสัตว์เดรัจฉาน เราก็รู้สึกว่าเราเป็นสัตว์ เดรัจฉาน ไปเกิดเป็นเปรต เราก็รู้สึกว่าเราเป็นเปรต อย่างน้ี พอไปเกิดเป็นเทวดา เราก็รู้สึกว่า ตัวเราท้ังหมดในเทวดาน้ัน เป็นเราอย่างนี้ ไปเกิดเป็นอะไรก็ตาม เราจะยึดสภาพแห่ง การเกิดนั้นว่าเป็นเรา เป็นของ ๆ เรา แมลงวันมันก็ยึดตัวมันว่า เป็นแมลงวัน ท้ังตัวเลย มันไม่ได้บอกว่ามันเป็นคน แม้ตอนน้ี จิตของเรายังอยู่ในภพของความเป็นมนุษย์นะ แตเมื่อไหร ก็ตาม หมดจากความเปนมนุ ย ไปเกิดเปนสุนัข เราไมได บอกวาเราเปนคนนะ เมอื่ เราไปอยใู นรางสนุ ขั แลวมนั จะยดึ รางของสนุ ขั ทงั้ ราง ทง้ั ตวั นน้ั วาเราเปนสนุ ขั น่ี พดู งาย ๆ แลว ก็หวงแหนความเปนสุนัขของตัวเองไว ไมใหใครมาทําลาย แมแตสุนัขกับสุนัขดวยกันก็ตองขบกัดกันเพื่อหวงตัวเอง น่ีคือโท ของการยึดตัวตน ศาสนาพุทธ พยายามสอน ให้เราได้เข้าใจในส่ิงเหล่าน้ี หากเราพิจารณาในสิ่งเหล่าน้ี เข้าใจชัดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงภพชาติในความเป็นไปของชีวิตว่า เราจะเป็นไปดีหรือไม่ดี
“รู้อัตตาเพ่อื ละอัตตา” 13 พระพทุ ธเจา้ ทรงบอกวา่ ใครรแู้ จง้ ในสจั ธรรมขอ้ น้ี ภพชาติ เขาจะไม่ตกต�่า เป็นไปในสุคติภูมิถ่ายเดียวเท่านั้น ฟังให้ดีนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยความเป็นสัจจะนะ ไปสู่สุคติภูมิ ฝ่ายเดียวเท่านั้น ไม่ไปทุคติภูมิเลย แต่การท�าบุญ การให้ทาน มันยังไม่ใช่เคร่ืองรับรอง ว่าจะต้องไปสู่สุคติภูมิโดยฝ่ายเดียว แต่จะอ�านวยผลหรืออ�านวยภพภูมิที่เราเป็นอยู่ เช่น ไปเกิด เป็นสัตว์เดรัจฉาน เราก็จะไม่ฝืดเคืองในเร่ืองการแสวงหา อาหาร ไปเกดิ เปน็ เปรตกจ็ ะมอี าหารในภพภมู ขิ องเปรต ไปเกดิ เป็นอสุรกาย มีอาหารในภพภูมิของอสุรกาย น่ีคือ การท่ี ท�าบุญให้ทาน แต่ไม่พ้นจากทุคติ ฉะนั้นสุคตินั้นคือส่ิงที่จะ น�าเราไปสู่ภูมิที่ดี ท่ีไปท่ีดี ก็ต้องเกิดจากการพิจารณาธรรม พิจารณาสัจจะ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ อัตตา ตองเอา ไปแกไขในความเห็นท่ีเรายึดถือ เรายึดกายสังขารทั้งหมด กายมีอะไรบาง ผม ขน เล็บ น หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เย่ือในกระดูก มาม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไสใหญ ไสนอย อาหารใหม อาหารเกา พิจารณาลงไปแตละอัน ๆ ในรางกายตอนน้ีดูสิ เสนผม เราบอกว่ามีชีวิตหรือเป็นสัตตะ พระพุทธเจ้า ทรงบอกวา่ นชิ ชโี ว นสิ สตั โต ไมใ่ ชส่ ตั ว์ ไมใ่ ชบ่ คุ คล เสน้ ผมนห่ี รอื
14 “ร้อู ัตตาเพ่ือละอตั ตา” มีชีวิต เราบอกว่าไม่มีชีวิตได้อย่างไร มันเจริญเติบโตอยู่บน หนังศีรษะ มันงอกก็ได้ มันยาวก็ได้ มันเปล่ียนสีได้ ตอนที่มัน ยังไม่เปล่ียนก็ไปเปล่ียนมันอยู่ท่ีร้านเสริมสวย ย้อมผมแล้ว บอกวา่ มชี วี ติ พระพทุ ธเจาทรงบอกวาอนั นน้ั ไมใชลกั ณะชวี ติ ไมใชตัวชีวิต หากมันหลุดออกไปจากรางกายเราแลว มันเจริญเติบโตไดไหมละ ไมได แตการท่ีเสนผมมันเจริญ เติบโตไดบนหนังศีร ะเรา ก็เพราะมันไดอาหาร เมื่อมี อาหารก็เจริญเติบโตไป มันไมใชลัก ณะของสิ่งมีชีวิต มันมีอาหารเปนองคประกอบ อะไรก็ตามท่ีมันมีตัวเขามา ประกอบ หรอื เปนตวั เขามาประกอบ มปี จจยั เขามาเกย่ี วโยง สงิ่ นน้ั ไมมอี ยใู นตวั ของมัน หรอื ไมมชี วี ิต ไมมตี วั ตนของมนั อยแู ลวโดยตวั ของมนั เมอ่ื สง่ิ นน้ั ไมมอี ยโู ดยตวั ของมนั อยแู ลว เราจะไปยึดถือสิ่งน้ันวาเปนตัวตนเปนตัวเราไมได เพราะ ตัวมันก็ไมมีอยูโดยตัวของมัน มันตองอาศัยอาหาร มันอยู่ ในหนังศีรษะเราก็ดึงดูดเอาเลือด เลือดของเรามีอะไร มีสาร อาหารอยู่ในนั้น เข้าไปหล่อเลี้ยงตัวมัน ก็เจริญเติบโตออกมา งอกตัวเองได้ เปล่ียนแปลงเองได้ ถึงเวลาท่ีสุดมันก็หลุดร่วง ออกจากร่างกายเรา เพราะหลุดร่วงไปแล้วมันเป็นอะไร ก็เป็นดิน พื้นดินท่ีเราเหยียบย�่าอยู่น่ี จะไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธาตุแท้ของมัน ไหนละตัวตนของมัน ผม ขน เล็บ เหมือนกัน
“รอู้ ัตตาเพื่อละอัตตา” 15 ฟันเหมือนกันบางคนก็ได้ใส่ฟันใหม่ ฟันใหม่ก็ไม่ใช่ของเรา อีกแหละ เอามาใหม่ ปรุงแต่งข้ึน ฉะนั้นการพินิจพิจารณาธรรมะจึงเป็นสิ่งที่มีความ ส�าคัญท่ีจะไถ่ถอนความหลงผิดว่าเป็นเรา เป็นตัวของเรา ออกไปได้ หากใครเพ่งพินิจ พิจารณาอยู่บ่อย ๆ สม�่าเสมอ ก็จะทราบสัจธรรมข้อน้ี ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นเพียงแค่ลักษณะบ่งบอกให้ทราบถึงความ เปล่ียนแปลงในช้ันหยาบ ๆ เท่าน้ัน แต่ในช้ันของความ ละเอยี ดแลว้ มนั เปลยี่ นแปลงตลอดเวลา ทกุ ๆ ขณะ ทกุ ๆ ครงั้ ที่เราหายใจเข้าหายใจออก มันเปล่ียนตัวของมันอยู่ตลอดเวลา เปล่ียนอยู่เสมอ แต่ทีน้ีเม่ือเรายังไม่เห็นความเปล่ียนในช้ัน ของปัญญาภายใน ที่เรียกว่า สัมผัสได้ด้วยปัญญา ยังไม่เห็น ด้วยปัญญา เรียกว่า จักขุง อุทะปาทิ จักษุ คือดวงตา ยังไม่เกิด ญาณัง อุทะปาทิ การรู้ตามความเป็นจริง ยังไม่เกิด วิชชา อุทะปาทิ ความรู้ท่ีแท้จริงยังไม่เกิด อาโลโก อทุ ะปาทิ ความแจม่ แจง้ ยงั ไมเ่ กดิ เรากต็ อ้ งอาศยั การพจิ ารณา ให้เห็น ชีวิตที่ล่วงเลยมา ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ มองเห็น ความเปลี่ยนแปลงของมันดูสิแต่ละขณะ แต่ละขณะ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ท่ีเราเติบโตมาในโลกมนุษย์นี้ ย้อนกลับ
16 “รอู้ ัตตาเพอ่ื ละอตั ตา” ไปมองภาวะของชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงตอนน้ี มันเปลี่ยนไป ขนาดไหน มันดับไป เส่ือมส้ินไปอย่างไร มองดู พระพุทธเจ้าทรงบอกให้ย้อนกลับไปมองสิ่งเหล่าน้ีก่อน เม่ือเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่เปลี่ยนแปลง ไปอยา่ งนี้ คนทตี่ ายไปตอ่ หนา้ ตอ่ ตาเรา เรากเ็ หน็ แลว้ เรากจ็ ะ เอารา่ งของคนทีต่ ายมาเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านกระดูก เราก็ เห็นอยู่แล้วว่าท่ีสุดของกายมันจะสลายไปที่ไหน แล้วทุกคน ก็ต้องเป็นไปอย่างน้ัน เหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างกัน นี่คือสัจจะ สัจจะคือสิ่งที่เปนอยางน้ัน แบบตายตัว โดยท่ี ไมเปล่ียนแปลงไปเปนอยางอื่น สิ่งท่ีไมใชสัจจะเปล่ียนแปลงอยูตลอดเวลา แตสิ่งท่ี เปนสัจจะไมมีทางเปลี่ยนแปลง คืออะไร ความตายเปน สัจจะสําหรับมนุ ย ทุกคนเดินไปสูความตายกันท้ังหมด มีชราเปนผูตอนไป ความแก่น่ีแหละเป็นผู้ต้อนไป เข้าไปหา มรณะคอื ความตาย ฉะนน้ั พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงสอนใหพ้ วกเรา ไดก้ ระทา� ในสงิ่ ทเี่ ปน็ สารประโยชนก์ บั ตวั เราจรงิ ๆ กอ่ นจะตาย เราได้ท�าสิ่งที่เป็นสารประโยชน์แบบไหน อย่างไร หากเรา ได้ท�าในสิ่งที่เป็นสารประโยชน์กับเราแล้วไม่ต้องกลัวตาย ตายแน่ ๆ ทุกคน ถ้าเราไปมัวกลัวตายอยู่ อันนั้นไม่ใช่
“รอู้ ัตตาเพอื่ ละอัตตา” 17 สารประโยชน์ สารประโยชน์ของเราคือ พิจารณากาย พิจารณาให้มาก ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เน้ือ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หวั ใจ ตบั พงั ผดื ไต ปอด นิสสตั โต ไมใ่ ชส่ ตั ว์ บุคคล ตัวตน นิชชีโว ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่ชีวิตของใคร และไม่ใช่ ชีวิตของเรา ตัวชีวิตก็ไม่มีชีวิต จะเอาตัวอะไรมาเป็นชีวิต ก็บอกลมหายใจเข้าลมหายใจออกไม่ใช่ชีวิตหรือ มันเป็น ระบบของความเป็นอยู่ ที่มันปรุงแต่งกัน ลมหายใจเข้าไป ปรุงแต่งกายสังขารให้ด�าเนินไปได้ มันเป็นระบบของการ ปรุงแต่ง มันไม่ใช่ตัวชีวิต ถามว่าถ้าเป็นตัวชีวิต แสดงว่า มันต้องมีตัวเป็นผู้กระท�าการ ท�าให้ชีวิตนี้ด�ารงอยู่ ตัวกระท�า การให้ชีวิตน้ีด�ารงอยู่มันไม่มี เรานอนหลับ ใครเป็นผู้หายใจ เราไดห้ ายใจไหม ถา้ เราบอกวา่ เราหายใจ ถามวา่ ตอนทเี่ ราหลบั เรารู้สึกว่ามีตัวเราอยู่ไหม แต่ตอนท่ีนั่งอยู่ เราจะรู้สึกว่ามีเรา ใช่ไหม แต่ถ้าเราบอกว่า ตอนที่น่ังอยู่ เราหายใจ เราบอกว่า เราหายใจได้ แต่ถ้าตอนนอนหลับ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา มันไม่มี แล้วใครหายใจให้เรา มันเปนระบบการปรุงแตงของ สภาพธรรม ท่ีมีอยูโดยตัวของมัน มันไมใชตัวตน ไมมีชีวะ ไมมีชีวิตของใครเปนผูเขาไปทําการตาง ๆ หรือเปนอะไร
18 “รอู้ ัตตาเพื่อละอัตตา” อยูในกาย ภาวะแห่งกายน้ี เขาบอกว่าจิตไม่ใช่หรือ จิตสิ เป็นตัวเรา จิตก็เปน นิสสัตโต ไม่ใช่สัตว์ นิชชีโว ไม่ใช่ ชีวะ ไม่ใช่ชีวิต ไม่มีชีวิต มันเปนแคสภาพนาม เม่ือกาย กับจิตประกอบกันเขา จึงเหมือนกับวามีชีวิต เพราะมีการ กระทําตอส่ิงตาง ๆ ได แน่นอนว่า เม่ือเราเห็นสภาพของความเป็นจริงของ กายกับจิต กระท�าตอบต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ แล้วเราไปยึดจับ ส่ิงเหล่าน้ีเป็นชีวิต หรือเป็นตัวเรา อันนั้นเรามองแบบผิวเผิน หรือเห็นแบบผิวเผิน ความเห็นผิดก็จะครอบง�าเราได้ น้ันเป็น เรื่องปกติ แตเม่ือใดก็ตามที่เราเพงพินิจพิจารณาเขาไป เห็นตัวแทของจิต วา จิตแท ๆ ตัวมันก็ไมมี ตัวจิตแท ๆ ก็ไมมี หากเราไปเห็นอยางน้ันนะ วาตัวจิตแท ๆ ก็ไมมี เปนเพียงแคตัวประกอบขึ้นจากเจตสิก คือ เครื่องปรุงแตง ทางจติ ธรรมชาตใิ ดปรงุ แตงจติ ธรรมชาตนิ นั้ ชอื่ วา เจตสกิ เจตสกิ มหี นาทป่ี รงุ แตงจติ มหาภตู รปู มหี นาทปี่ รงุ แตงรปู มหาภูตรูป คืออะไร ดิน น้ํา ไ ลม ปรุงแตงรูปใหมีกาย กายมนุ ย กายสัตวเดรัจฉาน กายเปรต กายผี กายเทวดา กายพรหม เขาบอกเทวดาก็ยังอาศัย ดิน น้�า ไฟ ลม หรือ ใช่ เปน็ ดนิ นา�้ ไฟ ลม แบบทพิ ย์ ดนิ นา�้ ไฟ ลม แบบทพิ ยก์ ม็ หี รอื
“รอู้ ัตตาเพือ่ ละอตั ตา” 19 มี ถ้าไม่มี มันจะประกอบกันเป็นกายได้อย่างไร จิตก็เขาไป ยึดในกายนั้นวาเปนตัวเองอีก น่ีคือเปนความหลงผิด หากจติ ไมยดึ กายวาเปนตวั เราเอง และไมยดึ จติ วาเปนตวั เอง มนั กเ็ ปน อนตั ตา ความเปนอตั ตากห็ ายไป ความเหน็ วาเปนตน กห็ ายไป ทง้ั หมดทงั้ มวลของการพจิ ารณา เพอื่ ทาํ ลายความ เห็นผิดวาเปนอัตตาในตัวเอง ในตัวเรา เกิดความโกรธข้ึน เรามักจะกระท�าอย่างไร เม่ือเวลา เกิดความโกรธขึ้น ผู้ศึกษาธรรมก็สงบระงับความโกรธของ ตนเองในใจ แต่ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรม เวลาเกิดความโกรธข้ึน ท�าอย่างไร ตะโกน ร้องด่า เปล่งวาจา ตอบโต้ แสดงอาการ ของค�าพูดท่ีรุนแรงต่อกัน เกิดวิวาทะ พูดค�าพูดที่ขัดแย้งกัน ข้ึนมา เพราะความโกรธ ถ้าคนไม่โกรธจะมีลักษณะอาการอย่างน้ีหรือเปล่า ก็ไม่มี แต่เพราะความโกรธเกิดข้ึนในจิตแล้วกระท�าออกไป สงิ่ ทกี่ ระทาํ ออกไปนน้ั คอื อตั ตา หรอื วา ความเหน็ ความเปน ตัวตนที่สะสมมาจากความเห็น ที่เราเห็นผิดวาเปนตัวเรา มายืดยาว นานแลว อัตตาน้ีจึงสามารถกระทําการตอบโต สง่ิ ตาง ๆ ออกไปไดโดยอตั โนมตั ิ อตั โนมตั คิ อื มนั เปนของมนั อยางนั้น เรียกวา อัตโนมัติ
20 “รูอ้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” ใครที่ท่องธาตุกัมมัฏฐาน ๔ จนเป็นอัตโนมัติได้บ้าง อยู่ในนี้ ท่องธาตุกัมมัฏฐาน ๔ แล้วมันท่องขึ้นมาเองอัตโนมัติ มไี หมในน้ี ไมม่ หี รอื ไมม่ หี ยดุ กอ่ นดกี วา่ เสยี เวลาสอน ไมม่ ใี คร ทา� ไดเ้ ลยหรอื ทา� ไมไ่ ดห้ รอื อา้ ว..ยงั ไมท่ อ่ งถงึ ขน้ั เปน็ อตั โนมตั ิ หรือ ในกลุ่มเรานี้ ได้คนเดียวหรือ ได้คนเดียวไม่คุ้ม เทศน์มา ต้ังนาน ใครได้อัตโนมัติ แบบอัตโนมัติ คล้าย ๆ กับว่าไม่ท่อง มันก็ท่องขึ้นมาเองในใจ อย่างนี้นะ ๑ มีเป็นบางคร้ัง ๒ ๓ มีเป็นบางคร้ังก็เรียกว่า อัตโนมัติ เข้าใจไหม ก่อนท่ีเราจะมาท่องธาตุ มันเคยมีขึ้นมาอย่างน้ีไหม ไม่เคยมีใช่ไหม แต่เวลาเรามาท่อง เรียกว่าท่องย�้า ๆ ซ�้า ๆ มนั กเ็ ลยเกดิ บางทเี รากไ็ มไ่ ดค้ ดิ ทจี่ ะทอ่ งใชไ่ หม กเ็ กดิ ขน้ึ มาเอง อัตโนมัติใช่ไหม เรียกว่ากระท�าเองของมันอัตโนมัติ ก็นี่แหละ แตอ่ ตั โนมตั แิ บบออ่ น ๆ ไมใ่ ชอ่ ตั โนมตั แิ บบเตม็ ทน่ี ะ ไมแ่ กก่ ลา้ แบบออ่ น ๆ คอื มนั เกดิ ขนึ้ มานคี่ อื สง่ิ ทม่ี นั แสดงออกโดยอตั โนมตั ิ ในภาวะของมัน ความเห็นผิดที่เราเห็นผิดย�้า ๆ ซ้�า ๆ ท�ามา แตไ่ หนแตไ่ รแลว้ จงึ แสดงออกตอ่ สงิ่ ตา่ ง ๆ โดยอตั โนมตั ิ กเิ ลส ทเี่ ราเคยทา� ตามมนั มา แบบซา้� ๆ ทา� ตามความอยากแบบซา้� ๆ มันเลยแสดงความอยากออกมาแบบอัตโนมัติ
“รู้อัตตาเพอื่ ละอตั ตา” 21 เราเคยทา� ตามสงิ่ ใด ๆ กต็ ามมา แบบคนุ้ เคย จนตดิ นสิ ยั เปน็ ความเคยชนิ มนั จะแสดงออกแบบเปน็ อตั โนมตั ิ แลว้ สงิ่ ที่ เป็นอัตโนมัติท้ังหมดน่ีแหละ เราเข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้แหละ คือ ส่วนหน่ึงของชีวิต หรือเป็นตัวชีวิตของเรา มันไม่ใช่ เป็นเพียงแค่ผลสืบเน่ืองจากการกระท�าที่ท�าแบบซ�้า ๆ ย�้า ๆ บ่อย ๆ การที่เราท�า ซ้�า ๆ ย�้า ๆ บ่อย ๆ แล้วมันเกิดขึ้นมา เป็นสภาพการณ์ของมันเอง สภาพตัวของมันเอง เขาเรียกว่า อัตตาในสิ่งท่ีเรากระท�าลงไปนั่นแหละ มันเกิดขึ้นมาโดย ตัวของมันเอง แตมันไมมีตัว มันเกิดขึ้นมาจากการกระทํา ทเี่ รากระทาํ ลงกบั มนั แตตวั มนั ไมมี มนั เปนแคผล ผลสบื เนอื่ ง ดงั เชน่ เราตรี ะฆงั เสยี งดงั เพลง้ ๆ หยดุ ตไี ปครงั้ หนง่ึ แตเ่ สยี งมนั ยงั มอี ยใู่ ชไ่ หม ถามวา่ เสยี งนนั้ มนั ดงั มาไดย้ งั ไง กเ็ ราหยดุ ตแี ลว้ มันก็น่าจะแค่กระทบกันดังแป๊กแล้วก็น่าจะหยุดแล้ว แต่มัน ยังมีเสียงดัง หง่าง ๆ ๆ อยู่ มันคืออะไร มันมีตัวตนร้องตะโกน ออกมาจากเสียงระฆังอีกไหม ท�าไมมันยังดังหง่าง ๆ อยู่ได้ มันคืออะไร เสียงตอบ: มันเป็นอัตโนมัติ เออ...ใช่ มันเป็น อัตโนมัติ มันเป็นธรรมดาของมัน เพราะมันเหมือนกันน่ันแหละ เขา้ ใจไหม มนั ไมม่ ตี วั ตนอยใู่ นระฆงั มนั ไมม่ ี ตรี ะฆงั มนั กจ็ ะดงั อยา่ งน้ี แลว้ ถา้ ตเี ราเปน็ ยงั ไง กร็ อ้ ง ใชไ่ หม ถามวา่ ทร่ี อ้ งออกไป
22 “รู้อตั ตาเพอื่ ละอัตตา” มีตัวตนไหม ไม่มีนะ แต่ไม่อยากให้ถูกตีใช่ไหม ก็ยังหวงอยู่ ใช่ไหม หวงอันที่ไม่มีตัวตนนั่นแหละไว้ เรอื่ งนเ้ี ปน็ เรอ่ื งทอี่ ยกู่ บั ตวั เรา ไมเ่ ปน็ เรอ่ื งทอี่ ยนู่ อกตวั เรา อยู่ในตัวเราท้ังหมดเลยที่พระพุทธเจ้าสอน เราจะไม่แปลกใจ เลยวา่ ทา� ไมพระพทุ ธจา้ สอนเรอ่ื ง ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู แททจี่ รงิ พระองคทรงตองการ ไถถอนความเห็นผิดที่เปนตัวตน ท่ีเรารูสึกวา เราเปนกาย กายเปนเรา เรามีในกาย กายมีในเรา เรากับรางกายเปน อนั เดยี วกนั เราเปนจติ จติ เปนเรา เรากบั จติ เปนอนั เดยี วกนั ความเห็นแบบน้ีพระพุทธเจาบอกใหพิจารณาแลวทําลาย ความเห็นนั้นออกเสีย ไมใชไปทํารายรางกายนะ ทําลาย ความเห็น ในความเห็นวาเปนตัวเปนตนออกเสีย บางคนบอกพิจารณาไปจนเห็นความว่างหมด ทุกอย่างเลย กายก็ไม่มี จิตก็ไม่มี ว่างอยู่เฉย ๆ เขาถามว่า อันนี้ท�าลายความเป็นตัวตนได้หรือยัง ยัง อ้าว...ท�าไมถึงยัง ก็พิจารณาแล้วว่า กายก็เปนแคธาตุ ดิน น้ํา ไ ลม ใจ กเ็ ปนแคนาม เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เปนเจตสกิ ปรุงแตง แยกออกไปแลว เห็นแตความวาง แตทําไมยังไม สามารถทาํ ลายความเปนตวั ตนได เพราะอะไร เพราะความ
“รอู้ ตั ตาเพ่ือละอตั ตา” 23 เปนตัวตนที่เปนอัตโนมัติมันยังมีอยู เขาใจไหม ความเปน ตัวตนที่เปนอัตตา ท่ีเปนอัตโนมัติ มันยังมีอยู แมเราจะ พจิ ารณาเหน็ แคไหนกต็ าม แตตวั ทเ่ี ปนอตั โนมตั ิ มนั ยงั มอี ยู แล้วพระพุทธเจ้าบอก เม่ือไปเห็นความว่างแล้วให้ท�าอย่างไร พระองคท์ รงตรสั วา่ ถอนความเหน็ วาเปนตนออกจาก ส่ิงท่ีวาวางน้ันเสีย ขนาดไปเจอความว่าง ยังต้องไปถอน ความเป็นตนออกจากความว่างอีก ถอนอย่างไร วิธีถอน ถอนอย่างไร เราก็ต้องไปดูว่า ตัวท่ีเห็นมัน เปน็ ตวั ตนหรือเปลา่ มนั มีความวา่ ง ความวา่ งเปน็ สงิ่ ที่ถกู เหน็ ผู้ที่เห็นเน่ีย เห็นม้ัย ตัวท่ีเห็นเนี่ยเป็นตัวตนไหม เรามักจะ บอกวา เราเห็น เราเห็นความวาง เราประสบกับความวาง เม่ือเราประสบกับความวางปบ ความเปนตัวเราจะอยูกับ สิ่งท่ีเห็น หรือผูที่เห็น เม่ือเรารูสึกวา มีผูเห็นท่ีเปนตัวตน อัตโนมัติ มันจะแทรกในผูเห็นนั้น พระพุทธเจาทรงบอกวา พิจารณาใหเห็นแลว ถอนมันออกไปวา ความเห็นท่ีวาเปน ตนเห็น มีตัวตนเปนผูเห็นไมมี มีแตสภาพที่ปรากฏใหเห็น และสภาพทเี่ ขาไปรู แตตวั ตนในความรสู กึ ทเ่ี รารสู กึ วามตี วั ตนเปนผเู หน็ นน้ั ไมมเี ดด็ ขาดตวั ตนชนดิ นน้ั นน่ั หมายถงึ วา ตัวเราในการเห็นนั้นไมมี แตการเห็นมี สิ่งที่ถูก เห็นมี
24 “รู้อตั ตาเพ่อื ละอตั ตา” แตตัวเราในการเห็นนั้นไมมี เมื่อพิจารณาไปเห็นตัวของ มันแลว มันจะถอนเอง อัตตานุทิฏฐิ ความเห็นวาตัวตน จะถกู ถอนไปเอง อนั นร้ี ะดบั ของบคุ คลผมู ปี ญญาแกกลานะ ถาพูดถึงคนมีปญญาแกกลาจะเปนอยางที่วาน้ี แตถาปญญายังไมแกกลา เราก็ตองพิจารณากาย ไปเยอะ ๆ พิจารณาจิตใหมาก ๆ พิจารณาขันธ ดูสภาพ เกิด ดับ พิจารณาอริยสัจ ความเปนจริงของกายสังขาร และ จิตตสังขาร ใหมาก ในยุคของเรา มันจะต้องอาศัยการพิจารณาให้มาก ในยุคครั้งพุทธกาล เขาเป็นผู้สะสมความรู้ทางด้านปัญญา ในการพิจารณามาสะสมในจิตมามากแล้ว พอไปฟังเทศน์ พระพุทธเจ้าไม่กี่ครั้ง สติปัญญานั้นท�าหน้าท่ีในการประมวล ความรู้เข้ามาสู่การพิจารณาแล้วละ จึงเกิดความรู้แจ้ง ในคราวครงั้ ทฟ่ี งั จากพระพทุ ธองค์ แตใ่ นพวกเรานนั้ การอบรม บ่มนิสัยทางจิตยังน้อยมาก บางคนต้องเทศน์ซ้�า ๆ ซาก ๆ ไม่รู้ก่ีคร้ัง ต่อก่ีครั้ง ถึงพอจะจับทาง และท�าความเข้าใจ ในค�าเทศน์ ค�าพูด ค�าบอก ค�าสอนนี้ได้ แสดงว่าใจเราไม่ได้ ถกู อบรมมาดแี ตป่ างกอ่ น เราจงึ จะตองอบรมใหมาก กระทาํ ใหมาก พจิ ารณาใหมาก เพราะการพจิ ารณานนั้ ลวนแลวแต
“รู้อัตตาเพอ่ื ละอตั ตา” 25 เปนการอบรมจิตของเราใหไถถอนออกจากความหลงผิด ความเห็นท่ีเปน มิจฉาทิฏฐิในจิตในใจ ถอนออกไปใหหมด เปนการทําลายความเห็นผิด มันจะตอง กพิจารณา และนํามาเปนธุระ ในตัวของเราเอง ท่ีจะตองทํา กทํา กพยายาม ปฏิบัติอยูบอย ๆ อยูเรื่อย ๆ ตัวชีวิตของเรา อยาไปหวงมันมาก หวงไปก็แก เจ็บ ตาย ไมไดสาระอะไร จากมัน การปฏิบัติตองแลกเปนแลกตายกับมัน เปนก็เปน ตายก็ตาย มันถึงจะสามารถเขาถึงสภาพธรรมอันเปนที่ ส้ินทุกขได บางคนบอกว่าเอาปานนั้น มันก็ไม่ไหวแล้ว เขาว่า เอาถึงขั้นตายกันเลยหรือ ตายกบั ธรรมะ กบั ตายโดยไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั ธรรมะ มนั กต็ าย เหมอื นกนั ทกุ คนกต็ ายเหมอื นกนั แทท้ จี่ รงิ แลว้ ไมถ่ งึ คราวตาย มนั กไ็ มต่ ายหรอกคนนะ่ แตก่ ารปฏบิ ตั กิ ต็ อ้ งเจอจงั หวะบบี คนั้ เหมือนกับจะตายบ้าง ก็เกิดขึ้นบ้าง มันเปนเครื่อง ก น ทางจิตใจวาเราจะสามารถกาวขามมันไปไดไหม ถาเรา กาวขามไมได เราก็จะติดอยูตรงที่เดียวนี้แหละ กี่ป ก่ีชาติ ก็ตองเกิดมาเจอกับตัวน้ี เหมือนเดิม อันที่เรากาวขามไมได น่ีแหละ ทุกอยางท่ีผานเขามาในชีวิตเรา ผานเขามาเพ่ือให เราไดพิจารณาเรียนรู แลวกาวขามมันไปใหได
26 “รู้อัตตาเพอื่ ละอัตตา” เราเจอคนท่ีกระท�าสิ่งต่าง ๆ ที่กระทบจนเรารู้สึก ไม่ชอบข้ีหน้าไม่พอใจในกิริยา การกระท�า และมารยาทท่ีเขา แสดงออกมา ไม่พอใจกับเขา ค�าพูดที่เขาพูดอยู่บ่อย ๆ โดยนิสัย หากเราไม่สามารถยกจิตก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นได้ เราก็จะเจอแต่คนน้ี คนแบบน้ี ไม่ใช่คนน้ี ไม่มีเขา ก็ต้องเจอ คนอื่นท่ีเป็นแบบน้ี ไม่เจอคนที่เป็นแบบน้ี ก็ต้องเจอคนอื่น ที่เป็นแบบนี้ เพราะเรายังก้าวข้ามไม่ได้ พอเราก้าวข้ามได้ หมดแล้ว สิ่งเหล่าน้ี มันจะถอยห่างไปจากชีวิตเรา เราจะ ไม่เจอ ไม่เจอเราก็ไม่รู้จักทุกข์ กับสิ่งเหล่าน้ีที่เป็น นั่นหมายถึง การปฏิบัติธรรม จึงไมใชการปฏิบัติ โดยการไปแกไขคนอื่น หรือไปเปล่ียนแปลงคนอ่ืน แตเปน การเปลย่ี นแปลงตนเอง แกไขตนเอง ทาํ ความเขาใจตนเอง แลวยกจิตกาวขามส่ิงเหลานั้นใหได การยกจิตกาวขาม ไมใชเจอกระทบแลวยกจิตขาม คลายกับวาพิจารณา ใหจิตนั้นอยูเหนืออารมณ พิจารณาอะไร พิจารณาส่ิงท่ี มากระทบ กระทบก็ไมถูกเรา เพราะเราไมมีอยูในกาย กายก็ไมใชตัวเรา กระทบจิต จิตก็ไมไดเปนตัวของมัน โดยตัวของมัน จิตเปนผูมีหนาท่ีละ กายมีหนาท่ีแสดงออก ถึงสภาพแหงความเปนจริงตามภาวะของมัน
“รอู้ ัตตาเพื่อละอัตตา” 27 ในสติปัฏฐาน ๔ กายมีอะไรบ้าง ธาตุบรรพ : คือ ดิน น�้า ไฟ ลม น่ันคือ แสดงออกโดยความเปน็ ธาตุ อิริยาปถบรรพ : คือ ความเคลื่อนไหว ก้าว ย่าง เหยียด คู้ เหลียวแล น่ีคือหน้าท่ีของกาย อานาปานบรรพ : หายใจเข้าออก ท่ีคือหน้าที่ ของกาย สภาพของกาย มนั ไมม่ ตี วั ตน มนั เปน็ หนา้ ที่ ที่ต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อมี การประกอบรวมตวั กนั แลว้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ปฏิกูลสัญญาบรรพ : แสดงออกถึงความเป็น ปฏิกูลต่าง ๆ น�้าลาย นา้� มูก น�้าตา อุจจาระ ปัสสาวะ ส่ิงเหล่าน้ีเป็นปฏิกูล กายสังขารเป็นปฏิกูล นวสีวถิกาบรรพ : นวสีวถิกาบรรพ คือ ป่าช้า ๙ ประเภท คือ เอาร่างกาย
28 “รูอ้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” ไปทิ้งในป่าช้า เกิดอะไรข้ึน เขียว พองขึ้นอืด เปื่อยเน่า สนุ ขั มากดั แทะ โครงกระดกู ต่าง ๆ นานา ๙ อย่าง ประมาณน้ีอาตมาเรยี บเรยี ง ไว้ใน ๖ ขั้นตอน คือสรุป รวมแล้วอยู่แค่ ๖ ข้ันตอน ถา้ เอา๙มนั เยอะคนปญั ญา ไม่ถึง อาตมาจึงรวบรวม เ อ า ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ ม า ไ ว ้ ที่ ๖ ขั้นตอน นค่ี อื สว่ นของกายทเ่ี ราจะตอ้ งรหู้ รอื เขา้ ใจวา่ มนั เปน็ กาย ฐานะของกาย สติให้รับรู้อย่างน้ัน ให้เข้าใจอย่างนั้น เพราะ พระพุทธเจ้าบอกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม มีไว้ให้ระลึกรู้ ให้เข้าใจ ว่า กายเป็นอย่างนั้น มันเคลื่อนไหวเอง ไม่มีตัวตน ไปเป็นผู้กระท�าการเคล่ือนไหว บางที บางอย่าง บางครั้ง เราไม่มีเจตนาเคลื่อนไหว มันเคล่ือนไหวเองใช่ไหม น่ัง ๆ อยู่ งูเลื้อยเข้ามา หรือจ้ิงจก ตุ๊กแกหล่นลงมาต่อหน้า รีบ ขนาด ไม่มีเจตนาว่าไปนะ แต่ว่าเกิดภาวะตกใจ มันเป็นของมันเอง
“รูอ้ ัตตาเพ่ือละอัตตา” 29 นะน่ันน่ะ มันถูกสะสม ส่ิงท่ีเป็นอัตตา เคยเห็นว่าเป็นตน มันท�าหน้าท่ีของมันเอง เป็นอัตโนมัติ มีอยู่คนหน่ึง เขาไปนั่งสมาธิในถ�้า เขาบอกว่าจะฟาด กิเลสให้เสร็จสิ้นในคืนน้ี เขามาเล่าให้ฟังทีหลัง ไปน่ังอยู่ ในถ้�าที่ไหนสักแห่ง งูเลื้อยมาอยู่ต่อหน้า ลืมตาข้ึนมาเห็น เท่านั้นแหละ เจองูสติสัมปชัญญะไปหมดเลย กระโดด โลดเต้น ว่ิงป่าราบ ฉันจะปราบกิเลสให้ส้ินซาก เจองูตัวเดียว สร้างกิเลสเต็มตัวเลยทีน้ี หวงตัวเอง น่ีก็เจอกับตัวเอง กางมุ้งกลดไว้ในป่า ใต้ต้นไม้ ตรงน้ัน เป็นป่าทึบ งูก็เยอะ เดินจงกรมเสร็จ เปิดมุ้งเข้าไปจะเอนตัว นอนลง มนั กข็ ดอยขู่ า้ ง ๆ เหน็ ตวั มนั มนั กช็ คู อขน้ึ อา้ ว...มนั มา ตงั้ แตเ่ มอื่ ไหร่ กม็ องดมู นั มนั กม็ องดเู รา แลว้ คอ่ ย ๆ ขยบั ออกมา แล้วเขี่ยมันออกไป มีสติ ก็รู้ งูก็คืองู หากไม่มีเวรภัยต่อกันมา ก็ไม่ฉกกัดเรา ก็แค่นั้น ก็วางใจไว้อย่างนี้ แต่ถ้ามีเวรภัยต่อกัน มาแตก่ อ่ น จะหลกี หนไี ปอยา่ งไรกต็ าม หาทางไมอ่ ยากจะเจอ มันก็ต้องเจอกันจนได้ ความตาย หากเราสร้างเหตุปัจจัยไว้ หลีกหนีไม่พ้น เพราะฉะนน้ั ไมต่ อ้ งไปกลวั แตใ่ หใ้ ชช้ วี ติ ดว้ ยความไมป่ ระมาท อยา่ ประมาท ฉะนนั้ แลว้ การฝกึ ปฏบิ ตั ิ กายใหร้ โู้ ดยความเปน็
30 “รอู้ ตั ตาเพ่ือละอัตตา” ธาตุ เราก็ฝึกกัน คือไม่จ�าเป็นต้องรู้หมด แต่รู้หมดได้ก็ดี โดยความเป็น ธาตุ เราก็ทราบฐานะแห่งความเป็นธาตุ เปน็ ทต่ี งั้ แหง่ การรู้ รวู้ า่ มนั เปน็ ธาตเุ ทา่ นนั้ เอง พอรวู้ า่ เปน็ ธาตุ ดิน น้�า ไฟ ลม ดิน เป็นสัตว์บุคคลไหม ดินมีชีวะไหม มีชีวิตไหม ดนิ มตี วั ตนอยใู่ นนนั้ ไหม ก็ สญุ โญ วา่ งเปลา่ นสิ สตั โต นชิ ชโี ว สุญโญ ว่างเปล่า อันที่ ๒ เวทนา ความสุข เป็นสัตว์ เป็นบุคคลไหม ความสุขเป็นชีวิตไหม ไม่ใช่ชีวะ นิชชีโว ความสุขมีตัวตน ของมันอย่างน้ัน อย่างย่ังยืนไหม ไม่มีอย่างย่ังยืน มันมี แตไ่ มไ่ ดม้ อี ยา่ งยงั่ ยนื เมอ่ื ไมม่ อี ยา่ งยงั่ ยนื ก็ วา่ งเปลา่ จากการ มีตัวตน สุญโญ ว่างเปล่า นิสสัตโต นิชชีโว สุญโญ ความทกุ ขกเ็ หมอื นกนั มนั เกดิ ขน้ึ มา มนั ตงั้ อยู่ มนั มอี ยู่ แตไ่ มไ่ ดม้ อี ยอู่ ยา่ งยงั่ ยนื มนั กด็ บั ไป มนั ไมใ่ ชส่ ตั ว์ บคุ คล ตวั ตน มันไม่มีชีวิต และมันก็ปราศจากความเป็นตัวตนในตัวของมัน เพราะมันเกิดแล้วก็ดับ น่ีคือหลักการท่ีเราต้องท�าความเข้าใจ ใหเ้ ขา้ ใจ ใหเ้ ขา้ ไปอยใู่ นใจ ความรตู้ อ้ งเขา้ ไปอยใู่ นใจตลอดเวลา หมายความว่าเราต้องมีความเข้าใจไปตลอดสายทุกคร้ังที่เรา พจิ ารณา หรอื ประสบกบั เวทนา เวทนากระทบปบุ ไมใชสตั ว
“รู้อตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” 31 ไมใชชวี ะ ชวี ติ ของเรา ความสขุ ไมใชชวี ติ ของเรา ความทกุ ข ก็ไมใชชีวิตของเรา เม่ือมันไม่ใช่ชีวิตของเรามันจะเป็น กใ็ หม้ นั เปน็ ไปสิ อยา่ ไปตอบสนอง อยา่ ไปแสดงความตอ้ งการ อย่าไปแสดงความอยาก อย่าไปหวงแหน หวงก้ัน หรือผลักดัน บางสิ่งบางอย่างออกไป ให้มันเป็นภาวะตามท่ีมันเป็น เพราะ มนั ไมใ่ ชช่ วี ติ ของเรา สญุ โญ ปราศจากความเปน็ ตวั ตนของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างน้ัน เวทนา มีหน้าท่ีแสดงอาการ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง น่ีคือหน้าที่ของเวทนาที่เราต้องรู้ จิต มีหนาท่ีในการรับอารมณ เหมือนดังตามีหน้าท่ี รับรูป หูมีหน้าท่ีรับเสียง จะไม่ให้หูรับเสียงได้ไหม จะเสียงดี กต็ าม เสยี งไมด่ กี ต็ าม หขู องเราตอ้ งรบั สงิ่ ทเี่ รามองเหน็ จะเหน็ สิ่งท่ีดีก็ตาม เห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม มันก็ต้องรับ เห็นคนท่ีเรารัก เห็นคนที่เราชัง เม่ือมันเห็น คือมันแสดงหน้าท่ีหรือท�าหน้าที่ ในการรับ หน้าที่ของมัน คือ การรับในส่ิงท่ีเห็น หน้าท่ีของหู คือรับในเสียงท่ีได้ยิน จติ มหี นาทรี่ บั อารมณแตเราไมอยากใหจติ รบั อารมณ ในสงิ่ ทไ่ี มดี เหน็ ไหมเราแสดงความอยากเพราะอะไร เพราะ เราไปเหน็ จติ วาเปนเรา เราจงึ แสดงความอยากตอสง่ิ ทเ่ี ขามา
32 “ร้อู ัตตาเพอื่ ละอตั ตา” สัมผัสกับจิต จิตมีหน้าท่ีรับ ท�าไมเราไม่ปล่อยให้จิตท�าหน้าที่ ในตัวของตัวมันล่ะ ท�าไมเราไปแทรกหน้าท่ีของจิต เพราะเรา อดทนไม่ได้ท่ีจะให้อารมณ์ไม่ดีกระทบกับจิตเราใช่ไหม หรือ ไม่อยากจะให้สิ่งท่ีไม่ดีต่อจิตเรา ปรากฏอยู่ในจิตของเรา อยู่นาน มันจะนานแค่ไหนก็ตาม มันก็แค่ นิสสัตโต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล นิชชีโว ไม่ใช่ชีวิตของเรา จิตไม่ใช่ชีวิตเรา ชีวิตของเรา ไม่ใช่จิต จิตเป็นจิตมีหน้าท่ีรับอารมณ์เป็นตัวแสดงออกถึง อารมณ์ภายใน ถ้าไม่มีจิตก็จะไม่สามารถแสดงอารมณ์ทาง นามภายในตัวจิตได้ เพราะฉะน้ันแล้ว จึงเป็นตัวท�าหน้าที่ อย่างหนึ่ง เหมือนด่ังตา เหมือนดั่งหู ไม่ใช่ชีวิต และสุญโญ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนของใคร เพราะอะไรเพราะ รับอารมณหนึ่งแลวอารมณนั้นดับไป จิตก็ดับไป แลวมี อารมณใหมเกิดข้ึน จิตก็ปรากฏรับอารมณอีก พออารมณ ใหมดบั ไป มนั กด็ บั ไปอกี มนั มตี วั ตนทไ่ี หน หากมตี วั ตนจรงิ จิตจะตองต้ังมั่นเปนอยางน้ันแบบตายตัว หมายถึงว่า หากจิตดี ก็ต้องดีตลอดกาล จะเปลี่ยนไปเป็นไม่ดี ไม่ได้ ถ้ามันมีตัวตน เพราะ อัตตา คือ เที่ยง คงท่ี ยั่งยืน ตั้งม่ัน ไม่เปล่ียนแปลงไปเป็นอย่างอื่นใช่ไหม ถามว่าจิตมันตั้งม่ัน ย่ังยืน ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอ่ืนไหมล่ะ มันเปลี่ยนอยู่ ตลอดเวลา อยู่ในวัดก็ใจดีหน่อย ออกนอกวัดเป็นอย่างไร
“รูอ้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” 33 ก็ใจร้ายขึ้นมาทันที มันคงท่ีที่ไหนเล่า มันขึ้นกับเหตุปัจจัย ท่ีมาเก่ียวข้อง แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไร พระพุทธเจาทรงบอกวาปฏิบัติโดยการรู รูวา น่ีคือจิต นคี่ อื อารมณ จติ มาสมั ผสั กบั อารมณ จงึ กอเกดิ ขนึ้ เหมอื นกบั ของ อยางกระทบกนั กเ็ กดิ เสยี งขน้ึ มา เสยี งนนั้ เปนจติ ไหม ไมใชจติ มนั กแ็ คเสยี งทเ่ี กดิ จากการผสั สะ อารมณกระทบจติ กก็ อเกดิ บางสงิ่ บางอยางขนึ้ พอใจไมพอใจกไ็ มใชจติ มนั เปน แคตัวแสดงออกถึงสิ่งที่เขามาสัมผัสวาสิ่งนี้ดีก็พอใจ สิ่งน้ี ไมดกี ไ็ มพอใจ วธิ ปี ฏบิ ตั ติ องไมอยใู นขางพอใจหรอื ไมพอใจ วิธีปฏิบัติของเราคือ อยูกลาง ๆ กับ พอใจ ไมพอใจ แลวรู ความพอใจ ไมพอใจ เกิดข้ึน แลวก็ดับไป แคน้ันเอง กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม กุศลธรรม ก็ไมใชสัตว บุคคล ตัวตน ใช่ไหม กุศลธรรมก็ไม่ใช่ชีวิต เราท�าบุญกุศล บุญกุศลก็ไม่ใช่ชีวิตของเรา บุญกุศล คือ บุญกุศล เปนตัวปรุงแตงชีวิต แตมันไมใชชีวิตของเรา มันเป นตัวปรุงแต งชีวิตให กายสังข ารให เป นไปอยู ได ปรุงแตงจิตสังขารใหเปนไปอยูได หมายถึงบุญ ปรุงแต่ง กายสงั ขารไดร้ บั สภาพกายทด่ี ี ปรงุ แตง่ จติ ใหไ้ ดร้ บั อารมณท์ ดี่ ี
34 “รอู้ ตั ตาเพื่อละอตั ตา” อกุศลธรรม ปรุงแต่งกายให้ได้รับสภาพกายท่ีไม่ดี ปรุงแต่งจิตให้ได้รับอารมณ์ท่ีไม่ดี ได้รับจิตที่ไม่ดี ท้ังดี และไม่ดีต่างก็เป็นส่ิงที่ไม่ใช่สัตตะ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ชีวิตของเรา ดีก็ไม่ใช่ชีวิตของเรา ไม่ดีก็ไม่ใช่ ชีวิตของเรา สุญโญ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนของเรา ท้ังหมดลงสู่ความเป็นหนึ่ง เอกายนมรรค คือ นิสสัตโต นิชชีโว สุญโญ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวิต และไม่ใช่ตัวตนของใคร มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างน้ัน การที่เราเข้าไปยึดจับกาย ยดึ จบั เวทนายดึ จบั จติ ยดึ จบั ธรรมทเ่ี ปน็ กศุ ลธรรมอกศุ ลธรรม อัพยากตธรรม ท้ังหมดที่เกิดกับตนด้วยความรู้สึกว่าเป็นเรา ขึ้นมา นั่นคือความหลงผิด ท่ีเราหลงผิดอยู่ ฉะน้ัน จงแกไขความหลงผิด ดวยการพิจารณา ไถถอนใหเขาใจ เมื่อเราเขาใจแลวเราก็ไมตองไปมีอะไร กับโลก โลกมันจะเปนอยางไรก็ตาม ก็ไมใชสัตวบุคคล ตัวตนของใคร มีใครอยู่ในโลกน้ีไปได้ตลอดกาล ทุกคน ต้องจากโลกน้ีไป ใครจะมาท�าอะไรยิ่งใหญ่ในโลกน้ี ก็ยิ่งใหญ่ ไดแ้ คช่ ว่ั คราว แลว้ กจ็ ากไป แตส่ งิ่ ทย่ี ง่ิ ใหญท่ ส่ี ดุ กค็ อื การไมม่ าเกดิ ไม่มาสู่โลกน้ีอีก เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่มาสู่โลกนี้ คอื คนทย่ี งั มคี วามทกุ ขอ์ ยู่ เทวดาทม่ี าสโู่ ลกนี้ คอื เทวดาทย่ี งั มี
“รู้อตั ตาเพอ่ื ละอัตตา” 35 ความทุกข์อยู่ พรหมที่มาสู่โลกนี้ คือ พรหมท่ียังมีความทุกข์อยู่ พระพทุ ธเจา้ จงึ ไมส่ อนใหพ้ วกเรา ซงึ่ เปน็ พทุ ธสาวก หมนุ กลบั มาสู่โลกนี้ แต่ให้ไปอยู่ท่ีเรียกว่า พระนิพพาน ท่ีพระนิพพานน้ันมี พระนิพพานมีอยู่ท่ีไหน มีอยู่ที่ ทเี่ ราทา� ลายความเปน็ ตวั ตนไดแ้ ลว้ ทไี่ หนกต็ าม ทเี่ ราสามารถ ทา� ลายความเปน็ ตวั ตนได้ พระนพิ พานกอ็ ยทู่ นี่ นั่ ไมใ่ ชส่ ถานท่ี ท่ีเราจะไป แต่เป็นที่ท่ีเราจะต้องรู้แจ้งภายในจิต กระท�าการ รู้แจ้งข้ึนมา ท�าให้แจ่มแจ้งได้ ถา้ อาตมาบอกว่านิพพานอยตู่ รงน้ี พวกเรามองไมเ่ ห็น แลว้ อะไรบงั เราอยู่ เรามสี ายตา อะไรบงั สายตาเราไมใ่ หเ้ ราเหน็ อันท่ีบังอยู่น่ันแหละต้องท�าลายมันออกไป พระพุทธเจ้าบอก สง่ิ ทบี่ งั สายตาใหเ้ รามองไมเ่ หน็ พระนพิ พาน ซง่ึ อยตู่ อ่ หนา้ เรา อยู่นี่ มันคืออะไร พระพุทธเจ้าบอกว่า สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิ ะ รูปราคะ อรูปราคะ อทุ ธจั จะ มานะ อวชิ ชา นคี่ อื มนั บงั อยู่ เราคอ่ ย ๆ ถอดสง่ิ ทมี่ นั บังออกไปสิ แหวกมันออกไปสิ สักกายทิฏฐิ กาย แหวกทางกาย พิจารณาทางกาย เพื่อท�าลายความเห็นผิดที่มันครอบง�าใจเราอยู่ แหวกออกไป ทางนี้ เราก็ทราบไดพอเห็นกายตามความเปนจริง เห็นจิต
36 “รู้อัตตาเพอ่ื ละอัตตา” ตามความเปนจริง เห็นสภาพทั้งหลายเกิด ดับ เห็นตาม แนวอริยสัจวาชีวิตนี้เปนทุกข มันจะเปนชีวิตที่เปนทุกข ทุกขอยางไรก็ไมใชชีวิตของเรา มันเปนเพียงแคอุปาทาน ของขันธ ความทุกขทั้งหมดเปนอุปาทานของขันธ ขันธ มันเปนอุปาทานในตัวของมันเอง ขันธมันทําหนาที่ในการ ยึดโยงและยึดจับ และปรุงแตง และรัก าตัวของมันเอง การท่ีขันธทําหนาท่ีในการยึดโยง ยึดจับ รัก าตัว ของมันไวเอง ตรงน้ีเองมันทําใหเราไปหลงเขาใจในขันธ อปุ าทานขนั ธทงั้ หมดทมี่ นั พยายามอปุ าทานขน้ึ มา เราเขาไป อุปาทานในตัวมันอีก คือ ไปสรางอุปาทาน ความยึดถือ ยึดโยง เกีย่ วของกับกาย เราไมยอมปลอยใหมนั เปนไปตาม ภาวะของมัน เราไปยึดโยงมันมาก มากเกินไป มากดวย ความเหน็ เรามคี วามเหน็ วาเปนเรา เปนของ ๆ เรา นแ่ี หละ คือการเขาไปโยงความเห็นเหลาน้ี ผูกมัดอุปาทานขันธ มาเปนตัวเอง แลวสรางความเปนตัวเองจากที่มันไมมีตัว หากมนั มตี วั มนั ไมต่ อ้ งไปสรา้ ง ไมต่ อ้ งไปปรงุ แตง่ หากรา่ งกาย เปน็ ตวั เราจรงิ มนั ไมต่ อ้ งอาศยั อาหาร ไมต่ อ้ งกนิ อาหารเขา้ ไป เพราะมันมีตัวของมันได้อย่างย่ังยืน อย่างเป็นตัวของมันเอง เปน็ ของมนั อยา่ งตายตวั อยา่ งนนั้ ไมต่ อ้ งไปกนิ อาหาร แตท่ เี่ รา
“รอู้ ัตตาเพื่อละอตั ตา” 37 ต้องกินอาหาร เพราะมันไม่มีตัวของมัน เราต้องกินอาหาร เข้าไป ต้องหายใจเข้าไป ต้องเล้ียงดูมัน เพราะไม่มีตัวของ มันเอง เพราะถ้าเราไม่กินแล้วมันก็ต้องสลายตัวมัน ตัวมัน ต้องสลาย เมอ่ื ตวั มันแตกสลายแล้ว เราไมไ่ ด้เหน็ ขอ้ นไ้ี ง คนที่ แตกสลายไปมมี ากมายเยอะแยะ เตม็ ไปหมดเลย แตเ่ ราไมเ่ หน็ ข้อนี้ว่า เราก็ต้องแตกสลาย แล้วก็ไม่มีตัวตนท่ีแท้จริง ไม่มีใคร มีตัวตนที่แท้จริง เหน็ ไหมพอ่ แม่พ่ีนอ้ งปู่ยา่ บรรพบรุ ษุ เราตา่ งกล็ ว่ งลบั กันไปหมด เหลือตัวตนในกายสังขารที่เท่ียงแท้ มีใครสักคน เหลอื อยบู่ า้ ง อาตมากไ็ มไ่ ดเ้ หลอื อยใู่ นโลกนห้ี รอกในวนั ขา้ งหนา้ มนั เพยี งแคม่ เี หตปุ จั จยั ปรงุ แตง่ แลว้ กป็ ระกอบกนั ใหอ้ ยอู่ ยา่ งนี้ ได้ชั่วภาวะหนึ่งเท่านั้น กาลเวลาหนึ่งเท่าน้ัน อย่าไปหลงผิด และยึดกายสังขารท่ีมันมีอยู่ในช่ัวขณะหนึ่งว่าเป็นตัวของเรา จงพิจารณาให้เห็นทางด้านปัญญา ไถ่ถอนความเห็นผิดในจิต ออกไปจากการยึดม่ันถือม่ัน เราไปยึดมั่นถือม่ันตัวอุปาทานขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พระพุทธเจ้าบอกว่า “สังขิตเตนะ ปญจุปาทานักขันธา ทุกขา” ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ คือ ตัวทุกข์ คือตัวท่ีแสดงออกถึงความทุกข์ ความทุกข์
38 “รู้อตั ตาเพือ่ ละอตั ตา” ต้องแสดงออกที่ตัวขันธ์ ๕ น้ี เม่ือเราไปยึดขันธ วาเปน ตัวเรา คือไปอุปาทานในอุปาทานขันธ เราก็จะไดรับผล ทางความทุกขจากขันธท่ีมันแสดงออกถึงความทุกขอยูใน ตวั ของมนั อยแู ลว เมอ่ื เราไปสรางการยดึ จบั วาเปนตวั เราปบุ ผลจากกายสงั ขาร หรอื จติ ตสงั ขาร จะทาํ ใหเรามคี วามทกุ ข กับความทุกขท่ีมันมี กายมีอยูแลว ทุกขนะ จิตมีอยูแลว ทุกขนะ เราไม จําเปนตองไปทุกขกับกายหรือจิตท่ีมันทุกขอยูแลว เราไม จําเปน แตที่เราจําเปนตองไปทุกขกับมันเพราะเราหลงผิด เราหลงวามันมีเรา เรากับมันเปนอันเดียวกัน เราหลงอยู เพียงแคนี้ เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงสอนใหท้ า� ลายความหลง นน่ั หมายถงึ วา่ ตวั ตนของเราไมม่ อี ยใู่ นสงั ขารแน่ พระพทุ ธเจา้ จึงสอนให้เราท�าลาย ท�าลายความเห็นว่าเป็นตัวตน ใน ความหมายน้ี พระพุทธเจ้าพยายามจะบอกสอนให้รู้จัก ขันธ์ ๕ พิจารณาขันธ์ ๕ แล้วท�าลายความเห็นผิดในตัวตน ของขันธ์ ๕ ด้วยขันธ์ ๕ เอง พอเข้าใจไหม เอาขันธ์ ๕ น่ีแหละ พิจารณาขันธ์ ๕ ตัวเรานั่นแหละ พิจารณาตัวเรา พูดง่าย ๆ ตัวเราพิจารณาตัวเรา เพ่ือท�าลายความเห็นว่าเป็นตัวเรา
“รอู้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” 39 ในตัวเราที่เราเข้าใจว่าเป็นตัวเรา เพราะตัวเราที่แท้จริงมันไม่มี มันต้องแตกสลายอยู่ หากเรายอมรับกายสังขารว่าเป็นตัวเรา ตอนตาย เราต้องยอมรับความไม่มีตัวด้วย แต่ปรากฏว่า ตอนตาย เราไม่ได้ยอมรับว่าเราไม่มีตัว เราก็ยังยึดอยู่ว่าชาติหน้าขอให้ ข้าพเจ้าเกิดใหม่ นั่นน่ะ มีตัวตนใหม่ในชาติหน้านะ ยังขอให้ ตัวเองมีตัวเองอีกในชาติหน้า ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้เรา มีตัวเองในชาติหน้า แต่สอนให้เราดับความเป็นตัว แต่เม่ือใด ก็ตามที่ยังดับไม่ได้ ชาติหน้ามีแน่นอน ตัวน่ะ ไม่ต้องไปขอ ไม่ขอมนั ก็มี มันยงั เกีย่ วโยงกนั อยู่ ถ้าเรายงั ขอ ชาติหน้าขอให้ เกิดในท่ีที่ดี ขอให้เป็นเศรษฐี ขอให้ได้บุญกุศลท่ีท�า ก็ไม่เจอ นิพพานเสียที มันก็จะเจอท่ีเราขอนั่นแหละ ตัวตนของเรา ทั้งน้ันที่สร้างไว้ แล้วก็ไปเสวยผลทางด้านตัวตน ชนิดนั้น ๆ แล้วตัวตนนั้นคือขันธ์ชนิดใหม่ท่ีดีข้ึนกว่าเดิม เป็นขันธ์ใหม่ แลว้ ในขนั ธก์ เ็ ปน็ ทกุ ข์ มที กุ ขอ์ ยตู่ ามขนั ธใ์ หม่ สขุ บา้ ง ทกุ ขบ์ า้ ง ไปตลอด จะหาความสุขโดยส่วนเดียวไม่ได้ในตัวขันธ์ มันมี ความทุกข์อยู่ และไม่ใช่วิสัยและฐานะท่ีจะเป็นไปได้
40 “รอู้ ตั ตาเพอื่ ละอัตตา” พระพุทธเจ้าจึงทรงพยายามพร�่าสอนพวกเราตลอด ให้ได้เข้าใจชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิตของเรา แต่เป็นชีวิตตามท่ีมันเป็น ก็ต้องปล่อยให้เป็นชีวิตตามที่มันเป็น แต่เรามีสติปัญญา ในการรับรู้มัน ตัวเราน่ันแหละที่มีสติปัญญารับรู้ บางทีก็ บอกวา่ เอ...พระอาจารยส์ บั สนเหลอื เกนิ พระอาจารยบ์ อกวา่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีตัวตน พระอาจารย์ก็บอกว่าไม่มี ตัวตน แล้วเอาตัวเราไปรับรู้อะไร จะเอาตัวไหนไปรับรู้ ขอให้เข้าใจว่า “ตัวเรา” พูดในเชิงสมมุติ หรือพูด เชงิ โวหารของการรวมตวั ของขนั ธ์ ทม่ี นั รวมตวั กนั อยู่ มนั รวมกนั เกดิ ขนึ้ จงึ เรยี กสภาพทรี่ วมตวั กนั นนั้ วา่ “เปนตวั เรา” เทา่ นน้ั เอง คือ อาศัยโวหารเรียก ถ้าไม่ใช้ค�าน้ีพูด ก็ไม่สามารถอธิบาย แง่ธรรมใหเ้ ราเข้าไปปฏบิ ัติได้ว่าควรปฏบิ ัติกันอย่างไร หมายถึง ว่า เราอาศัยกายสังขาร และจิตตสังขารอยู่ อาศัยโดยผลรวม ที่มันเป็นอยู่ จึงเกิดความเป็นตัวเราข้ึนมา แล้วมีข้ึนมา การที่ มนั มขี นึ้ มาจะมกี ารปรงุ แตง่ ใหม้ ตี วั เรา โดยลกั ษณะทเี่ ราเหน็ วา่ มนั มี เมอื่ เราเหน็ วา่ มนั มี ความมตี วั มนั เลยมจี ากความเหน็ นนั้ เมื่อเราเกิดความเห็นว่ามี ในความเห็นอันน้ัน มันก็จะเกิด ความเหน็ อยบู่ อ่ ย ๆ ตวั ตนจงึ ไมห่ มดไปเสยี ที ตวั ตนจงึ มอี ยตู่ ลอด และสืบเนื่องอยู่ตลอด มันหมดไม่ได้
“รู้อัตตาเพื่อละอตั ตา” 41 พระพทุ ธเจาจงึ ทรงบอกใหเปลยี่ นความเหน็ ใครเปลย่ี น ความเห็น ตัวเรานั่นแหละเปล่ียนความเห็น พอเราเปล่ียน ความเหน็ วาไมมตี วั ในกายสงั ขารและจติ ตสงั ขาร ความเปน อนัตตา คือความไมมีตัวก็จะปรากฏ พอความไมมีตัว ปรากฏปบ มนั กจ็ ะเกดิ ภาวะการรแู จงภายในตวั วา ออ เรา ไมมีตัวอยูแลว อันน้ีเปนปญญา เปนปญญาในเร่ืองภายใน วาไมมตี วั แลว เมอ่ื เราเหน็ ทกุ ครงั้ ๆ วาไมมตี วั ความเหน็ ผดิ ท่ีมีตัวก็จะถูกไถถอน ๆ ออกไป เปนระยะ ๆ ในขณะน้ัน ทําลายกัน ทําลายกัน ทําลายกันไปเรื่อย ๆ ๆ พระองค์จึงทรงสอนให้เราพิจารณาแยกร่างกาย ตลอดเวลา นี้คือดิน นี้คือน�้า นี้คือไฟ นี้คือลม หากเราเห็น ร่างกายแยกอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ ลักษณะของปัญญา แต่ถ้า เราเหน็ รา่ งกายหมุ้ หอ่ เปน็ ตวั เปน็ ตนอยตู่ ลอดเวลา เรากจ็ ะเหน็ เป็นตนอยู่ตลอดเวลา มันก็ท�าลายความเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ ฉะนั้นการพิจารณาแยกจึงเป็นปัจจัยส�าคัญมากที่จะช่วยให้ เรารจู้ กั และทา� ความเขา้ ใจกบั กายสงั ขาร และ จติ ตสงั ขาร ตาม ความเป็นจริง และเราก็จะรู้ว่า ตัวเราที่เราอยู่กับมันต้ังแต่มัน เกดิ จนถงึ วนั นี้แทท้ จ่ี รงิ แลว้ มนั ไมม่ ตี วั อะไรเลยสกั อยา่ งปญั ญา ข้อน้ีก็จะท�าลายความเป็นตัวทั้งหมด มันจะยุติ เม่ือจิตสัมผัส
42 “รู้อัตตาเพอ่ื ละอตั ตา” กับพระนิพพาน ความรู้นี้ก็จะแจ่มแจ้งข้ึนมา แล้วเราก็จะไม่ หลงผดิ ยดึ กายสงั ขาร กบั จติ ตสงั ขาร วา่ เปน็ อตั ตา เปน็ ตวั ตน ของเราอีก ไปตลอดกาล เข้าใจบ่ เอาล่ะ ปุจฉา : ขออนุญาต ขอโอกาสถามประเด็นที่ พระอาจารย์ให้ ก็คือ พระอาจารย์ บอกว่า เรายึดร่างกายเป็นตัวตน เป็นอัตโนมัติ ท่านก็เลยมอบหมาย ให้ลูกศิษย์ไปท�าลายตัวตน โดยการ ท่องธาตุให้เป็นอัตโนมัติ วิสัชชนา : ก็อัตโนมัติ จึงจะแก้ อัตโนมัติได้ ปุจฉา : เอาอัตโนมัติ ไปท�าลาย อัตโนมัติ วิสัชชนา : ใช่ ให้มันท�าลายของมันเอง หน้าท่ี ของเราไม่ใช่ไปท�าลายมันนะ แต่การ พจิ ารณา ทเี่ ราพจิ ารณาจนเปน็ อตั โนมตั ิ ตวั นจี้ ะไปทา� ลายเอง หนา้ ทข่ี องเรา คอื พิจารณาอย่างเดียว แต่การท�าลาย เป็นหน้าท่ีของตัวน้ี ถ้าอัตโนมัติไม่พอ มนั กท็ า� ลายตวั นน้ั ไมพ่ อถา้ ตวั อตั โนมตั พิ อ มันพอต่อกัน มันก็จะแก้กันเอง
“รู้อัตตาเพ่อื ละอัตตา” 43 ปุจฉา : อปุ มาดง่ั เราสรา้ งอาวธุ เพอ่ื ไปทา� ลายลา้ ง ตัวนี้ สร้างอาวุธน้ีก็คือ การท่องธาตุ วิสัชชนา : อัตโนมัติ ปุจฉา : ใช่ วิสัชชนา : ไปทา� ลายลา้ งอตั ตา ทเี่ รายดึ เปน็ อตั โนมตั ิ ปุจฉา : มาเป็นล้าน ๆ ปี วิสัชชนา : ใช่ ถูกต้อง เข้าใจถูก ปุจฉา : โยมกท็ อ่ งอยู่ แตม่ นั เปน็ อตั โนมตั อิ อ่ น ๆ วิสัชชนา : ไม่แก่กล้า ก็ไม่เป็นไร ยังท่องได้อยู่ใช่ไหม ท่องไป พิจารณาให้มาก ตอ้ งไปใชค้ วามเพยี ร ใหม้ นั เกดิ อตั โนมตั ิ ให้มันแก่กล้า แกก่ ลา้ เกนิ ไป กไ็ มด่ ี เอาอตั โนมตั อิ อ่ น ๆ นแี่ หละไมต่ อ้ งเอาแกก่ ลา้ มากเอาออ่ นๆ น่ีแหละ แล้วค่อยขยับเข้าไปสู่การ พจิ ารณา แตก่ ารพจิ ารณานใี้ หแ้ กก่ ลา้ ไว้ การท่องเอาแค่อ่อน ๆ เอาแค่รู้สึกเป็น อัตโนมัติในจิต แล้ววาง วางปุ๊บก็.. บางคนบอกว่า ค�าว่าวางควรจะวาง
44 “รอู้ ัตตาเพอ่ื ละอัตตา” แบบไหน วา่ หยดุ ทอ่ งไดแ้ ลว้ หรอื ยงั หยดุ ไมไ่ ด้กจ็ ะอาศยั ประสบการณว์ า่ หากเรา ทอ่ ง ๆ ๆ ยา้� ๆ ๆ อยแู่ ลว้ จนเกดิ อตั โนมตั ิ ในจิต รู้สึกว่า เอ...จะท่องไปท�าไมอีก ก็มันเกิดการท่องจ�าข้ึนมาในใจแล้ว รู้สึกว่าจะกลับไปท่องอีก มันไม่รู้สึก เป็นของแปลกใหม่เหมือนตอนแรก มันเหมือนกับว่าท่องก็เหมือน ๆ เดิม ย้�า ๆ เหมือนเดิม จิตก็ยังเหมือนเดิม อย่างน้ีให้รู้เลยว่า มันอ่ิมแล้ว คือ จิต มันสะสม ความรู้ทางด้านการท่องน้ัน จนอ่ิมตัวของมันแล้ว พออ่ิมตัวของ มันแล้ว เหมือนเรากินข้าว พออิ่มแล้ว กต็ อ้ งลกุ หนี ใชไ่ หมละ่ กไ็ ปหาอยา่ งอน่ื ท�าต่อเม่ือเราท่องเต็มท่ีของมันแล้ว ก็หยุด มันจะหยุดของมันเอง ให้กลับ ไปท่องมันก็ไม่ท่อง แต่ไม่ใช่ขี้เกียจนะ คนละอยา่ ง จากนนั้ เรากข็ ยบั มาพจิ ารณา ร่างกาย ๖ ข้ันตอน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123