“อริยะ ไมไดหมายถึงพระอริยเจาเพียงอยางเดียวเทานั้น อริยะ มีความหมายวา ความเจริญ ความประเสริฐ คือ ทําใหเราเกิดมีความเจริญ ไปในหนทางแหงความเจริญ อารยะ อารยธรรม เปนความเจริญ” จารุวณฺโณ ภิกฺขุ
“ตามรอยบาท พระศาสดา” คณุ พ่อสธุ ี ประกายพรรณ ผถู้ วายภาพปก
อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ ISBN : 978-616-565-557-6 จดั พมิ พ์โดย : สถานศึกษาธรรม ดอยธรรมนาวา ๓๓๗ บา้ นปา่ รวก หมู่ท่ี ๘ ต�ำบลนางแล อ�ำเภอเมือง จงั หวัดเชียงราย ๕๗๑๐๐ โทร. ๐-๒๒๗๑-๓๔๘๙, ๐๘-๙๔๑๑-๕๑๐๐, ๐๘-๑๙๙๘-๕๕๑๘ พิมพ์ครั้งท่ี ๑ : ธันวาคม ๒๕๖๒ จ�ำนวน : ๒,๐๐๐ เลม่ ผูถ้ วายภาพปก : คณุ พอ่ สุธี ประกายพรรณ ผวู้ าดภาพปก : ดร.วชิ ิต ประกายพรรณ พมิ พ์ท่ี : หจก. ประยูรสาสน์ ไทย การพิมพ์ ๔๔/๑๓๒ ซอยก�ำนนั แม้น ๓๖ แขวงบางขนุ เทยี น เขตจอมทอง กรงุ เทพฯ ๑๐๑๕๐ โทร. ๐-๒๘๐๒-๐๓๗๙, ๐๘-๑๕๖๖-๒๕๔๐
“ธรรมช�ติที่ปิดบังอริยสัจ ๔ ไว้ คือ อวิชช� เมื่อใดก็ต�ม ที่เร�ยกอริยสัจ ๔ ข้ึนม� เป็นเคร่ืองกำ�หนดรู้ เมื่อนั้นแหละ อวิชช�จะดับห�ยไปจ�กใจเร� จะไม่มีก�รสืบต่อตัวขันธ์” จารุวณฺโณ ภิกฺขุ
-ก- ค�ำน�ำ ท่านอาจารย์ จารุวณฺโณ ภิกฺขุ ได้รับนิมนต์ไปรับ ภัตตาหารเพลและแสดงพระธรรมเทศนา ที่บ้านสามเสน เป็นครัง้ แรก เมอ่ื วนั ท่ี ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สืบเนอ่ื งจาก สมาชิกกลุ่มพุทธธรรมสวนหลวงส่วนหน่ึงได้มีโอกาส อนั ประเสรฐิ ทไี่ ดพ้ บ และไดฟ้ งั พระธรรมเทศนาจากทา่ นอาจารย์ ในคราวจาริกสักการะสังเวชนียสถาน ณ ประเทศอินเดีย ช่วงตามรอยพระเจ้าอโศกมหาราช เม่ือเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระธรรมเทศนาในครั้งนั้นมีประโยชน์มาก จึงปรารถนาให้สมาชิกในกลุ่มที่ไม่มีโอกาสเดินทางไปยัง ประเทศอินเดียได้ฟังด้วย และได้เสนอหัวข้อบรรยายธรรม เรอ่ื ง แนวทางการปฏบิ ตั เิ พอ่ื คลอ้ ยตามสจั จะ ใหจ้ ติ ยอมรบั ตง้ั แต่ ระดบั โลกยิ สมั มาทฏิ ฐิ จนถงึ โลกตุ ตรสมั มาทฏิ ฐิ ไปจนกระทงั่ บรรลุมรรค ผล นพิ พาน ซง่ึ สรุปรวมลงเปน็ เรอ่ื ง อรยิ สัจ ๔ ท่านอาจารย์ได้บรรยายต้ังแต่การปรับพื้นฐานความ เข้าใจ สร้างความเห็นถกู เป็นเบือ้ งตน้ ในเรอ่ื ง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ฯลฯ และได้ตอบค�ำถามต่าง ๆ อย่างละเอียด สร้างความเข้าใจใหแ้ กผ่ ้ฟู ังได้อย่างกระจา่ งแจง้
-ข- กลุ่มพุทธธรรมสวนหลวง และคณะท�ำงานหนังสือ ของทา่ นอาจารย์ เหน็ วา่ เปน็ พระธรรมเทศนาทเ่ี ปน็ ประโยชน์ จงึ ไดถ้ อดความออกมา ดังปรากฏเปน็ หนงั สือช่ือ อริยสจั ๔ ท�ำคนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ เล่มนี้ อนงึ่ เมอ่ื วนั ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ทา่ นอาจารย์ ได้รับนิมนต์ไปรับภัตตาหารเพลและแสดงพระธรรมเทศนา อีกครั้ง ในลักษณะปุจฉา วิสัชนา ดังปรากฏเป็นหนังสือชื่อ อริยสัจ ๔ ในชีวิตจริง ที่พิมพ์ออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นตอนตอ่ เนอื่ งจากหนังสือเลม่ นี้ การแสดง พระธรรมเทศนาทง้ั สองครงั้ ไดแ้ สดงในแงม่ มุ ตา่ ง ๆ ครอบคลมุ ทกุ เรือ่ งในอรยิ สจั กลุ่มพุทธธรรมสวนหลวง และคณะท�ำงานหนังสือ ของทา่ นอาจารย์ ขอกราบบูชาคุณพระรตั นตรัย ยกไวเ้ หนอื เศียรเกล้า และกราบบูชาคุณพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่ีมีเมตตา ต่อกลุ่มเราเสมอมา หนังสือน้ีจัดพิมพ์ข้ึนเพื่อแจกเป็นธรรมทานในงาน ถวายวหิ ารทาน (ท่พี ักเพือ่ ปฏบิ ัตภิ าวนา) โดยกลมุ่ พุทธธรรม สวนหลวง เพื่อเป็นสมบัติของสงฆ์ ณ สถานศึกษาธรรม
-ค- ป่านาโสกฮัง จังหวัดอ�ำนาจเจริญ เมื่อวันท่ี ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยตั้งเจตนาว่าการกระท�ำท่ีสุดแห่งทุกข์ ให้แจ้งจักเกิดได้จากการท�ำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อม ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ดีแล้ว ทุกประการ คณะท�ำงานหนงั สือ อริยสัจ ๔ ท�ำคนธรรมดาให้เป็นอริยะ กนั ยายน ๒๕๖๒
-ง- ค�ำอธิบายค�ำยอ่ ๑. ค�ำอธบิ ายค�ำย่อในภาษาไทย ก. ค�ำย่อเก่ียวกับคัมภีร์พระไตรปิฎก : คณะท�ำงาน อ้างอิงข้อมูลจากคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา- ลงกรณราชวิทยาลยั พุทธศักราช ๒๕๓๙ โดยใชอ้ กั ษรยอ่ แทน ชอ่ื เตม็ คมั ภรี ต์ ามระบบอา้ ง เลม่ /ขอ้ /หนา้ ตวั อยา่ งเชน่ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๙/๕๐. หมายถงึ ทฆี นกิ าย สลี ขนั ธวรรค พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๙ ขอ้ ๑๙ หนา้ ๕๐ เปน็ ตน้ พระวินยั ปฎิ ก วิ.ม. (ไทย) = วนิ ัยปฎิ ก มหาวรรค (ภาษาไทย) พระสุตตนั ตปิฎก ท.ี ส.ี (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนกิ าย สลี ขนั ธวรรค (ภาษาไทย) ที.ม. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย) สํ.ม. (ไทย) = สตุ ตันตปิฎก สงั ยตุ ตนิกาย มหาวารวรรค (ภาษาไทย) องฺ.ปญฺจก. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนบิ าต (ภาษาไทย)
-จ- หนา้ ก สารบญั ง จ เรือ่ ง ๑ ค�ำน�ำ ๔ ค�ำอธบิ ายค�ำยอ่ ๖ สารบญั ปฏสิ นั ถาร ๑๒ อรยิ สจั ๔ ๑๓ อวชิ ชา ๑๗ ๑๙ อรยิ สจั ๔ ในชนั้ โลกยิ ะ ๒๓ ๒๙ กจิ ๓ อาการ ๑๒ ๓๓ กจิ ๓ ในทกุ ขสจั เหตแุ หง่ ทกุ ข์ คอื ตณั หา ตณั หาน�ำไปสภู่ พใหม ่ กจิ ๓ ในสมทุ ยสจั กจิ ๓ ในนโิ รธสจั กจิ ๓ ในมรรคสจั
-ฉ- เร่อื ง หนา้ ๓๗ อรยิ สจั ๔ ในชน้ั โลกตุ ตระ ๔๓ ๔๘ มจิ ฉาทฏิ ฐิ : เหน็ กายกบั ใจวา่ เปน็ ตน ๕๐ สตปิ ญั ญาในอรยิ สจั ๔ จะละสกั กายทฏิ ฐ ิ ๕๔ ความแตกตา่ งของอรยิ บคุ คลกบั ปถุ ชุ น ๕๖ ๕๗ ตอบค�ำถาม ๖๒ ๖๙ อตั ตวาทปุ าทานเกดิ เพราะไมเ่ หน็ จติ เกดิ -ดบั ๘๒ อรยิ สจั ท�ำลายสกั กายทฏิ ฐ ิ ๘๕ ธรรม คอื สภาพทท่ี รงไวซ้ ง่ึ ความจรงิ ๘๖ ความอตุ สาหะเปน็ คณุ สมบตั ขิ องการบรรลธุ รรม ๙๗ นางวสิ าขา : อรยิ บคุ คลผบู้ รโิ ภคกาม การท�ำมรรคใหเ้ จรญิ คอื การรอบรใู้ นอรยิ สจั ๔ การท�ำมรรคใหเ้ จรญิ เชงิ อรรถ
อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 1 อริยสัจ ๔ ท�ำคนธรรมดาให้เป็นอริยะ ปฏิสันถาร มากันแล้ว ก็ถือว่าเอาความพร้อมเพรียงนี้เป็นท่ีตั้ง ความพร้อมเพรยี งเป็นการแสดงออกถงึ ความตัง้ ใจท่ีจะรับฟงั ธรรมะ ขอให้พวกเราระลึกถึงพระรัตนตรัยด้วยกัน ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบ ได้โดยพระองค์เอง ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ชอบแล้ว ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระสงฆส์ าวกของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิบัติตรง ผู้ปฏิบัติเพื่อออกจาก กองทุกข์ ผู้ปฏิบัติท่ีสมควรแล้ว ขอโอกาสหมคู่ ณะสงฆ์ และเจรญิ พรญาตโิ ยมทกุ ทา่ น ท่ีได้มาร่วมท�ำบุญถวายภัตตาหารเพลและร่วมรับฟังในการ อธบิ ายธรรมะจากอาตมา สืบเนือ่ งจากอาตมาไดร้ บั นิมนตม์ า ฉันเพลอย่างเดียว โยมจ๊ีดบอกอย่างน้ัน ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไร
2 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ ท่ีท�ำให้เกิดการบรรยายธรรมะ แต่เมื่อเป็นการวางแผนจาก โยมจดี๊ แลว้ กต็ อ้ งเปน็ ไปตามแผนนน้ั เรยี กวา่ พลอยตามนำ�้ ไป ถอื วา่ เปน็ สงิ่ ทด่ี ี เปน็ สง่ิ ทท่ี ำ� ใหผ้ สู้ นใจธรรมะ ซง่ึ โยมจดี๊ อาจจะ มองแล้วว่า หลาย ๆ คนที่ได้ชักชวนมานี้ จะได้รับประโยชน์ จากท่ีได้ฟังการอธิบายธรรมะจากอาตมา อาตมากับโยมจี๊ดได้รู้จักกันเมื่อคราวไปสังเวชนียสถาน ทอ่ี นิ เดยี ซงึ่ การเดนิ ทางไปอนิ เดยี นนั้ เปน็ การไปตามคำ� กราบ นิมนต์ของญาติโยมทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีความต้ังใจไว้ว่าจะต้องไป เป็นผู้แสดงธรรมหรือบรรยายธรรมอะไร ช่วงท่ีสอง ท่ีเสร็จจากสังเวชนียสถานแล้ว มีกลุ่ม ตามรอยพระเจ้าอโศก คือ กลุ่มของโยมจี๊ดนี่แหละ โยมจ๊ีด บอกว่าไม่นึกว่ากลุ่มน้ีจะมีพระมาด้วย ไม่นึกว่าจะเจอ ท่านอาจารย์ เขาว่าอย่างนี้ ซ่ึงก็ไม่เคยรู้จักกัน อาจารย์สุภีร์ เปน็ ผแู้ นะนำ� ใหร้ จู้ กั อาตมากไ็ มน่ กึ วา่ จะเจอโยมจดี๊ เหมอื นกนั ต่างคนก็ไม่คิดว่าจะมาเจอกันในกลุ่มนี้ คงจะยกให้เป็น บุญวาสนาร่วมกันท่ีท�ำให้ได้เจอ แล้วก็น�ำไปสู่การสนทนา ธรรมกันต้ังแต่อยู่สนามบินจนถึงท่ีพัก อาตมาเห็นความสนใจในธรรมะ ซ่ึงก็ไม่เคยเข้าใจ และไม่ทราบมาก่อนว่า โยมกลุ่มน้ีปฏิบัติธรรมกันมาอย่างไร
อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ 3 อาตมากพ็ ดู ไปตามประสาของอาตมาท่เี คยปฏบิ ตั มิ า โดยเฉพาะ ที่เรียกว่า ประสบการณ์ที่เกิดจากการปฏิบัติของตน ถ้าพูด ในชน้ั ของปรยิ ตั หิ รอื การเรยี นรู้ พวกเรากท็ ราบกนั ดอี ยแู่ ลว้ วา่ ความรทู้ ง้ั หมดทมี่ อี ยใู่ นต�ำรา เมอ่ื เราไปอา่ น ไปศกึ ษาเลา่ เรยี น ก็อยู่ในช้ันของการจดจ�ำหรือทรงจ�ำไว้ ซ่ึงสิ่งเหล่านี้จะเป็น อุปการะมากต่อการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติจริง ๆ ก็คือการเห็น อาการจรงิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั ตวั เรา เมอ่ื อาการนนั้ เกดิ ขน้ึ แลว้ จรงิ ๆ เราได้ปฏิบัติต่ออาการจริงนั้นอย่างไร นี้คือข้อปฏิบัติหรือว่า ส่ิงที่เป็นประสบการณ์ อาการจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง เราไม่สามารถ ก�ำหนดหรือคาดหมายการปฏิบัติได้เลยว่า ควรจะปฏิบัติ อย่างน้ันอย่างนี้กับชีวิตของเรา พอบางส่ิงบางอย่าง (ธรรมารมณ์ในจิต) เกิดขึ้นมา เราตั้งรับไม่ทัน น้ีเองจึงเป็น เรื่องราวที่อาตมาได้หาอุบายและพยายามพิจารณาเรื่องราว ท่ีเป็นหลักธรรม น�ำมาบอกพวกเราทั้งหลายซ่ึงอยู่ในวิถี ของผู้ก�ำลังด�ำเนินการปฏิบัติอยู่ ว่าควรจะน�ำหลักธรรม ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสสอน ท่ีพวกเราได้เรียนรู้กัน เอาไปใช้กับ ชีวิตจริง กับเร่ืองราวจริง กับสิ่งที่สัมผัสและกระทบกับชีวิต ของเราจริง ๆ ว่าเราควรน�ำหลักธรรมน้ันไปปฏิบัติได้อย่างไร
4 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ โยมจี๊ดได้พยายามเข้ามาศึกษาในแนวทางที่อาตมา ได้บอก คือยกโยมจี๊ดเป็นหลักก่อน เพราะมีหลายท่านท่ีได้ พบกันท่ีอินเดีย วาระนี้ก็ครบ ๑ ปีในการปฏิบัติ ค่อนข้างจะ แน่ชัดได้ว่า ธรรมะที่อาตมาได้แนะน�ำมีประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ แล้วผู้ปฏิบัตินั้นสามารถทราบธรรมะน้ันได้ด้วยตนเอง และก็ เขา้ ใจในบทแหง่ สจั จะทเ่ี คยอยใู่ นตำ� รา แลว้ นำ� มาสกู่ ารปฏบิ ตั ิ ในชีวิตประจ�ำวัน โยมจี๊ดจึงอาราธนาว่า ขอความเมตตา ท่านอาจารย์อธิบายอริยสัจ ๔ ท่ีเกิดขึ้นกับชีวิตประจ�ำวัน ของเรา และอยากใหผ้ ทู้ มี่ าฟงั ไดร้ จู้ กั อรยิ สจั ๔ ทงั้ ในสว่ นของ โลกิยะและในชั้นของโลกุตตระ เพ่ือท่ีเราจะได้ก�ำหนดถูก ฉะน้ันแล้ว ข้อธรรมที่เราจะได้รับฟังในวันนี้จะเก่ียวกับเรื่อง อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔๑ เป็นเรื่องท่ีพระพุทธเจ้าทรงให้ความ ส�ำคัญมาก ถือเป็นปฐมเทศนาท่ีพระองค์ทรงพยายามที่จะ ท�ำให้พวกเราได้เกิดดวงตา เกิดปัญญา เกิดญาณ เกิดความ เข้าใจ เกิดวิชชาคือความรู้ การท่ีพระพุทธเจ้าทรงต้องการ ให้เรารู้อริยสัจ เพราะเป็นหลักใหญ่ที่เม่ือบุคคลใดก็ตาม
อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ 5 ได้รู้จักอริยสัจแล้ว บุคคลผู้นั้นจะสามารถท�ำลายอาสวะได้ เพราะฉะนั้น อาสวะจะถูกท�ำลายหรือไม่ถูกท�ำลาย อยู่ท่ี ความรู้ท่ีเราได้รู้ในหลักของอริยสัจน้ี พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่เรียกว่า อวิชชา ก็คือ ความไม่รู้ ท่ีเรียกว่าอวิชชาได้เพราะปิดบังอริยสัจ ๔ ไว้ ธรรมชาติใดปิดบังอริยสัจ ๔ ไว้ ธรรมชาตินั้นชื่อว่า อวิชชา น่ันหมายถึงว่า การท่ีพระพุทธเจ้าตรัสถึงอริยสัจ ๔ เป็นการ ท�ำลายอวิชชาไปในตัวอยู่แล้ว อวิชชา คือรากเหง้าของ ความทุกข์ซ่ึงเก่ียวโยงกับปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าตรัส แลว้ กเ็ ปน็ สงิ่ ทพ่ี ระองคไ์ ดน้ ำ� มาสกู่ ารขบคดิ ทางปญั ญาในวนั ท่ี พระองค์ตรัสรู้ แล้วพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เราและเธอ ทงั้ หลายทที่ อ่ งเทย่ี วไปในวฏั ฏะนยี้ ดื ยาวนานอยา่ งหาทสี่ น้ิ สดุ ไม่ได้ หรือว่าหาที่ยุติไม่ได้ ก็เพราะไม่รู้จักอริยสัจ ๔ คือเป็น ส่ิงที่พระองค์ให้ความส�ำคัญในการประพฤติปฏิบัติ แท้ที่จริงแล้ว อริยสัจ ๔ ในภาวะชีวิตจริงท่ีเกิดขึ้น ไม่ใช่ธรรมลึกลับหรือไม่ใช่ธรรมะที่จะต้องรอเวลาในการ ท่ีจะบ่มใจของเราให้เพียงพอต่อการจะเข้าไปก�ำหนดหรือ ไปตรัสรู้ จริง ๆ ไม่ต้องถึงขั้นน้ัน อาตมาจะใช้หลักของการ กำ� หนดรอู้ รยิ สจั งา่ ย ๆ ตรงทวี่ า่ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ตรสั คำ� วา่ ทกุ ข์
6 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ ค�ำว่า ทุกข์ น้ี ไม่ใช่เป็นตัวหนังสือ แต่เป็นสภาพการณ์ที่ เกิดขึ้นกับชีวิตเราอยู่แล้ว แน่นอนว่าทุกคนในที่นี้ ไม่มีใคร ไม่รู้จักทุกข์ การที่เราท้ังหลายรู้จักทุกข์ น่ันแสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงน�ำความจริงมาบอกให้เราได้รู้จัก ซ่ึงการ รู้จักทุกข์ในชีวิตของเราท่ีผ่านมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้ ไม่ได้รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง แต่เรารู้ทุกข์โดยการรับผลทาง ความทุกข์น้ันมาเป็นทุกข์ในชีวิต การที่เรารับความทุกข์ มาเป็นผล แล้วแบกรับความทุกข์ในชีวิตอันนั้นไว้ สืบเนื่อง จากการที่เราไม่รู้ ธรรมชาติใดท่ีปิดบังอริยสัจ ธรรมชาติน้ัน ชื่อว่า อวิชชา๒ อวิชชา เม่ือใดก็ตามที่เราไม่รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง เมื่อน้ัน อวิชชาจะปิดบังใจเรา เราก็ทราบอยู่แล้วว่า เม่ืออวิชชาเป็น ปจั จยั ยอ่ มเกดิ สงั ขาร สงั ขาร คอื การหยงั่ ลงของอปุ าทานขนั ธ์ ในแงม่ มุ ของคำ� วา่ สงั ขาร อาจจะถกู อธบิ ายในปฏจิ จสมปุ บาท ว่า กุศลสังขาร หรือว่า อกุศลสังขาร บุญหรือบาป การปรุงแต่ง ทางบุญ ทางบาป น่ันก็คือตัวขันธ์ ๕ น่ันเอง หรือว่าการ ปรุงแต่งจะเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็คือตัวขันธ์ ๕ เรียกว่า
อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอริยะ 7 การหย่ังลงของขันธ์ สภาพขันธ์ที่หย่ังลงเข้าไปในความทุกข์ ที่เราไม่รู้ เมื่อใดก็ตามความทุกข์ท่ีไม่ได้ถูกรู้ เมื่อน้ันแหละ คือการสืบต่อของสังขาร สังขารก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ เรียกว่า การหยั่งลงของวิญญาณก็สืบต่อมาอีก วิญญาณ ก็น�ำไปสูน่ ามกบั รปู น่นั หมายถึง ความทุกข์จะกระทบท้ังนาม และรูป เรียกว่าสืบต่อไปสู่ผล เหตุ คือ ความไม่รู้ น�ำไปสู่ผล คอื การหยง่ั ลงของ (สงั ขาร) ขนั ธ์ การหยงั่ ลงของ (สงั ขาร) ขนั ธ์ น�ำไปสู่การหยั่งลงของวิญญาณ การหยั่งลงของวิญญาณ น�ำไปสู่การสืบต่อของนามรูป ทุกข์ก็จะสืบต่อไปในแต่ละ ห่วงโซ่ เมื่อรูปกับนามถูกกระทบ อายตนะที่ถูกกระทบ มากทีส่ ดุ คือ มนายตนะ - อายตนะทางใจ รูปกับนามจึงส่งไป ให้มนายตนะตัวน้ีถูกบีบค้ัน อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ทุกข์ก็จะกระทบเป็นผัสสะในใจเราอยู่ตลอด เม่ือผัสสะ ตัวนี้ถูกกระทบอยู่บ่อย ๆ เวทนา ตัณหา อุปาทาน กรรม เป็นห่วงโซ่ท่ีจะต้องเกิดร่วมในผัสสะน้ัน ๆ ทุกข์ท่ีเกิดก็จะ น�ำมาสู่เวทนาที่เราได้รับ เวทนาจึงเป็นตัวแสดงออกในชั้น ของขันธ์ที่สืบเน่ืองมาจากผัสสะ แต่เป็นระบบของขันธ์ที่
8 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ แสดงตัวตามอาการท่ีทุกข์จากการที่เราไม่รู้แต่แรก วงจร เหล่านี้จะไม่หยุดตัวของมัน ตราบเท่าที่อวิชชาไม่ได้ถูกดับ หรือไม่ได้ถูกละ จะต้องส่งผลไปเป็นห่วงโซ่ ไปจนถึงท่ี พระพุทธเจ้าตรัสว่า อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็น ปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติ คือ การเกิดอีก ย่อมน�ำไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และพระองค์ก็ตรัสว่า เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ (กองทุกข์ท้ังมวลนั่น ย่อมเกิดด้วยประการอย่างน้ี) นี่คือ สมุทัย มูลเหตุแห่งทุกข์ท้ังปวง ฉะน้ันแล้ว เมื่อเราทราบแล้วว่า ธรรมชาติที่ปิดบังอริยสัจ ๔ ไว้ คือ อวิชชา เม่ือใดก็ตามท่ีเรายกอริยสัจ ๔ ขึ้นมาเป็นเคร่ือง กำ� หนดรู้ เมอ่ื นนั้ แหละ อวชิ ชาจะดบั หายไปจากใจเรา จะไมม่ ี การสืบต่อตัวขันธ์ ค�ำว่า ไม่สืบต่อตัวขันธ์ เราต้องแยกเป็น ๒ อย่าง อย่างแรก ขันธ์ท่ีถูกสืบต่อมาด้วยอ�ำนาจของตัณหาอันมี ในภพก่อน ขันธ์ตัวน้ีเป็นขันธ์ที่อาตมาก�ำหนดรู้ไว้ว่าเป็น ทุกข์แท้ หรือว่าเป็นสัจจะในตัวของมัน ค�ำว่า สัจจะในตัว ของมัน หมายความว่า เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงสัจจะ ในตัวของมันได้ มันเป็นความจริงในตัวของมัน คืออะไรบ้าง
อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 9 ทุกข์ทางกาย ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่า แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ นี้เป็นสัจจะ คือ เป็นทุกขสัจจะ เป็นความจริงในตัวของมัน ในช้ันของนามก็คือ ความเศร้า ความโศก ความพิรี้พิไร ความคร�่ำครวญ ความเสียใจ ความคับแค้น ส่ิงเหล่าน้ีพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสัจจะในตัว ของมัน เม่ือพระพุทธเจ้าตรัสรายละเอียดของความทุกข์ ทั้งภาวะทางกายและทางนาม คือ ทางใจน้ี ไว้ให้เราก�ำหนดรู้ เวลามคี วามทกุ ข์ ถ้าเรามาสังเกตจรงิ ๆ ระหว่างทุกขท์ างกาย กับทุกข์ทางใจ เราทุกข์ทางไหนมากกว่ากัน ... ทุกข์ทางใจ ในส่วนของทุกข์ทางใจก็จะมีรายละเอียดตรงที่ว่า ความเศร้าโศก ความเสียใจ ความพลัดพราก ความไม่ได้ ดังใจหมาย ความปรารถนาส่ิงใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น อารมณ์ ที่ถูกบีบค้ัน ความหงุดหงิด คับแค้นใจ อะไรต่าง ๆ นานา การท่ีเราสามารถพูดถึงความทุกข์นานาประการเหล่าน้ีได้ ก็คือเป็นสิ่งที่เคยเกิดกับเราใช่ไหม เวลาส่ิงเหล่าน้ีเกิดขึ้น ในแต่ละครั้ง เราเคยท�ำการรู้และสร้างความเข้าใจต่ออาการ เหล่าน้ีในแนวของอริยสัจหรือเปล่า น้อยคร้ังมากท่ีเราจะมา สร้างความเข้าใจในแนวของอริยสัจ โดยส่วนมากแล้วเราจะ พยายามก�ำจดั ไม่อยากให้มันเกดิ ไม่ต้องการให้มันมีเกดิ ขน้ึ กบั
10 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ ชีวิตเรา และไม่อยากประสบกับสิ่งเหล่าน้ี เมื่อเราตั้งความเห็น ไว้ผิดต้ังแต่แรก การปฏิบัติทางด้านอริยมรรคก็ผิด น่ันหมายถึง หนทางไม่มีทางท่ีจะเกิดขึ้นได้ หนทางที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงน้ี พระองค์ตรัสว่า : บรรดาหนทางท้ังหลาย ทางประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นทางท่ีประเสริฐท่ีสุด บรรดาสัจจะท้ังหลาย บท ๔ ก็คือ ทุกขสัจจะ สมุทัย สัจจะ นิโรธสัจจะ มรรคสัจจะ เป็นบทอันประเสริฐที่สุด เป็นสัจจะอันประเสริฐ บรรดาสัตว์ ๒ เท้าท้ังหลายในโลกนี้ พระอรหันต- สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีจักษุ เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ทางอ่ืนไม่มี เธอทั้งหลายจงเดินตามทางน้ี เพราะ ทางน้ีจะเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจด และเป็นไปเพื่อ ความพ้นทุกข์ การท่ีพระองค์ตรัสค�ำน้ี พระองค์ทรงชี้ทางก่อน นั่นคือหนทางท่ีเราจะเดิน หมายถึงว่า เส้นทางในโลกนี้ เป็นเส้นทางที่เชื่อมออกจากจิตเราไปสู่ความเป็นไปในชีวิต ซ่ึงความเป็นไปในชีวิตท้ังในขณะที่มีชีวิตอยู่และหลังจาก ส้ินชีวิตไปแล้ว เรามีเส้นทางท่ีสืบต่อไปสู่ภพน้ันหลากหลาย
อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอริยะ 11 เส้นทาง ท้ังภพสูงภพต่�ำ เส้นทางเหล่านั้นเราสร้างข้ึน เมื่อพระองค์ตรัสว่า หนทางเหล่าน้ันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แตท่ างประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๘ ประการ ทเี่ รยี กวา่ มรรค เป็นทางท่ีจะท�ำให้เราพ้นทุกข์ ในมรรค ๘ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัมมาทิฏฐิ๓ เป็นหลักใหญ่ เรียกว่าเป็นประธาน เพื่อที่จะท�ำให้เรา ได้ด�ำเนินจิต ด�ำเนินใจอยู่บนเส้นทางแห่งความถูกต้อง อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะด�ำเนินจิตไปในหนทางใดอีก เพราะในมรรค ๘ ข้อสัมมาทิฏฐิก�ำหนดไว้ชัดเจนตายตัวว่า ต้องด�ำเนินตามน้ี ก็คือ การเห็นทุกข์ เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ เห็นความดับทุกข์ และเห็นการปฏิบัติเพ่ือที่จะเข้าไป ดับทุกข์ ส่ิงน้ีเป็นส่ิงที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เราต้องเห็น เราจะไป เห็นอย่างอื่นไม่ได้ การทส่ี มั มาทฏิ ฐริ ะบไุ วว้ า่ เราตอ้ งเหน็ โดยชอบ จงึ ไมม่ ี หนทางอ่ืนใดเลยท่ีเราจะปฏิบัติออกไปนอกจากวิธีการนี้ การเห็นเป็นสิ่งที่มีความส�ำคัญ ทีน้ีการท่ีเราจะเห็นได้ จะเห็น ได้อย่างไร เราก็ต้องมองให้ออก มองให้เห็น การมองจะท�ำให้ เราได้เห็น ทีนี้การมองของเรานี่ เรามองความทุกข์อย่างไร
12 อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ อริยสัจ ๔ ในชั้นโลกิยะ กิจ ๓ อาการ ๑๒ ในรายละเอียดของอริยสัจข้อที่ ๑ คือ ทุกขสัจจะ พระพุทธเจ้าไม่เพียงแค่ตรัสว่าให้เรารู้ทุกข์เท่าน้ัน แต่มี รายละเอียดมากกว่าน้ัน คือ ในช้ันของกิจ ๓ และอาการ ๑๒ (หรือ เวียน ๓ รอบ ๑๒ อาการ)๔ กิจ ๓ คือ สิ่งท่ีเราปฏิบัตินั้น เวลาทุกข์เกิด กิจที่เรา พึงกระท�ำต่อความทุกข์ท่ีเกิดกับชีวิต กิจอันน้ันเราต้อง ทราบว่า ทุกข์เกิดข้ึน โดยความทุกข์น้ัน อะไรเป็นตัวท�ำให้ เกิดทุกข์ หรือว่าอะไรเป็นตัวทุกข์ที่แท้ หากได้เรียนค�ำสอน เราจะเข้าใจว่า ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ ดังท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่า สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา กล่าวโดยย่อ ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ การเรียนรู้ขันธ์ ๕ เชื่อมโยงอริยสัจ ๔ และน�ำไปสู่ การสร้างความเข้าใจในแง่ของปฏิจจสมุปบาท จึงเป็น หลักธรรมที่ต้องท�ำให้เกิดความสอดคล้องในหลักของ อริยสัจ ๔ เม่ือพระองค์ตรัสว่า เราจะต้องรู้จักทุกข์โดยการ กระท�ำกิจต่อทุกข์น้ันให้รู้จักท่ีอันเป็นท่ีตั้งแห่งความทุกข์
อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอริยะ 13 เวลาความทุกข์เกิดขึ้นมาในชีวิตเรา จะเกิดข้ึนภายในกาย กับใจนี้เท่าน้ัน ก็คือ อุปาทานขันธ์ อุปาทานขันธ์ เป็นค�ำบัญญัติส่ือสารถึงตัวตนของ พวกเราท่ีมีชีวิตอยู่ เม่ือพระพุทธเจ้าพยายามจะส่ือสาร ให้พวกเรารู้โดยความเป็นขันธ์ ตรงน้ีแหละเป็นประเด็นท่ีจะ ท�ำให้เราเกิดความเข้าใจในแง่ของการปฏิบัติ เพราะถ้าเรา ไม่เข้าใจในข้อน้ี จะปฏิบัติไม่ได้ การปฏิบัติต่อความทุกข์ หากจะปฏิบัติให้ถูกตัว เราจะต้องเข้ามาทราบท่ีต้ังแห่ง ความทุกข์ เมื่อท่ีตั้งแห่งความทุกข์อยู่ที่กาย อยู่ท่ีใจ เวลา ความทกุ ขเ์ กดิ ขนึ้ เราตอ้ งไปปฏบิ ตั ทิ อี่ น่ื ไหม ไมต่ อ้ ง เราจะตอ้ ง มาปฏิบัติที่ตัวเรา คือ กายกับใจน้ี กิจ ๓ ในทุกขสัจ ข้อก�ำหนดในด้านอริยสัจที่พระพุทธเจ้าทรงช้ีให้เรา เห็นก็คือ สัจจญาณ รู้ว่าอะไรคือตัวทุกข์ เม่ือเรารู้ว่าอะไร คือตัวทุกข์แล้ว จะท�ำให้เราเร่ิมเห็น เพราะพระองค์ตรัสว่า เม่ือรู้ทุกข์ได้ว่าอะไรคือตัวทุกข์ เราจะรู้เหตุของมัน การที่เรา จะรเู้ หตไุ ดห้ รอื รเู้ หตไุ มไ่ ด้ จงึ ขนึ้ อยกู่ บั วา่ เรารทู้ กุ ขใ์ นขณะนน้ั หรือไม่ เม่ือใดก็ตามที่เรามองเห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์
14 อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ ท่ีเกิดข้ึนท้ังภาวะทางกายและทางใจ แล้วเราก�ำหนดไว้ว่า น้ีคือทุกข์ การท่ีเราก�ำหนดว่า นี้คือทุกข์น้ัน ทุกข์จะเป็น ส่ิงท่ีถูกรู้ การท่ีทุกข์ถูกรู้ ความรู้จะควบคุมความทุกข์ไว้ โดยท่ีไม่ให้ความทุกข์น้ันมีอวิชชาหยั่งรากลงแล้วสืบต่อ ตัวของมันในอุปาทานขันธ์ น่ันหมายถึง ขันธ์ ๕ เป็นที่ต้ัง แห่งความทุกข์น้ัน ทุกข์อาศัยขันธ์ ๕ เกิด เม่ือทุกข์อาศัย ขันธ์ ๕ เกิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์โดยตัว ของมัน การก�ำหนดรู้อย่างน้ีจะท�ำให้เราไม่ปฏิเสธความทุกข์ ท่ีเกิดข้ึน เม่ือใดก็ตามที่เราไม่ปฏิเสธความทุกข์ เม่ือน้ันแหละ ความทุกข์จะถูกยอมรับ ในระยะแรก ๆ การท่ีเราปฏิบัติในข้อน้ี อาจยัง ไม่กระจ่าง การปฏิบัติโดยท่ียังไม่กระจ่างว่าจะเกิดผลใน ดา้ นใด ตรงนเี้ รากต็ อ้ งใชค้ วามเชอ่ื ใจในบทธรรมทพี่ ระพทุ ธเจา้ ตรัสไว้ก่อนว่า การรู้อย่างนี้แหละ มันจะค่อย ๆ สร้างตัวสติ สร้างตัวปัญญา อาตมาเคยบอกลูกศิษย์หลายครั้งว่า ปล่อยให้จิต รับรู้ทุกข์ที่เกิดอย่างนั้นแหละ โดยไม่ต้องไปท�ำอะไรกับทุกข์ แม้ความทุกข์จะบีบค้ันมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ให้เราเข้าใจ ในขณะน้ันว่า ทุกข์เป็นสัจจะ ไม่ใช่กิเลส จะเกิดข้ึนมา
อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ 15 มากน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่ใช่กิเลส เมื่อไม่ใช่กิเลส จึงเป็น สิ่งที่เราไม่ควรที่จะละ ในข้อน้ีเองท่ีจะท�ำให้เรารู้จักว่า กายท่ี เป็นทุกข์อยู่แล้ว จิตท่ีเป็นทุกข์อยู่แล้ว ก็ให้เป็นตามที่มันเป็น นั่นแหละถูกต้องตามธรรมชาติที่มันเป็น โดยสัจจะในตัว ของมัน เราจะไปบอกว่า ไม่ให้เป็นทุกข์ ไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มี นน่ั คอื เราปฏบิ ตั ผิ ดิ จากสจั จะ เมอื่ เราปฏบิ ตั ผิ ดิ จากสจั จะแลว้ อวิชชาก็จะครอบง�ำ การหย่ังลงของขันธ์ในอุปาทานด้วยความ ไม่รู้นั้นก็จะสืบต่อและเป็นวงจรแห่งความทุกข์ ฉะนั้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เราก�ำหนดรู้ไว้ โดยปล่อยให้จิตรับทราบอาการ แห่งความทุกข์อยู่อย่างนั้น ความทุกข์ก็จะถูกก�ำหนดรู้ไว้ เมื่อเราทราบว่ากายกับใจเป็นตัวทุกข์ สัจจญาณ ในขอ้ นเ้ี กดิ การรตู้ ามความเปน็ จรงิ เพราะคำ� วา่ ญาณ แปลวา่ การรู้ตามเป็นจริง สัจจญาณ คือ รู้ตามเป็นจริงว่า ความจริง เป็นอย่างนั้น เม่ือรู้ตามความเป็นจริงว่า ความจริง คือ ทุกข์ ทางกายทางใจที่เป็นอยู่ เมื่อเป็นอย่างน้ันแล้ว ก็จะเป็น กิจจญาณ ให้ปฏิบัติต่อทุกข์โดยรู้อย่างน้ันต่อไปเร่ือย ๆ อย่าไปรู้อย่างอ่ืน ก็รู้ไปเร่ือย ๆ จะทุกข์อย่างไร ก็รู้ไปอีก รู้ไปอีก รู้ไปอีก เรียกว่า กิจจญาณ จนกว่าความทุกข์ท่ีเกิดข้ึน
16 อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ กับเราในขณะคราวครั้งนั้นดับไปด้วยตัวของความทุกข์เอง ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าโศก ความเสียใจ ความพิรี้พิไรร�ำพัน ความปรารถนาส่ิงใดไม่ได้ส่ิงน้ัน ความคับแค้นทางใจ เราจะ เห็นอาการเหล่านี้เกิดข้ึนแล้วก็ดับไป การทเ่ี ราเหน็ การเกดิ ขน้ึ และการดบั ไปของความทกุ ข์ เหล่านี้ ความทุกข์น้ันก็จะถูกรอบรู้ในการก�ำหนดในแต่ละคราว เราก็จะเป็นผู้ก�ำหนดรู้ทุกข์ในช้ันของกตญาณ เรียกว่าเป็น ผู้ก�ำหนดรู้แล้ว คือก�ำหนดรู้แล้วในขณะนั้น แต่ยังไม่รู้แล้ว ทั้งหมด ในคราวคร้ังต่อไป เราจะต้องท�ำกิจน้ีอีกเสมอ ถ้าเรา ไมท่ ำ� กจิ อยา่ งนอี้ กี เสมอ กจ็ ะไมส่ ามารถทจี่ ะเดนิ ไปตามเสน้ ทาง ของอริยมรรค เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า กิจ ๓ น้ีต้องท�ำให้ เวียนรอบ ค�ำว่า เวียนรอบ ก็คือ รอบรู้อยู่เรื่อย ๆ ย้�ำ ๆ ซ�้ำ ๆ ในเรื่องนั้นอยู่บ่อย ๆ ฉะนั้นแล้ว การที่เรารู้จักทุกข์ รู้จักเหตุ ให้เกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ จึงเป็นความส�ำคัญท่ีเรา จะได้ปฏิบัติต่ออาการจริงท่ีเกิดขึ้นในชีวิต เมื่อเรารู้ทุกข์โดยกิจ ๓ อย่างน้ีอยู่เสมอ เหตุให้เกิด ทุกข์คือความอยาก เราจะเห็นมันแทรกขึ้นมาในแต่ละคร้ัง แตล่ ะคราว เหตุ คอื สมทุ ยั อาตมามกั จะแปลคำ� วา่ สมทุ ยั นว้ี า่ สิ่งที่เกิดข้ึนมาพร้อมกับความทุกข์ หรือถ้าตามแบบก็แปลว่า
อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ 17 มูลเหตุท่ีก่อให้เกิดทุกข์ จะแปลว่ามูลเหตุก็ได้ ถ้ามองในช้ัน ของสมุทัยวารในปฏิจจสมุปบาท เพราะปฏิจจสมุปบาทก็คือ อริยสัจ ๓ ประการ คือ ทุกขสัจจะ สมุทัยสัจจะ นิโรธสัจจะ ส่วนมรรคสัจจะ ก็คือผู้ที่ก�ำลังก�ำหนดรู้ทุกข์อยู่ เป็นผู้เจริญ มรรค เป็นอริยสัจที่จะสร้างให้มา ครบองค์ประกอบ เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา เม่ือเหตุแห่งความทุกข์คือตัณหา ฉะน้ันเวลาความทุกข์ เกิดขึ้น แม้เราจะก�ำหนดรู้อยู่อย่างน้ันอยู่ แต่จะมีกระแส แห่งความอยากจากภายใน ซ่ึงจะแสดงออกและปรากฏ เมื่อความทุกข์น้ันเป็นสิ่งที่เราไม่พอใจ การท่ีเราเห็นอาการ ของความอยาก ความไม่ต้องการให้ทุกข์เกิด ความท่ีต้องการ เปล่ียนแปลงให้ทุกข์ไปเป็นอย่างอ่ืน คือ ไม่อยากประสบ ไม่อยากจะให้มี หรือแม้แต่พยายามจะดับมัน ส่ิงเหล่าน้ี เป็นชื่อของตัณหา เป็นเร่ืองของตัณหาในใจเรา ตัณหาชนิดน้ี เป็นตัณหาท่ีท�ำให้เราพึงพอใจอยู่ในขันธ์ เพราะอะไร เพราะ เราไม่ต้องการให้ชีวิตมีความทุกข์ การท่ีเราไม่ต้องการให้ชีวิต มีความทุกข์ก็คือไม่ต้องการให้ขันธ์ ๕ ประสบกับความทุกข์
18 อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ การท่ีเราไม่ต้องการให้ขันธ์ ๕ ประสบความทุกข์ ก็คือเราพยายามหวงแหน ป้องกันขันธ์ ๕ น้ันให้เป็นไป ตามความพึงพอใจของเรา เมื่อเราป้องกันหวงแหนขันธ์ ๕ ไว้ให้เป็นไปตามความพึงพอใจ ก็เท่ากับว่าเราเป็นผู้หวง ความทกุ ขไ์ ว้ เพราะขนั ธ์ ๕ เปน็ ทกุ ขโ์ ดยตวั ของมนั เราไมป่ ลอ่ ย ให้ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์โดยตัวของมัน แต่เราไปอยากให้ขันธ์ เป็นไปตามท่ีเราต้องการ ฉะน้ันแล้วความอยากชนิดนี้ จะแสดงออกมาพร้อมกับความทุกข์ สังเกตได้ว่า ความอยาก จะแสดงมาพร้อมกับความทุกข์เกือบจะทุก ๆ คราว หรือ ทุก ๆ คราวก็ว่าได้ หากเราไม่ก�ำหนดรู้ ถ้าใครก�ำหนดรู้ คนนั้นจะเห็นกระแสแห่งความอยากที่เกิดมาพร้อมกับ ความทุกข์นั้น มันจะละเอียดมาก บางคนก็บอกว่า อ้าว ... ถ้าเราไม่อยากจะดับทุกข์ เมื่อปล่อยให้ ความทุกข์เกิดอย่างนี้ แล้วเราจะมีวิธีอย่างไร ที่จะท�ำให้ ทุกข์นี้หายไป ถามว่า ความทุกข์เวลาเกิดขึ้นในแต่ละคร้ังในชีวิต ของเรา มันเกิดตลอด ๒๔ ชั่วโมงไหม บางคนบอกว่า มันเกิดข้ามวัน ข้ามวันน้ันจะถึงก่ีวัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๖ วัน ๗ วัน พูดง่าย ๆ ว่ามันมีเวลาดับไหม ... มี
อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 19 เม่ือทุกข์มีเวลาดับโดยที่เราไม่ได้เข้าไปดับ มันดับ ด้วยตัวของมันเอง การท่ีเราได้เข้าใจว่าความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว ดับด้วยตัวของมันเอง โดยท่ีเราไม่เข้าไปดับมัน เราก็ไม่สร้าง ตัณหาในเวลาน้ัน เม่ือเราไม่สร้างตัณหาในเวลานั้น ตัณหา กจ็ ะไมเ่ ขา้ ไปประกอบในกระบวนการแหง่ ความทกุ ข์ เปน็ การ ปล่อยให้ทุกข์เป็นทุกข์ ปล่อยให้ขันธ์ซึ่งเป็นที่ต้ังแห่งความทุกข์ ให้เป็นในตามภาวะของมัน ตัณหาไม่เข้าประกอบในคราวนน้ั น่ันหมายถึงตัณหาท่ีจะน�ำไปสู่ภพใหม่ถูกดับ ถูกละ ตัณหาน�ำไปสู่ภพใหม่ การละตัณหา คือ ละตัณหาท่ีจะน�ำไปสู่ภพใหม่นี้ ไม่ใช่ละตัณหาที่เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น หมายถึง เวลาเรา มีความทุกข์ แล้วมีความอยากท่ีจะเข้าไปดับ เราก็เห็น ความอยากท่ีเกิดมาพร้อมกับความทุกข์นั้น เม่ือเราเห็น ความอยากท่ีเกิดขึ้นมาพร้อมกับความทุกข์ เม่ือเรารู้ทุกข์อยู่ ความอยากกจ็ ะถกู รไู้ ปดว้ ย เปน็ สงิ่ ทเ่ี กยี่ วเนอ่ื งกนั เกย่ี วโยงกนั พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า รู้ว่าตัณหาคือสมุทัย หมายถึง ตัณหา ท่ีเกิดข้ึนนี้ หากเราท�ำตัณหาน้ีให้เข้าไปประกอบพร้อมกับ ความทุกข์ต่อจากตัณหาเดิมที่แสดงอาการอยู่
20 อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ อาการท่ีไม่พอใจ อาการที่ปฏิเสธ อาการท่ีผลักออก อาการที่ไม่อยากให้มันเกิดแสดงอาการข้ึนมา การท่ีตัณหา แสดงอาการขึ้นมา ไม่ใช่ตัณหาท่ีเราสร้างขึ้น แต่เป็นตัณหา ที่เกิดมาพร้อมกับความทุกข์อยู่แล้ว ซ่ึงมันต้องมี ตัณหาที่เราจะสร้างข้ึนต่อ เมื่อเราไม่รู้จักอาการ แห่งตัณหาท่ีเกิดข้ึนน้ัน แล้วเราไปสร้างต่อ คือ ไปใช้ ความอยากตอ่ ตรงนี้เองที่จะเปน็ เหตใุ หเ้ กิดภพใหม่ พระองค์ ตรัสว่า ตณฺหา โปโนพฺภวิกา ตัณหาอันจะน�ำไปสู่ภพใหม่ น่ีแหละที่ต้องละ แต่ตัณหาท่ีมาจากความทุกข์ตามภาวการณ์ ที่จะต้องเกิด ตัณหานี้แค่ถูกรู้ไว้ก็พอ เมื่อเรารู้แล้วว่า ตัณหานี้จะน�ำไปสู่ทุกข์เพ่ิมจาก ทุกข์เดิมที่ก�ำลังเกิดข้ึนอยู่ในเวลานั้น เราจึงไม่ใช้ความอยาก แต่จะก�ำหนดรู้ความอยาก เม่ือเราก�ำหนดรู้ความอยากอยู่ สัจจญาณจึงท�ำให้เราได้รู้ว่า ส่ิงท่ีจะท�ำให้เราทุกข์อีกในครั้ง ต่อ ๆ ไป ไม่ใช่คนน้ันคนน้ีมาท�ำให้เราทุกข์ แต่เป็นเพราะ ตัณหาของเราท่ีท�ำให้เราทุกข์อยู่บ่อย ๆ ไม่มีเทพเจ้า ไม่มี พระอิศวร ไม่มีผู้มีฤทธิ์มีอ�ำนาจสร้างทุกข์ให้กับเรา
อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ 21 พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนเลยว่า ตัณหาเท่าน้ันที่จะท�ำ ใหเ้ รามคี วามทกุ ขไ์ ด้ บคุ คลเมอ่ื ปราศจากตณั หา กป็ ราศจากทกุ ข์ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสัจจะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ส�ำเร็จ เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์แบบ ต้ังแต่วันท่ีพระองค์ ตรสั รู้ มใี ครทำ� ใหพ้ ระพทุ ธองคท์ กุ ขไ์ ดไ้ หม มคี นดา่ พระพทุ ธเจา้ วา่ “สมณะโลน้ สมณะโลน้ ” พระพทุ ธเจา้ ทกุ ขไ์ หม พระอานนท์ ผู้ติดตามพระพุทธเจ้าไป ทุกข์แทนพระพุทธเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์จะอยู่ท�ำไม เขาด่า พระองค์ เราก็หนีไปอยู่เมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า ถ้าหนีไปเมืองอื่น หากชาวเมืองนั้นเขาด่าเราอีก แล้วจะท�ำอย่างไร อานนท์ ก็หนีไปอีกพระเจ้าข้า ถ้าหนีไปอีก ชาวเมืองนั้นด่าเราอีก จะท�ำอย่างไร ก็หนีไปอีกพระเจ้าข้า อานนท์ เขาด่าเราไม่ได้ด่าเธอ เธอจะมาทุกข์แทนเรา ท�ำไม
22 อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ ในความหมายน้ี หมายถึง การท่ีพระพุทธเจ้าทรง ดับความทุกข์ได้แล้ว ไม่มีอะไรที่จะท�ำให้พระองค์ทุกข์ได้อีก แต่บุคคลใดก็ตามท่ียังดับความทุกข์ไม่ได้ นอกจากจะทุกข์ เพราะความทกุ ขท์ เี่ กดิ ในใจตนเองแลว้ ยงั ไมพ่ อ ยงั ทกุ ขเ์ พราะ ความทุกข์ที่เกิดในตัวบุคคลอื่นอีก บุคคลใดก็ตามท่ียังดับความทุกข์ไม่ได้ นอกจาก จะทกุ ขเ์ พราะความทกุ ขท์ เี่ กดิ ในใจตวั เองแลว้ ยงั ไมพ่ อ ยงั ทกุ ข์ เพราะความทุกข์ที่เกิดในตัวบุคคลอ่ืน น่ันหมายถึง ไปรับผล ทางความทุกข์ของบุคคลอื่นมาเป็นความทุกข์ของตัวเอง ซึ่งเป็นเร่ืองที่เราถนัด เราก็ชอบท�ำกันอย่างนั้น บางที เร่ืองของคนอื่นนี่ เอามาคิดทั้งวันทั้งคืน เร่ืองของตัวเอง ไมค่ อ่ ยไดค้ ดิ หรอก เอาปญั หาของคนอน่ื มาตงั้ ไวใ้ นใจ คอยแต่ จะไปแก้คนนั้น คอยแต่จะไปแก้คนนี้ ไม่มีโอกาสที่จะแก้ไข ตัวเองสักที เรื่องราวเหล่าน้ีมันย้อนกลับมาท�ำให้เราได้เรียนรู้ ตัวเราว่า ความทุกข์นี้เกิดข้ึนจากเหตุ คือ ตัณหา คราวต่อไป หากความทุกข์เกิดข้ึน เราจะไม่ใช้ความอยากกับมัน เม่ือเรา รู้แล้วว่า สมุทัย คือ ตัวตัณหาน้ีเป็นเหตุท่ีเกิดมาพร้อมกับ ความทุกข์ ก็จะไม่ใช้ตัณหาที่จะเกิดมานี้ไปต่อตัณหาน้ันเพ่ิม
อรยิ สัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ 23 การรู้จักว่าตัณหาน้ีคือมูลเหตุเพ่ิมที่จะท�ำให้ทุกข์ที่เกิดขึ้น ในครั้งต่อไป เรียกว่า สัจจญาณในสมุทัย เรียกว่ารู้สัจจะ ของเหตุท่ีแท้ กิจ ๓ ในสมุทยสัจ เม่ือเรารู้สัจจะของเหตุที่แท้แล้วว่า ตัณหาที่ก�ำลัง เกิดขึ้นมาพร้อมกับความทุกข์ ถูกสร้างขึ้นโดยอ�ำนาจของ อุปาทาน แน่นอนว่าอุปาทานท่ีมีมาพร้อมกับตัณหา คือ ตัณหาในเร่ืองใดก็อุปาทานในเร่ืองนั้น อุปาทานเร่ืองใดก็มี ตัณหาเร่ืองน้ัน มันเก่ียวโยงกัน บางทีเราก็ต้องปล่อยให้ อุปาทานยึด แล้วให้จิตทุกข์ไปตามแรงอุปาทานน้ัน ๆ ไป เร่ือย ๆ ก่อน แต่เราจะรู้ว่า ตัณหาที่มีอุปาทานเป็นแรงยึดน้ี จะต้องน�ำมาซ่ึงทุกข์ ฉะน้ัน อาตมาพูดในท�ำนองของอริยสัจ ในช้ันน้ี จะมี ๒ ลักษณะ คือ ๑. ความทกุ ขท์ เี่ กดิ จากแรงของตณั หาโดยมอี ปุ าทาน เป็นแรงยึด จะมีทุกข์ขึ้นมาด้วย ๒. ความทุกข์ที่ถูกรู้พร้อมกับตัณหาที่เกิดข้ึนมาแล้ว สร้างแรงทุกข์ข้ึนมาด้วยในเวลาเดียวกัน
24 อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อริยะ หากเราไม่แยกลักษณะอย่างน้ีออก การก�ำหนดรู้ ด้วยสติปัญญาของเราจะก�ำหนดรู้ไม่ทัน แล้วเราจะมาสงสัย ว่า เอ ... ท�ำไมทุกข์ชั้นนี้เรารู้แล้ว แล้วก็ยอมรับได้แล้ว แต่ในช้ันอีกช้ันตัณหานี่ เหมือนกับว่ายังค้างอยู่ในใจ หรือ ไม่ได้ถูกดับนั่นเอง ในข้อนี้ อาตมาจึงบอกว่า ตัณหาท่ีเกิดขึ้นโดยมี อุปาทานเป็นแรงยึด ซ่ึงยังไม่ถึงการคลาย การวาง การละ ความหลดุ หรอื ความพน้ ตณั หากต็ อ้ งแสดงอาการแหง่ การยดึ และสร้างทุกข์ในขณะนั้นได้ ซึ่งก็เป็นสัจจะและธรรมชาติ อันหน่ึง เพราะตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หมายถึง แม้ทุกข์ ท่ีเกิดข้ึน ไม่ว่าจะเป็นทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความไม่ได้ดั่งใจหมาย ความคับแค้น ความบีบค้ัน สิ่งท่ีไม่ได้ตามความปรารถนา อารมณ์หงุดหงิด โมโห ฟุ้งซ่าน ร�ำคาญ เหล่านี้เป็นทุกขสัจจะ ซึ่งไม่ใช่กิเลส ถูกเราก�ำหนดรู้ไว้ สภาพอารมณ์เหล่านั้นบางทีบางคร้ังก็ดับ บางครั้งก็ไม่ดับ หรือเกิดแล้วถูกรู้จากเราก็ดับ หรือดับ ด้วยตัวของมันเอง จะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม มันก็ต้องดับ พอมัน ดับแล้ว เราก็สบายใจได้ระยะหน่ึง
อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ 25 มภี าวการณบ์ างอยา่ งทแี่ มค้ วามทกุ ขน์ น้ั จะดบั ไปแลว้ ก็ตาม คือ สภาพการณ์แห่งทุกข์ที่เป็นสัจจะดับไป แต่ทุกข์ ท่ีเกิดจากสมุทัยที่มีแรงยึดไว้อยู่ ส่ิงที่มันยึดไว้อยู่น้ัน ท�ำให้ เหมือนกับว่าเราเกิดความแปลกใจหรือสงสัยว่า เอ … เราก็รู้ทุกข์อยู่แล้ว เราก็รู้ข้อน้ีแล้ว ก�ำหนดแล้ว แต่ท�ำไมเหมือนกับยังค้างอยู่ ต้ังอยู่หรือมีอยู่ ตรงนใ้ี หก้ ำ� หนดรเู้ ขา้ ไปโดยชดั เจนวา่ อนั นเี้ ปน็ แรงยดึ ของตัณหา เป็นแรงยึดจากอุปาทาน ซึ่งมีตัณหาชนิดบาง ๆ ท�ำหน้าท่ีเป็นที่ต้ังแห่งการยึดถือทางด้านอุปาทานอยู่ เราก็ ปล่อยให้มันยึดลงไปเลยว่า หากอุปาทานยึดถือด้วยอ�ำนาจ ของตัณหาจากทุกข์ท่ีดับลงไปแล้วน้ัน ท�ำให้ทุกข์ตัวน้ี ยังคงอยู่ ก็ไม่ต้องไปปฏิเสธมันอีก ก็ให้อุปาทานนั้นอุปาทาน ไปจนถึงที่สุดเพื่อท่ีจะเห็นความส้ินกระบวนการสืบต่อ ตัวตัณหาในตัวตัณหาเองท่ีจะท�ำให้เกิดแรงยึด เราจะเห็น ความส้ินกระบวนการของมันคือ จะเห็นตัวท่ีมันท�ำหน้าที่ ในการยึดโยง ท�ำหน้าท่ีในการยึดจับเร่ืองน้ันเร่ืองน้ี ท�ำหน้าที่ ในการดงึ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ เขา้ มาสกู่ ารกอ่ ตวั ใหมท่ างดา้ นตณั หา ซึ่งบางเรื่องราวแทบจะไม่เป็นปัญหากับชีวิตของเราแล้ว แต่เราพยายามที่จะไปคุ้ยมันข้ึนมา ไปดึงมันข้ึน
26 อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ สมมุติว่าไม่มีอารมณ์มากระทบให้เราทุกข์ อารมณ์ ภายนอกหรืออายตนะภายนอกไม่ได้เข้ามากระทบเพื่อ สร้างทุกข์ให้เราแล้ว แต่บางขณะ จิตไปดึงอารมณ์เก่า ๆ ไป ดงึ เรอื่ งราวเกา่ ๆ ไปดงึ บางสงิ่ บางอยา่ งทเ่ี หมอื นกบั วา่ เปน็ สง่ิ ที่ ติดอยู่ในใจเรา ซ่ึงเป็นเร่ืองราวที่เคยท�ำมานานแล้ว ผ่านมา นานแล้ว ล่วงมานานแล้ว จิตไปดึงออกมาแล้วมาปรุงแต่ง อนั น้ีคอื อ�ำนาจของอปุ าทานมนั สรา้ งขึน้ เมื่ออำ� นาจอปุ าทาน สร้างข้ึน เราก็รู้ทันทีว่า อุปาทานที่มันยึดไว้ต้ังแต่คราว คร้ังก่อนนั้น เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยในขณะนั้น มันก็ต้องไปดึง เหตุปัจจัยท่ีล่วงมาแล้วข้ึนมาปรุงแต่งหรือสร้างเรื่องราวใหม่ เพื่อให้เราเป็นทุกข์กับเรื่องน้ัน บางคนก็จมกับอารมณ์ที่เป็น อดีตอันนั้น แล้วท�ำให้ตัวเองทุกข์ ฉะน้ันแล้ว ตรงน้ีเราต้อง เขา้ ใจทนั ทวี า่ ใหอ้ ปุ าทานยดึ เรอ่ื งราวเหลา่ นไ้ี ปตามภาวการณ์ ของมัน เพราะทุกสรรพส่ิงไม่ว่าจะเป็นตัวทุกข์ หรือสมุทัย คือ ตัวตัณหา หรือตัวอุปาทานเองก็ตาม เม่ือใดก็ตามท่ีมัน แสดงอาการปรากฏขึ้นมา เม่ือนั้นมันก็จะแสดงความดับไป ในตัวของมันเอง เพราะอะไร เพราะอุปาทานเป็นระบบของ ขนั ธ์ ทจี่ ะพยายามสบื ตอ่ ตวั เองใหเ้ ปน็ ไปในภพชาติ ปกตขิ นั ธ์ จะมีหน้าที่ในการสืบต่อตัวมันเองให้สืบต่อไปในภพชาติ
อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 27 เมื่อไม่มีอารมณ์ใด ๆ มาเป็นเชื้อแห่งภพ จิตก็จะเอา อารมณ์เก่า ๆ งัดดึงขึ้นมาด้วยแรงอุปาทานท่ีมันยึดถือไว้ หากเราไม่เข้าใจข้อนี้ ก็จะไม่สามารถที่จะแก้ไขภาวการณ์ ของจิตท่ีเป็นอยู่ในเวลาน้ัน ถ้าจมไปกับอารมณ์เหล่านั้น ก็จะ เกิดภาวะของความเสียใจ ความผิดหวังต่าง ๆ นานาประการ ที่มี แต่บางคนก็บอกว่า เร่ืองน้ันบางทีเรียกว่ากระทบแบบ รุนแรง จนผ่านมา ๓๐ - ๔๐ ปี ก็ยังมาเป็นเช้ือ เป็นความทุกข์ ให้กับเราได้ ทั้ง ๆ ที่มันละไปแล้ว ดับไปแล้ว ซ่ึงข้อน้ีถ้าเรา สังเกตจริง ๆ แล้ว สามารถท�ำความเข้าใจ แล้วก็ก�ำหนดรู้ได้ ทันทีเลยว่า กิจจญาณที่พึงปฏิบัติต่อสมุทัย คือ ความอยาก หรือตัณหาทั้ง ๓ ประการน้ี ก็คือรู้อาการแห่งตัณหาท่ีเกิดขึ้น ด้วยแรงของอุปาทาน ท่ีเป็นแรงยึดในเวลาน้ีว่ามันท�ำหน้าท่ี ของมัน เม่ือมันท�ำหน้าที่ของมัน เราก็ต้องท�ำหน้าท่ีของเรา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า รู้ตัณหาแล้วละ นั้น ไม่ได้ ไปละท่ีตัวตัณหานั้น ความหมายท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่า รตู้ ณั หาแลว้ ละนนั้ กจิ จญาณ เรยี กวา่ ปหานะ (การละ) ใชไ่ หม สัจจญาณ คือ รู้ว่าตัณหา คือ สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ กิจจญาณ ก็คือ รู้ว่าต้องละ ค�ำว่า ละ ไม่ใช่ไปละที่ตัวตัณหานั้น
28 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ หน้าท่ีของเราก็คือ รู้ตัณหาน่ันแหละว่า น้ีคือตัณหา นี้ตัณหาท่ีส่งผลให้เกิดอุปาทาน อุปาทานก็ส่งผลให้เกิด แรงยึด เอาอะไรมายึด ก็เอาเร่ืองของขันธ์ท้ังหมดในชีวิต ของเราท่ีประสบมา โยงเรื่องราวข้ึนมา ฉะนั้นแล้ว การที่เรารู้ว่าต้องละนั้น ไม่ใช่ไปละท่ี ตัวตัณหาในเวลาน้ัน แต่ ละ โดยการไม่สร้างตัณหาใหม่ ในขณะที่ตัณหานั้นเกิด ท�ำไมเราไม่สามารถละตัณหา ในขณะน้ันได้ ก็มันเกิดแล้ว จะไปละมันได้อย่างไร แต่ตัณหา ทจี่ ะมาเกดิ ใหม่ เราละมนั ไดใ้ ชไ่ หม คอื เรารตู้ ณั หาอยนู่ นั่ แหละ ก็คือละตัณหาใหม่ เพราะความรู้จะเป็นตัวกั้นตัณหาใหม่ ไม่ให้เกิด กิจจญาณ การรู้ตามความเป็นจริง จะท�ำหน้าที่ ควบคมุ ตณั หาทเี่ กดิ ขนึ้ แลว้ นนั้ ใหอ้ ยภู่ ายใตค้ วามรู้ และความรู้ จะกั้นไม่ให้ตัณหาใหม่เกิด ก็จะมีแต่ความรู้ในตัวตัณหาน้ัน ตัณหาจะเกิดขึ้นก่ีคร้ังกี่คราว ก็จะถูกรู้ทุกคร้ังทุกคราว รู้ด้วย ปัญญา รู้ด้วยความเข้าใจ แล้วเราก็รู้อย่างน้ีไปเรื่อย ๆ จนเห็น ความเป็นจริงของระบบและกระบวนการแห่งการสืบทอด อารมณ์ท่ีผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว เข้ามาสู่ภาวะ ปัจจุบันนี้ ถ้าเรารู้อยู่บ่อย ๆ จะเห็นความส้ินสุดของอารมณ์
อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อรยิ ะ 29 เหลา่ นน้ั เมอื่ เหน็ ความสน้ิ สดุ ของอารมณ์ กจ็ ะเกดิ เปน็ ปหนี งั (กตญาณ) ก็คือมันได้ถูกละ ค�ำว่า ถูกละ คือตัณหาใหม่ ไมส่ รา้ งขน้ึ ตณั หาทจี่ ะนำ� ไปสกู่ ารเกดิ ภพใหม่ ไดล้ ะแลว้ คำ� วา่ แล้ว คือแล้วในเวลานั้น ในคราวต่อไปเราต้องท�ำอย่างนี้อีก ในทุก ๆ คราว กิจ ๓ ในนิโรธสัจ การท่ีตัณหาดับไป โดยการก�ำหนดรู้จากเรา ตัณหา ปกติแม้เราจะรู้หรือไม่รู้ก็เกิด-ดับอยู่แล้ว แต่การดับด้วย ความไม่รู้น้ันเป็นการดับด้วยอวิชชา ดับไปโดยที่เราไม่รู้จัก ด้วยกิจ ๓ น้ี จึงถูกอวิชชาครอบง�ำ แต่ถ้าตัณหาดับด้วย ความรู้จากการที่เราก�ำหนดรู้อยู่ในกิจ ๓ ของตัณหา แล้วมัน ดับไปด้วยอ�ำนาจของวิชชา ความดับไปของตัณหานี้นี่เอง จึงมีสัจจะข้อที่ ๓ ข้ึนมาว่า นิโรธสัจจะ นิโรธะ คือ ความดับ ความจริงท่ีตัณหานี้ดับได้ ในความหมายท่ีพระพุทธเจ้า ตรัสว่า นิโรธสัจจะ บางทีเรามองไปถึงเร่ืองของนิพพาน ว่า นิโรธเป็นชื่อของนิพพาน หรือว่าเป็นไวพจน์ของพระนิพพาน อะไรประมาณน้ี จริง ๆ พูดอย่างน้ีก็ถูก แต่ถูกในช้ันของผล ไม่ถูกในช้ันของเหตุ
30 อรยิ สจั ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ การท่ีจะปฏิบัติให้ถูกในช้ันของเหตุ อาตมาแปล หรือว่าท�ำความเข้าใจในหลักธรรมชาติว่า สมุทัย คือ ส่ิงที่ เกิดข้ึนมาพร้อมกับความทุกข์ เม่ือความทุกข์ดับหรือตัว สมุทัยดับ ทุกข์ดับ สมุทัยก็ต้องดับ คือดับไปพร้อม ความดับ ของสมุทัย คือ นิโรธ บางคนอาจจะไม่ค่อยเข้าใจข้อนี้ว่า มาแปลความดับของสมุทัยว่าเป็นนิโรธได้อย่างไร เพราะว่า นิโรธเราถูกให้แปลว่า ความดับไปของทุกข์ จริง ๆ ก็ถูก ความทุกข์จะดับไปก็เพราะหมดเหตุ คือ ไม่มีสมุทัย เมื่อไม่มี สมุทัยแล้วความทุกข์จึงดับ ถ้ายังมีสมุทัยอยู่ ความทุกข์ก็ต้อง มีอยู่ ฉะนั้น ค�ำว่า นิโรธ ความดับไปของทุกข์ ก็หมายถึง ความดับไปของสมุทัยนั่นแหละ เพราะสมุทัยดับ ทุกข์จึงดับ สมุทัยมีอยู่ ทุกข์จึงมีอยู่ เมื่อใดก็ตามท่ีเราเห็นสมุทัย คือ ตัณหาเกิดข้ึนในใจ แลว้ รมู้ นั แลว้ เหน็ ความดบั ของตณั หานนั้ ดว้ ยตวั ของตณั หาเอง โดยท่ีเราไม่ต้องไปแก้กับตัณหาน้ัน ปล่อยให้ตัณหาท�ำหน้าท่ี ของมันเต็มท่ี แล้วเราจะรู้ระบบของตัณหาหรือเรื่องของ ตัณหา แล้วเราก็ไม่สร้างตัณหาใหม่จากตัณหาที่เกิด เราจะ เห็นการเกิดการดับ การเกิดการดับ
อรยิ สัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ป็นอรยิ ะ 31 เพราะฉะนนั้ การรตู้ ณั หาแลว้ ละตณั หา ไมไ่ ดห้ มายถงึ ว่า ไม่ให้มีตัณหาเกิดขึ้นเลยในตัวเรา เพราะแท้ท่ีจริงแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็คือ การท่ีเราหวงกาย กามตัณหา คือ พอใจในขันธ์ ๕ ภวตัณหา คือ อยากให้ขันธ์ ๕ เป็นอย่างนั้น วิภวตัณหา คือ อยากให้ ขันธ์ ๕ เป็นยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ส่ิงเหล่านี้ก็คือ เราหวงตัวทุกข์ หรือว่าหวงตัวขันธ์ทั้งหมดในตัวเรา ในการปฏิบัติข้อน้ีท�ำให้ เราไดเ้ ขา้ ใจวา่ สจั จญาณในนโิ รธกค็ อื รคู้ วามดบั ไปของตณั หา คือ นิโรธ เมอื่ เรารแู้ ลว้ วา่ ความดบั ไปของตณั หาคอื นโิ รธสจั จะ สจั จะในข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ทำ� กจิ ในข้อนี้โดยการท�ำ สจฺฉิกาตพฺพํ ท�ำให้แจ้ง ค�ำว่า ท�ำให้แจ้ง คือ ให้รู้อยู่บ่อย ๆ ใหท้ ราบความดบั นบ้ี อ่ ย ๆ ใหจ้ ติ เหน็ ความดบั นบี้ อ่ ย ๆ อยา่ งนี้ ถา้ เราเหน็ วา่ การเกดิ ขนึ้ ของตณั หา แลว้ เรารู้ ไมส่ รา้ งตณั หาใหม่ ตณั หาทจี่ ะเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ภพใหมด่ บั ไป แลว้ ตณั หาทกี่ ำ� หนดรู้ อยู่นั้น เม่ือถูกรู้ก็จะดับ เมื่อดับแล้วเป็นนิโรธ สัจจญาณ การรู้ ตามความเป็นจริงในความจริงของความดับในชั้นของนิโรธน้ี กจ็ ะเกดิ ขน้ึ แลว้ การทำ� ใหแ้ จง้ กค็ อื เหน็ ตณั หาเกดิ ขนึ้ ทกุ คราว และเห็นตัณหาดับทุกคราว
32 อริยสัจ ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เป็นอรยิ ะ ค�ำว่า เห็นตัณหาเกิดข้ึนทุกคราว คือ เห็นตัณหา ท่ีประกอบไปด้วยความทุกข์เกิดข้ึนทุกคราว หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเห็นทุกข์นั่นแหละ เพราะทุกข์อยู่ที่ไหน ตัณหาก็อยู่ท่ีนั่น มันอิงอาศัยกันอยู่ ถ้าเรารู้ทุกข์ ตัณหาก็จะถูกรู้ เพราะฉะนั้น การเห็นทุกข์เกิดและเห็นทุกข์ดับ หรือ เห็นตัณหาเกิด และเห็นตัณหาดับ เรายิ่งจะได้ท�ำกิจของนิโรธสัจจะข้อนี้ และเจริญข้ึนได้ ย่ิงจะท�ำให้จิตเราแจ่มแจ้งในบทธรรมของ นิโรธสัจจะน้ีว่า ตัณหาจะเกิดขึ้นในคราวคร้ังใดก็เกิดมา เราจะเป็น ผู้รู้แล้วก็เห็นตัณหาน้ีดับไปทุก ๆ คราว นิโรธก็จะแจ้ง เกิดข้ึนในทุก ๆ คราว เมื่อนิโรธแจ้ง เกิดมาปรากฏในจิตเรา ในทกุ ๆ คราว เรากไ็ ดท้ ำ� ใหแ้ จง้ แลว้ กท็ ำ� ใหแ้ จง้ แลว้ ในเวลานนั้ กิจ ๓ ในนิโรธก็สมบูรณ์ แล้วบุคคลใดก็ตามท่ีรู้ทุกข์ ละสมุทัย ท�ำนิโรธให้แจ้งอยู่บ่อย ๆ น่ันแหละ คือ มรรคสัจจะ สัจจญาณของมรรคสัจจะ ก็คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุ ให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ นี่คือมรรคสัจจะ เป็นมรรคแล้ว ในขณะน้ัน
อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ 33 กิจ ๓ ในมรรคสัจ เม่ือมรรคสัจจะ คือ การรู้ทุกข์ รู้เหตุในการเกิดทุกข์ รคู้ วามดบั ทกุ ข์ นคี่ อื มรรคสจั จะ มนั เปน็ มรรคแลว้ ในขณะนนั้ กิจจญาณ คือ วิธีปฏิบัติต่อมรรคสัจจะนั้นท�ำอย่างไร ก็คือ ให้เจริญข้ึน เรียกว่า ภาเวตัพพัง บ้านเราก็คือ ภาวนา น่ันเอง ฉะนั้น ไปภาวนาก็คือไปเจริญความเห็นในเร่ืองของทุกข์ ให้เกิดข้ึน เราต้องเห็นให้ได้ เพราะน่ีคือหนทาง อิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ น้ี คือหนทาง ที่เป็นไปเพ่ือความดับ (ทุกข์) เราจะปฏิบัติโดยปราศจาก การรู้เรื่องของความทุกข์ไม่ได้เลย อย่างไรก็ไม่ได้ ไม่ว่า จะเป็นการปฏิบัติในชั้นไหน ๆ ก็ตาม เรามาดูว่าท�ำไมเราต้อง ให้ทาน เพราะถ้าเราไม่ได้ให้ทานไว้ เราจะทุกข์ในเรื่องของ การแสวงหาอาหาร หรือการใช้ชีวิตในการด�ำรงชีพ เพราะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บรรดาบุคคลผู้เกิดข้ึนมาในโลกน้ี จะมี ชวี ติ ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยทรพั ยส์ มบตั ิ ขา้ วของ เงนิ ทอง เครอื่ งอปุ โภค บริโภคใช้สอย ล้วนแล้วมาจากผลแห่งทานท่ีตนกระท�ำไว้ ทั้งนั้น หากคนไม่เคยท�ำทานไว้ จะอยู่อย่างฝืดเคืองและ ทุกข์มาก เพราะมีความทุกข์ เราจึงต้องให้ทาน
34 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาใหเ้ ป็นอริยะ เพราะมีความทุกข์ เราจึงต้องรักษาศีล เพราะถ้าใคร ไม่รักษาศีลก็ไปทุกข์ในอบายภูมิ เพราะมีความทุกข์ เราจึง ต้องท�ำสมาธิ เพราะเราไม่มีสมาธิ เวลาอารมณ์กระทบจิต เราจะตั้งม่ันในการรู้อารมณ์ไม่ได้ เราจะคล้อยตามอารมณ์ โอนตามอารมณ์ โน้มตามอารมณ์ ถูกอารมณ์ควบคุมใจ แล้วดึงเราไปสู่มรสุมแห่งความทุกข์ภายในจิต เราจึงต้อง มีสมาธิต้ังม่ันเพ่ือที่จะเห็นอารมณ์นั้นให้ได้ ท�ำไมเราจึงต้องมาเจริญภาวนา เพราะมีความทุกข์ ใช่ไหม เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราไม่เห็นความจริงในชั้นอริยสัจ เราก็ยังจะต้องท่องเท่ียวไปในวัฏฏะ เกิดแล้วเกิดอีก แล้วก็ ต้องทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตาย อยู่ย�้ำ ๆ ซ�้ำ ๆ อย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ฉะนั้น สัจจญาณในมรรคก็คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ แล้วเม่ือรู้ว่า การรู้ในทุกข์ รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ รู้ในความดับทุกข์อย่างนี้เป็นส่ิงที่ต้องเจริญขึ้น เราก็ต้อง เจริญขึ้น เจริญ คือ ท�ำให้เกิดขึ้น ท�ำให้มีขึ้น ภาวนา แปลว่า ท�ำให้เกิด ท�ำให้มี ท�ำให้เป็น จนเป็น นิสัย ติดอยู่กับวิถีแห่งชีวิตของเรา
อริยสจั ๔ ทำ�คนธรรมดาใหเ้ ปน็ อรยิ ะ 35 การทเ่ี ราไดเ้ จรญิ (มรรค) ขน้ึ มาในแตล่ ะครง้ั แตล่ ะคราว เม่ือทุกข์เกิดขึ้น ด้วยการรู้จักอริยสัจ ๔ โดยเวียนรอบ หรือ ท�ำกิจ ๓ ท่ีปริวัฏฏ์เวียนรอบอยู่สม�่ำเสมอ นั่นคือเราได้เจริญ ภาวนาแล้ว น่ันคือเราได้สร้างมรรคข้ึนมาในเวลาน้ันแล้ว ตัวมรรคจะส�ำเร็จประโยชน์ในขณะท่ีเราได้พิจารณาอารมณ์ หนง่ึ อารมณท์ มี่ ากระทบจติ โดยรเู้ วยี นรอบอยา่ งนที้ กุ ๆ คราว ในสัจจะ ๔ พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั เนน้ ยำ้� ใหพ้ วกเราเหน็ ความสำ� คญั ในช้ันของอริยสัจนี้ว่า เป็นส่ิงที่พึงกระท�ำอย่างเร่งด่วน หรือ ว่าท�ำก่อน ท�ำอยู่ให้สม่�ำเสมอ อาตมาใช้ค�ำว่า กระท�ำให้เป็น สาระแก่นสารที่ส�ำคัญกว่าการปฏิบัติกิจทางศาสนาในแง่มุม อื่น ๆ ท่ีเราท�ำกัน หมายถึงว่าจะต้องเป็นเครื่องที่จะน�ำไปสู่ การก�ำกับกายกับใจของเราทุก ๆ ขณะ ทีน้ีบางคนบอกว่า ถ้าเราไม่สามารถท�ำอย่างนั้นได้ เราจะตอ้ งคอยหาโอกาส หาเวลา หาสำ� นกั ดี ๆ หาสถานทสี่ งบ หรือท่ีสัปปายะ สัปปายะจริง ๆ ก็ดี ไม่ใช่ไม่ดี ก็ถือว่ามีความ ส�ำคัญหรือว่าเป็นองค์ประกอบหน่ึง แต่เมื่อใดก็ตามท่ีเรา ไม่สามารถหาส่ิงเหล่าน้ันได้ ในเวลานั้นที่เรามีทุกข์อยู่ ก็เอา ความรู้ในหลักของอริยสัจนี้ไปใช้ได้ทันที จะเกิดประโยชน์
36 อริยสจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ ในขณะท่ีเราประสบกับความทุกข์ หรือแม้จะไม่ประสบกับ ความทุกข์ก็ตาม ก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ไม่ได้แสดงออกถึง ความทุกข์ แต่จะท�ำให้เราติดอยู่ ข้องอยู่ หลงอยู่ แล้วจะ น�ำมาซึ่งความทุกข์ในภายหลังให้กับเราได้ เราจะต้องเอาไป กำ� หนดรทู้ างดา้ นอรยิ สจั นี้ ฉะนน้ั การปฏบิ ตั ใิ นลกั ษณะอยา่ ง ทอี่ ธบิ ายมาทง้ั หมดน้ี ยงั เปน็ อรยิ สจั ในชน้ั ของโลกยิ ะ ยงั ไมใ่ ช่ โลกุตตระ เป็นเพียงแค่การสร้างมรรคปฏิปทาในขณะที่ก�ำลัง ด�ำเนิน
อริยสัจ ๔ ทำ�คนธรรมดาให้เป็นอริยะ 37 อริยสัจ ๔ ในช้ันโลกุตตระ เมอ่ื เราดำ� เนนิ อยอู่ ยา่ งนแี้ ลว้ ญาณทงั้ หมดทเ่ี รากำ� หนด ไม่ว่าจะเป็นสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ จะเกิดรวมกัน เป็นองค์ญาณท่ีหย่ังทราบตามความเป็นจริง ธรรมชาติใด ที่รู้ตามความเป็นจริง ธรรมชาติน้ันช่ือว่า ญาณ เราสร้าง ธรรมชาติแห่งญาณ ๓ ข้ึนมา กิจในญาณ ๓ น้ี ตอนแรกเราจะก�ำหนดรู้ว่าอันนี้ คือทุกข์ ทุกข์เป็นของควรก�ำหนดรู้ เราได้ก�ำหนดรู้แล้ว แรก ๆ เราจะยุ่งยากหน่อยในการก�ำหนดในแต่ละอัน แต่เม่ือ เกดิ เปน็ องคญ์ าณขน้ึ มาแลว้ เราไมต่ อ้ งกำ� หนด ญาณจะกำ� หนด ใหก้ บั เรา ตวั ญาณจะทำ� หนา้ ทหี่ ยง่ั ทราบทกุ ๆ อารมณท์ เี่ ขา้ มา เก่ียวข้องกับเราทางด้านอริยสัจเองโดยอัตโนมัติ ญาณนี้จะ พัฒนาไปเป็นสัจจานุโลมิกญาณ คือ ญาณที่คล้อยตามอริยสัจ สัจจานุโลมิกญาณจะส่งผลให้เกิดโคตรภูญาณ โคตรภูญาณ เป็นญาณท่ีแน่วแน่ไปสู่พระนิพพาน จะโน้มไปสู่พระนิพพาน จะโอนไปสพู่ ระนิพพาน จะน้อมไปสู่พระนิพพาน ไมถ่ อยหลัง กลับมาสู่วิถีแห่งความเป็นปุถุชน จะเข้าสู่ความเป็นอริยชน
38 อรยิ สจั ๔ ท�ำ คนธรรมดาให้เปน็ อริยะ โดยถ่ายเดียว เม่ือโคตรภูญาณได้ท�ำหน้าที่แล้ว ไม่นานจิต ดวงน้ันจะตกกระแสของพระนิพพานในเวลาน้ัน ในคราวแรก ๆ เม่ือเรายังต้องยุ่งยากและวุ่นวาย ในการก�ำหนดรู้ ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ กว็ นุ่ วายไปเถอะ แตจ่ ะนำ� มาซงึ่ ผลทด่ี ใี นภายหลงั จะทำ� ใหเ้ รา เกิดความเข้าใจ เกิดความรู้ชัด เกิดความไม่หลงผิด ไม่ไพล่ จบั ทางผดิ ทางอน่ื วา่ ทางอนื่ นา่ จะเปน็ ทางตรสั รู้ จะเปน็ ทางอนื่ น่าตรัสรู้ไม่ได้หรอก ถ้าเรารู้จักอริยสัจ ๔ เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ชัดเจนว่า คนที่โกรธกัน คนที่โมโหกัน คนท่ีให้ร้ายกัน คนที่ด่ากัน จะมีอะไรนอกจากไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ก็เพราะไม่รู้ อริยสัจ ๔ จึงเป็นอย่างน้ัน พระองคจ์ งึ ตรสั วา่ การรจู้ กั อรยิ สจั ๔ นนั้ เปน็ การสรา้ ง หนทาง คอื รทู้ กุ ข์ รเู้ หตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ รคู้ วามดบั ทกุ ข์ และรทู้ าง ดับทุกข์ เพราะถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ ก็จะไม่รู้จักเหตุ แล้วก็ไม่รู้ จะละเหตอุ ยา่ งไร และไมร่ วู้ า่ ความดับไปของเหตุนนั้ จะดับไป ได้อย่างไร แล้ววิธีท่ีจะปฏิบัติต่อทุกข์ และละสมุทัยคือเหตุ ในคราวคร้ังต่อ ๆ ไป และจะท�ำนิโรธให้แจ้ง เราก็จะท�ำไม่ถูก ฉะน้ัน ในวิถีจิตที่มีอยู่ในเวลาน้ี ในตัวเรา คือ กาย กับใจ เราไม่จ�ำเป็นต้องรอให้ทุกข์เกิดข้ึน แต่เราก�ำหนดลงไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116