95 การถอดสูตร ถอดสแควรูทไม่ได้ ก็ถกู พ่ีที่เรียนมธั ยมดถู กู เอา หาว่าโง่ ไม่จาํ ซ่ึงไมไ่ ดห้ มายความว่าเดก็ ป.5 จะโง่กวา่ คนเรียนมธั ยม แต่ เพราะเขายงั เรียนไปไม่ถงึ เขาจึงยงั ไม่รู้นน่ั เอง หรือคนที่เรียนมธั ยม ช้นั สูงที่สุดในบา้ น เขากอ็ าจมคี วามทกุ ข์ ท่ีถกู รุ่นพ่ีปริญญากระทบเอา ว่าสอนไมจ่ าํ กเ็ ป็นได้ ที่กลา่ วมาน้ี ก็เพื่อใหม้ องใหร้ อบวา่ ไมม่ ีใครโง่ ไมม่ ใี คร ฉลาด ไม่มีใครเก่งกว่าใคร แต่เป็นเพราะแต่ละคนอยใู่ นสภาวะท่ีไม่ เท่ากนั มคี วามรู้มกี ารศกึ ษาท่ีไมเ่ ท่ากนั และเพราะความไม่รู้ จึงไป หลงยดึ ในความไม่รู้น้นั วา่ เป็นตวั เรานน่ั เอง ท่ีเป็นเหตุใหเ้ กิดทกุ ข์ เกดิ การเปรียบเทียบ เกดิ อตั ตาตวั ตนข้ึนมา การเปรียบเทียบอยา่ งน้ี กพ็ อจะมองออก พอจะเห็นภาพได้ แต่หากเป็นผปู้ ฏบิ ตั ิธรรมดว้ ยกนั จะมองยาก เพราะแต่ละคน ไมอ่ าจรู้ ภูมิธรรมของอีกคนหน่ึงได้ อยา่ งดกี ไ็ ดแ้ ค่ประมาณเอา จึงไมค่ วรอยา่ ง ยง่ิ ท่ีจะไปคาดคะเน ไปนึกคิดเอาเอง แต่ถา้ เห็นวา่ เขากเ็ ป็นของเขา อยา่ งน้นั เอง ตามเหตุปัจจยั ของเขาเหล่าน้นั กจ็ ะตดั ความวุน่ วาย ใน การไปพจิ ารณาคนอ่นื แทนท่ีจะมาพจิ ารณาขนั ธห์ า้ ของตนเอง คนเดียวกเ็ สียเวลาไปมากแลว้ ในการไปเอาเขามาพิจารณา แลว้ ถา้ มี 2 คน 5 คน 10 คน 20 คน หรือมากกวา่ น้นั จะยงิ่ เสียเวลาใน การพิจารณาขนั ธห์ า้ คนอ่ืนมากข้นึ ไปอกี ดงั น้นั การทีจ่ ะบอกธรรมะ การท่ีจะยนื่ ห่วงไปใหแ้ กข่ นั ธ์ ใดๆ หากบอกไปแลว้ เขาเชื่อ หรือบอกไปแลว้ เขาไมเ่ ช่ือ กใ็ หว้ างลง
96 เสีย อยา่ ไดเ้ ยอื่ ใย ยนื่ ห่วงไปใหเ้ ขาเหล่าน้นั เพราะทุกอยา่ งข้ึนอยกู่ บั ปัญญาในการไตร่ตรองของแต่ละภูมธิ รรมน้นั ๆ ซ่ึงก็ไม่พน้ จากบวั 4 เหล่าไปได้ ดงั น้นั สิ่งท่ีเรากาํ ลงั สงสยั ว่า คนน้นั ทาํ ไมเป็นอยา่ งน้ี คนน้ี ทาํ ไมเป็นอยา่ งน้นั คนน้นั ทาํ ไมใจดี คนน้ีทาํ ไมใจดาํ จึงควรหมดขอ้ สงสยั เพราะทุกอยา่ งมเี หตุปัจจยั ส่งเขา้ มาเป็นอยา่ งน้นั เพราะความไม่ รู้ที่ยงั ไมไ่ ดถ้ กู ขดั เกลาดว้ ยธรรม เขาจึงเป็นอยา่ งน้นั ตามเหตุที่ทาํ ไว้ นน่ั เอง ถา้ มองผดิ มุม ความทกุ ขก์ ถ็ ามหา ความริษยาก็เกาะกิน ถา้ มองถกู มมุ กจ็ ะเห็นความเป็นอยา่ งน้นั เองของทุกสรรพสิ่ง การที่จะส่ง จิตออกนอกไปตดั สินใคร จะเร่ิมนอ้ ยลง จะเร่ิมอยภู่ ายในมากข้นึ ก็ เท่ากบั ไดธ้ รรมะไป 1 ขอ้ คือ ไมส่ ่งจิตออกนอก เพราะไมร่ ู้จะส่งออก ไปทาํ ไม ทุกอยา่ งลว้ นถกู ตอ้ งตามเหตุปัจจยั น้นั ๆอยแู่ ลว้ เพราะการมุง่ แต่ไปพจิ ารณาขนั ธห์ า้ ของผอู้ ื่น กจ็ ะมแี ต่ความอึกอดั ขดั ขอ้ ง ไมถ่ กู อกถกู ใจ เสียเวลาไปอยา่ งน่าเสียดาย ซ่ึงเราๆท่านๆไดเ้ คยเสียเวลา เช่นน้ีมานบั กปั นบั กลั ป์ แลว้ กด็ ว้ ยความโง่เขลาเบาปัญญา ที่มุ่งแต่ไป พจิ ารณาขนั ธห์ า้ อน่ื ๆรอบตวั นน่ั เอง
97 สุญญตาสูตร โลกทุกใบ ถกู ลบหายไปดว้ ย “ความว่าง” เม่ือสมั ผสั อารมณ์หลากหลายดว้ ย “สติสมั ปชญั ญะ” ความทกุ ขท์ ้งั ปวง ยอ่ มต้งั อยไู่ ม่ได้ ดงั น้นั ในสถานการณ์ที่เราเคยคิดว่าคบั ขนั น่าทุกข์ น่ากงั วล น่าขุ่นข้องหมองใจ เราก็ควรฉกฉวยประโยชน์ตน จากสถานการณ์ น้นั ๆ เพื่อให้เห็นอีกดา้ นที่คาดไม่ถึง เช่น อ่านขอ้ ความแลว้ รู้สึกไม่ สบายใจ ใหม้ องยอ้ นกลบั เขา้ ไปในขนั ธห์ ้า ท่ีกาํ ลงั คิดกลบั ไปกลบั มา น้นั แลว้ เห็นใหไ้ ด้ ว่ามนั กาํ ลงั คิดอะไร ปรุงแต่งแบบไหน และมนั รู้สึกอยา่ งไรกนั แน่ เพราะขนั ธห์ า้ น้ี เป็นขนั ธท์ ่ีเรามองเห็นได้ ปลอ่ ยวางมนั ได้ สอนมนั ได้ ต่อใหม้ นั คิดอะไรต่อมิอะไร มากนอ้ ยแค่ไหน เกิดอารมณ์ อยา่ งไร มนั กว็ นอยใู่ นขนั ธห์ า้ ขนั ธน์ ้ี มไิ ดไ้ ปวนอยใู่ นขนั ธห์ า้ ของ ใครๆเลย
98 เราจึงตอ้ งรู้วธิ ีถอยห่างจากไฟ ที่มนั ลุกอยใู่ กลๆ้ เราก่อนดีกวา่ ถา้ เห็นได้ ถา้ วางได้ ถา้ ละการปรุงแต่งในขนั ธห์ า้ น้ีได้ โลกท้งั ใบ ก็อยู่ ในขนั ธห์ า้ ...ขนั ธน์ ้ีเท่าน้นั คิดถึงอเมริกา กค็ ิดในขนั ธห์ า้ น้ี เห็นเมอื งฝร่ังเศส ก็เห็นผา่ นขนั ธห์ า้ ขนั ธน์ ้ี หรือแมจ้ ะรัก จะเกลียด จะโกรธ จะห่วงใยพ่อแม่ ลกู เมีย ก็ ยงั คงวนเวยี นอยใู่ นขนั ธห์ า้ ของแต่ละท่านน่ี ที่ปรุงแต่งเองท้งั หมดเลย ไมไ่ ดไ้ ปปรุงแต่งในขนั ธห์ า้ ของใครท้งั ส้ิน ถา้ เขา้ ใจกลไกของขนั ธห์ า้ ถา้ ไม่เขา้ ไปยดึ มน่ั ถือมน่ั ใน อปุ าทานขนั ธห์ า้ ที่กาํ ลงั ลอ่ หลอกใหเ้ ขา้ มาติดกบั แลว้ ยอมรับอารมณ์ น้นั ๆว่าเป็นของตนแลว้ ไซร้ ความสุข ความทุกข์ มนั กเ็ กิดข้ึนไดแ้ ค่ในขนั ธห์ า้ เท่าน้นั ไมไ่ ดเ้ กิดข้ึนกบั ใครเลย หากอยเู่ หนือขนั ธห์ า้ ของท่านเองได้ ท่านก็ ยอ่ มอยเู่ หนือโลกธรรม 8 ไดเ้ ช่นกนั เพราะโลกธรรม 8 ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เส่ือมยศ นินทา ทุกข์ มนั ถกู ปรุงแต่งออกมา จากขนั ธห์ า้ ของท่านเอง หากทุกคนม่งุ เนน้ พจิ ารณาในขนั ธห์ า้ ของตนเท่าน้นั โดยไม่ มงุ่ เนน้ ที่จะไปพจิ ารณาขนั ธห์ า้ ของบุคคลอ่ืน กจ็ ะไมม่ อี คติดว้ ยเห็นว่า บุคคลอ่นื ผดิ ถกู ดีชว่ั จะไมม่ กี ารนาํ สิ่งหน่ึง ไปเปรียบเทยี บกบั อกี ส่ิง หน่ึง จะไม่มคี วามเห็นที่แตกต่าง หรือแตกแยก เพราะธรรมชาติมเี พยี ง หน่ึงเดียว ไมม่ ีแบ่งแยก ทกุ สรรพส่ิง ลว้ นเป็นธรรมชาติเดยี วกนั มไิ ด้
99 เป็นตวั ใครของใครท้งั สิ้น อยทู่ ่ีว่า ใครจะเขา้ ใจไดม้ ากนอ้ ยแค่ไหน เท่าน้นั การมคี วามเขา้ ใจในกลไกของธรรมชาติ การมองเห็นความ เป็นเช่นน้นั เองของธรรมชาติ การมีมมุ มองท่ีถกู ตรงตามหลกั ของ ธรรมชาติเป็นกลไกสาํ คญั อยา่ งยง่ิ ท่ีจะเปิ ดมมุ มองท่ีใหเ้ ห็นความเป็น หน่ึงเดียวของทุกสรรพสิ่ง หากมีความเขา้ ใจอยา่ งแทจ้ ริงแลว้ ก็จะไม่ มกี ารแบ่งแยก ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มกี ารเทียบเคียงใดๆท้งั ส้ิน ไม่มีเรา ดีกวา่ เขา ไมม่ ีเขาดีกว่าเรา ไมม่ ีเราเสมอเขา และไมม่ ีความเห็นที่เป็น สตั ว์ เป็นบุคคล เป็นตวั ตน เรา เขา ทุกส่ิงลว้ นเกดิ จากเหตุปัจจยั ตาม กลไกของธรรมชาติท้งั สิ้น ไม่ไดม้ ีใคร อยากทีจ่ ะเป็นอะไร อะไร แลว้ เลอื กไดต้ ามท่ีใจตอ้ งการ ทุกคนเกิดมาตามกรรม ตามวิบากกรรมท่ีส่งมา อยใู่ น แบบฟอร์มขนั ธห์ า้ ไหนๆ ก็ตอ้ งดาํ เนินไปตามแบบฟอร์มน้นั ๆ อยใู่ น แบบฟอร์มของนกก็จะบินได้ หากินหนอนแมลง ขา้ วเปลอื ก ดาํ เนิน ชีวิตไปตามกลไกของธรรมชาติ การไดเ้ กิดเป็นมนุษย์ เป็นส่ิงที่ประเสริฐท่ีสุดแลว้ เพราะเป็น แบบฟอร์มเดียว ที่สามารถออกจากทุกขไ์ ด้ พน้ ทุกขไ์ ด้ เพราะสามารถ
100 มีสติปัญญาพจิ ารณาไตร่ตรอง มีการปฏิบตั ิเพ่ือละอตั ตาตวั ตน เรียนรู้ กลไกขนั ธห์ า้ จึงมโี อกาสหลดุ พน้ จากอุปาทานขนั ธห์ า้ ได้ นอกน้นั แบบฟอร์มอนื่ ๆ ไมม่ ีโอกาสพน้ ทุกขไ์ ดเ้ ลย การเกดิ เป็ นทุกข์อย่างย่งิ ยงิ่ เกิดเป็นสตั วท์ ้งั หลายน้นั ถอื วา่ เกิดมาใชก้ รรมท้งั สิ้น เพราะ เกิดมาแลว้ มแี ต่สญั ชาตญาณเท่าน้นั ที่ผลกั ดนั ใหด้ าํ เนินชวี ติ ไป ไม่ อาจแยะแยะได้ ไมอ่ าจหยดุ คิด หยดุ ไตร่ตรอง ผดิ ถกู ดีชวั่ ได้ จึงเพียง ดาํ เนินชีวติ ไปตามกลไกของขนั ธห์ า้ ตามสญั ชาตญาณตามแบบฟอร์ม น้นั ๆ โอกาสท่ีสตั วท์ ้งั หลายเหล่าน้นั จะเลอื กทางเดินเองน้นั แทบจะ ไม่มีเลย เราจึงควรเขา้ ใจพวกเขา เห็นใจพวกเขา เมตตาพวกเขา มองเห็นความเป็นจริงในธรรมชาติของพวกเขา แลว้ ความอคติ ความ เหลอื่ มล้าํ ความไม่เขา้ ใจ จะหมดไปทนั ที นี่เป็นพ้ืนฐาน เป็นมมุ มองท่ี คนทว่ั ๆไป ที่ยงั เห็นว่ามตี วั ตนเรา มีตวั ตนเขา มคี น มสี ตั ว์ แบ่ง แยกกนั ไป ควรนาํ มาพิจารณาเพอื่ เปล่ียนมุมมองก่อน จะไดม้ ีความเบา สบายในระดบั หน่ึง สตั วเ์ หล่าน้นั เขากเ็ กิดมาตามกรรม ตามวิบากท่ีส่งเขามาเกิด ตามแบบฟอร์ม เขาเลอื กไม่ไดเ้ ช่นกนั เกิดมาเป็นหนอน เป็นไสเ้ ดือน เป็นกิ้งกือ เป็นสตั วน์ ่าขยะแขยง ใครเห็นกไ็ ม่อยากเขา้ ใกล้ เขาอาจเคย
101 เป็นมนุษยม์ าก่อนกไ็ ด้ แต่ใชค้ วามสวย ความหลอ่ หลอกลอ่ บุคคลอืน่ ไปสร้างกรรม วิบากกรรม หลอกลวง หรือสร้างกรรมใดๆ ใชก้ รรม แลว้ เหลือเศษกรรมกต็ อ้ งมาเป็นสตั วท์ ่ีมรี ูปร่างน่าเกลยี ด น่าขยะแขยง ใครเห็นแลว้ กไ็ ม่อยากเขา้ ใกล้ เพราะน่าขยะแขยง ท้งั ๆที่สตั วเ์ หล่าน้นั มนั กไ็ ม่ไดท้ าํ อนั ตรายใครไดเ้ ลย หนอน ก็หากินของมนั ไสเ้ ดือนกห็ ากินแถมยงั พรวนดินใหก้ บั มนุษยอ์ กี ก้ิงกือ ก็แทบจะไมไ่ ดท้ าํ อะไรใหใ้ คร มนั ดาํ เนินชีวติ ของมนั ไป ตามปกติ สตั วเ์ หลา่ น้ีไมไ่ ดท้ าํ อะไรใหใ้ คร แต่คนไปเกลยี ดมนั เอง เพราะมนั เกิดมาตามแบบฟอร์มท่ีตอ้ งใชว้ ิบากของมนั หรือแมแ้ ต่ ตะขาบ แมงป่ อง งู แมงมมุ หรือสตั วเ์ ล้ือยคลานที่มีพษิ ท้งั หลาย ใคร เห็นกต็ อ้ งรีบตี รีบฆา่ รีบกาํ จดั มนั ก่อน เพราะกลวั อนั ตราย ซ่ึงสตั วเ์ หล่าน้นั โดยแทจ้ ริง มนั กลวั มนุษยเ์ สียมากกวา่ มนั ไม่ไดค้ ิดท่จี ะม่งุ หมายทาํ ร้ายใคร เสียงดงั หน่อยมนั ก็หนีแลว้ ที่มนั ทาํ ก็ เพราะมีภยั ถงึ ตวั เท่าน้นั แต่เพราะมนั มเี ศษกรรมท่ีตอ้ งมาเกิดใน แบบฟอร์มน้ี มนั อาจจะเคยเกิดเป็นมนุษยม์ าก่อน เคยสร้างกรรมใน การเป็นโจร เป็นผรู้ ้าย เป็นผทู้ ี่ชอบเบียดเบียน ชอบทาํ ร้ายคนอ่ืนมา ก่อน เม่ือใชก้ รรมหนกั แลว้ เหลือเศษกรรมกต็ อ้ งเกิดมาเป็นสตั วท์ ี่ใคร เห็นแลว้ จะตอ้ งรีบทาํ ร้าย รีบฆา่ รีบทจ่ี ะทุบตีมนั ก่อน เพราะกลวั มนั ทาํ อนั ตรายให้ ท้งั ๆท่ีมนั ยงั ไมไ่ ดจ้ ะทาํ ร้ายใครๆเลย แต่เพราะ
102 แบบฟอร์มของมนั เป็นแบบฟอร์มที่มอี นั ตราย ดึงดดู ใหผ้ คู้ นมุ่งที่จะ รุมทาํ ร้ายนนั่ เอง น่าแปลก ที่แค่เปลย่ี นมุมมองความคิดเพียงเท่าน้ี กลบั กลายเป็นวา่ ความกลวั ความขยะแขยง ความอยากหลบหนีส่ิงท่ีไม่ ชอบใจ จะเริ่มหายไป จึงยอ้ นคิดไปถงึ พระปฏิบตั ิ ท่ีท่านใหค้ วาม เมตตาทุกสรรพสตั วเ์ ท่ากนั ไมไ่ ดแ้ บ่งแยกใดๆ แผเ่ มตตาใหส้ ตั ว์ เหลา่ น้นั แมจ้ ะถกู มด ถกู แมงป่ อง ถกู ตะขาบเหลา่ น้นั กดั บา้ ง ต่อยบา้ ง ในยามที่เดินธุดงค์ ท่านกไ็ ม่เคยคิดแคน้ คิดทาํ ลาย แตก่ ลบั แผเ่ มตตา ใหด้ ว้ ยความสงสาร ในเศษกรรมของสตั วเ์ หล่าน้นั ใหเ้ ขามีโอกาสพบ แต่ความสุขเถดิ เมื่อมมุ มองเปลยี่ น ความคิดเปลีย่ น ความเขา้ ใจมาก ข้ึน เมื่อกระทบสิ่งเดิมๆ ความรู้สึกจึงเปล่ยี นไป เมอื่ มคี วามเขา้ ใจ ความทุกขท์ ่ีเคยเกาะกินมานาน ความ ขยะแขยง ความวติ กกงั วล ความหวาดกลวั มนั กจ็ ะเลือนหายไป เห็น แต่เพอื่ นร่วมวฏั สงสาร ที่ยงั ตอ้ งเวยี นเกิด แก่ เจบ็ ตาย ทุกขท์ รมานกนั อีกนานแค่ไหนกไ็ มร่ ู้ น่ีคือปาฏหิ าริยแ์ ห่งธรรม ปาฏิหาริยแ์ ห่งความเขา้ ใจในกลไก ของธรรมชาติ แลว้ เปล่ียนจากทุกขม์ ากมาย กลายเป็นทุกขน์ อ้ ยไดจ้ ริง แค่ทาํ ความเขา้ ใจ เปลีย่ นมุมมองใหมเ่ ท่าน้นั เอง ความทุกขจ์ ากความ ไม่เขา้ ใจกห็ มดไปทนั ที เราผไู้ ดโ้ อกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพทุ ธศาสนาแลว้ มี โอกาสมากกว่าสตั วเ์ หลา่ น้นั ถา้ ยงั ไมเ่ ห็นวา่ ภยั ในวฏั สงสาร การเวียน
103 ว่ายตายเกดิ น่ากลวั ที่สุด หากไมเ่ ร่งปฏิบตั ิเพอื่ ที่จะออกจากวฏั สงสาร แลว้ ละก็ จะเสียโอกาสไปอยา่ งน่าเสียดายที่สุด หากยงั คงทาํ มาหากินดว้ ยความโลภ คดโกง กอบโกย หรือ อาจพลาดพล้งั ไปโกง ไปทาํ ร้าย ไปเข่นฆา่ กอ็ าจเป็นไดว้ ่า เกิดมาคร้ัง ใหม่ อาจกลายเป็นสตั วต์ วั ใดตวั หน่ึง ท่ีทุกคนเกลยี ดกลวั กเ็ ป็นได้ การวิปัสสนา คือการพจิ ารณาเพื่อใหเ้ ห็นจริงในความเป็นเช่น น้นั เองของทุกสรรพส่ิง วา่ มนั ไมไ่ ดเ้ ป็นสตั ว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา แมแ้ ต่นอ้ ย และตอ้ งคอยมีสติกาํ กบั อยเู่ นืองๆ ระลึกถึงอยเู่ นืองๆ พิจารณาอยเู่ นืองๆวา่ นี่ไม่ใช่เรา นี่ไม่ใช่ตวั ตนของเรา เป็นเหตุปัจจยั ตามธรรมชาติ ท่ีปรุงแต่งรวมกนั แลว้ เกิดอปุ าทานหลงยดึ วา่ เป็นตวั เรา ของเรา เท่าน้นั ซ่ึงโดยแทจ้ ริงแลว้ มนั ไม่ใช่ตวั ใครของใคร มนั เป็นเพยี งการ รวมตวั กนั ของธาตุตามธรรมชาติ แลว้ มกี ระบวนการปรุงแต่งจนเกิดมี การรับรู้ได้ ซ่ึงการรับรู้กไ็ มไ่ ดเ้ ป็นตวั ใครเป็นผรู้ ับรู้ มเี พียงธาตุทาง ธรรมชาติที่เป็นตวั รับรู้ขนั ธห์ า้ แลว้ มีอปุ าทานลอ่ หลอกว่า ท่ีรู้ได้ คิด ได้ ทาํ ได้ น่ีน่ะ มนั เป็นตวั แก ของแก ดว้ ยความไม่รู้ จึงหลงยดึ หลงคลอ้ ยตามไปกบั สิ่งล่อลวง เหลา่ น้นั จึงยงั ตอ้ งเวียนเกดิ เวยี นตายอยา่ งไม่มที ี่ส้ินสุด ก็เพราะอวิชชา คือความไม่รู้จริง ไมร่ ู้ตามความเป็นจริงของธรรมชาตินนั่ เอง จึงเกิด ปัญหา เกิดตวั ตน เกิดเรา เกิดเขา เกิดโลก เกิดภพ เกิดชาติ เกิด
104 วฏั สงสารข้ึนมา แค่เห็นผดิ นิดเดียว เร่ืองมนั เลยยาว ภพชาติมนั เลย เยอะ ความทุกขม์ นั เลยแยะตามไปดว้ ย ดงั น้นั มรรคมอี งค์ 8 หนทางแห่งการพน้ ทุกข์ ขอ้ แรกที่พระ พทุ ธองคท์ รงตรัสไวก้ ค็ ือ สมั มาทิฏฐิ (เห็นชอบ) คือมคี วามเห็นใหถ้ กู ตรงกบั กฎของ ธรรมชาติเป็นขอ้ แรก และสาํ คญั ที่สุด คือตอ้ งมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจ เก่ียวกบั โลกและชีวิตตามความเป็นจริง เขา้ ใจตามสภาวะของ ธรรมชาติ ไมไ่ ปหลงผดิ จากกฎของธรรมชาติ ไม่ไปหลงยดึ ธรรมชาติ ว่าเป็นตวั ตน เป็นของตน ถา้ มคี วามเห็นตามท่ีพระพทุ ธองคท์ ่านตรัสแลว้ โอกาสท่ีจะ ออกจากวฏั สงสาร หลุดพน้ จากอุปาทานท้งั หลาย ยอ่ มเกดิ ข้ึนไดอ้ ยา่ ง แน่นอน ไม่ใช่เรื่องเหลอื เชื่อ ไม่ใช่เร่ืองที่เป็นไปไมไ่ ด้ แต่เป็นเรื่องที่ เกิดข้ึนไดจ้ ริงๆ เพราะมผี หู้ ลดุ พน้ จากอุปาทานขนั ธห์ า้ มากมาย ท่ีมใี ห้ เห็นอยา่ งต่อเน่ืองต้งั แต่สมยั พุทธกาลจวบจนปัจจุบนั น้ีแมจ้ ะลด นอ้ ยลงเร่ือยๆกต็ าม แต่กย็ งั พอมีใหเ้ ห็นหากปฏบิ ตั ิอยา่ งถกู ตรงจริงๆ ทุกอยา่ ง จึงตอ้ งอยใู่ นการพิจารณา ไตร่ตรอง และเทียบเคียง กบั สิ่งที่ท่านไดร้ ับรู้มา ศึกษามา แลว้ พิจารณาดว้ ยปัญญาของท่านเอง อยทู่ ่ีวา่ ท่านจะมคี วามเขา้ ใจในแก่นแทข้ องธรรมชาติไดม้ ากนอ้ ยแค่ ไหนเท่าน้นั
105 มารู้จกั อดตี ปัจจบุ ัน อนาคต ในอีกมุมมองหน่ึง... กนั เถอะ อดตี ถา้ กล่าวถึงคาํ วา่ “อดีต” คนมกั จะคิดไปถึงสิ่งท่ีผา่ นมาแลว้ ต้งั แต่วนิ าทีที่ผา่ นมา นาทีท่ีผา่ นมา จนถงึ เมอ่ื วาน เมื่อเดือนที่แลว้ เมอื่ ปี ที่แลว้ หรือเม่อื ชาติท่ีแลว้ หรือหลายชาติที่ผา่ นๆมา มีจาํ นวน มากมายที่ยอ้ นราํ ลกึ ไปคน้ หาอดตี เหลา่ น้นั นน่ั ก็เป็นเร่ืองธรรมดา เพราะคาํ วา่ อดีตมนั เป็นคาํ สมมตุ ิ ซ่ึง เป็นท่ีรู้จกั กนั เป็นท่ีเขา้ ใจกนั ภายในกลมุ่ ภายในประเทศที่แปล ความหมายไดว้ า่ สิ่งน้นั ไดผ้ า่ นมาแลว้ ถา้ จะทุกข์ ก็ทุกขเ์ พราะหวนอาลยั ในอดีต เจ็บปวดแคน้ เคือง ในส่ิงท่ีผา่ นมา นอ้ ยใจในส่ิงท่ีผดิ พลาด หวนหาอาลยั ในส่ิงที่เคย ประทบั ใจ คิดแลว้ คิดอกี ทกุ ขแ์ ลว้ ทุกขอ์ กี สุขแลว้ สุขอกี สลบั กนั ไป อนาคต อนาคตเป็นคาํ ที่สมมุติข้ึน ใชแ้ ทนส่ิงที่ยงั มาไม่ถึง โดยมี ความเขา้ ใจหมายรวมว่าส่ิงที่ยงั ไม่เกิดข้นึ สิ่งที่ยงั มาไมถ่ ึง ส่ิงที่ไม่อาจ รู้ไดใ้ นอีก 1 วินาทีขา้ งหนา้ 1 นาทีขา้ งหนา้ 1 ชวั่ โมงขา้ งหนา้ เดือน
106 หนา้ ปี หนา้ หรือ 10 ปี ขา้ งหนา้ แมแ้ ต่ชาติหนา้ กย็ งั ไมท่ ราบ มีเพยี งแต่ การคาดคะเน หรือการคาดหวงั ตามจินตนาการเท่าน้นั ถา้ จะทุกขก์ ท็ ุกขเ์ พราะคาดคะเนล่วงหนา้ ทุกขเ์ พราะกลวั ลว่ งหนา้ ทุกขเ์ พราะวิตกกงั วลล่วงหนา้ เรียกว่าวางแผนคาดคะเน เตรียมการในสิ่งท่ียงั มาไมถ่ งึ ส่ิงท่ียงั ไม่เกิดข้ึน แลว้ ทกุ ขไ์ ปก่อนท้งั ๆ ท่ียงั ไมเ่ กิดเรื่องเหล่าน้นั บางคนทุกขล์ ว่ งหนา้ ไปขา้ มปี ดว้ ยซ้าํ ปัจจุบัน คือสิ่งที่กาํ ลงั เกิดข้ึนอยู่ ดาํ เนินอยู่ ณ ปัจจุบนั ขณะ ในอริ ิยาบถ 4 น้ี เดินอยู่ นง่ั อยู่ ยนื อยู่ นอนอยู่ ไมว่ ่าจะคุยโทรศพั ทอ์ ยู่ กินขา้ วอยู่ ดู ทีวีอยู่ นอนเล่นอยู่ อ่านหนงั สืออยู่ หรืออริ ิยาบถใดๆที่กาํ ลงั เกิดข้ึน ณ ขณะน้นั หากมีสติเห็นปัจจุบนั ขณะรู้ว่า กาํ ลงั ทาํ อะไรในปัจจุบนั น้ี มี สติเห็นทุกๆอริ ิยาบถท่ีเกิดข้ึน กจ็ ะเห็นวา่ ถา้ อยกู่ บั ปัจจุบนั จริงๆ ความทกุ ขป์ ัจจุบนั กค็ ือ ส่ิงท่ีกาํ ลงั กระทบต่อเน่ืองกบั ปัจจุบนั ที่กาํ ลงั ดาํ เนินอยู่ เมอ่ื ยหลงั เพราะนง่ั นาน ปวดคอเพราะกม้ อ่านหนงั สือ ร้อน เพราะพดั ลมเสีย หนาวเพราะแอร์เยน็ หิวน้าํ เพราะเหนื่อยเดินมาไกล มนั ทุกขแ์ ค่น้นั ในปัจจุบนั มนั ทุกขก์ บั สิ่งที่มากระทบในขณะน้นั มเี ท่าน้นั ถา้ รู้ ถา้ เห็น ถา้ เขา้ ใจ กจ็ ะจดั การกบั มนั ไดใ้ นปัจจุบนั ขณะ น่ีคือทุกขใ์ นปัจจุบนั คือทุกขใ์ นขณะทีข่ นั ธห์ า้ กาํ ลงั กระทบสิ่งน้นั ๆอยู่ แลว้ เกดิ ภาวะน้นั ๆ ในขนั ธห์ า้
107 แต่คนส่วนใหญ่ ไมเ่ คยมองเห็นปัจจุบนั ทกุ ขป์ ัจจุบนั ท่กี าํ ลงั กระทบมแี ค่น้นั แต่กลบั ไปทุกขก์ งั วลเร่ืองเม่อื วาน ห่วงใยคนที่ยงั ไม่ กลบั มา ทุกขไ์ ปขา้ งหนา้ ทุกขไ์ ปขา้ งหลงั ในขณะทีย่ งั นงั่ อยใู่ น ปัจจุบนั มนั จึงดูเหมอื นว่า นงั่ เฉยๆกท็ กุ ขไ์ ด้ เพราะความคิดมนั ฟ้ ุงไป ท้งั เรื่องที่ผา่ นมา และขา้ งหนา้ ท่ียงั มองไมเ่ ห็น และที่สาํ คญั มนั หยดุ คิดไมไ่ ด้ และมนั หยดุ ทุกขไ์ มไ่ ดน้ ี่สิ เป็นเร่ืองสาํ คญั เพราะพลั วนั อยกู่ บั คาํ วา่ อดีต อนาคต นน่ั เอง อดีต อนาคต ปัจจุบนั มนั มีหน่ึงเดียวเท่าน้นั มนั แยกกนั ไมไ่ ด้ ไมม่ อี ดีต ไม่มีอนาคต จริงๆแลว้ แมป้ ัจจุบนั กย็ งั ไมม่ ีเลย (แต่ข้นั ตอนน้ีคงตอ้ งใหม้ ปี ัจจุบนั ไวก้ ่อน เพ่อื จบั หลกั ใหอ้ ยู่ กบั ปัจจุบนั ใหไ้ ดก้ ่อน แลว้ ค่อยไปทาํ ความเขา้ ใจ เพอื่ ออกจากปัจจุบนั ในขนั ธห์ า้ ทีหลงั กแ็ ลว้ กนั ) หากสามารถเขา้ ใจกลไกของขนั ธห์ า้ ไดใ้ นระดบั หน่ึง แลว้ ก็ จะเขา้ ใจว่า ทุกอยา่ งมนั ข้นึ อยกู่ บั ขนั ธห์ า้ มนั อยใู่ นขนั ธห์ า้ มนั ปรุง แต่งสุขทุกข์ อารมณ์หลากหลาย ในขนั ธห์ า้ ของแต่ละคน แลว้ ไปหลง ยดึ วา่ ส่ิงที่ปรุงแต่งในขนั ธห์ า้ น้นั มนั เป็นเรา เราเป็นอยา่ งน้นั เราเป็น อยา่ งน้ี เราจึงสุขจึงทุกขอ์ ยไู่ ม่วางวาย ดงั น้นั ที่กลา่ ววา่ อดีตมนั ไมม่ ี จริง กเ็ พราะวา่ ขณะท่ีนงั่ คิดถงึ เรื่องเมอ่ื วาน แต่การปรุงแต่งความคิดมนั อยู่ ในปัจจุบนั น้ี ขณะน้ี ขณะที่คิดตอนน้ี เช่น นอ้ ยใจ เสียใจในเรื่องท่ีผา่ น
108 มา ครุ่นคิดว่าทาํ ไมเขาถงึ ตอ้ งต่อวา่ เราดว้ ย เราไม่ไดท้ าํ อะไรผดิ สกั หน่อย แลว้ กม็ ีความทุกขค์ วามเสียอกเสียใจ ความนอ้ ยอกนอ้ ยใจ หด หู่ เศร้าหมองนอนไมห่ ลบั คิดแต่เร่ืองเมอ่ื วานน้ี หารู้ไมว่ ่า อดีตมนั ไม่ มีหรอก มนั ผา่ นไปแลว้ หายไปแลว้ ดบั ไปแลว้ แต่ขณะทีค่ ิดเร่ืองเมือ่ วาน มนั คิดเด๋ียวน้ี คดิ ตอนน้ี คดิ ใน ปัจจุบนั น้ี ในวนิ าทีน้ี แมว้ ่าขอ้ ความทีค่ ิดมนั จะเป็นขอ้ ความที่เหมือนเมื่อวาน ความ นอ้ ยอกนอ้ ยใจ ความรู้สึกเหมอื นเมือ่ วานกต็ าม แต่ว่ามนั ปรุงใหมว่ นั น้ี เดี๋ยวน้ี ไมไ่ ดเ้ อาของเก่าเม่ือวานน้ีเอากลบั มาปรุงใหม่ เอากลบั มายอ้ น ใหมเ่ ลย มนั ยอ้ นไม่ได้ มนั คิดแลว้ มนั รู้สึกแลว้ มนั ผา่ นเลยไป มนั ดบั ไป หลงั คิดเสร็จมนั ดบั ไปแลว้ มนั ไหลผา่ นไปแลว้ จะจบั เอากลบั มา ยอ้ นคิดทบทวนใหมไ่ ม่ได้ มีแต่คิดใหม่ในขณะน้ี ในปัจจุบนั น้ี แต่เป็น ประโยคเดิม เร่ืองเดิมเท่าน้นั เหมือนเราจุดไฟ พอจุดแลว้ ลมพดั ไฟดบั ไปแลว้ มนั หายไป แลว้ กต็ อ้ งจุดใหม่ ลมพดั ดบั อีก ก็ตอ้ งจุดใหม่อีก จุดสกั 10 คร้ัง กค็ ือ จุดไฟ 10 คร้ัง ไม่สามารถเอาไฟเก่าที่ดบั ไปแลว้ มาจุดใหมไ่ ด้ ตอ้ งทาํ การกระทบกนั ใหม่
109 และไฟท่ีดบั ไปแลว้ มนั ก็ไม่ไดห้ ายไปไหน แต่มนั กลบั ไปอยู่ ในธรรมชาติ รอเหตุปัจจยั มากระทบใหม่อีกคร้ัง จึงเกิดข้นึ มาใหม่ คือ จุดใหม่ จึงเกิดไฟคร้ังใหม่นนั่ เอง คนท่ีเดินมาเห็นไฟทีหลงั ก็เห็นไฟ ติดอยแู่ ลว้ โดยไมร่ ูด้ ว้ ยซ้าํ ว่า มกี ารจุดไฟก่ีคร้ัง ดงั น้นั ไมว่ ่าจะคิด จะพดู จะทาํ อะไร ทุกคร้ังมนั เป็นการปรุง ใหม่ท้งั ส้ิน มนั ไมม่ ขี องเก่าเลย เพราะทุกขณะ มนั เป็นปัจจุบนั ในทุก ขณะนน่ั เอง กา้ วเทา้ ไปขา้ งหนา้ 1 กา้ ว ชกั ทา้ วกลบั ไปที่เดิมแลว้ กา้ วมาอกี 1 กา้ ว ทบั ท่ีเดิมแลว้ ชกั เทา้ กลบั แลว้ กา้ วออกมา 1 กา้ ว เหยยี บลงไปที่ เดิม ทาํ สกั สิบคร้ัง หรือร้อยคร้ัง ทุกคร้ังท่ีกา้ ว ก็คือยน่ื เทา้ ออกไปใหม่ ทุกคร้ัง แมจ้ ะมองเหมอื นว่ามนั เป็นรอยเทา้ เดียวเท่าน้นั มนั เหมือน ไม่ไดไ้ ปไหน มนั ยา่ํ อยทู่ ่ีเดิม เหมอื นเดิม แต่เปลา่ เลย ทุกคร้ังท่ีเหยยี บ ไป มนั ผา่ นไปแลว้ เหยยี บคร้ังใหมก่ ค็ ือตอ้ งกา้ วใหม่ แต่ซ้าํ ที่เดิม เม่ือ กา้ วใหมก่ ็ซ้าํ ท่ีเดิม จึงดไู มอ่ อกว่าเป็นการกา้ วถึงร้อยคร้ังเชียวหรือ ก็ เห็นมีแค่รอยเทา้ อนั เดียว ถา้ เป็นรูปขนั ธ์ จะพอมองเห็นไดช้ ดั เจน วา่ กา้ วใหม่ทุกคร้ังแต่ เหยยี บท่ีเดิม แต่เป็นการกา้ วออกไปแต่ละคร้ัง แต่ถา้ เป็นความคิด ความรู้สึก จะมองเห็นยาก จะคิดกงั วลทกุ ขใ์ จนบั ร้อยคร้ัง นบั พนั คร้ัง อารมณ์หดหู่ เศร้าหมองนบั ร้อย นบั พนั คร้ังกม็ องไมเ่ ห็น มแี ต่ทุรนทุ รายในทุกๆขณะที่มนั ผา่ นมา ผา่ นไป
110 เมอื่ ไม่มีสติเห็นความคิด ไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึก ไม่เห็น กลไกการปรุงแต่งของขนั ธห์ า้ ที่มนั ไหลไปตลอดเวลา ไมเ่ คยหยดุ น่ิง แลว้ เรากจ็ ะหลงวา่ ทาํ ไมเรากงั วลเร่ืองน้ีซ้าํ แลว้ ซ้าํ เล่า คิดแลว้ คิดเล่า ทุกขแ์ ลว้ ทุกขเ์ ลา่ อยตู่ ลอดเวลา หารู้ไมว่ า่ นน่ั แหละคุณปรุงแต่งเอง ปรุงใหม่ในทุกๆคร้ัง ทุก วนิ าที ทุกขณะจิต แต่อาจจะปรุงใหม่ในเน้ือหาขอ้ ความเดิมๆ น่ีคือเรื่องที่เรามองไมเ่ ห็น คิดไม่ถงึ ว่าสาเหตุที่เราทกุ ขซ์ ้าํ แลว้ ซ้าํ เล่าในเรื่องเก่าๆ เรื่องเดิมๆ แลว้ ไปโทษวา่ ทาํ ไมเราไมล่ มื มนั เสียที คิดทีไร ทุกขท์ ุกนาที ไปโทษวา่ ยดึ ติดในอดีต มนั หลอกหลอน มนั คอยทิ่มแทงใหเ้ ราทุกข์ ใหเ้ ราโศกเศร้าเสียใจตลอดมา หารู้ไมว่ า่ ทุกขน์ น่ั น่ะ ไม่ใช่อดีต มนั ทุกขใ์ นปัจจุบนั ทุกขต์ อนน้ี และเด๋ียวน้ี แมข้ อ้ ความท่ีนาํ มาทุกข์ จะถกู ส่งมาจากสญั ญาที่เคยจาํ ไว้ นานมาแลว้ แต่การส่งข้นึ มา กส็ ่งข้ึนมาเดี๋ยวน้ี จาํ ไดเ้ ดี๋ยวน้ี ปรุงแต่ง เด๋ียวน้ี แลว้ ทุกขเ์ ด๋ียวน้ี นง่ั สบายๆอยดู่ ีๆ หนั ไปเห็นรถเก๋งสีแดงผา่ นหนา้ บา้ น ตารับ ภาพ (ปัจจุบนั ) สญั ญาจาํ ไดส้ ่งมา (ปัจจุบนั ) เราเคยมรี ถสีน้ี ยห่ี อ้ น้ี ปรุงแต่ง (ปัจจุบนั ) โดนขโมยไปเมอ่ื เดือนที่แลว้ อารมณ์ (ปัจจุบนั ) หดหู่ ซึมเซา เศร้าหมอง ไปทนั ทีดว้ ยความเสียดาย แลว้ เริ่มคร่ําครวญ ราํ พึงรําพนั เสียอกเสียใจใหมอ่ ีกคร้ังในปัจจุบนั แฟนทิ้งไปหลายปี แลว้ คิดทีไร ทุกขท์ ุกที
111 นนั่ คือ ปรุงใหม่ทุกวนั ทุกขท์ ุกวนั แลว้ ไปโทษวา่ มนั ลมื อดีต ไมได้ ลบอดีตไม่ได้ หารู้ไม่วา่ ท่านทาํ ปัจจุบนั ใหม้ นั เป็นทุกขเ์ อง ดว้ ย ความไมร่ ู้ ไมเ่ ห็นความสาํ คญั ของปัจจุบนั ขณะ ที่ควรแต่จะอยกู่ บั ส่ิงท่ี กระทบ ณ เดี๋ยวน้ี ขณะน้ีเท่าน้นั แค่ปัจจุบนั กม็ ากมายเกินพอแลว้ เพราะจะมีสิ่งมากระทบ มาใหเ้ รียน มาใหว้ างอยา่ งมากมายแลว้ อยา่ ไปเยอื่ ใย อยา่ ไปร้ือฟ้ื น อยา่ ไปเอ้อื อาทรขอ้ ความเดิมๆ ความรู้สึกเดิมๆ ความจาํ เดิมๆมาเป็นเช้ือ เพ่อื ใหม้ นั ปรุงวนั น้ีใน ขอ้ ความเดิมๆ ที่เคยผา่ นมมาใหม่เม่อื หลายปี หลายเดือน หลายวนั หลายชวั่ โมง เหล่าน้นั เลย เพราะมนั ปรุงเด๋ียวน้ี จึงทุกขเ์ ด๋ียวน้ี ทกุ ข์ ขณะน้ี ทุกขว์ นั น้ี นี่คือทุกขป์ ัจจุบนั ท่ีหลายท่านไมร่ ู้ ยงั ไม่เขา้ ใจ ยงั ยดึ เกาะอยู่ ยงั ห่วงหาอาทรกนั อยู่ โดยแทบไม่รู้วา่ กาํ ลงั ทิ่มแทงตวั เองในทุกเวลา ทุกนาที ทกุ ขณะจิตนนั่ เอง และเป็นทุกขฟ์ รีเสียดว้ ยสิ ความจริงสิ่งท้งั หลายท่ีมนั ปรุงแต่งขณะใด มนั จบไปใน ขณะน้นั จบไปต้งั นานแลว้ มนั ผา่ นไปต้งั นานแลว้ มนั ดบั ไปต้งั นาน แลว้ แต่เพราะกลไกของขนั ธห์ า้ มนั นาํ มาปรุงแต่งใหมเ่ อง เมอื่ กระทบ ส่ิงน้นั สญั ญามนั ก็ปรุงใหม่ โดยใชร้ ากเดิม สงั ขารความคิดก็ปรุงใหม่ แต่ในขอ้ ความเดิม อารมณ์มนั ก็ตอ้ งปรุงใหม่ แต่ใหอ้ ารมณ์แบบเดิม แลว้ เราก็ไปอุปาทานว่ามนั เป็นของเดิม เป็นของที่เคยเกิดข้ึนแลว้ มผี ล กบั เราเหมอื นเดิม ถา้ ทุกขก์ ็เหมือนทุกขเ์ ช่นเดิม ถา้ สุขกเ็ หมอื นสุข อยา่ งเดิมนนั่ เอง แต่ความเป็นจริงมนั ปรุงใหมท่ ้งั หมด ในวินาทีน้ี ใน
112 ปัจจุบนั ขณะน้ี ท้งั ในความคิดความรู้สึก ความจาํ (ความจาํ มนั กส็ ่ง ข้ึนมาในปัจจุบนั ไม่ใช่ส่งมาต้งั นานแลว้ เพ่งิ นึกได้ ทุกอยา่ งทาํ พร้อม กนั ในปัจจุบนั ขณะ) มนั คือปัจจุบนั ท้งั หมดไมว่ า่ จะคดิ เรื่องในอดีต เน้ือเร่ือง ขอ้ ความ เป็นขอ้ ความที่เคยเจอมาแลว้ แต่ตอนปรุงแต่ง ตอนคิด กลบั คิดในปัจจุบนั น้ี ในตอนน้ี ในเดี๋ยวน้ี แลว้ พอผา่ นไปมนั กห็ ายไป ปรุง ใหมอ่ ีกต่อเนื่องกนั ไปอยา่ งน้ี แต่เพราะมนั ต่อเนื่องกนั เป็นสายยาว เป็นกระแสที่ไหลไป อยา่ งต่อเนื่อง มนั จึงดูเหมอื นเป็นเรื่องเดียวกนั มนั เหมือนทุกขต์ ่อเนื่อง มนั เหมือนสุขต่อเนื่อง แต่ไมใ่ ช่เลย วินาทีน้ีมีความสุข อกี วินาทีก็สุข อีกวินาทีสุขนอ้ ยลง อกี วินาทีสุขนอ้ ยลงอีก มนั ลดลงเรื่อยๆ จนสุดทา้ ย มนั จะสุขเหมือนคร้ังแรกไมไ่ ด้ มนั ไมส่ ุขเท่าเดิมแลว้ เพราะการปรุง ใหมม่ นั สุขนอ้ ยลงนน่ั เอง ดงั น้นั ที่กล่าววา่ อนิจจงั คือความไมเ่ ท่ียง มนั เกิดข้ึน มนั ต้งั อยู่ แลว้ มนั ก็ดบั ไป หมนุ เวียนไปตลอดเวลา มนั เปล่ียนแปลง ตลอดเวลา มนั เกิดดบั ตลอดเวลา ทุกขณะจิต กระแสมนั จะไหลไป ตลอดเวลา ไม่เคยยอ้ นเอาของเก่ามาใชใ้ หมไ่ ดเ้ ลย ไม่เคยเอาของเก่ามา คิดใหมไ่ ดเ้ ลย ยกเวน้ ปรุงใหมใ่ นปัจจุบนั แต่ขอ้ ความเหมือนกนั ประโยคเดียวกนั กบั เมื่อวานนนั่ เอง ดงั น้นั คิดถงึ อดีต กค็ ิดอยใู่ นหวั ของเราในปัจจุบนั น้ี แต่เป็น ขอ้ ความหรือประโยคท่ีเคยผา่ นมาแลว้ ตามสญั ญาท่ีบนั ทึกไว้ คิดถงึ
113 อนาคตกค็ ิดในปัจจุบนั น้ีเช่นกนั แต่ขอ้ ความหรือส่ิงที่ปรุงแต่งน้นั อาจ เป็นประโยคท่ีมากจากจินตนาการ การคาดคะเนเป็นส่วนใหญ่ เพราะ ยงั ไมม่ ีการบนั ทกึ ไวข้ องสญั ญานนั่ เอง ทีน้ีเราเลยมาดกั รอตรงปัจจุบนั นน่ั แหละดีที่สุด ถกู สุด และ ตรงสุดแลว้ อ๋อ.. ตอนน้ี ปัจจุบนั น้ี มนั กาํ ลงั คิดถงึ ขอ้ ความของอดีต อ๋อ.. ตอนน้ี ปัจจุบนั น้ี มนั คาดคะเนในอนาคต มนั ปรุงแต่งกนั ใหญ่ใน สไตลจ์ ินตนาการแลว้ มนั กส็ ุขในปัจจุบนั ตามจนิ ตนาการน้นั ถา้ มสี ติรู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ กจ็ ะเห็นวา่ แต่ละวนั มนั คิดไป ขา้ งหนา้ ยอ้ นมาขา้ งหลงั คิดเรื่องเม่ือวาน คิดไปต่างๆนานา ดู เหมอื นว่าไม่ไดอ้ ยกู่ บั ปัจจุบนั เลย แต่นนั่ แหละ คุณกาํ ลงั อยกู่ บั ปัจจุบนั ที่มนั กาํ ลงั ฟ้ ุงซ่านไปใน เร่ืองท่ีผา่ นมา ในเร่ืองที่ยงั ไมเ่ กิดข้ึน ในเร่ืองหลากหลายท่ีประดงั เขา้ มาในความคดิ ความรู้สึกท่กี าํ ลงั ปรุง ณ ปัจจุบนั น้ี ดงั น้นั การวิปัสสนา จึงเป็นเร่ืองจาํ เป็นท่ีตอ้ งปฏิบตั ิใหร้ ู้แจง้ ใหเ้ ห็นจริง ในปัจจุบนั ประกอบกบั ตอ้ งมสี ติอยา่ งยง่ิ มสี ติรู้เท่าทนั การปรุงแต่งของขนั ธห์ า้ ตลอดเวลา เพ่ือที่จะรู้เท่าทนั วา่ มนั กาํ ลงั ทาํ อะไรในปัจจุบนั ขณะ หากมีสติรู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ว่ากาํ ลงั ทาํ อะไร กาํ ลงั คิดอะไร กาํ ลงั มอี ารมณ์อยา่ งไรในปัจจุบนั ขณะ จะไดต้ ดั ตอนการปรุง แต่ง ท่ีจะนาํ พาไปหาขอ้ ความอดีต จินตนาการอนาคต แลว้ หลอกให้ เรามาทุกขใ์ นปัจจุบนั
114 หากคิดถงึ อดีต คิดถึงอนาคตในขณะปัจจุบนั แลว้ มีสติรู้เท่า ทนั ก็จะไมม่ กี ารปรุงแต่งใหเ้ กิดทุกข์ กส็ ามารถทาํ ได้ แตใ่ หร้ ู้เท่าทนั วา่ ขนั ธห์ า้ มนั กาํ ลงั คดิ เร่ืองเตรียมงานของพรุ่งน้ี คิดถงึ การนดั หมาย ในวนั พรุ่งน้ี คิดถงึ เพ่ือนเก่าที่มาหาเม่ือวาน แต่มนั คิดในปัจจุบนั น้ี มนั กจ็ ะไมไ่ ปยดึ ไปคาดหวงั ไปเสียดาย ในเร่ืองท้งั หลายท่ี ผา่ นมา หรือยงั ไม่มาถงึ มนั จะคิดในปัจจุบนั แลว้ วางในปัจจุบนั รอ เมอ่ื ถงึ ปัจจุบนั ท่ีจะมาถงึ ตอนไหน กค็ ่อยจดั การตามความเหมาะสมใน ปัจจุบนั ขณะในตอนน้นั มนั จึงไมม่ ี อดีต ปัจจุบนั อนาคต มีแต่ ปัจจุบนั ปัจจุบนั ปัจจุบนั ถา้ อยกู่ บั ปัจจุบนั รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ในปัจจุบนั ก็จะเห็นอดีต เห็นอนาคตในปัจจุบนั น้ีแน่นอน ก็พอจะเปิ ดมมุ มอง ใหเ้ ห็นความเป็น ปัจจุบนั กนั ไดม้ ากข้นึ เพราะปัจจุบนั สาํ คญั ท่ีสุด อดีต อนาคต ไม่มีสาํ คญั เพราะมนั ไมไ่ ดม้ ีจริง ถา้ เห็นได้ ปล่อยวางได้ ก็ดบั ทกุ ขไ์ ดใ้ นปัจจุบนั ขอใหท้ ุกท่าน มีสติ รู้เท่าทนั ปัจจุบนั ขณะ ของขนั ธห์ า้ ของ ท่าน ในทุกๆขนั ธด์ ว้ ยเทอญ
115 ความลบั ของตวั ตน เมื่อไปคิดถึงอดีต และอนาคต จะไมม่ ีวนั รู้สึกต่อปัจจุบนั เม่ือรู้สึกต่อปัจจุบนั จะไมม่ ีความรู้สึกเป็น “ตวั ตน” จากหนงั สือธรรมะ ฝนประปราย “คือไม่มตี วั ตน ต้งั แต่ผคู้ ิด ผทู้ าํ และผรู้ ับผล (บุญ) ท่ีทาํ จึง เป็นการกระทาํ ท่ีว่างจากผกู้ ระทาํ นนั่ เอง จึงไม่ตอ้ งไปเวยี นเกิด เพ่อื ไป รับบุญท่ีทาํ ในคร้ังน้ีอกี ” โดยธรรมชาติแลว้ ทกุ สิ่งทุกอยา่ งยอ่ มไม่ไดเ้ ป็นตวั ใครของ ใคร เป็นธรรมชาติลว้ นๆที่มาประชุมรวมกนั แลว้ เกิดการอุปาทานใน ขนั ธห์ า้ วา่ เป็นตวั เราของเรา ดงั น้นั ผทู้ ่ีปฏิบตั ิเพอ่ื การละวางอตั ตาตวั ตน ยอ่ มตอ้ งทาํ ความ เขา้ ใจในขอ้ ความน้ีใหถ้ กู ตอ้ ง ใหเ้ ห็นจริง และเพยี รเพ่อื ที่จะปฏบิ ตั ิให้ เห็นกลไกการปรุงแต่งของขนั ธห์ า้ ท่ีมนั ปรุงแต่งเองตามเหตุปัจจยั ท่ีมากระทบ แลว้ ไมใ่ หอ้ ปุ าทานไปเกาะ รับว่าเป็นตวั เราของเรา ผปู้ ฏบิ ตั ิท้งั หลาย พงึ ระลึกอยเู่ สมอวา่ ร่างกายน้ี ความคิด ความรู้สึก อารมณ์เหลา่ น้ี ที่เกิดข้ึนภายในขนั ธห์ า้ น้ี เป็นการปรุงแต่ง ของธรรมชาติ ไม่ไดม้ ตี วั ใครของใคร จึงไม่สามารถบงั คบั บญั ชาให้ มนั เป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ีไดต้ ามตอ้ งการ
116 แมภ้ ิกษุผปู้ ฏบิ ตั ิดีปฏบิ ตั ิชอบ ท่านยงั ตอ้ งออกธุดงค์ ปลีก วิเวก เพื่อที่จะไปพจิ ารณาขนั ธห์ า้ ตามความเป็นจริง ใหเ้ ห็นการปรุง แต่ง ใหเ้ ห็นการเกิดดบั ของขนั ธห์ า้ ใหเ้ ห็นจริงวา่ ขนั ธห์ า้ ท้งั หลาย ไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ตน ไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ใคร ความคิดท้งั หลายกส็ กั แต่ว่าคิด อารมณ์ท้งั หลายกส็ กั แตว่ า่ อารมณ์ ความคดิ ความรู้สึก ก็เพยี รเพื่อเห็น การเกดิ ดบั เห็นความเป็นเช่นน้นั เองของทกุ สรรพสิ่งท่ีรวมกนั ข้ึนมา จนเห็นเหมือนวา่ มีตวั คน ตวั สตั ว์ ตวั เรา ตวั เขา นน่ั เอง นี่คือการปฏิบตั ิท่ีเป็นแก่น ของพระธรรมคาํ สงั่ สอน ดงั น้นั เรากต็ อ้ งเพียรเพ่อื ที่จะพจิ ารณาเนืองๆว่า ความคดิ น้ี สกั แต่ว่าคิด จะคิดอะไร จะฟ้ งุ ซ่านมากนอ้ ยแค่ไหน กอ็ ยา่ ตาม ความคดิ ไป ใหม้ ีสติเห็นความคิดเหลา่ น้นั ว่ามนั ไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ตนของ ตน สกั แต่วา่ คิดไปตามเหตุปัจจยั ที่มากระทบ อยา่ ไปใหค้ วามสาํ คญั มากนกั เพราะไม่อยา่ งน้นั จะพาแต่คิดไปหาเหตุแห่งทุกขอ์ ยเู่ ร่ือย การเห็นน้ีสกั แต่ว่าเห็น เพราะอายตนะมนั ทาํ หนา้ ที่รับภาพ รับเสียง รับส่ิงต่างๆเขา้ มาเพื่อใหข้ นั ธห์ า้ ขนั ธอ์ ืน่ ๆรับช่วงต่อ ทาํ หนา้ ท่ีปรุงแต่งต่อไป ทางธรรมะจึงบอกว่า เห็นสกั แต่ว่าเห็น อยา่ ได้ นาํ มนั มาปรุงแต่ง เพราะมนั ไม่ไดม้ คี วามสาํ คญั พอท่ีจะทาํ ใหเ้ ราตอ้ ง ไปสุขทุกขก์ บั มนั
117 ความจาํ น้ีสกั แต่ว่าจาํ ได้ กม็ นั เคยบนั ทกึ ไว้ มนั กส็ ่งออกมา แบบน้ีเป็นเร่ืองธรรมดา มนั ไมใ่ ช่วา่ เราจาํ เก่ง เราจาํ แมน่ เราดีกว่าเขา เพราะจาํ ไดด้ กี ว่าเขา พออายมุ าก กล็ มื เลอื นพอกนั เพราะมนั ไม่ใช่ของ ใคร มนั กเ็ สื่อมถอยไปตามกลไกธรรมชาติ หรือแมว้ า่ ร่างกาย การเปลีย่ นแปลงกแ็ ปรปรวนไปเร่ือย เซลล์ เปลีย่ นแปลง แปรปรวน ถา้ จะไปยดึ เกาะส่ิงหน่ึงสิ่งใด สิ่งน้นั ยอ่ มเป็น ทุกขไ์ ดต้ ลอดเวลา ดงั น้นั การเปลย่ี นแปลง การไหลไปของกระแสธรรมชาติ มนั ไหลไปตลอดเวลา ไม่ไดเ้ ป็นของใครแมแ้ ต่นอ้ ยนิด เพยี งแต่ถา้ ใคร อุปาทานว่าส่ิงน้ี ความคิดน้ี ความจาํ น้ี อารมณ์น้ีเป็นของเรา เขากต็ อ้ ง รับสิ่งที่ขนั ธห์ า้ มนั ปรุงหลากหลายอารมณ์เหล่าน้นั ว่าเป็นของเขาไป ดว้ ย เท่ากบั ไปป้ันอุปาทาน ไปป้ันสิ่งท่ีเป็นความวา่ งใหม้ ีตวั ตนข้นึ มา แลว้ มนั ก็เป็นกลไกธรรมชาติ เมือ่ มีตวั ตน มตี วั เราผกู้ ระทาํ ก็ ยอ่ มมีการบนั ทกึ ผลของกรรมน้นั ๆไวใ้ หต้ วั ตนของผกู้ ระทาํ จึงตอ้ งมี การรับผลของการกระทาํ น้นั ๆที่บนั ทึกไว้ เพื่อชดใชท้ ้งั กรรมดี กรรม ชวั่ จึงยงั ตอ้ งเวียนเกิดเวยี นตาย ใชบ้ ุญใชก้ รรมกนั ต่อไปอยา่ งไม่ มีที่ส้ินสุด นน่ั คือ เมอ่ื มีตวั ตนผกู้ ระทาํ จึงมตี วั ตนของผรู้ ับกรรม กม็ กี าร บนั ทึกวิบากต่างๆเก็บไวใ้ หต้ วั ตนของผกู้ ระทาํ นน่ั เอง
118 ตอ้ งชดใชก้ นั ไปไม่มีที่สิ้นสุด ตอ้ งเวียนเกิดเวยี นตายเพอื่ มา ชดใชว้ ิบากเหล่าน้นั ตอ้ งมาเกิดเป็นเศรษฐี เป็นผใู้ จบุญ เพราะสร้างวิบากดีไวเ้ ยอะ แมจ้ ะไม่อยากเกิด อยากไปนิพพาน แต่มตี วั ผทู้ าํ บุญกต็ อ้ งมารับบุญ ไปนิพพานยงั ไม่ได้ เพราะยงั มตี วั ตนผทู้ าํ บุญอยู่ กฎแห่งกรรม กต็ อ้ งเก็บบุญไวใ้ หต้ วั ผทู้ าํ กรรมดีน้นั มารับไป ตอ้ งเกิดมาเป็นยาจก มาเป็นผรู้ ้าย เพราะสร้างวบิ ากไม่ดไี ว้ เยอะ ตอ้ งมาชดใชเ้ วียนไปไมม่ ที ่ีส้ินสุด เพราะยงั มตี วั ตนผรู้ ับวบิ ากไม่ ดีอยู่ ถา้ ยงั ไมเ่ ห็นว่า ทุกอยา่ งลว้ นเป็นของธรรมชาติ ไม่ไดม้ ตี วั ตน ไม่ไดม้ ตี วั ใคร ของใคร ที่ควรจะตอ้ งไปเกาะ ไปยดึ ไปบงั คบั บญั ชา แลว้ ถอยออกมาดูการปรุงแต่งของแต่ละขนั ธด์ ว้ ยความเขา้ ใจ จะทาํ ส่ิง ใดกม็ ีสติรู้เห็นการกระทาํ น้นั ๆว่าเป็นการสมควรเพียงใด เหมาะสม เพยี งใด แลว้ ทาํ ไปตามเหตุปัจจยั ทคี่ วรกระทาํ แลว้ ไม่ไปยดึ เอา ธรรมชาติขณะทีก่ ระทาํ น้นั วา่ เป็นเราผกู้ ระทาํ เราผชู้ ่วยเหลือ เราผใู้ ห้ เราผไู้ ม่ให้ เราผทู้ าํ อยา่ งน้ี อยา่ งน้นั
119 ไม่รับท้งั บุญ และบาป ไมม่ ีท้งั เขาและเรา ไมไ่ ดม้ ใี ครใหใ้ คร มแี ต่การช่วยเหลือกนั ไปของธรรมชาตกิ บั ธรรมชาติเท่าน้นั มนั จึง ไม่ไดม้ ีใครทุกข์ มีใครสุข เพราะอยเู่ หนือขนั ธห์ า้ อยเู่ หนืออารมณ์ปรุง แต่งสุขทุกขท์ ้งั หลาย มองเห็นวา่ มนั เป็นสกั แต่วา่ สุข ทุกขใ์ นอารมณ์ ในความรู้สึก เท่าน้นั ถา้ ยงั เกาะเก่ียว มตี วั ผทู้ าํ ผใู้ ห้ ผรู้ ับ ผทู้ าํ ดี ผทู้ าํ ชวั่ อยลู่ ะ่ ก็ ยงั ตอ้ งเวียนอยใู่ นวฏั สงสาร ออกไมไ่ ดแ้ น่นอน เหมือนเช่นพระอรหนั ต์ พระองคุลิมาล ถา้ ท่านยงั ไมบ่ รรลุ ธรรม ที่ไดร้ ับฟังธรรมจากพระพุทธเจา้ แลว้ น้นั ท่านตอ้ งชดใชก้ รรม อีกเท่าไร กว่าที่ท่านจะใชไ้ ดห้ มดในการฆา่ คนจาํ นวนมหาศาล เหลา่ น้นั แต่เพราะท่านไดม้ ารู้ความจริงท่ีเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นส่ิง ท่ีคนทวั่ ไปรู้ไดย้ าก ท่านเห็นว่าสิ่งท้งั หลายท้งั ปวงไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ตน ไม่ไดเ้ ป็นตวั ใครของใคร เป็นเพยี งธรรมชาติ แต่ดว้ ยความไมร่ ู้จึงทาํ ส่ิงท่ีผดิ จากหลกั ธรรมชาติ ไปยดึ มนั่ ถือมน่ั ในอตั ตาตวั ตน จึงตอ้ งมีตวั เรา ทาํ ร้ายตวั เรา จึงตอ้ งรับกรรม วิบากกรรมมาเป็นของเรา
120 แต่เมอ่ื รู้เห็น รู้ความจริง ท่านจึงออกจากตวั ตน ออกจาก อุปาทานขนั ธห์ า้ ท่านจึงอยเู่ หนือสุข เหนือทุกข์ เหนือกรรม วิบาก กรรม คือบรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ ไมต่ อ้ งเกิดมาเพอ่ื ใชก้ รรมอกี แต่ขนั ธห์ า้ ที่เคยยดึ เคยคิดว่าเป็นตวั ตน มนั ก็ยงั ตอ้ งรับกรรม ของมนั กรรมของขนั ธห์ า้ ถกู ขวา้ งปาทุบตี ถกู ทาํ ร้ายดว้ ยความอาฆาต จากชาวบา้ น พระองคุลิมาลท่านกไ็ มท่ ุกข์ กข็ นั ธห์ า้ ชดใชไ้ ป กท็ ุบตี ไป ขนั ธห์ า้ กใ็ ชก้ รรมไป เม่ือส้ินขนั ธห์ า้ กแ็ ยกยา้ ยจากกนั ไป ไมต่ อ้ ง กลบั มารวมกนั เป็นขนั ธห์ า้ เพือ่ เกิดใหม่อกี นน่ั เอง จะเห็นไดว้ ่า จุดแก่นจริงๆกค็ ือ ใหเ้ ห็นความเป็นจริงของขนั ธ์ หา้ ใหเ้ ห็นความเป็นเช่นน้นั เองของธรรมชาติ ว่ามนั ไม่ไดเ้ ป็นตวั ตน ไมไ่ ดม้ ีตวั ใคร เป็นเพียงอปุ าทานขนั ธห์ า้ เท่าน้นั ท่ีมนั ยดึ เหน่ียวเอาไว้ ดงั น้นั การหลดุ พน้ จึงหลุดพน้ จากอปุ าทานขนั ธห์ า้ ที่มนั ปรุง แต่งแลว้ หลอกล่อใหย้ ดึ มนั่ ถอื มน่ั เท่าน้นั ถา้ เห็นตามจริง และมีสติอยู่ ในปัจจุบนั ขณะ ก็จะเห็นว่ามนั ไม่ไดเ้ ป็นตวั ตนของตนจริงๆ แต่ถึงพดู ถงึ บอกยงั ไง มนั กไ็ ม่เห็น เพราะมนั เขา้ ใจไมไ่ ด้ ยงั ไปไมถ่ ึง ยงั วนอยใู่ นขนั ธห์ า้ กนั อยู่ เกาะติดอยใู่ นขนั ธห์ า้ ไมเ่ คยคิดท่ี จะแยกออกมาดมู นั ทาํ งานกนั เองเลยสกั คร้ัง ไม่เคยท่ีจะฉุกใจสกั นิดว่า มนั ไมไ่ ดม้ ีใคร ไม่ไดม้ ตี วั ตนของตนใดๆอยใู่ นขนั ธห์ า้ เลย การจะอยเู่ หนือขนั ธห์ า้ มนั จึงเป็นเรื่องท่ีเกินวิสยั จะคิดได้ แลว้ จะไปโทษใคร ไปโทษอะไร เพราะเราไม่เขา้ ใจเอง เราจึงยงั สุข ยงั ทุกขก์ นั อยเู่ อง
121 ถงึ เวลาหรือยงั ท่ีจะมคี วามเห็นใหถ้ กู ตอ้ ง ใหเ้ ขา้ ถงึ แก่นของ ธรรมชาติ เขา้ ถงึ แก่นของธรรม เพือ่ ออกจากสงั สารวฏั อนั ยาวนานกนั เสียที...
122 ธรรมะเพอ่ื การละวางอตั ตาตัวตน ชุดที่ 3 บรรยายโดย อาจารย์สุดใจ ช่ืนสานวน รู้จกั ขนั ธ์ห้าตามความเป็ นจริง ในหลายวนั ท่ีผา่ นมา มีเสียงโทรศพั ทด์ งั แทบจะไมข่ าดสาย มี การสนทนากบั หลายท่าน หลายบุคคล เป็นการสอบถามขอ้ มลู เกี่ยวกบั การปลอ่ ยวาง วธิ ีการดูขนั ธห์ า้ อบุ ายธรรมที่จะลด ละ อตั ตา ตวั ตน จากการยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในขนั ธห์ า้ เสียเป็นส่วนใหญ่ มกี ารอธิบาย มกี ารขยายความ มกี ารตอบคาํ ถามอยา่ งต่อเน่ือง และก็เป็นที่น่ายนิ ดีท่ีหลายท่านมีความเขา้ ใจ และมกี ารปลอ่ ยวางมาก ข้ึน ความทุกขจ์ ึงนอ้ ยลงอยา่ งเห็นไดช้ ดั ในบางส่วน หลายบุคคลที่ไดเ้ ขา้ มาศกึ ษาใหม่ในช่วงหลงั ๆ เพราะมาสนใจ เขา้ มาอ่านใหม่ ก็มีจาํ นวนมาก ระบบ ไดส้ อบถามความเขา้ ใจเป็นพ้ืนฐานของแต่ละท่านก่อน ก่อนท่ีจะช้ีแนะวิธีการตามจริตของแต่ละคนให้ และมีหลายท่านที่ ระบบใหก้ ลบั ไปอา่ นขอ้ ความการรู้จกั กลไกการทาํ งานของขนั ธห์ า้ ใน พ้นื ฐานก่อน ซ่ึงเป็นการอธิบายใหเ้ ห็นความเป็นเช่นน้นั เองของขนั ธ์ หา้ ในมุมมองของธรรมชาติ เพือ่ ทาํ ความเขา้ ใจก่อน เม่อื อา่ นแลว้ มีความเขา้ ใจ มีการอยากจะใหอ้ ธิบายเพ่ิมเติม ระบบก็จะอธิบายในวิธีการปลอ่ ยวางใหม้ ากข้ึนไปอีกได้ คือเพม่ิ เติม
123 จากพ้ืนฐานความเขา้ ใจเดิมต่อข้ึนไปนน่ั เอง หลายๆท่านตอ้ งไปคน้ หาขอ้ ความเหล่าน้ีมาอา่ น มาศกึ ษา และ หลายท่านมคี วามเขา้ ใจในกลไกของธรรมชาติมากข้ึน จึงไดม้ กี าร อธิบายเพ่มิ ความเขา้ ใจเขา้ ไปอกี และสามารถปฏบิ ตั ิได้ ละวางได้ เป็น ความเป็นเช่นน้นั เองของขนั ธห์ า้ ไดอ้ ยา่ งเร็วเลยทีเดียว และความทกุ ข์ ที่เคยเกาะกินเพราะความรู้ไม่เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ก็พลอยกินไดย้ ากไปดว้ ย วนั น้ี พีส่ ุดใจ กจ็ ะขอนาํ ขอ้ ความพ้นื ฐานที่จาํ เป็นมาใหอ้ ่านกนั สกั นิด เพราะหลายท่านสามารถเขา้ ใจ ในความหมาย ในคาํ พดู ใน การอธิบายแบบง่ายๆน้ีได้ โดยไมม่ ีความซบั ซอ้ นใหต้ อ้ งไปตีความ กนั อีก บางท่านที่ยงั ไมเ่ คยไดอ้ ่านมาก่อน กล็ องมาอา่ นเพอ่ื ทาํ ความ เขา้ ใจก่อน ท่านอาจจะไดแ้ นวทางการปลอ่ ยวาง จากขอ้ ความเหล่าน้ีก็ เป็ นได้ ขออนุโมทนากบั ทุกท่านค่ะ โลกนี.้ ..ก็คอื ละครโรงใหญ่ โลกน้ี...กค็ ือละครโรงใหญ่ ในกลไกของธรรมชาติ มกี รรม วบิ ากกรรม เป็นผคู้ ดั เลือก ใหแ้ ต่ละท่านมาเลน่ ตามบทน้นั ๆอยา่ ง เหมาะสม ถา้ เลอื กได้ ก็คงมแี ต่คนอยากเกิดมาในกองเงินกองทอง เกิด มาสวย รวยทรัพย์ เกิดมาสุขสบายกนั ท้งั น้นั ไม่มใี ครอยากเลอื กเกิด
124 มาลาํ บาก เกิดมายากจน เกิดมาพกิ ลพกิ าร แต่.... เพราะไมม่ ีใครเลือกเกิดได.้ ...ตามอาํ เภอใจตนเอง ดว้ ย วบิ ากกรรมต่าง ๆ ท่ีทาํ ไปดว้ ยความไมร่ ู้ เป็นผจู้ ดั สรรใหม้ าเลน่ บท น้นั ๆ ถา้ ยงั ออกจากกรรม วิบากกรรมของแต่ละคนไมไ่ ด้ ก็ยงั คงตอ้ ง มาเลน่ บทบาทต่าง ๆ มากมาย ท้งั บทพอ่ แม่ ลกู ผชู้ าย ผหู้ ญิง พ่ี ป้ า นา้ อา คนรวย คนจน เจา้ นาย ลกู นอ้ ง สวมหวั โขนดว้ ย ยศฐาบรรดาศกั ด์ิ และเล่นกนั ต่อไป หลายภพ หลายชาติ จนนบั ไม่ ถว้ น ดว้ ยการวนเวยี นมาเกดิ มาแก่ มาเจ็บ มาตาย ในโรงละครน้ี แมว้ นั น้ี จะเลอื กเกิดไม่ได้ แต่เลือกท่ีจะ....\"ไมเ่ กิด\"...ได้ ..... ถา้ เขา้ ถงึ กลไกของธรรมชาติ คือ เลอื กได.้ ... ที่จะไม่เกดิ อกี เลอื กที่จะไม่มาเวยี นวา่ ยตายเกิด ในวฏั ฏสงสารอีก พระพทุ ธองค์ ท่านพบหนทางของการหลดุ พน้ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านเขา้ ถึงกลไกของธรรมชาติเหล่าน้นั คน้ พบทางที่ไม่ตอ้ ง มาเวียนวา่ ยตายเกิดอกี แลว้ จึงช้ีทาง บอกทางใหก้ บั ผทู้ ่ีมดื บอดดว้ ย อวิชชา ไดร้ ับรู้ และดาํ เนินตามท่านเพอ่ื หลุดพน้ จากสงั สารวฏั อนั ยาวนาน พระอรหนั ตสาวกท้งั หลาย ดาํ เนินตามท่ีพระพทุ ธองคท์ รงสง่ั
125 สอน ช้ีทาง และหลดุ พน้ จากอวชิ ชา พน้ จากอปุ าทานท้งั หลาย ไม่ตอ้ ง มาเวียนเกิดเวยี นตายเช่นกนั แมผ้ ทู้ ่ีเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ดาํ เนินตามคาํ สงั่ สอนของ พระพทุ ธองค์ มกี ารไตร่ตรองในธรรมน้นั ๆ ไม่วา่ จะเป็นอบุ าสก อบุ าสิกา หรือบุคคลใดๆกต็ าม ก็สามารถเขา้ ถงึ กฏสจั ธรรมน้ีได้ หากมี ปัญญาเห็นธรรม หรือเห็นจริงในธรรมชาติเหลา่ น้นั และหลดุ พน้ จาก การเวียนวา่ ยตายเกิดไดเ้ ช่นกนั ดงั น้นั จึงตอ้ งพุง่ เป้ าไปท่ีขนั ธห์ า้ ของตนเองเป็นหลกั เพอื่ เรียนรู้ใหเ้ ช่ียวชาญในการดบั ทุกขใ์ นขนั ธห์ า้ หมนั่ พจิ ารณาใหเ้ ห็น ความเป็นเช่นน้นั เองของทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ที่มนั เกดิ ข้ึน ต้งั อยู่ แลว้ ก็ดบั ไปเป็นธรรมดา มนั ไมเ่ ที่ยง มนั เป็นทุกข์ เพราะมนั ทนอยอู่ ยา่ งเดิมไมไ่ ด้ มนั ตอ้ งแปรปรวนเปล่ียนแปลงตลอดเวลา และมนั กไ็ ม่ไดเ้ ป็นตวั ใครของ ใครท้งั ส้ิน มนั จึงบงั คบั บญั ชาไม่ได้ เป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งตามเหตุ ปัจจยั นนั่ เอง หากเชี่ยวชาญในการดบั ทุกขใ์ นขนั ธห์ า้ และออกจากอุปาทาน ทุกขเ์ หลา่ น้นั ได้ ถือว่าท่านเช่ียวชาญทุกสาขา
126 ทางโลก ผทู้ ่ีเก่งทางเคมี ท่านกค็ ือผเู้ ช่ียวชาญทางเคมี ถา้ ท่านเก่งทางคอมพิวเตอร์ ท่านกค็ ือผเู้ ช่ียวชาญทาง คอมพิวเตอร์ ถา้ ท่านเก่งทางการแพทย์ ท่านก็คือผเู้ ช่ียวชาญทางแพทย์ ถา้ ท่านเก่งทางวิศวกรรมสาขาใดๆ ท่านกค็ ือผเู้ ช่ียวชาญใน สาขาน้นั ๆ แต่ผเู้ ช่ียวชาญในสาขาต่างๆ กย็ งั คงทุกขอ์ ยู่ ยงั คงด้นิ รนเพื่อให้ ออกจากทุกขอ์ ยู่ นนั่ แสดงว่า ท่านเช่ียวชาญสาขาไหนไมส่ าํ คญั แต่ ท่านก็ยงั คงทุกขอ์ ยู่ ยงั คงหาทางดบั ทุกขอ์ ยู่ แต่ถา้ ท่านเชี่ยวชาญในการดบั ทุกข์ ในการละจากอปุ าทานขนั ธ์ หา้ ตน้ ตอของความทุกข์ และท่านสามารถดบั ทุกขไ์ ดใ้ นขนั ธห์ า้ ของ ท่านเอง นนั่ หมายถงึ ว่า ท่านเชี่ยวชาญทุกสาขา เพราะผเู้ ช่ียวชาญในสาขาต่างๆท้งั หลาย สุดทา้ ยกต็ อ้ งมาออก ตรงทางเดียวกนั ก็คือหาทางดบั ทุกข์ เพื่อออกจากทุกข์ นน่ั เอง เพราะฉะน้นั อริยสจั 4 ท่ีพระพทุ ธองคท์ รงตรัสไว้ จงึ มงุ่ หมาย ในเรื่องของ ทุกข์ กบั การดบั ทกุ ข์ เท่าน้นั
127 1. ทุกข์ 2. สมุทยั คือเหตุใหท้ ุกขเ์ กดิ 3. นิโรธคือความดบั ทุกข์ 4. มรรค คือขอ้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ ึงความดบั ทุกข์ พระพทุ ธองคต์ รัสแต่เร่ืองของทุกข์ กบั การดบั ทุกข์ ไม่ไดต้ รัส เรื่องความสุขเลย ดงั น้นั ความสุขจริง ๆ จึงไม่มี มแี ต่ทุกขม์ าก กบั ทุกขน์ อ้ ย เท่าน้นั ทุกขน์ อ้ ย มองเห็นไดย้ าก จนมองไม่เห็นว่านี่คือความทุกข์ ตอ้ ง ใชร้ ะยะเวลานานหน่อยจึงเห็น เลยไปคดิ ว่า...เป็นความสุข เหมือนไปเที่ยว ไปร้องเพลงคาราโอเกะ เหมือนไปพกั ผอ่ น ไป สนุกสนาน ไปมคี วามสุข แต่พอเหน่ือย เดินเท่ียวเหนื่อย ร้อน อยากกลบั บา้ น จากความสุขเมื่อ ตอนไปเท่ียว กลบั เป็นความทุกข์ ดว้ ยความเบ่ือหน่าย อยากกลบั แลว้ คนอืน่ ยงั ไมก่ ลบั จึงตอ้ งทนรอดว้ ยความทกุ ขน์ นั่ เอง หรือร้องคาราโอเกะอยา่ งสนุกสนาน พอร้องไปสกั 3 ชวั่ โมง แลว้ เร่ิม เหนื่อย อยากหยดุ อยากพกั เร่ิมไมส่ นุกเหมือนเมื่อก่อนมาแลว้ แต่ถา้ เขาบอกว่า ใหร้ ้องเพลงอยอู่ ยา่ งน้นั หา้ มหยดุ ตลอดท้งั คืน หา้ มเลิก ก็ จะเริ่มทุกขแ์ ลว้ เพราะเหน่ือย เพราะง่วง อยากหยดุ อยากเลิก แลว้ เขา ไม่ใหเ้ ลกิ การร้องเพลงน้นั จะกลายเป็นร้องเพลงดว้ ยความทุกขท์ นั ที ร้องไปเบ่ือไป เมื่อไรจะใหห้ ยดุ เมือ่ ไรจะใหพ้ อ นนั่ คือ มคี วามทุกข์
128 แฝงอยแู่ ต่แรกแลว้ แต่มนั ยงั ไมเ่ ห็น แต่พอเร่ิมนาน ความทุกขเ์ ริ่ม ปรากฏ เร่ิมเห็น เริ่มทนไม่ได้ คราวน้ี กต็ อ้ งเร่ิมหาวิชาดบั ทุกขม์ าใช้ ทานอาหารอร่อย เหมือนมคี วามสุข แต่พออ่ิมแลว้ เขาบอกตอ้ ง ทานอีก ตอ้ งใหห้ มดจาน ตอ้ งใหห้ มดหมอ้ … เริ่มจะมคี วามทุกขแ์ ลว้ พอแลว้ ไม่ไหวแลว้ ความทุกขเ์ ริ่มปรากฏ ดงั น้นั ส่ิงที่เรียกว่าสุข มนั ไมม่ ี มแี ต่ทุกข์ กบั ปฏิบตั ิเพ่ือการดบั ทุกข์ น่ีเป็นเพียงรูปขนั ธท์ ่ีเก่ียวเน่ืองส่งไปในขนั ธห์ า้ นะ แลว้ อืน่ ๆอกี มากมายรอบตวั จึงมแี ต่ทุกข์ ทกุ ข์ ทุกข์ ทุกข์ ท่ีมอง ไมเ่ ห็น ดว้ ยไม่มีปัญญามองเห็นนนั่ เอง พระพทุ ธองคต์ รัสรู้ แลว้ เห็นทุกข์ เห็นโทษภยั ในวฏั ฏสงสาร แลว้ ท่านจึงตรัสสอน ว่ามีแต่ทุกข์ กบั การดบั ทุกขเ์ ท่าน้นั และมลู เหตุแห่งทุกข์ ก็คือความ ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในขนั ธห์ า้ อปุ าทานวา่ เป็นตวั ตน ของตน นน่ั แหละเป็น เหตุแห่งทุกข์ ดงั น้นั หากจะออกจากทกุ ข์ กต็ อ้ งเช่ียวชาญในการดบั ทุกข์ ท่ีเกิดข้ึนในขนั ธห์ า้ ของท่าน ถา้ ท่านเชี่ยวชาญในการดบั ทุกข์ ถอื วา่ ท่านเชี่ยวชาญทกุ สาขา ดงั บทความในหนงั สือธรรมะ ฝน ประปราย ที่กล่าววา่ เกดิ มาทาไม? ในโลกน้ีมวี ชิ าความรู้หลายสาขา
129 ใครรู้แจ่มแจง้ สาขาใด ก็เป็นผเู้ ชี่ยวชาญในสาขาน้นั แต่ผใู้ ดรู้แจ่มแจง้ เร่ืองความดบั ทุกข์ ผนู้ ้นั ช่ือว่า เช่ียวชาญทุกสาขา ข้อความด้งั เดมิ โดยคณุ MOUNTAIN ชีวิตมนุษยบ์ นดาวเคราะหโ์ ลก เปรียบเสมือนตวั ละครที่โลด แล่น เลน่ ไปตามบท มีโลกเป็นโรงละคร ผกู้ าํ กบั ทาํ บทไวแ้ ลว้ เพื่อใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณภ์ ยั พบิ ตั ิธรรมชาติท่ีจะเกดิ ข้ึนใน อนาคตอนั ใกลน้ ้ี ฉากละครถกู เปล่ียนแลว้ เปลี่ยนอกี เพอื่ ใหเ้ ห็น อนิจจงั ความไม่เท่ียง บทเรียนชีวติ แต่ละบท เป็นเพยี งบทละคร ที่ มนุษยต์ อ้ งเล่น ไปตามจริต ตามวิบากกรรม และผลสุดทา้ ย กไ็ มเ่ หลอื อะไรเลย แมแ้ ต่ตวั ตนท่ีเคยยดึ มน่ั ถอื มนั่ บทละครตอนอวสาน ของภาพยนตเ์ ร่ืองชีวติ มนุษยโ์ ลก ทุก ชีวติ รู้อยแู่ ก่ใจ สะสมกนั ไปทาํ ไม ชีวิตดาํ เนินอยเู่ พียงเพ่ือประคอง ชีวติ แลว้ ใชช้ ีวติ ดว้ ยความไม่ประมาท ระลึกรู้อยเู่ สมอวา่ ฉากสุดทา้ ยของชีวิตทุกชีวิตตอ้ งลม้ ตายกลายเป็นป๋ ุย มนั เป็นสจั ธรรม ท่ีแน่นอน ไมม่ ีวนั ตาย ทุกชาติศาสนา ตอ้ งพบเจอเหมอื นกนั หมด เมื่อ จิตออกจากร่าง(ธาตุสี่ ขนั ธห์ า้ ) ก็ยงั คงตอ้ งไปจบั ร่าง อ่ืนเพ่อื ยดึ เกาะ ไว้ รอวนั หลุดพน้ ไดจ้ ริงในท่ีสุด
130 จิตที่บางเบา โปร่ง โล่ง สบาย แมจ้ ะเกิดอีก ก็จะไดร้ บั สภาวะ จิตเช่นน้ี เพอื่ กระทาํ ใหถ้ งึ ซ่ึงความไม่เกิด คือไม่มสี ภาวะของการยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในอุปทานขนั ธห์ า้ ตรงกนั ขา้ มกบั จิต ท่ียงั หนกั เพราะการยดึ ไม่ยอมวาง ยอ่ มพา ใหจ้ มดิ่งลงสู่เบ้ืองล่าง ยง่ิ ไมม่ ีกศุ ลนาํ พา ทิศทางท่ีไปก็คืออบายภูมิ นน่ั เอง อบายภูมิ น่ากลวั ยง่ิ นกั ภยั พบิ ตั ิธรรมชาติ เป็นเศษเส้ียวของ ความน่ากลวั เท่าน้นั ขอเป็นกาํ ลงั ใจใหท้ ุกท่านเหมือนเช่นเคยครับ.. ...ขออนุโมทนากบั อาจารยเ์ มา้ ทอ์ ยา่ งยง่ิ ค่ะ กบั ขอ้ ความ เตือนสติขา้ งตน้ ที่ไดก้ ลา่ วมาน้ี บางขอ้ ความ หลายท่านอาจเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาก่อนแลว้ แต่ปฏบิ ตั ิอยา่ งไร กย็ งั เบาบางจางคลายจากการยดึ มน่ั ถือมนั่ ไมไ่ ดส้ กั ที เพราะไมร่ ู้จะเร่ิมยงั ไง เริ่มตรงไหน นนั่ เป็น เพราะว่า เรายงั หาปมที่มนั ลอ็ คไวไ้ มเ่ จอ เหมอื นเชือกเสน้ ใหญ่ แน่นหนา เริ่มตน้ โดยการนาํ ดา้ ยเสน้ เลก็ ๆหลายๆเสน้ มารวมกนั แลว้ หมนุ จนเป็นเกลียวอดั แน่นจนเป็น เสน้ เชือก ยดึ เกาะกนั เป็นเกลียว แลว้ ลอ็ คปมไว้ ถา้ อยากใหเ้ ชือกน้นั คลายออก หลุดออกเป็นเสน้ เช่นเดิม กต็ อ้ งหาปมที่ลอ็ คใหเ้ จอ เมือ่ หา เจอแลว้ คลายปมออก แลว้ หมนุ คลายยอ้ นกลบั ไปคนละดา้ นกบั ท่ีขนั เกลียวใหแ้ น่น เสน้ ดา้ ยเลก็ ๆ ก็จะค่อยๆคลายหลดุ ออกจากกนั คนื เป็น
131 เสน้ เสน้ เสน้ ที่ไมใ่ ช่เชือกอีกต่อไป เช่นกนั การยดึ กย็ อ่ มตอ้ งหนกั ยงิ่ ยดึ มาก สะสมมาก ความหนกั ยอ่ มเพิ่มข้ึนเรื่อยๆ เพราะอปุ าทานมนั ไมร่ ู้จกั หยดุ ไมร่ ู้จกั พอ มแี ต่ตอ้ ง สะสมใหม้ ากเขา้ ไว้ นี่คือกลไกของอุปาทาน การปล่อย การวาง กค็ ือการละอุปาทาน ยอ่ มเบาบาง จางคลาย จากความยดึ มนั่ ถือมนั่ ไปเร่ือยๆ เพราะสวนทางกบั การยดึ มนั่ ถือมนั่ การปลอ่ ยวาง มิใช่การปล่อยปละละเลย แต่เป็นการวางจาก ภายใน วางดว้ ยความเขา้ ใจ คือมคี วามเขา้ ใจในกลไกของธรรมชาติ ของกรรม วบิ ากกรรมของแต่ละคนท่ีรายรอบอยู่ ว่าเขาตอ้ งถกู ตอ้ ง ตามกรรม วิบากกรรมของเขาเหลา่ น้นั เช่นกนั แมแ้ ต่ส่ิงของท่ีมีอยู่ ใชอ้ ยู่ กย็ งั คงใชไ้ ดเ้ หมือนเดิม มอี ยู่ เหมอื นเดิม แต่อยกู่ นั ดว้ ยความเขา้ ใจ ในส่ิงท่ีมนั เป็นอยู่ บางอนั แตก บางอนั หกั บางอนั หาย ก็ไมไ่ ดไ้ ปฟมู ฟายดว้ ยความหวงแหนเช่นเคย อปุ าทานขนั ธห์ า้ มนั กม็ ปี มของมนั ท่ีถกู ซ่อนอยู่ เม่ือหาเจอ ก็ ยอ่ มคลายจากความยดึ มน่ั ถือมนั่ ได้ หากใครหาเจอไดไ้ ว กเ็ บาบางจาง คลายจากทกุ ขไ์ ดอ้ ยา่ งรวดเร็ว กเ็ พราะรู้เท่าทนั ...อปุ าทาน...นน่ั เอง
132 “กฎแห่งกรรม” ไม่เคยลาํ เอียง.....ใครทาํ ใครได้ คือ ใครทาํ อยา่ งใด กจ็ ะไดอ้ ยา่ ง น้นั เพราะไม่ว่าใคร...คิดอยา่ งไร ก็จะไดร้ ับผลน้นั ทนั ทตี าม ความคดิ น้นั ๆ ทางโลก จึงมีการแก่งแยง่ ชิงดีชิงเด่น อาฆาตพยาบาทซ่ึงกนั และกนั โลกจึงมแี ต่ความรุมร้อนดว้ ยเพลิงโทสะ แต่ในทางธรรม....การใหอ้ ภยั การใหค้ วามเมตตาซ่ึงกนั และ กนั เป็นส่ิงท่ีควรกระทาํ อยา่ งยง่ิ เพราะจะทาํ ใหบ้ ุคคลน้นั ...ไมต่ อ้ ง จมอยกู่ บั ความทุกข.์ .. ท่ีเกิดจากความคิด และอารมณ์นน่ั เองเพราะการ คิดอาฆาต พยาบาท คดิ มุ่งร้าย คิดจะทาํ ลายกนั บุคคลน้นั กไ็ ดร้ ับผล ไปแลว้ ในขณะน้นั นน่ั คือ มีความทุกข์ มคี วามร้อนรน มีความขนุ่ เคือง มีความหนกั หนา สาหสั ของความมีตวั ตนท่ีหนกั อ้งึ เกิดข้ึนในขณะน้นั ณ ขณะน้นั ณ วินาทีน้นั ณ ปัจจุบนั น้นั เขาก็มคี วามทุกขข์ อง เขาอยแู่ ลว้ ตามเหตุปัจจยั ที่ปรุงแต่งตามธรรมชาติ เพราะเมื่อคิดร้าย สารเคมปี ระเภทความรุมร้อน กห็ ลงั่ ออกมา อารมณ์กข็ ุ่นมวั ร้อนรน นน่ั คือบุคคลน้นั กาํ ลงั รับทุกขอ์ ยแู่ ลว้ แต่มองไมเ่ ห็น คือ มองไมเ่ ห็น ทุกข์ - คือยงั มองไมเ่ ห็นขอ้ แรกของอริยสจั 4 แลว้ ขอ้ ท่ี 2 ขอ้ ท่ี 3 ขอ้ ที่ 4 จะมปี ัญญาเห็นหรือ?
133 เพราะตอ้ งเห็นขอ้ 1 ก่อน ตอ้ งเห็นว่านี่คือ ทุกข์ รู้วา่ กาํ ลงั ทุกข์ อยู่ ความร้อนรนดว้ ยไฟโทสะ ความร้อนดว้ ยเพลงิ อาฆาตพยาบาท มนั เป็นข่ายทกุ ข์ มนั เป็นความทุกข์ เม่อื เห็นขอ้ 1 วา่ กาํ ลงั ทุกขอ์ ยู่ จึง จะขนขวายหาเหตุแห่งทกุ ข์ หาทางดบั ทุกข์ แลว้ ปฏบิ ตั ิเพือ่ ออกจาก ทุกขน์ ้นั แต่.. ขณะทกี่ าํ ลงั ทุกข์ ร้อนรนกนั อยู่ จะมีปัญญาพิจารณา หรือไม่ วา่ กาํ ลงั ปรุงทกุ ขท์ ิ่มแทงตนเองกนั อยู่ ในทางธรรมะจึงมีการใหเ้ ปล่ยี นความคดิ เพ่ือจะไดไ้ ม่ตอ้ งไป ทุกขก์ บั อารมณ์เหล่าน้นั หากคดิ พยาบาท อยา่ เลย ใหค้ ิดเมตตากนั ดีกวา่ หากคิดริษยา อยา่ เลย ใหม้ มี ุทิตาจิต (พลอยยนิ ดีเมอ่ื เห็นผอู้ นื่ ได้ ดี) กนั ดีกว่า นี่คือ ทางธรรมะก็มีทางออกให้ มที างแกไ้ ขผทู้ ่ีกาํ ลงั ทุกขอ์ ยู่ ใหเ้ ห็นทางออกจากทุกข์ คือมีเมตตากนั และกนั มคี วามเขา้ ใจ มีการ ใหอ้ ภยั ความร้อนรนดว้ ยเพลิงโทสะท้งั หลายก็จะกลายเป็นความสงบ เยน็ ส่ิงท่ีไดก้ ล่าวไวอ้ ยา่ งต่อเน่ืองก็คือ การไม่ส่งจิตออกไปนอก ตนเอง ไมส่ ่งจิตออกไปตดั สินใคร ม่งุ เนน้ ใหเ้ ห็นการปรุงแต่งของ อุปาทานในขนั ธห์ า้ ของตนเองเท่าน้นั ม่งุ ท่ีจะพฒั นาความสามารถใน การเห็นความว่าง วา่ งจากยดึ มน่ั ในอตั ตาตวั ตน ว่างจากการยดึ มน่ั ถือ มนั่ ในอุปาทานขนั ธห์ า้ ท่ีคิดวา่ เป็นตวั ตน ของตน ดงั น้นั การไปมองที่ขนั ธห์ า้ คนอื่น การไปคาดคะเน การไป
134 ประเมนิ ปัญญาของคนอนื่ น้นั มนั เป็นการเห็นผดิ ต้งั แต่ทีแรก นน่ั คือ ....มองออกไปไกลจากขนั ธห์ า้ ของตนนน่ั เอง ดงั น้นั หากทุกท่านท่ีไดศ้ กึ ษาธรรมะเพ่ือการละวางอตั ตาอยา่ ง ถ่องแท้ เห็นตามธรรมของพระพทุ ธองคท์ ี่กลา่ วไว้ ใหพ้ ิจารณาวา่ ขนั ธ์ หา้ น้ีมิใช่ตวั ตน ของตนแลว้ ท่านยอ่ มไม่ไปช้ีผดิ ช้ีถกู กบั ใครท้งั ส้ิน เพราะทุกคนมวี บิ ากกรรม ที่ติดตวั มากนั ท้งั น้นั มสี ติปัญญา มกี าร พจิ ารณาไตร่ตรองดว้ ยสติสมั ปชญั ญะ ตามแต่กรรม วบิ ากกรรมของ แต่ละท่านเอง หากเราลองมองยอ้ นกลบั ไป เวลาเราพบคนท่ีเขายงั นบั ถอื ตน้ ไม้ ใบหญา้ นบั ถอื กอ้ นหินกอ้ นดิน เราจะคิดว่า ทาํ ไมเขาไม่มปี ัญญา มองเห็นว่าสิ่งเหลา่ น้นั มนั ไร้สาระ มนั ช่วยไม่ไดจ้ ริง มนั เป็นส่ิงที่ผดิ มนั ไมใ่ ช่ทางหลดุ พน้ แต่คนกลุ่มน้นั เขายอ่ มมองเห็นว่าเขาทาํ ถกู ตอ้ ง มองเห็นวา่ นี่คือส่ิงที่ดีท่ีสุดของเขาแลว้ เพราะเขามปี ัญญาแค่น้นั มี วิบากอยา่ งน้นั ตอ้ งเกิดมาอยใู่ นถิ่นที่มีความเช่ือแบบน้นั ซ่ึงเป็นการ ยากที่จะไปเปลย่ี นความเชื่อเขาเหล่าน้นั หากท่านเป็นห่วง อยากช่วยเหลอื อยากเปลย่ี นแปลงเขา เหลา่ น้นั ท่านกเ็ ป็นทกุ ขเ์ อง เพราะความทุกขม์ นั เกิดอยใู่ นขนั ธห์ า้ ของ ท่าน แลว้ ยนื่ ออกไป ท้งั ๆ ที่ไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ไดเ้ ลย ท่านจึงตอ้ งใชป้ ัญญาเพอื่ พิจารณาแลว้ ปล่อยวาง ให้เห็นว่ามนั เป็นอยา่ งน้นั เองตามเหตุปัจจยั สติปัญญาของเขามาได.้ ..เท่ากบั วิบาก
135 ของเขาเท่าน้นั หากท่านมองไปยงั จุดอน่ื ๆในปัจจุบนั มีผคู้ นหลง่ั ไหลเขา้ ไปยงั จุดต่าง ๆ มากมาย มีหลากหลายวธิ ีการปฏิบตั ิ หลากหลายสาํ นกั มากมาย แต่ละท่ี แต่ละแห่ง ก็มีการมุง่ เนน้ ปฏิบตั ิเพ่ือการออกจาก วฏั ฏะสงสารท้งั ส้ิน แลว้ แต่จะเป็นรูปแบบ หรือวิธีใดๆ นน่ั กม็ ิไดห้ มายความว่า เขาเหลา่ น้นั คิดผดิ หรือคิดถกู แต่มนั ถกู ตอ้ งตามจริต ตามปัญญา ตามกรรม วิบากกรรมที่ส่งมานน่ั เอง ดงั น้นั อยา่ ไดไ้ ปมองว่าคนน้นั โง่ คนน้ีฉลาด เราคิดถกู เขาคิด ผดิ หรือมีมมุ มองใดๆ ท่ีจะทาํ ใหเ้ กิดการเปรียบเทียบข้ึนมา เพราะทุก คน ตอ้ งรับผดิ ชอบดวงจติ ของตนเอง ตอ้ งหมนั่ พจิ ารณาไตร่ตรอง ตอ้ งปฏบิ ตั ิจนเห็นความเบาบางจางคลายจากการยดึ มนั่ ถือมน่ั ดว้ ย ตนเอง และท่ีสาํ คญั หอ้ งเรียนของท่านคือขนั ธห์ า้ ขนั ธน์ ้ี ตอ้ งหมน่ั ท่ี จะพิจารณาขนั ธห์ า้ ของท่าน เพอ่ื การปล่อยวาง ละการยดึ มนั่ ถือมนั่ ในขนั ธข์ องท่านเอง ไม่ตอ้ งไปช่วยขนั ธห์ า้ อื่นๆเขาปลอ่ ยวางหรอก เพราะช่วยกนั ไมไ่ ด้ ของใครของมนั ไดแ้ ต่เพียงช้ีแนะแนวทางใหไ้ ดเ้ ท่าน้นั แต่ละท่าน ก็ตอ้ งทาํ เอาเอง ระบบ กเ็ พยี งแต่ช้ีแนะแนวทางการปฏิบตั ิตามทฤษฎีของระบบ เพื่อใหป้ ล่อยวาง ละการยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในขนั ธห์ า้ ของท่านเอง ดงั น้นั การเขา้ มารับรู้ เขา้ มารับทราบ ในกฏธรรมชาติที่ระบบ ไดถ้ ่ายทอดไวน้ ้ี ท่านตอ้ งนาํ ไปพจิ ารณาไตร่ตรองดว้ ยตวั ท่านเอง
136 แลว้ ลองนาํ ไปปฏิบตั ิ เมือ่ ผลการปฏบิ ตั ิออกมาแลว้ ท่านกจ็ ะทราบได้ วา่ ท่านมาถกู ทางหรือไม่? เพราะทุกอยา่ งเป็นปัจจตั ตงั ที่ท่านเท่าน้นั จะรู้เอง เห็นเอง และสมั ผสั เอง ระบบจึงเพียง แจง้ เพ่อื ทราบ เท่าน้นั และจะยงั คง แจง้ เพ่ือทราบ ต่อไป ขออนุโมทนากบั ทกุ ๆ ท่านค่ะ อนิจจงั ทกุ ขัง อนัตตา ไมเ่ ที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตวั ตน ขนั ธห์ า้ มิไดเ้ ป็นตวั ตน มไิ ดเ้ ป็นตวั ใคร เป็นเพยี งการรวมกนั ของธาตุทางธรรมชาติ แลว้ มอี ุปาทานขนั ธห์ า้ เป็นยางเหนียวยดึ เหน่ียวกนั ไวเ้ ท่าน้นั พระพทุ ธองค์ ท่านตรัสรู้แลว้ ท่านเห็นแลว้ ท่านนาํ มาบอกแลว้ ว่ามนั ไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ใครของใคร เป็นธรรมชาติท้งั ส้ิน เพยี งแต่ปัญญา มนุษย์ จะเขา้ ใจไดม้ ากนอ้ ยแค่ไหนเท่าน้นั นอ้ ยคนนกั ท่ีจะเขา้ ใจได้ จริง จะเห็นไดจ้ ริงอยา่ งที่กลา่ วไว้ ถา้ เขา้ ใจไดจ้ ริง เห็นไดจ้ ริง กจ็ ะไม่ ไปอุปาทานว่าขนั ธห์ า้ เป็นตวั เรา สิ่งต่างๆ เป็นของๆ เรา ความทุกขก์ ็ จะไม่เกิด ความโศกเศร้าโศกา ความร่ําไรราํ พนั กจ็ ะไม่เกดิ ความแหง้ ใจ ความวปิ โยคโศกเศร้าท้งั หลาย ก็จะไมเ่ กิด เพราะไมม่ ตี วั ตนของผทู้ ี่จะรับทุกขท์ ี่เกดิ ข้ึนเหล่าน้นั ...นนั่ เอง เมื่อมีตวั เราท่ีไหน ทุกขท์ ่ีนนั่
137 เพราะทุกขเ์ กาะไดท้ ่ีตวั เรา พระพุทธองคส์ อนแค่ 2 อยา่ งเท่าน้นั ในอริยสจั 4 คือสอนเร่ืองทุกข์ กบั การดบั ทุกข์ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ทุกข์ - ข้นั ตอนแรกตอ้ งเห็นก่อนว่า กาํ ลงั ทุกขอ์ ยู่ สมทุ ยั - เม่ือรู้ว่ากาํ ลงั ทุกขอ์ ยู่ จึงจะหาสาเหตุแห่งความทุกขไ์ ด้ ว่ากาํ ลงั ทุกขเ์ ร่ืองอะไรอยู่ ท่ีกาํ ลงั ร้อนรนอยนู่ ่ี กาํ ลงั เสียใจอยนู่ ี่ มาจาก เรื่องอะไร คือหาเหตุแห่งทุกขใ์ หเ้ จอ นิโรธ - คือความดบั ทกุ ข์ ดงั น้นั เมือ่ หาสาเหตุของความทุกขเ์ จอ แลว้ ก็ไปดวู ่า ทางท่ีจะดบั เหตุแห่งทุกขไ์ ดน้ ้นั มอี ะไรบา้ ง คราวน้ีตอ้ ง พ่ึงพระธรรมคาํ สงั่ สอน ตอ้ งอาศยั ธรรมะเป็นเคร่ืองนาํ ทาง จึงจะมี ปัญญาดบั ทุกขไ์ ด้ ไมใ่ ช่ดบั ทุกขท์ างโลกชว่ั คร้ังชว่ั คราว แลว้ มนั ก็จะ กลบั มาทุกขใ์ หม่ แต่พระธรรมคาํ สงั่ สอนไดช้ ้ีทางแห่งการดบั ทุกขไ์ ว้ ใหแ้ ลว้ ดบั ที่ขนั ธห์ า้ ดบั ที่อุปาทานว่าเป็นตวั เราของเรานนั่ เอง มรรค - คือการปฏิบตั ิ เพ่อื การพน้ ทุกข์ คืออริยมรรค 8 ประการ เพอ่ื เขา้ สู่ทางแห่งการหลดุ พน้ จากทกุ ขอ์ ยา่ งแทจ้ ริง คือพน้ จากการยดึ มน่ั ถือมนั่ ในอปุ าทานท้งั ปวงนน่ั เอง ดงั น้นั ถา้ รู้วา่ จุดมงุ่ หมายท่ีเป็นแก่น ท่ีพระพทุ ธองคท์ รงคน้ พบ ทรงสง่ั สอน ทรงช้ีทางสวา่ งใหก้ บั เวไนยสตั ว์ มแี ค่น้ี มีแค่เรื่องของ ทุกข์ กบั การดบั ทุกขแ์ คน่ ้ี มแี ค่ใหห้ ลุดพน้ จากอุปาทานขนั ธห์ า้ ละ
138 การยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในอตั ตาตวั ตนแค่น้ี มแี ค่น้ี ออกแค่น้ี ทาํ ไดเ้ ด๋ียวน้ี กห็ ายทุกขเ์ ด๋ยี วน้ี ไม่ตอ้ งใช้ สถานที่ไหน มนั อยใู่ นขนั ธห์ า้ ของแต่ละท่านเท่าน้นั ไมม่ ใี ครช่วยใคร ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง นอกจากแค่ช้ีแนะ อธิบาย ขยายความเท่าน้นั ที่เหลือ นอกน้นั ท่านตอ้ งทาํ ของแต่ละท่านเอง แมแ้ ต่พระพทุ ธองค์ ท่านยงั ช่วยใครใหบ้ รรลุธรรมไมไ่ ดเ้ ลย ท่านเป็นเพียงผชู้ ้ีแนะเท่าน้นั ถา้ ใคร เขา้ ใจ ปฏิบตั ิตามอยา่ งถกู ตอ้ งตรง ตามแนวทางน้นั ไมน่ านก็พน้ ทกุ ข์ อยา่ งสมยั พทุ ธกาล เทศนาธรรมแต่ละคร้ัง มผี บู้ รรลุธรรม มีผมู้ ี ดวงตาเห็นธรรม มากมาย มีท้งั ภิกษุ มที ้งั ภิกษุณี มที ้งั อบุ าสก มีท้งั อุบาสิกา มีท้งั ฆารวาสท่ีมาฟังธรรมในแต่ละคร้ัง และทุกคน ก็นาํ ขนั ธห์ า้ มาเป็นเครื่องมือเพื่อเรียน เพื่อรู้ เพอื่ ละ เท่าน้นั มิไดแ้ บก อุปกรณ์อน่ื ๆมาช่วยเลย การเรียนรู้กไ็ มไ่ ดท้ ่องจาํ มากมาย ไม่ไดร้ ู้ในพระไตรปิ ฏกมาก มาย หรือบางคนรู้แคต่ วั เองกาํ ลงั ทุกขอ์ ยเู่ ท่าน้นั ไมไ่ ดร้ ู้หนงั สือ ไม่ เคยไดย้ นิ ไมเ่ คยไดฟ้ ังธรรมะดว้ ยซ้าํ ไป แลว้ ทาํ ไม พอมารับฟัง พระ ธรรมท่ีพระพุทธองคท์ รงแสดงไว้ ทรงช้ีใหเ้ ห็นเหตุแห่งทุกข์ ทรง ช้ีแนะทางออกจากทกุ ข์ คือการละอุปาทานเหลา่ น้นั ผปู้ ฏิบตั ิตามแลว้ เกิดเห็นจริง เห็นโทษภยั ในวฏั ฏสงสาร เห็นว่า เป็นเพราะไปอปุ าทานว่าขนั ธห์ า้ วา่ เป็นตวั เรา ความทุกขน์ ้ีจึงเป็นของ เราไปดว้ ย พบวา่ เหตุแห่งทุกข์ เพราะความมีตวั เรานน่ั เองเมอ่ื พบเด๋ียว น้นั ละเด๋ียวน้นั กบ็ รรลธุ รรมเดี๋ยวน้นั ณ ที่น้นั
139 จึงมผี บู้ รรลธุ รรมมากมาย ในสมยั พุทธกาล ในสมยั น้ีล่ะ เรียนรู้กนั จนมากมาย หนงั สือธรรมะเป็นตู้ เป็นต้งั เตม็ ลงั เตม็ กล่องมากมายไปหมด อ่านมากมายแคไ่ หน กจ็ ะเป็นเพียง แนวทางเท่าน้นั ถา้ ไม่ปฏบิ ตั ิกจ็ ะไมเ่ ห็นจริง จะออกจากทกุ ขไ์ ม่ไดจ้ ริง เราจึงยงั เห็นคนมีธรรมะมากมาย ดเู หมอื นมคี วามเขา้ ใจ แลว้ ทาํ ไมเขา ยงั ทุกขอ์ ยู่ นนั่ เป็นเพราะ ยงั เขา้ ใจไม่ถึงแก่น ยงั ตีไม่ตรงจุดนนั่ เอง วนั น้ี เราลองมาลองจาํ กดั พ้ืนท่ีใหแ้ คบลงดีไหม? เราจะใชแ้ ค่ ขนั ธห์ า้ เท่าน้นั เพอื่ การเรียนรู้ใหแ้ ตกฉาน ใหร้ ู้เท่าทนั กลไก การหลอก ใชข้ องอวิชชา เรา แค่ดเู ขา้ ไปในขนั ธห์ า้ ..... กางตาํ รา.... เรียนรู้มนั ทีละ ข้นั ตอน....ทาํ ความรู้จกั กลไก .... เขา้ ใจ ...แลว้ ปลอ่ ยวาง...จาก อุปาทานในขนั ธห์ า้ เหลา่ น้นั ไมย่ ากเกินไป .... แมจ้ ะไม่ง่ายเสียทีเดียว แต่จะสมั ผสั ถึงความเบาบางจางคลายจากความทุกขไ์ ด้ ... ในเวลา อนั รวดเร็วทีเดียว ซ่ึงมพี ยานมากมาย ท่ีเบาบางจากทุกขไ์ ดใ้ นเวลา อนั รวดเร็ว วนั น้ี เราลองมาเรียน ในหอ้ งเรียนขนั ธห์ า้ ท่ีทุกคนแบกกนั มา นานแสนนาน..... ดีไหม?.. ประโยชนต์ นคือ ออกจากขนั ธห์ า้ ไดโ้ ดยความเขา้ ใจกลไกของ อุปาทาน ประโยชน์ท่านคือ ขนั ธห์ า้ ก็จะมกี ารทาํ งานโดยระบบ โดยแผน ที่วางไว้ เพ่ือช่วยเหลือภยั พิบตั ิ นน่ั เอง
140 ถา้ จะเทียบเคียงกบั การเกดิ มาตามกรรม วิบากกรรม ตามเหตุ ปัจจยั ที่ส่งมา กจ็ ะเป็นดงั น้ี เหมอื นคนธรรมดาๆ ไมส่ นใจธรรมะ ไม่สนใจปฏิบตั ิ เท่ียว สนุกสนานไปวนั ๆ แต่เม่ือไรท่ีเขามคี วามทกุ ข์ โศกเศร้า เสียใจ คบั แคน้ ใจ เขาก็จะหาทางท่จี ะออกจากทุกขน์ ้นั ๆ ซ่ึงมีหลายวิธี เที่ยวเตร่ หาเพอ่ื นฝงู หรือทาํ ส่ิงใดๆในทางโลก เพ่ือที่จะหาทางดบั ทุกขใ์ น ขณะน้นั ใหไ้ ด้ ซ่ึงก็สามารถทาํ ได้ แต่เป็นการชวั่ คราว แลว้ ทุกขก์ ็ เกิดข้ึนอกี แต่หากคนคนน้นั มีปัญญา แลว้ เกิด แอะ๊ ...ในทกุ ขท์ ี่เกิดข้ึน วา่ ทาํ ไมเราจึงตอ้ งทุกข์ ทาํ ไมคนเราจึงตอ้ งพบเจอแต่ความวนุ่ วาย ทุรนทุ ราย แลว้ ทางไหนจะทาํ ใหเ้ บาบางจางคลายจากทุกขไ์ ด้ นน่ั แหละ เม่อื เขามีคาํ ถาม เขาก็จะคน้ หาคาํ ตอบ หาคาํ อธิบาย ทดลอง ปฏบิ ตั ิ และพบหนทางที่จะดบั ทกุ ข์ ดว้ ยความเขา้ ใจในธรรมะ หรือ ธรรมชาติ เขาคนน้นั กจ็ ะสามารถออกจากทุกขไ์ ดอ้ ยา่ งถาวร เช่นเดียวกนั เม่ือเราไม่เคยรู้ถึงเหตุปัจจยั เก่าที่เคยสร้างไว้ เมื่อ มาปรากฏในชาติน้ี ความทุกข์ ความไม่สมหวงั ความไม่สบายกาย ไม่ สบายใจ การถกู โกง การถกู เอารัดเอาเปรียบ การเจบ็ ป่ วย ความร้อน รน กระวนกระวาย ความไม่มีลาภ ความเป็นผอู้ าภพั ในทรัพยส์ ิน ปัจจยั ส่ิงเหลา่ น้ี หากเราไมเ่ ขา้ ใจกฏแห่งกรรม ไมเ่ ขา้ ใจเหตุปัจจยั ที่ สร้างไวเ้ อง มาหลายภพหลายชาติ ไม่เขา้ ใจกลไกของธรรมชาติที่ตอ้ ง
141 ส่งมาใหต้ ามเหตุปัจจยั ท่ีไดส้ ร้างไวน้ ้นั ก็จะตีอกชกหวั โทษดินฟ้ า โทษเทวดา โทษโชคชะตา โทษโน่นโทษนี่ ขอใหม้ ผี ทู้ ี่จะรับผดิ ชอบ เป็นใชไ้ ด้ เคยคิดบา้ งไหม ว่าเหตุปัจจยั ที่ส่งใหม้ าเป็นอยา่ งน้ีน้นั มนั มาจากไหน มนั มาอยา่ งไร? มนั มาจากความไม่รู้ จากการยดึ มนั่ ถือมน่ั ว่ายงั มฉี นั มแี ก มเี รา มเี ขา มนี น่ั มีนี่ นนั่ แหละ ที่มนั เป็นตวั เก็บ เป็นตวั ประมวลผล เป็นตวั ส่งใหม้ ายนื อยู่ ณ วนั น้ี เพราะยงั มอี ุปาทาน ว่ามตี วั ตน มขี องตน มตี วั เรา มตี วั เขา จึงยงั ตอ้ งวนเวียนอยใู่ นอปุ าทานเหล่าน้ี หาทางออกไมไ่ ด้ ความไมร่ ู้จริง จึง ไปอุปาทานว่าขนั ธห์ า้ น้ี มตี วั เรา เป็นตวั เรา จึงทาํ เพอื่ ตวั เรา เก็บไวใ้ ห้ ตวั เรา ธรรมชาติ กต็ อ้ งรวมดินน้าํ ลมไฟ ใหเ้ กิดใหมอ่ ยเู่ รื่อยๆ เพ่ือให้ ตวั อุปาทาน มีที่อยู่ ที่อาศยั จึงตอ้ งเกดิ ใหม่ ซ้าํ ซากอยา่ งน้ี แลว้ เม่ือไร จะเห็นจริงสกั ที ว่ามนั ไม่ไดม้ ีตวั เรา หรือตวั ใครท้งั ส้ิน ถา้ เห็นได้ ว่าไมม่ ใี ครเกดิ ข้ึน ไมม่ ีใครดาํ เนินอยู่ หรือไมไ่ ดม้ ี ใครตายไป เป็นกลไกของธรรมชาติท่ีเปลยี่ นแปลงไปตามสภาวธรรม น้นั ๆ ทุกอยา่ งลว้ นเป็นกระแสธรรมชาติท่ีไหลไปตามเหตปุ ัจจยั น้นั ๆ เพยี งแต่อปุ าทานมนั มาหลอกว่ามีตวั เรา ใหเ้ ขา้ ไปยดึ ธรรมชาติวา่ เป็น ตวั ตน นนั่ แหละ เม่อื ไปหลงกล ติดกบั ก็เลยออกจากอปุ าทานไมไ่ ด้ ออกจากตวั ตนไม่ไดน้ นั่ เอง พอมตี วั ตน พอมตี วั เรา การเก็บสะสมก็เริ่มข้ึน การมบี ุญ มบี าป
142 มีกรรม วิบากกรรม กเ็ ริ่มเกดิ ข้นึ ความทกุ ข์ ความสุข จึงเร่ิมมีข้ึน นบั จากน้นั ธรรมชาติไมเ่ คยลาํ เอียง ยตุ ิธรรมท่ีสุด ทาํ ไวอ้ ยา่ งไร ก็ส่งคืนให้ อยา่ งน้นั จึงยงั ตอ้ งส่งใหเ้ วียนเกิด เวียนตาย เวียนมาใชค้ วามเป็นตวั เรา สืบทอดทุกชาติไป ถา้ อนิ ทรียแ์ กก่ ลา้ มีปัญญาเห็นธรรมของพระพทุ ธองคไ์ ด้ แลว้ เร่ิม แอะ๊ ...วา่ .... หรือ....มนั ไม่มีตวั เรา หรือ...มนั ไมไ่ ดม้ ตี วั ใคร อยา่ ง ท่ีพระพุทธองคท์ รงตรัสไวจ้ ริงๆ พระพุทธองคท์ ่านทรงสงั่ สอนเวไนยสตั ว.์ ..ในกฎของ ธรรมชาติ ที่มนั ไม่ไดเ้ ป็นตวั ใครของใคร เมื่อน้นั ท่านอาจจะมองเห็น ทาง ที่พระพทุ ธองคท์ ่านทรงช้ีไว้ วา่ ไม่ไดม้ ตี วั ใครของใครในขนั ธห์ า้ เหล่าน้นั เลย ทางที่จะออกจากสงั สารวฏั อนั ยาวนาน ก็จะเริ่มมองเห็น ราํ ไร เมื่อต้งั เป้ าใหต้ รงไปที่การละอปุ าทานขนั ธห์ า้ เหล่าน้นั นนั่ เอง... กฏของธรรมชาติ เป็นสิ่งท่ีมอี ยแู่ ลว้ ในธรรมชาติ ความท่ีมนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั เอง ผทู้ ี่รู้ ผทู้ ี่เห็นจริงในธรรมชาติ กจ็ ะเขา้ ใจใน ความท่ีมนั เป็นธรรมชาติ ไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ใครของใคร แลว้ เห็นความ แปรปรวนไปเป็นธรรมดา จึงไมไ่ ปบงั คบั บญั ชาใหม้ นั ตอ้ งเป็นอยา่ ง น้นั ตอ้ งเป็นอยา่ งน้ี อยา่ งที่ตอ้ งการ เพยี งแต่คอยดูการเกิดข้ึน การ ต้งั อยู่ และการดบั ไป ที่เกิดข้ึนในกลไกของขนั ธห์ า้ แลว้ พิจารณาเห็น ส่ิงเหล่าน้นั ตามความเป็นจริง
143 ความจริง ธรรมชาติเป็นของท่ีมองเห็นไดง้ ่าย ไม่ได้ สลบั ซบั ซอ้ นมากมาย เพียงแต่จะมใี ครมองเห็นความง่ายเหล่าน้นั บา้ ง เท่าน้นั ไมเ่ คยมีใคร เป็นเจา้ ของอะไรอยา่ งแทจ้ ริง ทุกอยา่ งข้ึนอยกู่ บั อปุ าทาน อปุ าทานวา่ น่ีเป็นตวั เรา นน่ั เป็นของเรา แทจ้ ริงมนั ไม่ใช่ ของใครเลย เป็นของธรรมชาติ ที่ถกู อปุ าทานยดึ ไวเ้ ท่าน้นั อปุ าทานท่ี เป็นยางเหนียว ยดึ เหน่ียวใหต้ อ้ งมีขนั ธห์ า้ วนเวยี นอยใู่ นวฏั ฏะสงสาร ไมม่ ีวนั สิ้นสุด ท้งั ท่ีความจริงแลว้ ไมไ่ ดม้ ขี องใครท้งั ส้ิน ทุกอยา่ งเป็น ของธรรมชาติ ทุกอยา่ งตอ้ งคืนสู่ ธรรมชาติท้งั หมด มนั เป็นการประกอบกนั ข้ึนตามเหตุปัจจยั ณ ชวั่ ขณะหน่ึงๆ แลว้ เปล่ยี นแปลงไปตามเหตุปัจจยั ที่มาผลกั ดนั มเี พยี งอุปาทานเท่าน้นั ที่เกิดข้ึน แลว้ เห็นผดิ คิดวา่ เป็นตวั เราของเรา ความทุกขจ์ ึงตอ้ งเกิดข้นึ เพราะมอี ุปาทานนน่ั เอง มารู้จกั อปุ าทาน กนั สกั นิด...อยา่ งเช่นที่เห็น ง่ายๆกบั ....เหตุแห่งทุกข์ เมื่อ 3ปี ก่อน ในไร่ที่ซ้ือไวน้ านแลว้ ไมไ่ ดม้ ตี น้ มะมว่ งอยู่ พอ มาวนั น้ีไดพ้ บว่า มตี น้ มะม่วงเกดิ ข้ึน ออกดอกออกผลเตม็ ตน้ ซ่ึง เกิดข้ึนมาตามเหตุ ปัจจยั คนเดินผา่ นไร่ทิ้งเมด็ มะมว่ งไวใ้ นที่เรา แลว้ มนั งอกข้นึ มาเองตามเหตุปัจจยั คือมีเมด็ มะมว่ ง มดี ิน มีน้าํ มอี ากาศ เพยี งพอ มนั กง็ อกของมนั เอง แต่อยใู่ นที่ของเรา มนั กเ็ ลยเป็นของเรา ไปโดยปริยาย กระบวนการความทุกขเริ่มเกิด เมือ่ มเี หตุแห่งทุกข์
144 ปรากฏ มะม่วงตน้ เดียว ทาํ ใหค้ นทุกขไ์ ด้ พอกลบั มาบา้ น กห็ ่วงตน้ มะมว่ ง กาํ ลงั ออกลกู จะมีใครแอบมาสอยไปไหม? คนเดินผา่ นจะลกั ขโมยมะม่วงของเราหรือเปลา่ เราจะลอ้ มร้ัวดีไหม คนจะไดไ้ ม่เดิน ผา่ น มะม่วงจะไดไ้ ม่หาย กลบั มานอนครุ่นคิด ฟ้ งุ ซ่านไปสารพดั ดว้ ยความกงั วล อยหู่ ่างจากไร่แสนไกล แต่ความทกุ ขต์ ามกลบั ไปดว้ ย เพราะเกิดข้นึ ในขนั ธห์ า้ ปรุงแต่งในขนั ธห์ า้ ตน้ มะม่วง มนั ก็ยงั คงเป็นตน้ มะม่วงอยอู่ ยา่ งน้นั มนั ไม่ไดเ้ ป็น ของใคร มนั เติบโตตามเหตุปัจจยั ของธรรมชาติ มนั เป็นของ ธรรมชาติ มนั ไม่ไดเ้ ป็นของใคร และมะมว่ งกไ็ มร่ ู้ดว้ ยวา่ มนั ไดท้ าํ ใหใ้ ครทุกขบ์ า้ ง หากแต่บุคคลน้นั ไปยดึ ดว้ ยอุปาทานว่ามนั เป็นของ เรา อยากบงั คบั บญั ชาใหม้ นั เป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี แลว้ บงั คบั ไมไ่ ด้ ก็ ตอ้ งทุกขไ์ ปเป็นธรรมดา เมอื่ ก่อนไม่มีทุกข์ เพราะยงั ไมม่ ีตน้ เหตุใหท้ ุกข์ พอมะมว่ งตน้ น้ีเกิดข้ึนมา อุปาทานเกาะทนั ที วา่ เป็นของเรา กระบวน การทุกข์ สุข กเ็ กิดข้ึนทนั ที เห็นตน้ มะม่วงทีไร ยม้ิ นอ้ ยยมิ้ ใหญ่ท่ีเห็นมนั เติบโต ออกดอกออกผล มคี วามสุข...กบั มะมว่ ง ตน้ น้นั ท้งั ที่ไร่ขา้ งๆปลกู เป็นร้อยตน้ กไ็ มใ่ ส่ใจไปสุขไปทุกขก์ บั ของเขา เพราะนน่ั ไม่ใช่...ของ เรา... ผลมะม่วงหายไป ทุกขอ์ กทุกขใ์ จ แคน้ เคือง ความทุกข์ มีข้ึน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197