Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (คู่มือโสดาบัน)

พุทธวจน (คู่มือโสดาบัน)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-06-10 00:16:56

Description: พุทธวจน (คู่มือโสดาบัน)

Keywords: พุทธวจน,ธรรมะ

Search

Read the Text Version

พุทธวจน คู่มือโสดาบัน ธรรมวินยั จากพทุ ธโอษฐ์ เพอ่ื ตรวจสอบความเปน็ โสดาบนั ของตนเอง ดว้ ยตนเอง

สารีบตุ ร ! ทมี่ กั กล่าวกนั วา่ โสดาบัน โสดาบนั ดงั นี้ เป็นอยา่ งไรเล่า สารบี ุตร ? “ขา้ แตพ่ ระองค์ผเู้ จรญิ ! ทา่ นผใู้ ด เปน็ ผู้ประกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอริยมรรคมีองค์แปดนอี้ ยู่ ผเู้ ชน่ นัน้ แล ขา้ พระองค์เรยี กวา่ เป็นพระโสดาบนั ผ้มู ีชอื่ อยา่ งน้ๆี มีโคตรอยา่ งน้ีๆ พระเจา้ ขา้ !”. สารบี ตุ ร ! ถูกแลว้ ถกู แล้ว ผ้ทู ่ีประกอบพรอ้ มแล้ว ดว้ ยอรยิ มรรคมีองค์แปดน้อี ยู่ ถึงเราเอง ก็เรียกผเู้ ชน่ นั้นวา่ เป็น พระโสดาบนั ผู้มีช่ืออยา่ งน้ๆี มีโคตรอย่างนี้ๆ. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๓.

พุทธวจน ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน พุทธวจนสถาบัน ร่วมกันมุ่งมั่นศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่คำ�ของตถาคต

พุทธวจน ฉบับ ๒ ค่มู อื โสดาบนั สื่อธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลขิ สทิ ธิใ์ นต้นฉบบั นไี้ ด้รับการสงวนไว้ ไม่สงวนสทิ ธิ์ในการจัดทำ�จากตน้ ฉบับเพ่ือเผยแผใ่ นทกุ กรณี ในการจดั ทำ�หรือเผยแผ่ โปรดใช้ความละเอียดรอบคอบ เพือ่ รักษาความถูกต้องของขอ้ มลู ขอค�ำ ปรกึ ษาด้านขอ้ มลู ในการจดั ท�ำ เพอ่ื ความสะดวกและประหยดั ติดตอ่ ได้ที่ มูลนิธิพทุ ธโฆษณ์ โทรศพั ท ์ ๐๘ ๘๔๙๔ ๘๐๘๓ คุณศรชา โทรศพั ท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คณุ อารีวรรณ โทรศัพท ์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ พิมพค์ ร้ังที่ ๑ สงิ หาคม ๒๕๕๔ ศิลปกรรม ปรญิ ญา ปฐวนิ ทรานนท,์ วชิ ชุ เสริมสวสั ด์ิศรี จดั ทำ�โดย มลู นิธพิ ุทธโฆษณ์ (เว็บไซต์ www.buddhakos.org)

คำ�อนุโมทนา เพื่อต้องการให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  ทราบถึงแง่มุม ความเป็นอัจฉริยจิตของบุคคลผ้สู ามารถเอาชนะความตาย หลุดพ้นจากการเวียนว่ายเกิดตายในสังสารวัฏ  สามารถ นำ�ไปตรวจสอบตนเอง  ภายใต้หลักธรรมขององค์สมเด็จ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้  วา่ เดนิ มาอยา่ งถกู ตอ้ ง ถกู ทาง กา้ วหนา้ ไปแคไ่ หนอยา่ งไร  โดยไมต่ อ้ งพง่ึ พาผอู้ น่ื มาตดั สนิ ใหส้ มดงั ท่ี พระองคต์ รสั วา่ ใหบ้ คุ คลทง้ั หลายพง่ึ ตนพง่ึ ธรรม คณะผจู้ ดั ท�ำ จึงได้รวบรวมคุณธรรมความเป็นโสดาบัน  ในแง่มุมต่างๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ ขออนโุ มทนากบั คณะศษิ ยง์ านธรรมและผสู้ นบั สนนุ ทกุ ทา่ น ทไ่ี ดร้ ว่ มแรงกาย แรงใจ กระท�ำ ใหง้ านส�ำ เรจ็ ลลุ ว่ ง ไปไดอ้ ยา่ งดี และขออานสิ งสแ์ หง่ การชว่ ยเผยแผค่ �ำ สอนของ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงเปน็ เหตใุ หท้ า่ นทง้ั หลาย ท่ีได้ร่วมเกี่ยวข้องกับผลงานชิ้นนี้  ทั้งที่เป็นผู้ทำ�และผู้อ่าน ได้ดวงตาเห็นธรรมตามเหตุปัจจัยท่ีกระทำ�  ในอนาคตกาล อันใกลน้ ด้ี ว้ ยเทอญ. พระคกึ ฤทธ์ิ โสตถฺ ผิ โล

อกั ษรยอ่ เพื่อความสะดวกแก่ผู้ทย่ี งั ไมเ่ ขา้ ใจเร่อื งอกั ษรยอ่ ทใี่ ชห้ มายแทนชือ่ คมั ภีร์ ซ่งึ มอี ยโู่ ดยมาก มหาวิ. ว.ิ มหาวภิ งั ค์ วินัยปิฎก. ภิกขฺ นุ .ี ว.ิ ภิกขนุ ีวภิ ังค์ วินัยปฎิ ก. มหา. ว.ิ มหาวรรค วินัยปิฎก. จุลลฺ . วิ. จลุ วรรค วินัยปิฎก. ปริวาร. ว.ิ ปริวารวรรค วินยั ปิฎก. สี. ท.ี สีลขนั ธวรรค ทีฆนกิ าย. มหา. ท.ี มหาวรรค ทีฆนกิ าย. ปา. ท.ี ปาฏกิ วรรค ทฆี นิกาย. ม.ู ม. มลู ปัณณาสก์ มชั ฌิมนกิ าย. ม. ม. มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย. อปุ ร.ิ ม. อุปริปณั ณาสก์ มัชฌมิ นกิ าย. สคาถ. สํ. สคาถวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. นทิ าน. สํ. นทิ านวรรค สงั ยุตตนิกาย. ขนธฺ . ส.ํ ขันธวารวรรค สังยตุ ตนกิ าย. สฬา. สํ. สฬายตนวรรค สงั ยุตตนิกาย. มหาวาร. ส.ํ มหาวารวรรค สงั ยุตตนิกาย. เอก. อํ. เอกนิบาต อังคตุ ตรนิกาย. ทุก. อ.ํ ทกุ นิบาต อังคุตตรนกิ าย. ติก. อํ. ติกนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย. จตกุ กฺ . อ.ํ จตกุ กนิบาต องั คตุ ตรนิกาย.

ปญจฺ ก. อํ. ปัญจกนิบาต อังคุตตรนกิ าย. ฉกฺก. อ.ํ ฉกั กนิบาต องั คตุ ตรนกิ าย. สตฺตก. อ.ํ สัตตกนิบาต องั คตุ ตรนิกาย อฏฺก. อํ. อัฏฐกนบิ าต องั คตุ ตรนิกาย. นวก. อํ. นวกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย. ทสก. อํ. ทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย. เอกาทสก. อํ. เอกาทสกนิบาต อังคตุ ตรนกิ าย. ขุ. ข.ุ ขุททกปาฐะ ขทุ ทกนกิ าย. ธ. ขุ. ธรรมบท ขทุ ทกนิกาย. อ.ุ ขุ. อทุ าน ขทุ ทกนิกาย. อิตวิ ุ. ข.ุ อติ ิวุตตกะ ขทุ ทกนกิ าย. สุตตฺ . ขุ. สุตตนิบาต ขทุ ทกนกิ าย. วมิ าน. ขุ. วิมานวัตถุ ขุททกนกิ าย. เปต. ขุ. เปตวตั ถุ ขุททกนิกาย. เถร. ขุ. เถรคาถา ขทุ ทกนิกาย. เถรี. ข.ุ เถรีคาถา ขทุ ทกนกิ าย. ชา. ข.ุ ชาดก ขุททกนกิ าย. มหานิ. ข.ุ มหานิทเทส ขุททกนิกาย. จฬู น.ิ ข.ุ จฬู นิทเทส ขทุ ทกนกิ าย. ปฏิสมฺ. ขุ. ปฏสิ มั ภิทามรรค ขุททกนกิ าย. อปท. ขุ. อปทาน ขุททกนกิ าย. พุทฺธว. ข.ุ พุทธวงส์ ขทุ ทกนิกาย. จริยา. ขุ. จริยาปิฎก ขุททกนิกาย. ตัวอย่าง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ให้อา่ นว่า ไตรปิฎกฉบบั บาลีสยามรัฐ เล่ม ๑๔ หน้า ๑๗๑ ขอ้ ที่ ๒๔๕



คำ�น�ำ หนงั สอื  “พทุ ธวจน ฉบบั  คมู่ อื โสดาบนั ” ไดจ้ ดั ท�ำ ขน้ึ ดว้ ยปรารภเหตทุ ว่ี า่   ปจั จบุ นั มหี ลกั เกณฑก์ ารพยากรณค์ วาม เป็นอริยบุคคลเกิดข้ึนมากมาย  ซ่ึงผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ก็จะ ยึดถือเอาตามแบบท่ีตนเองถูกส่ังสอนมา  และในบรรดา หลักเกณฑ์ท้ังหลายเหล่านั้น  ผู้ปฏิบัติจะมั่นใจได้อย่างไร วา่ สามารถใชต้ รวจวัดสอบไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตรงจรงิ ตามที่ พระศาสดาบญั ญัตไิ ว้ ดว้ ยพระศาสดาตรสั ไว้ว่าบคุ คล ๓ จำ�พวกน้ี ปรากฏขึน้ ยากในโลก คือ ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒. บุคคลผูแ้ สดงธรรมวนิ ัยทพี่ ระตถาคตประกาศแล้ว ๓. กตญั ญูกตเวทีบคุ คล เนอ้ื หาของหนงั สอื เลม่ น ้ี จงึ ไดร้ วบรวม  พทุ ธวจน  ท่ี ตรสั ถงึ หลกั เกณฑส์ �ำ หรบั ตรวจสอบภาวะความเปน็ พระโสดาบนั ดว้ ยตนเอง ไว้ถึง ๕๑ นยั ยะ จากเดมิ ท่มี ีอยู่ ๔๔ นัยยะ ซึ่ง ถกู คน้ พบเพม่ิ เตมิ โดยพระไพบลู ย์ อภปิ ณุ โฺ ณ วดั ปา่ ดอนหายโศก ๑ นยั ยะ และจากพระชยั ณรงค์ ถาวโร วดั นาปา่ พง อกี ๖ นยั ยะ

ดงั นน้ั คณะผจู้ ดั ท�ำ จงึ หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ พทุ ธวจน ฉบับ  “คู่มือโสดาบัน”  จะช่วยให้พุทธบริษัทมีหลักเกณฑ์ วัดสอบความเป็นพระโสดาบนั ท่ถี กู ต้อง ตรงตามพุทธวจน สมดังพทุ ธประสงค์ท่วี า่ “อรยิ สาวกนน้ั เมื่อปรารถนาอยู่ ก็พึงพยากรณ์ตนด้วยตนนน้ั แหละวา่ เราเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา  เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มอี ันจะตรัสรู้ธรรมในกาลเบื้องหนา้ ”. คณะงานธรรมวัดนาป่าพง สิงหาคม ๒๕๕๔

สารบญั ๑. แวน่ ส่องความเปน็ พระโสดาบัน ๒ ๒. พระโสดาบนั เป็นใคร (นยั ทหี่ นง่ึ ) ๔ ๓. พระโสดาบันเปน็ ใคร (นัยท่ีสอง) ๗ ๔. พระโสดาบนั ประกอบพร้อมแลว้ ๑๐ ดว้ ยอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด ๕. หลักเกณฑ์พยากรณ์ภาวะโสดาบนั ของตนเอง ๑๑ ๖. พระโสดาบนั รจู้ ักปัญจุปาทานขันธ ์ ๑๙ ๗. พระโสดาบนั รู้จกั อนิ ทรีย์หก ๒๐ ๘. โสดาปัตติมรรค ๒ จ�ำ พวก ๒๓ ๙. โสดาปัตตผิ ล ๒๕ ๑๐. พระโสดาบันเปน็ ผู้บริบรู ณ์ในศีล (ปาฎิโมกข)์ ๒๗ ไดพ้ อประมาณในสมาธิและปญั ญา ๑๑. พระโสดาบันละสังโยชน์ได้สามข้อ ๓๐ มีสามจ�ำ พวก ๑๒. ละสงั โยชน์สามและกรรมท่พี าไปอบาย ๓๑ คอื โสดาบัน

๑๓. พระโสดาบันมีญาณหยง่ั รู้เหตใุ ห้เกดิ ข้ึน ๓๓ และเหตใุ หด้ บั ไป ของโลก ๑๔. พระโสดาบนั คอื ผู้เห็นชัดรายละเอียด ๓๙ แต่ละสายของปฏจิ จสมปุ บาท ตลอดท้ังสาย โดยนยั แหง่ อรยิ สัจสี่ (เหน็ ตลอดสาย นัยทีห่ นึ่ง) ๑๕. พระโสดาบนั คือ ผเู้ หน็ ชัดรายละเอยี ด ๔๙ แตล่ ะสายของปฏิจจสมุปบาท ตลอดทง้ั สาย โดยนัยแห่งอรยิ สัจส่ี (เหน็ ตลอดสาย นัยที่สอง) ๑๖. ผ้รู ปู้ ฏจิ จสมปุ บาทแต่ละสาย ๖๓ โดยนยั แหง่ อริยสัจสี่ ท้ังปัจจุบัน อดตี อนาคต ชื่อวา่ โสดาบัน (ญาณวตั ถุ ๔๔) ๑๗. ผู้รู้ปฏิจจสมุปบาทแตล่ ะสายถงึ “เหตุเกดิ ” ๗๙ และ “ความดบั ” ทั้งปัจจบุ นั อดีต อนาคต ก็ชื่อว่าโสดาบัน (ญาณวตั ถุ ๗๗) ๑๘. ผ้มู ีธมั มญาณและอันว๎ ยญาณ (พระโสดาบนั ) ๙๑ ๑๙. ผู้สิ้นความสงสัย (พระโสดาบนั )ในกรณี ๙๕ ของความเหน็ ที่เปน็ ไปในลกั ษณะยึดถอื ตัวตน ๒๐. ผู้สิ้นความสงสัย (พระโสดาบนั ) ในกรณ ี ๙๙ ของความเหน็ ท่เี ป็นไปในลกั ษณะขาดสูญ

๒๑. ผลแหง่ ความเป็นโสดาบัน ๑๐๕ ๒๒. ความเป็นโสดาบัน ๑๐๖ ประเสริฐกว่าเปน็ พระเจ้าจักรพรรดิ ๒๓. ความเปน็ พระโสดาบนั ไมอ่ าจแปรปรวน ๑๐๘ ๒๔. สิ่งทผี่ ู้ถงึ พรอ้ มดว้ ยทิฏฐิ (พระโสดาบัน) ๑๑๐ ทำ�ไม่ได้โดยธรรมชาติ ๒๕. ฐานะทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ ส�ำ หรบั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ๑๑๒ (พระโสดาบัน) นัยทหี่ นงึ่ ๒๖. ฐานะทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ ส�ำ หรบั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ๑๑๔ (พระโสดาบนั ) นยั ท่สี อง ๒๗. ฐานะทเ่ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ ส�ำ หรบั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ๑๑๖ (พระโสดาบัน) นัยที่สาม ธรรมะแวดล้อม (หมวดธรรมท่ีชว่ ยสรา้ งความเข้าใจ แตไ่ ม่ไดร้ ะบถุ งึ ความเปน็ โสดาบันโดยตรง) ๒๘. อริยมรรคมีองคแ์ ปด ๑๒๐ ๒๙. คำ�ท่ีใชเ้ รยี กแทนความเป็นพระโสดาบัน ๑๒๕ ๓๐. สังโยชนส์ บิ ๑๒๗

๓๑. อรยิ ญายธรรม คอื การรเู้ รอ่ื งปฏจิ จสมปุ บาท ๑๒๙ ๓๒. ฝุ่นปลายเลบ็ ๑๓๒ (พอรอู้ รยิ สจั ทกุ ขเ์ หลอื นอ้ ยขนาดฝนุ่ ตดิ ปลายเลบ็ เทยี บปฐพ)ี ๓๓. สามญั ญผลในพทุ ธศาสนาเทียบกนั ไม่ได้ ๑๓๕ กับในลทั ธิอืน่ ๓๔. ลกั ษณะแห่งผเู้ จริญอนิ ทรยี ์ขั้นอริยะ ๑๓๗ ๓๕. พระโสดาบนั กบั พระอรหันต์ตา่ งกนั ๑๓๙ ในการเห็นธรรม ๓๖. พระโสดาบันกบั พระอรหันตต์ า่ งกนั ๑๔๓ ในการเหน็ ธรรม (อีกนยั หน่ึง) ๓๗. ความลดหลั่นแหง่ พระอรยิ บุคคล ๑๔๕ ผูป้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งเดยี วกัน ๓๘. คนตกนำ�้ ๗ จ�ำ พวก ๑๕๐ (ระดบั ต่างๆ แหง่ บคุ คลผู้ถอนตวั ขนึ้ จากทุกข)์ ๓๙. คนมีกเิ ลสตกนรกทงั้ หมดทกุ คน ๑๕๕ จริงหรอื ? (บุคคลที่มเี ช้ือเหลอื ๙ จำ�พวก) ๔๐. ผลแปดประการอันเปน็ ภาพรวม ๑๖๒ ของความเป็นพระโสดาบนั ๔๑. ระวงั ตายคาประตูนิพพาน ! ๑๖๗

๔๒. ธรรมเป็นเครือ่ งอยู่ของพระอริยเจา้ ๑๗๑ ๔๓. ผสู้ ามารถละอาสวะทง้ั หลาย ๑๗๗ ในสว่ นทลี่ ะได้ดว้ ยการเหน็ ๔๔. สัมมาทฏิ ฐิโลกตุ ตระ นานาแบบ ๑๘๑ (ตามคำ�พระสารบี ุตร) ภาคผนวก พระสตู รทค่ี น้ คว้าเพม่ิ เตมิ ๔๕. คณุ สมบตั พิ ระโสดาบัน (นยั ที่ ๑) ๒๑๔ ๔๖. คุณสมบัตพิ ระโสดาบัน (นยั ที่ ๒) ๒๑๕ ๔๗. คณุ สมบัตพิ ระโสดาบัน (นยั ที่ ๓) ๒๑๖ ๔๘. คุณสมบตั พิ ระโสดาบนั (นยั ท่ี ๔) ๒๒๒ (โสตาปตั ติยังคะ ๔ จ�ำ แนกดว้ ยอาการ ๑๐) ธรรมะแวดล้อม ๒๓๒ ๒๓๖ ๔๙. อานสิ งสข์ องธรรม ๔ ประการ ๒๓๘ ๕๐. ผตู้ ัง้ อย่ใู นเสขภมู ิ ๕๑. คณุ ธรรมของผูต้ �่ำ กว่าโสตาปัตตมิ รรค และเป็นเหตุใหไ้ ม่ไปสู่อบายในชาตินั้น



คูมือโสดาบัน  ธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ เพื่อตรวจสอบความเปนโสดาบันของตน ดวยตนเอง

2​ พุทธวจน ๑ แวน่ สอ่ งความเปน็ พระโสดาบนั อานนท์ ! เราจกั แสดง ธรรมปริยายอันช่ือว่า แวน่ ธรรม ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใด ได้ประกอบพร้อมแลว้ เมื่อจำ�นงจะพยากรณ์ตนเอง ก็พึงทำ�ได้ในข้อที่ตนเปน็ ผมู้ นี รกสน้ิ แลว้ มกี �ำ เนดิ เดรจั ฉานสน้ิ แลว้ มเี ปรตวสิ ยั สน้ิ แลว้ มอี บาย ทคุ ติ วนิ บิ าตสน้ิ แลว้ , ในขอ้ ทต่ี นเปน็ พระโสดาบนั ผมู้ ีอนั ไม่ตกต่ำ�เปน็ ธรรมดา เท่ียงแทต้ อ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ ดังนี้. อานนท์ ! ก็ธรรมปริยายอันชื่อว่า แว่นธรรม ในที่นี้ เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมห่ วั่นไหวในองค์พระพุทธเจา้ ... ในองคพ์ ระธรรม... ในองคพ์ ระสงฆ์... และอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เปน็ ผู้ ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจ ของเหล่าอรยิ เจา้   คอื   เปน็ ศลี ท่ีไม่ขาด ไมท่ ะลุ ไม่ดา่ ง

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน ​3 ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้ท่าน สรรเสรญิ เปน็ ศลี ทท่ี ิฏฐิไมล่ บู คลำ� และเปน็ ศลี ท่เี ปน็ ไป เพื่อสมาธิ. อานนท์ ! ธรรมปรยิ ายอนั นแ้ี ล ทช่ี อ่ื วา่ แวน่ ธรรม ซึ่งหากอริยสาวกผู้ใดได้ประกอบพร้อมแล้ว เมื่อจำ�นง จะพยากรณ์ตนเอง กพ็ ึงทำ�ได,้ ดงั นี้แล. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๐-๔๕๑/๑๔๗๙-๑๔๘๐.

4​ พุทธวจน ๒ พระโสดาบนั เปน็ ใคร (นัยท่หี นงึ่ ) ภิกษุทั้งหลาย !   สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น ้ี เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มแลว้ ดว้ ย  ธรรม  ๔  ประการนเ้ี อง จงึ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแท้ ตอ่ พระนพิ พาน  เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . ธรรม ๔ ประการนน้ั เปน็ อยา่ งไร ? ๔ ประการนน้ั   คอื   : - (๑) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในองคพ์ ระพทุ ธเจา้ วา่ เพราะ เหตอุ ยา่ งนๆ้ี พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา และขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ซง่ึ วชิ ชา เปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยดี เปน็ ผรู้ โู้ ลก อยา่ งแจม่ แจง้ เปน็ ผสู้ ามารถฝกึ คนทค่ี วรฝกึ ไดอ้ ยา่ งไมม่ ี ใครยง่ิ กวา่ เปน็ ครขู องเทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ ผรู้ ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บานดว้ ยธรรม เปน็ ผมู้ คี วามจ�ำ เรญิ จ�ำ แนกธรรม สง่ั สอนสัตว์ ดังน.ี้

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน ​5 (๒) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในองคพ์ ระธรรม วา่ พระธรรม เปน็ สง่ิ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ไวด้ แี ลว้ , เปน็ สง่ิ ทผ่ี ศู้ กึ ษา และปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง, เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และ ใหผ้ ลไดไ้ มจ่ �ำ กดั กาล, เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจง มาดเู ถดิ , เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั , เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ด้ เฉพาะตน ดงั นี.้ (๓) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อนั หยง่ั ลงมน่ั ไมห่ วน่ั ไหว ในพระสงฆ์ วา่ สงฆส์ าวกของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้   เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้   เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ติ รงแลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ใิ หร้ ธู้ รรมเครอ่ื งออกจากทกุ ขแ์ ลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ สมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้  คือ  คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นบั เรยี งตวั ไดแ้ ปดบรุ ษุ . นน่ั แหละคอื สงฆส์ าวกของพระผมู้ ี พระภาคเจ้า เปน็ สงฆ์ควรแก่สักการะทเ่ี ขานำ�มาบชู า เปน็ สงฆค์ วรแก่สกั การะทเ่ี ขาจดั ไวต้ อ้ นรับ เปน็ สงฆค์ วรรบั ทักษิณาทาน เปน็ สงฆท์ ี่บคุ คลทว่ั ไปจะพึงท�ำ อัญชลี เปน็ สงฆท์ ่ีเปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มนี าบญุ อื่นย่งิ กวา่ ดังน้ี.

6​ พุทธวจน (๔) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สาวกของพระอริยเจ้าใน ธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยศลี ทง้ั หลาย ชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า : เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ  ไม่ด่าง  ไม่พร้อย  เป็นศีลท่ีเป็นไทจากตัณหา เปน็ ศลี ทีผ่ รู้ ้ทู า่ นสรรเสรญิ เปน็ ศีลทีท่ ฏิ ฐไิ ม่ลบู คล�ำ และ เป็นศีลที่เปน็ ไปเพ่ือสมาธิ ดังนี้. ภิกษุท้ังหลาย ! สาวกของพระอรยิ เจา้ ผปู้ ระกอบ พรอ้ มแลว้ ดว้ ยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล ชอ่ื วา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน เปน็ ผมู้ อี นั จะตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๙-๔๓๐/๑๔๑๔-๑๔๑๕.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน ​7 ๓ พระโสดาบนั เปน็ ใคร (นยั ท่ีสอง) อยา่ กลัวเลย มหานาม ! อยา่ กลวั เลย มหานาม ! ความตายของท่านจักไม่ต่ำ�ทราม  กาลกิริยาของท่าน จกั ไมต่ ำ่�ทราม. มหานาม ! อรยิ สาวกผูป้ ระกอบด้วย ธรรม ๔ ประการ ย่อมเปน็ ผมู้ ปี กติน้อมไปในนพิ พาน โน้มไปสู่นพิ พาน  เอนไปทางนพิ พานโดยแท.้ ธรรม ๔ ประการ อยา่ งไรเล่า ? ธรรม ๔ ประการ คอื :- มหานาม ! อรยิ สาวกในกรณนี ้ี (๑) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หว่ันไหวในพระพทุ ธเจา้ ว่า “เพราะเหตอุ ย่างน้ีๆ พระผ้มู ีพระภาคเจา้ นั้น เป็นผไู้ กลจากกิเลส ตรสั รูช้ อบได้ โดยพระองค์เอง  เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติ ใหถ้ งึ ซง่ึ วชิ ชา เปน็ ผไู้ ปแลว้ ดว้ ยดี เปน็ ผรู้ โู้ ลกอยา่ งแจม่ แจง้ เป็นผู้สามารถฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

8​ พุทธวจน เป็นครผู ้สู อนของเทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตน่ื ผูเ้ บกิ บาน ด้วยธรรม เปน็ ผมู้ ีความจ�ำ เรญิ จำ�แนกธรรม สงั่ สอนสัตว”์ ดังน้ี. (๒) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ว่า “พระธรรม เป็นสิ่งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและ ปฏบิ ตั พิ งึ เหน็ ไดด้ ว้ ยตนเอง เปน็ สง่ิ ทป่ี ฏบิ ตั ไิ ดแ้ ละใหผ้ ลได้ ไมจ่ �ำ กดั กาล เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั   เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน” ดงั น.้ี (๓) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความเลอ่ื มใส อันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ว่า “สงฆส์ าวกของพระผมู้ ี พระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เปน็ ผูป้ ฏิบัตใิ ห้รธู้ รรมเปน็ เครื่องออกจากทกุ ขแ์ ลว้ เปน็ ผปู้ ฏิบัติสมควรแล้ว อันได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่ง บรุ ษุ สค่ี ู่ นบั เรยี งตวั ไดแ้ ปดบรุ ษุ นน่ั แหละสงฆส์ าวกของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปน็ สงฆค์ วรแกส่ กั การะทเ่ี ขาน�ำ มาบชู า เปน็ สงฆค์ วรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์ควร

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน ​9 รับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำ�อัญชลี เปน็ สงฆท์ เ่ี ปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ” ดังนี้. (๔) เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยศลี ทง้ั หลาย ชนดิ เปน็ ทพ่ี อใจของเหลา่ พระอรยิ เจา้ : เปน็ ศลี ทไ่ี มข่ าด ไม่ทะลุ ไมด่ า่ ง ไมพ่ รอ้ ย เป็นศลี ที่เปน็ ไทจากตัณหา เปน็ ศีลทีผ่ รู้ ทู้ า่ นสรรเสริญ เป็นศีลท่ีทฏิ ฐิไม่ลูบคลำ� และ เป็นศีลที่เป็นไปพร้อมเพ่ือสมาธิ ดงั น.ี้ มหานาม ! เปรียบเหมือนต้นไม้น้อมไปใน ทิศปราจีน โน้มไปสู่ทิศปราจีน เอนไปทางทิศปราจีน. ต้นไม้นั้น  เมื่อเขาตัดที่โคนแล้ว  มันจะล้มไปทางไหน? “มนั จะลม้ ไปทางทศิ ทม่ี นั นอ้ มไป โนม้ ไป เอนไปพระเจา้ ขา้ !”. มหานาม ! ฉันใดก็ฉันนั้น : อริยสาวกประกอบ แลว้ ดว้ ยธรรม ๔ ประการเหลา่ น้ี ยอ่ มเปน็ ผมู้ ปี กตนิ อ้ มไป ในนิพพาน โน้มไปสนู่ ิพพาน เอนไปทางนพิ พานโดยแท้ แล. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๖๕-๔๖๖/๑๕๑๑-๑๕๑๒.

1​ 0 พุทธวจน ๔ พระโสดาบนั ประกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด สารีบุตร ! ทม่ี ักกล่าวกนั วา่ โสดาบัน-โสดาบนั ดงั น้ี เปน็ อยา่ งไรเล่า สารีบตุ ร ? “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ! ทา่ นผใู้ ด เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอรยิ มรรคมอี งคแ์ ปดนอ้ี ย ู่ ผเู้ ชน่ นน้ั แล  ขา้ พระองคเ์ รยี กวา่ เป็น พระโสดาบนั ผมู้ ชี อ่ื อยา่ งนๆ้ี มโี คตรอยา่ งนๆ้ี พระเจา้ ขา้ !”. สารีบุตร ! ถกู แลว้ ถกู แลว้ ผทู้ ป่ี ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยอริยมรรคมอี งค์แปดนี้อยู่ ถึงเราเองกเ็ รียกผ้เู ช่นน้ัน วา่ เปน็ พระโสดาบัน ผู้มีชือ่ อยา่ งน้ๆี มโี คตรอยา่ งนี้ๆ. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๕/๑๔๓๒-๑๔๓๓.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 1 ๕ หลกั เกณฑพ์ ยากรณภ์ าวะโสดาบนั ของตนเอง คหบดี ! ในกาลใด ภัยเวร ๕ ประการอนั อรยิ สาวกท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ ดว้ ย, อรยิ สาวกประกอบ พรอ้ มแลว้ ดว้ ยโสตาปตั ติยังคะส่ี ดว้ ย, อรยิ ญายธรรม เป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้ว ด้วยดดี ้วยปญั ญา ด้วย; ในกาลนั้น อริยสาวกนัน้ เม่อื หวังอย่กู พ็ ยากรณ์ ตนดว้ ยตน นนั่ แหละวา่ “เราเปน็ ผมู้ นี รกสน้ิ แลว้ มกี �ำ เนดิ เดรจั ฉานสน้ิ แลว้ มเี ปรตวสิ ยั สน้ิ แลว้ มอี บายทคุ ตวิ นิ บิ าตสน้ิ แลว้ , เราเปน็ ผู้ถึงแล้วซ่งึ กระแส (แหง่ นพิ พาน) มีความไม่ตกต่�ำ เป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อม เป็นเบื้องหน้า” ดังนี.้ คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการ เหล่าไหนเลา่ อันอริยสาวกท�ำ ใหส้ งบรำ�งบั ได้แล้ว ?

1​ 2 พุทธวจน (๑) คหบดี ! บุคคลผู้ฆ่าสัตว์อยู่เป็นปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรม (ปจั จบุ ัน) บ้าง, ย่อม ประสพภัยเวรใดในสัมปรายิก (ในเวลาถัดต่อมา) บ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง  เพราะปาณาติบาต เป็นปจั จยั ; ภยั เวรนัน้ ๆ เป็นสงิ่ ทีอ่ รยิ สาวกผู้เวน้ ขาดแลว้ จากปาณาติบาต  ทำ�ให้สงบรำ�งบั ไดแ้ ลว้ . (๒) คหบดี ! บุคคลผู้ถือเอาส่ิงของท่ีเขาไม่ได้ ใหอ้ ยูเ่ ปน็ ปกติ ยอ่ มประสพภัยเวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ มประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง, ยอ่ มเสวยทกุ ขโทมนสั แห่งจิตบ้าง  เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย;  ภัยเวรนั้นๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากอทินนาทาน  ทำ�ให้ สงบรำ�งบั ไดแ้ ลว้ . (๓) คหบดี ! บคุ คลผปู้ ระพฤตผิ ดิ ในกามทง้ั หลาย อยเู่ ปน็ ปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ ม ประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง, ย่อมเสวยทกุ ขโทมนัส แหง่ จติ บา้ ง, เพราะกาเมสมุ จิ ฉาจารเปน็ ปจั จยั ; ภยั เวรนน้ั ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากกาเมสุมิจฉาจาร ทำ�ใหส้ งบรำ�งับไดแ้ ลว้ .

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 3 (๔) คหบดี ! บุคคลผ้กู ล่าวคำ�เท็จอย่เู ป็นปกติ ยอ่ มประสพภยั เวรใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ มประสพภยั เวร ใดในสัมปรายิกบ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะมสุ าวาทเปน็ ปจั จยั ; ภยั เวรนน้ั ๆ เปน็ สง่ิ ทอ่ี รยิ สาวก ผเู้ วน้ ขาดแลว้ จากมสุ าวาท  ท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ . (๕) คหบดี ! บุคคลผ้ดู ่มื สุราและเมรัยอันเป็น ที่ตง้ั ของความประมาทอยู่เปน็ ปกติ ยอ่ มประสพภัยเวร ใดในทฏิ ฐธรรมบา้ ง, ยอ่ มประสพภยั เวรใดในสมั ปรายกิ บา้ ง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง, เพราะสุราและเมรัย เปน็ ปัจจัย ภยั เวรน้นั ๆ เปน็ สง่ิ ทอี่ รยิ สาวกผเู้ วน้ ขาดแลว้ จากสุราและเมรัย  ท�ำ ให้สงบร�ำ งบั ได้แลว้ . คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้แล อัน อรยิ สาวกท�ำ ใหส้ งบร�ำ งบั ไดแ้ ลว้ . ………… คหบดี ! อรยิ สาวก เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ย องคแ์ หง่ โสดาบนั ๔ ประการ เหลา่ ไหนเลา่ ?

1​ 4 พุทธวจน (๑) คหบดี ! อรยิ สาวกในธรรมวินัยนี้ เปน็ ผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า ว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นน้ั เปน็ ผไู้ กลจากกเิ ลส ตรสั รชู้ อบได้ โดยพระองคเ์ อง เปน็ ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ เปน็ ผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผรู้ โู้ ลกอย่างแจม่ แจง้ เปน็ ผสู้ ามารถ ฝกึ คนทค่ี วรฝกึ ไดอ้ ยา่ งไมม่ ใี ครยง่ิ กวา่ เปน็ ครขู องเทวดา และมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ ผรู้ ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บาน ดว้ ยธรรม เป็นผู้มีความจำ�เรญิ จำ�แนกธรรมสงั่ สอนสตั ว”์ ดังน้ี. (๒) คหบดี ! อรยิ สาวกในธรรมวินัยนี้ เปน็ ผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไมห่ วน่ั ไหว ในพระธรรม วา่ “พระธรรม เปน็ สง่ิ ทพ่ี ระผมู้ ี พระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง  เป็นสิ่งท่ีปฏิบัติได้  และให้ผลได้ ไม่จ�ำ กดั กาล  เปน็ สง่ิ ทค่ี วรกลา่ วกะผอู้ น่ื วา่ ทา่ นจงมาดเู ถดิ เปน็ สง่ิ ทค่ี วรนอ้ มเขา้ มาใสต่ วั เปน็ สง่ิ ทผ่ี รู้ กู้ ร็ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน” ดงั น.้ี

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 5 (๓) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้  เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระสงฆ์ ว่า “สงฆ์สาวกของพระผู้มี พระภาคเจ้า  เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว  เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เปน็ ผปู้ ฏบิ ัติสมควรแลว้ ได้แกบ่ คุ คลเหล่านี้ คอื คแู่ หง่ บุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ นั่นแหละ คือ สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจา้ เปน็ สงฆค์ วรแกส่ ักการะทเี่ ขานำ� มาบูชา เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็น สงฆ์ควรรับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำ� อญั ชลี เปน็ สงฆท์ เ่ี ปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ ” ดงั น.้ี (๔) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลายในลักษณะเป็นที่ พอใจของพระอริยเจ้า : เป็นศีลทีไ่ ม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไมพ่ ร้อย เป็นศีลทเ่ี ป็นไทจากตัณหา วญิ ญชู นสรรเสรญิ ไม่ถูกทิฏฐิลบู คลำ� เป็นศีลทเี่ ปน็ ไปพรอ้ มเพอื่ สมาธิ ดงั น้ี.

1​ 6 พุทธวจน คหบดี ! อรยิ สาวก  เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ด้วยองค์แห่งโสดาบัน ๔ ประการ เหลา่ น้แี ล. ………… คหบดี ! ก็ อรยิ ญายธรรม เปน็ สง่ิ ทอ่ี รยิ สาวก เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ยอ่ มทำ�ไว้ ในใจโดยแยบคาย เปน็ อยา่ งดี ซง่ึ ปฏจิ จสมปุ บาทนน่ั เทยี ว ดังน้วี ่า  “เพราะส่งิ น้มี ี  ส่งิ น้จี ึงมี;  เพราะความเกิดข้นึ แหง่ สง่ิ น้ี สง่ิ นจ้ี งึ เกดิ ขน้ึ . เพราะสง่ิ นไ้ี มม่ ี สง่ิ นจ้ี งึ ไมม่ ;ี เพราะความดับไปแหง่ สง่ิ น้ี สิง่ นีจ้ ึงดับไป: ข้อนไี้ ด้แก่ สง่ิ เหลา่ น ้ี คอื   เพราะมอี วชิ ชาเปน็ ปจั จยั   จงึ มสี งั ขารทง้ั หลาย; เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย  จึงมีวิญญาณ;  ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...  ...ฯลฯ...  เพราะมชี าติเป็นปัจจัย,  ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสท้ังหลาย  จึงเกิดข้ึน ครบถ้วน  :  ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี.้

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 7 เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชา นั้นน่ันเทยี ว จงึ มคี วามดบั แหง่ สังขาร; เพราะมคี วามดบั แหง่ สงั ขาร จงึ มคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ; ...ฯลฯ... ...ฯลฯ... ...ฯลฯ...  เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล  ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้  ย่อมมี  ด้วยอาการ อย่างน”ี้ . คหบดี ! อริยญายธรรม1  นี้แล  เป็นธรรมที่ อริยสาวกน้ันเห็นแล้วด้วยดี  แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วย ปญั ญา. คหบดี ! ในกาลใดแล ภัยเวร ๕ ประการ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่อริยสาวกทำ�ให้สงบรำ�งับได้แล้วด้วย, อริยสาวกเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะสี่ เหล่าน้ี ด้วย, อรยิ ญายธรรมนี้ เป็นธรรมอนั อรยิ สาวก เห็นแล้วด้วยดี  แทงตลอดแล้วด้วยดี  ด้วยปัญญาด้วย; 1. ดคู �ำ อธบิ ายความหมายของค�ำ นโ้ี ดยละเอยี ดไดใ้ นหมวด “ธรรมะแวดลอ้ ม” ในหวั ข้อท่ี ๓๑ หน้า ๑๒๙.

1​ 8 พุทธวจน ในกาลนั้น  อริยสาวกนั้นปรารถนาอยู่  ก็พยากรณ์ตน ด้วยตนนั้นแหละว่า  “เราเป็นผู้มีนรกส้ินแล้ว  มีกำ�เนิด เดรัจฉานส้ินแล้ว  มีเปรตวิสัยส้ินแล้ว  มีอบายทุคติ วนิ บิ าตสิน้ แลว้ , เราเปน็ ผถู้ ึงแลว้ ซ่ึงกระแส (แห่งนพิ พาน) มีความไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา  เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรูพ้ ร้อมเปน็ เบ้อื งหนา้ ” ดงั นี้. ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕-๑๙๘/๙๒. หมายเหตผุ รู้ วบรวม : ยงั มสี ตู รอกี สตู รหนง่ึ ขอ้ ความอยา่ งเดยี วกนั กบั สตู รนี้ ผดิ กนั แตเ่ พยี งตรสั แกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลายแทนทจ่ี ะตรสั กบั อนาถบณิ ฑกิ คหบด,ี คอื สตู รท่ี๒แหง่ คหปตวิ รรคอภสิ มยสงั ยตุ ต์นทิ าน.ส.ํ ๑๖/๘๕/๑๕๖. และ ยงั มสี ตู รอกี สตู รหนง่ึ (เวรสตู รท่ี ๒ อปุ าสกวรรค ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๙๕/๙๒.) มเี คา้ โครงและใจความของสตู รเหมอื นกนั กบั สตู รขา้ งบนน้ี ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง ในสตู รน้ันมคี �ำ วา่ “ยอ่ มพิจารณาเหน็ โดยประจักษ์” แทนค�ำ ว่า “ยอ่ ม กระท�ำ ไวใ้ นใจ โดยแยบคายเป็นอยา่ งดี ซง่ึ ปฏิจจสมปุ บาทนน่ั เทียว” แห่งสตู รขา้ งบนน้ี เทา่ นั้น.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 1​ 9 ๖ พระโสดาบนั รจู้ กั ปญั จปุ าทานขนั ธ์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอื่ ใดแล สาวกของพระอริยเจ้า ในธรรมวินัยนี้ มารู้จกั ความก่อข้นึ แห่งอปุ าทานขันธ์ห้า, รจู้ ักความตงั้ อยไู่ มไ่ ด้ของอปุ าทานขันธ์ห้า, รู้จกั รสอร่อยของอุปาทานขนั ธห์ า้ , รจู้ ักโทษอันรา้ ยกาจของอปุ าทานขันธห์ า้ , รจู้ กั อบุ ายทไ่ี ปใหพ้ น้ อปุ าทานขนั ธห์ า้ นเ้ี สยี ตามทถ่ี กู ทจ่ี รงิ ; ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื นน้ั แหละ สาวกของพระอรยิ เจา้ ผนู้ น้ั   เราเรยี กวา่ เปน็ พระโสดาบนั   ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน จกั ตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๙๖/๒๙๖.

2​ 0 พุทธวจน ๗ พระโสดาบนั รจู้ กั อนิ ทรยี ห์ ก ภกิ ษุท้ังหลาย ! อนิ ทรยี 1์ ๖ อย่างเหลา่ น้ี มอี ยู่. ๖ อยา่ งอะไรเล่า ? ๖ อยา่ ง คอื :- จกั ขนุ ทรยี ์ โสตนิ ทรีย์ ฆานนิ ทรีย์ ชวิ หินทรีย์ กายนิ ทรยี ์ มนินทรยี ์ ภกิ ษุทั้งหลาย ! เม่ือใดแล อริยสาวกมา รูจ้ กั ความกอ่ ขน้ึ แหง่ อินทรยี ท์ ้ังหกเหล่าน้,ี รู้จักความต้งั อยู่ไม่ได้แห่งอินทรีย์ท้งั หกเหล่านี,้ รู้จกั รสอรอ่ ยของอนิ ทรียท์ ง้ั หกเหล่าน้,ี รู้จักโทษอนั รา้ ยกาจของอนิ ทรียท้งั หกเหลา่ น้,ี รจู้ กั อบุ ายท่ไี ปให้พ้นอนิ ทรียท์ ั้งหกเหลา่ น้ี, ตามทถ่ี กู ทจ่ี รงิ ; 1. อนิ ทรยี ์ แปลวา่ อ�ำ นาจหรอื ความเปน็ ใหญ;่ เมอ่ื รวมกบั ค�ำ วา่ ตา (จกั ขนุ ทรยี )์ กจ็ ะหมายถงึ ความเปน็ ใหญ่ในเร่อื งการมองเหน็ หรือ กค็ ือความเป็นใหญ่ ในหนา้ ที่นน้ั ๆ (เชน่ การได้ยนิ , การไดก้ ลิน่ , ...).

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 1 ภกิ ษุทง้ั หลาย ! เมื่อนั้นแหละ อริยสาวกนั้น เราเรยี กวา่ เปน็ พระโสดาบนั ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน จกั ตรสั รธู้ รรมไดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๗๑/๙๐๒-๙๐๓.

2​ 2 พุทธวจน

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 3 ๘ โสดาปตั ตมิ รรค ๒ จ�ำ พวก ก. สัทธานุสารี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ตา...หู...จมูก...ล้นิ ...กาย...ใจ เปน็ สง่ิ ไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแปรปรวนเปน็ ปกติ มคี วามเปลย่ี น เปน็ อยา่ งอน่ื เปน็ ปกต.ิ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! บคุ คลใด มคี วามเชอ่ื นอ้ มจติ ไป ในธรรม ๖ อยา่ งนี้ ด้วยอาการอย่างน้;ี บคุ คลน้ีเราเรยี กวา่ เป็น สทั ธานุสารี หย่ังลงสู่สมั มตั ตนยิ าม (ระบบแห่งความถกู ตอ้ ง) หยงั่ ลงส่สู ัปปุรสิ ภูมิ (ภมู ิแหง่ สตั บรุ ษุ ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภูมิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำ กรรม อนั กระท�ำ แลว้ จะเข้าถึงนรก  กำ�เนิดเดรัจฉาน  หรือเปรตวิสัย  และ ไมค่ วรทจ่ี ะท�ำ กาละกอ่ นแตท่ จ่ี ะท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล.

2​ 4 พุทธวจน ข. ธมั มานุสารี ภกิ ษุท้งั หลาย ! ธรรม ๖ อย่างเหลา่ น ้ี ทนตอ่ การเพ่งโดยประมาณอันยิ่งแห่งปัญญาของบุคคลใด ดว้ ยอาการอยา่ งนี้; บคุ คลนเี้ ราเรยี กว่า ธัมมานสุ ารี หยั่งลงสสู่ ัมมตั ตนิยาม (ระบบแห่งความถูกต้อง) หยงั่ ลงสสู่ ปั ปุรสิ ภูมิ (ภูมแิ หง่ สตั บุรุษ) ลว่ งพน้ บถุ ชุ นภมู ิ ไมอ่ าจทจ่ี ะกระท�ำ กรรม อนั กระท�ำ แลว้ จะเข้าถึงนรก  กำ�เนิดเดรัจฉาน  หรือเปรตวิสัย  และ ไมค่ วรทจ่ี ะท�ำ กาละกอ่ นแตท่ จ่ี ะท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ โสดาปตั ตผิ ล. ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 5 ๙ โสดาปตั ตผิ ล ภกิ ษุท้งั หลาย ! บุคคลใดย่อมรู้ ย่อมเห็นซึ่ง ธรรม ๖ อยา่ งเหลา่ น้ี ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี (ตามทก่ี ลา่ วแลว้ ในโสดาปตั ตมิ รรค ๒ จ�ำ พวก มกี ารเหน็ ความไมเ่ ทย่ี งเปน็ ตน้ ); บุคคลนี้เราเรียกว่า โสดาบัน (ผู้ถงึ แลว้ ซ่งึ กระแส) ผมู้ อี นั ไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี งแทต้ อ่ พระนพิ พาน มีการตรสั รู้พร้อมเป็นเบือ้ งหนา้ . ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๗๘/๔๖๙. สตู รขา้ งบนน้ี (ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๗๘/๔๖๙.) ทรงแสดงอารมณ์ แหง่ อนจิ จงั เปน็ ตน้ ดว้ ยธรรม ๖ อยา่ ง คอื อายตนะภายในหก; ในสูตร ถัดไปทรงแสดงอารมณ์นั้น ด้วยอายตนะภายนอกหก คือ รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็มี, แสดงด้วยวิญญาณหก ก็มี, ดว้ ยสมั ผสั หก ก็มี, ดว้ ยเวทนาหก ก็ม,ี ด้วยสญั ญาหก กม็ ,ี ด้วย สญั เจตนาหก กม็ ี, ดว้ ยตัณหาหก กม็ ,ี ดว้ ยธาตุหก กม็ ,ี และดว้ ย ขนั ธ์หา้ กม็ ;ี ทรงแสดงไวด้ ว้ ยหลักการปฏิบัติอย่างเดียวกนั .

2​ 6 พุทธวจน สารบี ตุ ร ! อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค นน้ี ัน่ แหละ ชอ่ื วา่ กระแส ได้แก่  สัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ สมั มาสมาธิ. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๓๔-๔๓๕/๑๔๓๑.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 7 ๑๐ พระโสดาบนั เปน็ ผบู้ รบิ รู ณใ์ นศลี (ปาฏโิ มกข)์ ไดพ้ อประมาณในสมาธแิ ละปญั ญา ภิกษทุ ้งั หลาย ! สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทน้ี ยอ่ มมาสอู่ ทุ เทส (การยกขึน้ แสดงในทา่ มกลางสงฆ์) ทุกกึง่ แห่งเดือนตามลำ�ดับ อันกุลบุตรผู้ปรารถนาประโยชน์ พากนั ศกึ ษาอย่ใู นสิกขาบทเหล่านนั้ . ภกิ ษุทงั้ หลาย ! สิกขาสามอย่างเหล่าน้ีมีอยู่ อนั เปน็ ทีป่ ระชมุ ลงของสิกขาบททงั้ ปวงนัน้ . สิกขาสามอยา่ งนั้นเปน็ อย่างไรเลา่ ? คอื :- อธสิ ลี สกิ ขา อธิจติ ตสกิ ขา อธิปญั ญาสกิ ขา ภกิ ษุท้ังหลาย ! เหล่าน้ีแล  สิกขาสามอย่าง  อันเปน็ ทปี่ ระชมุ ลงแหง่ สิกขาบทท้งั ปวงนนั้ .

2​ 8 พุทธวจน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เปน็ ผู้ ท�ำ ใหบ้ รบิ รู ณ์ ในศลี   ท�ำ พอประมาณในสมาธ  ท�ำ พอประมาณในปญั ญา. เธอยงั ลว่ งสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย1บา้ ง และตอ้ งออกจากอาบตั ิ เลก็ นอ้ ยเหลา่ นน้ั บา้ ง. ข้อนน้ั เพราะเหตุไรเลา่ ? ขอ้ นน้ั เพราะเหตวุ า่ ไมม่ ผี รู้ ใู้ ดๆ กลา่ วความอาภพั ต่อการบรรลุโลกุตตรธรรม จักเกิดขึ้น เพราะเหตุสักว่า การลว่ งสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย และการตอ้ งออกจากอาบตั เิ ลก็ นอ้ ย เหลา่ น.้ี ส่วนสิกขาบทเหล่าใดที่เป็นเบื้องต้นแห่ง พรหมจรรย2์ ทเ่ี หมาะสมแกพ่ รหมจรรย,์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ยง่ั ยนื มศี ลี มน่ั คงในสกิ ขาบทเหลา่ นน้ั สมาทานศกึ ษา อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย. 1. สิกขาบทเลก็ นอ้ ย คอื อภสิ มาจาริกาสิกขา เป็นสกิ ขาบทที่บญั ญัติเพ่ือ ให้เกิดความเลื่อมใสแก่คนที่ยังไม่เลื่อมใส และเลื่อมใสยิ่งเกิดขึ้นแก่คนท่ี เลื่อมใสแลว้ . 2. สกิ ขาบทเหล่าใดทีเ่ ปน็ เบื้องตน้ แหง่ พรหมจรรย์ คอื สกิ ขาบทปาฏิโมกข์.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 2​ 9 ภกิ ษนุ น้ั , เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม เป็นโสดาบัน  เป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา  เป็น ผเู้ ทยี่ งตอ่ พระนพิ พาน  มกี ารตรสั รพู้ รอ้ มในเบอื้ งหน้า. ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗-๒๙๙/๕๒๖.

3​ 0 พุทธวจน ๑๑ พระโสดาบนั ละสงั โยชนไ์ ดส้ ามขอ้ มสี ามจ�ำ พวก ภกิ ษนุ น้ั , เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม1 เป็นผู้สัตตักขัตตุปรมะ  ยังต้องท่องเที่ยวไปในภพ แห่งเทวดาและมนุษย์อีกเจ็ดครั้ง  เป็นอย่างมาก  แล้ว ย่อมกระทำ�ที่สุดแห่งทุกข์ได้. (หรอื วา่ ) ภกิ ษนุ น้ั , เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม  เปน็ ผโู้ กลงั โกละ  จกั ตอ้ งทอ่ งเทย่ี วไปสสู่ กลุ อกี สองหรอื สามครง้ั   แลว้ ยอ่ มกระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ (หรอื วา่ ) ภกิ ษุนั้น, เพราะความส้ินไปรอบแหง่ สงั โยชนส์ าม เปน็ ผเู้ ปน็ เอกพชี ี คอื จกั เกดิ ในภพแหง่ มนษุ ย์ อกี หนเดยี วเทา่ นน้ั   แลว้ ยอ่ มกระท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด.้ ตกิ . อํ. ๒๐/๒๙๙-๓๐๑/๕๒๗. 1. สงั โยชน์ คอื เครอ่ื งรอ้ ยรดั จติ ๑๐ ประการ; ดใู นธรรมะแวดลอ้ มหวั ขอ้ ท่ี ๓๐ หนา้ ๑๒๗.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 3​ 1 ๑๒ ละสงั โยชนส์ ามและกรรมทพ่ี าไปอบาย คอื โสดาบนั ภิกษทุ ั้งหลาย ! ภิกษุไม่ละธรรม ๖ อย่าง แล้ว  เป็นผู้ไม่ควรเพื่อกระทำ�ให้แจ้งซึ่งทิฏฐิสัมปทา (ความเป็นโสดาบัน). ไม่ละธรรม ๖ อยา่ ง เหล่าไหนเล่า ? ไม่ละธรรม ๖ อย่าง เหลา่ นี้ คอื :- ไมล่ ะ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน); ไม่ละ วิจิกิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข์); ไม่ละ สลี ัพพตปรามาส (การถอื เอาศลี และพรตผดิ ความ มุ่งหมายทแี่ ทจ้ รงิ ); ไม่ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย); ไม่ละ อปายคมนยิ โทสะ (โทสะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย); ไม่ละ อปายคมนิยโมหะ (โมหะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย).

3​ 2 พุทธวจน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภกิ ษไุ มล่ ะธรรม ๖ อยา่ ง เหลา่ นแ้ี ล เป็นผูไ้ ม่ควรกระท�ำ ใหแ้ จง้ ซ่งึ ทิฏฐิสัมปทา. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษุละธรรม  ๖  อย่างแล้ว เปน็ ผู้ควรกระทำ�ใหแ้ จ้งซ่ึงทฏิ ฐสิ มั ปทา. ละธรรม ๖ อยา่ ง เหลา่ ไหนเล่า ? ละธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้ คอื :- ละ สกั กายทิฏฐิ (ความเห็นผิดวา่ ขนั ธ์ ๕ เป็นตวั ตน); ละ วจิ กิ ิจฉา (ความลังเลในปฏิปทาทางดับทุกข์); ละ สีลพั พตปรามาส (การถอื เอาศลี และพรต ผดิ ความม่งุ หมายที่แทจ้ รงิ ); ละ อปายคมนิยราคะ (ราคะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย); ละ อปายคมนยิ โทสะ (โทสะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย); ละ อปายคมนยิ โมหะ (โมหะทค่ี วรแกก่ ารถงึ ซง่ึ อบาย). ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษลุ ะธรรม  ๖  อย่างเหลา่ นแ้ี ล้ว เป็นผคู้ วรกระทำ�ใหแ้ จง้ ซึ่งทิฏฐิสัมปทา ดงั นแี้ ล. ฉกฺก. อ.ํ ๒๒/๔๘๘/๓๖๐.

ฉบับ ๒ คู่มือโสดาบัน 3​ 3 ๑๓ พระโสดาบนั มญี าณหยง่ั รเู้ หตใุ หเ้ กดิ ขน้ึ และเหตใุ หด้ บั ไป ของโลก ภกิ ษุท้งั หลาย ! อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ ยอ่ มไมม่ ี ความสงสยั อย่างน้ี วา่ :- “เพราะอะไรมี อะไรจึงมีหนอ; เพราะอะไรเกิดขึ้น อะไรจงึ เกดิ ขึ้น : เพราะอะไรม ี นามรปู จงึ มี; เพราะอะไรมี สฬายตนะจงึ มี; เพราะอะไรมี ผสั สะจงึ ม;ี เพราะอะไรมี เวทนาจงึ มี; เพราะอะไรมี ตณั หาจึงม;ี เพราะอะไรมี อุปาทานจงึ มี; เพราะอะไรมี ภพจึงม;ี เพราะอะไรมี ชาตจิ ึงมี; เพราะอะไรมี ชรามรณะจึงมี” ดงั นี.้

3​ 4 พุทธวจน ภิกษุทง้ั หลาย ! โดยทแ่ี ท้ อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ ย่อมมญี าณหยง่ั รใู้ นเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชอ่ื ผู้อนื่ ว่า :- “เพราะสิ่งน้ีม ี สิ่งนจ้ี ึงม;ี เพราะสิ่งนเ้ี กดิ ขน้ึ สง่ิ น้จี ึงเกดิ ขน้ึ ; เพราะวญิ ญาณมี นามรูปจงึ ม;ี เพราะนามรปู มี สฬายตนะจึงม;ี เพราะสฬายตนะมี ผัสสะจงึ มี; เพราะผสั สะมี เวทนาจึงมี; เพราะเวทนามี ตณั หาจงึ ม;ี เพราะตัณหามี อุปาทานจงึ ม;ี เพราะอุปาทานมี ภพจงึ มี; เพราะภพมี ชาตจิ ึงม;ี เพราะชาตมิ ี ชรามรณะจึงม”ี ดงั นี้. อรยิ สาวกน้ัน ย่อมรปู้ ระจกั ษ์อย่างน้ี ว่า “โลกน้ยี ่อมเกิดขน้ึ ด้วยอาการอยา่ งน”้ี ดังนี้.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook