Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดวิชาลูกเสือ กศน. สค32035

ชุดวิชาลูกเสือ กศน. สค32035

Published by gunlayawong, 2018-12-21 01:40:46

Description: ชุดวิชาลูกเสือ กศน. สค32035

Search

Read the Text Version

88เวลาท่ีใชในการศกึ ษา 6 ช่ัวโมงสือ่ การเรียนรู 1. ชดุ วชิ าลกู เสอื กศน. รหสั รายวชิ า สค32035 2. สมุดบนั ทกึ กิจกรรมการเรยี นรูป ระกอบชุดวิชา 3. ส่อื เสรมิ การเรยี นรูอืน่ ๆ

89เรื่องที่ 1 ลกู เสือ กศน. 1.1 ความเปนมาของลกู เสอื กศน. การลูกเสือไทย ไดถ ือกําเนิดข้ึนโดยองคพระมหากษัตริยไทย และมีความเจริญรุดหนาสืบมากวา 107 ป อยางทรงคุณคา ซึ่งเปนพระราชมรดกอันล้ําคาย่ิงท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว รัชกาลท่ี 6 ไดพระราชทานไวใหแกปวงชนชาวไทย ตอมาสมเด็จพระเจาอยูหัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 มีพระบรมราโชบายดานการศึกษากบั ความมัน่ คงมพี ระราชประสงคเ หน็ คนไทยมีวินัยรูหนาที่มีความรับผิดชอบ สรางวินัยโดยกิจกรรมลูกเสอื เนตรนารี 1.2 ความสําคัญของลกู เสอื กศน. สํานักงาน กศน. ไดตระหนักและเห็นคุณคาของกิจการลูกเสือ จึงไดนอมนําพระบรมราโชบายดังกลาว มากําหนดเปนนโยบายหลักสูตรและแนวทางการปฏิบัติ พรอมทั้งสนับสนุนการพฒั นาคณุ ภาพของผูเรยี น กศน. โดยนํากระบวนการลูกเสือ เน้ือหาความรูตาง ๆท่ีเก่ียวของกับการลูกเสือเปนหลักในการจัดกิจกรรมสงเสริมประสบการณใหผูเรียน กศน.มีทักษะชีวิต สามารถดํารงชีวิตอยูในสังคมไดอยางมีความสุข สามารถนําอุดมการณคําปฏิญาณและกฎของลูกเสือ มาปรับใชในชีวิตประจําวัน มีระเบียบวินัย มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความสงางามในการดํารงตนใหเปนพลเมืองดี บําเพ็ญประโยชนตอ ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ลูกเสือ กศน. เปนลูกเสือที่อยูในกองลูกเสือวิสามัญของสถานศึกษา สังกัดสํานักงาน กศน. จึงตองมีความพรอมในการประพฤติปฏิบัติตนตามคติพจนของลูกเสือวิสามัญ คือ “บริการ” ลูกเสือ กศน. ตองพรอมและพัฒนาตนเอง ทั้งดานรางกาย ดานสติปญญาดานจิตใจ ดา นศีลธรรม และมีความพรอมในการเปนผูนําในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติกิจกรรมทายเรอ่ื งท่ี 1 ลกู เสือ กศน.(ใหผ ูเ รียนไปทํากจิ กรรมทา ยเร่อื งท่ี 1 ท่ีสมดุ บนั ทกึ กจิ กรรมการเรยี นรปู ระกอบชดุ วิชา)

90เรอื่ งท่ี 2 ลกู เสือ กศน. กบั การพฒั นา ลกู เสอื กศน. เปน ผูมคี วามสําคัญตอการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติเปน อยา งยิ่ง ดงั น้นั ลูกเสือ กศน. ทุกคนพึงนําอุดมการณ คําปฏิญาณ กฎ และคติพจนของลูกเสือ เปนหลักในการพัฒนาตนเองใหเปนพลเมืองดีในทัศนะของลูกเสือ และมีจติ อาสาให“ บริการ”ชวยเหลือกจิ การตาง ๆ ทม่ี ีอยใู นชมุ ชน สงั คม และสรา งความสัมพันธอันดีกบั องคกร หรือหนว ยงานอืน่ ๆ การพฒั นาตนเองในดานตา ง ๆ ดงั น้ี 1. พฒั นาทางดา นความคิดเร่ืองศาสนา ซึ่งมวี ธิ ีการแตกตางกันไปตามศาสนาท่ีตนนับถอื มุงเนน ยึดมั่นในหลกั การของศาสนา เพอ่ื ใหบรรลุผลแหงความจงรกั ภักดตี อ ศาสนา 2. พัฒนาทางดา นความรสู ึกดา นคานยิ ม มุงเนนการเอาใจใส ระมัดระวังในการเผชญิ ปญ หา สถานการณปจ จบุ ันเปนพิเศษ 3. พัฒนาทางดานรางกาย มุงเนนการเขารวมกิจกรรมลูกเสือเพื่อใหมีสุขภาพแขง็ แรง 4. พัฒนาทางดา นสตปิ ญญา มุงเนนการทํางานอดิเรก การฝม ือ การรูจักใชเวลาใหเ ปน ประโยชน 5. พัฒนาทางดา นสังคม มงุ เนน การปฏิบัตติ นใหอยใู นสังคมไดอยางมีความสุข 6. พัฒนาทางดานการสรางสัมพันธภาพทางสงั คม มุงเนน การทํางานเปนระบบหมูในบทบาทของผนู าํ และผตู าม 7. พัฒนาทางดานความรับผิดชอบตอชุมชน มุงเนนความสําคัญของความรบั ผิดชอบของตนเองที่มตี อผูอ ืน่ ดวยการบาํ เพ็ญประโยชน 8. พฒั นาทางดา นความรับผดิ ชอบตอสิ่งแวดลอม มุงเนนความสนใจในส่ิงแวดลอมและอนรุ ักษธรรมชาติ การพฒั นาชมุ ชน สงั คม ในดา นตา ง ๆ เชน 1. การเปน พลเมอื งดี และการใชส ทิ ธิเลือกต้งั (ลกู เสือ กกต.) 2. การดูแลรักษาและอนุรกั ษส ่งิ แวดลอม (ลูกเสืออนุรกั ษท รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอม) 3. การสรางความตระหนักถงึ โทษและพษิ ภยั ของยาเสพติด (ลูกเสอื ยาเสพตดิ ) 4. การปอ งกันและชว ยเหลือเม่ือประสบเหตุ (ลูกเสอื บรรเทาสาธารณภยั ) 5. การชวยอํานวยความสะดวกดานการจราจร (ลูกเสือจราจร) 6. การรวมเฝา ระวัง ปองกัน ขอมูลขา วสารที่เปน ภัยออนไลน (ลูกเสอื ไซเบอร) 7. การเสริมสรา งทัศนคติ คานิยม ความซื่อสัตยสจุ รติ (ลกู เสอื ชอสะอาด) 8. การอนรุ ักษขนบธรรมเนียมประเพณไี ทยใหค วามรูสืบไป (ลกู เสอื วัฒนธรรม) 9. การปอ งกนั การทารุณกรรมตอ สัตว (ลกู เสือสวัสดภิ าพสัตว)

91 10. การชว ยดูแล ปองกันอนรุ ักษป าไม (ลูกเสือปา ไม) 11. การสรา งความมรี ะเบยี บวนิ ัยตอตนเอง รูจกั สามคั คีในหมคู ณะและสวนรวม (ลูกเสือรฐั สภา) 12. การปองกนั ไมใหเ กดิ ความรุนแรง ลดความเหลอ่ื มลาํ้ (ลกู เสือสันติภาพ) 13. การสรา งโอกาสทางเลือกใหก บั ชีวติ (ลูกเสอื สาํ หรับผูดอ ยโอกาส) ลูกเสือ กศน. สามารถเขา รวมกิจกรรมดังกลาว หรือคิดรปู แบบกิจกรรม/โครงการขนึ้ มาเพ่อื การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของตนเอง ครอบครวั ชุมชน สงั คม และประเทศชาติกจิ กรรมทา ยเรอ่ื งที่ 2 ลกู เสอื กศน. กบั การพัฒนา(ใหผ ูเรยี นไปทาํ กิจกรรมทา ยเร่ืองท่ี 2 ทส่ี มดุ บันทกึ กิจกรรมการเรยี นรปู ระกอบชดุ วชิ า)เรอ่ื งท่ี 3 บทบาทหนา ท่ีของลกู เสอื กศน. ทม่ี ีตอ ตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสงั คม ลกู เสือ กศน. มบี ทบาทหนา ทีใ่ นการพัฒนาตนเอง ซ่งึ เนน การพัฒนาความสามารถศกั ยภาพ และสมรรถนะท่ีทันตอสภาพความจําเปน ตามความกาวหนา และการเปล่ียนแปลงของสังคมเพื่อใหมีคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึน ดังนั้น การพัฒนาตนเอง จะตองมีความรู ความเขาใจถงึ ความสําคัญของการพัฒนาในดานตาง ๆ รูวิธีการวางแผนพัฒนาตนเอง ในบทบาทของผูนําและผูต าม ผูเรยี น กศน. ทส่ี มคั รเขาเปน ลกู เสือ กศน. เร่ิมตนดวยการแสวงหาความรูท่ัวไปท่ีเกีย่ วกบั ทกั ษะการดํารงชีวติ โดยใชกระบวนการคิดเปน ความรูทั่วไปท่ีเกี่ยวกับทักษะลูกเสือกิจกรรมกลางแจง การคิดวิเคราะห การตัดสินใจแกปญหา และเขาพิธีประจํากองลูกเสือวิสามัญ โดยผูกํากับกองลูกเสือวิสามัญจะเปนผูประกอบพิธีประจํากองใหแกลูกเสือ กศน.ใหล ูกเสือ กศน. แตงเคร่อื งแบบลกู เสอื วสิ ามญั มาพรอ มกันที่ คหู าลูกเสอื วสิ ามญั (Rover Den)หรือสถานทีน่ ัดหมายอ่ืนทีเ่ หมาะสม เพ่อื ทบทวนหลกั การการเปนพลเมอื งดีในทัศนะของลูกเสือพิจารณาคติพจน คําปฏิญาณ และกฎของลูกเสือท้ัง 10 ขอ ท่ีจะนําสูการปฏิบัติตนเปนคนดีสํารวจตวั เอง และเขาพธิ ปี ระจาํ กองตามลําดบั การปฏิบตั ติ นตามคติพจนของลูกเสือ กศน. คือ “บริการ” ซึ่งเปนเสมือนหัวใจของลูกเสือ กศน. ที่จะตองยึดม่ันในการเสียสละดวยการบริการ แตการบริการน้ีมิไดหมายถึงเปนผูร บั ใชห รือคนงานการบรกิ ารในความหมายของการลูกเสือนี้ เรามุงท่ีจะอบรมบมนิสัยและจิตใจใหไดรูจักเสียสละ ไดรูจักวิธีหาความรูและประสบการณที่เปนประโยชนในอนาคต และในท่ีสุดกจ็ ะทาํ ใหสามารถประกอบอาชีพโดยปกตสิ ขุ ในสังคม การบริการ หมายถึง การประกอบคุณประโยชนใหแกมนุษยชาติ ดวยการถือวาเปนเกียรติประวัติสูงสุดแหงชีวิตของเรา ในการที่รูจักเสียสละความสุขสวนตัวเพ่ือบําเพ็ญประโยชนแกผ ูอืน่ เพื่อจดุ มงุ หมายใหสังคมสามารถดํารงอยูไดโดยปกติ เปนการสอนใหลูกเสือ

92วิสามัญตั้งตนอยูในศีลธรรมไมเอาเปรียบผูที่ยากจนหรือดอยกวา นอกจากนั้นการบริการแกผูอ่ืนเปรียบเสมือนเปนการชําระหนี้ท่ีไดเกิดมาแลว อาศัยอยูในโลกนี้ก็ดวยความมุงหวังจะใหทุกคนเขา ใจในการใชชีวิตอยรู ว มกนั ในสังคม มองเห็นความจําเปนของสังคมวาไมมีใครสามารถดํารงชีวติ อยไู ดโ ดยลําพัง ทุกคนจาํ เปนตองพ่งึ พาอาศัยกันไมวาดานอาหารการกิน ดานเคร่ืองนุงหมที่อยอู าศยั ยารักษาโรค หรอื อ่นื ๆ ลูกเสือ กศน. พึงนําคําปฏิญาณ กฎและคติพจนของลูกเสือ มาเปนแนวทางการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสงั คม ดังน้ี 1. พัฒนาทางกาย พัฒนาทางดานรางกาย มุงเนนการเขารวมกิจกรรมลูกเสือเพ่ือใหมสี ขุ ภาพแขง็ แรง 2. พัฒนาทางสติปญญาพัฒนาทางดานสติปญญา มุงเนนการทํางานอดิเรกการฝม อื การรูจกั ใชเวลาใหเ ปน ประโยชน 3. พัฒนาทางจิตใจศีลธรรม พัฒนาทางดานความคิดเร่ืองศาสนา ซึ่งมีวิธีการแตกตางกนั ไปตามศาสนาที่ตนนับถอื มงุ เนนยึดม่ันในหลักการของศาสนา เพ่ือใหบรรลุผลแหงความจงรกั ภักดีตอ ศาสนา 4. พฒั นาในเรื่องสรางคานิยมและเจตคติพัฒนาทางดานความรูสึกดานคานิยมมุงเนน การเอาใจใส ระมัดระวงั ในการเผชิญปญหา สถานการณป จ จุบนั เปน พิเศษ 5. พัฒนาทางสัมพันธภาพระหวางบุคคล มุงเนนการปฏิบัติตนใหอยูในสังคมไดอยา งมีความสุข 6. พัฒนาสัมพันธภาพทางสังคม สรางสัมพันธภาพทางสังคม มุงเนนการทํางานเปน ระบบหมูในบทบาทของผนู ํา และผตู ามทด่ี ี 7. พฒั นาสัมพนั ธภาพตอชุมชน มีความรับผิดชอบตอชุมชน มุงเนนความสําคัญของความรับผิดชอบของตนเองทม่ี ตี อ ผูอืน่ ดว ยการบาํ เพ็ญประโยชน 8. พัฒนาทางดานความรับผิดชอบตอสิ่งแวดลอม มุงเนนความสนใจในส่ิงแวดลอมและอนุรกั ษธรรมชาติกิจกรรมทา ยเรื่องท่ี 3 บทบาทหนาที่ของลกู เสือ กศน. ท่ีมตี อ ตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน และสงั คม(ใหผูเรียนไปทํากจิ กรรมทายเรือ่ งที่ 3 ท่ีสมดุ บันทกึ กิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชุดวชิ า)

93เรือ่ งที่ 4 บทบาทหนาทข่ี องลกู เสอื กศน. ทีม่ ตี อ สถาบนั หลกั ของชาติ ลูกเสือ กศน. พึงตระหนักการนําคําปฏิญาณและกฎของลูกเสือมาใชในชวี ิตประจําวนั เพ่ือความเปนพลเมืองดี มีศีลธรรม มีระเบียบวินัย มีความจงรักภักดีตอชาติศาสนา พระมหากษัตรยิ  และรักษาไวซง่ึ เอกลกั ษณของความเปนไทย ขนบธรรมเนียมอันดีของประเพณีทองถ่ิน เพ่ือใหเกิดความรัก ความสามัคคีปรองดอง หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยข้ันพื้นฐาน การแลกเปล่ียนความรู ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยไมเก่ียวของกับลัทธิทางการเมอื งใด ๆ และพฒั นาเสริมสรางทักษะการดําเนินชีวิตตามแบบวิถีชีวิต ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ เปน ประมุข เปน วิถีทางใหเกิดความสงบสุขในการดาํ รงอยขู องชาติ ตามเจตนารมณข องลกู เสือชาวบานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลท่ี 9 และสมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9ทรงเปน องคพ ระประมขุ และทรงรับกจิ การลูกเสือชาวบานไวในพระบรมราชานุเคราะห สมาชิกทเี่ กี่ยวขอ งทกุ คนจะตอ งชวยกนั ดํารงพระเกยี รติของพระองคไวกจิ กรรมทา ยเรอ่ื งท่ี 4 บทบาทหนาทีข่ องลกู เสือ กศน. ทมี่ ีตอ สถาบันหลักของชาติ(ใหผ เู รียนไปทํากิจกรรมทา ยเร่อื งที่ 4 ทีส่ มดุ บันทกึ กิจกรรมการเรยี นรปู ระกอบชดุ วิชา)

94 หนวยการเรยี นรทู ี่ 7 ลูกเสอื กศน. กบั จติ อาสา และการบริการสาระสาํ คญั จากคาํ ปฏญิ าณของลูกเสือท่ีวา “ขาจะชวยเหลือผูอ่ืนทุกเมื่อ” และลูกเสือ กศน.ท่ีเปนลูกเสือวสิ ามญั ซึง่ ถอื คตพิ จนว า “บริการ” จึงเปน ผทู ี่มีจติ อาสา คอื ผูที่ไมน่ิงดูดาย เปนผูเอาใจใสและเปนผูมีจิตสํานึก มีความพรอมที่จะเสียสละเพื่อสวนรวม โดยการประพฤติ ปฏิบัติตนมีความรับผดิ ชอบ มีวินัยในตนเอง รูจักควบคุมอารมณและพฤติกรรม ยอมรับฟงความคิดเห็นของผอู ื่น เคารพสิทธขิ องผูอนื่ ตลอดจนเตม็ ใจทชี่ ว ยเหลอื และบรกิ ารผูอน่ื โดยไมหวงั ผลตอบแทนตัวชี้วัด 1. อธบิ ายความหมาย และความสําคัญของจิตอาสา และการบริการ 2. อธบิ ายหลักการของจิตอาสาและการบริการ 3. ยกตัวอยา งกจิ กรรมจติ อาสาและการบรกิ ารของลกู เสือ กศน. 4. นาํ เสนอผลการปฏบิ ัติตนในฐานะลูกเสอื กศน. เพื่อเปนจติ อาสา และการบริการขอบขายเนือ้ หา เร่อื งท่ี 1 จติ อาสา และการบริการ 1.1 ความหมายของจติ อาสา 1.2 ความสําคญั ของจติ อาสา 1.3 ความหมายของการบริการ 1.4 ความสาํ คัญของการบริการ เรื่องท่ี 2 หลักการของจิตอาสา และการบริการ 2.1 หลกั การของจิตอาสา 2.2 ประเภทของจิตอาสา 2.3 หลักการของการบรกิ าร 2.4 ประเภทของการบรกิ าร เรื่องท่ี 3 กิจกรรมจิตอาสา และการใหบริการของลูกเสือ กศน. เรือ่ งท่ี 4 การปฏบิ ตั ิตนในฐานะลกู เสอื กศน. เพอ่ื เปน จติ อาสา และการบริการเวลาท่ีใชในการศึกษา 12 ช่ัวโมง

95ส่ือการเรียนรู 1. ชุดวิชาลูกเสือ กศน. รหสั รายวชิ า สค32035 2. สมุดบนั ทกึ กิจกรรมการเรยี นรปู ระกอบชดุ วิชา 3. สื่อเสรมิ การเรียนรอู ื่น ๆ

96เรอื่ งที่ 1 จติ อาสา และการบรกิ าร 1.1 ความหมายและความสําคญั ของจิตอาสา จิตอาสา หมายถึง จิตสํานึกเพื่อสวนรวมของคนที่รูจักความเสียสละ เอาใจใสเปนธรุ ะใหความรว มมือรว มใจในการทําประโยชนเพ่ือสวนรวม เพ่ือชวยกันพัฒนาคุณภาพชีวิตและปรารถนาเขาไปชวยลดปญหาท่ีเกิดข้ึนในสังคม ดวยการสละเวลา การลงแรง และสรา งสรรคใหเกิดประโยชนสขุ แกส งั คม และประเทศชาติ ความสําคัญของจิตอาสา เปนการตระหนักรู การแสดงออก ทําประโยชนเพื่อสังคม ตลอดจนชว ยกนั ดแู ลรกั ษาสิง่ แวดลอ ม สาธารณะสมบัติใหเกิดประโยชนอยางคุมคาใหค วามชว ยเหลือผูตกทกุ ขไ ดยาก หรือผทู ร่ี อ งขอความชว ยเหลอื โดยใชคณุ ธรรมเปน หลัก 1.2 ความหมายและความสําคัญของการบรกิ าร บริการ หมายถึง การใหความชวยเหลือหรือการบําเพ็ญประโยชนตอตนเองตอผูอ นื่ และตอ ชุมชน ลกู เสือวสิ ามญั จะตอ งมคี วามเลื่อมใสศรทั ธาในคําวา “บริการ” และลงมือปฏิบตั เิ ร่อื งนีอ้ ยา งจริงจัง ดวยความจริงใจและโดยมีทักษะหรือความสามารถในการใหบริการน้ันดว ยความชํานาญ วอ งไว คือไวใจได หรือเชอ่ื ถอื ได ความสําคญั ของการบรกิ าร เปน หวั ใจสําคญั ของลูกเสือ กศน. ซึ่งตองพัฒนาจิตใจใหอยูในศลี ธรรม ไมเอารดั เอาเปรียบผูท่ียากจนหรือดอยกวา ใหรูจักการเสียสละความสุขสวนตัวเพื่อบําเพ็ญประโยชนแกผูอื่น เพ่ือจุดมุงหมายใหสังคมสามารถดํารงอยูไดโดยปกติ ถือวาเปนเกยี รตปิ ระวัติสงู สดุ ของชีวติ ลูกเสือวิสามัญมีคติพจนวา “บริการ” (Service) คือ การกําหนดแนวทางสําหรับยึดเหน่ียวในการเปนลูกเสือวิสามัญวาจะทําหนาที่ในการบริการชวยเหลือผูอ่ืน บําเพ็ญประโยชนแกผูอื่นและสังคมที่เราอาศัยอยู หมายถึง การสรางนิสัยใหลูกเสือวิสามัญไมเปนคนเห็นแกตัวพรอมท่ีจะเสียสละประโยชนสวนตัวใหบริการแกบุคคลอื่นหรือสังคมที่เราอาศัยอยูท้ังนี้ เม่ือลูกเสือวิสามัญเจริญเติบโตเปนผูใหญ จะสามารถประกอบอาชีพอยางสุขสบาย ในสังคมเพราะเขารูจกั เสียสละไมเอารัดเอาเปรียบคนอืน่ คตพิ จน “บริการ” เปนเสมอื น “หัวใจ” ของการเปนลูกเสือวิสามัญวาจะตองยึดมั่นการเสยี สละดว ยการบรกิ าร แตการบริการน้ีมิไดหมายถึงเปนผูรับใชหรือคนงานอยางที่บางคนเขาใจ การบริการในความหมายของการลูกเสือวิสามัญนั้นมุงท่ีจะอบรมบมนิสัยและจิตใจใหลูกเสือวสิ ามญั ไดรจู ักเสียสละ ไดรจู ักวธิ หี าความรู และประสบการณอ ันจะเปนประโยชนตอไปในอนาคตและในท่ีสุดจะทําใหเขาสามารถประกอบอาชีพโดยปกติสุขในสังคม ทั้งน้ี มีหลักในการดําเนนิ การตามคตพิ จนบ ริการกิจกรรมทายเรอ่ื งที่ 1 จติ อาสา และการบรกิ าร(ใหผ เู รยี นไปทาํ กิจกรรมทายเร่อื งที่ 1 ที่สมดุ บันทกึ กิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วชิ า)

97เรอื่ งท่ี 2 หลักการของจติ อาสา และการบรกิ าร 2.1 หลักการของจิตอาสา หลักการของจิตอาสา มีท่ีมาจากการพัฒนาตนเองใหมีจิตสํานึกที่ดี มีนํ้าใจการท่คี นมาอยรู วมกันเปน สังคมยอมตองการพ่ึงพากนั โดย 1) การกระทําของตนเอง ใหมีความรับผิดชอบตอตนเอง เพื่อปองกันไมใหเกดิ ผลกระทบและความเสียหายตอสวนรวม เชน การมีวินัยในตนเองการควบคุมอารมณและพฤตกิ รรมการเชือ่ ฟง คาํ ส่งั เปนตน 2) บทบาทของตนทมี่ ีตอ สังคมในการรักษาประโยชนข องสวนรวม เพ่อื แกปญ หาสรางสรรคสังคม ซึ่งถือวาเปนความรับผิดชอบตอตนเองและสังคม เชน การเคารพสิทธิผูอ่ืนการรับฟง ความคิดเห็นของผอู ื่น การชวยเหลอื ผูอ่ืน เปนตน 2.2 หลักการของการบรกิ าร หลกั การของการบรกิ าร มีดงั น้ี 1) ใหบรกิ ารดวยความสมคั รใจ เต็มใจทีจ่ ะใหบริการ 2) ใหบรกิ ารอยางมีประสิทธภิ าพ คือ มีทกั ษะในการบรกิ าร เชน การปฐมพยาบาลเทคนคิ ในการชว ยชีวิต เปน ตน 3) ใหบริการแกผูที่ตองการรับบริการ เชน คนท่ีกําลังจะจมน้ําผูที่ถูกทอดท้ิงคนชรา คนปวยและผูไ มส ามารถชว ยตนเองได เปน ตน 4) ใหบริการดวยความองอาจ ตั้งใจทํางานใหเสร็จดวยความมั่นใจ ดวยความรับผิดชอบโดยใชความรูท่ีมีอยูใหเกิดประโยชนอยางแทจริง อุทิศใหแกงานอยางจริงจังในขณะนั้นรูจักแบงเวลา แบงลักษณะงาน มีความมุมานะในการทํางาน ใหเปนผลสําเร็จตามเปา หมายท่กี าํ หนดไวกจิ กรรมทา ยเรอ่ื งที่ 2 หลกั การของจติ อาสา และการบรกิ าร(ใหผ ูเรยี นไปทาํ กิจกรรมทา ยเรือ่ งที่ 2 ทส่ี มดุ บันทกึ กิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วิชา)

98เรื่องท่ี 3 กิจกรรมจิตอาสา และการใหบริการของลกู เสอื กศน. จากอดีตจนถงึ ปจจบุ นั ประชาชนคนไทยมีการทํางานจิตอาสาอยางหลากหลายรูปแบบ โดยไมหวังผลตอบแทน เนนแรงบันดาลใจใหคนทุกเพศทุกวัยคิดที่จะทําความดีเพอ่ื สงั คม ดงั นนั้ ลกู เสือ กศน. ก็สามารถที่จะคิดกิจกรรมจิตอาสาและการใหบริการไดเชนกันดงั ตัวอยา งตอ ไปนี้ 1) จิตอาสารักสะอาด เชน ทาํ ความสะอาดวัด/สถานศึกษา โดยการกวาดใบไมแหงแยกขยะ ฯลฯ 2) จติ อาสารกั ษโลก เชน ชวยเหลือสุนัขจรจัด เร่ยี ไรเงนิ ชว ยสัตวเรรอน ปลูกปาสรา งฝาย ฯลฯ 3) จติ อาสากอสรา ง เชน ซอม/สราง/ทาสี หองเรียน สรางศูนยการเรียนรูภายในชุมชน ฯลฯ 4) จิตอาสาเปนพเี่ ลีย้ ง เชน เลย้ี งอาหารผปู ว ย เลานทิ านใหเดก็ กําพรา อานหนังสอืใหคนตาบอด ฯลฯ 5) จิตอาสาบริการ เชน ลูกเสอื จราจร อาสาพาคนขามถนน อาสาบริการนํ้าดื่มและอาหาร ฯลฯ ลกู เสอื กบั การ “บริการ” คําวา “บริการ” หมายถึง การชวยเหลือหรือการบําเพ็ญประโยชนตอตนเองตอ ผอู น่ื และตอ ชมุ ชน ลูกเสือวิสามัญจะตอ งมีความเลื่อมใสศรัทธาในคําวา “บริการ” และลงมือปฏิบัติเรื่องนีอ้ ยา งจริงจัง ดวยความจริงใจและโดยมีทักษะหรือความสามารถในการใหบริการนน้ั ดวยความชํ่าชอง วองไว คอื ไวใ จไดหรือเช่ือได ความเห็นของ บี.พ.ี เกย่ี วกบั “บรกิ าร” บี.พี เหน็ วา การศกึ ษาทีเ่ ดก็ ไดรับจากทางบาน ทางโรงเรียน ทางวัด และอื่น ๆยงั มชี อ งโหวอ ยู 4 ประการ ซง่ึ การลกู เสือมุงหมายที่จะอุดชองโหวเ หลาน้ันโดยเนนการฝกอบรมลูกเสอื ในเรอื่ งตอไปน้ี คือ (1) ลกั ษณะนิสยั และสติปญ ญา (2) สุขภาพและแขง็ แรง (3) การฝมือและทกั ษะ (4) หนา ท่พี ลเมืองและการบาํ เพญ็ ประโยชนตอผูอื่น การลูกเสือมุง หมายที่จะฝกอบรมลูกเสือทั้งในทางรางกาย สติปญญา ศีลธรรมจิตใจ และสังคม เพื่อใหเปนพลเมืองดี รูจักหนาท่ีรับผิดชอบและบําเพ็ญตนใหเปนประโยชนแกช ุมชน ตลอดจนประเทศชาติ

99 ตามคติของลูกเสือ พลเมืองดี คือ บุคคลที่มีเกียรติเช่ือถือได มีระเบียบวินัยสามารถบังคับใจตนเอง สามารถพ่ึงตนเอง ท้ังเต็มใจและสามารถท่ีจะชวยเหลือชุมชนและบําเพญ็ ประโยชนตอ ผูอืน่ ความมุง หมายโดยเฉพาะของกิจการลูกเสือวสิ ามัญ (1) เพื่อใหลูกเสือไดเขารวมในขบวนการลูกเสือวิสามัญ ซึ่งมีผูใหญเปนผูชี้แจงแนะนําและทําหนาท่ีเปนท่ีปรึกษา จะโดยใหลูกเสือวิสามัญในกองปกครองกันเอง ประกอบกิจกรรมตา ง ๆ และเรียนรูโดยการกระทํา (2) เพือ่ ใหลกู เสือวสิ ามัญไดม โี อกาสฝกปฏบิ ัตกิ ารตามท่ีตนถนัด (3) เพ่ือใหลูกเสือวิสามัญไดฝกหัดรับผิดชอบตอตนเองและผูอื่นเปนขั้น ๆและเพ่มิ การฝก ใหกวา งขวางยง่ิ ขน้ึ โดยอาศัยระบบหมู (4) เพ่ือใหล กู เสือวิสามัญมีโอกาสแสดงสมรรถภาพของตนเองดวยความพึงพอใจและความภาคภมู ใิ จ โดยการใชระบบเคร่อื งหมายพเิ ศษ (5) เพื่อใหลูกเสือวิสามัญรูจักอดทน นิยมชีวิตกลางแจงและการบริการอยางมีชวี ติ จติ ใจ โดยเฉพาะการบรกิ ารชมุ ชน (6) เพ่อื สงเสริมการแสวงหาอาชพี ทีเ่ หมาะสม การบริการหรือการบําเพ็ญประโยชนของลูกเสือวิสามัญในเรื่องการบริการนี้มีจุดมุงหมาย เพื่อใหลูกเสือวิสามัญทุกคนไดเขาใจความหมาย รูวิธีการในการใหบริการรหู ลักในการจดั กจิ กรรมดานบรกิ าร และมคี วามเขาใจสามารถปฏิบัติดวยตนเองได การลูกเสือวสิ ามญั ตองการผูเสียสละ ผูม ีจิตใจเปนลูกเสอื อยา งแทจริง (Scouting spirit) ไมเปนคนเห็นแกตัวไมทําอะไรโดยหวังผลสวนตนเปนที่ต้ังอยูตลอดเวลา ในเวลาเดียวกันการเสียสละประโยชนและความสุขสวนตัว เพื่อบริการตามความหมายของการลูกเสือวิสามัญน้ีก็ตองใหคํานึงถึงสภาวะแวดลอมและสถานภาพของตนเองอยูเสมอ ๆ เพ่ือจะไดตระหนักถึงขีดความสามารถของตนเอง จะไดไมก อ ใหเ กิดความเดือดรอ นแกต นเองและครอบครัว ประเภทหรอื ขน้ั ตอนในการบริการ (1) บรกิ ารแกต นเองกอน เปนการเตรียมตัวเองใหพรอมเสียกอนเพราะถาหากเรายังไมพรอม เราก็ไมอ าจจะไปใหบ รกิ ารแกผ อู นื่ ได หรอื ไดก ไ็ มดเี ทา ทคี่ วร การบริการแกตนเองกอนน้นั เปนการฝก ในเร่ืองการใหบริการไปดวย เพราะคําวาการบริการแกตนเองน้ัน หมายถึงตัวเรา ครอบครวั ของเรา ผบู งั คบั บัญชาของเรา ผูใตบังคับบัญชาของเรา เพ่ือนรวมงาน ญาติสนิทมิตรสหาย กลาวโดยสรุปไดวา กอนที่เราจะออกไปใหบริการแกผูอื่นนั้นจําเปนตองสรางความพรอมใหแกตัวเองเสียกอน เพราะตราบใดท่ีเรายังตองขอความอุปการะ ตองอยูภายใตการโอบอุมค้ําชูของผูอ่ืน ตองขอใหผูอ่ืนชวยเหลือเราแลว แสดงวา เรายังไมพรอม ฉะนั้นลูกเสอื วิสามัญตอ งเตรยี มตัวใหพ รอ มในทกุ ๆ ดา น ไมว า การเงิน สุขภาพ เวลาวา ง สตปิ ญ ญา ฯลฯ

100 (2) บริการแกหมูคณะและขบวนการลูกเสอื เมอื่ เราฝกบริการตนเองแลว ตอไปกข็ ยายการใหบ ริการแกหมคู ณะของเรากอน เปนการหาประสบการณหรือความชํานาญ ดวยการบริการเปน รายบุคคล บริการแกก องลูกเสือของเราในการงานตา ง ๆ อนั เปน สวนรวมและรวมไปถึงการใหบริการแกกองลูกเสืออื่น ซึ่งถือเปนขบวนการของเรา ลูกเสือวิสามัญทุกคนควรไดรับการสงเสริมใหชวยเหลือการดําเนินกิจการของกองลูกเสือวิสามัญ หรือกองลูกเสือสํารองในทุกวิถีทาง ท้ังนี้ เพ่ือจะไดมีประสบการณภาคปฏิบัติในการฝกอบรมลูกเสือซึ่งจะชวยใหเขาเหมาะสมที่จะเปน ผกู าํ กบั ลูกเสือและเปนหัวหนาครอบครัวในอนาคต ลูกเสือวิสามัญควรไดรับม อ บ ห ม า ย ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ ใ น ง า น ที่ มี กํ า ห น ด แ น น อ น ใ น ก า ร ช ว ย เ ห ลื อ ผู กํ า กั บ ลู ก เ สื อประเทศชาตติ อ งการอาสาสมัครเปนจํานวนมาก เพ่ือชวยเหลือในเรื่องการศึกษา มีเร่ืองอ่ืน ๆอกี มากมายนอกเหนือไปจากการอาน การเขียน และการคิดเลข ซึ่งเปนส่ิงจําเปนที่เด็กสมัยนี้จะตองเรยี นรเู พื่อจะไดประสบความสําเร็จในชีวิต การที่เวลาเรียนระยะสั้น และครูก็มีจํานวนจาํ กดั ยอมทําใหเ ดก็ ไมมโี อกาสไดเ รียนรูสิ่งตา ง ๆ เหลา นี้ ดงั น้นั ความชวยเหลือของชายหนุมรุนพี่ที่เปน อาสาสมัครจงึ เปน สง่ิ ท่ีประเทศชาติตอ งการอยางยิง่ ลกู เสือสามัญผูซ่ึงใหความชวยเหลือในการฝกอบรมหรือในการดําเนินงานของกองลกู เสือสามัญ หรือกองลูกเสือสํารอง และโดยเฉพาะในการอยูคายพักแรม นบั ไดวาเปนผูใหบริการที่มีคุณคาอยางย่ิง ในเวลาเดียวกันงานนี้ยอมนําความพอใจมาใหลูกเสือวิสามัญเองเพราะการฝกอบรมเด็กน้ันจะไดเห็นเขาสนุกสนาน มีลักษณะนิสัยที่ดีขึ้น ยอมทําใหลูกเสือวสิ ามัญ รสู กึ วาไดท ําอะไรบางอยางที่คมุ คาการฝก อบรมแกร นุ นอ งน้ัน ลูกเสอื วสิ ามญั จะตองทาํ ตนใหเ ปน ตวั อยางที่ดี เพื่อใหร ุน นองทาํ ตามดวยการปฏิบตั ิตนใหเปน สนุกสนาน ราเริง เปนมิตรกับคนทกุ คน ซือ่ สตั ยสุจรติ มีกรยิ าสภุ าพ และใชวาจาสุภาพไปหยาบโลน (3) บริการแกช มุ ชน เพ่อื ฝก บริการแกตนเอง แกขบวนการลูกเสือแลวก็สมควรท่จี ะไปบริการแกชุมชนตามสติปญญา ประสบการณ และความสามารถ แนวคิดในการบริการแกช ุมชน คือ การชาํ ระหนแ้ี กชุมชนดวยการรวมมือกันเสียสละ รว มกนั เพื่อดาํ เนนิ การจัดกิจกรรมอันเปนสาธารณะประโยชน เชน การพัฒนาอาคารสถานที่ บานเมืองในชุมชนนั้นการสรางสาธารณสถาน การจดั งานร่ืนเรงิ งานสังคมเพื่อประโยชนของสังคมน้ัน ๆ ซึ่งจะทําใหลกู เสือวสิ ามญั ไดประสบการณ จากชีวติ จริงหลังจากท่เี ขาพนวยั จากการเปนลูกเสือวิสามัญ ตอไปเขาจะสามารถปรับตัวเขากับสังคมที่เขาอาศัยอยูได โดยไมไดเอารัดเอาเปรียบหรือเห็นแกตัวไดการบริการแกชุมชนนั้นควรเร่ิมต้ังแตชุมชนที่กองลูกเสือตั้งอยูบริการในเรื่องตาง ๆ เชนทําความสะอาด การชว ยเหลอื ผูประสบอบุ ตั เิ หตุ การควบคุมการจราจร การดับเพลงิ เปนตนท่สี าํ คัญอีกประการหน่ึง คือ การพัฒนาชุมชน หลกั ของการใหบ รกิ าร (1) เปนกิจกรรมท่ีจําเปนเห็นความจําเปนท่ีตองใหบริการ คือ ตองดูวาจะเปนแคไหน สาํ หรบั เรอื่ งน้นั ท่จี ะตอ งไดรบั การบรหิ าร

101 (2) ใหบ รกิ ารดวยความสมัครใจ เต็มใจท่จี ะใหบรกิ าร (3) ใหบริการอยา งมปี ระสทิ ธิภาพ คือ มีทักษะในการบริการ เชน การปฐมพยาบาลเทคนิคในการชว ยชวี ิต ฯลฯ (4) ใหบริการแกผูท่ีตองการรับบริการ เชน คนท่ีกําลังจมนํ้าจะไดคนชวยการพัฒนาชมุ ชนใหบ ริการแกผ ูที่ถกู ทอดท้ิง เชน คนชรา คนปว ย และผูไมส ามารถชวยตนเองได (5) บริการดวยความองอาจ ต้ังใจทํางานใหเสร็จดวยความมั่นใจ ดวยความรับผิดชอบโดยใชความรูที่มีอยูใหเกิดประโยชนอยางแทจริง อุทิศเวลาใหแกงานอยางจริงจังในขณะน้ันรูจักแบงเวลา แบงลักษณะงาน มีความมุมานะในการทํางานใหเปนผลสําเร็จตามเปา หมายทกี่ าํ หนดไวใ หจ งไดย อ มจะไดรับความสําเร็จเรียบรอยในการทํางาน จะทําใหเรารูส ึกภูมใิ จ งานบรกิ าร ทีล่ ูกเสือวิสามัญแตละคนหรือกองลกู เสอื วสิ ามัญจะทําไดนั้น มีหลายประการเชน 1) โครงการใชผ ักตบชวาทําปยุ หมกั โครงการน้เี ปน โครงการที่ยงิ นกสองตัวในเวลาเดียวกัน คือ เปนการจํากัดผักตบชวา และเปนการทําปุยหมัก เพื่อใชประโยชนในการปลูกพืชผักตาง ๆ ใหไดผลดียิ่งข้ึน โครงการนี้เสียคาใชจายสอดคลองกับนโยบายของรัฐ และอยใู นวิสัยทีก่ องลกู เสือวสิ ามญั จะทาํ ไดอ ยา งมีประสทิ ธภิ าพ 2) โครงการใหบริการแกชุมชน เชน โครงการใหความปลอดภัยในการจราจร หางานใหคนพิการทํา จัดทําสนามเด็กเลนสําหรับเด็กยากจน พิการ โครงการบริการแกผปู ระสบอุบัติเหตุดว ยการพยายามศกึ ษาหาความรูในเรือ่ งการปฐมพยาบาล เพ่อื จะไดชว ยเหลอื ผปู ระสบอุบัติเหตอุ ยา งมีสมรรถภาพ การดับเพลิงดวยการเขารับการอบรมวิชาบรรเทาสาธารณภยั ฯลฯ 3) โครงการพฒั นาชุมชน โดยทําการสํารวจความตองการของทองถ่ินแลววางแผนและลงมอื ปฏิบตั ติ ามโครงการน้ัน 4) โครงการใหบริการแกกิจกรรมลูกเสือ เชน ปฏิบัติตามหนาท่ีที่ไดรับมอบหมายทําหนาท่กี รรมการของกอง ทําหนา ทีพ่ ี่เลีย้ งชวยดแู ลคหู าลกู เสือวิสามัญ และชวยเหลือในการฝก อบรมลูกเสือประเภทอืน่ ๆ ในวชิ าทีต่ นถนัด เชน การผูกเง่อื นเชือก การปฐมพยาบาลแผนท่ี เขม็ ทศิ ระเบยี บแถว เปนตน การปฏิบตั ิตนตามคตพิ จนของลูกเสอื วิสามัญ คติพจน “บริการ” น้ันเปนเสมือน “หัวใจ” ของการลูกเสือวิสามัญวา จะตองยดึ มน่ั เสยี สละดวยการบริการ แตก ารบริการนมี้ ไิ ดหมายถงึ เปน ผรู ับใชหรือคนงานอยางที่บางทานเขาใจ บริการในความหมายของการลกู เสือวิสามัญน้ี เรามุง ท่ีจะอบรมนิสัย และจิตใจใหไดรูจักเสยี สละ ไดรจู ักวิธหี าความรู และประสบการณอันจะเปนประโยชนต อ ไปในอนาคต และในที่สุดก็จะทําใหสามารถประกอบอาชีพโดยปกติสุขในสังคม การบริการ หมายถึง ใหประกอบ

102คุณประโยชนแ กมนุษยชาติ ดวยการถอื วาเปนเกียรติประวัติสูงสุดแหงชีวิตของเราในการท่ีรูจักเสียสละความสุขสว นตวั เพ่ือบําเพ็ญประโยชนแกผอู ่นื ท้ังน้ี เพ่ือจุดหมายใหสังคมสามารถดํารงอยูไดโ ดยปกติ เปนการสอนใหลกู เสอื วิสามญั ตงั้ ตนอยูในศีลธรรมไมเอารัดเอาเปรียบผูท่ียากจนหรือดอยกวา นอกจากนั้น การบริการแกผูอื่นเปรียบเสมือนเปนการชําระหน้ีท่ีไดเกิดมาแลวอาศยั อยใู นโลกน้กี ด็ วยความมุงหวงั จะใหท กุ คนเขาใจการใชชวี ิตอยรู ว มกันในสังคม มองเห็นความจาํ เปน ของสังคมวา ไมมีใครสามารถดํารงชีวิตอยูไดโดยลําพัง ทุกคนจําเปนตองพึ่งพาอาศัยกันไมวา ดา นอาหารการกนิ ดา นเครื่องนงุ หม ท่อี ยูอ าศัย ยารักษาโรค หรืออ่ืน ๆ ก็ตาม เราตางคนตางมีความถนัดในการงานอาชีพของแตละคน แลวจึงนําผลงานของตนไปแลกเปล่ียนกัน ท้ังน้ีเพ่อื ความอยรู อดของทา นและของสงั คม ฉะนน้ั ทา นจึงเปรียบเทยี บการบริการหรอื การเสียสละนนั้ เสมอื นเปนการชําระหน้ีท่เี ราไดเกดิ มาและอาศัยอยใู นสังคมนั้นเสมอื นเปนการชําระหนี้ที่เราไดเกิดมาและอาศัยอยูใ นสงั คมน้ัน ๆ เพราะเราตองพึง่ ผอู นื่ อยตู ลอดเวลานับแตแ รกเกดิกิจกรรมทา ยเร่ืองที่ 3 กจิ กรรมจติ อาสา และการใหบ ริการของลกู เสอื กศน.(ใหผูเรียนไปทํากิจกรรมทา ยเรื่องท่ี 3 ทส่ี มดุ บนั ทึกกจิ กรรมการเรยี นรูป ระกอบชุดวิชา)เรื่องที่ 4 การปฏบิ ตั ติ นในฐานะลูกเสอื กศน. เพื่อเปนจติ อาสาและการใหบ รกิ าร การปฏิบัติตนในฐานะลูกเสือ กศน. เพื่อเปนจิตอาสาและการใหบริการ ตองมีความรบั ผิดชอบตอ ตนเอง และความรับผิดชอบตอสังคม ดังน้ี ความรับผิดชอบตอ ตนเอง เปนผูมจี ิตสํานกึ ในความรับผดิ ชอบตอตนเอง ซึง่ นบั วาเปน พื้นฐานของความรับผดิ ชอบตอ ตนเอง มดี ังนี้ 1. ตง้ั ใจศึกษาเลาเรยี นหาความรู 2. รูจกั การออกกาํ ลงั กาย เพอ่ื ใหมสี ุขภาพรางกายทีแ่ ขง็ แรง 3. มคี วามประหยัดรูจักความพอดี 4. ประพฤตติ ัวใหเหมาะสม ละเวน การกระทาํ ทก่ี อใหเ กดิ ความเส่ือมเสีย 5. ทาํ งานทร่ี ับมอบหมายใหส าํ เรจ็ 6. มคี วามรับผิดชอบ ตรงเวลา สามารถพึ่งพาตนเองได ความรับผิดชอบตอสังคม เปนการชวยเหลือสังคม ไมทําใหผูอื่น หรือสังคมเดือดรอนไดร ับความเสยี หาย ไดแ ก 1. มคี วามรบั ผิดชอบตอ ครอบครัว เชน เช่ือฟงพอแม ชวยเหลืองานบาน ไมทําใหพอ แมเ สยี ใจ 2. มีความรับผิดชอบตอสถานศึกษา ครูอาจารย เชน ต้ังใจเลาเรียน เช่ือฟงคําสั่งสอนของครูอาจารย ปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยของสถานศึกษา ชวยรักษาทรัพยสมบัติสถานศึกษา

103 3. มีความรับผดิ ชอบตอ บุคคลอ่นื เชน ใหความชว ยเหลือ ใหคําแนะนํา ไมเอาเปรียบผอู ่นื เคารพสทิ ธิซึ่งกันและกัน 4. มีความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง เชน ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคมปฏิบตั ติ ามกฎหมาย รักษาสมบตั ิของสว นรวม ใหค วามรว มมือตอสังคมในฐานะพลเมืองดี การปฏิบตั ติ นในฐานะลกู เสอื กศน. เพอ่ื การใหบ รกิ าร ตองตระหนกั ในสง่ิ ตอไปนี้ 1. บริการแกต นเองกอน เปนการเตรียมตนเองใหพรอมท่ีจะใหบริการตนเองกอนท้งั ในดา นการเงนิ สุขภาพ เวลาวาง สติปญญา ฯลฯ หากยังไมมีความพรอม ก็ไมอาจใหบริการแกผ อู ่นื ได หรือไดก็ไมดีเทาที่ควร เพราะตราบใดท่ีเรายังตองขอความชวยเหลือจากผูอื่น หรือตองอยูภายใตการโอบอุมคํ้าชูของผูอ่ืน ตองขอใหผูอื่นชวยเหลือเรา แสดงวาเรายังไมพรอมฉะน้ัน ลูกเสือ กศน. ตองเตรียมตวั ใหพรอ มเพอ่ื การใหบรกิ าร 2. บริการแกห มคู ณะ เม่อื ฝก บรกิ ารตนเองแลว ตองขยายการใหบ รกิ ารแกห มูคณะในการหาประสบการณ หรือความชํานาญ ดวยการบริการเปนรายบุคคล บริการแกครอบครัวบริการแกบุคคลใกลชิด อันเปนสวนรวม ลูกเสือ กศน. ทุกคนควรมีประสบการณภาคปฏิบัติในการเปนอาสาสมัครชวยเหลือหมูคณะดวยการปฏิบัติตนใหเปนคนสนุกสนาน ราเริง เปนมิตรกบั คนทกุ คน ซอ่ื สตั ยสุจรติ มกี ริยาสุภาพ และใชว าจาสภุ าพไมห ยาบโลน 3. บริการแกช ุมชน เมอื่ ฝก บริการแกต นเอง และบริการแกหมูคณะแลว สมควรท่ีจะไปบรกิ ารแกชมุ ชนตามสตปิ ญญา ประสบการณ และความสามารถแนวคิดในการใหบริการแกช ุมชน คือ การชําระหนีแ้ กชุมชนดวยการรวมมอื เสยี สละรว มกนั เพอื่ ดาํ เนินการจัดกิจกรรมอันเปนสาธารณะประโยชน เชน การพัฒนาอาคาร สถานที่ บานเมืองในชุมชนนั้น การสรางสาธารณสถาน เชน ทําความสะอาด การชวยเหลือผูประสบอุบัติเหตุ การควบคุมการจราจรการดบั เพลงิ การจัดงานร่ืนเริง งานสงั คม เพื่อประโยชนของสังคมน้ัน ๆ ซึ่งจะทําใหลูกเสือ กศน.ไดป ระสบการณจากชวี ติ จรงิ สามารถปรับตัวเขากับสังคมทีอ่ าศยั อยูได สามารถประกอบอาชีพไดโ ดยปกติสุข เพราะไดรับการฝกใหรจู ักเสียสละ เพื่อบริการแกชุมชนหรือสังคม โดยไมไดเอารัดเอาเปรียบหรอื เหน็ แกไ ดกิจกรรมทา ยเรอื่ งท่ี 4 การปฏบิ ตั ติ นในฐานะลกู เสอื กศน. เพอื่ เปน จติ อาสาและการใหบ รกิ าร(ใหผ เู รยี นไปทาํ กิจกรรมทายเรือ่ งที่ 4 ทสี่ มุดบนั ทกึ กิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วชิ า)

104 หนว ยการเรยี นรทู ่ี 8 การเขียนโครงการเพอื่ พัฒนาชมุ ชนและสงั คมสาระสาํ คญั ลกู เสอื กศน. ไดร ับการพัฒนาตนเองใหเ ปน ผูมจี ติ อาสา มีความเสียสละ บําเพ็ญประโยชน เพื่อชุมชนและสงั คมโดยไมหวงั ผลตอบแทน มีความพรอมในการให “บริการ” แกผูอื่นดว ยความเต็มใจ งานบรกิ ารทลี่ กู เสือ กศน. สามารถนํามาเขียนในลักษณะของโครงการเพ่ือพัฒนาชุมชนและสังคม เชน โครงการบริการชุมชน โครงการจิตอาสา โครงการพัฒนาสิ่งแวดลอมโครงการพัฒนาแหลงเรียนรู โครงการพัฒนาอาชีพในชุมชน โครงการชวยเหลือเด็ก ผูสูงอายุคนพกิ ารในชุมชน เปน ตน การเขียนโครงการเพอื่ พัฒนาชุมชนและสังคม ควรเริ่มตนดวยการสํารวจสภาพชุมชน และนํามาคิดวิเคราะห แยกแยะอยางรอบคอบ มีเรื่องใดบางที่ลูกเสือ กศน. สามารถใหบริการ หรือมีสวนรวมในการปรับปรุง หรือพัฒนาใหดีขึ้นตามขั้นตอน เปนเหตุเปนผลมีความนาเช่ือถือ ควรมีการกําหนดองคประกอบของการเขียนโครงการท่ีชัดเจน ตั้งแตช่ือโครงการ หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค เปาหมาย วิธีการดําเนินงาน ระยะเวลาการดําเนินงานต้ังแตเร่ิมตนจนสิ้นสุดโครงการ งบประมาณ สถานที่ดําเนินการ ผูรับผิดชอบโครงการ ผลหรอื ประโยชนท ี่คาดวา จะไดรับ และการประเมินผล ลูกเสือ กศน. ท่ีเขียนโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมเสร็จเรียบรอยแลวตองไปดําเนนิ งานทกุ ขนั้ ตอนท่ไี ดกําหนดไวในโครงการ และสรุปรายงานผลการดําเนินงานตามโครงการ เพ่อื นําผลการดาํ เนินงานตามโครงการไปนําเสนอในกิจกรรมเขาคายพกั แรมตัวช้วี ัด 1. อธิบายความหมาย ความสําคัญของโครงการ 2. จาํ แนกลักษณะของโครงการ 3. ระบอุ งคประกอบของโครงการ 4. อธิบายขน้ั ตอนการเขยี นโครงการ 5. บอกขนั้ ตอนการดาํ เนินงานตามโครงการ 6. อภปิ รายผลการปฏบิ ตั งิ านตามโครงการและการเสนอผลการดําเนนิ งาน ตอทีป่ ระชมุ

105ขอบขา ยเนือ้ หา เร่ืองท่ี 1 โครงการเพ่ือพฒั นาชุมชนและสังคม 1.1 ความหมายของโครงการ 1.2 ความสําคญั ของโครงการ เรื่องท่ี 2 ลักษณะของโครงการ เรอื่ งท่ี 3 องคป ระกอบของโครงการ เรอื่ งท่ี 4 ขนั้ ตอนการเขยี นโครงการ เรื่องที่ 5 การดําเนนิ การตามโครงการ เร่ืองที่ 6 การสรุปผลการดําเนินงานตามโครงการเพื่อเสนอตอทีป่ ระชมุเวลาทใ่ี ชใ นการศึกษา 12 ชว่ั โมงส่ือการเรียนรู 1. ชดุ วชิ าลูกเสอื กศน. รหสั รายวิชา สค32035 2. สมดุ บนั ทกึ กจิ กรรมการเรยี นรปู ระกอบชุดวชิ า 3. สื่อเสริมการเรยี นรูอ่ืน ๆ

106เร่ืองท่ี 1 โครงการเพอ่ื พฒั นาชุมชนและสงั คม 1.1 ความหมายของโครงการ โครงการ หมายถึง กระบวนการทํางานที่ประกอบไปดวยหลาย ๆ กิจกรรมซึ่งมีการทําโครงการเปนตามขั้นตอน ความจําเปน มีการกําหนดวัตถุประสงค มีเปาหมายระยะเวลา สถานที่ วิธดี ําเนนิ การ งบประมาณ ผลทค่ี าดวาจะไดรับ รวมท้ังการประเมินผลการดําเนนิ งานตามโครงการ 1.2 ความสําคญั ของโครงการ มีดงั นี้ 1. ชว ยใหก ารดาํ เนนิ งานสอดคลองกบั นโยบายหรือความตองการของผูรับผิดชอบหรอื หนวยงานที่เกย่ี วของ 2. ชวยใหก ารดําเนนิ งานนัน้ มีทิศทางทีช่ ัดเจน และมีประสทิ ธภิ าพ 3. ชวยช้ีใหเหน็ ถึงสภาพปญ หาของชุมชนทจ่ี ําเปน ตองใหบ ริการ 4. ชว ยใหก ารปฏิบตั ิงาน สามารถดาํ เนนิ งานไดตามแผนงาน 5. ชวยใหแผนงานมีความชัดเจนโดยคณะกรรมการหรือบุคคลท่ีเกี่ยวของมคี วามเขา ใจและรับรสู ภาพปญ หารวมกนั 6. ชว ยใหแผนงานมีทรัพยากรใชเพียงพอเหมาะสําหรบั การปฏิบัติงานจรงิ เพราะโครงการมรี ายละเอยี ดเพียงพอ 7. ชวยลดความขัดแยงและขจัดความซ้ําซอนในหนาท่ีที่รับผิดชอบของกลุมบุคคล หนว ยงาน เพราะโครงการจะมีผรู บั ผิดชอบเปนการเฉพาะ 8. เสริมสรางความเขาใจอันดีและรับผิดชอบรวมกันตามความรูความสามารถของแตละบคุ คล 9. สรางความม่ันคงใหกับแผนงานและผูรับผิดชอบมีความม่ันใจในการทํางานมากขน้ึ 10. ชว ยใหง านดาํ เนินการไปสเู ปา หมายไดเร็วข้นึกิจกรรมทา ยเรอ่ื งที่ 1 โครงการเพอ่ื พัฒนาชุมชนและสงั คม(ใหผเู รยี นไปทาํ กิจกรรมทายเร่อื งที่ 1 ทสี่ มดุ บันทกึ กิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วชิ า)

107เรือ่ งที่ 2 ลกั ษณะของโครงการ โครงการเปน สว นประกอบท่สี าํ คญั ของแผนพัฒนาทุกระดับ ลักษณะของโครงการตอ งมีจุดมงุ หมาย มีเปา หมายการปฏิบตั ิงานทมี่ ีระยะเวลาดาํ เนินการชัดเจน ระบุความตองการงบประมาณ หรอื ผูมีสว นเกีย่ วขอ งมกี ารคาดการณผลท่ีจะเกดิ ขึ้นเมือ่ การดําเนินงานโครงการเสร็จประเภทของโครงการ มดี ังน้ี 1. โครงการที่มรี ะยะเวลาเปนตัวกาํ หนด ไดแก 1.1 โครงการระยะส้ัน หมายถงึ โครงการทม่ี รี ะยะเวลาการดาํ เนนิ งาน หรอืกาํ หนดเวลาดําเนินการ ไมเกิน 2 ป 1.2 โครงการระยะปานกลาง หมายถึง โครงการที่มีระยะเวลาการดาํ เนินงานหรอื กาํ หนดเวลาดาํ เนินการตง้ั แต 2 - 5 ป 1.3 โครงการระยะยาว หมายถึง โครงการที่มีระยะเวลาการดําเนินงานหรอื กาํ หนดเวลาดาํ เนนิ การตง้ั แต 5 ป ขึน้ ไป 2. โครงการทมี่ ีลกั ษณะงานเปน ตวั กําหนด ไดแก 2.1 โครงการเดิม หรือโครงการตอเน่ือง คือโครงการท่ีมีลักษณะตอเนื่องจากปทีผ่ า นมาอาจเปนโครงการทีไ่ มสามารถดําเนนิ การใหแลวเสรจ็ ไดใ นปเดยี ว หรือโครงการที่ตอ งมกี ารดําเนนิ งานตอเน่ือง หรือตอยอดขยายผลไปสูกลุมเปาหมายอื่นๆ ไดเชนปที่ผานมาไดมีการจัดอบรม “ลูกเสือกับการดูแลเยียวยาชวยเหลือผูเก่ียวของกับยาเสพติดสําหรับนักศึกษามัธยมศึกษาตอนตน” ในปการศึกษา 2560 ซึ่งในป 2561 ก็อาจมีการดําเนินงานโครงการในลกั ษณะเดียวกันแตเนนการขยายผลจํานวนกลุมเปาหมายใหเพ่ิมมากขึ้น เม่ือเทียบกับผลการดําเนนิ งานในปก อ นหนา โดยใชวิธีการดําเนินงานโครงการตามรูปแบบเดมิ 2.2 โครงการใหม คือ โครงการทีจ่ ดั ทําขึ้นใหมกจิ กรรมทายเรอ่ื งท่ี 2 ลกั ษณะของโครงการ(ใหผเู รียนไปทาํ กิจกรรมทายเร่ืองที่ 2 ทสี่ มดุ บันทกึ กจิ กรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วชิ า)

108เรอื่ งที่ 3 องคประกอบของโครงการการเขียนโครงการที่เปนไปตามลําดับขั้นตอน เปนเหตุเปนผล และนาเช่ือถือควรมีการกําหนดองคป ระกอบของการเขียนโครงการ ไวดงั นี้1. ช่อื โครงการ : ช่อื โครงการอะไร2. หลกั การและเหตุผล : เหตุผลทาํ ไมตองทําโครงการ3. วัตถุประสงค : ทาํ โครงการน้ีทาํ ไปเพือ่ อะไร4. เปา หมาย : ปรมิ าณเทาใด ทํากับใคร จาํ นวนเทา ใด6. วิทยากร (ถา ม)ี : ระบวุ า ใครเปนผใู หความรู (ใชเ ฉพาะโครงการอบรม)5. วิธดี ําเนินการ : โครงการน้ีทาํ อยางไร ดําเนินการอยา งไร6. ระยะเวลาดําเนนิ การ : จะทําเมือ่ ใดและนานแคไหน7. สถานทีด่ ําเนนิ การ : จะทําที่ไหน8. งบประมาณและทรัพยากรอ่นื ๆ : ระบุวาใชท รพั ยากรอะไร มีคาอะไรบาง9 ผรู ับผดิ ชอบโครงการ : ใครเปนคนทาํ โครงการ10. หนว ยงานทเ่ี ก่ยี วของ : ระบวุ า ประสานกับหนว ยงานใดบา ง11. การประเมินผล : จะใชวิธีการใดทีท่ ําใหร ูวา โครงการ ประสบความสําเรจ็12. ผลที่คาดวา จะไดรับ : จะเกิดอะไรขน้ึ เมอื่ ส้นิ สดุ โครงการ13. ผปู ระสานงานโครงการ : ระบุวาใครเปน ผปู ระสานงานโครงการกิจกรรมทา ยเรอ่ื งที่ 3 องคป ระกอบของโครงการ(ใหผ เู รียนไปทํากิจกรรมทา ยเรอ่ื งที่ 3 ทส่ี มุดบนั ทกึ กิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วิชา)

109เรือ่ งท่ี 4 ขน้ั ตอนการเขยี นโครงการ ขั้นตอนการเขยี นโครงการ มีดงั นี้ 1. สํารวจชุมชนและสังคม เปนการศึกษาขอมูลเกี่ยวกับลักษณะ สภาพปญหาตาง ๆทม่ี อี ยใู นชมุ ชน เพือ่ นําขอมลู เหลานัน้ มาวิเคราะหแ ละกําหนดแนวทางการพัฒนา การแกปญหาโดยการศึกษา สภาพปญหา และสาเหตุของปญหา เพ่ือหาวิธีการ คิดคน วิธีการพัฒนา และสาเหตุของปญหา โดยใชวิธีการสํารวจขอมูลท่ีหลากหลาย เชน การสังเกต การศึกษาภูมิหลังของชุมชน การสมั ภาษณ การสอบถาม การทาํ เวทีประชาคม ฯลฯ เปนตน 2. ตรวจสอบขอมูล หลังจากที่มีการสํารวจขอมูลชุมชนและนําขอมูลมาสรุปเรียบรอยแลว เพ่ือความถูกตอง ชัดเจนของขอมูลดังกลาว ควรจัดใหมีเวทีเพ่ือการตรวจสอบขอมูล โดยกลมุ เปา หมายที่ใหขอ มูลทีส่ าํ รวจมาไดม ีความถกู ตองสมบรู ณย ิง่ ข้ึน 3. นําขอมูล ท่ีไดหลังจากตรวจสอบเรียบรอยแลว มาวิเคราะห พรอมจัดลําดับความสําคัญเพ่ือจําแนกความสามารถในการจัดทาํ โครงการ 4. การกาํ หนดแนวทางการดาํ เนินงานเพอ่ื พฒั นาและแกปญ หาชุมชนและสังคมเม่อื ผรู บั ผดิ ชอบโครงการไดส าํ รวจชมุ ชนและสังคม ดําเนินการวิเคราะหสภาพปญหาของชุมชนและสังคม และผลสรุปการวิเคราะหของสภาพปญหาชุมชนและสังคมแลว ก็ตองมากําหนดแนวทางการดําเนินงานเพ่ือแกไขปญหาชุมชนและสังคมวาชุมชนและสังคมน้ัน ๆ มีสภาพปญหาเปนอยางไร มีความตองการอยางไร แลวจึงกําหนดแนวทางแกไขตามสภาพปญหานั้น หรือเขยี นแนวทางเพอ่ื สนองความตอ งการของชุมชนและสงั คมนั้น ๆ ท้ังนี้ ควรเขียนในลักษณะของโครงการ เพ่ือดําเนินการ ในการกําหนดแนวทางการดําเนินงานเพ่ือแกไขปญหาชุมชนและสังคมควรขอความรวมมือจากบุคคล หนวยงานที่มีสวนเก่ียวของกับเรื่องที่จะดําเนินการแกไขปญหา หรือพัฒนา ไดเขา มารว มในการกาํ หนดแนวทางการดาํ เนนิ งาน หรือรวมกันเขยี นโครงการดวย 5. การเขียนและเสนอขออนุมัติโครงการการเขียนโครงการ ผูเขียนโครงการตองนําขอมูลจากการศึกษาสภาพปญหาของชุมชนและสังคม และขอมูลท่ีไดจากการกําหนดแนวทางการดําเนินงานมาใชเปนขอมูลประกอบในการเขียนโครงการ ซึ่งการเขียนโครงการควรเขยี นใหเปนไปตามรูปแบบขององคป ระกอบการเขยี นโครงการ (ดงั ตัวอยาง)

110 ตัวอยา งโครงการ1. ชื่อโครงการ โครงการอนุรักษส ิง่ แวดลอม (กจิ กรรมปลกู ตน ไมใ นทีส่ าธารณะ)2. หลกั การและเหตผุ ล ดวยสภาพในปจ จบุ ันมจี ํานวนประชากรเพม่ิ มากขน้ึ ทําใหท รพั ยากรตา ง ๆ ที่มีอยถู ูกใชไปอยางส้ินเปลืองจนนาวิตก สภาพตนไมถูกทําลายลง บานเมืองขยายตัวออกไปอยางรวดเร็วทาํ ใหป ระชาชนที่อาศัยอยใู นชุมชนในเมืองขาดรมเงาจากตนไมสําหรับพักผอนหยอนใจ ดังน้ันจึงควรสงเสริมใหมีการปลูกตนไม เพ่ือใหเกิดสภาพแวดลอมที่รมร่ืนรมเย็น เพื่อชวยรักษาสภาพแวดลอมทางธรรมชาตทิ างออม รวมทงั้ ยังเปน การฝกใหลูกเสือเกิดความรักและหวงแหนในตนไม จึงเห็นสมควรใหมี โครงการ/โครงงานนี้ข้นึ3. วตั ถปุ ระสงค 3.1 เพ่ือใหม ีตน ไมเปน รมเงาสําหรับพักผอนหยอ นใจ 3.2 เพ่ือใหลกู เสือตระหนกั ถึงความสําคัญของตน ไมว ามปี ระโยชนตอมนุษยแ ละสัตว 3.3 ใหล ูกเสอื ไดม ีโอกาสบําเพญ็ ประโยชนตอชุมชนและสงั คม 3.4 ฝก ใหล ูกเสือมที กั ษะในการปลุกตน ไมยง่ิ ขน้ึ4. เปาหมาย 4.1 เชิงปรมิ าณ ลกู เสอื ปลกู ตนไมอยา งนอยคนละ 1 ตน 4.2 เชิงคณุ ภาพ ลกู เสอื มีสว นรว มในการปลกู ตน ไม5. วิธีดําเนินงาน 5.1 ประชมุ วางแผนการปลูกตนไมร ว มกบั สมาชิกกองลกู เสอื กศน. 5.2 ตดิ ตอ ของพันธกุ ลา ไมจากศนู ยเ พาะชํากลาไม 5.3 จดั สภาพแวดลอ มบรเิ วณท่ีจะปลกู ตนไม ติดปายโฆษณาใหบุคคลท่ัวไปทราบและ ขอความรว มมือในการบาํ รงุ รกั ษาตนไม 5.4 ใหลกู เสือจัดเตรยี มเคร่อื งมอื และอาหารไปใหพรอม 5.5 ลงมือปฏิบัตกิ าร 5.6 สรปุ และประเมนิ ผล6. สถานที่ สวนสาธารณะ วัด หรือโรงเรียน7. ระยะเวลา ระหวา งเดอื นพฤษภาคม ถงึ เดอื นมถิ นุ ายน

1118. งบประมาณ ใชเงนิ บริจาค จาํ นวน 3,000 บาท9. ผูรับผดิ ชอบโครงการ ผูเสนอโครงการรวมกับสมาชิกกองลูกเสือ กศน.10. หนว ยงานทีเ่ ก่ยี วของ ศนู ยเ พาะชาํ กลา ไม11. การตดิ ตาม ประเมินผล สังเกตพฤตกิ รรมของลกู เสือ กศน.12. ผลที่คาดวาจะไดร บั จะมตี นไมเพิ่มข้ึนจาํ นวนหน่งึ บริเวณดังกลา วจะมีรม เงาของตนไมสาํ หรับพกั ผอนหยอนใจ13. ผปู ระสานงานโครงการ............................................................................................................................................................................................................................................................................................................ ลงชอื่ ...........................................ผูเ สนอโครงการ (.............................................) หวั หนา นายหมูล กู เสอื กศน. อาํ เภอ/เขต....................... ลงช่อื ..............................................ทป่ี รึกษาโครงการ (...........................................) ครู กศน. ตาํ บล ผูกาํ กับกองลูกเสอื ลงชื่อ................................................ ผเู ห็นชอบโครงการ (…………………………….…………) ครู.............................................. ผกู าํ กับกลมุ ลูกเสือ ลงชือ่ ................................................ผูอนุมัตโิ ครงการ (.......................................) ผูอ าํ นวยการศนู ย กศน. อาํ เภอ/เขต............................ ผอู าํ นวยการลูกเสือ กศน. อาํ เภอ/เขต..........................กิจกรรมทา ยเรอ่ื งที่ 4 ขั้นตอนการเขยี นโครงการ(ใหผ เู รยี นไปทํากจิ กรรมทา ยเร่ืองที่ 4 ที่สมดุ บันทกึ กจิ กรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วิชา)

112เร่ืองที่ 5 การดําเนนิ งานตามโครงการ การดําเนินงานตามโครงการ เปนการดําเนินงานหลังจากท่ีโครงการไดรับความเห็นชอบ หรืออนุมัติใหดําเนินงานตามโครงการที่เขียนเสนอไว โดยดําเนินงานใหเปนไปตามแนวทางการดําเนินงาน หรือวิธีดําเนินการ หรือกิจกรรมที่เขียนไวในโครงการ ซ่ึงควรดําเนินงานใหเปนไปตามแผนงาน ขั้นตอนที่เขียนไว เปนไปตามระยะเวลาที่กําหนด โดยคํานึงถึงผลที่ควรเกิดขึ้นตามวัตถุประสงคของโครงการที่กําหนดไว ท้ังน้ีการดําเนินงานโครงการควรมีขนั้ ตอน ดังน้ี 1. ดาํ เนนิ การทบทวน หรือทาํ ความเขา ใจรายละเอยี ดท่ีเขียนไวใ นโครงการทไ่ี ดรบัการอนุมัติใหดําเนินการ โดยการมีสวนรวมของผูรับผิดชอบโครงการ หรือผูมีสวนเก่ียวของเพ่ือการสรางความเขา ใจกอนการดําเนินงาน 2. ใหผูรับผดิ ชอบโครงการ ดําเนนิ งานตามวิธีดาํ เนินการ หรือ กจิ กรรมทีป่ รากฏอยูในโครงการท่ีไดร บั อนุมตั โิ ดยคาํ นงึ ถึงผลท่ีคาดวาจะไดรับ ซึ่งควรสอดคลองกับวัตถุประสงคของโครงการ 3. เม่ือดาํ เนินงานตามโครงการเสร็จสิ้นแลว ควรจัดใหมีการประเมินผลการดําเนนิ งานโครงการตามรปู แบบ หรือแนวทางท่กี ําหนดไวใ นโครงการ 4. เม่ือประเมินผลการดําเนินงานเสร็จเรียบรอยแลว ใหผูรับผิดชอบโครงการจัดทาํ รายงานผลการดาํ เนินงานโครงการเสนอตอ ผูท ี่เกีย่ วของ หรอื ผูอนมุ ัติโครงการตอ ไปกจิ กรรมทายเรอ่ื งที่ 5 การดาํ เนนิ งานตามโครงการ(ใหผเู รยี นไปทํากิจกรรมทายเรอื่ งที่ 5 ที่สมดุ บันทกึ กจิ กรรมการเรยี นรปู ระกอบชดุ วิชา)เร่ืองที่ 6 การสรปุ รายงานผลการดาํ เนนิ งานโครงการเพอ่ื เสนอตอทป่ี ระชมุ หลังจากที่ผูเรียนไดปฏิบัติตามโครงการเรียบรอยแลวจะตองสรุปผลการดําเนินงานวาเปนอยางไรดังนั้น การสรุปรายงานผลการดําเนินงานควรประกอบดวยเน้ือหาที่สําคญั ดงั ตอ ไปน้ี 1. ผลการดําเนนิ งานท่สี อดคลอ งกับวัตถุประสงค หรือผลทีเ่ กดิ ข้ึนตาม “ผลที่คาดวาจะไดรบั ” ที่เขยี นไวในโครงการ 2. ปญหาและอุปสรรคที่เกิดข้ึนระหวางการดําเนินงานตามโครงการ โดยใหระบุปญหาและอุปสรรคท่ีเกิดข้ึนพรอมแนวทางแกไขเพื่อปองกันไมใหปญหาหรืออุปสรรคเหลานั้นเกดิ ขน้ึ อกี 3. ขอเสนอแนะ เปนการเขียนขอเสนอแนะแนวทางเพื่อจะทําใหการปฏิบัติงานโครงการในครั้งตอไปประสบผลสําเร็จไดงายข้ึน

113 ท้ังนี้ การสรุปรายงานผลการดําเนินงานโครงการ เพ่ือนําเสนอผลตอที่ประชุมสามารถจดั ทําไดต ามองคป ระกอบ ดังน้ี 1. สว นนาํ เปน สวนแรกของรายงาน ซง่ึ ควรประกอบดวย 1.1 ปก ควรมีท้งั ปกนอก และปกใน ซงึ่ มีเน้ือหาซํ้ากัน 1.2 คํานํา หลกั การเขยี นคาํ นําทีด่ ีจะตอ งทําใหผูอา นเกดิ ความสนใจ ตองการที่จะอา นเนอ้ื หาสว นตา ง ๆ ที่ปรากฏอยูในรายงาน 1.3 สารบัญ หมายถึง การระบุหัวขอสําคัญในเลมรายงาน โดยตองเขียนเรยี งลาํ ดับตามเนอ้ื หาของรายงาน พรอ มระบเุ ลขหนา 2. สวนเนือ้ หา ประกอบดว ยสว นตา งๆดังนี้ 2.1 หลกั การและเหตผุ ลของโครงการ หรอื ความเปนมาและความสําคัญของโครงการ 2.2 วัตถุประสงค 2.3 เปาหมายของโครงการ 2.4 วิธีดําเนินการ หรือกิจกรรมท่ีไดดําเนินงานตามโครงการเปนการเขียนถึงขน้ั ตอนการดําเนนิ งานโครงการแตล ะขั้นตอนตามทไี่ ดปฏิบัติจรงิ วามกี ารดาํ เนินการอยา งไร 2.5 ผลทเ่ี กิดข้ึนจากการดาํ เนนิ งานโครงการเปนการเขียนผลการดําเนินงานที่เกดิ ขน้ึ จรงิ ซึง่ เปน ผลมาจากการดําเนินงานโครงการ 2.6 ขอเสนอแนะจากการดําเนินงานโครงการ (เปนการเสนอความคิดเห็นท่ีเปนประโยชนต อผอู า น หรือตอการดาํ เนินงานโครงการในครง้ั ถัดไป) 2.7 ภาคผนวก (ถาม)ี เชน รูปภาพจากการดําเนนิ งานโครงการ แบบสอบถามหรือเอกสารที่เกิดข้ึนจากการดําเนินงานโครงการ เปนตน ทั้งนี้ เมื่อจัดทํารูปเลมรายงานผลการดําเนินงานโครงการ เสร็จส้ินแลว ใหนํารูปเลมรายงานสง/เสนอตอผูทอ่ี นุมตั ิโครงการ หรือผูท่ีเกี่ยวของเพ่ือรับทราบผลการดําเนินงานโครงการ ตอ ไป นอกจากน้ี การเสนอผลการดําเนินงานโครงการ บางหนวยงาน หรือบางโครงการผูอนุมตั โิ ครงการ อาจมีความประสงคใหผูรับผิดชอบโครงการนําเสนอโครงการในลักษณะของการพูดสื่อสาร ใหผูที่เกี่ยวของไดรับทราบ ผูรับผิดชอบโครงการหรือผูนําเสนอ จึงควรมีการเตรยี มความพรอมและปฏิบตั ิ ดังน้ี 1. ผูนาํ เสนอควรมกี ารสาํ รวจตนเองเพือ่ เตรยี มความพรอมใหกับตนเอง ท้ังในเร่ืองของบุคลิกภาพ การแตงกายทีเ่ หมาะสม และการทาํ ความเขา ใจกบั เนื้อหาที่จะนําเสนอเปนอยางดีหากมีผูนําเสนอมากกวา 1 คน ควรมีการเตรียมการโดยการแบงเนื้อหารับผิดชอบในการนําเสนอเพื่อใหก ารนาํ เสนอเกิดความตอเนอ่ื ง ราบร่ืน

114 2. กลาวทักทาย/สวัสดีผูฟง โดยเริ่มกลาวทักทายผูอาวุโสท่ีสุดแลวเรียงลําดับรองลงมาจากนั้นแนะนาํ ตนเอง แนะนาํ สมาชกิ ในกลมุ และแนะนําชอื่ โครงการ 3. พดู ดวยเสียงทด่ี งั อยางเหมาะสม ไมเ รว็ และไมชา เกินไป 4. หลีกเลี่ยงการอาน แตควรจดเฉพาะหัวขอสําคัญๆเพ่ือใชเตือนความจําในขณะทพ่ี ดู รายงาน โดยผนู ําเสนอควรจดั ความคิดอยางเปนระบบ และนาํ เสนออยา งตรงไปตรงมาดว ยภาษาทีช่ ดั เจนและเขา ใจงา ยเปนธรรมชาติ 5. ผนู ําเสนอควรรักษาเวลาของการนําเสนอ โดยไมพูดวกไปวนมาหรือพูดออกนอกเร่อื งจนเกินเวลา 6. รจู ักการใชทา ทางประกอบการพูดพอสมควร 7. ควรมีสอ่ื ประกอบการนําเสนอ เพ่ือใหการนาํ เสนอมีความนาสนใจ นาเช่ือถือและเพ่อื ความสมบูรณในการนําเสนอผลการดําเนินงานโครงการ และควรเปดโอกาสใหผูฟงไดซักถามเพ่มิ เตมิ เพอื่ ความเขา ใจในกรณที ี่ผูฟ งมขี อสงสยักิจกรรมทา ยเรอ่ื งที่ 6 การสรปุ รายงานผลการดาํ เนนิ งานโครงการเพอ่ื เสนอที่ประชุม(ใหผ ูเ รยี นไปทาํ กิจกรรมทายเร่ืองท่ี 6 ท่สี มดุ บนั ทกึ กิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วิชา)

115 หนวยการเรยี นรูที่ 9 ทักษะลูกเสือสาระสําคญั ทักษะลูกเสือ เปนทักษะพื้นฐานที่ลูกเสือ กศน. ควรรู มีความเขาใจและสามารถนําไปใชในชีวิตประจําวัน และพัฒนาใหเปนทักษะในการเอาชีวิตรอด หรือชวยชีวิตผูอ่ืนได ซ่ึงเปนการเตรียมความพรอมสําหรับการทําหนาที่ “บริการ” หรือบําเพ็ญประโยชนตอ ผอู ่นื รวมทง้ั เปน การฝกฝนตนเองใหเ ปนมีวนิ ัยและความเปนระเบียบเรยี บรอ ย ลูกเสือ กศน. ควรมีทักษะพ้ืนฐานเรื่องแผนที่ – เข็มทิศ และเง่ือนเชือก ท้ังนี้เพราะวิชาแผนท่ีชวยใหเขาใจขอมูลพ้ืนฐานของพิกัด ทิศทาง ตําแหนงที่ตั้ง ตลอดจนลักษณะภูมิประเทศเบ้ืองตนของสถานท่ีแตละแหง ชวยใหสามารถวางแผนการเดินทางไดอยางเหมาะสม และหากมีการใชเข็มทิศ ซ่ึงเปนเครื่องมือทางภูมิศาสตรใหขอมูลดานทิศทางประกอบแผนทีด่ วย ยอ มทาํ ใหก ารเดินทางมีประสทิ ธิภาพ สําหรับเง่ือนเชือก เปนเร่ืองสําคัญท่ีลูกเสือทั่วโลกจะตองเรียนรู เขาใจ และนําไปใชในชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะอยางย่ิงตองนําไปใชในการรวมกิจกรรมเขาคายพักแรมการสรา งฐานผจญภัย การสรางฐานบุกเบิกหรือการผูกมัด รวมทั้ง การใชงานเง่ือนในการชวยผเู จ็บปว ยได ใหเกิดความปลอดภยั ในการทาํ กิจกรรมการเรยี นรูสาํ หรบั การอยูคา ยพกั แรมตวั ช้ีวดั 1. อธิบายความหมายและความสําคัญของแผนที่ – เข็มทิศ 2. อธบิ ายสว นประกอบของเข็มทศิ 3. อธิบายวิธีการใช Google Map และ Google Earth 4. อธิบายความหมายความสาํ คัญของเงื่อนเชอื กและการผกู แนน 5. ผกู เงอ่ื นเชอื กไดและบอกชื่อเงอ่ื นอยางนอ ย 7 เง่ือน 6. สาธิตวธิ กี ารผกู แนน อยา งนอ ย 2 วธิ ีขอบขายเนื้อหา เรอื่ งท่ี 1 แผนท่ี – เขม็ ทศิ 1.1 ความหมายและความสาํ คัญของแผนท่ี 1.2 ความหมายและความสําคญั ของเข็มทศิ เร่ืองท่ี 2 วธิ ีการใชแ ผนท่ี – เข็มทศิ 2.1 วธิ ีการใชแผนที่ 2.2 วิธกี ารใชเข็มทิศ

116 เรือ่ งที่ 3 การใช Google Map และ Google Earth เรื่องท่ี 4 เงื่อนเชอื กและการผูกแนน 4.1 ความหมายของเงื่อนเชือกและการผูกแนน 4.2 ความสําคญั ของเงอ่ื นเชือกและการผูกแนน 4.3 การผกู เงือ่ นเชือกและการผกู แนนเวลาที่ใชในการศกึ ษา 6 ชั่วโมงสอื่ การเรียนรู 1. ชดุ วิชาลูกเสือ กศน. รหสั รายวิชา สค32035 2. สมุดบนั ทึกกิจกรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วิชา 3. สื่อเสริมการเรียนรูอนื่ ๆ

117เรือ่ งที่ 1 แผนท่ี – เข็มทศิ1.1 ความหมาย และความสําคญั ของแผนท่ีแผนท่ี คือ สิ่งที่แสดงรายละเอียดของภูมิประเทศบนพื้นผิวโลกทั้งท่ีมีอยูตามธรรมชาตแิ ละที่มนษุ ยสรา งข้ึน โดยจําลองไวบนวัตถุพ้ืนราบดวยมาตราสวนใดมาตราสวนหนึ่งซงึ่ รายละเอยี ดเหลานอ้ี าจแสดงดว ยเสน สี และสัญลักษณต า ง ๆ เชนสีทใ่ี ชใ นแผนท่ที างภูมิศาสตร ไดแกสีนา้ํ เงนิ แก แสดงถงึ ทะเล มหาสมุทรที่ลกึ มากสฟี า ออ น แสดงถึง เขตนํ้าต้ืน หรือไหลทวีปสเี ขยี ว แสดงถึง ท่ีราบระดับตํ่าสีเหลอื ง แสดงถึง ที่ราบระดับสูงสแี สด แสดงถึง ภูเขาทสี่ ูงปานกลางสแี ดง แสดงถงึ ภูเขาที่สงู มากสนี ํา้ ตาล แสดงถึง ยอดเขาท่สี ูงมาก ๆสีขาว แสดงถึง ยอดเขาท่ีสูงจนมหี มิ ะปกคลมุสีทใ่ี ชในแผนทที่ ั่วไป ไดแ กสดี าํ ใชแ ทนรายละเอียดทีเ่ กิดจากแรงงานมนษุ ย ยกเวนถนนสีแดง ใชแทนรายละเอียดท่เี ปน ถนนสีน้ําเงิน ใชแทนรายละเอียดทเี่ ปนน้าํ หรือทางน้ํา เชน ทะเล แมน ํา้สีเขยี ว ใชแ ทนรายละเอียดท่เี ปน ปาไม และบรเิ วณทท่ี าํ การเพาะปลกูสนี ้าํ ตาล ใชแ ทนลกั ษณะทรวดทรงความสูงความสาํ คญั ของแผนท่ี1. ใชเ ปนเครอื่ งมอื ประกอบกจิ กรรมการเดินทางไกลของลูกเสือ โดยแผนท่ีจะใหขอ มูลเบอ้ื งตนของพิกดั ทศิ ทางและตําแหนง ของสถานท่ีในการเดินทางในเบื้องตนที่ชัดเจนข้ึน2. แผนทจ่ี ะชว ยใหเขาใจถงึ ขอมูลพื้นฐานของสภาพลักษณะภูมิประเทศเบ้ืองตนของสถานทใ่ี นแตล ะแหง ชว ยใหส ามารถวางแผนในการเดินทางไดอ ยา งเหมาะสม3. ความเขาใจในชนิดของแผนท่ีจะชวยใหรูจักเลือกใชประโยชนจากแผนที่ในแตล ะชนิดไดอยางถูกตอ งเหมาะสม

118 ชนิดของแผนท่ี แผนทีโ่ ดยทว่ั ไป แบงออกเปน 3 ชนดิ 1) แผนที่แบนราบ แสดงพื้นผิวโลก ความสูงต่ํา ใชแสดงตําแหนง ระยะทางและเสนทาง 2) แผนที่ภมู ิประเทศ แสดงพ้นื ผวิ โลกในทางราบ ไมแสดงความสูงตํ่า ละเอียดกวา และใชป ระโยชนไ ดม ากกวา แผนท่ีแบนราบ 3) แผนท่ีภาพถาย ทําขึ้นจากภาพถายทางอากาศ มีความละเอียดและความถูกตองมากกวาแผนท่ีชนิดอ่ืนมาก สามารถมองเห็นส่ิงตาง ๆ ตามธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษยสรา งข้ึนอยา งชดั เจน นอกจากน้ยี งั แบงชนดิ ของแผนท่ีตามลกั ษณะการใชง าน ตวั อยาง เชน - แผนทีท่ ว่ั ไป เชน แผนท่ีโลก แผนทีป่ ระเทศตา ง ๆ - แผนทท่ี รวดทรง หรอื แผนทีน่ นู แสดงความสงู ตา่ํ ของภูมปิ ระเทศ - แผนทท่ี หาร เปน แผนที่ยทุ ธศาสตร ยุทธวธิ ี - แผนทเี่ ดนิ อากาศ ใชส ําหรบั การบนิ เพ่อื บอกตาํ แหนง และทศิ ทางของเครือ่ งบนิ - แผนทเ่ี ดินเรอื ใชในการเดนิ เรอื แสดงสันดอน ความลกึ แนวปะการัง - แผนท่ีประวตั ศิ าสตร แสดงอาณาเขตยคุ และสมัยตา ง ๆ - แผนที่การขนสง แสดงการคมนาคมทางบก ทางเรอื ทางอากาศ ฯลฯ สัญลักษณในแผนท่ี สัญลักษณ (SYMBOL) เปนเคร่ืองหมายท่ีใชแทนรายละเอียดตาง ๆ ที่ปรากฏอยูบ นพืน้ ผวิ โลก ฉะนั้น เม่อื อา นแผนท่ีจึงควรตรวจดูเครื่องหมายแผนที่กอนเสมอ ท้ังน้ีเพ่ือจะปอ งกนั มใิ หต คี วามหมายสัญลักษณต าง ๆ ผดิ พลาดได ในแผนที่ชุด L 7017 (เปนลําดับชุดของแผนทม่ี าตราสวน 1 : 50,000 ขนาดระวาง 15 x 15 ลิปดา) จะแสดงสญั ลกั ษณ ดงั น้ี สญั ลกั ษณเปนจดุ (POINT SYMBOL) สัญลกั ษณรูปทรงเรขาคณิต เชน วดั โรงเรียน ศาลาที่พัก ที่ต้ังจังหวัด ฯลฯ ท่ีตงั้ จงั หวัด อําเภอ วัดมีโบสถ ไมม โี บสถ สาํ นกั ; ศาลาที่พกั

119 เจดียพ ระปรางคห รอื สถูป โบสถค รสิ ตศาสนา ศาลเจา หรอื ศาลเทพารกั ษ; โบสถมุสลมิ โรงเรยี น บอนํ้า ทศิ เหนอื ทศิ ตะวนั ออก ทิศใต ทศิ ตะวันตก แผนท่ีสังเขปของลูกเสือ “แผนทีส่ ังเขป” คือ แผนท่ีหรือรูปภาพแผนที่ หรือเสนทางในการเดินทางแสดงรายละเอียดตาง ๆ ตามความตองการ แผนท่ีสังเขปน้ีจะใหความละเอียดถูกตองพอประมาณเทา นัน้ แผนที่สังเขปของลูกเสือ จะแสดงลักษณะภูมิประเทศที่เดนชัดที่อยูบริเวณใกลเคยี งกบั เสนทาง ส่ิงจาํ เปนในการทาํ แผนทส่ี งั เขป คอื ตองใชเข็มทิศเปน และรูระยะกาวของตนโดยท่ัวไปคนปกติจะมีความยาว 1 กาวเทากับ 75 เซนติเมตร เดินไดนาทีละ 116 กาว เดินไดช่ัวโมงละ 4 กโิ ลเมตรโดยประมาณ

120 1.2 ความหมาย และความสําคัญของเขม็ ทศิ ความหมายของเขม็ ทศิ เขม็ ทิศ คอื เครอ่ื งมอื สาํ หรับใชห าทศิ ทางหรือบอกทิศทางในแผนท่ี ความสาํ คญั ของเขม็ ทศิ เข็มทิศ มีความสําคัญในการบอกทิศที่สําคัญทั้ง 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใตทิศตะวันออก และทิศตะวันตก หรืออาจจะบอกรายละเอียดเปน 8 ทิศ 16 ทิศ หรือ 32 ทิศก็ได ในกรณีการเดินทางไกลของลูกเสือ เข็มทิศเปนอุปกรณที่สําคัญในการบอกทิศทางไปสูจดุ หมายปลายทาง หากกรณีหลงปาหรือหลงทาง ลูกเสอื สามารถแจง พกิ ดั ใหผูช วยเหลอื ไดกจิ กรรมทา ยเรอ่ื งที่ 1 แผนที่ – เข็มทิศ(ใหผเู รียนไปทํากิจกรรมทายเรื่องที่ 1 ทส่ี มุดบันทกึ กิจกรรมการเรยี นรูประกอบชุดวิชา)เรื่องที่ 2 วิธกี ารใชแผนที่ – เข็มทศิ 2.1 วิธกี ารใชแผนที่ วางแผนท่ีในแนวราบบนพนื้ ทไี่ ดระดบั ทศิ เหนอื ของแผนทีช่ ี้ไปทางทศิ เหนือจดั ใหแนวตาง ๆ ในแผนท่ีขนานกบั แนวทีเ่ ปน จรงิ ในภมู ิประเทศทุกแนว 2.2 วธิ กี ารใชเขม็ ทิศ เข็มทิศมีหลายชนิด เชน เข็มทิศตลับธรรมดา เข็มทิศขอมือ เข็มทิศแบบเลนซาติก (Lensatic) และเขม็ ทิศแบบซิลวา (Silva) เข็มทิศท่ีใชในทางการลูกเสือ คือ เข็มทิศแบบซิลวาของสวีเดน เปนเข็มทิศและไมโ ปรแทรกเตอรรวมอยูดวยกัน ทั่วโลกนิยมใชมาก ใชประกอบแผนที่และหาทิศทางไดดีเหมาะสมกบั ลูกเสือ เพราะใชง ายและสะดวก สว นประกอบของเขม็ ทศิ แบบซิลวา 1. แผนฐานทําดวยวสั ดโุ ปรงใส 2. ทีข่ อบฐานมีมาตราสวนเปน นิ้วหรอื เซนติเมตร 3. มีลูกศรช้ีทิศทางทีจ่ ะไป 4. เลนสขยาย 5. ตลับเข็มทิศเปน วงกลมหมนุ ไปมาไดบนกรอบหนาปด ของตลบั เขม็ ทศิ แบงมมุ ออกเปน 360 องศา 6. ภายในตลบั เข็มทิศตรงกลางมเี ขม็ แมเ หล็กสีแดง ซง่ึ จะชี้ไปทางทิศเหนอื เสมอ 7. ตาํ แหนง สําหรบั ตัง้ มมุ และอานคา ของมมุ อยูตรงปลายลูกศรชี้ทศิ ทาง

121 การใชเ ข็มทิศซิลวา 1. กรณที ราบคา หรอื บอกมุมอะซิมุทมาใหและตองการรูวาจะตองเดินไปทางทิศใดสมมติวา บอกมมุ อะซมิ ุทมาให 60 องศา ใหปฏบิ ัตดิ งั นี้ (1) วางเข็มทิศบนฝามือหรือสมุดปกแข็งในแนวระดับ หันลูกศรช้ีทิศทางออกนอกตัว โดยใหเข็มแมเหล็กแกวง ไปมาไดอสิ ระ (2) หมุนกรอบหนาปดของตลับเข็มทิศใหเลข 60 อยูตรงตําแหนงสําหรับตั้งมุม (ปลายลูกศรชี้ทศิ ทาง) (3) หมุนตัวจนกวาเข็มแมเหล็กสีแดงภายในตลับเข็มทิศตรงกับอักษร Nบนกรอบหนา ปด ดังรูป (4) ดูลูกศรช้ีทิศทางวาชี้ไปทางทิศใดก็เดินไปตามทิศทางน้ัน ซึ่งเปนมุม 60 องศาในการเดินไปตามทศิ ทางทล่ี ูกศรชไี้ ปนั้นใหม องหาจุดเดนในภูมิประเทศที่อยูตรงทิศทางที่ลูกศรชี้ไป เชน ตนไม กอนหิน โบสถ เสารวั้ ฯลฯ เปนหลกั แลว เดินตรงไปยังสิ่งน้ัน

การจับเขม็ ทิศ 122 ลูกศรกา งปลา ปลายเข็มชตี้ วั N (N หมายถึง ทิศเหนอื ) เขม็ แมเหลก็ หมนุ แกวง ตวั ไปรอบ ๆ ภายในตลบั วงกลมเมื่อเข็ม แมเหล็กหมุนไปทับลกู ศรกางปลาจึงจะสามารถอา นคา มุมได ขน้ั ตอนที่ 1 ขัน้ ตอนท่ี 2 ใชป ลายน้วิ มือจบั เลนสกลมหมนุ ใหเล็งลูกศรช้ที างไปทเ่ี ปาหมายทีส่ ามารถมองเห็นไดงาย เข็มแมเ หล็กทบั เขม็ กางปลา คา มุมอา น ไดเ ทา กบั 220 องศา

การกําหนดเปา หมายและหามมุ 123 การอา นรายละเอียดของเขม็ ทศิ ซลิ วา ตาํ แหนง ที่ 1 เข็มลูกศรช้ที าง ตาํ แหนงท่ี 2 เลนสข ยาย ตาํ แหนงท่ี 3 หนาปดวงกลม แบง มมุ ออกเปน 360oขอควรระวังในการใชเ ข็มทศิ ซิลวาควรจบั ถือดวยความระมัดระวงั ไมควรอานเข็มทิศใกลก บั ส่ิงทเี่ ปน แมเหล็กหรอืวงจรไฟฟา ควรคํานึงถึงระยะความปลอดภัยโดยประมาณ ดงั นี้สายไฟแรงสูง 50 หลาสายโทรศัพท โทรเลข 10 หลารถยนต 20 หลาวัสดุทีเ่ ปนแรเหลก็ 5 หลาการใชแผนทีแ่ ละเขม็ ทศิ เดนิ ทางไกล1. ยกเขม็ ทิศใหไดร ะดับ2. ปรับมมุ อะซมิ ทุ ใหเ ทา กบั มมุ ทกี่ ําหนดในแผนที่3. เลง็ ตามแนวลูกศรชท้ี ิศทาง เปนเสนทางที่จะเดินไป4. เดินไปเทากับระยะทางทกี่ ําหนดในแผนที่

124การใชเขม็ ทิศในทก่ี ลางแจงการหาทิศ วางเขม็ ทิศในแนวระนาบ ปลายเข็มทศิ ขา งหน่ึงจะชไ้ี ปทางทิศเหนอื คอย ๆ หมุนหนา ปดของเขม็ ทิศ ใหต าํ แหนงตัวเลขหรอื อกั ษรท่ีบอกทิศเหนอื บนหนา ปดตรงกับปลายเหนือของเข็มทศิ เมื่อปรับเข็มตรงกับทิศเหนือแลวจะสามารถอานทิศตาง ๆ ไดอยางถูกตองจากหนาปดเขม็ ทิศ ลูกเสือสามารถนําเข็มทิศไปใชในกิจกรรมตาง ๆ ได เชน การเดินทางไกลการสํารวจปา การผจญภัย การสาํ รวจและการเยอื นสถานท่ี เปนตน เมื่อเร่ิมออกเดินทางลูกเสือควรหาทิศท่ีจะมุงหนาไปใหทราบกอนวาเปนทิศใดเม่อื เกิดหลงทิศหรือหลงทางจะสามารถหาทศิ ทางตา ง ๆ จากเข็มทศิ ได ตัวอยาง กรณบี อกมมุ อะซิมุทมาใหแ ละตอ งการรูว า จะตอ งเดินทางไปทศิ ทางใด สมมตวิ า มุมอะซิมุท 60 องศา 1. วางเข็มทิศในแนวระดบั ใหเ ข็มแมเ หลก็ หมนุ ไปมาไดอ สิ ระ 2. หมนุ กรอบหนาปดของตลับเขม็ ทิศใหเ ลข 60 อยตู รงขดี ตําแหนงตั้งมมุ 3. หันตัวเข็มทิศท้ังฐานไปจนกวาเข็มแมเหล็กสีแดงภายในตลับเข็มทิศชี้ตรงกับอกั ษร N บนกรอบหนา ปด ทบั สนทิ กับเครอ่ื งหมายหัวลกู ศรทพ่ี มิ พไ ว 4. เมอ่ื ลกู ศรชที้ ศิ ทางช้ไี ปทิศใด ใหเดินไปตามทิศทางนั้น โดยเล็งหาจุดเดนท่ีอยูในแนวลกู ศรช้ีทศิ ทางเปนหลกั แลว เดินตรงไปยังสงิ่ นั้น กรณที ่จี ะหาคา ของมุมอะซิมทุ จากตาํ บลทีเ่ รายืนอยู ไปยงั ตาํ บลท่ีเราจะเดินทางไป 1. วางเขม็ ทศิ ในแนวระดับใหเ ขม็ แมเหลก็ หมุนไปมาไดอสิ ระ 2. หันลูกศรชท้ี ิศทางไปยงั จดุ หรือตําแหนง ทเ่ี ราจะเดินทางไป 3. หมุนกรอบหนาปดเข็มทิศไปจนกวาอักษร N บนกรอบหนาปดอยูตรงปลายเข็มแมเ หลก็ สแี ดงในตลับเขม็ ทิศ 4. ตัวเลขบนกรอบหนาปดจะอยูตรงขีดตําแหนงสําหรับต้ังมุมและอานคามุมคอื คาของมมุ ที่เราตอ งการทราบ

125 การวดั ทศิ ทางบนแผนทีโ่ ดยการใชเข็มทศิ 1. อนั ดบั แรกตองวางแผนทใ่ี หถ ูกทิศ 2. ใชดินสอลากเสนตรงจากจุดท่ีเราอยูบนแผนท่ี (จุด A) ไปยังจุดท่ีจะตองเดนิ ทางไป (คอื จุด B) 3. วางขอบฐานดานยาวของเข็มทิศขนานพอดีกับเสนตรงท่ีใชดินสอลากไว (แนวเสน A - B) โดยใหล ูกศรชที้ ศิ ทางชไ้ี ปทางจุด B ดวย 4. หมนุ ตวั เรือนเขม็ ทศิ บนเข็มทิศไปจนกวา ปลายเข็มแมเหล็กสีแดงตรงกับตัวอักษรN บนกรอบตัวเรอื นเข็มทิศ 5. ตวั เลขท่อี ยตู รงขีดตาํ แหนงต้ังมุมและอา นคา มมุ คือมุมท่เี ราจะตอ งเดนิ ทางไป(ในภาพคอื มมุ 60 องศา) ขอควรระวงั ในการใชเ ข็มทศิ 1. จับถอื ดวยความระมัดระวงั เพราะหนาปด และเข็มบอบบาง ออนไหวงา ย 2. อยา ใหต ก แรงกระเทือนทาํ ใหเสยี ได 3. ไมค วรอานเข็มทศิ ใกลส ง่ิ ที่เปนแมเหล็กหรอื วงจรไฟฟา 4. อยา ใหเปยกน้ําจนข้ึนสนิม 5. อยา ใหใ กลความรอ นเขม็ ทิศจะบิดงอกิจกรรมทา ยเรอื่ งที่ 2 วธิ ีการใชแ ผนที่ - เขม็ ทิศ(ใหผ เู รียนไปทาํ กจิ กรรมทายเร่ืองที่ 2 ท่สี มุดบนั ทกึ กิจกรรมการเรยี นรปู ระกอบชดุ วิชา)

126เร่อื งที่ 3 การใช Google Map และ Google Earth 3.1 การใช Google map เปนบริการเก่ียวกับแผนที่ผานเว็บบราวเซอรของบริษัทGoogle ซึ่งสามารถเปดผา นเคร่อื งคอมพิวเตอรห รือสมารท โฟน ท่เี ช่ือมตอกับระบบอินเทอรเน็ตGoogle Map เปนแผนที่ที่ผูใชสามารถซูมเขา - ออกเพ่ือดูรายละเอียดได สามารถคนหาชื่อสถานท่ี ถนน ตาํ บล อําเภอ จงั หวดั ได ชว ยอํานวยความสะดวกในการเดินทาง สามารถมองไดหลายมมุ มอง เชน 1) มุมมอง Map ดูในลักษณะแผนท่ีทวั่ ไป 2) มุมมอง Satellite ดูในลักษณะแผนที่ดาวเทยี ม ดูท่ีตัง้ ของสถานท่ีตาง ๆจากภาพถายทางอากาศ 3) มมุ มอง Hybrid ดใู นลักษณะผสมระหวา งมมุ มอง Maps และ Satellite 4) มุมมอง Terrain ดูในลกั ษณะภูมิประเทศ 5) มุมมอง Earth ดูแบบลกู โลก วิธคี นหาเปาหมายท่ีกาํ หนดจาก Google Map ข้ันตอนการใชงาน 1. สามารถเขา ใชง านไดจากหนา แรกของ Google.com โดยคลกิ ทแ่ี ผนที่ ดังรปู

127 2. เมื่อเขาสูแผนท่ี Google map แลวสามารถคนหาพ้ืนท่ีท่ีตองการจากช่ือสามัญหรอื ชือ่ ที่รูจ กั กนั โดยทว่ั ไปไดท่เี คร่ืองมือคน หาของ Google map 3. หรือสามารถคน หาไดโ ดยการขยาย ยอ และเล่อื นแผนทไ่ี ปยังพ้นื ท่ีที่ตอ งการ

128 4. และเมอ่ื เจอจุดท่ตี อ งการทราบพกิ ัดแลว ใหค ลิกขวายังจุดนน้ั และเลือกใชคําสัง่“นีค่ อื อะไร” 5. พกิ ดั ของจดุ น้ันจะปรากฏออกมาดังภาพ 3.2 การใช Google Earth Google Earth เปน โปรแกรมทีใ่ ชบรกิ ารภาพถายดาวเทียมทม่ี ีความละเอียดสูงแลวนํามาสรา งเปน แผนท่ี 3 มิติจากทุกสถานท่ีท่ัวโลก เพ่ือใหบริการแกสาธารณชน โดยสามารถแสดงสถานที่ตาง ๆ ไมเวนแมกระทั่งสถานท่ที เ่ี ปนความลับทางยุทธศาสตร บอกถึงเมืองสําคัญทตี่ ้งั สาํ คัญ สามารถขยายภาพจากโลกท้ังใบไปสูป ระเทศ และลงไปถึงวัตถุเล็ก เชน ถนน ตรอกซอย รถยนต บานคน และเปนการทาํ งานแบบออนไลน โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญของประเทศตาง ๆ Google Earth กส็ ามารถแสดงภาพถายดาวเทียมท่ีมีความละเอียดคอนขางสูง เหมือนเราไดเขาไปยืนอยู ณ ทีน่ น้ั ๆ เลย

129 การทํางานของ Google Earth เริ่มตน ทนี่ ําภาพถา ยทางอากาศและภาพจากดาวเทยี มมาผสมผสานกบั เทคโนโลยี streaming แลวเช่ือมโยงขอมูลจากฐานขอมูลของ Googleเพอ่ื นําเราไปยงั จดุ ตา ง ๆ ที่ตองการบนแผนทโ่ี ลกดจิ ทิ ลั แผนทีน่ ีเ้ กิดจากการสะสมภาพหลาย ๆภาพจากหลาย ๆ แหลงขอ มลู และจากดาวเทยี มหลายดวง แลว นาํ มาปะติดปะตอกันเสมือนกับวาเปน ผนื เดยี วกนั หลังจากปะติดปะตอเสร็จแลว Google ไดนําขอมูลอ่ืน ๆ มาซอนทับอีกช้ันหนึ่งซงึ่ แตล ะชนั้ ก็จะแสดงรายละเอียดตา ง ๆ เชน ทีต่ ้ังโรงพยาบาล สถานีตํารวจ สนามบิน รวมท้ังสถานทส่ี าํ คัญอื่น ๆ ท้งั นี้ เคร่อื งมอื ท่นี าํ มาใชสรางขอมูล การแสดงผลขอ มูลทั้งแบบจดุ แบบลายเสนหรือแบบรูปหลายเหลี่ยม สรางขึ้นมาจากเคร่ืองมือ ชื่อวา Keyhole Markup Language (KML)และหลงั จากซอ นทับขอมูล จดั ขอมลู เสรจ็ แลว Google จะจดั เก็บขอ มูลท่ีไดในรูปแบบของไฟลKML Zip (KMZ) ซ่ึงจะบีบอัดขอมูลไฟลใหเล็กลง เพ่ือใหบริการแกผูใชสถาปตยกรรมแบบClient/Sever ทง่ี า ยตอการดาวนโหลดไปใชง าน ประโยชนของโปรแกรม Google Earth เปนโปรแกรมที่สามารถดูแผนท่ีไดทุกมุมโลก ประหนึ่งวาเราเปนผูควบคุมและขับเคล่ือนดาวเทียมเอง ประโยชนโดยตรงท่ีไดรับคอื ไดค วามรทู างภูมศิ าสตร ขอ มูลเรือ่ งการทอ งเท่ียว การเดินทาง การจราจร ดา นทีพ่ กั เปน ตน การคน หาเปา หมายที่กาํ หนดจากโปรแกรม Google Map หรอื Google Earthทําไดโดยการพิมพชื่อสถานที่สําคัญลงไปในชองคนหา สถานที่สําคัญอาจระบุช่ือสถานที่หมูบา น ตาํ บล อําเภอ จังหวัด เชน การคน หาตาํ แหนงวัดศรชี ุม ในอุทยานประวตั ศิ าสตรส ุโขทยั โดยใช Google Earth 1) เปดโปรแกรม Google Earth จากสมารท โฟน จะปรากฏหนาจอดังภาพ

130 2) แตะท่ีเครอื่ งหมายคน หา (รูปแวน ขยาย) พิมพค ําวา “วัดศรชี ุม” หนา จอจะเปนดังภาพ 3) กดเลือกวัดศรีชุม อุทยานประวัติศาสตรสุโขทัย จะปรากฏดังภาพ ซ่ึงผูใชสามารถขยายดภู าพทางอากาศไดโดยละเอียด

131 การใชม ุมมอง 3D และมุมมอง Street View บน Google Earth ถาสังเกตตรงมุมดานลางซายลางของจอสมารท โฟน จะมเี มนสู าํ คญั ดงั ภาพ ปุมมุมมอง 3D เปนเมนูท่ีใชดูภาพทางอากาศในลกั ษณะ 3 มิติ เสมือนมองจากดานบนทํามุมเฉยี งลงมาขา งลา ง ปุมมุมมอง Street View เปนเมนูที่ใชดูภาพถาย สถานท่ีจรงิ ของทีแ่ หง น้ัน (เปนภาพที่โปรแกรมบันทึกไวอาจ ไมใชภ าพปจ จบุ ัน) เมอื่ แตะจะปรากฏเสนสนี ํ้าเงิน (หากไมมี เสน สีนาํ้ เงินปรากฏขึ้นแสดงวา ไมมีภาพถายของสถานที่นั้น) เม่ือแตะตรงตําแหนงใดของแผนท่ี โปรแกรมจะ นําผูใชเขาไปยังสถานท่ีแหงน้ัน เสมือนวากําลังเดินอยู บรเิ วณนั้นจริง ๆ ภาพจากมุมมอง Street View เสมอื นผูใ ชเ ขา ไปเดิน ในวดั ศรีชุม อุทยานประวัติศาสตรส ุโขทยั จริง ๆ ผูเรียนจะใชงานไดแคลวคลองขึ้น ดวยการลองคนหาสถานท่ีที่คุนเคย โดยทําตามขั้นตอนขา งตน และฝกใชม ุมมอง 2D มุมมอง 3D มุมมอง Street Viewกจิ กรรมทา ยเรอื่ งท่ี 3 การใช Google Map และ Google Earth(ใหผ เู รียนไปทาํ กิจกรรมทา ยเรื่องที่ 3 ทีส่ มุดบันทกึ กจิ กรรมการเรียนรปู ระกอบชดุ วิชา)

132เรือ่ งที่ 4 เงือ่ นเชอื กและการผกู แนน 4.1 ความหมายของเงอ่ื นเชอื กและการผกู แนน เงื่อนเชือก หมายถึง การนําเชือกมาผูกกันเปนเง่ือน เปนปม สําหรับตอเชือกเขา ดว ยกัน หรือทาํ เปน บว ง สาํ หรับคลองหรือสวมกับเสา หรือใชผูกกับวัตถุ สําหรับผูกใหแนนใชรงั้ ใหต งึ ไมหลดุ งาย แตสามารถแกป มไดง าย 4.2 ความสําคญั ของเง่ือนเชือกและการผกู แนน กิจกรรมลูกเสือ เปนกิจกรรมหน่ึงที่ตองการใหลูกเสือรูจักใชวัสดุท่ีมีอยูตามธรรมชาติ เพอ่ื การดาํ รงความเปนอยอู ยางอสิ ระและพึง่ พาตนเองใหมากที่สดุ 4.3 การผูกเงื่อนเชือกและการผูกแนน เปนศาสตรและศิลปอยางหนึ่งที่ลูกเสือจําเปนตองเรียนรูเม่ือเขารวมกิจกรรมในการอยูคายพักแรม การสรางฐานกิจกรรมผจญภัยการตัง้ คายพกั แรม รวมทั้งการใชงานเงื่อนในการชวยผเู จ็บปว ยได การเรียนรูเ รอ่ื งเง่อื นเชือกและการผกู แนน จะตอ งจดจํา ปฏบิ ตั ไิ ดห าก ผดิ พลาดไปหลุดหรือขาดก็จะเปนอันตรายตอชีวิต และสิ่งของเสียหาย ขอแนะนําใหทุกคนท่ีตองการนําไปใชตอ งหม่นั ฝกฝน ศกึ ษาหาความรู ผกู เชือกใหเปน นําไปใชงานใหไดถึงคราวจําเปนจะไดใชใหเกิดประโยชน วธิ ีการผกู เงือ่ นเชอื กแบงออกเปนลักษณะการใชง านได 3 หมวด 10 เงอื่ น ดังน้ี 1. หมวดตอเชอื ก สําหรับการตอเชอื กเพือ่ ตอ งการใหค วามยาวของเชือกเพ่ิมข้ึนแตเนื่องจากเชือกในการกูภัยน้ันมีลักษณะและขนาดที่แตกตางกัน จึงจําเปนตองมีวิธีการผูกเงอ่ื นทีแ่ ตกตางกนั จาํ นวน 3 เงื่อน ดังนี้ 1.1 เง่ือนพิรอด (Reef Knot หรอื Square Knot) 1.2 เงอ่ื นขดั สมาธิ (Sheet Bend) 1.3 เง่อื นประมง (Fisherman’s Knot) 2. หมวดผูกแนนฉุดลาก ร้ัง สําหรับการผูกวัสดุที่ตองการจะเคล่ือนยายหรือยึดตรึงอยูกับท่ี แตเน่ืองจากวัสดุที่ตองการจะผูกน้ันมีลักษณะรูปทรงและขนาดท่ีแตกตางกันจึงจาํ เปนตองมีวธิ กี ารผูกเง่อื นที่แตกตางกัน จํานวน 3 เงื่อน ดงั น้ี 2.1 เงอ่ื นผูกรน (Sheep Shank) 2.2 เงอ่ื นตะกรุดเบด็ (Clove Hitch) 2.3 เงอ่ื นผกู ซงุ (Timber Hitch) 3. หมวดชวยชีวิต สําหรับการชวยเหลือผูประสบภัยในกรณีตาง ๆ ขึ้นอยูกับสถานทแ่ี ละสถานการณ จึงตองมีวธิ ีการผูกเงอ่ื นใหเหมาะสมกบั งานจํานวน 4 เงื่อน ดังน้ี 3.1 เงอ่ื นเกาอ้ี (Fireman’s Chair Knot) 3.2 เงือ่ นบวงสายธนู (Bowline Bend) 3.3 เงื่อนขโมย (Knot Steal) 3.4 เงอ่ื นบนั ไดปม (Ladder knot)

133 การผูกเง่อื นเชือก การผกู เงอื่ นท่สี ําคญั และควรเรยี นรู มีดงั นี้ 1) เง่ือนพิรอด (Reef Knot หรือ Square Knot) เปนเงื่อนสัญลักษณในเครื่องหมายลกู เสอื โลก แสดงถึงความเปน พ่นี อ งกันของขบวนการลูกเสือท่ัวโลก และแทนความสามัคคีของลูกเสือ มีขั้นตอนการผกู ดงั นี้ ขั้นท่ี 1 ปลายเชอื กดา นซายทบั ดา นขวา ขน้ั ที่ 2 ออมปลายเชอื กดา นซายลงใตเสน เชือกดา นขวาใหป ลายเชอื กต้ังขึน้ แลว รวบปลายเชอื กเขา หากนั โดยใหดา นขวาทบั ดา นซาย ขน้ั ที่ 3 ยอมปลายเชอื กขวามอื ลอดใตเ สน ซายมอื จดั เงอ่ื นใหเรยี บรอย ประโยชน (1) ใชตอ เชอื ก 2 เสน มีขนาดเทา กนั เหนยี วเทากนั (2) ใชผ กู ปลายเชอื กเสน เดยี วกนั เพอ่ื ผูกมัดหอสิ่งของและวัตถตุ า ง ๆ (3) ใชผ ูกเชอื กรองเทา (ผูกเงอ่ื นพริ อดกระตกุ ปลาย 2 ขาง) (4) ใชผูกโบ ผูกชายผาพันแผล (Bandage) ผูกชายผาทําสลิงคลองคอ ใชผูกปลายเชือกกากบาทญ่ปี นุ (5) ใชตอผาเพ่ือใหไดความยาวตามตองการ ควรเปนผาเหนียว ในกรณีท่ีไมมีเชอื ก เชน ตอผาปูท่ีนอน เพื่อใชชวยคนในยามฉุกเฉินเม่ือเวลาเกิดเพลิงไหม ใชชวยคนท่ีติดอยูบนทส่ี ูง โดยใชผา พันคอลูกเสือตอ กัน

134 2) เงอื่ นขดั สมาธิ (Sheet Bend) ขน้ั ที่ 1 งอเชือกเสน ใหญใ หเ ปนบวง สอดปลายเสน เล็กเขา ในบว งโดยสอดจาก ขางลาง ขั้นท่ี 2 มวนเสน เลก็ ลงออมดา นหลงั เสนใหญทั้งคู ขนั้ ท่ี 3 จบั ปลายเสนเลก็ ขึน้ ไปลอดเสน ตัวเองเปนการขดั ไว จัดเงอ่ื นใหแนน และ เรยี บรอ ย ประโยชน (1) ใชต อ เชือกทีม่ ขี นาดเดียวกนั หรือขนาดตางกนั (เสน เล็กพนั ขัดเสน ใหญ) (2) ใชตอเชือกออนกับเชือกแข็ง (เอาเสนออนพันขัดเสนแข็ง) ตอเชือกที่มีลกั ษณะคอนขา งแขง็ เชน เถาวัลย (3) ใชตอ ดา ย ตอ เสน ดายเสนไหมทอผา (Weaver’s Knot) (4) ใชผ ูกกับขอ หรอื บว ง (Becket Hitches) (5) ใช Bending the Sheet หรือ Controlling Rope ท่ีปราศจากมุมของใบเรือสาํ หรับเรือเล็ก ๆ

1353) เงือ่ นกระหวัดไม ขัน้ ที่ 1 ออ มปลายเชอื กไปคลอ งหลกั หรือราวหรอื บวง ใหปลายเชอื กอยขู างบน เสน เชอื ก ขัน้ ท่ี 2 สอดปลายเชอื กลอดใตเ ชือกเขา ไป ขั้นที่ 3 ออ มปลายเชือกขา มเสนท่เี ปน บว งและเสนท่ีเปน ตวั เชือก ขัน้ ที่ 4 สอดปลายเชอื กลอดใตต วั เชอื ก เลยขามไปเสนบว งจดั เงอ่ื นใหเ รยี บรอ ย

136 ประโยชน (1) ใชล ามสตั วเ ล้ยี งไวก ับหลัก (2) ใชผูกเรือแพ (3) เปน เง่อื นผกู งายแกง า ย4) เงื่อนบวงสายธนู ขัน้ ที่ 1 ขดเชอื กใหเปนบวงคลายเลข 6 ถอื ไวดว ยมือซา ยข้นั ที่ 2 มอื ขวาจับปลายเชือกสอดเขาไปในบวง (สอดจากดานลา ง)ข้นั ท่ี 3 จบั ปลายเชอื กออ มหลังตัวเลข 6 แลวสอดปลายลงในบวงหัวเลข 6 จัดเงื่อน ใหแนนและเรียบรอ ย

137 ประโยชน (1) ทาํ บวงคลอ งกับวตั ถหุ รอื เสาหลัก เชน ผกู เรือแพไวก ับหลกั ทาํ ใหเรอื แพข้นึ ลงตามนา้ํ ได (2) ใชทาํ บวงผกู สัตว เชน วัว ควาย ไวก ับหลกั หรือตนไม ทาํ ใหส ตั วเ ดนิ หมุนไดรอบ ๆ หลักหรือตนไม เชือกไมพ ัน หรือรัดคอสัตว (3) ใชแทนเงื่อนเกาอี้สําหรับใหคนน่ัง หรือคลองคนหยอนลงไปในท่ีตํ่าหรือดึงข้นึ ไปสทู ่ีสงู (4) ใชคลองคันธนู (5) ใชทําบว งตอเชอื ก หรอื ใชทาํ บวงบาท 5) เงอื่ นตะกรดุ เบ็ด ขน้ั ที่ 1 พันเชือกใหเปนบว งสลับกนั ขนั้ ที่ 2 เลือ่ นบว งใหเ ขา ไปซอน (รูป ก) จนทับกันเปน บวงเดยี วกนั (รปู ข)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook