Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะชนะทุกข์

ธรรมะชนะทุกข์

Published by Sarapee District Public Library, 2020-11-06 09:15:04

Description: ธรรมะชนะทุกข์
โดย พระไพศาล วิสาโล

Keywords: ธรรมะ,พระไพศาล วิสาโล

Search

Read the Text Version

ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ อวัยวะส่วนใดของร่างกายของเราท่ีขยับได้ เอามาใช้ใน การเจรญิ สต ิ หรอื ทำ� ความรสู้ กึ ตวั ไดท้ ง้ั นน้ั  เปน็ การใชร้ า่ งกายเพอ่ื เจรญิ สต ิ ทเี่ รยี กวา่ กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน อนั นเี้ ปน็ พน้ื ฐานเลย ท�ำได้โดยใช้อวัยวะน้อยใหญ่ นอกจากการคลึงน้ิว พลิกมือไป พลิกมือมาแล้ว แม้แต่การกระดิกนิ้วเท้าก็ทำ� ได้ บางคนไม่มีแขน ไมม่ มี อื  แตถ่ า้ มเี ทา้ กก็ ระดกิ นว้ิ เทา้ ไป ระหวา่ งทที่ ำ� กร็ สู้ กึ ตวั ไปดว้ ย อย่าปล่อยใจลอยไปนนั่ นี่ หลวงพอ่ เทยี นทา่ นสอนแมก้ ระทงั่ วา่  เวลากระพรบิ ตา เวลา กลนื นำ�้ ลาย กใ็ หร้ ตู้ วั  เหน็ ไหมวา่  แมก้ ระทง่ั อริ ยิ าบถธรรมดาสามญั ในชวี ติ ประจำ� วนั  เชน่  กระพรบิ ตา กลนื นำ�้ ลาย กเ็ อามาเปน็ อปุ กรณ์ ในการเจรญิ สตไิ ด ้ กระพรบิ ตา กลนื นำ้� ลาย แมม้ นั จะเลก็ นอ้ ยมาก เวลามนั เกดิ ขนึ้ ตามธรรมชาตกิ ใ็ หร้ ตู้ วั  ไมต่ อ้ งถงึ กบั บงั คบั มนั  หรอื จงใจทำ� ให้เกิดขึน้ ตราบใดที่เรายังมีกาย ก็ต้องมีการเคล่ือนไหวไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็มีการหายใจ การกระพริบตา อาจมีบางช่วงของชีวิต ที่ร่างกายเราขยับเขยื้อนอะไรไม่ได้เลย แต่เราก็ยังมีลมหายใจเข้า และออก อนั นก้ี เ็ อามาใชเ้ ปน็ อปุ กรณใ์ นการเจรญิ สตไิ ด ้ เปน็ ไปไดว้ า่ เม่ือถึงระยะท้ายของชีวิต แม้แต่หายใจก็ล�ำบาก หรือไม่สามารถ รับรู้การหายใจได้เลย ถึงตอนนั้นก็ลองฝึกดูใจ ท่ีเรียกว่า จิตตา- นุปัสสนาสติปัฏฐาน ถึงตอนน้ันเราอาจท�ำได้แค่นั้น เพราะจิต ไม่สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของกายได้ แต่แม้กระนั้นเราก็ยัง สามารถปฏบิ ตั ไิ ด ้ ดว้ ยการมสี ตริ ทู้ นั ความคดิ  อารมณ ์ และเวทนา ทเ่ี กิดข้นึ  โดยเฉพาะเวทนาทางใจ  250

พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล คนท่ีป่วยระยะสุดท้าย คือท้ายสุดจริงๆ ร่างกายอาจหมด ความรบั รไู้ ปแลว้  แตว่ า่ จติ ยงั รบั รไู้ ด ้ อกี ทง้ั ยงั มคี วามคดิ และอารมณ์ เกดิ ขน้ึ  เชน่  ความกลวั  ความวติ ก ความหว่ ง ถา้ เราเจรญิ สตอิ ยา่ ง ถูกต้อง คือไม่ใช่แค่รู้กาย แต่รู้ใจด้วย ถึงแม้ตอนน้ัน เราจะรู้กาย ไมไ่ ดแ้ ล้ว แตเ่ รากย็ งั สามารถใช้สติเพ่อื รู้ใจ แล้วกว็ างทุกอย่าง เมื่อมีความกลัว ก็รู้ว่ามีความกลัวเกิดข้ึน รู้แล้วก็จะวางเอง ท�ำให้ระยะสุดท้ายของเรา เกิดความสงบข้ึนในใจได้ เพราะว่าไม่มี อารมณต์ า่ งๆ มารบกวนจติ ใจ ซง่ึ ตอนนนั้  มนั คงไมใ่ ชอ่ ารมณธ์ รรมดา อาจเป็นพายุอารมณ์ก็ได้ คนธรรมดาคงรู้สึกปั่นป่วนอยู่ข้างใน เพราะถกู ความกลวั  ความหว่ งหาอาลยั  ความเสยี ใจ ความรสู้ กึ ผดิ รบกวน แต่ถ้าเราฝึกการดูใจหรือดูจิตได้ จนแคล่วคล่องช�ำนาญ อารมณ์พวกน้ีก็จะมารบกวนจิตใจไม่ได้ มันมาแล้วก็ผ่านเลยไป เพราะฉะนนั้  การฝกึ สตเิ พอื่ รกู้ ายและรใู้ จ จงึ เปน็ เรอื่ งทส่ี �ำคญั มาก ค�ำถามที ่ ๙   ถา้ ผปู้ ว่ ยตดิ เตยี ง หรอื ผปู้ ว่ ยทไ่ี มส่ ามารถเคลอื่ นไหว ร่างกายได้สะดวก จะสามารถปฏิบัติตามแนวทางการเคล่ือนไหว มือได้อยา่ งไร?   ได้นะ ตัวอย่างท่ีชัดคืออาจารย์ก�ำพล ทองบุญนุ่ม ทา่ นนอนตดิ เตยี งเพราะพกิ ารตง้ั แตค่ อลงมา ขยบั เขยอ้ื นไดย้ ากมาก 251

ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ เพราะว่าเกิดอุบัติเหตุ ท�ำให้เส้นประสาทตั้งแต่คอลงมาขาด ท่าน ทุกข์อยู่ ๑๐ กว่าปี เพราะรู้สึกเหมือนอยู่รอวันตาย รักษาไม่ได้ ตอนหลังก็หันมาสนใจธรรมะ ทีแรกอ่านหนังสือธรรมะก็สบายใจ แต่พอหยุดอ่านก็ทุกข์ใหม่ ท่านจึงเห็นความจ�ำเป็นของการภาวนา ท่านเขียนจดหมายไปถามหลวงพ่อค�ำเขียน เกี่ยวกับการปฏิบัติ หลวงพอ่ ค�ำเขยี นแนะน�ำวา่  ถา้ เดนิ จงกรมไมไ่ ด้ ยกมอื สรา้ งจงั หวะ ไมไ่ ดก้ พ็ ลกิ มอื ไปมาแทน ขณะทพี่ ลกิ กใ็ หร้ สู้ กึ ตวั  และพจิ ารณาวา่ มอื ที่พลิกอยู่คือรูป ส่วนความคิดที่เผลอคิดคือนาม ไม่ใช่เราพลิก ไมใ่ ช่เราคิด อาจารย์ก�ำพลท�ำตามที่หลวงพ่อค�ำเขียนแนะน�ำ ระหว่างท่ี พลิกมือไปมา ใจฟุ้งบ้าง ลอยบ้าง ก็ช่างมัน กลับมารู้สึกตัวบ่อยๆ ปฏิบัติไม่ถึงเดือนความทุกข์ก็เบาบาง ท่านบอกว่าจิตลาออกจาก ความทกุ ขเ์ ลย เพราะเหน็ ความจรงิ วา่  ฉนั ไมไ่ ดพ้ กิ าร กายตา่ งหาก  ทพี่ กิ าร ใจไมไ่ ดพ้ กิ ารไปดว้ ย อยา่ งนแ้ี หละทเ่ี รยี กวา่  เหน็ กายในกาย  คอื เหน็ กายวา่ เปน็ กาย ไมไ่ ดเ้ หน็ วา่ เปน็ เรา คนสว่ นใหญท่ ง้ั ๆ ทก่ี าย พิการ แต่ไปคิดว่าฉันพิการ แต่เม่ือเจริญสติ ก็จะเห็นความจริง ข้ันพ้ืนฐานว่า ที่พิการคือกายพิการ ไม่ใช่ฉันพิการ จิตเลยไม่ทุกข์ อกี ต่อไป จะรสู้ กึ เบาขนึ้ เยอะ ตัวอย่างท่ีอาตมาแนะคือ ก�ำมือ แล้วแบมือ เป็นส่ิงที่ผู้ป่วย ติดเตียงท�ำได้ ขยับน้ิวก็ได้ มีหลายวิธีท่ีสร้างความรู้สึกตัว หรือ เจริญสติ ท�ำให้จิตมีสิ่งยึดเหน่ียว ไม่จมอยู่กับความเจ็บปวด หรือ ฟงุ้ ปรงุ แตง่ ในทางรา้ ย ผปู้ ว่ ยตดิ เตยี งสว่ นใหญ ่ ไมไ่ ดท้ กุ ขก์ ายเพยี ง อย่างเดียว เขาทุกข์ใจด้วย แต่สติจะช่วยปลดเปลื้องจิตออกจาก 252

พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล ความทกุ ข ์ จะเหลอื แตค่ วามทกุ ขก์ าย กายปว่ ยแตใ่ จไมป่ ว่ ย ฉะนน้ั เราควรหาอุบาย ช่วยผู้ป่วยให้เปลื้องจิตออกจากความทุกข์ หรือ ความเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม ต้องระวังอย่าไปยัดเยียดผู้ป่วย ผู้ดูแลหลาย คนอยากจะใหพ้ อ่ แม ่ หรอื คนปว่ ยมธี รรมะ กเ็ ลยพยายามยดั เยยี ด ให้เขาฟังบทสวดมนต์หรือฟังธรรมะ ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบ อย่าไปทำ� อยา่ งนนั้  การปฏบิ ตั ธิ รรม หรอื การนงั่ สมาธกิ เ็ หมอื นกนั  เราอยาก ให้เขาท�ำ แต่ระวังอย่าไปยัดเยียดเขา อย่าเอาความปรารถนาดี ของเราเป็นหลัก แต่ให้เอาผู้ป่วยเป็นหลักหรือเป็นศูนย์กลาง เขา เขา้ ใจแคไ่ หน ปฏบิ ัติได้แค่ไหนก็เริ่มตน้ ทตี่ รงนั้น  เรื่องธรรมะน้ันไม่มีรูปแบบตายตัว ถ้าอยากแนะน�ำธรรมะ ให้ผู้ป่วย กอ็ ย่ายึดติดท่ีรปู แบบ ไมจ่ ำ� เปน็ ต้องใช้รปู แบบมาตรฐาน กไ็ ด ้  ปรบั ใหส้ อดคลอ้ งกบั เจา้ ตวั   มเี รอื่ งเลา่ วา่  สมยั หลวงพอ่ พธุ  ฐานโิ ย เปน็ สามเณร วนั หนง่ึ หลวงตาสอนให้นั่งสมาธิด้วยการท่องพุทโธ แต่ท่านท�ำไม่ได้นาน ใจก็ฟุ้งมาก เพราะนึกถึงแต่หญิงสาวคนหนึ่ง เธอช่ือประยูร ท่าน เล่าว่า “ตอนนั้นจะตายเพราะยายประยูรนี้ละ” แต่ท่านไม่ยอมแพ้ เมื่อนึกถึงพุทโธไม่ได้ ก็เอาชื่อของสาวคนนั้นมาใช้เสียเลย คือ บริกรรมว่า “ประยูร” แทน ไม่นานจิตก็เป็นสมาธิ พอจิตต้ังมั่น ค�ำวา่ ประยรู ก็หายไป การปฏบิ ตั ธิ รรมนน้ั ตอ้ งใชป้ ญั ญา โดยเฉพาะการเขา้ ใจสาระ ของการปฏบิ ตั  ิ ถา้ เขา้ ใจแลว้  เวลานงั่ สมาธ ิ กไ็ มจ่ ำ� ตอ้ งใชค้ ำ� วา่ พทุ โธ ก็ได ้ ใช้ค�ำอ่ืนกไ็ ด ้ อย่าตดิ ทร่ี ปู แบบ แต่จบั หลักหรอื สาระให้ได้ 253

ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ เวลาเราจะแนะน�ำธรรมให้ผู้ป่วย ก็ขอให้ค�ำนึงเรื่องน้ีไว้ด้วย จับหลักหรือสาระของธรรมให้ได้ แล้วเอาเจ้าตัวเป็นศูนย์กลาง อยา่ ใชว้ ธิ ยี ดั เยยี ด คนปว่ ยเขาถนดั หรอื คนุ้ เคยกบั อะไร กเ็ อาสงิ่ นน้ั เป็นส่ือพาเขาเข้าหาธรรมะ ถ้าเอาความปรารถนาดีของเราเป็น ตัวต้ัง เราจะยัดเยียดความปรารถนาดีของเราให้เขาโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นการสร้างความทุกข์แก่เขา และแก่ตัวเราเองด้วย ลูกท่ี ปรารถนาดีต่อพอ่ แม ่ ทกุ ข์เพราะเหตนุ ้มี าเยอะแลว้ ค�ำถามท ่ี ๑๐   มีผู้กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตระหว่าง ๑ วันถึง ๑๐๐ วัน หลงั เสยี ชวี ติ เทา่ นน้ั  ทจี่ ะไดร้ บั บญุ ทท่ี างครอบครวั อทุ ศิ ใหจ้ รงิ หรอื ไม่   อาตมาวา่ ขนึ้ อยกู่ บั ภพภมู ทิ เ่ี ขาอยมู่ ากกวา่  ไมเ่ กย่ี ว กับเวลา อย่างพระสารีบุตร โยมแม่ของท่านในชาติก่อนๆ เป็น เปรตมาขอส่วนบุญ เป็นโยมแม่ของท่านในชาติก่อนๆ ก็แสดงว่า ตายไปหลายสิบปี หรืออาจเป็นร้อยปีแล้ว เมื่อพระสารีบุตรท�ำ สังฆทานอุทิศส่วนบุญให้ เปรตก็ยังได้รับอานิสงส์เลย ในทัศนะ พุทธศาสนา จะได้รับส่วนบุญหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา  หลังตาย แต่อยูท่ ่ภี พภูมไิ หนมากกว่า 254

พ ร ะ ไ พ ศ า ล  วิ ส า โ ล คำ� ถามที่ ๑๑   ผู้เสียชีวิต จะไปเกิดใหม่หลังเสียชีวิตไปแล้วกี่วัน มผี ู้บอกวา่ ทนั ทีกม็  ี บางคนบอกว่าหลงั  ๑๐๐ วนั   ในทัศนะของพุทธศาสนาแบบเถรวาท ตายแล้วก็ ไปเกิดทันที แต่พุทธศาสนาแบบวัชรยานมองว่า ตายแล้วยังไม่ไป เกิดทันที จะอยู่ในอันตรภพ โดยเฉล่ีย ๔๙ วัน หมายความว่า อาจจะไม่กี่วันก็ได้ หรืออาจเปน็  ๑๐๐ วนั ก็ได้ 255

ไมว่ า่ อย่บู ้านหรือในท่ที �ำงาน  หากมเี วลาว่าง แทนท่ีจะปล่อยใจลอย หรอื หายใจรดทง้ิ ไปเปลา่ ๆ  ไมด่ กี วา่ หรอื หากจะหันมาใส่ใจ กับลมหายใจของเราดบู ้าง

ชีวติ ทไี่ ร้ความทกุ ข์ใจนั้นเปน็ ไปได้ ไมใ่ ช่เพราะทกุ อย่างหรอื ทกุ คนเป็นด่งั ใจเรา แตเ่ ปน็ เพราะเราตระหนักถงึ ความจรงิ วา่ ไม่มีอะไรหรือใคร ทีจ่ ะเป็นดัง่ ใจเราได้ตลอด ท้งั น้เี นือ่ งจากทุกส่งิ ล้วนไม่คงท่ี ไม่คงทน และไม่ใช่ตน จึงไม่อาจยึดติดถอื มน่ั ได้เลย www.kanlayanatam.com Facebook : kanlayanatam


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook