Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อานาปานสติ)

พุทธวจน (อานาปานสติ)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-07-17 02:26:06

Description: พุทธวจน (อานาปานสติ)

Keywords: ธรรมะ,พุทธวจน,อานาปานสติ

Search

Read the Text Version

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 8​ 3 ๑๗ อานาปานสติ : เป็นสขุ วหิ าร ระงับไดซ้ ง่ึ อกศุ ล (ทรงปรารภเหตทุ ่ี ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดฆ้ า่ ตวั ตายบา้ ง ฆ่ากนั และกนั บ้าง เน่ืองจากเกิดความอดึ อดั ระอา เกลียด กายของตน เพราะการปฏิบัตอิ สุภภาวนา จงึ ไดท้ รงแสดง อานาปานสตสิ มาธแิ ก่ภกิ ษเุ หลา่ น้ัน) ภิกษทุ งั้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิน้ีแล อัน บุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นของรำ�งับ เปน็ ของประณตี เปน็ ของเยน็ เปน็ สขุ วหิ าร และยอ่ มยงั อกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาป อนั เกดิ ขนึ้ แลว้ และเกดิ ขนึ้ แลว้ ให้อนั ตรธานไป ใหร้ ำ�งบั ไป โดยควรแก่ฐานะ. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เปรียบเหมือนฝุ่นธุลีฟุ้งข้ึน แห่งเดือนสุดท้ายของฤดูร้อน ฝนหนักที่ผิดฤดูตกลงมา ย่อมทำ�ฝุ่นธุลีเหล่านั้นให้อันตรธานไป ให้รำ�งับไปได้ โดยควรแก่ฐานะ, ขอ้ น้ฉี ันใด;

8​ 4 พุทธวจน ภิกษทุ ้ังหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ กเ็ ปน็ ของระงบั เปน็ ของประณตี เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอัน เป็นบาป ท่ีเกิดขึ้นแล้วและเกิดขึ้นแล้ว1 ให้อันตรธานไป ใหร้ �ำ งบั ไปได้ โดยควรแก่ฐานะได้ ฉนั นั้น. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ก็อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แล้ว ทำ�ใหม้ ากแล้ว อย่างไรเลา่ ? ทเ่ี ป็นของร�ำ งบั เป็นของประณีต เป็นของเย็น เป็นสุขวิหาร และย่อมยัง อกุศลธรรม อันเป็นบาปท่ีเกิดขึ้นแล้ว และเกิดข้ึนแล้ว ใหอ้ นั ตรธานไป ให้ร�ำ งับไปได้ โดยควรแกฐ่ านะได้. ภิกษุทั้งหลาย ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี ไปแลว้ สปู่ า่ กต็ าม ไปแล้วสู่โคนไม้ก็ตาม ไปแล้วสู่เรือนว่างก็ตาม น่ังคู้ขา เข้ามาโดยรอบแล้ว ตั้งกายตรง ดำ�รงสติมั่น; ภิกษุนั้น มีสตหิ ายใจเขา้ มีสติหายใจออก : เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมอ่ื หายใจออกยาว ก็รู้ชดั วา่ เราหายใจออกยาว; 1 บาลี : อปุ ฺปนฺนปุ นเฺ น

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 8​ 5 เมื่อหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เม่อื หายใจออกส้ัน ก็รชู้ ดั วา่ เราหายใจออกส้ัน; (แต่น้ีได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซ่ึงเหมือนในหน้า ๑–๔ ทกุ ประการ). ภกิ ษุทัง้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อนั บุคคล เจรญิ แล้ว ทำ�ใหม้ ากแล้ว ดว้ ยอาการอย่างนี้ ย่อมเป็น ของรำ�งับ เป็นของประณตี เป็นของเย็น เป็นสขุ วิหาร และย่อมยังอกุศลธรรมอันเป็นบาป ที่เกิดข้ึนแล้ว และเกิดขึ้นแล้ว ให้อันตรธานไป ให้รำ�งับไปได้ โดยควรแกฐ่ านะ ดังน้ี แล. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๐๖/๑๓๕๒-๑๓๕๔. มหา. ว.ิ ๑/๑๒๘-๑๓๑/๑๗๖-๑๗๘.

8​ 6 พุทธวจน ๑๘ อานาปานสติ : สามารถก�ำ จัด บาปอกศุ ลไดท้ กุ ทศิ ทาง อานนท์ ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ก็อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำ�ให้มาก แล้วอย่างไร จงึ มีผลใหญ่ มีอานสิ งสใ์ หญ่ ? อานนท์ ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รง สตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว ก็รูช้ ัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เม่ือหายใจออกสั้น ก็รชู้ ดั วา่ เราหายใจออกสัน้ ; (แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔ ทุกประการ).

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 8​ 7 อานนท์ ! อานาปานสตสิ มาธิ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญ.่ อานนท์ ! สมัยใด ภกิ ษุ เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เม่อื หายใจออกยาว ก็รชู้ ัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เม่อื หายใจออกส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกส้นั ; ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซ่ึงกายทั้งปวง หายใจเข้า”, วา่ “เราเป็นผู้รพู้ ร้อมเฉพาะ ซึง่ กายทงั้ ปวง หายใจออก”; ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ กายสงั ขาร ให้รำ�งบั หายใจเข้า”, ว่า “เราเปน็ ผทู้ �ำ กายสังขารใหร้ ำ�งับ หายใจออก”; อานนท์ ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ หน็ กาย ในกายอย่เู ป็นประจำ� เป็นผ้มู ีความเพียรเผากิเลส มี สมั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ อานนท์ ! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลม หายใจออก วา่ เปน็ กายอนั หน่งึ ๆ ในกายท้ังหลาย.

8​ 8 พุทธวจน อานนท์ ! เพราะเหตุน้ันในเรื่องน้ี ภิกษุนั้น ยอ่ มชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ กายในกายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี ร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและโทมนัส ในโลกออกเสยี ได.้ อานนท์ ! สมัยใด ภิกษุ ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซึ่งปีติ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซ่ึงปีติ หายใจออก”; ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”; ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะ ซ่งึ จิตตสงั ขาร หายใจเข้า”, ว่า “เราเปน็ ผู้ร้พู รอ้ มเฉพาะ ซงึ่ จิตตสงั ขาร หายใจออก”; ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� จิตตสังขารให้รำ�งับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ� จิตตสังขารใหร้ �ำ งับ หายใจออก”;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 8​ 9 อานนท์ ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ เวทนา ในเวทนาทง้ั หลายอยู่เปน็ ประจำ� มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสมั ปชัญญะ มีสติ น�ำ อภิชฌาและโทมนสั ในโลกออก เสียได้. อานนท์ ! เรายอ่ มกลา่ ววา่ การท�ำ ในใจเปน็ อยา่ งดี ตอ่ ลมหายใจเขา้ และลมหายใจออก วา่ เปน็ เวทนาอนั หนง่ึ ๆ ในเวทนาทง้ั หลาย. อานนท์ ! เพราะเหตุนั้นในเร่ืองนี้ ภิกษุนั้น ยอ่ มชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจำ� มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสมั ปชัญญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌา และโทมนสั ในโลกออกเสียได้. อานนท์ ! สมยั ใด ภิกษุ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซง่ึ จติ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ จติ หายใจออก”; ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ ปราโมทยย์ ง่ิ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ราโมทยย์ ง่ิ หายใจออก”;

9​ 0 พุทธวจน ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหต้ ง้ั มน่ั หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหต้ ง้ั มน่ั หายใจออก”; ยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ลอ่ ย อยู่ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ลอ่ ยอยู่หายใจออก”; อานนท์ ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ อานนท์ ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเป็นส่งิ ท่ี มไี ด้แก่บุคคลผมู้ สี ตอิ ันลืมหลงแล้ว ไม่มีสมั ปชญั ญะ. อานนท์ ! เพราะเหตนุ นั้ ในเรื่องนี้ ภิกษุนน้ั ย่อม ชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ อานนท์ ! สมยั ใด ภกิ ษุ เธอยอ่ มทำ�การฝกึ หัดศึกษาวา่ “เราเป็นผู้เห็นซ่ึง ความไม่เท่ียงอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผเู้ หน็ ซึ่งความไม่เท่ยี งอยู่เป็นประจ�ำ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝกึ หัดศกึ ษาว่า “เราเป็นผู้เหน็ ซ่งึ ความจางคลายอยู่เป็นประจำ� หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผเู้ หน็ ซ่ึงความจางคลายอยูเ่ ป็นประจ�ำ หายใจออก”;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 9​ 1 เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผเู้ ห็นซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผ้เู หน็ ซ่งึ ความดบั ไมเ่ หลืออยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาวา่ “เราเป็นผ้เู ห็นซึง่ ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผูเ้ หน็ ซ่ึงความสลัดคนื อยเู่ ป็นประจ�ำ หายใจออก”; อานนท์ ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ น้ั ชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ ธรรม ในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเผากิเลส มสี ัมปชญั ญะ มสี ติ นำ�อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออก เสยี ได.้ อานนท์ ! ภิกษุนั้น เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็น อยา่ งดแี ลว้ เพราะเธอเหน็ การละอภชิ ฌาและโทมนสั ทง้ั หลาย ของเธอนนั้ ดว้ ยปญั ญา. อานนท์ ! เพราะเหตุน้ันในเรื่องนี้ ภิกษุน้ัน ยอ่ มชอ่ื วา่ เปน็ ผเู้ หน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจำ� มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกออกเสียได.้

9​ 2 พุทธวจน อานนท์ ! เปรียบเหมือนกองฝุ่นใหญ่มีอยู่ท่ี หนทางใหญ่ ๔ แพรง่ ถา้ เกวยี นหรอื รถมาจากทศิ ตะวนั ออก กบ็ ดขยก้ี องฝนุ่ นน้ั ถา้ เกวยี นหรอื รถมาจากทางทศิ ตะวนั ตก ก็บดขย้ีกองฝุ่นน้ัน ถ้าเกวียนหรือรถมาจากทางทิศเหนือ ก็บดขยี้กองฝุ่นน้ัน ถ้าเกวียนหรือรถมาจากทางทิศใต้ กบ็ ดขย้กี องฝุน่ นน้ั , นีฉ้ ันใด; อานนท์ ! เมื่อบุคคลมีปกติเห็นกายในกายอยู่ เป็นประจำ� ย่อมกำ�จัดบาปอกุศลธรรมท้ังหลายโดยแท้, เมอ่ื บคุ คลมปี กตเิ หน็ เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ ย่อมกำ�จัดบาปอกุศลธรรมท้ังหลายโดยแท้, เม่ือบุคคล มปี กตเิ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ ยอ่ มก�ำ จดั บาปอกศุ ลธรรม ทง้ั หลายโดยแท,้ เมอ่ื บคุ คลมปี กตเิ หน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลาย อยเู่ ปน็ ประจ�ำ ยอ่ มก�ำ จดั บาปอกศุ ลธรรมทง้ั หลายโดยแท,้ ฉนั น้ันเหมอื นกนั . มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๐๘/๑๓๕๗.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 9​ 3 ๑๙ อานาปานสติ : ละไดเ้ สยี ซง่ึ ความฟงุ้ ซา่ น ภิกษุทง้ั หลาย ! ธรรม ๓ ประการนี้ ๓ ประการ อย่างไรเล่า คือ ความเป็นผู้ว่ายาก ๑ ความเป็นผู้มี มิตรชว่ั ๑ ความฟุง้ ซ่านแหง่ จติ ๑. ภิกษุทั้งหลาย ! นแ้ี ลธรรม ๓ ประการ. ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ธรรม ๓ ประการ อันภิกษุพึง ทำ�ให้เจริญเพ่ือละธรรม ๓ ประการเหล่านี้ ๓ ประการ อยา่ งไรเลา่ ? คือ :- (๑)  ความเป็นผู้ว่าง่าย อันภิกษุพึงให้เจริญ เพือ่ ละความเป็นผ้วู า่ ยาก; (๒)  ความเป็นผู้มีมิตรดี อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อละความเป็นผู้มีมติ รช่วั ; (๓)  อานาปานสติ อันภิกษุพึงให้เจริญ เพอื่ ละความฟุง้ ซ่านแห่งจิต. ภกิ ษุทง้ั หลาย ! นแี้ ลธรรม ๓ ประการ อนั ภิกษุ พึงท�ำ ใหเ้ จรญิ เพอ่ื ละธรรม ๓ ประการเหลา่ นัน้ . ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๘/๓๘๖.

9​ 4 พุทธวจน

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 9​ 5 ๒๐ อานาปานสติ : ละเสยี ไดซ้ ง่ึ ความคบั แคน้ ภกิ ษุท้งั หลาย ! เธอทง้ั หลาย (๑)  จงเป็นผู้พิจารณาเห็นอารมณ์ว่าไม่งาม ในกายอยู่; (๒)  จงเข้าไปต้ังอานาปานสติไว้เฉพาะหน้า ในภายใน; (๓)  จงพิจารณาเห็นความไม่เท่ียงในสังขาร ท้ังปวงอย่เู ถิด. ภิกษทุ ั้งหลาย ! (๑)  เมื่อเธอทั้งหลายพิจารณาเห็นอารมณ์ว่า ไม่งามในกายอยู่ ย่อมละราคานุสัยในเพราะความเป็น ธาตุงามได้; (๒)  เม่ือเธอทั้งหลายเข้าไปต้ังอานาปานสติไว้ เฉพาะหน้าในภายใน ธรรมเป็นท่ีมานอนแห่งวิตก ทงั้ หลาย (มิจฉาวติ ก) ในภายนอก อนั เปน็ ไปในฝักฝ่าย แห่งความคบั แค้น ย่อมไมม่ ี;

9​ 6 พุทธวจน (๓)  เมอ่ื เธอทงั้ หลายพจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ในสงั ขารทัง้ ปวงอยู่ ยอ่ มละอวชิ ชาได้ วชิ ชาย่อมเกดิ ขึ้น. ภิกษุผู้พิจารณาเห็นอารมณ์ว่าไม่งามในกาย มสี ตเิ ฉพาะในลมหายใจ มคี วามเพยี รทุกเมอื่ พิจารณา เหน็ ซึ่งนพิ พาน อันเป็นที่ระงับสังขารทงั้ ปวง ภกิ ษุน้ันแล ผู้เห็นโดยชอบ พยายามอยู่ ย่อมน้อมไปใน นิพพาน อนั เป็นท่รี ะงับแหง่ สังขารทงั้ ปวง ภิกษุน้นั แล ผอู้ ยจู่ บอภญิ ญา สงบระงบั ลว่ งโยคะเสยี ไดแ้ ลว้ ช่อื ว่าเป็นมนุ ี. อติ วิ ุ. ขุ. ๒๕/๒๙๒–๒๙๓/๒๖๔.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 9​ 7 ๒๑ อานาปานสติ : วิหารธรรม ของพระอริยเจ้า ภิกษทุ ั้งหลาย ! ถา้ พวกปรพิ าชกเดยี รถยี ล์ ทั ธอิ น่ื จะพึงถามเธอท้ังหลาย อยา่ งน้ีวา่ “ท่านมีผู้มีอายุ ! พระสมณโคดม ทรงอยู่จำ�พรรษา ส่วนมาก ด้วยวิหารธรรมไหนเลา่ ?” ดังนี.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื พวกเธอถกู ถามอยา่ งนแ้ี ลว้ พงึ ตอบแกพ่ วกปรพิ าชกเดยี รถยี ล์ ทั ธอิ น่ื เหลา่ นน้ั อยา่ งนว้ี า่ “ท่านผู้มีอายุ ! พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่ ตลอดพรรษากาลเป็นอันมาก ด้วยวิหารธรรมคือ อานาปานสติสมาธิ แล” ดังนี.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ในกรณนี ้ี เราเปน็ ผมู้ สี ติ หายใจเขา้ , มีสติหายใจออก; เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมือ่ หายใจออกยาว กร็ ้ชู ัดว่าเราหายใจออกยาว;

9​ 8 พุทธวจน เม่ือหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เม่ือหายใจออกสน้ั ก็รู้ชดั วา่ เราหายใจออกสั้น; (แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔ ทุกประการ). ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เมอ่ื ใครผใู้ ดจะกลา่ วสง่ิ ใดใหถ้ กู ตอ้ งชอบธรรม วา่ เปน็ อรยิ วหิ ารกด็ ี วา่ เปน็ พรหมวหิ ารกด็ ี วา่ เปน็ ตถาคตวหิ ารกด็ ี เขาพงึ กลา่ วอานาปานสตสิ มาธิ นี้แหละ ว่าเป็นอริยวิหาร ว่าเป็นพรหมวิหาร ว่าเป็น ตถาคตวหิ าร. ภกิ ษุทัง้ หลาย ! ภกิ ษเุ หลา่ ใดยงั เปน็ เสขะ ยงั ไมล่ ุ ถงึ ธรรมทต่ี อ้ งประสงคแ์ หง่ ใจ ปรารถนาอยซู่ ง่ึ โยคเขมธรรม อนั ไมม่ อี ะไรยง่ิ กวา่ ; ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั เมอ่ื เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ าก แลว้ ซง่ึ อานาปานสตสิ มาธิ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความสน้ิ ไป แหง่ อาสวะทง้ั หลาย. ส่วนภิกษุทั้งหลายเหล่าใด เป็นอรหันต์ สิ้น อาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว มีสิ่งที่ต้องทำ� อันตนท�ำ เสร็จแล้ว มภี าระอันปลงลงแล้ว มปี ระโยชน์ตน อันลุถึงแล้ว มีสัญโญชน์ในภพท้ังหลายสิ้นรอบแล้ว เปน็ ผู้หลุดพ้นแลว้ เพราะรูโ้ ดยชอบ;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 9​ 9 ภิกษุท้ังหลายเหล่าน้ัน เมื่อเจริญทำ�ให้มากแล้ว ซึ่งอานาปานสตสิ มาธิ ยอ่ มเปน็ สขุ วิหารในทิฏฐธรรมน้ี ดว้ ย เพอ่ื ความสมบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะดว้ ย. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ฉะนั้น เม่ือใครจะกลา่ วสิง่ ใดให้ ถกู ตอ้ งชอบธรรม วา่ เปน็ อรยิ วหิ ารกด็ ี วา่ เปน็ พรหมวหิ าร ก็ดี ว่าเปน็ ตถาคตวิหารก็ดี เขาพึงกล่าว อานาปานสติสมาธินี้แหละ ว่าเป็น อรยิ วหิ าร วา่ เปน็ พรหมวหิ าร วา่ เปน็ ตถาคตวหิ าร ดงั น.้ี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๑๒-๔๒๓/๑๓๖๔-๑๓๖๘.

1​ 00 พุทธวจน ๒๒ เจริญอานาปานสติ : ความหวน่ั ไหวโยกโคลงแหง่ กายและจติ ยอ่ มมีขนึ้ ไมไ่ ด้ ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตร เหน็ พระมหากัปปินะ ผ้มู ีกายไมโ่ ยกโคลง แล้วไดต้ รัสแก่ ภกิ ษุทั้งหลายว่า :- ภกิ ษุทงั้ หลาย ! พวกเธอเหน็ ความหวน่ั ไหว หรอื ความโยกโคลงแหง่ กายของมหากัปปนิ ะบ้างหรือไม่ ? “ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ ! เวลาใดที่ข้าพระองค์ทงั้ หลาย เห็นท่านผู้มีอายุน่ังในท่ามกลางสงฆ์ก็ดี น่ังในท่ีลับคนเดียวก็ดี ในเวลานั้นๆ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เห็นความหว่ันไหว หรือ ความโยกโคลงแห่งกายของทา่ นผูม้ อี ายรุ ูปนั้นเลย พระเจา้ ข้า !” ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ความหวนั่ ไหวโยกโคลงแหง่ กาย ก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีข้ึนไม่ได้ เพราะการเจรญิ ท�ำ ใหม้ ากซง่ึ สมาธใิ ด; ภกิ ษมุ หากปั ปนิ ะนน้ั เปน็ ผไู้ ดต้ ามปรารถนา ไดไ้ มย่ าก ไดไ้ มล่ ำ�บาก ซง่ึ สมาธนิ น้ั .

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 01 ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ความหวนั่ ไหวโยกโคลงแหง่ กาย ก็ตาม ความหว่ันไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม มีข้ึนไม่ได้ เพราะการเจริญท�ำ ใหม้ ากซ่ึงสมาธเิ หล่าไหนเลา่ ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ความหวน่ั ไหวโยกโคลงแหง่ กาย กต็ าม ความหวน่ั ไหวโยกโคลงแหง่ จติ กต็ าม ยอ่ มมไี มไ่ ด้ เพราะการเจรญิ ท�ำ ใหม้ ากซง่ึ อานาปานสตสิ มาธ.ิ ภิกษุทั้งหลาย ! เมอ่ื อานาปานสตสิ มาธิ อนั บคุ คล เจรญิ ท�ำ ให้มากแล้ว อย่างไรเลา่ ความหวนั่ ไหวโยกโคลง แห่งกายก็ตาม ความหว่ันไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม จึงไม่มี ? ภกิ ษุท้ังหลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เม่ือหายใจออกยาว ก็รู้ชัดวา่ เราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน, เมอ่ื หายใจออกสนั้ กร็ ู้ชดั วา่ เราหายใจออกสั้น; (แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔ ทุกประการ).

1​ 02 พุทธวจน ภกิ ษุทัง้ หลาย ! เมอ่ื อานาปานสตสิ มาธิอนั บคุ คล เจรญิ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ความหวนั่ ไหวโยกโคลง แห่งกายก็ตาม ความหวั่นไหวโยกโคลงแห่งจิตก็ตาม ยอ่ มมีไมไ่ ด้ ดงั นี.้ มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๓๙๙-๔๐๐/๑๓๒๒-๑๓๒๖.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 03 ๒๓ เจรญิ อานาปานสติ เปน็ เหตใุ หร้ ลู้ มหายใจ อันมเี ป็นครงั้ สุดท้ายก่อนเสยี ชีวิต ราหุล ! เธอจงเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด เพราะอานาปานสตทิ บ่ี คุ คลเจรญิ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ ม มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ก็อานาปานสติ อันบคุ คลเจริญ แล้วอย่างไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานสิ งส์ใหญ่ ? ราหุล ! ในกรณนี ้ีภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสติ เฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เม่ือหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน, เมือ่ หายใจออกสน้ั กร็ ชู้ ัดวา่ เราหายใจออกสัน้ ; (แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔ ทุกประการ).

1​ 04 พุทธวจน ราหุล ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ� ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนี้แล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งส์ใหญ่. ราหุล ! เม่ือบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากซ่ึง อานาปานสตอิ ย่างนีแ้ ล้ว ลมอัสสาสะ (ลมหายใจเขา้ ) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) อันจะมเี ปน็ ครง้ั สุดท้าย เมอ่ื จะดบั จติ นน้ั จะเปน็ สิง่ ท่ีเขารแู้ จง้ แลว้ ดบั ไป หาใช่เปน็ ส่งิ ทเี่ ขาไม่รแู้ จง้ ไม่ ดงั น.้ี ม. ม. ๑๓/๑๔๐-๑๔๒/๑๔๖.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 05 ๒๔ ธรรมเป็นเครือ่ งถอนอสั ม๎ ิมานะ ในปัจจบุ ัน ภิกษุท้ังหลาย ! น้เี ปน็ สงิ่ ทห่ี วงั ได้ ส�ำ หรบั ภกิ ษุ ผมู้ มี ติ รดี (กลยฺ าณมติ ตฺ ) มสี หายดี (กลยฺ าณสหาย) มพี วกพอ้ งดี (กลยฺ าณสมปฺ วงกฺ ) คอื จกั เปน็ ผมู้ ศี ลี ส�ำ รวมดว้ ยการส�ำ รวม ในปาตโิ มกข์ ถงึ พรอ้ มด้วยมารยาทและโคจร มปี กติเหน็ เปน็ ภยั ในโทษทง้ั หลาย แมม้ ปี ระมาณนอ้ ย สมาทานศกึ ษา ในสกิ ขาบททงั้ หลายอยู;่ ภกิ ษุท้ังหลาย ! นี้เป็นส่ิงท่ีหวังได้ สำ�หรับภิกษุ ผมู้ มี ติ รดี มสี หายดี มพี วกพอ้ งด;ี กลา่ วคอื กถาเปน็ เครอ่ื ง ขดู เกลากเิ ลสอยา่ งยง่ิ เปน็ ธรรมเครอ่ื งสบายแกก่ ารเปดิ โลง่ แหง่ จติ ไดแ้ ก่ อปั ปจิ ฉกถา (เรอ่ื งปรารถนานอ้ ย) สนั ตฏุ ฐกิ ถา (เรื่องสนั โดษ) ปวเิ วกกถา (เรอ่ื งความสงัด) อสังสคั คกถา (เรอ่ื งไมค่ ลกุ คล)ี วริ ยิ ารมั ภกถา (เรอ่ื งมคี วามเพยี ร) สลี กถา (เรอ่ื งศลี ) สมาธกิ ถา (เรอ่ื งสมาธ)ิ ปญั ญากถา (เรอ่ื งปญั ญา)

1​ 06 พุทธวจน วิมุตติกถา (เรื่องวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา (เร่ือง วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ), เธอ จกั เปน็ ผไู้ ดโ้ ดยงา่ ย ไดโ้ ดยไมย่ าก ไม่ล�ำ บาก ซึง่ กถาเชน่ น;้ี ภิกษุท้งั หลาย ! น้ีเป็นส่ิงที่หวังได้ สำ�หรับภิกษุ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีพวกพ้องดี; กล่าวคือ จักเป็นผู้มี ความเพยี รอนั ปรารภแลว้ เพอ่ื การละซง่ึ อกศุ ลธรรมทง้ั หลาย เพ่ือการถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย มีกำ�ลัง (จิต) มีความบากบ่นั ม่ันคง ไมท่ อดธรุ ะในกุศลธรรมท้งั หลาย. ภกิ ษุท้งั หลาย ! น้ีเป็นส่ิงที่หวังได้ สำ�หรับภิกษุ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีพวกพ้องดี; กล่าวคือ จักเป็นผู้มี ปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเคร่ืองให้รู้ซึ่งความเกิด และความดับ (อุทยตฺถคามินี) อันเป็นปัญญาท่ีเป็นอริยะ เป็นเครอื่ งเจาะแทงกเิ ลส ใหถ้ ึงซง่ึ ความส้นิ ทุกข์โดยชอบ. ภิกษทุ ้งั หลาย ! ภกิ ษผุ ตู้ งั้ อยใู่ นธรรม ๕ ประการ เหลา่ นแ้ี ล้ว พึงเจริญธรรม ๔ ประการใหย้ ิ่งขึ้นไป คือ :-

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 07 เจรญิ อสุภะ เพอื่ ละ ราคะ; เจรญิ เมตตา เพือ่ ละ พยาบาท; เจริญ อานาปานสติ เพ่ือ ตดั เสียซ่ึง วติ ก; เจรญิ อนิจจสญั ญา เพือ่ ถอน อัสม๎ ิมานะ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เมือ่ ภกิ ษุมีอนจิ จสญั ญา อนตั ตสญั ญา ย่อมตง้ั มั่น; ผู้มีอนัตตสญั ญา ยอ่ มถึงการถอนเสยี ไดซ้ ่งึ อสั ๎มิมานะ คอื นพิ พาน ในทฏิ ฐธรรมเทยี ว. นวก. อ.ํ ๒๓/๓๖๓/๒๐๕.

1​ 08 พุทธวจน

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 09 ๒๕ วิธกี ารบม่ วิมตุ ตใิ หถ้ ึงทสี่ ดุ เมฆยิ ะ ! ธรรมท้ังหลาย ๕ ประการ เป็นไปเพื่อ ความสุกรอบ (ปริปาก) ของเจโตวิมุตติท่ียังไม่สุกรอบ. ๕ ประการอยา่ งไรเล่า ? ๕ ประการคอื :- ๑. เมฆิยะ ! ในกรณีน้ี ภิกษุเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพ่ือนดี : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อท่ีหนึ่ง เปน็ ไปเพ่ือความสกุ รอบของเจโตวมิ ตุ ตทิ ่ยี ังไมส่ กุ รอบ. ๒. เมฆิยะ ! ข้ออื่นยังมีอีก, คือภิกษุเป็นผู้มีศีล สำ�รวมแล้ว ด้วยการสำ�รวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วย มรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษท้ังหลาย แม้มีประมาณน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย : เมฆิยะ ! นี้เป็นธรรมข้อท่ีสอง เป็นไปเพ่ือความสุกรอบ ของเจโตวิมตุ ติทย่ี งั ไมส่ กุ รอบ. ๓. เมฆยิ ะ ! ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี , คอื ภกิ ษเุ ปน็ ผไู้ ดต้ าม ปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำ�บาก ซ่ึงธรรมกถาอันเป็น เคร่ืองขูดเกลากิเลสอย่างย่ิง เป็นท่ีสบายแก่การเปิดโล่ง

1​ 10 พุทธวจน แหง่ จติ ไดแ้ ก่ อปั ปจิ ฉกถา (เรอ่ื งปรารถนานอ้ ย) สนั ตฏุ ฐกิ ถา (เรื่องสันโดษ) ปวิเวกกถา (เรือ่ งความสงัด) อสังสัคคกถา (เรอ่ื งไมค่ ลกุ คล)ี วริ ยิ ารมั ภกถา (เรอ่ื งมคี วามเพยี ร) สลี กถา (เรอ่ื งศลี ) สมาธกิ ถา (เรอ่ื งสมาธ)ิ ปญั ญากถา (เรอ่ื งปญั ญา) วิมุตติกถา (เรื่องวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา (เร่ือง วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ) : เมฆยิ ะ ! นเี้ ปน็ ธรรมขอ้ ทสี่ าม เปน็ ไป เพ่อื ความสกุ รอบของเจโตวิมุตติที่ยงั ไมส่ ุกรอบ. ๔. เมฆยิ ะ ! ข้ออื่นยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มี ความเพียร อันปรารภแล้ว เพื่อละอกุศลธรรมท้ังหลาย เพื่อยังกุศลธรรมท้ังหลายให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำ�ลัง มคี วามบากบน่ั มน่ั คง ไมท่ อดทง้ิ ธรุ ะในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย : เมฆิยะ ! นเี้ ป็นธรรมขอ้ ท่ีสี่ เปน็ ไปเพอ่ื ความสกุ รอบของ เจโตวมิ ตุ ติท่ียงั ไมส่ ุกรอบ. ๕. เมฆิยะ ! ข้ออ่ืนยังมีอีก คือภิกษุเป็นผู้มี ปญั ญา ประกอบดว้ ยปญั ญา เปน็ เครอ่ื งถงึ ธรรมสจั จะแหง่ การต้ังข้ึนและการต้ังอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเคร่ือง ช�ำ แรกกเิ ลส ใหถ้ งึ ความสน้ิ ทกุ ขโ์ ดยชอบ : เมฆยิ ะ ! นเ้ี ปน็ ธรรมขอ้ ทห่ี า้ เปน็ ไปเพอื่ ความสกุ รอบแหง่ เจโตวมิ ตุ ตทิ ยี่ งั ไม่สุกรอบ.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 11 เมฆยิ ะ ! เมอ่ื ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ มี ติ รดี สหายดี เพอ่ื นด,ี ตอ่ ไปน้ีเป็นส่ิงทเ่ี ธอพึงหวังได้ คอื จักเปน็ ผมู้ ีศลี ฯลฯ, จกั ได้โดยงา่ ยซ่งึ ธรรมกถา ฯลฯ, จกั เปน็ ผู้ปรารภความเพยี ร ฯลฯ, จักเป็นผู้มปี ัญญา ฯลฯ. เมฆยิ ะ ! ภิกษุน้นั ต้ังอยู่ในธรรม ๕ ประการ เหลา่ นแ้ี ล้ว พึงเจรญิ ธรรม ๔ ประการใหย้ ง่ิ ขน้ึ ไป คอื :- ๑. เจรญิ อสภุ ะ เพือ่ ละราคะ ๒. เจริญ เมตตา เพ่ือ ละพยาบาท ๓. เจรญิ อานาปานสติ เพอ่ื ตัดเสียซง่ึ วิตก ๔. เจริญ อนิจจสัญญา เพ่ือ ถอนอัส๎มิมานะ; กล่าวคือ เม่ือเจริญอนิจจสัญญา อนัตตสัญญา ย่อม มน่ั คง. ผมู้ อี นตั ตสญั ญา ยอ่ มถงึ ซงึ่ การถอนอสั ม๎ มิ านะ คอื นพิ พาน ในทฏิ ฐธรรม นนั่ เทยี ว. นวก. อ.ํ ๒๓/๓๖๙/๒๐๗. อุ. ขุ. ๒๕/๑๒๖-๑๒๙/๘๘-๘๙.

1​ 12 พุทธวจน ๒๖ สญั ญา ๑๐ ประการ ในฐานะ แหง่ การรกั ษาโรคดว้ ยอ�ำ นาจสมาธิ อานนท์ ! ถา้ เธอจะเขา้ ไปหาภกิ ษคุ ริ มิ านนทแ์ ลว้ กลา่ วสญั ญา ๑๐ ประการแกเ่ ธอแลว้ ขอ้ นเ้ี ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอัน เป็นทุกข์หนักของเธอ ก็จะระงับไปโดยควรแก่ฐานะ สญั ญา ๑๐ ประการ นน้ั คอื อนจิ จสญั ญา อนตั ตสญั ญา อสภุ สญั ญา อาทนี วสญั ญา ปหานสญั ญา วริ าคสญั ญา นโิ รธสญั ญา สพั พโลเกอนภริ ตสญั ญา สพั พสงั ขาเรส-ุ อนจิ จสญั ญา อานาปานสต.ิ อานนท์ ! อนิจจสญั ญา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีน้ี ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างน้ี ว่า “รูป ไม่เท่ียง; เวทนา ไม่เท่ียง; สัญญา ไม่เที่ยง; สงั ขาร ไมเ่ ทยี่ ง; วญิ ญาณ ไม่เที่ยง” ดังนี้ เปน็ ผเู้ ห็นซ่ึง ความไมเ่ ทย่ี งในอปุ าทานขนั ธท์ ง้ั หา้ เหลา่ นอ้ี ยู่ ดว้ ยอาการ อยา่ งนี้ : นเ้ี รียกว่า อนิจจสญั ญา.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 13 อานนท์ ! อนัตตสัญญา เปน็ อย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในกรณีน้ี ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างน้ี ว่า “ตา เปน็ อนัตตา รูป เป็นอนัตตา; หู เปน็ อนัตตา เสยี ง เป็นอนตั ตา; จมูก เป็นอนตั ตา กลน่ิ เปน็ อนัตตา; ลิ้น เปน็ อนตั ตา รส เปน็ อนตั ตา; กาย เปน็ อนตั ตา โผฏฐพั พะ เปน็ อนตั ตา; ใจ เปน็ อนตั ตา ธรรมารมณ์ เปน็ อนตั ตา” ดงั น้ี เปน็ ผเู้ หน็ ซง่ึ ความเปน็ อนตั ตาในอายตนะทง้ั ภายในและ ภายนอกหก เหล่านี้อยู่ ด้วยอาการอย่างน้ี : น้ีเรียกว่า อนัตตสญั ญา. อานนท์ ! อสภุ สัญญา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? อานนท์ ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เหน็ โดยประจกั ษซ์ ง่ึ กายน้ี นแ่ี หละ แตพ่ น้ื เทา้ ขน้ึ ไปถงึ เบอ้ื งบน แตป่ ลายผมลงมาถงึ เบื้องล่าง ว่า มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่ สะอาดมีประการต่างๆ ; คอื กายน้มี ี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เน้ือ เอน็ กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พงั ผืด มา้ ม ปอด ล�ำ ไส้ ล�ำ ไสส้ ดุ อาหารในกระเพาะ อจุ จาระ น�ำ้ ดี เสลด หนอง โลหติ เหงอ่ื มัน น้ำ�ตา นำ�้ เหลอื ง น้�ำ ลาย น�้ำ เมือก น�ำ้ ลน่ื หลอ่ ขอ้ น�ำ้ มตู ร; เปน็ ผเู้ หน็ ความไมง่ ามในกายนอ้ี ยู่ ด้วยอาการอยา่ งน้ี : นเี้ รยี กว่า อสภุ สญั ญา.

1​ 14 พุทธวจน อานนท์ ! อาทีนวสญั ญา เป็นอยา่ งไรเลา่ ? อานนท์ ! ภกิ ษใุ นกรณนี ี้ ไปสู่ปา่ สโู่ คนไม้ หรือ ส่เู รอื นวา่ ง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อยา่ งนี้ วา่ “กายนีม้ ี ทกุ ข์มาก มโี ทษมาก; คือในกายนม้ี ีอาพาธตา่ งๆ เกดิ ข้ึน, กลา่ วคอื โรคตา โรคหู โรคจมกู โรคล้นิ โรคกาย โรคที่ ศรี ษะ โรคทห่ี ู โรคทป่ี าก โรคทฟ่ี นั โรคไอ โรคหดื ไขห้ วดั ไขม้ พี ษิ รอ้ น ไขเ้ ซอ่ื งซมึ โรคกระเพาะ โรคลมสลบ ลงแดง จกุ เสยี ด เจบ็ เสยี ว โรคเรอ้ื รงั โรคฝี โรคกลาก โรคมองครอ่ ลมบา้ หมู โรคหดิ เปอ่ื ย โรคหดิ ดา้ น คดุ ทะราด โรคละออง โรคโลหิต โรคดีซ่าน เบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง รดิ สดี วงทวาร อาพาธมดี เี ปน็ สมฏุ ฐาน อาพาธมเี สมหะเปน็ สมฏุ ฐาน อาพาธมลี มเปน็ สมฏุ ฐาน ไขส้ นั นบิ าต ไขเ้ พราะ ฤดแู ปรปรวน ไขเ้ พราะบรหิ ารกายไมส่ มำ่�เสมอ ไขเ้ พราะ ออกก�ำ ลังเกนิ ไข้เพราะวบิ ากกรรม ความไมส่ บายเพราะ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย การถ่าย อจุ จาระ การถา่ ยปสั สาวะ” ดงั น;้ี เปน็ ผเู้ หน็ โทษในกายนอ้ี ยู่ ดว้ ยอาการอยา่ งนี้ : นี้เรียกว่า อาทนี วสญั ญา.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 15 อานนท์ ! ปหานสญั ญา เป็นอย่างไรเลา่ ? อานนท์ ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี ไมย่ อมรบั ไวซ้ ง่ึ กามวติ ก ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มละ ยอ่ มบรรเทา กระท�ำ ใหส้ น้ิ สดุ ใหถ้ งึ ความไมม่ อี กี ตอ่ ไป; ไมย่ อมรบั ไวซ้ ง่ึ พย๎ าปาทวติ กทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มละ ยอ่ มบรรเทา กระท�ำ ใหส้ น้ิ สดุ ใหถ้ งึ ความไมม่ ี อกี ตอ่ ไป; ไมย่ อมรบั ไวซ้ ง่ึ วหิ งิ สาวติ กทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มละ ย่อมบรรเทา กระทำ�ให้ส้ินสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไมย่ อมรบั ไวซ้ ง่ึ อกศุ ลธรรมทง้ั หลายอนั เปน็ บาปทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ยอ่ มละ ยอ่ มบรรเทา กระท�ำ ใหส้ น้ิ สดุ ใหถ้ งึ ความไมม่ อี กี ต่อไป; นเี้ รียกว่าปหานสัญญา. อานนท์ ! วริ าคสัญญา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษใุ นกรณีนี้ ไปสปู่ า่ สูโ่ คนไม้ หรือ สเู่ รอื นวา่ ง พจิ ารณาอยโู่ ดยประจกั ษ์ อยา่ งนว้ี า่ “ธรรมชาตนิ น่ั สงบ ธรรมชาตนิ ่ัน ประณีต : กลา่ วคือ ธรรมชาติอันเปน็ ที่ ระงับแห่งสังขารท้ังปวง เป็นที่สลัดคืนซ่ึงอุปธิท้ังปวง เปน็ ทส่ี น้ิ ไปแหง่ ตณั หา เปน็ ความจางคลาย เปน็ ความดบั เยน็ ” ดงั น้ี : น้เี รียกว่า วริ าคสัญญา.

1​ 16 พุทธวจน อานนท์ ! นิโรธสัญญา เปน็ อยา่ งไรเล่า ? อานนท์ ! ภกิ ษุในกรณีน้ี ไปส่ปู ่า ส่โู คนไม้ หรอื สเู่ รอื นวา่ ง พจิ ารณาอยโู่ ดยประจกั ษ์ อยา่ งนว้ี า่ “ธรรมชาตนิ น่ั สงบ ธรรมชาตินน่ั ประณตี : กล่าวคือ ธรรมชาตอิ นั เปน็ ท่ี ระงับแห่งสังขารท้ังปวง เป็นท่ีสลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เปน็ ท่สี น้ิ ไปแห่งตัณหา เปน็ ความดบั เปน็ ความดับเย็น” ดงั น้ี : นเ้ี รยี กว่า นิโรธสญั ญา. อานนท์ ! สพั พโลเกอนภริ ตสญั ญาเปน็ อยา่ งไรเลา่ ? อานนท์ ! ภกิ ษใุ นกรณนี อ้ี นสุ ยั (ความเคยชนิ ) ใน การต้ังทับ ในการฝังตัวเข้าไปยึดม่ันแห่งจิตด้วยตัณหา อปุ าทานใดๆ ในโลก มอี ย,ู่ เธอละอยซู่ ง่ึ อนสุ ยั นน้ั ๆ งดเวน้ ไมเ่ ขา้ ไปยดึ ถอื อยู่ : นเ้ี รยี กวา่ สพั พโลเกอนภริ ตสญั ญา (ความส�ำ คญั ในโลกทง้ั ปวงวา่ เปน็ สง่ิ ไมน่ า่ ยนิ ด)ี . อานนท์ ! สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็น อยา่ งไรเลา่ ? อานนท์ ! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี ยอ่ มอดึ อดั ยอ่ มระอา ยอ่ มเกลยี ดชงั ตอ่ สงั ขารทง้ั หลายทง้ั ปวง : นเ้ี รยี กวา่ สพั พ- สงั ขาเรสอุ นจิ จสญั ญา (ความส�ำ คญั วา่ ไมเ่ ทย่ี งในสงั ขารทง้ั ปวง).

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 17 อานนท์ ! อานาปานสติ เปน็ อย่างไรเลา่ ? อานนท์ ! ในกรณีน้ี ภิกษุไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรอื นวา่ ง ก็ตาม น่งั คู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตัง้ กายตรง ดำ�รงสตเิ ฉพาะหน้า มีสตหิ ายใจเขา้ มีสติหายใจออก. เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมอ่ื หายใจออกยาว กร็ ชู้ ัดว่าเราหายใจออกยาว; เมอ่ื หายใจเขา้ สนั้ กร็ ชู้ ดั วา่ เราหายใจเขา้ สน้ั , เมอื่ หายใจออกสนั้ กร็ ู้ชัดว่าเราหายใจออกส้ัน; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งกายทง้ั ปวง หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผูร้ ูพ้ รอ้ ม เฉพาะซง่ึ กายทัง้ ปวง หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสังขารให้รำ�งับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสังขารใหร้ ำ�งบั หายใจออก”; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซง่ึ ปตี ิ หายใจเขา้ ”, ว่า “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ มเฉพาะ ซ่ึงปตี ิ หายใจออก”;

1​ 18 พุทธวจน เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซ่ึงสุข หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งสุข หายใจออก”; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซ่งึ จติ ตสังขาร หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผ้รู ู้พรอ้ ม เฉพาะซึง่ จติ ตสังขาร หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� จิตตสังขารให้รำ�งับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ� จิตตสังขารใหร้ ำ�งบั หายใจออก”; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ ซง่ึ จติ หายใจออก” ; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ ปราโมทยย์ งิ่ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ให้ตั้งมั่น หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ต้ังมั่น หายใจออก”;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 19 เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิต ใหป้ ลอ่ ยอยู่ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ ำ�จติ ใหป้ ลอ่ ยอยู่ หายใจออก”; เธอยอ่ มทำ�การฝึกหดั ศกึ ษาว่า “เราเปน็ ผู้เห็นซึ่ง ความไม่เท่ียงอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผูเ้ ห็นซึง่ ความไมเ่ ทีย่ งอยูเ่ ปน็ ประจำ� หายใจออก”; เธอย่อมท�ำ การฝึกหดั ศึกษาว่า “เราเป็นผ้เู ห็นซ่ึง ความจางคลายอยู่เปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ”, ว่า “เราเป็น ผเู้ ห็นซงึ่ ความจางคลายอยเู่ ป็นประจ�ำ หายใจออก”; เธอยอ่ มท�ำ การฝกึ หัดศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผูเ้ ห็นซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผเู้ ห็นซ่งึ ความดับไมเ่ หลอื อยู่เปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหดั ศกึ ษาว่า “เราเปน็ ผู้เหน็ ซ่งึ ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผูเ้ หน็ ซง่ึ ความสลดั คืนอย่เู ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; นี้เรียกวา่ อานาปานสติ.

1​ 20 พุทธวจน อานนท์ ! ถา้ เธอจะเขา้ ไปหาภกิ ษคุ ริ มิ านนท์ แลว้ กล่าวสัญญาสิบประการเหล่านี้แกเ่ ธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะ ที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ ฐานะ. ล�ำ ดบั นนั้ แล ทา่ นอานนทจ์ �ำ เอาสญั ญาสบิ ประการ เหลา่ น้ี ในส�ำ นกั ของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ แลว้ เขา้ ไปหาทา่ น คริ มิ านนท์ แลว้ กล่าวสญั ญาสบิ ประการแก่ท่าน เม่ือท่าน คริ มิ านนทฟ์ งั สญั ญาสบิ ประการแลว้ อาพาธกร็ ะงบั ไปโดย ฐานะอันควร. ท่านคิริมานนท์หายแล้วจากอาพาธ และ อาพาธกเ็ ป็นเสมอื นละไปแล้วดว้ ย แล. ทสก. อํ. ๒๔/๑๑๕-๑๒๐/๖๐.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 21



ธรรมะแวดลอ้ ม

1​ 24 พุทธวจน ๒๗ ธรรมเป็นอปุ การะเฉพาะแก่ อานาปานสติภาวนา (นยั ทห่ี น่ึง) ภิกษทุ ั้งหลาย ! ภิกษุผูม้ ุ่งประพฤติ กระท�ำ อานาปานสติ ซงึ่ ประกอบดว้ ยธรรม ๕ ประการ ยอ่ มแทงตลอด อกุปปธรรม (ผมู้ ธี รรมไมก่ �ำ เรบิ ) ไดต้ อ่ กาลไมน่ านเทยี ว. ๕ ประการอย่างไรเล่า ? ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ๕ ประการคือ ในกรณีนี้ ภิกษุ : ๑.  เปน็ ผมู้ คี วามตอ้ งการนอ้ ย มกี จิ นอ้ ย เลยี้ งงา่ ย สันโดษในบรกิ ขารแหง่ ชีวิต; ๒.  เป็นผู้มีอาหารน้อย ประกอบตนอยู่ในความ เปน็ ผมู้ ีท้องอนั พรอ่ ง;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 25 ๓.  เป็นผู้ไม่มีความมึนชา ประกอบตนอยู่ใน ความตนื่ ; ๔.  เป็นผู้มีสุตะมาก ทรงสุตะ ส่ังสมสุตะ คือ ธรรมเหล่าใดอันงดงามในเบื้องต้น งดงามในท่ามกลาง งดงามในท่สี ุด แสดงอยู่ซึง่ พรหมจรรย์อันบรสิ ุทธ์บิ ริบูรณ์ สน้ิ เชงิ พรอ้ มทง้ั อรรถะและพยญั ชนะ ธรรมมลี กั ษณะเหน็ ปานนน้ั เปน็ ธรรมทเ่ี ธอสดบั แลว้ มาก ทรงจ�ำ ไว้ คลอ่ งปาก ขน้ึ ใจ แทงตลอดด้วยดดี ว้ ยทิฏฐ;ิ ๕.  พจิ ารณาเหน็ เฉพาะอยซู่ ง่ึ จติ อนั หลดุ พน้ แลว้ (ตามลำ�ดับ) อย่างไร. ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ภกิ ษุผมู้ งุ่ ประพฤตกิ ระทำ� อานาปานสติ ซึ่งประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล ยอ่ มแทงตลอดอกปุ ปธรรม ไดต้ อ่ กาลไมน่ านเทยี ว. ปญจฺ ก. อํ. ๒๒/๑๓๕/๙๖.

1​ 26 พุทธวจน (นยั ที่สอง) ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! ภิกษุผู้เจริญอานาปานสติ ซ่ึงประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ยอ่ มแทงตลอดอกปุ ปธรรม ไดต้ อ่ กาลไมน่ าน เทยี ว. ๕ ประการอยา่ งไรเล่า ? ภิกษทุ ้งั หลาย ! ๕ ประการ คือ ในกรณนี ้ี ภิกษุ : ๑.  เปน็ ผมู้ คี วามตอ้ งการนอ้ ย มกี จิ นอ้ ย เลยี้ งงา่ ย สนั โดษในบรกิ ขารแหง่ ชวี ติ ; ๒.  เป็นผู้มีอาหารน้อย ประกอบตนอยู่ในความ เปน็ ผู้มีทอ้ งอนั พรอ่ ง; ๓.  เป็นผู้ไม่มีความมึนชา ประกอบตนอยู่ใน ความตนื่ ; ๔.  เป็นผู้ได้ตามปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ได้ไม่ ลำ�บาก ซ่ึงกถาอันเป็นไปเพ่ือการขูดเกลากิเลส เป็นท่ี สบายแกธ่ รรมเครอ่ื งเปิดโลง่ แหง่ จิต คือ :-

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 27 อปั ปิจฉกถา (เรื่องปรารถนาน้อย) สนั ตฏุ ฐิกถา (เรือ่ งสันโดษ) ปวิเวกกถา (เรือ่ งความสงดั ) อสงั สัคคกถา (เร่อื งไม่คลกุ คลี) วริ ยิ ารมั ภกถา (เร่ืองมีความเพียร) สีลกถา (เรือ่ งศลี ) สมาธิกถา (เรอื่ งสมาธ)ิ ปัญญากถา (เรือ่ งปัญญา) วมิ ุตติกถา (เรอ่ื งวมิ ุตติ) วิมุตตญิ าณทสั สนกถา (เรอื่ งวิมุตตญิ าณทสั สนะ); ๕.  พจิ ารณาเหน็ เฉพาะอยซู่ ง่ึ จติ อนั หลดุ พน้ แลว้ (ตามลำ�ดับ) อยา่ งไร. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ภกิ ษผุ เู้ จรญิ อานาปานสติ ซงึ่ ประกอบดว้ ยธรรม ๕ ประการ เหล่านี้แล ย่อมแทงตลอดอกุปปธรรม ได้ ต่อกาลไมน่ านเทียว. ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๑๓๖/๙๗.

1​ 28 พุทธวจน (นัยท่สี าม) ภิกษทุ ้งั หลาย ! ภิกษผุ กู้ ระท�ำ ให้มากซง่ึ อานาปานสติ ซ่ึงประกอบดว้ ย ธรรม ๕ ประการ ยอ่ มแทงตลอดอกปุ ปธรรม ไดต้ อ่ กาลไมน่ านเทยี ว. ๕ ประการอยา่ งไรเล่า ? ภิกษุท้ังหลาย ! ๕ ประการ คือ ในกรณีน้ี ภิกษุ : ๑.  เปน็ ผมู้ คี วามตอ้ งการนอ้ ย มกี จิ นอ้ ย เลย้ี งงา่ ย สันโดษในบรกิ ขารแหง่ ชีวิต; ๒.  เป็นผู้มีอาหารน้อย ประกอบตนอยู่ในความ เปน็ ผู้มที ้องอนั พรอ่ ง; ๓.  เป็นผู้ไม่มีความมึนชา ประกอบตนอยู่ใน ความตืน่ ; ๔.  เป็นผอู้ ยปู่ ่า มีเสนาสนะอันสงดั ; ๕.  พจิ ารณาเหน็ เฉพาะอยซู่ ง่ึ จติ อนั หลดุ พน้ แลว้ (ตามลำ�ดับ) อยา่ งไร.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 29 ภกิ ษุทัง้ หลาย ! ภกิ ษผุ ้กู ระท�ำ ให้มากซึ่ง อานาปานสติ ซึ่งประกอบด้วยธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมแทงตลอดอกุปปธรรม ได้ตอ่ กาลไม่นานเทยี ว. ปญฺจก. อํ. ๒๒/๑๓๖/๙๘.

1​ 30 พุทธวจน ๒๘ นวิ รณ์เป็นเครือ่ งทำ�กระแสจติ ไม่ให้รวมก�ำ ลัง ภิกษุท้ังหลาย ! นวิ รณเ์ ปน็ เครอื่ งกางกนั้ ๕ อยา่ ง เหล่าน้ี ทว่ มทับจิตแลว้ ท�ำ ปัญญาใหถ้ อยก�ำ ลัง มีอย่.ู ๕ อยา่ ง อย่างไรเลา่ ? ๕ อย่าง คือ: - ๑.  นวิ รณเ์ ครอื่ งกางกนั้ คอื กามฉนั ทะ ครอบงำ� จติ แลว้ ท�ำ ปัญญาใหถ้ อยกำ�ลัง; ๒.  นวิ รณ์เคร่อื งกางก้ัน คือ พยาบาท ครอบง�ำ จติ แล้ว ทำ�ปญั ญาใหถ้ อยกำ�ลงั ; ๓.  นิวรณ์เคร่ืองกางก้ัน คือ ถีนมิทธะ (ความ งว่ งเหงาซึมเซา) ครอบง�ำ จิตแล้ว ทำ�ปญั ญาให้ถอยก�ำ ลงั ; ๔.  นิวรณ์เคร่ืองกางก้ัน คือ อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟงุ้ ซา่ นและร�ำ คาญ) ครอบง�ำ จติ แลว้ ท�ำ ปญั ญาใหถ้ อย กำ�ลงั ; ๕.  นวิ รณเ์ ครอ่ื งกางกนั้ คอื วจิ กิ จิ ฉา (ความลงั เล, สงสยั ) ครอบง�ำ จิตแล้ว ท�ำ ปัญญาให้ถอยกำ�ลัง.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 1​ 31 ภกิ ษุท้งั หลาย ! ภิกษุที่ไม่ละนิวรณ์อันเป็น เครอ่ื งกางกน้ั จติ ๕ อยา่ งเหลา่ นแ้ี ลว้ จกั รซู้ ง่ึ ประโยชนต์ น หรอื ประโยชนผ์ ู้อ่นื หรือประโยชน์ทง้ั สองฝ่าย หรอื จัก กระทำ�ให้แจ้งซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษอันควรแก่ความ เป็นอริยะ ยิ่งกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์ ด้วยปัญญาอัน ทพุ พลภาพ ไรก้ �ำ ลัง ดังน้ี น่ันไมเ่ ป็นฐานะที่จะมไี ด้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เปรียบเหมือนแม่น้ำ�ท่ีไหลลง จากภูเขา ไหลไปสู่ท่ีไกล มีกระแสเชี่ยว พัดพาสิ่งต่างๆ ไปได้ มบี รุ ษุ มาเปดิ ชอ่ งทง้ั หลายทเ่ี ขาขดุ ขน้ึ ดว้ ยเครอ่ื งไถ ทงั้ สองฝ่งั แมน่ ้ำ�นน้ั เม่อื เปน็ เช่นนี้ กระแสกลางแมน่ �้ำ นั้น กซ็ ดั สา่ ย ไหลผดิ ทาง ไม่ไหลไปสทู่ ไ่ี กล ไมม่ ีกระแสเชี่ยว ไมพ่ ดั สงิ่ ตา่ งๆ ไปได้, น้ีฉนั ใด; ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! ขอ้ นก้ี ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั : ภกิ ษทุ ่ี ไม่ละนิวรณ์อันเป็นเคร่ืองกางก้ันจิต ๕ อย่างเหล่าน้ีแล้ว จกั รซู้ ง่ึ ประโยชนต์ น หรอื ประโยชนผ์ อู้ น่ื หรอื ประโยชนท์ งั้ สองฝา่ ย หรอื จกั กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ ญาณทสั สนะอนั วเิ ศษ อนั ควร แกค่ วามเปน็ อรยิ ะ ยง่ิ กวา่ ธรรมดาแหง่ มนษุ ย์ ดว้ ยปญั ญา อนั ทพุ พลภาพไรก้ �ำ ลงั ดงั น้ี นน่ั ไมเ่ ปน็ ฐานะทจ่ี ะมไี ด.้

1​ 32 พุทธวจน [ต่อไปนี้ ไดต้ รัสโดยปฏิปักขนยั (นัยตรงข้าม) คือ ภกิ ษละนิวรณแ์ ล้ว ทำ�ญาณวเิ ศษให้แจง้ ไดด้ ว้ ยปัญญา อันมกี �ำ ลงั เหมอื นแมน่ �ำ้ ทเ่ี ขาอดุ รรู ว่ั ทง้ั สองฝง่ั เสยี แลว้ มกี ระแสเชย่ี วแรงมาก ฉะนั้น] ปญจฺ ก. อ.ํ ๒๒/๗๒/๕๑.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook