ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ จะสู้กับมันซ่ึงๆ หน้า โดยใช้สติอย่างเดียว เห็นจะไม่ได้ผล เราก็ ต้องมีวธิ ี หรืออบุ ายอย่างอ่ืนเขา้ มาเสรมิ ด้วย ถ้าหากมีนิวรณ์ หรืออกุศลวิตกที่ไม่ดีเกิดข้ึน พระพุทธองค์ ทรงแนะน�ำไว้อย่างเป็นข้ันเป็นตอน เริ่มตั้งแต่การพิจารณา หรือ เอานมิ ติ อน่ื มาเปน็ อารมณ์ นมิ ติ ในทนี่ ี้ ไมไ่ ดห้ มายถงึ แสง ส ี เสยี ง แต่หมายถึง สิ่งที่เราเอามาเป็นจุดสนใจของจิต หรือเป็นฐานของ การปฏบิ ตั ิ เชน่ ลมหายใจ หรอื อริ ยิ าบถ การสรา้ งจงั หวะ เดนิ จงกรม พูดอีกอย่างคือ เอาส่ิงอ่ืนมาเป็นจุดสนใจของจิตแทน จะเรียกว่า หันเหความสนใจของจิต ออกจากส่ิงท่ีมารบกวนก็ได้ อย่างเช่น ถ้าเดินจงกรมแล้วรู้สึกง่วงมาก เราลองหันหน้ามองไปไกลๆ หรือ เงยหน้ามองท้องฟ้า การเปล่ียนจุดสนใจก็อาจช่วยให้หายง่วงได้ เวลามีความโกรธก็เช่นกัน ถ้าสติของเรายังอ่อน หากใช้สติดู ความโกรธ กอ็ าจเผลอจมลงไปในความโกรธ โดนความโกรธครอบงำ� เอา จึงต้องเอาส่ิงอ่ืนมาเป็นจุดสนใจแทน เช่น ตามลมหายใจ หายใจเข้าลกึ ๆ หายใจออกยาวๆ บางครง้ั พระพทุ ธเจา้ ทรงแนะนำ� ใหใ้ ชว้ ธิ ที บทวนขอ้ ธรรมทไ่ี ดย้ นิ ไดฟ้ งั มา ในเวลาทต่ี อ้ งตอ่ สกู้ บั ความงว่ ง อยา่ งพระมหาโมคคลั ลานะ ท่านใช้วิธีน้ี พอได้ทบทวนข้อธรรมก็หายง่วงได้เหมือนกัน อันน้ี เรยี กวา่ เอานมิ ติ อน่ื มาเปน็ อารมณแ์ ทน คอื ถา้ จะเอาสตไิ ปดคู วามงว่ ง อาจไมไ่ ดผ้ ล ตอ้ งหาสงิ่ อน่ื มาเปน็ อารมณ ์ หรอื เปน็ จดุ สนใจของจติ แทน วธิ หี นง่ึ ท่ชี ว่ ยไดบ้ ้าง แต่ไมค่ วรใชบ้ ่อย ควรใช้เปน็ วิธีสุดท้าย หลงั จากใชว้ ธิ อี นื่ แลว้ เชน่ ขณะทเ่ี รางว่ ง เราลองนกึ ถงึ ใครสกั คนที่ 100
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เราโกรธหรอื เกลยี ด บางครง้ั กท็ ำ� ใหห้ ายงว่ งไดเ้ หมอื นกนั เพราะวา่ จิตจะถกู กระตุ้นใหต้ นื่ ตัว หรืออาจรู้สึกเหมือนถกู ไฟลนเลยทีเดียว แตว่ า่ วธิ นี ไ้ี มค่ วรใชบ้ อ่ ย เพราะมนั มผี ลเสยี ดว้ ย เหมอื นกบั เวลาเรา จะไล่หนูที่มาทำ� รังในบ้าน ถ้าเราใช้วิธีจุดไฟไล ่ มันก็เสี่ยงอันตราย เกนิ ไป มันไลห่ นไู ดก้ ็จริงอย ู่ แต่กอ็ าจท�ำใหเ้ กดิ ไฟไหม้บ้านได้ ถ้าหากเราเอานิมิตอ่ืนมาเป็นอารมณ์แล้วยังไม่หาย ก็ให้ พจิ ารณาโทษของอารมณน์ นั้ เชน่ เมอื่ มคี วามโกรธ ความหงดุ หงดิ เกิดขึ้น ให้พิจารณาว่า มันมีโทษอย่างไรบ้าง เราโกรธเขา แล้ว เขาเป็นอะไรหรือเปล่า มีแต่เราเองที่ร้อนรุ่มเป็นทุกข์ ถ้าหากว่า พิจารณาแล้วมันยังไม่หาย ท่านว่าก็อย่าไปใส่ใจอารมณ์นั้น คือ เมินเฉยเลย แต่ถ้ายังท�ำไม่ได้ ก็ให้พิจารณาอารมณ์นั้นว่าเกิดจาก เหตุใด อะไรเป็นสาเหต ุ ถ้ายังไม่หายกใ็ หเ้ อาลิ้นกดเพดานปากไว้ อบุ ายวธิ แี กน้ วิ รณม์ หี ลายสว่ น สว่ นแรก คอื การไมเ่ อาใจใส ่ กับอารมณ์นั้น หรือหันไปสนใจอย่างอ่ืนแทน เพื่อดึงจิตออกจาก อารมณอ์ กศุ ล เวลาอกศุ ลวติ กเกดิ ขน้ึ รบกวนจติ ใจ เรากห็ นั ไปจดจอ่ อย่างอื่นแทน เรียกว่า หันหลังให้มัน หรือไม่ใส่ใจมัน หากจะไปสู้ กับมันตรงๆ ก็ไม่ไหว ก็ต้องหันหลังให้มัน หรือหันไปสนใจกับ ส่ิงอื่นๆ แทน อันน้ีเป็นวิธีที่เราใช้กันปกติอยู่แล้ว เช่น เวลาเรา เครียดหรือกลุ้มใจ เราก็ไปฟังเพลง หรือไปหาขนมอร่อยๆ กิน น้ีเป็นวิธีที่เราใช้ในชีวิตประจ�ำวัน แต่ว่ามันมีข้อเสีย เพราะเป็น การพง่ึ พาสง่ิ ภายนอกมากเกนิ ไป และเปน็ การสง่ เสรมิ ใหใ้ จตดิ ยดึ ในกามมากขนึ้ แตน่ เ้ี ปน็ วธิ ที ผี่ คู้ นใชบ้ อ่ ย บางทกี ไ็ ปดมื่ เหลา้ ไปหา ความบนั เทงิ เรงิ รมย ์ หรอื ไปเทย่ี วหา้ ง เพอื่ คลายเครยี ด นเี้ ปน็ ตวั อยา่ ง 101
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ของการเปล่ียนอารมณ์ แต่ไม่ใช่วิธีที่ดี เพราะเป็นการหันไปหา อารมณ์ท่ีหยาบ ซ่ึงกระตุ้นราคะหรือโมหะ เราควรใช้อารมณ์ที่ดี ที่ละเอียด หรือประเสริฐกว่าน้ัน เช่น ไปมองดอกบัวให้หายง่วง หรอื ถ้าไมห่ าย กไ็ ปกวาดใบไม ้ ถบู ้าน เป็นต้น ทนี่ ที่ กุ ปเี ราจะมโี ครงการธรรมยาตรา คอื เดนิ ไปตามหมบู่ า้ น ตา่ งๆ บนภแู ลนคา เพอ่ื ปลกุ สำ� นกึ ดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ใชเ้ วลา ๘ วนั ๗ คนื ตลอดทางตอ้ งเดนิ กลางแดด แตเ่ รากม็ กี ารเจรญิ สตไิ ปดว้ ย คือเดินอย่างสงบ และดูจิตดูใจไปด้วย เรามีค�ำขวัญเตือนผู้เดินว่า “กายรอ้ น แตใ่ จไมร่ อ้ น” “กายเมอ่ื ย แตใ่ จไมเ่ มอื่ ย” จะทำ� อยา่ งนนั้ ไดต้ อ้ งมสี ตริ ะหวา่ งเดนิ แตค่ นทส่ี ตไิ มแ่ ขง็ แรง กค็ งทำ� อยา่ งทแี่ นะนำ� ไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีอื่นเพื่อสู้กับทุกขเวทนา ในขณะที่ก�ำลังร้อนหรือ เมอ่ื ย เชน่ เดนิ ไปกน็ บั กา้ วไป พอไปมสี มาธอิ ยกู่ ารนบั กจ็ ะไมร่ บั รู้ ความรอ้ นเท่าใด ทุกปี จะมีนักเรียนจากกรุงเทพฯ มาเดินด้วย วันแรกๆ หลายคนจะรู้สึกท้อ เพราะเหนื่อยและร้อน อาตมาจะแนะให้เขา ลองนบั กา้ วด ู ปรากฏวา่ เดนิ สบายขน้ึ คอื เมอื่ ยนอ้ ยลง และไมร่ สู้ กึ ร้อนเลย เพราะใจมีสมาธิกับการนับก้าว เลยไม่ไปรับรู้ความทุกข์ ทางกาย บางคนก็เอาใจไปก�ำหนดอยู่ท่ีเสียงกลอง เพราะเรามี กลองตีอยู่หน้าขบวน พอใจไปจดจ่ออยู่กับเสียงกลอง ก็ไม่รับรู้ ความร้อนและความเมื่อย ท�ำให้หายร้อนหายเมื่อยได้เหมือนกัน นเ้ี ปน็ วธิ ที เ่ี รยี กวา่ เปลย่ี นอารมณ์ หรอื เอานมิ ติ อนื่ มาเปน็ อารมณ์ แทน เพอื่ ดงึ จติ ออกจากอารมณท์ เ่ี ปน็ อกศุ ล กบั ความงว่ งวธิ นี กี้ ใ็ ชไ้ ด้ เหมือนกัน เช่น น่ังแล้วง่วง ก็เปล่ียนอิริยาบถมาเป็นยืน หรือถ้า 102
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ยนื ไมห่ าย กเ็ ปลย่ี นมาเดนิ เดนิ ไมห่ ายกค็ วา้ ไมก้ วาดมากวาด เอา จิตมาก�ำหนดอยทู่ ี่การกวาดพน้ื หรือกวาดใบหญ้าแทน กส็ ามารถ ดึงจติ ออกจากความงว่ งได ้ เรียกวา่ เปน็ การเปลยี่ นอารมณ์ อกี สว่ นคอื การใชค้ วามคดิ หรอื ใชป้ ญั ญาเพอ่ื พจิ ารณาอารมณ์ นั้น เรียกว่าใช้ปัญญาสู้กับอารมณ์ โดยพิจารณาอกุศลวิตก หรือ นิวรณ์ว่า มันมีโทษอย่างไรบ้าง หรือมันมีสาเหตุจากอะไร ทันทีท่ี เราใช้ปัญญาพิจารณาอารมณ์ จิตก็จะหลุดออกจากอารมณ์นั้นๆ ไดเ้ หมอื นกนั ถา้ ไมท่ ำ� อะไรเลย จติ กจ็ ะพลดั จมอยใู่ นความงว่ งหรอื ความเครียด พอเรามาพิจารณาโทษของมัน จิตก็มีงานท�ำ และ เปน็ การสรา้ งความรตู้ วั ใหเ้ กดิ ขน้ึ เพราะจะพจิ ารณาโทษของมนั ได้ ก็ต้องมีความรู้สึกตัวก่อน ความรู้สึกตัวน้ีแหละ ที่ช่วยให้จิตหลุด จากอกุศลวิตกหรือนิวรณไ์ ด้ การพิจารณาโทษของมัน หรือใคร่ครวญสาวหาสาเหตุว่า มันเกิดจากอะไร จะท�ำให้เรารู้ว่า อารมณ์เหล่านี้ไม่ดีอย่างไรบ้าง บางคนหนักไปทางด้านการคิดจนฟุ้งซ่าน พอหันมาพิจารณามัน ก็เห็นเลยว่าฟุ้งซ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ห่วงลูกท�ำไมในเม่ือห่วงไป กท็ ำ� อะไรไมไ่ ด ้ เพราะลกู อยบู่ า้ น แตเ่ ราตอนนอ้ี ยวู่ ดั หว่ งไปกไ็ มม่ ี ประโยชน์ คิดแบบนี้ก็ช่วยลดความวิตกกังวลได้ บางคนมีความ ลงั เลสงสยั วา่ ปฏบิ ตั ธิ รรมแลว้ มปี ระโยชนห์ รอื เปลา่ หรอื ไมก่ ค็ ดิ วา่ ยังไม่จ�ำเป็นต้องปฏิบัติตอนน้ีก็ได้ เรายังอายุไม่มาก มีเวลาเหลือ อีกเยอะท่ีจะมาปฏิบัติ เอาไว้มีอายุมากกว่าน้ีค่อยมาปฏิบัติก็ได้ มันจะมคี วามคิดแบบน้ีมารบกวน ทำ� ใหไ้ ม่อยากปฏบิ ตั ิ 103
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ ความคิดแบบนี้ เป็นนิวรณ์อย่างหน่ึงเรียกว่า วิจิกิจฉา ถ้า ฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย ก็เรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ กิเลสจะ ปรงุ นวิ รณเ์ หลา่ นอ้ี อกมา เพอ่ื ขดั ขวางการปฏบิ ตั ิ เราตอ้ งใชป้ ญั ญา มาพิจารณา เพื่อมองให้เห็นโทษของอารมณ์เหล่านั้น ว่ามัน ไม่มีประโยชน์ จะกังวลถึงลูกหรือพ่อแม่อย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ หรือถ้ามองเห็นโทษของมัน เช่น เห็นว่าความโกรธเผาลนจิตใจ ของเราอยา่ งไร เวลาเราแชง่ คนอน่ื ใหต้ กนรก คนทตี่ กนรกคนแรก ก็คือตัวเราเอง ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้บ่อยๆ เข้า ก็จะปล่อยวาง ความโกรธไดง้ า่ ยขน้ึ อนั นีค้ อื อุบายในการจดั การกบั อารมณ์ตา่ งๆ ที่จริง นอกจากการแก้นิวรณ์ด้วยวิธีวางใจอย่างที่พูดมาแล้ว เรายงั สามารถใชก้ ายใหเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ดด้ ว้ ย เชน่ เวลาเราฟงุ้ ซา่ น ขณะเดินจงกรม เราลองเดินให้ช้าลง ความฟุ้งซ่านจะน้อยลง การทอดสายตากม็ สี ว่ นเหมอื นกนั ถา้ ทอดสายตาหรอื มองไปไกลๆ ก็อาจจะฟุ้งซ่านได้ง่าย แต่ส�ำหรับคนที่ง่วงหรือเครียด การมองไป ไกลๆ หรือแหงนหน้ามองท้องฟ้ากลับช่วยได้ ใจท่ีง่วงซึม เปรียบ เหมอื นกบั สระทมี่ จี อก มแี หนปกคลมุ แตพ่ อเรามองฟา้ ใจจะสวา่ ง เหมอื นจอกแหนถกู แหวกออก เหน็ ผวิ นำ�้ ชดั เจน วธิ นี ชี้ ว่ ยแกอ้ าการ งว่ งซมึ ได ้ แตส่ ำ� หรบั คนทฟ่ี งุ้ ซา่ น วธิ นี ไี้ มเ่ หมาะ กลบั จะทำ� ใหฟ้ งุ้ มากข้ึน อย่าทอดสายตาให้ไกลจากตัวมากนัก เช่น แค่เมตรหรือ เมตรคร่ึงจากเทา้ ก็พอ เวลาเกิดราคะ หรือเกิดความโกรธ เกิดความหงุดหงิด หรือความเครียด ลองสังเกตดูลมหายใจของเรา มันเป็นอย่างไร หายใจถ่ีสั้นหรือเปล่า ลองสังเกตร่างกายของเรา ว่ามันเครียด 104
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล มนั ตงึ ไหม กดั ฟนั หรอื ไม ่ กำ� มอื แนน่ ไหม เมอื่ รเู้ ชน่ นน้ั ลองหายใจ เข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สักสิบคร้ัง หรือว่าคลายมือ อย่าไป กัดฟัน เมอ่ื ร่างกายผอ่ นคลาย ใจก็พลอยคลายไปดว้ ย กายกบั ใจสมั พนั ธก์ นั มาก เวลาใจเครยี ด กายกพ็ ลอยเครยี ด ด้วย เกิดอาการตึง เกร็ง ตามส่วนต่างๆ เราสามารถผ่อนคลาย จติ ใจดว้ ยการผอ่ นคลายรา่ งกาย ลองใชก้ ายของเราใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ในการบรรเทานวิ รณ ์ เชน่ ถา้ ฟงุ้ ซา่ นกเ็ ดนิ ใหช้ า้ ลง ถา้ เครยี ดกล็ อง มองไปข้างหน้าไกลๆ ถ้าก้มหน้ามากไปก็เครียดง่าย การท�ำอะไร พอดๆี ในส่วนของกาย จะชว่ ยให้ใจอยใู่ นภาวะทพ่ี อดีๆ ไปดว้ ย แต่ความพอดีน้ันเป็นเร่ืองท่ีแต่ละคนต้องหาเอาเอง เดนิ แคไ่ หน ถงึ จะพอด ี แตล่ ะคนตอ้ งหาเอง ความพอดขี องแตล่ ะคนไมเ่ หมอื นกนั บางคนมวั ไปมองคนอนื่ วา่ เขาเดนิ อยา่ งไร กไ็ ปเดนิ อยา่ งนนั้ ตามเขา ช้าของเขา แต่อาจเป็นเร็วของเราก็ได้ ถ้าเดินตามเขา ก็อาจ มปี ญั หาได้ แม้กระทั่งการแก้อารมณ์หรือแก้นิวรณ์ต่างๆ ก็มีวิธีการ ไมเ่ หมอื นกนั อยา่ งอาตมา พอเปลย่ี นอริ ยิ าบถกช็ ว่ ยไดม้ าก ถา้ หาก ง่วงมากๆ ก็เอาน�้ำลูบหน้า หรือไม่ก็ไปอาบน�้ำ อย่าพยายามนอน โดยเฉพาะถ้าง่วง เพราะใจมันเบ่ือ ใจมันเซ็ง สังเกตไหม บางวัน เรานอนเต็มที่แล้ว แต่พอปฏิบัติก็ยังง่วงอยู่ ปฏิบัติแค่ ๑๐ นาที ๒๐ นาทีก็ง่วงแล้ว แสดงว่ามีสาเหตุมาจากจิตใจ ไม่ใช่เพราะ กายอ่อนเพลียหรือนอนไม่พอ ถ้าหากเรานอนน้อยแล้วรู้สึกง่วง ก็น่านอนอยู่ เพ่ือให้กายหายเพลีย แต่ถ้านอนเต็มท่ีแล้วยังง่วงอยู่ อนั นแ้ี สดงวา่ ใจงว่ ง เบอื่ ไมใ่ ชก่ ายงว่ ง ถา้ เราลงไปนอน กเ็ ทา่ กบั วา่ 105
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ เรายอมแพก้ เิ ลส มนั เลน่ งานเราไปแลว้ ตอ่ ไปมนั จะไดใ้ จ จะแกลง้ งว่ งอกี เพอื่ ใหเ้ ราเลกิ ปฏบิ ตั ิ กรณอี ยา่ งน ี้ เราตอ้ งพยายามฝนื อยา่ ไปนอนกลางวัน ทีแรกยิ่งฝืนก็ยิ่งง่วง เหมือนกับเดินข้ึนเขา ยิ่งสูง กย็ งิ่ เหนอื่ ย แตพ่ อเราขนึ้ ไปถงึ ยอดเขาแลว้ จะรสู้ กึ สบาย หลงั จาก นนั้ กม็ แี ตเ่ ดนิ ลงเขา ซง่ึ เดนิ สบายมาก ความงว่ งกเ็ ชน่ กนั ถา้ ฝนื มนั จะรสู้ กึ งว่ งมาก แตพ่ องว่ งถงึ ขดี สดุ ถา้ ผา่ นจดุ นนั้ ไปได ้ กจ็ ะหายงว่ ง จุดนั้นอยู่ตรงไหน เราต้องหาเอาเอง แต่ถ้าเรายอมแพ้ความง่วง อย่เู รือ่ ยไป กจ็ ะไมพ่ บจดุ น้นั สรุปแลว้ อบุ ายแก้นิวรณ์ม ี ๔ วธิ คี ือ ๑. รดู้ ้วยสต ิ นีเ้ ปน็ วธิ ที ่ดี ีทส่ี ุด ๒. เปลี่ยนอารมณ์ ถ้าหากเราไม่มีสติที่ว่องไวปราดเปรียว พอที่จะรู้ทันนิวรณ์ ก็ใช้วิธีเปล่ียนอารมณ์ โดยไปจดจ่อใส่ใจสิ่งอ่ืน แทน อันนี้จะเรียกว่าใช้วิธีแบบสมถะก็ได้ เปล่ียนความสนใจไป จดจ่อทสี่ ่งิ อ่นื แทน จะอยูใ่ นตัวหรอื อย่นู อกตวั ก็แลว้ แต่ ๓. พิจารณาด้วยปัญญา คือการพิจารณาหาสาเหตุหรือ ใครค่ รวญถึงโทษของนวิ รณ์ ทง้ั สามวธิ นี ้กี ค็ อื การใช้ สต ิ สมาธิ และปญั ญา ๔. ใช้กายให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการเดิน การก้ม การเงย การมอง หรือการใช้ลมหายใจ สามารถบรรเทา นวิ รณ์ได้ 106
ใจที่ง่วงซึม เปรียบเหมือนกับ สระทม่ี ีจอก มีแหนปกคลมุ แตพ่ อเรามองฟา้ ใจจะสว่าง เหมอื นจอกแหนถกู แหวกออก เหน็ ผวิ นำ�้ ชดั เจน วธิ นี ี้ ชว่ ยแกอ้ าการงว่ งซึมได้ แตส่ ำ� หรบั คนทฟี่ งุ้ ซา่ น วธิ ีนไ้ี ม่เหมาะ กลับจะทำ� ใหฟ้ งุ้ มากข้นึ
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ 108
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ปฏิบตั ธิ รรม ในชีวิต ประจำ�วนั ในชีวิตประจ�ำวัน เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลา มาดู ตวั อย่างกันว่า มีวธิ ีอยา่ งไร และตอนไหนบา้ ง การสงบดว้ ยลมหายใจ ลมหายใจ ไม่เพียงช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น หากยังสามารถ พาเราเขา้ ถงึ ความสงบไดด้ ว้ ย ทกุ ครงั้ ทเ่ี ราหายใจเขา้ มใิ ชอ่ อกซเิ จน เท่านนั้ ท่ถี กู ลำ� เลยี งไปเลย้ี งรา่ งกาย หากเราวางใจเป็น ลมหายใจ เขา้ ยงั นำ� ความสงบเยน็ ไปบำ� รงุ จติ ใจเราดว้ ย ขณะเดยี วกนั ลมหายใจ ออก สามารถระบายความหมน่ หมอง ขงึ้ เครยี ด ออกไปจากใจของเรา ไดอ้ กี ตา่ งหาก แตค่ วามจรงิ ดงั กลา่ ว มกั ถกู มองขา้ มไป คนสว่ นใหญ่ จงึ หายใจแบบทิง้ ๆ ขวา้ งๆ อย่างนา่ เสยี ดาย 109
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ความสงบ สามารถบังเกิดกบั เราไดไ้ ม่ยาก เพียงแคน่ อ้ มจติ มาอยกู่ บั ลมหายใจ ทง้ั เขา้ และออกอยา่ งตอ่ เนอื่ ง จะปดิ ตาดว้ ยกไ็ ด้ พรอ้ มกบั ผอ่ นคลายรา่ งกายทกุ สว่ น ตงั้ แตศ่ รี ษะจรดปลายเทา้ ทา่ ทดี่ ี คอื ทา่ นง่ั ขดั สมาธ ิ แตห่ ากรา่ งกายไมอ่ ำ� นวย กข็ อใหน้ ง่ั ในทา่ ทส่ี ะดวก ทส่ี ดุ หรอื นง่ั เกา้ อ ี้ โดยไมเ่ อนกายพงิ กบั พนกั หรอื เสา หาไมจ่ ะงว่ ง หลบั ไดง้ า่ ย ทำ� ใจใหส้ บาย ยม้ิ นอ้ ยๆ ขณะเดยี วกนั กว็ างความคดิ ต่างๆ เอาไว้ชั่วคราว ไม่ว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หรือท่ียังมาไม่ถึง อย่าเพ่ิงเอามาเป็นกังวล ขอให้ถือว่าลมหายใจเข้าและออกเป็น สงิ่ เดยี วทสี่ ำ� คญั ทสี่ ดุ สำ� หรบั เราในขณะน ี้ แตก่ อ็ ยา่ เผลอไปบงั คบั ลมหายใจ ให้หายใจอย่างสบายๆ เป็นธรรมชาติ อย่าไปคาดหวัง อะไรกับลมหายใจท้งั สนิ้ มีหลายวิธี ในการน้อมจิตมาอยู่กับลมหายใจ เช่น ตาม ลมหายใจเข้า ตั้งแต่ปลายจมูก ไปจนสุดท่ีอกหรือช่องท้อง แล้ว ตามลมหายใจออก จนไปสุดที่ปลายจมูก โดยมีการนับทุกครั้ง ที่หายใจออก ตั้งแต่ ๑ ไปถึง ๑๐ แล้วเริ่มต้นใหม่ หากเผลอไป จ�ำไม่ได้ว่านับถึงไหน ก็เริ่มต้นนับ ๑ ใหม่ แต่บางคนก็นิยมใช้ คำ� บรกิ รรมควบคไู่ ปดว้ ย เชน่ หายใจเขา้ กน็ กึ ถงึ “พทุ ” หายใจออก กน็ ึกถึง “โธ” อกี วธิ หี นงึ่ กค็ อื เพยี งแตร่ บั รถู้ งึ ลมสมั ผสั ทปี่ ลายจมกู ทงั้ เขา้ และออก โดยไม่มีการนับหรือบริกรรมใดๆ วิธีนี้เหมาะสำ� หรับผู้ท่ี มปี ระสบการณม์ าพอสมควรแล้ว แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ส่ิงส�ำคัญอยู่ที่การวางใจให้เป็น กลา่ วคอื ไมบ่ งั คบั จติ จนเกนิ ไป ควรมคี วามนมุ่ นวล ออ่ นโยนกบั จติ 110
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ไม่พยายามกด หรือห้ามความคิด เมื่อเผลอคิดไป ไม่ว่าไปไกล แคไ่ หน ทนั ทที ร่ี ตู้ วั กใ็ หพ้ าจติ กลบั มาทลี่ มหายใจ โดยไมต่ อ้ งไปสนใจ กับความคิดดังกล่าว รวมทั้งไม่ไปพยายามหยุดมันด้วย ทันทีที่จิต กลับมาอยกู่ บั ลมหายใจ ความคิดเหล่าน้นั กจ็ ะสลายไปเอง ท�ำใหม่ๆ อาจมีความคิดฟุ้งซ่านมากมาย ก็ขอให้ถือว่าเป็น เรื่องธรรมดา อย่าไปหงุดหงิดกับใจของตัว แต่ถ้าหงุดหงิดก็ให้รู้ ไม่ว่าอะไรเกิดข้ึนกับใจ ก็รู้อยู่เสมอ ไม่ว่าบวกหรือลบ ผ่อนคลาย หรือตึงเครียด ข้อส�ำคัญคือ อย่าให้ความรู้สึกนึกคิดเหล่าน ี้ ดึงจิต ออกไปจากลมหายใจ หากใจอยเู่ คยี งคกู่ นั กบั ลมหายใจอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ยอ่ มเกดิ ความสงบในท่ีสดุ หากคนุ้ เคยกบั ลมหายใจจนเปน็ นสิ ยั ลมหายใจจะเปน็ ทพ่ี กั พงิ อย่างดีของจิต ในยามท่ีถูกพายุอารมณ์เล่นงาน เช่น ขณะที่ก�ำลัง โกรธ หงดุ หงดิ เหนอ่ื ยหนา่ ย ทอ้ แท ้ เศรา้ โศก ใหก้ ลบั มาทลี่ มหายใจ ทนั ท ี ชว่ งแรกอาจหายใจเขา้ ลกึ ๆ หายใจออกยาวๆ สกั ๕ - ๑๐ ครงั้ เม่ือต้ังหลักได้ ก็เพียงแต่รับรู้เบาๆ ถึงการเคล่ือนหรือสัมผัสของ ลมหายใจ จะทำ� นานเท่าใดกไ็ ด้สดุ แทแ้ ต่ใจตอ้ งการ ไม่ว่าอยู่บ้านหรือในที่ท�ำงาน หากมีเวลาว่าง แทนท่ีจะ ปลอ่ ยใจลอย หรอื หายใจรดทง้ิ ไปเปลา่ ๆ ไมด่ กี วา่ หรอื หากจะหนั มา ใส่ใจกับลมหายใจของเราดูบ้าง ยิ่งถ้าก�ำลังน่ังรถ หรือคอยใครอยู่ แทนที่จะปล่อยเวลาท้ิงไปโดยเปล่าประโยชน์ การฝึกใจให้รู้ตัว หรืออยู่กับลมหายใจ เป็นการใช้เวลาว่างท่ีคุ้มค่าที่สุด แต่ถ้าวุ่น จนลมื ทำ� กอ่ นนอนและตอนตนื่ นอน กค็ วรหาเวลาทำ� ๕ - ๑๐ นาที กย็ ังดี 111
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ การเดินเทา้ เวลาเดนิ ไปไหนมาไหน คนสว่ นใหญม่ กั คดิ แตเ่ พยี งเดนิ ใหถ้ งึ จดุ หมาย แตก่ ารเดนิ มปี ระโยชนม์ ากกวา่ นนั้ หลายคนรดู้ วี า่ การเดนิ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่น้อยคนที่จะตระหนักว่า การเดินน้ัน มีผลดีต่อจิตใจด้วย ไม่ใช่แค่ฝึกความอดทนเท่าน้ัน หากยังช่วยให้ ใจสงบ ผ่อนคลาย และตื่นรู้อยู่เสมอ การเดินโดยมุ่งเพียงแค่ ไปใหถ้ งึ ทำ� ใหเ้ ราเปน็ ทกุ ขไ์ ดง้ า่ ย โดยเฉพาะเมอื่ จดุ หมายปลายทาง ยงั อยอู่ กี ไกล ยงิ่ คดิ วา่ เมอ่ื ไรจะถงึ ๆ กย็ งิ่ เครยี ดและหงดุ หงดิ ทง้ั ๆ ที่ กายยงั ไหว แตใ่ จกลบั เพลยี เสยี แลว้ อนั ทจี่ รงิ เราไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งทกุ ข์ ขนาดนน้ั เลยกไ็ ด ้ หากวางใจใหเ้ ปน็ เชน่ นอ้ มจติ มาอยกู่ บั ทกุ ยา่ งกา้ ว ให้มีความรู้สึกตัวกับการเดินแต่ละก้าว บางครั้งใจเผลอไปท่ีอ่ืน ระลกึ ไดเ้ มอ่ื ไร กพ็ าใจกลบั มาอยกู่ บั การเดนิ ใหก้ ายกบั ใจรว่ มเดนิ ไปดว้ ยกนั อยา่ ปลอ่ ยใหก้ ายอยตู่ รงน ี้ แตใ่ จไปรออยขู่ า้ งหนา้ แลว้ ใจที่คิดแต่จะให้ถึงจุดหมายไวๆ มีแต่จะน�ำความทุกข์มาให้โดย ไม่จำ� เปน็ เม่ือใจอยู่กับกายทุกย่างก้าวอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ตัวจะยัง ไม่ถึงจุดหมาย แต่ใจกลับ “ถึง” ทุกขณะ น่ันคือ เข้าถึงความสงบ เย็นและผ่อนคลาย เพราะเม่ือจิตไม่วอกแวก หรือชะเง้อมอง จุดหมาย ก็ย่อมไม่ถูกเผาลนด้วยความอยากจะไปให้ถึงไวๆ ขณะ เดยี วกนั การหมน่ั รทู้ นั ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ (รวมทง้ั ความอยากจะ ถงึ ทหี่ มายไวๆ) กช็ ว่ ยฝกึ สตหิ รอื ความระลกึ ได ้ ใหท้ ำ� งานไดร้ วดเรว็ ฉบั ไว ทำ� ให้จิตมคี วามรูส้ ึกตัวอยา่ งต่อเนื่อง 112
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ทุกวันน้ี เราเดินด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมน้อยมาก เพราะ ใจลอยเกือบตลอดเวลา หากไม่พะวงถึงจุดหมายปลายทาง ก็มัก นึกถึงเรื่องต่างๆ มากมาย รวมทั้งวางแผนร้อยแปด บางคร้ังจึงมี อากปั กริ ยิ าไมต่ ่างจากคนเดินละเมอ ความรู้สึกตัวท่ัวพร้อมเกิดขึ้นได้ เมอ่ื เรามสี ตอิ ยกู่ บั การเดนิ คอื ใจรบั รคู้ วามเคลอื่ นไหวทกุ ยา่ งกา้ ว เมอ่ื ใดทจ่ี ติ เผลอออกไปนอกตวั พลัดไปอยู่กับเรื่องราวในอดีตหรืออนาคต รู้ตัวเมื่อไร ก็พาจิต กลับมาอยู่กับปัจจุบัน คือการเดินโดยไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งเพง่ ทเี่ ทา้ หรอื บงั คบั จติ ใหอ้ ยกู่ บั เทา้ ทำ� เชน่ นบ้ี อ่ ยๆ ความรสู้ กึ ตวั จะเพมิ่ ขนึ้ สตจิ ะ ปราดเปรยี วขนึ้ ทำ� ใหเ้ ราไมเ่ ผลองา่ ย จะคดิ หรอื ทำ� อะไร กท็ ำ� ดว้ ย ใจท่เี ต็มร้อยและมสี มาธิมนั่ คง ไมว่ า่ จะเดนิ ไปปากซอย ขนึ้ บนั ได หรอื ไปทำ� งาน เปน็ โอกาสด ี ส�ำหรับการบ่มเพาะสติ สร้างความรสู้ กึ ตวั อนั เปน็ ประตสู ูส่ มาธิ และความสุข ซ่ึงเราสามารถเข้าถงึ ไดแ้ ม้ในชวี ติ ประจ�ำวนั การเดนิ ทาง การเดนิ ทางไปทำ� งาน นบั วนั จะสรา้ งความทกุ ขม์ ากขนึ้ ใหแ้ ก่ ผู้คน เพราะการจราจรที่แน่นขนัด และระยะทางที่ไกลขึ้น ท�ำให้ ตอ้ งใชเ้ วลานานขนึ้ แตจ่ ะไมด่ กี วา่ หรอื หากเราเปลย่ี น “ปญั หา” ให้ เปน็ “โอกาส” แทนทจ่ี ะปลอ่ ยใจใหท้ กุ ข ์ หรอื เครยี ด ระหวา่ งเดนิ ทาง หากคณุ เปน็ ผโู้ ดยสาร ควรใชโ้ อกาสน ้ี พาใจมาพกั อยกู่ บั ลมหายใจ หลับตา ยิ้มน้อยๆ แล้วมารับรู้ถึงสัมผัสของลมหายใจท่ีปลายจมูก 113
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ หรือจะตามลมหายใจเข้าจนสุด และตามลมหายใจออกจนถึง ปลายจมกู กไ็ ด ้ ทำ� ไปเรอ่ื ยๆ สบายๆ ใจจะฟงุ้ ไปบา้ งกไ็ มเ่ ปน็ ไร รตู้ วั ว่าเผลอเมื่อไร กพ็ าใจกลบั มาอยทู่ ่ีลมหายใจ อกี วธิ หี นงึ่ กค็ อื ใหม้ สี ตอิ ยกู่ บั การคลงึ นว้ิ ไมต่ อ้ งถงึ กบั ปกั ใจ จดจ่ออยู่กับนิ้วท้ังสอง แค่รู้สึกเบาๆ ถึงสัมผัสของน้ิวท้ังสองก็พอ วธิ ีนี้ไมต่ อ้ งหลบั ตากไ็ ด้ จะมองออกไปนอกหนา้ ต่างบ้างก็ไมเ่ ปน็ ไร ในยามทใ่ี จฟงุ้ ออกไปยงั อดตี หรอื อนาคต สมั ผสั เบาๆ ของนวิ้ ทคี่ ลงึ นนั้ จะชว่ ยเตอื นใจใหก้ ลบั มาอยกู่ บั ปจั จบุ นั นอกจากจะไดพ้ กั ใจแลว้ ยังเป็นการฝึกสติใหร้ ะลกึ รู ้ และร้สู กึ ตัวได้ไวข้ึน ทง้ั สองวธิ นี ี้ เหมาะสำ� หรบั การเดนิ ทาง ทงั้ ระยะสน้ั และระยะ ไกล แตส่ ำ� หรบั ผทู้ ขี่ บั ขยี่ วดยาน การมสี ตใิ นการขบั รถเปน็ สงิ่ สำ� คญั ทสี่ ดุ ซงึ่ รวมถงึ การรทู้ นั อารมณต์ า่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ขณะขบั รถ โดยเฉพาะ ความเครยี ดและความหงดุ หงดิ เวลาตดิ ไฟแดง ไมค่ วรปลอ่ ยใจให้ หงุดหงิดเพิ่มขึ้น ควรหาประโยชน์จากสัญญาณไฟแดง โดยถือว่า นเี้ ปน็ สญั ญาณเตอื นใจใหห้ ยดุ ฟงุ้ ซา่ น และปลอ่ ยวางความหงดุ หงดิ เสยี ท ี พรอ้ มกนั นน้ั กพ็ าใจกลบั มาอยกู่ บั ลมหายใจ หากทำ� เชน่ นไ้ี ด้ สญั ญาณไฟแดงจะนานเทา่ ไรใจกไ็ มเ่ ปน็ ทกุ ข์ การอาบนำ้� การอาบนำ�้ นอกจากจะชว่ ยชำ� ระกายใหส้ ะอาดแลว้ ยงั สามารถ ช�ำระใจให้แจ่มใสได้ด้วย หากเรามีสติอยู่กับการอาบน้�ำ กล่าวคือ ไมป่ ลอ่ ยใหใ้ จลอย หรอื หาเรอื่ งตา่ งๆ มาคดิ ครนุ่ ขณะอาบนำ�้ จติ รบั รู้ 114
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อยู่กับการเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าถูสบู่ ขัดคราบไคล หรือเช็ดตัว ก็รับรู้อย่างต่อเนื่อง หากจะเผลอคิดไป ก็รู้เท่าทัน ความคิด และปล่อยวางได้ สำ� หรบั คนสว่ นใหญ่ การอาบนำ�้ เปน็ ชว่ งทรี่ า่ งกายและจติ ใจ ก�ำลังผ่อนคลาย จึงมักปล่อยใจลอย จะไปไหนก็สุดแท้แต่ใจอยาก จะไป แต่บ่อยคร้ัง ใจกลับจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ในอดีต หรือ ความกงั วลกบั อนาคต หาไมก่ ค็ ดิ ถงึ การงานอนั ชวนใหเ้ ครยี ด ทำ� ให้ ไมม่ โี อกาสไดผ้ อ่ นคลาย ในชว่ งเวลาทน่ี า่ จะสบาย ใชแ่ ตเ่ วลาอาบนำ�้ เท่าน้ัน ใจท่ีชอบฟุ้งซ่าน ยังหาเร่ืองเครียดมาใส่ตัวตลอดท้ังวัน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับก็มี แม้แต่เที่ยวก็ยังเที่ยวไม่สนุก เพราะ หาเร่ืองต่างๆ มาครนุ่ คดิ เป็นธรรมดาของใจท่ีชอบฟุ้งซ่าน แต่ปัญหาจะไม่เกิดหากใจ มีสติรู้เท่าทันความฟุ้งซ่าน สติย่ิงไวเท่าไร ใจก็ย่ิงฟุ้งซ่านน้อยลง และอยเู่ ปน็ ทเ่ี ปน็ ทางมากขน้ึ แตส่ ตจิ ะวอ่ งไวไดก้ เ็ พราะผา่ นการฝกึ เราสามารถฝกึ ใจใหม้ สี ตวิ อ่ งไวไดใ้ นทกุ โอกาส ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งรอเขา้ คอรส์ กรรมฐาน ไมว่ า่ จะทำ� อะไรในชวี ติ ประจำ� วนั กเ็ ปน็ โอกาสฝกึ สติ ไดท้ ั้งส้ิน หลายคนบน่ วา่ ไมม่ เี วลาทำ� สมาธ ิ เขา้ กรรมฐาน แตล่ มื ไปวา่ ช่วงเวลาที่อยู่ในห้องน�้ำ เป็นโอกาสดีส�ำหรับการฝึกสติ วันหน่ึงๆ เราใชเ้ วลาอยใู่ นหอ้ งนำ้� ไมน่ อ้ ยกวา่ ๑ ชว่ั โมง นอกจากการอาบนำ�้ แล้ว ยงั ตอ้ งถฟู นั และขบั ถา่ ย หากทำ� กจิ วตั รเหลา่ นอ้ี ยา่ งมสี ต ิ (ชว่ ง ขบั ถา่ ย อาจใชว้ ธิ นี อ้ มจติ อยกู่ บั ลมหายใจ) ทง้ั น ้ี โดยถอื หลกั งา่ ยๆ ว่า กายอยู่ไหน ใจอยู่น่ัน ปีหน่ึงๆ ก็เท่ากับว่า ได้ปฏิบัติธรรมถึง ๑๕ วนั เตม็ (๓๖๕ ชวั่ โมง) โดยยงั ไมไ่ ดเ้ ขา้ คอรส์ กรรมฐานดว้ ยซำ้� 115
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ การกนิ อาหาร เชน่ เดยี วกบั การหายใจ การกนิ เปน็ ประโยชนท์ ง้ั ตอ่ รา่ งกาย และจติ ใจ ประโยชนน์ นั้ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ว่ี า่ เรากนิ อะไร หรอื เทา่ ไร หาก ยังขนึ้ อยู่กับวา่ เรากินอย่างไรด้วย การกินท่ีถูกต้อง นอกจากจะเป็นการบ�ำรุงร่างกายแล้ว ยัง สามารถบำ� รงุ ใจไดด้ ว้ ย การกนิ ทถี่ กู ตอ้ ง นอกจากจะหมายถงึ การกนิ อาหารท่ีเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ในปริมาณท่ีเหมาะสมแล้ว ยังรวมถึงการกินอย่างมีสติ กล่าวคือ รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด ทเี่ กดิ ขน้ึ ขณะทก่ี ำ� ลงั กนิ อาหาร ไมป่ ลอ่ ยใจลอยไปกบั ความคดิ ตา่ งๆ จนลืมไปว่ากินอะไรไปแล้วบ้าง หรือก�ำลังกินอะไรอยู่ ขณะท่ีกิน ใจก็อยู่กับการกินหรือการเค้ียวอาหาร แต่ไม่ถึงกับเพ่ง หรือจดจ่อ กับการเค้ียว จนไม่รู้ว่าก�ำลังตักอะไรเข้าปาก ขณะเดียวกัน ก็ ไม่หงุดหงิดกับใจท่ีชอบออกนอกตัว เพราะเป็นธรรมดาของใจ ทีช่ อบฟุง้ โดยเฉพาะในยามน้ี ใช่แต่ความคิดเท่าน้ันที่ท�ำให้เราขาดสติ อารมณ์ความรู้สึก ตา่ งๆ กท็ ำ� ใหเ้ ราเผลอบอ่ ยๆ โดยเฉพาะความเพลดิ เพลนิ ในรสชาติ ของอาหาร หลายคนกินเอาๆ โดยไม่ทันเคี้ยวให้ละเอียด ก็เพราะ ลมื ตวั ไปกบั ความเอรด็ อรอ่ ยของอาหารนนั่ เอง การกนิ อาหารอยา่ ง มสี ต ิ ไมไ่ ดห้ มายถงึ การปฏเิ สธรสชาตขิ องอาหาร แตห่ มายความวา่ เมอ่ื อาหารอรอ่ ย กร็ วู้ า่ อรอ่ ย แตไ่ มเ่ พลดิ เพลนิ ดมื่ ดำ�่ กบั มนั จนลมื ตวั ยงั คงกนิ ดว้ ยความรตู้ วั เรยี กวา่ กนิ อยา่ งเปน็ นายของอาหาร มใิ ช่ เป็นทาสของอาหาร ในทางตรงข้าม หากอาหารไม่อร่อย ไม่น่าดู 116
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล กไ็ มร่ งั เกยี จ หรอื หงดุ หงดิ แมจ้ ะมคี วามรสู้ กึ ดงั กลา่ วเกดิ ขน้ึ กร็ วู้ า่ มอี ย ู่ แตไ่ มป่ ลอ่ ยให้มันครอบง�ำใจ จนกินด้วยความทุกข์ หากจ�ำเป็นจะต้องคุยกับใคร ก็คุยอย่างมีสติ ไม่เพลินหรือ เครียดกับการคุย จนไม่รู้ว่าก�ำลังกินอะไรหรือตักอะไรใส่ปาก แต่ ถ้าไม่มใี ครมาคยุ ดว้ ย ก็ไมค่ วรหาอะไรอย่างอืน่ มาทำ� ขณะทก่ี ำ� ลัง กินอาหาร เช่น อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือคุยโทรศัพท์ การท�ำ อะไรหลายๆ อยา่ งพรอ้ มกัน แม้มุ่งหวงั จะใชเ้ วลาใหเ้ ป็นประโยชน์ อย่างเต็มที่ แต่อาจลงเอยด้วยการท�ำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง ได้แต่ ปรมิ าณ แตข่ าดคุณภาพ ทีส่ �ำคญั ก็คือบนั่ ทอนจติ ใจ ท�ำใหเ้ ปน็ คน มีสมาธหิ รอื สติได้ยาก การกนิ อยา่ งมสี ต ิ จะชว่ ยใหเ้ รากนิ อาหารในปรมิ าณทเี่ หมาะสม ไมก่ นิ มากเกนิ ไป เพราะหลงในรสชาติ จนเกดิ อนั ตรายแกร่ า่ งกาย ขณะเดยี วกนั กช็ ว่ ยใหเ้ ราเลอื กกนิ อาหารทม่ี ปี ระโยชน ์ ไมก่ นิ ตามใจ ปาก ทั้งๆ ที่เป็นโทษ ส่ิงหน่ึงท่ีจะช่วยให้เรากินอย่างมีสติได้ก็คือ การตระหนกั ถงึ จดุ มงุ่ หมายทถ่ี กู ตอ้ งของการกนิ อาหาร กลา่ วคอื กินเพ่ือให้ร่างกายมีสุขภาพดี สามารถท�ำประโยชน์ให้แก่ตนเอง และผู้อื่นได้ เป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้งอกงามสูงส่งขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับการกินเพ่ือรสชาติหรือเสริมทรง เพ่ือหน้าตา หรือ อวดมง่ั อวดม ี การกนิ ในลกั ษณะหลงั นอกจากจะเปน็ โทษแกร่ า่ งกาย สิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ยังเป็นการบ่มเพาะกิเลส หรือความหลงให้ แก่จิตใจ ซง่ึ ชักนำ� ความทกุ ขม์ าใหใ้ นที่สุด ดว้ ยเหตนุ ี้ กอ่ นกนิ อาหาร เราจงึ ควรเตอื นใจอยเู่ สมอวา่ กนิ เพอ่ื อะไร หรอื กนิ อยา่ งไร จงึ จะทำ� ใหช้ วี ติ เจรญิ งอกงาม ขณะเดยี วกนั 117
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ก็พึงระลึกถึงบุญคุณของผู้ที่ท�ำให้เรามีอาหารกินในวันนี้ รวมถึง สรรพชีวิตที่กลายมาเป็นอาหารของเรา การใช้ชีวิตไปในทางท่ี เปน็ กศุ ล หมนั่ ทำ� ความดอี ยเู่ สมอ เปน็ วธิ หี นง่ึ ทจี่ ะตอบแทนบญุ คณุ ของเขาเหลา่ นัน้ ได้ การท�ำงาน การทำ� งาน สามารถเปน็ การปฏบิ ตั ธิ รรมไดต้ ลอดเวลา หาก เราท�ำด้วยแรงจูงใจที่เป็นกุศล เช่น ท�ำเพื่อเก้ือกูลผู้อื่น หรือเพื่อ ฝกึ ฝนพฒั นาตน โดยมงุ่ ใหม้ คี วามเหน็ แกต่ วั นอ้ ยลง อดทนมากขน้ึ หรอื ทำ� โดยมธี รรมะเขา้ มากำ� กบั เชน่ ทำ� ดว้ ยความซอื่ สตั ย ์ รบั ผดิ ชอบ ต่อหน้าท่ี หรือทำ� ด้วยความปรารถนาดีตอ่ ส่วนรวม เมอื่ ถงึ ทที่ �ำงาน กอ่ นเรมิ่ งาน ควรหาเวลาท�ำใจใหส้ งบสกั ครู่ อยู่กับลมหายใจสักพัก แล้วต้ังจิตเตือนใจ นึกถึงธรรมะที่ต้องการ นอ้ มนำ� มาปฏบิ ตั ิ หรอื ยำ�้ เตอื นตนเองวา่ จะทำ� งานดว้ ยความเพยี ร ไมย่ อ่ ทอ้ ตอ่ อปุ สรรค พรอ้ มเปดิ ใจรบั ฟงั คำ� วจิ ารณ ์ หรอื ความเหน็ ที่ ตา่ งจากตน เปน็ ตน้ การตงั้ จติ มน่ั ดงั กลา่ ว คอื ความหมายทแี่ ทจ้ รงิ ของคำ� วา่ “อธษิ ฐาน” (ซงึ่ ไมไ่ ดแ้ ปลวา่ การขอจากสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ ์ิ อยา่ ง ท่ีเข้าใจกัน) การเริ่มงานด้วยการอธิษฐานในความหมายดังกล่าว จะช่วยเตือนใจไม่ให้เราพลัดเข้าไปในอารมณ์อกุศลท่ีบ่ันทอนจิตใจ และการงาน การงาน ยงั เปน็ โอกาสสำ� หรบั การเจรญิ สต ิ โดยเฉพาะงานการ ท่ีไม่ต้องใช้ความคิดมาก เช่น ล้างจาน ถูบ้าน ซักผ้า ในขณะที่ 118
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ทำ� งาน ใจกอ็ ยกู่ บั งาน รบั รถู้ งึ การเคลอื่ นไหวของมอื และอวยั วะสว่ น ตา่ งๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยไมต่ อ้ งไปเพง่ หรอื จดจอ่ แนบแนน่ เกนิ ไป นกั ถา้ จติ เผลอฟงุ้ ปรงุ แตง่ ไปนอกตวั ระลกึ รเู้ มอื่ ใด กพ็ าจติ กลบั มา อยกู่ บั งาน จติ จะฟงุ้ ไปเทา่ ไร กไ็ มร่ ำ� คาญหงดุ หงดิ แตถ่ งึ หงดุ หงดิ ก็ รวู้ ่าหงดุ หงดิ ไม่ปรงุ แต่งมากไปกวา่ นัน้ แม้เป็นงานที่ต้องใช้ความคิด ก็ยังควรเอาสติมาใช้กับงาน อยู่น่ันเอง เช่น คิดเร่ืองอะไร ก็ให้สติก�ำกับใจอยู่กับเร่ืองนั้น หาก เผลอไปคดิ เรอ่ื งอนื่ กใ็ หส้ ตพิ าใจกลบั มาอยกู่ บั เรอ่ื งเดมิ จนกวา่ จะ แล้วเสร็จ หากย้�ำคิดย้�ำครุ่นไม่ยอมเลิก สติก็จะช่วยให้ปล่อยวาง ได้ง่ายขึ้น ท่ีส�ำคัญก็คือ ไม่ว่าจะท�ำอะไร อย่าปล่อยใจไปพะวงกับ เรอ่ื งขา้ งหนา้ วา่ เมอื่ ไรจะเสรจ็ เสรจ็ แลว้ จะเปน็ อยา่ งไร หรอื ขอ้ งตดิ อยกู่ บั เรอื่ งราวในอดตี ควรมสี ตริ อู้ าการดงั กลา่ ว แลว้ พาใจกลบั มา อยกู่ บั งานทก่ี ำ� ลงั ทำ� อยใู่ นปจั จบุ นั ใจทมี่ วั พะวงกบั อดตี หรอื อนาคต จะท�ำงานด้วยความเครียด ส่วนใจท่ีอยู่กับปัจจุบันโดยมีสติเป็น เครอื่ งกำ� กบั จะทำ� งานดว้ ยความผอ่ นคลาย โปรง่ เบามากกวา่ เพราะ จติ ไม่มเี ร่อื งหนักใจให้ต้องแบก การท�ำงาน ยังสามารถเป็นการปฏิบัติธรรมได้ หากรู้จัก ใช้งานเป็นเครื่องขัดเกลา หรือลดละอัตตา เช่น ท�ำงานโดยคิดถึง ประโยชน์ของผู้อ่ืนมากกว่าของตัวเอง หรือฝึกใจไม่ให้หวั่นไหวต่อ ค�ำสรรเสริญ ค�ำต�ำหนิ ความส�ำเร็จ และความล้มเหลว เมื่อใด ที่ถูกวิจารณ์ก็ถือว่าเป็นของดี ที่มาช่วยสยบอัตตาไม่ให้เหลิง หรือ ทดสอบสตวิ า่ จะมาทนั การณห์ รอื ไม ่ หากเผลอโกรธกถ็ อื วา่ สอบตก แต่กย็ ังสามารถแก้ตวั ใหม่ได้เสมอ 119
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ การใชเ้ ทคโนโลยี ทกุ วนั น ้ี เทคโนโลยเี ขา้ มาพวั พนั กบั ชวี ติ ของเราจนแยกไมอ่ อก บอ่ ยครงั้ มนั กลายมาเปน็ นายของเรา นอกจากจะขาดมนั ไมไ่ ดแ้ ลว้ มนั ยงั เขา้ มาบงการชวี ติ และถงึ กบั บนั่ ทอนจติ ใจ รวมทงั้ สรา้ งนสิ ยั ทไี่ มด่ ใี หก้ บั เรา เชน่ ใจรอ้ น คอยไมเ่ ปน็ ทกุ ครง้ั ทเี่ สยี งโทรศพั ทด์ งั ใชห่ รอื ไมว่ า่ เรามักผลนุ ผลนั รีบไปรบั ทันที ราวกบั ถูกมันบญั ชา อยา่ ใหเ้ สยี งโทรศพั ทฉ์ ดุ กระชากสตขิ องเราไป ทกุ ครง้ั ทเ่ี สยี ง โทรศัพท์ดัง ให้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนใจให้เรามีสติ นิ่งสักพัก รับรู้ลมหายใจเข้าและออกสักครู่ แล้วจึงค่อยๆ เดินไปรับโทรศัพท์ ด้วยความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม ขณะเดียวกันก็ตั้งจิตว่า จะรักษาใจให้ สงบ ไมว่ า่ จะไดย้ นิ ขา่ วดหี รอื ขา่ วรา้ ย ถกู ใจหรอื ไมถ่ กู ใจกต็ าม และ จะพดู แตส่ งิ่ ทด่ี ี มปี ระโยชน ์ และเปน็ ความจรงิ ไมพ่ ดู ไปตามอารมณ์ หรือลแุ ก่โทสะ กับเทคโนโลยีอย่างอ่ืนก็เช่นกัน เม่ือเปิดเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ขณะทเ่ี ครอื่ งกำ� ลงั บทู๊ อย ู่ ไมว่ า่ จะนานแคไ่ หน กไ็ มก่ ระสบั กระสา่ ย หรือหงุดหงิด ระหว่างที่คอยก็น้อมจิตมาอยู่กับลมหายใจ ถือเป็น โอกาสเจรญิ สตไิ ปในตวั พรอ้ มกนั นนั้ กต็ ง้ั จติ วา่ จะใชค้ อมพวิ เตอร์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ และสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน แม้จะใช้เพื่อ ความบนั เทงิ แตก่ ม็ ไิ ดม้ งุ่ สนองตณั หา อารมณด์ บิ หรอื เพอ่ื ทำ� รา้ ย กลน่ั แกล้งผู้อื่น นอกจากจะใช้อย่างไรแล้ว ใช้เท่าไร ก็เป็นสิ่งส�ำคัญเช่นกัน ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ เคร่ืองเล่นเพลง วิดีโอเกม 120
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ควรมสี ตใิ นการใชเ้ พอ่ื ใหพ้ อด ี ไมล่ มุ่ หลงกบั มนั จนกลายเปน็ เสพตดิ สิ้นเปลืองเงินทอง หรือเสียงานการ บ่ันทอนร่างกาย จิตใจ และ ความสัมพันธ์กบั ผู้อนื่ การกำ� หนดระยะเวลาในการใชอ้ ยา่ งพอเหมาะพอสม เปน็ วธิ ี ฝึกตนให้มีวินัย ฝึกใจให้รู้จักอดกลั้น และปล่อยวางได้เป็นอย่างดี ซงึ่ จะชว่ ยให้จติ มีพลงั เขม้ แข็ง สามารถทำ� สิง่ ยากๆ ได้ การทอ่ งเท่ียวธรรมชาติ ปา่ เขาลำ� เนาไพรและชายทะเล เปน็ สถานทที่ สี่ ามารถโนม้ ใจ เรา ใหเ้ ขา้ ถงึ ความสงบไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี ดงั นน้ั เมอื่ อตุ สา่ หเ์ ดนิ ทางไกล มาถงึ เพยี งนแี้ ลว้ ควรเปดิ ใจสมั ผสั กบั ธรรมชาตอิ ยา่ งเตม็ ท่ี แทนท่ี จะกรอกหดู ว้ ยเสยี งเพลงจากเครอื่ งเลน่ นานาชนดิ ลองอยกู่ บั ความ เงยี บสงดั ของธรรมชาตดิ บู า้ ง ปดิ โทรศพั ทม์ อื ถอื แลว้ หนั มาชนื่ ชม ดอกไม้ ล�ำหว้ ย หมูเ่ มฆ ทอ้ งทะเล และเสยี งนกร้อง เราจะพบวา่ จติ ใจจะคอ่ ยๆ สงบลง เสยี งออ้ื องึ จากความคดิ อนั ฟงุ้ ซา่ นจะคลายไป แลว้ ความสขุ อนั ประณตี จะเรมิ่ เขา้ มาแทนท ่ี เปน็ ความสขุ จากความ สงบ ซง่ึ บำ� รงุ ใจได้ดกี วา่ ความสุขจากความสนกุ ตนื่ เตน้ ท่เี คยรู้จกั ในบรรยากาศเช่นนี้ ควรมีเวลาปลีกตัวมาอยู่คนเดียว หา ท่ีที่สงบ แล้วน้อมจิตมาอยู่กับลมหายใจ รับรู้ถึงสัมผัสของลมท่ี มากระทบตัว และได้ยินเสียงร้องของสรรพสัตว์ แต่ก็สักแต่ว่า รับรู้และได้ยิน ไม่ปรุงแต่งหรือจินตนาการฟุ้งไกล จิตยังคงอยู่กับ ลมหายใจอย่างต่อเนื่อง ธรรมชาติภายในจะปรากฏเด่นชัดต่อ 121
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ การรับรู้ของเราทีละน้อยๆ ไม่ว่าความคิด หรืออารมณ์ความรู้สึก ท้ังบวกและลบ เม่ืออารมณ์ฝ่ายบวกเกิดข้ึน ก็ไม่เข้าไปคลอเคลีย หรือหมายครอบครอง อารมณฝ์ ่ายลบเกิดขน้ึ กไ็ มร่ งั เกียจหรอื คดิ ผลกั ไส รบั รตู้ ามทมี่ นั เปน็ โดยไมเ่ ลอื กทรี่ กั มกั ทช่ี งั แลว้ ความจรงิ ของธรรมชาตภิ ายใน จะเปดิ เผยแก่เราเปน็ ลำ� ดับ ธรรมชาติภายนอกน้ัน หากเปิดใจรับรู้อย่างมีสติ ย่อมช่วย ให้เราเข้าถึงธรรมชาติภายในได้ง่ายขึ้น ไม่เพียงความสงบเท่านั้น หากปัญญายังบังเกิดข้ึนด้วย เกิดข้ึนทั้งจากการหย่ังเห็นธรรมชาติ ภายใน และจากธรรมชาตภิ ายนอก ตน้ ไม ้ กอ้ นหนิ ทอ้ งฟา้ หมเู่ มฆ และสรรพสัตว์ สามารถสอนธรรมแก่เราได้ หากรู้จักมองด้วยใจ ท่ีสงบ อันที่จริง ธรรมชาตินั้นแสดงธรรมแก่เราตลอดเวลา ท้ัง สัจธรรมของโลก และคติธรรมในการด�ำเนินชีวิต แต่ใจเราเอง ไม่ว่างพอที่จะรับรู้ธรรมะเหล่าน้ัน เนื่องจากมัวสนุกสนานเฮฮา เกาะกล่มุ พูดคยุ หรือครุ่นคิดกังวลตลอดเวลา ไปเที่ยวธรรมชาติทั้งท ี นอกจากพักผ่อนกายแล้ว ควรให้ใจ ได้พักและประสบกับความสงบด้วย ดีย่ิงกว่านั้นก็คือ ใจสว่างข้ึน เพราะเกิดปญั ญา 122
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การเตรยี มใจก่อนนอน หลังจากท�ำงานมาทั้งวัน เวลานอนควรเป็นเวลาพักผ่อน ทั้งกายและใจของเราอย่างแท้จริง อย่าปล่อยให้งานการและเหตุ การณต์ า่ งๆ ทพี่ านพบมาตลอดวนั ตามมารบกวนเรากระทงั่ ในยาม หลบั จนกลายเปน็ ฝนั รา้ ยหรอื นอนไมห่ ลบั กระสบั กระสา่ ยไปทงั้ คนื กอ่ นนอน นอกจากอาบนำ�้ ชำ� ระเหงอ่ื ไคลออกไปจากรา่ งกาย แล้ว ควรหาเวลาช�ำระจิตให้ปลอดพ้นจากเรื่องกังวลใจด้วย โดย การน่ังสมาธิ ท�ำใจให้สงบ มีลมหายใจเข้าและออกเป็นท่ีพักพิง ของจิต ไม่ว่าความรู้สึกนึกคิดใดๆ จะผุดข้ึนมา ก็รู้แล้ววางเสีย มีสติรู้ตัวอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีเร่ืองรบกวนจิตใจมาก ก็ลองหา งานอ่ืนให้จิตท�ำก่อน เช่น สวดมนต์ เมื่อความฟุ้งซ่านลดลงแล้ว จึงค่อยมานงั่ สมาธิก็ได้ การเตรยี มใจอกี อยา่ งหนึ่งทคี่ วรทำ� กอ่ นนอนกค็ อื เตอื นใจ วา่ ชวี ติ ของเรานน้ั ไมเ่ ท่ียง สกั วนั หนงึ่ เราก็ตอ้ งจากโลกนี้ไป วนั น้ัน จะมาถงึ เมอื่ ไรเรามอิ าจรไู้ ด ้ อาจเปน็ ปหี นา้ เดอื นหนา้ สปั ดาหห์ นา้ หรอื วนั พรงุ่ นก้ี ไ็ ด ้ ใครจะไปร ู้ คนื นอี้ าจเปน็ คนื สดุ ทา้ ยของเรา เมอื่ เปน็ เชน่ น ้ี จงึ ควรถามใจตนเองวา่ เราพรอ้ มทจ่ี ะไปจากโลกนหี้ รอื ยงั หากวันนั้นมาถึง หากยังไม่พร้อม เพราะยังห่วงผู้คน และติดยึด ส่ิงต่างๆ มากมาย เราควรใช้ช่วงเวลาก่อนนอนน้ี ฝึกใจปล่อยวาง ผคู้ นและสงิ่ ตา่ งๆ เสมอื นวา่ คนื นเี้ ปน็ คนื สดุ ทา้ ยของเรา ใหมๆ่ อาจ ทำ� ไดย้ าก แตเ่ มอื่ ท�ำบอ่ ยๆ กจ็ ะปลอ่ ยวางไดง้ า่ ยขน้ึ ขณะเดยี วกนั หากมสี งิ่ ใดทย่ี งั ปลอ่ ยวางไดย้ าก เพราะยงั จดั การไมแ่ ลว้ เสรจ็ หรอื 123
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ยงั มภี ารกจิ สำ� คญั บางอยา่ งทยี่ งั คา้ งคาอย ู่ กค็ วรตง้ั ใจวา่ หากพรงุ่ น้ี ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป จะเร่งรีบท�ำส่ิงนั้นให้แล้วเสร็จ แต่อย่าเผลอ หมกมนุ่ กบั เรอื่ งนนั้ จนนอนไมห่ ลบั ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ เรอ่ื งของวนั พรงุ่ นี้ สุดท้าย ก็ควรแผ่บุญกุศลและความปรารถนาดีไปให้แก่ผู้มี บุญคุณกับเรา ไม่จ�ำเพาะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หรือผู้ใหญ่เท่าน้ัน แต่ควรรวมไปถึงมิตรสหาย เพ่ือนร่วมงาน ไปจนถึงผู้ที่มีสถานะ ต�่ำกว่าเรา ทั้งโดยวัย ความรู้ หรือการงาน รวมท้ังแผ่ไปยังสรรพ ชวี ติ ทชี่ ว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ใหเ้ รามชี วี ติ อยา่ งผาสกุ สวสั ด ี นอกจากนน้ั ควรแผ่เมตตาไปยังคู่กรณี หรือผู้ท่ีท�ำความขุ่นข้องหมองใจแก่เรา ไม่ว่าเป็นคนใกล้หรือไกล ขอให้เขาเหล่านั้นมีความสุข ปลอดพ้น จากความทุกขท์ ้ังปวง เมตตาที่ปลุกขึ้นมาในใจ จะช่วยดับความรุ่มร้อนในจิตใจ ระงับความโกรธเกลียดที่ติดค้างมาตลอดวัน ช่วยให้เราสงบเย็น และสามารถหลบั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ พรอ้ มจะตนื่ ขนึ้ มาในเชา้ วนั ใหม่ ด้วยกายท่สี ดชน่ื และใจที่แจ่มใส 124
การเตรียมใจอีกอย่างหนง่ึ ทคี่ วรทำ� ก่อนนอนก็คอื เตอื นใจวา่ ชีวิตของเราน้นั ไม่เท่ียง สกั วันหน่ึงเรากต็ ้องจากโลกนี้ไป วนั น้ันจะมาถงึ เมอ่ื ไร เรามอิ าจรไู้ ด้ อาจเปน็ ปหี นา้ เดอื นหนา้ สปั ดาหห์ นา้ หรอื วันพรุง่ นีก้ ็ได้ ใครจะไปรู้ คนื นีอ้ าจเป็นคนื สดุ ท้ายของเรา เมอ่ื เป็นเช่นน้ ี จงึ ควรถามใจตนเองว่า “เราพร้อมทีจ่ ะไปจากโลกนี้หรอื ยงั ”
มรณสติ จงึ ไม่ไดช้ ่วยให้เรา ตายอยา่ งสงบเทา่ นัน้ แตย่ ังช่วยกระตนุ้ เตือน ให้เราด�ำเนนิ ชวี ิตได้อยา่ งมีคณุ ค่า อยา่ งถกู ตอ้ ง ไมป่ ลอ่ ยเวลาใหเ้ ปลา่ ประโยชน ์ หรือดำ� เนินชวี ติ ไปในทางทีเ่ สยี หาย
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 127
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ เตรียมตวั ตาย อยา่ งสงบ 128
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “จติ ทฝี่ กึ ไวด้ แี ลว้ นำ� ความสขุ มาให”้ ถา้ เรา ต้องการชีวิตท่ีผาสุก เราจะท้ิงการฝึกจิตไม่ได้ เมื่อเราฝึกจิตได้ดี ถกู ตอ้ ง โดยเฉพาะการฝกึ จติ ตามแนวสตปิ ฏั ฐาน ๔ กจ็ ะทำ� ใหช้ วี ติ เรามีความสุข แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความผันผวนปรวนแปรของ สิง่ ต่างๆ ก็ตาม อยา่ งไรกต็ าม การดำ� เนนิ ชวี ติ ใหม้ คี วามสขุ จรงิ ๆ แลว้ มนั ก็ เปน็ แคค่ รงึ่ หนงึ่ ของสงิ่ ทพี่ งึ กระทำ� ทง้ั นที้ งั้ นน้ั กเ็ พราะวา่ ชวี ติ ของเรา ไมว่ า่ จะยนื ยาวแคไ่ หน สดุ ทา้ ย เรากต็ อ้ งตายทกุ คน การทำ� ใหต้ วั เอง มีความสุข เปน็ หนา้ ที่อยา่ งหนงึ่ ที่เราพึงมตี ่อตวั เอง 129
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ แต่หนา้ ทอ่ี ีกอยา่ งหนง่ึ ที่เราจะมองข้ามไมไ่ ด้ก็คอื วา่ เมือ่ ถึง เวลาที่ชีวิตเราส้ินสุด หรือเมื่อความตายมาถึง เราต้องรู้จักท�ำให้ ความตายน้ันเป็นไปอย่างสงบ นอกจากการอยู่โดยไม่ทุกข์แล้ว การท�ำให้การตายของเราเป็นไปโดยไม่ทุกข์ นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง พดู อกี อยา่ งกค็ อื การอยอู่ ยา่ งมคี วามสขุ เปน็ แคค่ รงึ่ เดยี วของสง่ิ ที่ เราพงึ กระทำ� ตอ่ ตวั เอง เมอื่ อยกู่ ม็ คี วามสขุ เมอ่ื จะตายอยา่ งนอ้ ย กไ็ ม่ทกุ ข ์ นีเ่ ปน็ อกี ครงึ่ หนง่ึ ของส่งิ ที่เราพงึ กระทำ� หากเราคดิ แคเ่ พยี งวา่ ฉนั ขออยอู่ ยา่ งมคี วามสขุ ฉนั จะพยายาม ทำ� ทกุ อยา่ งเพอ่ื ใหช้ วี ติ นมี้ คี วามสขุ ถา้ คดิ เพยี งแคน่ ี้ กถ็ อื วา่ มองขา้ ม สิ่งท่ีควรท�ำไปอีกคร่ึงหน่ึง คนเราจะอยู่ดีอย่างเดียวไม่พอ หรือเรา ควรจะตายดีด้วย ถ้าเราจะนึกถึงแต่การอยู่ให้ด ี แลว้ ไมน่ กึ ถงึ เรอ่ื ง การตายดเี ลย กถ็ อื วา่ เราละเลยสง่ิ สำ� คญั อยา่ งหนง่ึ ของชีวิตเราเลย ทเี ดยี ว จะเรยี กวา่ เราประมาทกไ็ ด้ อยู่ดี หมายถึงว่า อยู่ด้วยดี อยู่ด้วยดีก็คือ อยู่ด้วยคุณงาม ความดีและมีความสุข ไม่ใช่อยู่โดยมีส่ิงอ�ำนวยความสะดวก พร่ังพร้อมด้วยทรัพย์สินเงินทอง อันน้ันไม่ใช่อยู่ดีในพระพุทธ- ศาสนา อยู่ดีในพระพุทธศาสนาคือ “อยู่ด้วยดี” ก็คืออยู่ด้วย คณุ งามความดมี คี ณุ ธรรมเปน็ เครอื่ งกำ� กบั และนำ� พาความสขุ มาให้ แตด่ งั ทบี่ อกแลว้ เราจะนกึ ถงึ การอยดู่ อี ยา่ งเดยี วไมพ่ อ ตอ้ ง นกึ ถงึ การตายดดี ว้ ย เพราะในทส่ี ดุ เราทกุ คนกต็ อ้ งตาย ความตาย เป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้น มันเป็นสิ่งท่ีมาคู่กับชีวิตเลยทีเดียว เม่ือมีชีวิตก็ต้องมีความตาย เพราะฉะน้ัน เราอย่านึกถึงแต่เร่ือง การอยู่ดี หรือการมีชีวิตที่ผาสุกเท่าน้ัน เราควรจะนึกถึงเรื่องการ 130
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ตายด ี เราควรจะตระหนกั ถงึ ความจำ� เปน็ ในการทำ� ใหก้ ารตายของเรา เปน็ การตายทีไ่ ม่ทกุ ข์ มีคนเปรยี บว่า ชีวิตน้เี หมือนกบั ละคร ชวี ติ ของเราแต่ละคน มันมีบทบาทมากมาย บางทีเราก็มีบทบาทของลูก บางทีเราก็สวม บทบาทของพ่อแม่ บางคร้ังเราก็ต้องเล่นบทบาทเจ้านาย บางครั้ง เรากอ็ ยใู่ นบทบาทของลกู นอ้ ง เหมอื นกบั ละครทม่ี บี ทบาทแตกตา่ ง กนั ไป แต่มีอย่างหน่ึงที่ชีวิตกับละครต่างกัน โดยเฉพาะละครไทย หรือแม้กระท่ังละครเกาหลี มักจะจบแบบ happy ending แต่ ชวี ติ น ้ี เรยี กวา่ แทบทกุ ชวี ติ เลย ไมไ่ ดจ้ บแบบ happy เพราะกอ่ นท่ี จะหมดลม ก่อนท่ีชีวิตจะส้ินสุด เราต้องเจอความเจ็บ ความป่วย และกอ่ นทจ่ี ะเจบ็ ปว่ ย กต็ อ้ งแกช่ รา ซงึ่ ไมม่ ใี ครชอบ ทจี่ รงิ ความตาย คอื การจบทไ่ี มส่ วย ละครเรอ่ื งไหนกต็ าม หากพระเอกหรอื นางเอก ตาย เราไม่เรียกว่า happy ending ใช่ไหม ในเม่ือชีวิตเราทุกคน จบลงดว้ ยความเจบ็ ปว่ ยและความตาย จงึ ไมเ่ รยี กวา่ happy ending เช่นกัน ยง่ิ กวา่ นนั้ คนสมยั นช้ี ว่ งทเ่ี จบ็ ปว่ ยจะยาวนานกวา่ คนสมยั กอ่ น มาก คนสมยั กอ่ นพอลม้ ปว่ ย มกั จะปว่ ยไมน่ าน เพราะวา่ สว่ นใหญ่ ป่วยด้วยโรคติดเช้ือ พอติดเช้ือเข้า ก็อยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ก็ตาย ปว่ ยดว้ ยวณั โรค ไมถ่ งึ ปกี ต็ าย แตเ่ ดยี๋ วน ี้ เราปว่ ยกนั นานๆ นบั สบิ ปี บางคนไตวาย ต้องล้างไต นานถึง ๑๖ - ๑๗ ปี บางคนเป็นมะเร็ง นานนับสิบปีกว่าจะตาย 131
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ คนสมัยน้ีโชคดี ตรงท่ีอายุยืนกว่าคนสมัยก่อน แต่ในเวลา เดียวกันก็เจ็บป่วยนานกว่าคนสมัยก่อนเช่นกัน ยิ่งมาถึงระยะ ท้ายของชีวิต จะเจอกับความเจ็บปวด หรือความทุกข์ทรมานมาก โดยเฉพาะคนท่ีอยู่ในห้องไอซียู มีสายระโยงระยางมากมาย ต้อง เจาะคอ ใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ ใชย้ ากระตนุ้ ความดนั นานหลายเดอื น หรอื นานเปน็ ปกี วา่ จะตาย ฉะนนั้ จงึ เรยี กไดว้ า่ การตายของคนสมยั นี้ ไม่ happy เอามากๆ เลย ถึงแม้ว่าตอนที่เราเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว ยังแข็งแรง จะมีความสุขอย่างไร มีชีวิตเหมือนพระเอก นางเอกในละครไทยเพียงใดก็ตาม แต่ตอนจบไม่มีทางเหมือนเลย ตรงข้าม ชีวติ เราจบแบบไม่ happy ท้งั นนั้ อนั นค้ี อื ความจรงิ ทเ่ี ราตอ้ งยอมรบั แตค่ นสว่ นใหญไ่ มต่ ระหนกั และก็ไม่ได้คิดเลยว่า เม่ือถึงตอนน้ัน เราจะท�ำอย่างไร หรือจะ เตรยี มตวั เตรยี มใจอยา่ งไร กอ่ นทจี่ ะเจอกบั ภาวะดงั กลา่ ว แตข่ า่ วดี ก็คือว่า เราสามารถเผชิญกับภาวะเหล่านั้นได้ โดยท่ีใจไม่ทุกข์ ความเจ็บ ความปวด ความตาย แม้ดูน่ากลัว ไม่น่าพิสมัย แต่ ก็เปรียบเหมือนกับผลไม้บางลูก แม้ดูไม่สวย ข้ีเหร่ ไม่น่ามอง แต่ขา้ งใน อาจจะมีรสชาตทิ อี่ ร่อยกไ็ ด ้ ในขณะทรี่ า่ งกายเจบ็ ปว่ ย หรอื กำ� ลงั แตกดบั แตว่ า่ ใจสามารถ จะสงบ หรือเป็นปกติสุขได้ แม้กายจะมีทุกขเวทนาบีบค้ัน จนทน ไม่ไหว คือต้องตาย แต่ข้างในคือจิตใจสงบเป็นสุข เป็นไปได้นะ อันนี้คือข่าวดี แต่ว่ามันเกิดขึ้นได้ไม่ง่าย จะเกิดข้ึนได้ ต่อเม่ือเรา สรา้ งเหตุปจั จัยที่เหมาะสม 132
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล น่ันหมายความว่า เราสามารถมีชีวิตท่ีผาสุก และตายโดย ไมท่ กุ ขก์ ไ็ ด ้ หรอื อยดู่ ดี ว้ ย และตายดดี ว้ ย แตว่ า่ มนั จะเปน็ อยา่ งนนั้ ได้ เราต้องเตรียมตัว เราต้องสร้างเหตุ สร้างปัจจัย สร้างความพร้อม ให้เกิดข้ึนตั้งแต่เด๋ียวนี้ เริ่มต้ังแต่การตระหนักว่า ฉันจะมีชีวิตที่ ผาสกุ อยา่ งเดยี วไมไ่ ด ้ เมอ่ื เกดิ มาทง้ั ทแี ลว้ กค็ วรจะตายดใี หไ้ ดด้ ว้ ย แต่หลายคนไม่กลา้ นึกถงึ เร่อื งการตาย ไมก่ ลา้ นึกแม้กระท่งั วา่ ฉนั จะตายดอี ยา่ งไร เพราะอะไร เพราะกลวั ตาย คนจำ� นวนมาก กลัวความตายถึงขนาดไม่กล้านึกถึง น่ันคือความผิดพลาดอย่าง มหันต ์ เพราะว่ามันเปน็ ส่ิงที่เราหลกี เลย่ี งไม่ได้ สิ่งท่ีเรากลัว มีหลายอย่างที่หลีกเลี่ยงได้ บางคนกลัวตุ๊กแก มากเลย ก็หลีกเล่ียงได้ด้วยการไม่ไปยังที่ท่ีมีตุ๊กแกเยอะ อย่าง วดั ปา่ สคุ ะโต มหี ลายคนจะถามอาตมากอ่ นไปวา่ มตี กุ๊ แกไหม พอได้ ค�ำตอบว่ามีเยอะแยะเลย เขาก็เปลี่ยนใจ ไม่ไป อย่างนี้ท�ำได้ มี หลายอย่างท่ีเรากลัว แล้วเราหลีกเลี่ยงไม่ไปเจอได้ แต่ความตาย คณุ ไม่มีทางหลกี เลี่ยงได้เลย คุณจะใช้วธิ ีเดนิ หนไี มไ่ ดเ้ ลย ในทำ� นองเดยี วกนั ความแก ่ ความเจบ็ ความปว่ ย หลายคน กลวั กลวั แลว้ ไมย่ อมนกึ ถงึ อนั นเี้ ปน็ ความประมาท เพราะไมว่ า่ จะ กลวั หรอื รงั เกยี จอยา่ งไร ในทส่ี ดุ กต็ อ้ งเจอ และในเมอื่ เราตอ้ งเจอแน่ มันจะเป็นการดีกว่า หากเราเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเผชิญกับมัน เสียแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่แค่เตรียมตัวด้วยการท�ำพินัยกรรม หรือท�ำ ประกนั ชวี ติ เท่านั้น แต่ต้องเตรียมใจดว้ ย เตรยี มใจดว้ ยการระลกึ ถงึ ความตายอยเู่ นอื งๆ จากนนั้ กถ็ าม ตัวเองว่า ถ้าจะตาย…ฉันอยากตายแบบไหน ควรตายอย่างไร 133
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ คำ� วา่ ควรตายอยา่ งไร ไมไ่ ดห้ มายถงึ ตายดว้ ยสาเหตใุ ด แตห่ มายถงึ ตายดว้ ยความรสู้ กึ อยา่ งไร นเ่ี ปน็ ค�ำถามทส่ี �ำคญั มาก พทุ ธศาสนา มองวา่ เมอ่ื เราจะตอ้ งตาย กค็ วรตายใหด้ ที ส่ี ดุ คำ� วา่ ตายด ี เปน็ สงิ่ ทีเ่ ราควรใคร่ครวญว่าหมายถงึ อะไร ตายด ี ในทรรศนะของคนสว่ นใหญก่ ค็ อื ตายโดยไมเ่ จบ็ ปวด อาตมาคดิ วา่ เปน็ ความฝนั หรอื ความหวงั ของผคู้ นสว่ นใหญ ่ หลายคน จะบอกวา่ ขอใหต้ ายแบบหลบั แลว้ ไมต่ นื่ เลย ถา้ ตายแบบนน้ั ขณะท่ี อายมุ ากยงิ่ ด ี คอื ตายตอนอาย ุ ๗๐ - ๘๐ หรอื ๙๐ นคี่ อื ความตาย ท่ีเป็นยอดปรารถนาของคนจ�ำนวนมาก เพราะว่าอะไร เพราะว่า มนั ไมท่ รมาน ไมเ่ จบ็ ไมป่ วด ในทศั นะของผคู้ นอกี มากมาย ตายดี มีความหมายแตกต่าง กันไป กลา่ วอย่างย่อๆ การตายดีม ี ๓ แบบ คอื ๑. ตายดที างกายภาพ คอื ตายโดยไมเ่ จบ็ ไมป่ วด หลบั ตาย หรือตายแบบศพสวย อวัยวะครบ ๓๒ ๒. ตายดที างสมั พนั ธภาพ คอื ตายทา่ มกลางคนรกั ไมเ่ ปน็ ภาระลกู หลาน ลกู หลานไมท่ ะเลาะกนั หรอื ชว่ ยตอ่ ชวี ติ ของคนอนื่ ดว้ ยอวัยวะของตน ๓. ตายดีทางจิตใจ คือ ตายด้วยใจสงบ มีสติ ไม่จ�ำเป็นว่า ตายดว้ ยสาเหตใุ ด ทไ่ี หน แตข่ อใหจ้ ติ เปน็ กศุ ลกอ่ นตาย พทุ ธศาสนาให้ความส�ำคญั กบั การตายดใี นแบบท่ีสาม กรณีคนท่ีไหลตาย หรือหลับตาย อาจไม่เรียกว่าตายดีทาง พทุ ธศาสนากไ็ ด้ เพราะกอ่ นตายอาจจะมอี าการทรุ นทรุ ายเจบ็ ปวด หรอื เปน็ ทกุ ข ์ เชน่ ชอ็ คเพราะฝนั รา้ ย หรอื หวั ใจหยดุ เตน้ กะทนั หนั 134
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล หรอื แมต้ ายโดยไมเ่ จบ็ ปวดเลย แตเ่ มอ่ื รตู้ วั วา่ จะตายแลว้ วาดภาพ เห็นลูกหลานมาร้องไห้กอดศพตน จิตอาจจะเศร้าหมอง มีความ ห่วงกังวล อย่างน้ีไม่เรียกว่า เป็นการตายดีทางจิตใจ เพราะ จติ สดุ ท้ายก่อนดบั อาจจะมคี วามหว่ งกังวล ท�ำให้ไปไมส่ งบ ตายดที างพทุ ธศาสนา คอื การตายอยา่ งสงบ มสี ต ิ ไมห่ ลงตาย นอกจากไม่ทุรนทุราย กระสับกระส่าย จิตยังเป็นกุศล เพราะ ปล่อยวางทุกสิ่ง หรือดียิ่งกว่านั้นคือ จิตเกิดปัญญา เห็นแจ้งใน สจั ธรรม คอื เหน็ ชดั วา่ สง่ิ ทง้ั ปวงไมเ่ ทย่ี ง (อนจิ จงั ) เปน็ ทกุ ข ์ (ทกุ ขงั ) ไมใ่ ช่ตน (อนัตตา) จนจิตหลดุ พ้นจากวัฏสงสาร ตายดที างพทุ ธศาสนา มี ๒ ชว่ ง คอื ชว่ งกอ่ นตาย ไมท่ รุ นทรุ าย กระสบั กระสา่ ย ใจสงบ ชว่ งตอ่ มาคอื ตายแลว้ ไปสคุ ต ิ ไมต่ กอบาย แม้ปุถุชนอย่างเรา ไม่รู้ว่า คนรักของเราตายแล้วไปไหน แต่สิ่งท่ี เราสามารถเหน็ ไดร้ ไู้ ดก้ ค็ อื กอ่ นตาย เขาทกุ ขท์ รมานไหม กระสบั กระสา่ ยไหม หรอื มอี าการสงบ หากเขามอี าการสงบกอ่ นตาย กพ็ อ จะอนุมานได้วา่ เขาตายดีและไปดี เราทกุ คนสามารถฝกึ จติ ใหเ้ ปน็ กศุ ล มคี ณุ ภาพดกี อ่ นตายได้ ดว้ ยการเจรญิ มรณสต ิ คอื นอ้ มนกึ ถงึ ความตายของตนเองอยเู่ สมอ ขณะเดียวกัน ก็ระลึกถึงพระรัตนตรัย รวมท้ังบุญกุศลที่ตนท�ำอยู่ เนืองๆ พร้อมกับฝึกใจปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่ว่าคนรัก ของรัก ยิ่งถ้า เจริญสติ ท�ำสมาธิอยู่เสมอ จะช่วยให้จิตมีความพร้อม สามารถ ครองสติขณะที่ก�ำลังจะตาย หรือหากมีคนช่วยน้อมน�ำจิตให้เป็น กุศลขณะที่กำ� ลังจะตายกย็ ง่ิ ด ี ชว่ ยใหต้ ายอย่างสงบได้ 135
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ได้กล่าวแล้วว่า พุทธศาสนาให้ความส�ำคัญกับการตายดี ประเภทที่ ๓ คือการตายด้วยใจสงบ ตายอย่างมีสติ ตายโดย ไมท่ รุ นทุราย และเมื่อตายแล้วไปด ี คอื ไปสุคติ การตายดีแบบนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่า ตายท่ีไหน ตายอย่างไร อาจจะตายเพราะอุบัติเหตุ อาจจะตายเพราะภัยธรรมชาต ิ อาจจะ ตายคนเดยี ว โดยไมม่ ใี ครร ู้ แมก้ ระทงั่ ตายขา้ งถนนกไ็ ด ้ แตถ่ า้ ตาย ด้วยใจที่สงบ ถือว่าเป็นการ “ตายดี” แม้ถูกไฟคลอกตาย ถูกเสือ กดั ตาย แตถ่ า้ จติ เปน็ กศุ ล มสี ต ิ หรอื ยง่ิ กวา่ นนั้ คอื เกดิ ปญั ญารแู้ จง้ เห็นจริง ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเห็นสัจธรรมจากสังขาร ซ่ึงกำ� ลงั เจบ็ ป่วย ย่ิงดีเขา้ ไปใหญ่ นางสามาวด ี เปน็ สตรใี นสมยั พทุ ธกาล เธอเปน็ มเหสคี นโปรด ของพระเจ้าอุเทน แต่เคราะห์ร้ายถูกนางมาคันทิยา ซ่ึงเป็นมเหสี อีกคนของพระเจ้าอุเทน กลั่นแกล้งด้วยความอิจฉา ลวงให้นาง สามาวดีและบริวารติดอยู่ในคลังผ้า แล้วก็จุดไฟเผาจนทั้งหมด เสยี ชวี ติ ในกองเพลงิ ศพของนางคงมสี ภาพไมน่ า่ ด ู สำ� หรบั คนทวั่ ไป เธอตายไมด่ เี ลย แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ การตายของนางเปน็ การตาย ที่ไม่สูญเปลา่ เรยี กง่ายๆ วา่ “ตายดี” ที่พระองค์ตรสั เชน่ นกี้ ็เพราะวา่ ตอนทีน่ างจะสิน้ ลม จติ ของ นางเป็นกุศล นอกจากแผ่เมตตา ให้อภัยแก่นางมาคันทิยา ไม่มี ความโกรธความเกลียดใดๆ เลย ขณะที่ไฟก�ำลังลุกท่วมร่าง นาง ยังเจริญสติ พิจารณาเวทนา พระไตรปิฎกใช้ค�ำว่า “เอาเวทนา เป็นอารมณ์” คือ เห็นความปวดที่เกิดข้ึน โดยจิตไม่เข้าไปยึด ความปวดนนั้ พดู อกี อยา่ งคอื เหน็ ความปวด แตไ่ มเ่ ปน็ ผปู้ วด จติ 136
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ของนาง นอกจากสงบแลว้ ยงั เกดิ ปญั ญา บรรลธุ รรมขน้ั สงู กวา่ เดมิ เช่นเดียวกับบริษัทบริวารของนาง บางคนได้เป็นโสดาบัน บางคน ไดเ้ ปน็ สกทิ าคาม ี บางคนไดเ้ ปน็ อนาคาม ี นเี่ ปน็ การตายด ี ทงั้ ๆ ที่ ในสายตาชาวโลก เรยี กวา่ ตายไมส่ วย ตายไมด่ ี เพราะถกู ไฟคลอก ศพก็ไมส่ วย อันนี้เป็นการตายดีในมุมมองของพุทธศาสนา ซ่ึงสวนทาง กบั ความเขา้ ใจของคนสว่ นใหญ่ พวกเราเปน็ ชาวพทุ ธ ควรใหค้ วาม สำ� คญั กบั การตายด ี ประเภทท ่ี ๓ ซงึ่ เปน็ หลกั ประกนั อยา่ งแทจ้ รงิ วา่ ก่อนตายก็ไม่ทุกข์ทรมาน ตายแล้วก็ไปสู่สุคติ คนที่ไม่เช่ือเรื่อง ภพหนา้ คงไมส่ นใจเรอ่ื งตายแลว้ ไปด ี แตค่ งปรารถนาใหต้ วั เองไมม่ ี อาการทรุ นทรุ าย จิตสงบกอ่ นตาย การตายอย่างมีความสุข หรือการมีความสุขในวาระสุดท้าย เป็นไปได้นะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุญ ย่อมท�ำให้เกิดสุขในเวลา ส้ินชีวิต” พุทธภาษิตส้ันๆ ข้อนี้ มีนัย ๒ ประการ ประการแรก คือ ตอนที่จะตายเรามีความสุขได้ และประการท่ี ๒ เราสุข ก่อนตายได้ เพราะบุญที่ได้ท�ำ บุญท่ีว่า อาจจะหมายถึงบุญที่ท�ำ ก่อนตาย เช่น ถวายสังฆทานก่อนตาย หรือสมาทานศีลก่อนตาย บุญดังกล่าว ท�ำให้เกิดปีติ จิตเป็นกุศล ท�ำให้ตายอย่างสงบ ไม่มี อาการทุรนทุราย หรอื อาจจะหมายถงึ การระลกึ ถงึ ความดีที่ได้ท�ำ ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้บ�ำเพ็ญ ท�ำให้ปีติปราโมทย์ เกิดความม่ันใจ ว่าตายแล้วไปดแี น่ หลายคนกลวั ตาย ไมใ่ ชเ่ พราะวา่ จะตอ้ งพลดั พรากจากคนรกั ของรกั เทา่ นน้ั แตเ่ พราะไมม่ นั่ ใจวา่ ตายแลว้ จะไปดหี รอื เปลา่ บางคน 137
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ กลัวว่าจะไปอบาย กลัวจะตกนรก ก็เลยกลัวความตาย มีอาการ กระสับกระส่าย แต่ถ้าเรามั่นใจว่า ชีวิตนี้ได้ท�ำความดีมาตลอด ได้สร้างบุญกุศลมามากมาย เพราะฉะนั้นไปดีแน่ จึงไม่กลัวตาย เตม็ ใจตาย พรอ้ มทจี่ ะตาย ความตระหนกั เชน่ น ี้ ทำ� ใหต้ ายอยา่ งสงบ เรยี กว่า ตายอย่างมีความสขุ ฉะนั้น เวลานึกถึงความตาย อยากให้เรานึกถึงการตายดี ในแงม่ มุ นมี้ ากๆ แลว้ กพ็ ยายามสรา้ งเหตปุ จั จยั เพอื่ ทำ� ใหก้ ารตายดี นั้นเปน็ ไปได้ เหตุปัจจยั ทที่ �ำให้ตายดี ก่อนท่ีจะพูดถึงเหตุปัจจัยที่ท�ำให้ตายดี อาตมาอยากพูดถึง เหตปุ ัจจัยทท่ี �ำใหต้ ายไมด่ ี ข้อแรก คือ ความกลัว ความกลัวท�ำให้หลายคนมีอาการ ทรุ นทรุ ายกอ่ นตาย บางคนไมใ่ ชแ่ คก่ ลวั ตาย แตย่ งั กลวั ตายคนเดยี ว ด้วย คนแก่หลายคนเม่ือเจ็บป่วยระยะท้าย ไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรือท่ี โรงพยาบาล กลางค�่ำกลางคืนจะไม่ยอมหลับ เพราะอะไร เพราะ กลวั วา่ ถา้ ตวั เองหลบั คนดแู ลกจ็ ะหลบั ไปดว้ ย แลว้ ถา้ เกดิ ตวั เองตาย ตอนนน้ั ก็ต้องตายคนเดียว ไมม่ ใี ครรบั ร้หู รืออยูเ่ ปน็ เพ่ือน นอกจากไม่ยอมนอนแล้ว ผู้ป่วยประเภทนี้จะพยายามปลุก ใหค้ นดแู ลตน่ื ขนึ้ มากลางดกึ เพอ่ื ใหแ้ นใ่ จวา่ เขายงั ไมห่ ลบั ผดู้ แู ลจะ เหน่ือยมาก เพราะดูแลท้ังวันแล้ว กลางคืนก็ยังไม่ได้หลับ เพราะ 138
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ถูกปลุกตลอดท้ังคืน เจออย่างน้ีติดต่อกันอาทิตย์ สองอาทิตย์ ตาเป็นขอบด�ำเหมือนหมีแพนด้าเลย นอกจากเหนื่อยล้าแล้ว หลายคนจะร้สู ึกหงุดหงดิ ดว้ ย มีนายต�ำรวจคนหนึ่ง ป่วยอยู่ในระยะท้าย แกจะเรียก พยาบาล เรียกลูก เรียกเมีย ให้ท�ำโน่นท�ำนี่ให้แกตลอดเวลา เช่น ไขเตียงข้ึน เอาเตียงลง พลิกตัว บางทีก็เรียกเอาน�้ำมาให้ เรียก ตลอดทงั้ วนั กลางคนื กไ็ มย่ อมหลบั เรยี กใหล้ กู เมยี ทำ� นน่ั นสี่ ารพดั เปน็ อยา่ งนปี้ ระมาณ ๒ - ๓ อาทติ ย ์ ลกู ชายเครยี ดมากเพราะไมไ่ ด้ หลับเลย สุดท้ายสติแตก ลูกชายจับคอเสื้อพ่อเขย่าแรง ตวาด ใสห่ นา้ ว่า “จะเอายงั ไงๆ ไม่ได้นอนเลย เรยี กอยูน่ ่ันแหละ” ถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับนายต�ำรวจคนนั้น แกเป็นอย่างนั้น เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะปวดนะ ที่ท�ำอย่างนั้นก็เพราะแกกลัว ตาย แต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองกลัวตาย ตนเองเป็นผู้ชาย แถมเป็น นายต�ำรวจใหญ่ จะยอมรับว่าตัวเองกลัวตายได้อย่างไร พยายาม กดขม่ ปฏเิ สธ ความกลวั ตายมนั กเ็ ลยแสดงอาการออกมา ดว้ ยการ ท�ำทุกอยา่ ง เพ่ือให้มคี นอยูใ่ กลๆ้ จะได้หายกลัว พฤตกิ รรมแบบน้ี มกั เกดิ กบั คนท่กี ลัวตาย แต่ไมย่ อมรบั วา่ ตวั เองกลัว ขอ้ ท ่ี ๒ คอื ความโกรธ คนปว่ ยดว้ ยโรครา้ ย โดยเฉพาะเมอ่ื โรคลามถงึ ระยะทา้ ย เขาจะโกรธสารพดั เลย อาจจะโกรธเพราะวา่ ทำ� ไมทำ� ดแี ลว้ ไมไ่ ดด้ ี ฉนั ทำ� บญุ ทำ� กศุ ลมาทง้ั ชวี ติ ทำ� ไมตอ้ งมาเจอ แบบนี้ ท�ำไมชีวิตน้ีฉันจึงมีแต่เคราะห์กรรม ต้ังแต่เด็กก็ล�ำบาก ครั้นมีสามีก็เจอแต่ผู้ชายแย่ๆ ตลอดชีวิตฉันท�ำงานเลือดตาแทบ กระเดน็ พอเรมิ่ จะลมื ตาอา้ ปากได ้ ลกู เรยี นจบ กลบั มาเปน็ มะเรง็ 139
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ รู้สึกว่า ท้ังชีวิตเจอแต่เคราะห์ซ�้ำกรรมซัด หลายคนจะโกรธชะตา กรรม บางคนก็โกรธเพราะว่า ตนเองอุตส่าห์ดูแลสุขภาพอย่างดี กินอาหารชีวจิต แมคโครไบโอติกส์ ออกก�ำลังกาย สาหร่าย เกลยี วทองกซ็ อื้ โคควิ เทน็ กห็ า ผงชรู ส สารเคมไี มแ่ ตะเลย รวมทงั้ อาหารทมี่ ไี ขมนั เยอะ นำ้� ตาลมาก แถมยงั ออกกำ� ลงั กายเปน็ ประจำ� ทงั้ วา่ ยนำ�้ จอ๊ กกง้ิ ดนั เปน็ มะเรง็ แตพ่ วกทส่ี บู บหุ ร ่ี กนิ เหลา้ กลบั ไม่เป็นอะไร คิดแบบนี้ก็รู้สึกโกรธแค้น บางคนก็โกรธท่ีสามี ไม่อินังขังขอบ ไม่มาดูแล ไม่มาเย่ียมเยียน หรือโกรธที่สามีไปมี เมียน้อย ติดเหล้า ก่อหนี้สินมากมาย สร้างความทุกข์ให้ตนเอง ตลอดเวลา จนรา่ งกายย่ำ� แย่ คนเราเวลาป่วย มักมีความโกรธตามมา แล้วก็จะโทษน่ัน โทษน ี่ แมก้ ระทง่ั โกรธตวั เองทไี่ มด่ แู ลสขุ ภาพดี ทงั้ ๆ ทภ่ี รรยาเตอื น แล้วเตือนอีกว่า อย่ากินอาหารประเภทไขมันเยอะ น้�ำตาลก็อย่า กินมาก ก็ยังไม่ยอมฟัง ยังชอบกินหมูพะโล้ ขาหมู เน้ือสเต็ก ข้าวเหนียวทุเรียน สุดท้ายเส้นเลือดในสมองแตก เป็นอัมพฤกษ์ อมั พาต กลายเปน็ ภาระของลกู ของภรรยา หลายคนโกรธจนกระทง่ั วาระสุดท้าย ระหว่างท่ีป่วยก็กราดเกร้ียวใส่หมอ ใส่พยาบาล จนกระท่ังตอนตายก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธความแค้น กระสับ กระส่ายจนวาระสุดท้าย อยา่ งน้กี ็ตายสงบไดย้ าก ข้อท่ี ๓ คือ ความห่วงและความหวง เช่น ห่วงลูก ห่วง พ่อแม่ ห่วงงาน หรือหวงทรัพย์สมบัติ บางคนก็หวงคนรัก กลัว เขาจะไปมคี นใหม่ 140
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล มีผู้หญิงคนหนึ่ง ป่วยเป็นมะเร็ง ก่อนตายเอาแต่พูดถึง ลูกชายคนเล็กอายุ ๑๐ ขวบ ห่วงมาก เพราะกลัวว่าจะเป็นอย่าง พชี่ าย ๒ คน ซงึ่ ตดิ ยาแลว้ กต็ ดิ คกุ เธอพดู ถงึ ลกู คนนจ้ี นกระทงั่ ตาย ตอนตายเธอเปิดตาค้าง พยาบาลพยายามปิดเปลือกตาก็ไม่ส�ำเร็จ จนกระท่ังวันรุ่งขึ้น ญาติผู้ใหญ่มารับศพ เห็นคนตายตาเบิกโพลง กร็ วู้ า่ อะไรเกดิ ขน้ึ จงึ จดุ ธปู บอกกบั ผตู้ ายวา่ ลกู ชายคนเลก็ ของเธอ เธอไมต่ อ้ งหว่ งนะ ฉนั จะรบั ไปดแู ล พดู จบกป็ ดิ เปลอื กตา ปรากฏวา่ ปิดลงได ้ ทั้งทผี่ ่านมาแล้วคนื หนง่ึ กรณีเชื่อว่าคนตายยังห่วงลูก อาการแบบน้ี เรียกว่าตายตา ไม่หลับ แต่ก็ยังดี ที่มีคนช่วยให้คลายความห่วงได้ ความห่วงลูก ทำ� ใหจ้ ติ ใจตอ่ สู้ขัดขืนกบั ความตาย ท�ำให้ทุกขท์ รมานมาก ผปู้ ว่ ยบางคนไมไ่ ดห้ ว่ งวา่ คนรกั จะลำ� บาก รอู้ ยวู่ า่ เขาสามารถ อยูไ่ ด้ดว้ ยตวั เขาเอง แตก่ ลัวท่เี ขาท�ำใจไมไ่ ด ้ พระอาจารย์พรหมวังโส เป็นพระชาวอังกฤษ ท่านไปสร้าง วัดท่ีออสเตรเลีย ท่านมีลูกศิษย์คนหนึ่งช่ือ สตีฟ สตีฟป่วยหนัก และอยู่ในระยะท้าย ท้ังๆ ที่อาการหนักแล้ว แต่เขาไม่ยอมตาย มอี าการทกุ ขท์ รมาน ทา่ นไปเยย่ี มหลายครง้ั เหน็ ผดิ สงั เกต วนั หนงึ่ จงึ พดู กบั ภรรยาของสตฟี วา่ “คณุ อนญุ าตใหส้ ตฟี ไปหรอื ยงั ” ทแี รก ภรรยาคงงง แต่พอตั้งสติได ้ ก็ข้ึนไปบนเตียงกอดสตีฟเอาไว ้ แล้ว กบ็ อกสตฟี วา่ “สตฟี …ฉนั อนญุ าตใหเ้ ธอไปไดแ้ ลว้ นะ” สองวนั ตอ่ มา สตีฟก็จากไป คนบางคนเขาไม่ได้กลัวตายนะ แต่ท่ีเขาไม่ตาย เพราะเขายังห่วงคนรักว่าจะท�ำใจไม่ได้ ก็เลยพยายามอยู่ แต่พอ คนรักอนุญาตเปิดไฟเขียวใหเ้ ขาไป เขาไปเลย แบบนี้มเี ยอะนะ 141
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ คุณยายคนหนึ่งมารักษาตัวท่ีโรงพยาบาล แต่ผ่านไปได้ ๒ อาทิตย์ หัวใจก็หยุดเต้น เมื่อปั๊มหัวใจส�ำเร็จ คุณยายก็กลายเป็น ผกั ไปแลว้ ไมพ่ ดู ไมค่ ยุ ไมต่ อบสนองใดๆ คณุ ยายเปน็ คนทมี่ นี ำ�้ ใจ เพื่อนบ้านรักมากเลย พากันมาเยี่ยม ทุกๆ คนพูดเหมือนกันว่า ขอใหห้ ายไวๆ นะ จะไดไ้ ปเทย่ี วไปเลน่ กนั แตค่ ณุ ยายกไ็ มต่ อบสนอง แต่อย่างใด ผา่ นไปเดอื นหนง่ึ ลกู ชายซง่ึ ดแู ลแมม่ าตลอด วนั หนง่ึ พลกิ ตวั แม ่ เหน็ แมน่ ำ้� ตาไหล สงั หรณใ์ จ กเ็ ลยพดู ขนึ้ มาวา่ “แมเ่ หนอื่ ยไหม แม่ทรมานไหม ถ้าแม่เหนื่อย แม่ทรมาน แม่ไปได้เลยนะ ไม่ต้อง หว่ งผม” แลว้ ลกู ชายกช็ วนแมส่ วดมนต ์ นงั่ สมาธ ิ ซง่ึ ปกตทิ ำ� อยา่ งน้ี เป็นประจำ� แตค่ ราวนี้พอทำ� ไปได้แค ่ ๕ นาที สญั ญาณชพี ของแม่ ทเ่ี คยเต้นกแ็ บนราบไปเลย แปลวา่ แมไ่ ปแลว้ ทำ� ไมไปตอนนี ้ ทไ่ี ปกเ็ พราะลกู ชายใหไ้ ฟเขยี วแมแ่ ลว้ ความ จริงแม่คงไม่ได้ห่วงลูกว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแม่ แต่เกรงว่าลูกจะ ทำ� ใจไมไ่ ด ้ ถ้าแมต่ าย แต่พอลูกพดู อยา่ งน้ ี แมก่ ็พรอ้ มไปทนั ที กรณีน้ีเหมือนกับสตีฟที่พอรู้ว่า ภรรยาท�ำใจได้ที่เขาจะไป เขาก็ไปเลย แต่ถ้ามีความห่วง คนไข้จะไม่ยอมไปง่ายๆ จะต่อสู้ ขัดขืนกับความตาย แม้ว่าร่างกายไม่ไหว แต่ใจยังไหว ยังทู่ซี้ที่จะ อยู่ แล้วก็อยู่ด้วยความทรมาน นี่เพราะความห่วง และถ้าตายใน ขณะท่ีจติ ยงั ห่วง ก็ไปไมด่ ี ข้อที่ ๔ คือ ความรู้สึกผิด หรือความเสียใจ ความรู้สึกผิด เป็นอีกสาเหตุท่ีท�ำให้หลายคนไม่ยอมตาย และต่อสู้ขัดขืนกับ ความตาย ระหว่างที่ยังไม่ตายก็ทรมาน หัวหน้าพยาบาลคนหนึ่ง 142
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เป็นมะเร็งปอด พอมาถึงระยะท้าย อวัยวะต่างๆ แย่หมดแล้ว แต่ เธอไมย่ อมตาย เปิดตาคา้ ง หมอแปลกใจมากทเี่ ธอไม่ยอมตาย จนกระท่ังพยาบาลรุ่นน้องคนหน่ึงมาเย่ียม พอเธอรู้ ก็ รวบรวมกำ� ลงั เพอ่ื จะบอกกบั รนุ่ นอ้ งคนนวี้ า่ “พขี่ อโทษทเ่ี คยทำ� ไมด่ ี กับเธอ เพราะเคยคิดว่าเธอเป็นกิ๊กกับสามี ตอนน้ีเข้าใจความจริง แลว้ ขอโทษดว้ ย” พยาบาลรนุ่ นอ้ งกด็ นี ะ เธอตอบวา่ “ไมเ่ ปน็ ไรพ ่ี หนูเข้าใจพ่ี หนูไม่ได้โกรธเคืองพ่ีเลยนะ หนูให้อภัยพ่ี” พอได้ยิน อยา่ งนคี้ นไขก้ ส็ บายใจ เหมอื นยกภเู ขาออกจากอก แลว้ เธอกห็ ลบั ตา ไมก่ ชี่ วั่ โมงเธอกจ็ ากไป กอ่ นหนา้ นเ้ี ธอไมย่ อมตาย เพราะวา่ รสู้ กึ ผดิ ทีท่ �ำไม่ดีกบั ร่นุ นอ้ ง คนเรา ถา้ มคี วามรสู้ กึ ผดิ ตดิ คา้ งใจ จะไมย่ อมตายจนกวา่ จะ ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดน้ี ส�ำหรับคนส่วนใหญ่ จะปลดเปลื้อง ความรสู้ กึ ผดิ กต็ อ้ งขอโทษหรอื ขอขมา แตบ่ างครง้ั คนทเ่ี ราท�ำไมด่ ี กับเขา เขาไม่อยู่แล้ว เขาตายไปแล้ว จะท�ำอย่างไร พระอาจารย์ ครรชติ อกญิ จโน เลา่ วา่ มผี เู้ ฒา่ คนหนง่ึ ปว่ ยหนกั อยใู่ นระยะทา้ ย ชาวบา้ นในชนบท เมอื่ ปว่ ยหนกั เขาจะขอไปตายทบ่ี า้ น แตจ่ นแลว้ จนรอด แกกไ็ มย่ อมตายนะ อาจารยค์ รรชติ รเู้ ลยวา่ โยมคนนตี้ อ้ ง มีอะไรคา้ งคาใจ จึงไมย่ อมตาย ท่านจึงไปหาโยมคนนี้ แล้วถามวา่ “ปู่ มีอะไรไม่สบายใจไหม ถ้ามีขอให้บอก ขอให้ไว้ใจอาตมา ถ้ามี อะไรทีอ่ าตมาชว่ ยไดก้ จ็ ะชว่ ย” แลว้ แกกเ็ ลา่ วา่ เมอ่ื ๕๐ ปที แี่ ลว้ แกอยกู่ นิ กบั ผหู้ ญงิ คนหนงึ่ แต่พอเธอท้องได้ ๓ เดือน แกก็ท้ิงเขาไป ตอนนี้แกอยากจะรู้ว่า สองคนนั้นเป็นอย่างไร เรื่องน้ีเกิดขึ้นเม่ือ ๕๐ ปีท่ีแล้วนะ ไม่ใช่ 143
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ เดอื นทแ่ี ลว้ นา่ คดิ นะ ทำ� ไมแกเพงิ่ มาอยากรเู้ อาตอนน้ี ทำ� ไมตอน ทไ่ี มป่ ว่ ย ทำ� ไมตอนทอี่ าย ุ ๔๐ หรอื ๕๐ ป ี จงึ ไมร่ สู้ กึ ทกุ ขร์ อ้ นกบั เร่ืองน้ี เพราะถ้าทุกข์ร้อน คงต้องไปตามหาแล้วใช่ไหม น่ีปล่อย มาตัง้ ๕๐ ปี อันนี้เป็นแง่คิดนะว่า ความรู้สึกผิดท่ีเกิดข้ึน บางคร้ังเรา สามารถจัดการกับมันได้ด้วยการกดข่ม หรือใช้เหตุผลเป็นข้ออ้าง ในการกลบเกล่ือนความรู้สึกผิด เช่น บอกกับตัวเองว่า ใครๆ เขา กท็ ำ� กนั ตอนทส่ี ขุ ภาพดอี ย ู่ ขอ้ อา้ งแบบนใี้ ชก้ ารได ้ สามารถกดขม่ ความรสู้ กึ ผดิ ได้ แตพ่ อจะตาย ขอ้ อา้ งแบบนม้ี นั ชว่ ยอะไรไมไ่ ดแ้ ลว้ นะ ความรสู้ กึ ผดิ ทถี่ กู กดขม่ ไว ้ ๕๐ ป ี มนั โผลอ่ อกมาตอนจะตาย คราวนจี้ ะทำ� อย่างไร เรื่องน้ีแกไม่เคยบอกลูกที่ดูแลแกเลยนะ ลูกที่ดูแลแกเป็น ลูกของเมียคนท่ี ๒ ที่ ๓ เพ่ิงได้ยินจากปากแกเป็นครั้งแรก แก ไม่เคยพูดให้ใครฟังเลย พอรู้เร่ืองนี้ ลูกก็กลับไปบ้านเก่าของแก ไปตามหาผหู้ ญงิ คนนน้ั ปรากฏวา่ ผหู้ ญงิ ตายแลว้ ตายเพราะความ ชรา สว่ นลกู ชายกต็ ายไปแลว้ เชน่ กนั เพราะเปน็ เอดส ์ พอเจอแบบน้ี ลูกเลยไม่กล้ามาบอกพ่อ ก็เลยตกเป็นหน้าที่ของพระอาจารย์ ครรชติ พอพระอาจารยค์ รรชติ พดู ไมท่ นั จบประโยคเลย แกกห็ นั หลงั แลว้ กร็ อ้ งไห ้ ทา่ นจงึ พดู วา่ “ป ู่ สองคนนน้ั ตอนนก้ี ต็ ายไปแลว้ เหต ุ การณผ์ ่านไปนานแล้ว แกไ้ ขอะไรไม่ไดแ้ ลว้ แต่ท�ำไมเราไม่ท�ำบญุ อุทิศให้เขาล่ะ” พอได้ยินเช่นน้ี แกหันกลับมาเลย ถามว่า “ท�ำได้ เหรอ” ทา่ นบอกวา่ “ทำ� ไดส้ ”ิ แกเลยบอกใหล้ กู ๆ หลานๆ ทำ� บญุ อทุ ศิ 144
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ให้กับเมียเก่าและลูกคนที่จากไป คนอีสานเวลาทำ� บุญให้กับผู้ตาย เป็นงานใหญ่นะ ใช้เวลาพอสมควร แกก็อยู่รอจนกระท่ังท�ำบุญ เสร็จ แล้วแกก็ไป แต่คราวน้ีแกไปอย่างสงบ เพราะไม่มีอะไร ติดค้างใจแลว้ กรณีน้ี ถือว่าเป็น happy ending คือ ตายดี ตายสงบ แต่ ถ้าหากความรู้สึกผิดไม่ได้รับการปลดเปล้ืองล่ะ ถ้าหากแกเก็บ ความรสู้ กึ ผดิ นนั้ ไวใ้ นใจ โดยทไ่ี มม่ ใี ครมาทกั ไมม่ พี ระมาถาม แก ก็คงจะทุกข์ทรมานจนกระทั่งส้ินลม ส้ินลมไปแล้ว ไม่ได้จบแค่น้ัน เพราะอาจไปอบายดว้ ย เนอ่ื งจากจติ สดุ ทา้ ยเปน็ อกศุ ล กรณแี บบน้ี มีมากมาย มีผู้ชายอีกคนหนึ่ง อายุ ๖๗ ปี ป่วยเป็นมะเร็งระยะท้าย กอ่ นหนา้ นนั้ เคยแตง่ งานแลว้ มลี กู ๒ คน ลกู ยงั เลก็ อยเู่ ลย แกกท็ งิ้ เขาไป แล้วไปแต่งงานใหม่ ผ่านไป ๓๐ ปี แกเป็นมะเร็ง ภรรยา คนท่ี ๒ ก็ดูแลอย่างดี แต่แกมีอาการทุกข์ทรมานมาก ส่ิงท่ีแก อยากจะเห็นคืออะไร อยากเห็นหน้าลูกชายคนที่แกท้ิงไปเมื่อ ๓๐ ปที แ่ี ล้ว ยงั ดนี ะทเ่ี จา้ หนา้ ทโี่ รงพยาบาลประจำ� ตำ� บลอตุ สา่ หไ์ ปตามหา ลกู ของแกจนเจอ แลว้ พามาหาแก แกดใี จมากเลย จะวา่ ไปลกู ชาย คนน้ีก็คงเหมือนคนแปลกหน้า เพราะแกไม่เคยเห็นมาเลยตลอด ๓๐ ป ี แตแ่ กดใี จ ทำ� ไมถงึ ดใี จ เพราะแกรสู้ กึ เหมอื นวา่ ไดช้ ดเชย ความผิด ท่ีเคยท้ิงลูกไปตั้งแต่เล็ก อย่างน้อยก็ได้เจอ ได้พูดได้คุย กันก่อนจะตาย 145
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ กรณนี ก้ี เ็ หมอื นกนั นะ ทำ� ไมแกถงึ อยากจะเหน็ หนา้ ลกู ตอนท่ี กำ� ลงั จะตาย ตอนไมป่ ว่ ย ทำ� ไมไมส่ นใจอยากเหน็ หนา้ ลกู กค็ งเปน็ เพราะตอนนั้นความรู้สึกผิดไม่ได้รบกวนจิตใจ เนื่องจากมีเหตุผล มากมายที่ใช้เป็นขอ้ อ้างในการกดขม่ ความร้สู ึกผดิ นัน้ พอมีขอ้ อา้ ง แล้วก็รู้สึกสบายใจ แต่ข้ออ้างแบบนี้ใช้การได้ช่ัวคราว พอถึงเวลา จะตาย มันไม่สามารถกดข่มความรู้สึกผิดได้ ความรู้สึกผิดจึงผุด ขึ้นมารบกวนจิตใจจนตายไมไ่ ด้ บางคนก็รู้สึกผิดท่ีไม่ได้ดูแลพ่อแม่ มีต�ำรวจคนหน่ึง อายุ ๔๘ ปี เป็นมะเร็งเช่นกัน ตอนที่อยู่ในระยะท้าย พ่อแม่ก็มาเยี่ยม แต่แกไม่ยอมให้พ่อแม่ท�ำอะไรเลย ทุกอย่างแกจะต้องให้พยาบาล ท�ำให้ พ่อแม่จะรินน้�ำให้แก แกก็ห้ามไม่ให้ท�ำ แต่สั่งให้พยาบาล ทำ� แทน นอกจากนนั้ ยงั มคี วามกราดเกรยี้ วมาก ดา่ พยาบาลทกุ คน ทง้ั วนั เอาแตก่ ดกรง่ิ เรยี กพยาบาล เพยี งเพอื่ ดหู นา้ พยาบาลวา่ วนั น้ี เวรใคร พยาบาลทง้ั หอรสู้ กึ ระอามาก เวลาไดย้ นิ เสยี งกรง่ิ จากหอ้ ง ของแกจึงไม่สนใจ ผลก็คือ ตอนหลังแกไม่กดนิดกดหน่อย แต่กด เสยี งดงั ยาว จนกระทง่ั สวทิ ชพ์ งั แกเปลยี่ นหอ้ งมาแลว้ เปน็ หอ้ งท ่ี ๓ เพราะอีก ๒ ห้อง สวิทช์พัง ผู้คนระอาท้ังโรงพยาบาล มันเป็น เพราะอะไร อาตมาคาดว่า เป็นเพราะแกยอมรับสภาพที่ตัวเอง ปว่ ยไมไ่ ด ้ จากคนทเ่ี ปน็ ผพู้ ทิ กั ษส์ นั ตริ าษฎร ์ เปน็ ผชู้ ายเขม้ แขง็ กำ� ยำ� ตอนนี้กลายเป็นคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะยกมือยกขาก็ยัง ยกไม่ได้เลย แกคงท�ำใจไม่ได้ รู้สึกโกรธตัวเองมาก ที่อยู่ในสภาพ แบบนี้ 146
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล โกรธตัวเองอีกอย่างหนึ่งก็คือ โกรธที่ไม่ได้ตอบแทนบุญคุณ พ่อแม่ กลายเป็นภาระของพ่อแม่ ๔๘ ปี ไม่เคยตอบแทนบุญคุณ พ่อแม่เลย แล้ววันน้ีพ่อแม่ต้องมาคอยดูแล สิ่งหนึ่งที่แกคิดว่าจะ ชว่ ยลดภาระของพอ่ แมไ่ ดก้ ค็ อื พอ่ แมไ่ มต่ อ้ งทำ� อะไรใหแ้ ก แตจ่ ะให้ พยาบาลท�ำทกุ อยา่ ง ถ้าพ่อแม่จะรินนำ้� ให้แก แกจะรสู้ กึ ผดิ ว่า เรา ไม่ได้ท�ำอะไรให้พ่อแม่เลย พ่อแม่ต้องมารินน้�ำให้เรา ต้องมาเช็ด เน้ือเช็ดตัวให้เรา ก็เลยไม่อยากให้พ่อแม่ท�ำ ให้พยาบาลท�ำดีกว่า เพราะจ่ายเงินไปแล้ว แกท�ำอย่างน้ี เพราะอยากลดความรู้สึกผิด แตค่ งลดไดไ้ ม่มาก จงึ ไมส่ บายใจ สุดท้ายก็ตายไมด่ ีเหมือนกัน ยังดีที่แกท�ำพินัยกรรม มอบเงินและทุกอย่างให้พ่อแม่ อย่างน้อยก็คงช่วยผ่อนคลายความรู้สึกผิดข้ึนมาได้ ความรู้สึกผิด เป็นเร่ืองส�ำคัญ ซ่ึงมองข้ามไม่ได้ เราอาจจะนึกว่าไม่มีอะไรนะ แตท่ ไ่ี มม่ อี ะไร เพราะเราไปกดขม่ มนั เอาไว้ แตต่ อนจะตาย มนั จะ โผลม่ ารังควานจนทรุ นทรุ ายเลยทเี ดยี ว ข้อท่ี ๕ คือ ความเจ็บปวด ข้อนี้พวกเราคงเคยเห็นกับตา นะ พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือเพื่อน ที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมานอยู่ใน โรงพยาบาล จนกระทง่ั วาระสดุ ทา้ ย เปน็ ความเจบ็ ปวดทย่ี าเทา่ ไหร่ กเ็ อาไมอ่ ย ู่ รวยแคไ่ หนกไ็ มส่ ามารถบรรเทาความปวดได ้ โดยเฉพาะ เม่ืออยู่ในระยะท้าย ยังไม่นับถึงความทรมานเพราะหายใจไม่ออก หรือหายใจเหน่ือยหอบ เพราะเป็นโรคถุงลมโป่งพอง น�้ำท่วมปอด หรอื เพราะเปน็ มะเรง็ ในระยะทา้ ย หลายคนเหน็ ภาพนก้ี ก็ ลวั นเี่ ปน็ อีกส่ิงหนึง่ ทีจ่ ะทำ� ให้การตายดี เกดิ ขึ้นไดย้ าก 147
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ แต่จากประสบการณ์ของอาตมา สิ่งท่ีเป็นปัญหามากกว่า คือ ๔ ข้อแรก คือกลัว โกรธ ห่วง และความรู้สึกผิด ซึ่งเป็น ปัญหาทางใจล้วนๆ ส่วนความปวดทางกาย ยังไม่ร้ายเท่า ที่พูด อย่างนี้เพราะว่า คนไข้หลายคนท่ีพอเขาได้รับการปลดเปลื้อง ความรู้สึกผิด ไม่มีอะไรท่ีจะต้องห่วง ไม่มีความโกรธ ไม่มีความ กลวั แมจ้ ะปวด แต่เขาก็อยูก่ ับความปวดได ้ ย่ิงถ้าฝึกจิตมาดี เช่น ฝึกสติ ฝึกสมาธิ หรือมีปัญญาเข้าใจ ความจรงิ กส็ ามารถอยกู่ บั ความปวดได ้ แมว้ า่ จะปวดมาก แตก่ อ็ ยู่ กบั มนั ได ้ พดู อกี อยา่ งหนงึ่ ปวดกายไมน่ า่ กลวั เทา่ กบั ปวดใจ ปวดใจ ก็เพราะกลัว โกรธ ห่วง และรู้สึกผิด ทีนี้ท�ำอย่างไรจึงจะไม่ให้ ๔ ข้อแรกน้มี ารบกวนจิตใจได้ ประการแรก คือ การท�ำความดี ถ้าเราท�ำความดี และ ไมท่ ำ� ความชวั่ หรอื เบยี ดเบยี นใคร อยา่ งนอ้ ยความกลวั ตายจะลดลง คนท่ีด�ำเนินชีวิตอยู่ในศีลในธรรม จะมีความม่ันใจท้ังโลกน้ีและ โลกหน้า พระพุทธเจ้าตรัส ตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ คืออดีตชาติของพระพุทธเจ้า ตอนที่ยังเป็นปุถุชน มีชาติหน่ึง ทา่ นกลา่ ววา่ “ขา้ พเจา้ ไมม่ คี วามชวั่ ซงึ่ ทำ� ไว ้ ณ ทไี่ หนๆ เลย ฉะนนั้ ข้าพเจ้าจึงไม่หว่ันเกรงความตายท่ีจะมาถึง” อีกคราวหนึ่งก็พูดว่า “เมอื่ ต้ังอยู่ในธรรมแลว้ ไมต่ ้องกลัวปรโลก” การทำ� ความด ี เปน็ หลกั ประกนั ขน้ั ตน้ ของการตายด ี ทำ� ให้ ความกลัว รวมท้ังความรู้สึกผิด รบกวนจิตใจเราน้อยลง ถ้าเราไม่ ท�ำช่ัว ไม่เบียดเบียนใคร เราใส่ใจท�ำหน้าที่ของเรา ไม่ให้ขาดตก บกพรอ่ ง ไมว่ า่ กบั ลกู กบั คคู่ รอง กบั พอ่ แม ่ ซงึ่ เปน็ ความดอี ยา่ งหนง่ึ 148
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล กจ็ ะไมม่ อี ะไรใหร้ สู้ กึ ผดิ ตดิ คา้ งใจ หรอื แมจ้ ะเผลอไป เกดิ พลงั้ พลาด กค็ วรขอขมา อยา่ กลวั เสยี หนา้ กลา้ ทจี่ ะขอขมา ความรสู้ กึ ผดิ กจ็ ะ ไมต่ ิดคา้ งใจ การทำ� ความด ี และหลกี เลย่ี งความชว่ั เปน็ หลกั ประกนั ขนั้ ตน้ ท่ีจะท�ำให้อารมณ์อกุศล ๔ ประการ มารังควาน รบกวนจิตใจเรา นอ้ ยลงในเวลาใกลต้ าย ประการท่ี ๒ คอื หมน่ั ฝกึ สต ิ เราควรหมน่ั ภาวนาเพอ่ื รจู้ กั ปล่อยวาง การฝึกสติช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์ที่เกิดข้ึน ไม่ยึด เกาะ หรอื แบกอารมณเ์ หลา่ นี้เอาไว้ ทำ� ให้วางได้เรว็ หลายคนท�ำความดี แตไ่ มไ่ ดฝ้ กึ จติ ใหร้ จู้ กั ปลอ่ ย รจู้ กั วาง ตอนใกลต้ ายอาจมคี วามรสู้ กึ ผดิ เข้ามาเกาะกุม เพราะว่าคนเรา ยากที่จะท�ำความดีได้โดยตลอด บางครั้งก็เผลอท�ำสิ่งที่ไม่สมควร เช่น ต่อว่าพ่อแม่ท่ีไม่ยอมกินยา แอบกินทุเรียนทั้งท่ีเป็นเบาหวาน แอบสูบบุหรี่ทั้งที่เป็นมะเร็งปอด พอทา่ นจากไปกร็ สู้ ึกเสียใจ โทษตวั เองวา่ เราไม่นา่ ทำ� อยา่ งนนั้ เลย ยิ่งกว่าน้ันก็คือ หลายคนแม้จะทำ� ดีมากมาย แต่ก็รู้สึกว่ายัง ทำ� ดไี มพ่ อ เสยี ใจทอ่ี ยา่ งนก้ี ไ็ มไ่ ดท้ ำ� อยา่ งนนั้ กไ็ มไ่ ดท้ ำ� ความรสู้ กึ น้ี จะเกิดขึ้นเมื่อเขาใกล้จะเสียชีวิต พ่อแม่ที่เสียลูก หรือลูกท่ีเสีย พอ่ แม ่ มกั จะโทษตวั เองวา่ ฉนั นา่ จะทำ� อยา่ งนนั้ ฉนั นา่ จะทำ� อยา่ งน้ี แตฉ่ ันไม่ได้ท�ำ คนเราไม่ไดร้ ูส้ ึกผิดเพยี งเพราะวา่ ท�ำความไมด่ ี แตร่ ู้สกึ ผดิ เพราะวา่ ยงั ทำ� ดไี มพ่ อ หรอื มคี วามดบี างอยา่ งทยี่ งั ไมไ่ ดท้ ำ� นเี่ ปน็ ปัญหาของคนจ�ำนวนมาก หลายคนดูแลพ่อแม่ ดูแลดีทุกอย่าง แทนท่ีจะภาคภูมิใจ ที่ท�ำดีกับท่านอย่างเต็มท่ี กลับเสียใจว่า ยัง 149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258