Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทร02006

ทร02006

Published by laddawan.kk30, 2020-06-30 00:55:06

Description: ทร02006

Search

Read the Text Version

v หนังสือเรยี น สาระทักษะการเรยี นรู้ รายวชิ าเลอื ก ทร02006 โครงงานเพอื่ พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ ตามหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ระดบั ประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจงั หวดั เชียงใหม่ สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย สํานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจําหน่าย หนงั สือเรียนเล่มน้ีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพ่อื การศึกษาตลอดชีวิตสาํ หรับประชาชน ลิขสิทธ์ิเป็ นของสาํ นกั งาน กศน. จงั หวดั เชียงใหม่

-ก- คาํ นาํ หนังสือเรียนรายวิชาเลือก วิชาโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร02006 ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย จัดทําข้ึนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และประสบการณ์ ซ่ึงเป็นไป ตามหลักการปรัชญาการศึกษานอกโรงเรียน และพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย พ.ศ.2551 ให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม มีสติปัญญา มีศักยภาพในการประกอบอาชีพและ สามารถดํารงชวี ิตอยใู่ นสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสุข เพ่ือให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ของสถานศึกษามีประสิทธิภาพ สถานศึกษาต้องใช้หนังสือเรียนท่ีมี คุณภาพ สอดคล้องกับสภาพปัญหาความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ สถานศึกษา หนังสือเล่มน้ีได้ประมวลสาระความรู้ กิจกรรมเสริมทักษะ แบบวัดประเมินผลการเรียนรู้ไว้อย่าง ครบถ้วน โดยองค์ความรู้น้ันได้นํากรอบมาตรฐานการเรียนรู้ตามที่หลักสูตรกําหนดไว้ นํารายละเอียดเน้ือหา สาระมาเรียบเรียงอย่างมีมาตรฐานของการจัดทําหนังสือเรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอ่านเข้าใจง่ายและศึกษา คน้ ควา้ ด้วยตนเองได้อยา่ งสะดวก คณะผู้จัดทําหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียนรายวิชาโครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร02006 เล่มนี้จะเป็นส่ือที่อํานวยประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เพือ่ ให้ผู้เรียนสัมฤทธิ์ผลตามมาตรฐาน ตัวช้ีวัดท่ีกําหนดไว้ในหลักสูตร ทุกประการ คณะผจู้ ัดทํา สํานักงาน กศน.จงั หวัดเชียงใหม่  

-ข- สารบญั เรอ่ื ง หน้า คํานาํ ................................................................................................................................................... ก สารบญั ................................................................................................................................................ ข รายละเอยี ดวิชา.................................................................................................................................. ง คาํ อธบิ ายรายวิชา................................................................................................................. จ แบบทดสอบกอ่ นเรียน........................................................................................................................ ฉ บทท่ี 1 หลักการ แนวคดิ และความหมายของโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรยี นรู้........................... 1 แผนการเรยี นรูป้ ระจําบทท1่ี ................................................................................................. 2 ตอนที่ 1.1 หลกั การของโครงงานเพื่อพัฒนาทกั ษะการเรียนรู้.............................................. 3 ตอนที่ 1.2 แนวคดิ ของโครงงานเพ่อื พัฒนาทักษะการเรยี นร้.ู ............................................... 5 ตอนที่ 1.3 ความหมายของโครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู.้ ......................................... 7 กิจกรรมท้ายบท.................................................................................................................... 10 บทที่ 2 ประเภทของโครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรยี นรู.้ ................................................................. 12 แผนการเรียนร้ปู ระจาํ บทท่ี 2................................................................................................ 13 ตอนที่ 2.1 ประเภทของโครงงานเพ่ือพฒั นาทกั ษะการเรยี นร.ู้ ............................................. 14 กิจกรรมท้ายบท.................................................................................................................... 16 บทที่ 3 การเตรยี มการวางแผนและข้นั ตอนกระบวนการจดั ทาํ โครงงานเพื่อพฒั นาทักษะการเรยี นรู้ 18 แผนการเรียนร้ปู ระจาํ บทท่ี 3………………………………………………………………………….………… 19 ตอนที่ 3.1 การพจิ ารณาเลอื กโครงงาน……………………………………………………………….……… 20 ตอนที่ 3.2 การวางแผนทําโครงงานและขน้ั ตอนกระบวนการทําโครงงาน………………….…… 21 กิจกรรมท้ายบท.................................................................................................................... 25 บทท่ี 4 ทักษะที่จําเปน็ ในการทําโครงงานเพ่ือพฒั นาทักษะการเรียนรู้.................... 27 แผนการเรียนร้ปู ระจาํ บทที่ 4……………………………………………………………………………………. 28 ตอนที่ 4.1 ทักษะดา้ นการจดั การข้อมูลสารสนเทศ………………………………………………………. 29 ตอนท่ี 4.2 ทักษะการคิดอยา่ งเปน็ ระบบ…………………………………………………………………….. 32 ตอนที่ 4.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์………………………………………………………….. 35 ตอนท่ี 4.4 ทักษะการนาํ เสนอ…………………………………………………………………………………… 39 ตอนท่ี 4.5 ทักษะการพฒั นาต่อยอดความรู้………………………………………………………………… 41 กจิ กรรมท้ายบท.................................................................................................................... 43 บทที่ 5 การสะท้อนความคดิ เห็นต่อโครงงานเพอ่ื พัฒนาทักษะการเรยี นรู.้ .......................................... 45 แผนการเรยี นร้ปู ระจาํ บทที่ 5................................................................................................ 46 ตอนท่ี 5.1 แนวคิดเร่อื งการสะท้อนความคิด........................................................................ 47 ตอนที่ 5.2 ความสําคญั ของการสะทอ้ นความคิด.................................................................. 49  

-ค- สารบญั (ตอ่ ) เรอื่ ง หน้า ตอนที่ 5.3 การประเมนิ โครงงานและการพัฒนาโครงงานจากข้อบกพร่องต่างๆ................... 50 กจิ กรรมท้ายบท.................................................................................................................... 52 แบบทดสอบหลงั เรียน......................................................................................................................... 54 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น.......................................................................................... 56 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน................................................................................................... 57 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน................................................................................................... 57 ภาคผนวก........................................................................................................................................... 58 แบบฟอรม์ เสนอขออนมุ ตั โิ ครงงาน....................................................................................... 59 แบบฟอร์มการเขยี นรายงานโครงงาน................................................................................... 60 ปกแบบการเรียนร้โู ดยโครงงาน............................................................................................. 62 การอนมุ ัติแผนการเรียนรู้โดยโครงงาน.................................................................................. 63 บรรณานุกรม....................................................................................................................................... 64 คณะผูจ้ ดั ทํา........................................................................................................................................ 65 คณะบรรณาธิการ/ปรับปรุงแก้ไข....................................................................................................... 66  

-ง- รายละเอยี ดวิชา 1.คาํ อธบิ ายรายวิชา คําอธิบายรายวชิ า ทร02006โครงงานเพ่อื พฒั นาทักษะการเรยี นรู้ จาํ นวน 3 หน่วยกิต ระดับประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และมธั ยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานท่ี 1.1 มีความร้คู วามเขา้ ใจ ทักษะ และเจตคติท่ีดีตอ่ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ศกึ ษาและฝกึ ทักษะเกีย่ วกบั เรอ่ื งตอ่ ไปน้ี หลกั การและแนวคดิ ของโครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรยี นรู้ ความหมายของโครงงานเพื่อพฒั นา ทักษะการเรียนรู้ ประเภทของโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรยี นรู้ การเตรียมการ วางแผนและข้ันตอน กระบวนการจัดทําโครงงานเพือ่ พฒั นาทักษะการเรยี นรู้ ทักษะและกระบวนการที่จําเป็นในการทําโครงงานเพื่อ พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ (การหาข้อมูล การเลือกใช้ขอ้ มลู การจัดทาํ ข้อมลู การนาํ เสนอข้อมลู การพฒั นาต่อ ยอดความรู้) การสะท้อนความคิดเหน็ ต่อโครงงานเพ่ือพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ ควรจัดในลกั ษณะของการบรู ณาการทักษะต่างๆ ไปพร้อมกบั การสร้างสถานการณ์ในการเรียนรอู้ ยา่ ง สร้างสรรค์ เพ่ือฝึกใหผ้ ูเ้ รียนได้ฝึกดําเนินการในการทําโครงงานและมเี จตคติท่ีดตี อ่ การเรียนรดู้ ้วยตนเอง ท่ที ํา ใหก้ ารเรยี นรู้ด้วยตนเองประสบความสาํ เร็จ และนําความร้ไู ปใช้ในวิถชี ีวิตใหเ้ หมาะสมกบั ตนเองและชุมชน สังคม การวัดและประเมินผล ใช้การประเมินจากสภาพจริงของผ้เู รยี นท่ีแสดงออกเก่ียวกับดาํ เนนิ การในการทําโครงงาน ส่งโครงงาน และการทดสอบ  

-จ- รายละเอียดคําอธบิ ายรายวิชา ทร02006 โครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ จาํ นวน 3หน่วยกติ ระดับประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มัธยมศกึ ษาตอนปลาย มาตรฐานที่ 1.1 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะ และเจตคตทิ ดี่ ีต่อการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ท่ี หวั เรื่อง ตวั ชี้วดั จาํ นวน เนื้อหา (ชวั่ โมง) 1 โครงงานเพื่อพฒั นา 1. มีความรู้ 1. หลกั การและแนวคดิ ของ 120 ทักษะการเรยี นรู้ ความเข้าใจ หลักการและ โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการ แนวคดิ โครงงาน เรียนรู้ ความหมายของโครงงาน 2.ความหมายของโครงงานเพื่อ เพื่อพฒั นาทักษะการ พฒั นาทักษะการเรยี นรู้ เรียนรู้ 3.ประเภทของโครงงานเพื่อ ประเภทของโครงงาน พัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ การเตรียมการทาํ 4.การเตรียมการ วางแผนและ โครงงาน ทกั ษะและ ขั้ น ต อ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ทํ า กระบวนการในการทํา โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการ โครงงาน เรียนรู้ 2. มีความสามารถ 5.ทักษะและกระบวนการท่ี ในการดาํ เนินการทํา จําเป็นในการทําโครงงานเพ่ือ โครงงาน และสะท้อน พัฒนาทักษะการเรียนรู้ (การ ความคิดเห็นต่อโครงงาน หาข้อมูลการเลือกใช้ข้อมูล 3.มเี จตคติท่ีดี การจัดทําข้อมูล การนําเสนอ ตอ่ การทําโครงงานและ ข้ อ มู ล ก า ร พั ฒ น า ต่ อ ย อ ด เห็นคุณคา่ ของโครงงาน ความร้)ู 6. การสะท้อนความคิดเห็นต่อ โครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการ เรียนรู้  

-ฉ- แบบทดสอบกอ่ นเรียน รายวชิ า โครงงานเพอื่ พัฒนาทกั ษะการเรียนรู้ จงกากบาท (X) ข้อท่ีถูกทีส่ ุดเพียงข้อเดยี ว 1. การได้มาของหวั เรื่องในการทําโครงงาน ควรจะได้มาจากทใี่ ดเปน็ อันดับแรก ก. สงั เกตสํารวจสง่ิ แวดล้อมรอบตวั ข. ไปศกึ ษาแนวคิดของโครงงานอ่นื ค. ไปศึกษานอกสถานท่ี ง. ปรกึ ษาอาจารย์ทปี่ รึกษาโครงงาน 2. ผูท้ ี่ควรเปน็ ท่ีปรกึ ษาโครงงานทด่ี ี ควรเป็นใคร ก. อาจารยป์ ระจําชน้ั ข. บคุ คลที่ไม่ใช่ครูอาจารย์ หรอื ผูอ้ าํ นวยการโรงเรยี น ค. ใครก็ไดท้ ีม่ ีความรู้ในเร่ืองของโครงงาน ง. ใครกไ็ ด้ทม่ี ีความร้ใู นเร่อื งท่ีเราศกึ ษา 3. สิง่ ท่ีควรทําเป็นอันดับแรกในการทําโครงงานคือทําอย่างไร ก. สอบถามเรื่องทจ่ี ะทําจากอาจารยท์ ปี่ รึกษา ข. คิดหัวเรอื่ งท่จี ะทํา ค. เตรยี มสถานทท่ี จ่ี ะทําโครงงาน ง. ศกึ ษาหาสถานท่ีที่จะประกวด 4. การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานมุ่งเน้นด้านใดถูกทส่ี ุด ก. มงุ่ เน้นใหผ้ เู้ รียนสามารถเอาสิง่ ท่ไี ดม้ าไปหารายได้ ข. มงุ่ เนน้ ใหผ้ ู้เรยี นเรียนรจู้ ากประสบการณ์ตรง ค. มุ่งเนน้ ให้ผู้เรียนหาเลยี้ งชพี เพยี งลาํ พัง ง. มุ่งเน้นให้ผเู้ รยี นสามคั คี 5. โครงงานคอื อะไร ก. สง่ิ ท่ีถูกบงั คบั กําหนดใหศ้ ึกษา ข. การเรยี นรู้โดยไม่อาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ค. การเรยี นรู้โดยไม่มีการวางแผน ง. กจิ กรรมทีเ่ ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาสง่ิ ท่ีสนใจอย่างลึก 6. โครงงานตามสาระการเรยี นรู้ มีลกั ษณะเชน่ ใด ก. เปน็ การพฒั นาศักยภาพของตนเองไปด้านท่ีตนเองสนใจ ข. เปน็ การให้บูรณาการร่วมกับการเรยี นรู้ ค. เป็นการสร้างความสามัคคีในหมคู่ ณะ ง. เปน็ การนําความรู้ด้านต่างๆ มาประยุกต์ใชด้ ว้ ยกัน  

-ช- 7. ประเภทของโครงงานแบ่งออกไดเ้ ปน็ กีป่ ระเภท ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท 8. การออกแบบเสื้อผา้ จดั อยู่ในโครงงานประเภทใด ก. โครงงานตามความถนดั ข. โครงงานตามสาระการเรยี นรู้ ค. โครงงานตามความสนใจ ง. โครงงานคณิตศาสตร์ 9. การใชส้ มุนไพรในการปราบศัตรพู ชื จดั อยู่ในโครงงานประเภทใด ก. ตามสาระการเรียนรู้ ข. ตามอัธยาศัย ค. ตามความสนใจ ง. ตามความถนัด 10. ขอ้ ใดคือจดุ มงุ่ หมายของการทําโครงงาน ก. เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นไดผ้ ลประโยชน์จากกจิ กรรม ข. เพื่อใหผ้ เู้ รียนรู้รักสามคั คี ค. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนรถู้ ึงความเปน็ ไทย ง. เพื่อให้ผู้เรียนไดแ้ สดงออกซง่ึ ความคดิ ริเริ่มสรา้ งสรรค์  

  บทท่ี 1 หลกั การ แนวคิด และความหมายของโครงงานเพ่อื พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้  

2  แผนการเรยี นรปู้ ระจําบท บทที่ 1 หลักการ แนวคิด และความหมายของโครงงานเพอื่ พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ สาระสําคญั การจัดทําโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ผู้ท่ีจะดําเนินการจัดโครงงานจะต้องรู้และเข้าใจถึง หลักการ แนวคิด และความหมายของโครงงาน เพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เพ่ือจะได้นําความรู้และความ เข้าใจไปดําเนินการจัดทําโครงงานได้ ทั้งน้ีเพราะการจัดทําโครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือ แสวงหาความรู้ด้วยตนเองในลักษณะท่ีผู้เรียนมีอิสระในการเลือกวิธี หรือเน้ือหาสาระตามศักยภาพและ สิง่ แวดล้อม รวมท้ังยังเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ ที่จะไปขยายผลการเรียนรู้ด้วยตนเองต่อไปใน ภายภาคหนา้ ได้อย่างกว้างขวาง ผลการเรียนร้ทู ีค่ าดหวงั เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ หลักการ แนวคิดและความหมายของโครงงานเพื่อพัฒนา ทักษะการเรยี นรู้ ขอบข่ายเน้ือหา ตอนท่ี 1.1 หลักการของโครงงานเพอื่ พฒั นาทักษะการเรยี นรู้ ตอนท่ี 1.2 แนวคดิ ของโครงงานเพอ่ื พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ ตอนที่ 1.3 ความหมายของโครงงานเพ่อื พฒั นาทักษะการเรียนรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. ศกึ ษาหนงั สอื เรียน บทที่ 1 2. ปฏบิ ัติกิจกรรมตามท่ีได้รบั มอบหมายในหนังสอื เรยี น ส่อื ประกอบการเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี นบทท่ี 1 2. ใบงานท่ี1 ประเมนิ ผล 1. ประเมินผลจากการสงั เกต 2. ประเมินผลจากใบงาน  

3  ตอนที่ 1.1 หลักการของโครงงานเพื่อพัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ ผเู้ รียนจะมีความเข้าใจและสามารถนําโครงงานไปใช้ในการแสวงหาความรู้ได้อย่างดี ดังนั้นผู้เรียนควร มีโลกทัศน์ต่อโครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่กว้างขวาง ซ่ึงจําเป็นต้องทําความเข้าใจหลักการของ โครงงาน ซงึ่ ไดป้ ระมวลหลักการเฉพาะทส่ี ําคัญมาใหศ้ กึ ษาดังน้ี หลกั การของการทําโครงงานเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ 1) เนน้ การแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง 2) ผู้เรียนเป็นผูว้ างแผนในการศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง 3) ผเู้ รยี นลงมือปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง 4) ผู้เรียนเปน็ ผนู้ าํ เสนอโครงงานด้วยตนเอง 5) ผเู้ รียนร่วมกําหนดแนวทางวดั ผลและประเมินผล จุดมุ่งหมายของการทาํ โครงงาน (www. thaigoodview.) 1) เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดศ้ ึกษาข้อมูลจากแหลง่ ความร้ตู ่างๆ ดว้ ยตนเอง 2) เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นได้แสดงความคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ 3) เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ เช่น รู้จักทํางานร่วมกับบุคคลอ่ืน มีความ เชือ่ มัน่ ในตนเอง มีความรับผดิ ชอบ ฯลฯ 4) เพอื่ ให้ผเู้ รียนใชค้ วามร้แู ละประสบการณเ์ ลอื กทําโครงงานตามความสนใจ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 หมวด 4 มาตรา 22 กล่าวว่า “การจัดการศึกษายึดหลักว่า ให้ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือวา่ มคี วามสําคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและ เต็มศักยภาพ” และมาตรา 24 กล่าวว่า “การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการดงั ต่อไปน้ี...(7) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน... (11) ฝกึ ทักษะกระบวนการคิดและการจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกัน และแก้ปญั หา...(15) จัดกิจกรรมใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทําได้ คิดเป็นทําเป็น รักการอ่านและเกดิ การใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง...(23) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ต่างๆ อย่างได้ สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรมค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา...(33) จดั การเรยี นรู้ให้เกิดขน้ึ ได้ ทุกเวลา ทุกสถานที่ มกี ารประสานความรว่ มมอื กบั บิดา มารดา ผู้ปกครองและบุคคล ในชุมชนทุกฝา่ ย เพ่ือรว่ มกันพฒั นาผู้เรยี นตามศักยภาพ” “โครงงานเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีใช้พัฒนาความสามารถของผู้เรียน อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่ ตอบสนองต่อกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ จึงมีความจําเป็นอย่างย่ิงที่ครูต้องนําไปใช้ในการจัด กจิ กรรมการเรยี นรู้ เพ่ือพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในทุกสาระการเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนต้องมีความสามารถใน การเลือกสรรให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับระดับการศึกษาของตนเอง รวมถึงความสามารถในการนําความรู้ที่ เกิดจากการเสาะแสวงหาไปประยุกต์ใช้ชีวิตจริงได้ จึงนับว่าเป็นการปฏิรูปผู้เรียนให้รู้จักแสวงหาความรู้ด้วย ตนเองจากสือ่ ท่ีหลากหลายอยา่ งต่อเนอื่ งและยง่ั ยืน”  

4  ยทุ ธ ไกยวรรณ (2546 : 11) กล่าวว่า หลกั การของการเรียนวิชาโครงงานเน้นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียน คิดเอง วางแผนการทํางานเอง ลงมือปฏิบัติงานด้วยตนเอง นําเสนอโครงงาน และร่วมกําหนดแนวทางการ วัดผลดว้ ย โดยมีครูเป็นผอู้ ํานวยความสะดวกและชีแ้ นะแนวทางการทํางานร่วมกัน แก้ปัญหากับผู้เรียนระหว่าง การทาํ โครงงาน การจัดการเรียนรู้การทําโครงงาน ควรอยู่บนพื้นฐานความเชื่อและหลักการปฏิรูปการเรียนรู้ คือ เช่ือมัน่ ในศกั ยภาพการเรยี นรู้ของผ้เู รยี น ภายใต้หลกั การจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสําคัญ และสอดคล้องกับ สภาพความเปน็ จรงิ ในท้องถิน่ (บรู ชยั ศิริมหาสารคร. 2549 : 19) คอื 1) ผเู้ รียนไดเ้ ลือกเรือ่ งประเด็นปญั หาท่ตี อ้ งการจะศกึ ษาด้วยตนเอง 2) ผู้เรียนไดเ้ ลอื กและหาวิธีการตลอดจนแหลง่ ข้อมูลที่หลากหลายด้วยตนเอง 3) ผูเ้ รยี นลงมอื ปฏิบตั แิ ละเรยี นรู้ด้วยตนเอง 4) ผู้เรยี นไดบ้ ูรณาการทกั ษะ ประสบการณ์ ความรู้ สิ่งแวดล้อมตามสภาพจริง 5) ผูเ้ รยี นเป็นผสู้ รปุ และสร้างองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง 6) ผ้เู รียนได้แลกเปลีย่ นเรยี นรกู้ ับผู้อืน่ 7) ผเู้ รียนไดน้ าํ ความร้ไู ปใช้จริง ( สาํ นกั งาน กศน.ภาคเหนอื . 2552 : 125)  

5  ตอนที่ 1.2 แนวคดิ ของโครงงานเพื่อพฒั นาทักษะการเรยี นรู้ การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่ให้ความสําคัญต่อผู้เรียน ในการเลือกเรียนสิ่งต่างๆ ด้วย ตนเอง ทั้งเนื้อหา วิธีการ โดยมีครูเป็นผู้คอยอํานวยความสะดวก ช่วยเหลือให้ผู้เรียนได้ประสบความสําเร็จ ในการเรียน ทั้งในแง่ของความรู้ด้านวิชาการ และความรู้ที่ใช้ในการดําเนินชีวิตและการทํางานในอนาคต เป็นผู้ท่ีมีความสมดุลท้ังด้านจิตใจ ร่างกาย ปัญญา อารมณ์ และสังคม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียน ได้เรียนเร่ืองการจัดทําโครงงานนั้น นอกจากจะมีคุณค่าทางด้านการฝึกให้ผู้เรียนมีความรู้ความชํานาญ และมีความม่ันใจในการนําเอาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ด้วยตนเองแล้ว ยงั ใหค้ ุณคา่ อนื่ ๆ คือ 1) รู้จกั ตอบปญั หาโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ไมเ่ ป็นคนท่ีหลงเชอื่ งมงายไร้เหตผุ ล 2) ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาความรูใ้ นเรอื่ งทีต่ นสนใจ ไดอ้ ย่างลึกซ้ึงกว่าการจัดกิจกรรมการเรยี นร้ขู องครู 3) ทาํ ใหผ้ ู้เรยี นไดแ้ สดงออกถึงความสามารถพเิ ศษของตนเอง 4) ทําให้ผู้เรยี นเกิดความสนใจเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรนู้ ้ันๆ มากย่ิงข้ึน 5) ผเู้ รยี นได้ใช้เวลาวา่ งใหเ้ ปน็ ประโยชน์ การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงาน สามารถช่วยให้ผ้เู รยี นไดฝ้ กึ ทักษะสําคญั ๆ ดังน้ี 1) สมั พันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal skill) 2) การแกป้ ญั หาและความขดั แยง้ (Conflict resolution) 3) ความสามารถในการถกเถียงเจรจาเพื่อนําไปสกู่ ารตัดสนิ ใจ (Consensus on decision) 4) เทคนิคการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีประสิทธิภาพ (Effective interpersonal Communication techniques) 5) การจัดการและการบริหารเวลา (Time management) 6) เตรยี มผเู้ รยี นเพ่ือจะออกไปทํางานรว่ มกับผอู้ นื่ 6.1) ทักษะในแงค่ วามรู้เกี่ยวกับความสามารถในการควบคุมจิตใจและควบคุมตนเอง (Discipline knowledge) 6.2) ทักษะเกย่ี วกบั กระบวนการกลุ่ม (Group-processskill) 7) ช่วยให้ผู้เรียนได้มีความรู้มากข้ึน มีมุมมองหลากหลาย(Multi perspective) อันจะนําไป สคู่ วามสามารถทางสติปญั ญา การรบั รู้ ความเขา้ ใจ การจดจํา และความสามารถในการทํางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ดี ยงิ่ ข้นึ 8) เพิ่มความสามารถในการเข้าใจส่ิงต่างๆ ได้ดีขึ้น อันนําไปสู่ความสามารถในการคิด วเิ คราะห์และทักษะการสื่อสาร (Criticalthinking and Communication skill) (Freeman, 1995) 9) ช่วยสนับสนุนการพัฒนาทักษะการทํางานเป็นทีม จากการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning) (Kolb, 1984) 10) การเรียนแบบโครงงานช่วยให้เกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน (Cooperative learning) ในกลุ่มของผู้เรียน ซ่ึงผู้เรียนแต่ละคนจะแลกเปลี่ยนความรู้ซ่ึงกันและกันในการเรียน โดยอาศัยกระบวนการ กล่มุ (group dynamic)  

6  แนวคิดสาํ คัญ การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่เช่ือมโยงหลักการพัฒนาการคิดแบบบลูม (Blom) ท้ัง 6 ขั้น คอื ความรู้ความจาํ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนําไปใช้ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) การประเมินค่า (Evaluation) และยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรยี นรู้ การสร้างสรรคป์ ระยุกต์ใช้ผลผลิต และการประเมินผลงานโดย ผสู้ อนมีบทบาทเปน็ ผ้จู ดั การเรยี นรู้ แคทซ์และชาร์ด (Katz and Chard, 1994) กล่าวถึงการสอนแบบโครงงานว่า วิธีการสอนน้ี มีจุดมุ่งหมายท่ีจะพัฒนาผู้เรียนทั้งชีวิตและจิตใจ (Mind) ซ่ึงชีวิตจิตใจในที่น้ีหมายรวมถึง ความรู้ ทักษะ อารมณ์ จรยิ ธรรมและความร้สู กึ ถึงสนุ ทรียศาสตร์ และได้เสนอว่าการจัดการเรียนการสอนโดยใช้การสอนแบบ โครงงานว่าควรมีเปา้ หมายหลัก 5 ประการ คือ 1) เป้าหมายทางสติปญั ญาและเป้าหมายทางจิตใจของผู้เรียน (Intellectual Goals and the Life of the Mind) คือการจัดการเรียนการสอนแบบเตรียมความพร้อม มุ่งให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมอย่าง หลากหลาย และการมีปฏิสมั พันธ์กับสงิ่ ต่างๆ รอบตัว ผู้เรียนควรจะได้เข้าใจประสบการณ์และส่ิงแวดล้อมรอบ ตัวอยา่ งลึกซง้ึ ดงั นน้ั เป้าหมายหลักของการเรียนระดับนี้ จึงเป็นการมุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ ความเข้าใจโลก ท่ีอยู่รอบๆ ตวั เขา และปลกู ฝังคณุ ลักษณะการอยากรอู้ ยากเรียนใหก้ ับผู้เรยี น 2) ความสมดุลของกจิ กรรม (Balance of Activities) การสอนแบบโครงงานจะทําให้ผู้เรียน ได้ปฏิบัติ กิจกรรมท่ีเหมาะสมท้ังกิจกรรมทางวิชาการ ใช้กิจกรรมเป็นสื่อทําให้เกิดการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทํา กิจกรรมคน้ หาความรู้ เป็นการเรียนรู้ผา่ นการเลน่ และการมีปฏิสมั พันธก์ ับสิง่ แวดลอ้ มต่างๆ ที่อย่รู อบตวั 3) สถานศึกษาคือส่วนหน่ึงของชีวิต (School as Life) การเรียนการสอนในสถานศึกษาต้องเป็นส่วน หน่งึ ในชีวิตของผู้เรียนไม่ใช่แยกออกจากชีวิตประจําวันโดยทั่วไป กิจกรรมในสถานศึกษาจึงควรเป็นกิจกรรมท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั การดาํ เนนิ ชีวิตปกติ การมปี ฏิสมั พนั ธ์กับส่ิงแวดลอ้ มและผคู้ นรอบๆ ตวั ผเู้ รยี น 4) ศกร.เป็นชุมชนหน่ึงของผู้เรียน (Community Ethos in the Class) ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัว การสอนแบบโครงงานเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแต่ละคนได้แสดงออกถึงคุณลักษณะ ความรู้ ความเข้าใจ ความเช่ือ ของเขา ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบน้ีจึงเกิดการแลกเปลี่ยน การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ผู้เรียนได้ เรยี นรู้ความแตกต่างของตนกบั เพ่อื นๆ 5) การจัดกจิ กรรมการเรียนรูเ้ ป็นสงิ่ ทท่ี า้ ทายครู (Teaching as a Challenge) ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรแู้ บบโครงงาน ครไู มใ่ ชผ่ ถู้ า่ ยทอดความรูใ้ ห้กับผูเ้ รียน แต่เป็นผู้คอยกระตุ้น ช้ีแนะ และให้ความสะดวกใน การเรียนรู้ของผเู้ รยี น โครงงานบางโครงงานครูเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับผู้เรียน ครูร่วมกันคิดหาวิธีแก้ปัญหา ลงมือ ปฏิบัตไิ ปด้วยกนั ถอื เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน  

7  ตอนท่ี 1.3 ความหมายของโครงงานเพ่อื พัฒนาทกั ษะการเรยี นรู้ มีผู้รูไ้ ด้ใหค้ วามหมายของคาํ ว่าโครงงานไว้ในหลายมุมมอง ซึ่งไดป้ ระมวลมาให้ผเู้ รียนได้ศึกษาดงั นี้ “โครงงาน” หมายถึง วิธีการเรียนวิธีหนึ่งที่ผู้เรียนมุ่งทํางานเพ่ือให้เกิดความรู้ ควบคู่กับการทํางานให้ บรรลุเป้าหมาย มิใช่มุง่ ทํางานเพือ่ ให้บรรลุเป้าหมายอย่างเดยี ว ผ้ทู ําโครงงานจะต้องกําหนดภาระงานใด ภาระ งานหนึ่งขึ้นมาทํา แล้วใช้ภาระงานน้ันทําภาระงานอีกอย่างหนึ่งท่ีเรียกว่าภาระงานการศึกษาเรียนรู้ สร้าง ความรู้ขึ้นเพ่ือนําความรู้ไปใช้ปรับปรุงการทํางานให้บรรลุเป้าหมาย ในระหว่างท่ีทํางานให้บรรลุเป้าหมาย กท็ ํางานเพือ่ การศึกษาเรยี นร้อู กี ควบค่กู ันไปตลอด (จํานง หนนู ลิ . 2546:13) “โครงงาน” คือ การศึกษาค้นคว้าหาความรู้หรือหาคําตอบในข้อสงสัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างลึกซ้ึง ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เกิดภาระงานในการศึกษาค้นคว้าด้วยความสนใจของผู้เรียนเอง มีคุณค่ากว่าการ ทาํ งานให้บรรลุเปา้ หมายที่เรียกว่าการทําโครงการ หรือการทํารายงานธรรมดาท่ีมีผู้กําหนดหัวข้อขึ้นให้ไปทํา” (จาํ นงหนนู ลิ . 2546:14 ) “โครงงาน” หมายถึง กิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า และลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตาม ความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศยั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่นไปใช้ใน การศึกษาหาคําตอบ โดยมคี รูผสู้ อนคอยกระตุ้นแนะนําและให้คําปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่างใกล้ชิด ต้ังแต่การเลือก หัวขอ้ ทจ่ี ะศกึ ษาคน้ ควา้ ดาํ เนนิ การวางแผน กําหนดข้ันตอนการดําเนินงาน และการนําเสนอผลงาน ซึ่งอาจทํา เป็นรายบุคคลหรือเปน็ กลุ่ม (วิโรจน์ ศรีโภคา และคณะ. 2544:9 ) “โครงงาน” คือ งานวิจัยเล็กๆ สําหรับผู้เรียน เป็นการแก้ปัญหาหรือข้อสงสัย หาคําตอบโดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หากเน้ือหาหรือข้อสงสัยเป็นไปตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ใด จะเรียกว่าโครงงาน ในกล่มุ สาระน้นั ๆ (www. tet2. org/index.) “โครงงาน” คือ การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดส่ิงหนึ่งหรือหลายๆ ส่ิง ท่ีอยากรู้คําตอบให้ลึกซึ้งหรือ เรียนรู้ในเร่ืองนั้นๆ ให้มากขึ้น โดยใช้กระบวนการวิธีการท่ีศึกษาอย่างมีระบบเป็นข้ันตอน มีการวางแผนใน การศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนท่ีวางไว้ จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปท่ีเป็นคําตอบในเรื่องนั้นๆ (www. thaigoodview.) “โครงงาน” คือ การเรียนรู้ท่ีเกิดจากความสนใจของผู้เรียน ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับส่ิงใดส่ิง หนึ่งหรือหลายๆ สิ่ง ท่ีสงสัยและต้องการคําตอบให้ลึกซ้ึงชัดเจน หรือต้องการเรียนรู้ในเร่ืองนั้นๆ ให้มากข้ึน กว่าเดิมโดยใช้ความรหู้ ลายๆ ด้านและทักษะกระบวนการท่ีต่อเน่ือง มีการวางแผนในการศึกษาและรับผิดชอบ ปฏิบัติตามแผนจนได้ข้อสรุปหรือผลการศึกษา หรือคําตอบเกี่ยวกับเร่ืองนั้นๆ อย่างเป็นระบบ เร่ืองที่จะทํา โครงงานควรเป็นเรื่องที่ผู้เรียนสนใจ และสอดคล้องตามสาระการเรียนรู้ตามรายวิชานั้น (สํานักงานสงเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย.แนวทางการจัดการเรียนร้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานพุทธศักราช 2551 .นนทบุรี : บริษทั ไทย พบั บลิคเอด็ ดเู คช่นั จํากัด, 2553.) โครงงาน (project) จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างผู้เรียนกับห้องเรียน และโลกภายนอก ซ่งึ ผเู้ รียนสามารถจะนาํ ความรู้ที่ไดร้ บั มาปรับใชไ้ ดใ้ นชีวิตจรงิ ของผ้เู รยี น ท้งั นเี้ พราะว่า ผู้เรียนต้องนําเอาความรู้ ที่ได้จากช้ันเรียนมาบูรณาการเข้ากับกิจกรรมท่ีจะกระทํา เพ่ือนําไปสู่ความรู้ใหม่ๆ ด้วยการสร้างความหมาย การแก้ปัญหา และการค้นพบด้วยตนเอง ผู้เรียนต้องสร้างและกําหนดความรู้ จากความคิดและแนวคิดที่มีอยู่  

8  กบั ความคิดและแนวคดิ ทีเ่ กดิ ขึ้นใหม่ ทําให้เกิดการปรับเปล่ียนความรู้ให้เป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้สิ่งใหม่ตาม มุมมองในทศั นะต่างๆ ท่รี วบรวมมาใหผ้ ู้เรียนได้ศึกษา จะเห็นไดว้ า่ โครงงานเป็นวิธีแสวงหาซ่ึงความรู้ด้วยตนเอง อีกหนทางหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่าแตกต่างไปจากการเรียนรู้ด้วยวิธีอื่นๆ อยู่บ้าง โดยมีข้อเด่นตรงที่เป็นการแสวงหา ความรู้ท่ีต้องสัมผัสด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามผู้เรียนควรสรุปความหมายของคําว่า โครงงานเพ่ือพัฒนาทักษะ การเรยี นรู้ทีเ่ ปน็ ความเข้าใจของตัวทา่ นเอง ความหมายของการเรยี นรู้แบบโครงงาน การเรียนรู้แบบโครงงาน คือ การจัดให้นักศึกษารวมกลุ่มกันทํากิจกรรมร่วมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายใน การศึกษาหาความรู้ หรือทํากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งตามความสนใจของนักศึกษา การเรียนรู้แบบโครงงานน้ี จึงม่งุ ตอบสนองความสนใจ ความกระตอื รือร้น และความใฝ่เรียนรู้ของผู้เรียนเอง ในการแสวงหาข้อมูล ความรู้ ต่างๆ เพื่อทําโครงงานร่วมกันให้ประสบความสําเร็จตามจุดมุ่งหมายของโครงงาน การเรียนรู้โดยใช้โครงงาน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (Project Centered Learning) ซึ่งหมายถึง การกระทํากิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือ กันในการแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นภายในกลุ่ม ด้วยวิธีการปฏิบัติจริง เพ่ือการเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา อันนําไปสู่ ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ แสวงหาขอ้ มูลและแนวทางในการแกป้ ญั หาเหลา่ นั้น การเรียนรู้แบบโครงงาน อาจมีชอ่ื เรยี กอื่นท่มี คี วามหมายเดียวกัน ได้แก่ การเรียนรู้โดยใช้โครงงาน การเรียนรู้แบบโครงการ การเรียนรู้ โดยใชโ้ ครงงานเป็นศนู ยก์ ลางการเรยี นรู้ ในเรอ่ื งความหมาย ไดม้ ีผู้กลา่ วถึงไว้หลายคน เชน่ จากิซ และโรบิน (Jaques, 1984; Robbins, 1997) ได้ให้ความหมายของวิธีการเรียนรู้แบบโครงงาน (Group Project) ว่าหมายถึง การรวมกลุ่มกันของบุคคลมากกว่า 2 คนข้ึนไป มีปฏิสัมพันธ์กันร่วมกันกระทํา กิจกรรมอันนําไปสู่จุดมุ่งหมายบางประการ นอกจากนั้นแล้วโครงงานเป็นการจัดสถานการณ์ท่ีช่วยให้ผู้เรียน ไดเ้ รียนรู้ทาํ งานร่วมกนั แลกเปลย่ี นข้อมูลซึง่ กัน และกันและสนบั สนุนกนั ในการเรียนรู้ (Fascilitate Learning) สุชาติ วงศ์สุวรรณ (2542) กล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้โดยใช้โครงงานว่าหมายถึง การจัดการ เรียนร้อู ีกรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นการให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษา สํารวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐค์ ิดค้น โดยมคี รเู ป็นผูก้ ระตุ้น แนะนํา และให้คาํ ปรกึ ษาอย่างใกลช้ ิด สรุปได้ว่า การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ของแต่ละคน ให้ได้รับการ พัฒนาได้เต็มขีดความสามารถท่ีมีอยู่อย่างแท้จริง ทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้เรียนวิธีการเรียนรู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง รวมทั้งปลูกฝังนิสัยรักการเรียนรู้ อันจะนําไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการ เรียนรู้ได้ในทีส่ ุด ความสําคัญของการเรียนรู้แบบโครงงาน การท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านโครงงาน ทําให้มองเห็น ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดกับข้อเท็จจริง ซ่ึงจะถูกเชื่อมโยงเข้าเป็นเร่ืองเดียวกัน ในลักษณะของ ความสัมพนั ธ์และการเชือ่ มโยง อนั จะสามารถนาํ ไปใช้ในสถานการณ์อืน่ ไดอ้ ย่างหลากหลาย สามารถบูรณาการ ความรู้มาช่วยกันทําโครงงาน เรียนรู้จักการทํางานร่วมกับผู้อ่ืน รู้จักการหาข้อมูลความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง ฝกึ ทักษะการสื่อสาร รู้จักการคิดแก้ไขปัญหาในส่วนของผู้เรียน การเรียนรู้จากโครงงานถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ รว่ มกันภายในกลุ่ม เพราะทุกคนได้เขา้ มามีสว่ นรว่ มในการค้นหาคําตอบหาความหมาย ตลอดจนแนวทางแก้ไข ปญั หา รว่ มคดิ รว่ มทาํ งาน ส่งผลให้เกิดกระบวนการค้นพบกระบวนการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง สามารถ นําความรู้ท่ีได้รับมาแลกเปล่ียนประสบการณ์ และแลกเปล่ียนพื้นฐานความรู้ระหว่างผู้เรียนด้วยกัน เป็น  

9  ลักษณะของการเรียนรู้ร่วมกัน ( Collaboration learning) ความรู้และสามารถด้านต่างๆ ท่ีมีอยู่ในตัวของ ผู้เรียน จะถูกกระตุ้นให้ได้แสดงออกมาอย่างเต็มท่ีขณะท่ีปฏิบัติกิจกรรม เช่นเดียวกับทักษะต่างๆ ท่ีจําเป็น สําหรับชีวิต เช่น ทักษะการทํางาน ทักษะการอยู่ร่วมกัน ทักษะการจัดการ ฯลฯ ก็จะถูกนําเอามาใช้อย่างเต็ม ตามศักยภาพ ในขณะที่ร่วมกันแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นระหว่างการทําโครงงาน การเรียนรู้แบบโครงงานยังช่วย สง่ เสริมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท้ังหลายก็จะถูกปลูกฝังและสั่งสมในตัวผู้เรียน ในขณะที่ทุกคนร่วมกัน ทํางาน รวมท้ังเป็นการปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย ฝึกหัดการรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเนื่องจากว่า แนวคิดหลักของการเรียนรู้แบบโครงงาน จะใช้หลักการเรียนรู้ร่วมกัน (Team learning) อันจะนําไปสู่การ เรียนรู้ด้วยการนําตนเอง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการเพ่ิมโอกาสในการเจริญก้าวหน้าของบุคคล ในการเรียนรู้และ พัฒนาความรู้ ความสามารถของตนเอง ความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์และทํางานร่วมกับผู้อื่นได้ดีและ มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่สิ่งท่ีเกิดขึ้นเองได้หากแต่เป็นสิ่งท่ีต้องเกิดจากการเรียนรู้ เพื่อจะทําให้ทักษะดังกล่าว เกิดข้ึนในตัวของบุคคล การเรียนรู้เพื่อให้เกิดความสามารถและทักษะดังกล่าว สามารถทําให้เกิดได้โดยใช้ หลักการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนรวมกลุ่มกัน มีโอกาสร่วมกันในการเรียนรู้และทํางานร่วมกัน โดยใช้วิธี “group assignments in their courses” ซึ่งมีครูเป็นผู้อํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียน และช่วยให้ผู้เรียน สามารถเรียนรู้ทักษะดังกล่าวจากประสบการณ์ในการการทําโครงงานร่วนกัน ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงานจึงต้องเน้นและให้ความสําคัญที่ตัวผู้เรียน โดยมุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาขีดความสามารถของตนเองอย่าง เตม็ ตามศกั ยภาพ มคี วามสมดุลทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย ปัญญา และสังคม เป็นผู้รู้จักคิด วิเคราะห์ รักการเรียนรู้ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีเจตคติท่ีดี มีวินัย มีความรับผิดชอบ และมีทักษะที่จําเป็นสําหรับการดํารงชีวิต รวมทั้ง ทกั ษะทางอาชีพ สามารถพ่ึงตนเองและร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ การเรียนรู้แบบโครงงานต้องมุ่งพัฒนา ความสามารถทางอารมณ์ได้แก่ ความสามารถในการมีสติ รู้ตัวและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสังคม ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้คนเราประสบความสําเร็จในชีวิต เช่นเดียวกับความสามารถทางปัญญา ความสามารถหรือความฉลาดทางอารมณ์ที่จะต้องปลูกฝังให้ผู้เรียน ได้แก่ การรู้จักตนเอง การเข้าใจตนเอง ความสามารถในการควบคุมตนเอง ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน มีความเชื่อมั่นและเห็นคุณค่าในตัวเอง ความสามารถในการแก้ไขขอ้ ขัดแย้งทางอารมณ์  

10  กจิ กรรมท้ายบท บทท่ี 1 คําช้ีแจง : ใหผ้ ู้เรยี นตอบคําถามให้สมบรณู ์ ข้อ1. ใหผ้ เู้ รยี นบอกหลกั การของการทาํ โครงงานเพอ่ื พัฒนาทักษะการเรยี นรมู้ าอยา่ งน้อย 3 ขอ้ ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ข้อ2. ใหผ้ เู้ รียนบอกแนวคิดของโครงงานเพ่ือพฒั นาทักษะการเรยี นรูม้ าอย่างนอ้ ย 3 ขอ้ ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ขอ้ 3. ให้ผ้เู รยี นสรปุ ความหมายของโครงงานเพื่อพฒั นาทักษะการเรยี นรู้ ตามท่ผี ู้เรียนเข้าใจมาพอสังเขป ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………..  

11  ขอ้ 4. ใหผ้ ้เู รยี นสรุปความหมายของการเรยี นรแู้ บบโครงงาน ตามทผ่ี ูเ้ รยี นเข้าใจมาพอสงั เขป ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ขอ้ 5. ใหผ้ ูเ้ รยี นสรุปความสําคัญของโครงงานเพ่อื พัฒนาทักษะการเรยี นรู้ ตามท่ีผู้เรียนเขา้ ใจมาพอสังเขป ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………..  

  บทท่ี 2 ประเภทของโครงงานเพ่อื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้  

13  แผนการเรยี นรู้ประจาํ บท บทท่ี 2 ประเภทของโครงงานเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ สาระสาํ คญั การจัดทาํ โครงงานเพื่อพฒั นาทักษะการเรียนรู้ นอกจากผู้เรียนจะต้องรู้และเข้าใจถึงหลักการ แนวคิด และความหมายของโครงงานแล้ว ผู้เรียนยังต้องรู้เข้าใจและมีทักษะในการจําแนกรูปแบบของโครงงาน ซึ่งเป็น ประโยชนใ์ นการจดั ทาํ โครงงานได้อย่างมีเป้าหมายชัดเจนและนําไปสู่ความสําเร็จ คือเกิดการเรียนรู้และค้นพบ องคค์ วามรูด้ ้วยตนเอง ผลการเรยี นรูท้ ี่คาดหวงั เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนมคี วามรู้ ความเข้าใจ เกีย่ วกบั การจําแนกประเภทของโครงงานเพ่อื พฒั นาทกั ษะการ เรยี นรู้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา ตอนที่ 1 ประเภทของโครงงาน กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาหนังสือเรยี น บทที่ 2 2. ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมตามท่ไี ด้รบั มอบหมายในหนงั สือเรียน สื่อประกอบการเรยี นรู้ 1. หนังสอื เรียนบทท่ี 2 2. ใบงานท่ี 2 ประเมนิ ผล 1. ประเมินผลจากการสังเกต 2. ประเมนิ ผลจากใบงาน  

14  ตอนท่ี 2.1 ประเภทของโครงงาน การจําแนกประเภทของโครงงานอาจแบง่ ได้หลายลกั ษณะ เช่น 1. จําแนกตามกจิ กรรมการเรียนของผเู้ รียน ซึ่งแบง่ เปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1.1 โครงงานตามสาระการเรียนรู้ เป็นการกําหนดโครงงานที่บูรณาการระหว่างสาระการ เรยี นรู้และทักษะการแสวงหาความรู้เพอ่ื สร้างองคค์ วามรใู้ หมๆ่ ดว้ ยตนเอง 1.2 โครงงานตามความสนใจ เป็นการกําหนดโครงงานตามความถนัด ความสนใจ ความ ตอ้ งการของผเู้ รียน 2. จาํ แนกตามวตั ถุประสงคข์ องโครงงาน ซ่งึ แบ่งเปน็ 4 ประเภท ได้แก่ 2.1 โครงงานทเี่ ป็นการสํารวจรวบรวมขอ้ มลู 2.2 โครงงานทเี่ ปน็ การศกึ ษาค้นคว้าทดลอง 2.3 โครงงานที่เปน็ การศกึ ษาทฤษฎหี ลักการหรือแนวคิดใหมๆ่ ในการพัฒนาผลงาน 2.4 โครงงานทเ่ี ป็นการสรา้ งประดษิ ฐค์ ิดค้น โดยมีรายละเอียดในแต่ละประเภทของ ดังนี้ 1. โครงงานที่เป็นการสํารวจรวบรวมข้อมูล เป็นโครงงานท่ีมีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล เรื่องใดเร่ืองหน่ึง แล้วนําข้อมูลนั้นมาจําแนกเป็นหมวดหมู่ในรูปแบบที่เหมาะสม ข้อมูลที่ได้จะนําไปปรับปรุง พัฒนาผลงาน ส่งเสริมผลผลิตให้มีคุณภาพดีย่ิงขึ้น ข้อมูลดังกล่าวอาจมีผู้จัดทําข้ึนแล้ว แต่มีการเปล่ียนแปลง จึงตอ้ งมีการจัดทําใหม่เพ่ือให้มีความทันสมัย สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผศู้ ึกษาโครงงาน โดยใช้วิธีการเก็บ ข้อมูลด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก เช่น การสํารวจแหล่งเรียนรู้ในชุมชน การสํารวจงาน บรกิ ารและสถานประกอบการในทอ้ งถ่นิ เป็นต้น ในการทําโครงงานประเภทสํารวจรวบรวมข้อมูล ไม่จําเป็นต้องมีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้เรียน เพียงแต่สํารวจรวบรวมข้อมูลท่ีได้แล้ว และนําข้อมูลที่ได้มาจัดให้เป็นหมวดหมู่พร้อมนําเสนอ ก็ถือว่าเป็นการ สาํ รวจรวบรวมข้อมูล 2. โครงงานท่ีเป็นการศึกษาค้นคว้าทดลอง เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเร่ืองใด โดยเฉพาะ โดยศึกษาหลักการและออกแบบการค้นคว้า ในรูปแบบการทดลองเพื่อยืนยันหลักการ ทฤษฎี เพ่ือ ศึกษาหาแนวทางในการเพิ่มคุณค่า และการใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น เช่น การปลูกพืชโดยไม่ใช้สารเคมี การทํา ขนมอบชนิดต่างๆ โดยใช้วัสดุในท้องถิ่น การควบคุมการเจริญเติบโตของต้นไม้ประเภทเถา การศึกษาสูตร เครื่องดม่ื ทผ่ี ลติ จากธญั พชื ในการทําโครงงานประเภทการศึกษาค้นคว้าทดลอง จําเป็นต้องมีการจัดการกับตัวแปรท่ีจะมีผลต่อ การทดลอง มี 3 ชนิด คือ 2.1 ตัวแปรตน้ หรอื ตวั แปรอิสระ หมายถงึ เหตขุ องการทดลองนั้นๆ 2.2 ตวั แปรตาม ซึ่งจะเปน็ ผลท่เี กดิ จากการเปลีย่ นแปลงของตัวแปรตน้ 2.3 ตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variables) เป็นตัวแปรอ่ืนๆ ท่ีอาจมีผลต่อตัวแปรตาม โดยผ้วู จิ ยั ไมต่ อ้ งการใหเ้ กดิ เหตกุ ารณน์ น้ั ข้ึน  

15  3. โครงงานท่ีเป็นการศึกษาทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดใหม่ๆ เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ เสนอความรู้หรือหลักการใหม่ๆ เกี่ยวกับเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งท่ียังไม่มีใครเคยคิด หรือคิดขัดแย้ง หรือขยายจาก ของเดิมที่มีอยู่จากเนื้อหาวิชาการหลักการทฤษฎีต่างๆ นํามาปรับปรุง พัฒนาให้สอดคล้องมีความชัดเจน มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ซ่ึงต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีหลักการและเชื่อถือได้ เช่น การใช้สมุนไพรในการปราบ ศัตรูพืช การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการถนอมอาหารและปรุงอาหาร เกษตรแบบผสมผสาน เทคนิคการแก้ โจทย์ปัญหา การทําโครงงานประเภทน้ี ผทู้ าํ โครงงานจะต้องมีความรู้ในเร่ืองน้ันๆ เป็นอย่างดี จะสามารถอธิบายได้ อย่างมีเหตุผลและนา่ เช่อื ถือ จึงไมเ่ หมาะทจ่ี ะทาํ ให้ระดับผูเ้ รียนมากนัก 4. โครงงานที่เปน็ การสรา้ งประดิษฐ์คิดค้น เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ คือ การนําความรู้ทฤษฎี หลักการ มาประยุกต์ใช้โดยประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เพ่ือประโยชน์ต่างๆ หรืออาจเป็นการสร้างสรรค์ สิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ หรือปรับปรุงของเดิมให้ดีข้ึนใช้ประโยชน์ได้มากย่ิงขึ้น เช่น การประดิษฐ์เครื่องควบคุม การรดนาํ้ การประดิษฐเ์ คร่ืองรับวิทยุ การประดิษฐข์ องชาํ ร่วย การออกแบบเสือ้ ผา้ จากสาระสําคญั ของการจัดประเภทโครงงาน ผู้เรียนจะเห็นได้ว่าโครงงานอาจจําแนกประเภทได้หลาย แนวคิด เช่น จําแนกตามกิจกรรมการเรียนรู้ของการจัดทําโครงงานเป็น 2 ประเภท คือ 1)โครงงานตามสาระ การเรียนรู้ 2)โครงงานตามความสนใจ และจําแนกตามวัตถุประสงค์ในการจัดทําโครงงานเป็น 4 ประเภท คือ 1)โครงงานที่เป็นการสํารวจรวบรวมข้อมูล หรือโครงงานประเภทสํารวจ 2)โครงงานที่เป็นการศึกษาค้นคว้า ทดลอง หรือโครงงานประเภททดลอง 3)โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดใหม่ๆ หรือ โครงงานประเภทพฒั นา 4)โครงงานทเี ปน็ การสร้างประดษิ ฐค์ ดิ คน้ หรอื โครงงานประเภทประดิษฐ์ การเรียนรู้เรื่องประเภทของโครงงาน จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนในการตัดสินใจออกแบบโครงงาน ให้สนองต่อวัตถปุ ระสงค์ที่ตอ้ งการจะศึกษาไดอ้ ย่างเหมาะสม  

16  กจิ กรรมท้ายบท บทที่ 2 คําชแี้ จง : ใหผ้ เู้ รยี นตอบคาํ ถามใหส้ มบรูณ์ ข้อ1. ให้ผูเ้ รยี นจําแนกประเภทของโครงงานเพื่อพฒั นาทักษะการเรยี นรมู้ าพอสงั เขป ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ขอ้ 2. ใหผ้ ูเ้ รยี นบอกประเภทของโครงงานท่จี าํ แนกตามวตั ถปุ ระสงคว์ า่ มีอะไรบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ขอ้ 3. ให้ผเู้ รยี นบอกลกั ษณะของโครงงานทีเ่ ปน็ การสํารวจ รวบรวมข้อมลู พร้อมยกตวั อย่างประกอบ ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….…  

17  ขอ้ 4. ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายตัวแปรของโครงงานทเี่ ปน็ การค้นคว้า ทดลอง ตามที่ผูเ้ รียนเข้าใจมาพอสงั เขป ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ข้อ5. ใหผ้ ้เู รยี นยกตวั อยา่ งโครงงานทีเ่ ปน็ การสรา้ งประดิษฐ์ คดิ ค้นตามทีผ่ ู้เรยี นสนใจ มาอย่างน้อย 3 ตวั อย่าง พรอ้ มทง้ั อธบิ ายเหตุผล ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….… ……………………………………………………………………………………………………………..………………………………………….…  

  บทท่ี 3 การเตรยี มการวางแผนและขน้ั ตอนกระบวนการทําโครงงานเพอื่ พฒั นาทักษะการเรียนรู้  

19 แผนการเรยี นรู้ประจําบท บทที่ 3 การเตรียมการวางแผนและขั้นตอนกระบวนการทําโครงงานเพื่อพฒั นาทักษะการเรียนรู้ สาระสาํ คัญ การทําโครงงานเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ท่ีสําคัญ เพราะจะทําให้ผู้เรียน ได้นําความรู้เก่ียวกับการทํา โครงงานไปสู่การแสวงหาองค์ความรู้ ในทางปฏิบัติได้อย่างเป็นประโยชน์ในแต่ละระดับการเรียนรู้โครงงาน จะได้นาํ เสนอในลักษณะท่ีเป็นพนื้ ฐาน เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นได้ประยุกต์ใช้ในโอกาสต่อไปอยา่ งหลากหลาย ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวัง เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเตรียมการและดาํ เนนิ การจดั ทําโครงงานเพ่ือพัฒนา ทักษะการเรยี นรูไ้ ด้ ขอบขา่ ยเนอื้ หา ตอนท่ี 3.1 การพจิ ารณาเลือกโครงงาน ตอนที่ 3.2 การวางแผนทาํ โครงการและข้ันตอนกระบวนการทาํ โครงงาน กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ศึกษาหนงั สอื เรยี น บทท่ี 3 2. ปฏบิ ัติกิจกรรมตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมายในหนงั สอื เรยี น สือ่ ประกอบการเรยี นรู้ 1. หนังสอื เรยี นบทท่ี 3 2. ใบงานท่ี 3 ประเมนิ ผล 1. ประเมนิ ผลจากการสงั เกต 2. ประเมินผลจากใบงาน  

20 ตอนที่ 3.1 การพจิ ารณาเลือกโครงงาน การพิจารณาเลือกโครงงานสําหรับการทําโครงงานประเภทต่างๆ มีแนวคิดกว้างๆ ให้ผู้เรียนได้ใช้เป็น กรอบความคิดในการตัดสินใจ พิจารณาเลือกหัวข้อในการทําโครงงานจากเร่ืองปัญหาใกล้ๆ ตัว เร่อื งที่ตอ่ ยอดจากบทเรยี นทีเ่ รยี นมาแล้วโดยมวี ธิ ีการคิด ดงั นี้ 1) ใหส้ งั เกตสิ่งแวดล้อมใกลต้ ัวทเี่ ป็นปญั หา ในการสังเกตสิ่งแวดล้อมทั่วไปรอบๆ ตัวผู้เรียนท่ีเป็นปัญหา เช่น ส่ิงแวดล้อมในสถานศึกษา สิ่งแวดล้อมรอบบ้าน สิ่งแวดล้อมท่ัวไป เช่น ในสถานศึกษามีขยะเยอะ มีเศษไม้ เศษหญ้า หรือวัสดุต่างๆ ท่ีไม่ สามารถนํากลับมาใช้ประโยชนไ์ ด้แลว้ คิดหาวธิ ใี ห้สามารถนาํ กลับมาใช้ให้เกดิ ประโยชนอีกครั้ง 2) ให้สํารวจปัญหาท่เี กิดจากอาชีพในชมุ ชนหรอื ท้องถิ่น ในการประกอบอาชพี ในชมุ ชนหรือท้องถิน่ วา่ มปี ัญหาเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง เช่น ปัญหาจากแมลงศัตรูพืช วัชพืชต่างๆ หาวธิ กี ําจดั ศตั รูพืชวัชพืชต่างๆ หรือนําสิ่งเหล่าน้ันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือวิธีในการเพิ่มจํานวน ผลผลิตของอาชพี ตา่ งๆ หาวิธีในการลดคา่ ใช้จา่ ยในการผลิต หาวิธใี นการลดเวลา จาํ นวนต้นทนุ ฯลฯ 3) สาํ รวจปัญหาของอาชพี เสริม ในการสํารวจปัญหาจากการประกอบอาชีพเสริมของตัวผู้เรียนเอง ชุมชนหรือท้องถิ่นโดยการหาวิธีใน การเพ่ิมปรมิ าณ ผลผลติ คุณภาพของผลผลิต หรอื ปรับปรงุ วิธีการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น เช่น การเลี้ยง ปลาสวยงาม ให้คิดหาวธิ ีในการทาํ ใหป้ ลามีสสี วยโดยคดิ วิธหี าสูตรอาหาร วิธีในการเพาะพันธุป์ ลาเปน็ ต้น 4) สาํ รวจความเชือ่ ของคนในชุมชนหรอื ท้องถนิ่ ผู้เรียนสํารวจความเช่ือต่างๆ ของคนในชุมชนท้องถ่ิน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีความเช่ือในเรื่อง ต่างๆ หรอื ที่เคยปฏิบัตสิ ืบต่อๆ กันมา มาพิสูจน์หาข้อเท็จจริงว่าท่คี นในชมุ ชนท้องถนิ่ กระทาํ นั้น เป็นจริงหรือไม่ เชน่ ความเชอ่ื ในเรื่องฟันผุมีสาเหตุมาจากแมงกินฟันจริง หรือความเชื่อในเรื่องห้ามหญิงมีครรภ์เย็บปักถักร้อย ฯลฯ แลว้ นาํ มาคดิ หาแนวคดิ ในการทาํ โครงงาน 5) ศกึ ษาคน้ คว้าจากหนงั สอื ตาํ ราทเ่ี ก่ยี วข้องหรอื หนงั สือพมิ พ์ ในการท่ีจะได้หัวข้อของโครงงาน การศึกษาหาความรู้จากหนังสือหรือตําราที่เก่ียวข้อง หรือ หนังสือพิมพ์ที่ได้นําเสนอเกี่ยวกับการทําโครงงาน ซึ่งเราจะนําแนวคิดต่างๆ ท่ีได้มาจากหนังสือพิมพ์ นาํ มาดัดแปลงหรอื คิดเป็นหวั ข้อโครงงานได้ 6) ชม ฟัง รายการวิทยหุ รอื โทรทศั น์ รายการวิทยุหรือโทรทัศน์หลายรายการ ได้นําเสนอเกี่ยวกับการทําโครงงานที่ได้จัดทําประสบ ความสําเร็จไดน้ าํ มาเสนอสูส่ ายตาบุคคลท่ัวไปโดยแนวคิดต่างๆ มาปรับปรงุ เพ่อื คิดเป็นหวั ขอ้ โครงงานได้ 7) ศกึ ษาจากนิทรรศการหรือโครงงานของผอู้ ่ืน ในการเข้าศึกษาดูงานจากนิทรรศการต่างๆ ตามหน่วยงานหรือสถาบันทางการศึกษาได้จัดขึ้น เช่น ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือหน่วยงานของทางราชการหรือเอกชน จะมีการนําโครงงานประเภทต่างๆ เขา้ มาประกวดหรือแข่งขนั แลว้ นําแนวคิดที่ได้จากการศึกษามาปรบั ปรุงคิดเป็นหวั ข้อโครงงานของเราได้ 8) ผู้เรียนสามารถสนทนาแลกเปลย่ี นความรู้จากผรู้ ู้หรอื ครูประจาํ กลมุ่ ในเรือ่ งท่เี ราสนใจเพ่ือหาแนวความคดิ กว้างๆ หรอื วธิ ีในการตดั สนิ ใจในการเลือกคดิ ทาํ หัวข้อโครงงาน  

21 ตอนที่ 3.2 การวางแผนทาํ โครงงานและขน้ั ตอนกระบวนการทําโครงงาน การทําโครงงานมีขัน้ ตอนกระบวนการ ดังน้ี 1) การคดิ และการเลือกหัวเรอื่ ง ผ้เู รยี นจะต้องคิดและเลือกหัวเร่ืองของโครงงานด้วยตนเองว่าอยากจะ ศึกษาอะไร ทําไมจึงอยากศึกษา หัวเร่ืองของโครงงานมักจะได้มาจากปัญหา คําถามหรือความ อยากรู้ อยาก เห็นเก่ียวกับเร่ืองต่างๆ ของผู้เรียนเอง หัวเรื่องของโครงงานควรเฉพาะเจาะจงและชัดเจน เม่ือใครได้อ่านช่ือ เร่ืองแล้ว ควรเข้าใจและรู้เรื่องว่าโครงงานนี้ทําจากอะไร และควรคํานึงถึงประเด็นความเหมาะสมของระดับ ความรู้ ความสามารถของผู้เรียน วัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ งบประมาณ ระยะเวลา ความปลอดภัยและแหล่งความรู้ เปน็ ตน้ 2) การวางแผนการทําโครงงาน จะรวมถึงการเขียนเค้าโครงของโครงงาน ซึ่งต้องมีแนวคิดท่ีกําหนดไว้ ล่วงหน้า เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ ไม่สับสน แล้วนําเสนอต่อครูประจํากลุ่มหรือ ครูท่ีปรึกษา เพ่ือขอความเห็นชอบก่อนดําเนินการข้ันต่อไป การเขียนเค้าโครงของโครงงานโดยท่ัวไป เขยี นเพอ่ื แสดงแนวคดิ แผนงาน และขัน้ ตอนการทําโครงงาน ซง่ึ ควรประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี 2.1) ชื่อโครงงาน : เป็นชื่อเร่ืองที่ผู้เรียนจะทําการศึกษาค้นคว้า เพ่ือหาคําตอบหรือหา แนวทางในการแก้ปัญหา การตั้งชื่อเรื่อง ควรส่ือความหมายให้ได้ว่าเป็นโครงงานที่จะทําอะไร เพ่ือใคร /อะไร ควรเป็นขอ้ ความทีก่ ะทัดรดั ชดั เจนสอื่ ความหมายไดต้ รง 2.2) ชื่อผู้ทาํ โครงงาน : เป็นการระบุชื่อของผู้ทําโครงงาน ถ้าเป็นโครงงานกลุ่มให้ระบุชื่อผู้ทํา โครงงานทุกคน พร้อมเขียนรายละเอียดงานหรือหน้าที่ความรับผิดชอบ ในการทําโครงงานของแต่ละคนให้ ชดั เจน 2.3) ชือ่ ท่ปี รกึ ษาโครงงาน : เป็นการระบุชื่อผู้ที่ให้คําปรึกษา ให้คําแนะนําในการทําโครงงาน ของผ้เู รยี น 2.4) หลักการและเหตุผลของโครงงาน : เป็นการอธิบายว่า เหตุใดจึงเลือกทําโครงงานเร่ืองน้ี มีความสําคัญอย่างไร มหี ลักการหรือทฤษฎีอะไรท่ีเกี่ยวข้อง เรื่องท่ีทําเป็นเร่ืองใหม่ หรือมีผู้อ่ืนได้ศึกษาค้นคว้า เรื่องน้ีไว้บ้างแล้ว ถ้ามีได้ผลอย่างไร เรื่องท่ีทําได้ขยายผลเพ่ิมเติม ปรับปรุงจากเรื่องที่ผู้อื่นทําไว้อย่างไร หรือ เป็นการทําซํ้าเพอื่ ตรวจสอบผล 2.5) จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ : ควรมีความเฉพาะเจาะจงและสามารถวัดได้ เป็นการ บอกขอบเขตของงานทจ่ี ะทําใหช้ ัดเจนขึน้ ซง่ึ จดุ มงุ่ หมายหรือวตั ถุประสงค์มกั เขียนว่าศกึ ษา. . . . . . . . . . . . . . . . . . . เพื่อเปรียบเทียบ. . . . . . . . . . . . เพื่อผลิต. . . . . . . . . . . . . . เพ่ือทดลอง. . . . . . . . . หรือ เพ่ือสํารวจ. . . . . . . . . . . . . . . . . ซ่ึงจุดประสงค์ของโครงงานท่ีจะบ่งบอกว่าเป็นโครงงานประเภทใด (ตาม เนื้อหาบทที่ 2) และจดุ มงุ่ หมายของโครงงานจะเปน็ ทิศทางในการกําหนดวธิ กี ารดําเนนิ โครงการ 2.6) สมมติฐานในการทําโครงงาน (ถ้ามี) : สมมติฐานเป็นคําตอบหรือคําอธิบายท่ีคาดไว้ ลว่ งหน้า ซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ก็ได้ การเขียนสมมติฐานควรมีเหตุมีผลมีทฤษฎีหรือหลักการรองรับ และที่สําคัญ คือ เป็นข้อความท่ีมองเห็นแนวทางในการดําเนินการทดสอบได้ โครงงานวิจัยท่ีกําหนดสมมุติฐานควรเป็น โครงงานประเภททดลอง ซ่ึงมักจะต้องกําหนดตัวแปรในกระบวนการทดลอง นอกจากน้ีควรมี ความสัมพันธ์  

22 ระหว่างตัวแปรอิสระ (ตน้ ) และตวั แปรตาม ตัวแปรแทรกซ้อน ซึ่งตัวแปรที่เก่ียวข้อง : ตัวแปรอิสระ (ต้น) สิ่งท่ี เปน็ เหตุของปัญหา ตัวแปรตาม คือส่ิงที่เป็นผล ตัวแปรแทรกซ้อนคือ ส่ิงท่ีอาจมีผลต่อตัวแปรตามโดยผู้วิจัยไม่ ตอ้ งการใหเ้ กิดเหตุการณน์ ้ันขน้ึ 2.7) วิธีดําเนินงานและข้ันตอนการดําเนินงาน : เป็นการเขียนให้เห็นข้ันตอนของการ ทาํ โครงงานต้งั แตเ่ ร่มิ ตน้ จนส้ินสุดการทาํ งาน โดยเขียนใหช้ ัดเจนว่าจะตอ้ งทาํ อะไรทําเม่ือไหร่ ทีไ่ หน ให้ละเอียด ทุกขน้ั ตอนและกิจกรรม 2.8) แผนปฏิบัติงาน : เป็นการนําข้ันตอนการทําโครงงานมาเขียนในรูปของปฏิทินตาราง กาํ หนดการทํางานในแต่ละขั้นตอน 2.9) ผลทค่ี าดว่าจะได้รับ : เปน็ การเขยี นให้เหน็ ถึงประโยชน์ และผลทีค่ าดว่าจะได้รับจากการ ทาํ โครงงาน โดยใหร้ ะบุว่าจะเกิดประโยชน์แก่ใครเกิดข้ึนอย่างไร ทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อมและ ผลที่คาดว่า จะได้รับจะตอ้ งสอดคลอ้ งกับจดุ มุ่งหมายหรือวตั ถปุ ระสงค์ 2.10) เอกสารอ้างอิง : รายช่ือเอกสารท่ีนํามาอ้างอิงเพ่ือประกอบการทําโครงงาน ตลอดจน การเขียนรายงานการทาํ โครงงาน ควรเขียนตามหลักการที่นยิ ม ทีม่ า http://maetang-tr02006.blogspot.com/2015/05/41.html 3) การดําเนินงานเมื่อท่ีปรึกษาโครงงานให้ความเห็นชอบเค้าโครงของโครงงานแล้ว ต่อไปก็เป็นขั้นลง มอื ปฏบิ ัตงิ านตามข้ันตอนทรี่ ะบุไว้ ผู้เรยี นตอ้ งพยายามทาํ ตามแผนงานท่วี างไว้ เตรียมวัสดุอุปกรณ์ และสถานที่ ให้พร้อมปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ คํานึงถึงความประหยัดและความปลอดภัยในการทํางาน ตลอดจนการบันทึกข้อมูลต่างๆ ว่าได้ทําอะไรไปบ้างได้ผลอย่างไร มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร พยายาม บนั ทกึ ใหเ้ ปน็ ระเบียบและครบถ้วน  

23 4)การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เป็นวิธีส่ือความหมายวิธีหนึ่งที่จะให้ผู้อ่ืนได้เข้าใจถึงแนวคิด วิธีการดําเนินงาน ผลที่ได้ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ จากการศึกษาค้นคว้าตั้งแต่ต้นจนจบ การ เขียนรายงานโครงงานอาจไม่ระบุตายตัวเหมือนกันทุกโครงงาน ส่วนประกอบของหัวข้อในรายงานต้อง เหมาะสมกับประเภทของโครงงานและระดับช้ันของผู้เรียน องค์ประกอบของการเขียนรายงานโครงงาน แบง่ กวา้ งๆ เป็น 3 สว่ น ดงั นี้ 4.1) ส่วนปกและสว่ นตน้ ประกอบด้วย (1) ชอื่ โครงงาน (2) โครงงาน ระดบั สถานศึกษา และวันเดือนปที ่จี ดั ทํา (3) ช่อื ครปู ระจาํ กลมุ่ อาจารย์ท่ปี รกึ ษา (4) คาํ นาํ (5) สารบญั (6) สารบญั ตาราง หรือภาพประกอบ (ถ้ามี) (7) บทคัดย่อส้ันๆ ท่ีบอกเค้าโครงอย่างย่อๆ ซึ่งประกอบด้วย เร่ือง วัตถุประสงค์ วิธกี ารศกึ ษา ระยะเวลา และสรุปผล (8) กิตติกรรมประกาศ เพื่อแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้ ความช่วยเหลอื หรือมสี ว่ นเก่ียวขอ้ ง 4.2) สว่ นเนอ้ื เรอ่ื ง ประกอบดว้ ย (1) บทนําบอกความเป็นมา ความสําคัญของโครงงาน บอกเหตุผล หรือเหตุจูงใจใน การเลอื กหวั ขอ้ โครงงาน (2) วัตถุประสงค์ ของโครงงาน (3) สมมติฐานของการศึกษาค้นควา้ (4) การดาํ เนนิ งานอาจเขียนเป็นตาราง แผนผังโครงงานเพื่อให้การดําเนินงานเป็นไป ตามหวั ขอ้ เรอ่ื ง ตรงตามวตั ถุประสงโครงงานและพสิ ูจนค์ ําตอบ (สมมติฐาน) (5) สรุปผลการศึกษาเป็นการอธิบายคําตอบที่ได้ จากการศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อ ย่อยท่ีตอ้ งการทราบวา่ เปน็ ไปสมมตฐิ านหรอื ไม่ (6) อภิปรายผล บอกประโยชน์หรือคุณค่าของผลงานท่ีได้ และบอกข้อจํากัดหรือ ปัญหา อปุ สรรค (ถ้ามี) พร้อมทัง้ บอกขอ้ เสนอแนะในการศกึ ษาคน้ ควา้ โครงงานลักษณะใกลเ้ คียงกัน 4.3) สว่ นท้าย ประกอบด้วย (1) บรรณานุกรมหรือเอกสารอา้ งอิงหรือเอกสารที่ใช้ค้นคว้า ซึ่งมีหลายประเภท เช่น หนังสือ ตํารา บทความ หรือคอลัมน์ ซ่ึงจะมีวิธีการเขียนบรรณานุกรมต่างกัน เช่น หนังสือ ชื่อ นามสกุล ช่ือหนังสือ. สถานท่ีพิมพ์ : สํานักพิมพ์, ปีท่ีพิมพ์บทความในวาสารช่ือผู้เขียน \"ช่ือบทความ\" ช่ือวารสาร. ปีท่ี หรือเล่มท่ี : หน้า ; วัน เดือน ปี. คอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ ช่ือผู้เขียน \"ชื่อคอลัมน์ : ช่ือเร่ืองในคอลัมน์\" ช่ือ หนังสือพิมพ์. วนั เดือน ปี. หน้า.  

24 (2) ภาคผนวก เชน่ โครงร่างโครงงาน ภาพกจิ กรรม แบบสอบถาม บทสมั ภาษณ์ 5) การนําเสนอผลงาน การนําเสนอผลงานเป็นข้ันตอนสุดท้ายของการทําโครงงาน และเข้าใจถึง ผลงานนั้น การนําเสนอผลงานอาจทําได้หลายรูปแบบ ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมต่อประเภทของโครงงาน เนื้อหา เวลา ระดับของผู้เรียน เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเร่ือง การเขียนรายงาน สถานการณ์ จําลอง การสาธิต การจัดนิทรรศการ ซึ่งอาจมีท้ังการจัดแสดงและการอธิบายด้วยคําพูด หรือการรายงานปาก เปล่า การบรรยาย สิ่งสําคัญคือ พยายามทําให้การแสดงผลงานน้ันดึงดูดความสนใจของผู้ชม มีความชัดเจน เข้าใจงา่ ย และมีความถกู ต้องของเนอื้ หา ที่มา http://maetang-tr02006.blogspot.com/2015/05/41.html  

25 กจิ กรรมทา้ ยบท บทที่ 3 คาํ ช้แี จง : ให้ผ้เู รยี นตอบคําถามใหส้ มบรูณ์ ข้อท่ี 1. การพจิ ารณาเลอื กโครงงาน มวี ิธีการคิดอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ข้อที่ 2. การวางแผนทาํ โครงงานและข้ันตอนกระบวนการทําโครงงาน มีวธิ ีการอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................  

26 .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ขอ้ ท่ี 3. ใหผ้ เู้ รียนเรียงลาํ ดับการจัดทาํ โครงงานใหถ้ ูกตอ้ ง ข้ันตอนการดําเนนิ งาน ลาํ ดบั ขัน้ ตอนท่ี การเขยี นรายงานโครงงาน การวางแผนโครงงาน การเลอื กช่ือโครงงาน การดําเนนิ งานโครงงาน การนําเสนอผลการจัดการดาํ เนนิ งาน ขอ้ ท่ี 4. ให้ผูเ้ รียนเขยี นองคป์ ระกอบของการเขียนรายงานโครงงาน ทง้ั 3 ส่วน มาพอสังเขป .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ขอ้ ท่ี 5. ใหย้ กตวั อยา่ งแผนการปฏิบตั ิงานในการทาํ โครงงานมาพอสังเขป .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................  

27 ..............................................................................................................................................................................  

  บทท่ี 4 ทกั ษะท่จี าํ เปน็ ในการทําโครงงานเพ่อื พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้  

28 แผนการเรยี นรู้ประจําบท บทท่ี 4 ทักษะทจี่ าํ เป็นในการทําโครงงานเพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ สาระสําคญั ความสามารถทจ่ี ะนาํ นวตั กรรมการจัดทําโครงงาน ไปเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้ในทางปฏิบัติได้นั้น ผู้เรียนจาํ เป็นต้องมีทักษะเฉพาะทางในบางประการ การเรียนรทู้ กั ษะเหลา่ นน้ั จึงเปน็ สง่ิ จาํ เปน็ สาํ หรบั ผูเ้ รียน ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง เพือ่ ให้ผ้เู รียนมีความรู้ ความเขา้ ใจ และมที กั ษะในการทาํ โครงงานเพอื่ พฒั นาทักษะการเรียนรู้ ขอบขา่ ยเน้อื หา ตอนท่ี 4.1 ทกั ษะดา้ นการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศ ตอนท่ี 4.2 ทักษะการคิดอย่างเปน็ ระบบ ตอนที่ 4.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตอนที่ 4.4 ทกั ษะการนําเสนอ ตอนที่ 4.2 ทักษะการพฒั นาตอ่ ยอดความรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ศกึ ษาหนงั สือเรยี น บทท่ี 4 2. ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามท่ไี ดร้ บั มอบหมายในหนงั สอื เรียน ส่ือประกอบการเรยี นรู้ 1. หนังสอื เรยี นบทที่ 4 2. ใบงานท่ี 4 ประเมนิ ผล 1. ประเมนิ ผลจากการสงั เกต 2. ประเมนิ ผลจากใบงาน  

29 ตอนท่ี 4.1 ทักษะด้านการจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ “ ขอ้ มลู (Data)”หมายถึง กลมุ่ ตวั อกั ขระทเ่ี มอื่ นาํ มารวมกนั แล้วมีความหมายอย่างใดอย่างหนง่ึ และ มีความสําคัญควรค่าแก่การจัดเก็บ เพื่อนําไปใช้ในโอกาสต่อๆ ไป ข้อมูลมักเป็นข้อความท่ีอธิบายถึงส่ิงใด สิง่ หนงึ่ อาจเป็นตัวอักษร ตวั เลขหรือสัญลักษณ์ใดๆ ทสี่ ามารถนาํ ไปประมวลผลดว้ ยคอมพิวเตอร์ได้ (www.itdestination.) “ข้อมูล (Data)” หมายถึง ข่าวสาร เอกสาร ข้อเท็จจริงเก่ียวกับบุคคล ส่ิงของหรือเหตุการณ์ใน รูปแบบของตัวเลข ภาพ ตัวอักษรและสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น คะแนนสอบวิชาภาษาไทย ราคาสินค้า จํานวน ผ้เู รียนในโรงเรียน (www.thaigoodview.) “ข้อมูล”หมายถึง ข้อเท็จจริงต่างๆ ท่ีมีอยู่ในธรรมชาติ เป็นกลุ่มสัญลักษณ์แทนปริมาณ หรือการ กระทําต่างๆ ท่ียังไม่ผ่านการวิเคราะห์ หรือการประมวลผล ข้อมูลอยู่ในรูปของตัวเลข ตัวหนังสือ รูปภาพ แผนภูมิ เปน็ ต้น (www.internationalschool.) “สารสนเทศ (Information)” หมายถึง ข้อมูลต่างๆ ท่ีได้ผ่านการเปล่ียนแปลงหรือมีการประมวลผล หรือวิเคราะห์สรุปผลด้วยวิธีการต่างๆ แล้วเก็บรวบรวมไว้ เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ตามต้องการการประมวลผล (Data Processing) เป็นการนําข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ท่ีเก็บรวบรวมไว้มาผ่านกระบวนการต่างๆ เพ่ือแปร สภาพข้อมลู ใหเ้ ปน็ ระบบและอยู่ในรูปแบบท่ีต้องการ (www.thaigoodview.) “สารสนเทศ”หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการเปลี่ยนแปลง หรือจัดกระทําเพ่ือผลของการเพิ่มความรู้ ความ เข้าใจของผู้ใช้ ลักษณะของสารสนเทศจะเป็นการรวบรวมข้อมูลหลายๆ อย่าง ที่เก่ียวข้องกันเพื่อจุดมุ่งหมาย อยา่ งใดอย่างหนงึ่ (internationalschool. eduzones.) “แหล่งข้อมูล”หมายถึง สถานที่หรือแหล่งที่เกิดข้อมูลแหล่งข้อมูล จะแตกต่างกันไปตามข้อมูล ที่ต้องการ เช่น บ้านเป็นแหล่งข้อมูลที่เก่ียวกับผู้เรียน โดยบันทึกข้อมูลไว้ในทะเบียนบ้าน ห้องสมุดเป็น แหลง่ ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ตา่ งๆ ขอ้ มลู บางอยา่ งเราอาจจะนํามาจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งได้ เช่น ราคาของ เล่นชนิดเดียวกัน เราอาจจะหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลซึ่งได้แก่ร้านค้าหลายๆ ร้านได้ และข้อมูลหรือราคาท่ีได้ อาจจะแตกต่างกนั ไป หนังสอื พมิ พ์เปน็ แหลง่ ข้อมูลทม่ี ีท้งั ข้อความ ตัวเลข รปู ภาพ การเลอื กใชข้ อ้ มูล (www.202. 143. 159. 117) การเลือกใช้ข้อมูลในการตัดสินใจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เพราะในการดํารงชีวิตของคนเรา มกั เก่ยี วข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จึงจําเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจอย่างมีระบบระเบียบ มีหลักมีเกณฑ์ และมเี หตุผล โดยนาํ ปัจจัยตา่ งๆ มาพิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจ เพ่ือให้ทางเลือกท่ีดีที่สุดซึ่งต้องอาศัยทั้งความรู้ ประสบการณ์ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เป็นส่วนประกอบ เพ่ือไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือโอกาสที่จะผิดพลาด มนี อ้ ยที่สุด การจัดทําขอ้ มลู ให้เปน็ สารสนเทศ (www.krutong.)  

30 การจัดทําข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้งาน จําเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามา ช่วยในการดาํ เนนิ การ เร่ิมตง้ั แตก่ ารรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การดําเนนิ การประมวลผลข้อมูลให้กลายเป็น สารสนเทศ และการดูแลรกั ษาสารสนเทศเพอ่ื การใชง้ าน ดงั ต่อไปน้ี ก. การรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มูล 1) การเกบ็ รวบรวมข้อมลู เป็นเร่ืองของการเก็บรวบรวมข้อมูลซ่ึงมีจํานวนมาก และต้องเก็บ ให้ได้อย่างทันเวลา เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนเรียน ข้อมูลประวัติบุคลากร ปัจจุบันมีเทคโนโลยีช่วยในการ จัดเก็บอยู่เปน็ จาํ นวนมาก เชน่ การปอ้ นขอ้ มูลเขา้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ การอ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง การตรวจใบ ลงทะเบียนที่มีการฝนดนิ สอดําในตําแหนง่ ต่างๆ เปน็ วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเชน่ กนั 2) การตรวจสอบข้อมูล เมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจําเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูล เพ่ือความถูกต้อง ข้อมูลที่เก็บเข้าในระบบต้องมีความเช่ือถือได้ หากพบท่ีผิดพลาดต้องแก้ไขการตรวจสอบ ข้อมลู มีหลายวธิ ี เช่น การใช้ผู้ป้อนข้อมลู สองคนป้อนข้อมลู ชุดเดยี วกันเข้าคอมพิวเตอร์แลว้ เปรยี บเทยี บกนั ข. การประมวลผลขอ้ มลู แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1) การประมวลผลด้วยมอื วธิ ีน้เี หมาะกบั ข้อมลู จํานวนไม่มากและไม่ซับซ้อน อุปกรณ์ในการ คํานวณไดแ้ ก่ เครือ่ งคดิ เลข ลกู คิด 2) การประมวลผลด้วยเคร่ืองจักร วิธีน้ีเหมาะกับข้อมูลจํานวนปานกลาง และไม่จําเป็นต้อง ใชผ้ ลในการคํานวณทันทีทนั ใด เพราะต้องอาศยั เครื่องจักรและแรงงานคน 3) การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ วิธีนี้เหมาะกับงานท่ีมีจํานวนมาก ไม่สามารถใช้ แรงงานคนได้ และงานมีการคํานวณท่ียุ่งยากซับซ้อน การคํานวณด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ จะให้ผลลัพธ์ท่ี ถูกต้องแม่นยําและรวดเร็ว ลําดบั ข้ันตอนในการประมวลผลข้อมูลมดี ังนี้ 1) การจัดแบ่งกลุ่มข้อมูล ข้อมูลที่เก็บจะต้องมีการแบ่งแยกกลุ่ม เพื่อเตรียมไว้สําหรับการ ใช้งาน การแบ่งแยกกลุ่มมีวิธีการที่ชัดเจน เช่น ข้อมูลในโรงเรียนมีการแบ่งเป็นแฟ้มประวัตินักเรียน และแฟ้ม ลงทะเบียน สมดุ โทรศัพท์หนา้ เหลืองมกี ารแบ่งหมวดสินค้าและบรกิ าร เพ่อื ความสะดวกในการค้นหา 2) การจัดเรียงข้อมูล เม่ือจัดแบ่งกลุ่มเป็นแฟ้มแล้ว ควรมีการจัดเรียงข้อมูลตามลําดับ ตัวเลขหรือตัวอักษร เพื่อให้เรียกใช้งานได้ง่ายประหยัดเวลา ตัวอย่างการจัดเรียงข้อมูล เช่น การจัดเรียงบัตร ข้อมูลผู้แต่งหนังสือในตู้บัตรรายการของห้องสมุดตามลําดับตัวอักษร การจัดเรียงชื่อคนในสมุดรายนามผู้ใช้ โทรศพั ท์ทาํ ให้คน้ หาไดง้ ่าย 3) การสรุปผล บางครั้งข้อมูลท่ีจัดเก็บมีเป็นจํานวนมาก จําเป็นต้องมีการสรุปผลหรือสร้าง รายงานย่อ เพ่ือนําไปใช้ประโยชน์ข้อมูลท่ีสรุปได้นี้อาจส่ือความหมายได้ดีกว่า เช่น สถิติจํานวนนักเรียนแยก ตามระดับแต่ละระดบั การศกึ ษา 4) การคํานวณ ขอ้ มูลที่เกบ็ มเี ปน็ จํานวนมาก ข้อมลู บางส่วนเป็นขอ้ มูลตัวเลขท่ีสามารถนําไป คาํ นวณเพ่อื หาผลลัพธบ์ างอย่างได้ ดังนัน้ การสรา้ งสารสนเทศจากข้อมลู จึงอาศยั การคํานวณข้อมูลท่ีเก็บไว้ดว้ ย ค. การจดั เกบ็ และดูแลรักษาข้อมลู ประกอบดว้ ย  

31 1) การเก็บรักษาข้อมูล หมายถึง การนําข้อมูลมาบันทึกเก็บไว้ในส่ือบันทึกต่างๆ เช่น แผ่น บันทกึ ขอ้ มลู นอกจากน้ียงั รวมถงึ การดูแล และการทาํ สําเนาข้อมลู เพ่ือใหใ้ ช้งานตอ่ ไปในอนาคตได้ 2) การค้นหาข้อมลู ขอ้ มูลท่ีจัดเก็บไว้มีจุดประสงค์ท่ีจะเรียกใช้งานได้ต่อไป การค้นหาข้อมูล จะตอ้ งค้นไดถ้ ูกต้องแม่นยํา รวดเร็ว จึงมีการนําคอมพิวเตอร์เข้ามามีส่วนช่วยในการทํางาน ทําให้การเรียกค้น กระทําได้ง่ายและทนั เวลา 3) การทําสําเนาข้อมูล การทําสําเนาเพ่ือท่ีจะนําข้อมูลเก็บรักษาไว้ หรือนําไปแจกจ่ายใน ภายหลัง จึงควรจัดเกบ็ ข้อมูลใหง้ า่ ยต่อการทาํ สําเนา หรอื นําไปใชอ้ กี ครัง้ ได้โดยงา่ ย 4) การสอ่ื สารข้อมูล ต้องกระจายหรือส่งต่อไปยังผู้ใช้งานที่ห่างไกลได้ง่าย การส่ือสารข้อมูล จึงเป็นเรื่องสําคัญ และมีบทบาทที่สําคัญยิ่งที่จะทําให้การส่งข่าวสารไปยังผู้ใช้ทําได้รวดเร็ว และทันเวลา ปจั จบุ ัน ผู้บรหิ ารตอ้ งสามารถปฏบิ ัติงานใหร้ วดเรว็ เพ่อื ตอบสนองต่อการแข่งขันตลอดจนการผลักดันของสังคม ท่ีมีการใช้ระบบส่ือสารข้อมูลที่ทันสมัย การแข่งขันในเชิงธุรกิจจึงมากขึ้นตามลําดับ มีการใช้เทคนิคทาง คอมพิวเตอร์มาวิเคราะห์ แยกแยะ และจัดสรรข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ทําให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถมากข้ึน มีขนาดเล็กลงและราคาถูกลง การนําคอมพิวเตอร์มาใช้ งานจงึ แพร่หลายอย่างรวดเร็ว ตลอดจนระบบส่ือสารก้าวหน้ายิ่งข้ึน ซึ่งเป็นผลทําให้ระบบข้อมูลขององค์การที่ ใช้เทคโนโลยีเหล่าน้ีมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวทางการดําเนินการให้ได้ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ จะเร่ิมจากการวิเคราะห์ความต้องการ การวิเคราะห์น้ีจะได้จากการสอบถาม ซึ่งจะทําให้ทราบว่าควรจะจัด โครงสร้างข้อมลู น้ันไว้ในระบบหรือไม่ ถ้าจัดเก็บจะประกอบด้วยข้อมูลอะไร มีรายละเอียดอะไรตอบสนองการ ใช้งานได้อย่างไร ลกั ษณะของสารสนเทศท่ีดตี ้องประกอบไปด้วยรายละเอียด ดงั นี้ 1) ความเท่ียงตรง (Accuracy) หมายถึง ปราศจากความเอนเอียง สารสนเทศที่ดีต้องบอก ลักษณะความเป็นจริงท่ีเกิดข้นึ ไมช่ ้นี ําไปทางใดทางหนึง่ 2) ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ (Relevancy) หมายถึง มีเน้ือหาตรงกับเรื่องท่ีต้องการใช้ ของผใู้ ช้แตล่ ะคน 3) ทันต่อเวลา (Timeliness) หมายถึง สามารถนําสารสนเทศที่ต้องการไปใช้ได้ทัน ต่อเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน การจัดเตรียมสารสนเทศให้ทันต่อเวลาที่ต้องการใช้มี 2 ลักษณะ คือ การจัดทํา สารสนเทศล่วงหน้าตามกําหนดเวลาที่เหตุการณ์จะเกิดในอนาคต และการจัดทําสารสนเทศอย่างรวดเร็ว เพ่อื นาํ ไปใชใ้ นเหตุการณท์ ก่ี ําลงั เกิดข้นึ  

32 ตอนท่ี 4.2 ทักษะการคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ ผู้เรียนทกุ คนตอ้ งมปี ระสบการณใ์ นการคิดเรื่องใดๆ มาบ้างแล้ว แต่มีข้อสังเกตว่าบางคนอาจจะไม่เคย ตอบตนเองว่า ความคิดคืออะไร ซ่ึงราชบัณฑิตสถานได้ให้ความหมายของคําว่า ”คิด” หมายความว่า ทําให้ ปรากฏเป็นรูปหรือประกอบให้เป็นรูปหรือเป็นเรื่องขึ้นในใจ ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง คาดคะเน คํานวณ มุ่งจูงใจ ตัง้ ใจ” ซึง่ สรปุ ไดว้ ่าการคิดเป็นหน้าท่ีหน่ึงของจิต ในขณะที่ข้อมูลทางการแพทย์ค้นพบว่ามนุษย์ใช้สมองในการ คิด และสมองซีกซ้ายคิดในเร่ืองของการมีเหตุผล และสมองซีกขวาคิดในเรื่องที่เป็นอารมณ์ความรู้สึก การทํา ความเข้าใจเกี่ยวกับการคิด มีขอบข่ายของการเรียนรู้เรื่องความคิดไว้โดยจัดมิติของการคิด (Dimension of Thinking) ไวเ้ ปน็ มติ ติ ่างๆ (เสนห่ ์ จุ้ยโต) ไดแ้ ก่ 1. มิติเนื้อหาท่ีใช้ในการคิด ซึ่งประกอบด้วยสาระเกี่ยวกับข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลเก่ียวกับสังคม และสิ่งแวดลอ้ ม และข้อมูลวชิ าการ วชิ าชพี 2. มิติด้านคุณสมบัติที่เอ้ืออํานวยต่อการคิด ซ่ึงประกอบด้วยสาระเกี่ยวกับคุณลักษณะของความเป็น คนใจกว้าง และเป็นธรรมกระตือรือร้นใฝ่เรียนใฝ่รู้ ช่างวิเคราะห์และบูรณาการ มุ่งมั่นสู่ความสําเร็จและ มมี นุษยสัมพันธ์ นา่ รกั น่าคบ 3. มิติด้านทักษะการคิด ซึ่งประกอบด้วยสาระเก่ียวกับทักษะสื่อความหมาย (การฟัง การอ่าน การ จดจํา การบรรยาย การทําให้กระจ่าง การพูด การเขียน) และทักษะท่ีเป็นแกน (การสังเกตการสํารวจ การซัก คําถาม การจาํ แนกแยกแยะ การเปรียบเทียบการเช่อื มโยง และการสรุปรวบยอด) 4. มติ ดิ ้านลักษณะการคิด ซงึ่ ประกอบด้วยสาระเก่ียวกบั คดิ คล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดอย่าง มเี หตุผล คิดไกล และคิดถกู ทาง 5. มติ ิดา้ นกระบวนการคดิ ซึ่งประกอบด้วยสาระเกย่ี วกบั การคดิ “10 ชนดิ ” ไดแ้ ก่ 5.1 การคดิ แบบวจิ ารณญาณ (Critical Thinking) 5.2 การคดิ แบบรเิ รม่ิ (Initiative Thinking) 5.3 การคดิ แบบสร้างสรรค์ (Creative Thinking) 5.4 การคดิ แบบกลยุทธ์ (Strategic Thinking) 5.5 การคิดแบบอยา่ งเป็นระบบ (System Thinking) 5.6 การคิดแบบบูรณาการ (Integrative Thinking) 5.7 การคิดแบบเชงิ เปรียบเทียบ (Comparative Thinking) 5.8 การคิดเชงิ ประยุกตใ์ ช้ (Application Thinking) 5.9 การคดิ เชิงสงั เคราะห์ (Synthesis Thinking) 5.10 การคิดแบบแผนท่ี (Mind Map Thinking) 6. มิติดา้ นการควบคมุ และประเมินความคดิ ของตน ซึ่งประกอบด้วยสาระเก่ียวกับประสิทธิผลของการ บริหารมีวิธกี ารท่ดี ขี นึ้ ปรบั ปรุงระบบงานดขี ึ้น การพฒั นาสรา้ งนวตั กรรมใหม่ สร้างความได้เปรียบในการแขง่ ขัน  

33 ศรินธร วิทยะสิรินันท์ ได้กล่าวว่า ทักษะการคิด หมายถึงความสามารถในการคิดในลักษณะต่างๆ ซึ่งเป็น องค์ประกอบของกระบวนการคิดที่สลับซับซอ้ น ทักษะการคิดอาจจัดเป็นประเภทใหญๆ่ ได้ 2 ประเภท คอื 1. ทักษะพ้ืนฐาน (basic skills) หมายถึง ทักษะการคิดที่เป็นพื้นฐานเบ้ืองต้นต่อการคิดในระดับท่ี สูงข้ึนหรือซับซ้อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทักษะการสื่อความหมาย ที่บุคคลทุกคนจําเป็นต้องใช้ในการส่ือสาร ความคิดของตน ได้แก่ ทักษะการส่ือความหมาย (communication skills) และทักษะการคิดท่ีเป็นแกนหรือ ทักษะการคิดท่ัวไป (core or general thinking skills) 1.1 ทักษะการส่ือความหมาย ได้แก่ การฟัง (listening) การอ่าน (reading) การรับรู้ (perceiving) การจดจํา (memorizing) การจํา (remembering) การคงส่ิงท่ีเรียนไปแล้วไว้ได้ภายหลังการเรียน น้ัน (retention) การบอกความรู้ได้จากตัวเลือกที่กําหนดให้ (recognizing) การบอกความรู้ออกมาด้วยตนเอง (recalling) การใช้ข้อมูล (using information) การบรรยาย ( describing) การอธิบาย (explaining) การทําใหก้ ระจา่ ง (clarifying) การพดู (speaking) การเขยี น (writing) และการแสดงออกถึงความสามารถของตน 1.2 ทกั ษะการคดิ ทเ่ี ปน็ แกนหรอื ทักษะการคดิ ทั่วไป หมายถงึ ทกั ษะการคิดที่จําเป็นต้องใช้อยู่ เสมอในการดาํ รงชวี ิตประจําวัน และเปน็ พนื้ ฐานของการคดิ ข้ันสูงที่มีความสลับซับซ้อน ซ่ึงคนเราจําเป็นต้องใช้ ในการเรียนรู้เนื้อหาวิชาการต่างๆ ตลอดจนใช้ในการดํารงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่ การสังเกต (observing) การสํารวจ (exploring) การตั้งคําถาม (questioning) การเก็บรวบรวมข้อมูล (information gathering) การ ระบุ (identifying) การจําแนกแยกแยะ (discriminating) การจัดลําดับ (ordering) การเปรียบเทียบ (comparing) การจัดหมวดหมู่ (classifying) การสรุปอ้างอิง (inferring) การแปล (translating) การตีความ (interpreting) การเชื่อมโยง (connecting) การขยายความ (elaborating) การให้เหตุผล (reasoning) และ การสรปุ ยอ่ (summarizing) 2. ทักษะการคิดขั้นสูง หรือทักษะการคิดที่ซับซ้อน (higher order or more complexed thinking skills) หมายถงึ ทักษะการคดิ ทมี่ ขี น้ั ตอนหลายช้ัน และตอ้ งอาศัยทักษะการส่ือความหมาย และทักษะการคิดที่ เป็นแกนหลายๆ ทักษะในแต่ละขั้น ทักษะการคิดข้ันสูงจึงจะพัฒนาได้เม่ือเด็กได้พัฒนาทักษะการคิดพ้ืนฐาน จนมีความชํานาญพอสมควรแล้ว ได้แก่ การสรุปความ (drawing conclusion) การให้คําจํากัดความ (defining) การวิเคราะห์ (analyzing) การผสมผสานข้อมูล (integrating) การจัดระบบความคิด (organizing) การสร้างองค์ความรู้ใหม่ (constructing) การกําหนดโครงสร้างความรู้ (structuring) การแก้ไขปรับปรุงโครง สร้างความรู้เสียใหม่ (restructuring) การค้นหาแบบแผน (finding patterns) การหาความเชื่อพื้นฐาน (finding underlying assumption) การคิดคะเน / การพยากรณ์ (predicting) การต้ังสมมุติฐาน (formulating hypothesis) การทดสอบสมมุติฐาน (testing hypothesis) การต้ังเกณฑ์ (establishing criteria) การพิสูจน์ความจรงิ (verifying) และการประยุกต์ใช้ความรู้ (applying)  

34 การคดิ แบบอยา่ งเปน็ ระบบ (System Thinking) ทักษะการคดิ นบั เป็นศักยภาพที่สําคัญสําหรับผู้เรียนท่ีจะต้องใช้ในการวางแผน ดําเนินงาน และนําผล การจัดทําโครงงานไปใช้ อย่างไรก็ตามขอเสนอแนะว่า ทักษะการคิดทั้งหลายผู้เรียนควรให้ความสนใจพัฒนา ฝกึ ฝนทักษะการคดิ เพราะเป็นเคร่ืองมอื สาํ คญั ทีจ่ ะติดตวั และนาํ ไปใช้ได้ตลอดกาลอย่างไม่มีขีดจํากัด และเป็น พิเศษสําหรับทักษะการคิดแบบอย่างเป็นระบบ (System Thinking) เป็นลักษณะการคิดท่ีต้องมีส่วนประกอบ สองส่วนท้งั การคิดเชงิ วิเคราะห์ (Analytical Thinking) และการคิดเชิงตรรกะ (Logical Thinking) ซึ่งต้องเป็น กระบวนการคดิ ท่มี ปี ฏิสัมพนั ธ์กัน โดยก่อให้เกดิ พลงั อยา่ งใดอย่างหน่ึงหรือหลายอยา่ ง สาํ หรบั การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) มีเทคนิคในการพัฒนาตนเองด้วยการฝึกแยกแยะ ประเด็น ฝึกเทคนิคการคิดในการนําแนวคิดทฤษฎีท่ีได้เรียนรู้ มาประยุกต์ใช้กับโครงงานท่ีจะทําและใช้เทคนิค STAS Model มาชว่ ยในการคดิ วิเคราะห์ ได้แก่ Situation Theory Analysis Suggestion ส่วนเทคนิคการคิด เชิงตรรกะ (Logical Thinking) เป็นการฝึกทักษะการคิดแบบความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ทั้งความสัมพันธ์ ในแนวดงิ่ และความสมั พันธ์ในแนวนอน  

35 ตอนที่ 4.3 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การทําโครงงานผเู้ รยี นจาํ เปน็ ต้องมที ักษะ ซึง่ อาจแบง่ ออกได้เปน็ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่ 1. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน มี 8 ทักษะ ได้แก่ การสังเกต การลงความเห็นจาก ข้อมูล การจําแนกประเภท การวัด การใช้ตัวเลข การพยากรณ์ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกบั เวลา การจัดกระทาํ และสื่อความหมายข้อมลู 2. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขน้ั สงู มี 5 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ การกาํ หนดและควบคุมตัวแปร การตั้ง สมมุตฐิ าน การกาํ หนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัติการ การทดลอง การตีความหมายข้อมูล และการลงข้อสรุปทักษะท้ัง 5 น้ี เปน็ เร่อื งใหม่และมีความสําคญั ในการทําวิจัย ผู้เรยี นจําเปน็ ต้องทําความเข้าใจให้ชัดเจนก่อน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ้ันพ้นื ฐาน มี 8 ทักษะ ไดแ้ ก่ 1. การสังเกต เป็นการใช้ประสาทสัมผัสท้ัง 5 คือ ตา หู จมูก ผิวกาย และลิ้น หรืออย่างใดอย่างหน่ึง ในการสํารวจวัตถุหรือปรากฏการณ์ต่างๆ หรือจากการทดลอง เพื่อค้นหารายละเอียดต่างๆ ของข้อมูล ข้อมูล จากการสงั เกตแบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ - ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลจากการสังเกตคุณลักษณะของส่ิงต่างๆ เช่น สี รูปร่าง รส กล่ิน ลกั ษณะ สถานะ เป็นต้น - ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต ขนาด ความยาว ความสูง นํ้าหนัก ปริมาตร อณุ หภมู ขิ องสิง่ ต่างๆ 2. การลงความเห็นจากข้อมูล เป็นการอธบิ ายเพิม่ เตมิ เกยี่ วกบั ผล หรอื ขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการสังเกตอย่าง มเี หตผุ ล โดยใชค้ วามรหู้ รือประสบการณม์ าอธิบายด้วยความเหน็ ส่วนตวั ตอ่ ขอ้ มลู นน้ั ๆ สงิ่ ทส่ี ังเกตได้ ประเภทของขอ้ มลู การลงความเหน็ คาํ อธิบาย ปริมาณ จากขอ้ มูล อาตอ๋ ย สงู ประมาณ ใชค้ วามรู้เรือ่ งคา่ เฉล่ยี ความ 185 ซ.ม. คุณภาพ อาต๋อยสงู กว่าชายไทย สงู ของชายไทยในการลง โดยทัว่ ไป เสอ้ื สเี หลืองตัวนี้ ความเหน็ จากข้อมูล มเี นอื้ น่มิ เสื้อเนอ้ื นิม่ ใสแ่ ล้วสบายตัว ใช้ประสบการณ์ในการลง ความเหน็ จากข้อมลู 3. การจําแนกประเภท เป็นการแบ่งพวก จัดจําแนกเรียงลําดับวัตถุ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ต้อง การศึกษาออกเป็นหมวดหมู่ เป็นระบบทําให้สะดวกรวดเร็ว และง่ายต่อการศึกษาค้นคว้า โดยการหาลักษณะ  

36 หรือคณุ สมบตั ริ ว่ มบางประการ หรือหาเกณฑค์ วามเหมือนความต่าง ความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหน่ึงเป็นเกณฑ์ ในการแบง่ 4. การวดั เป็นความสามารถในการเลอื กใช้เครื่องมอื ได้อย่างถกู ตอ้ งในการวัดสง่ิ ตา่ งๆ ที่ต้องการศึกษา เช่น ความกว้าง ความสูงความหนา น้ําหนัก ปริมาตร เวลา และอุณหภูมิ โดยวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ถูกต้อง รวดเรว็ มหี นว่ ยกํากับ และสามารถอ่านคา่ ที่ใชว้ ดั ได้ถูกต้องใกลเ้ คยี งความเป็นจรงิ มากทีส่ ุด 5. การใช้ตวั เลข การใช้ตวั เลขหรอื การคํานวณ เป็นการนับจํานวนของวัตถุ และนําค่าตัวเลขที่ได้จาก การวัดและการนับมาจัดกระทําให้เกิดค่าใหม่ โดยการนํามา บวก ลบ คูณ หาร เช่น การหาพื้นที่ การหา ปรมิ าตร เปน็ ต้น 6. การพยากรณ์ เป็นความสามารถในการทํานาย คาดคะเนคําตอบโดยใช้ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต ประสบการณท์ ่เี กิดขนึ้ บ่อยๆ หลกั การ ทฤษฎี หรอื กฎเกณฑ์ตา่ งๆ มาช่วยสรุปหาคําตอบเร่ืองน้ัน การพยากรณ์ จะแม่นยํามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับผลที่ได้จากการสังเกตท่ีรอบคอบ การวัดที่แม่นยํา การบันทึกที่เป็นจริง และการจดั กระทาํ ข้อมูลทเ่ี หมาะสม 7. การหาความสมั พันธ์ระหวา่ งสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา สเปส (Space) หมายถึง ที่ว่างในรูปทรงของวัตถุ มี 3 มิติ คือความกว้าง ความยาว และความสูง (หนา ลึก) ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ 2 มิติ กับวัตถุ 3 มิติ และความสัมพันธ์ระหว่างตําแหน่งที่อยู่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหน่ึง คือการบ่งชี้รูป 2 มิติ รูป 3 มิติได้ หรือสามารถวาดภาพ 3 มิติ จากวตั ถุหรอื ภาพ 3 มิตไิ ด้ เป็นต้น ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปสกับเวลา หมายถึง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสเปสของวัตถุที่เปล่ียนไปกับเวลา หรอื การเปลี่ยนตําแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับเวลา น่ันคือการบอกทิศทางหรือตําแหน่งของวัตถุเมื่อเทียบกับตัวเอง หรือส่ิงอนื่ ๆ 8. การจัดกระทําและสื่อความหมายข้อมลู การจดั กระทํา คอื การนาํ ขอ้ มูลดิบมาจดั ลาํ ดับ จัดจําพวก หาความถี่ หาความสัมพันธ์หรอื คาํ นวณใหม่ การส่ือความหมายข้อมูล เป็นการใช้วิธีต่างๆ เพื่อแสดงข้อมูลให้ผู้อ่ืนเข้าใจ เช่น การบรรยาย ใชแ้ ผนภูมิ แผนภาพ : วงจร กราฟ ตาราง สมการ ไดอะแกรม เปน็ ต้น ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั้ สงู มี 5 ทักษะ ได้แก่ 1. การกาํ หนดและควบคุมตัวแปร ตัวแปร หมายถึง สิ่งท่ีแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างๆ กัน ตัวแปรที่ เกย่ี วข้องกับการทดลองทางวิทยาศาสตรม์ ีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ 1) ตัวแปรต้น (ตัวแปรอิสระ ตัวแปรเหตุ) เป็นตัวแปรเหตุท่ีทําให้เกิดผลต่างๆ หรือตัวแปรที่ เราต้องการศึกษา หรือทดลองดูว่าเปน็ สาเหตทุ ี่ทําใหเ้ กดิ ผลตามท่ีเราสงั เกตใช่หรอื ไม่  

37 2) ตัวแปรตาม (ตัวแปรไม่อิสระ ตัวแปรผล) เป็นตัวแปรที่เกิดมาจากตัวแปรเหตุ เมื่อตัวแปร เหตุเปลี่ยนแปลงอาจมีผลทําให้ตัวแปรตามเปลี่ยนแปลงไปได้ ตัวแปรตามจําเป็นต้องควบคุมให้เหมือนๆ กัน เสียกอ่ น 3)ตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variables) เป็นตัวแปรอ่ืนๆ ท่ีอาจมีผลต่อตัวแปรตาม โดยผู้วิจัยไมต่ อ้ งการใหเ้ กิดเหตุการณ์นั้นข้ึน 2. การตง้ั สมมติฐาน เป็นการคาดคะเนคําตอบของปญั หาอย่างมเี หตุผล หรอื การบ่งบอกความสัมพันธ์ ของตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัว ก่อนที่จะทําการทดลองจริงโดยอาศัยทักษะสังเกต ประสบการณ์ ความรู้เดิมเป็น พ้นื ฐาน สมมติฐานมีลกั ษณะดังน้ี 1. อาจถกู หรือผดิ กไ็ ด้ 2. สมมตฐิ านท่ีดีจะเป็นคาํ ตอบที่คดิ ไว้ล่วงหน้า 3. เป็นข้อความบง่ บอกความสัมพนั ธ์ระหว่างตวั แปรต้นกบั ตัวแปรตาม 4. อาจมีมากกว่า ๑ สมมติฐานกไ็ ด้ 5. ใชเ้ ปน็ แนวทางการออกแบบการทดลอง 6. การพสิ จู นส์ มมตฐิ านว่าถูกหรอื ผดิ (อาจใชค้ าํ ว่ายอมรับหรอื ไม่ยอมรบั สมมตฐิ านน้ันๆ) ตวั อย่างการต้ังสมมติฐาน เช่น 1. กลนิ่ ใบตะไครก้ ําจัดแมลงสาบได้ดกี วา่ กลน่ิ ใบมะกรดู 2. การลดน้ําหนักด้วยวิธีควบคุมอาหารร่วมกับการออกกําลังกาย ช่วยลดนํ้าหนักได้ดีกว่าการควบคุม อาหารอย่างเดยี ว 3. การกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ นิยามเชิงปฏิบัติการ หมายถึง ความหมายของคําหรือข้อความ ที่ใช้ในการทดลองท่ีสามารถสังเกต ตรวจสอบ หรือทําการวัดได้ ซึ่งจําเป็นต้องกําหนดเพื่อความเข้าใจท่ีตรงกัน เสียก่อนทําการทดลองนิยาม เชิงปฏิบัติการจะแตกต่างจากคํานิยามท่ัวๆ ไป คือ “ต้องสามารถวัดหรือ ตรวจสอบได้” ซึง่ มกั จะเป็นคาํ นิยามของตวั แปรน่นั เอง ตวั อยา่ งนยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ าร นิยามเชงิ ปฏบิ ัติการ คาํ อธบิ าย การเจรญิ เติบโตของพืช หมายถึง การที่พชื สงู ข้นึ - การเจริญเติบโตของพชื คือ ตวั แปรที่เราตอ้ ง ลาํ ต้นใหญ่ขึ้นและมจี ํานวนใบมากข้ึน การศกึ ษา - ความสงู ความใหญ่ จาํ นวนใบเป็นสิง่ ที่ เราสามารถวดั ได้ การแปรงฟันหลงั อาหารกลางวนั - การแปรงฟันหลงั อาหารกลางวนั คอื ตวั แปร ท่ี หมายถึง การท่ีผู้เรียนแปรงฟันด้วยวิธีที่ถูกต้องเป็น เราตอ้ งการศกึ ษา เวลา อย่างนอ้ ย 3 นาที หลังจากรับประทานอาหาร - วธิ ีทถ่ี ูกต้อง เวลา 3 นาที หลังรับประทานอาหาร  

กลางวัน ท่สี ถานศึกษา 38 กลางวนั ท่ีสถานศึกษา เป็นส่งิ ทเี่ ราสามารถสงั เกต ตรวจสอบ วดั ได้ 4. การทดลอง เป็นกระบวนการปฏิบัติการเพ่ือหาคําตอบจากสมมุติฐานท่ีต้ังไว้ในการทดลอง ประกอบด้วยขน้ั ตอนต่างๆ 3 ข้ันตอน ดงั น้ี 1) การออกแบบการทดลอง คือ การวางแผนการทดลองก่อนลงมือปฏิบัติจริง โดยกําหนดว่า จะใชว้ สั ดุอปุ กรณอ์ ะไรบ้าง จะทาํ อยา่ งไร ทาํ เมอื่ ไร มีขั้นตอนอะไร 2) การปฏบิ ตั กิ ารทดลอง คือ การลงมือปฏิบัติตามทีอ่ อกแบบไว้ 3) การบันทึกผลการทดลอง คือ การจดบันทึกข้อมูลต่างๆ ท่ีได้จากการทดลอง ซึ่งใช้ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน 8 ทกั ษะที่กลา่ วไปแลว้ 5. การตีความหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรปุ การตีความหมายข้อมูล คือ การแปลความหมายหรือการบรรยายผลของการศึกษา เพื่อให้คนอ่ืน เข้าใจว่าผลการศึกษาเปน็ อยา่ งไร เปน็ ไปตามสมมตฐิ านที่ตั้งไว้หรอื ไม่ การลงข้อสรปุ เป็นการสรุปความสัมพันธ์ ของข้อมูลท้ังหมด เช่น การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ การอธิบายความสัมพันธ์ของข้อมูล ทีเ่ ปน็ ผลของการศึกษา การฝึกทักษะท่ีจําเป็นของการทําโครงงานทุกข้ันตอนอย่างเป็นระบบ จะทําให้ผู้เรียนได้โครงงานและ ได้ผลสาํ เร็จของโครงงานทมี่ ปี ระสิทธภิ าพและเชื่อถอื ได้  

39 ตอนท่ี 4.4 ทักษะการนําเสนอ (www. panyathai.or.th) “การนําเสนอ” หมายถึง การสื่อสารเพื่อเสนอข้อมูลความรู้ความคิดเห็น หรือความต้องการไปสู่ผู้รับ สารโดยใช้เทคนิคหรือวธิ กี ารตา่ งๆ ความสําคัญของการนาํ เสนอในปจั จุบันนี้ การนําเสนอเข้ามามีบทบาทสําคัญ ในองคก์ รทางธุรกิจ ทางการเมือง ทางการศกึ ษา หรือแมแ้ ต่หน่วยงานของรัฐทุกแห่งก็ต้องอาศัยวิธีการนําเสนอ เพ่อื สื่อสารข้อมูล เสนอความเห็น เสนอขออนุมัติ หรือเสนอข้อสรุปผลการดําเนินงานต่างๆ กล่าวโดยสรุปการ นําเสนอมีความสําคัญต่อการปฏิบัติงานทุกประเภท เพราะช่วยในการตัดสินใจในการดําเนินงาน ตลอดจน เผยแพร่ความก้าวหน้าของงานต่อผบู้ ังคับบัญชาและบคุ คลผู้ทสี่ นใจ จดุ มุ่งหมายในการนําเสนอ 1. เพ่ือใหผ้ รู้ ับสารรับทราบความคิดเห็นหรือความตอ้ งการ 2. เพ่ือให้ผูร้ ับสารพจิ ารณาเร่อื งใดเรอ่ื งหนึง่ 3. เพือ่ ใหผ้ ูร้ บั สารไดร้ ับความรูจ้ ากขอ้ มูลท่นี ําเสนอ 4. เพือ่ ให้ผูร้ ับสารเกดิ ความเขา้ ใจที่ถูกต้อง ประเภทของการนําเสนอ การนําเสนอแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ดงั นี้ 1. การนําเสนอเฉพาะกลุ่ม 2. การนาํ เสนอทัว่ ไปในท่สี าธารณะ ลกั ษณะของข้อมลู ทน่ี าํ เสนอ ขอ้ มูลทีจ่ ะนาํ เสนอแบ่งออกตามลักษณะของขอ้ มูล ไดแ้ ก่ 1. ข้อเท็จจรงิ หมายถงึ ข้อความท่เี ก่ียวขอ้ งกับเหตุการณ์เร่อื งราวทเ่ี ป็นมาหรือเปน็ อยตู่ ามความจริง 2. ขอ้ คดิ เหน็ เปน็ ความเห็นอันเกิดจากประเด็นหรือเรื่องราวทช่ี วนให้คิดข้อคดิ เหน็ มีลกั ษณะต่างๆ กัน การนาํ เสนอ เป็นการนําข้อมลู ทร่ี วบรวมขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการศึกษามานําเสนอ หรอื ทําการเผยแพร่ให้ผู้ท่ี สนใจได้รับทราบหรอื นําไปวิเคราะห์เพ่อื ไปใช้ประโยชน์ แบง่ ออกได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1. การนาํ เสนออย่างไมเ่ ป็นแบบแผน 1. 1 การนาํ เสนอในรปู ของบทความ 1. 2. การนาํ เสนอขอ้ มลู ในรปู ของขอ้ ความกึ่งตาราง 2. การนาํ เสนอข้อมลู อย่างเป็นแบบแผน 2. 1. การนาํ เสนอข้อมลู โดยใชต้ าราง 2. 2. การนําเสนอข้อมลู โดยใชแ้ ผนภูมแิ ทง่ 2. 3 การนาํ เสนอขอ้ มูลโดยใช้แผนภมู วิ งกลม 2. 4 การนาํ เสนอขอ้ มูลโดยใชแ้ ผนภมู ริ ปู ภาพ 2. 5 การนําเสนอข้อมลู โดยใช้แผนท่ีสถติ ิ  

40 2. 6 การนาํ เสนอขอ้ มูลโดยใชแ้ ผนภูมแิ ท่งเปรยี บเทียบ 2. 7 การนาํ เสนอขอ้ มูลโดยใช้กราฟเสน้ ในการนําเสนอข้อมูลแบบใดน้ันข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของข้อมูล เช่น ต้องการแสดงอุณหภูมิของ ภาคตา่ งๆ ควรแสดงด้วยกราฟเส้น ตอ้ งการแสดงการเปรยี บเทยี บจาํ นวนนักเรยี นแต่ละระดับการศึกษา ควรใช้ แผนภูมิแท่ง เป็นต้น  

41 ตอนที่ 4.5 ทกั ษะการพัฒนาตอ่ ยอดความรู้ (gotoknow. Org. และ th.wikipedia.org/wiki) การต่อยอดความรู้ มีคนจัดประเภทความรู้ไว้สองลักษณะได้แก่ ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) กับความรปู้ ระจกั ษ์หรอื ชัดแจ้ง (explicit knowledge) โดยความรูแ้ บบฝงั ลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ ที่ไม่สามารถอธิบายโดยใช้คําพูดได้ มีรากฐานมาจากการกระทําและประสบการณ์ มีลักษณะเป็นความเชื่อ ทกั ษะ และเป็นอัตวิสัย (Subjective) ต้องการการฝกึ ฝนเพอื่ ให้เกดิ ความชํานาญ มีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคล มีบริบทเฉพาะ (Contextspecific) ทําให้เป็นทางการและส่ือสารยาก เช่น วิจารณญาณความลับทางการค้า วัฒนธรรมองค์กร ทักษะความเช่ียวชาญในเร่ืองต่างๆ การเรียนรู้ขององค์กร ความสามารถในการชิมรสไวน์ หรอื กระทั่งทกั ษะในการสังเกตเปลวควันจากปล่องโรงงานว่ามีปัญหาในกระบวนการผลิตหรือไม่ เป็นความรู้ที่ ใช้กันมากในชีวิตประจําวันและมักเป็นการใช้โดยไม่รู้ตัว และความรู้ประจักษ์หรือชัดแจ้ง (explicit knowledge) เป็นความรู้ที่รวบรวมได้ง่าย จัดระบบและถ่ายโอนโดยใช้วิธีการดิจิทัล มีลักษณะเป็นวัตถุดิบ (Objective) เป็นทฤษฏี สามารถแปลงเป็นรหัสในการถ่ายทอดโดยวิธีการท่ีเป็นทางการ ไม่จําเป็นต้องอาศัย การปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนเพื่อถ่ายทอดความรู้ เช่น นโยบายขององค์กร กระบวนการทํางาน ซอฟต์แวร์เอกสาร และกลยทุ ธเ์ ป้าหมายและความสามารถขององค์กร ระดบั ของความรู้ หากจาํ แนกระดบั ของความรู้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดบั คอื 1.ความรู้เชิงทฤษฏี (Know-What) เป็นความรู้เชิงข้อเท็จจริง รู้อะไร เป็นอะไร จะพบในผู้ที่สําเร็จ การศึกษามาใหม่ๆ ที่มีความรู้โดยเฉพาะความรู้ท่ีจํามาได้จากความรู้ชัดแจ้งซึ่งได้จากการได้เรียนมาก แต่เวลา ทํางานกจ็ ะไม่ม่ันใจมกั จะปรกึ ษารนุ่ พกี่ ่อน 2.ความรเู้ ชงิ ทฤษฏแี ละเชงิ บรบิ ท (Know-How) เป็นความรู้เชื่อมโยงกับโลกของความเป็นจริง ภายใต้ สภาพความเป็นจริงท่ซี บั ซอ้ น สามารถนําเอาความรูช้ ัดแจ้งทไี่ ดม้ าประยกุ ตใ์ ชต้ ามบรบิ ทของตนเองได้ มักพบใน คนท่ที ํางานไปหลายๆ ปี จนเกิดความรู้ฝงั ลกึ ทเ่ี ป็นทักษะหรอื ประสบการณ์มากขน้ึ 3.ความรู้ในระดับทอี่ ธบิ ายเหตผุ ล (Know-Why) เป็นความรูเ้ ชิงเหตุผลระหว่างเร่ืองราวหรือเหตุการณ์ ตา่ งๆ ผลของประสบการณ์แก้ปัญหาที่ซับซ้อน และนําประสบการณ์มาแลกเปล่ียนเรียนรู้กับผู้อื่นเป็นผู้ทํางาน มาระยะหนงึ่ แลว้ เกิดความรู้ฝงั ลึก สามารถอดความรู้ฝังลึกของตนเองมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น หรือถ่ายทอดให้ผู้ อ่ืนไดพ้ ร้อมทัง้ รับเอาความรู้จากผอู้ นื่ ไปปรบั ใชใ้ นบรบิ ทของตนเองได้ 4.ความรู้ในระดับคุณค่าความเช่ือ (Care-Why) เป็นความรู้ในลักษณะของความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ท่ีขับดันมาจากภายในตนเองจะเป็นผู้ที่สามารถสกัด ประมวล วิเคราะห์ความรู้ท่ีตนเองมีอยู่กับความรู้ท่ีตนเอง ได้รับมาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ข้ึนมาได้ เช่น สร้างตัวแบบหรือทฤษฏีใหม่หรือนวัตกรรมขึ้นมาใช้ในการ ทํางานได้ การถ่ายทอดการปฏิบัติให้เป็นทฤษฏี เป็นรูปแบบหน่ึงของการต่อยอดความรู้ และทําให้การสืบสาน พัฒนาความรู้เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวดเร็ว วงการวิทยาศาสตร์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วได้ก็เพราะอาศัย วฒั นธรรมการตอ่ ยอดความร้ลู ักษณะนี้  


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook