145 จากเหตุมะม่วงตน้ น้นั น่ีคือความเป็นธรรมดา ของอุปาทาน ที่หลงยดึ มน่ั ถอื มนั่ ว่า นน่ั เป็นเรา นนั่ เป็นของเรา หากยงั เห็นว่านนั่ เป็นเรา นน่ั เป็นของเรา การท่ีจะออกจากทกุ ข์ ยอ่ มเป็นเรื่องที่เป็นไปไมไ่ ด้ นี่คือเรื่องที่ มองเห็นง่าย ๆ ว่าทุกขเ์ กดิ ข้ึนไดเ้ พราะ...อปุ าทาน หากผทู้ ่ีเขา้ ใจ ไม่ อุปาทาน ก็จะไม่ทุกขก์ บั ส่ิงน้นั มขี ้ึนมาเองก็ดีแลว้ ไมต่ อ้ ง เสียเวลาไปปลกู ใหผ้ ลไดก้ ินบา้ งกด็ ีแลว้ หายไป หรือคนอน่ื เอาไป กินบา้ ง กเ็ ป็นธรรมดา เพราะวา่ ไม่มใี ครเฝ้ า คนเขาก็มาสอยไปกิน เป็ นธรรมดา อยา่ งน้ี เขา้ ใจในความเป็นอยา่ งน้นั เองของธรรมชาติ ไม่ไป อุปาทาน ยดึ มน่ั ถอื มน่ั มากนกั ก็ไม่ทุกขเ์ พราะเหตุน้นั ถา้ เราเขา้ ใจขนั ธห์ า้ รู้จกั อุปาทาน กจ็ ะไม่ไปยดึ มนั่ ถอื มนั่ ใน อุปาทานเหลา่ น้นั มากนกั มีได้ เป็นได้ เกิดข้นึ ได้ แต่ไมไ่ ปยดึ กบั มนั หากยดึ มาก ก็ทุกขม์ าก ยดึ นอ้ ย ก็ทุกขน์ อ้ ย ไมย่ ดึ ก็ไมท่ ุกข์ มนั ข้ึนอยกู่ บั อุปาทาน นนั่ เอง อปุ าทาน ไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นกนั ไดง้ ่ายๆ แต่หากมีความ เขา้ ใจ ก็ไมใ่ ช่ส่ิงที่จะมองเห็นไดย้ ากเลย หากมคี วามเขา้ ใจกลไกของ ธรรมชาติ รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ กจ็ ะเห็นโฉมหนา้ ของ...อุปาทาน อยกู่ บั อปุ าทานทุกวนั แตไ่ มเ่ คยเห็นมนั เลยสกั คร้ัง เพราะมนั ... อุปาทานวา่ น่ีเป็น..ตวั เรา นน่ั เป็น..ของเรา จึงมีตวั เรา และของเราอยู่ ตลอดเวลา เช่ือตามที่อุปาทานมนั หลอกไว้ หลงยดึ ในความมี ความ
146 เป็นเหล่าน้นั จึงมีคนมากมายท่ีทรุ นทุรายไปกบั ความอยากได้ นน่ั อยากไดน้ ่ี ความอยากมี ความอยากเป็น หรือความไมอ่ ยากมี ไม่ อยากใหเ้ ป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี เมื่อไมไ่ ดอ้ ยา่ งที่ตอ้ งการ ก็....อปุ าทานทุกขก์ นั ไป น่ีคือสิ่งที่เกิดข้ึนจริงในโลกเราทุกวนั น้ี ซ่ึงกเ็ ป็นไปตามกลไก ของธรรมชาติ ยดึ มากทกุ ขม์ าก ยดึ นอ้ ยทุกขน์ อ้ ย ไมย่ ดึ ไม่ทุกข์ นนั่ เอง ธรรมะ ธรรมชาติ มีหน่ึงเดียวไมเ่ คยแบ่งแยก มีแต่อวชิ ชา คือ ความไม่รู้เท่าน้นั ที่เป็นตวั แบ่งแยก ใหม้ ีการเปรียบเทียบ ใหม้ ีความ เหล่ือมล้าํ ต่าํ สูง ใหม้ ีการแข่งขนั กนั ในความรู้ ในศาสตร์ท้งั หลายท้งั ปวงที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ แต่โดยความเป็นธรรมชาติแลว้ ทุกอยา่ ง เป็นไปตามเหตุปัจจยั ไมไ่ ดเ้ ป็นไปตามความคิดเห็นของใครคนใดคน หน่ึง มนั เป็นอยา่ งน้นั เองตามธรรมชาติ ถา้ เห็นพระอาทิตยข์ ้ึน คนหน่ึงเขา้ ใจวา่ พระอาทิตยข์ ้นึ ทางทิศ ตะวนั ออก และมนั ตอ้ งข้ึนอยา่ งน้ีทกุ วนั แต่อีกคนเขา้ ใจว่า พระ อาทิตยข์ ้ึนทางทิศตะวนั ตก และมนั จะข้ึนทางทิศตะวนั ตกทุกวนั อีก คนคิดว่าข้ึนทางทิศเหนือ และมนั จะข้ึนทางทิศเหนือทุกวนั ไม่ว่าใคร จะคิดอยา่ งไร ไม่ว่าจะสมมุติทิศน้นั วา่ ช่ืออะไรดว้ ยความเขา้ ใจที่แต่ ละคนมี กจ็ ะยดึ มน่ั วา่ สิ่งท่ีตนเขา้ ใจน้นั ถกู ตอ้ ง ของผอู้ น่ื น้นั ไมใ่ ช่ ดงั น้นั ต่างฝ่ ายต่างกม็ ่งุ ที่จะใหค้ นอน่ื มาเชื่อในสิ่งที่ตนเองเขา้ ใจ แมจ้ ะทุ่มเถียงกนั ไปมาอยา่ งไร พระอาทิตย์ กต็ อ้ งข้นึ ทางทิศ
147 น้นั อยดู่ ี ไม่วา่ คนจะเรียกทิศน้นั ว่า ตะวนั ออก วา่ ตะวนั ตก วา่ เหนือ ว่า ใต้ พระอาทิตยไ์ มไ่ ดส้ นใจ ไมไ่ ดข้ ้นึ อยกู่ นั ใคร มนั ยงั คงทาํ ไปตาม ธรรมชาติ คนสามคนยงั ทุ่มเถียงกนั ไมส่ ิ้นสุด ความทกุ ข์ ความสุข ความ ร้อนรนกระวนกระวายกจ็ ะยงั เกิดกบั บุคคลเหลา่ น้นั ต่อไป เพราะต่าง ตอ้ งการใหเ้ ป็นไปตามความเห็นของตน ความทุกขจ์ ึงเกิดข้ึนเพราะ อปุ าทาน ยดึ ในสิ่งที่เราเขา้ ใจวา่ ส่ิงน้นั มนั ถกู ตอ้ งแลว้ ดงั น้นั การตดั สินสิ่งหน่ึงส่ิงใดจากมุมมองของตนโดยไม่รู้จริง ตามธรรมชาติ ก็ยอ่ มมีแต่วา่ จะตอ้ งมขี า้ งใดขา้ งหน่ึงผดิ ขา้ งใดขา้ ง หน่ึงถกู อยตู่ ลอดเวลา และการทุ่มเถยี งกนั กไ็ มม่ วี นั สิ้นสุด ดงั น้นั ส่ิงทคี่ วรทาํ ก็คือ ดเู ขา้ ไปในสภาวะจิตขณะน้นั ขณะท่ีมี การทุ่มเถียงกนั มกี ารตดั สินลงความเห็น ขณะท่ีมกี ารวิพากษว์ ิจารณ์ หรือขณะท่ีมกี ารกลา่ วถงึ บคุ คลอนื่ ๆอยนู่ ้นั สภาวะขา้ งในกาํ ลงั มี ความรู้สึกแบบใด ร้อนรนไหม ข้ึนลงดว้ ยแรงโทสะ โมหะไหม? หากมคี วามร้อนรุ่มในสภาวะจิตในขณะน้นั ๆ ควรจดั การกบั สภาวะจิตของท่านก่อนสิ่งอนื่ ใด เพราะเร่ืองน้ีเร่งด่วนและจาํ เป็นท่ีสุด สาํ หรับท่าน ไมจ่ าํ เป็นตอ้ งไปจดั การกบั สภาวะการณ์ภายนอกเลย ดงั น้นั การปฏิบตั ิธรรมจึงมีหลากหลายวิธีตามแต่จริตของแต่ ละบุคคลน้นั จึงไมม่ ีการปฏบิ ตั ิแนวทางใดดีกว่ากนั ทุกแนวทาง เป็นไปตามเหตุปัจจยั ของแต่ละบุคคลนนั่ เอง
148 การแบ่งแยก การเอาความเห็นของตนเองตดั สิน จึงมไิ ดไ้ ป เปลยี่ นแปลงความเป็นเช่นน้นั เองของธรรมชาติได้ เพราะไม่ว่าใครจะ เขา้ ใจว่าพระอาทิตยข์ ้ึนทางทิศใดก็ตาม พระอาทิตยก์ ็ยงั คงข้ึนอยอู่ ยา่ งน้นั ..... นนั่ เอง สมมุติ คือความว่าง ว่างโดย....สมมุติ โลกเราทุกวนั น้ี ยดึ ติดอยกู่ บั สิ่งสมมตุ ิ และยดึ ในสมมุติน้นั จึง ถกู ขงั อยใู่ นกรอบของสมมุติจนดนิ้ ไมห่ ลุด ถา้ อยเู่ หนือสมมตุ ิได้ กจ็ ะ เป็นอสิ ระจากสิ่งที่มาบีบบงั คบั กกั ขงั เราไว้ เราลองมารู้จกั สมมตุ ิกนั สกั นิด อาจจะเปิ ดมุมมองใหเ้ ห็นความเป็นธรรมชาติไดม้ ากข้ึน สมมตุ ิชื่อ ช่ือโดยสมมุติ... เราเกิดมา ก็ไม่ไดม้ ีชื่อมาก่อน แม่ ต้งั ชื่อใหว้ ่า .... สมชาย นบั จากวินาทนี ้นั สมชาย มคี วามหมายที่สุด สาํ หรับขนั ธน์ ้ี พอเร่ิม จาํ ความได้ แมเ่ รียกขานชื่อน้ี เราจะยดึ ทนั ที เอาสมมุติคาํ ว่าสมชายมา ทาบที่ตวั เรา นน่ั เท่ากบั ว่า คาํ วา่ ...สมชาย...ขงั เราไวเ้ รียบร้อยแลว้ ตวั หนงั สือไมก่ ่ีตวั มีอิทธิพลกบั สุขทุกขไ์ ดถ้ งึ เพยี งน้ีเชียวหรือ ใครเอ่ยชื่อสมชายเก่ง ยม้ิ นอ้ ยยม้ิ ใหญ่ ภาคภมู ใิ จมคี วามสุข ใครเอย่ ชื่อ สมคิดเก่ง กจ็ ะไม่สนใจ เพราะไมไ่ ดบ้ นั ทึกไวว้ ่า เป็น เรา ทะเลาะกบั เพื่อน มายนื ช้ีหนา้ แลว้ ด่าวา่ สารพดั คาํ พดู เรา
149 โมโหตาลาย พอสุดทา้ ยพดู วา่ ระวงั ไวเ้ หอะ..สมพร อาการโมโห หายไป อ๋อ...ด่าผดิ คน เขา้ ใจผดิ คิดวา่ เราเป็นสมพร ความจริง ด่าแลว้ ช้ีหนา้ ดว้ ย ไม่ผดิ คนหรอก แต่เรียกผดิ ช่ือ เท่าน้นั ความทุกขไ์ ม่เกดิ เพราะไมไ่ ดด้ ่า...สมชาย สมพรไหนก็ไม่รู้ เพราะมตี วั ตนของสมชาย หากเอย่ ชื่อน้ีจะมคี วามหมายมากเลย หรือเดินไปไดย้ นิ คนเอ่ยช่ือแว่วๆว่า สมชาย แลว้ หนั ไปซุบซิบนินทา กนั เอาไปคิด เอาไปกงั วล วา่ เรานินทาเราเรื่องอะไร ทุกขไ์ ปหลายวนั พอไปถามคนน้นั เขาบอกวา่ อ๋อ..พดู ถงึ สมชายขายไก่ยา่ งหนา้ ปาก ซอย เอาไก่ยา่ งมาใหไ้ มค่ รบตามจาํ นวนเงินทุกที เฮอ้ ...โลง่ ไป ทาํ เอาทุกข์ กงั วลเสียหลายวนั ท่ีแทน้ ินทาสมชาย ไก่ยา่ งนนั่ เอง ทุกข.์ ..เพราะอปุ าทานที่ผา่ นไปแลว้ กเ็ รียกคืนไม่ได้ จึงทุกขฟ์ รีไปดว้ ย ประการฉะน้ี แต่พออยมู่ าวนั หน่ึง ....นึกอยากเปล่ียนชื่อ ไม่อยากไดแ้ ลว้ สมชาย เกิดถกู ใจคาํ วา่ สมศกั ด์ิ เปลีย่ นเป็นสมศกั ด์ิดกี ว่า เท่หด์ ี ก็ยา้ ย ท่ีขงั ใหม่ ไปอยใู่ น...สมศกั ด์ิ...แทน คราวน้ี พอใครเรียกสมชาย ใคร วา่ สมชาย ก็จะไม่หวน่ั ไหวเท่าใด เพราะเปล่ียนใหม่แลว้ ....เป็น สมศกั ด์ิ อยากว่าสมชายวา่ ไป แต่อยา่ ว่าสมศกั ด์ิกแ็ ลว้ กนั มเี รื่องแน่ การยดึ มน่ั ในชื่อสมชาย ก็จะนอ้ ยลง ความทุกขเ์ ก่ียวกบั สมชาย กจ็ ะ นอ้ ยตามไปดว้ ย เพราะช่ือน้นั เริ่มไม่ค่อยมคี วามสาํ คญั เท่าใดนกั
150 เปล่ยี นไปยดึ ชื่อใหม่ ที่เอาคาํ ว่า สมศกั ด์ิ มาวางทาบกบั ตวั ตน ของตน ไปเรียบร้อยแลว้ น่าแปลก ท่ีตวั ตน ยงั เป็นเหมือนเดิม หนา้ ตากย็ งั เหมอื นเดิม วนั เดือน ปี เกิด กย็ งั เหมอื นเดิม บิดามารดา กย็ งั คน เดิม บา้ นที่อยกู่ ็ยงั ท่ีเดิม แลว้ เป็นคนใหม่ท่ีตรงไหนกนั น่ี? ออ้ ... เป็นคนใหม่ ตรงท่ี....อปุ าทาน....เปลี่ยนไปนนั่ เอง ไปยดึ ชื่อใหม่ เปลยี่ นการยดึ ใหม่ ไปสุข ทุกข์ กบั สมศกั ด์ิ แทนสมชาย นนั่ เอง เม่อื คนน้ีไม่เอาสมชาย เปลี่ยนใหมแ่ ลว้ แลว้ สมชายหายไป ไหน สมชายไปอยทู่ ่ีไหน สมชายกไ็ ม่ไดไ้ ปไหน เพราะสมชาย เป็น ส่ิงสมมุติมาต้งั แต่แรกแลว้ ไมไ่ ดม้ ตี วั ตนจริง เป็นสมมตุ ิภาษา ใน ความเป็นสมชาย มนั เป็นความวา่ งอยตู่ ้งั แต่แรกแลว้ มนั ว่างจากการ เป็นตวั ใครของใครมาต้งั แต่แรกแลว้ มนั ไม่ไดม้ ีตวั ตนมาต้งั แต่ แรก มนั วา่ งจากการเป็นตวั ใครของใคร มนั เป็นธรรมชาติของมนั อยู่ อยา่ งน้นั เพียงแต่ใครเอาธรรมชาติไปใช้ แลว้ ไปยดึ มน่ั ถือมนั่ ใน ธรรมชาติน้นั จากความว่างของธรรมชาติ จึงกลายเป็นมีตวั ตน มี ความหมายข้นึ มาทนั ที ใครสมมุติอะไร แลว้ เอาไปวางทาบกบั อะไร ส่ิงน้นั จะมี ความหมายทนั ที สมชาย คือความว่างของธรรมชาติ รอเม่อื ไร ท่ีมใี ครนาํ เอา
151 สมมุติน้ีไปใช้ แลว้ ไมร่ ู้เท่าทนั จากความวา่ งก็จะกลายเป็นความวนุ่ ทนั ที ดว้ ยความมอี ตั ตาตวั ตนของคนคนน้นั ถา้ มีความเขา้ ใจ มนั ก็ยงั เป็นของว่างได้ ท้งั ๆท่ีกาํ ลงั ใชม้ นั อยู่ นนั่ คือ...มีได้ เป็นได้ อยกู่ บั ทุก อยา่ งได้ แต่ว่างจากการอปุ าทานนนั่ เอง ดงั น้นั เราจะเห็นวา่ ส่ิงท่ีทาํ ใหค้ นเรา สุข ทุกข์ อยู่ ตลอดเวลา ก็เพราะว่าอุปาทานนนั่ เอง และยงิ่ อุปาทานวา่ ขนั ธห์ า้ น้ี เป็นตวั เรา สิ่งท้งั หลายน่ีเป็นของเรา อุปาทานจึงมที ่ีใหไ้ ปเกาะ มากมาย หากไม่เขา้ ใจ ความทุกขย์ อ่ มเกิดข้นึ ได.้ ..เป็นธรรมดา แต่มไิ ดม้ ุ่งหมายวา่ ตอ้ งละวางทุกอยา่ ง ออกจากทางโลก ละ ท้ิงทุกอยา่ งไป จะไดไ้ มต่ อ้ งทกุ ข์ ไม่ใช่เช่นน้นั เป็นความเขา้ ใจ ผดิ การออกจากอุปาทาน ออกไดท้ ้งั ๆที่ยงั อยทู่ ่ามกลางความวุ่นวาย ของโลกปัจจุบนั เพราะการออก กค็ ือออกจากการยดึ มนั่ ถอื มน่ั ใน ขนั ธห์ า้ ในอุปาทานเหล่าน้นั รู้กลไก รู้วธิ ีการหลอกลอ่ ของอปุ าทาน ที่หลอกใหไ้ ปยดึ มนั่ ถอื มนั่ แลว้ มนั กแ็ บ่งปันความทุกขม์ าให้ เพียงมคี วามรู้เท่าทนั ขนั ธ์ หา้ รู้เท่าทนั อุปาทาน ท่ีมนั จะหลอกใหไ้ ปยดึ ไปรับ ไปแบกเอาส่ิง ต่างๆไว้ โดยไมว่ างมนั ลง จึงมแี ต่ความหนกั อกหนกั ใจ มีอตั ตาตวั ตน มากมาย ใหแ้ บกใหย้ ดึ ถา้ รู้เท่าทนั มคี วามเขา้ ใจ อยกู่ บั ทุกส่ิงทุกอยา่ งได้ โดยไมต่ ดิ กบั มนั ใชข้ องทุกส่ิงทุกอยา่ งได้ โดยไม่ทกุ ขก์ บั มนั อยกู่ บั สมมตุ ิได้ โดยไม่ ไปยดึ ติดในสมมตุ ิเหลา่ น้นั
152 เพยี งแค่รู้จกั เขา้ ใจในกลไกของขนั ธห์ า้ ที่ถกู ผลกั โดยตณั หา... อุปาทาน เห็นตามความเป็นจริง วา่ มนั มกี ลไกอยา่ งไร ถา้ รู้ เขา้ ใจ ปลอ่ ยวางได้ กจ็ ะไม่ทุกขก์ บั ...สมมตุ ิ...เหล่าน้นั ขอใหท้ ่านลองพิจารณาไตร่ตรองดวู ่า เคยถกู อปุ าทานในขนั ธ์ หา้ หลอกบา้ ง หรือไม่? เพ่อื จะไดร้ ู้เท่าทนั กนั เสียที อวชิ ชา อวิชชา คือความไม่รู้จริงตามธรรมชาติ ไม่รู้จริงในกฏสจั จะ ธรรม คือรู้ผดิ จากกฏของธรรมชาติ มีความเห็นแตกต่างไปจากความ เป็นจริงของธรรมชาติ แต่ไม่ไดห้ มายความว่ารู้ในส่ิงท่ีไมด่ ี ในสิ่งท่ี ชว่ั หรือเลว วิชชา คือความเห็นท่ีถกู ตรง รู้ตามความเป็นจริงของกฏ ธรรมชาติ ท่ีไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ใครของใคร มนั เป็นของมนั เช่นน้นั เอง แต่ ไมไ่ ดห้ มายความวา่ สิ่งน้นั เป็นส่ิงที่ถกู หรือส่ิงน้นั เป็นสิ่งที่ดี เพราะธรรมชาติมีเพยี งหน่ึงเดียว ไม่มีผดิ ไมม่ ถี กู ไม่มดี ี ไม่มี ชว่ั ธรรมชาติ เป็นของธรรมชาติอยอู่ ยา่ งน้นั ไมเ่ คยเปลยี่ นแปลง ไมว่ า่ ใครจะไปอุปาทานอยา่ งไร วา่ นนั่ ดี นนั่ ไม่ดี นน่ั ผดิ นนั่ ไม่ผดิ ธรรมชาติกย็ งั คงเป็นอยา่ งน้นั ไมเ่ ปลีย่ นแปลงไปตาม ความคิด ความตอ้ งการของใคร
153 ถา้ ยงั คิดว่ามีสิ่งใดผดิ สิ่งใดถกู สิ่งใดดี ส่ิงใดชว่ั นน่ั หมายความวา่ บุคคลน้นั ไดห้ ลงยดึ ในอวชิ ชาไปก่อนหนา้ น้นั แลว้ จึง เกิดมตี วั เราข้ึนมา คือมอี ปุ าทานว่าขนั ธห์ า้ น้ี เป็นตวั ตน จึงรู้วา่ มตี วั เรา มีตวั เขา จึงไดแ้ บ่งวา่ เขาดี เขาไมด่ ี เราดี เราไม่ดี เราถกู เขา ผดิ เขาชว่ั เราดี หรือวา่ สิ่งน้นั ไม่ถกู ส่ิงน้ีไม่ดี ซ่ึงโดยความจริงแลว้ ธรรมชาติไม่เคยแบ่งแยกอะไร มแี ต่ อปุ าทานของผทู้ ี่หลงยดึ เท่าน้นั ท่ีเป็นผแู้ บ่งแยก คนกลมุ่ หน่ึงเห็นคนน้ีว่า....ดี คนกลมุ่ หน่ึงเห็นคน น้ีวา่ ....เลว ทุ่มเถยี งกนั ไป ด่าทอกนั ไป แบ่งกลุ่ม แบ่งพรรค แบ่งพวก ก็ ดว้ ยความเห็นท่ีแตกต่างกนั แลว้ ทาํ ไมทุกคนจึงไมเ่ ห็นเหมือนกนั ว่า.....คน น้ี....ดี แลว้ ทาํ ไมทุกคนจึงไมเ่ ห็นเหมือนกนั วา่ .....คนน้ี....เลว ทาํ ไมตอ้ งมกี ารเห็นที่แตกต่าง ฉนั ว่าคนน้ีดี แต่อีกคนวา่ เลว บรรทดั ฐานอยตู่ รงไหน ท่ีวา่ ดี วา่ เลว เหตุผล ขอ้ หกั ลา้ ง หรือความถกู ใจ ธรรมชาติไมเ่ คยแบ่งแยก แต่อวิชชา คือความไม่รู้จริงตาม ธรรมชาติต่างหาก ท่ีเป็นตวั แบ่งแยก นน่ั คือ มคี วามเห็นผดิ ต้งั แต่ ตน้ คือเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ จึงเห็นว่าขนั ธห์ า้ น้ีเป็นตวั ตน เป็นของตน จึงไดเ้ กิดมเี รา มเี ขาข้ึน ดว้ ยอุปาทานหลงยดึ
154 ว่าขนั ธห์ า้ ของธรรมชาติน้นั เป็นตวั เรา นี่คือ อวชิ ชา คือความเห็นผดิ จากธรรมชาติ เห็นดินน้าํ ลมไฟ ของธรรมชาติ ที่มารวมกนั ตามเหตุปัจจยั ที่ส่งมา แลว้ อปุ าทานวา่ น่ี เป็นตวั เรา นนั่ เป็นของเรา เมอื่ ใดที่เห็นว่าธรรมชาติแบ่งแยกเป็นสอง สิ่ง นน่ั คือความไมเ่ ขา้ ใจในความเป็นธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็น อยา่ งน้นั เอง เป็นอยา่ งเดียวท่ีไมม่ กี ารแบ่งแยก วา่ ดี หรือไม่ ดี ธรรมชาติก็เป็นอยา่ งที่เป็นนน่ั แหละ มนั เป็นอยา่ งน้นั เอง ผทู้ ่ีมีอวิชชา ไปอปุ าทานต่างหาก ว่าเป็นนนั่ เป็นน่ี ว่าดี ว่า ชว่ั วา่ ถกู ว่าผดิ การที่ยงั ตอ้ งวนเวียนอยใู่ นโลกสมมุติ ก็ยอ่ มจะแบ่งแยกว่าเป็น นนั่ เป็นน่ี กแ็ บ่งโดยสมมตุ ิ โดยผทู้ ี่ยงั มอี วชิ ชา มีความเห็นวา่ มี ตวั ตน จึงยงั ตอ้ งสมมตุ ิกนั อยู่ เพ่อื ความเขา้ ใจที่ตรงกนั ว่า เลก็ ใหญ่ กวา้ ง แคบ ยาว ส้นั สูง ต่าํ ดาํ ขาว ถกู ผดิ ดี ชวั่ หากอยเู่ หนือสมมตุ ิ ทุกอยา่ งกไ็ ม่มีจริง เป็นธรรมชาติ ไม่มี ตวั ตน ไมม่ ขี องตน ไมม่ ีการเปรียบเทียบ แบ่งแยกใดๆท้งั สิ้น นน่ั คือมี ความรู้ท่ีถกู ตรงกบั กฏธรรมชาติ คือมี วิชชา คือความรู้จริงตาม ธรรมชาติ ที่ไมไ่ ดเ้ ป็นตวั ตน นน่ั เอง การเรียนรู้ การทาํ ความเขา้ ใจในธรรมะ หรือกฏ ธรรมชาติ ไม่ไดเ้ ป็นเรื่องยากมากมาย หากเห็นได้ รู้จริงได้ ก็ปล่อยวางไดง้ ่ายๆเช่นกนั
155 ดงั น้นั การเขา้ ใจในธรรมะเพ่อื การละวางอตั ตา ละการยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในอุปาทานขนั ธห์ า้ ในอวชิ ชาท้งั หลาย ท่ีเป็นตน้ เหตุใหต้ อ้ ง เวียนว่ายตายเกิด สร้างภพสร้างชาติไม่จบสิ้นน้นั จะว่าเป็นเรื่องยาก....กย็ าก จะวา่ เป็นเร่ือง ง่าย....ก็ง่าย ความง่าย กค็ ือทาํ ความเขา้ ใจไดไ้ ม่ยาก หากเขา้ ใจจริง เห็นจริง ตามน้นั ปฏิบตั ิตาม ละวางอปุ าทานขนั ธห์ า้ ได้ กจ็ ะเห็นผลของการ ปลอ่ ยวาง คือจางคลายจากทุกขไ์ ดน้ น่ั เอง ความยาก ยากตรงไหน ยากตรงที่ จะเช่ือไดอ้ ยา่ งไร...ว่า ธรรมะ วา่ กฏของธรรมชาติ จะเขา้ ใจไดง้ ่ายถึงเพียงน้ี นี่คือความยาก คือยากท่ีจะเชื่อกบั เรื่องง่ายๆ จึงหนั หลงั ให้ แลว้ ไปเสาะแสวงหาคาํ ตอบ หารูปแบบที่ ยากๆ รูปแบบท่ีตอ้ งการต่อไป นี่คือความยาก คือยากที่จะเช่ือไดน้ นั่ เอง ผทู้ ่ีเขา้ ใจได้ ผทู้ ี่มารวมกนั ได้ ก็คือผทู้ ่ีตอ้ งใชป้ ัญญาพิจารณา ไตร่ตรองอยา่ งยง่ิ ยวดในอนั ดบั แรก คือการใหโ้ อกาสตนเอง ไดล้ อง ศกึ ษา ไดล้ องพิจารณา แลว้ ใชป้ ัญญาไตร่ตรอง วา่ ผดิ แผกแตกต่างไป จากธรรมะที่เคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาหรือไม่ แลว้ ใชข้ นั ธห์ า้ น้ี ทดสอบ ทดลอง ว่าจะเห็นผลอยา่ งท่ีไดก้ ลา่ วไวห้ รือไม่ เมือ่ เบาบางจางคลาย ไดจ้ ริง จึงค่อยเชื่อ จึงค่อยมาปฏิบตั ิในส่วนอน่ื ๆ ต่อไป ซ่ึงนน่ั กค็ ือให้ โอกาสตนเอง
156 ดงั น้นั การใชป้ ัญญา การพิจารณาไตร่ตรอง จึงเป็นเร่ืองจาํ เป็น อยา่ งยงิ่ ... เพราะการปฏิบตั ิธรรมของกลุ่มประสานงานเพอื่ การเตือนภยั (เขากะลา) เนน้ การวปิ ัสสนาเป็นหลกั คือการเห็นจริงตามธรรมชาติ โดยการใชป้ ัญญาตดั อปุ าทานในขนั ธห์ า้ นน่ั เอง จึงไม่มรี ูปแบบใหย้ ดึ ติด ใหต้ อ้ งทาํ อยา่ งน้นั อยา่ งน้ี ตอ้ งปฏิบตั ิเช่นน้นั เช่นน้ี ตอ้ งอยใู่ น กรอบอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี ดงั น้นั รูปแบบจึงเปล่ยี นไป ไมเ่ คยทาํ ส่ิงใดนานจนยดึ มนั่ ว่าน่ี คือรูปแบบ และผทู้ าํ งานทุกคน ก็มุ่งเนน้ ที่จะรกั ษาประโยชน์ตนเป็น หลกั คือมุ่งพิจารณาขนั ธห์ า้ เป็นหลกั เพ่ือถอนจากการยดึ มนั่ ถือมน่ั ในอปุ าทานขนั ธห์ า้ วา่ เป็นตวั ตน ของตนนนั่ เอง แกงเขียวหวานไก่....ไม่มีจริง หลายท่านอาจเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังเรื่องของแกงเขียวหวานไก่...ที่ ระบบไดเ้ คยขยายใหฟ้ ังไปบา้ งแลว้ แต่เชื่อว่าหลายท่านอาจจะยงั ไม่ เคยไดร้ ับทราบ และอาจกาํ ลงั สงสยั วา่ แกงเขียวหวานไก่...ทาํ ไมจึง ไม่มีจริง ความจริงแลว้ ส่ิงท่ีระบบไดเ้ คยกล่าวไว้ วา่ ทุกอยา่ งลว้ นเป็น เช่นน้นั เองตามธรรมชาติ มนั เป็นธรรมชาติอยเู่ ช่นน้นั ไม่เคย เปลี่ยนแปลง ไมว่ า่ ใครจะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ไมอ่ าจไป
157 เปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้ ดอกกุหลาบ ดอกกลว้ ยไม้ หรือดอกดาวเรือง กเ็ ป็นดอกไม้ ตามธรรมชาติเท่าเทียมกนั แมจ้ ะมีความแตกต่างกนั ในแต่ละ ลกั ษณะ แต่ละสายพนั ธข์ องตน้ ไม้ แต่เขาเท่าเทียมกนั ในฐานะเป็น ส่วนหน่ึงของธรรมชาติ เกิดอยใู่ นธรรมชาติ ตวั ตน้ ไมก้ ็มอี ยู่ ดาํ รงอยตู่ ามธรรมชาติ โดยไม่เคยเปรียบเทียบ กนั ข้ึนมายงั ไง...ก็เป็นยงั ง้นั ตามธรรมชาติ มีแต่มนุษยเ์ ท่าน้นั ท่ีเป็น ผเู้ ปรียบเทียบ ใครชอบกหุ ลาบกว็ า่ กหุ ลาบดกี วา่ ใครชอบกลว้ ยไม้ ก็ วา่ กลว้ ยไมด้ ีกวา่ ใครชอบดาวเรืองกว็ ่าดาวเรืองดีกวา่ กหุ ลาบดีกวา่ มกี ลน่ิ หอม สีสวย กลว้ ยไมแ้ ขง็ ๆ ยงั ไงไมร่ ู้ ไม่ เห็นสวยเลย กลว้ ยไมด้ กี ว่า สวยคลาสสิค ทนทาน และมีรูปลกั ษณะ สวยงามเป็นช่อ กหุ ลาบไมเ่ ห็นดีเลย หนามเยอะเดี๋ยวกเ็ ห่ียวแลว้ ดาวเรืองดีกว่า ปลกู ง่าย สีเหลอื งบานสะพรั่งดูแลว้ เยน็ ตา บูชา พระก็ได้ ดอกไมท้ ้งั หลาย ไมม่ ีผดิ ไม่มถี กู เขาเกิดมาตามธรรมชาติอยา่ ง น้นั ผทู้ ี่ชื่นชอบดอกไมท้ ้งั หลาย ใครชอบดอกอะไร ก็ไมม่ ผี ดิ ไม่มี ถกู เพราะทุกอยา่ งลว้ นถกู ตอ้ งตามจริตของแต่ละคน แต่ถา้ ชอบดอกกุหลาบ แต่ไม่ชอบดอกดาวเรือง ทุกขใ์ จทุกคร้ังที่เห็น ดอกดาวเรือง นน่ั ยอ่ มไม่ถกู ตอ้ งตามธรรมชาติ เพราะทุกขน์ ้นั มนั เกิด กบั เรา ในขนั ธ์ 5 ของเรา มนั ไม่ไดเ้ กิดกบั ดอกไมเ้ หลา่ น้นั ทุกอยา่ ง
158 เป็นของมนั อยอู่ ยา่ งน้นั เป็นธรรมชาติอยอู่ ยา่ งน้นั ไม่ไดข้ ้นึ อยกู่ บั การ สมมตุ ิของใคร ..แกงเขียวหวานไก่ ธรรมชาติ....การปรุงแต่ง...สมมตุ ิภาษา.... พอกล่าววา่ ....แกงเขียวหวานไก่....หลายคนก็คงมองเห็น ภาพ สีสนั ของอาหารชนิดน้ี กลิ่นของแกงเขยี วหวาน และรับรู้ถงึ รสชาดว่าอร่อยแค่ไหน ความหิวเริ่มถามหา ความอยากทานเขา้ มาแทนท่ี อะไรกนั แค่พดู คาํ ว่า แกงเขียวหวานไก่.. แค่น้ี ทาํ ใหค้ นรู้สึก หิวไดถ้ งึ เพยี งน้ีเชียวหรือ นนั่ เพราะวา่ ...สญั ญาท่ีจดจาํ ไว้ มหี มด ท้งั รูป รส กลนิ่ สีสนั สมั ผสั และเกิดอารมณค์ วามพอใจ เมื่อเอ่ยคาํ ว่า แกงเขียวหวานไก่ ความจาํ ได้ อารมณ์ท้งั หลายเลยพากนั ออกมา เป็ นชุด แต่ถา้ บอกเน้ือไก่ แต่ถา้ บอกมะเขือ แต่ถา้ บอกพริกแกง แต่ถา้ บอกกะทิ แต่ถา้ บอกใบโหระพา แต่ถา้ บอกพริกออ่ น รับฟังไปก็ไม่ไดป้ รุงแต่งอะไรมากมาย เพราะมนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั ตามคุณสมบตั ิเฉพาะของส่ิงของแต่ละชนิด พริกแกงก็ เผด็ กะทกิ ็มนั มะเขือกข็ ่ืนๆ โหระพาก็มกี ลิน่ เน้ือไก่ก็เป็นอยา่ งน้นั พริกออ่ นก็เผด็ ฟังแลว้ กไ็ มท่ าํ ใหเ้ กิดความหิวข้ึนมาได้ ... แต่ถา้ รวมกนั แลว้ กลายเป็น...แกงเขียวหวานไก่ กลบั ทาํ ใหเ้ กิดอยากทานได้
159 เหมือนกนั เพราะสญั ญาที่รับรู้มา มนั ปรุงแต่งใหเ้ กิดความรู้สึกพอใจ เพราะชอบทานแกงเขียวหวานไก่นน่ั เอง แต่จะเขา้ ใจไดห้ รือไมว่ ่า...แกงเขียวหวานไก่...มนั ไม่ไดม้ ีอยู่ จริง มนั เป็นการรวมกนั ของวตั ถุปัจจยั ท้งั หลาย แลว้ ปรุงแต่งไป จน กลายเป็นอกี สิ่งหน่ึง แลว้ สมมตุ ิใหม้ นั ชื่อน้ี ระบบไดแ้ ยกแยะใหฟ้ ังว่า มนุษยช์ อบติดอยกู่ บั สมมตุ ิ ภาษา สมมตุ ิว่าอะไรก็จะจดจาํ แลว้ ก็มีความสุข ความทุกขก์ บั สมมุติ น้นั อยา่ งแยกไม่ออก ดงั น้นั จึงไดอ้ ธิบายวา่ แกงเขียวหวานไก่ เป็นการสมมตุ ิข้ึน เพราะเหตุใด? แกงเขียวหวานไก่ มีวตั ถดุ ิบอะไรบา้ ง ใหบ้ อกมา เน้ือไก่ มะเขือ พริกแกงเขียวหวาน กะทิ พริกออ่ น ใบ โหระพา ทุกอยา่ งใส่แยกไวค้ นละจาน ดนู ะน่ีอะไร เน้ือไก่ น่ีอะไร กะทิ นี่อะไร มะเขือ นี่อะไร พริกอ่อน.... จากน้นั ต้งั ไฟ...แลว้ เอาทุกอยา่ งใส่ลงไปในหมอ้ ตามข้นั ตอน วิธีการ ปรุงใส่เคร่ืองปรุงส่วนผสมเช่น น้าํ ปลา น้าํ ตาล พกั หน่ึงยกลงจากเตา ไฟ เปิ ดหมอ้ ออกมา กลน่ิ หอมฉุย สีสนั สวยงาม ถามวา่ นี่อะไร? แกงเขียวหวานไก่ ไม่ใช่...ไมใ่ ช่ น่ีอะไร? แกงเขียวหวานไก่ ไมใ่ ช่ ไมใ่ ช่แกงเขียวหวานไก่ แกงเขียวหวานไก่ไมม่ ี...น่ีอะไร...?
160 เอาใหม่นะ แยกๆ ทุกอยา่ งออกมา แลว้ ดูกนั ใหม่ นี่อะไร พริก แกง นี่อะไร กะทิ นี่อะไร เน้ือไก่ .....ดนู ะ เอาท้งั หมดใส่หมอ้ รวมกนั ต้งั ไฟ เสร็จแลว้ ยกลง น่ีอะไร แกงเขียวหวานไก่ ไมใ่ ช่ .... แกงเขียวหวานไก่ มที ี่ไหน นี่พริกแกง นี่มะเขือ น่ีกะทิ นี่พริกอ่อน นี่เน้ือไก่ นี่ใบ โหระพา แลว้ ไหนละ่ แกงเขียวหวานไก่ ช้ีไปตรงไหนกป็ ะทะ มะเขือ ช้ีไปตรงไหน ก็ปะทะเน้ือไก่ ช้ีไปตรงไหนกป็ ะทะกะทิ ช้ีไป ตรงไหนกป็ ะทะพริกแกง ไมเ่ ห็นมีแกงเขียวหวานไก่ แกงเขียวหวาน ไก่...ไม่มีจริง แกงเขียวหวานไก่เพ่งิ เกดิ ข้ึน เพิ่งสมมุติข้ึนเดี๋ยวน้ีเอง เมอ่ื สกั ครู่น้ียงั ไมม่ ีแกงเขียวหวานไก่เลย มีแต่สิ่งท่ีนาํ มาปรุงแต่งรวมกนั ผสานกบั ความร้อน จนเกดิ การแปรสภาพจากสิ่งหน่ึงเป็นอกี สิ่งหน่ึง แลว้ สมมุติใหม้ นั ชื่อ แกงเขียวหวานไก่.. เท่าน้นั เอง มวี ตั ถุดิบต่างๆ มารวมกนั มคี วามร้อน จนเกิดการคลกุ เคลา้ เขา้ ดว้ ยกนั เป็นการปรุง แต่งตามเหตุปัจจยั จนเกิดเป็นแกงเขียวหวานไก่ข้นึ มา โดยความเป็น ตวั ตนของแกงเขียวหวานไก่ ไม่มจี ริง ไม่มีตวั ตนจริงๆ มีแต่การ สมมุติตามลกั ษณะอยา่ งน้ี รสชาดอยา่ งน้ี สมมตุ ิใหช้ ่ือแบบน้ี อยทู่ ่ี ใครเป็นคนที่สมมุติใหช้ ่ือน้ี...เป็นคนแรก จากน้นั คนต่อๆมากจ็ ดจาํ บนั ทึกเอาไว้ แลว้ สุข ทุกข์ กบั แกง เขียวหวานไก่...ไดเ้ หมือนกนั คนท่ีชอบ ไดย้ นิ ก็พอใจ เป็นสุข คนไมช่ อบ ไดย้ นิ กไ็ ม่พอใจ
161 เป็ นทุกข์ น่ีคือการปรุงแต่งข้ึนมาเห็นๆ แลว้ สมมุติใหม้ นั เป็นช่ือน้นั ชื่อ น้ี ท้งั ๆท่ีมนั ก็ไม่ไดม้ อี ยจู่ ริงต้งั แต่ทีแรก มเี พยี งคนในภูมภิ าคน้นั ๆ ในประเทศน้นั ๆ ในความเขา้ ใจของ ภาษาน้นั ๆ รับรู้ในสมมุติเดียวกนั จึงบนั ทึกไวเ้ หมือนกนั และมีความ พอใจ ไมพ่ อใจในส่ิงที่สมมตุ ิน้นั เหมือนกนั แต่ถา้ คนประเทศอ่ืน เขา มาเห็น เขากไ็ มม่ สี ุข มีทุกขก์ บั แกงเขียวหวานไก่ เพราะเขาไม่เคย บนั ทึกไว้ เขาก็ไมร่ ับรู้ ไมเ่ กิดความพอใจ ไม่พอใจ เพราะไม่เขา้ ใจ ไม่ รู้รสชาดว่ามนั เป็นยงั ไงนนั่ เอง แกงเขียวหวานไก่ จึงไม่มีอทิ ธิพลกบั คนเหลา่ น้นั นี่คือสมมุติ ใครสมมุติใหส้ ่ิงไหน เรียกอะไร ท้งั ๆที่มนั ไม่ไดม้ ี อยจู่ ริงตามน้นั มนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั เองตามธรรมชาติ สิ่งน้ี รวมกบั สิ่ง น้ี รวมกบั ส่ิงน้ี แลว้ มีกระบวนการปรุงแต่ง ก็เลยออกมาเป็นรูปแบบ เช่นน้ี แลว้ แต่ใครจะเรียกมนั วา่ อะไร จะสมมตุ ิมนั เป็นชื่อแบบ ไหน แกงเขียวหวานไก่ แกงเผด็ ไก่ ผดั พริกไก่ มนั ก็ยงั คงเป็นของมนั แบบน้นั ไมเ่ ปลี่ยนแปลง เพราะมนั ไม่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั วา่ ใครจะเรียกวา่ มนั วา่ อะไร มนั ข้ึนอยกู่ บั วา่ ปัจจยั ท่ีมารวมกนั แลว้ ออกมาเป็นอยา่ งน้นั นน่ั เอง แป้ ง - น้าํ ผสมกนั ป้ันเป็นกอ้ น เลก็ ๆ น้าํ ตาล กะทิ น้าํ รวมกนั ใชก้ ระบวนการความร้อน ก็
162 กลายเป็นขนมบวั ลอย ขนมบวั ลอยมาจากไหน ขนมบวั ลอยเพ่งิ เกิดมาใหม่ หลงั จากนาํ ส่ิงท้งั หลายมาปรุงแต่ง รวมกนั แลว้ สมมตุ ิว่าหนา้ ตาอยา่ งน้นั ...ควรช่ือ บวั ลอย กค็ งไมต่ ่างไป จากธรรมะท่ีไดเ้ คยอ่านมา ไดเ้ ปรียบเทียบไวว้ ่า รถยนตไ์ มไ่ ดม้ จี ริง เป็นโดยสมมตุ ิ...วา่ สิ่งท่ีว่งิ ไดน้ ้ี เรียกว่า รถยนต์ แต่ถา้ แยกออกเป็นชิ้นๆ แลว้ ก็จะเห็นว่า ไมไ่ ดม้ รี ถยนตอ์ ยเู่ ลย รถยนต์ เป็นการสมมุติข้นึ มา เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั เป็นการนาํ เอาส่ิง สมมตุ ิต่างๆ มารวมกนั ประกอบกนั แลว้ เรียกส่ิงน้นั วา่ รถยนต์ เม่ือ แยกออกกไ็ มม่ รี ถยนต์ ช้ีไปท่ีสิ่งใดก็เป็นประตู เป็นตวั ถงั เป็น เคร่ืองยนต์ เป็นพวงมาลยั เป็นกระจก เป็นหมอ้ น้าํ เป็นแบต เตอร์ เป็นท่อไอเสีย ..แลว้ ส่วนไหนท่ีเรียกวา่ รถยนต์ ไมม่ ีรถยนต์ มีแต่การประกอบกนั ของส่ิงต่างๆรวมกนั เขา้ ไว้ แลว้ มกี ระบวนการขบั เคลอื่ นได้ จึงสมมุติใหช้ ่ือว่า รถยนต์ รถยนต.์ ..จึงไมไ่ ดม้ ีอยจู่ ริง ดงั น้นั การสมมตุ ิใดๆ กไ็ ม่อาจเปลี่ยแปลงธรรมชาติได้ เพราะ ธรรมชาติกเ็ ป็นอยอู่ ยา่ งน้นั ไม่ว่าใครจะเรียกอะไร อยกู่ บั สมมตุ ิ แต่อยา่ ไปยดึ ติดในสมมุติ เพราะจะทาํ ใหเ้ ราสุข เราทุกข์ กบั สิ่งสมมุติน้นั ๆ เช่น ถา้ มีใครเอย่ คาํ ว่าโง่ ออกมา แลว้ มองหนา้ เรา เราจะตคี วามหมาย ทนั ที ตามท่ีเคยบนั ทึกไว้ ตามความหมายของคาํ ว่า...โง่ แสดงว่าเขา
163 ว่าเรา หาวา่ เราไมฉ่ ลาด เราไมท่ นั คน เราพดู ไมร่ ู้เรื่อง เรา...... คาํ ว่า.....โง่ .... คาํ เดียว เราแปลความหมายไปไดต้ ้งั มากมาย แลว้ กน็ าํ ไปทกุ ขเ์ สียหลายวนั ความจริงแลว้ เพราะเราเขา้ ใจภาษา เขา้ ใจวา่ แปลวา่ อะไร จึงนาํ ความหมายน้นั มาทาบกบั ตวั เรา ถา้ ไปวา่ คนฝรั่งโง่ เขาอาจยม้ิ ให้ เพราะเขาไม่เขา้ ใจความหมายนนั่ เอง แต่จริงๆแลว้ ใครจะคิดอยา่ งไร ใครจะเขา้ ใจอยา่ งไร เรากย็ งั เป็นของเราอยอู่ ยา่ งน้ี ไม่ไดข้ ้ึนกบั อะไร อยทู่ ี่วา่ ใครมองมมุ ไหน เท่าน้นั คนทจ่ี บปริญาเอก กอ็ าจคิดวา่ คนจบปริญญาตรี...โง.่ ..กว่า คนจบปริญญาตรี กอ็ าจคิดว่า คนจบมธั ยม โง่ กวา่ คนจบ มธั ยม ก็อาจคิดวา่ คนจบ ป.4 โง่ กว่า คนจบ ป.4 กอ็ าจคิดว่า คนไม่ไดเ้ รียนหนงั สือโง่กว่า อา่ นไม่ ออก ซ่ึงจริงๆแลว้ คาํ ว่า โง่ ไมไ่ ดม้ อี ยจู่ ริงในธรรมชาติ อยทู่ ี่ว่าใคร จะสมมตุ ิใหค้ นน้นั ๆเป็น... จากมมุ มองไหนเท่าน้นั จึงไม่ควรไปร้อน รน กระวนกระวาย เสียอกเสียใจ ท่ีเขาว่าเราโง่ เพราะนนั่ เป็นมุมมอง ของเขา ไมไ่ ดเ้ กี่ยวกบั เราท่ีเป็นอยู่ หากเขาจะทุกขเ์ พราะคดิ ว่าเรา โง่ เขาก็ตอ้ งทุกขเ์ อง แลว้ กต็ อ้ งดบั ทกุ ขเ์ อาเอง คาํ วา่ เก่ง ฉลาด ก็ไม่มีจริง เด็กหดั พดู เรียกพอ่ แมไ่ ด้ กเ็ ก่ง กฉ็ ลาดแลว้
164 เดก็ เขา้ อนุบาล ร้องเพลงได้ บวกเลขได้ ก็เก่ง ก็ฉลาดแลว้ แลว้ จะไปยดึ อะไร กบั คาํ สมมุติเหล่าน้นั คนทคี่ นทว่ั ไปเห็นว่าดี แต่คนที่มีอคติ ก็ยอ่ มมมี มุ มองแตกต่าง ออกไป วา่ เลว วา่ ไมด่ ี หรือคนที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าไมด่ ี แต่ก็จะมี คนท่ีนิยมยกยอ่ งอีกมากมาย อยทู่ ่ีว่าใครจะมองมุมไหน ใครจะชื่น ชอบอยา่ งไร แต่คนคนน้นั ก็ยงั เป็นคนๆน้นั อยนู่ น่ั เอง ไม่ไดข้ ้ึนอยู่ กบั ว่าใครจะคดิ อยา่ งไร ถา้ เขา้ ใจ เขาจะสมมตุ ิใหเ้ ราเป็นอะไร กส็ มมุติกนั ไปเถอะ อยา่ ไปยดึ มน่ั ถอื มนั่ เลย แค่คาํ พดู แค่ภาษา เขามองเราจากมมุ ไหน เขาก็ ยอ่ มคิดไปในมุมน้นั แต่มิไดห้ มายความวา่ เราจะเป็นอยา่ งน้นั ตามที่ เขามอง เพราะแมแ้ ต่ขนั ธ์ 5 ท่ียนื เดิน นง่ั นอนอยนู่ ้ี กย็ งั เป็นสมมตุ ิอยู่ ดี ยงั ตอ้ งเพียรละ เพยี รวาง เพยี รพจิ ารณาใหเ้ ห็นว่า น่ีไม่ใช่ตวั เรา ไมใ่ ช่ของเรา เป็นเพียงการรวมของดิน น้าํ ลม ไฟ ปรุงแต่งตาม เหตุปัจจยั จนคลา้ ยกบั มตี วั ตน ของตนข้ึนมา ส่ิงน้ีควรให้ ความสาํ คญั และหมน่ั พิจารณาใหเ้ ห็นความเป็นจริงเสียที ถา้ อยเู่ หนือ สมมตุ ิได้ สิ่งท้งั หลายก็จะเป็นความว่างในทนั ที... เพ่อื หลุดพน้ จาก....โลกสมมตุ ิใบน้ีนน่ั เอง
165 ธรรมะเพอื่ การละวางอัตตาตัวตน ชุดท่ี 4 บรรยายโดย อาจารย์สุดใจ ชื่นสานวน “เวลา” ส่งิ ลา้ ค่าท่มี องไม่เหน็ ? คนเรา อาจมีชีวติ ความเป็นอยทู่ ่ีแตกต่างกนั มที รัพยส์ ินเงินทอง ยศถาบรรดาศกั ด์ิ ไมเ่ ท่าเทียมกนั มคี วามรูค้ วามสามารถ มากบา้ ง นอ้ ยบา้ งแตกต่างกนั มที ้งั สุข มีท้งั ทุกข์ สลบั สบั เปลยี่ นกนั ไปแต่ละ วนั ไม่เท่าเทียมกนั ในแต่ละบุคคล เพราะความไมเ่ ท่าเทียมน้ี จึงมคี วามเห็นผดิ คิดวา่ เราดีกว่า เขา เขาดีกวา่ เรา หรือเราเสมอกบั เขา ซ่ึงเป็นความเห็นผดิ ท่ีไดน้ าํ ไป เปรียบเทียบ จึงเกดิ มมี านะ มีอตั ตาตวั ตนข้นึ มา โดยความเป็นจริงแลว้ ทุกสิ่งไม่ไดเ้ ป็นไปตามความหวงั ความ ตอ้ งการของใคร แต่เป็นไปตามเหตุปัจจยั ที่สะสมมา เมอ่ื ไม่เขา้ ใจความเป็นไปของทุกสรรพส่ิง ก็ยอ่ มเห็นผดิ คดิ เปรียบเทยี บนน่ั เอง ทุกสรรพสิ่ง มีเหตุและผล มกี รรม วิบากกรรม เป็นตวั กาํ หนด ไม่มีใครอยากเกดิ มาพิการ ไมม่ ใี ครอยากเกิดมาอดอยากยากแคน้ ไม่ มใี ครอยากเกดิ มาอาภพั เป็นเดก็ กาํ พร้า ถกู ด่าว่าทุบตี หรือมแี ต่โรคภยั ไขเ้ จบ็ เบียดเบียน
166 ถา้ เลือกได้ ทุกคนกอ็ ยากจะเกิดมาสุขสบาย ร่างกายแข็งแรง มี เงินมีทอง ช่ือเสียงเกียรติยศ มีคนยกยอ่ งสรรเสริญกนั ท้งั น้นั แต่ทาํ ไม เราจึงเกิดมาไมเ่ ท่าเทียมกนั นน่ั กเ็ ป็นเพราะเหตุปัจจยั ท่ีสะสม ไว้ ส่งผลมาใหเ้ ป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้นั แต่ส่ิงหน่ึงที่เท่ากนั แมจ้ ะไมต่ อ้ งการใหเ้ ป็น นนั่ คือ..... เวลา ทุกคนมเี วลาเท่ากนั ในแต่ละวนั แต่ละนาที แต่ละวนิ าที ไม่วา่ ใคร จะทาํ อะไร ท่ีไหน อยา่ งไร เวลาจะผา่ นไปแต่ละวินาทีเท่ากนั วินาทีน้นั จะสนุกสนาน วนิ าทีน้นั จะโศกเศร้าเสียใจ วินาทีน้นั จะมีความสงบภายใน เวลากผ็ า่ นไปเท่ากนั ไม่เลอื กท่ีรักมกั ท่ีชงั คนท่ีกาํ ลงั สนุกสนาน คนที่กาํ ลงั มีความสุข ก็บ่นว่าเวลาผา่ น ไปเร็วเหลอื เกิน คนท่ีกาํ ลงั รอคอยดว้ ยความหวงั หรือกาํ ลงั เผชิญทุกขท์ อ้ ทรมาน กบ็ ่นว่าเวลาผา่ นไปชา้ เหลือเกิน เวลาเท่ากนั แต่อุปาทานแตกต่าง คนที่มคี วามสุข อยากใหเ้ วลาเดินชา้ ๆ ไม่อยากใหถ้ ึงเวลาตอ้ ง จากส่ิงท่ีพอใจ คนท่ีมีความทุกข์ คนท่ีรอคอยอะไร อะไร กอ็ ยากใหเ้ วลาเดิน ไวไว จะไดถ้ งึ เวลาท่ีจะไดพ้ บกบั ส่ิงท่ีตนตอ้ งการเสียที เวลาเท่ากนั ใน 1 วนั 1 ชวั่ โมง 1 นาที 1 วินาที ไม่มีลาํ เอียง ถา้ เวลามีความคิด ความรู้สึกได้ คงจะระอาใจกบั มนุษย์
167 ท้งั หลายที่ก่นด่า ไวกว็ ่า ชา้ กบ็ ่น ความไว ความชา้ อยทู่ ่ีเวลาจริงหรือ? ความไว ความชา้ มนั อยทู่ ี่ว่า ใครตอ้ งการอะไรต่างหาก ถา้ ทาํ งานแลว้ เบื่อหน่าย กอ็ ยากใหเ้ วลาเดินไวไว จะไดก้ ลบั เสีย ที คราวน้ีกร็ อเวลา เวลาเดินชา้ เหลือเกิน กาํ ลงั เที่ยวอยา่ งสนุกสนาน ก็บ่นวา่ เวลาผา่ นไปไว เหลือเกิน ตอ้ งกลบั เสียแลว้ พอจะเชา้ ก็บ่นวา่ เวลาเดินไว ตอ้ งไปทาํ งานอีกแลว้ แต่ละวินาที เวลาผา่ นไปเท่ากนั มนั ไมไ่ ดม้ อี ะไรที่แตกต่างกนั เลย ธรรมชาติ เขาก็เป็นของเขาอยา่ งน้นั เป็นไปตามเหตุปัจจยั แต่ ละขณะ ไม่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั ความตอ้ งการของใครๆ เมื่อมีไอน้าํ ในอากาศมาก กต็ อ้ งมีฝนตกเป็นธรรมดา ฝนตก ชาวไร่ชาวนากด็ ีใจ คนคา้ ขาย กพ็ ร่าํ บ่นเพราะขายของ ไมไ่ ด้ ฝนไมต่ ก คนคา้ ขายกด็ ีใจ ชาวนาชาวไร่ ก็พร่าํ บน่ วา่ พชื ผล เสียหาย ฝนไมต่ กมาเลย ยง่ิ เมอื งใหญ่เช่นกรุงเทพฯ ฝนตกทีไร ความทกุ ขก์ ม็ ากมาย ท่วมเมือง นนั่ เพราะ ฝนตกทีไรไปทาํ งานลาํ บาก รถติดมากมาย ขายของ
168 ไมไ่ ด้ น้าํ ท่วมถนน หรือแดดร้อนท้งั วนั คนทาํ งานในออฟฟิ ตก็ ยนิ ดี คนทาํ งานกลางแจง้ กไ็ ม่พอใจ เพราะตอ้ งทาํ งานไปท่ามกลาง ความร้อนระอุของแสงแดดท่ีแผดเผาน่ะเอง แต่คนทตี่ อ้ งการแสงแดด ก็พอใจ สบายใจ ท่ีแดดออกท้งั วนั ซกั ผา้ แลว้ แหง้ ไดไ้ วดงั ท่ีใจตอ้ งการ ทุกอยา่ ง....เกดิ ตามเหตุปัจจยั ท่ีมาผสมผสานกนั อยา่ ง พอเหมาะ พอสมของธรรมชาติ แลว้ ก็เกิดเหตุการณ์อยา่ งน้นั อยา่ ง น้นั ข้ึน ดงั น้นั การใชช้ ีวติ อยใู่ นโลกปัจจุบนั ยอ่ มหลกี เล่ียงในการที่ ตอ้ งเผชิญกบั ความทุกขไ์ มไ่ ดเ้ ลย สภาวะอารมณ์ตอ้ งแปรเปล่ยี น ข้ึนลงกบั สถานการณ์รอบขา้ ง ตลอดเวลา เรียกว่า ความทุกขม์ นั เรียกหาทุกเวลานาทีนนั่ เอง เพราะความเขา้ ใจผดิ ไมเ่ ขา้ ใจในความเป็นไปของทุกสรรพส่ิง ใน.. กามตณั หา (อยากได)้ อยากไดส้ ่ิงน้นั ส่ิงน้ี ภวตณั หา (อยากมี อยากเป็น) อยากมีสิ่งน้นั ส่ิงน้ี อยากเป็น อยา่ งน้นั อยา่ งน้ี และวิภวตณั หา (ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น) ไมอ่ ยากเป็นอยา่ งน้ี เลย ที่ในสภาวะขณะน้นั มนั ตอ้ งได้ ตอ้ งมี ตอ้ งเป็น ของมนั อยา่ ง น้นั อยแู่ ลว้
169 แต่ไม่เห็นตามสภาวะท่ีมนั เป็น ไมพ่ อใจ อยากเปล่ียนใหม้ นั เป็นไปดงั ที่ตอ้ งการ นน่ั คือ....อยากไปเปลีย่ นแปลงใหม้ นั เป็นอยา่ ง น้นั อยา่ งน้ี อยา่ งท่ีเราตอ้ งการ แต่เพราะมนั เป็นสิ่งท่ีบงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ มนั จึงไม่เป็นไปดงั ที่ ใครๆตอ้ งการ สิ่งที่เราอยากได้ กก็ ลบั ไมไ่ ด้ สิ่งที่เราอยากใหม้ ี กก็ ลบั ไมม่ ี สิ่งท่ีเราอยากใหเ้ ป็น กก็ ลบั ไมเ่ ป็น สิ่งที่เราไม่อยากใหเ้ ป็น ก็กลบั เป็น เม่ือมนั ไม่เป็นไปดงั ตอ้ งการ....เราก็เลยเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็น ทุกขเ์ ลก็ ๆ หรือทุกขใ์ หญ่ๆ กไ็ ม่มีใครตอ้ งการท้งั น้นั แมก้ ระทง่ั พายไุ ซโคลน แผน่ ดินไหว ภูเขาไฟระเบดิ ที่คร่า ชีวิตคนมากมายอยใู่ นนานาประเทศในขณะน้ี บา้ นเรือนเสียหาย ผคู้ น ลม้ ตาย แมจ้ ะไมอ่ ยากใหม้ นั เกิดข้ึน แต่เพราะไม่ไดม้ ใี ครไปบงั คบั บญั ชากบั ธรรมชาติได้ มนั เกิดข้ึนตามเหตุปัจจยั ที่ผสมผสานกนั ใน ขณะน้นั ๆ แมไ้ ม่ไดม้ ใี ครอยากใหเ้ ป็นเช่นน้นั แต่ความตอ้ งการท้งั หลาย ก็ ไมไ่ ดไ้ ปเปลี่ยนเหตุปัจจยั ของธรรมชาติไดเ้ ลย ลม ท่ีก่อตวั เป็นพายใุ หญ่พดั ถลม่ สหรัฐอเมริกาอยา่ งมากมาย น้นั มนั ก่อตวั ข้ึนมากมายนบั เป็นร้อยๆลกู มใี ครไปหา้ มไดไ้ หม? มี ใครอยากใหเ้ กิดไหม?
170 ไมม่ ีใครอยากใหเ้ ป็น แต่มนั กต็ อ้ งเป็น มนั ไมไ่ ดข้ ้ึนอยกู่ บั ใคร มนั ข้ึนอยกู่ บั เหตุปัจจยั น้นั ๆ แลว้ ประเทศท่ียงิ่ ใหญ่มากมายในทางโลกอยา่ งสหรัฐ ต่อให้ ยง่ิ ใหญ่แค่ไหนกย็ งั สูก้ บั ธรรมชาติไมไ่ ดอ้ ยดู่ ี หรือต่อใหป้ ระเทศใดๆ ก็ตาม ก็ไปหา้ มปรามธรรมชาติไมไ่ ด้ ยกเวน้ เตือนกนั ไป หลบล้ีหนี ภยั ไดเ้ ท่าไรเท่าน้นั เพราะฉะน้นั ธรรมชาติยง่ิ ใหญ่เหนือสิ่งใด และธรรมชาติกไ็ ม่ เคยทาํ ตามความหวงั ความตอ้ งการของใครๆ เขาเป็นของเขาอยา่ งน้นั ในขณะหน่ึงของธรรมชาติ ใน 1 นาทีน้ี ที่ธรรมชาติตอ้ งเป็น อยา่ งน้นั กส็ ามารถทาํ ใหค้ นส่วนหน่ึงสุข คนส่วนหน่ึงทุกข์ คนส่วน หน่ึงไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็ได้ เพราะความหลากหลายของความตอ้ งการ แลว้ ไดด้ งั ใจ หรือ ไม่ไดด้ งั ท่ีใจตอ้ งการ จึงสุข จึงทุกขก์ นั ไป ท้งั ๆที่ก็ไมอ่ าจ เปล่ยี นแปลงธรรมชาติในขณะน้นั ไดก้ ็ตาม ดงั น้นั ในช่วงเวลาน้นั ๆ เวลาก็ผา่ นไปเท่ากนั คนท่พี อใจ ฝน ในนาทีน้นั เวลาก็ผา่ นไปดว้ ยความสุขใจ คนท่ีไม่พอใจ ร้อนรน ในใจ เวลาก็ผา่ นไปหน่ึงนาทีเท่ากนั คนท่ีไม่สุขไมท่ กุ ขก์ บั ฝนน้นั ก็ เพราะรู้ และเขา้ ใจในความเป็นไปของธรรมชาติแลว้ สงบได้ ก็ผา่ นไปหน่ึงนาทีเท่ากนั เวลาที่ผา่ นไปเท่ากนั แต่ ความเห็น ความตอ้ งการ และอปุ าทานแตกต่างกนั ไป ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั
171 เหตุปัจจยั ท่ีแต่ละคนมี ดงั น้นั การที่เรามจี ิตข้ึนลงตลอดเวลา สุขทุกข์ ตลอดเวลา พอใจไมพ่ อใจตลอดเวลา นนั่ เป็นเพราะว่าสิ่งที่เขา้ มา กระทบในชีวติ ประจาํ วนั แลว้ เรายดึ มนั ในทุกๆเร่ือง แลว้ เราก็อยาก ใหม้ นั เป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี อยา่ งท่ีเราตอ้ งการ ส่ิงท่ีเราอยากใหเ้ ป็น แลว้ มนั ไม่เป็นดงั หวงั เราอยากให้ ได้ แลว้ มนั ไม่ไดด้ งั หวงั หรือเราไมอ่ ยากใหเ้ ป็นอยา่ งน้ีเลย แลว้ มนั กลบั เป็นอยา่ งท่ีไมต่ อ้ งการ เรากจ็ ะทุกข์ เพราะอยากบงั คบั บญั ชาให้ เป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี แลว้ มนั ไม่ไดด้ งั ตอ้ งการ เวลา 1 นาที ที่อกี คนมคี วามสุข อีกคนมคี วามทุกข์ อกี คนมี ความสงบท่ามกลางสถานการณ์ท่ีวนุ่ วาย เท่ากนั ใน 1 นาที แต่วา่ ส่ิงที่ มี ที่เป็นแต่ละท่านมใี นภาวะจิตขณะน้นั ไมเ่ ท่าเทียมกนั เวลา.. สมมุติเวลาน้ี.. ที่ไมเ่ คยลาํ เอียงเขา้ ขา้ งใคร อยากใหเ้ วลา เดินชา้ ๆ อยากใหเ้ วลาผา่ นไปเร็วๆ หรือไมเ่ คยสนใจว่าเวลาจะผา่ นไป ชา้ เร็วเท่าไร เพราะเห็นความเป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้นั ในปัจจุบนั ขณะ อยตู่ ลอดเวลาน้นั เวลาท่ีผา่ นไปกเ็ ท่ากนั ใน 1 นาที นี่คือความยตุ ิธรรม ของธรรมชาติ น่ีคือความเท่าเทียมกนั ท่ี ธรรมชาติมีใหก้ บั ทุกสรรพส่ิง ใครท่ีนอ้ ยใจวา่ เราเกิดมาไมเ่ ท่าเทียมกบั คนอน่ื น้นั ทาํ ไมคน น้นั มที รัพยส์ มบตั ิ มีเงินมที องมากมาย ทาํ ไมคนน้นั มอี าํ นาจวาสนา ใหญ่โต ทาํ ไมคนน้นั มธี ุรกิจมากมาย ทาํ ไมคนน้นั มีชื่อเสียง
172 และมองอกี ดา้ น ทาํ ไมคนน้นั ลาํ บากยากจน ทาํ ไมคนน้นั ตอ้ งหาเล้ยี ง ตนอยา่ งค่นแคน้ ทาํ ไมคนน้นั พกิ ลพกิ าร กาํ พร้าน่าเวทนายง่ิ นกั แลว้ ทาํ ไมคนน้นั ความเป็นอยกู่ ็ไมไ่ ดร้ ่าํ รวยอะไร ทาํ งานไป วนั ๆ มเี งินไม่มากมาย แต่ทาํ ไมดเู หมือนเขากม็ คี วามสุขไดแ้ ค่ในส่ิงท่ี เขามี สุข ทุกข์ วดั กนั ท่ีอะไร? แลว้ ....อะไร....คือสิ่งที่สาํ คญั ... 1 นาทีท่ีคุณมีนนั่ แหละ สาํ คญั ท่ีสุดแลว้ 1 นาที ท่ีคุณมีโอกาสเลือกได้ วา่ จะทุกข์ จะสุข หรือจะปล่อยวางขนั ธห์ า้ ท่ีมีอวิชชาเป็นตวั นาํ และเป็นมลู เหตุ ของความทุกขท์ ้งั หลาย คุณเลอื กได้ ที่จะเป็น 1 นาทีของคนมีเงินพนั ลา้ นแลว้ นอนรอความตาย สมบตั ิ ท้งั หลายจะมคี วามหมายอะไร แค่เอามาแลกกบั เวลาที่ยงั เหลือนอ้ ย นิด ใหย้ าวออกไปไดส้ กั วนั สกั เดือน สกั ปี เท่าน้ีก็พอใจแลว้ ทรัพยส์ ินท้งั หลายยอ่ มไม่มคี ่า แค่มีเวลาเพม่ิ อีกสกั นิดใหก้ บั ชีวิต เท่าน้นั แลว้ เราล่ะ ทิ้งขวา้ งเวลากนั ทุกนาที ดว้ ยความคิดที่วา่ ...ยงั มี เวลาเหลือเฟื อ ความประมาทน้ี มีอยใู่ นเรา เรา ท่าน ท่าน ทุกคน แต่ความประมาทน้ี ไมม่ ีอยใู่ นผรู้ ู้ ผฝู้ ึกตนดีแลว้
173 จากพระไตรปิ ฎก ภาษาไทย ฉบบั หลวง เล่มท่ี 14 “ภทั เทกรตั นสูตร” ขอ้ ที่ 527 ไม่ควรคาํ นึงถงึ ส่ิงที่ลว่ งแลว้ ไมค่ วรหวงั ส่ิงท่ียงั มาไมถ่ ึง ส่ิงใด ล่วงไปแลว้ สิ่งน้นั เป็นอนั ละไป ส่ิงใดยงั ไม่มาถึง สิ่งน้นั เป็นอนั ยงั มา ไมถ่ ึง บุคคลจึงควรเห็นแจง้ ในธรรมะปัจจุบนั อนั ไม่ง่อนแง่น ไม่ คลอนแคลน พึงเจริญธรรมน้นั เนืองๆ ใหป้ รุโปร่งเถดิ พึงทาํ ความ เพียรใหไ้ ด้ ในวนั น้ีแหละ เพราะใครเล่า จะรู้ความตายในวนั พรุ่งน้ีได้ การผดั เพ้ียนกบั ความตาย ยอ่ มไมม่ ีแก่เราท้งั หลาย 1 นาทีของท่านจะสาํ คญั ท่ีสุด... ถา้ 1 นาทีน้นั ไดพ้ บพระธรรม มโี อกาสไดเ้ ห็นสจั ธรรม นนั่ สาํ คญั ที่สุด สาํ คญั มากกว่าชีวติ ท่ยี งั เวียนว่ายตายเกิดดว้ ยความไม่รู้ มากมายนกั เหมือนคาํ กล่าวทางธรรมท่วี า่ คนเกิดมาร้อยปี แลว้ ไมพ่ บ ธรรมะ ถอื ว่าเกิดมาชาติน้นั กเ็ ป็นโมฆะบุรุษ คือไม่เห็นสจั ธรรม ยงั คงเวียนวา่ ยตายเกิดไปอยา่ งไมม่ ที ิศทาง สูค้ นท่ีเกดิ มาวนั เดียวแลว้ พบธรรมะ พบสจั ธรรมยงั ไมไ่ ดเ้ ลย นน่ั คือ ต่อใหม้ ีเวลายาวนานแค่ไหน ถา้ ไมเ่ ห็นทางไปที่ถกู ตรง ก็ถอื ว่าเสียเวลาไปอยา่ งน่าเสียดายที่สุด ในการมโี อกาสเกิดมา
174 เป็นมนุษยใ์ นภพชาติน้ี แต่วนั เดียวน้ี ถา้ ไดม้ ีโอกาสรู้ ไดม้ ีโอกาสเห็นความเป็นจริง ของสจั ธรรมแลว้ เห็นกฏไตรลกั ษณ์แลว้ เขากจ็ ะมแี นวทางของการ ปฏบิ ตั ิ แต่ละนาทีที่ผา่ นไปเขาไดเ้ ห็นสจั ธรรม ละการยดึ มนั่ ถอื มนั่ ที ละนอ้ ย ทีละนอ้ ย แมเ้ วลาท่ีมีแค่วนั เดียวน้ี เม่ือเขา้ ใจ ภพชาติใหมท่ ี่ ตอ้ งเกิดมา กจ็ ะละอวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน ต่อเนื่องไปจากชาติท่ีผา่ น มา เรียกว่าการบนั ทึกมุง่ ไปในแนวทางใด ธาตุรู้กจ็ ะบนั ทึกไวแ้ ลว้ ส่ง ต่อไปในแนวทางน้นั กจ็ ะลด ละ เลกิ ปลอ่ ยวาง เห็นความว่างจาก ความเป็นตวั ตนของตน ก็จะเพยี รปฏบิ ตั ิตามฐานความเห็นถกู ตรง ต่อไปเร่ือยๆ เรียกวา่ เกิดมาเพื่อปฏบิ ตั ิต่อเน่ืองต่อไปจนกว่าจะเกิด ปัญญาเห็นธรรม หรือเห็นธรรมชาติตามจริงจนได้ หลุดพน้ จาก ความเห็นผดิ ยดึ ติดในตวั ตนได้ ในชาติใดชาติหน่ึงนนั่ เอง เวลาของอดีตท่ีผา่ นมา ก็ผา่ นไปแลว้ จะกลบั ยอ้ นไปเปลี่ยน ใหมก่ ็ไม่ได้ เวลาท่ีคาดหวงั ในอนาคต ยงั ไม่มาถงึ จะไปคาดหวงั จะไปคิด ล่วงหนา้ กไ็ มม่ ปี ระโยชน์อะไร เพราะยงั ไปไม่ถึง เวลาท่ีท่านมี.. แมเ้ พยี งเส้ียววนิ าทีใน.. “ปัจจุบนั ”.. นน่ั แหละ สาํ คญั ท่ีสุด
175 โลกว่างเปล่า พระอานนทท์ ูลถามพระพทุ ธเจา้ วา่ ที่เรียกวา่ โลกว่างเปลา่ น้นั เป็ นเช่นไร? พระองคต์ รัสว่า อายตนะ วญิ ญาณ ผสั สะ และเวทนา เป็นของ วา่ งเปล่า เพราะวา่ งจากตน จากความเป็นของของตน จากหนงั สือพระไตรปิ ฎก ฉบบั เยาวชน เลม่ ท่ี 5 อา้ งจาก สุญญ สูตร เลม่ 18 ขอ้ 104-110 ……………….. สมมุติ.. คาํ ส้นั ๆ แต่ไมร่ ู้เท่าทนั กนั เสียที โลกว่างเปลา่ เพราะเป็นธรรมชาติ เป็นของวา่ ง และวา่ งจากการเป็นตวั ใคร ของใคร แต่เพราะความมอี วชิ ชา คือความเห็นผดิ คิดว่าเป็นตวั ตน จึงไดย้ ดึ เอาดินน้าํ ลมไฟที่ประกอบกนั ข้ึนมา ว่านี่เป็นตวั ตน ของตน เป็นจริง เป็นจงั เป็นเรา เป็นเขา ท้งั ๆที่โดยแทแ้ ลว้ ทุกส่ิงเป็นธรรมชาติ เป็นการประกอบกนั ตามเหตุ ปัจจยั เป็นการรวมกนั ของดินน้าํ ลมไฟ โลกน้ีจึงวา่ งอยโู่ ดยความเป็น ธรรมชาติอยา่ งน้นั อยแู่ ลว้ ไมไ่ ดม้ กี ารแบ่งแยกใด ๆ
176 แต่เมือ่ เห็นผดิ คิดว่ามตี วั ตน จึงยดึ เอากอ้ นดินน้าํ ลมไฟ ท่ีรวมกนั ตาม เหตุปัจจยั แลว้ ยดึ ครองไดน้ ้ี สมมุติวา่ เป็นตวั เรา แลว้ กอ้ นอวชิ ชา กอ้ นอน่ื ๆ รายรอบน้นั สมมุติใหเ้ ป็นตวั เขา แลว้ สมมตุ ิอืน่ ๆ ก็ตามมา เหตุเกิดเพราะอวชิ ชา ความไมร่ ู้จริง เห็นสิ่งที่ไม่มี วา่ มี นน่ั เอง โลกจึงอยโู่ ดยสมมตุ ิ สมมตุ ิว่าเป็นสตั ว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา วนั น้ี เราจึงควรมาเรียนรู้สมมตุ ิกนั สกั นิด เพราะยงั ยดึ ติดอยใู่ นสมมตุ ิ .. กนั มากเหลอื เกิน.. สมมตุ ิว่ามี.. เรา มาเล่าเรื่องสมมุติกนั ธรรมชาติ มเี พยี งหน่ึงเดียว ไม่มีการแบ่งแยก ทุกสรรพส่ิงกเ็ ป็น เช่นน้นั โดยธรรมชาติ คงสภาพความหน่ึงเดียวของธรรมชาติ ดว้ ย ความท่ีมนั เป็นเช่นน้นั เอง ธรรมชาติแทม้ เี พียงหน่ึงเดียว ไม่มสี อง ไมม่ แี บ่งแยก ไมว่ า่ ใครจะเรียกสิ่งน้นั ๆ ว่าอะไร แต่สิ่งน้นั กย็ งั คงเป็นสิ่งน้นั อยนู่ นั่ เอง ไมข่ ้ึนกบั สมมตุ ิบญั ญตั ิแต่อยา่ งใด ธรรมชาติ มหี น่ึงเดียว คือสภาพของธรรมชาติที่รวมกนั อยู่ ณ ขณะหน่ึงๆ
177 มนั เป็นสภาพโดยธรรมชาติในขณะน้นั ๆ ไมม่ ใี หญ่ ไม่มเี ลก็ ไมม่ ีหนกั ไม่มเี บา ไม่มยี าว ไม่มสี ้นั ไมม่ ี สูง ไม่มตี ่าํ ไม่มีดาํ ไม่มีขาว กอ้ นหิน 1 กอ้ น เขาก็เป็นกอ้ นหินวางอยอู่ ยา่ งน้นั เมอื่ มหี ินอีก 1 กอ้ นมาวางขา้ งกนั ต่างกเ็ ป็นกอ้ นหินอยา่ งน้นั แต่เมือ่ แมใ่ ชใ้ หไ้ ปหยบิ กอ้ นหินมากอ้ นหน่ึง ลกู วิง่ ออกไป แลว้ ก็ไมร่ ู้ว่าจะไปหยบิ กอ้ นหินกอ้ นไหน แม่กบ็ อกว่า หยบิ หินกอ้ น...\"เลก็ \"....มา เมอ่ื น้นั “สมมตุ ิใหม”่ กเ็ กิดเพิ่มข้ึนมา กอ้ นหินกอ้ นน้นั มนั จะ ถกู เปรียบเทียบโดยสมมตุ ิทนั ที มนั จะกลายเป็น “เลก็ ” ไปโดย ปริยาย แลว้ สมมุติของมนั ก็เปลยี่ นไปเรื่อยๆ เมอื่ มสี ่ิงอ่ืนเขา้ มา เก่ียวขอ้ ง ถา้ หยบิ กอ้ นเลก็ มาวางอกี ที่หน่ึง มนั มกี อ้ นเดียว มนั กเ็ ป็นกอ้ น หินที่มสี มมุติเดียว คือชื่อว่า กอ้ นหิน แต่ถา้ มีอีกกอ้ นมาวาง แลว้ เลก็ กว่า หินกอ้ นน้ีกจ็ ะมสี มมตุ ิเพม่ิ ข้ึนมาในทนั ที ว่ากอ้ นหิน..กอ้ นใหญ่ เป็นหินกอ้ นใหญ่ เพราะมกี อ้ นเลก็ กอ้ นใหมม่ าใหเ้ ปรียบเทียบ ตวั กอ้ นหิน กไ็ มไ่ ดอ้ ยากเป็นกอ้ นใหญ่ หรือกอ้ นเลก็ แต่เพราะ มนั บงั คบั บญั ชาไม่ได้ อยทู่ ี่ใครจะสมมุติใหว้ ่ามนั เป็นอะไร ลองคิดดูวา่ หินกอ้ นน้ี มสี มมุติภาษาซอ้ นๆๆๆ อกี สกั เท่าใด สมมตุ ิแรก เป็นสมมตุ ิของธรรมชาติ ดินน้าํ ลมไฟ ที่ประกอบ
178 กนั ข้ึนมาตามเหตุปัจจยั และเป็นลกั ษณะรูปแบบอยา่ งน้นั เอง ไมไ่ ดม้ ี ช่ืออะไร สมมุติที่ 2 ใครพบเห็นแลว้ ต้งั ชื่อใหว้ า่ เป็น....กอ้ นหิน สมมุติที่ 3 หินกอ้ นน้ีมลี กั ษณะเท่าน้ี แต่มนั มีสมมุติใหเ้ ลก็ ให้ ใหญ่ ใหก้ ลางได้ ในเมือ่ มสี ิ่งอื่นใดมาเปรียบเทียบ สมมตุ ิที่ 4 หากหินกอ้ นน้ีมกี ารคน้ พบวา่ เป็นหินควอตซ์ มนั ก็ จะมชี ่ือควอตซ์ ตามมา สมมุติที่ 5 คนมาหา บอกวา่ มนั สวยกวา่ อกี กอ้ น หินน้ีเลย กลายเป็ นหินสวยงาม สมมุติที่ 6 หินควอต์ ถา้ หากรู้ว่ามีคณุ สมบตั ิ รับพลงั งาน ได้ รักษาคนได้ มนั กจ็ ะเป็นหินรักษาทนั ที ดิน น้าํ ลม ไฟ จบั ตวั กนั (ธรรมชาติ) เป็นกอ้ น ลกั ษณะแข็ง (ตามสมมุติ) เรียกกอ้ นหิน (สมมตุ ิลกั ษณะโดยรวม) ชื่อ หินควอท กอ้ นขนาดเลก็ มีความสวยงาม ใชร้ ับพลงั จากหินกอ้ นหน่ึงท่ีไมม่ ีใครสนใจ จะกลายเป็นหินท่มี ี ความหมายไปในทนั ที กอ้ นหินก็จะรุงรัง ดว้ ยมสี มมตุ ิตามเกาะมนั มากมาย แลว้ คนทวั่ ไปก็แยง่ ไขว่ควา้ หามนั ในทนั ที จากวา่ ง กลายเป็นวนุ่ จากเบาสบาย กลายเป็นรุงรัง ดว้ ยสมมตุ ิ มากมายที่มนุษยต์ ้งั ให้ และหินกอ้ นน้ีตอ้ งแบกไปดว้ ย แต่ว่าตวั ของกอ้ นหิน มนั อาจจะไม่ไดร้ ูว้ า่ ใครๆเอาอะไรมาใส่
179 ใหม้ นั เพราะมนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั มนั อยอู่ ยา่ งอสิ ระ มนั ก็ไม่ไดต้ ิด ในสมมุติอะไร จะอีกก่ีสมมุติท่ีทบั ซอ้ นกนั เขา้ ไป หินกอ้ นน้ี ก็ยงั คงความเป็น สภาวะของธรรมชาติอยอู่ ยา่ งน้นั คนที่สมมุติมนั ต่างหาก ท่ีอาจ สุข อาจทุกข์ อาจพอใจ อาจไมพ่ อใจ ไปกบั กอ้ นหินกอ้ นน้ี ไม่เป็ นทวนิ ิยม อณุ หภมู ิของน้าํ มีแต่ร้อนมาก หรือร้อนนอ้ ย ไม่มีร้อน หรือเยน็ ธรรมชาติแทจ้ ริงไม่เป็นทวนิ ิยม น่ีเป็ นกฎธรรมชาติ การแกป้ ัญหาของมนุษย์ ตอ้ งไมม่ ฝี ่ ายใด ถกู ผดิ ดี ชว่ั แพ้ ชนะ ฯลฯ แต่ดว้ ยการปรองดองในทางสายกลาง ดว้ ยความรู้สึกวา่ สตั วท์ ้งั หลายเป็นเพ่ือนทุกข์ เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น จึงจะถกู ตรงกบั กฎของธรรมชาติ แลว้ จะแกป้ ัญหาได้ จากหนงั สือธรรมะ ฝนประปราย ของ วรธมั
180 ตน้ ไม้ กี่ตน้ กี่ตน้ ที่ข้ึนมา มนั กเ็ ป็นของมนั อยา่ งน้นั มนั มี คุณสมบตั ิแต่ละอยา่ งแตกต่างกนั ไป ใหผ้ ล ใหด้ อก แตกตา่ งกนั ไป มนั ก็ไมไ่ ดร้ ู้วา่ มนั ช่ืออะไร แลว้ แต่ใครจะเรียกมนั วา่ ตน้ อะไร ผลอะไร มนั กไ็ มไ่ ดร้ ุงรังไป กบั สมมุติที่ไปต้งั ใหม้ นั แลว้ ทาํ ไม เรา...ก็อยใู่ นโลกสมมตุ ิเช่นกนั ยงั รุงรังไปดว้ ย สมมุติมากมาย ที่ใครๆเขาต้งั ให้ เป็นพี่ เป็นนอ้ ง เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นป้ า เป็นอา เป็นนกั เรียน เป็นอาจารย์ เป็นคนดี เป็นคนเลว เป็น คนสวย เป็นคนไมส่ วย สมมุติใดๆ ถา้ เขา้ ใจก็จะไมต่ ดิ ในสมมตุ ิน้นั ๆ ทาํ หนา้ ท่ีทุกอยา่ ง ไดอ้ ยา่ งไมย่ ดึ มน่ั ถอื มนั่ เป็นพ่อ กท็ าํ หนา้ ท่ีพ่อไปตามความเหมาะสม เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นพ่ี เป็นนอ้ ง ก็ทาํ หนา้ ที่ไปตามความ เหมาะสม เป็นเด็ก เป็นผใู้ หญ่ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครู เป็นหวั หนา้ เป็นลกู นอ้ ง หรือจะเป็นอะไร ต่ออะไร กท็ าํ หนา้ ท่ีตามที่ไดเ้ กิดมาใน สมมุติน้นั ๆอยา่ งเหมาะสม ธรรมะคือหนา้ ท่ี...น่ีเป็นเรื่องถกู ตอ้ ง ท้งั ๆท่ีรู้วา่ เป็นสมมตุ ิ แต่กย็ งั ยดึ ตดิ ในสมมุติ ยงั ทุกข์ ยงั ห่วงหา อาทรกบั สมมตุ ิน้นั ๆ ไมเ่ พยี รเร่งทาํ ความเขา้ ใจ ทุกขท์ รมานมากมาย เมื่อหมดเวลา เพราะตอ้ งตายจากชาตนิ ้ีไป คืนดินน้าํ ลมไฟสู่ ธรรมชาติ กจ็ ะตอ้ งไปสมมตุ ิใหม่ ไปมพี อ่ มีแม่ มพี ี่ มนี อ้ ง มลี กู เมีย
181 ในชาติถดั ๆไปกนั อีก ก็ยดึ กนั ใหม่ สมมตุ ิกนั ใหม่ ทุกขส์ ุขกนั ใหม่ ในภพชาติ ต่อๆไปท้งั สิ้น ครอบครวั ใหม่ๆ กบั ภพชาติใหม่ๆ ท่ีต่อเนื่องยาวนานกนั มาแค่ ไหนแลว้ ก็ไมร่ ู้ แลว้ ทุกขก์ บั เรื่องสมมุติกนั มาเท่าไร ถา้ เขา้ ใจใหต้ รงกบั ความเป็นจริง ทุกขจ์ ากสมมุติ...กห็ ลอกกิน เราไม่ได.้ ..เพราะความเขา้ ใจและรู้เท่าทนั นน่ั เอง อยา่ งเช่น คนท่ียดึ ตดิ รูปลกั ษณ์ ความสวย ความงาม ความ หล่อ ของร่างกาย อยกู่ บั สมมุติได้ แต่ตอ้ งเขา้ ใจสมมุติใหถ้ กู ตรง ถา้ ยนื คนเดยี ว เรากเ็ ป็นอยา่ งน้ีแหละ สบายๆ แต่มีคนใหม่มายนื ขา้ งๆ คนเดินผา่ นมา ซุบซิบวา่ เราหนา้ ตา ดีกว่าอกี คน ยม้ิ นอ้ ย ยม้ิ ใหญ่ มีความสุข เพราะเราสวยกวา่ หลอ่ กว่า แต่พอคนน้ีเดินไป คนใหม่เดินมายนื ขา้ งๆ รูปร่างสวยงาม คน เดินผา่ นมาแลว้ ซุบซิบกนั ว่า คนน้นั สวยจงั ตอนน้ีเรากลายเป็น...ไมส่ วย...ไปแลว้ ตอนน้ี เม่อื มีของสองส่ิงค่กู นั เมือ่ น้นั ยอ่ มมีการเปรียบเทียบ แลว้ กต็ อ้ งสมมุติสิ่งหน่ึงข้นึ มาเปรียบเทียบกนั สวย ไมส่ วย หล่อ ไม่หลอ่ หนุ่มกวา่ แก่กวา่ เด็กกว่า ก็ไม่ได้
182 มจี ริง มนั เป็นสมมุติเพอื่ เปรียบเทียบนน่ั เอง หนา้ ตาอยา่ งน้ี ก็คือหนา้ ตาอยา่ งน้ีแหละ ใครจะเรียกอะไรก็ ตามที ถา้ ยงั ข้ึนลงไปกบั สมมตุ ิภาษา ท่ีเรียกขานกนั ว่าอยา่ งน้นั อยา่ งน้ี แลว้ จะรุงรัง มากมาย จะทุกขอ์ กี เท่าไร หากตอ้ งเร่งขน ขวาย ตะเกียกตะกายเพ่อื ใหส้ วย ใหห้ ล่อไดต้ ามที่ใครๆสมมตุ ิน้นั ซ่ึงแมแ้ ต่ทางธรรมะ ยงั ไมใ่ หเ้ ปรียบเทียบเลยว่า เราดีกวา่ เขา เขาดีกว่าเรา หรือเราเสมอเขา เพราะการเปรียบเทียบ ก็ยอ่ มตอ้ งมี 2 สิ่งมาเปรียบเทียบกนั จึง ตอ้ งมี ดีกวา่ สวยกวา่ หล่อกวา่ ใหญ่กว่า ขาวกวา่ หนกั กวา่ แลว้ แต่ จะเปรียบเทียบกบั อะไร ซ่ึงความจริง ทุกส่ิงมนั ก็เป็นของมนั อยา่ งน้นั มนั กต็ ้งั อยใู่ น ปัจจุบนั ขณะน้นั ๆแหละ แลว้ แต่ใครจะสมมุติใหม้ นั เป็นอะไร สมมุติ ใหเ้ ป็นคน เป็นสตั ว์ เป็นหมา เป็นแมว เป็นนก เป็นส่ิงน้นั เป็นส่ิงน้ี เป็นชื่อน้นั เป็นช่ือน้ี ท้งั ๆท่ีธรรมะก็บอกอยแู่ ลว้ วา่ ทุกอยา่ งเป็นธรรมชาติ ไมไ่ ดเ้ ป็น สตั ว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา ทุกอยา่ งเป็นสมมุติท้งั ส้ิน ยนื อยู่ เดินอยู่ นงั่ อยู่ นอนอยู่ ยงั ไม่ไดเ้ ป็นตวั ตนเลย
183 แลว้ นบั ประสาอะไร กบั สมมุติมากมายท่ีใครต่อใครต้งั ให้ มนั จะเป็ นของตนแน่หรื อ? ควรหรือ? ท่ีจะไปยดึ มน่ั ถือมน่ั กบั สมมุติน้นั ๆ ที่ต้งั กนั ข้นึ มา ยงั ตอ้ งเดินทางกนั อกี ยาวไกล จะตอ้ งแบกสมมตุ ิมากมายไป ดว้ ย...มนั จะเดินไหวไหม เพราะโลกน้ี เป็นของว่าง ว่างโดยสมมตุ ิอยแู่ ลว้ หากยงั ไม่พน้ จากอวชิ ชา คือเห็นผดิ คิดวา่ เป็นตวั ตนแลว้ น้นั ก็ ยงั คงตอ้ งอยกู่ บั โลกสมมุติกนั ร่าํ ไป เหมอื นเราเอง กไ็ ม่ไดอ้ ยากจะแก่ ไม่ไดอ้ ยากจะอายมุ าก แต่ เพราะบงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ มนั เลยร่วงโรยไปตามวนั เวลา จนถึง ขณะน้ี ถา้ หากว่ามีอายุ 30 ปี คนอายนุ อ้ ยกว่ามาหาก็เรียกเราพ่ี คน อายมุ ากกว่ามาหาก็เรียกเรานอ้ ง ถา้ เดก็ มาหา ก็เรียกว่านา้ วา่ อา ว่า ป้ า ว่าเจ๊ ว่าอะไรไปตามเรื่อง แลว้ แต่จะสมมุติเรียกว่าอะไร เราเกิดมากม็ ากดว้ ยสมมุติมากมาย ชื่อ นามสกลุ พ่อ แม่ พี่ นอ้ ง ลงุ ป้ า นา้ อา พอจากกนั ไป แต่ละคนกแ็ ยกยา้ ย ไปสมมุติกนั ใหม่ ใน ภพภูมิถดั ไป เราจึงมีพอ่ แม่ พ่นี อ้ ง ลกู เมีย เพอื่ นพอ้ งกนั มาเป็นแสนๆชาติ แลว้ ก็สมมุติกนั มาอยา่ งน้ีไมร่ ู้กี่กปั ป์ กี่กลั ป์ เรา กจ็ ะมีสมมุติสะสม มากข้ึนเรื่อยๆ สมมุติท้งั หลาย กไ็ ม่ได้ เลือกท่ีจะมี จะเป็น แต่มนั เป็นเหตุปัจจยั ตามธรรมชาติ ท่ีบงั คบั บญั ชา
184 ไมไ่ ด้ เราไมไ่ ดอ้ ยากเป็นป้ า มนั ดูแก่มากเลย แต่ว่านอ้ งสาวแต่งงาน แลว้ มีลกู ลกู ก็เรียกเราป้ า ฉนั เพิ่ง 30 ยงั สวยพริ้ง จะใหฉ้ นั เป็นป้ าไดย้ งั ไง นน่ั แหละ ตวั ตนจึงเกิดข้ึน ความทกุ ขจ์ ึงเกดิ ข้ึน เพราะความไม่ อยากเป็นนน่ั เอง แต่ก็ไปเปลย่ี นไมไ่ ด้ เพราะมีนอ้ ง และนอ้ งมีลกู เราจึงตอ้ งเป็น ป้ า ตามภาษาสมมุติ จะขอลาออกจากการเป็นป้ าก็ไม่ได้ เพราะเขา สมมตุ ิลาํ ดบั ข้นั การนบั ญาติเชน่ น้ีไปเรียบร้อยแลว้ ดงั น้นั ตณั หา จึงเป็นตน้ เหตุใหเ้ กิดทุกข์ กามตณั หา อยากได้ ภวตณั หา อยากมี อยากเป็น และวิภวตณั หา ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เพราะไม่อยากเป็นป้ า เลยตอ้ งทุกขไ์ ปตามระเบียบ น่ีคือสมมตุ ิ ทุกอยา่ งเป็นสมมตุ ิ ที่มนุษยต์ ้งั ข้ึน เพื่อความเขา้ ใจ ในหม่คู นส่วนใหญ่ในสงั คมน้นั จะไดเ้ ขา้ ใจตรงกนั เราตอ้ งอยกู่ บั สมมตุ ิทุกวนั ก็ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ตอ้ งไปเปล่ยี นอะไร แต่ใหร้ ู้จกั สมมตุ ิใหม้ าก เพอ่ื จะไดไ้ ม่ไปยดึ ติดกบั สมมตุ ิน้นั ๆ แลว้ เรากจ็ ะอยกู่ บั สมมุติได้ โดยไม่ทุกขน์ น่ั เอง
185 สจั จะแท้ อยา่ ถามเลยวา่ “สิ่งน้นั คืออะไร?” กส็ ่ิงที่ไดเ้ ห็น ไดฟ้ ัง ไดส้ มั ผสั ไดร้ ู้สึก อยนู่ นั่ แหละ คือสิ่งน้นั ล่ะ จะเรียกช่ือวา่ อะไรก็ตามใจ อยา่ ถามเลยวา่ “ความทกุ ขค์ ืออะไร? ความดบั ทุกข์ คืออะไร?” เมื่อรู้สึกต่อภาวะน้นั ๆอยู่ มนั คือภาวะน้นั แหละ จะเรียกวา่ อะไรกช็ ่างเถดิ ส่ิงที่ปรากฏแก่เรา ใหค้ วามรู้สึกแก่เราอยา่ งไร คนอน่ื จะบอกว่าเป็น อยา่ งอื่น ก็ไม่สามารถลบลา้ งความรู้สึกแทจ้ ริงของเราได้ ชอบภาวะอยา่ งไหนก็เลือกเอาเถดิ ! จากหนงั สือธรรมะ ฝนประปราย ของ วรธมั
186 ทุกสรรพส่ิง ท่ีประกอบกนั ข้ึนดว้ ยธาตุทางธรรมชาติ ไมไ่ ดม้ ี อะไรที่แตกต่าง แต่ทุกอยา่ งมลี กั ษณะและคุณสมบตั ิไมเ่ หมอื นกนั แต่ มีธาตุทางธรรมชาติดินน้าํ ลมไฟ เป็นเหตุปัจจยั ปรุงแต่งใหป้ ระกอบ กนั ข้นึ มา และการประกอบกนั ของธรรมชาติน้นั สมมุติกนั ใหเ้ ป็น สตั ว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา แลว้ แต่ใครที่สมมุติ ซ่ึงในทางธรรมะ หรือธรรมชาติ กไ็ ดบ้ อกไวว้ ่า ธรรมชาติไม่มี การแบ่งแยก และไม่ใช่สตั ว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา ดงั น้นั เรา เรา ท่าน ท่าน กเ็ ป็นผลของการมีอวชิ ชา หลงคิดว่ามตี วั ตน ของ ตน จึงยงั ไมพ่ น้ จากแรงดึงดดู ของกรรม วิบากกรรมไปได้ ตอ้ งดึงดดู ดินน้าํ ลมไฟ มาก่อรูป ก่อร่างสร้างตวั กนั ใหม่ เพือ่ ใหอ้ วิชชา ตณั หา อปุ าทาน มนั อยู่ ก่อร่าง.. สร้างตวั ในทางโลก สมมตุ ิภาษาของมนุษย์ ก็ คือ มุ่งมน่ั ทาํ งาน เพ่ือความเจริญกา้ วหนา้ จะไดม้ ีเงินมที อง ทุกคนชื่น ชมยนิ ดีที่เขาก่อร่างสร้างตวั ได.้ . น่ีคือสมมตุ ิภาษาในทางโลก ซ่ึงทุก คนอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก่อร่าง.. สร้างตวั ในทางธรรม จะตรงกนั ขา้ ม คือความไม่อยาก ได้ ไมอ่ ยากมี ไมอ่ ยากเป็น เพราะถา้ ยงั .. ก่อร่างสร้างตวั .. อยู่ นน่ั แสดงว่า ยงั โง่อยู่ ยงั ยดึ มนั่ ถือ มน่ั ในอตั ตาตวั ตน มตี น มขี องตน จึงยงั ตอ้ งมกี รรม วบิ ากกรรม สะสมไว้ จึงยงั ดึงดดู ดินน้าํ ลมไฟ.. มาประกอบ.. เป็นรูปเป็นร่าง..กนั
187 อยู่ ตายไปวนั น้ี เด๋ียวน้ี ทุกอยา่ งตอ้ งถกู เผาไปเท่าน้นั เน้ือหนงั มงั สา ผมยาวเท่าน้นั ตบั ไตใสพ้ ุง ทุกอยา่ งที่อยใู่ นขนั ธ์ 5 มเี ท่าไหน ก็ เผาเท่าน้นั ผมยาวแค่ไหน กเ็ ผาแค่น้นั ไม่มยี าวกว่าอีกได้ แต่อวชิ ชา คือความไมร่ ู้จริง ที่หลงผดิ คิดวา่ มตี วั ตน แลว้ อปุ าทานก็ยดึ มน่ั ในความเห็นผดิ น้นั อยา่ งเหนียวแน่น จึงอปุ าทานว่ามี เรา มีตวั เรา ดงั น้นั จึงไดม้ กี ารสะสมกรรมของเราไว้ แลว้ กรรมน้นั ก็จะส่งใหไ้ ปเกิดใหม่ ไปก่อร่างสร้างตวั ข้ึนมา ใหม่ ตามกรรม วบิ ากกรรมน้นั เพ่อื ใหอ้ วชิ ชา ตณั หา อุปาทาน ไดอ้ ยู่ อาศยั ต่อไป และไดก้ ่อร่าง สร้างตวั กนั มาต้งั เท่าไรแลว้ และจะยงั คงตอ้ ง ก่อร่างสร้างตวั กนั ไปอีกเท่าไรกนั ในทางโลก ยนิ ดีมีความสุข อยากได้ อยากมี.. พร้อมที่จะก่อ ร่างสร้างตวั ในทางธรรม ไม่อยากได้ ไมอ่ ยากมี เพยี รที่จะละอตั ตา ตวั ตน เพื่อท่ีจะไดไ้ ม่ตอ้ งมา...ก่อร่างสร้างตวั ...ข้ึนใหม่ เพ่ือใหอ้ วิชชา อยู่ เรา เกิดมาจากธรรมชาติ จากธาตุดินน้าํ ลมไฟ แลว้ มธี าตุรู้ ซ่ึง ยงั ไมร่ ู้จริงตามธรรมชาติ ดว้ ยมอี วิชชาคือความเห็นผดิ คิดวา่ มตี วั ตน เป็นตวั ขบั เคลื่อน ดึงดดู ดินน้าํ ลมไฟมาก่อร่างสร้างตวั ใหม้ นั อยตู่ ่อไป จนผา่ นภพ ผา่ นชาติไมถ่ ว้ นแลว้
188 ในเม่ือเราเกิดมาเพื่อออกจากสมมุติ ระหว่างการเดนิ ทางอนั ยาว ไกล ก็ตอ้ งเดินผา่ นไปท่ามกลางการสมมตุ ติ ่างๆนานา พอหลานเกิดมา เรากเ็ ป็นป้ า เป็นอา เป็นนา้ ไปโดยปริยาย ท้งั ๆ ที่ไมไ่ ดต้ ้งั ใจอยากจะเป็น ในตวั เราเอง กถ็ กู สมมุติเกาะติดไวม้ ากมาย ท้งั ชื่อ นามสกลุ ยศฐาบรรดาศกั ด์ิ การเรียน หนา้ ท่ีการงาน ธุรกิจมากมาย เหมอื นชีวติ น้ีมแี ต่ความวนุ่ วายตลอดกาล แต่ถึงกระน้นั ก็ยงั ทะยาน อยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็นใหญ่เป็นโตอยใู่ นโลกสมมุติอยู่ นน่ั เอง จึงวุ่นอยกู่ บั เร่ืองราวหลากหลายท่ีตอ้ งทาํ ยงั มโี ครงการอกี ต้งั มากมาย ท้งั ๆท่ีเวลาของลมหายใจ จะหมดลงเม่อื ไรกไ็ ม่รู้ สุญญตา ความหมายของสุญญตา ขอ้ มลู จาก (http://suwalaiporn.com.www.readyplanet.net/index.php?lay=show &ac=article&Id=421132&Ntype=2) ในคาํ สอนของพทุ ธศาสนา สุญญตา หมายถงึ ความเป็นสภาพ ที่ว่างจากความเป็นสตั ว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา หรือ ภาวะท่ขี นั ธ์ 5 เป็นอนตั ตา คือไร้ตวั ตน มิใช่ตน ว่างจากความเป็นตน วา่ งจากสาระ ต่างๆ เช่น ความสวยงาม ความสุข ความทุกข์ ความวา่ งจาก กิเลส ราคะโทสะ โมหะ สภาวะท่ีว่างจากสงั ขาร การปรุงแต่งจิต
189 ท้งั หลาย ความวา่ งท่ีเกิดจากความกาํ หนดหมายในใจ ถึงภาวะว่าง เปล่า ไม่มีอะไรเลย เป็นส่วนหน่ึงของไตรลกั ษณ์ เพ่ือใหม้ ีความ เขา้ ใจเก่ียวกบั หลกั ไตรลกั ษณ์ยงิ่ ข้นึ ขอใหพ้ จิ ารณาคาํ กล่าวของ พุทธ ทาสภิกขุ ดงั น้ี “พุทธศาสนา มีคาํ อยคู่ าํ หน่ึง เป็นคาํ รวมยอด คือคาํ วา่ สุญญ ตา ซ่ึงแปลวา่ ความเป็นของว่าง คาํ วา่ ว่าง ในที่น้ี กค็ ือว่างจาก ความหมายแห่งความเป็นตวั ตน คาํ ๆน้ี กนิ ความรวบยอดไปถงึ หมด ท้งั อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ที่ว่าวา่ งจากตวั ตนน้ี หมายถงึ วา่ งจาก สาระท่ีเราควรเขา้ ไปยดึ ถอื เอาดว้ ยกาํ ลงั ใจท้งั หมดท้งั สิ้น วา่ ของเรา การพจิ ารณาใหเ้ ห็นว่าสิ่งท้งั ปวงวา่ งจากความหมาย หรือสาระ ท่ีควรเขา้ ไปยดึ ถือน้นั เป็นตวั พุทธศาสนาแท้ เป็นหวั ใจ หรือใจความ สาํ คญั ที่เป็นจุดศนู ยข์ องการปฏิบตั ิตามหลกั พระพุทธศาสนา..” ความธรรมดา ความธรรมดา ความเรียบง่ายที่ไร้การปรุงแต่ง มีใหเ้ ห็นทุกๆ วนั แต่กลบั ไม่เคยเห็นมนั สกั ที ธรรมะ หรือธรรมชาติ คือความธรรมดาๆ ที่ไมไ่ ดม้ ีการปรุง แต่งใดๆ มนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั ตามกฏไตรลกั ษณ์ มนั มีเหตุปัจจยั ปรุงแต่ง ยอ่ มเกิดข้ึน มกี ารต้งั อยู่ แลว้ ก็แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เพราะธรรมชาติมนั ไม่ไดเ้ ป็นตวั ใครของใครนนั่ เอง
190 น่ีคือ ความเป็นธรรมดา ของกฏธรรมชาติ แต่มนั .. ไมธ่ รรมดา ตามความตอ้ งการของเรา จึงตอ้ งปรุง แต่ง คาดหวงั ต้งั เป้ าหมาย แลว้ บีบบงั คบั เพือ่ ใหเ้ ป็นอยา่ งน้นั อยา่ ง น้นั มนั จึงเป็นเหตุแห่งทุกขน์ น่ั เอง ดงั น้นั ปัจจุบนั ขณะ จึงมีอยตู่ ลอดเวลา แต่นอ้ ยคนนกั ท่ีจะ มองเห็น จะสมั ผสั ได้ นอ้ ยคนนกั ทีจ่ ะเห็นคณุ ค่าแทจ้ ริงของทุกสรรพสิ่ง....ท่ีมีอยตู่ าม ธรรมชาติน้นั ทาํ ใหน้ ึกถงึ หนงั สือเลม่ หน่ึง ท่ีช่ือ ฝนประปราย ซ่ึงไดเ้ คยนาํ ขอ้ คิดในหลายๆบทความ มาลงไวแ้ ลว้ น้นั มบี ทความหน่ึง น่าจะ สะกิดเตือนใหเ้ ห็นความเป็นธรรมดา ท่ียง่ิ ใหญ่ โดยท่ีบุคคลต่างๆ มกั มองขา้ มไป.. มาฝาก เส้นผมบงั ภูเขา ท่ีบ่ออาบน้าํ ตอนเยน็ วนั หน่ึง “น่ีก็ 5 โมงกวา่ แลว้ เหลวไหลมาก ผมยงั ไม่ไดท้ าํ อะไรเลย” “อยสู่ บาย ๆ มาไดถ้ งึ 5 โมงเยน็ นบั วา่ ทาํ งานอยา่ งยง่ิ แลว้ \" เสียงจากพระเถระรูปหน่ึง ........................
191 น่ีคือส่ิงธรรมดาๆ ที่มองขา้ มไป และหาไดย้ ากยง่ิ เพราะขนั ธ์ 5 ท่ีมีอวชิ ชาครอบงาํ จะมีแต่พุ่งทะยานออกไปไกล จากขนั ธ์ 5 พงุ่ ทะยานออกไปรับเอาสภาวะการณต์ ่างๆ ภายนอก กลบั มาปรุงแต่ง แลว้ ท่ิมแทงใหเ้ กิดทุกขภ์ ายใน การทาํ งานท่ียง่ิ ใหญ่ ก็คือการอยกู่ บั ปัจจุบนั ของขนั ธไ์ ด.้ . โดยไมท่ ุกข์ นน่ั เอง กล่มุ ประสานงานเพ่อื การเตอื นภยั (เขากะลา) www.ufokaokala.com
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197