45 ถา้ รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ก็รู้เท่าทนั ท้งั โลก ท้งั จกั รวาลแลว้ ไม่ตอ้ งไปเสาะหาทางดบั ทุกขท์ ่ีไหนเลย เหตุเกิดท่ีไหน กด็ บั ที่นนั่ เหตุเกิดในขนั ธห์ า้ เขาวา่ เรา เขานินทาเรา เขากไ็ ปแลว้ แต่เหตุที่เกิด อยนู่ ี่ อยใู่ นความคิดที่ปรุงแต่ง วา่ เราทาํ ไม นินทาเราทาํ ไม คิดไปเรื่อย ร้อนอกร้อนใจ ความทุกขเ์ กิดอยขู่ า้ งใน แผดเผาอยขู่ า้ งใน กย็ งั ไม่รู้ คิดแต่จะไปดบั ท่ีขา้ งนอก ไปเปลีย่ นขา้ งนอก เปลีย่ นคนอ่นื ใหค้ ิดเหมือนเรา ใหเ้ ห็นความดีของเรา อยา่ เขา้ ใจเราผดิ ตอ้ งออกไป ถาม ไปหาสาเหตุ ไปเรียกมาคุย มาสนทนา มาสอบถาม มาเอาเรื่องเอา ราว มาแกแ้ คน้ ใหไ้ ด้ มนั จะจบไหมน่ี ท่ีตอ้ งไปเปล่ยี นขา้ งนอก มนั ยาก มนั เหน็ดเหน่ือย มนั เสียเวลา แต่ถา้ เปลีย่ นขา้ งใน ไม่ยงุ่ ยาก ไม่เหน็ดเหน่ือย ไมเ่ สียเวลา ถา้ รู้ว่า เขาว่าเรา เขาไปแลว้ ไปถึงไหนๆแลว้ ไปสนุกสนาน เฮฮาที่ไหนแลว้ ก็ไมร่ ู้ แต่ส่ิงที่ใกลท้ ่ีสุด ทาํ ร้ายเราไดม้ ากที่สุด มนั รวมกนั อยใู่ นขนั ธน์ ้ีแลว้ ในความคดิ น้ีแลว้ ในวนิ าทีน้ีเท่าน้นั
46 เขาไปแลว้ 2 ชวั่ โมง ความคิดปัจจุบนั ยงั วนเวียนอยใู่ นหวั ใน ขนั ธห์ า้ แลว้ กท็ าํ ร้าย ทิ่มแทง ใหอ้ ารมณ์คุกรุ่น มีแต่ความทุกขเ์ พราะ ความคดิ ตลอดเวลา ถามว่า อนั ไหนใกลเ้ ราที่สุด ทาํ ร้ายเราไดม้ ากท่ีสุด ทาํ ใหเ้ รา ทุกข์ เรากงั วลไดม้ ากท่ีสุด กค็ งตอบวา่ ความคิด ความรู้สึก ความร้อนรนของอารมณ์ท่ี มนั อยใู่ นขนั ธห์ า้ นน่ั เอง ไอค้ นท่ีว่า... ตอนน้ีอาจไปนง่ั กินขา้ วสบายใจไปแลว้ มนั ว่า แลว้ ... มนั ก็ไป หรือเขาอาจลมื ไปแลว้ กไ็ ด้ แต่ความคิดความรู้สึกท่ีอยกู่ บั เรา มนั ไมไ่ ป มนั วนไปวนมา ก่อใหเ้ กิดทุกขเ์ รื่อยไป แต่ส่ิงที่คิด มนั ก็ไมไ่ ดเ้ ป็นของเดิม ต่อใหค้ ิดอกี สกั 10 รอบ ก็ เป็นความคิดใหมท่ ้งั ส้ิน ไมม่ คี วามคิดของเดิมเลย แมต้ น้ เหตุเป็นเร่ืองเดิม แต่ความคิดตอ้ งปรุงใหมท่ ุกคร้ัง วา่ เราทาํ ไม... ผา่ นไปแลว้ วา่ เราทาํ ไม... ผา่ นไปแลว้ วา่ เราทาํ ไม... ผา่ นไปแลว้ แมจ้ ะเป็นประโยคเดิม แต่การปรุงตอ้ งเป็นของใหม่ เพราะ ความคดิ เก่าเมือ่ ผา่ นออกไปแลว้ มนั จะไหลผา่ นไปเลย
47 แมค้ ิดประโยคเดิมอกี คร้ัง ความคดิ กต็ อ้ งปรุงประโยคเดิม ใหม่ ไม่ใช่ตามไปดึงประโยคเดิมท่ีคิดเมอ่ื ครู่น้ีกลบั มาใชอ้ กี คร้ัง มนั ไมใ่ ช่ มนั ตอ้ งปรุงใหมท่ ุกคร้ังทค่ี ิด เหมือนลมหายใจ เมอ่ื หายใจ ออกไป ลมหายใจก็ออกไปแลว้ สลายไปแลว้ เมือ่ หายใจเขา้ มาใหม่ ก็ จะไม่ใช่อากาศเดิม แมจ้ ะอยบู่ ริเวณน้นั มนั กไ็ มใ่ ช่อยดู่ ี แมจ้ ะดึงอากาศของเก่ามา กเ็ ป็นการหายใจคร้ังใหม่อยดู่ ี เพราะการหายใจคร้ังเก่ามนั ผา่ นไปแลว้ เป็นอดีตไปแลว้ เม่ือวนิ าทีที่ ผา่ นมา การอยกู่ บั ปัจจุบนั กค็ ือ เห็นว่า มนั ก็เป็นอยา่ งน้นั แหละ มนั ก็ ปรุงไปเร่ือย ท้งั อดีต อนาคต ปัจจุบนั ท้งั ปรุงแบบความสุข ท้งั ปรุง แบบความทุกข์ แต่ทุกเร่ือง มนั เป็นการปรุงในปัจจุบนั ท้งั สิ้น เพราะแต่ละการปรุงในปัจจุบนั กจ็ ะมีตวั อุปาทานมาคอยดกั เกาะ ปรุงสุขใช่ม้ยั เกาะปั๊ป ก็จะมตี วั เราผมู้ คี วามสุข ปรุงเร่ืองทุกขใ์ ช่ไหม ก็จะมีตวั อปุ าทานมาคอยดกั เกาะ เกาะ ปั๊ป รับผดิ ชอบป๊ัป มีตวั เราผทู้ ุกขท์ นั ที ปรุงสุข ปรุงทุกขใ์ ช่ไหม ปรุง ไปตามสบาย กแ็ ค่เห็นว่ากาํ ลงั ปรุงอะไรในปัจจุบนั ในทุกขณะ ในทุก สภาวะ ทกุ ขณะจิตเท่าน้นั แหละ แกป้ ัญหาท้งั โลก ท้งั จกั รวาลได้ ในขณะจติ เดียว กค็ ือรู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ รู้เท่าทนั การปรุงแต่ง รู้เท่าทนั อวชิ ชา ที่ มีกิเลส ตณั หา อุปาทานมาคอยหลอกลอ่ ใหย้ ดึ มน่ั ถือมนั่ ในขนั ธห์ า้
48 ความทกุ ขถ์ า้ รู้ไมเ่ ท่าทนั ก็เกิดจากอุปาทานเหลา่ น้ีแหละ ที่ มนั คิดวา่ มีตวั เรา ก็เลยมีความทกุ ข์ ความสุขที่เป็นของเรา แต่ถา้ รู้เท่าทนั ทุกขก์ ็แค่ความคิด สุขก็แคค่ วามคิด ท่ีกาํ ลงั เกิดข้ึนในปัจจุบนั ดังน้นั ความสุข ความทุกข์ มนั ไม่ได้มจี ริง เป็นความคดิ ที่ ปรุงแต่งออกมา แลว้ ไปกระตุน้ สารเคมใี หห้ ลง่ั ออกมาตามความคดิ น้นั ๆ คิดวา่ พอใจ ถกู ใจ คิดถึงคนรัก คิดวา่ จะไดไ้ ปเท่ียว จะไปหา เพ่ือน ความคดิ น้ีก็ไปกระตุน้ สารเคมีประเภท เอน็ โดรฟิ น ใหห้ ลงั่ ออกมา ร่างกายก็เลยมีความสดชื่น อารมณด์ ี มีความกระชุ่มกระชวย เราก็เลยคิดวา่ นี่เป็นความสุข แต่พอคิดโมโห ฟ้ งุ ซ่าน ขดั อกขดั ใจ ไมพ่ อใจ กงั วล ไม่สบาย ใจ สารเคมกี ็หลง่ั มาตามความคิด กเ็ ลยมคี วามรู้สึกร้อนรน หดหู่ เศร้า หมอง มนึ ซึม ตามสารเคมีในสมองท่ีหลงั่ ออกมาตามความคิดในแนว น้นั ๆ เราก็เลยคิดวา่ เรากาํ ลงั ทกุ ข์ ทุกอยา่ ง ก็อยใู่ นปัจจุบนั ตวั ความคิด เปลี่ยนความคิด หรือดู ความคิดท่ีกาํ ลงั เกิดข้นึ วา่ จะไปเอาเร่ืองเอาราวอะไรกบั ความคิดปรุง แต่ง ท่ีมนั ปรุงไปเรื่อย ก็แค่ดใู หเ้ ห็นวา่ คิดอะไร แลว้ ไม่ตอ้ งไปดบั ให้ มนั หาย เพราะยงิ่ ดบั มนั ยง่ิ ฟ้ งุ กเ็ ป็นแค่ผดู้ ู ดูมนั ปรุง เขา้ ใจว่ากาํ ลงั ปรุงเร่ืองอะไร แล้วกว็ างเฉยเสีย อย่าไปยุ่งกบั มนั
49 รู้ เข้าใจ ปล่อยวาง เด๋ยี วมนั กผ็ ่านเลยไป กท็ าํ วิธีไหนกไ็ ด้ กจ็ ะสามารถจดั การส่ิงที่คิดวา่ เป็นความทกุ ข์ ไดท้ ้งั สิ้น ก็เป็นอีกมุมมองหน่ึง ของคาํ วา่ ปัจจุบนั เป็นการรู้เท่าทนั ขนั ธ์ หา้ รู้เท่าทนั ความคดิ ในปัจจุบนั ขอ้ ความเหล่าน้ี คงพอมปี ระโยชนก์ บั หลายๆท่าน โลกนีค้ อื ละคร เมื่อใดที่ยงั คงวนเวียนอยใู่ นวฏั สงสารกจ็ ะตอ้ งแสดงบทบาท ต่อไปไมม่ ที ี่สิ้นสุด ในโรงละครแห่งสงั สารวฏั น้ีหมุนเวียนเปลี่ยนไป ในแต่ละบทบาท ลองคิดดูเลน่ ๆก็ได้ เกิดเป็นมนุษยใ์ น 1 ชาติ ก็ตอ้ งแสดง มากมายหลายบทบาทเหลอื เกิน แค่เกิดเป็นเดก็ ผชู้ ายคนหน่ึงกม็ ตี ้งั หลาบบทบาทมาต้งั แต่แรก เกิดมาเลยเชียว
50 รับบทแรกเป็นเดก็ เป็นลกู ของพอ่ แม่แลว้ รับบทเป็นพ่ีของ นอ้ ง ตอนน้ีรับบทเป็นสามี พออกี หน่อยรับบทเป็นพอ่ แลว้ ก็รับบท เป็นลุง เป็นป่ ู เป็นอะไรต่อมิอะไร เร่ือยไป ความอรี ุงตุงนงั มนั มากกวา่ น้นั ในขณะเดียวกนั ขณะรับบท เป็นพ่อของลกู เรา ก็ยงั ตอ้ งรับบทเป็นลกู ของพ่อแมเ่ รา และกย็ งั รับบท เป็นสามีของภรรยา ในขณะเดียวกนั ก็รับบทเป็นป่ ขู องหลาน รับบท เป็นพ่ขี องนอ้ ง รับบทเป็นหลานของป่ ู เป็นลงุ ของหลานอะไรมากมาย เกินจะนบั ญาติ ถา้ เราเกิดมาแลว้ นบั แสนๆชาติ เราก็จะมีพ่อมาแลว้ นบั แสนๆ มีภรรยามาแลว้ นบั แสนๆคน มีลกู มาแลว้ แสน – สองแสนคน มพี นี่ อ้ ง มีหลาน มีป่ ยู า่ ตายาย มาแลว้ นบั แสนๆคน เช่นกนั แลว้ เราตอ้ งรับบทอยา่ งน้ีมาแลว้ หลายแสนหลายลา้ นคร้ัง ไม่ เบื่อกนั บา้ งหรือไร? นี่ยงั ไมน่ บั บทอื่นๆที่ร่วมมาใหแ้ บกอกี นะ บทลกู จา้ งที่ตอ้ ง คอยทาํ งานใหเ้ จา้ นาย หรือบทเป็นเจา้ นายที่ตอ้ งคอยคมุ คอยดุด่าว่า กลา่ วลกู จา้ ง บทคนใชท้ ่ีตอ้ งเอาใจเจา้ นาย บทคนคา้ ขายที่ตอ้ งหวงั กาํ ไร บทคนทาํ มาหากินดว้ ยความทะยานอยาก บทคนหาเชา้ กินค่าํ ประทงั ชีวติ บทคนมยี ศตาํ แหน่ง บทนายร้อย บทนายพนั บท นกั การเมอื ง บทครู บทอาจารย์ อารมณ์ความรู้สึก ความคิดกย็ อ่ ม แตกต่างกนั ไปตามบทน้นั ๆ จึงมบี ทบาทมากมายท่ีเกาะกุมรุมลอ้ ม ตวั เองเอาไว้
51 แลว้ แต่ละบท กเ็ ลน่ ไม่เหมอื นกนั บทพ่อก็เล่นแบบหน่ึง บท สามีก็เลน่ แบบหน่ึง บทเจา้ นายกเ็ ล่นแบบหน่ึง บทลกู นอ้ งก็เลน่ แบบ หน่ึง บทลุงบทป่ กู ็เลน่ แบบหน่ึง อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด กย็ อ่ ม แตกต่างกนั ไปตามบทน้นั ๆ คนที่แสดงบทเป็นอาจารย์ กต็ อ้ งเลน่ บทลกู ศษิ ยพ์ ร้อมๆกนั ไปดว้ ยเมอ่ื เขา้ ไปหาอาจารยท์ ี่สอนมาก่อน และอาจารยข์ องเราก็เล่น บทลกู ศษิ ยเ์ มอ่ื ไปหาอาจารยต์ ่อๆไป แลว้ บทไหนท่ีเป็นบทจริงๆของ เราล่ะ แลว้ เราอยตู่ รงไหน แลว้ ยงั ไงละ่ ? มนั อีรุงตุงนงั กนั ไปหมด ถา้ ยงั ไมว่ า่ งจากตวั ตนจากส่ิงท่ีคิดวา่ เป็นของตนจะไมม่ ีการหยดุ พกั ไม่ว่าอริ ิยาบถไหน ท่ีไหน เมือ่ ไร ใน โลก... ดงั ที่ธรรมะไดก้ ลา่ วไว้ พอวญิ ญาณออกจากร่าง ก็เลกิ สมมุติ เลิกเป็นสามี เลิกเป็นพ่อ แม่ เลิกเป็นพน่ี อ้ ง ตอ้ งไปวนเวียนใหม่ในวงจรของเหตปุ ัจจยั ท่ีสร้าง ไวใ้ นชาติท่ีผา่ นมา ถา้ ยงั ยดึ ติดในบทบาท ถา้ ยงั คดิ วา่ เป็นอตั ตาตวั ตนของตน จริงๆ จะไม่มวี นั พบกบั ความสงบไดเ้ ลย เพราะทกุ บทบาทมีแต่ความ ว่นุ วาย ความหนกั อกหนกั ใจท้งั ส้ินหากมตี วั ตนผรู้ บั ผดิ ชอบใน บทบาทน้นั ๆจริงๆ ยอ่ มเป็นของหนกั ท้งั สิ้น จริงๆแลว้ ทุกสิ่งเป็นธรรมชาติท่ีมนั ตอ้ งหมนุ เวยี น เปลยี่ นแปลงไปอยา่ งน้ี และมนั ไม่ไดเ้ ป็นตวั ใครของใครจริงๆ เป็นส่ิง สมมุติตามเหตุปัจจยั เท่าน้นั
52 การท่ียงั ตอ้ งเวียนวา่ ยตายเกิด ยงั ตอ้ งรับบทต่างๆเร่ือยไปน้นั ก็ เพราะมอี ุปาทานว่ามตี วั เรา เป็นผเู้ กิดอยู่ เป็นผมู้ ีตวั ตนอยู่ และเราเป็น ผตู้ ายไปนนั่ เอง อุปาทานว่ามีตวั เรากจ็ ะยงั อยแู่ มว้ า่ ร่างกายมนั จะนอนเหมอื น ท่อนไมใ้ ชก้ ารไม่ได้ แต่ถา้ ยงั มีความรู้สึกวา่ มตี วั เราอยู่ อวชิ ชาคือ ความไม่รูจ้ ริง มนั ก็จะดึงเอาดิน น้าํ ลม ไฟ มารวมกนั อีกคร้ัง มาเกิด เป็นตวั เราอกี คร้ังในชาติต่อไปนน่ั เอง เราจบั ไดว้ ่า ไอค้ วามหลงผดิ ไปอปุ าทานวา่ มตี วั เราอยนู่ น่ั แหละคือปัญหาท่ีตอ้ งจดั การละ ทาํ อยา่ งไร? จึงจะทาํ ใหค้ วามยดึ มน่ั วา่ เป็นตวั เราหายไป เม่อื ไม่มคี วามรู้สึกท่ีเป็นตวั เรา สิ่งท่ีเคยเป็นของเราจึงยอ่ มไม่ มไี ปดว้ ยโดยอตั โนมตั ิ แต่ทุกวนั น้ี บางท่านปฏิบตั จิ นมคี วามเขา้ ใจว่า น่ีไมใ่ ชเ่ รา ไมใ่ ช่ตวั ตนของเรา แลว้ ปลอ่ ยวางอตั ตาตวั ตน จนไมท่ ุกขก์ บั ตวั เราได้ ในระดบั หน่ึง แต่พอมองคนอ่ืน กลบั เห็นว่ามี ตวั เขา มีตวั ตนของเขาอยู่ มี สตั วบ์ ุคคล ตวั ตน มีเรา มเี ขาอยู่ ดงั น้นั คนรอบขา้ งก็เลยมอี ิทธิพลกบั ความรู้สึกทาํ ใหเ้ ราสุข เราทุกขไ์ ด้ ถา้ เรารู้จริงว่าเราก็สมมตุ ิ คนอน่ื ๆกส็ มมุติเช่นกนั
53 ถา้ รู้จริงๆ ว่าเรามาแสดงบทบาทเหล่าน้ีในแต่ละชาติ ในโรง ละครแต่ละโรงน้นั คนอืน่ ๆก็มาแสดงบทบาทของเขาเช่นกนั ในแต่ ละโรงละครแต่ละชาติน้นั ๆเช่นกนั แลว้ อะไรคือของจริง? ของจริงไม่มี ..ไม่มตี วั ใครของใครท้งั สิ้น ทุกอย่างล้วนเป็ น ธรรมชาติ ทุกส่ิงเป็นธรรมชาติท่ีปรุงแต่งเขา้ ดว้ ยกนั ความมอี ุปาทานว่า เป็นตวั เรา เป็นผดู้ ึงดูด ดนิ น้าํ ลม ไฟ มารวมกนั ไดไ้ ม่มีท่ีส้ินสุด อวชิ ชาคือความหลงวา่ มตี วั เราอยตู่ วั เรามีอยู่ ตวั เราเกิดมา นนั่ เอง คือปัญหาของการตอ้ งมาเกิดอกี เมื่อยงั คิดวา่ มี ตวั เรา อยเู่ ม่ือใด กต็ อ้ งเกิดอยรู่ ่ําไปนนั่ เอง จุดสาํ คญั ท่ีตอ้ งตีใหแ้ ตก กค็ ือความรู้สึกท่ีเป็นตวั เรา เม่อื มสี ติ อยกู่ บั ปัจจุบนั ขณะรู้ว่ามนั กาํ ลงั เล่นละครกาํ ลงั ดาํ เนินไปในกลไกของธรรมชาติอยา่ งน้นั เอง ไมม่ อี ดีตจริง ไม่มี อนาคตจริงๆ มีแต่ปัจจุบนั กาํ ลงั ยนื เดิน นง่ั นอนอยใู่ นตอนน้ี ใน ปัจจุบนั ขณะน้ี นนั่ แหละตวั ตนก็จะไม่เกิดข้ึน ธรรมะจึงใหม้ ีสติอยกู่ บั ปัจจุบนั ที่เหลือกแ็ สดงตามบทตาม สมควรท่ีขนั ธห์ า้ มนั จะดาํ เนินไป ดงั น้นั เมอ่ื เขา้ ใจว่าเรากาํ ลงั มาแสดงตามบทบาทในแต่ละชาติ ที่ถกู ผลกั ดนั ตามเหตุปัจจยั ท่ีสร้างมาดว้ ยความไม่รู้น้นั ในชาติปัจจุบนั ก็เลยตอ้ งมารับบทอยา่ งน้ี อยา่ งน้ีตอ้ งทกุ ขม์ าก อยา่ งน้ีตอ้ งผดิ หวงั สมหวงั อยา่ งน้ี มนั กเ็ ป็นอยา่ งน้นั เองตามบท ถา้ มีความเขา้ ใจใน
54 บทบาทน้นั ในส่ิงท่ีตอ้ งเผชิญตามบทน้นั ๆ จะมีสติ ไม่หลงใหลไปใน บทบาทต่างๆที่กาํ ลงั แสดงอยู่ และเร่ิมไม่ยดึ ติดในบทท่ีตอ้ งแสดงน้นั เพราะเด๋ียวกต็ ้องเปลยี่ นบทไปเร่ือยๆ นนั่ คือเริ่มจะไมม่ ตี วั ตน เป็นคนจริงๆ เป็นเราจริงๆ เริ่มเขา้ ใจ ในกลไกของขนั ธห์ า้ เริ่มจางคลายจากการยดึ มนั่ ถือมน่ั วา่ มตี วั ตน ของ ตน จึงเท่ากบั มกี ารปลอ่ ยวางไดใ้ นระดบั หน่ึง ตามกลไกของธรรมชาติ โดยปกติแลว้ บุคคลทว่ั ๆไป ในทุกความคดิ ทุกการตดั สินใจ จะพลั วนั อยดู่ ว้ ยคาํ วา่ .. มเี รา.. มเี ขา.. อยตู่ ลอดเวลา เม่อื มีเราก็ตอ้ งมีเขาเป็นเร่ืองธรรมดา แมบ้ างคร้ัง มกี ารปฏบิ ตั ิธรรมเขา้ ใจในธรรมชาติจนแทบจะ ไมเ่ หลอื ตวั เราใหย้ ดึ เกาะแลว้ ก็ตาม แต่การมองบคุ คลอื่นๆรอบๆตวั เรา ก็ยงั คงเห็นเป็นตวั เขา ยงั เห็นเป็นตวั ตนของเขาอยกู่ จ็ ึงยงั คงตอ้ ง ปะทะกบั โลกธรรม 8 อยนู่ น่ั เอง ...ยงั มีการห่วงลาภ ห่วงยศ ห่วงสรรเสริญ ห่วงสุข ไม่อยากเส่ือมลาภ ไม่อยากเสื่อมยศ ไม่อยากใหค้ นนินทา ไม่ อยากทุกข์ การที่จะอยเู่ หนือโลกธรรม 8 ไดน้ ้นั ตอ้ งใชป้ ัญญา ตอ้ งใช้ การพจิ ารณาอยา่ งยง่ิ ตอ้ งปฏบิ ตั ิใหเ้ ห็นจริงดว้ ย ความกลวั .. เป็นอีกปัจจยั หน่ึง ที่ขงั เราไวใ้ นวฏั สงสาร จะเป็น ตวั ตกี รอบใหต้ อ้ งอยใู่ นวงั วนของสงั สารวฏั อนั ยาวนานอนั จะหาทาง ออกไม่ได้
55 เรามาลองสงั เกต ความกลวั ใหด้ ี แลว้ จะเห็นว่ามนั เป็นตวั การ โอบลอ้ มใหเ้ ราอยแู่ ต่ในกรอบท่ีมนั ตีไว้ จะทาํ อยา่ งน้ี กลวั เขาวา่ อยา่ งน้นั จะทาํ อยา่ งน้นั กลวั เขาวา่ อยา่ งน้ี ความกลวั ก็มีหลายระดบั ในข้นั หยาบๆ ก็คือห่วงรูปขนั ธ์ จะไปเที่ยว กลวั รถควา่ํ จะไปซ้ือของ กลวั โดนว่ิงราว จะนงั่ แท็กซี่ กลวั โดนจ้ี จะไปถอนเงิน กลวั โดนปลน้ จะทาํ อะไรกก็ ลวั อนั ตรายแทบท้งั ส้ิน หรือกลวั จะเจ็บ กลวั จะแก่ กลวั จะตาย กลวั ส่ิงที่รักจะจากไป กลวั สิ่งน้ีจะหาย สิ่งน้ีจะผพุ งั แตกสลาย จิตยอ่ มหวนั่ ไหวข้ึนลงอยกู่ บั ความหวาดระแวงน้นั ๆ ในระดบั หยาบๆหลายท่านก็ผา่ นกนั ไปแลว้ ไมส่ นใจรูปขนั ธ์ หากลึกลงไปอกี กย็ งั คงถกู ความกลวั กกั ขงั ไวอ้ ีกช้นั หน่ึง กลวั เขาจะวา่ กลวั เขาจะนินทา กลวั เขาจะเขา้ ใจผดิ กลวั เขาจะ เกลยี ด กลวั เขาจะไม่รกั กลวั เขาจะหาวา่ เพ้ียน กลวั เขาจะ.... ฯลฯ ไมว่ ่าจะอีกสกั กีก่ ลวั นนั่ คือการมองออกไปกระทบกบั ภายนอกท้งั ส้ิน จึงมองไม่เห็นวา่ กาํ ลงั เกิดอะไรข้ึนภายใน กาํ ลงั คิดอะไร กาํ ลงั รู้สึกอะไร
56 จะทาํ อยา่ งน้ี เดี๋ยวคนน้นั วา่ จาํ ทาํ อยา่ งน้นั เดี๋ยวคนน้ีบ่น ทาํ อยา่ งน้ีคนน้นั ชม ทาํ อยา่ งน้นั คนโนน้ นินทา จะไปหาเพอื่ นคนน้ี เดี๋ยวเพอ่ื นคนน้นั ไม่ชอบ จะไปหาเพอ่ื น คนน้นั เด๋ียวเพอ่ื นคนน้ีต่อว่า เพราะไมถ่ กู กนั จะไปที่นี่ เด๋ียวทีโ่ น่นว่า จะไปแต่ท่ีโน่น เดี๋ยวท่ีน่ีไมพ่ อใจ จะ ทาํ อะไรก็เกรงใจทางโนน้ ห่วงใยทางน้ี เบื่อทางน้นั อยตู่ ลอดเวลา สารพดั ปัญหา สารพนั เร่ืองราว จึงมแี ต่ความสบั สน ความวุน่ วายที่อดั แน่นอยขู่ า้ งใน แลว้ จะแกไ้ ขอยา่ งไรดี? ไม่ตอ้ งไปแกท้ ี่ไหน มนั อยใู่ กลๆ้ กบั เรานี่เอง อยทู่ ่ีว่า... เรามองเห็นมนั หรือไม่เท่าน้นั เมอ่ื มองยงั ไมเ่ ห็น เราก็ยงั อยใู่ นโลกธรรม ยงั ข้ึนลงอยกู่ บั สภาวะอารมณ์ ท่ียงั อินอยกู่ บั ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เส่ือมลาภ เส่ือม ยศ นินทา ทุกข์ ยงั ออกกนั ไมไ่ ด้ ความสงบ ความว่าง ความเบาสบายจึงยงั ไมม่ ี ยงั ตอ้ งข้ึนลง กบั ทุกขส์ ุข เพราะการมองท่ียงั ไมเ่ ห็นความเป็นธรรมชาตินน่ั เอง แต่ ถา้ รู้เท่าทนั อารมณ์ รู้เท่าทนั ความกลวั รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ เราจะอยเู่ หนือ โลกธรรม 8 ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เหลือเชื่อเลย แค่รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ เราก็สามารถรู้เท่าทนั โลกท้งั โลก รู้เท่าทนั ธรรมชาติ รู้เท่าทนั จกั รวาล รู้เท่าทนั วฏั สงสารได้
57 สรุปลงมาเหลอื นิดเดียว อยใู่ กลน้ ิดเดียว คือในขนั ธห์ า้ เท่าน้นั ไม่ตอ้ งไปเรียนรู้ใหห้ มดทุกสาขา ไม่ตอ้ งไปเสาะหาสถานที่ทว่ั โลก ไม่ตอ้ งไปฝึกฝนวิชาใหม้ ากมายจากที่ไหนเลย เพราะหอ้ งเรียนอยใู่ นขนั ธห์ า้ อยดู่ ว้ ยกนั นี่เอง ความกลวั ไม่ใช่สิ่งท่ีน่ากลวั ความกลวั กค็ ือความคิด ทก่ี าํ ลงั คิดว่า... กลวั ... อยู่ อยา่ ลืมวา่ มนั เป็นแค่... ความคดิ ท่ีมนั กาํ ลงั คิดวา่ มนั ... กลวั ... อยู่ มนั ไม่ไดม้ คี วามกลวั อยจู่ ริง แต่มนั คิดว่า... กลวั เม่ือเราเห็นความคิดก็เท่ากบั เราเห็นความกลวั เมื่อเราปลอ่ ยวางความคิดก็เท่ากบั เราปล่อยวางความกลวั เมอื่ ไมม่ คี วามคิด ก็ไมม่ คี วามกลวั เมื่อรู้เท่าทนั ความคิดก็รู้เท่าทนั ความกลวั
58 อยา่ ไปกลวั ... ไอค้ วามกลวั น้นั ... คือ อยา่ ไปกลวั ไอค้ วามคิดท่ีมนั กาํ ลงั คดิ กลวั นน่ั คือ.. การซอ้ นเขา้ ไปอกี ช้นั หน่ึง คือฉนั ไมก่ ลวั ไอค้ วาม กลวั ที่แกคิดข้ึนมา ฉนั ตวั น้ี.. คือธาตุรู้ท่ีมปี ัญญาท่ีเฝ้ าดขู นั ธห์ า้ มนั ทาํ งาน แก ตวั น้นั .. คือ สงั ขารที่ปรุงแต่งความคิดที่กาํ ลงั คดิ วา่ กลวั กลวั โน่น กลวั น่ี กลวั นน่ั สารพดั เมอ่ื เราเห็นความคิดทกี่ าํ ลงั คิดกลวั เรากจ็ ะยมิ้ ไดว้ า่ ..คิดกลวั อีกแลว้ คิดกลวั โน่นกลวั นี่ คิดห่วงโน่นห่วงน่ี คิดกงั วลโน่นกงั วลน่ีไป สารพดั แลว้ หากปลอ่ ยใหม้ นั คิดนาน ไมต่ ดั ไฟต้งั แต่ตน้ ลม ความคิด กลวั น้ี กจ็ ะไปเร่งสารเคมที ่ีทาํ ใหเ้ กิดอารมณ์หวาดกลวั หวาดหวน่ั สะดุง้ ผวา ขนั ธห์ า้ กจ็ ะมีอาการใจเตน้ หวาดระแวง หรือวติ กกงั วลรุ่ม ร้อน สะดุง้ สะเทือนไป เรากเ็ ลยดคู ลา้ ยคนกาํ ลงั กลวั กาํ ลงั ทุกข์ นน่ั เอง แต่แทจ้ ริงแลว้ มนั ไมม่ ีอะไรหรอก แค่มนั กาํ ลงั .. คิด คิด คิด ดว้ ยสญั ญาที่เคยบนั ทึกไวม้ านานแลว้ วา่ ...ถา้ เจอสิ่งน้ี ตอ้ งคิดแบบน้ี เช่น คนกลวั งู พอเห็นงูเล้อื ยผา่ นมา ความจาํ ทาํ งานรู้ทนั ทีว่างู ความคิดกลวั กเ็ ขา้ มาทนั ที แลว้ ก็ปรุงแต่งต่อวา่ มนั จะกดั เรา มนั จะฉก เรา ท้งั ๆที่อยหู่ ่างต้งั มาก ความหวาดระแวง ความรู้สึกออ่ นแรงก็
59 ตามมา เพราะสารเคมปี ระเภททาํ ใหเ้ กิดอารมณ์ความกลวั หลงั่ หลง่ั สารเคมมี ากไป อาจเป็นลมไปเลยก็ได้ ไมใ่ ช่เร่ืองแปลกอะไร เพราะขนั ธห์ า้ เคยบนั ทึกไวม้ นั ก็ ส่งออกมาอยา่ งน้ีแหละอนั ดบั แรก อนั ดบั ต่อไป ต้งั หลกั ใหด้ ี ตอ้ งมีสติใหท้ นั พอคิดว่ากลวั ใจ สน่ั เราก็ลองมองเขา้ ไปในความคดิ ว่า เรากลวั อะไร เรากลวั จริงหรือ ความกลวั มีสาเหตุมาจากอะไร ออ้ .. มนั กาํ ลงั คิดวา่ กลวั กาํ ลงั ปรุงแต่งกนั ใหญ่ พอมีสติหยดุ มองกจ็ ะเห็นว่า มนั กาํ ลงั เรียงต่อกนั ไปเป็นสายความคิดเลย ทุกอยา่ ง เป็นแค่ความคิดเท่าน้นั คิดออกมาจากหวั เดียวกนั น้ี คิดดี คิดไม่ดี คิด กลา้ คิดกลวั มนั เท่ากนั เพราะมนั เป็นแค่ความคิด และก็ออกมาจากหวั เดียวกนั ท้งั ส้ิน ออกมาจากสมองเดียวกนั ที่ต้งั อยใู่ นขนั ธห์ า้ น้ี ไมไ่ ดม้ า จากไหนเลย ดงั น้นั การท่ีจะดกั จบั ความคิด ความกลวั ความกงั วล ก็ตอ้ งดกั จบั ที่หวั ของเราท่ีความคดิ ของเรา ง่ายสุดแลว้ ไมต่ อ้ งไปดกั จบั ภายนอก เลย ถา้ คนเขาวา่ เราบา้ ว่าเราเพ้ียน เราจิตหลอน ข้นั แรก ไมต่ อ้ งไปจบั ท่ตี น้ เหตุคือ เขา แต่ใหม้ องเขา้ ไปขา้ ง ในขนั ธห์ า้ ของเรา ออ้ ... เรากจ็ ะเห็นกลไกการทาํ งานของมนั เร่ิมข้ึน มนั เริ่มคิด.. แกมาว่าฉนั ทาํ ไม มนั กาํ ลงั ปรุงแต่งวา่ .. แกมีสิทธ์ิอะไร.. เดี๋ยวจะตอ้ ง
60 ไปจดั การ และเห็นว่ามนั กาํ ลงั มีอารมณ์ร้อนรน เริ่มโกรธหน่อยๆแลว้ มนั กาํ ลงั โมโหมากข้ึนแลว้ .. เมือ่ เห็นแทนที่จะโกรธ กลบั อาจจะขาํ ดว้ ยซ้าํ ไป ท่ีเห็นวา่ มนั กเ็ ป็นของมนั อยา่ งน้ีแหละมานานแลว้ เม่ือเห็น ก็จะสามารถจดั การกบั อารมณ์น้นั ๆได้ เรียกว่ามสี ติ ในการมองเห็นการทาํ งานของขนั ธห์ า้ จดั การกบั ความทุกขใ์ นขนั ธห์ า้ ได้ ไม่ตอ้ งไปชกหนา้ ไอค้ นที่วา่ เราเลย ทุกอยา่ งแกไ้ ขได้ ถา้ มสี ติ มีปัญญา มีการพิจารณาแลว้ กป็ ลอ่ ย วาง รู้ เข้าใจ ปล่อยวาง รู้.. ว่ามนั กาํ ลงั เกิดเรื่องอะไรเขา้ มากระทบในขณะน้ี เขา้ ใจ.. ถึงการทาํ งานของกลไกขนั ธห์ า้ วา่ เมื่อเกิดอยา่ งน้นั มนั ตอ้ งปรุงแต่งอยา่ งน้นั มนั ตอ้ งปรุงแต่งอยา่ งน้ี เป็นธรรมดา ปล่อยวาง.. ใหเ้ ห็นวา่ มนั กเ็ ป็นของมนั อยา่ งน้นั แหละเป็น เร่ืองธรรมดา รู้เขา้ ใจในภาวะอารมณ์ท่ีเขา้ มากระทบในขณะน้นั มนั เกิดข้ึนมนั อยไู่ ม่นาน เด๋ียวมนั ก็ตอ้ งดบั ไปเป็นธรรมดาอยา่ ไปยดึ มนั่ ถือมน่ั ว่ามตี วั เราเป็นผทู้ ุกข์ ทุกขเ์ ป็นของเรา เท่าน้นั ก็พอ ความทุกข.์ . ความจริงแลว้ มนั ไม่มี มนั มีแต่เหตุปัจจยั ปรุงแต่ง ใหส้ ารเคมแี ต่ละ cc หลง่ั ออกมา แลว้ เกิดปฏกิ ิริยาไปตามน้นั แต่จะมใี ครสกั ก่ีคนท่ีมีความเขา้ ใจเช่นน้ี เพราะสถานการณ์ที่ เกิดข้นึ อารมณ์ที่เกดิ ข้นึ ความคิดความวติ กกงั วลที่เกิดข้นึ มนั ลว้ นแต่
61 คิดว่าเป็นความทุกขข์ องเราท้งั ส้ิน แลว้ จะกลา่ ววา่ ความทุกขไ์ มม่ จี ริง ไดอ้ ยา่ งไร จริงๆแลว้ ทุกอยา่ งเป็นวงจร เป็นกลไก เป็นเหตุปัจจยั เป็ นไป อยา่ งน้นั เอง เมอื่ ตากระทบรูป ก็รับมา สญั ญาจาํ ได้ ปรุงแต่งต่อไปวา่ ชอบ ไม่ชอบ แลว้ หลงั่ สารเคมีออกมา ก็เกิดเวทนาคืออารมณ์ใน ขณะน้นั ๆ สารเคมที ่ีส่งผลใหอ้ ารมณ์แจ่มใส แช่มชื่น เบิกบาน ท่ีเรียกว่า อารมณ์สุข สารเคมที ี่ส่งผลใหอ้ ารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง มนึ ซึม ร้อนรน โมโหเรียกว่าอารมณ์ทุกข์ แลว้ อุปาทานเขา้ ไปยดึ ป๊ัปวา่ อารมณ์ท่ีมนั กาํ ลงั เกิดข้ึนตาม สารเคมใี นขนั ธห์ า้ น้นั เป็นตวั เรา เป็นของเรา เป็นอารมณ์เรากาํ ลงั สด ช่ืน เป็นเรากาํ ลงั ข่นุ มวั เป็นเรากาํ ลงั วติ กกงั วล ไปยอมรบั ว่าขนั ธห์ า้ เป็นของเรา อารมณ์เป็นของเราความสุขทกุ ขก์ เ็ ลยตอ้ งเป็นของเราไป ดว้ ย หากไมม่ ใี ครเขา้ ไปรับผดิ ชอบ ไดแ้ ต่เฝ้ าดมู นั ทาํ ของมนั ไป ดู มนั ปรุงแต่งของมนั ไป มนั กย็ งั คงหมุนไปตามกลไกของมนั มนั ไม่สน ดว้ ยวา่ จะมใี ครไปสุขไปทุกข์ กบั อารมณ์เหล่าน้นั หรือไม่ เรียกว่า รู้เท่าทนั อารมณ์ ก็สามารถถอดสลกั ออกจากวงจร ความทกุ ข์ คือถอดความยดึ มน่ั ถือมนั่ วา่ มีตวั เราผเู้ ขา้ ไปรับวา่ สุขว่า ทุกขน์ น่ั เอง
62 ความทกุ ขก์ ไ็ ม่เกิด เพราะไม่ครบวงจร มแี ต่ธรรมชาติหมุน ไปเรื่อยตามเหตุปัจจยั แต่ไม่มตี วั ใครเขา้ ไปหมนุ อยใู่ นวงจรความทุกข์ น้นั ในขณะเดียวกนั ทุกอยา่ งก็ยงั คงดาํ เนินไปเหมอื นเดิม เหมือนเช่นระเบิด เราไม่จาํ เป็นตอ้ งทาํ ลายระเบิดท้งั ลกู ให้ หมดไป แต่แค่ตดั วงจรการระเบิดออก ปลดสลกั หรือตดั สายไฟ วงจร กท็ าํ งานไมไ่ ด้ แลว้ การระเบิดกไ็ มม่ ี เมื่อรับรู้ เขา้ ใจ ปลอ่ ยวาง รับรู้ทุกข้นั ตอน เขา้ ใจในกลไกของธรรมชาติ เขา้ ใจการ ทาํ งานของขนั ธห์ า้ และไมอ่ ปุ าทานว่ามตี วั เราผกู้ าํ ลงั กงั วลกาํ ลงั ทุกข์ วงจรน้นั กไ็ มส่ มบรู ณ์ ความทุกขก์ เ็ กดิ ข้ึนไม่ได้ มนั ถกู ตดั ไป โดยอตั โนมตั ิ บางคร้ัง การตดั ฉบั พลนั เหลา่ น้ี บางท่านก็ยงั งงว่า อา้ วเราเป็น อะไร ทาํ ไมเราไมท่ ุกขเ์ ลย ทาํ ไมเราไมร่ ู้สึกกงั วลเลย ทาํ ไมเราไมร่ ู้สึก เสียดายเลย ทาํ ไมเราไม่โกรธเลย น่ีคือความเป็นธรรมชาติ คือความวา่ ง วา่ งจากการปรุงแต่งคือ สงบไดท้ ่ามกลางความวุน่ วายจากส่ิงท่ีกาํ ลงั กระทบอยกู่ ็ตามที แต่เพราะปัจจุบนั น้ี เราถกู ปิดก้นั ใหเ้ ห็นความจริงของ ธรรมชาติ ถกู สอนใหม้ คี วามเขา้ ใจที่ผดิ เพ้ยี นไปจากธรรมชาติ ถกู สอนวา่ มตี วั เรามขี องเราต้งั แต่เกิดมา ตามๆกนั มา เลยมีความเขา้ ใจวา่
63 โลกน้ีมจี ริง ตวั เรามีจริง ดงั น้นั เขาท้งั หลาย มีจริง จึงมีจริง ของทุก อยา่ งจึงมีจริง จึงเป็ นเรื่ องธรรมดาที่ไปยอมรับว่า เขาว่า เราตอ้ งโกรธ ถา้ เขาชมตอ้ งปล้มื ใจ เวลาคนใหต้ อ้ งยนิ ดี เวลาของพงั ตอ้ งเสียดาย เวลาของหายตอ้ งกงั วล หากไมเ่ ป็นไปตามน้ีถอื ว่าผดิ ปกติ ไมร่ ู้สึกรู้สาเลยหรือไร? นน่ั กเ็ พราะเราไปยนิ ยอมรับในกตกิ าของสงั คม กติกาของ ขนั ธห์ า้ วา่ เกดิ อยา่ งน้ี ตอ้ งคิดอยา่ งน้ี ตอ้ งรู้สึกอยา่ งน้ี ตอ้ งมีเรา เป็นผู้ รู้สึก เป็นผสู้ ุข เป็นผทู้ ุกข์ แต่พอมนั ไม่ปรุงแต่ง ไมเ่ กิดความรู้สึกสุข ทกุ ข์ ไปกบั เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน กจ็ ะเร่ิมงงว่า มนั เกิดอะไรข้ึน ทาํ ไมเรารู้สึกเฉยๆ ทาํ ไมเราไมท่ ุกข์ ไม่วติ กกงั วล ไม่รู้สึกเสียดาย เราผดิ ปกติไปหรือ เปลา่ ? เมอ่ื วงจรการเกิดทุกขม์ นั ไม่ครบ มนั ถกู ถอดสลกั (อปุ าทาน ขนั ธห์ า้ )ออกไปแลว้ ความทุกขม์ นั จึงเกิดข้ึนไมไ่ ด้ เพราะไม่มีตวั ใคร เป็นผทู้ ุกข์
64 วงจรของขนั ธห์ า้ มนั ก็ยงั คงหมนุ ไปตามกลไกของธรรมชาติ แต่ไม่มตี วั ใครหลุดเขา้ ไปในวงจรของมนั นน่ั เอง แลว้ มนั อยไู่ มน่ าน เด๋ียวมนั ก็ดบั ไป ธรรมะ ธรรมชาติ มหี นึ่งเดยี วไม่เคยแบ่งแยก มแี ต่อวชิ ชา คือความไม่รู้เท่าน้นั ท่ีเป็ นตวั แบ่งแยก ใหม้ กี าร เปรียบเทียบ ใหม้ ีความเหลื่อมล้าํ ต่าํ สูง ใหม้ ีการแข่งขนั กนั ในความรู้ ในศาสตร์ท้งั หลาย ท้งั ปวงท่ีแต่ละคนเช่ียวชาญ แต่โดยความเป็นธรรมชาติแลว้ ทุกอยา่ งเป็นไปตามเหตุปัจจยั ไม่ไดเ้ ป็นไปตามความคดิ เห็นของใครคนใดคนหน่ึง มนั เป็นอยา่ ง น้นั เองตามธรรมชาติ ถา้ เห็นพระอาทิตยข์ ้ึน คนหน่ึงเขา้ ใจว่า พระอาทิตยข์ ้นึ ทาง ทิศตะวนั ออก และมนั ตอ้ งข้ึนอยา่ งน้ีทุกวนั แต่อกี คนเขา้ ใจวา่ พระ อาทิตยข์ ้ึนทางทิศตะวนั ตก และมนั จะข้ึนทางทิศตะวนั ตกทุกวนั อีก คนคดิ วา่ ข้ึนทางทิศเหนือ และมนั จะข้ึนทางทิศเหนือทุกวนั แมจ้ ะทุ่มเถียงกนั ไปมาอยา่ งไร เพราะอาทิตยก์ ต็ อ้ งข้ึนทางทิศ น้นั อยดู่ ี ไมว่ ่าคนจะเรียกทิศน้นั วา่ ตะวนั ออก ตะวนั ตก เหนือ ใต้ พระ อาทิตยไ์ ม่ไดส้ นใจ ไมไ่ ดข้ ้ึนอยกู่ บั ใคร มนั ยงั คงทาํ ไปตามธรรมชาติ
65 คนสามคนยงั ทุ่มเถียงกนั ไม่สิ้นสุด ความทุกข์ ความสุข ความ ร้อนรนกระวนกระวาย กจ็ ะยงั คงเกิดกบั บคุ คลเหลา่ น้นั ต่อไป เพราะ ต่างตอ้ งการใหเ้ ป็นไปตามความเห็นของตน ดงั น้นั การตดั สินสิ่งหน่ึงส่ิงใด จากมุมมองเท่าที่เห็น โดยใช้ ความไม่รูจ้ ริงตามธรรมชาติ ก็ยอ่ มมีแตว่ ่า จะตอ้ งมขี า้ งใดขา้ งหน่ึงผดิ ขา้ งใดขา้ งหน่ึงถกู อยตู่ ลอดเวลา และการทุ่มเถยี งกนั กไ็ มม่ วี นั ส้ินสุด ดงั น้นั สิ่งท่ีควรทาํ กค็ ือ ดูเขา้ ไปในสภาวะจิตขณะน้นั ขณะที่ มีการตดั สินลงความเห็น ขณะท่ีมกี ารวิพากษว์ จิ ารณ์ ขณะท่ีมกี าร กล่าวถึงบุคคลอ่นื ๆอยนู่ ้นั สภาวะขา้ งในกาํ ลงั มคี วามรู้สึกแบบใด ร้อนรนไหม ข้ึนลงดว้ ยแรงโทสะ โมหะไหม? หากมคี วามร้อนรุ่มในสภาวะจิตในขณะน้นั ๆ ควรจดั การกบั สภาวะจิตของท่านก่อนสิ่งอน่ื ใด เพราะเร่ืองน้ีเร่งด่วนและจาํ เป็นท่ีสุด สาํ หรับท่าน ไม่จาํ เป็นตอ้ งไปจดั การกบั สภาวะภายนอกเลย ดงั น้นั การปฏิบตั ิจึงมหี ลากหลายวิธี ตามแต่จริตของแต่ละ บุคคลน้นั จึงไม่มกี ารปฏิบตั ิแนวทางใดดีกวา่ กนั ทุกแนวทางเป็นไป ตามเหตุปัจจยั ของแต่ละบุคคลนน่ั เอง การแบ่งแยก การเอาความเห็นของตนเองตดั สิน จึงมิไดไ้ ป เปลีย่ นแปลงความเป็นเช่นน้นั เองของธรรมชาติได้ เพราะไม่ว่าใครจะเขา้ ใจวา่ พระอาทิตยข์ ้ึนทางทิศใดกต็ าม พระอาทิตยก์ ็ยงั คงข้ึนอยอู่ ยา่ งน้นั ... นน่ั เอง
66 ขอ้ แรกสุด ของขบวนการ หรือวถิ ที างที่จะพน้ จากทุกขไ์ ด้ ก็ คือ ตอ้ งรู้ก่อนว่า เรากาํ ลงั ทุกขอ์ ยู่ น่ีคือขอ้ แรกของอริยสจั 4 ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค เมอื่ มีความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง วติ กกงั วล ไม่สบายกายไม่ สบายใจ อึดอดั ขดั เคือง ขนุ่ ขอ้ งหมองใจ คบั แคน้ ใจ ส่ิงเหล่าน้ี เป็นสิ่ง ที่บีบรัด ใหว้ ิตกกงั วล ทุรนทุราย อยใู่ นข่ายความทุกขท์ ้งั ส้ิน หากแต่บุคคลน้นั จะรู้หรือไมว่ า่ ตนเองกาํ ลงั ..ทุกข์ หากไม่ รู้ตวั ว่ากาํ ลงั ทุกขอ์ ยู่ กาํ ลงั วติ กกงั วลอยู่ กาํ ลงั ร้อนอกร้อนใจอยู่ และไม่ รู้ว่าคือทุกข์ ที่มนั กาํ ลงั เกิดข้ึนแลว้ ในจิตตนเอง เม่ือไม่รู้วา่ กาํ ลงั ทุกข์ ก็จะจมอยแู่ ต่ในความทุกขน์ ้นั หลงติด อยใู่ นอารมณ์ข่นุ ขอ้ งหมองใจ กงั วล ทรุ นทุรายสารพดั กจ็ ะเหมอื นวน อยใู่ นวงกลม ท่ีหาทางออกไม่ได้ แต่ หากเห็นว่า ที่เรากาํ ลงั ทกุ ขอ์ ยนู่ ่ีนะ เม่ือน้นั กจ็ ะเร่ิม กระบวนการที่ 2 ต่อไปกค็ ือ หาสาเหตุแห่งความทุกข์ (สมทุ ยั ) ทนั ที วา่ ที่เร่าร้อน กระวน กระวายใจ วติ กกงั วลน้ีมีสาเหตุมาจากอะไร อ๋อ.. เพราะห่วงเรื่องงาน เพราะห่วงแฟน เพราะห่วงบา้ น เพราะเพ่อื นว่า เพราะเขานินทาวา่ ร้าย เพราะอยากไดอ้ ยา่ งน้ีแลว้ ไมไ่ ด้ เพราะถกู ขดั ใจสารพดั เมอ่ื เจอสาเหตุท่ีทาํ ใหเ้ ราทุกข์ เราก็จะมวี ธิ ีจดั การกบั ทกุ ข์ เหล่าน้นั ไดไ้ ม่เกินกาํ ลงั แน่นอน ผลที่เกิดแลว้ (ทุกข)์ คอื ส่ิงที่ทนได้
67 ยาก เป็นความไมส่ บายกาย ความไม่สบายใจ ซ่ึงสิ่งน้ีตอ้ งมาก่อน เกิดข้ึนก่อน และรูก้ ่อน เห็นก่อนวา่ กาํ ลงั ทุกข์ กาํ ลงั ร้อนรน เหตุใหเ้ กิดทุกข์ (สมุทยั ) เม่ือรู้วา่ ทุกขแ์ ลว้ จึงเริ่มหาสาเหตุ แห่งทุกขน์ ้นั ทุกขเ์ พราะถกู เพ่ือนว่า คนนินทา ห่วงงาน ห่วงบา้ น ห่วง แฟน สารพดั ปัญหา ทางดบั ทุกข์ (นิโรธ) เมอ่ื เจอเหตุแห่งทุกขแ์ ลว้ ว่าทุกขเ์ พราะ สาเหตุใด คราวน้ีกเ็ ลยตอ้ งหาทางที่จะใหท้ ุกขน์ ้นั เบาบางลง ซ่ึงจะมี การแกป้ ัญหาในหลายรูปแบบ แต่คนปฏบิ ตั ิธรรมส่วนใหญ่ ก็จะหนั มาศึกษาพระธรรมคาํ สง่ั สอนขององคพ์ ระสมั มาสมั พุทธเจา้ ท่ีทรง ตรัสสอนไว้ ถงึ วิธีปฏบิ ตั ิธรรมเพ่ือการหลดุ พน้ จากวฏั สงสาร คือการ พน้ ทุกขโ์ ดยสิ้นเชิงนน่ั เอง ซ่ึงท่านไดว้ างแนวทางไวห้ ลายข้นั ตอน หลายระดบั ซ่ึงทางหน่ึงที่จะพน้ ทุกขไ์ ด้ กต็ อ้ งเดินทางของมรรคมอี งค์ 8 ขอ้ ปฏบิ ตั ิใหถ้ ึงความดบั ทุกข์ (มรรค) ไดแ้ ก่ อริยมรรคมีองค์ 8 อริยมรรค แปลวา่ ทางอนั ประเสริฐ ทางน้นั มที างเดียวแต่มี องคป์ ระกอบ 8 ประการ เป็นแนวทางท่ีผแู้ สวงหาทางพน้ ทุกข์ ตอ้ ง นาํ มาปฏิบตั ิเพื่อออกจากทกุ ขเ์ หล่าน้นั จะมีหลายข้นั ตอน หลายระดบั ตามกาํ ลงั ของตน และเมอื่ ปฏบิ ตั ิในทางท่ีถกู ตอ้ ง กจ็ ะละจากการยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในขนั ธห์ า้ อุปาทานขนั ธห์ า้ กจ็ ะนอ้ ยลง ความทุกขก์ จ็ ะเบา บางลงไปเร่ือยๆ จนหลุดพน้ จากทกุ ขโ์ ดยส้ินเชิงไดน้ น่ั เอง
68 พระพุทธองคท์ ่านตรัสสอนในอริยสจั 4 ซ่ึงมีแต่เรื่องของ ทุกขก์ บั การดบั ทุกขเ์ ท่าน้นั นน่ั แสดงวา่ ถา้ เราไดเ้ ห็นทุกข์ ไดร้ ู้จกั ทุกข์ เมื่อน้นั เราก็มีโอกาสที่จะออกจากทุกขไ์ ด้ แต่ผไู้ ม่เหน็ ทุกข์ กจ็ ะ เวยี นวา่ ยอยใู่ นความทกุ ข์ เพราะไมร่ ู้วา่ ตวั เองกาํ ลงั ทุกข์ กย็ งั คงร้อนอก ร้อนใจ กระวนกระวาย วติ กกงั วล อารมณ์ข่นุ มวั ทะยานอยากแลว้ ไม่ไดด้ งั หวงั กท็ ุรนทุราย แยง่ ชิงกนั ต่อไปไมม่ ีที่ส้ินสุด ยอ่ มหาทาง ออกจากทุกขไ์ มเ่ จอนนั่ เอง เราจึงควรรู้จกั อริยสจั 4 อยา่ งง่ายๆใหถ้ กู ตรงในข้นั ตน้ ก่อน เพ่อื เอาตวั รอดจากทุกขใ์ นวฏั สงสารนนั่ เอง เมอื่ รู้ตวั ว่ากาํ ลงั ทกุ ข์ ใหห้ าสาเหตุวา่ กาํ ลงั ทุกขจ์ ากเรื่อง อะไร? หาใหเ้ จอ มิวิธีแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง หรือหากแกไ้ ขอะไรไมไ่ ด้ การทาํ ตวั เองใหเ้ ป็นทุกขก์ ็ไม่เกิดประโยชนอ์ นั ใด ดงั น้นั กต็ อ้ งใชธ้ รรมะมา พจิ ารณา เพราะการไปอปุ าทานว่าส่ิงเหลา่ น้นั เป็นตวั เรา ของเรา จึงทาํ ใหต้ อ้ งติดขอ้ งอยใู่ นวงั วนทกุ ขเ์ หล่าน้นั เมอื่ เจอแนวทางการปฏบิ ตั ิเพ่ือปล่อยวางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ใน อุปาทานขนั ธห์ า้ แลว้ กน็ าํ มาปฏิบตั ิเลย กจ็ ะเห็นว่า ความทุกข์จะเบา บางจางลงไปเร่ือยๆ ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในขนั ธห์ า้ กจ็ ะจางคลายลงไป เร่ือยๆเช่นกนั ดงั น้นั ความทุกขก์ จ็ ะเกาะกินไม่ไดอ้ ีกต่อไป ลองดูนะคะ มแี ค่ 4 ข้นั ตอนเท่าน้นั อาจไมย่ ากจนเกนิ ไป ก่อนอนื่ ตอ้ งคอยตรวจเชค็ สภาวะอารมณ์ในขณะน้นั ก่อนวา่ ตอนน้ีอยู่
69 ในข่ายไหน ทุกขห์ รือยงั ถา้ ดบู ่อยๆทาํ บ่อยๆ รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ที่คอยแต่ จะปรุงอารมณ์ต่างๆเหลา่ น้นั เห็นบ่อยๆทาํ บ่อยๆ เด๋ียวมนั ก็จะเขนิ อาย ไปเอง ขออนุโมทนากบั ทุกท่าน ใหร้ ู้เท่าทนั ธรรมชาติ ใหร้ ู้เท่าทนั ทุกข์ ใหร้ ู้เท่าทนั อุปาทานขนั ธห์ า้ แลว้ หาทางจดั การกบั อุปาทาน เหล่าน้นั ใหส้ ้ินซากไป ใหม้ นั หมดเช้ือ ดบั ไม่ใหเ้ หลือ เพ่อื จะไดไ้ ม่ ตอ้ งกลบั มาเกิดใหมก่ นั อีก ขอความเจริญในธรรม จงมีแด่ทุกๆท่านตลอดกาลเทอญ สมาธภิ าวนา ผชู้ มการแข่งขนั ยอ่ มจะเห็นการต่อสูท้ ่ีแทจ้ ริง ผดู้ ูยอ่ มเห็น ผมู้ องไปขา้ งหนา้ หรือขา้ งหลงั ยอ่ มไมเ่ ห็นตวั เอง ความหมายของ... อุปาทาน จากวกิ ิพีเดีย สารานุกรมเสรี อปุ าทาน คือ การยดึ มนั่ ถือมน่ั ทางจิตใจ เช่น - ยดึ มนั่ ถือมน่ั ในเบญจขนั ธ์ คือร่างกายและจติ ใจรวมกนั ว่าเป็น “ตวั ตน” และยดึ มนั่ ถือมนั่ ในสิ่งที่ถกู ใจ อนั มาเกี่ยวขอ้ งดว้ ย ว่าเป็น “ของตน”
70 - หรือท่ีละเอียดลงไปกวา่ น้นั ก็คือยดึ ถือจิตส่วนหน่ึงว่าเป็น “ตวั เรา” และยดึ ถอื เอารูปร่างกาย ความรู้สึก ความจาํ และ ความนึกคดิ 4 อยา่ งน้ีว่าเป็น “ของเรา” - พุทธภาษิตมีอยวู่ ่า “เมือ่ กลา่ วโดยสรุปแลว้ เบญจขนั ธท์ ่ี ประกอบอยดู่ ว้ ยอุปาทานนนั่ แหละเป็นตวั ทุกข”์ ดงั น้นั เบญจขนั ธท์ ี่ไม่มีอปุ าทานครอบงาํ น้นั หาเป็นทุกขไ์ ม่ ฉะน้นั คาํ วา่ บริสุทธ์ิหรือหลดุ พน้ จึงหมายถงึ การหลดุ พน้ จาก อุปาทานวา่ “ตวั เรา” วา่ “ของเรา” น้ีโดยตรง ดงั มพี ุทธภาษิตว่า “คนท้งั หลายยอ่ มหลุดพน้ เพราะ ไมย่ ดึ มนั่ ถอื มน่ั ดว้ ยอปุ าทาน” การสละ การให.้ . เป็นเพยี งกลไกของธรรมชาติ การเขา้ ใจกลไกของธรรมชาติ คือการเขา้ ใจความเป็นเช่น น้นั เอง ของธรรมชาติ ความจริงแลว้ ทกุ สิ่งทุกอยา่ งตอ้ งไหลไปตามกลไกของมนั ไมม่ ีใครผใู้ ห้ และไมม่ ีใครผรู้ ับ แต่เพราะมีอปุ าทานขนั ธห์ า้ วา่ เป็นตวั เรา มีตวั เรา จึงเริ่มมตี วั เขา จึงตอ้ งมีการให้ และมีการรับ สมยั ก่อน หากผทู้ ี่เขา้ ไปหาของป่ า ก็อาจพบตน้ มะม่วง ตน้ ฝรั่ง ตน้ ขนุน ตน้ มะขาม ตน้ มะละกอ หรือตน้ ไมใ้ หผ้ ลมากมายทีมนั ข้ึนอยู่ เองตามธรรมชาติ มนั ก็มีกลไก ทาํ หนา้ ที่ให้.. อยา่ งไมร่ ู้จกั เหน็ด เหนื่อย มนั เติบโตมาตามธรรมชาติ เป็นส่วนหน่ึงของธรรมชาติ เพ่ือที่จะยงั ประโยชนผ์ อู้ ่ืน น้าํ ก็ไมม่ ีใครรดให้ มนั ตอ้ งดึงดดู น้าํ หาเล้ียง
71 ลาํ ตน้ มนั เอง มนั ตอ้ งดึงดดู แสงแดดเพ่ือสงั เคราะห์แสงใหต้ น้ ไมย้ งั คง อยไู่ ด้ ในหนา้ แลง้ มนั ตอ้ งประคบั ประคองใหล้ าํ ตน้ อยไู่ ดใ้ นขณะที่มี น้าํ นอ้ ยมาก โดยบางคร้ังก็ตอ้ งสลดั ใบออกไปเพ่อื ใหม้ ีน้าํ หลอ่ เล้ยี ง พอท่ีจะรักษาลาํ ตน้ ใหค้ งอยไู่ ด้ ก็เพื่อจะไดผ้ ลดิ อกออกผล เพ่อื ใหม้ นุษย์ หรือสรรพสตั ว์ ท้งั หลายไดอ้ าศยั กิน อาศยั ดาํ รงชีพ เม่อื ใหป้ ระโยชนก์ บั ส่ิงอนื่ ๆแลว้ ก็ บาํ รุงรักษาตน้ ของตวั เอง เพอ่ื ที่จะผลดิ อกออกผลใหก้ บั บุคคลอ่นื หรือ ส่ิงอ่นื ๆไดก้ ิน ไดอ้ าศยั เพอื่ ยงั ชีพต่อไป เม่ือออกผลใหม่ กม็ ีผมู้ าเกบ็ ไปกินไปขาย หรือสรรพสตั วม์ าอาศยั กินเพอื่ ยงั ชีพ แลว้ กอ็ อกผลใหม่ กม็ ีผมู้ าเก็บไปกิน ไปขาย หรือสรรพสตั วม์ าอาศยั กินต่อไป ตน้ ไมเ้ หลา่ น้ี ไมเ่ คยบ่น ไมเ่ คยว่า ไมเ่ คยอิดออดท่ีจะผลติ ผล ออกมาเพ่ือผอู้ ่ืนเลยสกั คร้ัง มนั ยงั คงต้งั หนา้ ต้งั ตาผลิตผลออกมาเพ่ือผอู้ ่ืนต่อไป เพราะความเป็นธรรมชาตินน่ั เอง ความเป็นสิ่งหน่ึงของ ธรรมชาติท่ีตอ้ งถกู ผลกั ดนั ใหม้ ีการไหลไปตามกลไกของธรรมชาติ คือการเก้ือกลู กนั ที่ธรรมชาติมใี หก้ นั
72 มนุษยก์ เ็ ป็นเพียงธรรมชาติที่มาประชุมรวมกนั ประกอบดว้ ย ธาตุดิน ธาตุน้าํ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และมธี าตุรู้ที่มีปัญญาทาง ธรรมชาติเป็นตวั ผลกั ดนั ใหก้ ลไกดาํ เนินไปได้ ทุกอยา่ งเป็นธาตุทางธรรมชาติลว้ นๆท่ีไม่ไดเ้ ป็นตวั ใครของ ใครรวมกนั ข้ึนมาเป็นกลมุ่ เป็นกอ้ น เพ่อื ยงั ประโยชน์ใหก้ บั ธรรมชาติ ธรรมชาติท่ียอ่ มมกี ารให้ ท่ียอ่ มมคี วามเมตตากรุณาความเอ้อื อาทรใน ทุกสรรพสิ่งอยแู่ ลว้ ตามธรรมชาติ หากเขา้ ใจในธรรมชาติ กจ็ ะเขา้ ใจ ว่า การให้ การแบ่งปัน การชว่ ยเหลือกนั เป็นเร่ืองปกติธรรมดา คือ ไม่ไดม้ ีใครเป็นผใู้ ห้ ไมไ่ ดม้ ใี ครเป็นผรู้ ับ จึงไมม่ ตี วั ใคร เป็นผใู้ หใ้ คร แต่พอมีอวิชชา คือความไมร่ ู้จริงในธรรมชาติ จึงเกิดอุปาทาน ขนั ธห์ า้ ข้ึนมา มนั อุปาทานไปว่า ธรรมชาติน้ีมตี วั ตน มีตวั เราข้ึนมา หลงั จากน้นั ก็ไปยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในทุกสรรพส่ิง ไปแสวงหาเอาส่ิงที่เป็น ธรรมชาติมาเป็ นของเรา การไหลไป การหมนุ เวียนไปตามกลไกของธรรมชาติ ก็เลย สะดุดหยดุ ลง เพราะมเี ครื่องก้นั คืออตั ตาตวั ตนของตนนนั่ เอง เมอื่ มีตวั ตนของตน จึงมกี ารเกบ็ กกั เพื่อสนองอตั ตาตวั ตน ดงั น้นั การให้ การแบ่งปัน การช่วยเหลือกนั ตามธรรมชาติท่ี เคยมี กส็ ะดุดหยดุ ลงเช่นกนั เพราะหากแบ่งปันไป เราจะไดอ้ ะไรกลบั มา
73 เหมอื นเม่อื ก่อน ที่ดินแห่งหน่ึงไมม่ ีเจา้ ของ มีบ่อน้าํ อยภู่ ายใน คนกม็ าใชต้ กั กิน ตกั อาบ กนั มากมาย เราก็เป็นหน่ึงในคนเหลา่ น้นั ที่ ไปร่วมตกั น้าํ มาใช้ มาด่ืม มากิน พอวนั หน่ึงมีคนมาแจง้ ว่า มีเจา้ ของแลว้ คนท่ีเคยเขา้ ไปตกั น้าํ จากบ่อน้นั ซ่ึงเกดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติน้นั ก็จะรู้สึกกลา้ ๆกลวั ๆ แต่ก็ ยงั พอไปตกั ได้ แต่หากเจา้ ของที่ดนิ ผนื น้นั มาขายใหก้ บั เราอยา่ งไม่แพง และ เราตกลงซ้ือเรียบร้อยแลว้ ทนั ทีท่ีมีช่ือเราในโฉนด อุปาทาน ความยดึ มนั่ ถือมนั่ วา่ เป็นของเรา กเ็ กาะทนั ที ..ทด่ี ินของเรา.. และกระบวนการยดึ มน่ั ถือมน่ั กเ็ กิดข้ึน มกี ารไปลอ้ มร้ัว ไป ถากถาง ไปยดึ เกบ็ ผลไมเ้ หล่าน้นั มาเป็นของตน หากใครปี นเขา้ ไป เกบ็ ผลไม้ ก็เป็นเดือดเป็นแคน้ ทะเลาะต่อยตีกนั เพราะตน้ ไมน้ ้นั เป็น ของเรา น้าํ บ่อน้นั เป็นของเรา ทุกอยา่ งไม่มีผดิ ไมม่ ีถกู มนั เป็นไปตามกลไกของทางโลก ท่ี เราซ้ือแลว้ ก็ตอ้ งเป็นของเรา เรากต็ อ้ งมสี ิทธ์ิ ตอ้ งหวงแหนเป็น ธรรมดา
74 แต่ท่ีไมถ่ กู ตอ้ งตามหลกั ของธรรมชาติกค็ ือ เริ่มมกี ารยดึ มนั่ ถอื มน่ั การจะไหลไปตามกลไกของธรรมชาติยอ่ ยสะดุดลง การเก็บ กกั การหาผลประโยชน์ การยดึ ครองเขา้ มาแทนท่ี นนั่ คือเพ่มิ เหตุ ปัจจยั ใหเ้ กิดความทุกขข์ ้ึนมาอีกช้นิ หน่ึง ท่ีดินน้ี มนั กย็ งั อยตู่ ามเดิมตรงน้นั อยา่ งที่มนั เป็นนนั่ แหละ บ่อน้าํ มนั ก็ยงั คงใหน้ ้าํ อยา่ งที่มนั เป็นนนั่ แหละ ตน้ ไม่มนั กย็ งั ใหผ้ ล อยา่ งท่ีมนั เป็นนนั่ แหละ แต่สภาวะแห่งการยดึ มนั่ ถอื มนั่ การมตี วั ตน การมขี องของ ตนเปล่ยี นไป ท้งั ๆท่ีของเหล่าน้นั มนั ก็ยงั มขี องมนั อยอู่ ยา่ งเดิมต้งั แต่ที แรก มีมาเป็นร้อยเป็นพนั เป็นหมื่นเป็นแสนปี เรากไ็ มเ่ คยไปทุกขก์ บั ของที่มีข้ึนมาตามธรรมชาติผนื น้ี หรือเม่ือก่อนหนา้ น้ี หรือเมือ่ วานน้ีก็ ไม่ไปทุกข์ เพราะไม่ใช่ของเรา แต่ตอนน้ี วนั น้ี เด๋ียวน้ี ที่ดินน้ีเป็นของ เราแลว้ แมว้ ่าเราจะไม่สามารถแบกไปยงั ที่ต่างๆตามใจเราก็ตาม แต่ไปอยทู่ ี่ไหน ก็จะห่วงใยมนั เสมอ ไม่รู้เหมือนกนั ว่าเราเป็นเจา้ ของมนั หรือมนั เป็นเจา้ ของเรา กนั แน่ เพราะมนั ใชใ้ หเ้ ราตอ้ งคอยดแู ลมนั ตอ้ งมาคอยเป็นห่วงเป็นใย มนั ตอ้ งคอยมาปกป้ องรักษามนั เหน็ดเหนื่อย สุข ทุกข์ กบั มนั เพราะ มนั เป็นธรรมชาติ มนั เป็นของมนั อยอู่ ยา่ งน้นั มานบั ร้อย นบั พนั นบั ลา้ นปี แลว้ แค่อุปาทานวา่ เป็นของเรา มนั เพ่งิ เกิด มนั เพง่ิ เกาะเด๋ียวน้ี เอง
75 ถา้ เราตาย อุปาทานน้ีก็ไปเกาะกบั ผทู้ ี่ไดร้ ับมรดกไป กจ็ ะเกาะ จะยดึ ไปจนกว่าจะตาย หรือจะขายที่ดินน้ีไป กจ็ ะมคี นใหม่ มาเกาะมา ยดึ ต่อไปอกี ท่ีดนิ กย็ งั ไปไหน ก็ยงั อยทู่ ี่เดิม มนั ไมร่ ู้ตวั ดว้ ยซ้าํ วา่ ทาํ ให้ ใครก่ีคนท่ีตอ้ งทุกข์ ตอ้ งสุขกบั มนั แต่มีคนมากมายเหลือเกิน ท่ีไปทุกข์ ไปสุขกบั มนั เราจะเห็นว่า เพราะ “อุปาทาน” แทๆ้ ที่หลงคิดไปว่า มตี วั เรา จึงมีของเราไปดว้ ย เหมอื นบา้ นท่ีเราอยู่ เม่ือก่อนเช่าเขาอยู่ ก็อยไู่ ดอ้ ยา่ งสบาย ทาํ อะไรสบายๆ กลบั บา้ ง ไมก่ ลบั บา้ งก็ไมห่ ่วงเท่าไร อะไรจะผจุ ะพงั ก็ ช่างมนั เพราะรู้วา่ มนั ไมใ่ ช่ของเรา แต่พอซ้ือบา้ นหลงั น้นั ต่อจาก เจา้ ของเรา อุปาทานว่งิ เขา้ ไปเกาะทนั ที “มนั เป็นของเรา” หรือ “มนั เป็นเจา้ ของเรา ในทนั ที จากน้นั ต่อมา มนั กจ็ ะเร่ิมกระบวนการใชเ้ รา ใชใ้ หเ้ ราดแู ลมนั ใหเ้ ราคอยห่วงใย ใหเ้ ราคอยกงั วลใจเมือ่ ไปไกลบา้ น บา้ นอยกู่ บั ท่ี เคลือ่ นยา้ ยไม่ได้ แต่อุปาทาน ความห่วงใย ติดอย่ใู นหวั ของเรา ใน ความคิดของเรา เรียกว่า “ไปไหนไปดว้ ย” ตลอดเวลา เช่นเดียวกนั กบั ทกุ สรรพสิ่งรอบๆตวั เรา ท่ีสร้างความสุข- ทุกขจ์ ากอุปาทาน คือความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ใหก้ บั เราตลอดเวลาน้นั มนั ไมไ่ ดข้ ้ึนอยกู่ บั ราคาค่างวด สิ่งของใดๆ มนั ไม่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั ความสวย ความงามใดๆ แต่มขี ้นึ อยกู่ บั ความยดึ มน่ั ถือมนั่ ต่างหาก หากใหค้ วามสาํ คญั กบั สิ่งใด ส่ิงน้นั จะมคี วามหมายในทนั ที
76 ปากกามากมายในกลอ่ ง แต่ปากกาดา้ มน้ีแฟนใหว้ นั เกิด ปากกาดา้ มน้ีกจ็ ะมคี วามหมาย มคี วามสาํ คญั มากกวา่ ดา้ มอนื่ ๆทนั ที ท้งั ๆท่ีราคาไม่ไดแ้ พงเลย นนั่ เพราะอปุ าทานว่า แฟนของเรา.. ใหเ้ รา ปากกาดา้ มน้ี มโี อกาสทาํ ใหเ้ ราสุข เราทุกข์ ไดม้ ากกวา่ ปากกาท้งั กลอ่ ง ดา้ มอื่นคนหยบิ ไปใชไ้ ม่เป็นไร แต่ดา้ มน้ีหยบิ ไปมีเร่ืองแน่ แม้ หายไป จะซ้ือมาใชท้ ดแทนสกั โหล แบบเดียวกนั สีเดียวกนั เขียนได้ เหมือนกนั แต่มนั ทดแทนกนั ไมไ่ ด้ นนั่ เป็นเพราะอปุ าทานวา่ ไม่ใช่ดา้ มที่แฟนของเราใหน้ นั่ เอง ปากกาดา้ มน้ี ทาํ ใหบ้ ุคคลน้ีทุกข์ สุข ได้ เพราะมีความหมายนนั่ เอง แต่ หากวนั ใดเลกิ กบั แฟนผใู้ หป้ ากกาดา้ มน้ีแลว้ อุปาทานในปากกาดา้ มน้ี กห็ มดไป ไม่ห่วง ไม่อยากได้ ไม่ทุกขห์ ากจะหายไป หรืออาจโยนท้ิง ไปเลยกไ็ ด้ เพราะหมดความหมายแลว้ นนั่ เอง เร่ืองเลก็ ๆแค่น้ีกส็ ามารถทาํ ใหค้ นๆหน่ึงเป็นสุข เป็นทกุ ขไ์ ด้ หดหู่เศร้าหมองได้ ซ่ึงไมไ่ ดเ้ กี่ยวกบั วตั ถสุ ิ่งของเลย มนั ทุกขเ์ พราะ อุปาทานลว้ นๆ นนั่ เพราะมีตวั เรา ทุกส่ิงทุกอยา่ งเลยเป็นของเรา
77 จะเห็นไดว้ า่ อวิชชา คือความไมร่ ู้ ที่คอยจะสร้างใหเ้ กิดกิเลส ตณั หา อุปาทาน ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ว่ามีตวั เรา ของเรา ข้นึ มาคอยยดึ คอยจบั คอยจอ้ งที่จะสะสมอยตู่ ลอดเวลา ดงั น้นั การที่จะออกจากขนั ธห์ า้ ได้ ตอ้ งเขา้ ใจมนั ใหถ้ อ่ งแท้ ว่ามนั คืออะไรกนั แน่ มนั มีกลไกอยา่ งไร มนั มีตวั ตนจริงหรือไม่ ในแต่ละวนั บุคคลท้งั หลายจึงพลั วนั ไปดว้ ยของของเรา ไหน จะบา้ นของเรา รถของเรา เพ่อื นของเรา ลกู ของเรา ญาติของเรา แฟน ของเรา นาฬกิ าของเรา ปากกาของเรา โต๊ะของเรา เกา้ อ้ีของเรา โรงเรียนของเรา ฯลฯ สารพดั ที่จะเป็นของเรา สิ่งที่เขา้ มากระทบ มาปรุงแต่งใหส้ ุขใหท้ ุกข์ ใหว้ ิตกกงั วล จากอปุ าทานวา่ เป็นของเรา กย็ อ่ มมากตามไปดว้ ย เพราะทุกส่ิงทุก อยา่ งมนั มีความแปรปรวนอยใู่ นตวั มนั เองอยแู่ ลว้ มนั จึงเป็นช่องทางท่ี ทาํ ใหผ้ ไู้ ปยดึ กบั ส่ิงเหลา่ น้นั มโี อกาสทุกขส์ ุขอยกู่ บั มนั ตลอดเวลา แลว้ ทาํ ไมผปู้ ฏิบตั ิ ผรู้ ู้หลายท่าน ผปู้ ลอ่ ยวางจากการยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในขนั ธห์ า้ มากมายหลายท่าน ท่านจึงอยทู่ ่ามกลางวตั ถสุ ่ิงของได้ โดยไมท่ ุกข์ โดยไมร่ ้อนรนกบั ทุกสรรพสิ่งรอบๆตวั ท่าน มที ุกอยา่ งได้ โดยไมต่ อ้ งทุกข์ นน่ั เพราะ มกี เ็ หมือนไม่มี มีได้ ใชท้ ุกอยา่ งได้ แต่ไม่ ยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในสิ่งของเหลา่ น้นั ว่าเป็นของของท่านนน่ั เอง การที่จะไม่ทุกข์ ก็เพราะหลุดพน้ จาก อุปาทาน เหลา่ น้นั ไม่ไดไ้ ปทอดทิ้ง ไปปล่อยปละละเลย ทุกอยา่ งมไี ด้ ใชไ้ ด้ ดแู ลได้ เสมือนมีตวั เราเป็นผแู้ ล แต่แทจ้ ริงแลว้ ขนั ธห์ า้ เป็นผดู้ าํ เนินการดูแล
78 ท้งั หมด ตามการบนั ทึกไวก้ ่อนหนา้ น้นั นน่ั แสดงว่า ไมไ่ ดม้ ีเรามา ต้งั แต่ตน้ มกี เ็ หมอื นไมม่ ี มีทุกอยา่ งอยรู่ อบตวั แต่รู้วา่ ไมไ่ ดม้ สี ่ิงของ เหลา่ น้นั จริงๆ เป็นความวา่ ง ว่างจากความเป็นตวั ใคร เป็นของใคร ท้งั สิ้น แมข้ ณะบริหารขนั ธห์ า้ อยู่ ก็ยงั รู้ว่า ขนั ธห์ า้ น้ี มใิ ช่ตวั ตนจริงๆ จึงอยใู่ นขนั ธห์ า้ โดยความไมม่ ตี วั ตน โดยไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ แลว้ มอี ยจู่ ึง เหมอื นไม่มี ไม่มกี เ็ หมือนมี ความจริงตวั ตน มนั ไม่ไดม้ ีจริง มนั เป็นกลไก เป็นการไหลไปของกระแสธรรมชาติตามเหตุปัจจยั ของมนั อยา่ ง น้นั เอง แต่อุปาทานไปว่ามตี วั มีตนจริงๆ เอาความไมม่ จี ริง มารวมกนั เป็นกล่มุ เป็นกอ้ น แลว้ อุปาทานไปวา่ “มจี ริง” การท่ีจะไปคอยดบั ทกุ ข์ ในแต่ละสิ่งที่เกิดความแปรปรวนข้ึน แลว้ น้นั แลว้ ทาํ ใหเ้ กิดทุกข์ กค็ งตอ้ งตามทกุ ข์ ตามดบั ทุกขก์ นั อยรู่ ่ําไป ดงั น้นั เมื่อเราจบั ไดแ้ ลว้ ว่า หวั เรือใหญ่ ตน้ ตอของความทุกข์ ก็คือ อวิชชา ความไม่รู้ ทกี่ ่อใหเ้ กิดอุปาทานขนั ธห์ า้ ก่อใหเ้ กิดความมี ตวั เราของเราข้นึ มา เพราะแกไ้ ขไมต่ รงจุด ความทกุ ขจ์ ึงหลอกกินมานบั ภพนบั ชาติไมถ่ ว้ นนนั่ เอง เหตุปัจจยั มนั มากมายเหลอื เกิน ท่ีจะเรียงหนา้ เขา้ มาใหย้ ดึ เขา้ มาใหท้ ุกข์ พอเกิดกลไกของขนั ธห์ า้ ปรุงแต่งใหเ้ กิดภาวะ อารมณ์ต่างๆตามส่ิงที่มากระทบ ตวั อปุ าทาน กม็ าคอยดกั รอ เพอ่ื เอา คาํ ว่า เรา ไปแปะตดิ กบั อารมณ์เหลา่ น้นั ก็เลยเหมาเอาวา่ เรากาํ ลงั มี
79 อารมณ์สุข เรากาํ ลงั มีอารมณ์ทุกข์ มีอารมณ์ข่นุ มวั เศร้าหมอง ห่อเหี่ยว ใจ นนั่ เป็นเพราะอุปาทานมาคอยช้ีนาํ เสนอใหไ้ ปยดึ เกาะอารมณ์ที่ ปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจยั ตามกลไกของขนั ธห์ า้ ท่ีมนั ไมไ่ ดม้ ใี ครไป ปรุงแต่ง เช่นอากาศหนาวเยน็ ลง เซลลข์ องรูปขนั ธก์ ็กระทบกบั อากาศ เยน็ ก็ส่งขอ้ มลู ไปท่ีสญั ญา วา่ หนาวแลว้ สญั ญากส็ ่งไปที่ความคิด ความคิดกป็ รุงแต่งว่าตอ้ งหาเส้ือหนาๆใส่ แลว้ รูปขนั ธก์ ไ็ ปหยบิ เส้ือ หนาๆมาสวม อารมณ์กส็ บายข้นึ เพราะไมห่ นาวสน่ั เหมอื นเมอ่ื ครู่น้ี ขนั ธห์ ามนั ทาํ งานกนั เป็นทีม มนั รับ มนั ส่ง มนั จดั การทุก อยา่ งตามกลไกของขนั ธห์ า้ ถา้ ออกมาดูทนั จะเห็นความมหศั จรรยข์ องขนั ธห์ า้ ท่ีมนั ทาํ งานรับส่งกนั ต่อเน่ืองตลอดเวลา กินขา้ ว กระเพาะยอ่ ย แยกโปรตีน แยกไขมนั แยกวิตามิน แลว้ ส่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกายถกู ตอ้ งตรง ไม่มใี ครไปคอย กาํ กบั ดแู ล แต่มนั ทาํ งานของมนั เอง มนั เป็นกระแสที่ไหลไป ตลอดเวลา ไมไ่ ดม้ ีตวั ใครอยใู่ นน้นั ท้งั หมดทุกข้นั ตอน ไม่มีใครปรุงแต่ง กายกระทบอากาศเยน็ อากาศท่ีมนั เยน็ ตวั อากาศเองมนั กไ็ มไ่ ดป้ รุงแต่งใหเ้ ยน็ แตม่ เี หตุปัจจยั
80 มาผลกั ดนั ใหม้ นั เยน็ ลง แลว้ กลไกการบนั ทึกไวข้ องเซลลผ์ ิวหนงั ตาม สญั ญาก็เคยจาํ ไวว้ า่ 25 องศาพอได้ ต่าํ กวา่ น้นั ทนไมไ่ หว เมอ่ื หนาว มาก การรับรู้ทางรูปขนั ธท์ ่ีหนาวสนั่ กส็ ่งไปถงึ อารมณ์ก็เลยเป็นเวทนา ความทกุ ข์ ความคิดก็เร่ิมปรุงแต่ง จึงตอ้ งจดั การหาสิ่งมาปกป้ อง ร่างกาย ทุกอยา่ งเป็นกลไกการป้ องกนั ขนั ธห์ า้ ที่มนั ผลกั ดนั ที่มี โปรแกรมของมนั อยแู่ ลว้ ตามข้นั ตอน ซ่ึงเป็นการบนั ทกึ ไวส้ ืบต่อกนั มาของขนั ธห์ า้ มนั ทาํ งานของมนั เอง เป็นข้นั ตอนกลไกของมนั เอง แต่ ธาตุรู้ที่มีปัญญา ท่ีมหี นา้ ท่ีเป็นเพยี งผดู้ ู ผทู้ ี่มีหนา้ ที่มาตามดวู า่ ขนั ธห์ า้ มนั ทาํ งานยงั ไง ในกลไกของมนั แต่ก็กลบั ไมด่ ูเฉยๆ ทาํ เกินหนา้ ที่ ดนั เสนอหนา้ เขา้ ไปมสี ่วน ร่วม ตามการเชิญชวนของอุปาทาน จึงมเี ราเป็นผหู้ นาว มีเราหาเส้ือใส่ มีเราหายหนาว ท้งั ๆที่ถา้ ดแู ลว้ เห็นว่า กลไกของขนั ธห์ า้ มนั หนาว แลว้ มนั กห็ าเส้ือกนั หนาวมาใส่ แลว้ มนั กอ็ นุ่ สบายตามสไตลข์ องมนั ก็จะ ไมม่ ตี วั เราผเู้ ขา้ ไปร่วมช่วยเหลือมนั เลย มนั ทาํ เองไดล้ ว้ นๆ เม่ือหดั ปล่อยไดใ้ นคร้ังหน่ึง คร้ังต่อไปส่ิงใดจะเขา้ มากระทบ ปัญญาก็จะเกิด การพุ่งเขา้ ไปยดึ วา่ เป็นเราก็จะนอ้ ยลง จะคอยมองดูวา่ ขนั ธห์ า้ มนั จะจดั การกบั สภาวะน้นั อยา่ งไร เชื่อเถอะวา่ มนั จดั การขนั ธห์ า้ ของมนั ได้ แมไ้ มม่ อี ปุ าทาน ไม่ มตี วั เราของเราเขา้ ไปเก่ียวขอ้ ง
81 ตอนน้ีรู้แลว้ วา่ ตน้ เหตุของปัญหากค็ ือ ตวั อุปาทาน คือ ความ ไม่รู้ คิดวา่ เป็นตวั ตน เป็นของตน แลว้ ไปหลงยดึ เป็นตน้ เหตุ เรามาดักรอ ดักตใี ห้ตรงจดุ ดกั ตใี ห้ตรงตวั อุปาทานเลย จะ ดกี ว่าไหม? ขอเพ่มิ เติมในรายละเอยี ด เพื่อใหท้ ุกท่านไดท้ าํ ความเขา้ ใจใน กลไกของขนั ธห์ า้ สกั เลก็ นอ้ ยนะคะ การมีสติรู้เท่าทนั กลไกของขนั ธ์ หา้ เป็นเรื่องที่ทาํ ไดย้ ากยงิ่ เพราะโดยปกติแลว้ คนเรามกั จะคิดวา่ เมอ่ื เราคิด กจ็ ะคิดว่าเราเป็นผคู้ ิด คิดชอบ เรากช็ อบ คิดรัก เรากร็ ัก คิดโกรธ เรากโ็ กรธ คิดนอ้ ยใจ เรากน็ อ้ ยใจ จึงยงั มีผรู้ ัก มผี เู้ กลยี ด มีผสู้ ุข มผี ทู้ ุกข์ อยู่เรื่อยมา นอ้ ยคนนกั ที่จะเฉลียวใจ มีสติรู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ว่า มนั ปรุงแต่งของมนั ไปตามเหตุ ปัจจยั ท่ีเขา้ มากระทบน้นั เมอื่ เขาชม มนั กป็ ล้มื เมือ่ เขาวา่ มนั กโ็ กรธ เมื่อเขาไม่ตามใจ มนั กน็ อ้ ยใจ นน่ั มนั เป็นธรรมดา เป็นกลไกของขนั ธห์ า้ ท่ีมนั ตอ้ งปรุง แต่งของมนั ตามธรรมดาอยแู่ ลว้
82 มนั เป็นธรรมดาของขนั ธห์ า้ ที่มนั ตอ้ งปรุงของมนั อยา่ งที่มนั เคยบนั ทึกไว้ มนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั เอง เห็นลกู ก็รกั เห็นแฟนกห็ วง เห็นดอกไมก้ ็ชอบ เห็นคนไมถ่ กู กนั กโ็ กรธ บางคร้ังเรายงั ไมท่ นั รู้ตวั เลยว่า เห็นป๊ ุบรักปั๊ป เห็นป๊ ุปโกรธป๊ัป นน่ั หมายความวา่ ขนั ธห์ า้ มนั เคยมีการบนั ทึกไวอ้ ยา่ งไร มนั ก็ปรุงแต่งไปอยา่ งน้นั ทนั ที มนั ไมถ่ ามสกั คาํ ตากระทบ จาํ ไดห้ มายรู้ ปรุงแต่ง แลว้ เกิด อารมณ์ไปเลย บางคร้ังเรายงั ไมท่ นั ต้งั ใจเลย แต่มนั ปรุงไปเรียบร้อย แลว้ รอใหเ้ ราเขา้ ไปรับผดิ ชอบ ว่าเป็นของเรา อารมณข์ องเรา สุขของ เรา ทุกขข์ องเรา เรียกวา่ รอใหไ้ ปอปุ าทานรับมนั เขา้ มาเป็นของเรา นน่ั เอง ความทุกขท์ ี่มนั จะเกิดข้ึนได้ ก็เพราะไปรับอารมณ์ที่มนั ปรุง แต่งของมนั เอง มาเป็นของเรา ไปรับผดิ ชอบอารมณ์ ความรู้สึก ที่มนั ปรุงแต่งของมนั เองในกลไกของขนั ธห์ า้ มาเป็นของเรา นน่ั เรียกวา่ ไป อุปาทานเอามาเป็นของเรา จึงมเี ราผสู้ ุข ผทู้ ุกขเ์ รื่อยมา ถา้ มนั ปรุงอารมณ์พอใจ เข่าข่ายเรียกว่าสุข กเ็ ลยนึกว่าเราเป็น ผสู้ ุข ถา้ มนั ปรุงอารมณ์ไม่พอใจ นอ้ ยใจ กไ็ ปรับเอามาเป็นเราผมู้ ี ความทุกข์ แต่หากรู้เท่าทนั มนั ปรุงแต่งเกิดอารมณ์ข้ึนมา นอ้ ยใจ ไม่ พอใจ ตามกลไกที่มนั ปรุงของมนั อย่แู ลว้ ตามการกระทบเหตุปัจจยั น้นั ๆ แลว้ เห็นมนั ตามความเป็นจริง ว่ามนั ก็ปรุงแต่งไปอยา่ งน้นั ตาม
83 เร่ืองตามราวของมนั เรียกวา่ มีสติรู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ที่มนั ปรุงแต่ง อารมณ์ของมนั ไปอยา่ งน้นั เอง กจ็ ะมีผดู้ ูอารมณ์เหลา่ น้นั ท่ีเกดิ ในขนั ธห์ า้ ดูอยา่ งเป็นผทู้ ่ีดู แลว้ รู้เท่าทนั กจ็ ะมขี นั ธห์ า้ กบั ผทู้ ่ีดขู นั ธห์ า้ กาํ ลงั ปรุงแต่งอารมณ์เหลา่ น้นั ท้งั ๆที่ยงั ไมพ่ อใจ ยงั มีความกรุ่นอยกู่ ต็ าม เม่อื เห็นอารมณ์ เหล่าน้นั แลว้ แมม้ นั จะยงั เกิดอยู่ แต่กจ็ ะไมม่ ีใครไปรับผดิ ชอบทุกข์ ของมนั ทกุ ขข์ องขนั ธห์ า้ ก็จะแค่เห็นมนั ดูมนั เกดิ ข้ึน แลว้ ดูซิว่า มนั จะมหี นา้ ต้งั อยใู่ นอารมณน์ ้นั สกั กี่นาที น่ีต่างหาก ที่เป็นกลไก ที่มนั เกิดข้ึนแต่ไมม่ ใี ครทกุ ข์ ดูใหเ้ ห็น ความเป็นอยา่ งน้นั เองของขนั ธห์ า้ ท่ีไมม่ ใี ครบงั คบั บญั ชามนั ได้ มนั มี แต่คิดใหส้ ุข ใหท้ ุกขอ์ ยเู่ ร่ือย มนั คิดเอง มนั หดหู่เศร้าหมองเอง มนั ทาํ กลไกของมนั เอง ไมไ่ ดม้ ีใครไปทาํ ใหม้ นั เกิด มนั เกิดเอง ปรุงเอง และเกดิ อารมณ์สุข ทุกขเ์ บด็ เสร็จในตวั มนั เอง ถา้ เห็นว่า มนั เป็นขนั ธห์ า้ ไม่ไดม้ ใี ครไปทาํ มนั กป็ รุงแต่งของ มนั เองได้ แค่ถอยอออกมาดู มาเห็นการทาํ งานตามกลไกของขนั ธห์ า้ แลว้ กจ็ ะไม่เขา้ ไปยงุ่ เกยี่ วกบั อารมณ์เหล่าน้นั เห็นมนั เกิดข้ึน ต้งั อยู่ แลว้ มนั กด็ บั ไปของมนั เอง
84 อยา่ ใหอ้ ุปาทานไปหลอกวา่ มีตวั เราเป็นเจา้ ของอารมณ์ แลว้ เขา้ ไปรับผดิ ชอบอารมณ์เหลา่ น้นั กพ็ อ นนั่ เรียกว่า ถอดสลกั จาก อุปาทานขนั ธห์ า้ ท้งั ๆที่เกิดอารมณ์สุขทกุ ขอ์ ยู่ แต่ไม่ไดม้ ีใครเป็นผสู้ ุขทกุ ข์ คือ ไมม่ ีเราในขนั ธห์ า้ ขนั ธห์ า้ ไม่ใช่เรา และอารมณ์เหล่าน้นั ก็ไม่ใช่ของ เราไปดว้ ย เมอ่ื มีสติเห็น รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ รู้เท่าทนั อารมณ์เหลา่ น้นั นน่ั ก็คือ อยเู่ หนือความคิด อยเู่ หนืออารมณ์ อยเู่ หนือสุข เหนือทุกขท์ ้งั มวลนนั่ เอง สจั ธรรม คือความเป็นจริงของธรรมชาติ มีเพยี งหน่ึงเดียว ไม่ มบี างแยก หากมีความเขา้ ใจ ความเป็นจริงของธรรมชาติแลว้ จะทาํ ให้ มีมุมมองท่ีไม่มกี ารแบ่งแยก ไมม่ ีการเปรียบเทียบ ไม่มกี ารแบ่งเขา แบ่งเรา ไม่มกี ารไปช้ีผดิ ช้ีถกู ส่ิงใดส่ิงหน่ึง ซ่ึงเป็นรากฐานใหเ้ กิด ความทุกข์ เพราะความเห็นผดิ ความไม่เขา้ ใจในธรรมชาตนิ น่ั เอง ดงั น้นั การทจ่ี ะมงุ่ เขา้ มาดแู ต่ในขนั ธห์ า้ มาเรียนรู้ขนั ธห์ า้ ที่ มนั ยงั มีอปุ าทานเต็มเป่ี ยมวา่ เป็นตวั เรา เป็นของๆเรา กย็ ากลาํ บากอยู่ แลว้ ตอ้ งมสี ติคอยดู คอยมอง ใหร้ ู้เท่าทนั ว่ามนั คิดอะไร รู้สึกอะไร และมีอารมณ์อะไรในแต่ละขณะ เพอ่ื ที่จะไดร้ ู้เท่าทนั ไมไ่ ปยดึ มน่ั ใน อารมณ์เหลา่ น้นั ใหเ้ กิดทุกขข์ ้นึ มา แค่คอยดขู นั ธห์ า้ คอยศกึ ษา คอยพิจารณาเพ่ือไมใ่ หไ้ ป อุปาทานว่าเป็นของเราน้นั แคน่ ้ีกย็ ากลาํ บากอยแู่ ลว้ แค่ตามดกู ารปรุง แต่งตามเหตุปัจจยั ในขนั ธห์ า้ กห็ มดเวลาแลว้ จะใหส้ ่งจิตออกไปดา้ น
85 นอก ไปนาํ ส่ิงรอบขา้ งเขา้ มาพจิ ารณา ไปตดั สินบุคคลอื่นๆมากมายท่ี อยภู่ ายนอก อยรู่ อบขา้ ง แลว้ ข้ึนลงไปตามความเห็นของตนเองท่ี นาํ ไปตดั สินเขาเหลา่ น้นั ท้งั ท่ีพวกเขาเหลา่ น้นั ยอ่ มเป็นไปตามเหตุ ปัจจยั ของแต่ละบุคคลอยแู่ ลว้ ตอ้ งกระเสือกกระสนดน้ิ รนไปตาม วบิ ากของแต่ละคนอยแู่ ลว้ เหตุใด เราจะยงั ไปเสียเวลา เอาเขาเหล่าน้นั มาพิจารณา เพ่ือ เพ่ิมความทุกขเ์ ขา้ ไปในตวั เราอีกเล่า แค่ภายในของเรา ความทุกขท์ ่ี ขนั ธห์ า้ คอยแต่จะปรุงแต่งใส่มาใหก้ ็มากมายเกินจะรู้เท่าทนั อยแู่ ลว้ ผรู้ ู้ จะไม่ส่งจิตออกนอก ไปตดั สินสิ่งภายนอกทต่ี อ้ งเป็นไปตามเหตุปัจจยั น้นั ๆ จะดแู ค่ภายใน วา่ เกิดภาวะอะไรในแต่ละขณะ แลว้ เพยี รศึกษา ใหร้ ู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ ในปัจจุบนั กจ็ ะสามารถเบาบางจางคลายจากความ ทุกขไ์ ดใ้ นปัจจุบนั ผไู้ มร่ ู้ ยอ่ มเห็นผดิ ยอ่ มส่งจิตออกนอก ไปรับเอาเรื่องราว ต่างๆของทุกสรรพส่ิง เขา้ มาเป็นมลู เหตุใหข้ นั ธห์ า้ มนั ปรุงแต่งมากเขา้ ไปอีก จึงทาํ ใหก้ ารมองดา้ นในของตวั เอง มีเวลานอ้ ยลง เพราะการ ปรุงแต่งในเร่ืองที่รับเขา้ มาน้นั เอาเวลาไปหมด เรียกวา่ ไมไ่ ดเ้ ห็นการ ปรุงแต่งของขนั ธห์ า้ ตามความเป็นจริง ไปอปุ าทานรับเอาทุกเรื่องท่ี มนั ปรุงแต่งมาเป็นตวั เรา เป็นความคิด ความรู้สึกของเราท้งั หมด จึงมี แต่ความทกุ ข์ ความเครียด ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ เพราะไป ห่วงใยแทนคนอ่นื ๆเ รียกว่า ห่างไกลจากการมองเห็นการปรุงแต่งของ ขนั ธห์ า้ ในปัจจุบนั อยา่ งยง่ิ
86 เรียกวา่ ไมไ่ ดเ้ ห็นขนั ธห์ า้ ของตนเองเลย เห็นตาขนั ธห์ า้ ของ คนอ่ืน ที่เขากต็ อ้ งเป็นของเขาอยา่ งน้นั ตามเหตุปัจจยั ของเขา เรียกว่า เสียประโยชน์ตน เพ่มิ ทุกขใ์ หต้ วั เองมากข้ึนไปอกี เพราะไปแบก รับภาระท่ีไม่ใช่เร่ืองเขา้ มา จึงไม่เห็นความเป็นเช่นน้นั เองของธรรมชาติ ไมเ่ ห็นขนั ธห์ า้ ของตน ตามความเป็นจริงที่มนั กาํ ลงั ปรุงแต่งในปัจจุบนั การรู้เท่าทนั จึงยงั ไม่มี จึงยงั ตอ้ งทนทุกข์ และตอ้ งหาทางดบั ทุกขก์ นั เร่ือยไปนนั่ เอง ภารกจิ ทางโลก ทกุ ๆคนไดเ้ คยพานพบ ไดเ้ คยผา่ นมาแลว้ นบั คร้ังไมถ่ ว้ น หลายภพ หลายชาติ ความโศกเศร้าเสียใจ ความร่าํ ไร ราํ พนั ความไมส่ บายกาย ความไม่สบายใจ ความทุกข์ ความสุข คละ เคลา้ ปะปนกนั หลายหมนื่ หลายแสนชาติ นบั ภพนบั ชาติไมถ่ ว้ น จน น้าํ ตามากมายกวา่ น้าํ ในมหาสมทุ รแลว้ จึงมใิ ช่เป็นการเสียใจ เป็นการ ร้องไหค้ ร้ังแรกของพวกเราทุกคน หากมองดว้ ยสายตา เสมือนวา่ น่ีเป็นของใหม่ เหตุการณ์ใหม่ เราพอเจอความเสียใจคร้ังใหม่ หากมองดว้ ยปัญญา จะเห็นวา่ มนั ไมใ่ ช่เรื่องใหม่เลย มนั เป็น อยา่ งน้ีมานานแลว้ มนั ซ้าํ ซากจาํ เจ มนั หมุนเวยี นเปลี่ยนไป ไมเ่ คยมี ชาติไหน ภพไหน ที่ไมท่ กุ ข์ เพยี งแต่ว่าสญั ญามนั ไม่ต่อเน่ืองขา้ มภพ ขา้ มชาติมาดว้ ยเท่าน้นั จึงมีเราคนใหม่ เขาคนใหม่ ครอบครัวใหม่ ทุก ส่ิงทุกอยา่ งลว้ นเป็นของใหม่ ท่ีน่ายดึ ถอื น่ายนิ ดีปรีดาท้งั สิ้น
87 แต่เปล่าเลย ภพชาติท่ีผา่ นมา ก็มเี รา มเี ขา มีครอบครัวของเรา ที่ใหอ้ ารมณ์ความรู้สึกเยย่ี งน้ีเหมือนกนั แลว้ ภพชาติก่อนหนา้ น้นั กม็ ี เรา มเี ขา มคี รอบครัวของเรา มีความสาํ คญั มคี วามรู้สึกห่วงหาอาทร เหมอื นขณะน้ี เช่นกนั แลว้ ยอ้ นไปในชาติภพที่ลึกลงไปกวา่ น้นั กย็ งั มี เรา มเี ขา มคี รอบครวั ของเราท่ีใหห้ ่วงหาอาทรอยอู่ กี หรือหากลกึ ลง ไปอีก กย็ งั คงมอี ยอู่ กี มอี กี มีอีก เพราะไดผ้ า่ นมาแลว้ มากมายจนนบั ไม่ถว้ น หากเราเกิดมาแสนชาติ กต็ อ้ งมีพ่อแม่แสนคน มพี ี่นอ้ งหลาย แสนคน มสี ามี ภรรยา นบั แสนๆคน ตอ้ งมีความทุกข์ โศกเศร้าเสียใจ ร่าํ ไรราํ พนั เช่นน้นั นบั เป็นแสนๆลา้ นๆคร้ัง เพราะคนที่เรารักยอ่ มจาก เราไปในทุกชาติ ชาติน้ีกจ็ ริง ชาติน้นั กจ็ ริง ชาติโนน้ กจ็ ริง ทกุ ชาติจริงหมด จริงในจิตของผทู้ ี่ยงั มคี วามยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในขนั ธห์ า้ ท่ียงั ตอ้ งเวียนเกิด เวียนตาย หาท่ีสิ้นสุดมไิ ด้ มีชาติไหนบา้ ง ท่ีเกิดเป็นมนุษยแ์ ลว้ ไมห่ ่วง หาอาทร ไม่รัก ไมห่ ่วงใย ไมเ่ สียใจกบั สิ่งท่ีตอ้ งสูญเสียไป ทุกส่ิงทุกอยา่ ง ทุกภพ ทุกชาติ หากยงั ไม่จางคลายจาก อุปาทานขนั ธห์ า้ ยอ่ มใหค้ วามรู้สึกทกุ ขเ์ ช่นน้ีเสมอมา ตลอดระยะทางอนั ยาวไกล การเดนิ ทางในสงั สารวฏั ที่นบั ไม่ ถว้ นผา่ นมาแลว้ แต่ทางที่จะตอ้ งเดินต่อไปอีกยาวไกลไปในสงั สารวฏั น้นั ก็ยงั ไมเ่ ห็นจดุ หมายปลายทางเสียที จึงยงั ตอ้ งวนเวยี นเดินกนั ต่อไปอีกนบั ภพนบั ชาติไม่ถว้ นเชน่ กนั
88 ตราบใดท่ียงั ไมล่ ะจากอุปาทาน การยดึ มนั่ ถือมนั่ ในขนั ธห์ า้ ก็ ยงั จะตอ้ งมีการเกิดมา มกี ารดาํ รงอยู่ แลว้ มกี ารตายไป เพอื่ ท่ีจะเกิดมา ใหม่ แลว้ หมนุ เวยี นไปอยา่ งไม่มีท่ีส้ินสุดนนั่ เอง ขอให้ระลกึ ถงึ ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็ นทพ่ี ง่ึ ที่ อาศัย อนิจจงั ทุกขัง อนัตตา คือความไมเ่ ท่ียง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ ตวั ตนของตน เพราะเป็นธรรมโอสถ เป็นยาท่ีรักษาโรคอปุ าทานขนั ธ์ หา้ ซ่ึงเป็นโรคร้ายใหห้ ายขาดได้ เพื่อที่จะไดไ้ ม่ตอ้ งมาเวยี นเกิดเวยี น ตายกนั ต่อไปอกี ดงั น้นั แมพ้ บเจอความทกุ ขท์ ี่ดเู หมือนจะหนกั หนามากมาย ในความรู้สึกของปุถุชนทวั่ ไป แต่ถา้ มีสติระลกึ รู้เท่าทนั ขนั ธห์ า้ เห็น ความเป็นอยา่ งน้นั เองของทุกสรรพส่ิงท่ีลว้ นเปลีย่ นแปลงไปตามเหตุ ปัจจยั น้นั ๆ ความทุกข์กจ็ ะเบาบางลง ตามการยดึ มนั่ ถือมนั่ ที่เบาบาง นนั่ เอง
89 ธรรมะเพอ่ื การละวางอัตตาตัวตน ชุดที่ 2 บรรยายโดย อาจารย์สุดใจ ชื่นสานวน การมองทุกสรรพสิ่งท่ีเกดิ ข้ึนบนโลกใบน้ี หากมองดว้ ยอวชิ ชา คือความไมร่ ู้จริง จะเห็นวา่ ทกุ สรรพสิ่ง ทุกสรรพวชิ ชา จะมีความสาํ คญั ท้งั หมด น่าอยากไดใ้ คร่ดี น่าเอา น่า เป็นไปเสียท้งั หมด ทุกศาสตร์ ทุกส่ิง ทกุ อิทธิปาฏหิ าริยม์ ีความ น่าสนใจ น่าคน้ ควา้ น่าจะหาเอามาเพ่ือประดบั อตั ตาท้งั ส้ิน เท่าไรกไ็ ม่ พอ หากมองดว้ ยวชิ ชา ดว้ ยปัญญาไตร่ตรองตามคาํ สอนของพระ พทุ ธองคแ์ ลว้ จึงจะมองเห็นความเป็นเชน่ น้นั เองของทุกสรรพสิ่ง มนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั เองมานานแลว้ มนั มที กุ อยา่ งอยใู่ นกลไกของ ธรรมชาติ ฤทธ์ิเดชอทิ ธิปาฏหิ าริย์ มนั มมี าเน่ินนานควบคกู่ บั จกั รวาล ท้งั ปวง มิใช่ของใหมใ่ ดๆ ผทู้ ่ีมีความเขา้ ใจ ปฏิบตั ิถงึ กลไกของ ธรรมชาติ ก็ยอ่ มเกิดฤทธ์ิเดช เกิดอิทธิปาฏหิ าริยข์ ้ึนไดเ้ สมอ ต้งั แต่คร้ัง โบราณมาแลว้ ฤๅษี พราหมณ์ นกั พรต เก่งกว่า ปาฏิหาริยก์ วา่ อิทธิฤทธ์ิมากกวา่ เราๆผมู้ าทีหลงั ท้งั สิ้น
90 แต่ก็ยงั ตอ้ งเวยี นเกิด เวยี นตาย อยา่ งไมม่ ที ี่สิ้นสุด ทุกอยา่ งมไี ด้ เป็นได้ แต่ยงั ตอ้ งเวียนวา่ ยอยใู่ นวฏั สงสารอีก เน่ินนานเหลือเกิน แต่ผรู้ ู้ ผเู้ ห็นดว้ ยปัญญา ท่านจะไมส่ รรเสริญ ถึงมี ถงึ ได้ ท่าน ก็ไม่ยนิ ดี ท่านมงุ่ หวงั ทจ่ี ะออกจากวฏั สงสาร เขา้ สู่ความเป็นผไู้ ม่ตอ้ ง มาเวยี นวา่ ยในสงั สารวฏั อีกเท่าน้นั ทุกสิ่งมีได้ และเคยมี เคยไดก้ นั มาแลว้ ท้งั น้นั ไมว่ ่าฤทธ์ิเดชใดๆ มมี ากนั แลว้ ท้งั น้นั ในภพชาติอเนก อนนั ตท์ ี่ผา่ นๆมา เรื่องอื่นๆเป็นเร่ืองเก่า เร่ืองเดิมๆ เรื่องที่เคยมี เคย เป็นมาก่อนท้งั สิ้น จึงยงั ตอ้ งมาเวียนวา่ ยตายเกดิ กนั อยอู่ ยา่ งน้ี แต่การหลดุ พน้ การบรรลธุ รรม เป็นเร่ืองใหม่ ยงั ไมเ่ คยทาํ ไดม้ าก่อน การเบาบาง การละวางจากอปุ าทานขนั ธห์ า้ ยงั ไม่เคยจาง คลายไดจ้ ริง นี่ต่างหากท่ีเป็นเร่ืองใหม่ ที่ควรจะใส่ใจศกึ ษาใหร้ ู้แจง้ เห็นจริง แลว้ ควรทาํ ใหไ้ ดใ้ นชาติปัจจุบนั น้ี... จะไดไ้ มต่ อ้ งเกิดมา เพอ่ื ศึกษาขนั ธห์ า้ กนั อีก หากยงั มีอปุ าทาน ยงั มีความเห็นที่ไม่ถกู ตอ้ ง หลงยดึ มน่ั ถอื มน่ั วา่ มีตวั เรา เป็นตวั เรา เป็นของๆเราอยู่ ต่อใหเ้ ร่งเดินเท่าไร เพยี ร มากมายแค่ไหน ก็เหมือนกบั ยง่ิ เดินห่างไกลออกไปจากแก่นแทข้ อง ธรรมมากข้ึนเรื่อยๆ เมื่อมีผมู้ าแนะนาํ เม่อื มีผมู้ าชกั ชวน เมอื่ มผี ชู้ ้ีทาง ใหเ้ ดิน ผทู้ ี่มปี ัญญา ก็ควรตอ้ งพจิ ารณาไตร่ตรองอยา่ งยงิ่ ยวด ตอ้ ง
91 นาํ ไปเทียบเคียงกบั ธรรมะของพระพทุ ธองคใ์ หแ้ น่ใจก่อนวา่ ทางที่มา บอก ทางที่มาช้ี ทางท่ีมาแนะนาํ ใหเ้ ดินไปน้ี เป็นไปเพอื่ การละวาง เป็นไปเพื่อการจางคลายจากการยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในอปุ าทานขนั ธห์ า้ หรือไม่ เป็นไปเพ่ือการปล่อยวาง เป็นไปเพือ่ เห็นความวา่ งจากการยดึ มน่ั ถือมน่ั วา่ เป็นตวั ตนของตนหรือไม่ ถา้ การใด ทาํ ไปแลว้ ปฏิบตั ิไปแลว้ ไม่มีความเบาสบาย ไม่ จางคลายจากทุกขไ์ ดจ้ ริง ยง่ิ ปฏิบตั ิ ยง่ิ ยดึ มากข้ึน ยง่ิ สะสมมากข้ึน ยง่ิ แบกหนกั ข้ึน กอ็ ยา่ เดินไปไกล เพราะยงิ่ เดินไปไกลกจ็ ะยงิ่ หนกั ตอ้ ง รีบหยดุ ไวก้ ่อน แลว้ หนั มาพจิ ารณาไตร่ตรองในธรรมะที่เป็นแก่นแท้ อีกคร้ัง ว่าสอนไวอ้ ยา่ งไร ซ่ึงจุดมุง่ หมายคือ เป็นไปเพอ่ื การปลอ่ ยวาง การละอุปาทานขนั ธห์ า้ การละอตั ตาตวั ตน ท้งั สิ้น ไมไ่ ดใ้ หไ้ ปหา ให้ ไปยดึ ใหไ้ ปเพ่ิมอตั ตา ใหไ้ ปสะสมอุปาทานใหม้ ากข้ึน ของเก่า ท่ียงั มีอยใู่ นขนั ธห์ า้ ที่ติดตามมาตลอดน้นั ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในอุปาทานท่ีติดตามมาหลายภพหลายชาติน้นั ยงั เอาออกไม่ หมดเลย ยงั ตอ้ งเพียรเพือ่ จะละ เพอื่ จะวางจากการยดึ มน่ั ถือมน่ั ใหไ้ ด้ ยงั ตอ้ งเพียรเพ่อื ละอยทู่ ุกวนั แลว้ จะไปเอาอปุ าทานของใหมเ่ ขา้ มาอกี เอามาเพิม่ เอามา แบก เอามายดึ ถอื ไวอ้ ีก แลว้ เม่ือไรจะเบาสบายกนั เสียที
92 มองให้เป็ นจะเหน็ ความว่าง เช่ือแน่วา่ ผปู้ ฏิบตั ิธรรม ท่ีไดเ้ ดินทางเขา้ สู่สายแห่งธรรม ยอ่ ม เป็นผทู้ ี่ปรารถนาจะหลุดพน้ จากความทกุ ขท์ ้งั สิ้น เป็นผปู้ รารถนาที่จะ พน้ จากกรรม วิบากกรรม พน้ จากการตอ้ งมาเวยี นว่ายตายเกิดท้งั ส้ิน แต่ปัญหามนั อยทู่ ่ีว่า จะมีปัญญาแยกแยะไดเ้ ท่าใด ว่าอนั ไหนของจริง อนั ไหนของปลอม ทางไหนตรง ทางไหนออ้ ม ทางไหนเป็นแก่น ทาง ไหนเป็นกระพ้ี เป็นเปลือก เป็นใบ กต็ อ้ งลองผดิ ลองถกู ลองไปศกึ ษากนั มานานาสาํ นกั ก็เพือ่ หาทางท่ีจะคน้ พบทางที่เป็นแก่น จะไดป้ ฏบิ ตั ิไดต้ รง ไดเ้ ร็ว และพน้ จากทกุ ขก์ นั เสียที นี่เป็นสิ่งที่ยากยงิ่ ตอ้ งใชป้ ัญญาอยา่ งยง่ิ ยวด เพราะการลวงลอ่ ในรูปแบบที่น่าศรัทธาต่างๆนานา มมี ากมาย ยากที่จะพจิ ารณาใหถ้ ึง แก่นแทไ้ ดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง แต่มใิ ช่วา่ การพจิ ารณาเลือกเดินในทางสายใด สายหน่ึง วชิ าใด วิชาหน่ึง สาํ นกั ใดสาํ นกั หน่ึง เป็นสิ่งที่ผดิ หรือถกู นน่ั เป็นไปตามเหตุปัจจยั ตามอินทรียท์ ่ีแกก่ ลา้ ตามพละกาํ ลงั ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ของบุคคลน้นั ๆต่างหาก ที่จะมคี วามพร้อม เท่าใด ดงั น้นั การท่ีจะเขา้ ไปกลางแก่นของตน้ ไม้ ก็ตอ้ งผา่ นใบ ผา่ น เปลือก ผา่ นกระพ้ี ของตน้ ไมเ้ หล่าน้นั ไปก่อน จึงจะมองเห็นแก่นของ ตน้ ไมไ้ ด้ เราท้งั หลายกเ็ ช่นกนั ตอ้ งผา่ นการลองผดิ ลองถกู ผา่ นการ กา้ วข้ึนบนั ไดไปทีละข้นั ทีละข้นั จึงจะสามารถมองเห็นภาพรวมของ
93 เสน้ ทางที่เราเดินผา่ นมาได้ ถา้ ไม่มีบนั ไดข้นั ที่ 1 ข้นั ท่ี 2 ข้นั ที่ 3 เราก็ ไมอ่ าจข้ึนมาสู่ข้นั ที่ 4 ข้นั ท่ี 5 ไดเ้ ลย ดงั น้นั บนั ไดแต่ละข้นั ธรรมะแต่ละศาสตร์ แต่ละสาย แต่ละ วิธี ก็เป็นบนั ไดพ้ืนฐาน เพอ่ื การกา้ วไปหาแก่นแท้ หาการปลอ่ ยวาง ท้งั สิ้น ดงั น้นั อยา่ ไดไ้ ปมองคนทีก่ าํ ลงั กา้ วข้ึนมาข้นั ที่ 1 ข้นั ท่ี 2 วา่ ยงั หลง ยงั ยดึ ยงั ไม่ถกู ทาง นน่ั เป็นการมองท่จี ะทาํ ใหเ้ กิดการ เปรียบเทียบ จะทาํ ใหต้ นเองเป็นทุกข์ ดงั น้นั ทุกสิ่งทุกอยา่ ง จึงถกู ตอ้ ง (ตามเหตุปัจจยั น้นั ๆ) ซ่ึงเป็นการป้ องกนั การมองโดยการเปรียบเทียบ ว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกวา่ เรา หรือเราเสมอกบั เขา เพราะทุกคนมีเหตุ ปัจจยั ต่างกนั จึงมปี ัญญา มกี ารพิจารณา มกี ารไตร่ตรอง มภี มู ธิ รรมไม่ เท่ากนั แต่มิไดห้ มายความวา่ เขาเหลา่ น้นั จะยงั วนเวียนอยแู่ ต่ตรงจุด น้นั ตลอดไป เหมอื นกบั เม่อื เราอยชู่ ้นั ป.2 เราอาจจะบวกเลข ลบเลขพอได้ แต่เรายงั เพ่งิ หดั ใชก้ ารคณู เลข เรายงั ไมเ่ ป็น เรายงั ทาํ ไมค่ ล่อง หากพี่เราที่อยชู่ ้นั ป.5 มาสอนเรา กจ็ ะบอกว่า ทาํ ไมสอนไม่ จาํ ทาํ อยา่ งน้ี คูณอยา่ งน้ี ไม่เห็นยากเลย ง่ายจะตายไป แต่สาํ หรับเรา สาํ หรับเด็ก ป.2 มนั ยากมากเลย
94 เดก็ ป.5 กก็ าํ ลงั ยากในการเรียนสูตร เรียนตรีโกณ ถอดสแคว รูท หรืออะไรต่อมอิ ะไรที่ครูเพิ่งเริ่มสอน จึงยากสาํ หรับเดก็ ป.5 คน น้นั แต่ถา้ พี่อกี คน ที่เรียนช้นั มธั ยม กอ็ าจจะบอกว่า ไม่เห็นยาก เลย แค่ทาํ อยา่ งน้ี อยา่ งน้ี แค่น้ีกท็ าํ ไม่ได้ จะเห็นไดว้ า่ สามคนน้ี อยใู่ นสภาวะที่ต่างกนั โดยพ้นื ฐาน ตามสภาวะทางโลก ท่ีกาํ ลงั ดาํ เนินอยู่ มสี ภาวะของการศกึ ษาท่ีต่างกนั แต่น่าแปลก ..ที่มมี ุมมองเหมอื นกนั นนั่ คือมองว่า เราดีกวา่ เขา เราฉลาดกวา่ เขา เรารู้มากกวา่ เขา ซ่ึงเป็นการมองโดยมตี วั เองเป็นตวั ต้งั ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในตวั เอง แลว้ เอา ผอู้ ่นื มาเทียบ ถา้ เรารู้มากกว่า เราดีกวา่ เขา ก็จะมคี วามหยง่ิ ดถู กู คนอน่ื ถา้ เขารู้มากกวา่ เรา กจ็ ะหดหู่หมน่ หมอง เพราะสูเ้ ขาไมไ่ ด้ เสียใจ ริษยา อยากเอาชนะ แต่ทุกคนคิดถกู ตอ้ ง ตามกาํ ลงั ปัญญา ตามการยดึ มนั่ ถอื มนั่ แต่ ละคน และทุกคนกจ็ ะไดร้ ับความทกุ ข์ ความนอ้ ยใจ เป็นของแจกของ แถม ตรงไปตรงมาเช่นกนั แต่ถา้ มองใหเ้ ป็น จะเห็นความเป็นเช่นน้นั เอง วา่ นอ้ งคนเลก็ อยู่ ป.2 เขายงั คณู เลขไม่ค่อยได้ นน่ั เพราะเขายงั อยู่ ป.2 เขายงั ไม่ได้ เรียนถึงช้นั ป.5 เขาจึงยงั ไม่เขา้ ใจการคณู เลขนนั่ เอง ไมใ่ ช่เขาโง่ แต่ เพราะเขายงั เรียนไมถ่ งึ ช้นั ป.5 ถา้ เขาเรียนถงึ ป.5 เขาอาจจะเรียนเก่ง เลขมากกวา่ พใี่ นขณะน้ีกไ็ ด้ คนท่ีอยู่ ป.5 แมจ้ ะเก่งกวา่ ป.2 แต่กย็ งั ทาํ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197