44 ระบบของสง่ิ ที่เกดิ ข้ึนอันเนื่องมาจากโครงการ เพื่อทจ่ี ะรวบรวมสง่ิ ทไี่ ด้จากการตรวจสอบนีไ้ ปปรับปรุง โครงการต่าง ๆ สตัฟเฟิลบีม และซิงค์ฟิวด์(1990:159) ให้ความหมายของการประเมินโครงการว่าการ ประเมินโครงการเป็นกระบวนการของการแสวงหา การพรรณนาการได้มาซ่ึงข้อมลู ตลอดจนการเก็บ เตรียมข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจและแสวงหาทางเลือกที่เหมาะสมในการ ดำเนนิ โครงการ ฟิทซ์แพททริคแซนเดอร์และวอร์เธน(2004:5) ได้ให้ความหมายของการประเมิน โครงการว่า เป็นวิธีการสืบหาข้อมูลและพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับโครงการ 3 ประเด็น คือ 1) การ กำหนดมาตรฐานเพ่ือใช้ตัดสินคุณภาพโดยเทียบกับมาตรฐานที่กำหนด 2) การเก็บรวบรวมข้อมูล สารสนเทศ ท่ีเกี่ยวข้องกับโครงการ และ 3) การประยุกต์ใช้มาตรฐานเพ่ือตัดสินคุณค่า คุณภาพ คณุ ประโยชน์ ประสิทธิผล หรือความสำคัญของโครงการ ซ่ึงจะชว่ ยให้ได้ขอ้ เสนอแนะท่ีจะทำให้บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ หรอื ช่วยให้ผู้เก่ียวข้องตัดสินใจไดว้ ่าควรปรับปรุง ดำเนินการต่อไปหรือขยาย โครงการ ศิริชัย กาญจนวาสี(2550:21-22,209) กล่าวว่าการประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการศึกษาส่ิงต่าง ๆ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย (Research-oriented) การประเมินเป็นการ ตรวจสอบการบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ (Objectives-oriented) การประเมินเป็นการ นำเสนอสารสนเทศแก่ผเู้ กี่ยวข้องท้ังหลายดว้ ยการบรรยายอย่างลมุ่ ลึก (Description-oriented) และ การประเมินเป็นการตัดสินคุณค่า(Judgment-oriented)ของการพัฒนาโครงการ การดำเนินการและ ผลของโครงการ เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม(2551:270) ให้ความหมายของการประเมินโครงการว่าเป็น กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือให้ได้สารสนเทศช่วยในการตัดสินใจเพิ่ม คุณภาพ ประสทิ ธภิ าพของโครงการให้ดีย่งิ ขึ้น โดยมจี ุดม่งุ หมายหลักของการประเมินตอ้ งการท่จี ะชว่ ย ให้สามารถบรรลุเป้าหมายของโครงการ อันเป็นอีกก้าวหนึ่งท่ีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ โดยกระบวนการดังกล่าวจะเป็นการตัดสินคุณค่าของส่ิงที่ประเมินซ่ึงจะใช้การเปรียบเทียบกับเกณฑ์ หรือมาตรฐานท่ีกำหนดไว้ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์(2549:17)ให้ความหมายของการประเมินโครงการว่าเป็น กระบวนการ ท่ีก่อให้เกิดสารนิเทศในการปรับปรุงโครงการและสารนิเทศในการตัดสินผลสัมฤทธิ์ของ โครงการ สมคิด พรมจุ้ย(2550:37) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการว่า เป็นการ ตรวจสอบความก้าวหน้าของโครงการหรือแผนงาน ตลอดจนการพิจารณาผลสัมฤทธิ์ของโครงการ หรือแผนงานน้ัน ๆ ว่ามีมากน้อยเพียงใด การประเมินผลเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณค่าของโครงการ กล่าวคือ โครงการที่ได้ดำเนินไปแล้วได้ผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ เพียงใด สามารถทำได้ท้ังการ ประเมินก่อนเร่ิมโครงการ การประเมินขณะที่โครงการกำลังดำเนินการอยู่และการประเมินผล โครงการหลังจากการดำเนนิ งานได้สิ้นสดุ แลว้ ประชุม รอดประเสริฐ(2547:73)ให้ความหมายของการประเมินโครงการว่าหมายถึง กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือพิจารณาบ่งชี้ให้ทราบถึงจุดเด่นหรือจุด
45 ด้อยของโครงการน้ันๆ อย่างมีระบบแล้วจึงตัดสินใจว่าควรปรับปรุงแก้ไขโครงการนั้นเพ่ือดำเนินการ ต่อไปหรือยบุ การดำเนินการโครงการนน้ั สรุปได้ว่า การประเมินโครงการ เป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล เพ่ือให้ได้สารสนเทศ สามารถทำไดก้ ่อนเริม่ โครงการ ขณะท่ีโครงการดำเนินการอยู่และหลังจากสนิ้ สุด โครงการ เพื่อช่วยในการตัดสินใจคุณค่าของโครงการ และสรรหาทางเลือกท่ีเหมาะสมในการดำเนิน โครงการ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 3.2 หลกั การประเมนิ โครงการ ศิริชัย กาญจนวสี (2547:89-91) กล่าวว่า หลักการประเมินโครงการ มีแนวคิด 2 ประการ ดงั น้ี 1.พ้ืนฐานความเช่ือด้านวัตถุประสงค์ เป็นการตัดสินคุณค่าของส่ิงของหรือ เหตุการณ์พร้อมกับพยายามเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างการประเมินกับการนำผลไปใช้ในการบริหาร นกั ทฤษฎมี ีความเชื่อ ท่ีแตกต่างกัน 2 แนวคดิ ดงั นี้ (1) การประเมินการตัดสินใจ (Decision–Oriented Evaluation) คือ การ ประเมินที่เนน้ การเสนอสารสนเทศที่เปน็ ประโยชนต์ ่อการตัดสนิ ใจทางการบริหาร (2) การประเมินการตัดสินใจคุณค่า (Value–Oriented Evaluation) คือ การประเมนิ ท่ีเน้นการตัดสนิ คณุ คา่ ของสิ่งทปี่ ระเมนิ 2. พื้นฐานความเชื่อด้านวิธีการเข้าถึงคุณค่าท่ีถูกประเมิน นักทฤษฎีส่วนใหญ่มี ความเห็นสอดคล้องกันว่า การประเมินเป็นผลที่ได้จากการใช้วิธีการที่น่าเช่ือและมีหลักฐานอ้างอิงได้แต่ รายละเอียดของวิธีเข้าถึงคุณค่าขึ้นอยู่กับว่านักทฤษฎีการประเมินมีความเช่ือเก่ียวกับมาตรการเข้าถึง ซงึ่ คา่ ท่ีแตกต่างกนั 2 แนวคิด ดังน้ี (1) แนวคิดวิธีเชิงระบบ (Systematic Approach) เป็นแนวความคิดของ กลุ่มนักทฤษฎี การประเมินท่ียึดมาตรการเข้าถึงคุณค่าและเกณฑ์ตัดสินคุณค่าตามแนวคิดปรัชญา ปรนัยนิยม (Objectivism) มีความเช่ือว่าวิธีเชิงระบบเป็นวิธีท่ีเหมาะสมในการประเมิน นักทฤษฎีการ ประเมินในกลุ่มน้ีพยายามเสนอโมเดลหรือรูปแบบการประเมินท่ีแสดงถึงการวางแผนการดำเนินงานและ วธิ ีการดำเนินงานอย่างชัดเจนรัดกุมและเป็นระบบ สนับสนุนการใช้เครื่องมือท่ีได้มาตรฐานในการเก็บ รวมรวมข้อมูล พยายามควบคุมเหตุการณ์และตัวแปรแทรกซ้อนท่ีอาจส่งผลกระทบต่อการประเมิน ทำการวิเคราะห์ขอ้ มูลตามแผนการที่กำหนดและสรุปผลการประเมินตามเกณฑ์มาตรฐานที่ประกาศไว้ ล่วงหน้า (2) แนวคดิ วิธีเชิงธรรมชาติ (Naturalistic Approach) เป็นแนวคิดของกลุ่ม นักทฤษฎีการประเมินท่ียึดมาตรการเข้าถึงคุณค่าและเกณฑ์ตัดสินคุณค่าตามธรรมชาติหรือแนวคิด ปรัชญาอัตนัยนิยม (Subjectivism) มีความเชื่อว่าวิธีเชิงธรรมชาติเป็นวิธีที่เหมาะสมในการประเมิน นักทฤษฎีการประเมินกลุ่มนี้พยายามเสนอโมเดลหรือรูปแบบการประเมินที่มีความยืดหยุ่น สนับสนุน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในสภาพธรรมชาติ โดยใช้การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้างพยายามวเิ คราะห์ข้อมูล โดยอาศัยหลักการเช่ือมโยงเหตุผล การสังเกต และวิเคราะห์เบ้ืองต้นจะนำไปสู่การสังเกตและ วิเคราะห์ในขั้นลึกๆ ถัดไป จนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งท่ีประเมินโดยอาศัยความรู้ความ เช่ยี วชาญและประสบการณเ์ ป็นเกณฑ์ ในการสรุปผล
46 สำนกั บริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (2547:10-19) กล่าววา่ หลกั การ ประเมินโครงการจะดำเนนิ การใน 3 ลักษณะ ดังน้ี 1. การประเมินก่อนเริ่มโครงการ ได้แก่ การประเมินสภาพแวดลอ้ ม หรือบริบท กบั การประเมนิ ปจั จยั ในการบรหิ ารโครงการ 2. การประเมินขณะดำเนินโครงการ หรือการประเมินกระบวนการ เป็นการ ประเมินการดำเนินงานเมื่อนำโครงการที่วางแผนไว้ไปปฏบิ ัติ ทั้งนี้เพื่อศึกษาถึงจุดเด่น จุดด้อย ปัญหา หรืออุปสรรคของการดำเนินโครงการว่าเป็นอย่างไรบ้าง อะไรเป็นมูลเหตุท่ีทำให้เกิดหรือไม่ทำให้เกิด สิ่งเหล่านี้ กล่าวคือ การประเมินกระบวนการดำเนินโครงการนั้นเป็นการพยายามตอบคำถามว่าทำไม จงึ เกดิ ปญั หาอปุ สรรค และในกรณที ่ีเกิดปญั หาอปุ สรรคจะได้ปรับปรงุ แก้ไขทันทว่ งที 3. การประเมินหลังดำเนินงาน เป็นการประเมินเพ่ือตอบคำถามว่าโครงการ ประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ผลจากโครงการได้ดำเนนิ การบรรลุตามจดุ มุ่งหมายหรอื ไม่ เพยี งใด มีผลกระทบอย่างไร ประสบผลมากน้อยเพยี งใด ผลการดำเนนิ การคมุ้ ค่าหรือไม่ Patton.M.Q.(1986 อา้ งถึงใน สมคิด พรมจุ้ย, 2550:71)กลา่ วถึงหลักในการประเมิน โครงการว่า นักประเมินควรให้ความสำคัญกับผู้บริหาร หรือกลุ่มลูกค้าท่ีจะใช้ผลการประเมินนั้นๆ คำถามเพ่ือการประเมินหรือการตรวจสอบควรเกิดจากกลุ่มผู้เก่ียวข้องเหล่าน้ัน หรือต้องเป็นความ อยากรู้อยากเห็นของนักประเมินเป็นกรอบในการกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน ซึ่งการประเมินตาม แนวคดิ นี้จะทำให้ผลการประเมินมีโอกาสถกู นำไปใช้ในการปรบั ปรงุ และพัฒนามากขน้ึ สรุปได้ว่า หลักการประเมนิ โครงการ มีแนวคิดในการใช้หลักการประเมนิ 2 ลกั ษณะ คือ 1) ความเชื่อด้านวัตถุประสงค์ และ2) ความเชื่อด้านวิธีการเข้าถึงคุณค่าท่ีถูกประเมิน โดย ดำเนินการประเมนิ ก่อนเร่ิมโครงการ ขณะดำเนินโครงการและหลงั สิ้นสุดโครงการ 3.3 ประเภทของการประเมนิ โครงการ นักวชิ าการหลายท่านได้จำแนกประเภทของการประเมนิ โครงการที่สำคัญ ดงั น้ี อนรุ ักษ์ ปญั ญานุวตั น์ (2548:30) ได้แบง่ การประเมนิ โครงการออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. การประเมินโครงการก่อนดำเนินการ (Primary Evaluation) เป็นการประเมินความ เป็นไปได้ก่อนท่ีจะเริ่มโครงการใดๆ หรืออาจศึกษาประสิทธิภาพของตัวป้อน ความเหมาะสมของ กระบวนการท่ีคาดว่าจะนำมาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ ปัญหาอุปสรรค ความเสี่ยงของ โครงการตลอดจนผลลัพธห์ รือประสทิ ธผิ ลที่คาดวา่ จะได้รบั 2. การประเมินระหว่างการดำเนินโครงการ (Formative Evaluation) เป็นการประเมินผลเพื่อ การปรับปรุงเป็นสำคัญ ซ่ึงเป็นการประเมินระหว่างดำเนินการ ผลที่ได้จะช่วยต้ังวัตถุประสงค์ของ โครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายท่ีแท้จริงและตรวจสอบให้เป็นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง โดยท่ัวไปจะ ประเมิน เชน่ (1) เพอ่ื ทบทวนโครงการ (2) เพอ่ื เพิม่ เตมิ แผนของโครงการ (3) เพื่อทบทวนแบบสอบถาม (4) เพื่อคดั เลอื กวธิ กี ารทเ่ี หมาะสม
47 (5) เพื่อกำหนดตารางใหส้ อดคลอ้ งกบั การดำเนินการ (6) เพอื่ เตรียมข้อมลู ข่าวสารสำหรบั รายงาน และเป็นขอ้ มูลสำหรับการตดั สินใจ (7) เพอ่ื แนะนำ ปรบั ปรงุ แกป้ ญั หา และวิธีการปฏิบัตติ า่ งๆ ของโครงการ 3. การประเมินเม่อื สนิ้ สุดโครงการ หรือการประเมนิ ผลผลิต(Summative Evaluation) เป็น การประเมินผลรวมและสรุปการดำเนินงานของโครงการประเมินเมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว สำหรับ โครงการระยะยาวอาจใช้การประเมนิ แบบน้ี เป็นการสรุปย่อยในแตล่ ะช่วงเวลาตา่ งๆ ก็ได้ 4. การประเมินประสิทธิภาพ เป็นการประเมินโดยท่ัวไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ท่ีผ่านมายังจำกัดประเมินเฉพาะผลผลิตเพ่ือให้ทราบความสำเร็จ หรอื ความล้มเหลวเท่าน้ันเพ่ือสนอง ตอบผใู้ ห้ทุนหรือผู้บริหาร แต่ปัจจุบันนักประเมินได้ให้ความสำคัญกับการประเมนิ ประสิทธิภาพ ถอื ว่า เปน็ การประเมินทสี่ ำคัญ เพอ่ื ให้โครงการน้ันดำเนินการไปสอดคลอ้ งกับสภาพของสงั คม ประพันธ์ ปิยะสุข (2549:68) การประเมินแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามเกณฑ์ที่สำคัญ ดงั น้ี 1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการประเมิน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation)เพ่ือปรบั ปรุงพฒั นาและการประเมนิ ตัดสินผล(Summative Evaluation) เป็นการประเมินผลเพื่อบ่งชี้ระดบั สมั ฤทธผิ์ ลของโครงการ หลังจากส้นิ สุดโครงการแล้ว 2. แบ่งตามหลกั ยึดในการประเมิน แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื การประเมินท่ียดึ เปา้ หมาย ของโครงการ ซ่ึงเรียกว่า Goal Based Evaluation นำผลการวัดมาเปรียบเทียบกับเป้าหมายเชิง ปริมาณและเชิงคณุ ภาพของโครงการและการประเมินที่อิสระจากเป้าหมาย(Goal-Free Evaluation) การประเมินผลท้ังหมดท่ีเกิดขึ้นทั้งผลโดยตรงและผลโดยอ้อมของโครงการตลอดจนการประเมินผล กระทบทั้งในทางบวก และทางลบของโครงการ 3. แบ่งตามลำดับเวลาที่ประเมินโดยแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเวลาที่ 1 คือ การประเมินก่อนนำโครงการไปปฏิบัติ (Intrinsic Evaluation) เรียกว่า การวิเคราะห์โครงการ (Project Appraisal or Analysis) ระยะเวลาท่ี 2 คือ การประเมินขณะดำเนินงานหรือโครงการเพ่ือ พิจารณาความก้าวหน้าของโครงการ ผลประเมินในระยะน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการ ดำเนินงานและในระยะสุดท้าย คือ การประเมินเม่ือเสร็จสิ้นโครงการ (Pay-of Evaluation) เป็นการ ประเมินผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึนท้ังหมดเมื่อส้ินสุดโครงการไประยะหนึ่งกระบวนการประเมินหลังจาก โครงการสิน้ สุดไประยะหนึ่ง เรียกว่า กระบวนการติดตามผล (Follow-up StudyหรือTracer Study)
48 สมหวัง พิธิยานุวัฒน์และคณะ (2544:93-94) ได้แบ่งประเภทของการประเมินโครงการ ดังนี้ 1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการประเมิน แบง่ เปน็ 2 ประเภท (1) การประเมินเพ่ือปรับปรุงพัฒนาเรียกว่า การประเมินเพ่ือความก้าวหน้า (Formative Evaluation) เป็นการประเมินขณะโครงการหรือกิจการนั้นกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งสามารถ นำผลประเมินไปปรบั ปรงุ การดำเนินงานใหด้ ีขน้ึ อย่างทันทว่ งที (2) การประเมินเพื่อการตัดสินผล (Summative Evaluation) เป็นการประเมิน เพอ่ื บ่งชีร้ ะดบั ผลสมั ฤทธิ์ของผลงานหรอื โครงการ เป็นการประเมนิ หลังส้นิ สดุ โครงการแลว้ 2. แบ่งตามหลักยดึ ในการประเมิน แบง่ เป็น 2 ประเภท (1) การประเมินท่ียึดเป้าหมายของโครงการหรืองานเป็นเกณฑ์ ซึ่งเรียกว่า Goal-Based Evaluation การประเมินตามแนวน้ีนำผลการวัดมาเปรียบเทียบกับเป้าหมายเชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพของโครงการ (2) การประเมินที่เป็นอิสระจากเป้าหมายของโครงการ (Goal-Free Evaluation) การประเมินตามแนวทางน้ี ผู้ประเมินไม่จำเป็นต้องทราบเป้าหมายของโครงการ เป็นการประเมินผล ทั้งหมดท่ีเกิดข้ึน ทั้งผลโดยตรงและผลโดยอ้อมของโครงการ ตลอดจนการประเมินผลกระทบท้ังใน ทางบวกและทางลบของโครงการ 3. แบง่ ตามลำดับเวลาท่ีประเมิน โดยแบ่งการประเมินออกเปน็ 3 ระยะ (1) การประเมินกอ่ นนำโครงการไปปฏิบัติ (Intrinsic Evaluation) โดยเฉพาะ การวิเคราะห์ความเหมาะสมของแผนงานโครงการก่อนเสนอขออนุมัติให้ดำเนินการ กระบวนการ ดังกลา่ ว เรียกวา่ การวเิ คราะห์โครงการ (Project Appraisal or Analysis) (2) การประเมินขณะดำเนินงานหรือโครงการ (On-Going Evaluation) เพื่อ พิจารณาความก้าวหน้าของโครงการ ผลการประเมินในระยะนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการ ดำเนนิ งาน (3) การป ระเมิ น เม่ือ สิ้น สุ ดโค รงการ (Pay-off Evaluation)เป็ น ก าร ประเมินผลลัพธ์ ที่เกิดข้ึนท้ังหมดเม่ือสิ้นสุดโครงการและหลังจากส้ินสุดโครงการไประยะหนึ่งเรียกว่า กระบวนการติดตามผล (Follow-Up Study) เชาว์ อินใย (2555:13-15) ประเภทของการประเมินมีหลายประเภทโดยสามารถแบ่ง ได้ตามเกณฑต์ ่าง ๆ ที่กำหนดขน้ึ โดยแบง่ เปน็ 5 ประเภท ดังนี้ 1. แบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ของการประเมิน แบง่ ได้ 2 ประเภท ดงั น้ี (1) การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation) การประเมนิ แบบน้ี เป็นการประเมินระหว่างการดำเนินงาน ซึ่งควบคู่ไปกับการดำเนินงานของโครงการ โดยพิจารณา ความก้าวหน้าของสิ่งที่ประเมินว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงส่วนใด อีกท้ังรวบรวมปัญหา
49 และอุปสรรคต่างๆ สำหรับการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและทำให้การดำเนินงาน มีประสิทธภิ าพ (2) การประเมินสรุป (Summative Evaluation) เปน็ การประเมนิ ผลเมอื่ การ ดำเนินงานได้ส้ินสุดลงแล้วทำการตรวจสอบว่าโครงการได้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายท่ีตั้งไว้หรือไม่ เพียงใด ผลท่ีเกิดข้ึนได้ใช้ทรัพยากรไปอย่างเพียงพอคุ้มค่าหรือไม่ และทรัพยากรเพียงพอกับความ ตอ้ งการของผูร้ ับบรกิ ารหรอื ไม่ มีผลกระทบ (Impact) หรือผลท่ีไม่ได้คาดหวังหรอื ผลพลอยได้ (Side Effects) อะไรบ้าง 2. แบง่ ตามชว่ งเวลาของการประเมนิ แบ่งได้ 8 ประเภท ดังน้ี (1) การประเมินความต้องการจำเป็น (Needs Assessment) เป็นการประเมิน เบ้ืองตน้ กอ่ นทจี่ ะจดั ทำโครงการ ความต้องการจำเปน็ คือ ความแตกต่างระหวา่ งส่ิงที่ควรจะเป็นกับ สภาพท่เี ปน็ อยู่ ทำให้เกดิ ความจำเป็นในการจัดทำโครงการข้นึ ทำให้ได้แนวคิดของการดำเนินงานท่ี สามารถตอบสนองความตอ้ งการของกล่มุ เป้าหมายได้อย่างดีและเป็นความตอ้ งการของผู้รบั โครงการ หรือหน่วยงานนัน้ อยา่ งแท้จริง การประเมินความต้องการจำเปน็ มีประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย และการวางแผน (2) การประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility Evaluation)เป็นการศึกษา สภาพความพร้อมด้านต่างๆ ในการจัดทำโครงการ โดยทำการศึกษาวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่จำเป็นต่อ ความสำเร็จในการทำโครงการ เช่น ด้านกำลังคน เทคนิค สภาพภูมิศาสตร์ ส่ิงแวดล้อม ประชากร การคมนาคม สังคม เศรษฐกิจ การเงิน ฯลฯ เป็นขั้นตอนที่ควรกระทำก่อนการเขียนโครงการ การประเมินประเภทน้ีถ้าเป็นโครงการขนาดใหญ่จะต้องทำการสำรวจหรือวิจัยอย่างกว้างขวางแต่ถ้า เป็นโครงการที่จะทำในองค์กร โรงเรียน อาจใช้การตั้งคำถามเพ่ือสำรวจความพร้อม เช่น มีคนพอ หรอื ไม่ มีเวลาพอหรอื ไม่ มงี บประมาณพอหรือไม่ เป็นตน้ (3) การประเมินปจั จยั นำเขา้ (Input Evaluation) เปน็ การประเมินทรพั ยากร ท่ีจำเป็นที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการว่ามีความเป็นไปได้ มีความเหมาะสมและเพียงพอหรือไม่ ทรัพยากรที่จำเป็น ได้แก่ งบประมาณ บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เวลา กลุ่มเป้าหมาย เทคโนโลยีและ แผนการดำเนินงาน (4) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมินการ บริหารโครงการ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการ การนำปจั จัยนำเข้าของโครงการมาใชเ้ หมาะสม หรือไม่ กิจกรรมต่างๆ ท่ีจัดขึ้นบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ มีประโยชนใ์ นการค้นหาจุดเด่น หรือจดุ ดอ้ ยของโครงการ (5) ก า ร ป ร ะ เมิ น ผ ล ผ ลิ ต (Output/Product Evaluation) เป็ น ก า ร ประเมินผลที่ได้จากโครงการ ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ คุ้มค่าเพียงใด โดยนำไปเปรียบเทียบ
50 กับเกณฑ์มาตรฐานท่ีกำหนดไว้ มุ่งตอบคำถามว่าโครงการประสบความสำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ หรือไม่ ผลการประเมนิ จะทำให้ไดส้ ารสนเทศในการพิจารณาตดั สินใจ ยุติ ปรบั ขยายโครงการ (6) การประเมินผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Outcome/Impact Evaluation) เป็นการประเมินผลการดำเนินงานจากโครงการท่ีจัดทำขึ้น ก่อให้เกิดผลอ่ืนใดเกิดข้ึนตามมาหรือไม่ เปน็ ทงั้ ผลท่ีคาดหวังและไม่คาดหวงั และท้ังในทางท่ดี ีและไมด่ ี (7) การประเมินการติดตาม (Follow up Evaluation) เป็นการดำเนินการ ประเมินเมอื่ สนิ้ สุดการดำเนินงานไปแล้วระยะหนึ่ง เช่น อาจเป็น 6 เดอื น 1 ปี หรือ 2 ปี เพ่ือดูผลท่ีได้ จากการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งชดั เจนข้ึน (8) การประเมินอภิมาน (Meta Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อพิจารณา ตัดสินคุณภาพหรือคุณค่าของการประเมิน ทำให้ทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของรายงานการประเมิน และรายงานการประเมินได้ดำเนินการครอบคลุมกิจกรรมของการประเมินหรือไม่ ซึ่งประกอบด้วย มาตรฐานการใช้ประโยชน์ (Utility) มาตรฐานความเป็นไปได้ (Feasibility) มาตรฐานความเหมาะสม (Propriety) และมาตรฐานความถูกต้อง (Accuracy) เพ่ือจะได้นำไปพัฒนารายงานการประเมินให้มี คณุ ภาพยิ่งขน้ึ ตอ่ ไป 3. แบง่ ตามผปู้ ระเมิน แบ่งได้ 2 ประเภท ดงั นี้ (1) การประเมินโดยผู้ประเมินภายใน (Internal Evaluator Evaluation) การประเมินแบบนี้ผู้ประเมินเปน็ บุคคลที่มีความเก่ยี วขอ้ งหรือปฏิบัติงานกับสิ่งท่ีจะประเมิน ข้อดีก็คือ เป็นผู้ท่ีเกี่ยวข้องจึงทราบและเข้าใจสิ่งที่ประเมินไดเ้ ป็นอย่างดี ขอ้ เสียก็คือเมื่อเป็นผู้ท่ีมคี วามเก่ยี วข้อง จึงอาจมีความลำเอียงเกิดขึน้ ได้ (2) การประเมินโดยผู้ประเมินภายนอก (External Evaluator Evaluation) การ ประเมิน แบบน้ีผู้ประเมินไม่ได้เป็นบุคคลท่ีมีความเกี่ยวข้องหรือไม่ได้ปฏิบัติงานกับส่ิงที่จะประเมิน ข้อดี ก็คือ มีความเป็นกลางในการประเมิน แต่ก็มีข้อเสียก็คือไม่เข้าใจ ทราบรายละเอียดของสิ่งที่ประเมินไม่ดี พอ และเนื่องจากเป็นบุคคลภายนอกอาจจะไม่ไดร้ ับความร่วมมือในการดำเนินงานประเมิน 4. แบ่งตามมิติการประเมนิ แบง่ ได้ 4 ประเภท ดังน้ี (1) การประเมินตามวัตถุประสงค์ ได้แก่ การประเมินความก้าวหน้า การประเมนิ ผลสรปุ และการประเมนิ เพ่ือการพัฒนา (2) การประเมนิ ตามข้อมลู ได้แก่ ข้อมูลเชงิ ปรมิ าณ คุณภาพ และแบบผสม (3) การประเมินตามวิธกี ารประเมนิ ได้แก่ การประเมนิ เชิงธรรมชาติและเชงิ ทดลอง (4) การประเมินตามจุดเน้นที่ประเมิน ได้แก่ การประเมินกระบวนการ ผลลพั ธ์ ผลกระทบ การวิเคราะหค์ า่ ใช้จ่ายกับผลตอบแทน และการวิเคราะหต์ ้นทุนกับประสทิ ธิผล 5. แบ่งตามช่วงเวลาเพอื่ เอื้อต่อการประเมิน แบง่ ได้ 3 ประเภท ดงั น้ี (1) การประเมินก่อนดำเนินงาน เป็นการประเมินผลก่อนจัดกิจกรรมต่างๆ ของโครงการ โดยมุ่งเน้นประเมินตัวโครงการว่ามีความสอดคล้องสัมพันธ์กันในแต่ละส่วนหรือไม่
51 มีความเป็นไปได้ คุ้มทุน มีเวลาเพียงพอหรือไม่ และจะมอี ุปสรรค หรือปัญหาอะไรท่ีจะทำให้โครงการ ไม่สามารถดำเนินการได้ การประเมินก่อนดำเนินงานมีประโยชน์ในการตัดสินใจดำเนินโครงการหรือ ล้มเลกิ โครงการ (2) การประเมินระหว่างการดำเนินงาน การประเมินแบบนี้ควบคู่ไปกับการ ดำเนินงานของโครงการ โดยพิจารณาความก้าวหน้าของส่ิงท่ีประเมินว่าจำเป็นต้องมีการปรับปรุง เปล่ียนแปลงส่วนใด อีกท้ังรวบรวมปัญหาและอุปสรรคต่างๆ สำหรับการปรับปรุงแก้ไขเพ่ือให้เกิด ความเหมาะสมและทำให้การดำเนนิ งานมปี ระสทิ ธภิ าพ (3) การประเมินหลังดำเนินงาน เป็นการประเมินผลเพื่อการดำเนินงานได้ ส้ินสุดลง แล้วทำการตรวจสอบว่าโครงการได้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายท่ีต้ังไว้หรือไม่เพียงใด ผลที่ เกิดขึ้นได้ใช้ทรัพยากรไปอย่างเพียงพอคุ้มค่าหรือไม่ และทรัพยากรเพียงพอกับความต้องการของ ผู้รับบริการหรือไม่ มีผลกระทบ (Impact) หรือผลที่ไม่ได้คาดหวังหรือผลพลอยได้ (Side Effects) อะไรบ้าง การประเมินก่อนดำเนินงานจะใช้การประเมินบริบทและการประเมินปัจจัยนำเข้า การประเมิน ระหว่างการดำเนินงานจะใช้การประเมินกระบวนการ ส่วนการประเมินหลังการดำเนินงานจะใช้ การ ประเมนิ ผลผลติ และการประเมินผลลัพธ์ สรุปได้ว่า ประเภทของการประเมินโครงการ พิจารณาจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ของการประเมิน ระยะเวลาที่ทำการประเมิน ผู้ท่ีจะทำหน้าที่ในการ ประเมนิ มติ กิ ารประเมนิ และช่วงเวลาที่เอื้อตอ่ การประเมิน 3.4 รปู แบบของการประเมินโครงการ รูปแบบการประเมินท่ีนิยมใช้กันแพร่หลายมากที่สุด ได้แก่ การประเมินโดยใช้รูปแบบ CIPP (พิสณุ ฟองศรี, 2549:45) โดยเฉพาะการประเมินโครงการตา่ งๆ ท้งั โครงการท่ัวไปและโครงการ ทางการศึกษา รวมทั้งหลักสูตรในระดับต่าง ๆ เพราะว่าการประเมินให้สารสนเทศท่ีครอบคลุม มีการ พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ มาประกอบด้วย ดังนั้น ในการประเมินโครงการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 คร้ังนี้ ผู้รายงานจึงเลือกใช้รูปแบบการประเมินท่ีช่วยในการตัดสินใจแบบซิปป์ (Context Input Process Product Evaluation Model:CIPP) เป็นการประเมินที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมหาข้อมูลท่ี เกี่ยวข้องไว้ใช้ในการตัดสินใจ โดยผู้วิจัยจะมีบทบาทในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และเสนอ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริหาร โดยท ำการประเมินใน 4 ด้าน เช่นเดยี วกับ (สมบรู ณ์ ตันยะ, 2545: 84) การประเมนิ ท่คี รอบคลุมจะตอ้ งประเมินด้านต่างๆ ดงั น้ี 1. การประเมินสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation) เป็นการประเมินสภาพ เศรษฐกิจสังคม นโยบายทางการศึกษา ความต้องการของสังคม ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ตลอดจน ปรัชญาทางการศึกษา ซึ่งจะนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจวางแผน กำหนดนโยบาย กำหนด เปา้ หมายและจดุ ม่งุ หมายทเ่ี หมาะสมกับการจดั การศกึ ษา 2. การประเมินปัจจยั (Input Evaluation) เป็นการตรวจสอบความพร้อมของปัจจัย เบ้ืองตน้ ตา่ งๆ เชน่ บคุ ลากร อาคารสถานที่ งบประมาณหรืออืน่ ๆ โดยจะนำไปใช้ประโยชนใ์ นการ
52 ตดั สินใจวางโครงการหรอื หาวิธกี ารท่จี ะดำเนินโครงการให้บรรลุจดุ มุง่ หมายทีต่ ง้ั ไวซ้ ง่ึ เป็นวธิ ีการหรอื ยทุ ธวธิ ีทเ่ี ป็นไปได้กับทรัพยากรในด้านต่างๆ ทีม่ ีอยู่ 3. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อระบุจุดเด่นจุด ด้อยของแนวทางท่ีเลือกใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการบริหารและกระบวนการจัดกิจกรรมต่างๆ หลังจากการนำแผนไปปฏิบัติจริง เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขกระบวนการต่างๆให้เหมาะสมได้ทันท่วงที ขณะท่ีการดำเนินงานน้ันกำลังกระทำอยู่ เพอื่ ใหส้ ามารถดำเนินการตามจุดมุ่งหมายทก่ี ำหนดไว้ได้ด้วยดี 4. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการตัดสินคุณค่าผลผลิตของ โครงการทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าในการด ำเนินงานน้ีได้บรรลุ วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด ซ่ึงจะช่วยให้ผู้บริหารนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะใช้ จะปรับปรงุ หรือยบุ เลิกโครงการน้นั ๆ ไปเลย สมหวัง พิธิยานุวัฒน์และคณะ (2544:34-40) กล่าวถึงรูปแบบการประเมินโครงการ แนวทางเดียวกันว่า การประเมินส่ิงใดส่ิงหน่ึงผู้ประเมินจะต้องพิจารณาว่าจะประเมินได้อย่างไรจึงจะ ทำให้ผลประเมินถูกต้องตามสภาพความเปน็ จริง ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของผทู้ ี่จะใช้ ผลการประเมินซ่ึงจะต้องทันเวลาด้วย จากการสังเคราะห์รายงานการประเมินท้ังหลาย พบว่ามีการ ประเมนิ 3 รปู แบบ คือ 1. แบบประเมินเชิงสำรวจ แบบประเมินแนวน้ีจะเป็นการสำรวจส่ิงต่างๆ ท่ีจะช่วยในการ ประเมิน เช่น การวิเคราะห์ตัวโครงการเพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างจุดมุ่งหมายของโครงการ กับกิจกรรมในโครงการ การวิเคราะห์เอกสารเป็นวิธีการหลักท่ีใช้ในการประเมินตามแนวการสำรวจ จากความคิดเหน็ ของบุคคลท่ีเก่ียวข้อง จุดออ่ นของการใช้รูปแบบการประเมินเชิงสำรวจก็คือพยายาม เก็บข้อมูลเชิงความคิดเห็นให้มีการตรวจสอบซ่ึงกันและกัน และพยายามประเมินจากหลักฐานหรือ เอกสารท่มี อี ยู่ 2. แบบประเมินเชิงทดลอง เป็นการประเมินโดยอาศัยแบบการทดลองในการวิจัย แบบทดลองที่นิยมใช้กันมากเป็นแบบกลุ่มเดียว เพื่อศึกษาผลท่ีเกิดขึ้นโดยเปรียบเทียบผลท่ีได้ทดลอง การประเมินรูปแบบน้ีมีจุดอ่อนค่อนข้างมาก ซึ่งอาจแก้ไขโดยอาศัยแบบทดลองที่มี 2 กลุ่ม คือกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุม แต่ผลที่เกิดข้ึนก็ยังเป็นท่ีน่าสงสัยว่าเปรียบเทียบกันได้จริงหรือ ซึ่งต้อง ระมัดระวังปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นด้วย การประเมนิ ดว้ ยวธิ ีทดลองทำให้ผลการประเมินทไ่ี ด้เน้นผลการทดลอง มากเกนิ ไป ซ่งึ ผลการประเมนิ มีผลกระทบต่อการปรับปรุงกจิ กรรมและดำเนนิ การตา่ งๆ 3. แบบประเมินตามรูปแบบการประเมิน นักประเมินได้พัฒนารูปแบบการประเมินขึ้น เพราะรูปแบบในการประเมนิ จะเป็นเครื่องชที้ ิศทางว่าการประเมินจะเก่ียวข้องกับอะไรบ้างและในการ เลือกรูปแบบประเมินจะต้องเลือกให้สอดคล้องกับความจำเป็นหรือความต้องการของผู้ใช้ผลประเมิน รูปแบบส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน ซ่ึงประกอบด้วย ปัจจัย กระบวนการ และผลผลิตเป็นแก่น ในการเสนอรปู แบบ เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2546:60) ให้ความเห็นได้ว่า รูปแบบการประเมินโครงการ ของซปิ ป์ท้ัง 4 ดา้ น สำหรับการตดั สนิ ใจเพือ่ ดำเนนิ การใดๆ ซ่งึ สามารถจะแบง่ ได้ ดงั นี้ 1. การตัดสินใจเพื่อการวางแผนเป็นการตัดสินใจที่อาศัยการประเมินสภาวะแวดล้อมมีบทบาท สำคญั คอื การกำหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการใหส้ อดคล้องกบั แผนในการดำเนินงาน
53 2. การตัดสินใจเพอ่ื กำหนด โครงสรา้ งของโครงการ เป็นการตัดสินใจที่อาศัยการประเมิน ตวั ป้อน คือ การกำหนดโครงสรา้ งของแผนงานและขน้ั ตอนการทำงานต่าง ๆของโครงการ 3. การตัดสินใจเพ่ือนำโครงการไปปฏบิ ตั ิ เป็นการตัดสินใจที่อาศัยการประเมิน กระบวนการมบี ทบาทสำคัญคือ ควบคมุ การทำงานให้เปน็ ไปตามแผนที่กำหนดและเพ่ือปรับปรงุ แก้ไข แนวทางการทำงานให้ไดผ้ ลดีท่ีสดุ 4. การตัดสินใจเพื่อทบทวนโครงการ เป็นการตัดสินใจท่ีอาศัยผลการประเมินท่ีเกิดขึ้น มีบทบาทหลกั คอื การตดั สนิ ใจเกี่ยวกบั การยตุ ิ ลม้ เลกิ หรือขยายโครงการในชว่ งเวลาตอ่ ไป ธรรมพร แข็งกสิการ (2549:29) ให้ความเห็นไว้ว่า ซิปป์ (CIPP) เป็นส่วนประกอบต่างๆ ของโครงการท่จี ะทำการประเมิน ได้แก่ 1. การประเมินสภาวะแวดล้อมของโครงการ (Context Evaluation) ซึ่งหมายถึงการ ประเมินเก่ียวกับส่ิงที่จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นสิ่งท่ีอยู่ ภายนอกโครงการแต่มีผลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการไดแ้ ก่ ความต้องการของชมุ ชนและ กลุ่มเป้าหมายท่ีจะรับบริการจากโครงการ จำนวนประชากร กระแสทิศทางของสังคมและการเมือง สภาพเศรษฐกิจและปัญหาของชุมชน ตลอดจนนโยบายของหน่วยงานระดับบนและหน่วยงาน ทเ่ี ก่ียวข้อง 2. การประเมินปัจจัยนำเข้าของโครงการ (Input Evaluation) หมายถึง การประเมิน ทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับนำมาใช้ในการดำเนินโครงการ กำลังคนหรือจำนวนบุคคลท่ีต้องใช้ งบประมาณและแหล่งทุนสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ อาคารสถานท่ี เครื่องมือและครุภัณฑ์ การประเมินปัจจัยนำเข้าจะช่วยพิจารณาตัดสินใจว่าโครงการนั้น ๆ มีความเหมาะสมและเป็นไปได้ ในทางปฏิบัติท่ีจะทำให้วัตถุประสงค์ของโครงการบรรลุหรือไม่และช่วยให้เกิดการวางแผนการจัด กจิ กรรมของโครงการได้อยา่ งเหมาะสม 3. การประเมินกระบวนการดำเนินงานของโครงการ (Process Evaluation) เป็นการ ประเมินเกี่ยวกับวิธีการจัดกิจกรรมของโครงการ การนำปัจจัยเข้ามาใช้เหมาะสมมากน้อยเพียงใด เป็นไปตามลำดับขัน้ ตอนหรือไม่ กิจกรรมที่จัดขึ้น ก่อให้เกิดการบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของโครงการหรือมี อุปสรรคใด ๆ เกิดข้ึนเพื่อที่จะได้นำผลการประเมินมาปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้รัดกุม มีประสทิ ธิภาพมากข้นึ 4. การประเมินผลผลิตของโครงการ (Product Evaluation) เป็นการประเมินเก่ียวกับ ผลที่ได้รับท้ังหมดจากการดำเนินโครงการว่าได้ผลมากน้อยเพียงไร เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ โครงการท่ีกำหนดไว้หรือไม่ การประเมินผลผลิตจะมีการนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานท่ี กำหนดไว้จะเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการ การประเมินในส่วนนี้มี วตั ถุประสงค์เพอื่ ตดั สินใจปรบั ปรงุ ขยายโครงการนำไปใช้ต่อเน่ืองต่อไปและเพ่ือล้มเลิกโครงการ สมคดิ พรมจุ้ย (2550:49) กลา่ วว่า รปู แบบการประเมินโครงการ คือ กรอบความคิดหรือ แบบแผนในการประเมินที่แสดงให้เห็นถึงรายการที่ควรประเมินหรือกระบวนการของการประเมินใน การประเมินโครงการใดโครงการหน่ึงน้ันเราควรพิจารณาประเมินในเร่ืองใดบ้าง(What) ใน ขณะเดียวกัน บางรูปแบบอาจจะมีการเสนอแนะด้วยว่าในการประเมินแต่ละรายการแต่ละเรื่องควร
54 พิจารณาหรือตรวจสอบอย่างไร ซึ่งเป็นลักษณะการเสนอแนะวิธีการ (How)รูปแบบการประเมิน โครงการ ประกอบดว้ ย 1. แนวคิดหรือความเชื่อในเรื่องการประเมิน ผู้เสนอรูปแบบการประเมินจะเสนอ รปู แบบ การประเมินบนพ้ืนฐานของแนวคิดหรือมโนทัศน์ (Concept)และความเช่ือของตนในเรอ่ื งการ ประเมินโครงการ เช่น มีแนวคิดว่า การประเมิน เป็น กระบวนการรวบรวมข้อมูลเพื่อตัดสินผลการดำเนิน โครงการ ตามวตั ถุประสงค์หรอื เปา้ หมายของโครงการท่ีกำหนดไว้ หรอื การประเมนิ เป็นกระบวนการให้ ได้มา ซึ่งสารสนเทศสำหรบั ผู้บริหารประกอบการตัดสินใจเก่ียวกับโครงการหรือการประเมินเป็นส่วน หนึ่งของกระบวนการดำเนินโครงการอยา่ งต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเร่ิมดำเนินโครงการจนถึงส้ินสดุ โครงการ ไปแล้วระยะหนง่ึ 2. องค์ประกอบการประเมิน จากแนวคิดหรือความเช่ือทำให้ผู้ประเมินออกแบบว่าจะ ประเมิน อะไรบ้าง จึงกำหนดองค์ประกอบและรายการท่ีจะประเมินทั้งหมด เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ตรง และครอบคลุมตามที่ต้องการ เช่น องค์ประกอบด้านปัจจัยของโครงการ ประกอบด้วยรายการ ท่ีจะ ประเมนิ คอื ความพร้อมและความเหมาะสมของงบประมาณ บคุ ลากร วัสดุและอุปกรณ์ เป็นตน้ 3) กระบวนการประเมินจากแนวคิดองค์ประกอบและรายการประเมินจะสะท้อนให้เห็น ถึงกระบวนการดำเนินการประเมิน เป็นการตอบคำถามว่าจะประเมินเมื่อไหร่ เก็บรวบรวมข้อมูลจาก ใคร อยา่ งไร รวมถึงจะประมวล วเิ คราะห์ และตัดสนิ ผลการประเมินอย่างไร สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2553:166)ได้เสนอเก่ียวกับสาระสำคัญของกระบวนทัศน์การประเมิน เพ่อื การจดั การโมเดลการประเมินซปิ ป์ (CIPP) ตามแนวคดิ ของสตัฟเฟลิ บมี (Stufflebeam) ดงั นี้ การประเมิน หมายถึง กระบวนการรวบรวมและสกัดข้อมูลเพื่อสารสนเทศเพ่ือการตัดสินใจ เราเชื่อม่ันว่าใครก็ตามมีสารสนเทศท่ีมีคุณภาพพอเพียง ครบถ้วนจะช่วยให้ผู้นั้นตัดสินใจได้อย่าง ถกู ต้องเสมอ ซึ่งการตดั สนิ ใจเก่ียวกับโครงการอาจแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท คอื PSIR ซึง่ ได้แก่ 1. Planning Decisions ซึ่งเป็นการตัดสินเพ่ือกำหนดผลลัพธ์ที่คาดหวังของโครงการน้ัน หรือวัตถุประสงค์ระยะส้ันของโครงการ (Purpose) และวัตถุประสงค์ระยะยาวของโครงการ (Goal) นั่นเอง 2. Structuring Decisions เปน็ การตัดสินใจเกี่ยวกับการวางโครงการเป็นวิธีการและกลวิธี ดำเนินโครงการ เพ่อื ให้บรรลุวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ 3. Implementing Decisions เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับการนำโครงการไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผล ทำอย่างไร การดำเนินโครงการน้ีจึงจะราบรื่นและประสบความสำเร็จตาม วตั ถุประสงค์ท่กี ำหนดไว้ 4. Recycling Decisions เป็นการตัดสินใจเก่ียวกับอนาคตของโครงการว่าควรจะทำต่อไป หรือควรจะยุติล้มเลิก หรือยกฐานะเป็นงานประจำหรือเป็นหน่วยงานใหม่ เป็นต้น โดยพิจารณาจาก ผลลพั ธ์ทเี่ กดิ ขนึ้ จริง (Actual Ends) ดังตารงที่ 2.1
55 ตารางท่ี 2.1 ประเภทของการตดั สินใจ ผลลพั ธ์(Ends) สงิ่ ที่คาดหวงั (Expected) สิ่งทเ่ี ปน็ จรงิ (Actual) วธิ ีการ(Means) PLANNING (P) RECYLING (R) STRUCTURING (S) IMPLEMENTING (I) นอกจากนี้สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2553:166) ได้สาระสำคัญของกระบวนทัศน์การ ประเมินเพื่อการจัดการโมเดลการประเมินซิปป์(CIPP)ตามแนวคิดของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) ดังภาพประกอบที่ 2.2 การประเมนิ วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการ สภาวะแวดล้อมหรอื บรบิ ท Context Evaluation การประเมนิ ปจั จยั วิธกี ารและกลวธิ ดี ำเนนิ โครงการ หรือทรพั ยากร Input Evaluation การประเมนิ กระบวนการ นำโครงการสูก่ ารปฏิบตั ิ Process Evaluation ความก้าวหนา้ ของโครงการ จุดแขง็ และจดุ อ่อนของโครงการ ปรับปรงุ วธิ ีการดำเนินโครงการ การเรง่ รัดโครงการ การประเมนิ ปรับขยายโครงการยตุ ิล้มเลิก ผลผลิตหรือผลลัพธ์ โครงการยกฐานะเป็นงานประจำ Product Evaluation ภาพประกอบที่ 2.2 โมเดลการประเมินแบบซิปป์ (CIPP)
56 จากตารางท่ี 2.1 และภาพประกอบท่ี 2.2 แสดงว่าในโมเดลซิปป์ (CIPP) แบง่ การ ประเมินเปน็ 4 ประเภท และเพอ่ื ให้สอดคล้องกบั การพฒั นาโครงการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คอื 1. การประเมินก่อนเริ่มโครงการ ซึ่งเป็นการประเมินเพื่อวางแผนโครงการซึ่งการ กำหนดวตั ถุประสงค์และวธิ ีการของโครงการ โดยเขยี นในรปู เอกสารโครงการ ในรปู แบบซปิ ป์ (CIPP) การประเมินก่อนเริ่มโครงการ ประกอบดว้ ย (1) การประเมินสภาวะแวดล้อมหรือการประเมินบริบท อันเป็นการประเมินความ ต้องการจำเป็นเพื่อกำหนดโครงการ การประเมินบริบทเป็นการประเมินสภาพเศรษฐกิจ สังคมการเมือง ตลอดจนปัญหาอปุ สรรคต่างๆ อนั นำไปส่ทู ศิ ทางและวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการ (2) การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร เป็นการตรวจสอบความพร้อมด้านทรัพยากร ท้ังด้านปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนระบบบริหารจัดการเพื่อวิเคราะห์และกำหนดทางเลือก ทีเ่ หมาะสมทสี่ ุดทจี่ ะทำให้บรรลุวัตถุประสงคท์ ี่กำหนด อีกทง้ั มีความเปน็ ไปไดท้ างดา้ นทรัพยากร จากการประเมินข้อ 1)และ2) นำไปสู่การเตรียมวางโครงการและการเขียนโครงการ ใน ก าร น ำ เส น อ โค ร งก าร เพ่ื อ ข อ อ นุ มั ติ จ ำ เป็ น ต้ อ งมี ก าร วิ เค ร าะ ห์ ค ว าม เห ม าะ ส ม ข อ ง โค ร งก า ร (Project Appraisal or Analysis) โดยพิจารณาจากหลักความสอดคล้องและความสมบูรณ์ของ โครงการหลักประสิทธิภาพโดยพิจารณาจาก Cost Benefit หรือ Cost Effectiveness หลักความ เหมาะสม ในการบริหารโครงการ ผลกระทบของโครงการและความเป็นธรรมของโครงการและหลัก ความเป็นไปไดท้ ้ังในดา้ นแผนงาน แผนเงินและแผนคน 2. การประเมินขณะดำเนินโครงการซ่ึงในรูปแบบซิปป์ (CIPP)คือการประเมิน กระบวนการนั่นเอง การประเมินกระบวนการเป็นการประเมินการดำเนินงานเม่ือนำโครงการที่ วางแผนไว้ไปสู่การปฏิบัติ ท้ังน้ีเพ่ือศึกษาจุดแข็งและจุดอ่อน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคของการ ดำเนินโครงการ อะไรเป็นมูลเหตุท่ีทำให้สามารถหรอื ไม่สามารถดำเนินโครงการตามท่ีวางแผนไว้ การ ประเมินกระบวนการดำเนินโครงการ เป็นการประเมินเพื่อปรับปรุงการดำเนินโครงการได้อย่าง ทันท่วงทีการประเมินในขั้นตอนน้ี จึงมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของการดำเนินโครงการในการ บริหารโครงการผู้บริหารจะเสริมระบบการประเมินเพ่ือการปรับปรุงโครงการ (Formative Evaluation) ด้วยการจัดระบบการกำกับงาน (Monitoring System) เพื่อติดตามความก้าวหน้าและ เร่งรดั การดำเนนิ โครงการให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ภายในทรพั ยากรและระยะเวลาท่ีกำหนด 3. การประเมินหลังส้ินสุดโครงการ ซ่ึงในรูปแบบซิปป์ (CIPP)เรียกว่า การประเมินผล ผลิตของโครงการ เป็นการประเมินท่ีมุ่งตอบคำถามว่าโครงการประสบความสำเร็จตามแผนท่ีวางไว้ หรอื ไม่ ผลผลิตของโครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ผลการดำเนินงานโครงการคุ้มค่าเพียงใด การประเมินหลังส้ินสุดโครงการแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ ประเมินทันทีท่ีส้ินสุดโครงการซ่ึงเป็นผลลัพธ์ และการประเมินผลกระทบของโครงการท้ังในทางบวกและทางลบซ่ึงนิยมทำการประเมินด้วยเทคนิค การติดตามผล (Follow up Study or Tracer Study) ผลการประเมินหลังสิ้นสุดโครงการจะให้ สารสนเทศเพ่ือตัดสินใจเก่ียวกับอนาคตของโครงการว่าควรจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ควรจะมีการ ปรับขยายแล้วดำเนนิ การต่อไปอกี ระยะหนง่ึ หรือควรสนิ้ สุดโครงการไปตามเวลาที่กำหนดไว้ หรอื ควร ทจี่ ะไดร้ ับการเลือ่ นฐานะใหเ้ ปน็ งานประจำ
57 สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2553:171-172) ได้สรุปจุดเน้นโมเดลซิปป์ของ J.W.Altschuld และP.M.Thomas ในปี ค.ศ.1989 โดยสรุปโมเดลซิปป์เป็นรูปแบบการประเมินที่ให้สารสนเทศเพื่อ การวางแผนโครงการ เพ่ือการนำโครงการไปปฏิบัติ เพ่ือปรับปรุงโครงการอย่างทันท่วงทีและให้ รปู แบบซิปป์ เป็นรูปแบบการประเมินทชี่ ว่ ยให้เกดิ การพัฒนาโครงการ ดงั ตารางท่ี 2.2 ตารางที่ 2.2 โมเดลซิปป์ (CIPP MODEL) จำแนกตามวตั ถปุ ระสงค์ วธิ ีการและความสมั พนั ธ์กบั การตัดสินใจ การประเมิน บริบ ท การประเมิน การประเมิน การประเมิน (C) ปัจจัยเบอ้ื งตน้ (I) กระบวนการ(P) ผลลพั ธ์ ( P ) วตั ถุประสงค์ เปน็ การนิยามบรบิ ท ระบแุ ละประเมิน ระบุจุดออ่ นในการ โยงสัมพนั ธส์ ารสนเทศ วิธกี าร เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารระบุ ความสามารถ ออกแบบเชิง เชิงผลลัพธก์ ับ ความสัมพนั ธ์ และประเมนิ ความตอ้ งการ ของระบบกลยุทธ์ กระบวนการและ สารสนเทศเกย่ี วกับ การตัดสินใน กระบวนการ จำเปน็ (needs)และโอกาส ในเชิงปัจจยั ทมี่ อี ยู่ บนั ทกึ ปฏิบัติ วัตถุประสงค์บรบิ ท เปล่ยี นแปลง วนิ ิจฉัยปัญหาที่อยู่ กลยุทธท์ ่เี ปน็ ไปได้ จดั หาสารสนเทศ ปัจจัยเบื้องตน้ และ เบือ้ งหลงั ความตอ้ งการ ในเชิงปฏิบัติ เพอื่ การตดั สินใจ กระบวนการต่างๆ จำเปน็ และโอกาสน้นั เกีย่ วกบั กระบวน การกิจกรรมตา่ งๆ ที่ไมไ่ ด้ดำเนนิ การ บรรยายและเปรียบเทยี บ บรรยายและ กำกับอปุ สรรคท่ี นยิ ามและกำหนด ปัจจัยเบ้อื งตน้ ทีใ่ ชจ้ รงิ วิเคราะห์ถงึ เป็นไปได้ใน เกณฑก์ ารประเมินการ กบั ท่ีคาดหวัง ทรพั ยากรทีม่ ี กระบวนการ บรรลวุ ตั ถุประสงค์ ผลผลติ ท่ีเปน็ จริง ทง้ั ดา้ นตนและ ดำเนนิ งานและ เปรยี บเทยี บกับ กบั ท่ีคาดหวังเปรยี บเทียบ วสั ดอุ ุปกรณ์ตา่ งๆ ต่ืนตวั ต่ออปุ สรรค มาตรฐาน ความน่าจะเปน็ ของระบบ กลยุทธท์ ม่ี งุ่ ท่ไี ม่คาดคดิ วา่ จะ ทไี่ ด้กำหนดไว้ วิเคราะห์ เป้าประสงค์ เกิดข้นึ ใหไ้ ด้ ลว่ งหนา้ แปล สาเหตขุ องความ ตลอดจน สารสนเทศสำหรบั ความหมาย ไม่สอดคลอ้ ง กระบวนการ การตดั สินใจ ของผลลัพธ์ ท่ีมีความเป็นไปได้ เชงิ กระบวนการ และประหยดั ตดั สนิ ใจเกยี่ วกับ เลือกแหล่ง ดำเนินการและ การดำเนินการ บรบิ ท หรือ การสนบั สนุน ปรับปรงุ แบบ ตอ่ ไปการยุติ สภาวการณ์ กลยุทธ์ ข อ งโป รแ ก รม การปรับขยาย ของโครงการและ มุ่งเป้าประสงค์ และ หรอื การนำ เป้าประสงค์ท่ีเป็นผล และกระบวนการ วธิ ีการสำหรบั กระบวนการเดิม จากการวางแผน ทีก่ อ่ ใหเ้ กิด การควบคุม มาใช้ใหม่ในระยะ การเปลี่ยนแปลงตาม การเปลยี่ นแปลง กระบวนการ ตอ่ ไป ความตอ้ งการจำเป็น ทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ (needs)
58 ในกระบวนการเปล่ียนแปลงบริหารโครงการตลอดจนการกำหนดอนาคตของโครงการ จงึ กลา่ วได้ว่ารูปแบบซิปป์(CIPP) เป็นรูปแบบการประเมินเพ่ือพัฒนาโครงการและประกนั ประสิทธิผล ของโครงการไดเ้ ป็นอย่างดี คอมราดและวิลสัน (Comrad and Wilson,1985:20-30,อ้างถึงในภูมิศักด์ิ ราศี,2551, ไมป่ รากฏเลขหน้า) กล่าวว่า รูปแบบการประเมินโครงการท่นี ยิ มใชก้ นั แบ่งได้ 5 รปู แบบ ดังนี้ 1. รปู แบบการประเมินตามวตั ถุประสงค์ (Goal–based Model) พื้นฐานการประเมนิ รูปแบบน้ี คือ ไทเลอร์ (Tyler) รปู แบบการประเมินตามวัตถุประสงคเ์ ปน็ รปู แบบการประเมนิ ทีเ่ กา่ แกท่ ่ีใชก้ ันอยา่ ง กว้างขวางที่สุดในการประเมนิ โครงการต่างๆ 2. รูปแบบการประเมินแบบการตอบสนอง (Responsive Model) รูปแบบการประเมิน โครงการน้ีพัฒนามาจากรูปแบบการประเมินของ สคริเวน (Scriven) ซ่ึงประเมินยึดจุดมุ่งหมายและ ผลขา้ งเคยี ง (Side Effect) เป็นหลัก สเตค (Stake) ได้พัฒนารปู แบบการประเมินโครงการหลายคนได้ ให้การสนับสนุนตามแนวคิดนี้ เช่น กุบา(Guba)ลินคอล์น(Lincoln)การประเมินโครงการตามลักษณะ นีเ้ น้นที่กิจกรรมมากกว่าจดุ มุ่งหมายของโครงการ 3. รูปแบบการประเมินโดยผู้ชำนาญ (Connoisseurship Model) การประเมินโครงการ ตามรปู แบบ นมี้ ีความแตกตา่ งจากรูปการประเมนิ ทงั้ สองรูปแบบท่ีกล่าวมาแลว้ ไอสเ์ นอร์ (Eisner) ได้ เสนอแนวคิดของการประเมินตามรูปแบบน้ี ซึ่งมีสถาบันการศึกษาต่างๆ นิยมนำไปเป็นแนวทาง ในการปฏิบัติ 4. รปู แบบการประเมนิ เพื่อการตัดสินใจ (Decision-Making Model) การประเมนิ โดย พจิ ารณาอยา่ งรอบดา้ น ไมว่ ่าจะเป็นจุดมุง่ หมายของโครงการหรือปญั หาข้อโต้แย้งต่างๆ ในการ ประเมนิ โครงการต้นแบบของการประเมนิ ตามรปู แบบการประเมนิ เพอ่ื ตัดสนิ ใจ (Decision-Making Model) มอี ยู่ 2 แบบ คอื รปู แบบซปิ ป์ (CIPP Model) ของสตฟั เฟลิ บมี (Stufflebeam) และ CSE Model ของอัลคนิ (Alkin) ทั้งสองรปู แบบน้มี คี ุณสมบตั คิ ล้ายคลึงกันมาก 5. การประเมนิ ตามกรอบตรรกะของโครงการ (Log–frame) โดยพิจารณาองคป์ ระกอบ 3 ส่วน ดังนี้ (1) จดุ มุ่งหมายของโครงการ (Objectives) (2) ส่ิงที่บอกความก้าวหน้าตามเป้าหมาย (Objectively Verifiable Indicators) หมายถงึ สภาพการณ์ท่ชี ี้ใหเ้ หน็ ว่าโครงการบรรลเุ ปา้ หมายทั้งในระดับผลผลิต (Output) วตั ถปุ ระสงค์ (Purpose) และเป้าหมายระดับสูง (Goal) ซ่ึงอาจจะมีทั้งลักษณะที่แสดงในเชิงปริมาณ (Quantitative)และ คณุ ภาพ (Qualitative) (3) ข้อสันนิษฐานเก่ียวกับความสำเร็จของโครงการ เพื่อให้ผู้เก่ียวข้องกับโครงการ สามารถกำหนดความรับผิดชอบของผู้บริหารโครงการได้อย่างชัดเจน หากโครงการมีความล้มเหลว เนื่องจากปัจจัยภายนอก หรือสถานการณ์ท่ีนอกเหนือการควบคุมของโครงการแล้ว ผู้บริหารไม่ต้อง รบั ผิดชอบ สรุปได้ว่า การกำหนดรูปแบบการประเมินโครงการโดยทั่วไปจะพิจารณาจากสิ่งท่ี เกี่ยวข้องกับโครงการ ประกอบด้วย แนวคิดหรือความเช่ือในเร่ืองการประเมินโครงการ องค์ประกอบ ของสง่ิ ที่จะทำการประเมินและกระบวนการในการประเมนิ โครงการ
59 3.5 วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ มนี ักวชิ าการทางการประเมินหลายคน ไดจ้ ำแนกวตั ถปุ ระสงค์ของการประเมนิ โครงการไว้ ดังน้ี โบรฟีและกูเลอร์ (อ้างถึงใน Worthen and Sanders,1987:6) ได้กล่าวถงึ วัตถุประสงค์ของ การประเมินโครงการท่ีสำคัญ 3 ประการคือ 1) เพื่อการวางแผนดำเนินงานและ/หรือผลผลิตของโครงการ 2) เพื่อการปรับปรุงกระบวนการและ/หรือผลผลิตของโครงการและ3) เพ่ือการตัดสินคุณค่าของ กระบวนการและ/หรอื ผลผลติ ของโครงการ รัตนะ บัวสนธ์ (2540:18-20) ได้กลา่ วไว้ว่าวัตถุประสงค์สำคัญในการประเมนิ โครงการ มี 3 ประการคือ 1) เพื่อรวบรวมข้อมูลช่วยในการตัดสินใจเก่ียวกับความเป็นไปได้ ของโครงการเม่ือนำไป ดำเนินการหรือการตัดสินใจก่อนการดำเนินโครงการ 2) เพ่ือรวบรวมข้อมูลช่วยในการตัดสินใจ ปรับปรุงส่วนต่างๆ ของโครงการเม่ือมีการนำโครงการไปดำเนินการหรืออยู่ในระหว่างการดำเนิน โครงการ 3) เพื่อรวบรวมข้อมูลช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับขยายโครงการให้มีการดำเนินงานอย่าง ต่อเน่อื งหรอื การลม้ เลิกโครงการ แอนเดอร์สัน และบอล (อ้างอิงใน Worthen and Sanders,1987:198) ได้กล่าวถึง วัตถุประสงค์การประเมินโครงการมีวัตถุประสงค์ท่ีสำคัญ 6 ประการ ดังนี้ 1) เพื่อจัดหาข้อมูล สารสนเทศสำหรับช่วยในการตัดสนิ ใจนำโครงการไปปฏิบัติ โดยการประเมินว่าโครงการทจ่ี ัดทำข้ึนนั้น มคี วามจำเปน็ มากน้อยเพียงใด หรือมีความสมเหตสุ มผลหรือไม่ มีความเปน็ ไปได้หรือคุ้มค่ากับเงินทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆเพียงใด เป็นโครงการที่กลุ่มเป้าหมายมีความต้องการหรือจะให้การสนับสนุนหรือไม่ เพยี งใด ข้อมูลจากการประเมินเหล่าน้ีจะนำมาใชป้ ระกอบการตัดสินใจของผู้บริหารหรอื แหล่งทุนท่ีจะ อนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าว 2) เพื่อจัดหาข้อมูลสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจเกี่ยวกับการ ปรับปรุงโครงการซึ่งเป็นการประเมินเมื่อนำโครงการไปดำเนินการระยะหน่ึงหรือเป็นการประเมิน ในช่วงการดำเนินโครงการทั้งน้ีโดยทำการประเมิน เพ่ือท่ีจะปรับปรุงส่วนต่างๆของโครงการ 3) เพื่อ จัดหาข้อมูลสารสนเทศสำหรับช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการต่อเน่ืองหรือการขยาย โครงการและการรบั รองโครงการ เป็นการประเมินผลสรปุ เม่ือส้ินสุดโครงการตามระยะเวลาท่ีกำหนด 4)เพ่ือจัดหาข้อมูลสารสนเทศที่จะใช้ประโยชน์ในการขอรับการสนับสนุ นการดำเนินโครงการจาก แหล่งต่างๆ 5)เพือ่ ท่ีจะไดร้ ับทราบขอ้ เทจ็ จรงิ เกีย่ วกบั การขัดขวางหรือต่อต้านโครงการจากแหลง่ ต่างๆ บางครั้งโครงการท่ีดำเนินการอยู่นั้นก็อาจจะถูกขัดขวางหรือต่อต้านทำให้การดำเนินโครงการไม่อาจ เป็นไปได้โดยสะดวกและอาจจะไมไ่ ดร้ บั การตอบสนองตอ่ วัตถุประสงค์ของโครงการท่ีกำหนดไว้ ดังน้ัน การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพ่ือพิจารณาว่าแหล่งใดบ้างท่ีขัดขวางโครงการจึงเป็นส่ิงจำเป็น ท้ังนี้เพ่ือจะได้หาทางแก้ไขป้องกันหรือปรับปรุงให้สามารถดำเนินโครงการได้โดยสะดวกต่อไป 6)เพ่ือ ช่วยให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการพื้นฐานต่าง ๆ ซ่ึงหมายถึงการได้รับความรู้ ความเข้าใจใน พ้ืนฐานอ่นื ที่นอกเหนือจากความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับโครงการประเมนิ สรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ เพื่อจัดหาข้อมูลสารสนเทศสำหรับชว่ ยใน การตัดสินใจ ความเป็นไปได้ของโครงการ การปรับปรุงโครงการแล้วดำเนินการ และการตัดสินคุณค่าของ โครงการ โดยคำนงึ ถงึ ผลผลิตและผลลพั ธ์
60 3.6 ขั้นตอนการประเมินโครงการ การประเมินโครงการมีความสำคัญสำหรับผู้บริหารหรือผู้สนับสนุนงบประมาณ ในการ ตัดสินใจ ปรับปรุง หรือล้มเลิกโครงการ การกำหนดขั้นตอนต่าง ๆ ในการวิจัยประเมินโครงการจึงมี ความจำเป็นและควรให้มีลักษณะท่ีเอ้ืออำนวยและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ผลการประเมิน ผู้ใช้ผลการประเมิน แต่ละระดับมีความต้องการและความสนใจที่แตกต่างกัน เช่น ผู้บริหารระดับสูง สนใจข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย ระดับรองลงมาสนใจข้อมูลเก่ียวกับการวางแผน ระดับปฏิบัติการสนใจ ข้อมูลในข้ันตอน การดำเนินโครงการ การดำเนินงานประเมินโครงการตามขั้นตอนต่างๆ ท่ีเหมาะสม จึงจะทำให้ผลการประเมินมีคุณภาพ สามารถกำหนดข้ันตอนการประเมินโครงการแบ่งออกเป็น 6 ข้ันตอน (เยาวดี รางชัยกุล วบิ ูลยศ์ รี, 2546:279-288) ดังนี้ ขน้ั ตอนท่ี 1 การศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับโครงการ ก่อนทำการประเมินโครงการ ผปู้ ระเมินจะตอ้ งศึกษาเอกสารที่เกย่ี วข้องกับโครงการ เช่น โครงการท่ีเสนอขออนุมัติ ถา้ เป็นโครงการ นำร่อง ก็ควรศึกษาเอกสารรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือถ้ามีรายงานผลการประเมิน โครงการ ฉบับสมบูรณ์ก็ควรนำมาศึกษา จะทำให้ผู้ประเมินได้เข้าใจความเป็นมาของโครงการ สภาพแวดล้อม วัตถุประสงค์ ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ซ่ึงจะทำให้ผู้ประเมินสามารถกำหนดประเด็น การประเมนิ และตวั ช้ีวดั ตอ่ ไปได้ ขั้นตอนท่ี 2 การกำหนดวตั ถุประสงคข์ องการประเมนิ ในขั้นตอนนี้ ผู้ประเมินจะต้อง ตอบคำถามให้ไดว้ ่า จะประเมนิ โครงการอะไร ประเมินทำไม เพ่อื ใคร หรือใครเป็นผู้ใชผ้ ลการประเมิน ข้อมูลที่จะตอบคำถามเหล่าน้ีได้มาจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการ สัมภาษณ์ ผ้รู บั ผิดชอบโครงการ ผสู้ นับสนนุ โครงการ ข้ันตอนที่ 3 การกำหนดขอบเขตของการประเมิน เป็นขั้นตอนท่ีสำคัญอีกขั้นตอน หนึ่งที่จะทำให้การประเมินโครงการสามารถดำเนินการได้และบรรลุเป้าหมายท่ีต้องการ โดยพิจารณา จากพ้นื ทที่ จี่ ะทำการประเมิน หนว่ ยงานท่ตี ้องการติดตาม บคุ คลที่ผ้ปู ระเมินต้องการสัมภาษณ์ เปน็ ต้น ข้ันตอนท่ี 4 การพิจารณาตัวบ่งช้ีและแหล่งข้อมูล การกำหนดตัวบ่งชี้ในการประเมิน สามารถกำหนดได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือจากโมเดลการประเมินเชิงทฤษฎี เช่น การ กำหนดตัวบ่งชี้จากรูปแบบการประเมินแบบซิปป์ (CIPP Model)หรืออาจจะพิจารณาจากความ คาดหวังของผู้ใช้ผลการประเมินก็ได้ ตัวบ่งชี้มีทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ในเชิงปริมาณ เช่น จำนวน นักเรียนท่ีผ่านเกณฑ์ร้อยละของนักศึกษาที่มีบุตร อัตราส่วนจำนวนนักเรียนต่อครูในเชิงคุณภาพ เช่น ความเหมาะสม ความสอดคล้อง ประสิทธิภาพในการทำงาน เปน็ ตน้ ขั้นตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ทั้งเชิงปริมาณและเชิง คณุ ภาพ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับข้อมูลท่ีผู้ประเมินเก็บรวบรวมมา ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจำนวนผู้เข้าร่วมอบรมใช้ ค่าร้อยละ ความคิดเห็นต่อโครงการที่อยู่ในรูปมาตราส่วนประมาณค่า ใช้ค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน ข้อมูลที่เก็บรวมรวมจากเอกสาร การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม ฯลฯ ใช้เทคนิคการ วเิ คราะห์เนื้อหา ข้ันตอนท่ี 6 การสรุปผลการประเมิน การสรุปผลจากการประเมินโครงการ ผู้ ประเมินควรเน้นประเด็นท่ีสำคัญดังน้ี คือ ผลผลิตจากโครงการ ปัญหา และข้อจำกัดของการดำเนิน
61 โครงการ ข้อเสนอแนะ เพ่ือการปรับปรุงโครงการ นอกจากน้ันควรสรุปผลโครงการไปในดา้ นอื่นๆด้วย (เยาวดี รางชยั กลุ วบิ ลู ย์ศรี, 2546: 287) เช่น (1) การยอมรับในคณุ ค่าของโครงการจากกลมุ่ เป้าหมาย (2) การขยายผลของโครงการและความต้องการของโครงการท่ตี ่อเนอ่ื ง (3) การกอ่ ให้เกดิ “สิ่งใหม่” เชน่ เทคโนโลยหี รอื เอกสารทางวชิ าการ (4) การเปล่ียนแปลงสภาวะแวดล้อมทางกายภาพหรอื ทางสงั คม (5) การเรียนรูจ้ ากการปฏิบตั โิ ครงการท่ีชว่ ยให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (6) การแพร่กระจายผลให้เปน็ สารสนเทศทเี่ ป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องกับโครงการ (7) การพฒั นาศักยภาพหรือประสทิ ธิภาพของโครงการในดา้ นอืน่ ๆ จะเห็นได้ว่าการประเมินโครงการมีความสำคญั และความจำเป็นในการพัฒนาการทำงาน ใหป้ ระสบความสำเร็จ การประเมินจะทำให้ทราบจดุ อ่อน จดุ แข็ง และจดุ ท่ีองคก์ รควรได้รบั การพฒั นา ก่อนท่ีจะสามารถประเมินโครงการได้ การเขียนโครงการให้ถูกต้องมีสาระสำคัญครบถ้วนเพื่อนำไปสู่การ อนุมตั ิให้จดั ทำโครงการมีความสำคัญเช่นเดียวกัน 3.7 ประโยชน์ของการประเมนิ โครงการ มีผูก้ ล่าวถึงประโยชนข์ องการประเมนิ โครงการไวใ้ นลักษณะเดียวกนั ดังน้ี สมคิด พรมจุ้ย (2550:30) ได้สรุปประโยชนข์ องการประเมินโครงการไว้ ดังน้ี 1. ช่วยให้ข้อมูลและสารสนเทศต่างๆ เพ่อื นำไปใช้ในการตัดสินใจเก่ียวกับการวางแผน โครงการ ตรวจสอบความพร้อมของทรัพยากรต่างๆ ทจ่ี ำเป็นในการดำเนินโครงการตลอดจนการตรวจสอบ ความเปน็ ไปได้ในการจัดกิจกรรมต่างๆ 2. ช่วยทำให้การกำหนดวัตถุประสงคข์ องโครงการมคี วามชัดเจน 3. ช่วยในการจัดหาข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรคของการดำเนิน โครงการ 4. ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสำเร็จและความล้มเหลวของโครงการ เพ่ือใช้ในการ ตัดสนิ ใจและวนิ ิจฉัยวา่ จะดำเนินการในชว่ งต่อไปหรอื ไม่ จะยกเลิกหรือขยายการดำเนินการต่อไป 5. ช่วยใหไ้ ดข้ อ้ มูลที่บง่ บอกถึงประสิทธภิ าพของการดำเนินการว่าเป็นอย่างไร 6. เป็นแรงจูงใจให้ผู้ปฏิบัติโครงการ เพราะการประเมินโครงการด้วยตนเองจะทำให้ ผู้ปฏิบัติงานได้ทราบผลการดำเนินงาน จุดเด่น จุดด้อยและนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนา โครงการให้มปี ระสิทธภิ าพยิ่งขนึ้ เชาวว์ อนิ ใย (2555:12) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของการประเมินโครงการ สรุปได้ คอื เป็นกระบวนการ ที่มีระบบเพ่ือตัดสินความเป็นไปได้ของโครงการ เป็นการเตรียมสารสนเทศเพ่ือใช้ในการปรับปรุง โครงการทางสังคมศาสตร์ ช่วยให้มีทางเลือกในการดำเนินโครงการได้มากมายท่ีจะทำให้การดำเนิน โครงการมปี ระสทิ ธิภาพ ตลอดจนใช้ในการปรับปรุงโครงการใหเ้ กดิ ประโยชน์และความคุ้มค่ามากที่สุด เยาวดี รางชัยกุล วิบลู ยศ์ รี (2553:93-95) กล่าวถึงประโยชนข์ องการประเมินโครงการไว้ ดังนี้ 1. การประเมินเป็นเคร่ืองมือของการรับรองคุณภาพในการให้บริการถึงแม้จะไม่สามารถ ประกันผลสัมฤทธิ์ชั้นสูงสุดของโครงการได้ แต่ก็สามารถจะรับรองคุณภาพของการให้บริการในระดับ หนึ่งได้ ด้วยเหตุนี้ องค์กรที่เป็นเจ้าของโครงการต่างๆ จำนวนมากจึงเห็นความจำเป็นที่ต้องใช้วิธี
62 ประเมินโครงการเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและเป็นท่ีน่าเช่ือถือจากบุคคลที่เก่ียวข้องรวมทั้งจากประชาชน ทัว่ ไปด้วย 2. การประเมินช่วยให้ผู้สนับสนุนด้านเงินทุนได้รับทราบปัญหาหรืออุปสรรคในการ ดำเนินการของโครงการโดยอาศยั หลกั ฐานเชิงประจกั ษจ์ ากสภาพการณ์ทเ่ี ป็นจริง 3. การประเมินช่วยให้ได้ข้อมูลซ่ึงเป็นสารสนเทศที่มีคุณค่าสำหรับหน่วยงานที่ เก่ียวข้อง อาทิ หน่วยงานท่ีต้องพิจารณาจัดสรรเงินทุนเพ่ือให้การสนับสนุนโครงการ เช่น สำนัก งบประมาณแผ่นดิน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าก่อนท่ีจะมีการอนุมัติงบประมาณให้แก่โครงการใดๆ ทางสำนักงบประมาณแผน่ ดินกม็ ักจะขอข้อมูลสารสนเทศทเ่ี ป็นผลการประเมนิ จากหน่วยงานซึ่งจัดทำ โครงการเหล่าน้ันไปประกอบการพิจารณาด้วยเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้การจัดสรรเงินงบประมาณเป็นไป อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ลดคำวิพากษ์วิจารณแ์ ละสอดคลอ้ งกับความต้องการท่เี ป็นจริง 4. การประเมินช่วยชี้ให้เห็นความสำคัญของแต่ละโครงการตามลำดับก่อนหลัง โดยสามารถจะทราบได้ว่า โครงการใดมีความจำเป็นเร่งด่วนกว่ากัน ทั้งน้ีเพ่ือช่วยแก้ปัญหาในการ คัดเลือกโครงการ ตลอดจนชว่ ยลดความกดดันจากทางการเมอื ง อันเนื่องมาจากโครงการมีจำนวนมาก (ท้ังจากการขยายโครงการและโครงการต่อเน่ือง) แต่เงินทุนสนับสนุนมีจำนวนจำกัด ดังน้ัน การ ประเมินโครงการต่างๆ อย่างมีระบบและครบทุกขั้นตอนจะทำให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีน่าเชื่อถือ ซ่ึงจะช่วยช้ีแนะได้ว่า โครงการใดควรจะได้รับการพิจารณาให้การสนับสนุนก่อน และโครงการใด ควรจะให้การสนับสนนุ ในลำดับถดั ไป 5. การประเมินช่วยให้ได้ขอ้ มูลป้อนกลับจากผู้รับบริการ ข้อมูลประเภทน้ีทำให้ทราบ ถึงข้อจำกัดและปัญหาต่างๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อนำมาปรับปรุงโครงการ ตลอดจนเพื่อก่อให้เกิด ความสัมพนั ธท์ ี่ดรี ะหวา่ งผูใ้ ห้และผรู้ บั บรกิ าร 6. การประเมินช่วยให้ทราบถึงผลผลิตของโครงการทั้งในด้านท่ีพึงประสงค์และไม่พึง ประสงค์ควบคู่กันไป ถึงแม้ว่าการดำเนินโครงการต่างๆ ล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผลผลิตที่พึง ประสงค์เป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็อาจจะมีผลผลิตบางสว่ นทีไ่ ม่พงึ ประสงคเ์ กดิ ตามมาด้วย สรุปได้วา่ การประเมินโครงการช่วยให้ได้ข้อมูลสารสนเทศในการกำหนดวัตถุประสงค์ของ การดำเนินงานให้มีความชัดเจน ชว่ ยให้ผู้สนับสนนุ ด้านเงินทนุ ได้รบั ทราบปัญหา หรืออปุ สรรค จดุ แข็ง จุดอ่อนในการดำเนินงานของโครงการ ช่วยให้ได้ข้อมูลสารสนเทศสำหรับหน่วยงาน ช่วยให้เห็น ความสำคญั ของโตรงการ ทำให้ทราบขอ้ จำกัดและปญั หาในการปฏบิ ัติงานเพื่อนำมาปรับปรุงโครงการ ให้มปี ระสิทธิภาพยงิ่ ข้นึ และพิจารณาวา่ จะดำเนินการตอ่ ไปหรอื ยกเลิกโครงการ 3.8 เกณฑ์การประเมินโครงการ ในการประเมินโครงการ ผู้ท่ีประเมินต้องมีการกำหนดเกณฑ์ขึ้นใช้ในการประเมินเพราะ เกณฑ์การประเมินคือสิ่งที่เป็นหลักสำหรับการตัดสินใจ ซึ่งการกำหนดเกณฑ์การประเมินทำได้หลาย วิธีผู้ประเมินได้ศกึ ษาเก่ยี วกับเกณฑก์ ารประเมนิ โครงการ รายละเอยี ด ดังนี้
63 3.8.1 ความหมายของเกณฑ์ นักการศกึ ษาไดใ้ หค้ วามหมายของเกณฑ์ (Criterion) ไวด้ ังน้ี ศริ ิชัย กาญจนวาสี (2547:83) กลา่ ววา่ เกณฑ์ หมายถงึ คณุ ลักษณะหรือระดับท่ีถือ วา่ เปน็ คณุ ภาพความสำเรจ็ หรือความเหมาะสมของทรัพยากรการดำเนนิ งาน หรอื ผลการดำเนินงาน สุวิมล ว่องวาณิช (2544:75) กล่าวว่า เกณฑ์ คือระดับที่ใช้ตัดสินความสำเร็จของ การดำเนนิ งานตามตัวบง่ ช้ีท่กี ำหนด สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2553:80) กล่าวว่า เกณฑ์ หมายถึงสิ่งที่เราใช้ตัดสินคุณภาพ ของผลลพั ธท์ ่ไี ด้ หรอื ส่วนประกอบ (Performance) ซงึ่ แสดงออกในรูปพฤตกิ รรมท่ียอมรับ สรุปได้ว่า เกณฑ์ หมายถึง คุณลักษณะหรือระดับที่เป็นภาพความสำเร็จท่ีกำหนดไว้เพ่ือใช้ ตดั สินผลการดำเนนิ งานหรอื ความสำเรจ็ ของสิ่งใดสง่ิ หนงึ่ 3.8.2 ประเภทของเกณฑ์การประเมิน นักการศกึ ษาได้จำแนกประเภทของเกณฑ์การประเมิน ดงั น้ี รตั นะ บัวสนธ์ (2540:186) จำแนกเกณฑ์เพอื่ การประเมินผลโครงการตามลักษณะ ของเกณฑ์ เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) การกำหนดเกณฑ์สัมบูรณ์ หมายถึง หลักที่ใช้ตัดสินใจซ่ึงมีการ กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนตายตัว กล่าวคือ เกณฑ์สัมบูรณ์ที่กำหนดข้ึนอาจเกิดขึ้นได้โดยผู้รู้และ ผ้เู ก่ียวข้องกับโครงการน้ันร่วมกันกำหนด 2)การกำหนดเกณฑ์สัมพัทธ์ หมายถึง การใช้หลักการตัดสินใจ ต่อผลการดำเนินโครงการใดโครงการหน่ึง โดยการนำไปเปรียบเทียบกับผลของอีกโครงการหนึ่ง ที่มี ลักษณะเดยี วกนั หรอื เปรียบเทียบของโครงการเดิมท่เี คยดำเนินการผา่ นมา สุวิมล ว่องวาณิช (2544:75-76) กล่าวว่า โดยท่ัวไปเกณฑ์ท่ีใช้ในการตัดสินผลเก่ียวกับ การปฏิบัติงานมี 2 ประเภทคือ 1) เกณฑ์สัมบูรณ์ เป็นระดับที่ใช้ในการตัดสินความสำเร็จของการ ปฏิบัตงิ านตามมาตรฐานท่ีเหมาะสม และยอมรับได้ 2) เกณฑ์สัมพัทธ์ เป็นระดับท่ีใช้ในการตดั สินการ ปฏิบัติงานโดยเทียบกับผลการดำเนินงานท่ีเคยผ่านมาแล้ว หรือเทียบกับเกณฑ์ปกติวิสัย (norm) ท่ีโครงการ หรือสถานศกึ ษาทั่วไปสามารถทำได้ หรือเปรียบเทียบกบั ผลการดำเนินงานของสถานศกึ ษาอนื่ สรุปได้ว่า ประเภทของเกณฑ์การประเมิน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือเกณฑ์ สัมบูรณ์ซ่ึงเปน็ เกณฑ์ใช้ตัดสินความสำเร็จของการปฏิบัติงานโดยเทยี บกับมาตรฐานและเกณฑ์สัมพัทธ์ เป็นเกณฑ์ใช้ตดั สินการปฏิบตั ิงานโดยเทยี บกับผลการดำเนินงานท่ีผ่านมาหรือเกณฑป์ กติ 3.8.3 การกำหนดเกณฑก์ ารประเมิน การกำหนดเกณฑ์การประเมนิ นกั การศึกษาไดก้ ำหนด เกณฑก์ ารประเมนิ ดังน้ี สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2553:80-82) ได้กำหนด เกณฑ์การประเมิน ดังน้ี 1) โมเดลความงอกงาม (Growth Model) เป็นการพิจารณาจากความงอกงามหรือพัฒนาการท่ีเพ่ิมข้ึน 2) โมเดลสัมบูรณ์ (Absolute Model) เป็นการกำหนดโดยหลักเหตุผล แบ่งเป็นกรณีท่ีมีหน่วยตามธรรมชาติ เกณฑ์เหล่านี้มีอำนาจในการทำนายสูงมาก ผู้ใดท่ีมีความประพฤติผ่านเกณฑ์จะเป็นผู้ที่มีความรู้หรือ ทักษะในเรื่องเหล่านั้นเป็นอย่างดีโดยสรุปคะแนนที่เป็นเกณฑ์ในกรณีนี้กับพฤติกรรม การปฏิบัติ มคี วามสัมพนั ธ์กันสูงมาก สำหรับกรณไี ม่มีหน่วยตามธรรมชาติ เรากจ็ ะใชค้ วามคิดเหน็ ของผเู้ ชยี่ วชาญ เป็นผู้กำหนดขึ้น เช่น สัดส่วนท่ีบัณฑิตควรสำเร็จในแต่ละรนุ่ เท่าไร เป็นต้น ควรเป็น 1.00 เลยหรือไม่ เราก็ใช้ค่าเฉลี่ยจากความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญเป็นเกณฑ์ในการประเมินหรืออาจกำหนด โดยอาศัย
64 กฎเกณฑ์หรือค่านิยมของสังคมเป็นหลัก3) โมเดลสัมพัทธ์ (Relative Model) เป็นการกำหนดโดย เปรียบเทียบพฤติกรรมของกลมุ่ โดยแบ่งเป็น 3 กรณี คอื กรณีแบบเปรยี บเทียบกันเองภายในกลุ่มหรือการ เปรียบเทียบกับปกติวิสัยเช่น ผู้ที่สอบผ่านต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า X-2S.E เป็นต้น อีกกรณีหน่ึงเป็นการ เปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นที่คล้ายคลึงหรือเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม เช่น การทดลองหลักสูตรใหม่ เกณฑ์ในการพิจารณาก็คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนหลักสูตรใหม่จะต้องสูงกว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนหลักสูตรเก่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เป็นต้นหรือในการ จัดอบรมที่คล้ายคลึงกันผลสัมฤทธ์ิในการอบรมไม่ควรแตกต่างกันก็ถือเป็นเกณฑ์ใ นการประเมินได้ เชน่ กนั และในกรณีสดุ ทา้ ยเป็นการเปรียบเทียบกบั คา่ ท่ที ำนายไว้(Predictive criterion) รัตนะ บัวสนธ์ (2540:186-187) กล่าวถึง เกณฑ์สัมบูรณ์ โดยการกำหนดเกณฑ์ ระดับความคิดเห็นของบุคคลจากแบบประมาณค่า 5 ระดับของลิเคิร์ท (Likert) ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเพ่ือประเมินโครงการ ดังนี้ ระดับคะแนน 4.50–5.00 หมายถึงผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ท่ีสุดระดับคะแนน 3.50–4.49 หมายถึง ผลการประเมินอยู่ในระดับมาก ระดับคะแนน 2.50–3.49 หมายถึงผลการประเมินอยู่ในระดับปานกลางระดับคะแนน 1.50–2.49 หมายถึงผลการประเมิน อยู่ ในระดับนอ้ ยระดับคะแนน 1.00–1.49 หมายถงึ ผลการประเมินอยูใ่ นระดับน้อยท่สี ุด สมคิด พรมจุ้ย (2550:93-94) กล่าวถึงการกำหนดเกณฑ์การประเมินท่ีนิยมในการ ประเมินมีหลายลักษณะคือ 1) โมเดลความงอกงาม กำหนดเกณฑ์ในการประเมินโครงการพิจารณาจาก พัฒนาการท่ีเพ่ิมข้ึน ดูความงอกงาม เช่น เปรียบเทียบความรู้ก่อนหลังการอบรม ในการตัดสินใจทำ ได้3 ลักษณะ คือ ดูว่าคะแนนเฉล่ียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหรือไม่ กำหนดช่วงคะแนน ท่ี เพิ่มขน้ึ ผู้รับการอบรมต้องได้คะแนนเพิ่มข้ึนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 หรือกำหนดความร้ขู ้ันต่ำท่ียอมรบั ได้ เช่น ผูเ้ ข้ารบั การอบรมต้องได้คะแนน 80 เปอร์เซนต์ 2) โมเดลสมบูรณ์หรือมาตรฐาน เป็นการกำหนด เกณฑ์โดยอาศัยหลักเหตุผลเป็นการกำหนดระดับท่ีควรจะมีท่ีควรจะเป็นจากโครงการ 3) โมเดลสัมพัทธ์ ในบางกรณีผู้ประเมินสามารถกำหนดเกณฑ์สมบูรณ์ได้จำเป็นต้องเทียบเคียงกับโครงการที่มีลักษณะ ใกล้เคียงกัน เช่น เปรียบเทียบกันเองภายในกลุ่มหรือการเปรียบเทียบกับปกติวิสัย(norm)หรือ เปรียบเทียบกับกลุ่ม หรือโครงการที่คล้ายคลึงกัน4) การกำหนดเกณฑ์โดยใช้วิธีการตรวจสอบความ สอดคลอ้ งของผู้ทรงคุณวฒุ ิ หรอื ผเู้ ช่ียวชาญในเรอ่ื งที่ศกึ ษา สรุปได้ว่า ในการกำหนดเกณฑ์การประเมินโครงการ ผู้วิจัยใช้เกณฑ์ของรัตนะ บัว สนธ์ (2540:186-187) เป็นแนวทางในการพิจารณาตัดสินผลการประเมินโครงการโดยใช้คะแนนเฉล่ียความ คดิ เห็นแต่ละช่วงเป็นเกณฑใ์ นการตัดสนิ ดงั นี้ 4.50 – 5.00 หมายถงึ ผลการประเมินอยู่ในระดบั มากที่สดุ 3.50 – 4.49 หมายถึง ผลการประเมนิ อย่ใู นระดับมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง ผลการประเมนิ อยู่ในระดับปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถงึ ผลการประเมินอยู่ในระดับน้อย 1.00 – 1.49 หมายถงึ ผลการประเมนิ อยใู่ นระดับน้อยท่ีสุด 3.9 การประเมินโครงการโดยรปู แบบจำลองซิปป์ (CIPP Model) รูปแบบในการประเมินโครงการมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีแนวคิด ทฤษฎี เหตุผล และวิธีการประเมินท่ีมีผู้นิยมนำไปใช้เป็นแบบอย่าง (Model) ในการประเมินสภาพการณ์ของปัญหา
65 ต่างๆ จะแตกต่างกันเพียงแนวความคิดเท่านั้น ในเชิงปฏิบัติจะดัดแปลง ปรับปรุง แนวคิดวิธีการให้ สอดคล้องกับความเหมาะสม และสภาพปัญหาของการประเมินแตล่ ะโครงการ ซ่ึงนักประเมินจะเป็นผู้ พิจารณาเลือก รูปแบบตามความต้องการ เพ่ือให้ได้ผลการประเมินตามจุดประสงค์ท่ีต้ังไว้ นอกจากน้ี ยงั ขึน้ อยู่กบั ความรู้ ความสามารถ และความเขา้ ใจเก่ียวกบั การใชร้ ูปแบบตา่ งๆของผู้ประเมนิ ด้วย มีนักการศึกษา นักวิชาการและนักวิจัยหลายท่าน ได้กล่าวถึงรูปแบบจำลองซิปป์ (CIPP Model) ไว้ดงั นี้ สมหวัง พธิ ยิ านุวฒั นแ์ ละคณะ (2544:166) กล่าวว่า การประเมินตามแบบจำลองซปิ ป์ (CIPP Model) แบ่งออกเปน็ 3 ระยะ คือ 1. การประเมินก่อนเริ่มโครงการ ซ่ึงเป็นการประเมินเพ่ือวางแผนโครงการ เป็นการ กำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการของโครงการ โดยเขียนในรูปเอกสารโครงการในแบบซิปโมเดล การประเมนิ กอ่ นเร่มิ โครงการ ประกอบดว้ ย (1) การประเมินสภาพแวดล้อมหรือการประเมินบริบท อันเป็นการประเมิน ความต้องการจำเป็นเพื่อกำหนดโครงการ การประเมินบริบทเป็นการประเมินสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ตลอดจนปัญหา อุปสรรคต่างๆ อนั นำไปสทู่ ิศทางและวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ (2) การประเมินปัจจัยหรือทรัพยากร เป็นการตรวจสอบความพร้อมทางด้าน ทรพั ยากร ท้งั เชิงปริมาณและคุณภาพตลอดจนระบบบริหารจดั การเพือ่ วิเคราะห์และกำหนดทางเลอื ก ท่ีเหมาะสมท่สี ดุ ทจี่ ะทำให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ที่กำหนด อกี ทงั้ มคี วามเป็นไปไดท้ างด้านทรัพยากร 2. การประเมินขณะดำเนินโครงการตามรูปแบบซิปป์โมเดล คือการประเมิน กระบวนการ เปน็ การประเมนิ การดำเนนิ งานเมื่อนำโครงการทวี่ างไว้ลงสู่การปฏบิ ัติ ทั้งนีเ้ พื่อศึกษาจุด แข็งและจุดอ่อน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการ อะไรเป็นมูลเหตุที่ทำให้ สามารถหรือไม่สามารถดำเนินโครงการได้อย่างทันท่วงที การประเมินในข้ันน้ีจึงมีบทบาท ต่อความสำเร็จของการดำเนินโครงการ(Formative Evaluation) ด้วยการจัดระบบการกำกับงาน (Monitoring system) เพื่อติดตามความก้าวหน้าและเร่งรัดการดำเนินโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ภายในทรพั ยากรและเวลาท่ีกำหนด 3. การประเมินหลงั สิ้นสุดโครงการ เป็นการประเมนิ ผลผลิตโครงการเปน็ การประเมินที่ มงุ่ ตอบคำถามว่าโครงการประสบความสำเร็จตามแผนท่วี างไวห้ รือไม่ ผลผลิตของโครงการเป็นไปตาม วัตถุประสงค์หรือไม่ ผลการดำเนินงานโครงการคุ้มค่าเพียงใด การประเมินหลังสิ้นสุดโครงการ แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ ประเมินทันท่ีสิ้นสุดโครงการ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ และการประเมินผลกระทบของ โครงการ ทั้งในทางบวกและทางลบ ซึ่งนิยมทำการประเมินด้วยเทคนคิ การติดตามผลการประเมนิ หลัง ส้ินสุดโครงการจะให้ข้อมูลสารสนเทศเพ่ือตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของโครงการว่าควรจะ ดำเนินการ ต่อไปอย่างไร ควรจะมีการปรับขยายแล้วดำเนินการต่อไปอีกระยะหนึ่งหรือควรจะสิ้นสุดโครงการไป ตามเวลาที่กำหนดไว้ การประเมินตามแนวความคิดนี้จะต้องทำการประเมินเป็นกระบวนการท่ีต่อเน่ืองกัน
66 เพื่อก่อให้เกิดความสอดคล้องและผู้ประเมินจะต้องเสนอแนวทางเลือกหลายๆวิธีเพื่อเป็นการสะดวก แกผ่ ทู้ ี่มีหน้าท่ีตัดสินใจ ศิริชัย กาญจนวาสี (2547:94) กลา่ วว่า รปู แบบจำลองซิปป์ (CIPP Model) เป็นรูปแบบ ที่มีการประเมินสำหรับการประเมินบริบท ปัจจัยเบื้องต้น กระบวนการ และผลผลิตเพื่อช่วยผู้บริหาร ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกเป้าหมาย จุดมุ่งหมายของโครงการ การดำเนินงาน การกำหนด ยทุ ธวิธี แผนงานและการดำเนินงาน การปรับเปลีย่ นกลยทุ ธ์ แผนงานและการดำเนินงานให้เหมาะสม ตลอดจนการตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับเปล่ียน คง-ขยาย ยุบ-เลิกโครงการ โดยสตัฟเฟิลบีมและคณะ ได้เสนอว่า นักประเมินจะต้องออกแบบการประเมินให้สอดคล้องกับสภาพการตัดสินใจของผู้บริหาร โดยการระบปุ ระเภท ระดับ และคาดคะเนสถานการณ์ของการตัดสินใจท่ีจะเกดิ ข้นึ กำหนดเกณฑ์ที่ใช้ ในการตัดสินใจ แต่ละสถานการณ์และวางแนวทางการประเมิน จากนั้นจึงเก็บรวบรวมข้อมูลที่ ต้องการ วิเคราะหข์ อ้ มูลและรายงานผล ทิศนา แขมมณี (2548:8) กล่าวว่า การประเมนิ ตามแบบจำลองของซิปป์ (CIPP Model) ดงั น้ี 1. Context Evaluation หมายถงึ การประเมนิ ผลวัตถปุ ระสงค์ หรอื จุดม่งุ หมายต่างๆ 2. Input Evaluation หมายถึง การประเมินผลระบบโครงสร้าง รวมท้ังระบบการ จดั การและการบริหารตา่ งๆ ดว้ ย 3. Process Evaluation หมายถงึ การประเมนิ ผลการจัดกจิ กรรมตา่ งๆ 4. Product Evaluation หมายถึง การประเมินผลท่เี กดิ ขนึ้ จากการจัดกิจกรรมนั้น สมคิด พรมจุ้ย (2550:55-58) กล่าวว่า การประเมินโดยใช้แบบจำลองซิปป์ (CIPP Model) เป็นการประเมินท่ีเป็นกระบวนการต่อเน่ือง โดยมีจุดเน้นท่ีสำคัญคือ ใช้ควบคู่กับการบริหาร โครงการ เพ่ือหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างต่อเน่ืองตลอดเวลาซึ่งแนวทางการประเมินในด้าน ต่างๆ มีรายละเอียดดังน้ี 1. การประเมินสภาพแวดล้อม (Context Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือให้ได้ข้อมูล เพ่อื ชว่ ยในการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ ความเป็นไปได้ของโครงการ 2. การประเมินปัจจัยเบื้องต้น (Input Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือใช้ข้อมูล ตัดสินใจปัจจัยต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับโครงการว่าเหมาะสมหรือไม่โดยดูว่าปัจจัยท่ีใช้จะมีส่วนช่วยให้ บรรลจุ ุดมุ่งหมายของโครงการหรือไม่ 3. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมินระหว่างการ ดำเนินโครงการเพ่ือหาข้อดีและข้อบกพร่องของการดำเนินงานตามขั้นตอนต่างๆ ที่กำหนดไวแ้ ละเป็น การรายงานผลการปฏิบัตกิ ารของโครงการนนั้ ด้วย 4. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือดูว่าผลที่เกิดขึ้น เม่อื สิน้ สุดโครงการเป็นไปตามวัตถปุ ระสงค์หรือตามทค่ี าดหวังหรอื ไม่ โดยอาศัยข้อมลู จากการรายงาน ผลทไ่ี ดจ้ ากการประเมินสภาพแวดลอ้ ม ปจั จัยเบอ้ื งตน้ และกระบวนการร่วมดว้ ย สตัฟเฟิลบีม (อ้างถึงใน Worthen and Sander,1993)ได้เสนอแบบจำลองการ ประเมินผล ท่ีเรียกว่า CIPP Model ซ่ึงเป็นแบบจำลองท่ีเน้นกิจกรรมการประเมินควบคู่ไปกับการ บริหารงาน โดยประกอบด้วยการประเมิน 4 ประเภทและมีลักษณะสอดคล้องกับโครงสร้างของ ระบบงานโดยทว่ั ไปไดแ้ ก่
67 1. การประเมินผลท่ีเก่ียวกับบริบท (Context Evaluation) เป็นการประเมินให้ได้ข้อมูล เพ่ือช่วยในการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ ความเป็นไปได้ของโครงการ เป็นการตรวจสอบว่า โครงการท่ีจะทำสนองปัญหาหรือความต้องการจำเป็นที่แท้จริงหรือไม่ วัตถุประสงค์ของโครงการ ชัดเจนเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายขององค์การหรือนโยบายหน่วยเหนือหรือไม่ โครงการน้ันๆ เป็นโครงการท่ีมีความเป็นไปได้ในแง่ของโอกาสท่ีจะได้รับการสนับสนนุ จากองค์กรต่างๆหรอื ไม่ เป็นต้น การประเมินบริบทจะช่วยในการตัดสินเกี่ยวกับเร่ืองโครงการว่าควรจะทำในสภาพแวดล้อมใด ตอ้ งการจะบรรลเุ ป้าหมายอะไร หรอื ตอ้ งการบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์เฉพาะอะไร เปน็ ตน้ 2. การประเมินผลท่ีเกี่ยวกับตัวป้อน (Input Evaluation) เป็นการประเมินเพื่อพิจารณาถึง ความเป็นไปได้ของโครงการ ความเหมาะสมและความพอเพียงของทรัพยากรท่ีจะใช้ในการดำเนิน โครงการ เช่น งบประมาณ บุคลากร วสั ดุอปุ กรณ์ เวลารวมทั้งเทคโนโลยีและแผนการดำเนินงาน เป็นต้น การประเมินผลแบบนี้จะทำโดยใช้เอกสารหรืองานวิจัยท่ีมีผู้ทำไว้แล้วหรืออาจใช้วิธีการวิจัยนำร่อง เชิงทดลอง (Pilot Experimental Project)ตลอดจนอาจใหผ้ ู้เช่ยี วชาญมาทำงานให้ อย่างไรกต็ ามการประเมินผล นี้จะต้องสำรวจส่ิงที่มีอยู่เดิมก่อนว่ามีอะไรบ้างและตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการใดใช้แผนการ ดำเนินงาน แบบไหนและต้องใช้ทรพั ยากรจากภายนอกหรือไม่ 3. การประเมินผลท่ีเกี่ยวกับกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมิน ระหว่างการดำเนินงานโครงการ เพื่อหาข้อบกพร่องของการดำเนินโครงการท่ีจะใช้เป็นข้อมูลในการ พัฒนา แก้ไขปรับปรุงให้การดำเนินการช่วงต่อไปมีประสิทธิภาพมากข้ึน และเป็นการตรวจสอบกิจกรรม เวลา ทรัพยากรท่ีใช้ในโครงการ ภาวะผู้นำ การมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการ โดยมีการบันทึก ไว้เป็นหลักฐานทุกขั้นตอน การประเมินกระบวนการน้ีจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นหาจุดเด่น หรือจุดแข็ง (Strengths)และจุดด้อย(Weakness)ของนโยบาย/แผนงาน/โครงการซึ่งมักจะไม่สามารถ ศึกษาได้ ภายหลังจากสิ้นสุดโครงการแล้ว การประเมินกระบวนการจะมีบทบาทในเรื่องการให้ข้อมูล ย้อนกลับเป็นระยะๆ เพ่ือการตรวจสอบการดำเนินของโครงการโดยทั่วไปการประเมินกระบวนการ มีจุดม่งุ หมาย คือ (1) เพ่ือการหาข้อบกพร่องของโครงการในระหว่างท่ีมีการปฏิบัติการหรือการ ดำเนนิ งานตามแผนน้นั (2) เพ่ือหาข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจเก่ียวกับการดำเนินงานของ โครงการ (3) เพ่ือการเกบ็ ขอ้ มลู ต่างๆ ทีไ่ ดจ้ ากการดำเนินงานของโครงการ 4. การประเมินผลที่เกี่ยวกับผลผลิต (Product Evaluation) วัตถุประสงค์ของการ ประเมิน ประเภทน้ี ก็เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์จากโครงการกับเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ว่า เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของภารกิจหรือไม่ การประเมินผลประเภทนี้อาจอาศัยการเปรียบเทียบผลผลิต กบั เกณฑ์มาตรฐาน (Absolute หรือ Relative Standards) ท่ีกำหนดไว้หรืออาจใช้ข้อมูลท่ีได้รับจาก การรายงานการประเมนิ ผลท้ัง 3 ประเภทขา้ งต้น สรุปได้ว่า การประเมินตามแบบจำลองซิปป์ (CIPP Model) เป็นรูปแบบท่ีสามารถ ประเมินได้ครอบคลมุ องค์ประกอบทัง้ ระบบอยา่ งต่อเนื่อง เพราะเป็นการประเมนิ ต้งั แตส่ ภาพแวดล้อม (Context) ปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process)และผลผลิต (Product) ซึ่งสามารถให้ข้อมูล
68 คอ่ นข้างละเอยี ดแก่ผู้บรหิ ารในการประเมินโครงการตา่ งๆ โดยผ้บู ริหารสามารถตรวจสอบข้อบกพรอ่ ง ในการดำเนนิ งานได้ทกุ ข้ันตอนและแก้ไขได้ทันเวลา ผลจากการประเมินโครงการโดยใช้รูปแบบจำลอง ซิปป์ (CIPP Model)จะช่วยในการตัดสินใจเปล่ียนแปลงหรือดำเนินโครงการต่อไปจึงทำให้รูปแบบน้ี เปน็ ท่ีนิยมใช้อย่างแพร่หลายในปจั จุบัน 4. แนวคดิ เกี่ยวกับความพึงพอใจ 4.1 ความหมายของความพึงพอใจ สร้อยตระกูล อรรถมานะ (2545:132) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ทัศนคติหรือความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบที่เกี่ยวกับงานโดยทัศนคตินั้นมีองค์ประกอบท่ีสำคัญคือ องค์ประกอบทางด้านความคิดความเข้าใจ (Cognitive Component) เป็นส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับ ความรู้สึกนึกคิดในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง องค์ประกอบด้านอารมณ์ความรู้สึก (Affective Component) ซึ่งเป็นส่วนท่ีเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เขารู้และเข้าใจอยู่ก่อนแล้ วและ องค์ประกอบด้านแนวโน้มพฤติกรรม (Behavioral Tendency Component) ซ่ึงจะส่งผลต่อการเกิด พฤติกรรมซ่ึงเมื่อนำลักษณะทั้งสามมาผสมผสานกันเป็นทัศนคติของบุคคลหน่ึงเก่ียวกับงานได้แล้ว ส่ิง นั้นก็จะช่วยให้ผู้บั งคับบั ญ ชาเข้าใจใน ปฏิ กิริยาของผู้ ป ฏิบั ติงานท่ีมีต่องาน และส ามารถท ำนายถึง ผลกระทบทจี่ ะมีในอนาคตดว้ ย ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2547:97-115) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ทัศนคตเิ กีย่ วกบั งานของพนกั งานซึ่งจะเก่ยี วข้องกับปัจจยั แวดล้อมของเขา เชน่ คา่ ตอบแทน โอกาสใน การเปลี่ยนตำแหน่ง ความก้าวหน้า หัวหน้างาน ตลอดจนเพื่อนร่วมงาน ซ่ึงมีอิทธิพลต่อการรับรู้ ใน งานของบุคคล ความพอใจในงานยังเกิดข้ึนจากปัจจัยแวดล้อมของงาน ได้แก่ รูปแบบการบริหาร นโยบายและขัน้ ตอนในการทำงาน กลุ่มงานทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง สภาพแวดล้อมการทำงาน ตลอดจนประโยชน์ และผลตอบแทน ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2545:102-104) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ทัศนคติทั่วไปของบุคคลท่ีมีต่องานของเขา งานของคนใดคนหน่ึงเป็นสิ่งที่มีความหมายมากกว่าการ เป็นส่ิงที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เช่น การพิมพ์ การรอคอยลูกค้า การขับรถส่งของ งานท่ีเราทำจะ รวมถึงการมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อกันกับผู้ร่วมงานและเจ้านายการทำตามกฎเกณฑ์และนโยบายของ องค์การการทำงานให้มีคุณภาพเข้าข้ันมาตรฐาน การมีชีวิตอยู่กับสภาพการทำงานซึ่งบ่อยครั้งมี คณุ ภาพต่ำกวา่ ทีเ่ ราคิดซงึ่ ส่งิ ตา่ งๆ ทีก่ ล่าวมาพนกั งานจะมกี ารประเมินว่าเขาพอใจหรือไม่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2550:155-156) เสนอว่า ความพึงพอใจเป็น กระบวนการทางจิตใจ (Mental Process) ที่เก่ียวข้องกับความรู้สึก ความต้ังใจซึ่งทำให้คนเกิดจิตสำนึก (Consciousness) เน่ืองจากจิตสานึกของคนจะเก่ียวข้องกับวัตถุหรือส่ิงหนึ่งส่ิงใดกล่าวคือคนจะต้องมี ความรู้เกี่ยวกับวัตถุหรือสิ่งนั้นๆ เสียก่อน เม่ือมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งน้ันๆแล้วคนก็จะเกิดความพึงพอใจ หรอื ไมพ่ งึ พอใจในส่ิงน้ัน เพราะความพึงพอใจหรอื ไม่พงึ พอใจเกิดจากการรบั สัมผสั Johns (อ้างถึงใน จิรัฐติกาล ก้อนเพชร,2546:37) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานท่ีได้มองเห็นคุณค่าของงานที่ตนต้องทำกับความเช่ือในลักษณะของ ธรรมชาติของงานท่ีปรากฏออกมาซึ่งถ้าหากการมองเห็นคุณค่าของงานที่ตนทำกับผลงานที่ปรากฏไม่ สมดุลกันผูป้ ฏิบตั งิ านจะเกดิ ความรูส้ กึ ไมพ่ งึ พอใจในงานได้
69 Strauss and Sayles (1976:19) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความรู้สึกพอใจในงานท่ีเราทำและเต็มใจท่ีจะปฏิบัติงานนั้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ คนจะ เกิดความพึงพอใจในงานท่ีทำ เม่ืองานนั้นให้ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งทางด้านวัตถุหรือทางจิตใจซึ่ง สามารถตอบสนองความตอ้ งการข้ันพ้นื ฐานของเขาได้ Good (1973:32) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง สภาพหรือระดับความพึง พอใจของบุคคลที่มีผลมาจากความสนใจและเจตคติของเขาที่มตี ่อการปฏบิ ัติงานน้ัน Locke (1976:130) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง สภาวะความรู้สึก ทางอารมณ์ท่ีเป็นบวกหรือเป็นท่ีพอใจ ซ่ึงเป็นผลมาจากการประเมินค่าของการปฏิบัติงานหรือ ประสบการณจ์ ากการทำงาน Gilmer (1971:252-253) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ทัศนคติท่ี ก่อให้เกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงานมีลักษณะเช่นเดียวกับความพึงพอใจที่ก่อให้เกิดขวัญดีความ พงึ พอใจในการปฏิบัติงานเกย่ี วขอ้ งกับองค์ประกอบภายใน ได้แก่ แรงจูงใจและองค์ประกอบภายนอก เช่น รางวลั เปน็ ตน้ มอร์ส (อ้างถึงใน อุทัยพรรณ สุดใจ, 2544:16) ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง สภาวะจิตที่ปราศจากความเครียด ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความต้องการ ถ้าความ ต้องการน้ันได้รับการตอบสนองทั้งหมด หรือบางส่วนความเครียดก็จะน้อยลงความพึงพอใจก็จะ เกิดขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าความต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง ความเครียดความไม่พึงพอใจจะ เกดิ ข้นึ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่เป็นบวกต่อเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซ่ึงเป็นผลมา จากการประเมินค่าของการปฏิบัติงานหรือประสบการณ์ จากการทำงาน โดยระดับความพึงพอใจจะ เกิดข้ึนเม่ือกิจกรรมน้ันสามารถตอบสนองความต้องการของบุคคลน้ันได้ และในการวิจัยคร้ังน้ี ความ พึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และครูที่มีต่อผลสำเร็จ ของการดำเนินงานโครงการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขต พนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาสุราษฎรธ์ านี เขต 3 4.2 ความสำคญั ของความพึงพอใจ การปฏิบัติงานในองค์กรใดๆ ก็ตาม ถ้าหากผู้บริหารได้ศึกษาความสำคัญของความพึง พอใจต่อการปฏิบัติงาน และมีความรใู้ นเร่อื งระดับความพงึ พอใจและไม่พึงพอใจในการปฏิบัติงานของ บุคลากรหรือผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะส่งผลทำให้เกิดพฤติกรรมการทำงานท่ีดี มีประสิทธิภาพและ มนี กั วชิ าการหลายทา่ นไดก้ ล่าวถงึ ความของความพึงพอใจไว้ ดงั นี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2546:125) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของการศึกษาความพึง พอใจในการปฏิบตั งิ านไว้ ดังนี้ 1. การรับรู้ปัจจัยต่างๆ ท่ีมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานทำให้ หน่วยงานสามารถนำไปใชใ้ นการสรา้ งปัจจัยเหล่าน้นั ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อการทำงาน 2. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานทำให้บุคคลมีความตั้งใจในการปฏิบัติงานลดการ ขาดงาน การลางาน การมาทำงานสาย และการขาดความรบั ผิดชอบท่มี ีต่องาน
70 3. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานเป็นการเพ่ิมผลผลิตของบุคคล ทำให้องค์การ มปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผลให้บรรลเุ ป้าหมายขององคก์ าร สร้อยตระกูล อรรถมานะ (2545:143-145) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของความพึง พอใจ และความไมพ่ งึ พอใจในงานทสี่ ่งผลต่อพฤติกรรมตา่ งๆ ไว้ ดังน้ี 1. การลาออกจากงาน บุคคลที่ไม่มีความพึงพอใจในงานจะมีความรู้สึกไม่ชอบงาน มีแนวโน้มจะขาดงานบ่อยๆ บุคคลโดยท่ัวไปจะคาดหมายไวว้ ่าผู้ปฏิบัติงานท่ีมีความพึงพอใจในงานสูง น่าจะไม่คิดออกจากงาน ผู้ที่มีความพึงพอใจดูเหมือนจะอยู่ในหน่วยงานนั้นได้นานกว่าผู้ท่ีไม่พึงพอใจ ต่องาน และในขณะที่ผู้ที่มีความพึงพอใจต่ำมักจะคิดลาออกจากงานไปแสวงหาท่ีท่ีเขาคิดว่าเขาจะมี ความพึงพอใจมากกว่า เพราะฉะน้ันการออกจากงานของเขาจึงแสดงถึงความพอใจที่ต่ำสำหรับ งานเดิม 2. การขาดงาน แสดงถึงผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจน้อย มีแนวโน้มที่จะขาดงาน บอ่ ย ระดับความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานท่ีวัดได้ระยะหน่ึงอาจใช้เป็นตัวทำนายอตั ราการขาดงานของ คนทำงานกลุ่มเดียวกันในระยะต่อมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนทำงานที่ไม่พอใจในงานมักมีแนวโน้มที่จะ ขาดงานมากกว่าคนท่ีมีความพอใจในงานเสมอ อย่างไรก็ตามลักษณะการขาดงานน้ันจะต้องเน้นการ ขาดงาน ท่ไี ม่มีเหตุผลสมควรดว้ ย จึงจะเป็นเครอ่ื งช้ใี ห้เห็นถึงความไม่พอใจของเขา 3. การเป็นขโมย แม้การขโมยจะมีสาเหตุหลายประการก็ตาม แต่ผ้ปู ฏิบัตงิ านบางคน ก็ขโมยเพราะเขาคับข้องใจหงุดหงิดใจ อันเป็นผลของปัญหาในหลายแง่มุมท่ีอาจจะเกิดขึ้นได้ เขาจึง เกิดพฤติกรรม ท่ีไม่ปกติ ผู้ขโมยให้เหตุผลอธิบายแก่ตัวเองว่านั่นเป็นการแก้แค้นต่อผู้ควบคุมบังคับ บญั ชาที่เขาคดิ ว่าไม่ใหก้ ารปฏิบตั ดิ แู ลตามที่ควรจะเป็น 4. ผลผลิต ผลผลิตหรือผลการปฏิบัติงานน้ันจะแปรผันไปตามระดับความพึงพอใจ ของงาน แต่ก็จะมีบางกรณีที่เกิดผลตรงกันข้าม น่ันคือมีบุคคลที่มีความพึงพอใจในงานกลับทำงาน ได้ผลน้อย ท้ังน้ีขึน้ อยู่กับค่านิยมในการทำงานเปน็ สำคัญ หากผูป้ ฏิบัติงานมคี ่านิยมว่าต้องทำงานหนัก การทำงานหนักเป็นส่ิงที่ดีเขาก็จะทำงานหนักแม้ไม่มีความพึงพอใจในงานก็ตาม ตรงกันข้ามหากมี ค่านิยมในการทำงานดังกล่าวในทางตรงกันข้าม คือ ไม่มีความดีพิเศษอะไรท่ีจะต้องทำงานหนักเขา ก็จะทำงานแต่น้อยแต่เพียงไม่ให้ถูกตำหนิหรือทำให้ถึงมาตรฐานหรือเกณฑ์เท่าน้ัน เขาก็เกิดความ พึงพอใจอย่างสูงแล้ว และตัวแบบการปฏิบัติงาน รางวัลของความพึงพอใจ (The Performance Reward Satisfaction Model) อธิบายถึงสัมพันธภาพระหว่างความพึงพอใจและผลผลิต กล่าวคือ ผลผลิต ที่สูงนำไปสู่ความพึงพอใจ หากทำงานได้ดี ความพึงพอใจก็จะเพิ่มขึ้น สภาวการณ์ที่ความพึงพอใจสูง จะเป็นผลให้ผลผลิตสูงตามไปนั้นเป็นเร่ือง ที่สลับซับซ้อน อาจสรุปได้ว่า เป็นการดีที่สุดท่ีจะมองว่า ผลผลิตและความพงึ พอใจต่างก็เปน็ ผลลัพธ์ของปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏบิ ัตงิ านและงาน 5. สุขภาพทางกายและการมีอายุยืนนาน สภาพงานที่ไม่เป็นที่พึงพอใจจะส่งผลเสีย ตอ่ สุขภาพของบุคคล โดยจะทำให้บุคคลเกิดความเครยี ด งานใดที่ไม่มีความพึงพอใจมากย่ิงจะนำไปสู่ ปฏิกิริยา ต่อความเครียดภายในร่างกาย ซึ่งจะนำไปสู่ความเจ็บป่วยท่ีรุนแรง เช่น เป็นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร เป็นต้น ความเครียดความกังวลเหล่านี้อาจเนื่องมาจากความกดดันทางสังคม ในองค์การในเรื่องต่างๆ เช่น ความไม่แน่ใจในบทบาทที่ผู้บังคับบัญชาคาดหมาย การรับผิดชอบต่องาน มากเกินว่าท่ีจะทำให้เสร็จสิ้นได้ภายในเวลาที่ การมีสัมพันธภาพท่ีไม่ดีกับผู้บังคับบัญชาผู้ใต้บังคับบญั ชาและ
71 เพ่ือนร่วมงานเป็นต้น ได้มีการศึกษาวัดสัมพันธภาพระหว่างกายภาพและทัศนคติด้วย Longevity Quotient (L.Q.) พบว่า ตัวทำนายที่ดีท่ีสุดตัวเดียวของการมีอายุยืนนาน (Longevity) ก็คือ ความพึงพอใจในงาน ดังน้ัน คำนิยามเชิงปฏิบัติการ (Operational Definition) ของความพึงพอใจท่ีใช้ก็คือ ความรู้สึกเก่ียวกับ ความเป็นประโยชนห์ รอื ความสามารถที่จะทำตามบทบาททางสังคมทมี่ ีความหมาย 6. สุขภาพจิต ความพึงพอใจในงานและความพึงพอใจในชีวิตผูกสัมพันธ์กันอย่างแยก ไม่ออก และเช่นกันผู้ปฏิบัติงานท่ีขุ่นแค้นจะเป็นผู้มีประสบการณ์ของความไม่พึงพอใจใน งาน ซึง่ กระทบไปถงึ ชวี ติ ส่วนตัว อันหมายถงึ คณุ ภาพชีวิตและสุขภาพจติ ท่ีเสือ่ มโทรม Davis (อ้างถึงใน วรนารถ แสงมณี, 2543:287)ได้ให้ความสำคัญของความพึงพอใจ ในการปฏบิ ตั งิ าน โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ 1. ทำให้เกดิ ความรว่ มมือร่วมใจในการทำงาน เพือ่ ใหบ้ รรลุเปา้ หมายขององค์การ 2. สร้างความซือ่ สตั ยภ์ ักดใี ห้มีต่อองคก์ าร 3. เสริมสร้างวนิ ัยทด่ี ี อันจะทำให้มีการปฏิบตั ติ ามกฎขอ้ บังคับและคำสง่ั 4. องค์การเป็นองคก์ ารทีแ่ ข็งแรง 5. ผู้ปฏิบัติงานมีความเข้าใจทด่ี ตี ่อองคก์ ารย่ิงขน้ึ 6. ผูป้ ฏิบตั งิ านมีความคิดรเิ ร่ิมในกิจการตา่ งๆ 7. ผู้ปฏบิ ตั งิ านมีความเชื่อม่ันตอ่ องค์การของตนเอง สรุปได้ว่า ความพึงพอใจมีผลต่อการปฏิบัติงาน ผู้ที่มีความพึงพอใจต่องานจะส่งผลให้ เกิดพฤติกรรมการทำงานท่ีดี มีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ขาดความพึงพอใจต่องาน จะส่งผล ทำให้เกดิ พฤติกรรมการทำงานทไี่ ร้ประสิทธิภาพ 4.3 การวัดระดับความพึงพอใจ ความพึงพอใจของบุคคลเป็นความรู้สึกทางบวกที่แสดงความชอบต่อสิ่งใดส่ิงหน่ึ งซึ่งมี ลักษณะเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ถึงแม้จะสังเกตเห็นได้จากพฤติกรรมบ้างก็ตามและ นักวิชาการหลายท่านได้พยายามสร้างเครื่องมือท่ีใช้วัดความพึงพอใจอย่างเป็นระบบมีความเท่ียงตรงสูง และนา่ เชอื่ ถือ โดยเครอ่ื งมอื ดงั กลา่ ว มีดงั ตอ่ ไปน้ี วิเชียร วิทยอุดม (2547:89) ได้กล่าวถึง การวัดความพึงพอใจในงานโดยให้คำจำกัด ความของความพอใจในงานว่า เป็นทัศนคติโดยท่ัวไปของบุคคลต่องานของตน คำจำกัดความนี้เห็นได้ ว่ากว้างมากแต่ก็สามารถทำให้เข้าใจในภาพกว้างๆ ได้ว่า งานท่ีทำนั้นเป็นมากกว่ากิจกรรมที่เห็นได้ ชัดเจน ตัวอย่าง เช่น งานเรียงกระดาษ รอลูกค้าหรืองานขับรถบรรทุก การทำงานต้องมีการกระทำ ร่วมกนั กับเพื่อนรว่ มงานและเจา้ นาย ต้องทำตามกฎและนโยบายขององคก์ าร ตอ้ งมีผลการปฏิบัติงาน ตามมาตรฐานและดำเนินชีวิตอยกู่ ับสภาพการทำงาน ซ่งึ มกั จะไม่เหมือนที่คิดไว้ และงานท่ีอยากจะให้ เป็นคอื การประเมิน ผลของพนักงานว่าพอใจอยา่ งไร และไม่พอใจอย่างไรต่องานของตนและเราจะวัด งานอันน้ันได้อย่างไร วิธีการท่ีใช้กัน มี 2 วิธี คือ การให้คะแนนแบบพิจารณาเพียงอย่างเดียวและ ผลรวมของคะแนนที่มาจากตัวเลขของงานแต่ละส่วนของงาน การให้คะแนนแบบพิจารณาอย่างเดียว เป็นการถามบุคคลดว้ ยคำถามเดียว เช่น เมื่อพิจารณาทุกอย่างแลว้ คุณมีความพอใจเพียงไรกบั งานของ คุณ ผู้ถูกถามจะตอบโดยเขียนวงกลมรอบๆตัวเลขจากหน่ึงถึงห้าซ่ึงตรงกับคำตอบจาก“พอใจสูงมาก จนกระท่ังไม่พอใจสูงมาก” อีกวิธีหน่ึงคือ การรวมผลจากงานแต่ละส่วนซึ่งมีความยุ่งยากมากกว่า
72 จับประเด็นของงาน หัวหน้างาน ค่าจ้างที่ได้รับ โอกาสการเล่ือนตำแหน่งและสัมพันธภาพกับเพ่ือน ร่วมงาน องค์ประกอบเหล่านี้จะถูกให้คะแนนตามมาตรฐานและผลบวกรวมเข้าด้วยกัน เพื่อเป็นการ ระบคุ วามพึงพอใจโดยรวมต่องานนน้ั ๆเราจะบอกไดว้ า่ วิธหี น่ึงดกี วา่ อีกวธิ ีหนึ่งได้หรือไม่ จากความรสู้ ึก บอกได้ว่าวิธีที่ได้จากผลรวม ของคะแนนที่มาจากตัวเลขของงานแต่ละส่วนของงานน่าจะได้ผล ท่ีถูกต้องมากกว่า นักวิจัยกลับไม่สนับสนุนในประเด็นน้ี ปรากฏว่าวิธีการที่ทำแบบง่ายๆ กลับชนะ วธิ ีการที่ซับซ้อนยุ่งยาก เม่ือเราได้เปรียบเทียบกับคำถามเพียงอย่างเดียวกับวิธีการยืดยาวกว่าในแบบ วิธีท่ีได้จากผลรวมขององค์ประกอบของแต่ละงาน และได้สรปุ ชี้ชัดลงไปว่าวิธีแรกดีกว่า ส่วนวิธีท่ีสอง น้ันภาพรวมของความพึงพอใจในการทำงานน้ันกว้างมากจนกระท่ังการใช้คำถามเพียงคำเดียว กลายเปน็ การวัดที่ไดผ้ ลดีกว่า สร้อยตระกูล อรรถมานะ (2545:145-147) ไดก้ ลา่ วถงึ การวดั ความพงึ พอใจไว้ 2 รปู แบบ คอื 1. การวัดความพึงพอใจอย่างรวม เป็นการวัดทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่องาน โดยใช้ สเกลสเ์ ปน็ เครื่องมือ ลกั ษณะของสเกลส์อาจเปน็ การถามตรงๆอยา่ งเปิดเผยอาทิ สเกลส์ของเบรย์ฟิลด์ และรอธเธย์ ซึ่งจะเป็นคำถามต่างๆ เพ่ือวัดทัศนคติต่องานอาทิประโยคท่วี า่ “โดยทว่ั ไป งานของ ฉันน่าสนใจเพียงพอที่จะทำให้ฉันไม่รู้สึกเบ่ือ”วิธีการวัดความพึงพอใจแบบน้ีเป็นที่นิยมมากกว่าการวัด ความพึงพอใจในด้านใดด้านหน่ึงแต่หากวัดความพึงพอใจหลายๆด้าน และนำผลมารวมกันก็จะได้ ความพงึ พอใจ ในการทำงานอยา่ งรวมไดเ้ หมอื นกนั 2. การวัดความพึงพอใจในด้านใดด้านหน่ึงของงาน เป็นการวัดทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานที่มี ต่อคุณสมบัติด้านใดด้านหน่ึงของงาน เช่น เร่ืองเงินเดือน สภาพแวดล้อมในการงานท่ีทำ แบบทดสอบที่ วัดความพึงพอใจในลักษณะนี้นิยมใช้กันมากก็คือ (Job Descriptive Index (JDI) ของสมิธ,แคนเดลและฮู ริน (Smith,Kendall and Hulin)ซึ่งเป็นแบบทดสอบที่วัดในด้านต่างๆ คือ ค่าจ้าง การเลื่อนขั้น เลื่อน ตำแหน่ง การควบคุมบังคับบัญชา การทำงาน เพื่อนร่วมงาน ลักษณะของแบบทดสอบจะใช้คุณศัพทจ์ ำนวน มากอธบิ ายลักษณะของงานโดยให้ผู้ตอบแสดงความรู้สึกตอ่ งานเหลา่ น้ัน โดยตอบวา่ ใช่ หรือไมใ่ ช่ หากตอบ คุณศัพท์ท่ีมีคุณสมบัติในด้านบวกหรือเป็นการแสดงออกถึงความพึงพอใจก็จะได้คะแนน หาก ตอบว่า“ไม่ใช่”ก็ไม่ได้คะแนนหรือในทางตรงกันข้าม หากตอบว่า“ใช่”กับคุณศพั ท์ท่ีมีคุณสมบัติ ซ่ึง แสดงถึงความไม่พึงพอใจก็จะไม่ได้คะแนนเช่นกัน การตอบในแบบสำรวจน้ี แม้การตอบจะมีลักษณะของ การอธิบายงานของเขา ในขณะเดียวกันก็เป็นการประเมินผลงานของเขาด้วย โดยท่ีพบว่า คะแนนจาก แบบสำรวจดังกลา่ วน้ีจะสอดคล้องกับผลการวัดเรื่องอืน่ ๆที่เก่ยี วข้องกบั ความพึงพอใจ อาทิ การขาดงาน การ เข้าออกงาน หรือผลการสังเกตของนกั บริหารหรือผ้จู ดั การในบางกรณี สริ ิวรรณ เสรรี ตั น์ (2545:100-104) ได้กลา่ วถึง การวัดความพึงพอใจไว้ ดังนี้ 1. การวัดแบบให้คะแนนเดี่ยว (Single Global Rating) เป็นการถามคำถามโดยให้ พนักงานตอบเป็นรายบุคคลและให้คะแนนคำตอบเป็นช่วงระหว่าง1-5โดยตอบว่าพึงพอใจมากท่ีสุด ไดค้ ะแนน 5 และไมพ่ ึงพอใจอยา่ งมาก ได้คะแนน 1 2. การวัดแบบให้คะแนนรวบยอด (Summation Score) หมายถึง สเกลการวัดทัศนคติ ซ่ึงถามผู้ตอบโดยให้แบ่งสัดส่วนจากคะแนนที่คงท่ี (โดยท่ัวไปใช้ 100 คะแนน) เพ่ือระบุถึงความสัมพันธ์กันของ คณุ สมบัตติ า่ งๆหรอื หมายถึงสเกลการให้คะแนนเชงิ เปรียบเทียบ ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2547:97-115) ไดก้ ลา่ วถงึ เทคนิคการวัดความพงึ พอใจไว้ 3 วิธี ดงั นี้
73 1. การใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถามนับเป็นเคร่ืองมือที่ใช้กัน ค่อนข้างแพร่หลายในการวัดความพอใจในงาน ได้แก่ แบบสอบถามท่ีมีตัวเลือกเป็นมาตราส่วนประมาณค่า ท่ีผู้ตอบให้ตามลำดับค่าน้ำหนักของแตล่ ะตัวเลือกจนครบทุกตัวเลือก เครอ่ื งมือลักษณะน้ีมีหลายแบบ ซ่งึ เรยี กช่ือแตกตา่ งกนั เช่น (1) ดัชนีบ่งช้ีงาน (Job Descriptive Index: JDI) เป็นเครื่องมือท่ีใช้กันแพร่หลายท่ีสุด ประกอบด้วยคำถามต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับการทำงาน เช่น ด้านท่ีเกี่ยวข้องลักษณะของงาน ด้านเงินเดือน ค่าตอบแทน ด้านโอกาสก้าวหน้า ด้านการนิเทศงานและด้านเก่ียวกับคนหรือเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น ซึง่ ในแต่ละดา้ นจะใช้คำคณุ ศพั ท์ต่างๆ ทเ่ี กี่ยวกบั งานในด้านนน้ั ให้ผู้ตอบตอบว่าใช่หรือไม่ โดยคำตอบ จะบง่ บอกให้ทราบทิศทางของความพอใจว่ามีมากน้อยแค่ไหน (2) แบบสอบถามความพอใจของมินเนโซต้า (Mimmiessota Satisfaction Questionnaire : MSQ) วิธีนี้มหาวิทยาลัยมินเนโซด้าในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้พัฒนาแบบสอบถามโดย ผู้ตอบจะระบุระดับของความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจในแต่ละด้านของงานเพื่อใช้วัดความคิดเห็นและ ความพอใจที่มีต่องาน เช่น ด้านเงินเดือนและค่าตอบแทน หรือด้านโอกาสก้าวหน้า เป็นต้น ถ้าได้ คะแนนมากแสดงว่าผู้ตอบมคี วามพอใจในงานอยู่ในระดบั สงู (3) แบบสอบถามความพอใจคา่ ตอบแทน(Pay Satisfaction Questionnaire : PSQ) เป็น แบบสอบถามที่เจาะจงเร่ืองเงินเดือนคา่ ตอบแทน เชน่ ระดับเงนิ เดอื น การขน้ึ เงนิ เดือน หรอื เพ่ิม คา่ ตอบแทน การให้ผลประโยชนต์ อบแทนในลักษณะต่างๆ โครงสร้างและการบรหิ ารระบบและเงนิ เดอื น คา่ ตอบแทน เปน็ ต้น 2. การใช้เทคนิคกรณีเหตุการณ์ (Critical Incident) เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ใช้วัดความพอใจใน งานโดยให้ผู้ตอบเขียนบรรยายถึงเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนเก่ียวกับงานว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างที่เกิดข้ึนกับตนเองที่ ทำให้เขาพอใจหรือไม่พอใจตอ่ เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนจากน้นั ผู้เชี่ยวชาญจะนำเหตกุ ารณ์ดังกล่าวไปวเิ คราะห์ ซึ่ง เทคนิคนี้จะเป็นเทคนิคเชิงคุณภาพเพื่อใช้พิจารณาความพอใจหรือไม่พอใจแต่เป็นเทคนิคท่ีใช้เวลา ค่อนข้างมากและผู้ตอบข้อมูลอาจมีอคติในการตอบหรือผู้วิเคราะห์อาจมีอคติในการวิเคราะห์ข้อมูล กไ็ ด้ 3. การสัมภาษณ์ (Interviews) เทคนิคน้ีวัดความพอใจในการสัมภาษณ์พูดคุยแบบสองต่อสองกับ พนักงานอย่างละเอียด ซงึ่ ข้อดี คอื จะไดข้ ้อมูลเชิงลกึ และทราบทัศนคตทิ ี่มีต่องานมากกว่าวิธีการตอบ แบบสอบถาม ดังน้ันการใช้เทคนิคน้ีจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อผู้ตอบพูดความจริงมีความซ่ือสัตย์ต่อกันและ ระบายความรู้สึกท่ีแท้จริงของตนเองออกมา ด้วยเหตุน้ีการได้รับความร่วมมือจึงเป็นจุดของ ความสำเร็จในการเลือกใชว้ ิธนี ้ี อีกท้งั จะต้องเลอื กคำถามสัมภาษณ์อย่างรอบคอบพร้อมทง้ั มีระบบการ บันทึกคำตอบที่ดี นอกจากนี้ยังต้องสร้างความไว้วางใจในการไม่ระบุช่ือผู้ตอบและไม่เปิดเผยข้อมูล ทเ่ี ปน็ ความสับสนของพนกั งาน สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจเป็นส่ิงท่ีทำได้ยาก เพราะไม่อาจมองเห็นเป็นรูปธรรม ซึ่ง การวัดสามารถทำได้ด้วยวิธกี ารทห่ี ลากหลาย โดยการสร้างเครื่องมือที่ใช้วัดความพึงพอใจในงานอยา่ ง เป็นระบบ มีความเที่ยงตรงแม่นยำ และมีความน่าเชื่อถือ ทั้งน้ี ขึ้นอยู่กับความต้องการและ วตั ถุประสงค์ของผู้ตอ้ งการใช้ขอ้ มูล สำหรบั การวิจยั คร้ังน้ี ผู้วิจัยได้เลือกใชก้ ารวัดความพึงพอใจโดยใช้ แบบสอบถาม(Questionnaire) เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั
74 5. งานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง 5.1 งานวจิ ัยในประเทศ งานวจิ ยั ที่เก่ยี วข้องกบั การพัฒนาการจัดการศกึ ษาได้มีผู้ศึกษาไว้ ดังนี้ ทวี พรมจันทร์ (2547: 51-54) ได้ศึกษาการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน สงั กัดสำนักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาระยอง สรุปแนวทางการพฒั นาคุณภาพการศึกษาใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ 4 ข้ันตอน คือ 1) การวางแผน โดยเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายในการพัฒนา 3 ด้าน คือ ด้านผู้เรียน ด้านกระบวนการ และด้านปัจจัย โดยจัดทำเป็นโครงการ แผนปฏิบัติการประจำปี แผนยุทธศาสตร์ พร้อมกับกำหนดงบประมาณ เวลา และคนรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน 2) การปฏิบัติตามแผนร่วมกัน ปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้ โดยจัดหาบุคคลที่มีความสามารถในการทำงาน จัดส่ือ วัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยีที่สง่ เสริมใหค้ นทำงานไดส้ ะดวกยง่ิ ข้ึน และดำเนนิ การพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา โดย มีกระบวนการนิเทศติดตามอย่างสม่ำเสมอ 3) การตรวจสอบประเมินผล โดยการวางกรอบ การตรวจสอบประเมินผลจัดหาเครื่องมือในการจัดเก็บรวบรวม แล้วนำผลท่ีได้มาทำการวิเคราะห์ แปลความหมายของขอ้ มูล เพ่ือนำไปสกู่ ารปรับปรงุ แก้ไขตอ่ ไปและ4) การปรับปรงุ งาน เปน็ การนำเอา ผลสรุปรายงานจากการตรวจสอบมาปรับปรุงพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึนในการปฏิบัติงานปี ตอ่ ไป สมพงศ์ วงละคร (2549:79-80) ได้ศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาสู่มาตรฐานการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 ดังน้ี 1) ด้านผู้บริหาร ควรปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้สอดรับกับตัวช้ีวัดของแต่ละมาตรฐานควร กระจายการบริหารจากหน่วยงานต้นสังกัดให้แก่สถานศึกษามากย่ิงข้ึนในทุกด้าน มีการพัฒนาระบบข้อมูล สารสนเทศ การจัดหา ผลิตและพัฒนาสื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอรใ์ ห้เพียงพอ จัดรูปแบบ ระบบ วธิ ีการ ในการจัดการเรียนรู้ของสถานศึกษาท่ีมีครูไม่ครบช้ัน เพ่ิมงบประมาณค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้สอย รวมทั้งชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา2)ด้าน ครูผู้สอน เพ่ิมอัตรากำลังครูให้ครบชั้นเรียนและจัดบุคลากรทางการศึกษาให้ได้ตามเกณฑ์ จัดอบรม ประชุมสัมมนาเพื่อพัฒนาครผู ู้สอน ปลุกจิตสำนึกให้ครเู ป็นครูมืออาชีพ สามารถจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ให้แก่ผู้เรียนด้วยวิธีที่หลากหลายโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ รวมทั้งลดภาระงานเอกสารและงานธุรการของ ครูผู้สอน และ3) ด้านผู้เรียน ให้มีระบบการกำกับ ติดตามและประเมินคุณภาพผู้เรียนเชิงประจักษ์อย่าง เป็นระบบและต่อเน่ือง ผู้ปกครอง นักเรียน ชุมชนควรเข้ามามีสว่ นร่วมดูแลช่วยเหลอื นักเรียน ส่งเสริม ใหผ้ ู้เรียนได้แสดงออกและได้มีส่วนร่วมกิจกรรมในสถานศึกษาและกิจกรรมของชุมชนรวมทัง้ ให้หนว่ ยงานท่ี เกีย่ วขอ้ งได้พิจารณาปรบั มาตรฐานด้านผเู้ รียนบางมาตรฐาน โดยตัวช้ีวัดใหช้ ัดเจน พินิจ สมบัติกำไร (2550:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเพ่ือรองรับการ ประเมินคุณภาพภายนอก โดยใช้กิจกรรมนิเทศภายในโรงเรียนบ้านดุงวิทยา พบว่า การ ดำเนิน โครงการโดยภาพรวม มีความเหมาะสมในระดับมาก โดยด้านผลผลติ มคี วามเหมาะสมสูงท่ีสุดในระดับ มาก รองลงมาได้แก่ ด้านสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสมในระดับมาก ด้านกระบวนการมีความ เหมาะสมในระดับมาก และด้านปัจจัยเบื้องต้นมีความเหมาะสมต่ำท่ีสุดในระดับมากตามลำดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนตามมาตรฐานที่ 5 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะท่ีจำเป็นตาม หลักสูตรจากการประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การ
75 มหาชน)รอบสองในปี 2550 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ส่งผลให้เกิดความเช่ือม่ันของผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกฝ่ายสมควรดำเนินโครงการอย่างต่อเน่ืองและให้เกิด ความยั่งยนื ต่อไป มาลิณี ดิสกุล (2553:บทคดั ย่อ) ได้ศกึ ษาสภาพปญั หา ขอ้ เสนอแนะ และแนวทางในการ ดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันในสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา เชียงราย เขต 1 พบว่า สภาพการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันในทุกด้านโดยภาพรวมมีการ ปฏิบัติในระดับมาก โดยมีปัญหาในการดำเนินงาน ได้แก่ งบประมาณไม่เพียงพอ งบประมาณที่ได้รับ การจัดสรรไปถึงโรงเรียนค่อนข้างช้า ขาดแคลนสถานที่รับประทานอาหาร อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ โครงการอาหารกลางวันชำรุดหรือเสียหาย ขาดบุคลากรในการดำเนินงานและตรวจสอบคุณภาพ อาหาร การนิเทศการดำเนินงานยังไม่เป็นระบบ รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง ชุมชน และผู้ปกครองยังไม่มีส่วน รว่ มในการนิเทศ ติดตาม ประเมินผล ทั้งน้ีมีแนวทางในการดำเนินงาน ได้แก่ วางแผนและติดตามการ ใช้งบประมาณ จัดหางบประมาณเพ่ือก่อสร้างสถานท่ีรับประทานอาหาร วางแผนการจัดซื้อ จัดหา การใช้และการบำรุงรักษาวัสดุอุปกรณ์โครงการอาหารกลางวัน การใช้บุคลากรร่วมกันในการ ดำเนินงาน และวางแผนด้านการนิเทศและประเมินผลการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสภาพของ โรงเรยี น 5.2 งานวิจัยตา่ งประเทศ อคินซานยา (Akinsanya,1974,pp.6282-A) ได้ศึกษาการมีส่วนร่วมในการวางแผน การศึกษา ของครูในประเทศไนจเี รียตามทัศนะของนักการมัธยมศกึ ษา พบว่า นักการศึกษาให้ครูใหญ่ ประเมิน และนเิ ทศแผนงาน วางแผนงานบรหิ าร วางแผนงานอบรมบุคลากร และวางแผนงานสมั พันธ์ กับชุมชน พร้อมทั้งปฏิบัติตามแผนด้วย ครูผู้สอนก็ควรพัฒนาหลักสูตรและการสอน สมาคมครูแห่ง ไนจีเรีย ควรจัดอบรมบุคลากร วางมาตรฐานวิชาชีพครู วางข้อในการปฏิบัติงานและเงินเดือนแนะนำ การประเมินผลแผนการศึกษานอกจากนี้ผู้วิจัยได้เสนอแนะว่า ครูควรมีส่วนร่วมในการวางแผน การศึกษาโดยเขา้ รว่ มในกรรมการวางแผนเพ่ือเปน็ ตวั เชือ่ มระหว่างโรงเรยี นกบั ชุมชน โซลเดอร์ (Solder,1987,pp.2410-A) ได้ศกึ ษาแนวทางกลวิธีการวางแผนการศึกษาโดย ใชผ้ ู้เช่ียวชาญ การวางแผนในวทิ ยาลัยชุมชน 4 แหง่ 20 คน พบว่า ควรมกี ารวางแผนและพฒั นากลวิธี การวางแผนด้วยกระบวนการวิเคราะห์ระบบระหว่างแผนต่อแผน การปรับสภาพและความพร้อมของ สถาบันควรมีการศึกษาวิจัยก่อนการเริ่มต้น กลวิธีการวางแผนไม่ควรมีข้อจำกัดด้านเวลา ขบวนการ พัฒนา กลวธิ ีการวางแผนควรไดร้ ับการพัฒนาอย่างเคร่งครัดและปฏิบัติ เพอื่ กลวธิ ีการวางแผนเป็นไป อยา่ งถูกต้อง สมิธ (Smith,1991,pp.2228-A) ได้ศึกษาคุณลักษณะของโรงเรียนท่ีมีประสิทธิภาพโดย ศึกษา ณ มลรัฐจอเจียร์ พบว่า องค์ประกอบท่ีมีส่วนต่อประสิทธิภาพของโรงเรียน คือ โรงเรียนมี กิจกรรมการประเมินงานอยู่เสมอ มีระบบการดำเนินงานด้านวิชาการเข้มแข็ง มีบรรยากาศทาง วิชาการ มผี ู้นำองค์การท่เี ขม้ แข็ง นิวไบ (Newby,1998,p.89) ได้ศึกษาการบริหารคุณภาพท้ังองค์กร (TQM)ในโรงเรียน ประถมศึกษา มีจุดมุ่งหมายของการศึกษาเพื่อที่จะรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบ คุณภาพของโรงเรียนประถมศึกษาที่ใช้ระบบการบริหารคุณภาพท้ังองค์กรและโรงเรียนที่ไม่ใช้
76 โดยสำรวจจากโรงเรียนท่ีใช้จำนวน 4 โรงเรียน และโรงเรยี นท่ีไม่ใช้ จำนวน 4 โรงเรียน ผลการศึกษา พบว่า บุคลากร ในโรงเรียนท้ัง 2 ประเภท มีความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่แตกต่างกัน โรงเรียน มีคุณภาพแตกต่างกัน โรงเรียนที่ใช้ระบบบริหารคุณภาพท้ังองค์กร (TQM) จะบริหารงานตามความ ต้องการและความพอใจของผู้ปกครอง ชุมชนและนักเรียน บุคลากรทุกฝ่ายมีความร่วมมือกันจึงทำให้ โรงเรยี นมปี ระสทิ ธภิ าพ แซนฟอร์ด และฮอปเปอร์ (Sanford and Hopper,2000) ไดศ้ ึกษาความคิดเห็นของครู ฝ่ายนิเทศต่อรูปแบบการนิเทศโรงเรียน พบวา่ สภาพบรบิ ททางสังคมทำให้ผู้ทำหน้าท่ีด้านการนิเทศมี การพัฒนาความคิดริเร่ิมทางด้านการตรวจสอบและการถ่ายโยงมากกว่าการรับรู้หรือซึมซับตามปกติ ด้านการสนับสนุนของมหาวิทยาลัยควรเปล่ียนแปลงจากการแสดงบทบาทการกำกับติดตามมาเป็น การใหค้ ำแนะนำและเปิดโอกาสในการรว่ มมอื กับผู้บรหิ ารและคณะครูฝ่ายนเิ ทศ ลี, ดิง และชอง (Lee,Ding and Song,2008) ได้ศึกษาการประเมินพัฒนาการด้านการ นิเทศสถานศึกษาในเขตปูดองใหม่ของเซี่ยงไฮ้ โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการศึกษา เอกสารและการสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนและครูในโรงเรียนประถมศึกษา พบว่า ผู้เกี่ยวข้องมีการ รับรู้ทั้งทางบวกและทางลบต่อกระบวนการนิเทศและการประเมินโรงเรียน กระบวนการนิเทศและ ประเมินควรเป็นไปในลักษณะของการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดระหว่างโรงเรียนกับหน่วยงาน ในชุมชน และควรส่งเสริมให้ใช้วิธีการท่ียืดหยุ่น หรือแตกต่างกันตามบริบทโดยปรับให้สอดคล้องกับ การปฏิรูป การนิเทศและการประเมินทางการศึกษา 6. กรอบแนวคดิ การประเมนิ โครงการ การประเมนิ โครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผา่ นดาวเทียม (DLTV) เพ่อื ยกระดับ คุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ในคร้ังน้ี ประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินซิปป์โมเดล (CIPP Model) ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545:227-228) โดยทำการประเมินด้านสภาพแวดล้อม (Context) ประกอบด้วย 1) สภาพปัญหาและความต้องการของเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 และ 2) หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมายและวิธีการดำเนินงานของโครงการ ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ประกอบด้วย 1) บุคลากร 2) งบประมาณ 3) สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ 4) สถานท่ี และ 5) แผนการ ดำเนินโครงการ ด้านกระบวนการ (Process) ประกอบด้วย 1) การจัดระบบข้อมูลสารสนเทศ 2) การ จดั การด้านบุคลากร 3) การประชาสัมพันธ์โครงการ 4) การดำเนนิ กิจกรรมตามโครงการ 5) การนิเทศ กำกับ ติดตาม และ6) การประเมินผลและการปรับปรุงพัฒนา และด้านผลผลิต (Product) คือ 1)ผล ในการจัดกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพ่ือยกระดับ คุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 2)ผลการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติข้ันพ้ืนฐาน(O-NET) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนขนาดเล็ก ปี การศึกษา 2562 ของสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3และประเมินความ พงึ พอใจที่มีตอ่ โครงการส่งเสริมการจัดการศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพ การศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ได้แก่ ความสำเร็จของ โครงการ โดยสรุปเป็นกรอบแนวคิดการประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่าน
77 ดาวเทียม (DLTV) เพ่ือยกระดับคณุ ภาพการศึกษา สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ ธานี เขต 3 ดงั ภาพประกอบที่ 2.3 ภาพประกอบท่ี 2.3 กรอบแนวคิดการประเมินโครงการสง่ เสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพือ่ ยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านบริบท (Context) 1) สภาพปญั หาและความต้องการของสำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษา สรุ าษฎร์ธานี เขต 3 2) หลักการและเหตผุ ล วตั ถปุ ระสงค์ เป้าหมาย และวิธกี ารดำเนินงานโครงการ ดา้ นปจั จัยนำเข้า (Input) การประเมนิ 1) บุคลากร 2) งบประมาณ 3) สอื่ วสั ดุ อุปกรณ์ 4) สถานท่ี โครงการส่งเสรมิ การ 5) แผนการดำเนนิ งานโครงการ จัดการศกึ ษา ทางไกลผา่ น ด้านกระบวนการ (Process) ดาวเทียม(DLTV) 1) การจัดระบบข้อมูลสารสนเทศ 2) การจัดการด้านบุคลากร 3) การประชาสมั พันธ์โครงการ เพอื่ ยกระดับ 4) การดำเนินกิจกรรมตามโครงการ 5) การนิเทศ กำกบั ติดตาม คุณภาพการศึกษา 6) การประเมินผลและการปรับปรงุ พฒั นา สำนักงานเขตพนื้ ที่ การศกึ ษา ประถมศึกษา สรุ าษฎร์ธานี เขต 3 ด้านผลผลิต (Product) 1.ผลสำเรจ็ ในการจัดกจิ กรรมตามโครงการส่งเสรมิ การจัดการศึกษาทางไกลผา่ นดาวเทยี ม (DLTV) เพอื่ ยกระดับคณุ ภาพการศึกษา สำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ ธานี เขต 3 2.ผลการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาตขิ ัน้ พ้นื ฐาน (O-NET) นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นขนาดเล็ก ปีการศึกษา 2562 ของสำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ ธานี เขต 3 ความพึงพอใจที่มีตอ่ โครงการ ความสำเร็จของโครงการส่งเสรมิ การจดั การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทยี ม(DLTV)เพ่อื ยกระดบั คุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3
78 บทที่ 3 วิธีการประเมนิ โครงการ การประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพื่อ ยกระดับคุณภาพการศกึ ษา สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผู้รายงาน ไดก้ ำหนดวิธีการประเมนิ โครงการ ดังน้ี 1.รปู แบบการประเมินโครงการ 2.ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 3.เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการประเมนิ โครงการ 4.การเก็บรวบรวมข้อมูล 5.การวิเคราะห์ข้อมูล 6.สถิติทใ่ี ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 7.เกณฑ์ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ โครงการ 8.แนวทางในการประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่าน ดาวเทียม(DLTV) เพ่ือยกระดับคุณภาพการศกึ ษา สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 1.รปู แบบการประเมนิ โครงการ 1.1 การประเมินการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพ่ือ ยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผู้รายงาน ประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินซิปป์โมเดล (CIPP Model) ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) (บุญชม ศรี สะอาด.2545: 227-228) ได้แก่ ด้านบริบท (Context) ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) และดา้ นผลผลิต (Product) 1.2 การประเมินความพึงพอใจต่อโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่าน ดาวเทียม(DLTV) เพ่ือยกระดับคุณภาพการศกึ ษา สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ ธานี เขต 3 2. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 2.1 ประชากร ประชากรในการประเมินโครงการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาเพอ่ื ยกระดับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ทงั้ หมด จำนวน 352 คน ประกอบด้วยบคุ คล 3 กลุ่ม ได้แก่ 2.1.1 บุคลากรทางการศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการกลุ่ม หัวหน้าหน่วยตรวจสอบภายใน ศึกษานเิ ทศก์ ทปี่ ฏบิ ัติหน้าที่ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ในสำนักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา สรุ าษฎรธ์ านีเขต 3 จำนวน 21 คน
79 2.1.2 ผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนและข้าราชการครูที่ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน โรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำนวน 70 คน 2.1.3 ครูโรงเรียนขนาดเลก็ สังกดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 จำนวน 327 คน 2.2 กลมุ่ ตวั อย่าง การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างและวิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากประชากร ผใู้ หข้ ้อมลู ท้ัง 3 กลมุ่ ผรู้ ายงานไดด้ ำเนินการ ดงั นี้ 2.2.1 บุคลากรทางการศึกษา ผู้รายงานได้ดำเนินการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ เจาะจง (Purposive) ซึ่งเป็นบุคลากรท่ีสามารถให้ข้อมูลเก่ียวกับการประเมินโครงการและมีส่วน เก่ียวข้องในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยตรง จำนวน 21 คน ได้แก่ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำนวน 4 คน ผู้อำนวยการกลุ่ม 9 คน หัวหน้าหน่วยตรวจสอบภายใน จำนวน 1 คน ศึกษา ศกึ ษานิเทศก์ 7 คน ดังตารางท่ี 3.1 ตำแหนง่ ประชากร กลมุ่ ตัวอยา่ ง ผอ./รองผอ.สพป.สฎ.3 44 ผ้อู ำนวยการกลุ่ม 99 หวั หนา้ หนว่ ยตรวจสอบภายใน 1 1 ศึกษานิเทศก์ 77 รวม 21 21 2.2.2 ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้รายงานใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบหลายข้ันตอน (multistage sampling) โดยจำแนกประชากรเป็น 6 อำเภอ เพ่ือให้กลุ่มตัวอย่างมีลักษณะกระจาย ตามสดั ส่วนของประชากรในแต่ละอำเภอและกำหนดขนาดของกล่มุ ตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie and Morgan จากนั้นสมุ่ ตัวอย่างเพ่อื เลือกโรงเรียนในแต่ละอำเภอ จำนวน 40 คน ดงั ตารางท่ี 3.2 อำเภอ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง ชยั บรุ ี 1 1 พระแสง 10 4 เวยี งสระ 17 11 บ้านนาสาร 20 9 บ้านนาเดมิ 10 6 เคยี นซา 12 9 รวม 70 40
80 2.2.3 ครู โรงเรียนขนาดเล็ก ผู้รายงานใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (multistage sampling) โดยจำแนกประชากรเป็น 6 อำเภอ เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างมีลักษณะกระจาย ตามสดั ส่วนของประชากรในแต่ละอำเภอและกำหนดขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ งโดยใช้ตารางของ Krejcie and Morgan จากนัน้ สุ่มตวั อย่างเพือ่ เลือกโรงเรียนในแต่ละอำเภอ จำนวน 152 คน ดังตารางที่ 3.3 อำเภอ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง ชัยบุรี 4 4 พระแสง 38 15 เวียงสระ 64 42 บ้านนาสาร 62 32 บา้ นนาเดิม 47 23 เคยี นซา 56 36 รวม 273 152 3. เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการประเมนิ โครงการ เคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ได้แก่ แบบสอบถามจำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ 1) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อโครงการส่งเสริมการจัด การศกึ ษาทางไกลผา่ นดาวเทยี ม(DLTV) เพ่อื ยกระดับคณุ ภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านบริบท (Context) 2) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อ โครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) 3) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีตอ่ โครงการส่งเสรมิ การจดั การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพื่อ ยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้าน กระบวนการ (Process) 4) แบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษา ทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านผลผลิต (Product) และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อ โครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยท้ัง 5 ฉบับ มีลักษณะเป็นแบบ มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตามวิธีการของลิเคอร์ท (Likert อ้างถึงใน บุญชม ศรี สะอาด, 2545:99-100) ดงั นี้ ระดบั 5 หมายถึง มคี วามคิดเห็นหรอื ความพงึ พอใจระดบั มากท่สี ุด ระดับ 4 หมายถึง มีความคดิ เห็นหรอื ความพงึ พอใจระดับมาก ระดับ 3 หมายถึง มีความคดิ เหน็ หรือความพงึ พอใจระดับปานกลาง ระดบั 2 หมายถึง มคี วามคิดเห็นหรือความพงึ พอใจระดับน้อย
81 ระดบั 1 หมายถงึ มคี วามคดิ เหน็ หรอื ความพึงพอใจระดบั น้อยท่ีสดุ 3.1 การสรา้ งเคร่ืองมอื ผู้รายงานได้ดำเนินการสร้างเคร่ืองมือโดยมีลำดับข้ันตอนการสร้าง การทดลองใช้ และการวเิ คราะหค์ ุณภาพ ตามลำดบั ดงั น้ี 1. ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการจัด การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3 2. ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการประเมนิ โครงการ 3. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการประเมินโครงการตามทฤษฎี CIPP Model เพอ่ื นำมาประยุกตใ์ ชใ้ นการกำหนดกรอบและรูปแบบเคร่ืองมือในการประเมินโครงการ 4. ศึกษาวิธีการสร้างและหาคุณภาพเคร่ืองมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตามวธิ กี ารของลิเคอรท์ (Likert อ้างถึงใน บุญชม ศรสี ะอาด, 2545:99-100) 5. ร่างแบบสอบถามตามรูปแบบการประเมินซิปป์โมเดล (CIPP Model) ของสตัฟเฟลิ บมี (Stufflebeam) จำนวน 5 ฉบับ ดังนี้ ฉบับที่ 1 การประเมินด้านบริบท (Context) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบความ สอดคล้องของสภาพปัญหาและความต้องการของสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ความสอดคล้องและความเหมาะสมของหลักการเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมายและกิจกรรม การดำเนินงานโครงการว่ามีความสอดคล้องและเหมาะสมอยู่ในระดับใดและมีข้อเสนอแนะเพ่ือการ ปรบั ปรุงแกไ้ ขอย่างไร มีลักษณะเปน็ มาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบดว้ ย 3 ตอน ไดแ้ ก่ ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู พน้ื ฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 ความคิดเห็นต่อโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านบรบิ ท จำนวน 10 ข้อ ตอนที่ 3 การแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการเป็นข้อคำถาม ปลายเปดิ จำนวน 3 ข้อ ฉบับท่ี 2 การประเมินด้านปัจจัยนำเข้า (Input) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบความ เหมาะสมและความเพียงพอ ของปัจจัยที่นำมาใช้ในการดำเนินงานโครงการ ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ ส่ือ วัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานที่และการบริหารจัดการโครงการ ว่ามีความเหมาะสมและ เพียงพออยู่ในระดับใดและมีข้อเสนอแนะเพ่ือการปรับปรุงแก้ไขอย่างไร มีลักษณะเป็นมาตราส่วน ประมาณคา่ 5 ระดบั ประกอบดว้ ย 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ข้อมูลพน้ื ฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ความคดิ เห็นต่อโครงการสง่ เสริมการจดั การศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทยี ม (DLTV) เพื่อยกระดบั คุณภาพการศึกษา สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านปัจจยั นำเขา้ จำนวน 17 ข้อ ตอนที่ 3 การแสดงความคิดเห็นและขอ้ เสนอแนะเก่ียวกับปัจจัยนำเข้า เป็นขอ้ คำถาม ปลายเปิด จำนวน 3 ขอ้
82 ฉบับท่ี 3 การประเมินด้านกระบวนการ (Process) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือประเมินความ สอดคล้องและความเหมาะสมของการวางแผนการดำเนินงาน การจัดระบบข้อมูลสารสนเทศ การ จดั การด้านบุคลากร การดำเนินกิจกรรมตามโครงการ การนิเทศ กำกับ ติดตาม การประเมินผล การ ปรับปรุงพัฒนาและการประชาสัมพันธ์โครงการว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมอยู่ในระดับใด และมี ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไขอย่างไร มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบดว้ ย 3 ตอน ไดแ้ ก่ ตอนที่ 1 ข้อมลู พื้นฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนท่ี 2 ความคิดเห็นต่อโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ด้านกระบวนการ จำนวน 15 ข้อ ตอนที่ 3 การแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้านกระบวนการ เป็นข้อคำถาม ปลายเปดิ จำนวน 3 ข้อ ฉบับที่ 4 การประเมินด้านผลผลิต (Product) มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบการบรรลุ ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ได้แก่ ผลสำเร็จในการจัดกิจกรรมตามโครงการส่งเสริมการจัด การศึกษาทางไกลผา่ นดาวเทยี ม(DLTV) เพือ่ ยกระดับคณุ ภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมอยู่ในระดับใด และมขี อ้ เสนอแนะเพื่อ การปรบั ปรุงแกไ้ ขอยา่ งไร มีลกั ษณะเปน็ มาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดบั ประกอบดว้ ย 3 ตอน ได้แก่ ตอนท่ี 1 ข้อมลู พน้ื ฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ความคิดเห็นต่อโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ดา้ นผลผลิต จำนวน 25 ข้อ ตอนที่ 3 การแสดงความคดิ เหน็ และข้อเสนอแนะเป็นขอ้ คำถามปลายเปดิ จำนวน 3 ข้อ ฉบับท่ี 5 การประเมินความพึงพอใจ มีวัตถุประสงค์เพ่ือตรวจสอบผลสำเร็จของการ ดำเนินงานโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพ การศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ว่ามีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับใดและมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไขอย่างไร มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั ประกอบด้วย 3 ตอน ได้แก่ ตอนท่ี 1 ข้อมลู พน้ื ฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ความพึงพอใจต่อโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำนวน 20 ข้อ ตอนที่ 3 การแสดงความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะเป็นข้อคำถามปลายเปดิ จำนวน 3 ข้อ
83 3.2 การหาคณุ ภาพของเครื่องมือ 3.2.1การตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) ผู้รายงานได้นำ แบบสอบถามท่ีสร้างข้ึนเสนอให้ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา จำนวน 5 ท่าน ได้แก่ (1) นายเดโช ขวัญพุฒ (2) นางสาวสารีย์ นุ่มนวล (3) รศ.ดร.ชูศักด์ิ เอกเพชร (4) ดร.ผกามาศ หอมกอ (5) นางธนพร มีเพียร แล้วนำผลการตรวจสอบของผู้ทรงคุณวุฒิและ ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบและวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง ( Index of item objective congruence =IOC) ระหว่างข้อคำถามกับนิยามปฏิบัติการ โดยกำหนดระดับความคิดเห็นของ ผูเ้ ชยี่ วชาญ ดงั น้ี +1 เม่ือแน่ใจว่าข้อคำถามนั้นวัดได้ตรงตามนิยามปฏบิ ัติการ 0 เมอื่ ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามนัน้ วัดไดต้ รงตามนิยามปฏบิ ตั ิการ -1 เมือ่ แน่ใจวา่ ข้อคำถามน้ันวัดไดไ้ มต่ รงตามนิยามปฏบิ ัตกิ าร คัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC ต้ังแต่ 0.80 ขึ้นไป เนื่องจากถือว่าเป็นข้อคำถามท่ีวัด ได้ตรงตามนิยามปฏิบัติการ โดยแบบสอบถามท้ัง 5 ฉบับ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80–1.00 ปรับปรุง แบบสอบถาม แลว้ จดั พิมพ์แบบสอบถามฉบับสมบรู ณ์และนำไปใชเ้ ก็บรวบรวมข้อมลู 3.2.2 การตรวจสอบค่าความเชื่อมั่น (reliability) นำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try out) กับบุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และครู สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 3 ที่ไม่ใช่ประชากรท่ีใช้ในการประเมินครั้งน้ี จำนวน 30 คน เพ่ือหาค่าความเช่ือม่ัน (Reliability) ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ ครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ได้ค่าความเช่อื มั่นของแบบสอบถาม แตล่ ะฉบับ ดงั ตารางท่ี 3.4 ตารางที่ 3.4 ค่าความเชื่อมัน่ ของเคร่อื งมอื ประเมนิ โครงการ แบบสอบถาม จำนวนขอ้ ค่าสัมประสทิ ธแ์ิ อลฟา ฉบบั ท่ี 1 การประเมนิ ด้านบริบท 10 0.968 0.954 ฉบบั ที่ 2 การประเมนิ ด้านปจั จยั นำเขา้ 17 0.901 0.907 ฉบับที่ 3 การประเมินด้านกระบวนการ 15 0.919 ฉบบั ที่ 4 การประเมนิ ดา้ นผลผลิต 25 ฉบบั ท่ี 5 การประเมนิ ความพงึ พอใจ 20 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่าน ดาวเทียม(DLTV) เพื่อยกระดับคุณภาพการศกึ ษา สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 ตามรูปแบบการประเมินโครงการแบบซิปป์ (CIPP Model) ผู้รายงานได้ดำเนินการเก็บ รวบรวมข้อมลู 3 ระยะ ดงั น้ี 4.1 ก่อนดำเนนิ โครงการ
84 เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านบริบท (Context) และด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ผ้รู ายงานดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู ดังนี้ 4.1.1 การเกบ็ รวบรวมข้อมูลดา้ นบริบท ผู้รายงานเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ฉบับที่ 1 การประเมินด้าน บริบท (Context) มีจุดม่งุ หมายเพ่ือตรวจสอบความสอดคล้องของสภาพปัญหาและความตอ้ งการของ สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ความสอดคล้องและความเหมาะสม ของหลักการเหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมายและกิจกรรมการดำเนินงานโครงการและเก็บรวบรวม ข้อมูลจาก บุคลากรทางการศึกษาจำนวน 21 คน และผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 40 คน โดยแจก แบบสอบถามให้กับบคุ ลากรทางการศกึ ษาโดยตรงและสง่ แบบสอบถามให้กับผู้บริหารสถานศกึ ษาทาง ระบบ My Office และกำหนดการส่งคืนแบบสอบถามที่กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัด การศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 3 ภายใน วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ผู้รายงานนำแบบสอบถามท่ีได้รับคืนมาทำการตรวจนับและตรวจสอบความ สมบูรณ์ในการตอบ ซง่ึ ผู้รายงานได้รบั แบบสอบถามคืน จำนวน 61 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 และนำ แบบสอบถามไปวิเคราะห์ขอ้ มลู 4.1.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลด้านปจั จยั นำเขา้ ผู้รายงานเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ฉบับที่ 2 การประเมินด้าน ปัจจัยนำเข้า (Input) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบความเหมาะสมและความเพียงพอ ของปัจจัยที่ นำมาใช้ในการดำเนินงานโครงการ ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานที่ และ การบริหารจดั การโครงการว่ามีเหมาะสมและเพียงพออยูใ่ นระดับใด โดยส่งแบบสอบถามจำนวน 213 คน จำแนกเป็นบุคลากรทางการศกึ ษา จำนวน 21 คน ด้วยตนเองและส่งแบบสอบถามให้กับผู้บริหาร สถานศึกษาจำนวน 40 คน ครู จำนวน 152 คน ทางระบบ My Office และกำหนดการส่งคืน แบบสอบถามที่กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ภายใน วันท่ี 31 มกราคม 2562 ผู้รายงานนำแบบสอบถามท่ีได้รับ คืนมาทำการตรวจนับและตรวจสอบความสมบูรณ์ในการตอบ ซึ่งผู้รายงานได้รับแบบสอบถามคืน จำนวน 213 ฉบบั คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 และนำแบบสอบถามไปวิเคราะหข์ ้อมูล 4.2 ระหวา่ งดำเนนิ โครงการ ผู้รายงานดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ฉบับที่ 3 การประเมินด้าน กระบวนการ (Process) มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมของการวาง แผนการดำเนินงานการจัดระบบข้อมูลสารสนเทศ การจัดการด้านบุคลากร การดำเนินกิจกรรมตาม โครงการ การนิเทศกำกับติดตาม การประเมินผลและการปรับปรุงพัฒนา และการประชาสัมพันธ์ โครงการ ว่ามีความสอดคล้องและเหมาะสมอยู่ในระดับใด โดยส่งแบบสอบถามให้กับบุคลากรทาง การศึกษาด้วยตนเองและส่งแบบสอบถามให้กับผู้บริหารสถานศึกษา และครู ทางระบบ My Office และกำหนดการส่งคืนแบบสอบถามที่กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 3 ภายใน วันที่ 30 สิงหาคม 2562 ผู้รายงานนำ แบบสอบถามท่ีได้รบั คืนมาทำการตรวจนับและตรวจสอบความสมบูรณ์ในการตอบ ซ่ึงผู้รายงานได้รับ แบบสอบถามคืน จำนวน 213 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 และนำแบบสอบถามไปวิเคราะห์ข้อมูล
85 การนิเทศติดตามการพัฒนาการจัดการศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล โดยศึกษานิเทศก์ ปฏิบัติการนิเทศภาคสนาม ในโรงเรียนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 40 โรง โดยใช้ กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE ประกอบด้วย ข้ันที่ 1 การวางแผนการนิเทศ (Planning-P) ผู้นิเทศ สังเคราะห์สภาพปัจจุบัน ปัญหา การพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)และ รวบรวมข้อมูลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดการศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) ของสถานศึกษา ในสงั กัด ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี รูปแบบการนิเทศ สำหรับใช้ในการกำหนดแนวทาง รูปแบบการนิเทศ ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทที่สามารถส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)ในสถานศึกษา จัดระบบข้อมูลสารสนเทศให้ถูกต้อง ครอบคลุม เป็นปัจจุบัน จัดทำแผนนิเทศ กำกับ ติดตาม การพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) ขั้นท่ี 2 ให้ความรู้ก่อนการ นิเทศ (Informing-I) โดยการจัดประชุมปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับแนวทางการ พัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)แก่ผู้นิเทศและผู้รับนิเทศ ในประเด็นต่อไปนี้ 1) การเตรียมความพร้อมของโรงเรียนและห้องเรียนปลายทาง2) มาตรฐานการจัดการเรียนการสอนโดย ใช้การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม DLTV 3) การเตรียมการจัดการเรียนการสอนของครูปลายทาง4) แนวทางการจัดช้ันเรียนและการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครูปลายทาง5)การดูแลและซ่อมบำรุง อุปกรณ์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม DLTV เป็นต้น ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศแลกเปลีย่ นเรียนรู้ แนวทางการพฒั นาการจัดการศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)ขั้นที่ 3 ดำเนินการนิเทศ (Doing-D) ผู้นิเทศ และผู้รับการนิเทศร่วมกันลงมือปฏิบัติงานการพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)โดยใช้การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหาร ครู บุคลากร นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ผู้นิเทศดำเนินการนิเทศตามประเด็นในแบบนิเทศติดตามการ พัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) โดยการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ครู นักเรียน เยี่ยม ชน้ั เรยี น ถามหาร่องรอยการดำเนนิ งานพฒั นาการจดั การศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)พรอ้ มท้ัง ให้ คำป รึกษ าแน ะน ำแ น ว ท างก ารพั ฒ น าก ารจัด ก ารศึ ก ษ าท างไกล ผ่ าน ด าว เที ย ม ( DLTV)โดย ใช้ มาตรฐานการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศร่วมกันวิเคราะห์เพ่ือให้ ข้อมูลย้อนกลับแนวทางการดำเนินงานพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)และ ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สรุปผลการนิเทศ และรายงานผลการนิเทศให้ผู้บริหาร ครู บุคลากร และ นักเรยี นทราบ ขั้นที่ 4 การสร้างขวัญกำลังใจและยกย่องเชิดชูเกียรติ (Reinforcing-R) สำนักงานเขต พนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรูส้ ถานศกึ ษาท่มี รี ูปแบบ การพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)ท่ีเป็นแบบอย่างและเป็นแหล่งเรียนรู้แก่ สถานศึกษาอ่ืน ๆ ผู้นิเทศถอดประสบการณ์แนวการพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ท่ีประสบความสำเร็จเผยแพร่ต่อสาธารณชนในรูปแบบเอกสารประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ facebook Line เป็นต้น ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศร่วมกันช่ืนชมผลงานการพัฒนาการจัดการศึกษา ทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) มอบเกียรติบัตร ข้ันที่ 5 สรุป รายงานผลการนิเทศ (Evaluating-E) ผู้ นิเทศและผู้รับการนิเทศร่วมกันประเมินผลการพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพ่ือพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเน่ือง และร่วมกันสรุปผลการนิเทศและหาแนวทางการ พัฒนาการนิเทศ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบนิเทศติดตามการพัฒนาการจัดการศึกษาทางไกล ผ่านดาวเทียม(DLTV)ซึ่งผูร้ ายงานได้รับแบบนิเทศติดตาม จำนวน 40 ฉบบั คิดเป็นรอ้ ยละ 100
86 4.3 หลังสน้ิ สดุ โครงการ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านผลผลิต (Product) และความพึงพอใจต่อโครงการ ผรู้ ายงานดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังน้ี ผ้รู ายงานใช้แบบสอบถามฉบับที่ 4 การประเมินด้านผลผลิต (Product) มจี ุดมุ่งหมาย เพ่อื ตรวจสอบการบรรลตุ ามวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ คือ 1)ผลสำเรจ็ ในการจดั กิจกรรมตามโครงการ ส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขต พ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมอยู่ในระดับใด 2) ผล การทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาติข้ันพนื้ ฐาน(O-NET)นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นขนาด เลก็ ปีการศกึ ษา 2562 ของสำนกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผู้รายงานใช้แบบสอบถามฉบับที่ 5 การประเมินความพึงพอใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ตรวจสอบผลสำเร็จของการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับใด โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบ โดยส่งแบบสอบถามให้กับ บุคลากรทางการศึกษาด้วยตนเองและส่งแบบสอบถามให้กับผู้บริหารสถานศึกษา และครู ทางระบบ My Office และกำหนดการส่งคืนแบบสอบถามที่กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ภายใน วันท่ี 25 ตุลาคม 2562 ผู้รายงานนำแบบสอบถามที่ได้รับคืนมาทำการตรวจนับและตรวจสอบความสมบูรณ์ในการตอบ ซึ่ง ผู้รายงานได้รับแบบสอบถามคืน จำนวน 213 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 และนำแบบสอบถามไปวิเคราะห์ ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการประเมินในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลผลติ และการประเมินความพงึ พอใจ ปรากฏผลตามตารางที่ 3.5 ตารางที่ 3.5 จำนวนและร้อยละของแบบสอบถามทีน่ ำมาใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล แบบสอบถาม จำนวน (ฉบบั ) รอ้ ยละ ฉบับที่ 1 ประเมนิ ดา้ นบรบิ ท 61 100 100 ฉบบั ท่ี 2 ประเมนิ ด้านปัจจยั นำเขา้ 213 100 100 ฉบับที่ 3 ประเมินดา้ นกระบวนการ 213 100 ฉบบั ท่ี 4 ประเมินดา้ นผลผลิต 213 ฉบับท่ี 5 ประเมินความพึงพอใจตอ่ โครงการ 213 5. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผู้รายงานได้ตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ของแบบสอบถามทั้ง 5 ฉบับ แล้ว ดำเนินการวิเคราะหข์ ้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู และจำแนกข้อมลู เป็น 3 ส่วน คอื ส่วนท่ี 1 หาค่าร้อยละ (percentages) ขอ้ มูลพืน้ ฐานของผตู้ อบแบบสอบถาม
87 ส่วนท่ี 2 หาค่าเฉล่ีย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) แล้ว แปลความหมายจากคะแนนเฉลย่ี โดยเทียบกบั เกณฑ์ รัตนะ บวั สนธ์ (2540: 186-187) ดังน้ี 4.50 – 5.00 หมายถึง ผลการประเมนิ อยใู่ นระดบั มากทสี่ ดุ 3.50 – 4.49 หมายถงึ ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั มาก 2.50 – 3.49 หมายถงึ ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั ปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถงึ ผลการประเมินอยูใ่ นระดับนอ้ ย 1.00 – 1.49 หมายถงึ ผลการประเมินอย่ใู นระดับน้อยทีส่ ดุ ส่วนท่ี 3 เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากแบบสอบถามปลายเปิด โดยใช้วิธี วเิ คราะห์เนื้อหา (Content analysis) โดยการศึกษาข้อมูลจากแบบสอบถามตอนที่ 3 แล้วนำคำตอบ มาจดั หมวดหม่แู ละพจิ ารณาความถขี่ องคำตอบแล้วสรปุ เปน็ ประเด็นสำคญั 6. สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือและวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินโครงการส่งเสริม การจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV) เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ครั้งนี้ ผู้รายงานกำหนดสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 6.1 คา่ ดชั นีความสอดคล้อง (IOC) มสี ูตรดังต่อไปนี้ (ปกรณ์ ประจัญบาน, 2552: 164) IOC = NR เม่ือ IOC แทน คา่ ดชั นีความสอดคล้อง R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชย่ี วชาญท้งั หมด N แทน จำนวนผ้เู ชีย่ วชาญท้งั หมด 6.2 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟา ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) (พิสณุ ฟองศร,ี 2549: 313) k = k 1 − s 2 −1 j k St2 k แทน ค่าความเช่ือมั่นของแบบสอบถาม s 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ j st2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนที่ได้ k แทน จำนวนขอ้ ของแบบสอบถาม
88 6.3 หาคา่ รอ้ ยละ (P) จากสตู รดังน้ี (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545: 104) P = f 100 N P แทน รอ้ ยละ f แทน ความถท่ี ต่ี ้องการแปลงให้เปน็ รอ้ ยละ N แทน จำนวนความถ่ที ้ังหมด 6.4 ค่าเฉลีย่ (Mean) ใช้สูตร (รตั นะ บวั สนธ,์ 2552:224) X = X n X แทน ค่าเฉลีย่ X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด n แทน จำนวนกล่มุ ตัวอยา่ ง 6.5 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังน้ี (รัตนะ บัวสนธ์, 2552:224) S.D. = n X 2 − ( X )2 n(n −1) S.D. แทน คา่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของนักเรียนแตล่ ะคน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอยา่ ง 7. เกณฑท์ ี่ใช้ในการประเมินโครงการ ในการกำหนดเกณฑ์การประเมินโครงการเพื่อตัดสินคุณค่าของโครงการ ส่งเสริมการจัด การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผู้รายงานได้กำหนดเกณฑ์ในการประเมินแต่ละด้าน โดยใช้คะแนน เฉลีย่ เปน็ เกณฑ์ในการตัดสนิ ดังน้ี 4.50 – 5.00 หมายถงึ ผลการประเมินอยใู่ นระดับมากท่สี ดุ 3.50 – 4.49 หมายถึง ผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั มาก 2.50 – 3.49 หมายถงึ ผลการประเมินอยูใ่ นระดบั ปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถงึ ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั น้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง ผลการประเมนิ อยใู่ นระดบั น้อยที่สดุ ผรู้ ายงานไดก้ ำหนดเกณฑ์ท่ีใชใ้ นการตดั สินคุณค่าของโครงการส่งเสรมิ การจัดการศึกษาทางไกล ผ่านดาวเทียม(DLTV)เพื่อยกระดบั คุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ ธานี เขต 3 ด้านบริบท (Context) ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) และด้าน
89 ผลผลิต (Product) คือ คะแนนเฉลี่ยจากการประเมินในภาพรวมอยู่ในระดับมากถือว่าผ่านเกณฑ์การ ประเมนิ เกณฑ์การประเมินความพึงพอใจต่อโครงการส่งเสรมิ การจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV)เพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ผู้รายงานได้กำหนดเกณฑ์ในการประเมิน คือผลการประเมินในภาพรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมากถือ วา่ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ 8. แนวทางในการประเมินโครงการสง่ เสรมิ การจดั การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) เพอ่ื ยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 การประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม(DLTV)เพื่อ ยกระดับคุณภาพการศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 คร้ังน้ี ผู้รายงานได้กำหนดแนวทางในการประเมนิ โครงการซงึ่ มรี ายละเอียด ดงั ตารางที่ 3.6
94
ตารางท่ี 3.6 แนวทางในการประเมินโครงการส่งเสริมการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทีย ราษฎร์ธานี เขต 3 รายการประเมนิ กลมุ่ ตัวอย่างในการ เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการเก็บ เกบ็ รวมรวมข้อมลู รวบรวมข้อมลู 1. ดา้ นบรบิ ท (Context) -บุคลากรทางการศึกษา แบบสอบถามฉบบั ที่ 1 - ประเมนิ ความสอดคล้อง - ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา และเหมาะสมของสภาพ โรงเรยี นขนาดเลก็ ปัญหาและความต้องการ ของสำนักงานเขตพนื้ ที่ การศึกษาประถมศกึ ษาสุ ราษฎรธ์ านี เขต 3 - ความสอดคลอ้ งและความ เหมาะสมของหลักการ เหตุผล วัตถุประสงค์ เป้าหมายและกิจกรรมการ ดำเนินงานของโครงการ
ยม(DLTV)เพื่อยกระดับคุณภาพการศกึ ษา สำนักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสุ การวิเคราะห์ข้อมลู เกณฑก์ ารประเมนิ ระยะเวลาในการประเมนิ - ค่าร้อยละของข้อมลู ใชเ้ กณฑใ์ นการตัดสิน ดังนี้ พฤศจิกายน 2561 พนื้ ฐาน 4.50 – 5.00 = มากทสี่ ุด - ค่าเฉล่ยี และค่าเบ่ียงเบน 3.50 – 4.49 = มาก มาตรฐานของข้อมูลจาก 2.50 – 3.49 = ปานกลาง แบบสอบถาม 1.50 – 2.49 = นอ้ ย - ขอ้ มูลเชิงคุณภาพจาก 1.00 – 1.49 = นอ้ ยทส่ี ุด แบบสอบถามปลายเปิด - คะแนนเฉล่ยี ในภาพรวม อยใู่ นระดับมากถือว่าผ่าน เกณฑ์การประเมนิ 90
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212