ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ถามวา่ แคน่ พ้ี อไหม บางคนคดิ วา่ มสี ตแิ คน่ ก้ี พ็ อแลว้ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ ง มาฝึกสติหรือเข้าวัดเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใช่ว่าชีวิตเราจะ ราบเรยี บ หรอื ราบรน่ื เปน็ ปกตไิ ปหมดทกุ อยา่ ง บางทอี าจมสี งิ่ ไม่ คาดฝนั หรอื ไมป่ กตเิ กดิ ขนึ้ ได ้ เมอ่ื ถงึ ตอนนนั้ เราตอ้ งมสี ตมิ ากพอ ท่จี ะรับมอื กบั สงิ่ เหล่าน้ไี ด้ สว่ นใหญแ่ ลว้ สตทิ เี่ รามหี รอื ใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั นน้ั มกั ไมม่ าก พอทจ่ี ะเอามารบั มอื กบั เหตกุ ารณป์ จั จบุ นั ทนั ดว่ น หรอื เหตกุ ารณ์ ที่ไม่คาดฝันได้ หรือไม่ก็เอาสติมาใช้ไม่ทันการณ์ ผลก็คือตกใจ หรือโมโหจนลืมตัว ท�ำสิ่งที่ไม่สมควรออกมา หรือไม่ก็จมอยู่ใน ความทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติที่พัฒนาดีแล้ว เม่ือเจอกับเหตุการณ์ ที่ไม่คาดฝัน ก็จะต้ังหลักได้ ไม่ตระหนกตกใจ ไม่โมโหโกรธา ไม่ปล่อยให้เหตุร้ายมาครอบง�ำจิต สามารถสลัดความรู้สึกตื่นกลัว หรือโมโหออกไปได้ ชีวิตคนเรามักมีเรื่องปัจจุบันทันด่วนอยู่เสมอ แต่เหตุร้าย อาจเกดิ ขึน้ ไมบ่ อ่ ยนกั แม้กระนั้น กไ็ ม่ควรประมาท เพราะอาจจะ มีเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ มาทดสอบอยเู่ ร่ือยๆ ในลักษณะต่างๆ กนั เคย ได้ยินไหมว่า พอเกิดไฟไหม้ข้ึนมา บางคนรีบแบกตุ่มน้�ำออกมา จากบา้ น ทง้ั ๆ ทขี่ องนา่ ขนมอี กี ตงั้ เยอะ เชน่ โฉนดทดี่ นิ เพชรนลิ จินดา โทรทัศน์ แต่ก็ไม่เอาออกมา กลับแบกตุ่มน�้ำออกมาอย่าง กระหืดกระหอบ อย่างน้ีเรียกว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติจะท�ำอย่างอื่นที่ ส�ำคัญกว่าน้ี สิ่งหนึ่งท่ีเราต้องพบอยู่เสมอ ก็คือความพลัดพรากสูญเสีย สว่ นใหญเ่ มอ่ื เจอแลว้ กร็ บั มอื ไมท่ นั จติ พลดั จมอยใู่ นความโศกเศรา้ 50
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เสยี ใจ บางครง้ั เรากต็ อ้ งพบกบั ความผดิ หวงั เชน่ ผดิ หวงั ในคคู่ รอง ในการเรียน ในการงาน เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครอยากเจอ แต่ก็ต้อง เจอแนน่ อนไมว่ นั ใดกว็ นั หนงึ่ ถามวา่ ถา้ เราเจอสงิ่ เหลา่ น้ี สตทิ มี่ อี ยู่ รบั มอื ไหวไหม ทจี่ ะชว่ ยเราใหห้ ายทกุ ขไ์ ด ้ สว่ นใหญเ่ อาไมอ่ ยหู่ รอก บางคนเสียอกเสียใจ จนถึงขั้นฆ่าตัวตาย เป็นข่าวให้เราได้ยินเป็น ประจำ� บางคนมงุ่ มนั่ วา่ จะตอ้ งเรยี นใหจ้ บภายใน ๓ ปคี รงึ่ แตพ่ อ รู้ว่าสอบไม่ผ่านวิชาหน่ึง ต้องเรียนต่ออีกหนึ่งเทอม เสียอกเสียใจ มาก จมอยู่ความเศร้าความเสียใจ ในท่ีสุดก็กระโดดตึกฆ่าตัวตาย นเี่ ปน็ เพราะขาดสติ มนี กั ศกึ ษาคนหนง่ึ ไดร้ บั ทนุ เรยี นด ี จากโครงการหนงึ่ อำ� เภอ หนงึ่ ทนุ ไดไ้ ปเรยี นตอ่ ทป่ี ระเทศเยอรมนั แตไ่ ปถงึ แลว้ มปี ญั หาเรอ่ื ง ภาษา ภาษาเยอรมนั ไมแ่ ขง็ แรง จงึ เรยี นไมท่ นั เพอ่ื น การเรยี นตกตำ�่ โทรศัพท์บอกพ่อแม่ว่า อยากกลับเมืองไทย พ่อแม่ก็ท้วงว่า อย่า กลบั มาเลยลกู ถา้ กลบั มาแลว้ จะกลบั ไปเรยี นตอ่ ทเ่ี ยอรมนั อกี ไมไ่ ด้ นักศึกษาคนนั้นจึงกลุ้มใจ กินยาพาราเซทตามอลไป ๕๐ เม็ด พอฟื้นขึ้นมาก็ยังไม่หายกลุ้ม ภายหลังจึงกระโดดตึก ฆ่าตัวตาย นกี่ เ็ ปน็ อกี ตวั อยา่ งหนงึ่ ทชี่ วี้ า่ สตทิ เี่ รามใี นชวี ติ ประจำ� วนั นน้ั มกั ไมม่ ี ก�ำลังเพียงพอท่ีจะรับมือกับความพลัดพรากสูญเสีย หรือความ ผดิ หวงั หากเจอเหตกุ ารณท์ ไี่ มส่ มหวงั อยา่ งแรง กอ็ าจทำ� ใหต้ ดั สนิ ใจ ทำ� ร้ายตวั เองได้ ความผิดหวังของคนเรา มีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑. ประสบ กบั สง่ิ ทไ่ี มน่ า่ รกั ไมน่ า่ พอใจ ๒. พลดั พรากจากสง่ิ ทนี่ า่ รกั นา่ พอใจ ๓. ปรารถนาส่ิงใดแล้วไม่ได้สิ่งน้ัน ถ้าชีวิตเราราบเรียบก็คงจะดี 51
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ แต่ความเป็นจริงเส้นทางชีวิตคนเรา ล้วนมีหลุมมีบ่ออยู่ข้างหน้า มากบา้ งนอ้ ยบาง บางชว่ งกเ็ ปน็ หบุ เหวดว้ ยซำ�้ สตทิ เี่ รามนี นั้ ไมใ่ ช่ หลักประกันท่ีจะช่วยให้เราผ่านพ้นมันไปได้อย่างราบรื่น เวลาเจอ เส้นทางท่ีขรุขระ ก็อาจจะสะดุดหลุมหรือโซซัดโซเซได้ บางทีจู่ๆ ก็พลัดลงคู หรือตกเหวไปเลยก็มี ก็เพราะสติของเรายังอ่อนแอ ไม่ฉับไว ดังน้ัน จึงจ�ำเป็นที่เราจะต้องเจริญสติ เพื่อเพ่ิมก�ำลังสติ ของเราใหม้ ากกวา่ ทม่ี อี ยเู่ ดมิ เพอื่ เผชญิ และรบั มอื กบั สง่ิ ทไ่ี มค่ าดฝนั ความพลดั พรากสญู เสยี และสง่ิ เลวรา้ ย ไมส่ มปรารถนาตา่ งๆ ทผ่ี า่ น เขา้ มาในชวี ิตได ้ โดยไม่เสียผเู้ สียคน ท่ีจริงเราไม่ต้องรอว่าให้มีวิกฤติในชีวิตก่อน ไม่ต้องรอให้ เกิดความพลัดพรากสูญเสียเสียก่อน จึงค่อยมาเจริญสติ เราควร เตรยี มพรอ้ ม กอ่ นทม่ี นั จะเกดิ ขน้ึ ขณะเดยี วกนั ถงึ แมเ้ หตรุ า้ ยยงั ไม่เกิด การเจริญสติก็จะช่วยให้เรามีความสุขได้มากข้ึน มีชีวิต ท่ีโปร่งเบากว่าแต่ก่อน ท�ำอะไรก็ท�ำได้ดีขึ้น เพราะไม่ลืมตัว หรือปล่อยใจไปกับความฟุ้งซ่าน หรือความเครียด หรือกังวล อยกู่ บั อนาคต ทพี่ ดู มาจะเหน็ วา่ สตมิ หี ลายระดบั มตี งั้ แตห่ ยาบๆ ไปจนถงึ ละเอียด มีต้ังแต่งุ่มง่ามไปจนถึงฉับไว คนท่ีตื่นจากสลบ พอมีสติ กลับมา สติแบบน้ี เป็นสติแบบหยาบๆ เป็นการรู้ตัวแบบหยาบๆ ยังมีสต ิ และความรู้ตัวท่ีละเอียดกว่านั้น เช่น รู้ตัวว่ากำ� ลังฟุ้งซ่าน กำ� ลงั หงดุ หงดิ รำ� คาญใจ กำ� ลงั เศรา้ กำ� ลงั ทกุ ขอ์ ยกู่ บั ความเจบ็ ปว่ ย นเ่ี ปน็ สตแิ ละความร้ตู ัวทีล่ ะเอียด ซึง่ คนส่วนใหญไ่ มค่ อ่ ยมกี ัน 52
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การที่เราจ�ำเบอร์โทรศัพท์ของลูกได้ จ�ำได้ว่านัดหมายกับ เพ่ือนบ่ายน้ี จ�ำได้ว่ามีงานอะไรคั่งค้าง น่ีเป็นการระลึกได้ท่ีหยาบ ยังมีความระลึกได้ท่ีละเอียดและไวกว่าน้ัน เช่น เมื่อเราเผลอ ฟงุ้ ซา่ น แลว้ ระลกึ ไดว้ า่ กำ� ลงั ทำ� อะไรอย ู่ กำ� ลงั กนิ ขา้ ว อาบนำ�้ หรอื เดินอยู่ พอระลึกได้ แล้วจิตกลับมาอยู่กับส่ิงท่ีท�ำ อยู่กับปัจจุบัน สตทิ ที่ ำ� ใหไ้ มค่ ลาดไปจากปจั จบุ นั คอื สตทิ ฉ่ี บั ไว สตทิ ที่ �ำใหร้ ะลกึ รู้ กายและใจอย่างต่อเน่ือง คือสติที่ฉับไว เป็นสัมมาสติ ท่ีเราควร สรา้ งขน้ึ ให้มากๆ ความระลึกได้และรู้ตัวอย่างน้ี มีประโยชน์ คือ ท�ำให้เรา ไมเ่ ผลอหรอื พลดั หลงเขา้ ไปในความทกุ ข ์ ไมท่ ำ� ใหค้ วามทกุ ขล์ กุ ลาม ใหญโ่ ต คนทเี่ ศรา้ ทอ้ แท ้ ผดิ หวงั จนฆา่ ตวั ตาย กเ็ รมิ่ มาจากความ ผดิ หวงั ทส่ี ะสมมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ มบี างคนทฆี่ า่ ตวั ตายเนอื่ งจากกลมุ้ ใจ เพราะมีสิวที่ใบหน้า ปัญหาของเขาเร่ิมต้นมาจากจุดเล็กๆ แรกๆ อาจจะรสู้ กึ อบั อายเลก็ ๆ ทเ่ี พอ่ื นลอ้ แตต่ อนหลงั กช็ กั อบั อายมากขนึ้ รสู้ กึ นอ้ ยเนอ้ื ตำ�่ ใจ แลว้ กลายเปน็ กลมุ้ ใจอยา่ งหนกั อารมณเ์ หลา่ นี้ สะสมและลกุ ลาม จนทำ� ใหเ้ ขาเปน็ บา้ เปน็ หลงั เรอื่ งเลก็ กก็ ลายเปน็ เรื่องคอขาดบาดตาย จนกระท่ังท�ำร้ายตัวเอง หรือไม่ก็ท�ำร้าย คนอน่ื นเี่ ปน็ เพราะความลมื ตวั ถา้ หากเรามสี ตทิ ฉ่ี บั ไว ความทกุ ข์ ก็จะไม่ลกุ ลามขยายตวั พอรตู้ วั วา่ ทุกข ์ กห็ ายทกุ ข์ทันที เป็นเพราะชีวิตน้ันผันผวนไม่แน่นอน ถ้าไม่อยากถูกทุกข์ ทว่ มทบั เรากจ็ ำ� ตอ้ งมาฝกึ สตกิ นั ใครทป่ี ฏบิ ตั กิ จ็ ะพบวา่ ถา้ เรามสี ติ ว่องไว ใจจะฟุ้งซ่านไปได้ไม่ไกล ประเดี๋ยวก็กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลบั มาอยกู่ บั กาย อยกู่ บั อริ ยิ าบถ อยกู่ บั งานทกี่ ำ� ลงั ทำ� อย ู่ บางครงั้ 53
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกมันรุนแรงมาก เช่น พอครุ่นคิด เร่ืองเก่าๆ ที่เคยท�ำให้เจ็บปวด ถ้าสติเราไม่ไวพอ กว่าจะรู้ตัวก็คิด ไปไกลหรือตีอกชกหัวไปแล้ว แต่ถ้าสติไว ก็จะรู้ตัวไว หลุดจาก ความฟุ้งซ่าน ทำ� ใหใ้ จเราโปรง่ เบาข้นึ ความระลึกได้ ความรู้ตัว มีเป็นล�ำดับขั้น แต่ละขั้นจะ ละเอียดอ่อนและฉับไวมากข้ึน จะท�ำให้เราระลึกรู้ในปัจจุบันได้เร็ว ท�ำให้หลุดจากความทุกข์ได้เร็ว และเข้าถึงความสุขท่ีประณีตขึ้น อย่าไปดูถูกความรู้ตัว ความระลึกได้ ความรู้ทัน ถ้าเราพัฒนา สติสัมปชัญญะ ไม่หลงไม่ลืม ก็จะเข้าใกล้นิพพานมาก เป็นวิถีสู่ อสิ ระอย่างแท้จริง หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลายคนเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ วันหน่ึงมีคนถาม ทา่ นวา่ “หลวงปคู่ รบั ทำ� อยา่ งไรจงึ จะตดั ความโกรธใหข้ าดได”้ ทา่ น ตอบส้ันๆ ว่า “ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เม่ือรู้ทัน มันก็ดับไปเอง” จะรู้ทันได้ก็เพราะมีสตินั่นเอง ต่อมาคนก็ถาม หลวงปู่ว่า “ท่านมีความโกรธบ้างไหม” หลวงปู่ตอบส้ันๆ ว่า “มี แต่ไม่เอา” ท�ำไมหลวงปู่ดูลย์จึงไม่เอาความโกรธ ก็เพราะท่านรู้ว่ามัน ไม่น่าเอา ความโกรธมันไม่น่าเอา แต่เราไม่มีสติ พอความโกรธ เกดิ ขนึ้ กวา่ จะรทู้ นั มนั กค็ รองใจเราไปเรยี บรอ้ ยแลว้ เพราะสตเิ รา ออ่ น เหมอื นกบั ยามเฝา้ ประตเู มอื งทไ่ี มต่ นื่ ตวั ศตั รกู จ็ โู่ จมบกุ เมอื ง ได้อย่างฉับพลัน ยามเฝ้าประตูเมืองก็คือสติ สติท่ีเฝ้ารักษาใจ เอาไว้ ความรู้เท่าทันน้ันมีอานิสงส์มากทีเดียว ถ้าเรารู้ทันได้ไวจิต 54
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล จะหลุดพ้นจากอารมณ์อกุศลได้เร็ว เช่น ความโกรธ ใครๆ ก็รู้ว่า มันไม่น่าเอา แต่พอเกิดข้ึนทีไร ก็เผลอกอดความโกรธเอาไว้ทุกที นน่ั กเ็ พราะลมื ตวั สิ่งท่ีไม่น่าเอา เมื่อเกิดข้ึน สติเตือนให้เรารู้ทัน แต่ก็ไม่ใช่ แค่นั้น แม้สิ่งท่ีเราคิดว่าน่าเอา สติก็เตือนเราเหมือนกันว่าอย่าไป เอานะ เพราะมันก็มีความทุกข์แฝงอย ู่ ชื่อเสียง เกียรติยศ ทรัพย์ สมบตั ิ ความสำ� เรจ็ หากไดม้ า ถา้ เรามสี ตไิ มไ่ วพอ เรากจ็ ะหลงใหล ในสิง่ เหล่านี้ท่ีเรียกว่า โลกธรรม โดยที่เราไม่รู้วา่ ถ้าหลงใหลหรือ เพลดิ เพลนิ กบั มนั แลว้ ความทกุ ขจ์ ะตามมา เพราะเมอ่ื จติ ลอยฟอ่ ง เนื่องจากเพลิดเพลินในสุข ถึงเวลาสุขผันแปร เลือนหายไป จิต ก็ถอยจมตกต่�ำ ยิ่งลอยสูง ตกลงมาก็ย่ิงเจ็บ ส่ิงที่น่าเอาทั้งหลาย ล้วนไม่ย่ังยืน ไม่มีใครชนะได้ตลอด สักวันก็ต้องประสบกับความ พ่ายแพ้ คนท่ีเป็นท่ีหนึ่งมาตลอด หากเพลิดเพลินในความเป็น เบอร์หน่ึง เวลาพ่ายแพ้แม้เป็นท่ีสองก็จะเป็นทุกข์มากกว่าคนท่ี ไมเ่ คยชนะ สว่ นคนหลงั นนั้ หากจะแพอ้ กี ครงั้ กร็ สู้ กึ เฉยๆ แตถ่ า้ เรา มสี ต ิ หากหลงเพลนิ ในชยั ชนะและความส�ำเรจ็ สตกิ จ็ ะชว่ ยใหร้ ทู้ นั และกลับมารู้ตัว ไม่หลงเพลิน และถ้ามีปัญญาด้วยแล้ว เราก็จะ ไมห่ ลงยดึ มนั เพราะเรารวู้ า่ สงิ่ ทเี่ ปน็ บวกหรอื นา่ เอา เชน่ ความสขุ ความส�ำเร็จน้ัน ไม่ต่างจากหางงู ถ้าจับเอาไว้แล้วปล่อยไม่ทัน งูก็ จะแว้งมากดั เราได้ ความส�ำเร็จ ชัยชนะ และโชคลาภเปรียบเหมือนหางงู ถ้า จับแล้วปล่อยไม่ทัน งูก็แว้งมากัดเราจนได้ ดังนั้นต้องปล่อยให้ไว ครูบาอาจารย์บางครั้งก็เปรียบสิ่งเหล่านี้เหมือนกับเหยื่อที่มีเบ็ด 55
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ ซอ่ นอย ู่ พอปลาเหน็ เหยอื่ กจ็ ะรบี เขา้ ไปฮบุ ตอนฮบุ เหยอ่ื ใหมๆ่ กจ็ ะ รสู้ กึ อรอ่ ย มคี วามสขุ แตส่ กั พกั กจ็ ะรสู้ กึ เจบ็ ปวดเมอ่ื เบด็ ทะลปุ าก ทรัพย์ ยศ สรรเสริญ สุข หรือที่เรียกว่าโลกธรรมฝ่ายบวก เป็น เชน่ น ้ี คอื แฝงไปดว้ ยทกุ ข ์ ตอนไดเ้ สพหรอื ไดค้ รอบครองใหมๆ่ กจ็ ะ มีความสุข มีความเพลิดเพลิน แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าน่ันแหละ คือที่มาแห่งความทุกข์ เพราะมันเป็นไปตามหลักอนิจจัง มีลาภก็ เส่ือมลาภ มียศก็เสื่อมยศ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา ทุกคร้ังท่ีเรา ดีใจเมื่อได้รับค�ำสรรเสริญ เวลาถูกต�ำหนิหรือถูกด่า เราก็จะทุกข์ ทนั ท ี ถา้ เราไมอ่ ยากทกุ ขเ์ มอ่ื ถกู ต�ำหน ิ กอ็ ยา่ ดใี จ เวลาไดร้ บั ค�ำชม ถ้าเราไม่อยากทุกข์ เวลาเสื่อมลาภ เส่ือมยศ ก็อย่าดีใจ เวลาท่ี ได้ลาภ ได้ยศ ได้กับเสียเป็นของคู่กัน เช่นเดียวกับฟูและแฟบ ยิง่ ฟูมากเท่าไหร่ กแ็ ฟบง่ายมากเทา่ น้ัน ความสุขนั้นไม่เท่ียง เพราะส่ิงที่ท�ำให้เป็นสุขนั้น หาความ แน่นอนไม่ได้ ที่จริงแม้ส่ิงเหล่านั้นบางคร้ังจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย อย่างเช่น ยศหรือทรัพย์ แม้จะยังไม่สูญหายเลย แค่มีเท่าเดิม เราก็ทุกข์แล้ว เพราะอยากจะได้มากขึ้น หรือไม่ก็เพราะเบื่อ เช่น เวลาเรากินอาหารอร่อยๆ ม้ือแรกก็รู้สึกว่าอร่อยดี มีความสุขท่ี ไดก้ นิ แตถ่ า้ เรากนิ อาหารจานเดมิ ทกุ ๆ มอื้ นานเปน็ เดอื น เรากจ็ ะ รู้สึกว่ามันไม่อร่อยแล้ว เริ่มเบื่อ เริ่มเลี่ยน จนถึงจุดหนึ่งก็เอียน และแทบอาเจียนออกมา ท้ังที่มันก็ยังอร่อยเหมือนเดิม รสชาติ เทา่ เดมิ แตเ่ มอื่ เราเสพไปนานๆ ความสขุ กจ็ ะเลอื นหายไป เราไมม่ ี ความสุขเหมือนเดิม อยากได้ของใหม่ เพื่อจะได้สุขเหมือนเดิม หรอื เทา่ เดมิ เหน็ ไหมวา่ ไมต่ อ้ งรอใหม้ นั แปรเปลยี่ นหรอื เสอ่ื มหรอก 56
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล แค่มันอยู่คงที่ หรือเท่าเดิม เราก็ทุกข์แล้ว เพียงแต่ว่าความทุกข์ ไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ ทนั ท ี แตค่ อ่ ยๆ คบื คลานออกมา หรอื คอ่ ยๆ แสดงตวั นคี้ ือธรรมชาติของทุกข์ที่แฝงมากับความสุข หรืออยคู่ กู่ บั ความสุข ถา้ เรามสี ต ิ หมน่ั มองตนเสมอๆ กจ็ ะรวู้ า่ ไมใ่ ชแ่ คค่ วามโกรธ ความเศร้าเท่าน้ัน ความเพลิดเพลิน ความดีใจ ความปีติ ความ ส�ำเร็จ ก็ไม่น่าเอาเหมือนกัน ถ้ามีคนถามหลวงปู่ดูลย์ว่า ท่านเคย ดใี จไหม ทา่ นกค็ งตอบวา่ ม ี แตไ่ มเ่ อา เหมอื นกนั บวกกบั ลบ ทจ่ี รงิ กไ็ มต่ า่ งกนั มนั มธี รรมชาตเิ หมอื นกนั เพยี งแตม่ นั มาคนละลกั ษณะ เท่านั้นเอง สุดท้ายก็มีผลอย่างเดียวกันคือ ถ้าไปยึดม่ันถือมั่น ก็ เปน็ ทกุ ขเ์ ทา่ กนั ถา้ เรามสี ติ ดใู จเสมอ กจ็ ะเหน็ วา่ ไมม่ อี ะไรเทยี่ ง เลย มันเป็นเช่นนั้นเอง วันนี้เราชนะ พรุ่งน้ีก็อาจจะแพ้ วันน้ีเรา สำ� เรจ็ พรงุ่ นกี้ อ็ าจจะลม้ เหลวได ้ เราจงึ ไมค่ วรประมาท และไมค่ วร ดีใจมาก วันนี้เขาชมเรา พรุ่งนี้เขาอาจจะด่าเราก็ได้ ถ้าระลึกได้ อยา่ งน ้ี เรากจ็ ะไมป่ ลมื้ กบั คำ� ชมมาก โลกธรรมมนั กเ็ ปน็ เชน่ นน้ั เอง ถา้ ไปยึดมนั่ ก็ท�ำให้ทกุ ข์ ดังน้ันเม่ือเจริญสติ ก็ให้เราเพียงแต่เห็นทุกอย่างที่เกิดข้ึน โดยไมเ่ พลดิ เพลนิ ยนิ ด ี หรอื ตอ่ ตา้ นผลกั ไส คดิ ดกี ช็ า่ ง คดิ ไมด่ กี ช็ า่ ง ดีใจก็ช่าง เสียใจก็ช่าง เราเพียงแต่รู้เฉยๆ ดีใจก็รู้ว่าดีใจ เครียดก็ รวู้ ่าเครยี ด อย่าไปผลกั ไสหรือไขวค่ ว้า และอย่าไปสำ� คญั มั่นหมาย ว่าฉันเครียด ฉันดีใจ เคยมีนักปฏิบัติธรรมคนหน่ึงบอกหลวงพ่อ ค�ำเขียนว่า “วันน้ีหนูเครียดมาก” หลวงพ่อตอบว่า นักกรรมฐาน ไมพ่ ดู แบบนนั้ ใหพ้ ดู ใหม่ เธอหยดุ คดิ สกั พกั แลว้ พดู วา่ “วนั นห้ี น ู เห็นมันเครียด” มันแตกต่างกันนะ ถ้า “หนูเครียด” ก็ทุกข์เลย 57
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ แต่ถ้า “หนูเห็นความเครียด” ความรู้สึกจะเบากว่า ความดีใจ หรอื ปตี กิ เ็ ชน่ กนั พอมนั เกดิ ขนึ้ กอ็ ยา่ ไปหลงเพลนิ วา่ ฉนั ดใี จ หรอื รสู้ กึ วา่ ฉนั ดใี จ ใหเ้ หน็ ความดใี จ เทา่ นน้ั กพ็ อ เหน็ ปตี ิ เหน็ ทกุ อยา่ ง ท่ีเกิดข้ึน โดยไม่ไปยึดมันว่าเป็นเราเป็นของเรา น่ีแหละคือหน้าที่ ของสตทิ ี่ฝกึ ฝนมาไวพอ ท�ำให้เราเห็นทุกขโ์ ดยไม่ทุกข์ อาตมาจงึ อยากจะเชญิ ชวน ใหเ้ ราฝกึ สตใิ หม้ าก แมว้ า่ จะมสี ติ ในชีวิตประจ�ำวันดีอยู่แล้ว ก็อย่าประมาท เพราะเมื่อต้องเจอเร่ือง ท่ีพลิกผันไม่คาดฝัน เราอาจจะต้ังรับไม่ทัน จึงต้องฝึกสติ เตรียม พรอ้ มไวแ้ ตเ่ นนิ่ ๆ ถงึ แมเ้ หตรุ า้ ยจะยงั ไมเ่ กดิ สตทิ ฝ่ี กึ ไวก้ ไ็ มส่ ญู เปลา่ เพราะจะช่วยใหเ้ ราอยู่อยา่ งเปน็ สขุ โปร่งเบา 58
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล วิ ธี ก า ร อ ยู่ กั บ ค ว า ม ทุ ก ข์ ด้ ว ย ส ติ ต้องเร่ิมต้นจากความตระหนักว่า ทุกข์เกิดข้ึนเพราะความเผลอ ความหลง ความไม่มีสติ เม่ือใดท่ีเราลืมตัว ตัวตนก็เกิดขึ้น พูด อย่างนี้พอเข้าใจไหม ถ้าตอนน้ีไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ให้ลองสังเกต ดวู า่ เมอื่ ใดทลี่ มื ตวั ตวั ตนกจ็ ะเกดิ ขน้ึ เชน่ เรารสู้ กึ เปน็ ทกุ ขเ์ ปน็ รอ้ น กเ็ พราะลมื ตวั ถา้ ใจไมม่ สี ต ิ กจ็ ะปรงุ แตง่ ตวั ตนใหเ้ กดิ ขนึ้ ดงั นนั้ จงึ อยากใหเ้ ราหมน่ั ดกู าย ดใู จ ดเู วทนา ดว้ ยใจทเี่ ปน็ กลางๆ คอื ดเู ฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย ไม่ผลักไส ไม่ไขว่คว้า ถ้าเราดูกาย ดูใจ ดูเวทนา เวลามันเกิดขึ้นโดยไม่ปรุงแต่งต่อ หรือไม่มีปฏิกิริยากับมัน ก็จะ เหน็ วา่ มนั มอี ย ู่ แตท่ ำ� อะไรใจเราไมไ่ ด ้ แมก้ ายจะทกุ ข ์ แตใ่ จไมท่ กุ ข์ ตอ่ ไปเรากจ็ ะเปน็ มติ รกบั ความทกุ ข ์ ความเหงา ความเศรา้ ได ้ เพราะ ต่างคนตา่ งอยู่ ไมม่ ารงั ควานใจเรา ถา้ เรารจู้ กั อยกู่ บั ความทกุ ขไ์ ด้ เมอื่ ถงึ คราวทเ่ี ราจะตาย เราก็ จะยอมรบั มนั ได ้ ความตายกท็ ำ� อะไรเราไมไ่ ด ้ เราสามารถเปน็ มติ ร กับความตายได้ ถึงตอนนั้นความตายจะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวต่อไป อันน้ีเป็นศิลปะในการด�ำเนินชีวิต อะไรก็ตามที่เราหนีไม่พ้น เรา ควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ น้ีคือศิลปะการอยู่ในโลกนี้อย่าง ไมท่ กุ ข์ 59
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ ส ต ิ เ ป็ น ธ ร ร ม ใ ห ญ่ ขอใหพ้ วกเราพยายามเปดิ ทว่ี า่ งในใจของเรา ใหส้ ตไิ ดเ้ จรญิ เตบิ โต เหมอื นกบั เวลาเราจะปลกู ตน้ ไม ้ เรากต็ อ้ งเตรยี มดนิ ไวก้ อ่ น ถา้ หาก ดนิ นน้ั รก ปกคลมุ ไปดว้ ยวชั พชื ตน้ ไมก้ เ็ ตบิ โตไดย้ าก สตกิ เ็ ชน่ กนั จะงอกงามได ้ ใจกต็ อ้ งการทว่ี า่ งในใจ ดงั นนั้ อยา่ ปลอ่ ยใหใ้ จของเรา รกไปดว้ ยสง่ิ ทเ่ี ปน็ บาปอกศุ ล หรอื ความคดิ ฟงุ้ ซา่ น คอ่ ยๆ แผว้ ถาง ทาง คอ่ ยๆ เปดิ ชอ่ งใหส้ ตเิ ตบิ โต แลว้ ชว่ ยกนั รดนำ�้ บำ� รงุ สตสิ มำ�่ เสมอ การสร้างจังหวะ แต่ละจังหวะ การเดินจงกรม แต่ละก้าว เปรียบเหมือนกับการหยดน้�ำลงไปในจิต เพ่ือให้สติได้เจริญเติบโต ความจริง เรามีสติอยู่แล้วทุกคน เพียงแต่ว่า อาจจะไม่มีโอกาส เตบิ โตเทา่ ทคี่ วร เพราะวชั พชื ทางอารมณข์ น้ึ รกปกคลมุ จติ หนาแนน่ เราตอ้ งคอ่ ยๆ ถางวชั พชื เหลา่ นอี้ อกไปบา้ ง ใหม้ ที วี่ า่ ง ใหแ้ ดดสอ่ งถงึ คอยรดนำ้� พรวนดนิ และใสป่ ยุ๋ อยสู่ มำ�่ เสมอ ความเพยี ร ความตงั้ ใจ ความศรัทธา เป็นเสมือนน้�ำ ดิน แสงแดด ปุ๋ย ที่ช่วยบ�ำรุงสติ ไมช่ า้ ไมน่ านสติก็จะงอกงาม 60
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เวลาเราปลูกต้นไม้ กว่าแต่ละต้นจะเติบโตต้องใช้เวลานาน มาก เราไม่ทันสังเกตหรอก ว่ามันเติบโตข้ึนอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น ยอด กิ่ง ใบ หรือว่าราก เพราะเห็นด้วยตาได้ไม่ชัด เราดูทุกวันๆ ก็เหมือนกับว่ายังคงโตเท่าเดิม แต่ที่จริงแล้วต้นไม้โตขึ้นทุกวัน ทุกขณะ อยา่ ไปวดั บอ่ ยๆ วา่ มนั โตเท่าไหร่ รากลึกเทา่ ไหร่ มีตัวอย่างในนิทานชาดกเรื่องคนสวนกับลิง วันหน่ึงคนสวน ไม่อยู่ ให้ลิงช่วยรดน�้ำต้นไม้ให้ ลิงรดน�้ำไปก็นึกสงสัยไปว่า ต้นไม้ หยงั่ รากลงไปในดนิ มากนอ้ ยแคไ่ หน มนั จงึ ดงึ ตน้ ไมข้ นึ้ มา เพอ่ื ดวู า่ รากยาวแคไ่ หน เสรจ็ แลว้ กห็ ยอ่ นตน้ ไมใ้ สห่ ลมุ วนั ตอ่ มา พอรดนำ�้ เสร็จก็ดึงต้นไม้ข้ึนมาดูอีก เพ่ือจะดูว่า รากมันหย่ังลึกแค่ไหน ท�ำ อย่างนี้ไม่ก่ีวัน ต้นไม้ก็ตาย คนสวนกลับมาเห็น แทบสลบเลย เพราะต้นไมต้ ายท้ังสวน พระพุทธเจ้าตรัสว่า สติเป็นใหญ่ ในบรรดาธรรมทั้งหลาย สมาธเิ ปน็ ประมขุ ปญั ญาเปน็ ยอด วมิ ตุ ตเิ ปน็ แกน่ นพิ พานเปน็ ทส่ี ดุ ฉะน้ัน เราอย่าไปดูถูกสติ เพราะเขาเป็นใหญ่ในบรรดาธรรม ทั้งหลาย สมาธิก็เป็นประมุข ปัญญาก็เป็นยอด สามตัวน้ีส�ำคัญ มาก สตคิ อื อะไร สต ิ คอื ความระลกึ ได ้ ความระลกึ ได ้ คอื ไมล่ มื หรอื ไมห่ ลง คนเราระลกึ ไดห้ ลายเรอ่ื ง ระลกึ ไดว้ า่ มนี ดั กบั ใคร ทไี่ หน ระลึกได้ว่าร้านนี้ขายของแพง ระลึกได้ว่าใครเคยยืมเงินเราแล้ว เหลา่ นเ้ี ปน็ งานของสตเิ หมอื นกนั แตว่ า่ มนั ไมใ่ ชส่ ตสิ ำ� หรบั การปฏบิ ตั ิ เพื่อน�ำพาให้เราพ้นทุกข์ ถึงแม้มันอาจจ�ำเป็นส�ำหรับการท�ำงาน หรอื การดำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั แตเ่ ปน็ ความระลกึ ไดใ้ นเรอื่ งนอกตวั เราอาจจ�ำได้หลายเร่ือง ไม่ลืมอะไรอีกมากมาย รวมทั้ง 61
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ไม่ลืมตัว ไม่ลืมตัวในที่น้ีแปลว่าอะไร คนท่ีได้ดิบได้ดีแล้วไม่ลืมตัว ว่า ตัวเองเคยเป็นลูกชาวนา ไม่ลืมก�ำพืดเดิม ไม่หลงตัว อันนี้ เรยี กวา่ มสี ตไิ ดเ้ หมอื นกนั ไมว่ า่ จะเปน็ ใหญแ่ คไ่ หน กย็ งั มสี ตริ ะลกึ ไดว้ า่ เคยเปน็ คนยากคนจน ไมเ่ ปน็ ววั ลมื ตนี นก่ี เ็ ปน็ ความระลกึ ได้ อยา่ งหนง่ึ ความไมล่ มื ตวั น ี้ ทำ� ใหเ้ ราออ่ นนอ้ มถอ่ มตน เปรยี บเหมอื น กบั ตน้ ขา้ ว ยง่ิ มรี วงมากเทา่ ไหร ่ ยงิ่ ออ่ นนอ้ มจนโคง้ ลงมาสดู่ นิ นนั่ เปน็ ตวั อยา่ งของความออ่ นนอ้ มถอ่ มตนเพราะไมล่ มื ตวั คอื กลบั คนื สดู่ นิ แต่ยังมีความไม่ลืมตัวบางอย่างท่ีละเอียดกว่านั้น เช่น เวลา เราโกรธ พดู จารนุ แรง เกอื บจะดา่ หรอื ใชก้ ำ� ปน้ั ทบุ ตเี ขา ยงั ไมท่ นั ท�ำ ก็รู้ตัวข้ึนมา ท�ำให้ไม่ลืมตัวจนท�ำส่ิงแย่ๆ ออกไป อย่างน้ีคือ ความไม่ลืมตัวท่ีส�ำคัญมาก ท�ำให้เราไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ สตทิ ห่ี มายถงึ ความไมล่ มื ตวั จนเปน็ ทาสอารมณ ์ ทำ� ใหร้ ทู้ นั อารมณ์ สตแิ บบนแี้ หละทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั การปฏบิ ตั ิ เปน็ การระลกึ ไดใ้ นเรอื่ ง กายและใจ ไม่ใช่ระลกึ ได้ในเรือ่ งนอกตัว สิ่งท่ีเป็นเหตุให้เราลืมตัวคือ นิสัยชอบส่งจิตออกไปข้างนอก ไปอยู่ท่ีรูป รส กล่ิน เสียง สัมผัส เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมแลว้ ตงั้ หา้ อยา่ ง เพอ่ื รบั รเู้ รอื่ งโลกภายนอก ถา้ เราปลอ่ ยใจออก ไปทางตา หู จมูก ล้ิน กาย จนลืมกลับมาดูตัวเอง ก็ท�ำให้ลืมตัว หรือขาดสติไดเ้ หมือนกนั มีเรื่องของพระกรรมฐานสี่รูป ท่านตั้งใจปฏิบัติแบบอุกฤษฏ์ จึงตกลงกันว่า จะน่ังสมาธิโดยไม่พูดไม่คุยกัน เจ็ดวันเจ็ดคืน เช้า วนั แรกผ่านไปด้วยดี แต่พอตกค�่ำ มีเสียงกุกกักๆ ที่วิหาร คล้าย จะมีคนเข้าไป พระรูปหนึ่งจึงโพล่งข้ึนมาว่า “มีใครลงกลอนวิหาร 62
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล หรอื เปลา่ ” รปู ทสี่ องไดย้ นิ เชน่ นน้ั จงึ พดู วา่ “ทา่ นลมื แลว้ หรอื วา่ เรา ตกลงกันว่าจะไม่พูด” ท่านที่สามจึงพูดขึ้นมาบ้างว่า “แล้วท่านพูด ขนึ้ มาทำ� ไม” เงยี บสกั พกั ทา่ นทส่ี ก่ี พ็ ดู ขน้ึ มาวา่ “พวกทา่ นไมไ่ ดเ้ รอื่ ง เลย พดู กนั ท้ังหมดทุกคน มแี ต่ผมคนเดียวทไ่ี ม่ไดพ้ ดู ” นี้คือตัวอย่างของการลืมตัว คนท่ีลืมตัวมากที่สุดก็คือรูปที่ส่ี ทา่ นลมื ตวั เพราะอยากจะคยุ โม ้ วา่ ฉนั เกง่ กวา่ คนอน่ื ทงั้ หมด คนอนื่ พดู ทกุ คน แตฉ่ นั ไมไ่ ดพ้ ดู ความทอี่ ยากจะคยุ โววา่ ฉนั เกง่ เลยลมื ตวั โพลง่ ออกมา คนเรามกั มนี สิ ยั สองอยา่ ง ถา้ ไมช่ อบคยุ โว กช็ อบจอ้ ง จับผิดผู้อ่ืน ท้ังสองอย่างท�ำให้ลืมตัวได้ การจ้องจับผิดนี้ มักแฝง ด้วยโทสะ เมื่อไม่ชอบเขา ก็คอยจ้องจับผิดเขา ส่วนความอยาก อวดตวั วา่ ฉนั เกง่ มสี าเหตมุ าจากมานะ มานะคอื ความถอื ตวั อยาก เดน่ กวา่ คนอนื่ นอกจากโทสะและมานะแล้ว คนเรายังลืมตัวเพราะโลภะ และทฏิ ฐ ิ หรอื ความยดึ ตดิ ในความคดิ เหน็ หลายคนเผลอขโมยของ กเ็ พราะเกดิ ความโลภ และทผี่ คู้ นเถยี งกนั เอาเปน็ เอาตาย กลายเปน็ ทะเลาะกัน บางทีลืมตัวถึงขั้นต่อยตีกัน ก็เพราะตัวทิฏฐิน้ีแหละ สรุปก็คือ เม่ือมีอารมณ์ครอบง�ำจิตแล้ว ก็ท�ำให้ลืมตัวได้ท้ังนั้น ลืมตัวจนท�ำอะไรท่ีแย่ๆ ลงไป และสาเหตุท่ีอารมณ์ครอบง�ำจิต ขนาดนนั้ กเ็ พราะไมร่ ตู้ วั ไมร่ วู้ า่ เกดิ อะไรขนึ้ กบั ใจ ความลมื ตวั กบั ความไม่รตู้ วั จึงเกย่ี วขอ้ งกนั มาก จะเรียกว่าเปน็ อันเดียวกนั กไ็ ด้ คนเราโกรธ ก็ไม่รู้ตัวว่าก�ำลังโกรธ เศร้าก็ไม่รู้ตัวว่าก�ำลัง เศรา้ กเ็ ลยจมอยใู่ นความทกุ ขเ์ ปน็ วนั เปน็ เดอื น นเ่ี ปน็ เหตผุ ลทเี่ รา ต้องมาฝึกสติกัน เพราะคนเราทุกข์แล้วยังไม่รู้ตัว เรียกว่า ทุกข์ 63
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ แล้วลืมตัว คนท่ีรวยแล้วลืมตัวนั้นมีไม่มาก เพราะมีน้อยคนที่จะ ร�่ำรวย แต่แทบทั้งหมดทุกข์แล้วลืมตัวท้ังน้ัน นอกจากนั้นเรายัง ลืมตัวปล่อยให้ความโกรธความเกลียดเข้ามาครอบง�ำ เวลาโกรธ เกลียด ดเู หมอื นเราจะรู้ตวั แต่จรงิ ๆ แล้วไมร่ ูต้ ัวหรอก ไม่เช่นน้นั จะไมห่ ลดุ เข้าไปในความโกรธเกลียดอกี เวลาเราเห็นคนอ่ืนโกรธเกลียด เราสังเกตได้ง่าย แต่พอเรา เป็นเอง กลับไม่ค่อยรู้ตัว เป็นเพราะอะไร ก็เพราะจิตถนัดส่งออก นอก แตไ่ มค่ อ่ ยกลบั มาดตู วั เอง เราจะกลบั มาดตู วั จนรทู้ นั อารมณ์ ที่เกิดขึ้นได้ ก็เพราะมีสติท่ีฉับไว ดังน้ันการสร้างสติ จึงเป็นเรื่อง ส�ำคัญมากส�ำหรับพวกเราทุกคน การสร้างจังหวะ เดินจงกรมก็ คือการปลูกสติ เป็นการฝึกให้รู้ตัวบ่อยๆ ทีแรกก็รู้กายเคลื่อนไหว เดินก็รู ้ ยกมือก็ร ู้ ต่อมาก็รู้ใจคิดนึก ฟุ้งก็ร ู้ โมโหก็ร ู้ รู้แล้ววางเอง ไมป่ ลอ่ ยใจลอยไปตามความคดิ ฟงุ้ ปรงุ แตง่ ทม่ี กั จะกลบั ไปหาอดตี หรอื ลอยอย่กู ับอนาคต แต่ก่อนเรามักปล่อยใจให้ลอยไปเร่ือยๆ พอเรามีหลักโดย เอาอริ ยิ าบถมาเปน็ ฐานของใจ ใจลอยเมอื่ ไหรก่ ใ็ หร้ ะลกึ วา่ เราก�ำลงั สรา้ งจงั หวะ เดนิ จงกรมอย ู่ พอระลกึ ได ้ จติ กก็ ลบั มาอยทู่ ก่ี ารสรา้ ง จงั หวะ เดนิ จงกรม รตู้ วั วา่ กำ� ลงั ทำ� อะไร แลว้ กอ็ าจจะเผลอใหม ่ แต่ ใจก็จะระลึกได้ขึ้นมาอีก แล้วกลับมาอยู่กับอิริยาบถท่ีก�ำลังท�ำอยู่ หลักใหญ่ๆ ก็มีแค่นี้ อันนี้เป็นการฝึกให้มีความระลึกได้หรือรู้ตัว บ่อยๆ เม่ือรู้ว่าหลงไปอดีตหรืออนาคต จิตก็กลับมาอยู่กับปัจจุบัน รู้ตัวหรือรู้อิริยาบถการเคลื่อนไหว เดินก็รู้ว่าเดิน นั่งก็รู้ว่าน่ัง สร้างจงั หวะก็รวู้ ่าสร้างจังหวะ กินก็รวู้ า่ กิน นี้คือสติ 64
ถา้ หากดินนั้นรกปกคลุมไปดว้ ยวชั พืช ตน้ ไมก้ เ็ ติบโตได้ยาก สตกิ เ็ ช่นกนั จะงอกงามได้ ใจกต็ ้องการทวี่ ่างใน ใจ ดังนั้น อย่าปล่อยให้ใจของเรา รกไปด้วยสิ่งที่เป็นบาปอกุศล หรอื ความคดิ ฟุ้งซา่ น คอ่ ยๆ แผว้ ถางทาง คอ่ ยๆ เปดิ ชอ่ งใหส้ ตเิ ตบิ โต แล้วชว่ ยกนั รดนำ้� บำ� รุงสติสม�่ำเสมอ
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ อ า นิ ส ง ส ์ ข อ ง ส ติ สตมิ อี านสิ งสห์ ลายอยา่ ง ตง้ั แตเ่ รอ่ื งพนื้ ๆ ไปจนถงึ อานสิ งสข์ นั้ สงู พระเจ้าปเสนทิโกศลเคยปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า พระองค์มี พระวรกายใหญ ่ อดึ อดั เหลอื เกนิ เนอื่ งจากเสวยเยอะ พระพทุ ธเจา้ ก็ทรงแนะว่า “ให้มีสติทุกเมื่อ รู้ประมาณในการบริโภค เวทนาจะ เบาบาง ท�ำให้แก่ช้า อายุยืนยาว” พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ท�ำตาม ทที่ รงแนะนำ� โดยสงั่ ใหม้ หาดเลก็ ทอ่ งค�ำแนะนำ� ทกุ ครงั้ เวลาเสวย พระกระยาหาร เพอ่ื เตอื นใหเ้ สวยนอ้ ยลง ไมน่ าน พระเจา้ ปเสนท-ิ โกศลกม็ พี ลานามยั ดขี นึ้ รสู้ กึ กระปรก้ี ระเปรา่ เดนิ เหนิ คลอ่ งแคลว่ จงึ สรรเสรญิ พระพทุ ธองคว์ า่ ทรงแสดงธรรมทก่ี อ่ ประโยชนท์ ง้ั สอง ประการ คอื ประโยชนข์ น้ั ตน้ และประโยชนข์ น้ั สงู ประโยชนข์ น้ั ตน้ หมายถงึ ความสขุ ทางโลก สว่ นประโยชนข์ น้ั สงู หมายถงึ ความสขุ ทางธรรม เป็นประโยชน์ข้ันโลกุตตระ สตมิ ปี ระโยชนต์ ง้ั แตเ่ รอ่ื งพน้ื ๆ เชน่ ทำ� ใหม้ สี ขุ ภาพด ี อายยุ นื รวมไปถงึ ความสำ� เรจ็ ในการประกอบอาชพี หรอื การเรยี น ถา้ ไมม่ สี ติ ก็ท�ำอะไรส�ำเร็จได้ยาก เพราะมัวลุ่มหลงกับความสุขทางวัตถุ 66
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล นอกจากเรอ่ื งทางโลกแลว้ เวลาตอ้ งการทำ� จติ ใหส้ งบ มสี มาธ ิ กต็ อ้ ง อาศัยสติ เพราะความสงบท่ีแท้ เกิดจากใจที่รู้จักปล่อยวาง ใส่ใจ อยู่ในอารมณ์เดียว ไม่แส่ส่ายฟุ้งซ่าน ซ่ึงเป็นงานที่ต้องอาศัยสติ มาก พระพทุ ธเจา้ เคยตรสั วา่ “ผใู้ ด เมอื่ เหน็ รปู แลว้ มสี ต ิ ไมก่ ำ� หนดั ในรูป...น้ัน แม้เสวยเวทนาอยู่ ทุกข์ย่อมส้ินไป ไม่ถูกส่ังสมไว้... เมื่อเขาไม่สั่งสมทุกข์อยู่อย่างน้ี บัณฑิตกล่าวว่า อยู่ใกล้นิพพาน” ถา้ เราอยากเขา้ ใกลน้ พิ พาน กต็ อ้ งอาศยั สติ ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาส พูดชดั เจนเลยวา่ “สติ ค�ำเดียวนี้ มันพอส�ำหรบั บรรลุนิพพาน” ใครที่อยากพบพระพุทธเจ้า ก็ต้องอาศัยสติอีกเหมือนกัน พระองค์ตรัสว่า “ภิกษุผู้ใดไม่มีกามราคะกล้า ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความด�ำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย มีสติต้ังม่ัน มี สมั ปชญั ญะ มจี ติ เปน็ สมาธ ิ ถงึ ความเปน็ เอกคั คตา สำ� รวมอนิ ทรยี ์ แล้วไซร้ ภิกษุผู้น้ันชื่อว่าอยู่ใกล้เรา...เพราะเหตุว่าภิกษุผู้น้ัน เห็น ธรรม เมอ่ื เห็นธรรม ช่อื ว่าเห็นเรา” จะสำ� รวมอนิ ทรยี ไ์ ด ้ กต็ อ้ งมสี ต ิ อนิ ทรยี ์ ไดแ้ ก ่ ตา ห ู จมกู ลิ้น กาย ส�ำรวมในทนี่ ้ ี หมายความว่า ระวงั รักษามใิ ห้อกุศลธรรม หรือความยินดียินร้ายครอบง�ำจิต เม่ือตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมกู ไดก้ ลนิ่ เปน็ ตน้ ใครทอี่ ยากเหน็ พระพทุ ธเจา้ กต็ อ้ งมสี ต ิ อยาก ใกล้นิพพานก็ต้องมีสติ อยากจะเอาชนะความตายก็ต้องมีสติ พระพุทธเจ้าทรงแนะวิธีท่ีจะทำ� ให้มัจจุราชไม่เห็นตัว ดังตรัสสอน โมฆราชมานพว่า “ท่านจงพิจารณาเห็นโลกว่า เป็นของว่างเปล่า มสี ตทิ กุ เมอื่ ถอนความยดึ มน่ั วา่ มตี วั ตนเสยี ...ผพู้ จิ ารณาเหน็ โลก อย่างนี้ มัจจุราชจกั มองไม่เหน็ ” 67
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ มองเห็นโลกว่าเป็นของว่างเปล่า คือเห็นว่าโลกน้ีว่างเปล่า จากตัวตน เป็นอนัตตา ไม่สามารถควบคุมบังคับได้ ไม่มีตัวตน ที่เที่ยงแท้ยั่งยืน แปรเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้ามีสติ และ เห็นโลกว่างเปล่าจากตัวตนอย่างน ี้ มัจจุราชย่อมมองไม่เห็นตัว จึงเอาชนะมัจจุราชได้ มัจจุราชจะจับเราได้ก็ต่อเมื่อเห็นตัวเรา หรือเพราะเราคิดว่ามีตัวมีตน แต่ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน หรือไม่มี ความส�ำคัญม่ันหมายในตัวตน ความกลัวตาย หรือความรู้สึกว่า ฉันตายก็ไม่มี มีแต่ความตาย แต่ไม่มีฉันตาย น่ีเรียกว่ามัจจุราช ท�ำอะไรไม่ได้ การที่จะไม่มีตัวไม่มีตนได้ ต้องอาศัยสติ พระพุทธเจ้าตรัส กับท่านพาหิยะว่า “เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เม่ือได้ยินก็สักแต่ว่า ไดย้ นิ เมอื่ ทราบกส็ กั แตว่ า่ ทราบ เมอ่ื รแู้ จง้ อารมณก์ ส็ กั แตว่ า่ รแู้ จง้ อารมณ์ เม่อื นัน้ ตวั เธอจกั ไม่มี เมือ่ ใดตวั เธอไมม่ ี เมือ่ นัน้ ตัวเธอ จักย่อมไม่มีท้ังในโลกน้ีและโลกหน้า และระหว่างโลกท้ังสอง นี้แหละคือท่ีสุดแห่งทุกข์” พอท่านพาหิยะพิจารณาตาม ก็บรรลุ อรหัตตผลทนั ที เพราะเกิดปัญญา เห็นความจริงอย่างย่งิ สติปัฏฐาน จึงเป็นอุบายสลายตัวตน คนเราถ้ายังไม่มีสติ กจ็ ะสำ� คญั มน่ั หมายวา่ มตี วั กขู องกอู ยรู่ ำ่� ไป อยา่ งเชน่ เวลาเราเดนิ ถ้าไม่มีสติ ก็จะนึกไปว่า มีฉันเดิน แต่ถ้าเรามีสติ เมื่อเดินก็มีแต่ การเดิน ไม่มีฉันผู้เดิน เพราะเมื่อมีสติ ก็ไม่มีการปรุงว่าเป็นตัวกู ของกู สติช่วยให้เห็นกายและใจ โดยไม่ส�ำคัญม่ันหมายว่าเป็น “ผเู้ ปน็ ” อยา่ งทหี่ ลวงพอ่ คำ� เขยี นยำ�้ บอ่ ยๆ วา่ “เหน็ อยา่ เขา้ ไปเปน็ ” เหน็ ความเครยี ด เหน็ ความปวด อยา่ เปน็ ผเู้ ครยี ด ผปู้ วด ถา้ ไมม่ สี ติ 68
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เมื่อไร ก็จะเกิดความยึดมั่นส�ำคัญหมายว่า ความทุกข์เป็นของฉัน ฉันเป็นผู้ทุกข์ พอฉันเป็นผู้ทุกข์ ฉันเป็นผู้เจ็บ มัจจุราชก็เห็น ตวั ผทู้ กุ ข ์ เหน็ ตวั ผเู้ จบ็ กเ็ ลน่ งานซำ�้ ได ้ แตถ่ า้ มสี ตแิ ลว้ ความสำ� คญั มั่นหมายว่า มีผู้เจ็บ ผู้ป่วย ก็ไม่เกิดขึ้น คือไม่มีตัวตนปรากฏ ตัวตนหายไป มจั จรุ าชกม็ องไม่เห็น ตามจบั ไมไ่ ด้ ใหห้ มน่ั เหน็ กายและใจบอ่ ยๆ อยา่ ไปเปน็ “ผเู้ ปน็ ” เหน็ ความคดิ อยา่ เปน็ ผคู้ ดิ เหน็ ความปวด ความเมอ่ื ย แตอ่ ยา่ เปน็ ผปู้ วด ผเู้ มอ่ื ย เหน็ อยา่ งนีไ้ ปเรื่อยๆ จิตใจจะโปร่งเบา ไกลจากความทุกข์ จะเห็น ได้ก็ตอ้ งมสี ตอิ ยู่เสมอ ถา้ เหน็ อยา่ งน ี้ กจ็ ะรวู้ า่ สตมิ อี านสิ งสม์ าก แมแ้ ตเ่ รอื่ งพนื้ ๆ เชน่ การกิน การนอน ท่ีนอนไม่หลับส่วนใหญ่ก็เพราะไม่มีสติ สาเหตุ ท่ีคนนอนไม่หลับ เพราะกังวล ฟุ้งซ่าน คุมความคิดไม่ได้ ยิ่งรู้ว่า นอนไมห่ ลบั กย็ งิ่ กงั วลหนกั ขน้ึ เกดิ ความเครยี ดขน้ึ มา ยงิ่ อยากให้ หลบั ไวๆ กลบั ยงิ่ ไมห่ ลบั แตถ่ า้ ทำ� ใจสบาย ไมห่ ลบั กช็ า่ งมนั ขณะท่ี ยังต่ืนอยู่ก็คลึงน้ิว ตามลมหายใจ มันจะหลับก็หลับ ไม่หลับก็ ไม่หลบั คิดได้อย่างน ี้ เดีย๋ วมนั ก็หลับไปเอง อยากจะพ้นทุกข์ก็ต้องใช้สติ อยากจะเข้าใกล้พระนิพพาน ก็ต้องใช้สติ อยากจะเอาชนะความตายก็ต้องใช้สติ พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า “สติเป็นใหญ่ในบรรดาธรรมทั้งปวง” จึงขอให้พวกเรา ต้ังใจปฏิบัติ ถ้าเกิดฉันทะในการปฏิบัติ อุปสรรคที่เราเผชิญ จะกลายเป็นเรือ่ งเลก็ นอ้ ย และหมดไปในท่สี ดุ 69
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ 70
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การเจรญิ สติ เราจะเห็นกายและใจตามจริงได้อย่างไร ก็เร่ิมจากการปฏิบัต ิ ซง่ึ มหี ลายวธิ ี หลักใหญ่ๆ คอื เจริญสติปัฏฐาน ๔ ไดแ้ ก่ กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน คือ เหน็ กายในกาย เวทนานุปสั สนาสติปฏั ฐาน คอื เหน็ เวทนาในเวทนา จิตตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน คอื เหน็ จิตในจิต ธัมมานุปสั สนาสติปัฏฐาน คือ เหน็ ธรรมในธรรม อธิบายสั้นๆ คือ เห็นกายในกาย ไม่ใช่เห็นกายว่าเป็นเรา เวลาเราเดนิ หากเดนิ อยา่ งมสี ต ิ จะเหน็ วา่ กายเดนิ ไมใ่ ช ่ “ฉนั ” เดนิ เหน็ เวทนาในเวทนา หมายความวา่ เหน็ เวทนาวา่ เปน็ เวทนา ไม่ใช่เห็นว่า เป็นเราเป็นของเรา เมื่อมีความปวด ก็เห็นความปวด เกิดข้ึนกับกาย ไม่ใช่เห็นว่าฉันปวด คนเราเวลาปวด ก็จะรู้สึกว่า ฉนั ปวดๆ แตท่ จี่ รงิ เมอื่ เจรญิ สต ิ กจ็ ะเหน็ วา่ การปวดเปน็ อาการปวด ไมใ่ ชฉ่ นั ปวด เวลาโกรธ กเ็ หน็ วา่ มคี วามโกรธเกดิ ขน้ึ ไมใ่ ชฉ่ นั โกรธ 71
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ เห็นจิตในจิต ความหมายหนึ่งก็คือ เห็นจิตว่าเป็นจิต ไม่ใช่ เห็นว่าเป็นเราเป็นของเรา เช่น เม่ือมีความโกรธ ความเครียด เกิดข้ึนท่ีใจ ก็เห็นว่าจิตมีความโกรธ มีความเครียด ไม่ใช่เห็นว่า ฉนั โกรธ ฉนั เครียด การเห็นกายว่าเป็นกาย เห็นเวทนาว่าเป็นเวทนา เห็นจิตว่า เปน็ จติ ไมใ่ ชเ่ รา ไมใ่ ชข่ องเรา จะชว่ ยใหเ้ หน็ กายและใจตามความ เปน็ จรงิ ชว่ ยใหเ้ หน็ ความจรงิ เรอ่ื งขนั ธ์ ๕ นวิ รณ ์ ๕ อายตนะ ๑๒ เปน็ ต้น อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ เห็นธรรมในธรรม การเจริญสติ จะน�ำไปสู่การเกิดปัญญา ถ้าเราเก่ียวข้องกับ โลกภายนอก ตาดู หูฟัง เมื่อเกิดโยนิโสมนสิการ ก็เกิดปัญญา มีประโยชนม์ ากมาย อาท ิ ๑. ท�ำให้เราปล่อยวางได้ในสิ่งท่ีผ่านไปแล้ว และไม่กังวล กบั เร่อื งในอนาคต ๒. ท�ำให้เห็นความจริงของชีวิตว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็น ธรรมดา ไมม่ ีใครหนีพน้ ได้ ๓. เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ มีความ สูญเสียเป็นธรรมดา ๔. เรามีกรรมเป็นที่พ่ึงอาศัย มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรม เปน็ เผา่ พนั ธุ์ ๕. เหน็ ความสำ� คญั ของการเตรยี มตวั เตรยี มใจสรา้ งความดี ๖. เห็นทุกส่ิงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท�ำให้ลดความ ยดึ มัน่ ถือมั่นลงไปได้ 72
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ห ล ั ก ก า ร เ จ ริ ญ ส ติ การเจรญิ สต ิ คอื การฝกึ ใจใหอ้ ยกู่ บั ปจั จบุ นั เรมิ่ ตน้ ดว้ ยการฝกึ ใจ ให้อยู่กับกาย เมื่อใจหลุดออกไปจากกาย ไปคิดโน่น คิดนี่ ส่งจิต ออกนอก หรือไหลไปอดีต ลอยไปอนาคต สักพักสติก็รู้ หรือพูด อีกอย่าง สักพักเราก็จะรู้ตัวว่าเผลอคิดไป แล้วจิตก็จะกลับมาอยู่ กบั กาย ใหมๆ่ มนั คดิ ยดื ยาวกวา่ จะกลบั มา แตต่ อนหลงั จะกลบั มา เรว็ ขน้ึ ๆ เปน็ เพราะสตไิ วขนึ้ และความรสู้ กึ ตวั จะคอ่ ยๆ ตอ่ เนอื่ งๆ ทจี่ รงิ พวกเรามคี วามรสู้ กึ ตวั อยแู่ ลว้ แตไ่ มค่ อ่ ยตอ่ เนอื่ ง รตู้ วั แค่ไม่กี่ขณะแล้วก็เผลอใหม่ แต่เราจะฝึกสติให้ไวในการเรียกจิต กลบั มา การปฏบิ ตั แิ บบหลวงพอ่ เทยี น ทา่ นจะไมเ่ นน้ การบงั คบั จติ ไมใ่ หค้ ดิ แตจ่ ะใหอ้ สิ ระกบั จติ วา่ จะอยกู่ บั กาย หรอื จะออกไปเทยี่ ว ก็ได้ แต่ว่าถ้ามันออกไปเที่ยวเม่ือไหร่ ให้มีสติรู้และพามันกลับมา ท�ำอย่างน้ีบ่อยๆ สติจะไวข้ึน ท�ำใหม่ๆ หลายคนจะรู้สึกว่าใจฟุ้ง มาก แต่ความฟุ้งไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือการไม่ชอบฟุ้ง เหมือนที่ 73
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ หลวงพอ่ ชาทา่ นบอกวา่ เสยี งไมใ่ ชป่ ญั หา ปญั หาคอื ใจทไี่ ปทะเลาะ กบั เสยี ง ใจจะฟงุ้ กช็ า่ งมนั หนา้ ทขี่ องเราคอื รทู้ นั ใหไ้ ว แลว้ กลบั มา ท่ีจริง ความฟุ้งก็มีข้อดีนะ เพราะถ้าใจไม่ฟุ้ง สติจะรู้ทัน ได้อย่างไร ต้องเผลอก่อนถึงจะรู้ตัว เราจะฝึกให้รู้ตัวบ่อยๆ ต่อไป กจ็ ะรตู้ วั ไวขนึ้ อยา่ ไปกลวั ความฟงุ้ เหมอื นกบั เวลาเราฝกึ ขจ่ี กั รยาน อย่ากลัวล้ม เวลาเราเร่ิมหัดว่ายน้�ำ อย่ากลัวส�ำลักน้�ำ เวลาหัดพูด ภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศ อย่ากลัวพูดผิด เมื่อจะฝึก ข่ีจักรยานก็อย่ากลัวล้ม ขี่ไปเลย ถ้าล้มก็ลุกขึ้นขี่ใหม่ ว่ายน�้ำ ถ้าส�ำลักก็ไม่เป็นไร ว่ายไปเรื่อยๆ พูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ ไม่เปน็ ไร พูดไปเรอ่ื ยๆ ก็จะดีขนึ้ พูดคลอ่ งข้ึน ถูกตอ้ งมากข้นึ ในท�ำนองเดียวกัน เม่ือจะเจริญสติก็อย่ากลัวฟุ้ง หลายคน กลัวฟุ้ง จึงพยายามบังคับจิตไม่ให้คิด พยายามกดข่มความคิด พยายามบังคับจิตให้เพ่งท่ีลมบ้าง จมูกบ้าง พอท�ำไปนานๆ ก็รู้สึก เครียด ปวดหัว แน่นหน้าอก บางคนท�ำไปนานจนถอนไม่ออก ถึงขั้นว่าเวลาเริ่มปฏิบัติก็จะเครียดทันที บางทีจิตมันเพ้ียน เกิด ความกลวั มคี นหนง่ึ เปน็ หมอผา่ ตดั เวลาเจรญิ สตจิ ะบงั คบั จติ มากๆ จนเกิดความเครียด เกร็ง และกลัว กลัวจนกระทั่งมือสั่น ไม่กล้า ผ่าตัด ต้องเลิกผ่าไปเลย อันนี้เป็นเพราะไปบังคับจิตมาก ท�ำให้ จติ เพย้ี น กรณอี ยา่ งน ี้ อาตมาแนะนำ� ใหห้ ยดุ ปฏบิ ตั ไิ ปกอ่ น เพราะ ที่ท�ำไปน้ันมันผิด ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ คือกลับมาเริ่มที่ศูนย์ อันนี้เป็นเพราะว่า วางใจไม่ถูก คือพยายามบังคับจิต ท่ีบังคับจิต กเ็ พราะกลัวฟุง้ ไมอ่ ยากใหฟ้ ุ้ง 74
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล สาเหตุที่เด็กไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ท่ีเรียนมา ๕ - ๑๐ ป ี เพราะกลวั ผดิ กเ็ ลยไมก่ ลา้ พดู ฝรง่ั หลายคนงงมาก ทเี่ หน็ เด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษมาหลายปี แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สาเหตเุ ปน็ เพราะเดก็ ไมก่ ลา้ พดู กลวั พดู ผดิ ไวยากรณ ์ กลวั ใชศ้ พั ท์ ผดิ ในทำ� นองเดยี วกนั นกั ปฏบิ ตั หิ ลายคนเลกิ ปฏบิ ตั ิ กเ็ พราะฟงุ้ มาก ทนไม่ได้ท่ีฟุ้งเยอะ อาตมาเคยถามหลายคนว่า ปฏิบัติเป็นอย่างไร เขาตอบว่าเลิกปฏิบัติแล้ว อาตมาจึงถามว่า ท�ำไมละ ลองปฏิบัติ แค ่ ๕ นาทีก็พอ เขาตอบวา่ ทำ� แลว้ ฟงุ้ กเ็ ลยเลิก อันนพ้ี ลาดมาก ดังน้ันเวลาปฏิบัติ อย่าไปกลัวฟุ้ง ควรมองว่า ความฟุ้งเป็น ของด ี อยา่ งคนทหี่ ดั ขจี่ กั รยาน การลม้ บอ่ ยๆ ทำ� ใหเ้ ขารวู้ า่ ทำ� อยา่ งไร จงึ จะไมล่ ม้ เหมอื นเดก็ ทารกทหี่ ดั เดนิ เปน็ ทำ� ไมจงึ เดนิ เปน็ ทงั้ ๆ ท่ี ลม้ บอ่ ย ทจี่ รงิ ตอ้ งพดู วา่ เปน็ เพราะลม้ บอ่ ยๆ เดก็ จงึ เดนิ เปน็ เดก็ ไม่กลัวล้ม พอล้มบ่อยๆ ก็เลยรู้จักวิธีการทรงตัว เรียกว่า เรียนรู้ จากความผิดพลาด มนั ตอ้ งผดิ กอ่ นถึงจะถกู การปฏิบัติก็เหมือนกัน อย่าไปกลัวฟุ้ง ที่จริงเป็นเพราะ หลงบอ่ ยๆ เราจึงรูต้ วั ไดไ้ ว เราฝึกใหร้ ูต้ ัวบอ่ ยๆ และจะร้ตู ัวไดต้ อ้ ง หลงก่อน การปฏิบัติของหลวงพ่อเทียนจะไม่มีการบังคับจิต ไม่มี การเพง่ และไมม่ กี ารใชค้ ำ� บรกิ รรมเพอ่ื ผกู จติ เอาไวก้ บั กาย บรกิ รรม หมายถงึ การนบั ๑ นบั ๒ หรอื นกึ ในใจวา่ พทุ - โธ การทำ� อยา่ งนี้ มีประโยชน์ก็จริง ในการท�ำให้มีสมาธิ แต่ถ้าเราต้องการฝึกสติ ใหร้ ทู้ นั ความคดิ ไดไ้ ว กต็ อ้ งยอมใหใ้ จมนั เผลอบา้ ง เหมอื นกบั ถา้ เรา จะข่ีจักรยานให้เป็น เราต้องยอมล้ม แล้วเราจะเรียนรู้จากการล้ม แต่ละคร้ังว่า ควรจะทรงตัวอย่างไรให้สมดุล ในท�ำนองเดียวกัน 75
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ ถา้ เราเรยี นร้จู ากการหลง จากการฟุ้ง สตขิ องเราจะไวขนึ้ ถ้าปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จะได้สติ ได้ความรู้สึกตัว เปน็ การปฏบิ ตั แิ บบสบายๆ ไมบ่ งั คบั จติ ทา่ นบอกกบั อาตมา ตอนท่ี ปฏิบัติกับท่านวันแรกเลยว่า “ท�ำเล่นๆ แต่ท�ำจริงๆ” “ท�ำเล่นๆ” หมายความว่า ท�ำสบายๆ อย่าบังคับจิต มันจะฟุ้งบ้างก็ช่างมัน แต ่ “ทำ� จรงิ ๆ” คอื ทำ� ไมห่ ยดุ อาตมาเคยถามทา่ นวา่ ทำ� ตง้ั แตก่ โ่ี มง ถึงก่ีโมง ทีแรกคิดว่า ปฏิบัติแบบเวลาท�ำงาน คือ ๙ โมงเช้า ถึง ๔ โมงเยน็ ทา่ นบอกวา่ ทำ� ทง้ั วนั ตงั้ แตต่ น่ื ขน้ึ มาจนกระทงั่ เขา้ นอน ตอนนั้นตกใจเลย รู้สึกหนักใจด้วยว่า จะท�ำได้อย่างไร ท่ีจริงแล้ว ถ้าท�ำเล่นๆ เราท�ำได้ทงั้ วัน ต่นื ขน้ึ มาเก็บทน่ี อน ล้างหน้าแปรงฟัน ก็มีสติรู้ตัว ตัวอยู่ไหนใจอยู่น่ัน ใหม่ๆ ก็ให้รู้กายก่อน ก็คือ กาย เคล่อื นไหวกร็ ้สู ึก เหน็ กายเคลื่อนไหว คอื เหน็ ดว้ ยสติ คนเราถ้ามีสติก็จะเห็นหรือรู้กาย อย่างพวกเราลองหลับตา เวลายกมอื รสู้ กึ ไหม (รสู้ กึ ) หลบั ตาเอามอื ไปชที้ ป่ี ลายจมกู จมิ้ ทเี ดยี ว ถูกไหม (ถูก) ท�ำไมปิดตาแล้วจ้ิมถูกเพราะมันมีตาใน ปิดตาแล้ว เอามือจ้ิมที่หน้าผากก็ยังจิ้มถูก เอามือจิ้มคิ้วขณะปิดตาก็ยังจิ้มถูก ถามว่ารู้ได้อย่างไร ก็เพราะเรามีตาในคือสติ ซ่ึงคู่กับความรู้สึกตัว แต่ว่าการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน ท่านไม่ให้ปิดตานะ เพ่ือไม่ให้ ติดสงบ ถ้าหลับตาแล้ว จิตจะสงบง่าย แล้วก็จะติดสงบ ท�ำให้ กา้ วหนา้ ชา้ สรปุ วา่ การฝกึ สตมิ หี ลกั อยงู่ า่ ยๆ คอื วา่ ใหร้ ทู้ นั ความคดิ อย่ ู บ่อยๆ แต่ว่าจะรู้ทันความคิดได ้ ก็ต้องท�ำส่ิงที่เป็นพ้ืนฐานกว่านั้น เรยี กวา่ “รกู้ าย” รทู้ นั ความคดิ เขาเรยี กวา่ “รใู้ จ” ตา่ งจากคำ� วา่ รใู้ จ 76
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ในความหมายทเ่ี ราพูดกัน เช่นคนนร้ี ู้ใจฉันดี คือร้วู า่ เราชอบอะไร รใู้ จทอ่ี าตมาพดู น ้ี หมายถงึ รทู้ นั ความคดิ และอารมณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ กับใจเรา รู้ทันเม่ือเกิดความพอใจและไม่พอใจขึ้น ซึ่งถ้าเรารู้ใจ แบบนี้ ความทุกข์จะรบกวนจิตใจเราได้น้อยมาก ทีน้ีเราจะรู้ใจได้ ก็ต้องมารู้สิ่งท่ีหยาบกว่านั้นก่อนคือ รู้กาย รู้ว่ากายก�ำลังท�ำอะไร ในขณะน้ี อยา่ งตอนนถี้ า้ เรามสี ติ กจ็ ะรวู้ า่ ก�ำลงั นงั่ อยู่ นคี่ อื รกู้ าย ไมไ่ ดร้ แู้ บบวทิ ยาศาสตร ์ ไมไ่ ดร้ แู้ บบกายวภิ าค แตร่ วู้ า่ กายทำ� อะไร อยู่ ค�ำว่า “รู้” ในทางพระพุทธศาสนา เป็นการรู้ที่มุ่งให้พ้นทุกข์ โดยเฉพาะทกุ ขใ์ จ “ร”ู้ ในทางโลกหรอื ในทางวชิ าการ รทู้ กุ อยา่ ง แตว่ า่ อาจไม่ช่วยใหค้ วามทุกข์ใจลดน้อยลงเลย เวลาเราเรียนในมหาวิทยาลัย หรือว่าเราเรียนท่ีไหนก็ตาม สว่ นใหญก่ เ็ ปน็ การรเู้ พอื่ ประกอบอาชพี หรอื อยา่ งมากกร็ เู้ พอื่ ทำ� ให้ มีความสุขกาย แต่พุทธศาสนาเน้นเร่ืองการเรียนรู้ท่ีท�ำให้สุขใจ หรอื ทำ� ใหค้ วามทกุ ขใ์ จลดลง พระพทุ ธเจา้ เคยตรสั ถามพระสาวกวา่ “ใบไมใ้ นกำ� มอื กบั ใบไมใ้ นปา่ อนั ไหนมากกวา่ กนั ” พระสาวกตอบวา่ “ใบไม้ในป่ามีมากกว่า ใบไม้ในก�ำมือมีนิดเดียว” พระพุทธเจ้าจึง ตรสั วา่ คำ� สอนของพระองค ์ เปรยี บเหมอื นกบั ใบไมใ้ นกำ� มอื มนั มี จ�ำนวนน้อย เทียบไม่ได้กับใบไม้ในป่า หรือความรู้ทั้งหลายในโลก แตม่ ันเปน็ ความร้ทู ีช่ ่วยทำ� ให้พ้นทกุ ข์ได้ ทุกข์ในที่นี้ หมายถึงทุกข์ใจเป็นส�ำคัญ ความรู้ในทางโลก ส่วนใหญ่เน้นเร่ืองการพ้นทุกข์ทางกาย บางอย่างก็ไม่เกี่ยวกับ การพ้นทุกข์ทางกายเลย เช่น ความรู้เกี่ยวกับจักรวาล เพื่อตอบ ค�ำถามว่าจักรวาลน้ีมีก�ำเนิดเมื่อไหร่ มีก�ำเนิดอย่างไร มีทฤษฎี 77
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ มากมาย ท่ีพยายามอธิบายถึงก�ำเนิดจักรวาล เช่น Big Bang มีการคาดการณ์ว่า จักรวาลเกิดข้ึนเม่ือ ๑๔,๐๐๐ ล้านปีท่ีแล้ว เดยี๋ วนยี้ งั มนี กั วทิ ยาศาสตรค์ าดการณก์ ระทง่ั วา่ จกั รวาลไมไ่ ดม้ แี ค่ เอกภพ แต่เป็นพหุภพเลยทีเดียว แถมมีพหุภพคู่ขนานมากมาย ดว้ ย ทฤษฎหี รอื ความรเู้ หลา่ น ี้ ไมไ่ ดท้ ำ� ใหค้ วามทกุ ขก์ ายลดนอ้ ยลง เลย ไม่ต้องพูดถึงความทุกข์ใจ แต่พุทธศาสนาจะเน้นเรื่องการ ลดความทุกขใ์ จให้นอ้ ยลง จนไมเ่ หลือ ความรู้อย่างหน่ึงที่ส�ำคัญมาก ช่วยให้ความทุกข์ใจลดลง คอื รกู้ ายและรใู้ จ รกู้ ายนไี่ มไ่ ดร้ ใู้ นเชงิ กายวภิ าค แตร่ วู้ า่ กายกำ� ลงั ท�ำอะไรอยู่ ต่างกันนะ เราจะมาฝึกสติด้วยการให้รู้กายก่อน ก็คือ ว่า เวลาท�ำอะไร ใจกร็ ู ้ เวลากายเคล่ือนไหว กายขยับ ใจกร็ ู้ นเ่ี ปน็ การฝกึ สต ิ เพราะชว่ ยใหใ้ จกลบั มาอยกู่ บั กาย หรอื สง่ิ ที่ ก�ำลังท�ำอยู่ ปกติใจไม่ค่อยมาอยู่กับกายเท่าไหร่ มันอยู่กับกาย สกั พกั หนง่ึ แลว้ กเ็ บอื่ ไมเ่ หน็ มอี ะไรเลย เดนิ กลบั ไปกลบั มา ยกมอื ข้ึนลง เบื่อ มันก็เลยไปเท่ียว บ่อยคร้ังไม่ได้ไปเท่ียวอย่างเดียว ไปหาทุกข์ใส่ตัวเรา เช่น คิดถึงอดีตท่ีเจ็บปวด คิดถึงงานการที่ ชวนให้กังวล แตเ่ ผลอสกั พกั เรากจ็ ะระลกึ ขนึ้ มาไดว้ า่ กำ� ลงั ยกมอื อย ู่ กำ� ลงั เดินอยู่ ก�ำลังตามลมหายใจอยู่ อย่างนี้แสดงว่า สติท�ำงานแล้ว เพราะสติคือความระลึกได้ เมื่อระลึกได้ ใจก็กลับมาที่กาย รับรู้ อยู่กับสิ่งที่ก�ำลังท�ำ ถ้าคุณใจลอยนับร้อยคร้ัง แล้วคุณระลึกได้ ร้อยคร้ังว่าก�ำลังท�ำอะไรอยู่ นั่นแปลว่าสติของคุณก�ำลังเติบโตแล้ว เพราะวา่ มนั ถกู ใชง้ านบอ่ ยๆ ทำ� ใหม้ นั มคี วามคลอ่ งแคลว่ ฉบั ไวขนึ้ 78
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การระลึกได้บ่อยๆ ทำ� ให้เราจ�ำไดเ้ รว็ ระลกึ ไดไ้ ว จ�ำได้ไหม ตอนท่ีเราเป็นเด็ก ป.๒ - ป.๓ หัดท่องสูตรคูณ ท่องอาขยาน เราจะจ�ำสูตรคูณได้แม่น ก็ต้องนึกบ่อยๆ ๒ × ๘ เท่าไหร่ นึกต้ังนาน อ้อ ๒ × ๘ เท่ากับ ๑๖ ถ้านึกบ่อยๆ อย่างนี้ เราจะนกึ ไดไ้ วขน้ึ ๆ จนกลายเปน็ อตั โนมตั ิ แมก้ ระทง่ั ในฝนั ๙ × ๘ เท่าไหร่ ค�ำตอบ ๗๒ มันออกมาเองเลย มันมาเร็วมาก ถ้าเรา นกึ บ่อยๆ จะนกึ ได้ไวขึ้น การฝึกสติก็เช่นเดียวกัน หากใจคุณลอยในขณะท่ีก�ำลัง เดินจงกรม ขณะที่กําลังดูลมหายใจ หรือขณะท่ีก�ำลังกินข้าว แตแ่ ลว้ คณุ กน็ กึ ขน้ึ มาไดว้ า่ กำ� ลงั ทำ� อะไรอย ู่ จติ จะกลบั มาอยกู่ บั กาย ทันที ใหม่ๆ กว่าคุณจะนึกข้ึนมาได้ ใช้เวลานานมาก กว่าจะนึก ได้ว่าท�ำอะไรอยู่ แต่พอคุณฝึกบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ คุณจะระลึกได้ ไวขึ้นๆ แต่ก่อนคิดไป ๗ - ๘ เร่ือง ถึงจะระลึกข้ึนมาได้ว่าก�ำลัง ท�ำอะไรอยู่ เช่น ก�ำลังอาบน�้ำอยู่ ก�ำลังกินข้าวอยู่ แต่ตอนหลังใจ จะกลับมาไวมากเลย คิดไม่ทันจบเรื่อง คุณก็ระลึกข้ึนมาได้แล้ว ว่าก�ำลงั ทำ� อะไรอยู่ ฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้ความเป็นคนข้ีลืมลดน้อยถอยลง เรา ไม่เรียกว่าเป็นคนช่างจ�ำ แต่จะเรียกว่าเป็นคนที่รู้สึกตัวได้เร็ว มีสติได้ไว แล้วถ้าคุณมีสติอยู่กับปัจจุบันเมื่อไหร่ ชีวิตคุณจะมี ความโปรง่ โลง่ ได้ตอ่ เนอ่ื ง การเจรญิ สต ิ ถา้ ทำ� ถกู จะรทู้ ง้ั ขา้ งนอกและรทู้ งั้ ขา้ งใน รนู้ อก ไม่ใช่ส่งจิตออกนอกจนกู่ไม่กลับ ส่วนรู้ใน ก็ไม่ใช่เพ่งเข้าข้างใน อยู่ตรงกลางๆ ท่ีเรียกว่า ทางสายกลางนี้แหละดีที่สุด หลวงพ่อ 79
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ คำ� เขยี นเลา่ วา่ สมยั ทที่ า่ นปฏบิ ตั ใิ หม ่ อยทู่ วี่ ดั ปา่ อทุ ยาน หลวงพอ่ เทยี น มกั จะมาสอบอารมณเ์ สมอ วนั หนงึ่ หลวงพอ่ คำ� เขยี นปฏบิ ตั อิ ยใู่ นกฏุ ิ โดยปิดประตูเอาไว้ หลวงพ่อเทียนมายืนอยู่หน้ากุฏิ แล้วถามว่า “ก�ำลังท�ำอะไร อย”ู่ หลวงพอ่ คำ� เขยี นก็ตอบว่า “กำ� ลงั ปฏบิ ตั ิอยคู่ รับ” หลวงพ่อเทียนก็ถามอีกว่า “ไมไ่ ดน้ อนนะ” หลวงพ่อคำ� เขยี นตอบวา่ “ไมไ่ ด้นอนครบั ” หลวงพ่อเทียนถามต่อไปว่า “เห็นผมไหม” หลวงพ่อค�ำเขยี นตอบวา่ “ไม่เหน็ ครบั ” หลวงพอ่ เทียนถามว่า “แลว้ ท�ำยงั ไงจึงจะเห็น” หลวงพอ่ ค�ำเขียนตอบวา่ “ต้องเปดิ ประตคู รับ” พอเปิดประตอู อกมา ท่านก็ถามต่อไปว่า “เหน็ ข้างในไหม” หลวงพ่อค�ำเขยี นตอบวา่ “เห็นครบั ” หลวงพ่อเทยี นถามอีกวา่ “เห็นข้างนอกไหม” หลวงพ่อคำ� เขยี นตอบวา่ “เห็นครบั ” หลวงพอ่ เทยี นจงึ พดู วา่ “เออ ใหม้ นั อยา่ งน ้ี อยา่ ไปเขา้ ขา้ งใน เกนิ อย่าคดิ ออกไปนอกเกินไป ใหอ้ ยูต่ รงกลาง” ทีแรกหลวงพ่อค�ำเขียนไม่เข้าใจ แต่ว่าพอปฏิบัติไปสักพัก ก็รู้ว่า หลวงพ่อเทียนมาแนะให้วางใจให้เป็นกลาง ไม่เพ่งข้างใน คอื เพง่ ดจู ติ จนไมร่ วู้ า่ มอี ะไรเกดิ ขนึ้ รอบตวั และกไ็ มส่ ง่ จติ ออกนอก จนไมร่ ูท้ ันความคิดหรืออารมณท์ ่เี กดิ ข้นึ 80
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เวลาเจรญิ สต ิ เราจงึ ควรวางใจใหเ้ ปน็ กลาง เพราะถา้ เพง่ ขา้ งใน เมอื่ ไหร ่ ใจอาจจะสงบ แตเ่ ปน็ ความสงบเพราะไมร่ บั รอู้ ะไร เหมอื น กบั เกบ็ ตวั อยใู่ นหอ้ งกร็ สู้ กึ สงบ แตท่ จ่ี รงิ เพราะปดิ ใจไมใ่ หร้ บั รอู้ ะไร แตเ่ วลาเจรญิ สต ิ เราไมไ่ ดท้ ำ� เพอ่ื ความสงบ แตท่ ำ� เพอื่ สรา้ งความรตู้ วั รู้ทุกอย่างท่ีเกิดขึ้นกับกายและใจ รู้โดยไม่เลือกท่ีรักมักท่ีชัง ไม่ได้ เอาความสงบ เพราะความสงบมนั ไมจ่ รี งั ยง่ั ยนื มนั ขนึ้ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม แต่ถ้าเรารู้ รู้แล้ววาง ไม่ว่าเราจะอยู่ท่ีไหน กส็ ามารถสงบไดท้ กุ ท่ี ความรตู้ วั นแ้ี หละ ทชี่ ว่ ยใหเ้ ราปลอ่ ยวางอารมณต์ ่างๆ ที่มากระทบ ไมย่ ดึ ตดิ หรอื ปกั ตรงึ อยกู่ บั สงิ่ ทม่ี ากระทบ และไมจ่ มอยกู่ บั อารมณ์ ภายในท่ีเกิดจากการกระทบ ท�ำให้ใจโปร่งเบา และเห็นธรรมชาติ ของใจ ท�ำให้เกิดปัญญาหรือความสว่าง ไม่ใช่แค่สงบเท่านั้น อันน้ี เปน็ หลักทเ่ี ราต้องค�ำนงึ ไว้เสมอในการเจรญิ สต ิ การเจรญิ สต ิ จงึ เปน็ การรกั ษาใจใหอ้ ยบู่ นทางสายกลาง ทำ� ให้ เราไมข่ อ้ งแวะในทางสดุ โตง่ ทง้ั สองทาง ไมป่ ลอ่ ยใจลอย หรอื กดหา้ ม ความคิดไว้ ไม่ตามใจกิเลส หรือบังคับกดข่มอารมณ์ความรู้สึก วิธีการเหล่าน้ันไม่ใช่หนทางถูกต้อง ถ้าเราวางใจให้อยู่ตรงกลางๆ สติจะเติบโตได้เร็ว และท�ำให้เกิดปัญญาเห็นความจริงของใจ ชว่ ยให้ใจเป็นอิสระจากความยึดติดในส่งิ ท้ังปวงได้ หลวงปู่ดูลย์ให้ข้อคิดท่ีดีส�ำหรับการปฏิบัติ ท่านบอกว่า “ความคิดน้ันมันเกิดอยู่เสมอ เหมือนลมหายใจน่ันเอง ห้ามไม่ได ้ การปฏิบัติก็ไม่ได้มุ่งให้ดับความคิด เอาแค่ว่า พอรู้อารมณ์แล้ว จติ มนั คดิ นกึ ปรงุ แตง่ กใ็ หร้ ทู้ นั อยา่ ใหฝ้ นั ทงั้ ทต่ี น่ื คอื หลงคดิ ไป โดยไม่รู้ตัว เทา่ นีก้ พ็ อ” 81
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ เราอยา่ ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความคาดหวงั วา่ มนั จะตอ้ งไมค่ ดิ คาดหวงั ว่าความคิดต้องไม่มี ถ้าคิดแบบน้ีมันผิดตั้งแต่แรกแล้ว แล้วถ้า ผดิ ตงั้ แตแ่ รก หลงั จากนน้ั กผ็ ดิ ไปเรอื่ ย เหมอื นกบั การกลดั กระดมุ ถ้าผดิ ตัง้ แตเ่ ม็ดแรก เมด็ ท่สี องมันกผ็ ิด เพราะฉะน้ัน เวลาปฏิบัติ ให้วางความอยากลง วางความ คาดหวังว่าจะต้องสงบ เปลี่ยนจากโหมดความสงบ มาสู่โหมด ของการรู้ รู้ รู้ รู้ เอาแค่รู้อย่างเดียว เร่ืองสงบนี่เอาไว้ก่อน เอาแค่รู้ รู้ว่ามือก�ำลังยก รู้ว่าขาก�ำลังขยับ รู้ว่าเท้าก�ำลังเดิน รู้ว่า มนั เผลอไปแลว้ รวู้ า่ ตอนนกี้ ำ� ลงั หงดุ หงดิ รวู้ า่ ตอนนก้ี ำ� ลงั ยนิ ด ี แคน่ พ้ี อ ค�ำว่าสงบเอาไว้ทีหลัง เอาแค่ รู้ รู้ รู้ แล้วคุณจะพบว่า “รู้” นีน่ ะ สดุ ทา้ ยกจ็ ะนำ� ไปสคู่ วามสงบเอง ให้รกู้ อ่ นแล้ว ความสงบจะตามมาทีหลัง อย่าให้สงบก่อน เพราะถ้าสงบก่อน สุดท้ายจะฟุ้งซ่าน จะ เครยี ด 82
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ย ก ม ื อ ส ร้ า ง ๑ ๔ จ ั ง ห ว ะ แ น ว ห ล ว ง พ ่ อ เ ท ี ย น การฝึกเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนมีประโยชน์มาก โดย เฉพาะสำ� หรบั ฆราวาส รวมทง้ั ผทู้ ไี่ มถ่ นดั กบั การหลบั ตาตามลมหายใจ หรอื อานาปานสต ิ การปฏบิ ตั ติ ามแนวหลวงพอ่ เทยี น เปน็ ทางเลอื ก หนงึ่ ทชี่ ว่ ยได้ หรือมาทดแทนได้ หรือมาเสริมให้ดีขึน้ การปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน ท่านให้เปิดตานะ แล้วก็ ทอดสายตาไปทพ่ี น้ื ทที่ อดสายตาไปทพี่ น้ื เพราะวา่ ถา้ มองไปไกลๆ ใจจะลอยได้ง่าย ความรู้สึกตัวจะพร่อง แต่ถ้าหากเราท�ำเป็นแล้ว วางใจถกู จะทอดสายตาไปทีไ่ หนกไ็ ม่สำ� คญั 83
การเจรญิ สติ ๑๔ จังหวะ ตามแนวการสอนของหลวงพอ่ เทียน จติ ฺตสโุ ภ เตรียม ๑ ๒๓ ๔๕ ๖๗ ๘๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ตอนฝกึ ใหมๆ่ เพอื่ ไมใ่ หม้ สี งิ่ มารบกวนใจ ไมใ่ หจ้ ติ ใจวอกแวก หรือใจลอย เราก็ทอดสายตาไปที่พื้น แต่ก็อย่ามองใกล้เกินไป มองใกล้เกินไปจะทำ� ให้เมื่อยคอและเครยี ดได้ง่าย จากนั้นกว็ างมอื ไว้ท่ีหัวเข่า ท�ำใจให้สบายๆ อย่าไปคิดว่า นี่ก�ำลังท�ำการบ้านยากๆ ให้ทำ� เลน่ ๆ ไป ย้ิมน้อยๆ ดว้ ย ยกมือขวาขึ้นบนหัวเข่า แล้วก็ยกมือขวาขึ้นมา เอามือขวา มาวางไวบ้ นท้อง ยกมือซ้ายวางบนเข่า แล้วก็ยกมือซ้ายขึ้นมา วางมือซ้าย ไว้บนทอ้ ง แล้วเล่ือนมือขวามาท่ีหน้าอก ผายออก วางต้ังบนเข่า คว่�ำ มอื ลง ยกมือซ้ายมาท่ีหน้าอก ผายออก วางต้ังบนเข่า คว�่ำมือลง อนั น้ีคอื ๑ รอบ ลองท�ำดู เวลาท�ำก็ไม่ต้องมีเสียงพากย์ในใจนะ ให้ “รู้สึก” เอา ขณะท่ีท�ำ จิตก็ไม่ต้องไปเพ่งที่มือ ให้รู้สึกสบายๆ เขาเรียกว่า รู้ตวั ท่วั พร้อม แต่มันจะเดน่ ชัดตรงมือท่ยี ก 85
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ เ ดิ น จ ง ก ร ม เวลาเดิน ต้องเก็บแขนหรือมือเอาไว้ เช่น กุมมือ กอดอก หรือ เอามอื ไขวห้ ลงั กไ็ ด ้ เวลาเดนิ กท็ อดสายตาไปทพ่ี น้ื ประมาณเมตรครง่ึ อยา่ กม้ มาก จะทำ� ใหเ้ มอื่ ยคอและเครยี ด แตถ่ า้ มองไกลๆ ใจจะฟงุ้ ได้ง่าย เราไม่ได้กลัวความฟุ้งนะ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสริมให้ใจมันฟุ้ง เราพยายามสร้างเหตุปัจจัยให้มันไม่ฟุ้งมาก ฟุ้งพอประมาณ เพื่อ เอามาใช้ฝึกสติ เวลาเดินปกติ ก็เดินประมาณ ๓ เมตร ระหว่าง ท่ีเดินก็ไม่ต้องบริกรรม หรือเพ่งท่ีเท้า ให้ก�ำหนดเบาๆ อยู่กับกาย ใหใ้ จอยกู่ บั เนอื้ กบั ตวั เวลาไมเ่ พง่ ทเี่ ทา้ หรอื ไมม่ คี ำ� บรกิ รรม หลายคนท่ีปฏิบัติใหม่ๆ จะรู้สึกคล้ายกับเวลาเดินข้ามท้องร่องตามสวน ปกติมันต้องมี ราวให้จับ เพราะว่าท้องร่องมีแค่ไม้ไผ่แผ่นเดียว หรือต้นมะพร้าว ต้นเดียวพาดเอาไว้ ถ้ามีราวจับ เราก็จะเดินได้สบาย แต่พอไม่มี 86
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 87
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ราวจับ หลายคนก็ไม่กล้าเดิน กลัวตกท้องร่อง หรือเดินไปสักพัก กจ็ ะรสู้ กึ เควง้ ควา้ ง ปฏบิ ตั แิ บบหลวงพอ่ เทยี นกใ็ หค้ วามรสู้ กึ คลา้ ยกนั คอื ไมม่ อี ะไรใหจ้ ติ เกาะหรอื จบั เพราะไมม่ กี ารเพง่ ไมม่ กี ารบรกิ รรม หลายคนเลยกลัวว่าใจจะฟุ้ง แต่อย่ากลัวมัน ลุยไปเลย มันจะ ตกทอ้ งรอ่ ง หรอื มนั จะฟงุ้ กช็ า่ งมนั ขอใหท้ ำ� บอ่ ยๆ เหมอื นคนทเ่ี ดนิ ข้ามท้องร่องบ่อยๆ แม้มีไม้ไผ่ต้นเดียวพาดอยู่ ก็เดินข้ามสบาย โดยไม่ตกท้องร่อง อย่าว่าแต่ไม้ไผ่เลย แม้มีแค่เชือก หรือลวด เสน้ เลก็ ๆ พาดอยู ่ เขาก็ยงั เดินได้เลย เพราะเขาเลยี้ งตัวดี ในท�ำนองเดียวกัน ถ้าเดินบ่อยๆ แม้ไม่ต้องเพ่งหรือก�ำหนด ท่ีค�ำบริกรรม ใจก็อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่แส่ส่าย วอกแวก หรือฟุ้ง ถงึ จะฟุ้งบ้างกไ็ มน่ าน กลับมารตู้ วั ไดไ้ ว อย่ากลัวว่าท�ำแล้วใจจะฟุ้ง คิดโน่นคิดนี่ มันฟุ้งก็ช่างมัน ขอให้รู้ทันมันไวๆ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ เราไม่ได้วัดกันท่ี ฟุ้งน้อยหรือฟุ้งมาก แต่เราดูท่ีว่า รู้ทันไวหรือรู้ช้า ฟุ้งน้อย ฟุ้ง เรอ่ื งเดยี ว แต่กว่าจะรู้ทันก็ผ่านไปเป็นชั่วโมง แบบน้ีไม่ดี ตรงข้าม แม้ฟุ้งสกั ๑๐ เรื่อง แต่รู้ทันเมอ่ื ฟงุ้ ไปแค่ไม่กวี่ นิ าท ี อย่างน้จี ึงจะดี 88
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เดินจงกรม ระยะทางทางประมาณ ๓ เมตร แล้วก็กลับตัว จะหนั ซา้ ยหรอื ขวาก็ได้ ถา้ หนั ซา้ ย พอเดนิ กลับไปสดุ ทางก็หันขวา แตถ่ า้ หนั ขวาตอ่ ไปกห็ นั ซา้ ย จะทำ� ใหไ้ มเ่ วยี นหวั เวลาเดนิ กเ็ ดนิ ดว้ ย ความรสู้ กึ ตวั ใหใ้ จอยกู่ บั เนอื้ กบั ตวั มนั จะฟงุ้ กช็ า่ งมนั ใหร้ ทู้ นั ไวๆ หรอื กลบั มาไวๆ กแ็ ลว้ กนั ระหวา่ งทเ่ี ดนิ กไ็ มต่ อ้ งจอ้ งความคดิ หรอื บงั คบั จติ ไมใ่ หค้ ดิ หรอื พยายามหา้ มความคดิ พอรวู้ า่ เผลอคดิ กท็ งิ้ มันไปเลย ไม่ต้องไปท�ำอะไรกับมัน บางคนพยายามห้ามความคิด หรือกดข่มความคิด แบบน้ีไม่ถูก ท่ีถูกคือไม่ต้องสนใจมัน ไม่ต้อง ทำ� อะไรกบั ความคดิ นน้ั แคก่ ลบั มาอยกู่ บั การเดนิ และไมต่ อ้ งสาวหา ค�ำตอบว่าเม่ือก้ีคิดอะไร บางคนเผลอคิดเป็นเรื่องเป็นราว พอรู้ตัว ก็จ�ำไม่ได้ว่าคิดอะไร พยายามสาวย้อนกลับไป เพ่ือรู้ให้ได้ว่าเมื่อก้ี คิดอะไร อย่าท�ำอย่างนั้น ท้ิงมันไปเลย เหมือนเวลาเราน่ังรถทัวร์ จะผ่านตลอด ไม่แวะพกั ทไ่ี หนเลย การปฏบิ ตั ขิ องหลวงพอ่ เทยี น ทา่ นแนะใหท้ งิ้ อยา่ งเดยี ว ไมว่ า่ คิดดีหรือคิดไม่ด ี รู้ตัวเมื่อไหร่ก็ทิ้งมันไปเลย ระหว่างเดิน แค่รู้สึก กพ็ อแลว้ ถามวา่ รสู้ กึ ทไ่ี หน ตอบวา่ ใหร้ สู้ กึ ทงั้ ตวั ไมใ่ ชร่ สู้ กึ เฉพาะ เท้าที่แตะพ้ืน แต่ยังรู้สึกว่าขาขยับ ตัวเขย้ือน มันไม่ใช่เป็นการรู้ เฉพาะจุด ถ้าเรารู้แต่เพียงเท้าแตะพื้น แสดงว่า เราเอาจิตไปเพ่ง ทเี่ ทา้ เราไมไ่ ดฝ้ กึ ดว้ ยการเพง่ ทเ่ี ทา้ เรากำ� ลงั ฝกึ ใหร้ ทู้ ง้ั ตวั เพอื่ ให้ เกิดความรู้ตัวท่ัวพร้อม ถ้าเราเอาจิตไปเพ่งที่เท้า ก็จะรู้เฉพาะจุด มนั ไมใ่ ชร่ ตู้ วั ทว่ั พรอ้ ม รตู้ วั ทว่ั พรอ้ ม หมายความวา่ เทา้ แตะพน้ื กร็ ู้ ขาขยับก็รู้ ตัวเขยื้อนก็รู้ บางคร้ังกระพริบตาก็รู้ แต่ตอนท�ำใหม่ๆ อาจไม่รู้ละเอียดขนาดน้ัน แล้วไม่ต้องส่งจิตไปจ้องหรือเพ่งนะ ให้ มันรสู้ กึ เอง 89
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ ความรู้สึกตวั ทั่วพร้อมไม่ใช่ของแปลกใหม่ มันเกดิ ขน้ึ กับเรา บ่อยๆ แต่ไม่ค่อยต่อเน่ือง เราก็เลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับมัน หรือ จ�ำสภาวะนั้นไม่ได้ แต่ให้ระลึกไว้ว่า มันอยู่กับเราบ่อยๆ เกิดขึ้น กบั เราอยแู่ ลว้ ในแตล่ ะวนั แตอ่ ยา่ ไปพยายามคลำ� หามนั ถา้ คลำ� หามนั จะกลายเปน็ เพง่ ไป แคใ่ จอยกู่ บั เนอื้ กบั ตวั ใจไมล่ อยไปไหน ใจไมค่ ดิ อะไร กง็ า่ ยทจ่ี ะรสู้ กึ ตวั หรอื เกดิ ความรสู้ กึ ตวั ขน้ึ มา ปกติ ความรสู้ กึ ตวั จะเกดิ ขน้ึ ไดต้ อ้ งมสี ติ เพราะวา่ สตทิ �ำใหใ้ จทหี่ ลง ใจท่ี ลอยไป กลับมาอยู่กับเน้ือกับตัว แล้วจึงเกิดความรู้สึกตัวตามมา สติท�ำให้เกิดความรู้สึกตัวได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องไปคล�ำหานะว่า ความรสู้ กึ ตวั เปน็ อยา่ งไร มนั เกดิ ขน้ึ เอง เมอ่ื ใจเราอยกู่ บั เนอื้ กบั ตวั เม่อื ใจเราไมล่ อ่ งลอยไปเทยี่ วท่ีไหน คณุ ลองทำ� เลน่ ๆ ไป อยา่ ทำ� จรงิ จงั อยา่ ทำ� ดว้ ยความเครง่ เครยี ด หรอื ทำ� ดว้ ยความอยาก ทำ� เลน่ ๆ ไป รบู้ า้ ง หลงบา้ ง ไมเ่ ปน็ ไร ให้ ทอ่ งคาถาวา่ “ไมเ่ ปน็ ไรๆ” ถา้ นกึ ไมอ่ อกวา่ เจรญิ สตทิ �ำอยา่ งไร กใ็ ห้ ลองเตือนตัวเองว่า ตัวอยู่ไหน ใจอยู่น่ัน ตัวอยู่ท่ีนี่ ใจก็อยู่ตรงน้ี แหละ ตัวอยู่ตรงทางจงกรม ใจก็อยู่ตรงนี้แหละ ถ้าใจไปที่บ้าน ไปนกึ ถงึ ลกู นกึ ถึงงาน แสดงว่าไม่ถูกแล้ว ขออธิบายเพม่ิ เติมอกี หนอ่ ย กอ่ นจะลองฝกึ เดนิ จงกรมนะ คือ การเดินอย่างมีสติ อิริยาบถน้ีก็ส�ำคัญเหมือนกัน ขณะที่เดิน ขอให้เราเก็บแขนด้วยการกอดอก กุมมือไว้ข้างหน้า หรือไขว้หลัง แนน่ อน ตอ้ งเปดิ ตาดว้ ยทอดสายตาไปสกั เมตรครง่ึ อยา่ ทอดสายตา ไปไกลๆ เพราะว่าเดี๋ยวใจจะลอย แต่ก็อย่าก้มมาก เพราะว่า จะกลายเปน็ การเพง่ ไป 90
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล จิตส่งออกนอกก็ไม่ดี จิตเพ่งเข้าในก็ไม่ดี ความพอดีเป็น สงิ่ สำ� คญั ถา้ จติ เราสง่ ออกนอกไป มนั ไมพ่ อด ี ทำ� ใหใ้ จลอยงา่ ย แต่ ถ้าจิตเพ่งเข้าใน มันก็ไม่พอดีเหมือนกัน ท�ำให้เครียด คนบางคน เพ่งมากจะเครียด ถ้าท�ำไปนานๆ จะเครียดเร้ือรังจนแกะไม่ออก กม็ ี ทางแกก้ ค็ อื มองไปขา้ งนอกไกลๆ เพอื่ ดงึ จติ ออกมาจากการเพง่ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความพอดขี นึ้ มา วธิ นี ส้ี ำ� หรบั คนทมี่ ปี ญั หาในการเพง่ มาก พวกเราทยี่ งั ไมม่ ปี ญั หา เรากอ็ ยา่ ทำ� ใหม้ ปี ญั หา จงึ ควรทอดสายตา พอประมาณ นอกจากทอดสายตาให้พอดีแล้ว ระยะทางในการเดิน ถ้า ยาวพอด ี กช็ ว่ ยทำ� ใหใ้ จของเราอยใู่ นความพอดไี ดม้ ากขนึ้ ระยะทาง ทพี่ อดคี อื ประมาณ ๓ เมตร แตถ่ า้ สถานทจ่ี ำ� กดั กไ็ มเ่ ปน็ ไร ระหวา่ ง ทเี่ ดนิ กท็ ำ� ใจสบายๆ ไมต่ อ้ งเพง่ และไมต่ อ้ งบรกิ รรม ไมม่ กี ารคดิ ในใจว่า หน่ึง สอง ซ้าย ขวา แค่รู้สึกว่าขาขยับ ตัวเขย้ือนก็พอ บางคนรู้สกึ วา่ ถา้ เดนิ แบบเพง่ เช่น ใหจ้ ติ เพง่ ท่ีเท้า จะเดนิ งา่ ยกว่า ท�ำใหม่ๆ จะเป็นเช่นน้ัน ต้องยอมรับว่า ส่ิงที่ท�ำยากคือความพอดี ขึ้นช่ือว่าความพอด ี มันยากทั้งน้ัน ไม่ว่าเร่ืองอะไร เช่น มีน้�ำหนัก แตพ่ อดยี ากไหม สว่ นใหญ ่ ถา้ ไมอ่ ว้ นไปกผ็ อมไป สงู แตพ่ อดนี กี่ ย็ าก ส่วนใหญ่ถ้าไม่สูงไปก็เตี้ยไป เช่นเดียวกัน เวลาเดินให้ใจเราอยู่ ในความพอดี คือไม่เพ่ง และก็ไม่เผลอ ให้รู้ตัวท่ัวพร้อม ใหม่ๆ จะทำ� ได้ยาก เม่ือเดินสุดทางก็เลี้ยวซ้าย พอเดินสุดอีกทางก็เลี้ยวขวา หรือจะเล้ียวขวาก่อน แล้วค่อยเลี้ยวซ้ายก็ได้ ข้อส�ำคัญคือ อย่า เลี้ยวซ้ายตลอด หรือเล้ียวขวาตลอด เพราะจะท�ำให้มึนงงง่าย 91
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ ระหว่างที่เดิน บางคร้ังใจก็ลอย คิดน่ันคิดน่ี ไม่เป็นไร แต่พอรู้ตัว เม่ือไหร่ ก็กลับมา ความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดข้ึน คุณไม่ต้องท�ำอะไร กับมัน ไม่ต้องกดข่มมัน แค่หันหลังให้มัน ไม่สนใจมันก็พอแล้ว ข้อส�ำคัญคือ พาใจกลับมาอยู่กับการเดิน ให้กลับมารู้สึกตัว บางคร้ังก็คิดถึงบ้าน คิดถึงลูกจนเพลิน พอรู้ตัวปุ๊บ ให้กลับมาเลย กลับมาอยู่กับการเดิน เรียกว่า กลับมาอยู่กับกาย หรือกลับมา อยกู่ บั ปัจจบุ ัน ความคิดฟุ้งซ่าน เราไม่ต้องท�ำอะไรมัน เพราะเพียงแค่ เรารู้ทัน มันก็หายไปเอง เหมือนกับโจรท่ีมันแอบเข้ามาในบ้าน พอเจ้าของบ้านเห็นมัน มันก็ตกใจ ถอยหนีไปเลย เรียกว่าถ้าเห็น มันปุบ๊ มันก็หายปบั๊ แตม่ ันหายไปแลว้ อาจจะโผลม่ าใหม่ก็ได้นะ ไม่ว่าใจลอยหรือเผลอคิด เมื่อรู้ว่าเผลอ ส่ิงท่ีควรท�ำคือ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับปัจจุบัน กลับมาอยู่กับสิ่งที่ก�ำลัง ท�ำอยู่ แล้วไมต่ ้องกลับไปสบื สาวควานหาคำ� ตอบวา่ เม่ือกี้คดิ อะไร บางคนพอรตู้ วั ขนึ้ มา กส็ งสยั วา่ เมอื่ กค้ี ดิ อะไร แหม สนกุ เหลอื เกนิ เพลินเป็นบ้า อย่าไปเสียเวลาหาค�ำตอบ ส่วนใหญ่จะนึกไม่ออกว่า เม้ือก้ีคิดอะไร ท้ังที่คิดเป็นวรรคเป็นเวร ยืดยาว แต่พอรู้ตัว กลับ นึกไม่ออกว่าคิดอะไร ท�ำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะคุณหลงคิด คอื คดิ ดว้ ยความหลง จึงไมร่ วู้ ่าคิดอะไร แตผ่ ปู้ ฏบิ ตั มิ อื ใหม ่ บางครง้ั อดไมไ่ ดท้ จี่ ะหาคำ� ตอบวา่ เมอ่ื ก้ี คดิ อะไร ในที่สุดก็หลดุ เขา้ ไปในความคิดอีก แสดงว่าโดนความคดิ มันหลอกอีกแล้ว ความคิดมันฉลาดมากเลย มันจะยุให้คุณคิด ไมห่ ยดุ ปฏบิ ตั ไิ ปสกั พกั กจ็ ะมคี ำ� ถามเกดิ ขน้ึ วา่ ตอนน ้ี เรากำ� ลงั คดิ 92
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อยู่หรือเปล่านะ ถ้าคุณมีความสงสัยแบบน้ี แสดงว่าคุณคิดแล้ว ใช่ไหม น่ีก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งของความคิด ท่ีหลอกให้เราคิดไป เรอื่ ยๆ เพราะฉะนนั้ ถา้ จะเจรญิ สต ิ ทำ� ความรสู้ กึ ตวั กอ็ ยา่ ไปสนใจ ว่าเม่ือกี้คิดอะไร อย่าไปตั้งค�ำถามว่าท�ำไมถึงคิด แต่ปฏิบัติใหม่ๆ มนั จะมคี ำ� ถามแบบน ้ี มาลอ่ ใหค้ ณุ หลดุ เขา้ ไปในความคดิ ความคดิ มันฉลาดมาก มันจะล่อให้คุณหลุดเข้าไปในความคิดอยู่เรื่อยๆ เช่น ตั้งค�ำถามกับตัวเองว่า เม่ือก้ีคิดอะไร ท�ำไมถึงคิด ไม่น่าคิด เลย ท�ำไมเราถึงคิดมากแบบน้ี เหล่านี้คืออุบายที่ล่อหลอกให้คุณ หลงเข้าไปอยู่ในอ�ำนาจของมัน เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจค�ำถาม พวกน ี้ แตก่ อ็ ยา่ ถงึ กบั หา้ มใจไมใ่ หค้ ดิ หรอื ตง้ั คำ� ถาม มนั จะมคี ำ� ถาม กขี่ อ้ กอ็ ยา่ ไปสนใจ ใหพ้ าใจกลบั มาอยกู่ บั เนอื้ กบั ตวั กลบั มารสู้ กึ ตวั หลวงพอ่ คำ� เขยี นยำ้� มากวา่ เวลาปฏบิ ตั ิ อะไรจะเกดิ ขนึ้ กใ็ ห้ “รู้ซ่ือๆ” รู้ซื่อๆ คือ รู้โดยไม่ผลักไส แม้มีอารมณ์บางอย่างท่ีเรา ไม่ชอบเกิดขึ้น เช่น ความเครียด ความหงุดหงิด ความโกรธ ความเศร้า ก็รู้เฉยๆ อย่าไปผลักไสมัน รู้แล้วท้ิงเลย แล้วกลับมา อยู่กบั ปจั จุบัน รู้ซื่อๆ ยังหมายความว่า ไม่ไปคลุกเคล้าคลอเคลียกับมัน แม้เป็นอารมณ์ที่น่าพึงพอใจ เช่น ความสุข ความสงบ ความ เพลิดเพลิน หรือความคิดเก่ียวกับเรื่องราวในอดีตที่น่าพึงพอใจ คิดแล้วก็อยากจะเข้าไปคิดต่อ อารมณ์และความคิดเหล่านี้เม่ือ เกิดขึ้น อย่าเคล้ิมคล้อยกับมัน รู้แล้วกลับมาเลย ปฏิบัติใหม่ๆ หลายคนจะรสู้ กึ เสยี ดายวา่ กำ� ลงั สนกุ กำ� ลงั เพลนิ กบั เรอื่ งราวในอดตี ท�ำไมต้องกลับมาอยู่กับปัจจุบัน จะท�ำอย่างนั้นได้ต้องใจแข็งมาก 93
ช ธน ร ะ ร ท ม ุ ก ะ ข์ เพราะบ่อยคร้ัง มันมีเสียงวิงวอนข้างในว่า ขอคิดอีกหน่อยได้ไหม คดิ อกี หนอ่ ยนะ กำ� ลงั มคี วามสขุ ใจมนั อยากคดิ ตอ่ มาก เพราะเวลา ภาวนา คุณจะรู้สึกเบ่ือ ความคิดแบบนี้ท�ำให้เพลิดเพลิน ท�ำให้ หายเบื่อ อยากได้ความคิดเหล่าน้ีมาหล่อเลี้ยงใจให้สดช่ืน มันจะ วงิ วอนวา่ ขอคดิ อกี หนอ่ ยนา่ คณุ ตอ้ งใจแขง็ กลบั มาเลย ตดั ใจใหไ้ ด้ ใหมๆ่ จะท�ำยาก แตต่ อ่ ไปจะทำ� ไดง้ ่าย กลายเปน็ อตั โนมัตไิ ปเลย ถ้าเราเพลิดเพลินกับอารมณ์บวก เวลาเจออารมณ์ลบ เรา จะทกุ ขท์ นั ท ี อยา่ งทเ่ี ขาพดู วา่ “ยงิ่ หวั เราะดงั กย็ งิ่ รอ้ งไหด้ งั ” คนท่ี หวั เราะดงั เวลาเจอความสขุ เมอ่ื เจอความทกุ ข ์ หรอื ความไมส่ มหวงั กจ็ ะรอ้ งไหเ้ สยี งดงั เหมอื นกนั ถา้ คณุ ไมอ่ ยากรอ้ งไหเ้ สยี งดงั กอ็ ยา่ หัวเราะดัง แค่ยิ้มกริ่มอยู่ในใจก็พอแล้ว ในท�ำนองเดียวกัน เวลา มีใครชม ถ้าคุณปล้ืมกับค�ำชมมาก เม่ือเจอค�ำต่อว่าหรือค�ำต�ำหนิ คณุ จะหอ่ เหย่ี ว เป็นทกุ ข์มากเลย ถ้าคุณไม่อยากทุกข์เวลาเจอค�ำต�ำหนิ หรือค�ำต่อว่าด่าทอ คุณก็อย่าไปหลงดีใจเมื่อได้รับค�ำชม มีคนกดไลค์ก็ไม่ดีใจมาก แค่ รับรู้เฉยๆ มีคนกดไลค์เป็นพันก็ อืม มันก็แค่น้ันแหละ ถ้าคุณ ไมป่ ลม้ื เวลาคนกดไลคเ์ ปน็ พนั เปน็ หมน่ื ถงึ เวลาไมม่ คี นกดไลคเ์ ลย คุณก็เฉยๆ แต่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ถ้าไม่มีคนกดไลค์ จะทุกข์มาก เลย ทจ่ี รงิ เขายงั ไมท่ นั จะดา่ เลย แคไ่ มก่ ดไลคเ์ ทา่ นน้ั หลายคนกท็ กุ ข์ แล้ว เพราะอะไร เพราะเพลินกับยอดไลค์ ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ให้ รู้ซ่ือๆ เวลาเห็นยอดไลค์เยอะๆ ก็ รู้ซ่ือๆ รู้เฉยๆ ไม่ยินดีกับมัน ถงึ เวลาท่ีเขาไม่กดไลค์ เราก็ รู้ซ่อื ๆ รูเ้ ฉยๆ ไมย่ ินรา้ ยกบั มนั 94
การปฏบิ ัตแิ บบหลวงพอ่ เทียน ทา่ นจะไมเ่ น้นการบงั คับจติ ไมใ่ ห้คิด แต่จะให้อสิ ระกับจิต ว่าจะอย่กู ับกาย หรือจะออกไปเท่ียวก็ได้ แต่วา่ ถา้ มันออกไปเท่ียวเม่ือไหร่ ใหม้ สี ตริ ู้ และพามันกลับมา ทำ� อย่างน้ีบอ่ ยๆ สตจิ ะไวขึ้น
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ 96
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อปุ สรรค การขปอฏงบิ ตั ิ เรอื่ งของการปฏบิ ตั ธิ รรมนน้ั แตล่ ะคนจะรสู้ กึ วา่ ยากงา่ ยแตกตา่ ง กันไป เพราะอุปนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีราคะ โทสะ โมหะมาก มนั กจ็ ะมารบกวนในรปู ของนวิ รณ ์ ทเ่ี ปน็ อปุ สรรค ต่อการท�ำสมาธิ เช่น ฟุ้งซ่าน ง่วงนอน หงุดหงิด ลังเลสงสัย นกึ ถงึ คนรกั หรอื โหยหาอาหารทอี่ รอ่ ย คนทต่ี ดิ ความสบาย พอมา ปฏิบัติก็จะเกิดความทุกข์ เช่น รู้สึกว่าอาหารไม่อร่อย ที่พักไม่ดี รู้สึกว่าต้องทนล�ำบาก ต้องฝืนใจ เกิดความไม่พอใจตามมา อันน้ี เรียกว่าเป็น ทุกขาปฏิปทา คือปฏิบัติด้วยความยากล�ำบาก แต่ บางคนไม่ติดความสบาย ไม่ค่อยมีราคะ โทสะ โมหะ จึงปฏิบัติ ได้ง่ายและสะดวก ไม่ได้รู้สึกล�ำบากฝืนใจอะไร ความง่วง ความ หงุดหงดิ กามราคะไม่มารบกวน อย่างน้เี รยี กว่า สุขาปฏิปทา 97
ช ธน ร ะ ร ท มุ ก ะ ข์ ค น ท่ี ป ฏิ บั ติ ล� ำ บ า ก อ า จ เ ป ็ น เ พ ร า ะ ท� ำ ด ้ ว ย ค ว า ม อ ย า ก คืออยากสงบ อยากบรรลุธรรมไวๆ หรือท�ำด้วยความต้ังใจมาก เกินไป เลยรู้สึกเครียด การปฏบิ ัตจิ ึงกลายเป็นเรอื่ งยากกลายเป็น ทกุ ขาปฏิปทาไป แต่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติด้วยความอยากมี อยากเอา รู้จักวางใจ ใหส้ บายๆ เกดิ ความกา้ วหนา้ ไดเ้ รว็ จงึ เปน็ สขุ าปฏปิ ทา แตก่ ไ็ มไ่ ด้ หมายความว่า คนที่ปฏิบัติง่ายหรือราบรื่น จะได้ผลไวเสมอไป หรือว่าคนทปี่ ฏบิ ตั ยิ าก มนี วิ รณม์ ารบกวนมาก จะไดผ้ ลชา้ เสมอไป เปรยี บเหมอื นกบั นกั เรยี นทฉี่ ลาด หวั ไว แตข่ เ้ี กยี จ การเรยี นหนงั สอื เปน็ เรอื่ งงา่ ยสำ� หรบั เขา แตเ่ นอื่ งจากเขาไมค่ อ่ ยเขา้ หอ้ งเรยี น ไมช่ อบ ทำ� การบา้ น จงึ อาจจบชา้ กวา่ นกั เรยี นทหี่ วั ทบึ แตข่ ยนั สำ� หรบั นกั เรยี น ประเภทหลงั การเรยี นหนงั สอื เปน็ เรอ่ื งยากมาก กวา่ จะทำ� การบา้ น เสรจ็ กเ็ หนอื่ ย แตเ่ พราะเขาเปน็ คนขยนั จงึ อาจจบเรว็ กวา่ นกั เรยี น ประเภทแรกก็ได้ แต่ถ้าใครท่ีเป็นคนขยันและหัวไวด้วย ก็ย่อม เรยี นง่ายและจบไว ดังน้ัน เร่ืองของความยากง่ายในการปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับว่า มีกิเลสมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าจะได้ผลเร็วหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ อินทรีย์ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ของพวกนี้ เป็นส่ิงที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว บางคนมีทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ แต่ก็มี ความเพยี ร มปี ญั ญา แมจ้ ะตอ้ งตอ่ สคู้ วามงว่ ง ความหงดุ หงดิ หรอื กามราคะ แตก่ ม็ ปี ญั ญาไวในการเขา้ ใจธรรมะ กส็ ำ� เรจ็ ไปไดเ้ หมอื นกนั 98
พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล อยา่ งพระมหาโมคคลั ลานะ ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ผทู้ ป่ี ฏบิ ตั ยิ าก ปฏบิ ตั ิ ลำ� บาก แตบ่ รรลไุ ดไ้ ว สว่ นพระสารบี ตุ ร ไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ผทู้ ปี่ ฏบิ ตั งิ า่ ย และบรรลไุ ว แมก้ ระนนั้ พระมหาโมคคลั ลานะ กย็ งั บรรลไุ ดไ้ วกวา่ พระสารีบุตร ถึงแม้ท่านจะไม่ฉลาดเท่าพระสารีบุตร และต้อง ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความยากลำ� บาก เพราะความงว่ งมารบกวนทา่ นมากกต็ าม พระมหาโมคคลั ลานะบรรลอุ รหตั ตผลใน ๗ วนั สว่ นพระสารบี ตุ ร บรรลุอรหัตตผลใน ๑๕ วัน ด้วยการฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้า เทศน์ให้ท่านอ่ืน พระสารีบุตรแค่น่ังฟังอยู่ก็บรรลุธรรมได้ ส่วน พระมหาโมคคลั ลานะต้องปฏิบัติล�ำบาก ต้องสู้กับความง่วงสารพัด กว่าจะบรรลธุ รรมได้ ดังนั้น อย่าไปคิดว่า ถ้าฉันปฏิบัติยาก แล้วจะต้องได้ผลช้า ไมแ่ นเ่ สมอไป หรอื คนทป่ี ฏบิ ตั งิ า่ ย กอ็ ยา่ เพงิ่ ประมาทวา่ ตวั ฉนั จะ เห็นผลได้เรว็ อนั น้ีไม่เก่ียว มันเป็นคนละส่วนกัน การปฏิบตั ิยาก ง่าย เป็นเรื่องของกิเลส แต่ปฏิบัติแล้วจะได้ผลช้าหรือเร็ว เป็น เร่ืองของอนิ ทรีย์ เป็นธรรมดาที่การปฏิบัติจะต้องมีสิ่งรบกวนอยู่เสมอ เช่น นิวรณ์ หรือ อกุศลวิตก ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดามากส�ำหรับ นักปฏิบัติ แต่เม่ือมันเกิดขึ้น เราจะไม่ใช้วิธีกดข่ม หรือปฏิเสธ ผลกั ไส รวมทงั้ ไมป่ ลอ่ ยใจใหล้ อยไปตามอารมณเ์ หลา่ นน้ั เราไมใ่ ช้ ทั้งวิธีเพ่งและปล่อยใจให้เผลอ แต่ให้มีสติ รู้อารมณ์ท่ีเกิดขึ้น และกลับมารู้ตัว ไม่ลืมไม่หลง แต่ถ้าสติของเรายังอ่อน บางครั้ง อารมณ์มันมาแรงมาก สติก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน เปรียบได้กับรถ ที่แล่นมาเร็วๆ ถ้าเบรกไม่ดีพอ ก็หยุดรถไม่ได้เหมือนกัน หากเรา 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258