Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระคุณของพ่อ

พระคุณของพ่อ

Published by Sarapee District Public Library, 2020-11-16 13:39:34

Description: พระคุณของพ่อ
โดย วศิน อินทสระ

Keywords: วศิน อินทสระ,ธรรมะ,พระคุณของพ่อ

Search

Read the Text Version

พระคณุ ของพ่อ อ. วศนิ อนิ ทสระ หนงั สือดอี นั ดับท่ี ๒๐๓ ฉบบั ธรรมทาน มกราคม ๒๕๕๖ จดั พิมพจ์ �ำนวน ๓,๐๐๐ เลม่ ชมรมกลั ยาณธรรม ๑๐๐ ถ.ประโคนชยั ต.ปากน�้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศัพท์ ๐๒-๗๐๒-๗๓๕๓, ๐๒-๗๐๒-๙๖๒๔ โทรสาร ๐๒-๗๐๒-๗๓๕๓ www.kanlayanatam.com ออกแบบปก : ศิรสั วัชระสขุ จิตร รปู เล่ม : วชั รพล วงษอ์ นุสาสน์ ด�ำเนนิ การผลติ โดย ชมรมกลั ยาณธรรม พมิ พ์ที ่ บรษิ ทั ขุมทองอุตสาหกรรมและการพมิ พ์ จำ� กัด ๕๙/๘๔ หมู่ ๑๙ ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวฒั นา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๗๐ โทรศัพท์ ๐๒-๘๘๕-๗๘๗๑-๓ โทรสาร ๐๒-๘๘๕-๗๘๗๔ สัพพทานัง ธัมมทานงั ชินาติ การใหwธ้ รwรมwะ.เkปa็นnทlาaนyaยn่อaมtชaนmะก.าcรoใหmท้ ้ังปวง

ผู้ควรเป็นท่ีเคารพ การท�ำความดนี ับวา่ เป็นของยากอยู่แล้ว แตก่ ารรักษาความดยี ังยากขน้ึ ไปอกี ผทู้ หี่ ม่นั ท�ำความดแี ละรกั ษาความดไี วไ้ ดส้ ม่�ำเสมอ นับวา่ เป็นบุคคลท่ีหาได้ยาก ควรเคารพบชู า ควรเข้าใกลแ้ ละถือเป็นแบบอยา่ ง

ค�ำอนุโมทนา ชมรมกลั ยาณธรรมโดยทนั ตแพทยห์ ญงิ อจั ฉรา กลนิ่ สวุ รรณ์  ผเู้ ปน็ ประธานชมรม ไดข้ ออนญุ าตพมิ พห์ นงั สอื เรอื่ ง “พระคณุ ของพอ่ ”  ขา้ พเจา้ อนญุ าตดว้ ยความยนิ ดยี ง่ิ  เหน็ วา่ จะเปน็ ประโยชนแ์ พรห่ ลาย ออกไป ความเปน็ มาของเรอ่ื งน ี้ ขา้ พเจา้ ไดเ้ ขยี นเลา่ ไวแ้ ลว้ ในคำ� นำ� แห่งการพิมพ์ครั้งท่ี  ๑  และครั้งที่  ๒  ซ่ึงได้รวมพิมพ์อยู่ด้วยแล้ว เรื่อง  “พระคุณของพ่อ”  น้ี  ได้เขียนโดยวิธีเล่าเร่ืองเป็นส่วนมาก  กลมุ่ เปา้ หมายอยทู่ เ่ี ยาวชน จงึ เลา่ เรอ่ื งตา่ งๆ ใหฟ้ งั  เพอื่ เยาวชนจะ ไดเ้ ขา้ ใจงา่ ย ไดเ้ หน็ ตวั อยา่ งทงั้ ทางดแี ละทางไมด่  ี อยา่ งเรอื่ ง “ทฆี าวกุ มุ าร” ข้าพเจ้าได้เล่าไว้ละเอียดพอสมควร  แต่ไม่มากเท่ากับในหนังสือ เรอ่ื ง “อนั ชนกชนนนี รี้ กั เจา้ ” เพราะในเรอื่ งนนั้ เปน็ นวนยิ ายองิ หลกั ธรรมมีพระเอกนางเอก  ข้าพเจ้าจึงผสมจินตนาการลงไปด้วยมาก ทา่ นผูป้ รารถนาลองหาอา่ นดเู ถิด พวกเรามักจะได้ยินอยู่เสมอที่มีผู้พูดว่า  “มารดาบิดาเป็น พระอรหันต์ของลูก” ข้าพเจ้าไม่เคยพบพระพทุ ธพจน์ตรงๆ อย่างน้ี เคยพบแต่ท่ตี รสั วา่

“มารดาบดิ าเปน็ พรหม เปน็ ปพุ พเทพ (เทพคนแรก) เปน็ ปพุ พาจารย ์ (อาจารยค์ นแรก) ของลกู  เปน็ อาหไุ นยยบคุ คลของลกู เปน็ ผู้อนุเคราะหล์ ูก” ค�ำว่า  “เป็นพรหม”  หมายความว่า  มารดาบิดาประกอบ ดว้ ยพรหมวหิ ารธรรมทง้ั  ๔ อยา่ งตอ่ ลกู  มเี มตตาเปน็ ตน้  ทว่ี า่  “เปน็ ปพุ พเทพ” นน้ั คอื  เปน็ เทพคนแรกของลกู  สว่ นเทพอน่ื ๆ คอื สมมติ เทพ อปุ ปตั ตเิ ทพ และวสิ ทุ ธเิ ทพมาทหี ลงั  ทว่ี า่ เปน็ อาจารยค์ นแรก ของลูกน้ัน  เพราะสอนให้นั่ง  สอนให้เดิน  สอนให้กิน  สอนให้พูด เป็นต้น  เป็นคนแรก  ส่วนอาจารย์อ่ืนๆ  มาทีหลัง  ท่ีว่า  “เป็น อาหุไนยยบุคคลของลูก”  น้ัน  หมายความว่า  เป็นผู้สมควรที่ลูกจะ บูชาด้วยเสื้อผ้า  อาหาร  เป็นต้น  และด้วยความเคารพนับถือ  ค�ำว่า  “อาหุไนยยบุคคล”  น้ีเองมีผู้เข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ของลูก ยุติอย่างไรขอใหท้ า่ นผรู้ พู้ จิ ารณาดเู ถิด ข้าพเจ้าขออนุโมทนาต่อกุศลกรรม  กุศลฉันทะของชมรม กลั ยาณธรรม มา ณ โอกาสนดี้ ว้ ย ขอใหธ้ รรมจงคมุ้ ครองผปู้ ระพฤติ ธรรมใหอ้ ยู่เย็นเปน็ สุขตลอดกาลทุกเม่อื ดว้ ยความปรารถนาดอี ยา่ งยิ่ง ๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๖

คำ� น�ำของชมรมกัลยาณธรรม หนงั สอื เรอ่ื ง “พระคณุ ของพอ่ ” ทอี่ ยใู่ นมอื ทา่ นน ี้ เกดิ จาก ด�ำริแห่งจิตกรุณาของท่านอาจารย์วศิน  อินทสระ  ที่ประสงค์จะ รวบรวมและเผยแผธ่ รรมเกยี่ วกบั พระคณุ ของพอ่ ไวใ้ หส้ าธชุ นผสู้ นใจ ใฝ่ธรรมได้ศึกษา  เพราะ  “พระคุณของพ่อ”  น้ัน  มีผู้พูดถึงและ สรรเสริญคุณน้อยกว่า  “พระคุณของแม่”  ซ่ึงมีผู้ชื่นชมสรรเสริญ ตา่ งๆ นานา ถงึ ความสำ� คญั  รายละเอยี ดความเปน็ มาของงานเขยี น นี ้ ทา่ นอาจารยไ์ ดป้ รารภไว้แล้วในคำ� น�ำในการจดั พิมพค์ รัง้ แรก ชมรมกลั ยาณธรรมขอสบื ทอดเจตนารมยง์ านเผยแผธ่ รรม ของท่านอาจารย์วศิน  อินทสระ  รวมท้ังการจัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “พระคุณของพ่อ”  เพื่อแจกเป็นธรรมทาน  เพ่ือสืบทอดสารธรรม อันทรงคุณค่ามิให้สูญหายและเพื่อเป็นธัมมานุสสติแก่สาธุชนและ เยาวชนทง้ั หลาย จะไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทอี่ นั ควรของตนใหถ้ กู ตอ้ งสมบรู ณ์ เพราะทกุ ทา่ นยอ่ มประจกั ษแ์ กใ่ จวา่  ไมม่ รี กั ใด จะยง่ิ ใหญเ่ ทา่ รกั ของ พ่อแม่

ขอน้อมถวายอานิสงส์ธรรมทานนี้เป็นพุทธบูชา  ขอน้อม บูชาอาจริยคุณแด่ท่านอาจารย์วศิน  อินทสระ  และพ่อแม่ของพวก เรารปู ทกุ นามในทกุ ภพทกุ ชาติ ขอทา่ นบพุ การที ง้ั หลายท้งั ปวง จง ไดร้ บั แสงสวา่ งแหง่ ธรรม มชี วี ติ จติ วญิ ญาณทส่ี งบเยน็ ทวั่ กนั  เทอญ กราบขอบพระคณุ และอนโุ มทนาบุญทุกทา่ น ทพญ.อัจฉรา กล่นิ สุวรรณ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม

คำ�นำ� (ในการพิมพค์ ร้ังแรก) คณุ สรุ ศกั ด ิ์ องั กาบศร ี ขอใหช้ ว่ ยเขยี นเรอื่ ง “พระคณุ ของพอ่ ”  ด้วยปรารภว่า  หนังสือชื่อนี้โดยเฉพาะนั้นยังไม่เห็นมี  ส่วนเร่ือง พระคุณของแม่  น้ันมีผู้เขียนแล้วหลายเล่ม  และได้ยินได้ฟังกันโดย ทวั่ ไปอยแู่ ลว้ ขา้ พเจา้ รสู้ กึ วา่  คำ� ปรารภของคณุ สรุ ศกั ดเ์ิ ขา้ ทดี จี งึ รบั ปาก แตข่ อผลดั เวลาไวห้ นอ่ ยหนง่ึ วา่  ขอใหม้ หาวทิ ยาลยั ตา่ งๆ ซง่ึ สอนอยู่ ปดิ เทอมเสยี กอ่ นเถดิ  เมอ่ื นกั ศกึ ษาสอบกนั เสรจ็ แลว้  ตรวจขอ้ สอบ เสร็จเรียบร้อยทุกแห่งแล้ว  จึงได้ลงมือท�ำเรื่อง  “พระคุณของพ่อ” สำ� เรจ็ ออกมาอยา่ งทีท่ า่ นเหน็ น้ี จดุ ประสงคห์ ลกั ตอ้ งการใหเ้ ดก็ อา่ น แตห่ มายถงึ เดก็ วยั รนุ่ และวัยหนุ่มสาว  กลุ่มเป้าหมายจึงอยู่ท่ีเด็ก  ผู้ใหญ่จะอ่านด้วยก็ด ี ไวส้ อนเดก็  หรอื วา่ ไวส้ อนตวั เอง เพอื่ จะไดป้ ฏบิ ตั ติ อ่ พอ่ อยา่ งถกู ตอ้ ง และเขา้ ใจพอ่ มากขน้ึ  มผี ใู้ หญจ่ ำ� นวนไมน่ อ้ ยเวลานท้ี พ่ี อ่ ยงั มชี วี ติ อยู่ ความเป็นคนดี  การได้รับยกย่องจากสังคมทั่วไปว่าเป็น  คนด ี ความสำ� เรจ็ ผลในชวี ติ ตามทต่ี อ้ งการของลกู เปน็ ความสขุ อยา่ ง หนง่ึ ของพ่อ

แต่การที่ลูกจะเป็นเช่นน้ันได้  พ่อ  (และแม่)  มีส่วนส�ำคัญ อย่างย่ิงในการส่ังสอนอบรม  ให้ศึกษาศิลปวิทยา  พ่อแม่จะกลาย เปน็ ศตั รขู องลกู โดยไมร่ ตู้ วั  ถา้ ไมอ่ บรมสงั่ สอน ไมใ่ หศ้ กึ ษาศลิ ปวทิ ยา อันสมควรท่ีลกู ถือเปน็ มิตรตดิ ตัวไปได ้ ในกรณีท่พี ่อแมอ่ ยู่ในฐานะท่ี จะทำ� ได ้ แตส่ งิ่ หนง่ึ ทพี่ อ่ แมท่ กุ คนทำ� ได ้ ไมว่ า่ มงั่ มหี รอื ยากจนเพยี ง ไรนนั่ คอื  เปน็ ตวั อยา่ งทดี่ ขี องลกู  ในคณุ ธรรมตา่ งๆ ลกู ทด่ี ยี อ่ มซมึ ซบั คณุ ธรรมของพอ่ แมเ่ ขา้ สตู่ นไดโ้ ดยไมย่ าก ตรงกนั ขา้ ม การทำ� ตวั อยา่ ง  ท่ีไม่ดีให้ลูกเห็นเป็นประจ�ำวันน้ัน  เป็นการสั่งสอนให้ลูกด�ำเนินทาง ไม่ดีอยู่ในตัว  จะเป็นความประสงค์ของพ่อแม่หรือไม่ก็ตาม  เด็กที่มี บญุ  วาสนาด ี ไมข่ น้ึ แกส่ งิ่ แวดลอ้ ม หรอื สงิ่ แวดลอ้ มไมด่  ี ทำ� อนั ตราย ไมไ่ ดน้ น้ั  มอี ยนู่ อ้ ย เดก็ สว่ นมากเปน็ เหมอื นกอ้ นดนิ ธรรมดา ซงึ่ เมอื่ อยใู่ นนำ�้ กเ็ หลวเปน็ โคลน เมอื่ ตากแดดจงึ แหง้  เมอื่ เขา้ เบา้ ทำ� เปน็ รปู ตา่ งๆ แลว้ เผาจงึ เปน็ กอ้ นอฐิ หรอื กระเบอื้ ง เดก็ สว่ นมากพา่ ยแพต้ อ่ สง่ิ แวดลอ้ มอยเู่ ชน่ น ้ี ผใู้ หญท่ รี่ กั เดก็ จรงิ จงึ ควรใหส้ งิ่ แวดลอ้ มทด่ี ตี อ่ เด็ก  ครอบครัวเป็นส่ิงแวดล้อมท่ีใกล้ตัวเด็กที่สุด  พ่อแม่เป็นบุคคล ที่ใกล้ตัวเด็กท่ีสุด  และเป็นบุคคลท่ีเด็กๆ  อยากยึดไว้เป็นที่พึ่งพิง  (ถ้ายึดได้) จนกวา่ เขาจะเตบิ โตพึง่ ตนเองได้

มีพ่ออยู่ไม่น้อยเหมือนกัน  ที่ชอบเสียสละความสุขส่วนตัว ต่างๆ  ท่ีตนเคยชอบ  เคยประพฤติมา  เพราะเห็นว่าจะเป็นตัวอย่าง ทางไมด่ แี กเ่ ดก็ ๆ ของตน พยายามตง้ั ตนอยใู่ นทางทชี่ อบ เพอื่ จกั ได้ เป็นตัวอย่างทางที่ดีแก่ลูก  สอนลูกได้โดยมิต้องละอายตนเองและ ละอายลูก สอนในส่ิงทีต่ นก็ทำ� ได้ ท�ำมาแลว้ และก�ำลังทำ� อยู่ เม่ือเราได้พยายามเต็มที่แล้ว  ในการอบรมส่ังสอนเด็กๆ  ของเราดว้ ยวาจาบา้ ง ดว้ ยการทำ� ตวั อยา่ งใหด้ บู า้ ง ดว้ ยการชต้ี วั อยา่ ง  ของคนดีได้รับผลดี  คนช่ัวได้รับผลชั่วร้ายบ้างแล้ว  ต่อไปจึงค่อย พดู วา่  “สดุ แลว้ แตบ่ ญุ วาสนาของเขาเถดิ ” แมค้ นทเี่ รยี กไดว้ า่  มบี ญุ วาสนามาดแี ลว้  กย็ งั ตอ้ งอาศยั ความเพยี รพยายามเขา้ ชว่ ยเหลอื  จงึ จะประสบความส�ำเรจ็ ในสงิ่ ทปี่ ระสงค ์ ดแู ตเ่ มลด็ งานนั้ เถดิ  มนี �้ำมนั อยเู่ ปน็ อนั มาก แตถ่ า้ ไมบ่ บี คนั้ แลว้ จะไดน้ ำ้� มนั จากเมลด็ งาไดอ้ ยา่ งไร เล่า  สิงโต  สัตว์เจ้าไพร  แม้มีก�ำลังมหาศาล  ก็ต้องออกว่ิงจับสัตว์ จงึ ได้อาหารกนิ  มัวนอนรอเฉยๆ จะมกี วางตัวใดวงิ่ เขา้ ปากมนั  ดว้ ย เหตุน้ี  มนุษย์ที่เป็นมนุษย์จึงควรตระหนักในความเพียรพยายาม  ไมว่ า่ จะทำ� สงิ่ ใด พงึ ใชค้ วามเพยี รจนสดุ ความสามารถ เพราะโชคลาภ ย่อมมแี กผ่ ู้มีความเพียร มีจติ ใจเด็ดเดยี่ ว เพราะฉะน้ัน ผูห้ วังความ เจรญิ แกต่ นและแกล่ กู หลาน จงึ ควรปลกู ฝงั ตนและลกู หลาน ใหม้ น่ั อยู่ในคณุ ธรรมมีความเพียร และความกตญั ญูกตเวทีเปน็ ต้น

โบราณเราถอื กนั วา่  “คนกตญั ญกู ตเวทตี กนำ้� ไมไ่ หล ตกไฟ ไม่ไหม้”  นั่นหมายถึงชีวิตจะไม่ตกต�่ำ  ถ้าจะยากล�ำบากบ้างเป็นครั้ง คราว แตถ่ ้าม่นั อยูใ่ นความกตญั ญกู ตเวทแี ลว้  จะตอ้ งมีผชู้ ่วยเหลือ ใหช้ ว่ ยตวั เองไดใ้ นโอกาสต่อไป ชวี ติ ของคนผมู้ ีคณุ ธรรม เป็นชีวติ ท่ี มีความสุขสงบเย็น  “ไม่ตกยาก”  อยู่นาน  ขอให้พวกเราม่ันใจในสิ่ง เหลา่ น ี้ เมอ่ื มน่ั ใจในคณุ ธรรม เรายอ่ มกลา้ หาญและมน่ั คงในคณุ ธรรม คุณลักษณะดังกล่าวน้ี  เป็นส่ิงพึงประสงค์ในทุกวงการ  ร้องเรียก  หากนั อยเู่ สมอ จะสำ� เรจ็ ไดก้ ด็ ว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั  ิ ลงมอื ทำ� ใหจ้ รงิ ๆ ให้สมำ่� เสมอสังคมของเราจะดขี ึ้นเปน็ อย่างมาก ๙  พฤษภาคม  ๒๕๓๔

คำ� น�ำ  (ในการพิมพค์ รง้ั ท ี่ ๒) เรอ่ื งพระคณุ ของพอ่ น ้ี พมิ พอ์ อกครงั้ แรกเมอ่ื เดอื น พฤษภาคม ๒๕๓๔  จ�ำหน่ายหมดในปีนั้น  แต่ไม่ได้พิมพ์ขึ้นใหม่ด้วยเหตุไรบ้าง  คิดวา่ ไมต่ อ้ งน�ำมากลา่ วในท่ีนเ้ี พราะหลายเรือ่ ง ตอ่ มา เมอื่  ๒-๓ เดอื นมานเ้ี อง คณุ สรุ ศกั ด ์ิ องั กาบศร ี มา ขอให้พิมพ์เพิ่มข้ึนอีก  จึงได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งที่  ๒  ห่างกัน  ๓  ปี ไดแ้ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ บา้ งเลก็ นอ้ ย เพราะมเี วลาอยจู่ ำ� กดั  อยากใหห้ นงั สอื นอ้ี อกทนั วนั พอ่ ป ี ๒๕๓๗ เหลอื เวลาอีกไม่กเ่ี ดอื น เรามีวันพ่อปีละวัน  วันแม่ปีละวัน  แต่พ่อแม่ต้องท�ำกิจที่ ควรทำ� ตอ่ ลกู ทุกวัน ปีละ ๓๖๕ วนั  ลูกท่ดี ี ควรค�ำนึงถึงหนา้ ทข่ี อง ตวั ใหม้ าก วนั หนง่ึ ๆ ขอใหน้ กึ ทบทวนดวู า่  ไดร้ บั อะไรจากพอ่ แมบ่ า้ ง ได้ท�ำอะไรให้พอ่ แมบ่ า้ ง อุปการะกับปฏิการะ (การตอบแทน) ตอ้ ง พอสมควรกัน  พอสมดุลกันจึงจะเป็นความดีด้วยกันทุกฝ่าย  เป็น ความยุติธรรม ลูกที่ดี  ถ้ายังอยู่กับพ่อแม่  ต้องอยู่ไปใช้หน้ีไป  เพราะเรา เปน็ หนี้ทา่ นมาตงั้ แตเ่ กิด เด็กบางคนดีจนพ่อแม่กลับเป็นหนีเ้ ขาคอื   ความดีของพ่อแม่เขาตอบแทนได้มาก  และยังจะมีคุณงามความด ี

ชนดิ ทพี่ อ่ แม่รู้สกึ วา่  “เราตอ้ งเปน็ หนคี้ วามดขี องลกู  ชาติหน้าขอให้ มาเกิดเป็นลกู ของพ่อแม่อกี เถดิ  จะไดช้ ดใช้ให้” ความดเี ปน็ สงิ่ ไมจ่ ดื จาง ยงิ่ ใกลช้ ดิ ยงิ่ ดมื่ ดำ่� ประทบั ใจ สว่ น รปู รา่ ง หนา้ ตาพอชนิ แลว้  “กเ็ ทา่ นน้ั เอง” คนฉลาดจงึ หมนั่ แสวงหา ความรู้  เสริมสร้างคุณธรรม  คนโง่เท่านั้นที่หลงใหลอยู่กับรูปร่าง หนา้ ตา คา่ มนั ผดิ กนั มาก ยงิ่ ระยะยาวยง่ิ เหน็ ชดั  เดก็ ของเราผตู้ ระหนกั ในเรอื่ งนจ้ี ะเปน็ เดก็ ด ี เปน็ ศรแี กส่ กลุ และบา้ นเมอื ง เดก็ ทไี่ มต่ ระหนกั เรอื่ งน ี้ ปลอ่ ยใหเ้ วลาลว่ งไปๆ พอรสู้ กึ ตวั กแ็ กเ่ สยี แลว้  ทำ� อะไรไมท่ นั ไดแ้ ตน่ ่ังนอนทอดถอนใจ “รอู้ ยา่ งน้ีทำ� ดกี ว่านแ้ี ล้ว” กใ็ ครเลา่ ไปปดิ บงั ไมใ่ หต้ วั ร ู้ ตวั ของตวั เองนน่ั แหละไมส่ นใจใยดี  ตอ่ คำ� พรำ่� สอนของพอ่ แม ่ ครอู าจารย ์ ไมส่ นใจหาหนงั สอื ดๆี  อา่ น มวั   สนกุ สนานเพลดิ เพลนิ อยกู่ บั เรอ่ื งไรส้ าระ ไมฝ่ กึ ฝนตนเอง ไมเ่ อาชนะตนเอง สิ่งย่ัวยวนต่างๆ  มีมากขึ้น  มากข้ึนตามค่านิยมทางวัตถ ุ อันท�ำให้อยากได้  อยากมีจนไร้ขอบเขต  มันท�ำให้เด็กของเราโง่  หยิบโหย่ง  ฟุ้งเฟ้อ  ฟุ่มเฟือย  เมื่อไม่ได้ไม่มีก็ไปปล้นจี้  ท�ำร้าย  เจ้าทรัพย ์ เพ่อื จะเอาเงินไปเทย่ี ว ช่างโง่จรงิ ๆ

พอ่ ทดี่ กี ม็ อี ยมู่ าก ทำ� งานไมม่ วี นั หยดุ เพอ่ื ลกู  เพอ่ื ครอบครวั เพอื่ สงั คมประเทศชาต ิ เพอื่ พฒั นาตน ลกู ทด่ี มี คี วามกตญั ญกู ตเวที ย่อมอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ที่ดี  เขาจะเห็นพระคุณของพ่อ  และต่อ ไปเขาจะเปน็ พ่อที่ดีของลูก ขอใหส้ บื ช่วงกันไปเช่นนเ้ี ถิด สงั คมของ เราจะได้มีคนพันธุด์ เี พม่ิ ขึ้นอกี มาก   ๗  พฤศจิกายน  ๒๕๓๗

สารบญั ๑. นำ� เรื่อง................................................................. ๑๖ ๒. ใจของพ่อ (พราหมณ์เฒา่ )....................................... ๒๒ ๓. การฝึกของพอ่  (หนอ่ สะเดา)..................................... ๓๐ ๔. การปลกู ฝงั คุณธรรม (ลูกช้างกับชา่ งไม)้ ...................... ๓๘ ๕. โอวาทของพ่อ (ฑีฆาวุกมุ าร)..................................... ๔๘ ๖. อยา่ เหน็ แก่กาลยาว อย่าเห็นแก่กาลส้นั ........................ ๕๐ ๗. ฝกึ ลูกให้มีความอดทน............................................. ๙๒ ๘. การเลอื กคนเขา้ สู่สกุล...............................................๙๖ ๙. ความผิดข้นั มูลฐานของสังคม..................................๑๐๔

นำ� เร่อื ง

พอ่ แมม่ ีคุณต่อลกู มาก แตเ่ รามกั จะไดย้ นิ ไดฟ้ งั แตพ่ ระคณุ ของแม ่ มหี นงั สอื หลายเลม่  หลายคนเขยี นกลา่ วถงึ พระคณุ ของแม่ แตเ่ ราเกอื บจะไม่ไดพ้ บเห็นหนังสือทช่ี ่ือ “พระคณุ ของพ่อ” เลย พอ่ ไมม่ คี ณุ ตอ่ ลกู อยา่ งนน้ั หรอื ? ลกู สว่ นมากมไิ ดส้ ำ� นกึ ถงึ พระคณุ ของพ่ออย่างน้นั หรือ? คงไม่ใช่ ถ้าจะถามว่า  พ่อกับแม่ใครมีบุญคุณต่อลูกมากกว่ากัน? บางคนวา่ แม ่ บางคนวา่ พอ่  คำ� ตอบทน่ี า่ จะถกู ตอ้ งกวา่ และยตุ ธิ รรม ไดม้ ากกวา่ กค็ อื  “พอ่ บางคนมพี ระคณุ ตอ่ ลกู มากกวา่ แมบ่ างคน และ แมบ่ างคนมพี ระคณุ มากกวา่ พอ่ บางคน บางคนกม็ พี ระคณุ เสมอกนั ทงั้ น ้ี ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั การกระทำ� ของพอ่ หรอื แมน่ นั้ ๆ อนั เปน็ ประโยชน์ เกื้อกูลแกล่ กู เพียงไร ทง้ั ระยะสัน้ และระยะยาว” การแสดงออกซ่ึงความรัก  ต่อลูก  ของพ่อกับของแม่ก็ไม่ เหมอื นกนั  แมส่ ว่ นมากแสดงความรกั ตอ่ ลกู ดว้ ยการทะนถุ นอมเอาอก  เอาใจ สนองความตอ้ งการของลกู เทา่ ทจ่ี ะสนองได ้ แมส่ นทิ สนมกบั ลกู เปน็ เพอ่ื นกบั ลกู ไดม้ ากเพราะแมเ่ ปน็ เพศทอ่ี อ่ นหวานและออ่ นไหว

แตพ่ อ่ แสดงความรกั ตอ่ ลกู อกี แบบหนงึ่  เชน่ ไมท่ ะนถุ นอม แตใ่ หท้ ำ� งาน ใหเ้ รยี น ใหช้ ว่ ยตวั เอง ยอมใหล้ ำ� บากตรากตรำ� เพอื่ ลกู จะได้เข้มแข็งอดทน  สู้เพื่อนและสู้โลกได้ในอนาคต  (ซึ่งแม่มักทน  ไม่ค่อยได้  จะคอยช่วยเหลือเสียก่อน)  ย่ิงพ่อที่เคยล�ำบากยากเข็ญ มากอ่ น สรา้ งเนอ้ื สรา้ งตวั ดว้ ยล�ำแขง้ ลำ� แขนของตนเองดว้ ยแลว้  กจ็ ะ  ย่ิงรักลูกแบบให้ทนล�ำบากยากเข็ญ  บางคนท�ำจนถึงกับเกินเหตุไป กม็  ี เมอ่ื เปน็ เชน่ นใี้ นสายตาของลกู ซง่ึ ยงั เลก็ และเยาวว์ ยั ออ่ นตอ่ โลก และชีวิต  จึงรู้สึกเหมือนพ่อใจด�ำ  เห็นแก่ตัวไม่เข้าใจลูก  โดยเฉพาะ ลกู สมยั ใหม ่ ซง่ึ มสี ง่ิ อำ� นวยความสะดวกสบายมากมาย อยากไดไ้ ปหมด  ขอให้พ่อแม่ซ้ือให้  บางทีก็ไม่จ�ำเป็นแต่อยากมีเพ่ือให้เหมือนเพ่ือนๆ เมื่อไม่ได้ทางพอ่  ก็ไปออดออ้ นวอนวิงเอากับแม่ แม่สมัยนี้ส่วนมากก็มีงานท�ำ  มีรายได้ของตัวเอง  จึงจ่าย เงินได้อย่างอิสระ  ทนการอ้อนวอนรบเร้าของลูกไม่ไหว  ก็อนุมัติให้ กว่าพ่อจะรู้  แม่ก็ซ้ือให้เสียแล้ว  เมื่อเป็นเช่นน้ี  ในความรู้สึกของ เดก็  “แมใ่ จด”ี  เพราะตามใจ สว่ นพอ่  “ใจดำ� ” เพราะไมเ่ หน็ ใจในความ ตอ้ งการของลกู  แตค่ วามจรงิ ท้งั พ่อและแม่ต่างกร็ ักลูก อยากให้ลูก เปน็ คนด ี แตว่ ธิ กี ารเลยี้ งดไู มเ่ หมอื นกนั  แมเ่ ลย้ี งแบบตามใจเปน็ สว่ น มาก  ขัดใจเป็นส่วนน้อย  พ่อเลี้ยงแบบขัดใจบ้าง  ตามใจบ้าง  แต่ ตามใจน้อย  ขัดใจมาก  จุดประสงค์เพ่ือให้ลูกเข้มแข็งอดทน  และ ต้องการสอนไปในตัวว่า  สิ่งท่ีเราจะได้มานั้น  ต้องใช้ความเพียร  พยายาม ใชค้ วามอดทน ตอ้ งแลกดว้ ยการทำ� งานหรอื ทำ� อะไรอยา่ ง 18 นํ า เ รื่ อ ง

หน่ึงจนผู้ให้พอใจแล้วจึงจะได้มา  ไม่ใช่ได้มาเล่นๆ  โดยไม่ต้องลงทุน ลงแรงอะไร  อย่างน้อยลูกจะต้องมีความดีที่น่ารัก  สมควรแก่การ ชว่ ยเหลอื  นพ่ี ดู ถงึ ลกู ทโ่ี ตพอทจี่ ะทำ� อะไรๆ ไดบ้ า้ งแลว้  สว่ นลกู ทยี่ งั เลก็ ๆ นั้น พอ่ แม่ต้องให้เปล่าโดยเขาไมต่ ้องท�ำอะไรอยแู่ ลว้ บางคนบอกวา่  เปน็ หนา้ ทขี่ องพอ่ แมท่ จ่ี ะตอ้ งเลย้ี งดลู กู จน เติบโต  ให้การศึกษาเล่าเรียนจนเขาพึ่งตนเองได้  พ่อแม่ส่วนมากก็ คิดอย่างน้ันอยู่แล้ว  แต่ทางฝ่ายลูกเล่า  ไม่คิดถึงหน้าท่ีของลูกบ้าง หรือ  ว่าตนจะต้องท�ำอย่างไรต่อพ่อแม่  หรือว่าปล่อยให้พ่อแม่  ท�ำหน้าที่ของท่านไปข้างเดียว  พวกตนคอยท�ำเมื่อพ่อแม่ตายแล้ว  ได้เห็นเขียนบ่นกันไว้ในหนังสืองานศพมากมายว่า  “ตนยังไม่ทันได้ ตอบแทนอะไร  พ่อ  (แม่)  มาด่วนจากไปเสียแล้ว  ถ้าเวลาย้อนหลัง ไดล้ กู จะไมท่ ำ� เชน่ นน้ั อกี ” ขณะทที่ ำ� งานศพนน้ั  พอ่  (แม)่  อาย ุ ๗๐, ๘๐  ปี  ตัวเองอายุ  ๓๐  บ้าง  ๔๐  บ้าง  ยังไม่ได้ท�ำอะไรตอบแทนพ่อ แม่ เอาเวลาไปทำ� อะไรอยทู่ ไี่ หน (แก้ตัวมากกวา่ ) ต้องการจะบอกลูกๆ  ท้ังหลายว่า  พ่อทุกคนรักลูก  (พ่อที่ ไม่ค่อยดีก็มี,  ข้อน้ีไม่เถียง)  แต่การแสดงความรักของพ่อต่อลูกน้ัน ไม่เหมือนแม่  รักเหมือนกัน  แต่การแสดงออกไม่เหมือนกัน  ขอให้ ลูกเข้าใจ  ลูกๆ  จะได้เห็นใจพ่อ  ลูกๆ  จะเห็นว่าเมื่อมีเร่ืองหนักหนา สาหสั  พอ่ นน้ั แหละจะยอมเสยี่ งจะยอมเสยี สละทกุ อยา่ งเพอ่ื ลกู  แต่ พ่อรักลูกอย่างมีเหตุผล  ไม่ใช่รักเพ่ือให้ลูกเสียคนโดยการตามใจไป เสียทกุ อย่าง 19อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

เม่อื ลูกไม่อยใู่ นโอวาท หรอื ต้ังอยู่ในความประมาท ละเลย หน้าท่ีของตน  บ่ายหน้าไปสู่ความเส่ือม  พ่ออาจจะมีวิธีปราบอย่าง หนกั  เพอ่ื ใหล้ กู กลบั ตวั ใหไ้ ด ้ ถา้ ตนไมม่ ปี ญั ญาพอ กไ็ ปปรกึ ษาหารอื ท่านผู้รู้  เม่ือได้อุบายในการปราบมาแล้วก็น�ำมาใช้  พอลูกเข้าตาจน จะไดร้ บั ภัยอันตราย พ่อนนั่ แหละจะเขา้ ไปปกปอ้ ง เรื่องท่ีจะน�ำมาเล่าต่อไปนี้  เป็นเร่ืองที่เกิดขึ้นก่อนสมัย พระพทุ ธเจา้ บา้ ง ในสมยั ของพระพทุ ธเจา้ บา้ ง (๒,๕๐๐ ปเี ศษมาแลว้ )  แต่ยังมีเร่ืองท�ำนองน้ีอยู่เหมือนกัน  แม้ในปัจจุบันน้ี  เพราะแม้ วัฒนธรรมในด้านวัตถุของมนุษย์ได้เปล่ียนไปมากก็จริง  แต่จิตใจ มนษุ ยย์ งั ไมไ่ ดเ้ ปลยี่ นไปเทา่ ไรเลย มนษุ ยย์ งั เยาวใ์ นทางจติ ใจอยมู่ าก ดูเหมือนจะย่�ำแย่ลงไปกว่าเก่าเสียอีก  เรื่องท่ีเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ เปน็ เรอ่ื งซำ้� ๆ ซากๆ เปลยี่ นแตต่ วั บคุ คลและสถานท ่ี สว่ นเหตกุ ารณ์ คงวนไปเวยี นมาอย่อู ยา่ งนัน้ ขอน�ำเร่ืองเหล่านน้ั มาเล่าโดยยอ่ ดังนี้ 20 นํ า เ รื่ อ ง



ใจของพอ่ (พราหมณ์เฒา่ )

เม่อื ลกู ถูกความทุกขท์ ว่ มทบั ตอ้ งเศรา้ โศกเสยี ใจเพราะเหตใุ ดเหตุหนง่ึ เม่อื เขา้ หา ปรึกษาพ่อจะไมผ่ ิดหวัง ทา่ นจะพดู จาปลอบใจใหห้ ายโศก ชที้ างสว่างให้ ถา้ ทำ� ผดิ  ท่านพรอ้ มเสมอท่จี ะใหอ้ ภัย ขอแตใ่ ห้ลกู สำ� นึกผิดเท่านัน้ พอ่ จึงเปน็ มติ รแทค้ นหนึง่ เทา่ ทีล่ ูกจะหาได้

เลา่ กนั มาวา่  ในกรงุ สาวตั ถ ี มพี ราหมณค์ นหนง่ึ  (คนอยใู่ น วรรณะพราหมณ)์  มที รัพยป์ ระมาณ ๘ แสน เม่อื ได้ทำ� วิวาหมงคล แกบ่ ตุ ร ๔ คนแลว้  กไ็ ดใ้ หท้ รพั ย ์ ๔ แสน (คอื ใหค้ นละแสน) ตอ่ มา เมอ่ื นางพราหมณต์ ายลง พวกลูกๆ ปรกึ ษากันวา่ “ถา้ พอ่ นำ� นางพราหมณค์ นอน่ื มาเปน็ ภรรยา หากนางมลี กู   ตระกูลของเราก็จักแตกแยก  อย่าเลยพวกเรามาช่วยกันบ�ำรุงพ่อ  กันเถดิ ” พวกบตุ รกไ็ ดท้ ำ� การบำ� รงุ ดว้ ยของกนิ และของใชอ้ นั ประณตี กระท�ำการนวดมือนวดเท้าเป็นต้น  วันหน่ึงเมื่อพ่อพราหมณ์นอน กลางวนั แลว้ ลกุ ขนึ้  เขากช็ ว่ ยกนั นวดมอื นวดเทา้ ตามปกต ิ แลว้ กลา่ ว โทษของการอยคู่ รองเรอื นตา่ งๆ นานาแลว้  (ลงทา้ ยดว้ ยการขอเงนิ ) พดู วา่ “พวกเราจะบ�ำรุงคุณพ่ออย่างน้ีตลอดชีวิต  ทรัพย์ท่ีเหลือ (๔ แสน) นะ่  ให้พวกเราเสียเถิด” พราหมณไ์ ดใ้ หท้ รพั ยอ์ กี คนละแสน เหลอื ไวแ้ ตพ่ อนงุ่ พอหม่   เท่านั้น  ลูกคนใหญ่บ�ำรุงพ่ออยู่  ๒-๓  วัน  เมื่อพราหมณ์กลับจาก อาบนำ�้ วันหนึง่  ภรรยาของเขา (ลูกสะใภ)้  กล่าวกะตาพราหมณว์ ่า 24 ใ จ ข อ ง พ่ อ ( พ ร า ห ม ณ์ เ ฒ่ า )

“พ่อเห็นจะให้ทรัพย์สมบัติแก่ลูกคนโตมากกว่าคนอื่นเป็น รอ้ ยเปน็ พนั กระมงั  จงึ ไมร่ จู้ กั ทางทจี่ ะไปบา้ นของลกู คนอน่ื บา้ งเลย” ตาพราหมณ์โกรธมาก พูดได้คำ� เดยี วว่า “หญิงถ่อย  ฉิบหายเสียเถิด”  แล้วไปยังเรือนลูกคนอื่น  ต่อไป  พอวันเวลาล่วงไปเล็กน้อยก็ถูกตะเพิดจากบ้านเหล่าน้ัน  หมดส้ิน  ตาพราหมณ์เม่ือไม่ได้ท่ีพึ่งพิงในบ้านของใครเลย  ก็บวช  เปน็ ชีปะขาว เทย่ี วขอทาน แก่ชราลงมาก มสี รรี ะเหยี่ วแหง้ เพราะอาหารเลวและนอนล�ำบาก  วันหน่ึงนอนหลับไปตื่น ข้ึนมาดูอัตภาพของตน  มองไม่เห็นว่าบุตรคนใดจะเป็นที่พึ่งได้  จึงมาด�ำริว่า  “ได้ยินว่าพระสมณโคดมเป็นผู้มีพระพักตร์แจ่มใส  อ่อนหวาน  ปฏิสันถารดี  เราคงพอจะเข้าไปหาพระสมณโคดมได้ กระมงั ” เขาจัดแจงผา้ นุ่งห่มใหเ้ รียบรอ้ ย ถอื ภาชนะภิกษา มงุ่ ตรง ไปสู่ส�ำนักพระศาสดา  พระพุทธองค์ทรงกระท�ำการปฏิสันถารแล้ว ตรัสถามว่า  “พราหมณ์  ท�ำไมดูเศร้าหมองไป  เม่ือเขาทูลเล่าเรื่อง ทงั้ หมดใหพ้ ระองคท์ ราบแลว้  พระองคต์ รสั วา่ ถา้ อยา่ งนน้ั พราหมณ์ จงเรียนท่องคาถา  (บทเป็นร้อยกรอง)  น้ีไปกล่าวในที่ประชุม  เม่ือ มหาชนประชมุ กนั ว่า 25อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

“ขา้ พเจา้ เพลดิ เพลนิ ดว้ ยบตุ รใด และปรารถนาความเจรญิ แก่บุตรเหล่าใด  บุตรเหล่าน้ันถูกภรรยายุยงแล้วรุกรานข้าพเจ้า เหมือนสุนัขรุกรานสุกรฉะน้ัน  บุตรผู้เลวทรามไม่ใช่คนดี  มาเรียก ข้าพเจ้าว่า  “พ่อ  พ่อ”  บุตรเหล่าน้ันเป็นเหมือนยักษ์มาในรูปเพียง ดงั บตุ ร ทอดทง้ิ ขา้ พเจา้ ผเู้ ขา้ สวู่ ยั ชรา เหมอื นมา้ ใชท้ แี่ กแ่ ลว้ ถกู พราก จากอาหาร บดิ าของเหลา่ ชนพาล แกแ่ ลว้ ตอ้ งเทยี่ วขอทานในเรอื น คนอน่ื  (อยา่ งน)้ี  ไมเ้ ทา้ ของขา้ พเจา้ ยงั ดกี วา่ บตุ รทไี่ มเ่ ชอื่ ฟงั  (เพราะ) ยังใช้กันโคดุและสุนัขดุก็ได้  ใช้ยันไปข้างหน้าเวลามืด  ก็ได้  หยั่งที่  ลกึ ๆ ก็ได ้ เวลาพลาดจะล้มใชไ้ มเ้ ทา้ ยนั กไ็ ด”้ เขาเรยี นคาถาเหลา่ นนั้ แลว้  เมอ่ื บตุ รทง้ั หลายประดบั ประดา ดว้ ยเครอ่ื งประดบั ตา่ งๆ นง่ั บนอาสนะอนั มคี า่ มาก ในทา่ มกลางแหง่ พราหมณ์ท้ังหลาย  ในวันประชุมของพวกพราหมณ์คิดว่า  “บัดนี้  ถึงเวลาแล้ว”  จึงเข้าไปท่ามกลางสมาคม  ยกมือข้างหนึ่งข้ึน  กลา่ ววา่  “ทา่ นผเู้ จรญิ ทง้ั หลายขา้ พเจา้ อยากจะกลา่ วคาถา ขอทา่ น ท้ังหลายจงฟังเถิด”  เมื่อได้รับค�ำตอบอนุญาตให้กล่าวแล้ว  เขาจึง เลา่ เรอ่ื งราวตามทไี่ ดเ้ รยี นมาจากพระศาสดาทเี ดยี ว กม็ นษุ ยส์ มยั นน้ั มีธรรมเนียมว่า  “ผู้ใดรับมรดกของบิดามารดาแล้ว  ไม่เลี้ยงท่านจะ ตอ้ งถกู ฆา่ ตาย” เพราะฉะนนั้  บตุ รพราหมณท์ ง้ั  ๔ คนจงึ หมอบแทบ เท้าของบิดาร้องขอชีวิต  ด้วยความที่ใจของบิดาเป็นธรรมชาติอ่อน ต่อบุตร  พราหมณ์จึงขอร้องมิให้ผู้ใดท�ำร้ายบุตรของตน  บุตร  ทั้งหลายของพราหมณ์นั้นตกใจกลัว  ให้บิดานั่งบนต่ัง  หามไปยัง 26 ใ จ ข อ ง พ่ อ ( พ ร า ห ม ณ์ เ ฒ่ า )

เรอื นของตน ทาเทา้ ดว้ ยนำ้� มนั  ใหอ้ าบนำ้� ลบู ไลด้ ว้ ยผงอนั มกี ลนิ่ หอม เรียกนางพราหมณ์ภรรยามาสั่งให้ปฏิบัติบิดาโดยดี  อย่าเผลอเรอ  ถา้ ไมป่ ฏบิ ัตดิ ังนั้นจะถกู ขนาบอยา่ งแรง แล้วเลยี้ งดูบดิ าดว้ ยโภชนะ อันประณีต ตาพราหมณไ์ ดโ้ ภชนะอนั ด ี และการนอนบนทอี่ นั สบาย ไม่ ช้าก็กลับมีก�ำลัง  มีอินทรีย์กระปรี้กระเปร่า  มองดูตัวเองแล้วนึกถึง พระคณุ ของพระพทุ ธองค ์ ทไ่ี ดช้ ว่ ยเหลอื ตนใหพ้ น้ จากความทกุ ขย์ าก จึงน้อมน�ำผ้าเน้ือดี  ๑  คู่  เข้าไปถวาย  พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วย ความเอน็ ดตู อ่ พราหมณน์ น้ั  แลว้ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา เมอ่ื จบ ลงพราหมณ์ด�ำรงตนอยู่ในสรณะ  ๓  นับถือพระรัตนตรัยปวารณา ถวายอาหารประจำ� ทล่ี กู ทงั้  ๔ คน ใหแ้ กต่ น ๔ ท ่ี ถวายพระพทุ ธองค์  เสยี  ๒ ท ่ี พระพทุ ธองคท์ รงรบั ปวารณา พราหมณก์ ลบั มาบา้ นบอก ลูกว่า  พระพุทธเจ้าเป็นสหายกับตน  ให้ลูกช่วยบ�ำรุงพระพุทธเจ้า ดว้ ย พวกลูกๆ รบั ดว้ ยความยินดเี ปน็ อยา่ งยิ่ง รงุ่ ขนึ้  พระศาสดาเสดจ็ ไปบณิ ฑบาตทบ่ี า้ นลกู ชายคนโตของ พราหมณ์  ได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยม  และในบ้านลูกคนอ่ืนๆ  ก็ ดุจกนั เมื่อลูกชายพราหมณ์เฒ่ามีงานมงคล  ได้นิมนต์สมเด็จ พระบรมศาสดา  พร้อมด้วยพระภิกษุเป็นจ�ำนวนมากมาเสวย  และ 27อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

ฉันท่ีบ้าน  แล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า  “บัดนี้พวกข้าพระองค์ได้ ปฏิบัติบิดาให้มีความสุข  มิได้ประมาทเลย  ขอพระองค์จงดูร่างกาย ของท่านเถิด”  พระศาสดาทรงอนุโมทนาตรัสว่า  “กลฺยาณํ  โว  กตํ มาตาปติ โุ ปสน ํ นาม โปราณกปณฑฺ ติ าน ํ อาจณิ ณฺ เมว” แปลวา่  “ทา่ น ทงั้ หลายทำ� ถกู แลว้  ดแี ลว้  ขน้ึ ชอื่ วา่ การเลยี้ งบดิ ามารดา เปน็ ธรรม ทโี่ บราณบณั ฑติ เคยประพฤตกิ นั เสมอมา” แลว้ ทรงแสดงพระธรรม เทศนา  พรรณนาคุณของมารดาบิดาให้พราหมณ์เหล่านั้นฟัง  จน  จิตใจอ่อนโยน  ควรแก่ธรรมช้ันสูงแล้ว  ทรงประกาศสัจธรรม  (อริยสัจจ์)  ในที่สุดพราหมณ์และบุตร  พร้อมท้ังลูกสะใภ้  ได้บรรลุ โสดาปัตติผลแล้วแล เร่ืองน้ีท�ำให้เราได้แง่คิดว่า  ผู้ชายเป็นจ�ำนวนมากทีเดียวที่ พอได้เมียก็มักจะลืมแม่และพ่อ  ซ่ึงตนควรปฏิบัติ  เขาลืมนึกไปว่า เมยี นนั้ จะหาสกั กค่ี นกไ็ ด ้ เมอื่ เขาไมย่ อมอยชู่ ว่ ยเราเลยี้ งดพู อ่ แม ่ หรอื เพราะเขารังเกียจพ่อแม่ของเราก็เชิญไปได้ตามสบาย  หาคนใหม ่ ไดอ้ กี ถา้ ตอ้ งการ เพราะสตรที ร่ี งั เกยี จมารดาบดิ าของสาม ี กห็ มายถงึ   การรังเกียจสามีด้วย  และน่ันเป็นสัญลักษณ์ของสตรีที่ชายไม่ควร อยู่ร่วม  เพราะจะหาความสุขในครอบครัวมิได้เลย  ปล่อยให้เขาไป แต่พ่อ-แม่  จะหาอีกไม่ได้แล้ว  มีสองคนเท่านั้นในโลกน้ี  และม ี ความรกั อนั บริสุทธ์ิในตัวบุตรจริงๆ คนทท่ี ิง้ พ่อแม่ได ้ เปน็ คนคดิ สั้น เหลือเกิน  ถ้าเขาคิดถอยหลังไป  ต้ังแต่เขาอยู่ในท้องจนคลอดเป็น เด็ก  เด็กรุ่น  หนุ่มสาว  การศึกษาเล่าเรียน  แต่งงาน  ได้กับผู้หญิง 28 ใ จ ข อ ง พ่ อ ( พ ร า ห ม ณ์ เ ฒ่ า )

คนนี้ เพราะใคร พ่อแม่ท้งั ส้นิ  นกึ ให้ยาวๆ กว้างๆ แลว้ จะลืมพ่อแม่ ไม่ลงเลย คตินอกจากน ้ี ขอใหท้ า่ นผ้อู า่ นโปรดหาเอาเองก็แล้วกนั ขอสรุปเรื่องนดี้ ว้ ยพระพุทธภาษิตท่ีว่า “โจ จ ปพุ ฺเพ ปมชชฺ ิตวฺ า ปจฉฺ า โส นปปฺ มชชฺ ต ิ โสม ํ โลก ํ ปภาเสต ิ อพฺภา มุตฺโต ว จนทฺ ิมา” ผู้ใดเอยเคยประมาทมาในกอ่ น ไมน่ งิ่ นอนถอนถา่ ยในภายหลัง ย่อมยังโลกใหส้ ว่างกระจา่ งดงั จันทราครัง้ ปราศเมฆาสงา่ เอย 29อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

การฝึกของพ่อ (หนอ่ สะเดา)

ช้างมา้ ท่ีฝกึ แลว้  เป็นสตั วป์ ระเสริฐเป็นอาชาไนย แตค่ นทฝ่ี ึกแลว้ ประเสรฐิ กว่านั้น บรรดามนุษย์ด้วยกัน มนษุ ยท์ ่ไี ดร้ บั การฝกึ แล้ว ประเสรฐิ ท่สี ดุ การฝึกคนเปน็ งานที่ประเสรฐิ อย่างหนงึ่

พระราชกุมารองค์หนง่ึ ของกษตั รยิ ล์ ิจฉวี แห่งนครเวสาลี เปน็ ผหู้ ยาบคาย ดรุ า้ ย จนใครๆ ถวายพระนามวา่  ทฏุ ฐลจิ ฉว ี แปลวา่   ลิจฉวีผู้ดุร้าย  เป็นเหมือนอสรพิษท่ีถูกตีด้วยไม้อยู่เนืองๆ  ใครๆ  ไม่ อาจสง่ั สอนเธอได ้ แมผ้ นู้ นั้ จะเปน็ พระญาตผิ ใู้ หญช่ น้ั ป ู่ ยา่  ตา ยาย ครงั้ นนั้  พระบดิ ามารดาของเธอ ทรงพระดำ� รวิ า่  นอกจาก พระบรมศาสดา  สัมมาสัมพุทธเจ้าเสียแล้ว  ไม่มีใครอบรมสั่งสอน บตุ รของเราได ้ เธอควรเปน็ พทุ ธเวไนย (ใหพ้ ระพทุ ธเจา้ แนะนำ� ) ดงั นี้ แลว้  พากมุ ารไปสสู่ ำ� นกั พระศาสดา ถวายบงั คมแลว้ กราบทลู ใหท้ รง ทราบถงึ พฤตกิ รรมทง้ั ปวงของพระราชกมุ ารนน้ั  แลว้ ทรงมอบไวใ้ ห้ พระผมู้ ีพระภาคทรงสง่ั สอน พระพทุ ธองคต์ รสั สอนพระราชกมุ ารวา่  ไมค่ วรเปน็ คนดรุ า้ ย หยาบคาย  ชอบข่มเหงรังแกผู้อ่ืน  คนมีวาจาหยาบย่อมไม่เป็นท่ีรัก ท่ีพอใจของใครๆ  แม้แห่งมารดาบิดาของตน  ญาติมิตรพงศ์พันธุ์ บุตร  ภรรยา  ย่อมไม่ปรารถนาฟังวาจาหยาบ  เป็นท่ีต้ังแห่งความ หวาดหวน่ั  เหมือนอสรพิษเหมอื นโจรทีส่ ้องสุมกันอยู่ในดง เหมอื น ยักษ์ท่ีจะมากินเลือดเน้ือ  ภพหน้าของคนมักโกรธดุร้าย  คือ  นรก ปจั จบุ นั นนั้ เลา่  คนมกั โกรธ ดรุ า้ ย ถงึ จะประดบั ประดาดว้ ยอลงั การ อันแพรวพราว  ก็ดูเป็นผู้เศร้าหมองอยู่น่ันเอง  ดวงหน้าของเขาแม้ มสี ริ เิ พยี งจนั ทรเ์ ตม็ ดวง กเ็ หมอื นดอกบวั ทถ่ี กู ลนไฟ เหมอื นวงแวน่ ทองค�ำท่ฝี ้าจบั 32 ก า ร ฝึ ก ข อ ง พ่ อ ( ห น่ อ ส ะ เ ด า )

อนงึ่  บคุ คลผโู้ กรธ ถกู ความโกรธครอบงำ�  ยอ่ มถอื ศสั ตราวธุ   ทำ� ลายตนเองบา้ ง ฆา่ ผอู้ น่ื บา้ ง ผกู คอตายบา้ ง กระโดดภเู ขาตายบา้ ง  กินยาพิษตายบ้าง  เม่ือตายไปเพราะความโกรธเช่นนั้น  ย่อมบังเกิด ในนรก  เม่ือยังผู้อ่ืนให้ตายด้วยวิธีต่างๆ  เช่น  รัดคอเขาตาย  ฆ่าเขา ตาย วางยาพษิ ใหเ้ ขาตาย เปน็ ตน้  บคุ คลเชน่ นนั้ ยอ่ มไปบงั เกดิ ในนรก  เมอ่ื สน้ิ เวรในนรกแลว้ มาเกดิ เปน็ มนษุ ย ์ ยอ่ มเปน็ คนมโี รคมากตง้ั แต่ ก�ำเนิดทีเดียว  โรคท้ังหลายมีโรคตา  โรคหูเป็นต้น  จะรุมมาทับถม บุคคลนน้ั  เขาไม่พน้ ไปจากโรค เปน็ คนมที กุ ขเ์ นืองนิตยท์ เี ดียว เพราะฉะนนั้  เธอจงเป็นผ้มู ีจิตเมตตา มใี จออ่ นโยนในสัตว์ ท้ังปวง เพราะบุคคลเชน่ น้ียอ่ มพน้ จากภยั  มภี ัยในนรกเปน็ ต้น พระราชกุมารน้ัน  ฟังพระพุทธโอวาทแล้วกลับพระทัยได้ ไร้พยศ  ท้ิงมานะ  เป็นผู้มีจิตอ่อนโยน  มีเมตตาปรานีในคนและสัตว์ ทั้งปวง  แม้คนอ่ืนจะด่าหรือตีก็มิได้เหลียวหลังมองดูเลย  เหมือนงู ทถ่ี กู ถอดเขยี้ ว เหมอื นปทู ถ่ี กู หกั กา้ ม และเหมอื นโคทถ่ี กู ตดั เขาเสยี แลว้ พวกภกิ ษทุ ราบเรอ่ื งนแี้ ลว้  สนทนากนั ในธรรมสภา พระบรม ศาสดาเสดจ็ มาแลว้ ตรสั วา่  แมใ้ นกาลกอ่ นเรากเ็ คยฝกึ กมุ ารนมี้ าแลว้ เหมอื นกัน ทรงนำ� เรอ่ื งในอดตี มาเล่าประกอบดังนี้ 33อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

ในอดีตกาล  พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ เมอื่ เจรญิ วยั สำ� เรจ็ การศกึ ษาแลว้  ออกบวชเปน็ ดาบสอยใู่ นปา่ หมิ พานต์ คราวหน่ึง  มาสู่พระนครพาราณสี  เพ่ือบริโภคของเปร้ียว หวาน  มัน  เค็มบ้าง  ตอนเช้านุ่งห่มเรียบร้อยแล้วออกภิกขาจาร  ไปถึงพระลานหลวง พระราชากำ� ลงั ทอดพระเนตรอยทู่ างชอ่ งพระแกล เหน็ ทา่ น  แลว้ ทรงเลอ่ื มใสในอริ ยิ าบถ ดำ� รวิ า่  ดาบสน ้ี ทา่ ทางเรยี บรอ้ ยงดงาม ใจสงบ  มองไปชั่วแอก  ประหน่ึงว่าวางถุงทรัพย์ไว้  ๑๐๐๐  เหรียญ ทุกๆ  ย่างก้าว  เดินอย่างเช่ืองช้าองอาจดุจราชสีห์  ท่านคงมีสันติ ธรรมอยภู่ ายในเปน็ แนแ่ ท ้ ดงั นแ้ี ลว้ รบี สงั่ ใหอ้ ำ� มาตยค์ นหนง่ึ ไปนมิ นต์ ทา่ นมา แตท่ า่ นตอบวา่  ทา่ นเปน็ ชาวหมิ พานต ์ ไมค่ วรใกลช้ ดิ ราชสกลุ อำ� มาตยก์ ลบั ไปทลู พระราชา ทรงทราบแลว้ ตรสั วา่  ดาบสอน่ื ทใี่ กลช้ ดิ   ราชสกลุ ไมม่ ี จงนิมนต์ท่านมาเถดิ เมอ่ื ดาบสมาถงึ ราชสำ� นกั  พระราชาถวายบงั คมดาบสแลว้ เชื้อเชญิ ใหน้ ัง่ เหนอื บัลลงั ก์ทอง ภายใต้เศวตฉตั ร ให้ฉนั โภชนะมีรส เลศิ ตา่ งๆ ทเ่ี ขาจดั ไวเ้ พอื่ พระองค ์ แลว้ ตรสั ถามถงึ ทอี่ ย ู่ ดาบสถวาย พระพรว่า อย่ทู ่ปี า่ หิมพานต์ 34 ก า ร ฝึ ก ข อ ง พ่ อ ( ห น่ อ ส ะ เ ด า )

“ทา่ นจะไปทใี่ ด หมายความวา่  ทา่ นพกั ทใี่ ดในเมอื งพาราณส ี นี?้ ” พระราชาตรสั ถาม “อาตมาภาพก�ำลังแสวงหาท่ีพัก  อันเหมาะแก่ฤดูฝนอยู่ ถวายพระพร” “ถา้ กระนน้ั  ขอนมิ นตพ์ ระคณุ เจา้ อยใู่ นอทุ ยานของกระผม เถดิ ” พระราชานิมนต์ ดาบสรบั นมิ นตด์ ว้ ยการดษุ ณ ี เมอื่ เสวยพระกระยาหารเสรจ็ แลว้  ทรงพาพระโพธสิ ตั วไ์ ปยงั อทุ ยาน รบั สงั่ ใหค้ นสรา้ งบรรณศาลา สร้างท่ีพักกลางคืน  ที่พักกลางวัน  และท่ีจงกรม  ถวายบริขารของ นกั บวช ทรงมอบหมายให้คนเฝา้ สวนดแู ลปรนนบิ ตั ิ พระราชาเสด็จไปสนทนาปราศรัยกับดาบส  ทุกวันๆ  ละ หลายครงั้  พระองคม์ พี ระราชโอรสอยอู่ งคห์ นง่ึ  ปรากฏมชี อ่ื เสยี งใน ทางเป็นคนดุร้าย  พระราชาเอง  และพระญาติอื่นๆ  ไม่อาจสั่งสอน หา้ มปรามได ้ พระราชาทรงพาพระราชโอรสไปฝากใหด้ าบสชว่ ยอบรม สง่ั สอน ดาบสรบั ดว้ ยความยนิ ด ี และหาอบุ ายสงั่ สอนพระราชกมุ ารอยู่ 35อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

วนั หนง่ึ  ขณะเดนิ อยใู่ นอทุ ยานดว้ ยกนั  เหน็ หนอ่ ตน้ สะเดา ต้นหน่ึงมีใบเพียงสองใบ  คือแตกออกข้างละใบ  ดาบสเห็นอุบายที่ จะสอนพระราชกุมารได้  จึงทูลขอให้เก็บใบสะเดามาเคี้ยว  พระราช กมุ ารเกบ็ มาเคยี้ ว รสู้ กึ รสขมมาก จงึ บว้ นทง้ิ พลางตรสั วา่  เปน็ ตน้ ไม ้ ใบเหมือนยาพิษ  มันยังอ่อนอยู่ยังมีพิษถึงขนาดน้ี  ถ้าเติบโตเป็น  ไมใ้ หญต่ อ่ ไปภายหนา้  มนั จะมพี ษิ สกั เพยี งใด ดงั นแี้ ลว้ ทรงถอนหนอ่ สะเดานั้นทงิ้ เสยี ดาบสจึงกล่าวว่า  “ท่านปฏิบัติต่อหน่อสะเดาอย่างใด”  ชาวเมอื งกอ็ ยากจะปฏบิ ตั ติ อ่ ทา่ นอยา่ งนนั้  เพราะทา่ นดรุ า้ ยนกั  เขา คดิ กนั วา่  ทา่ นยงั เยาวอ์ ย ู่ ดรุ า้ ยถงึ เพยี งน ้ี เมอ่ื เตบิ โตขนึ้ จะดรุ า้ ยสกั เพียงใด  พวกเขาคงจะต้องประสบภัยพิบัติอันตรายจากท่าน  จะไม่ ยอมถวายราชสมบตั แิ กท่ า่ น จะขบั ไลท่ า่ นออกไปเสยี จากแวน่ แควน้ เพราะฉะนั้นท่านจงละเว้นจากการกระท�ำ  อันมีลักษณะคล้ายหน่อ สะเดาน้ันเสยี  จงมคี วามอดทน มเี มตตาและเอ้ือเฟือ้ เสยี แต่บัดนี้” ต้ังแต่บัดน้ันมา  กุมารนั้นก็เป็นผู้หมดมานะ  หมดพยศ สมบูรณ์ด้วยความอดทน  เมตตา  และความเอื้อเฟื้อ  เม่ือพระชนก สน้ิ พระชนมแ์ ลว้  ได้ครองราชย์สมปรารถนา 36 ก า ร ฝึ ก ข อ ง พ่ อ ( ห น่ อ ส ะ เ ด า )

ข้อคดิ เมื่อแนะนำ� บคุ คลใหถ้ กู ทาง หรอื มอี บุ าย แนะน�ำให้ถูกกับ จริตอัธยาศัยแล้ว  ย่อมท�ำบุคคลดุร้ายให้อ่อนโยน  ท�ำคนตระหนี่ให้ เสียสละ  ท�ำคนหลงให้มีปัญญาได้  อุบายแห่งการฝึกจึงส�ำคัญมาก อยา่ งหนง่ึ  คนผรู้ บั ฝกึ ไมเ่ หมอื นกนั  อบุ ายแหง่ การฝกึ กค็ วรจะจดั ให้ เหมาะสมแกบ่ คุ คลผรู้ บั ฝกึ  พระพทุ ธเจา้ ไดร้ บั พระนามอนั เปน็ เกยี รติ วา่  อนตุ ตฺ โร ปรุ สิ ทมมสารถ ิ เปน็ ผฝู้ กึ คนทคี่ วรฝกึ ไดอ้ ยา่ งยอดเยย่ี ม กเ็ พราะทรงมอี บุ ายในการฝกึ นเ่ี อง นอกจากนนั้  การทท่ี รงฝกึ พระองค์ ไดแ้ ลว้  ทรงฝกึ ผูอ้ น่ื ในภายหลังนน้ั  ได้ผลมาก เหมือนผทู้ ีส่ อนผ้อู น่ื ให้เรยี นร้ใู นวิชาอันตนสำ� เรจ็ มาแลว้ การฝกึ คน เปน็ งานสำ� คญั อยา่ งหนงึ่ ของผมู้ หี นา้ ทป่ี กครอง เชน่  มารดา บดิ า คร ู อาจารย ์ ไมค่ วรใหเ้ ขาทำ� งานตามหนา้ ท ี่ หรอื ให้ศึกษาเล่าเรียนอย่างเดียว  แต่ควรให้เขารู้จักรับผิดชอบ  และให้ เปน็ คนด ี เมอ่ื เขามคี วามรบั ผดิ ชอบและเปน็ คนด ี งานการยอ่ มกา้ วหนา้ การศกึ ษาย่อมสมั ฤทธ์ิผลสมความมงุ่ หมาย คนที่ได้รับการฝึกดีแล้ว  มีค่ากว่าสัตว์ที่ได้รับการฝึกอื่นๆ ทกุ ชนดิ  คนรา้ ยนา่ กลวั กวา่ สตั วร์ า้ ย คนดนี า่ รกั นา่ เคารพนบั ถอื  มาก  กว่าสัตว์ท่ีดี  การฝึกคนเป็นการช่วยเหลือตนเอง  ช่วยสังคมและตัว บุคคลผรู้ บั ฝกึ นั่นเองพร้อมๆ กนั ไป 37อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

การปลกู ฝังคณุ ธรรม (ลกู ชา้ งกับชา่ งไม)้

คนด ี เมื่อไดด้ ี ย่อมหาทางชว่ ยเหลอื เพื่อนฝูง ผู้ควรชว่ ยบ้าง ตามสมควรและโดยธรรม คนไดด้ แี ลว้ เหยียดเพอื่ นฝูง ยอ่ มต้องลม้ ลงวันหน่งึ

ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ คลายความเพยี ร พระศาสดาทรงทราบเขา้ จงึ ทรงปลอบ  และหนุนให้มีก�ำลังใจในการท�ำความเพียรดังเดิม  ตรัส ว่าสมัยที่เขาเป็นลูกช้างยังมีความเพียร  ช่วยรักษาราชสมบัติไว้ให้ บตุ รแหง่ สหายของตนได ้ ไฉนเวลานม้ี าบวชในศาสนาของพระสพั พญั ญู พุทธเจ้า  ผู้มีความเพียรและสรรเสริญความเพียรอย่างน้ี  จึงคลาย ความเพียรเสียเลา่ ทรงนำ� เรือ่ งในอดตี ของภิกษนุ ้ันมาตรัสเลา่ ดังน้ี ในอดตี กาล พวกชา่ งไมช้ าวเมอื งพาราณสจี ำ� นวน ๕๐๐ คน  แล่นเรือทวนน�้ำข้ึนไปถึงป่าใหญ่แห่งหน่ึง  โค่นต้นไม้ท�ำเคร่ืองเรือน ทำ� ปราสาทชน้ั เดยี วบา้ ง สองชน้ั บา้ งในปา่ นนั้  เสรจ็ แลว้ ทำ� เครอื่ งหมาย ไว้ท่ีไม้  แล้วรื้อขนลงล่องเรือไปยังนครพาราณสี  ผู้ใดต้องการบ้าน ชนดิ ใดกส็ รา้ งบา้ นชนดิ นนั้ ให ้ ไดร้ บั เงนิ ทองมาก พวกเขากลบั ไปยงั ป่านัน้ อกี  พวกเขาหากินอยูโ่ ดยทำ� นองน้ี คร้ังหน่ึง  เม่ือพวกช่างไม้ท้ัง  ๕๐๐  คน  ต้ังกองโค่นไม้ท�ำ เรือนอยู่ในป่า  มีช้างพลายเชือกหน่ึงเหยียบตอตะเคียนท่ีแหลมคม ตอตำ� เทา้ ของมัน ทำ� ให้เจบ็ ปวดสุดประมาณ เทา้ บวมฉ ุ เปน็ หนอง มันได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส  ได้ยินเสียงพวกช่างไม้โค่นต้นไม้อยู่ คดิ วา่ เราอาจอาศยั พวกชา่ งไม้เหล่านชี้ ว่ ยถอดหนามให้เราปลอดภัย ได้  จึงเดินเขยกเท้าไปหาพวกช่างไม้  เมื่อเข้าไปใกล้ก็นอนลง  พวก ชา่ งไมเ้ หน็ ชา้ งเทา้ บวมฉ ุ จงึ เขา้ ไปดใู กลๆ้  เหน็ ตอไมต้ �ำทเี่ ทา้  จงึ เอา 40 ก า ร ป ลู ก ฝั ง คุ ณ ธ ร ร ม ( ลู ก ข้ า ง กั บ ช่ า ง ไ ม้ )

มดี คมกรดี รอบๆ ตอไม ้ แล้วเอาเชือกผกู ตอไม้ดงึ ออกมา บบี หนอง ออก ชะแผลดว้ ยนำ้� อนุ่  รกั ษาแผลใหห้ ายดว้ ยยาทถ่ี กู กบั โรค ไมน่ าน นกั แผลทเ่ี ทา้ ช้างก็หายสนิท ช้างนั้นเป็นช้างกตัญญู  คิดว่าเราหายโรคร้ายครั้งนี้เพราะ การช่วยเหลือของพวกช่างไม้  เราควรตอบแทนพวกเขา  ตั้งแต่น้ัน มาก็ช่วยเหลือพวกช่างไม้  เม่ือเขาถากก็คอยช่วยพลิกให้  ส่งมีดให้ เป็นต้น เอางวงจบั ปลายสายบรรทัด ฝา่ ยพวกชา่ งไมก้ ร็ กั และสงสารชา้ ง เมอ่ื เวลากนิ อาหาร ได้ เอาขา้ วใหช้ า้ งคนละปน้ั รวมถงึ  ๕๐๐ ปน้ั  มนั คดิ วา่ เวลานเี้ ราแกแ่ ลว้ ท�ำงานไม่ค่อยไหว  จึงเข้าป่า  ไปเอาลูกช้างเผือกปลอด  ซึ่งเป็นลูก ของมันเองเชือกหนึ่ง  มาให้พวกช่างไม้  ให้ท�ำงานแทนตน  แล้วเข้า ปา่ ไป ต้ังแต่นั้นมา  ลูกช้างก็ท�ำทุกอย่างท่ีพวกช่างไม้บอก  เป็น สตั วม์ คี วามอดทน ทำ� กจิ ทกุ อยา่ งทพ่ี อ่ เคยทำ�  ชา่ งไมก้ เ็ ลยี้ งมนั ดว้ ย ขา้ ว ๕๐๐ ปน้ั เหมอื นกนั  เปน็ มติ รสนทิ สนมกบั ลกู ๆ ของพวกชา่ งไม้ พวกเด็กๆ  ชอบเล่นจับงวงงาของมันอย่างสนิทสนม  ท้ังในน�้ำและ  บนบก ท่านกล่าวไว้ในที่นี้ว่า  ธรรมดาช้างหรือม้า  หรือคนท่ีเป็น ชาติอาชาไนย ยอ่ มไม่ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะลงในน้�ำ 41อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

อยมู่ าวนั หน่งึ  ฝนตกหนกั ทางเหนอื นำ้�  น�้ำฝนได้ชะเอามลู ช้างที่แห้งแล้วลงสู่แม่น้�ำ  มันไหลไปตามกระแส  ไปติดอยู่ท่ีพุ่มไม้ แหง่ หนง่ึ ท่ีทา่ นำ�้  เมืองพาราณสี คร้ังน้ัน  ควาญช้างของพระราชาได้น�ำช้างจ�ำนวนมากลง ดื่มน�้ำ  และอาบน้�ำให้มัน  พวกช้างเหล่านั้นได้กลิ่นมูลช้างอาชาไนย จึงไม่กล้าลง  นอกจากไม่กล้าลงแล้ว  ยังหางชี้วิ่งหนีเสียอีกด้วย ควาญชา้ งบอกความขอ้ นน้ั แกน่ ายหตั ถาจารย ์ (นกั วชิ าการเกย่ี วกบั เรื่องช้าง)  พวกหัตถาจารย์คิดว่าน่าจะมีอันตรายบางอย่างอยู่ในน้�ำ จงึ ใหต้ รวจด ู จงึ เหน็ มลู ชา้ งอาชาไนยทพี่ มุ่ ไมแ้ หง่ หนงึ่  ทราบไดท้ นั ที ว่า  นี่คือเหตุที่ท�ำให้ช้างทั้งปวงวิ่งหนี  จึงให้เอาถาดมาใส่มูลช้าง อาชาไนยละลายน้�ำ  แล้วเอาทาตัวช้างท้ังหลาย  ตัวช้างมีกล่ินหอม แลว้ ลงอาบน้�ำในแม่นำ�้ นายหตั ถาจารยไ์ ดท้ ลู ความเรอ่ื งนน้ั แดพ่ ระราชา และขอให้ เสด็จตามหาช้างอาชาไนย  พระราชาเสด็จโดยเรือทวนกระแสน้�ำขึ้น ไป  บรรลุถึงท่ีอยู่ของพวกช่างไม้  ขณะน้ันลูกช้างเล่นน้�ำอยู่  ได้ยิน เสยี งกลอง จงึ มายืนอยใู่ กลพ้ วกชา่ งไม้ พวกชา่ งไมถ้ วายบงั คมพระราชาแลว้ ทลู วา่  ถา้ มพี ระประสงค์ ไม ้ ทำ� ไมจงึ ตอ้ งเสดจ็ มาเอง ใหค้ นมาเอาไปกไ็ ด ้ พระราชาตรสั วา่ มไิ ด้ มพี ระประสงคเ์ รอ่ื งไม ้ แตท่ รงตอ้ งการชา้ งอาชาไนย ชา่ งไมท้ ลู วา่ ให้ คนจบั ไปเถดิ พระเจา้ ขา้ 42 ก า ร ป ลู ก ฝั ง คุ ณ ธ ร ร ม ( ลู ก ข้ า ง กั บ ช่ า ง ไ ม้ )

แตล่ กู ชา้ งไมย่ อมไป พระราชาตรสั ถามชา่ งไมว้ า่  ทำ� อยา่ งไร ลูกช้างจงึ จะยอมไป “ตอ้ งการทรพั ยใ์ หพ้ วกช่างไม ้ พระเจ้าขา้ ” พระราชาสง่ั ใหว้ างกหาปณะใกลๆ้  ตวั ชา้ ง ๕ แหง่ คอื ทใี่ กล้ เท้าทั้ง  ๔  และที่หาง  แห่งละหนึ่งแสนกหาปณะ  แต่ลูกช้างก็ยังไม่ ยอมไปอยูน่ ัน่ เอง พระราชารบั สง่ั ใหใ้ หผ้ า้ นงุ่ หม่ แกช่ า่ งไมท้ กุ คน ลกู ชา้ งกย็ งั ไม่  ยอมไป ตอ่ เมอื่ โปรดประทานเครอ่ื งใชส้ อยและเครอ่ื งเลน่ สำ� หรบั เดก็ ลกู ชา่ งไมท้ กุ คนนนั่ แหละ ลกู ชา้ งจงึ จะยอมไป แตไ่ ปดว้ ยอาลยั อยา่ งยง่ิ พระราชาพาราณสนี ำ� ชา้ งไปสพู่ ระนคร จดั การสมโภชอยา่ งด ี ใหอ้ ยใู่ นโรงชา้ งทส่ี วยงาม ตงั้ ชา้ งนนั้ ไวใ้ นฐานะแหง่ สหายของพระองค์ ตั้งแต่ได้ช้างมงคลน่ันมา  พระราชาก็ถึงความเป็นผู้มีบุญ พร้อมทรงสมบูรณ์ด้วยลาภสกั การะและกฤษฎาภินิหาร เป็นทีเ่ กรง ขามของราชาสามนั ตราชท้งั ปวง ต่อมาพระราชาเสด็จทิวงคต  ในขณะท่ีพระอัครมเหสีทรง พระครรภแ์ ก ่ แตเ่ ขาปดิ บงั ไมใ่ หช้ า้ งร ู้ ดว้ ยเกรงชา้ งจะหวั ใจแตกสลาย เพราะความอาลัย 43อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

พอได้ข่าวว่าพระเจ้ากรุงพาราณสีสวรรคตแล้ว  พระเจ้า โกศลก็กรีธาทัพมาล้อมนครพาราณสีไว้  มุ่งหมายยึดเอาราชสมบัติ แห่งแคว้นกาสีเป็นของพระองค์  ชาวนครปิดประตูเมือง  ส่งข่าวไป ทูลพระเจ้าโกศลว่า  บัดนี้พระอัครมเหสีแห่งพระราชาของพวกเรา ก�ำลังทรงพระครรภ์แก่  โหรทางกายวิทยาท�ำนายว่า  อีก  ๗  วัน  พระนางจะประสูติ  เมื่อพระนางประสูติแล้วพวกเราจึงจักต่อยุทธ ์ กนั  พระเจา้ โกศลทรงยนิ ยอมตามนนั้ อีก  ๗  วันต่อมา  พระอัครมเหสีก็ประสูติพระราชโอรส ประชาชนทใ่ี จหดหทู่ อ้ ถอยอย ู่ กร็ า่ เรงิ มกี ำ� ลงั ใจขนึ้  จงึ ขนานพระนาม พระราชกุมารน้นั วา่  “อลีนจิตตกุมาร” มคี วามหมายว่า ท�ำใหจ้ ติ ใจ ของประชาชนหายหดหู่ ชาวพาราณสีออกรบตามสัญญาท่ีให้ไว้  แต่เน่ืองจากไม่มี จอมทัพ  จึงไม่อาจเอาชนะกองทัพโกศลได้  ได้แต่ออกรบแล้วถอย ออกรบแล้วถอย ประชาชนกราบทูลพระราชเทวีว่า  ถ้ารบอยู่อย่างนี้เห็นที จะแพ้เป็นแน่นอน  จะท�ำอย่างไรกันดี?  เร่ืองทั้งปวงน้ี  มงคลหัตถี สหายของพระราชายังไม่รู้  การบอกให้เขารู้จะควรไหม?  พระนาง ยอมรับว่าดแี ล้ว ควรบอกให้เขารู้ 44 ก า ร ป ลู ก ฝั ง คุ ณ ธ ร ร ม ( ลู ก ข้ า ง กั บ ช่ า ง ไ ม้ )

พระนางทรงประดับพระราชโอรสให้บรรทมที่กระโจมผ้า ทกุ ลู พสั ตร์๑ เสดจ็ ไปสโู่ รงชา้ ง ใหพ้ ระโอรสบรรทมใกลเ้ ทา้ ชา้ ง แลว้ ตรสั ว่า “พอ่ เอย สหายของทา่ นส้นิ พระชนมแ์ ล้ว พวกเรากลวั ทา่ น จะโทมนสั ถงึ หวั ใจแตกจึงมไิ ดบ้ อกทา่ น กมุ ารนเ้ี ปน็ โอรสแห่งสหาย ของท่าน  เวลานี้พระเจ้าโกศลยกทัพมาประชิดนคร  ต้องการยึดเอา เมืองนี้ไว้ในครอบครอง  ท่านจงช่วยรักษาราชสมบัติไว้ให้โอรสของ ทา่ นดว้ ยเถิด” ชา้ งเอางวงลบู ไลพ้ ระราชโอรสนอ้ ย ยกขนึ้ วางบนกระพอง รอ้ งไหอ้ าลยั รกั  วางพระราชโอรสลงในพระหตั ถข์ องพระราชเทว ี แลว้ ออกจากโรงชา้ ง ต้ังใจวา่ จักจบั พระเจา้ โกศลใหไ้ ด้ พวกอ�ำมาตย์  แวดล้อมช้างนั้นตามออกไปด้วย  ช้างได้  บรรลือโกญจนาท  ท�ำให้พลข้าศึกตกใจหนีไป  เข้าท�ำลายค่าย  จับ มวยผมพระเจ้าโกศลไว้ได้  แล้วน�ำมาหมอบลงแทบพระบาทแห่ง  พระราชโอรสนอ้ ย พระราชโอรสน้นั  ได้ทรงอภิเษกเปน็ พระราชา เมื่อพระชน  มายไุ ด ้ ๗ ขวบ ทรงพระนาม อลนี จติ ตราชา เสวยราชสมบตั โิ ดยธรรม พระศาสดา  ทรงน�ำเรื่องน้ีมาตรัสแล้ว  ตรัสต่อไปว่า  อลนี จติ ตฺ  ํ นสิ สฺ าย ฯลฯ สพพฺ สโํ ยชนกขฺ ย ํ แปลวา่  เสนาหมใู่ หญอ่ าศยั ๑ผา้ ท�ำดว้ ยเปลือกไม้ (Fine cloth) 45อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

อลนี จติ ตกมุ าร รา่ เรงิ แลว้  ตา่ งกไ็ ดข้ อใหช้ า้ งจบั พระเจา้ โกศลผไู้ มพ่ อ พระทัยด้วยราชสมบัติของพระองค์  จับได้ท้ังเป็นฉันใด  ภิกษุผู้ถึง พร้อมด้วยกัลยาณมิตรเป็นท่ีอาศัยก็ฉันน้ัน  พึงเป็นผู้มีความเพียร สมำ�่ เสมอ ยงั กศุ ลธรรมใหเ้ กดิ  เพอ่ื บรรลธุ รรรมอนั เกษมจากโยคะ คอื   ปลอดจากกิเลส  ก็จะสามารถบรรลุโดยล�ำดับ  ซ่ึงธรรมเป็นท่ีส้ิน สงั โยชนท์ ้งั ปวง” ทรงประมวลชาดกวา่  พอ่ ชา้ งเปน็ พระสารบี ตุ ร ลกู ชา้ งคอื ภิกษผุ คู้ ลายความเพียร ส่วนอลีนจติ ตกุมาร คอื พระตถาคตเจ้า ขอ้ คิด ๑.  สัตว์ดิรัจฉานเช่นช้างที่เจ็บเท้าในเรื่องนี้  ยังมีความ กตัญญูกตเวทีต่อพวกช่างไม้ผู้ท�ำให้ตนหายป่วย  แสดงถึงเป็นผู้มี ใจสงู  มนษุ ยค์ วรเอาอยา่ งได ้ มนษุ ยท์ ไี่ มม่ คี วามกตญั ญกู ตเวท ี เปน็ มนุษย์ทไ่ี ม่ควรคบอยา่ งย่ิง ๒. กลั ยาณมติ ร แม้ระหว่างดิรัจฉานกบั คน ยงั ช่วยเหลือ กนั ได ้ เชน่  ชา้ งมงคลชว่ ยใหอ้ ลนี จติ ตกมุ าร ราชโอรสแหง่ สหายของ ตนได้ชนะข้าศึกและครองราชย์  มนุษย์ต่อมนุษย์ผู้เป็นกัลยาณมิตร กนั จงึ ควรอย่างย่ิงทีจ่ ะช่วยเหลือกันในยามวบิ ตั ขิ ดั ขอ้ ง 46 ก า ร ป ลู ก ฝั ง คุ ณ ธ ร ร ม ( ลู ก ข้ า ง กั บ ช่ า ง ไ ม้ )

๓.  สัตว์อาชาไนย  ย่อมแสดงความเป็นอาชาไนยของตน โดยคณุ ลกั ษณะ คณุ ธรรม โดยทสี่ ดุ แมแ้ ตอ่ จุ จาระของชา้ งอาชาไนย ลอยมา  ยังเป็นท่ีเกรงกลัวของช้างทั้งหลายฉันใด  บุรุษอาชาไนยก็ ฉนั นน้ั  ยอ่ มแสดงความเปน็ อาชาไนยของตนโดยลกั ษณะ โดยคณุ ธรรม คอื เปน็ ผมู้ ลี กั ษณะด ี มคี ณุ ธรรมสงู  มคี วามเสยี สละเหน็ แกส่ ว่ นรวม มีความเกรงกลัวบาป  มีความรักเกียรติยศย่ิงชีวิต  อยู่เพื่อความดี และยอมตายเพื่อความดี ๔. สตั วห์ รอื คนอาชาไนย จะไมย่ อมอยกู่ บั คนทไี่ มร่ คู้ า่ ของ ตน หรอื สถานทอ่ี นั ไมเ่ หมาะสมแกต่ น ยอมอดตายดกี วา่ อยอู่ ยา่ งไร้ เกยี รติ ๕.  คนดีเม่ือตนได้ดี  ย่อมหาทางช่วยเหลือคนอื่นบ้างตาม สมควร  เช่นลูกช้างเม่ือพระราชาจะน�ำไปสู่พระนคร  ยังหาทางช่วย เหลอื ชา่ งไม ้ ภรรยาและบตุ รชา่ งไม ้ ใหม้ เี ครอื่ งใชแ้ ละทรพั ยก์ อ่ นแลว้ จึงไป 47อ. ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ

โอวาทของพอ่ (ทฆี าวุกมุ าร)

ลกู ๆ ควรอยู่ในโอวาทของพอ่ แม่ ประพฤตติ นใหเ้ หมาะสมกบั ทท่ี า่ นรกั และเอน็ ดู เพือ่ สนองน้�ำใจท่าน เพื่อท่านจกั ไม่เสยี ใจในการกระท�ำของเรา บตุ รธดิ าทอี่ ยูใ่ นโอวาทของบดิ ามารดาน้ัน ย่อมไดร้ ับผลดีเสมอ มแี ตท่ างเจริญรุ่งเรอื ง ไม่มที างเสื่อม ฑีฆาวุกมุ ารด�ำรงอยู่ในโอวาทของพระบิดา ไดค้ รองแควน้ ถึงสองแคว้น...


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook