Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน (อานาปานสติ)

พุทธวจน (อานาปานสติ)

Published by Sarapee District Public Library, 2020-07-17 02:26:06

Description: พุทธวจน (อานาปานสติ)

Keywords: ธรรมะ,พุทธวจน,อานาปานสติ

Search

Read the Text Version

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 3​ 3 [หมวดจติ ตานปุ สั สนา] ภกิ ษุท้ังหลาย ! สมยั ใด ภกิ ษุ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อม เฉพาะซง่ึ จติ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ จติ หายใจออก”; ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ ปราโมทยย์ ง่ิ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหป้ ราโมทยย์ ง่ิ หายใจออก”; ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ ตง้ั มน่ั หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ จติ ใหต้ ง้ั มน่ั หายใจออก”; ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”; ภกิ ษุทัง้ หลาย ! สมยั นน้ั ภกิ ษนุ นั้ ชอื่ วา่ เปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได.้ ภิกษุท้ังหลาย ! เราไมก่ ลา่ วอานาปานสติ วา่ เปน็ สง่ิ ทม่ี ไี ดแ้ กบ่ คุ คลผมู้ สี ตอิ นั ลมื หลงแลว้ ไมม่ สี มั ปชญั ญะ.

3​ 4 พุทธวจน ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ นั้ ในเรอื่ งนี้ ภกิ ษนุ นั้ ย่อมช่ือว่าเป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ� มีความเพียร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและโทมนัส ในโลกออกเสียได้ ในสมัยนัน้ . [หมวดธมั มานุปัสสนา] ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! สมัยใด ภกิ ษุ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซ่ึง ความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผเู้ ห็นซง่ึ ความไมเ่ ทีย่ งอยูเ่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความจางคลายอยเู่ ป็นประจ�ำ หายใจเข้า”, วา่ “เราเป็น ผเู้ ห็นซึง่ ความจางคลายอยเู่ ป็นประจำ� หายใจออก”; ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความดบั ไมเ่ หลอื อยเู่ ปน็ ประจ�ำ หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผู้เห็นซ่ึงความดบั ไม่เหลืออยู่เปน็ ประจ�ำ หายใจออก”;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 3​ 5 ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่ง ความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็น ผู้เห็นซงึ่ ความสลดั คืนอยูเ่ ปน็ ประจ�ำ หายใจออก”; ภกิ ษุทัง้ หลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นช่ือว่า เป็นผู้ เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ� มีความเพยี ร เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและโทมนัส ในโลกออกเสยี ได.้ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ภกิ ษนุ น้ั เปน็ ผเู้ ขา้ ไปเพง่ เฉพาะ เป็นอย่างดีแล้ว เพราะเธอเห็นการละอภิชฌาและ โทมนัสท้ังหลายของเธอนัน้ ด้วยปญั ญา. ภิกษุท้ังหลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ภกิ ษนุ น้ั ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นธรรมในธรรมท้ังหลายอยู่เป็นประจำ� มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสัมปชัญญะ มสี ติ นำ�อภิชฌาและ โทมนัสในโลกออกเสยี ได้. ภกิ ษุท้งั หลาย ! อานาปานสตอิ นั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งน้ี ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ชอ่ื วา่ ท�ำ สตปิ ฏั ฐานทง้ั ส่ี ใหบ้ รบิ ูรณ์ได้.

3​ 6 พุทธวจน

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 3​ 7 โพชฌงค์บรบิ รู ณ์ เพราะสติปฏั ฐานบรบิ ูรณ์ ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! สตปิ ฏั ฐานทง้ั ส่ีอนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อย่างไร ทำ�ให้มากแล้วอย่างไร จึงทำ�โพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้ บรบิ ูรณไ์ ด้ ? [โพชฌงคเ์ จด็ หมวดกายานปุ ัสสนา] ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! สมยั ใดภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ หน็ กายในกาย อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มีสติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได้; สมัยนัน้ สตขิ อง ภกิ ษุผู้เขา้ ไปตงั้ ไว้แลว้ ก็เป็นธรรมชาติไม่ลมื หลง. ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปต้ัง ไวแ้ ลว้ เปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง, สมยั นน้ั สตสิ มั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อันว่าภกิ ษุนน้ั ปรารภแลว้ , สมยั นน้ั ภิกษุช่ือวา่ ย่อม เจริญสติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชอื่ วา่ ถงึ ความเตม็ รอบแห่งการเจริญ.

3​ 8 พุทธวจน ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ยอ่ มท�ำ การเลอื ก ยอ่ มท�ำ การเฟน้ ยอ่ มท�ำ การใครค่ รวญซง่ึ ธรรมนน้ั ดว้ ย ปญั ญา. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ท�ำ การเลอื กเฟน้ ใครค่ รวญธรรมนน้ั อยดู่ ว้ ยปญั ญา, สมยั นน้ั ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุน้นั ปรารภแล้ว, สมัยน้ันภิกษุช่ือว่าย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์, สมยั นน้ั ธมั มวจิ ยสมั โพชฌงคข์ องภกิ ษชุ อ่ื วา่ ถงึ ความเตม็ รอบ แห่งการเจริญ. ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื เลอื กเฟน้ ใครค่ รวญอยซู่ ง่ึ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญา ความเพยี รอนั ไมย่ อ่ หยอ่ น ชอ่ื วา่ เปน็ ธรรมอนั ภกิ ษนุ นั้ ปรารภแลว้ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! สมยั ใด ความเพยี ร ไมย่ อ่ หยอ่ นอนั ภกิ ษผุ เู้ ลอื กเฟน้ ใครค่ รวญในธรรมนน้ั ดว้ ย ปัญญา, สมยั นั้น วิรยิ สมั โพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้น ปรารภแลว้ , สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ วริ ยิ สมั โพชฌงค,์ สมัยนั้นวิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบ แห่งการเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื มคี วามเพยี รอนั ปรารภแลว้ ปตี อิ นั เปน็ นริ ามสิ กเ็ กดิ ขน้ึ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด ปตี อิ นั เปน็ นริ ามสิ

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 3​ 9 เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว, สมัยนั้น ปตี สิ มั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ , สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ปตี สิ มั โพชฌงค,์ สมยั นน้ั ปตี สิ มั โพชฌงค์ ของภกิ ษชุ อ่ื วา่ ถึงความเต็มรอบแหง่ การเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื มใี จประกอบดว้ ยปตี ิ แมก้ ายกร็ �ำ งบั แมจ้ ติ กร็ �ำ งบั . ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ท้ังกายและท้งั จติ ของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำ�งับ, สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุน้ันปรารภแล้ว, สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค,์ สมยั นน้ั ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบ แหง่ การเจริญ. ภิกษุนั้น เมอ่ื มกี ายอนั ร�ำ งบั แลว้ มคี วามสขุ อยู่ จติ ยอ่ มตง้ั มน่ั . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด จติ ของภกิ ษผุ มู้ กี าย อันรำ�งับแล้วมีความสุขอยู่ ย่อมต้งั ม่นั , สมัยน้นั สมาธิ- สมั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ , สมยั นน้ั ภกิ ษุ ชอ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ สมาธสิ มั โพชฌงค,์ สมยั นน้ั สมาธสิ มั โพชฌงค์ ของภกิ ษชุ อ่ื วา่ ถงึ ความเตม็ รอบแหง่ การเจรญิ .

4​ 0 พุทธวจน ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มเปน็ ผเู้ ขา้ ไปเพง่ เฉพาะซง่ึ จติ อนั ตง้ั มน่ั แลว้ อยา่ งนน้ั เปน็ อยา่ งด.ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ ขา้ ไปเพง่ เฉพาะซง่ึ จติ อนั ตง้ั มน่ั แลว้ อยา่ งนน้ั เปน็ อยา่ งด,ี สมยั นน้ั อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภ แล้ว, สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ อเุ บกขาสมั โพชฌงค,์ สมยั นน้ั อเุ บกขาสมั โพชฌงคข์ องภกิ ษชุ อ่ื วา่ ถงึ ความเตม็ รอบ แหง่ การเจรญิ . [โพชฌงค์เจด็ หมวดเวทนานปุ ัสสนา] ภกิ ษุท้งั หลาย ! สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เห็นเวทนา ในเวทนาท้ังหลาย อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำ�อภิชฌาและโทมนัสในโลกออก เสียได้; สมัยนั้น สติของภิกษุผู้เข้าไปต้ังไว้แล้ว ก็เป็น ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด สตขิ องภกิ ษุ ผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง, สมัยน้ัน สตสิ มั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ , สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ สตสิ มั โพชฌงค,์ สมยั นน้ั สตสิ มั โพชฌงค์ ของภิกษชุ อ่ื ว่าถึงความเตม็ รอบแห่งการเจริญ.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 4​ 1 ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ยอ่ มท�ำ การเลอื ก ยอ่ มท�ำ การเฟน้ ยอ่ มท�ำ การใครค่ รวญ ซง่ึ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญา (ต่อไปนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวด กายานปุ ัสสนา จนจบหมวด). [โพชฌงค์เจด็ หมวดจิตตานุปสั สนา] ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผเู้ หน็ จติ ในจติ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได;้ สมยั นน้ั สตขิ องภกิ ษุ ผเู้ ขา้ ไปตง้ั ไวแ้ ลว้ กเ็ ปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด สตขิ องภกิ ษผุ เู้ ขา้ ไปตง้ั ไวแ้ ลว้ เปน็ ธรรมชาตไิ มล่ มื หลง สมยั นน้ั สตสิ มั โพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ , สมัยน้ันภิกษุช่ือว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์, สมัยนั้น สตสิ มั โพชฌงคข์ องภกิ ษชุ อ่ื วา่ ถงึ ความเตม็ รอบแหง่ การเจรญิ . ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ยอ่ มท�ำ การเลอื ก ยอ่ มท�ำ การเฟน้ ยอ่ มท�ำ การใครค่ รวญซง่ึ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญา (ต่อไปนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวด กายานุปัสสนา จนจบหมวด).

4​ 2 พุทธวจน [โพชฌงค์เจ็ด หมวดธัมมานปุ ัสสนา] ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! สมยั ใด ภกิ ษเุ ปน็ ผู้เหน็ ธรรมใน ธรรมท้ังหลาย อยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเผากิเลส มี สมั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได;้ สมัยน้ัน สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติ ไมล่ มื หลง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! สมยั ใด สตขิ องภกิ ษผุ เู้ ขา้ ไปตง้ั ไว้ แล้ว เป็นธรรมชาตไิ ม่ลืมหลง, สมยั นั้น สติสัมโพชฌงค์ กเ็ ปน็ อนั วา่ ภกิ ษนุ น้ั ปรารภแลว้ , สมยั นน้ั ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มเจรญิ สตสิ มั โพชฌงค,์ สมยั นน้ั สตสิ มั โพชฌงคข์ องภิกษชุ อื่ วา่ ถึง ความเตม็ รอบแหง่ การเจริญ. ภกิ ษนุ น้ั เมอ่ื เปน็ ผมู้ สี ตเิ ชน่ นน้ั อยู่ ยอ่ มท�ำ การเลอื ก ยอ่ มท�ำ การเฟน้ ยอ่ มท�ำ การใครค่ รวญ ซง่ึ ธรรมนน้ั ดว้ ยปญั ญา (ต่อไปนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวด กายานุปัสสนา จนจบหมวด). ภิกษุทงั้ หลาย ! สตปิ ฏั ฐานทง้ั สี่ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งน้ี ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแี้ ล ชอ่ื วา่ ท�ำ โพชฌงค์ ทงั้ เจ็ดใหบ้ รบิ ูรณ์ได้.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 4​ 3 วิชชาและวมิ ุตตบิ ริบูรณ์ เพราะโพชฌงค์บริบรู ณ์ ภิกษทุ ง้ั หลาย ! โพชฌงคท์ ง้ั เจด็ อนั บคุ คลเจรญิ แล้วอยา่ งไร ทำ�ใหม้ ากแลว้ อย่างไร จึงทำ�วชิ ชาและวิมตุ ติ ให้บรบิ ูรณ์ได้ ? ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ภิกษุในกรณีน้ี ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อันอาศัยนิโรธ (ความดับ) อันน้อมไป เพ่อื โวสสคั คะ (ความสละ, ความปล่อย); ยอ่ มเจรญิ ธมั มวจิ ยสัมโพชฌงค์ อนั อาศยั วเิ วก อันอาศยั วิราคะ อนั อาศัยนิโรธ อันนอ้ มไปเพอ่ื โวสสคั คะ; ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวริ าคะ อนั อาศยั นิโรธ อนั น้อมไปเพอ่ื โวสสคั คะ; ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศัยวิราคะ อนั อาศัยนโิ รธ อนั น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศยั วริ าคะ อนั อาศยั นิโรธ อนั น้อมไปเพ่ือโวสสัคคะ;

4​ 4 พุทธวจน ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศยั วริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพอื่ โวสสคั คะ; ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศยั วิราคะ อนั อาศัยนิโรธ อันนอ้ มไปเพ่อื โวสสคั คะ. ภิกษุท้งั หลาย ! โพชฌงค์ท้ังเจ็ด อันบุคคล เจริญแล้วอย่างน้ี ทำ�ให้มากแล้วอย่างน้ีแล ช่ือว่า ท�ำ วิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้, ดังน้ี. อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๑๙๐-๒๐๑/๒๘๒-๒๙๑. (ข้อสงั เกต : ดังท่ตี รัสไว้ แสดงว่าสตปิ ฏั ฐานทงั้ ส่ี ในแตล่ ะหมวด สมบรู ณใ์ นตวั เอง คอื เข้าถงึ โพชฌงคท์ ีบ่ ริบูรณ์จนกระท่งั วมิ ตุ ตไิ ดท้ กุ หมวด ดงั นน้ั สตปิ ฏั ฐานสน่ี น้ั ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะเจรญิ หมวดใดหมวดหนึ่ง หรอื ทั้ง ๔ หมวด กไ็ ดเ้ หมอื นกนั เพราะสามารถยงั วมิ ตุ ตใิ หป้ รากฏไดด้ จุ เดยี วกนั : ผรู้ วบรวม)

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 4​ 5 ๕ การเจริญอานาปานสติ (ตามนยั แหง่ มหาสตปิ ัฏฐานสตู ร) ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ภิกษุเป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็น กายในกายอยู่นัน้ เปน็ อยา่ งไรเล่า ? ภิกษุทัง้ หลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษไุ ปแล้วสปู่ ่า หรอื โคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม, ย่อมน่ังคู้ขาเข้ามาโดยรอบ (ขดั สมาธ)ิ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ , เธอเปน็ ผมู้ สี ติ หายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก (๑) เมอ่ื หายใจเขา้ ยาว กร็ ชู้ ดั ว่าเราหายใจเขา้ ยาว, หรอื เมอ่ื หายใจออกยาว กร็ ชู้ ัดวา่ เรา หายใจออกยาว; หรอื ว่า (๒) เมื่อหายใจเข้าสน้ั กร็ ้ชู ดั วา่ เราหายใจเข้าส้ัน, หรือเมื่อหายใจออกส้ัน ก็รู้ชัดว่าเรา หายใจออกสั้น, (๓) เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เรา เปน็ ผรู้ พู้ รอ้ มเฉพาะซง่ึ กายทง้ั ปวง จกั หายใจเขา้ , เราเปน็ ผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายท้ังปวง จักหายใจออก, (๔) เธอ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราทำ�กายสังขารให้รำ�งับ จักหายใจเข้า, เราทำ�กายสงั ขารให้ร�ำ งับ จักหายใจออก,

4​ 6 พุทธวจน เช่นเดียวกับนายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึง ผชู้ �ำ นาญ เมอ่ื เขาชกั เชอื กกลงึ ยาว กร็ ชู้ ดั วา่ เราชกั เชอื กกลงึ ยาว, เมอ่ื ชกั เชอื กกลงึ สน้ั กร็ ชู้ ดั ว่าเราชกั เชอื กกลงึ สน้ั , ฉันใดกฉ็ นั นั้น. ดว้ ยอาการอยา่ งนแี้ ล ทภ่ี กิ ษเุ ปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณา เห็นกาย ในกายอันเป็นภายในอยู่ บ้าง, ในกายอันเป็น ภายนอกอยู่ บา้ ง, ในกายทั้งภายในและภายนอกอยู่ บา้ ง; และเปน็ ผู้มปี กตพิ จิ ารณา เหน็ ธรรม อันเปน็ เหตเุ กดิ ข้ึน ในกายอยู่ บา้ ง, เหน็ ธรรมเปน็ เหตเุ สอ่ื มไปในกายอยู่ บา้ ง, เห็นท้ังธรรมเป็นเหตุเกิดข้ึนและเส่ือมไปในกายอยู่ บ้าง, กแ็ หละ สติ วา่ “กายมอี ย”ู่ ดงั นข้ี องเธอนน้ั เปน็ สตทิ ่ี เธอด�ำ รงไวเ้ พยี งเพอ่ื ความรู้ เพยี งเพอ่ื อาศยั ระลกึ , ทแ่ี ท้ เธอเป็นผู้ท่ีตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้ และเธอไม่ยึดมั่น อะไรๆ ในโลกนี.้ ภิกษทุ ั้งหลาย ! ภกิ ษชุ อ่ื วา่ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณา เห็นกายในกายอยู่ แม้ดว้ ยอาการอย่างน้ี. มหา. ท.ี ๑๐/๓๒๒-๓๒๔/๒๗๔., ม.ู ม. ๑๒/๑๐๓-๑๐๕/๑๓๓.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 4​ 7 ๖ เม่อื เจริญอานาปานสติ ก็ชอื่ วา่ เจริญกายคตาสติ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! ในกรณีน้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ ส่ปู า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมอื่ หายใจออกยาว กร็ ชู้ ัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เมือ่ หายใจออกสัน้ กร็ ้ชู ดั วา่ เราหายใจออกสนั้ ; เธอยอ่ มทำ�การฝกึ หดั ศกึ ษาวา่ “เราเปน็ ผู้รพู้ รอ้ ม เฉพาะซึ่งกายท้ังปวง หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเป็นผูร้ พู้ ร้อม เฉพาะซึ่งกายทัง้ ปวง หายใจออก”; เธอย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำ� กายสงั ขารใหร้ �ำ งบั หายใจเขา้ ”, วา่ “เราเปน็ ผทู้ �ำ กายสงั ขาร ให้รำ�งับ หายใจออก”;

4​ 8 พุทธวจน เม่อื ภกิ ษนุ ัน้ เปน็ ผูไ้ มป่ ระมาท มคี วามเพยี ร มีตน ส่งไปแล้วในการทำ�เช่นนั้นอยู่ ย่อมละความระลึกและ ความดำ�ริอันอาศยั เรอื นเสียได้.  เพราะละความระลกึ และความด�ำ รนิ น้ั ได้ จติ ของเธอ ก็ต้ังอยู่ด้วยดี สงบรำ�งับอยู่ด้วยดี เป็นธรรมเอกผุดมีข้ึน เปน็ สมาธอิ ยใู่ นภายในนัน่ เทียว.    ภกิ ษุทั้งหลาย ! แม้อย่างน้ี  ภิกษุนั้นก็ชื่อว่า เจรญิ กายคตาสติ.  อุปร.ิ ม. ๑๔/๒๐๔/๒๙๔. (ข้อสังเกต : สว่ นใหญเ่ รามักจะเข้าใจว่า กายคตาสติ คอื การพิจารณาอสภุ ะเพียงอย่างเดยี วเท่านน้ั หรอื การเจรญิ มรรค เพ่ือการหลุดพ้นจะต้องผ่านการพิจารณาอสุภะเสียก่อนเสมอไป เทา่ น้นั ในพระสตู รนี้จึงเปน็ คำ�ตอบใหเ้ ห็นวา่ อานาปานสติ กเ็ ป็น กายคตาสติ และสามารถเจริญมรรคนี้ จนถึงวิมตุ ติหลุดพน้ ได้ โดยตรง ดังในพระสูตรอน่ื ๆ ท่ีพระองค์ตรัสไว้ในเล่มนี;้ นอกจาก นนั้ กายคตาสตยิ ังมคี วามหมายอีกหลายนยั ยะ เชน่ หมายถงึ การ เจรญิ ฌานหน่งึ ถงึ ฌานส่อี ีกดว้ ย : ผรู้ วบรวม)

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 4​ 9 ๗ อานาปานสติ เป็นเหตใุ หถ้ ึงซ่ึงนพิ พาน ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ธรรมอยา่ งหนง่ึ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดย สว่ นเดยี ว เพอ่ื คลายก�ำ หนดั เพอ่ื ความดบั เพอ่ื ความสงบ เพ่อื ความรูย้ ิ่ง เพือ่ ความตรัสรู้ เพ่อื นพิ พาน. ธรรมอย่างหนง่ึ คืออะไร ? คอื ... อานาปานสติ ... ภิกษทุ ้ังหลาย ! ธรรมอย่างหนึ่งน้ีแล อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความหนา่ ย โดยสว่ นเดยี ว เพอ่ื คลายก�ำ หนดั เพอ่ื ความดบั เพอ่ื ความสงบ เพ่ือความรู้ย่ิง เพอื่ ความตรสั รู้ เพื่อนพิ พาน. เอก. อ.ํ ๒๐/๓๙-๔๐/๑๗๙–๑๘๐.

5​ 0 พุทธวจน ๘ อานาปานสตสิ มาธิ เป็นเหตใุ ห้ละสังโยชน์ได้ ภิกษุท้งั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อการละสัญโญชน์ ท้ังหลาย. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งไรเลา่ จงึ เปน็ ไปเพอ่ื การละ สัญโญชน์ทง้ั หลาย ? ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ในกรณีน้ี ภิกษไุ ปแล้วสูป่ า่ หรือ โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมอ่ื หายใจออกยาว ก็รูช้ ัดว่าเราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เม่อื หายใจออกสน้ั กร็ ู้ชดั ว่าเราหายใจออกส้นั ;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 5​ 1 (แตน่ ี้ไดต้ รสั ไว้อยา่ งเดียวกัน ซึง่ เหมอื นในหน้า ๑–๔ ทกุ ประการ). ภิกษุท้งั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบคุ คล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างน้ีแล ย่อมเป็นไปเพื่อ การละสญั โญชน์ท้งั หลาย. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๖-๔๒๗/๑๔๐๖-๑๔๐๗.

5​ 2 พุทธวจน ๙ อานาปานสติสมาธิ สามารถกำ�จดั เสียได้ซ่ึงอนุสัย ภกิ ษุทงั้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื การก�ำ จดั เสยี ซง่ึ อนุสยั . ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างไรเล่า จึงเป็นไปเพื่อการ ก�ำ จดั เสียซง่ึ อนุสัย ? ภิกษุท้ังหลาย ! ในกรณีน้ี ภกิ ษุไปแลว้ สปู่ ่า หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เม่ือหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมอ่ื หายใจออกยาว กร็ ้ชู ดั วา่ เราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน, เม่อื หายใจออกสน้ั กร็ ูช้ ดั วา่ เราหายใจออกส้นั ;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 5​ 3 (แต่น้ไี ด้ตรัสไว้อย่างเดยี วกนั ซึง่ เหมอื นในหนา้ ๑–๔ ทกุ ประการ). ภิกษทุ ้งั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อนั บุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างน้ีแล ย่อมเป็นไปเพ่ือ การกำ�จัดเสียซงึ่ อนุสยั . มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๖/๑๔๐๘.

5​ 4 พุทธวจน ๑๐ อานาปานสติสมาธิ เปน็ เหตุใหร้ อบรซู้ ง่ึ ทางไกล (อวิชชา) ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือความรอบรู้ ซึ่งทางไกล (อวิชชา). ภิกษทุ ัง้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแลว้ ทำ�ใหม้ ากแลว้ อยา่ งไรเล่า จงึ เป็นไปเพ่ือความ รอบรทู้ างไกล ? ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! ในกรณีน้ี ภิกษุไปแล้วสปู่ ่า หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมอื่ หายใจออกยาว กร็ ู้ชดั ว่าเราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เม่อื หายใจออกสั้น กร็ ชู้ ดั ว่าเราหายใจออกสัน้ ;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 5​ 5 (แต่นีไ้ ด้ตรัสไวอ้ ยา่ งเดียวกัน ซ่งึ เหมือนในหน้า ๑–๔ ทกุ ประการ). ภิกษทุ ั้งหลาย ! อานาปานสตสิ มาธิ อนั บคุ คล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างน้ีแล ย่อมเป็นไป เพ่อื ความรอบรู้ทางไกล. มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๒๖/๑๔๐๙.

5​ 6 พุทธวจน ๑๑ อานาปานสติสมาธิ เป็นเหตใุ หส้ ิ้นอาสวะ ภกิ ษุทง้ั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไป แห่งอาสวะท้งั หลาย. ภิกษทุ งั้ หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างไรเล่า จึงเป็นไปเพื่อ ความส้นิ ไปแหง่ อาสวะท้งั หลาย ? ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ในกรณีน้ี ภิกษไุ ปแล้วสปู่ ่า หรือ โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว กร็ ู้ชดั วา่ เราหายใจออกยาว; เม่ือหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เมอื่ หายใจออกสั้น กร็ ชู้ ัดวา่ เราหายใจออกสั้น;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 5​ 7 (แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔ ทุกประการ). ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบคุ คล เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมเป็นไป เพือ่ ความสน้ิ ไปแห่งอาสวะทัง้ หลาย. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๖/๑๔๑๐.

5​ 8 พุทธวจน ๑๒ แบบการเจริญอานาปานสติทม่ี ีผลมาก (แบบทหี่ นง่ึ ) ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเอก อันบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ธรรมอนั เอกนน้ั คอื อะไรเล่า ? คอื อานาปานสติ. ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้วอย่างไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานสิ งส์ใหญ่ ? ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ในกรณีน้ี ภกิ ษไุ ปแล้วสู่ป่า หรือ โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมอื่ หายใจออกยาว กร็ ชู้ ัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน, เมื่อหายใจออกสนั้ ก็รู้ชดั วา่ เราหายใจออกสนั้ ;

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 5​ 9 (แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔ ทุกประการ). ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญ.่ มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๔/๑๓๐๕-๑๓๐๖.

6​ 0 พุทธวจน ๑๓ เจริญอานาปานสติ มอี านสิ งส์เปน็ เอนกประการ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจริญ กระท�ำ ให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ก็อานาปานสติสมาธิ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำ�ให้มาก แล้วอยา่ งไร จงึ มผี ลใหญ่ มอี านิสงส์ใหญ่ ? ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ในกรณนี ้ี ภกิ ษไุ ปแลว้ สปู่ า่ หรอื โคนไม้ หรอื เรอื นวา่ งกต็ าม นง่ั คขู้ าเขา้ มาโดยรอบ ตง้ั กายตรง ด�ำ รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอนน้ั มสี ตหิ ายใจเขา้ มสี ตหิ ายใจออก : เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว ก็รชู้ ดั ว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าส้ัน ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าส้ัน, เมือ่ หายใจออกสน้ั กร็ ชู้ ัดวา่ เราหายใจออกสน้ั ; (แต่นี้ได้ตรัสไว้อย่างเดียวกัน ซึ่งเหมือนในหน้า ๑–๔ ทุกประการ).

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 6​ 1 ภกิ ษุทง้ั หลาย ! อานาปานสติสมาธิ อันบุคคล เจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลใหญ่ มอี านสิ งสใ์ หญ.่ จิตหลดุ พ้นจากอาสวะ ภิกษทุ ง้ั หลาย ! แมเ้ ราเอง เม่อื ยังไม่ตรสั รู้ ก่อน การตรสั รู้ ยงั เปน็ โพธสิ ตั วอ์ ยู่ ยอ่ มอยดู่ ว้ ยวหิ ารธรรมนเ้ี ปน็ อันมาก. ภิกษุท้ังหลาย ! เม่ือเราอยู่ด้วยวิหารธรรมน้ี เปน็ อนั มาก กายกไ็ มล่ �ำ บาก ตากไ็ มล่ �ำ บาก และจติ ของเรา กห็ ลดุ พน้ จากอาสวะทง้ั หลาย เพราะไมถ่ อื มน่ั ดว้ ยอปุ าทาน. ภิกษุทัง้ หลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถ้าภิกษุ ปรารถนาว่า “กายของเราไม่พึงลำ�บาก ตาของเราไม่พึง ลำ�บาก และจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมน่ั ดว้ ยอปุ าทาน” ดังนแ้ี ล้วไซร;้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ่ี หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจให้เปน็ อย่างด.ี

6​ 2 พุทธวจน ละความด�ำ ริอันอาศัยเรือน ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เพราะเหตุน้นั ในเรอ่ื งนี้ ถ้าภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “ความระลกึ และด�ำ รอิ นั อาศยั เรอื นเหลา่ ใด ของเรามอี ยู่ ความระลกึ และความด�ำ รเิ หลา่ นน้ั พงึ สน้ิ ไป” ดงั นแ้ี ลว้ ไซร;้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ่ี หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจให้เปน็ อยา่ งด.ี ควบคุมความรสู้ กึ เกีย่ วความไมป่ ฏกิ ลู ภกิ ษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในเรือ่ งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ เปน็ ผมู้ สี ญั ญาวา่ ปฏกิ ลู ในสง่ิ ทไ่ี มเ่ ปน็ ปฏกิ ูลอยเู่ ถิด” ดงั นีแ้ ล้วไซร;้ อานาปานสติน้ีแหละ อันภิกษุนั้นพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เปน็ อยา่ งดี. ภิกษุทง้ั หลาย ! เพราะเหตุนนั้ ในเร่อื งน้ี ถา้ ภิกษุ ปรารถนาว่า “เราพงึ เปน็ ผูม้ ีสญั ญาว่า ไมป่ ฏิกลู ในสง่ิ ที่ ปฏิกูลอยเู่ ถิด” ดงั นีแ้ ลว้ ไซร;้

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 6​ 3 อานาปานสติน้ีแหละ อันภิกษุนั้นพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เปน็ อยา่ งดี. ภิกษทุ ง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ ั้นในเร่ืองนี้ ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ เป็นผมู้ ีสญั ญาวา่ ปฏกิ ลู ทงั้ ในสิ่งท่ี ไม่ปฏิกลู และทงั้ ในส่ิงทีป่ ฏกิ ลู อยู่เถดิ ” ดังนี้แล้วไซร้; อานาปานสติน้ีแหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ปน็ อยา่ งดี. ภิกษุทง้ั หลาย ! เพราะเหตนุ ้ันในเรื่องน้ี ถ้าภิกษุ ปรารถนาว่า “เราพึงเป็นผู้มีสัญญาว่า ไม่ปฏิกูลทั้งใน สง่ิ ทีป่ ฏกิ ูลและในสงิ่ ไมป่ ฏกิ ลู อยเู่ ถิด” ดังนีแ้ ล้วไซร้; อานาปานสติน้ีแหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ใหเ้ ป็นอยา่ งด.ี ภิกษทุ ้งั หลาย ! เพราะเหตนุ ัน้ ในเรือ่ งน้ี ถา้ ภิกษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ เปน็ ผเู้ วน้ ขาดจากความรสู้ กึ วา่ ปฏกิ ลู และความรสู้ กึ วา่ ไมเ่ ปน็ ปฏกิ ลู ทง้ั ๒ อยา่ งเสยี โดยเดด็ ขาด แลว้ เปน็ ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะอยเู่ ถดิ ” ดงั นแ้ี ลว้ ไซร้; อานาปานสตสิ มาธนิ แี้ หละ อนั ภกิ ษนุ น้ั พงึ ท�ำ ไว้ ในใจใหเ้ ปน็ อยา่ งดี.

6​ 4 พุทธวจน เป็นเหตุให้ได้สมาธิในระดบั รูปสญั ญาทั้งสี่ ภกิ ษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาว่า “เราพงึ เป็นผ้สู งดั จากกามทง้ั หลาย สงดั จาก อกศุ ลธรรมทงั้ หลาย เขา้ ถงึ ปฐมฌาน อนั มวี ติ กวจิ าร มปี ตี ิ และสุข อนั เกดิ จากวเิ วกแลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดังน้ีแลว้ ไซร;้ อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เปน็ อย่างดี. ภกิ ษทุ ้งั หลาย ! เพราะเหตนุ ้ันในเร่ืองนี้ ถา้ ภิกษุ ปรารถนาว่า “เพราะวิตกวิจารระงับไป เราพึงเข้าถึง ทตุ ิยฌาน อันเปน็ เคร่ืองผ่องใสแหง่ จิตในภายใน เพราะ ธรรมอันเอกคอื สมาธิ ผุดมีข้ึน ไม่มีวติ ก ไมม่ วี จิ าร มปี ีติ และสขุ อนั เกิดจากสมาธแิ ลว้ แลอย่เู ถดิ ” ดังนแ้ี ล้วไซร;้ อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เปน็ อย่างด.ี ภิกษทุ ้ังหลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เพราะความจางคลายไปแหง่ ปตี ิ เราพงึ เปน็ ผู้ อยอู่ เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะ เสวยสขุ ดว้ ยกาย (สขุ จฺ กาเยน) ชนดิ ทพ่ี ระอรยิ เจา้ กลา่ ววา่ ผนู้ น้ั เปน็ ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ติ มกี าร อยเู่ ปน็ สขุ , เขา้ ถงึ ตตยิ ฌาน แลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดงั นแ้ี ลว้ ไซร;้

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 6​ 5 อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เป็นอยา่ งด.ี ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในเรอื่ งนี้ ถา้ ภิกษุ ปรารถนาว่า “เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความ ดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน เราพึงเข้าถึง จตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความบริสุทธ์ิ แหง่ สติ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยูเ่ ถิด” ดงั นแ้ี ล้วไซร;้ อานาปานสตสิ มาธนิ แ้ี หละ อนั ภกิ ษนุ นั้ พงึ ท�ำ ไว้ ในใจใหเ้ ปน็ อย่างด.ี เปน็ เหตใุ หไ้ ด้สมาธใิ นระดบั อรปู สัญญาท้งั สี่ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! เพราะเหตุนน้ั ในเรื่องนี้ ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาว่า “เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาเสียโดยประการ ท้ังปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญาทั้งหลาย เพราะการไมก่ ระท�ำ ในใจ ซง่ึ นานตั ตสญั ญามปี ระการตา่ งๆ เราพึงเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ อันมีการทำ�ในใจว่า อากาศไมม่ ที ่สี ดุ ดังนแี้ ลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดงั น้ีแล้วไซร้; อานาปานสติน้ีแหละ อันภิกษุนั้นพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เป็นอย่างด.ี

6​ 6 พุทธวจน ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี ถา้ ภกิ ษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ กา้ วลว่ งอากาสานญั จายตนะโดยประการ ทง้ั ปวงเสยี แลว้ พงึ เขา้ ถงึ วญิ ญาณญั จายตนะ อนั มกี ารท�ำ ในใจวา่ วญิ ญาณไมม่ ที ส่ี ดุ ดงั นแ้ี ลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดงั นแ้ี ลว้ ไซร;้ อานาปานสติน้ีแหละ อันภิกษุนั้นพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เป็นอย่างด.ี ภิกษุท้งั หลาย ! เพราะเหตนุ ั้นในเร่ืองน้ี ถ้าภกิ ษุ ปรารถนาว่า “เราพึงก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะเสียโดย ประการทง้ั ปวง เขา้ ถงึ อากญิ จญั ญายตนะ อนั มกี ารท�ำ ในใจ วา่ ไม่มีอะไร แลว้ แลอย่เู ถดิ ” ดังน้ีแล้วไซร้; อานาปานสตินี้แหละ อันภิกษุน้ันพึงทำ�ไว้ในใจ ให้เป็นอย่างด.ี ภิกษุทงั้ หลาย ! เพราะเหตุน้ันในเรอื่ งนี้ ถา้ ภิกษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ กา้ วลว่ งอากญิ จญั ญายตนะเสยี โดยประการ ทง้ั ปวง เขา้ ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะแลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดังน้ีแล้วไซร;้ อานาปานสตสิ มาธนิ แี่ หละ อนั ภกิ ษนุ นั้ พงึ ท�ำ ไว้ ในใจให้เป็นอยา่ งดี.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 6​ 7 เป็นเหตุให้ไดส้ ัญญาเวทยิตนโิ รธ ภิกษทุ งั้ หลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรือ่ งนี้ ถา้ ภิกษุ ปรารถนาวา่ “เราพงึ กา้ วล่วงซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะ เสียได้โดยประการท้ังปวง เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ แลว้ แลอยเู่ ถดิ ” ดงั นี้แล้วไซร้; อานาปานสตสิ มาธนิ แี้ หละ อนั ภกิ ษนุ นั้ พงึ ท�ำ ไว้ ในใจให้เป็นอยา่ งด.ี รู้ตอ่ เวทนาทุกประการ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! เมื่ออานาปานสติสมาธิ อนั ภกิ ษุ เจริญแล้ว ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยู่อย่างน;้ี ถ้าภิกษุนั้นเสวย เวทนาอันเป็นสุข เธอย่อม รู้ตัวว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเรา ไม่เพลิดเพลนิ เฉพาะแลว้ ดังน.ี้ ถ้าภิกษุน้ันเสวย เวทนาอันเป็นทุกข์ เธอย่อม รู้ตัวว่า เวทนาน้ันไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น

6​ 8 พุทธวจน อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อันเรา ไมเ่ พลิดเพลินเฉพาะแล้ว ดงั น้ี. ถ้าภิกษุนั้นเสวย เวทนาอันไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ เธอย่อมรู้ตัวว่า เวทนาน้ันไม่เที่ยง เธอย่อมรู้ตัวว่าเวทนา น้ัน อันเราไม่สยบมัวเมาแล้ว ย่อมรู้ตัวว่าเวทนานั้น อนั เราไม่เพลิดเพลินเฉพาะแลว้ ดงั น้ี. ภิกษุนั้น ถ้าเสวย เวทนาอันเป็นสุข ก็เป็นผู้ ไมต่ ดิ ใจพวั พนั เสวยเวทนานน้ั ; ถา้ เสวยเวทนาอนั เปน็ ทกุ ข์ ก็เป็นผู้ไม่ติดใจพัวพันเสวยเวทนาน้ัน; ถ้าเสวยเวทนา อนั เปน็ อทกุ ขมสขุ กเ็ ปน็ ผไู้ มต่ ดิ ใจพวั พนั เสวยเวทนานนั้ . ภกิ ษนุ นั้ เมอ่ื เสวย เวทนาอนั มกี ายเปน็ ทส่ี ดุ รอบ ย่อมรู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ; เมื่อเสวย เวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันมีชีวิตเป็นที่สุดรอบ. เธอย่อม รู้ชัดว่า เวทนาทง้ั ปวงอนั เราไมเ่ พลดิ เพลนิ แลว้ จกั เปน็ ของดบั เยน็ ในอัตตภาพน้ีน่ันเทียว จนกระท่ังถึงท่ีสุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตกท�ำ ลายแหง่ กาย ดงั น.้ี

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 6​ 9 ภกิ ษุท้งั หลาย ! เปรยี บเหมอื นประทปี น�้ำ มนั ได้ อาศยั น�้ำ มนั และไสแ้ ลว้ กล็ กุ โพลงอยไู่ ด,้ เมอ่ื ขาดปจั จยั เครื่องหล่อเลี้ยง เพราะขาดน้ำ�มันและไส้นั้นแล้ว ย่อมดบั ลง, นี้ฉนั ใด; ภิกษทุ งั้ หลาย ! ข้อน้ีก็ฉันน้ัน คือภิกษุเมื่อเสวย เวทนาอันมีกายเป็นที่สุดรอบ, ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนา อนั มกี ายเปน็ ทส่ี ดุ รอบ ดงั น.้ี เมอ่ื เสวยเวทนาอนั มชี วี ติ เปน็ ทส่ี ดุ รอบ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยเวทนาอนั มชี วี ติ ทส่ี ดุ รอบ ดงั น.้ี (เป็นอันว่า) ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดว่า เวทนาทั้งปวงอันเรา ไม่เพลิดเพลินแล้ว จักเป็นของดับเย็นในอัตตภาพนี้ นั่นเทียว จนกระทั่งถึงท่ีสุดรอบแห่งชีวิต เพราะการแตก ทำ�ลายแห่งกาย ดังน้.ี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๐๐-๔๐๔/๑๓๒๗-๑๓๔๗.

7​ 0 พุทธวจน

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 7​ 1 ๑๔ แบบการเจรญิ อานาปานสติท่มี ีผลมาก (แบบทีส่ อง) ภกิ ษทุ ้ังหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็ อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำ�ให้มาก แล้วอยา่ งไร จึงมีผลมาก มอี านิสงสม์ าก ? ภิกษุท้งั หลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบดว้ ยอานาปานสติ อันเปน็ สัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ (ความจางคลาย) อาศยั นโิ รธ (ความดบั ) นอ้ มไปเพอ่ื โวสสคั คะ (ความสละลง); ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;

7​ 2 พุทธวจน ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันประกอบ ด้วยอานาปานสติ อันเป็นสัมโพชฌงค์ที่อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อโวสสัคคะ; ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ยอ่ มมผี ลมาก มอี านสิ งสม์ าก. มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๕/๑๓๐๗-๑๓๐๘.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 7​ 3 ๑๕ เจริญอานาปานสติ มีอานสิ งสเ์ ป็นเอนกประการ (อกี สตู รหนึง่ ) ภกิ ษุท้ังหลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็ อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระท�ำ ให้มาก แลว้ อย่างไร ยอ่ มมผี ลมาก มอี านสิ งสม์ าก ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อาศัย วเิ วก อาศยั วริ าคะ (ความจางคลาย) อาศยั นโิ รธ (ความดบั ) น้อมไปเพื่อโวสสคั คะ (ความสละลง); (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุทงั้ หลาย ! อานาปานสติอนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อย่างนี้ กระทำ�ให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมมีผลมาก มอี านสิ งส์มาก.

7​ 4 พุทธวจน ไดบ้ รรลุมรรคผลในปัจจบุ นั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย! เมอ่ื อานาปานสติอนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ พงึ หวงั ผลได้ ๒ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื อรหตั ตผลในปจั จบุ นั หรอื เมอ่ื ยงั มคี วามยดึ ถอื เหลอื อยู่ ยอ่ มเปน็ พระอนาคามี. กอ็ านาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งไร กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งไร พงึ หวงั ผลได้ ๒ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื อรหตั ตผลในปจั จบุ นั หรอื เมอ่ื ยงั มคี วามยดึ ถอื เหลอื อยู่ ย่อมเป็นพระอนาคามี ? ภกิ ษทุ ั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อัน เป็นสัมโพชฌงค์ท่ีอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในการสละ; (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษทุ ง้ั หลาย ! เมอ่ื อานาปานสติอนั บคุ คลเจรญิ แล้วอย่างน้ี กระทำ�ให้มากแล้วอย่างน้ีแล พึงหวังผลได้

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 7​ 5 ๒ อยา่ ง อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ คอื อรหตั ตผลในปจั จบุ นั หรอื เม่ือยังมีความยดึ ถอื เหลืออยู่ ยอ่ มเปน็ พระอนาคาม.ี เพือ่ ประโยชนม์ าก ภกิ ษุท้งั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือ ประโยชน์มาก (มหโต อตถฺ าย) กอ็ านาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ อยา่ งไร กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งไร ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนม์ าก. ภกิ ษุทงั้ หลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจริญ สตสิ ัมโพชฌงค์ อนั ประกอบดว้ ยอานาปานสติ อันเป็น สมั โพชฌงคท์ อี่ าศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอ้ มไป ในการสละ; (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษทุ ั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้วอย่างนี้ กระทำ�ให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมเป็นไป เพื่อประโยชนม์ าก.

7​ 6 พุทธวจน เพ่ือความเกษมจากโยคะมาก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำ ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอ่ื ความเกษมจากโยคะมาก (มหโต โยคกฺเขมาย) ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร ย่อมเป็นไปเพ่ือ ความเกษมจากโยคะมาก ? ภกิ ษุท้งั หลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อัน เป็นสัมโพชฌงค์ท่ีอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในการสละ; (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุท้ังหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้วอย่างน้ี กระทำ�ให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมเป็นไป เพื่อความเกษมจากโยคะมาก.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 7​ 7 เพื่อความสังเวชมาก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสังเวชมาก (มหโต สเวคาย) ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร ย่อมเป็นไปเพ่ือ ความสงั เวชมาก ? ภิกษทุ ง้ั หลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อัน เป็นสัมโพชฌงค์ท่ีอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ; (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภิกษุทัง้ หลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้วอย่างน้ี กระทำ�ให้มากแล้วอย่างน้ีแล ย่อมเป็นไป เพ่อื ความสังเวชมาก.

7​ 8 พุทธวจน เพ่อื อยเู่ ป็นผาสุกมาก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! อานาปานสติ อนั บคุ คลเจรญิ แลว้ กระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ืออยู่เป็นผาสุกมาก (มหโต ผาสุวิหาราย) ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างไร กระทำ�ให้มากแล้วอย่างไร ย่อมเป็นไปเพ่ือ อย่เู ปน็ ผาสุกมาก ? ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์ อันประกอบด้วยอานาปานสติ อัน เป็นสัมโพชฌงค์ท่ีอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในการสละ; (แตน่ ไ้ี ดต้ รสั ไวอ้ ยา่ งเดยี วกนั ซง่ึ เหมอื นในหนา้ ๗๑–๗๒ ทกุ ประการ). ภกิ ษุทงั้ หลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ แล้วอย่างนี้ กระทำ�ให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมเป็นไป เพือ่ อยู่เปน็ ผาสกุ มาก.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 7​ 9 ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ! แมน่ ำ�้ คงคาไหลไปสู่ทศิ ปราจนี หล่ังไปสู่ทศิ ปราจีน บ่าไปสทู่ ิศปราจีน ฉันใด ภิกษุผู้เจริญ โพชฌงค์ ๗ ก็ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่ นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน ก็ภิกษุ ผเู้ จรญิ โพชฌงค์ ๗ กระท�ำ ให้มากซง่ึ โพชฌงค์ ๗ อยา่ งไร ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่ นพิ พาน. ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมเจริญ สติสมั โพชฌงค์ อันอาศัยวเิ วก อนั อาศัยวิราคะ อันอาศัย นิโรธ น้อมไปในการสละ; ยอ่ มเจริญ ธัมมวจิ ยสมั โพชฌงค์ อันอาศยั วิเวก อันอาศยั วิราคะ อนั อาศยั นิโรธ นอ้ มไปในการสละ; ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศยั วิราคะ อนั อาศยั นโิ รธ น้อมไปในการสละ; ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศยั วิราคะ อนั อาศัยนโิ รธ นอ้ มไปในการสละ;

8​ 0 พุทธวจน ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในการสละ; ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อนั อาศัยวริ าคะ อนั อาศยั นโิ รธ นอ้ มไปในการสละ; ยอ่ มเจรญิ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อนั อาศัยวิเวก อันอาศัยวริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในการสละ; ภิกษทุ ัง้ หลาย ! ภิกษุผู้เจริญโพชฌงค์ ๗ กระทำ�ใหม้ าก ซ่ึงโพชฌงค์ ๗ อยา่ งน้ีแล ย่อมเปน็ ผู้ นอ้ มไปสู่นพิ พาน โน้มไปสูน่ พิ พาน โอนไปสนู่ ิพพาน. มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๘๑/๖๕๕.

ฉบับ ๖ อานาปานสติ 8​ 1 ๑๖ เจริญอานาปานสติ ชอ่ื ว่าไม่เหินห่างจากฌาน ภิกษุท้งั หลาย ! ถ้าภิกษุ เจรญิ อานาปานสติ แมช้ ัว่ กาลเพยี งลดั น้วิ มือ ภกิ ษุนเ้ี รากลา่ ววา่ อยูไ่ มเ่ หนิ ห่างจากฌาน ทำ�ตามคำ�สอนของพระศาสดาปฏิบัติตามโอวาท ไมฉ่ นั บณิ ฑบาตของชาวแวน่ แควน้ เปลา่ กจ็ ะปว่ ยกลา่ วไปไย ถึงผู้กระท�ำ ใหม้ ากซึง่ อานาปานสติน้นั เล่า. เอก. อ.ํ ๒๐/๕๔-๕๕/๒๒๔.

8​ 2 พุทธวจน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook