Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เครื่องล่างรถยนต์

เครื่องล่างรถยนต์

Published by วีรพล คนบ้านพรต, 2022-04-06 08:06:29

Description: เครื่องล่างรถยนต์

Search

Read the Text Version

65 แบบฝึกหดั (ครุศาสตร์เคร่อื งกล) ช่ือวิชา ระบบเครื่องลา่ งและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหสั วชิ า 3-122-120 ช่อื หน่วย ขบวนการสง่ กาลงั เฟอื งท้าย สัปดาหท์ ่ี 8 หน่วยย่อยท่ี 4.1-4.2 จานวน 6 ชัว่ โมง คาสงั่ : จงทาเคร่ืองหมายกากบาท (x) ลงในคาตอบที่ถูกที่สดุ เพียงข้อเดียว 1. ชิน้ สว่ นใดทร่ี บั แรงขบั โดยตรงจากเพลากลาง ก. เฟอื งวงแหวน ข. เฟืองดอกจอก ค. เฟืองเดอื ยหมู ง. เฟืองขบั เพลา 2. หนา้ ของชดุ เฟืองท้ายคืออะไร ก. เปลยี่ นทศิ ทางการหมนุ เพลากลาง ข. ลดอตั ราทดจากกระปุกเกยี รอ์ ีก ค. เปลยี่ นทิศทางการเคล่ือนที่ ง. เพ่ิมอตั ราทดจากกระปุกเกยี ร์อีก 3. ทาไมอัตราทดเฟืองวงแหวนกับเฝอื งเดือยหมูไม่เป็นเลขลงตัวพอดี ก. ลดเสยี งดังในการทางาน ข. ลดการสกึ หรอของฟนั เฟอื ง ค. ลดความเร็วรอบเครื่องยนต์ ง. ลดการสกึ หรอของลูกปนื 4. เฟืองใดทาหนา้ ที่สมดลุ ความเร็วรอบลอ้ ซา้ ยกับลอ้ ขวาขณะรถเลี้ยว ก. เฟืองเดอื ยหมู ข. เฟอื งวงแหวน ค. เฟืองดอกจอก ง. เฟอื งขับเพลาข้าง 5. อตั ราทดเฟืองท้ายควรเป็นเท่าใด ก. 3 : 1 ข. 4 : 1 ค. 4.56 : 1 ง. 5 : 1

66 เฉลยแบบฝกึ หดั (ครุศาสตรเ์ คร่ืองกล) ชอื่ วิชา ระบบเครอ่ื งลา่ งและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหสั วิชา 3-122-120 ช่ือหน่วย ขบวนการสง่ กาลงั เฟอื งทา้ ย สัปดาหท์ ่ี 8 หนว่ ยยอ่ ยที่ 4.1-4.2 จานวน 6 ชั่วโมง คาสงั่ : จงทาเครื่องหมายกากบาท (x) ลงในคาตอบที่ถูกที่สดุ เพยี งข้อเดยี ว 1. ช้ินส่วนใดทร่ี ับแรงขับโดยตรงจากเพลากลาง ก. เฟืองวงแหวน ข. เฟืองดอกจอก ค. เฟอื งเดือยหมู ง. เฟืองขับเพลา 2. หน้าของชดุ เฟอื งทา้ ยคืออะไร ก. เปล่ียนทิศทางการหมุนเพลากลาง ข. ลดอตั ราทดจากกระปุกเกยี รอ์ ีก ค. เปลย่ี นทิศทางการเคลื่อนท่ี ง. เพม่ิ อตั ราทดจากกระปกุ เกียร์อกี 3. ทาไมอตั ราทดเฟืองวงแหวนกับเฝอื งเดือยหมูไมเ่ ป็นเลขลงตัวพอดี ก. ลดเสียงดังในการทางาน ข. ลดการสกึ หรอของฟันเฟือง ค. ลดความเรว็ รอบเคร่ืองยนต์ ง. ลดการสึกหรอของลูกปืน 4. เฟอื งใดทาหน้าที่สมดลุ ความเรว็ รอบล้อซา้ ยกับล้อขวาขณะรถเล้ยี ว ก. เฟอื งเดอื ยหมู ข. เฟอื งวงแหวน ค. เฟืองดอกจอก ง. เฟืองขับเพลาข้าง 5. อตั ราทดเฟืองท้ายควรเปน็ เท่าใด ก. 3 : 1 ข. 4 : 1 ค. 4.56 : 1 ง. 5 : 1

67 ใบมอบหมายงาน (ครุศาสตรเ์ คร่ืองกล) ชอ่ื วิชา ระบบเครือ่ งลา่ งและระบบส่งกาลังยานยนต์ รหสั วิชา 3-122-120 ชื่อหน่วย ขบวนการส่งกาลงั เฟอื งทา้ ย สปั ดาหท์ ่ี 8 หนว่ ยย่อยท่ี 4.1-4.2 จานวน 6 ช่ัวโมง ใบงานที่ 4.1 เรือ่ ง งานถอดเพลากลางออกจากรถ จุดประสงคท์ ่ัวไป เพือ่ ใหน้ กั เรียนมีทกั ษะการถอดเพลากลางออกจากรถ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1.ถอดเพลากลางออกจากรถได้ 2.ใชเ้ คร่ืองมือท่ัวไปและเคร่อื งมอื พเิ ศษได้ เคร่อื งและอุกรณ์ 1.รถยนต์ 2.เคร่อื งมือพิเศษ 3.เครือ่ งมือชา่ งยนต์ทวั่ ไป

68 ใบงานที่ 4.2 เร่อื ง งานถอดหนา้ แปลนเฟอื งเดือยหมู จุดประสงค์ท่ัวไป เพ่อื ใหน้ ักเรยี นมีทกั ษะการถอดหน้าแปลนเฟืองเดือยหมู จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1.ถอดเฟอื งเดือยหมูได้ 2.ใชเ้ ครอื่ งมือท่ัวไปและเครอื่ งมอื พิเศษได้ เคร่ืองและอกุ รณ์ 1.รถยนต์ 2.เคร่อื งมือพิเศษ 3.เครอ่ื งมือชา่ งยนต์ท่วั ไป

69 ใบขั้นตอนการปฏิบตั ิงาน (ครุศาสตรเ์ คร่อื งกล) ชือ่ วิชา ระบบเครื่องล่างและระบบส่งกาลังยานยนต์ รหสั วิชา 3-122-120 ชอ่ื หน่วย ขบวนการส่งกาลงั เฟอื งท้าย สัปดาห์ท่ี 8 หนว่ ยย่อยที่ 4.1-4.2 จานวน 6 ชั่วโมง ใบงานที่ 4.1 เรื่อง งานถอดเพลากลางออกจากรถ ขน้ั ตอนการถอดเพลากลางออกจากรถ -ทาเครื่องหมายการประกอบท่ีหน้าแปลนเพลากลาง -ถอดนอตสกรูยึดหนา้ แปลนเพลากลางออกหมดทุกตวั -ถอดเพลากลางออกจากรถ

70 ใบงานท่ี 4.2 เรอ่ื ง งานถอดหน้าแปลนเฟืองเดือยหมู ข้นั ตอนการถอดหนา้ แปลนเฟืองเดือยหมู -ประกอบเหล็กดูดหน้าแปลนเข้าหน้าแปลนเฟืองเดือยหมดู ว้ ยสกรูและขันแน่น -ขนั เกลียวดูดให้หนา้ แปลนเฟืองเดือยหมหู ลดุ ออก

71 แผนการจัดการเรยี นรู้ (ครุศาสตร์เครอ่ื งกล) ช่ือวิชา ระบบเคร่ืองลา่ งและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหัสวชิ า 3-122-120 ช่อื หน่วย ระบบรองรบั นา้ หนัก สปั ดาห์ที่ 9-10 หน่วยยอ่ ย5.1-5.3 จานวน 6 ชว่ั โมง แนวคิด สาระการเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารสอน หนว่ ยยอ่ ย 5.1 แบบของระบบรองรับนา้ หนกั หนว่ ยยอ่ ยที่ 5.1 อธบิ ายแบบของระบบรองนา้ หนกั ได้ หนว่ ยยอ่ ย 5.2 ระบบรองรบั นา้ หนักหน้า-หลัง หนว่ ยยอ่ ยที่ 5.2 อธบิ ายความแตกต่างระหว่างระบบ หนว่ ยย่อย 5.3 การถอดประกอบระบบรองรบั น้าหนกั รองรับนา้ หนกั หน้าและหลังได้ หน่วยย่อยที่ 5.3 ถอดประกอบระบบรองรับน้าหนัก กจิ กรรมการเรยี นการสอน กจิ กรรมนักเรียน กิจกรรมครู 1.ขน้ั นาเข้าส้บู ทเรยี น 1.ขัน้ นาเขา้ ส้บู ทเรียน - ครูถามคาถามให้นักเรยี นแสดงความคิดเหน็ ถามข้อ - นกั เรยี นตอบคาถามแสดงความคดิ เหน็ ถามข้อสงสัย สงสัย 2.ข้ันการสอน 2.ขน้ั การสอน 1. นักเรียนฟงั การปฐมนิเทศ และถามข้อสงสัย 1. ครูแจกแบบประเมนิ ก่อนเรียนให้นักเรียนทาแบบ 2. นักเรียนทาแบบประเมินผลกอ่ นเรยี น ประเมนิ 3. ศึกษาเอกสารประกอบการสอน 2. ครูแจกใบเน้ือหา อธบิ ายความหมายความสาคัญ 4. ฟังการบรรยาย และบนั ทึกสรปุ สาระสาคญั ของ เนอื้ หาสาระ ในหัวข้อต่าง ๆ ในเอกสารประกอบการ สอน หัวข้อต่าง ๆ 3. แจกแบบฝกึ หดั ให้กับนักเรยี นทาแบบฝกึ หัด 5. ซักถาม ข้อสงสยั ในเน้ือหาสาระตา่ ง ๆ 4. แจกแบบประเมินผลหลังเรียนใหก้ ับผู้เรยี นทา 6. ปฏิบัติงานตามใบงาน สรปุ รายงานผลการ แบบทดสอบ 5. มอบหมายงานให้นักเรียนปฏิบัตงิ านตามใบงาน ปฏบิ ัติงาน และนาเสนอผลงานสง่ ครู และควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของนักเรยี น 7. ทาแบบฝึกหัด 8. ทาแบบประเมนิ ผลกอ่ นเรียนและหลงั เรียน การวัดและการประเมินผล เครือ่ งมือวดั ผล วธิ ีวดั ผล 1. จากแบบฝกึ หัด 1. ก่อนเรยี น:วัดผลและประเมนิ ผลโดยทาแบบทดสอบ 2. แบบประเมนิ ผลก่อนเรียนและหลังเรียน 2. ขณะเรียน วัดและประเมินผลโดยการถามตอบ 3. ประเมินผลจากการปฏิบัติงานตามใบงาน วัดคุณธรรมจริยธรรม 3. หลังเรียน: วดั และประเมินผลโดยทาแบบทดสอบ

72 เกณฑ์การประเมินผล ผเู้ รยี นสามารถปฏิบตั ิงานทไี่ ดร้ ับมอบหมายได้อย่างถกู ต้อง งานท่ีมอบหมาย แบบฝึกหัด ส่ือการเรียนและการสอน และอปุ กรณ์ช่วยฝึก 1. เอกสารประกอบการสอน 2. สื่อจรงิ 3. แบบฝึกหัด / แบบประเมนิ ผล / ใบงาน 4. เครือ่ งมือและอุปกรณ์ของจรงิ หนังสืออา้ งองิ ประสานพงษ์ หาเรือนชพี . 2011. งานสง่ กาลงั รถยนต์.นครราชสมี า

73 ใบเน้อื หา (ครศุ าสตรเ์ ครอ่ื งกล) ชื่อวิชา ระบบเครอ่ื งลา่ งและระบบส่งกาลังยานยนต์ รหสั วชิ า 3-122-120 ชื่อหน่วย ระบบรองรบั นา้ หนัก สัปดาห์ท่ี 9-10 หน่วยย่อยท่ี 5.1 จานวน 6 ช่วั โมง วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 5.1.1 อธบิ ายแบบของระบบรองน้าหนักได้ 5.2.1 อธิบายความแตกต่างระหว่างระบบรองรบั น้าหนักหน้าและหลังได้ 5.3.1 อธบิ ายการถอดประกอบระบบรองรับน้าหนักได้ 5.1 ระบบรองรับนา้ หนัก (Suspension System) ระบบรองน้ำหนกั (Suspension System) หมำยถึง ระบบกำรใชส้ ปริง โชก้ อพั และแกนต่อต่ำงๆ ท่ีใชเ้ ป็นตวั รองรับหรือคนั่ กลำงระหวำ่ งโครงรถ (Frame) ตวั ถงั (Body)เครื่องยนตแ์ ละระบบขบั เคลื่อน ก่อนที่ จะส่งผำ่ นไป ยงั ลอ้ รถและทำหนำ้ ที่ลดแรกกระแทก เมื่อถนนขรุขระระบบรองรับน้ำหนกั มีหลำย แบบแตล่ ะ แบบทำหนำ้ ท่ีรับ น้ำหนกั ของอุปกรณ์ตลอดจนน้ำหนกั บรรทุกซ่ึงจะอยดู่ ำ้ นบนสปริงเรียกวำ่ น้ำหนกั เหนือ สปริง (Sprung Weight) ส่วนน้ำหนกั ใตส้ ปริง (Unsprung Weight) เป็ นน้ำหนกั ที่สปริงไม่ ไดร้ องรับน้ำหนกั ส่วนน้ี ไดแ้ ก่ ลอ้ และยำง (Wheel and Tire) ห้ำมลอ้ และชุดเพลำทำ้ ย (Rear Axle) เป็นตน้ หน้าทขี่ องระบบรองรับนา้ หนัก ระบบรองรับน้ำหนกั มีหนำ้ ท่ีสำคญั ๆ ไดแ้ ก่ 1. รองรับน้ำหนกั เหนือสปริงและน้ำหนกั บรรทุกโดยที่สปริงจะทำหนำ้ ท่ีลดกำรสน่ั สะเทือนอนั เนื่อง จำกควำมไมร่ ำบเรียบของพ้นื ผวิ ถนน (Road Shock) 2.ช่วยใหก้ ำรบงั คบั รถมีประสิทธิภำพ กำรท่ีรถไม่สั่นสะเทือนกจ็ ะทำใหส้ ิ่งของท่ีบรรทุกไมเ่ สียหำย 3.ลดควำมเคน้ ที่เกิดข้ึนกบั ชิ้นส่วนรถยนตอ์ นั เนื่องมำจำกกำรกระแทกจำกพ้นื ผวิ ถนน 4.รักษำสมดุลตวั ถงั รถใหว้ ง่ิ ไปบนถนนในทุกสภำพ ไม่วำ่ รถจะวงิ่ บนถนนขรุขระมำกนอ้ ยเพยี งใด 5.ลดอำกำรโคลง (Rolling) และกำรโยนตวั ของตวั ถงั (Pitching) ท่ีเกิดข้ึนใหน้ อ้ ยท่ีสุด หลกั กำรของระบบรองรับน้ำหนกั รถยนตม์ ีดงั น้ี คือ 1.ลดอำกำรโคลงและกำรโยนตวั ของตวั ถงั รถ โดยกำรใชแ้ ละตดต้งั ขนำดของสปริงอยำ่ งเหมำะสม 2.ใชเ้ คร่ืองผอ่ นกำรสะเทือนร่วมกบั สปริง 3.ลดน้ำหนกั ใตส้ ปริง(UnsprungWeight)ให้เหลือนอ้ ยท่ีสุดเพ่อื ไม่ใหส้ ่งแรงกระแทกไปยงั ตวั ถงั และ คน ที่นงั่ ในรถ

74 สาเหตุทต่ี วั ถังรถสั่นสะเทือน กำรท่ีตวั ถงั รถเกิดกำรสั่นสะเทือนเป็ นผลสืบเนื่องมำจำกน้ำหนกั บรรทุก สภำพของพ้ืนผวิ ถนน น้ำหนกั ท่ีถูก รองรับและน้ำหนกั ท่ีไม่ถูกรองรับตวั ถงั รถยนตจ์ ะถูกรองรับดว้ ยสปริงน้ำหนกั ของตวั ถงั และส่วนประกอบอ่ืนๆ ท่ีถูกรองรับดว้ ยสปริงน้นั เรียกวำ่ น้ำหนกั เหนือสปริงหรือสปรังเวตส่วนที่ไม่ไดถ้ ูกรองรับดว้ ย สปริงเช่นลอ้ เพลำ และส่วนอ่ืนๆ เรียกวำ่ น้ำหนกั ใตส้ ปริงหรืออนั สปรังเวตโดยทวั่ ไปน้ำหนกั เหนือสปริงจะมี มำกกวำ่ น้ำหนกั ใต้ สปริง ซ่ึงจะทำใหเ้ กิดควำมน่ิมนวลในกำรขบั ข่ีและมีเสถียรภำพท่ีดีกวำ่ อำกำรสัน่ สะเทือน และกำรโคลงของ ตวั ถงั รถจำแนกออกไดด้ งั น้ี 1.อาการส่ันสะเทือกทเ่ี กดิ จากนา้ หนักเหนือสปริง (Sprung Weight) จะทำใหเ้ กิดอำกำรดงั น้ี 1.1กำรโคลงตวั (Rolling) เป็ นอำกำรท่ีเกิดจำกกำรยดื และยบุ ตวั ของสปริงท้งั สองดำ้ นไม่เทำ่ กนั คือ ดำ้ นหน่ึงยดื และอีกดำ้ นยบุ 1.2กำรเตน้ (Bouncing)เป็นอำกำรเคล่ือนตวั ของตวั ถงั รถกำรเตน้ ของตวั ถงั รถเกิดจำกกำรที่รถวง่ิ ดว้ ย ควำมเร็วสูงบนถนนที่คล่ืน 1.3กำรส่ำย(Yawing)เป็ นอำกำรเคลื่อนตวั ของตวั ถงั รถในลกั ษณะข้ึนลงไปทำงดำ้ นซำ้ ยและขวำ มกั จะเกิดข้ึนหร้อมกบั กำรกระดอนของตวั ถงั รถ 1.4กำรกระดอน(Upspring)เป็นอำกำรส่นั สะเทือนท่ีเกิดข้ึนในลกั ษณะข้ึนลงดำ้ นหนำ้ และดำ้ นหลงั ของ ตวั ถงั รถ 2.อาการสั่นสะเทือนทเี่ กดิ จากนา้ หนักใต้สปริง (Unsprung Weight) จะทำให้เกิดอำกำรดงั น้ี 2.1กำรมว้ นตวั ของแหนบ(WindUp)เป็นอำกำรส่นั สะเทือนท่ีเกิดจำกแหนบของระบบรองรับท่ี พยำยำมจะมว้ นตวั เองไปรอบๆ เพลำ ในขณะขบั เคลื่อน 2.2กำรกระดอน(Traming)เป็ นอำกำรสัน่ สะเทือนของลอ้ รถท้งั ดำ้ นซำ้ ยและดำ้ นขวำอำกำรกระดอน ของลอ้ มกั จะเกิดข้ึนไดง้ ่ำยกบั รถยนตท์ ่ีใชร้ ะบบรองรับคำนแขง็ 2.3กำรกระโดด(Hopping)เป็ นอำกำรสั่นสะเทือนที่เกิดจำกลอ้ รถเตน้ ข้ึนลงซ่ึงมกั จะเกิดข้ึนเมื่อรถวงิ่ บนถนนที่พ้นื ผวิ ถนนเป็นลูกคล่ืนและขบั ข่ีผำ่ นดว้ ยควำมเร็วสูง

75 คุณสมบตั ิของสปริง โครงรถทำหนำ้ ที่รองรับน้ำหนกั ของเคร่ืองยนตต์ วั ถงั ชุดส่งกำลงั และน้ำหนกั บรรทุกส่วนสปริงจะทำ หนำ้ ที่รับน้ำหนกั ต่ำงๆเหล่ำน้ีอีกต่อหน่ึงสปริงจะยบุ หรือยดื ตวั เม่ือลอ้ วงิ่ ผำ่ นพ้นื ผวิ ถนนขรุขระกำรที่ลอ้ เคลื่อที่ข้ึนลงไดเ้ กือบอิสระจำกโคตรงรถทำใหส้ ำมำรถรับหรือลดแรงดนั ของลอ้ ไดเ้ ป็ นอยำ่ งดีสปริงที่นำมำ ใช้ ในระบบรองรับน้ำหนกั จะตอ้ งมีคุณสมบตั ิดงั น้ี 1.กำรยดื หยนุ่ (Elasticity) วสั ดุท่ีทำจำกยำงเม่ือมีแรงมำกระทำเกิดควำมเคน้ ข้ึนทำใหร้ ูปร่ำงยำงเปล่ียนแปลงไปแต่เม่ือเอำแรงที่มำ กระทำน้นั ออกไป ควำมเคน้ กจ็ ะหมดไป ทำใหย้ ำงคืนสภำพดงั เดิม เรียกคุณสมบตั ิน้ีวำ่ กำรยดื หยนุ่ 2.อตั รำสปริง (Spring Rate) คือ คำ่ ตวั เลขน้ำหนกั รองรับท่ีกดบนสปริงและทำใหส้ ปริงยบุ ตวั 1 นิ้วอตั รำสปริงมีหน่วย เป็นปอนด/์ นิ้ว หรือกิโลกรัม/เซนติเมตร อตั รำสปริงที่ใชก้ บั รถยนตจ์ ะมีคำ่ เกือบคงท่ีตลอดช่วงกำรทำงำน 3.กำรเตน้ ของสปริง (Spring Throb) ขณะท่ีรถวง่ิ ลอ้ รถปะทะหรือชนกบั ส่ิงกีดขวำงข้ึนสปริงของรถจะถูกอดั ตวั อยำ่ งรวดเร็วและพยำยำมที่จะ กลบั คืนสู่สภำพปกติเป็นเหตุใหต้ วั ถงั รถถูกดนั ใหย้ กตวั ลอยข้ึนขณะที่สปริงถูกอดั ตวั จะดูดซบั พลงั งำน เอำไวแ้ ละเมื่อคำยพลงั งำนท่ีสะสมออกไปจึงทำใหเ้ กิดกำรกระเดง้ ข้ึนและจำกกำรเคลื่อนตวั ของรถจึงทำให้ สปริงยดื ตวั เรำจะเรียกวำ่ กำรเตน้ ของสปริง และจะเกิดข้ึนซ้ำกนั หลำยๆ คร้ัง แต่อำกำรเตน้ คร้ังตอ่ ๆ มำจะเกิด

76 แรงนอ้ ยกวำ่ คร้ังแรกๆ จะกระทงั่ หยดุ เตน้ ในที่สุด สปริงจึงมีควำมสำคญั ต่อระบบรองรับของรถ ชนิดของสปริง สปริงท่ีใชส้ ำหรับรองรับน้ำหนกั รถยนต์ โดยทว่ั ไปจะเป็นแบบแหนบ (Leaf Spring) สปริงขด (Coil Spring) สปริงลม (Air Spring) สปริงยำง (Rubber Spring) สปริงไฮโดรลำสติก (Hydrolastic Spring) หรือไฮโดร นิวแมติก (Hydro-Pneumatic) ซ่ึงแตล่ ะแบบคุณสมบตั ิควำมเหมำะสมกบั กำรใชง้ ำนแตกตำ่ งกนั สปริงท่ีใชก้ นั อยู่ โดยทว่ั ไป ไดแ้ ก่ 1.แหนบ (Leaf Spring) แหนบจะรับน้ำหนกั และแรงส่นั สะเทือนโดยแผน่ แหนบจะโคง้ หรืองอตวั (Bending) แหนบมี 2 แบบ คือ 1.1แหนบหลำยแผน่ (Multileaf Spring) เป็นแหนบที่ทำดว้ ยเหลก็ กลำ้ สำหรับสปริงแหนบจะมี ลกั ษณะเป็นแผน่ วำงซอ้ นกนั เป็นตบั โดยมีควำมยำวของแตล่ ะแผน่ ไมเ่ ทำ่ กนั แผน่ บนสุดจะยำวที่สุด ตรงปลำยมี ส่วนท่ีโคง้ งอ เรียกวำ่ แหนบหู 1.2แหนบแผน่ เดียว (Single-Leaf Spring) เรียกไดอ้ ีกอยำ่ งหน่ึงวำ่ แหนบแผน่ เรียวโดยตรงกลำงของ แผน่ แหนบจะหนำและค่อยๆเรียวไปยงั ปลำยแหนบท้งั สองขำ้ งแหนบชนิกน้ีจะใชก้ บั ลอ้ หลงั รถยนตก์ ำรติดต้งั เขำ้ กบั โครงรถจะมีลกั ณษะเหมือนแหนบแบบ หำลยแผน่ 2.สปริงขด (Coil Springs) สปริงขดจะรับน้ำหนกั โดยกำรหดหรือยบุ ตวั (Compressing) ของสปริงขดนิยมใชก้ บั รถยนตท์ ว่ั ไป โดยเฉพำะรถที่ใชร้ ะบบกำรรองรับแบบอิสระสปริงขดทำจำกแทง่ เหล็กกลำ้ ผสมกำรขดเป็นสปริงจะตอ้ งนำ แท่ง เหล็กกลำ้ น้ีไปเผำไฟจนกระทง่ั มีอุณหภูมิสูงตำมท่ีกำหนดแลว้ ขดใหเ้ ป็ นรูปร่ำงตำมขนำดท่ีตอ้ งกำร นำไปทำตำม กรรมวธิ ีทำงควำมร้อนหรือกำรชุบเพ่อื ใหส้ ปริงมีควำมยดื หยนุ่ สูงอตั รำรับน้ำหนกั ของสปริงขด ข้ึนอยกู่ บั เส้นผำ่ ศูนยก์ ลำงและควำมยำวของแทง่ เหลก็ กลำ้ ที่ใชท้ ำสปริงถำ้ แทง่ เหลก็ กลำ้ ยำวและเส้นผำ่ ศูนย์ กลำงเล็กควำม ยดื หยนุ่ จะยงิ่ มำกข้ึนควำมยำวของสปริงขดมีควำมยนื หยนุ่ ไดม้ ำกกวำ่ สปริงขดเป็ นชิ้นเดียวจึงไม่มีควำมฝื ด เหมือนกบั แหนบซ่ึงเกิดข้ึนไดร้ ะหวำ่ งแผน่ แหนบซ่ึงทำหนำ้ ท่ีรับแรงตำ่ งๆและยดื ใหเ้ พลำไดศ้ ูนย์ ตลอดเวลำ กำรติดต้งั สปริงขดทำไดง้ ่ำยแขนรองรับอยำ่ งเช่นปี กนกจะมีฐำนนง่ั ของสปริงทำเป็นรูปร่ำงที่พอ เหมำะ กบั ปลำยท้งั สองของสปริงขดจะมีถว้ ยสวมอยเู่ พอื่ ควำมสะดวกในกำรติดต้งั ระบบกำรรองรับน้ำหนกั แบบอิสระ ถว้ ยทำงดำ้ นบนมกั จะประกอบอยภู่ ำยในโครงรถ และถว้ ยทำงดำ้ นล่ำงยดึ ติดแน่นกบั แขนรอง 3.แหนบบดิ หรือทอร์ชันบาร์ (Torsion Bar) บำงคร้ังอำจเรียกวำ่ สปริงแบบเหล็กบิดจะรับแรงส่นั สะเทือนโดยกำรบิดตวั ของเพลำแหนบบิดหรือ แหนบทอร์ชนั บำร์ทำดว้ ยเหล็กกลำ้ สปริงรถยนตบ์ ำงแบบไดน้ ำเอำทอร์ชนั บำร์มำใชแ้ ทนแหนบหรือสปริงขด ในกำรทำงำนของทอร์ชนั บำร์จะอำศยั กำรบิดตวั และกำรคืนตวั กลบั เมื่อลอ้ รถเคลื่อนที่ข้ึนหรือลงจะทำใหท้ อร์ชนั

77 บำร์บิดตวั ไปจำกตำแหน่งเดิมกำรติดต้งั ทอร์ชนั บำร์ส่วนมำกจะใชก้ บั ลอ้ หนำ้ จะมีบำงบริษทั ท่ีใชท้ อร์ชนั บำร์ท้งั ลอ้ หนำ้ หรือลอ้ หลงั เช่น รถโฟลค์ สวำเกนโดยมีทอร์ชนั บำร์ขำ้ งละทอ่ นติดต้งั ตำมยำวของโครงรถ และท่ีปลำย ดำ้ นหนำ้ จะยดึ ติดกบั ปี กนกล่ำงที่จุดหนุนดำ้ นในส่วนปลำยดำ้ นหลงั จะยดึ กบั หลกั ที่ปรับแต่งได้ รองรับ (Brackets)เชื่อมติดกบั ดำ้ นหลงั โครงรถรองรับอีกท่ีหน่ึงกำรปรับควำมตึงของทอร์ชนั บำร์จะใชส้ ลกั ปรับแตง่ ทำง ปลำยดำ้ นหลงั ทอร์ชนั บำร์มีท้งั ลกั ษณะแบนและกลม โดยปลำยท้งั สองดำ้ นจะเซำะร่องไว้ และสำมำรถติดต้งั ตำมยำวหรือตำมขวำงกบั ตวั รถได้ 4.สปริงลม (Air Spring) เป็นสปริงท่ีใชก้ ำรอดั ตวั ของลม(CompressionofAir)ในถุงลม(AirBags)ซ่ึงจะติดต้งั แทนที่แหนบหรือ สปริงท้งั 4ลอ้ สปริงลมถูกนำมำใชเ้ ป็นระบบรองรับในรถยนตเ์ นื่องจำกสปริงลมเป็ นสปริงท่ีทำงำนอยำ่ งต่อเนื่อง เม่ือลม้ ปะทะส่ิงกีดขวำงหรือหลุมบ่อบนถนนอำกำศจะถูกอดั ตวั และลดกำรสะเทือนจึงทำใหเ้ กิดควำมน่ิมนวล ระบบรองรับค่ำคงที่ของสปริงจะเพิม่ ข้ึนตำมน้ำหนกั บรรทุกไม่วำ่ น้ำหนกั จะเปล่ียนแปลงไปมำกนอ้ ยเพียงใดก็ ตำม เป็นผลทำใหก้ ำรขบั ขี่เป็ นไปดว้ ยควำมนิ่มนวลและยงั รักษำระดบั ควำมสูงของรถใหค้ งท่ีดว้ ยเหตุน้ีสปริงลม จึงจะเป็นตอ้ งมีเครื่องอดั อำกำศหรือปั๊มลมทำหนำ้ ท่ีป้อนอำกำศเขำ้ ระบบซ่ึงมีควำมยงุ่ ยำกมกั ใชก้ บั รถบรรทุก และรถโดยสำรในปัจจุบนั ไดม้ ีกำรนำใชก้ บั รถยนตน์ ง่ั บำงแบบกำรเอำระบบรองรับดว้ ยอำกำศและควบคุมดว้ ย อิเลก็ ทรอนิกส์มำใช้ เพื่อเพม่ิ ควำมน่ิมนวลในกำรขบั ขี่และกำรทรงตวั ท่ีดีในทุกสภำวะของกำรขบั ขี่ 5.ไฮโดรนิวแมตกิ สปริง (Hydro-Pneumatic Spring) สปริงแบบน้ีเป็ นกำรทำงำนร่วมกนั ระหวำ่ งระบบไฮดรอลิกกบั ก๊ำซไนโตรเจนก๊ำซไนโตรเจนจะทำ หนำ้ ที่ แทนสปริงหรือแหนบนระบบรองรับ ส่วนที่เป็ นตุม้ สปริงจะมีลกั ษณะเป็นโลหะรูปทรงกลม และขนั เกลียวติดกบั กระบอกสูบไฮดรอลิก ภำยในลูกตุม้ จะแบง่ ออกเป็น 2 ส่วนคนั่ ดว้ ยแผน่ ไดอะแฟรม ดำ้ นบนบรรจุก๊ำซไนโตรเจน ซ่ึงมีแรงดนั สูง ดำ้ นล่ำงเป็นน้ำมนั จำกระบบไฮดรอลิกมีแรงดนั ท่ีตำ่ งกนั ประมำณ 100และ200บำร์ตำมลำดบั เม่ือ ลดั เคล่ือนที่ป่ ำนวงิ่ กีดขวำงน้ำมนั จะดนั แผน่ ไดอะแฟรมยืดตวั กำรยดื และอดั ตวั ของแผน่ ไดอะแฟรมน้ีจะดูดซบั แรงสน่ั สะเทือนทำใหก้ ำรขบั ขี่นิ่มนวล ไฮโดรนิวแมติกเป็ นระบบกนั สะเทือนท่ีมีขอ้ ดีดงั น้ี 1.ทำใหก้ ำรขบั ข่ีมีควำมน่ิมนวลสูง เสริมน้ำหนกั บรรทุกไดม้ ำก 2.กำรยดื เกำะถนนดี ทำใหม้ ีควำมปลอดภยั ในกำรขบั ข่ี 3.รับระดบั ควำมสูง-ต่ำของรถอตั โนมตั ิ ทำใหก้ ำรทรงตวั ของรถดีทุกสภำพพ้ืนผวิ ถนน 4.ระดบั ของไฟหนำ้ ไมเ่ ปล่ียนแปลงมำกนกั ในกำรขบั ขี่เวลำกลำงคืน 5.ถำ้ ยำงลอ้ ใดเกิดปัญหำ ยงั สำมำรถขบั ข่ีตอ่ ไปได้ หรือทำกำรถอดเปลี่ยนลอ้ ไดง้ ่ำย การรองรับนา้ หนักทลี่ ้อหลงั กำรรองรับน้ำหลกั ท่ีลอ้ หลงั ที่ใชก้ บั รถยนตส์ ่วนใหญ่จะถูกออกแบบใหส้ ำมำรถรับน้ำหนกั ของผโู้ ดยสำร สมั ภำระ และน้ำหนกั บรรทุกไดอ้ ยำ่ งมีประสิทธิภำพ เป็นสำเหตุท่ีสำคญั อนั นำมำซ่ึงปัญหำ คือ ถำ้ ใชส้ ปริงรับ

78 น้ำหนกั ท่ีแขง็ จะรับโหลดบรรทุกไดม้ ำกแต่ควำมแขง็ แรงท่ีมำกเกินไปทำใหร้ ถขำดควำมน่ิม นวล ถำ้ รถน้นั ใช้ สปริงท่ีออ่ นเกินไป ทำใหเ้ กิดภำระที่ตจะไดร้ ับโหลดบรรทุกท่ีทำใหโ้ ชก้ อพั ตอ้ งทำงำนหนกั โดยไมม่ ีผลกระทบ กบั กำรบงั คบั เล้ียวของลอ้ หนำั ซ่ึงกม็ ีอยหู่ ลำยแบบดว้ ยกนั 1.แบบแหนบคู่ขนาน (Parallel Leaf Spring Type) เป็นระบบรองรับน้ำหนกั แบบคำนแขง็ นิยมใชก้ บั ระบบรองรับน้ำหนกั หลงั ของรถบรรทุกสปริงแบบ แหนบคู่ขนำนน้ีจะรองรับชุดเพลำหลงั ท้งั หมด รวมถึงชุดเฟื องทำ้ ย เพลำขำ้ งดุมลอ้ รวมไวใ้ นหน่วยเดียวกนั ชุด เพลำน้ีจะตอ่ กบั เพลำกลำงและยดึ ติดกบั โครงรถ โดยจะส่งผำ่ นอำกำรเคลื่อนท่ีข้ึนลงน้ำหนกั บรรทุกและ แรงขบั จะถูกส่งผำ่ นแหนบสปริง 2.แบบ 4 แขนต่อ (4 Link Type) ระบบรองรับน้ำหนกั แบบ 4 แขนต่อ เป็นระบบรองรับน้ำหนกั แบบคำนแขง็ ระบบรองรับน้ำหนกั หลงั แบบน้ี แขนตอ่ ประกอบดว้ ยแขนควบคุมตวั ล่ำงและตวั บน 2 ชุด แขนควบคุมตวั บน และล่ำง ทำหนำ้ ที่ตำ้ นแรง กระทำท่ีเกิดจำกกำรขบั เคล่ือนของรถและกำรเบรก ปลำยแขนควบคุมแตล่ ะขำ้ ง จะยดึ ติดกบั ตวั ถงั รถและเส้ือ เพลำทำ้ ยดว้ ยบุชยำง แขนควบคุมขวำงทำหนำ้ ท่ีรับแรงและดูดซบั อำกำร ส่นั สะเทือนในแนวขวำง

79 3.แบบสตรัตปี กนกคู่ (Double Wishbone with Strut) ระบบรองรับน้ำหนกั หลงั นำมำใชก้ บั รถยนตท์ ี่ใชเ้ ครื่องยนตไ์ วด้ ำ้ นหนำ้ และขบั เคลื่อนลอ้ หนำ้ โดยปี กนกคูล่ ่ำงจะทำหนำ้ ท่ีรองรับลอ้ รถเอำไว้ ซ่ึงจะติดต้งั ในทิศทำงใกลก้ บั เส้นต้งั ฉำกกบั เส้นผำ่ ศูนยก์ ลำง ตำมควำม ยำวของตวั รถ กำ้ นยนั หรือเหล็กหนวดกุง้ จะถูกติดต้งั ในทิศทำงที่ขนำนกบั เส้นผำ่ ศูนยก์ ลำงของ ตวั ถงั รถ 4.แบบแขนลากพร้อมคานบิด (Trailing Arm Type with Twist Beam) เป็นระบบรองรับน้ำหนกั แบบคำนแขง็ อีกแบบหน่ึง ประกอบดว้ ยแขนล่ำงสองชุด ท่ีดำ้ นปลำยท้งั สอง เช่ือมติดกบั คำนเพลำ โดยท่ีปลำยของเหล็กกนั โคลงที่สวมอยภู่ ำยในเรือนเพลำต่ำงท่ีเช่ือมติดอยกู่ บั คำน เพลำ เมื่อ รถมีแรงมำกระทำตอ่ ยำงรถ แรงกจ็ ะถูกกำจดั ไปโดยกำรกระจำยแรงไปตำมทิศทำงของส่วนตำ่ งๆ ถำ้ แรงกระทำ

80 ในทิศทำงแนวต้งั แรงก็จะถูกส่งผำ่ นไปตำมคอยลส์ ปริง โชก้ อพั และยำงกนั กระแทก 5.แบบกง่ึ แขนลาก (Semi-Trailing Arm Type) ระบบรองรับน้ำหนกั แบบน้ี เป็นระบบรองรับน้ำหนกั อิสระที่ถูกออกแบบใหม้ ีกำรเปลี่ยนแปลง ของศูนย์ ลอ้ ได้ อนั เป็นผลมำจำกกำรเตน้ ข้ึนลงของลอ้ ระบบแบบน้ีรวมเอำขอ้ ดีของระบบรองรับน้ำหนกั แบบแขนลำก และแบบสปริงแอกเซิลเขำ้ ดว้ ยกนั การรองรับนา้ หนักทลี่ ้อหน้า กำรรองรับน้ำหนกั ที่ลอ้ หนำ้ (Front Suspension) จะยุง่ ยำกกวำ่ ลอ้ หลงั ลอ้ หนำ้ ไม่เพียงแตจ่ ะเตน้ ข้ึนลงเพอ่ื ลงกำรสนั่ สะเทือนเท่ำ กำรรองรับน้ำหนกั ลอ้ หนำ้ ยงั ตอ้ งออกแบบ ใหบ้ ิดเล้ียวไปมำได้ เมื่อหมุนพวงมำลยั บงั คบั กำรเล้ียวของรถ ระบบรองรับจะตอ้ งป้องกนั แรงท่ีมำ กระทำกบั ตวั ถงั รถพร้อมกบั ลอ้ ไม่ใหเ้ บ่ียงเบนหรือเคล่ือน ไปดำ้ นหนำ้ ซ่ึงจะทำใหอ้ งศำของมุมลอ้ เปล่ียนแปลงดงั น้นั ระบบรองรับน้ำหนกั ของรถยนตส์ ่วนใหญ่จึงนิยม เป็นอิสระ ยกเวน้ รถบรรทุก และรถโดยสำรที่ใชแ้ บบคำนแขง็ กำรรองรับน้ำหนกั อิสระท่ีลอ้ หนำ้ นิยมนำมำใชก้ บั

81 รถยนตน์ ง่ั และรถบบรทุกขนำดเล็กมีอยู่ 5 แบบ คือ 1.แบบแม็กเฟอร์สันสตรัต (MacPherson Strut Type) เป็นระบบรองรับแบบอิสระที่ไดร้ ับกำรปรับปรุงแบบมำจำกปี กนกคู่ โครงสร้ำงของระบบมีชิ้นส่วน จำนวนท่ีลดนอ้ ยลง ลดน้ำหนกั ที่ไมถ่ ูกรองรับดว้ ยสปริง และเพ่มิ พ้นื ท่ีภำยในหอ้ งเคร่ืองยนตจ์ ึงมีผล กระทบตอ่ มุมของศูนยล์ อ้ หนำ้ บำ้ ง เนื่องจำกคำ่ เผอื่ ควำมผดิ พลำดท่ีต้งั จึงไม่จำเป็นที่จะตอ้ งปรับต้งั ลอ้ หนำ้ ยกเวน้ มุมโท รถยนตท์ ่ีใชร้ องรับน้ำหนกั หนำ้ แบบน้ีมีส่วนประกอบท่ีสำคญั ดงั น้ี 1.1 ปี กนกตวั ล่ำง (Lower Arm) 1.2 เหล็กกำ้ นยนั หรือเหล็กหนวดกุง้ (Strut Rod) 1.3 เหล็กกนั โคลง (Stabiliser) 1.4 คอยลส์ ปริง (Coil Spring) 2.แบบแม็กเฟอร์สันสตรัตทมี่ ปี ี กนกล่างรูปตวั แอล (L-Type Lower Arm MacPherson Strut) ระบบรองรับแบบแมก็ เฟอร์สันสตรัตแบบน้ี ปี กนกล่ำงมีลกั ษณะคลำ้ ยกบั รูปตวั แอล โดยจะยดึ ติดอยกู่ บั ตวั ถงั พร้อมบุชยำงสองจุด และยดึ ติดกบั แกนบงั คบั เล้ียวดว้ ยลูกหมำก ทำใหส้ ำมำรถตำ้ นทำนไดท้ ้งั ตำมทิศทำง แนวยำวกบั ตวั ถงั และแรงดำ้ นขำ้ ง 3.แบบปี กนกคู่ (Double Wishbone Type) เป็นระบบรองรับน้ำหนกั แบบอิสระ กำรสะเทือนที่ลอ้ หน่ึงไดร้ ับจะไม่ส่งผลไปยงั อีกลอ้ หน่ึงโดยตรง ระบบรองรับแบบน้ีประกอบดว้ ยปี กนกตวั บนและปี กนกตวั ล่ำง มีลกั ษณะรูปร่ำงคลำ้ ยตวั วี มีสปริงเป็นตวั รอง รับน้ำหนกั และมีโชก้ อพั ประกอบอยดู่ ว้ ย มีสมรรถนะในกำรเกำะถนนดี รถยนตใ์ นปัจจุบนั จึงนิยมใชก้ นั โดยทวั่ ไป 4.แบบปี กนกคู่ทางานร่วมกบั ทอร์ชันบาร์ (Double Wishbone with Torsion Bar) เป็นระบบรองรับน้ำหนกั แบบอิสระท่ีนำเอำทอร์ชนั บำร์มำใชแ้ ทนคอยลส์ ปริง ทำหนำ้ ที่บิดตวั เหมือน สปริงตลอดระยะเวลำกำรทำงำน ทอร์ชนั บำร์จะติดต้งั อยกู่ บั ปี กนกตวั บน ส่วนปี กนกตวั ล่ำงเป็นรูปตวั วจี ะยดึ ติด กบั คำนรองรับดว้ ยบุชยำง และดำ้ นหลงั จะติดตุง้ อยภู่ ำยในแขนรับซ่ึงจะติดต้งั อยกู่ บั คำนขวำงดว้ ยโบลต์ ปรับต้งั ระดบั ควำมสูงของทอร์ชนั บำร์ซ่ึงแต่ละอนั ตอ้ งมีเครื่องหมำยกำกบั เอำไวเ้ พ่อื ป้องกนั กำรผดิ พลำดใน กำร ประกอบ 5.แบบแหนบคู่ขนาน (Parallel Leaf Spring Type) เป็นระบบรองรับน้ำหนกั แบบคำนแขง็ ท่ีนิยมใชก้ นั อยำ่ งแพร่หลำย โดยเฉพำะระบบรองรับน้ำ หนกั หนำ้ ของรถโดยสำร รถบรรทุก โครงสร้ำงของระบบรองรับเป็ นแบบง่ำยๆ แขง็ แรง สะดวกตอ่ กำร บำรุงรักษำ สปริง ทำหนำ้ ท่ีเป็นกำ้ นต่อยึดตำแหน่งของเพลำ จึงไม่จำเป็นตอ้ งต่อแยกจำกโครงสร้ำงของระบบ แกนลอ้ บงั คบั เล้ียวของระบบรองรับแบบคำนแขง็ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 แบบ คือ 1.แบบเอลเลียต (Elliott)

82 2.แบบรีเวริ ์สเอลเลียต (Reverse Elliott) 3.แบบลำมวน (Lemoine) การถอดและประกอบระบบรองรับนา้ หนักแบบต่างๆ 1.การถอดประกอบระบบรองรับนา้ หนักแบบปี กนกคู่ การตรวจลูกหมากปี กนก 1. ใชแ้ มแ่ รงยกดำ้ นหนำ้ ของรถใหพ้ น้ จำกพ้ืนและโยกปี กนกตวั ล่ำงข้ึนลง 2. ตรวจสภำพควำมหลวมลูกหมำกปี กนกตวั ล่ำง 3. ตรวจสอบสภำพควำมหลวมลูกหมำกปี กนกตวั บนดว้ ยกำรงดั ลอ้ ใหข้ ยบั ข้ึนลง 4. ตรวจสอบควำมหนืดของของลูกหมำก โดยใชป้ ระแจวดั แรงบิดคำ่ ควำมหนืดในขณะเร่ิมหมุน และหมุน อยำ่ งต่อเนื่อง ค่ำแรงบิดมำตรฐำนจะอยทู่ ่ีประมำณ 20-40 กิโลกรัม/เซนติเมตร

83 การถอดลูกหมากปี กนก เม่ือตรวจสอบสภำพกำรใชง้ ำนของลูกหมำกปี กนกเสร็จแลว้ วดั ระยะคำ่ ควำมหลวม ถำ้ มำกกวำ่ คำ่ เกินกำหนดไวใ้ หเ้ ปล่ียนใหม่ 1. ถอดลูกหมำกปี กนกตวั บนและปี กนกตวั ล่ำงออกจำกแกนบงั คบั เล้ียว 2. ใชป้ ระแจคลำยโบลตเ์ พ่ือถอดปี กนกตวั ล่ำง 3. คลำยโบลตย์ ดื ลูกหมำกกบั ปี กนกตวั บน การประกอบลกู หมากปี กนก ภำยหลงั จำกกำรถอดลูกกหมำกชุดเดิมออกแลว้ ถำ้ จำเป็ นก็ตอ้ งเปล่ียน ลูกหมำก ตวั ใหม่ มีลำดบั ข้นั ตอนดงั น้ี 1. ประกิบลูกหมำกปี กนกตวั บนใหย้ ดื กบั ปี กนกตวั บนก่อน 2. ประกอบลูกหมำกปี กนกตวั ล่ำงใหย้ ดื ติดกบั ปี กนกตวั ล่ำง 3. ประกอบแกนบงั คบั เล้ียวเขำ้ ดว้ ยกนั และขนั นอตยืดติดลูกหมำก โดยวดั ใหไ้ ดค้ ำ่ ตำมท่ีกำหนด การถอดทอร์ชันบาร์ มีข้นั ตอนกำรปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ใชแ้ มแ่ รงยกรถใหล้ อ้ พน้ พ่ืนและใชข้ ำต้งั รองรับโครงรถไวด้ ว้ ย 2. จดั ทำเคร่ืองหมำยไวเ้ กลียวโบลต์ ปรับต้งั ควำมสูงรถกบั ปลอกยดึ เกลียว 3. เมื่อจดั ทอร์ชนั บำร์แลว้ เพอ่ื ควำมสะดวกใหท้ ำเครื่องหมำยไวท้ ี่ทอร์ชนั บำร์กบั แขนรับแรงบิด 4. ตรวจสอบสภำพกำรชำรุด ควำมหลวมของทอร์ชนั บำร์และปลอกแขนยดึ 5. ปรับแตง่ ทอร์ชนั บำร์ให้คงสภำพกบั กำรใชง้ ำน การประกอบทอร์ชันบาร์ ปฏิบตั ิตำมลำดบั ยอ้ นกลบั ข้นั ตอนกำรถอดดว้ ยควำมระมดั ระวงั เพ่อื ป้องกนั ควำม ผดิ พลำด มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. กำรประกอบแขนรองรับแรงบิดของทอร์ชนั บำร์

84 2. จดั เครื่องหมำยที่ทำไวใ้ หต้ รงกนั ระหวำ่ งทอร์ชนั บำร์และปลอกแขนรับแรงบิด กำรประกอบให้ดู เครื่องหมำยที่ปลำยของทอร์ชนั บำร์ท้งั ดำ้ นซำ้ ยและดำ้ นขวำ 3. ประกอบแขนยดึ ปลำยทอร์ชนั บำร์ ประกอบโบลตป์ รับต้งั ควำมสูงและขนั เขำ้ จนเครื่องหมำยทำ ไวต้ รงกนั 4. ตรวจระยะควำมสูงท้งั ดำ้ นซำ้ ยและดำ้ นขวำของตวั ถงั วำ่ มีระดบั ควำมสูงเทำ่ ที่กำหนดไวห้ รือไม่ การถอดปี กนกตวั ล่างและโช้กอพั ภำยหลงั จำกท่ีไดท้ ำกำรถอดทอร์ชนั บำร์ออกแลว้ กำรถอดปี กนกตวั ล่ำง และโชก้ อพั มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ถอดลูกหมำกคนั ส่งออกดว้ ยกำรถอดปิ นและนอตก่อน 2. ถอดนอตยดึ โชก้ อพั และถอดเหลก็ กนั โคลงออกจำกปี กนกตวั ล่ำง 3. คลำยนอตยดึ เหลก็ หนวดกงุ้ และถอดเหลก็ หนวดกงุ้ ออกจำกปี กนกตวั ล่ำง 4. คลำยโบลตย์ ดึ ลูกหมำกและถอดลูกหมำกปี กนกตวั ล่ำงออกจำกแกนบงั คบั เล้ียว 5. คลำยนอตเพลำปี กนกตวั ล่ำงและถอดปี กนกตวั ล่ำงออกเพอ่ื ทำกำรเปลี่ยน การประกอบปี กนกตัวล่างและโช้กอพั ใหป้ ฏิบตั ิยอ้ นกลบั มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ยดึ แขนรับแรงบิดเขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำงไวช้ ว่ั ครำว 2. สอดเพลำเพื่อปรับปี กนกตวั ล่ำงเขำ้ ไปในต้ำแหน่งเดิม 3. ประกอบลูกหมำกเขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำง ประกอบเหล็กหนวดกุง้ และเหลก็ กนั โคลงเขำ้ กบั ปี กนก ตวั ล่ำง 4. ยดึ โชก้ อพั เขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำงและเบำ้ ติดต้งั โชก้ อพั ดำ้ นบน 5. ประกอบลูกหมำกเขำ้ กบั แกนบงั คบั เล้ียวและขนั นอตใหแ้ น่น

85 6. ประกอบทอร์ชนั บำร์และปลดขำต้งั ออก แลว้ ขยม่ รถข้ึน-ลงเพื่อใหร้ ะบบรองรับเขำ้ ท่ีแลว้ ขนั นอต อีกคร้ัง การถอดปี กนกตวั บน ถอดแยกออกไดเ้ ม่ือตอ้ งกำรที่จะเปลี่ยนบุชยำงของปี กนก มีข้นั ตอนกำรปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1. ใชแ้ มแ่ รงรองรับปี กนกตวั ล่ำงและคลำยโบลตย์ ดึ ลูกหมำกปี กนก 2. ถอดปี กนกออก คลำยโบลตย์ ดึ แกนปี กนกและปลดแผน่ จีมปรับต้งั มุมแคมเบอร์ ถอดปี กนกตวั บนออก บนั ทึกจำนวนของแผน่ จีมในแต่ละตำแหน่ง เพอื่ ควำมสะดวกในกำรประกอบกลบั คืน การเปลย่ี นบุชยางปี กนกตวั บน ภำยหลงั จำกถอดปี กนกตวั ตวั บนแลว้ คลำยโบลตย์ ดึ บุชและแหวน นองโดยใช้ เครื่องมือดูดบุชตวั เก่ำออก ใชเ้ คร่ืองมืออดั บุชตวั ใหมเ่ ขำ้ และประกอบแหวนรองขนั โบลตด์ ว้ ย มืออยำ่ ให้แน่น มำกนกั ขนั อีกคร้ังเมื่อประกอบปี กนกเขำ้ ที่แลว้ การประกอบปี กนกตวั บน ภำยหลงั จำกกำรถอดเปล่ียนชิ้นส่วนตำ่ งๆ และข้นั ตอนกำรประกอบมีดงั น้ี 1. ประกอบปี กนกตวั บนพร้อมกบั จีม ต้งั มุมแคมเบอร์ มุมคำำสเตอร์โดยจะตอ้ งประกอบแผน่ จีมใหไ้ ด้ จำนวน เท่ำเดิม 2. ประกอบลูกหมำกปี กนกเขำ้ กบั ปี กนกตำแหน่งเดิม ขนั โบลตป์ ี กนกตวั บน 3. ประกอบลอ้ รถและปลดขำต้งั ออก แลว้ จึงทำกำรขยม่ ตวั ถงั รถข้ึน-ลงเพ่ือใหร้ ะบบรองรับเขำ้ ที่ ขนั โบลตย์ ดึ เพลำปี กนกซ้ำอีกคร้ัง การถอดเหลก็ หนวดกุ้ง มีข้นั ตอนกำรปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ใหท้ ำเคร่ืองหมำยไวร้ ะหวำ่ งเหลก็ หนวดกุง้ และนอตก่อนท่ีจะคลำยนอตล็อก 2. คลำยนอตตวั หนำ้ และโบลตย์ ดึ เหลก็ หนวดกุง้ ที่ติดกบั ปี กนกตวั ล่ำงออก การประกอบเหลก็ หนวดกุ้ง ปฏิบตั ิตำมลำดบั ข้นั ตอนยอ้ นกลบั คือ 1. ประกอบนอตตวั หนำ้ โดยจดั เครื่องหมำยที่ทำไวบ้ นเหล็กหนวดกงุ้ ใหต้ รงกนั 2. ประกอบเหล็กหนวดกงุ้ เขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำง ขนั นอตตวั หนำ้ ใหแ้ น่น และปลดขำต้งั ออกขยม่ ตวั รถข้ึน-ลง เพอ่ื ใหเ้ ขำ้ ท่ี

86 การถอดและประกอบเหล็กกนั โคลง มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ถอดนอตและยำงยดึ เหล็กกนั โคลงท้งั สองดำ้ นออกจำดปี กนกตวั ล่ำง 2.ถอดบุชและแผน่ ยดึ เหล็กกนั โคลงออกเพอื่ ตรวจสภำพกำรคดงอ แตกร้ำว และชำรุดของเหล็กกนั โคลงแลว้ ทำกำรเปลี่ยนใหห้ ำกชำรุด 3. ประกอบเหลก็ กนั โคลงใหเ้ ขำ้ ท่ี และติดต้งั บุชเหล็กกนั โคลงท้งั สองดำ้ นเขำ้ กบั โครงรถ ประกอบแผน่ ยดึ เหลก็ กนั โคลงใหช้ ิดกบั ตะเขบ็ หนำ้ 2. การถอดและการประกอบระบบรองรับนา้ หนักหน้าแบบแมก็ เฟอร์สันสตนรัต การถอดโช้กอพั หน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชแ้ ม่แรงยกรถใหพ้ น้ จำกพ้ืน และใชข้ ำต้งั รองรับตวั ถงั รถ 2. ถอดท่อยำงเบรกออกจำกคำลิเปอร์เบรกดว้ ยกำรคลำยโบลตข์ อ้ ต่อและกำรปะเกน็ 3. ถอดแผน่ ล็อกทอ่ ยำงเบรกและดึงทอ่ ยำงเบรกออกจำกขำยดื คลำยนอตยดึ โชก้ อพั 3 ตวั ดำ้ นบนออก 4. ใชป้ ำกกำจบั งำนยดึ โชก้ อพั และใชเ้ ครื่องมือบีบคอยลส์ ปริง 5. ถอดเบำ้ โชก้ อพั บ่ำรองสปริง ยำงกนั ฝ่ นุ สปริงยำงกนั กระแทกและยำงลองออก การประกอบโช้กอพั หน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชเ้ คร่ืองมือบีบคอยลส์ ปริงและประกอบเขำ้ กบั โชก้ อพั พร้อมกบั ยำงกนั กระแทกและยำงรองรับ สปริงตวั ล่ำง

87 2. ประกอบยำงรองสปริงตวั บนและยำงกนั ฝ่ นุ โดยจดั ใหเ้ ครื่องหมำย “OUT” ของบำ่ รองสปริง ไป ทำงดำ้ นนอกของตวั ถงั รถ 3. ประกอบนอตยดึ เบำ้ โชก้ อพั และขนั นอตที่ยดึ เบำ้ โชก้ อพั ท้งั 3 ตวั ติดดบั ตวั ถงั รถใหแ้ น่น 4.ประกอบทอ่ ยำงเบรกดว้ ยแผน่ ล็อกยดึ กบั ขำยดึ ต่อท่อยำงเบรกเขำ้ กบั คำลิเปอร์เบรกดว้ ยโบลตข์ อ้ ตอ่ และเปล่ียนปะเกน็ ตวั ใหม่ขณะประกอบ 3. การถอดประกอบระบบรองรับนา้ หนักหลงั แบบแม็กเฟอร์สันสตรัต การถอดประกอบระบบรองรับนา้ หนักหลงั แบบแมก็ เฟอร์สันสตรัต จะมีข้นั ตอนในกำรปฏิบตั ิได้ เช่นเดียวกนั กบั ระบบรับน้ำหนกั หนำ้ แบบแมก็ เฟอร์สันสตรัต มีขอ้ แตกตำ่ งกนั คือก่อนที่จะทำกำรถอดแยกชิ้น ส่วนประกอบออกน้นั ควรจะตอ้ งทำเครื่องหมำยลงบนลูกเบ้ียว และต้งั มุมลอ้ หลงั กบั ตวั ถงั รถเสียก่อนเพ่ือ ควำม ถูกตอ้ งในกำรประกอบกลบั คืนใหไ้ ดศ้ ูนย์ 4. การถอดและประกอบระบบรองรับนา้ หนักหลงั แบบแหนบคู่ขนาน การถอดแหนบและโช้กอพั มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชแ้ มแ่ รงยกรถข้ึนและใชข้ ำต้งั รองรับโครงรถ และลดแม่แรงใหเ้ ส้ือเพลำต่ำลงจนกระทงั่ แหนบ อยู่ ในตำแหน่งอิสระ 2. คลำยนอตถอดโชก้ อพั ออก คลำยนอตยดึ โบลตต์ วั ยแู ละถอดเบำ้ รองแหนบ 3. คลำยนอตยดึ สลกั หูแหนบและสลกั โตงเตงออก

88 การเปลย่ี นแหนบ เมื่อถอดแหนบออก ตรวจสภำพบุชและกำรอ่อนลำ้ ของแหนบถำ้ ชำรุดเสียหำยให้ ทำ กำรเปล่ียน มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชเ้ ครื่องอดั ไฮดรอลิกเปลี่ยนบุชหูแหนบออก 2. ใชส้ กุดดอกงดั ปลอกรัดแหนบออก ยดึ แหนบดว้ ยปำกกำจบั งำนและถอดโบลตย์ ดึ แหนบออก 3. ถำ้ จะตอ้ งเปล่ียนปลอกรัดแหนบกใ็ หใ้ ชส้ วำ่ นเจำะหวั หมุดย้ำและตอกออก (เมื่อประกอบหมุดย้ำ ตวั ใหม่ใหอ้ ดั หวั หมุดดว้ ยไฮดรอลิก) 4. จดั รูของแหนบแต่ละแผน่ ใหต้ รงกนั และยดึ ดว้ ยปำกกำจบั งำนและบีบใหแ้ น่น ร้อยโบลตย์ ดึ แหนบท่ี ตำแหน่งก่ึงกลำง 5. จดั ตำแหน่งปลอกรัดแหนบและใชค้ อ้ นตอกพบั รัดแหนบใหอ้ ยใู่ นตำแหน่งท่ีถูกตอ้ ง

89 การประกอบแหนบ หลงั จำกตรวจสอบสภำพกำรบริกำรและกำรเปล่ียนบุชและแหนบที่ชพรุด กำร ประกอบแหนบมีข้นั ตอนยอ้ นกลบั ดงั น้ี 1. ทำไดโ้ ดยสวมปลำยดำ้ นหนำ้ ของแหนบเขำ้ กบั หูยดึ แหนบดำ้ นหนำ้ และประกอบสลกั ยดึ หูแหนบ โดยกำรขนั นอตยดึ หูแหนบ 2. สวมปลำยดำ้ นหลงั ของแหนบพร้อมโตงเตงเขำ้ กบั เบำ้ รองแหนบและขนั นอตยดึ 3. ประกอบโบลตต์ วั ยสู วใเขำ้ กบั เส้ือเพลำ ยดึ เขำ้ กบั เบำ้ รองแหนบและขนั นอตยดึ แหนบเขำ้ กบั เส้ือ เพลำ 4. ประกอบโชก้ อพั เขำ้ กบั โครงรถและเบำ้ รองรับแหนบดว้ ยโบลต์ 5. ปลดขำต้งั ลงและทดลองขยม่ รถข้ึน-ลงใหร้ ะบบรองรับเขำ้ ที่ แลว้ กวดขนั นอตทุกจุดซ้ำอีกคร้ัง

90 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน (ครุศาสตร์เครื่องกล) ช่ือวชิ า ระบบเครื่องล่างและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหสั วชิ า 3-122-120 ช่ือหน่วย ระบบรองรับนา้ หนัก สัปดาห์ที่ 9-10 หน่วยย่อยท่ี 5.1-5.3 จานวน 6 ชั่วโมง จงเลือกข้อท่ีถูกทสี่ ุดเพียงข้อเดยี วโดยทาเครื่องหมาย (×) กากบากใส่กระดาษคาตอบ 1. ตวั ถังรถสั่นสะเทือนเป็นผลมาจากอะไร ก. น้าหนักบรรทุก ข. สภาพพนื้ ผิวถนน ค. น้าหนกั ท่ีถูกรองรบั ง. ถูกทุกข้อ 2. ข้อใด ไม่ใช่ หน้าที่ของระบบรองรบั น้าหนัก ก. ช่วยให้การบังคบั รถมีประสิทธภิ าพ ข. ลดอาการโคลงและการโยนตวั ค. หน่วงความเรว็ รถ ง. รักษาสมดุลตวั ถัง 3. สปริงรบั น้าหนักที่แข็งจะมีผลอย่างไร ก. บรรทุกได้มากกว่าปกติ ข. ทาใหร้ ถขาดความุนม่ นวลในการขับข่ี ค. รถมีการทรงตัวทดี่ ี ง. ถูกทุกข้อ 4. สปริง มหี น้าที่อย่างไร ก. เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างช่วงล่างกับตวั รถ ข. ดูดกลืนอาการสัน่ สะเทือน ค. รถมีการทรงตัวท่ดี ี ง. ถูกทุกข้อ 5. ข้อใด ไม่ใช่ นา้ หนักใต้สปรงิ ก. ชดุ เส้ือเพลาท้าย ข. ล้อยาง ค. เบรก ง. น้าหนักโครงรถ

91 แบบฝกึ หดั (ครศุ าสตรเ์ ครื่องกล) ชอื่ วิชา ระบบเครื่องลา่ งและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหัสวิชา 3-122-120 ช่อื หน่วย ระบบรองรบั นา้ หนกั สัปดาหท์ ่ี 9-10 หนว่ ยย่อยท่ี 5.1-5.3 จานวน 6 ชัว่ โมง คาส่งั : จงทาเครอ่ื งหมายกากบาท (x) ลงในคาตอบท่ถี ูกที่สุดเพียงข้อเดียว 1. เหล็กกา้ นยัน หรือเหลก็ หนวดกงุ้ ทาหน้าท่ีอะไร ก. ตัวแรงทมี่ ากระทาล้อทง้ั สองดา้ น ข. รักษาระดับของตวั ถงั รถ ค. รองรบั แกนบังคับเลย้ี ว ง. ทาใหส้ มรรถนะการขบั ขด่ี ขี ้ึน 2. ชิน้ ส่วนทป่ี อ้ งกันไม่ใหแ้ ผน่ แหนบเกิดการเลื่อนหลุด คืออะไร ก. ปลอกรดั แหนบ ข. สะดอื แหนบ ค. สลกั ยึดหแู หนบ ง. โตงเตง 3. ช้นิ ส่วนทีส่ ่งถ่ายนา้ หนักและแรงส่ันสะเทือนของแหนบ คืออะไร ก. สปรงิ ขด ข. สลักหูยึดแหนบ ค. โตงเตง ง. ปลอกรัดแหนบ 4. ลักษณะเฉพาะของระบบรองรบั แบบแมก็ เฟอรส์ นั สตรตั เปน็ อย่างไร ก. ปกี นกตัวลา่ งยดึ ตดิ กบั คานรองรับหนา้ ข. สปริงติดต้ังอยู่กับชุดของโช้กอัพ ค. แขนแรงบดิ ตดิ ตงั้ ทอร์ชันบาร์อยู่ดา้ นล่างทั้งสองข้าง ง. ขอ้ ก. และ ข. ถกู 5. ลักษณะเฉพาะของระบบรองรบั นา้ หนกั แบบปีกนกคู่ เป็นอยา่ งไร ก. คอยล์สปริงตดิ ตงั้ อยูก่ บั ชุดของโชก้ ข. ปกี นกตัวล่างยดึ ตดิ กับคานรองรบั หน้า ค. ปีกนกตัวบนและตัวลา่ งยดึ ติดกับโครงรถ ง. แขนแรงบิดตดิ ตั้งทอร์ชนั บาร์อยู่ด้านลา่ งทั้งสองข้าง

92 ช่ือ..............................................นามสกลุ ...................................................เลขท.่ี .....................ชน้ั ป.ี ............................... กระดาษคาตอบ ขอ้ ที่ ก. ข. ค. ง. 1. 2. 3. 4. 5.

93 เฉลยแบบฝึกหดั (ครุศาสตร์เคร่อื งกล) ชือ่ วิชา ระบบเครอื่ งลา่ งและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหัสวิชา 3-122-120 ช่ือหน่วย ระบบรองรบั น้าหนกั สปั ดาห์ท่ี 9-10 หนว่ ยยอ่ ยท่ี 5.1-5.3 จานวน 6 ชว่ั โมง คาสัง่ : จงทาเครื่องหมายกากบาท (x) ลงในคาตอบท่ถี ูกท่ีสุดเพียงข้อเดยี ว 1. เหลก็ ก้านยนั หรือเหลก็ หนวดกุ้งทาหนา้ ท่ีอะไร ก. ต้านแรงทม่ี ากระทาลอ้ ท้ังสองดา้ น ข. รักษาระดบั ของตวั ถังรถ ค. รองรับแกนบังคบั เลย้ี ว ง. ทาใหส้ มรรถนะการขับข่ีดีข้ึน 2. ชิน้ ส่วนท่ปี ้องกนั ไม่ใหแ้ ผ่นแหนบเกิดการเล่ือนหลดุ คืออะไร ก. ปลอกรัดแหนบ ข. สะดือแหนบ ค. สลักยดึ หูแหนบ ง. โตงเตง 3. ชน้ิ ส่วนทสี่ ง่ ถา่ ยน้าหนักและแรงสน่ั สะเทือนของแหนบ คืออะไร ก. สปริงขด ข. สลกั หูยึดแหนบ ค. โตงเตง ง. ปลอกรดั แหนบ 4. ลักษณะเฉพาะของระบบรองรับแบบแม็กเฟอร์สันสตรตั เปน็ อยา่ งไร ก. ปีกนกตัวล่างยึดตดิ กบั คานรองรบั หน้า ข. สปรงิ ตดิ ต้ังอยู่กบั ชดุ ของโชก้ อัพ ค. แขนแรงบิดตดิ ตงั้ ทอรช์ นั บาร์อยู่ดา้ นลา่ งท้ังสองข้าง ง. ขอ้ ก. และ ข. ถกู 5. ลกั ษณะเฉพาะของระบบรองรบั นา้ หนกั แบบปีกนกคู่ เป็นอยา่ งไร ก. คอยล์สปรงิ ตดิ ตัง้ อยู่กับชดุ ของโชก้ ข. ปกี นกตัวล่างยดึ ติดกับคานรองรับหนา้ ค. ปีกนกตัวบนและตวั ลา่ งยดึ ตดิ กบั โครงรถ ง. แขนแรงบิดตดิ ตั้งทอรช์ ันบาร์อยูด่ า้ นล่างทั้งสองข้าง

94 ชอื่ ..............................................นามสกลุ ...................................................เลขท่.ี .....................ชน้ั ปี................................ กระดาษคาตอบ ข้อท่ี ก. ข. ค. ง. 1. × 2. × 3. × 4. × 5. ×

95 ใบมอบหมายงาน (ครุศาสตรเ์ คร่อื งกล) ชอื่ วิชา ระบบเครอื่ งลา่ งและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหสั วิชา 3-122-120 ชอื่ หน่วย ระบบรองรบั น้าหนกั สัปดาห์ที่ 9-10 หนว่ ยยอ่ ยที่ 5.1-5.3 จานวน 6 ชว่ั โมง ใบงานที่ 5.1 เร่อื ง ระบบรองรับน้าหนัก คาสั่ง : จงตอบคาถามดังตอ่ ไปน้ี จากรปู ให้นกั เรียนเขยี นชอ่ื ส่วนประกอบของระบบรองรบั นา้ หนัก ตาม หมายเลขทก่ี าหนด 1. 3. 4. 5. 2 . 1.......................................................................................................................... 2.......................................................................................................................... 3......................................................................................................................... 4........................................................................................................................ 5........................................................................................................................

96 ใบขน้ั ตอนการปฏิบัติงาน (ครศุ าสตร์เครื่องกล) ชอ่ื วิชา ระบบเครือ่ งลา่ งและระบบส่งกาลังยานยนต์ รหัสวชิ า 3-122-120 ช่อื หน่วย ระบบรองรบั น้าหนัก สปั ดาหท์ ี่ 9-10 หน่วยยอ่ ยที่ 5.1,5.2,5.3 จานวน 6 ช่ัวโมง การถอดและประกอบระบบรองรับนา้ หนักแบบต่างๆ 1.การถอดประกอบระบบรองรับนา้ หนักแบบปี กนกคู่ การตรวจลูกหมากปี กนก 1. ใชแ้ มแ่ รงยกดำ้ นหนำ้ ของรถใหพ้ น้ จำกพ้นื และโยกปี กนกตวั ล่ำงข้ึนลง 2. ตรวจสภำพควำมหลวมลูกหมำกปี กนกตวั ล่ำง 3. ตรวจสอบสภำพควำมหลวมลูกหมำกปี กนกตวั บนดว้ ยกำรงดั ลอ้ ใหข้ ยบั ข้ึนลง 4. ตรวจสอบควำมหนืดของของลูกหมำก โดยใชป้ ระแจวดั แรงบิดคำ่ ควำมหนืดในขณะเริ่มหมุน และหมุน อยำ่ งต่อเน่ือง คำ่ แรงบิดมำตรฐำนจะอยทู่ ี่ประมำณ 20-40 กิโลกรัม/เซนติเมตร

97 การถอดลูกหมากปี กนก เม่ือตรวจสอบสภำพกำรใชง้ ำนของลูกหมำกปี กนกเสร็จแลว้ วดั ระยะคำ่ ควำมหลวม ถำ้ มำกกวำ่ คำ่ เกินกำหนดไวใ้ หเ้ ปล่ียนใหม่ 1. ถอดลูกหมำกปี กนกตวั บนและปี กนกตวั ล่ำงออกจำกแกนบงั คบั เล้ียว 2. ใชป้ ระแจคลำยโบลตเ์ พ่ือถอดปี กนกตวั ล่ำง 3. คลำยโบลตย์ ดื ลูกหมำกกบั ปี กนกตวั บน การประกอบลกู หมากปี กนก ภำยหลงั จำกกำรถอดลูกกหมำกชุดเดิมออกแลว้ ถำ้ จำเป็ นก็ตอ้ งเปล่ียน ลูกหมำก ตวั ใหม่ มีลำดบั ข้นั ตอนดงั น้ี 1. ประกิบลูกหมำกปี กนกตวั บนใหย้ ดื กบั ปี กนกตวั บนก่อน 2. ประกอบลูกหมำกปี กนกตวั ล่ำงใหย้ ดื ติดกบั ปี กนกตวั ล่ำง 3. ประกอบแกนบงั คบั เล้ียวเขำ้ ดว้ ยกนั และขนั นอตยืดติดลูกหมำก โดยวดั ใหไ้ ดค้ ำ่ ตำมท่ีกำหนด การถอดทอร์ชันบาร์ มีข้นั ตอนกำรปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ใชแ้ มแ่ รงยกรถใหล้ อ้ พน้ พ่ืนและใชข้ ำต้งั รองรับโครงรถไวด้ ว้ ย 2. จดั ทำเคร่ืองหมำยไวเ้ กลียวโบลต์ ปรับต้งั ควำมสูงรถกบั ปลอกยดึ เกลียว 3. เมื่อจดั ทอร์ชนั บำร์แลว้ เพอ่ื ควำมสะดวกใหท้ ำเครื่องหมำยไวท้ ี่ทอร์ชนั บำร์กบั แขนรับแรงบิด 4. ตรวจสอบสภำพกำรชำรุด ควำมหลวมของทอร์ชนั บำร์และปลอกแขนยดึ 5. ปรับแตง่ ทอร์ชนั บำร์ให้คงสภำพกบั กำรใชง้ ำน การประกอบทอร์ชันบาร์ ปฏิบตั ิตำมลำดบั ยอ้ นกลบั ข้นั ตอนกำรถอดดว้ ยควำมระมดั ระวงั เพ่อื ป้องกนั ควำม ผดิ พลำด มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. กำรประกอบแขนรองรับแรงบิดของทอร์ชนั บำร์

98 2. จดั เครื่องหมำยท่ีทำไวใ้ หต้ รงกนั ระหวำ่ งทอร์ชนั บำร์และปลอกแขนรับแรงบิด กำรประกอบให้ดู เครื่องหมำยที่ปลำยของทอร์ชนั บำร์ท้งั ดำ้ นซำ้ ยและดำ้ นขวำ 3. ประกอบแขนยดึ ปลำยทอร์ชนั บำร์ ประกอบโบลตป์ รับต้งั ควำมสูงและขนั เขำ้ จนเครื่องหมำยทำ ไวต้ รงกนั 4. ตรวจระยะควำมสูงท้งั ดำ้ นซำ้ ยและดำ้ นขวำของตวั ถงั วำ่ มีระดบั ควำมสูงเทำ่ ที่กำหนดไวห้ รือไม่ การถอดปี กนกตวั ล่างและโช้กอพั ภำยหลงั จำกท่ีไดท้ ำกำรถอดทอร์ชนั บำร์ออกแลว้ กำรถอดปี กนกตวั ล่ำง และโชก้ อพั มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ถอดลูกหมำกคนั ส่งออกดว้ ยกำรถอดปิ นและนอตก่อน 2. ถอดนอตยดึ โชก้ อพั และถอดเหลก็ กนั โคลงออกจำกปี กนกตวั ล่ำง 3. คลำยนอตยดึ เหลก็ หนวดกงุ้ และถอดเหลก็ หนวดกุง้ ออกจำกปี กนกตวั ล่ำง 4. คลำยโบลตย์ ดึ ลูกหมำกและถอดลูกหมำกปี กนกตวั ล่ำงออกจำกแกนบงั คบั เล้ียว 5. คลำยนอตเพลำปี กนกตวั ล่ำงและถอดปี กนกตวั ล่ำงออกเพอ่ื ทำกำรเปลี่ยน การประกอบปี กนกตัวล่างและโช้กอพั ใหป้ ฏิบตั ิยอ้ นกลบั มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ยดึ แขนรับแรงบิดเขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำงไวช้ ว่ั ครำว 2. สอดเพลำเพื่อปรับปี กนกตวั ล่ำงเขำ้ ไปในต้ำแหน่งเดิม 3. ประกอบลูกหมำกเขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำง ประกอบเหล็กหนวดกงุ้ และเหลก็ กนั โคลงเขำ้ กบั ปี กนก ตวั ล่ำง 4. ยดึ โชก้ อพั เขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำงและเบำ้ ติดต้งั โชก้ อพั ดำ้ นบน 5. ประกอบลูกหมำกเขำ้ กบั แกนบงั คบั เล้ียวและขนั นอตใหแ้ น่น

99 6. ประกอบทอร์ชนั บำร์และปลดขำต้งั ออก แลว้ ขยม่ รถข้ึน-ลงเพอ่ื ให้ระบบรองรับเขำ้ ท่ีแลว้ ขนั นอต อีกคร้ัง การถอดปี กนกตวั บน ถอดแยกออกไดเ้ ม่ือตอ้ งกำรท่ีจะเปลี่ยนบุชยำงของปี กนก มีข้นั ตอนกำรปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1. ใชแ้ มแ่ รงรองรับปี กนกตวั ล่ำงและคลำยโบลตย์ ดึ ลูกหมำกปี กนก 2. ถอดปี กนกออก คลำยโบลตย์ ดึ แกนปี กนกและปลดแผน่ จีมปรับต้งั มุมแคมเบอร์ ถอดปี กนกตวั บนออก บนั ทึกจำนวนของแผน่ จีมในแต่ละตำแหน่ง เพอ่ื ควำมสะดวกในกำรประกอบกลบั คืน การเปลย่ี นบุชยางปี กนกตวั บน ภำยหลงั จำกถอดปี กนกตวั ตวั บนแลว้ คลำยโบลตย์ ดึ บุชและแหวน นองโดยใช้ เครื่องมือดูดบุชตวั เก่ำออก ใชเ้ คร่ืองมืออดั บุชตวั ใหมเ่ ขำ้ และประกอบแหวนรองขนั โบลตด์ ว้ ย มืออยำ่ ให้แน่น มำกนกั ขนั อีกคร้ังเม่ือประกอบปี กนกเขำ้ ที่แลว้ การประกอบปี กนกตวั บน ภำยหลงั จำกกำรถอดเปล่ียนชิ้นส่วนต่ำงๆ และข้นั ตอนกำรประกอบมีดงั น้ี 1. ประกอบปี กนกตวั บนพร้อมกบั จีม ต้งั มุมแคมเบอร์ มุมคำำสเตอร์โดยจะตอ้ งประกอบแผน่ จีมใหไ้ ด้ จำนวน เท่ำเดิม 2. ประกอบลูกหมำกปี กนกเขำ้ กบั ปี กนกตำแหน่งเดิม ขนั โบลตป์ ี กนกตวั บน 3. ประกอบลอ้ รถและปลดขำต้งั ออก แลว้ จึงทำกำรขยม่ ตวั ถงั รถข้ึน-ลงเพ่ือใหร้ ะบบรองรับเขำ้ ท่ี ขนั โบลตย์ ดึ เพลำปี กนกซ้ำอีกคร้ัง การถอดเหลก็ หนวดก้งุ มีข้นั ตอนกำรปฏิบตั ิดงั น้ี 1. ใหท้ ำเคร่ืองหมำยไวร้ ะหวำ่ งเหลก็ หนวดกุง้ และนอตก่อนที่จะคลำยนอตล็อก 2. คลำยนอตตวั หนำ้ และโบลตย์ ดึ เหลก็ หนวดกงุ้ ท่ีติดกบั ปี กนกตวั ล่ำงออก การประกอบเหลก็ หนวดกุ้ง ปฏิบตั ิตำมลำดบั ข้นั ตอนยอ้ นกลบั คือ 1. ประกอบนอตตวั หนำ้ โดยจดั เครื่องหมำยท่ีทำไวบ้ นเหลก็ หนวดกุง้ ใหต้ รงกนั 2. ประกอบเหล็กหนวดกงุ้ เขำ้ กบั ปี กนกตวั ล่ำง ขนั นอตตวั หนำ้ ใหแ้ น่น และปลดขำต้งั ออกขยม่ ตวั รถข้ึน-ลง เพอ่ื ใหเ้ ขำ้ ท่ี

100 การถอดและประกอบเหลก็ กนั โคลง มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ถอดนอตและยำงยดึ เหล็กกนั โคลงท้งั สองดำ้ นออกจำดปี กนกตวั ล่ำง 2.ถอดบุชและแผน่ ยดึ เหล็กกนั โคลงออกเพ่อื ตรวจสภำพกำรคดงอ แตกร้ำว และชำรุดของเหลก็ กนั โคลงแลว้ ทำกำรเปล่ียนใหห้ ำกชำรุด 3. ประกอบเหลก็ กนั โคลงใหเ้ ขำ้ ท่ี และติดต้งั บุชเหล็กกนั โคลงท้งั สองดำ้ นเขำ้ กบั โครงรถ ประกอบแผน่ ยดึ เหล็กกนั โคลงใหช้ ิดกบั ตะเข็บหนำ้ 2. การถอดและการประกอบระบบรองรับนา้ หนักหน้าแบบแมก็ เฟอร์สันสตนรัต การถอดโช้กอพั หน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชแ้ ม่แรงยกรถใหพ้ น้ จำกพ้นื และใชข้ ำต้งั รองรับตวั ถงั รถ 2. ถอดท่อยำงเบรกออกจำกคำลิเปอร์เบรกดว้ ยกำรคลำยโบลตข์ อ้ ต่อและกำรปะเก็น 3. ถอดแผน่ ล็อกท่อยำงเบรกและดึงท่อยำงเบรกออกจำกขำยดื คลำยนอตยดึ โชก้ อพั 3 ตวั ดำ้ นบนออก 4. ใชป้ ำกกำจบั งำนยดึ โชก้ อพั และใชเ้ ครื่องมือบีบคอยลส์ ปริง 5. ถอดเบำ้ โชก้ อพั บำ่ รองสปริง ยำงกนั ฝ่ นุ สปริงยำงกนั กระแทกและยำงลองออก การประกอบโช้กอพั หน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชเ้ คร่ืองมือบีบคอยลส์ ปริงและประกอบเขำ้ กบั โชก้ อพั พร้อมกบั ยำงกนั กระแทกและยำงรองรับ สปริงตวั ล่ำง

101 2. ประกอบยำงรองสปริงตวั บนและยำงกนั ฝ่ นุ โดยจดั ใหเ้ คร่ืองหมำย “OUT” ของบ่ำรองสปริง ไป ทำงดำ้ นนอกของตวั ถงั รถ 3. ประกอบนอตยดึ เบำ้ โชก้ อพั และขนั นอตที่ยดึ เบำ้ โชก้ อพั ท้งั 3 ตวั ติดดบั ตวั ถงั รถใหแ้ น่น 4.ประกอบท่อยำงเบรกดว้ ยแผน่ ลอ็ กยดึ กบั ขำยดึ ต่อท่อยำงเบรกเขำ้ กบั คำลิเปอร์เบรกดว้ ยโบลตข์ อ้ ตอ่ และเปล่ียนปะเกน็ ตวั ใหมข่ ณะประกอบ 3. การถอดประกอบระบบรองรับนา้ หนักหลงั แบบแมก็ เฟอร์สันสตรัต การถอดประกอบระบบรองรับนา้ หนักหลงั แบบแมก็ เฟอร์สันสตรัต จะมีข้นั ตอนในกำรปฏิบตั ิได้ เช่นเดียวกนั กบั ระบบรับน้ำหนกั หนำ้ แบบแมก็ เฟอร์สนั สตรัต มีขอ้ แตกต่ำงกนั คือก่อนที่จะทำกำรถอดแยกชิ้น ส่วนประกอบออกน้นั ควรจะตอ้ งทำเคร่ืองหมำยลงบนลูกเบ้ียว และต้งั มุมลอ้ หลงั กบั ตวั ถงั รถเสียก่อนเพ่ือ ควำม ถูกตอ้ งในกำรประกอบกลบั คืนใหไ้ ดศ้ ูนย์ 4. การถอดและประกอบระบบรองรับนา้ หนักหลงั แบบแหนบคู่ขนาน การถอดแหนบและโช้กอพั มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชแ้ ม่แรงยกรถข้ึนและใชข้ ำต้งั รองรับโครงรถ และลดแม่แรงให้เส้ือเพลำต่ำลงจนกระทง่ั แหนบ อยู่ ในตำแหน่งอิสระ 2. คลำยนอตถอดโชก้ อพั ออก คลำยนอตยดึ โบลตต์ วั ยแู ละถอดเบำ้ รองแหนบ

102 3. คลำยนอตยดึ สลกั หูแหนบและสลกั โตงเตงออก การเปลย่ี นแหนบ เมื่อถอดแหนบออก ตรวจสภำพบุชและกำรออ่ นลำ้ ของแหนบถำ้ ชำรุดเสียหำยให้ ทำ กำรเปล่ียน มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. ใชเ้ คร่ืองอดั ไฮดรอลิกเปล่ียนบุชหูแหนบออก 2. ใชส้ กดุ ดอกงดั ปลอกรัดแหนบออก ยดึ แหนบดว้ ยปำกกำจบั งำนและถอดโบลตย์ ดึ แหนบออก 3. ถำ้ จะตอ้ งเปล่ียนปลอกรัดแหนบก็ใหใ้ ชส้ วำ่ นเจำะหวั หมุดย้ำและตอกออก (เมื่อประกอบหมุดย้ำ ตวั ใหม่ใหอ้ ดั หวั หมุดดว้ ยไฮดรอลิก) 4. จดั รูของแหนบแตล่ ะแผน่ ใหต้ รงกนั และยดึ ดว้ ยปำกกำจบั งำนและบีบใหแ้ น่น ร้อยโบลตย์ ดึ แหนบท่ี ตำแหน่งก่ึงกลำง 5. จดั ตำแหน่งปลอกรัดแหนบและใชค้ อ้ นตอกพบั รัดแหนบใหอ้ ยใู่ นตำแหน่งที่ถูกตอ้ ง

103 การประกอบแหนบ หลงั จำกตรวจสอบสภำพกำรบริกำรและกำรเปล่ียนบุชและแหนบท่ีชพรุด กำร ประกอบแหนบมีข้นั ตอนยอ้ นกลบั ดงั น้ี 1. ทำไดโ้ ดยสวมปลำยดำ้ นหนำ้ ของแหนบเขำ้ กบั หูยดึ แหนบดำ้ นหนำ้ และประกอบสลกั ยดึ หูแหนบ โดยกำรขนั นอตยดึ หูแหนบ 2. สวมปลำยดำ้ นหลงั ของแหนบพร้อมโตงเตงเขำ้ กบั เบำ้ รองแหนบและขนั นอตยดึ 3. ประกอบโบลตต์ วั ยสู วใเขำ้ กบั เส้ือเพลำ ยดึ เขำ้ กบั เบำ้ รองแหนบและขนั นอตยดึ แหนบเขำ้ กบั เส้ือ เพลำ 4. ประกอบโชก้ อพั เขำ้ กบั โครงรถและเบำ้ รองรับแหนบดว้ ยโบลต์ 5. ปลดขำต้งั ลงและทดลองขยม่ รถข้ึน-ลงใหร้ ะบบรองรับเขำ้ ที่ แลว้ กวดขนั นอตทุกจุดซ้ำอีกคร้ัง

104 แผนการจัดการเรยี นรู้ (ครศุ าสตรเ์ คร่ืองกล) ชอ่ื วิชา ระบบเครอื่ งลา่ งและระบบส่งกาลังยานยนต์ รหสั วชิ า 3-122-120 ช่ือหน่วย ระบบบังคบั เลี้ยว สัปดาหท์ ่ี 11 หนว่ ยย่อย 6.1-6.5 จานวน 6 ชัว่ โมง แนวคิด ระบบบังคบั เล้ยี วเป็นระบบทีส่ าคัญของรถยนต์ที่ช่วยใหผ้ ขู้ ับขรี่ ถสามารถควบคุมบังคับใหร้ ถแคล่ือนท่ีไปใน ทิศทางท่ีต้องการได้ สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การสอน หนว่ ยย่อยที่ 6.1 วิธกี ารบงั คับเลี้ยว หน่วยยอ่ ยท่ี 6.1.1 อธิบายวิธกี ารบงั คับเลีย้ วได้ หน่วยยอ่ ยที่ 6.2 กา้ นต่อบังคับเลย้ี ว หน่วยย่อยที่ 6.2.1 อธบิ ายความหมายของก้านต่อ หน่วยย่อยท่ี 6.3 สว่ นประกอบของกา้ นต่อบังคบั เลยี้ ว บงั คับเลย้ี วได้ หน่วยย่อยท่ี 6.4 กระปุกเกียร์พวงมาลัย หน่วยย่อยท่ี 6.3.1 อธบิ ายส่วนประกอบของก้านต่อ หนว่ ยย่อยที่ 6.5 โครงสรา้ งของกระปกุ เกียรพ์ วงมาลัย บังคบั เลยี้ วได้ หนว่ ยยอ่ ยที่ 6.4.1 บอกสว่ นประกอบของกระปุกเกยี ร์ พวงมาลยั ได้ หนว่ ยยอ่ ยที่ 6.5.1 อธิบายลกั ษณะโครงสร้างของ กระปุกเกียร์พวงมาลัยได้ กจิ กรรมการเรยี นการสอน กิจกรรมนักเรยี น กจิ กรรมครู 1.ขัน้ นาเข้าสูบ้ ทเรยี น 1.ขนั้ นาเข้าสู้บทเรยี น - นักเรยี นตอบคาถามแสดงความคดิ เหน็ ถามข้อสงสัย - ครูถามคาถามให้นักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ ถามขอ้ สงสัย 2.ขนั้ การสอน 1. นักเรยี นฟงั การปฐมนเิ ทศ และถามข้อสงสัย 2.ขนั้ การสอน 2. นักเรียนทาแบบประเมินผลก่อนเรียน 1. ครูแจกแบบประเมินก่อนเรียนใหน้ กั เรียนทาแบบ 3. ศึกษาเอกสารประกอบการสอน ประเมิน 4. ฟังการบรรยาย และบันทึกสรุปสาระสาคัญของ 2. ครแู จกใบเน้ือหา อธิบายความหมายความสาคัญ เนอื้ หาสาระ ในหัวข้อตา่ ง ๆ ในเอกสารประกอบการ หัวข้อตา่ ง ๆ สอน 5. ซกั ถาม ข้อสงสัยในเน้ือหาสาระตา่ ง ๆ 3. แจกแบบฝกึ หดั ให้กบั นักเรียนทาแบบฝกึ หัด 6. ปฏิบัติงานตามใบงาน สรุปรายงานผลการ 4. แจกแบบประเมินผลหลังเรยี นให้กับผ้เู รยี นทา แบบทดสอบ ปฏิบัติงาน และนาเสนอผลงานส่งครู 5. มอบหมายงานให้นักเรียนปฏิบัตงิ านตามใบงาน 7. ทาแบบฝกึ หัด และควบคุมดูแลการปฏบิ ัติงานของนักเรยี น 8. ทาแบบประเมินผลกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น

105 การวัดและการประเมินผล วิธีวดั ผล เคร่อื งมือวัดผล 1. ก่อนเรียน:วัดผลและประเมินผลโดยทาแบบทดสอบ 1. จากแบบฝึกหัด 2. ขณะเรียน วัดและประเมนิ ผลโดยการถามตอบ 2. แบบประเมินผลก่อนเรยี นและหลงั เรยี น วดั คณุ ธรรมจริยธรรม 3. ประเมนิ ผลจากการปฏบิ ัติงานตามใบงาน 3. หลังเรยี น: วดั และประเมินผลโดยทาแบบทดสอบ เกณฑ์การประเมนิ ผล ผเู้ รียนสามารถปฏบิ ัติงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายไดอ้ ย่างถูกต้อง งานทีม่ อบหมาย แบบฝึกหดั ส่ือการเรยี นและการสอน และอุปกรณช์ ่วยฝึก 1. เอกสารประกอบการสอน 2. สอ่ื จรงิ 3. แบบฝกึ หัด / แบบประเมินผล / ใบงาน 4. เครอื่ งมือและอปุ กรณข์ องจรงิ หนังสืออ้างอิง ประสานพงษ์ หาเรอื นชีพ. งานสง่ กาลังรถยนต์.กรงุ เทพ : ซีเอ็ดยูเคชั่น , 2560

106 ใบเนื้อหา (ครุศาสตร์เคร่อื งกล) ชอื่ วิชา ระบบเครือ่ งล่างและระบบส่งกาลงั ยานยนต์ รหัสวชิ า 3-122-120 ชือ่ หน่วย ระบบบังคบั เลี้ยว สัปดาห์ที่ 11 หนว่ ยยอ่ ยท่ี 6.1-6.5 จานวน 6 ช่ัวโมง วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม หนว่ ยย่อยท่ี 6.1.1 อธิบายวิธีการบงั คบั เล้ยี วได้ หน่วยย่อยท่ี 6.2.1 อธบิ ายความหมายของก้านต่อบังคับเล้ยี วได้ หน่วยย่อยที่ 6.3.1 อธิบายสว่ นประกอบของกา้ นต่อบงั คับเล้ียวได้ หนว่ ยย่อยท่ี 6.4.1 บอกส่วนประกอบของกระปุกเกยี ร์พวงมาลยั ได้ หนว่ ยย่อยที่ 6.5.1 อธิบายลักษณะโครงสรา้ งของกระปุกเกยี รพ์ วงมาลยั ได้ บทที่ 6 ระบบบงั คับเล้ยี ว 6.1 วธิ ีการบังคับเล้ยี ว ระบบบังคบั เลย้ี วของรถยนต์ในปัจจุบันนี้ได้มีการพฒั นาการมาเป็นลาดับ ท้ังนี้ก็เพ่ือให้การบงั คับเล้ยี วของล้อ หนา้ ไปในทิศทางตา่ ง ๆ ซง่ึ ก็มีอยหู่ ลายวธิ ีดว้ ยกันดังน้ี 6.1.1 วิธกี ารบังคบั เล้ียวดว้ ยจุดหมนุ เพียงจุดเดียว (Single pivot system) การบังคบั เล้ียวดว้ ยวธิ ีน้จี งึ มีจดุ หมนุ ของล้อท่ีมีลกั ษณะเปน็ แผ่นเหล็กกลมขนาดใหญ่หรอื ทีเ่ รียกวา่ ล้อทีห่ ้า (Fifth wheel) โดยท่ีบริเวณกึ่งกลางของ เพลาล้อหนา้ จะมสี ลักขนาดใหญเ่ ปน็ จดุ หมุน เพ่อื ใช้ในการบังคับเลย้ี วซ่งึ เรียกวา่ สลักคิงพนิ (King pin) สาหรับแผ่นเหล็กกลมขนาดใหญห่ รอื ล้อท่ีห้า ทาหน้าที่เป็นตัวรองรบั ความฝดื ในการบงั คับเลีย้ วของเพลา ด้านหน้าในขณะที่เล้ยี ว ดงั นั้นวิธีการบังคบั เลีย้ วแบบจุดหมุนเพียงจุดเดียวจงึ มีข้อเสียกค็ ือ การบังคับเล้ียวเพ่ือท่จี ะใหล้ อ้ และเพลา หมุนเคลื่อนที่ไปต้องออกแรงมากข้นึ การทรงตัวไม่ดี จงึ ไม่เป็นทน่ี ิยมใชก้ ับรถยนต์ทั่วไป แต่จะใชเ้ ฉพาะกับรถม้าและ รถพว่ งเทา่ น้ัน ดังแสดงในรูป 6.1 รูป 6.1 แสดงวิธกี ารบงั คับเล้ียวแบบจุดเดยี วหรือล้อทหี่ ้า

107 6.1.2 วิธีการบงั คบั เล้ยี วแบบอัคเคอร์มานหรือแบบสเ่ี ลย่ี มคางหมู (Ackerman system) การหมุนเลี้ยวของ แกนล้อหน้าที่ไม่ได้ศูนยก์ ลาง ศนู ย์กลางก็คือจุดตัดที่จะต้องทบั กันของล้อหน้าตัดกับขอบเสน้ ของเพลาหลัง ดังน้ันแกน ล้อหน้าท่ีหมุนเป็นศนู ย์กลางเดียวดนั ได้นั้น มุมล้อด้านในต้องมมี ากกวา่ ล้อด้านนอก จากสาเหตุนจี้ ึงไดน้ าวิธีการบังคับ เลยี้ วแบบอัคเคอร์นามาใชก้ ับระบบบังคบั เล้ียวของรถยนต์ในปจั จุบนั ระบบบังคบั เลีย้ วแบบอัคเคอร์เป็นระบบที่ใช้ชอื่ ของผู้ออกแบบคือ รูดอล์ฟ อคั เคอรมาน(Rodolf Ackerman) โดยไดพ้ ัฒนารูปแบบของการบังคับเล้ียวแบบเก่าท่ีมุมการเลยี้ วของล้อหน้าทั้งสองด้านที่เท่ากัน โดยแก้ไขปรับปรงุ จัด เพ่ิมกลไกของแขนบังคับเลย้ี ว คันชกั คันสง่ และแกนเพลาหนา้ ใหม้ ีลักษณะรูปร่างคล้ายกับส่ีเหลยี่ มคางหมู ทาใหม้ ุม เลย้ี วของลอ้ ด้านนอกและมุมของล้อด้านในแตกต่างกนั (23 กบั 20 องศา) ดังแสดงในรูป 6.2 รูปที่ 6.2 ระบบบังคับเลย้ี วอคั เอคอร์มานหรือสี่เหลีย่ มคางหมู 6.2 ก้านต่อบังคบั เลี้ยว กา้ นต่อบังคับเล้ยี ว (Steering Linkege) ประกอบดว้ ยก้านต่อและแขนบังคับเลี้ยว โดยไดร้ ับการสง่ ถ่ายอาการ เคล่ือนทจี่ ากกระปุกเกยี ร์พวงมาลัยไปยงั ล้อหน้าท้งั ดา้ นซ้ายและด้านขวา กา้ นต่อบังคับเลยี้ วต้องมีการส่งถ่ายอาการเคล่ือนทีส่ ่งจากพวงมาลัยไปยังล้อได้อย่างแม่นยา มั่นคง ไม่ว่าการ เคลื่อนทขี่ องรถจะเปล่ียนแปลงไปตามสภาพต่าง ๆ ของพน้ื ที่ถนน ดังนั้นการออกแบบและโครงสรา้ งของก้านต่อบังคับ เลย้ี วจงึ มีอยู่หลายแบบด้วยกัน ซึ่งแตล่ ะแบบก็สร้างความมัง่ คงในการขับข่ีทดี่ ี ก้านต่อบังคับเลย้ี วได้มกี ารออกแบบโครงสร้าง เพ่ือให้เหมาะสมกับระบบรองรับน้าหนักได้ 2 แบบดังน้ี 6.2.1 ก้านต่อบังคับเลี้ยวท่ีใชก้ ับระบบรองรบั นา้ หนักแบบอสิ ระหน้า ก้านต่อบังคับเล้ียวทใี่ ช้กับระบบรองรับ แบบนี้จะต้องออกแบบให้มีจุดต่อหลายจุด ท้ังนี้ก็เพ่ือใหล้ อ้ รถในแต่ละดา้ นสามารถเคลื่อนท่ขี ้ึนและลงอย่างเปน็ อิสระ ต่อกนั จึงทาใหแ้ ขนบังคับเล้ียวในแตล่ ะดา้ นมรี ะยะท่เี ปลยี่ นแปลงไป ด้วยเหตุผลนคี้ ันส่งจงึ ไดถ้ ูกนามาใชเ้ ป็นจุด ต่อเชื่อมระหว่างล้อทั้งสองด้าน แต่ถา้ ใชค้ นั ส่งเพียงจุดเดียว ผลลพั ธ์ก็คือ มุมโทอนิ จะถูกเปล่ยี นแปลงไปในขณะที่เกิด การเตน้ ข้นึ ลง ดังน้นั ก้านต่อบังคบั เลี้ยวที่ใช้กบั ระบบรองรับอสิ ระจงึ ตอ้ งใชค้ นั สง่ ถงึ 2 ชุดและเชื่อมต่อการส่งถา่ ยแรง ดว้ ยคันส่งสว่ นปลอกปรับมุมโทอินถูกติดตง้ั ไว้อยูร่ ะหว่างคนั สง่ และลูกและลูกหมาก สาหรบั รถยนตท์ ี่ใช้กระปุกเกยี ร์พวงมาลัยแบบเฟืองสะพาน เฟืองสะพานทาหน้าท่แี ทนคนั ชักเพ่ือสง่ ถ่านแรง ไปยังลกู หมากและล้อ ดังแสดงในรูแ 6.3 และรปู 6.4

108 รูปท่ี 6.3 แสดงก้านต่อบังคับเลยี้ วทใ่ี ช้กับระบบรองรับแบบอิสระหน้า รปู ท่ี 6.4 แสดงก้านต่อบังคับเล้ียวที่ใชก้ ับกระปุกเกียร์พวงมาลัยแบบเฟืองสะพาน 6.2.2 ก้านต่อบังคับเล้ียวท่ีใชก้ ับระบบรองรับแบบคานแข็ง กา้ นต่อแบบนี้จะประกอบดว้ ย ขาไก่ คันชกั แขนบังคบั เลี้ยว คันสง่ และลกู หมากคนั ส่ง กา้ นต่อบังคับเล้ียวทีใ่ ชก้ ับระบบรองรบั แบบคานแข็งมีลักษณะของการเคล่ือนที่ข้นึ และลงในแนวด่ิงตามทศิ ทางการเคลื่อนที่ของตัวถงั ดังนนั้ จึงไม่จาเป็นท่ตี ้องมีปลอกปรบั ตัง้ คันสง่ ที่ต่อไปยังแขนบังคับเลยี้ วทั้งด้านซา้ ยและ ด้านขวา เนื่องจากไดใ้ ช้คันสง่ เพยี งตัวเดยี ว และลูกหมากคันสง่ ทปี่ ลายคันสง่ จะทาหน้าที่ยอมใหส้ ปริงแหนบสามารถ เคล่ือนตัวขึน้ ลงได้ ดังแสดงในรปู 6.5

109 รปู ท่ี 6.5 แสดงก้านต่อบังคับเลย้ี วทใ่ี ชก้ ับระบบบังคบั เลี้ยวแบบคานแข็ง 6.3 ส่วนประกอบของก้านต่องบังคบั เล้ียว กา้ นต่องบงั เล้ียวที่ใชใ้ นการบังคับเลี้ยวของรถยนต์โดยทวั่ ไป ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบทส่ี าคญั ดังต่อไปน้ี 6.3.1 ขาไก่ (Pitman arm) ทาหน้าท่ีส่งถ่ายแรงเคล่ือนจากกระปุกเกียร์พวงมาลัยไปยังคันชกั ขาไก่มลี ักษณะ ของปลายดา้ นใหญ่เปน็ เทเปอร์ ท่ีปลายของเทเปอร์ถูกเจาะและเชาะเป็นร่องใหม้ ีขนาดท่ีเท่ากันเพลาของกระปุกเกียร์ พวงมาลยั เมื่อขาไก่ประกอบเข้ากับเพลา มันจะถูกยึดให้แน่นไว้ดว้ ยนอต ส่วนปลายด้านเล็กของขาไก่ถูกยึดอยู่กบั คัน ชักและก้านดงึ ด้วยลกู หมาก ดังแสดงในรูป 6.6 รูปที่ 6.6 แสดงขาไก่และตาแหนง่ ตดิ ตั้ง 6.3.2 คันชัก (Drag link) กค็ ือกา้ นต่ออยู่ระหวา่ งขาไก่และคันส่งท้ังด้านซ้ายและด้านขวาดังแสดงในรูป 6.7 ซ่งึ มันจะสง่ ถ่ายแรงการเคลื่อนท่ีจากขาไก่ยังคันส่ง โดยที่ปลายด้านหน่ึงถูกต่ออยู่กบั แขนประคอง (ใช้กบั ระบบรองรับ นา้ หนงั แบบอสิ ระ)

110 รูปที่ 6.7 แสดงตาแหน่งท่ีติดต้ังคันชักที่ใช้กบั ระบบรองรบั น้าหนกั แบบอิสระ 6.3.3 คันส่ง (Tie Rod) ดังแสดงในรปู ท่ี 6.8 มลี ักษณะเป็นเหล็กกลวงหรือตนั ที่ปลายสุดทาเป็นเกลียวไว้สวม เข้ากับปลายของเฟืองสะพานของกระปุกเกียรแ์ บบเฟืองสะพาน หรือสวนเข้ากับปลอกปรับตั้งรับของระบบบังคับเลย้ี ว ท่ีใชกระปุกเกียร์แบบลูกปืนหมนุ วน ซ่ึงก็มีไวส้ าหรับปรบั ต้ังรับตัง้ ระยะห่างของข้อต่อทั้งสอง รูปที่ 6.8 แสดงคันส่งที่ปลายท้ังสองจะสวมเขา้ กับลูกหมากคันส่ง 6.3.4 ลกู หมากคนั ส่ง (Tie Rod End) ดังแสดงในรูป 6.9 ถูกยึดติดอยทู่ ี่ปลายคันส่ง โดยทีป่ ลายคันส่งต่ออยู่ กบั คันสง่ แขนบังคบั เลย้ี ว และคันชักลูกหมากมีลักษณะของรูปรา่ งท่เี ป็นหวั ต่อกลมวัสดุท่ีใช้ทาเบ้ารองสลกั ลูกหมากจึง ต้องมีการสึกหรอทชี่ า้ และมียางกันฝนุ่ ที่มคี ุณภาพสูงทีต่ ้องปกปดิ จาระบีไวใ้ ห้มีอายุการใช้งานทยี่ าวนานขึ้น ลกู หมากคันส่งบางแบบจะมสี ปริงทชี่ ่วยปรับระยะฟรโี หลดและการสกึ หรอของเบ้ารอง ดังแสดงในรูป 6.10

111 รปู ท่ี 6.9 แสดงส่วนประกอบของลูกหมากคันส่ง รูปท่ี 6.10 ลกู หมากคนั ส่งบางแบบจะมสี ปริงไวป้ รบั ระยะ 6.3.5 แขนบงั คับเล้ียว (Knuckle Arm) ทาหนา้ ทีส่ ่งถ่ายอาการเคล่ือนที่ขอคันสง่ ไปยังล้อหนา้ โดยผ่านทาง แกนบังคบั เล้ยี ว ดังแสดงในรูป 6.11 รูปที่ 6.11 แสดงตาแหนง่ ติดต้ังแขนบังคับเลี้ยว

112 6.3.6 แกนบงั คบั เลี้ยว (Steering Knuckle) เป็นตวั รองรับโหลดท่ีมากระทากับล้อหน้านอกจากนีย้ งั ทาหน้าที่ หมุนเพลาล้อให้หมนุ โดยมันจะถูกบังคับให้หมุนเคล่ือนท่ีไปมาไดด้ ว้ ยลูกหมากหรือสลกั คงิ พินของแขนบงั คบั ล้อหน้าใน ระบบรองรบั น้าหนักแบบคานแข็ง ดังแสดงในรปู 6.12 รปู ท่ี 6.12 แกนบงั คับเลย้ี ว 6.3.7 แขนประคอง (Idle Arm) แกนของแขนประคองถกู ตดิ ตง้ั อยูท่ ต่ี วั ถังของรถ โดยมีปลายด้านหน่ึงต่ออยู่ กับคันชกั ด้วยข้อต่อเดอื ยท่ีสอดผา่ นบชู ยาง และทาหน้าทีจ่ ากดั อาการเคล่ือนท่ีของคันชักใหม้ ตี าแหน่งทถี่ ูกต้องตามค่า กาหนด ดังแสดงในรปู 6.13 รูปท่ี 6.13 แสดงตาแหนง่ ติดตั้งของแขนประคอง

113 แขนประคองท่ีใช้กบั รถยนต์ระบบรองรับน้าหนักแบบอิสระมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ แบบบชู เลื่อน ซึง่ เปน็ แบบ ท่นี ยิ มใช้กันในปัจจุบนั เนื่องจากสามารถชว่ ยลดความฝืดในการบงั คับเลย้ี วได้มาก และแบบบูชบดิ ได้ เป็นแบบทใ่ี ชบ้ ู ชยางสวมอยรู่ ะหว่างแกนเพลาและจดุ รองรบั ซ่งึ จะทาให้การหมุนคืนกลับในตาแหน่งเดิมของพวงมาลัยง่ายขึน้ ดัง แสดงในรูป 6.14 รูปที่ 6.14 แสดงตาแหน่งตดิ ต้ังของบูชยางรองรบั ของแขนประคองแตล่ ะแบบ 6.3.8 คันชัก (Drag link) เปน็ กลไกบงั คับเล้ียวทีต่ ่อจากขาไก่แขนบงั คับเล้ียวด้วยลูกหมากทาหน้าส่งถ่าย อาการเคลื่อนท่ีชักไปมาทางด้านหน้าและดา้ นหลงั ดงั น้นั จึงทาให่ขาไกถ่ ่ายทอดอาการหมุนเคลื่อนที่ไปทางด้านซ้าย และทางด้านขวามเชน่ กัน คันชักแบบน้ีจึงนิยมใชก้ ับระบบรองรับน้าหนักแบบคานแข็ง ดังแสดงในรปู 6.15 และ 6.16 รปู ท่ี 6.15 ตาแหน่งติดต้ังคันชกั ที่ใช้ในระบบรองรับน้าหนักคานแขง็ รปู ท่ี 6.16 แสดงสัดสว่ นประกอบภายในของคนั ชัก

114 6.3.9 โชก้ อปั ซอรบ์ เบอร์กันสะเทือนพวงมาลยั (Steering Damper) ถูกตดิ ต้ังไวร้ ะหวา่ งก้านต่อบังคับเล้ียว และโครงรถ โช้กอัปซอร์บเบอร์พวงมาลยั จะทาหน้าทลี่ ดอาการกระตุกลาการส่ันสะเทือนที่เกดิ จากล้อมาส่งถ่ายยงั พวงมาลัย ดังแสดงในรูป 6.17 รปู ที่ 6.17 แสดงตาแหน่งติดตั้งโช้กอปั ซอร์บเบอร์พวงมาลัย 6.4 กระปกุ เกยี ร์พวงมาลัย (Steering Gear) เมื่อหมุนพวงมาลยั รถยนต์ แกนพวงมาลยั จะถูกสง่ ถ่ายกาลังอาการหมนุ ไปยังกระปุกเกียร์ทาให้เฟืองท่ีบรรจุ อยภู่ ายในกระปุกเกียร์พวงมาลัยซึง่ ทาหน้าท่ีลดรอบการหมุนของพวงมาลัยและเปล่ียนแปลงอาการหมุนใหเ้ ป็นการหัน เลีย้ วเคล่อื นที่ของล้อหน้าท้ังด้านซา้ ยและดา้ นขวา นอกจากนี้ มนั ยังชว่ ยผ่อนแรงในการบังคบั เล้ยี ว ซึ่งกเ็ ป็นการเพิ่ม แรงบิดให้มากข้นึ อตั ราส่วนท่ีลดลงนี้เรยี กว่า อัตราทดของการบงั คบั เลยี้ ว ซึ่งตมปกติแลว้ จะมีคา่ อยู่ระหว่าง 10 ถึง 20 ตอ่ 1 ถ้าอัตราการทดของกระปุกเกียร์พวงมาลยั มีมาก จะทาใหพ้ วงมาลัยนั้นเบาขึ้น แตใ่ นขณะท่ีเลี้ยวเข้าโค้งกจ็ าเปน็ อยา่ งย่ิงทีจ่ ะต้องหมุนพวงมาลัยให้มากกวา่ ปกติ ดังแสดงในรูป 6.18 รปู ที่ 6.18 แสดงตาแหนง่ ติดตั้งของกระปุกเกียร์พวงมาลัย อตั ราทดของการบังคับเล้ียว เป็นการออกแบบใหเ้ กียร์พวงมาลยั เกิดการได้เปรียบเชิงกลซึง่ มีวธิ ีการหาอัตราทดไดด้ ังน้ี