Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สังคมต้น

สังคมต้น

Description: สังคมต้น

Search

Read the Text Version

หนงั สือเรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 หา มจําหนา ย หนังสอื เรียนเลม นี้ จดั พิมพด ว ยเงนิ งบประมาณแผน ดินเพ่อื การศึกษาตลอดชวี ติ สําหรับประชาชน ลิขสิทธิ์เปน ของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร สาํ นกั งานสงเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

หนังสอื เรียนสาระการพัฒนาสงั คม รายวิชาสงั คมศกึ ษา (สค21001) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน เอกสารทางวิชาการหมายเลข 32/2553

คํานาํ สาํ นกั งานสง เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ไดด าํ เนนิ การจดั ทาํ หนังสือเรียนชุดใหมน้ีขึ้น เพ่ือสําหรับใชในการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ทีม่ ีวตั ถุประสงคใ นการพฒั นาผเู รยี นให มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปญญาและศักยภาพในการประกอบอาชีพ การศึกษาตอ และ สามารถดํารงชีวิตอยูในครอบครัว ชุมชน สังคมไดอยางมีความสุข โดยผูเรียนสามารถนํา หนังสือเรียนไปใช ดวยวิธีการศึกษาคนควาดวยตนเอง ปฏิบัติกิจกรรมรวมทั้งแบบฝกหัด เพอ่ื ทดสอบความรคู วามเขา ใจในสาระเนอื้ หา โดยเมอ่ื ศกึ ษาแลว ยงั ไมเ ขา ใจ สามารถกลบั ไป ศกึ ษาใหมไ ด ผเู รยี นอาจจะสามารถเพม่ิ พนู ความรหู ลงั จากศกึ ษาหนงั สอื เรยี นน้ี โดยนาํ ความรู ไปแลกเปลย่ี นกบั เพอ่ื นในชน้ั เรยี นศกึ ษาจากภมู ปิ ญ ญาทอ งถน่ิ จากแหลง เรยี นรแู ละจากสอ่ื อน่ื ๆ ในการดาํ เนนิ การจดั ทาํ หนงั สอื เรยี นตามหลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษา ขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ไดร บั ความรว มมอื ทด่ี จี ากผทู รงคณุ วฒุ ิ และผเู กย่ี วขอ งหลายทา น ซง่ึ ชว ยกนั คน ควา และเรยี บเรยี งเนื้อหาสาระจากส่ือตางๆ เพ่ือใหไดเน้ือหาท่ีสอดคลองกับ หลักสูตร และเปนประโยชนตอผูเรียนที่อยูนอกระบบอยางแทจริง สํานักงานสงเสริมการ ศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอขอบคุณคณะที่ปรึกษาคณะผูเรียบเรียง ตลอดจนคณะผูจดั ทาํ ทกุ ทา นทไี่ ดใ หค วามรว มมอื ดว ยดี ไว ณ โอกาสน้ี สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หวังวาหนังสือ เรียนชุดนี้จะเปนประโยชนในการจัดการเรียนการสอนตามสมควร หากมีขอเสนอแนะ ประการใด สาํ นกั งานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอนอมรบั ไว ดว ยความขอบคุณย่งิ สาํ นักงาน กศน.



สารบญั คาํ นํา สารบญั คําแนะนํา โครงสรา งรายวชิ าสังคมศึกษา (สค21001) ขอบขา ยเนอ้ื หา บทท่ี 1 ภูมศิ าสตรกายภาพทวีปเอเชีย.......................................................1 เร่อื งที่ 1 ลกั ษณะทางภูมศิ าสตรก ายภาพของประเทศ ในทวปี เอเชยี ....................................................................... 3 เร่ืองท่ี 2 การเปล่ียนแปลงสภาพภูมศิ าสตรกายภาพ............................10 เรอื่ งที่ 3 วธิ ใี ชเคร่อื งมอื ทางภูมิศาสตร ..............................................20 เร่อื งที่ 4 สภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพของไทย ทส่ี ง ผลตอ ทรัพยากรตา งๆ..................................................26 เร่ืองที่ 5 ความสําคัญของการดาํ รงชวี ติ ใหส อดคลอง กับทรพั ยากรในประเทศ......................................................33 บทที่ 2 ประวัตศิ าสตรทวีปเอเชีย ............................................................45 เร่อื งที่ 1 ประวัตศิ าสตรส งั เขปของประเทศในทวีปเอเชีย.....................47 เรือ่ งท่ี 2 เหตุการณส าํ คญั ทางประวัตศิ าสตรทเ่ี กิดข้นึ ในประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชยี ....................................................67 บทที่ 3 เศรษฐศาสตร .............................................................................73 เรื่องที่ 1 ความหมายความสาํ คญั ของเศรษฐศาสตรม หภาค และจลุ ภาค ........................................................................74 เร่ืองที่ 2 ระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย.............................................76 เร่ืองที่ 3 คณุ ธรรมในการผลติ และการบรโิ ภค.....................................89 เรอ่ื งท่ี 4 กฎหมายและขอ มลู การคมุ ครองผูบรโิ ภค.............................91 เรอ่ื งที่ 5 ระบบเศรษฐกิจของประเทศตา งๆ ในเอเชยี ..........................95 บทท่ี 4 การเมืองการปกครอง...............................................................104 เรื่องที่ 1 การเมืองการปกครองทีใ่ ชอยูใ นปจ จุบัน ของประเทศไทย...............................................................105 เร่อื งท่ี 2 เปรยี บเทียบรูปแบบทางการเมอื งการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยและระบบอน่ื ๆ..................................116 แนวเฉลย .......................................................................................125 บรรณานุกรม .......................................................................................134 คณะผจู ดั ทํา .......................................................................................136

คาํ แนะนาํ ในการใชหนงั สือเรยี น หนังสือสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ระดับมัธยมศึกษา ตอนตนเปนหนังสือเรียนท่ีจัดทําข้ึนสําหรับผูเรียนท่ีเปนนักศึกษานอกระบบในการศึกษา หนังสือสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ระดับมัธยมศึกษาตอนตน ผูเรยี นควรปฏิบตั ิดงั น้ี ศึกษาโครงสรา งรายวชิ าใหเ ขาใจในหัวขอ และสาระสาํ คญั ผลการเรียนรูทีค่ าดหวงั และขอบขา ยเน้ือหาของรายวิชานั้นๆ โดยละเอยี ด 1. ศกึ ษารายละเอยี ดเนอ้ื หาของแตล ะบทอยา งละเอยี ด และทาํ กจิ กรรมตามทก่ี าํ หนด แลวตรวจสอบกับแนวตอบกิจกรรมตามท่ีกําหนด ถาผูเรียนตอบผิดควรกลับไปศึกษาและ ทําความเขาใจในเน้อื หานน้ั ใหมใ หเขาใจ กอนท่จี ะศึกษาเรือ่ งตอๆไป 2. ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมทา ยเรื่องของแตละเรอื่ ง เพอ่ื เปน การสรุปความรู ความเขา ใจของ เน้ือหาในเรื่องนั้นๆ อีกครั้ง และการปฏิบัติกิจกรรมของแตละเนื้อหา แตละเรื่อง ผูเรียน สามารถนําไปตรวจสอบกับครูและเพ่อื นๆ ทีร่ ว มเรียนในรายวชิ าและระดับเดยี วกันได 3. หนงั สือเรยี นเลม น้ีมี 4 บท คอื บทที่ 1 ภมู ิศาสตรกายภาพทวปี เอเชีย บทท่ี 2 ประวัติศาสตรท วีปเอเชยี บทท่ี 3 เศรษฐศาสตร บทที่ 4 การเมืองการปกครอง

โครงสรางรายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) สาระสําคญั การศึกษาเรียนรูเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอมทางกายภาพท้ังของ ประเทศไทยและทวปี เอเชยี ววิ ฒั นาการความสัมพนั ธข องมนษุ ยกับสิ่งแวดลอ ม การจัดการ ทรพั ยากรทมี่ ีอยอู ยา งจํากัดเพ่ือใหใชอยา งเพียงพอในการผลิตและบรโิ ภค การใชข อ มลู ทาง ประวัติศาสตรเพ่ือวิเคราะหเหตุการณในอนาคต การเรียนรูเร่ืองการเมืองการปกครอง สามารถนาํ ไปใชประโยชนใ นการดาํ เนนิ ชวี ิตประจาํ วันได ผลการเรียนรูท คี่ าดหวงั 1. อธิบายขอมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร การเมืองการ ปกครองท่ีเก่ยี วขอ งกบั ประเทศในทวปี เอเชยี 2. นําเสนอผลการเปรียบเทียบสภาพภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร การเมืองการปกครองของประเทศในทวปี เอเชีย 3. ตระหนักและวเิ คราะหถ ึงการเปล่ยี นแปลงท่เี กดิ ขึ้นกับประเทศในทวปี เอเชียทมี่ ี ผลกระทบตอ ประเทศไทย ขอบขา ยเน้ือหา บทท่ี 1 ภมู ศิ าสตรกายภาพทวปี เอเชีย เรอ่ื งที่ 1 ลักษณะทางภมู ศิ าสตรกายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี เรือ่ งที่ 2 การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพ เร่ืองท่ี 3 วธิ ีใชเ ครื่องมอื ทางภูมศิ าสตร เรอื่ งท่ี 4 สภาพภมู ศิ าสตรกายภาพของไทยท่ีสง ผลตอทรัพยากรตางๆ เร่ืองที่ 5 ความสําคัญของการดํารงชีวิตใหสอดคลองกับทรัพยากรใน ประเทศ บทที่ 2 ประวตั ศิ าสตรท วีปเอเชีย เรือ่ งท่ี 1 ประวตั ิศาสตรสังเขปของประเทศในทวีปเอเชีย เร่ืองที่ 2 เหตกุ ารณส าํ คญั ทางประวตั ศิ าสตรท เ่ี กดิ ขน้ึ ในประเทศไทยและ ประเทศในทวปี เอเชยี บทท่ี 3 เศรษฐศาสตร เรื่องที่ 1 ความหมายความสําคัญของเศรษฐศาสตรม หภาคและจุลภาค เร่อื งท่ี 2 ระบบเศรษฐกจิ ในประเทศไทย

เร่อื งท่ี 3 คุณธรรมในการผลิตและการบรโิ ภค เร่อื งท่ี 4 กฎหมายและขอมูลการคุม ครองผบู ริโภค เร่ืองที่ 5 ระบบเศรษฐกจิ ของประเทศตา งๆ ในเอเชยี บทท่ี 4 การเมืองการปกครอง เรือ่ งที่ 1 การเมอื งการปกครองท่ใี ชอ ยูใ นปจจุบันของประเทศไทย เรือ่ งที่ 2 รปู แบบการเมอื งการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยและ ระบบอื่นๆ สือ่ ประกอบการเรียนรู 1. หนงั สอื เรยี นรายวชิ าสงั คมศกึ ษา สาระการพฒั นาสงั คม ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบและระดบั การศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 2. เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร เชน แผนที่ ลูกโลก เข็มทิศ รูปถายทางอากาศและ ภาพถา ยจากดาวเทยี ม 3. เวบ็ ไซต 4. หนงั สอื พมิ พ วารสาร เอกสารทางวชิ าการตามหอ งสมดุ และแหลง เรยี นรใู นชมุ ชน และหอ งสมดุ ประชาชน หอ งสมดุ เฉลมิ ราชกมุ ารใี นทอ งถน่ิ

« ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน » 1 บทท่ี 1 ภูมิศาสตรก ายภาพทวปี เอเชีย สาระสําคญั ภูมิศาสตรกายภาพ คือวิชาที่เก่ียวของกับลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอม ทางกายภาพ (Physical Environment) ที่อยูรอบตัวมนุษย ท้ังสวนที่เปนธรณีภาค อทุ กภาค บรรยากาศภาค และชวี ภาค ตลอดจน ความสมั พนั ธท างพนื้ ท่ี (spatial Relation) ของส่งิ แวดลอมทางกายภาพตา งๆ ดงั กลา วขางตน การศึกษาภูมศิ าสตรท างกายภาพทวปี เอเชีย ทําใหส ามารถวิเคราะหเ หตุผลประกอบ กบั การสงั เกตพจิ ารณาสง่ิ ทผ่ี นั แปรเปลย่ี นแปลงในภมู ภิ าคตา งๆ ของทวปี เอเชยี ไดเ ปน อยา งดี การศึกษาภูมิศาสตรกายภาพแผนใหมตองศึกษาอยางมีเหตุผล โดยอาศัยหลักเกณฑทาง ภมู ศิ าสตร หรอื หลกั เกณฑส ถติ ิ ซง่ึ เปน ขอ เทจ็ จรงิ จากวชิ าในแขนงทเี่ กยี่ วขอ งกนั มาพจิ ารณา โดยรอบคอบ ผลการเรียนรูท ี่คาดหวัง 1. อธบิ ายลกั ษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของประเทศในทวปี เอเชยี ได 2. มีความรูทางดานภูมิศาสตรกายภาพ สามารถเขาใจสภาพกายภาพของโลกวามี องคประกอบและมกี ารเปลีย่ นแปลงท่ีมีผลตอ สภาพความเปน อยขู องมนุษยอยา งไร 3. สามารถอธิบายการใชและประโยชนข องเครื่องมือทางภูมศิ าสตรไ ด 4. อธิบายความสัมพันธของสภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยท่ีสงผลตอทรัพยากร ตางๆ และสิง่ แวดลอมได 5. อธบิ ายความสมั พนั ธข องการดาํ รงชวี ติ ใหส อดคลอ งกบั ทรพั ยากรในประเทศไทย และประเทศในเอเชยี ได ขอบขา ยเน้ือหา เรอื่ งที่ 1 ลกั ษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของประเทศในทวปี เอเชีย 1.1 ทีต่ ัง้ และอาณาเขต 1.2 ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ 1.3 สภาพภมู อิ ากาศ เร่อื งที่ 2 การเปลย่ี นแปลงสภาพภูมิศาสตรกายภาพ 2.1 การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพทส่ี ง ผลกระทบตอ วถิ ชี วี ติ ความเปน อยขู องคน เรื่องท่ี 3 วิธีใชเ ครอื่ งมอื ทางภูมิศาสตร

2 หนงั สอื เรยี นสาระการพัฒนาสังคม รายวชิ าสังคมศกึ ษา (สค21001) 3.1 แผนท่ี 3.2 ลูกโลก 3.3 เขม็ ทิศ 3.4 รปู ถา ยทางอากาศและภาพถายจากดาวเทยี ม 3.5 เคร่ืองมือเทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษาภูมศิ าสตร เรอื่ งท่ี 4 สภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยที่สงผลตอทรัพยากรตาง ๆ และส่ิง แวดลอม เรอื่ งท่ี 5 ความสาํ คญั ของการดํารงชีวติ ใหส อดคลองกบั ทรพั ยากรในประเทศ 5.1 ประเทศไทย 5.2 ประเทศในเอเชีย ส่ือประกอบการเรยี นรู 1. แบบเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระการพัฒนาสังคม ระดับมัธยมศึกษาตอนตน หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ึนพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 2. เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร เชน แผนที่ ลูกโลก เข็มทิศ รูปถายทางอากาศและ ภาพถายจากดาวเทยี ม 3. เวบ็ ไซต 

« ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน » 3 เรือ่ งที่ 1 ลักษณะทางภูมศิ าสตรกายภาพของประเทศในทวีปเอเชีย 1.1 ท่ีตั้ง และอาณาเขต ทวีปเอเชียเปนทวีปท่ีมีขนาดใหญที่สุดในโลก มีพื้นที่ ประมาณ 44,648,953 ลานตารางกิโลเมตร มีดินแดนที่ตอเน่ืองกับทวีปยุโรปและทวีป แอฟรกิ า แผนดนิ ของทวีปยโุ รปกับทวีปเอเชยี ทต่ี อเนอื่ งกนั เรยี กรวมวา ยเู รเชยี พนื้ ท่สี ว น ใหญอยเู หนอื เสน ศนู ยสตู รมที าํ เลทต่ี งั้ ตามพกิ ดั ภูมิศาสตร คือ จากละตจิ ดู 11 องศาใต ถึง ละติจดู 77 องศา 41 ลิปดาเหนือ บริเวณแหลมเชลยูสกนิ (Chelyuskin) สหพันธรัฐรัสเซีย และจากลองจิจูดท่ี 26 องศา 04 ลปิ ดาตะวนั ออก บรเิ วณแหลมบาบา (Baba) ประเทศตุรกี ถงึ ลองจิจดู 169 องศา 30 ลิปดาตะวนั ตก ทีบ่ รเิ วณแหลมเดชเนฟ (Dezhnev) สหพันธรัฐ รัสเซีย โดยมีอาณาเขตติดตอ กบั ดินแดนตางๆ ดงั ตอไปนี้ ทิศเหนือ จรดมหาสมุทรอารกติก มีแหลมเชลยูสกิน ของสหพันธรัฐรัสเซีย เปน แผนดินอยูเ หนอื สุด ท่ลี ะติจดู 77 องศาเหนอื ทศิ ใต จรดมหาสมทุ รอินเดีย มีเกาะโรติ (Roti) ของติมอร- เลสเต เปน ดนิ แดนอยูใ ต ท่ีสดุ ทลี่ ะตจิ ูด 11 องศาใต ทิศตะวันออก จรดมหาสมุทรแปซิฟก มีแหลมเดชเนฟ ของสหพันธรัฐรัสเซีย เปน แผนดินอยูต ะวันออกทีส่ ุด ท่ลี องจจิ ูด 170 องศาตะวนั ตก ทศิ ตะวนั ตก จรดทะเลเมดเิ ตอรเ รเนยี นและทะเลดาํ กบั มที วิ เขาอรู าลกน้ั ดนิ แดนกบั ทวีปยุโรป และมีทะเลแดงกับคาบสมุทรไซไน (Sinai) กั้นดินแดนกับทวีปแอฟริกา มีแหลมบาบาของตรุ กเี ปนแผน ดินอยตู ะวนั ตกสุด ท่ีลองจจิ ดู 26 องศาตะวนั ออก 1.2 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ทวปี เอเชยี มลี กั ษณะภมู ปิ ระเทศแตกตา งกนั หลายชนดิ ใน สวนที่เปนภาคพ้ืนทวปี แบง ออกเปน เขตตางๆ ได 5 เขต คือ 1) เขตทร่ี าบตาํ่ ตอนเหนอื เขตท่ีราบต่ําตอนเหนอื ไดแ ก ดนิ แดนทีอ่ ยทู าง ตอนเหนือของทวีปเอเชีย ในเขตไซบีเรีย สวนใหญอยูใ นเขตโครงสรางแบบหินเกาที่เรียกวา แองการาชีลด มีลักษณะภูมิประเทศเปนท่ีราบขนาดใหญ มีแมนํ้าออบ แมนํ้าเยนิเซ และ แมน ํ้าลนี าไหลผา น บรเิ วณนมี้ อี าณาเขตกวางขวางมาก แตไ มคอ ยมีผูค นอาศัยอยู ถึงแมว า จะเปน ทรี่ าบ เพราะเนอื่ งจากมภี ูมิอากาศหนาวเยน็ มาก และทาํ การเพาะปลูกไมได 2) เขตทร่ี าบลมุ แมน า้ํ เขตทรี่ าบลมุ แมน า้ํ ไดแ ก ดนิ แดนแถบลมุ แมน าํ้ ตา งๆ ซง่ึ มลี กั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน ทร่ี าบ และมกั มดี นิ อดุ มสมบรู ณเ หมาะแกก ารเพาะปลกู สว นใหญ อยทู างเอเชยี ตะวนั ออก เอเชยี ใต และเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ไดแ ก ทร่ี าบลมุ ฮวงโห ทร่ี าบลมุ แมน า้ํ แยงซเี กยี งในประเทศจนี ทร่ี าบลมุ แมน าํ้ สนิ ธุ ทร่ี าบลมุ แมน า้ํ คงคา และทร่ี าบลมุ แมน าํ้ พรหมบตุ รในประเทศปากีสถาน อินเดีย และบงั กลาเทศ ที่ราบลุมแมนา้ํ ไทกรสิ ทร่ี าบลมุ แม น้ํายูเฟรทีส ในประเทศอิรัก ท่ีราบลุมแมนํ้าโขงตอนลาง ในประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ท่ีราบลมุ แมน ํา้ แดง ในประเทศเวยี ดนาม ทรี่ าบลุมแมน ้าํ เจา พระยา ในประเทศไทย ที่ราบลุม แมน า้ํ สาละวนิ ตอนลา ง ทร่ี าบลุมแมนํ้าอริ ะวดี ในประเทศสาธารณรฐั แหงสหภาพพมา

4 หนงั สอื เรียนสาระการพัฒนาสงั คม รายวิชาสังคมศกึ ษา (สค21001) แผนท่แี สดงภมู ปิ ระเทศทวปี เอเชีย 3) เขตเทือกเขาสูง เปนเขตเทือกเขาหินใหมตอนกลาง ประกอบไปดวย ที่ราบสูงและเทือกเขามากมาย เทือกเขาสูงเหลานี้สวนใหญเปนเทือกเขาที่แยกตัวไป จากจุดรวมท่เี รยี กวา ปามีรน อต หรอื ภาษาพ้ืนเมืองเรียกวา ปามรี ด นุ ยา แปลวา หลงั คาโลก จากปามรี นอตมีเทอื กเขาสูงๆ ของทวปี เอเชยี หลายแนว ซง่ึ อาจแยกออกไดดงั น้ี เทือกเขาท่ีแยกไปทางทิศตะวนั ออก ไดแก เทอื กเขาหมิ าลยั เทือกเขาอาระกนั โยมา และเทอื กเขาทม่ี แี นวตอ เนอื่ งลงมาทางใต มบี างสว นทจ่ี มหายไปในทะเล และบางสว น โผลขึ้นมาเปนเกาะในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟก ถัดจากเทือกเขาหิมาลัยขึ้น ไปทางเหนือ มีเทือกเขาทีแ่ ยกไปทางตะวนั ออก ไดแก เทอื กเขาคนุ ลนุ เทือกเขาอลั ตนิ ตัก เทอื กเขานานซาน และแนวทแ่ี ยกไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ไดแ ก เทอื กเขาเทยี นชาน เทอื กเขาอัลไต เทอื กเขาคินแกน เทอื กเขายาโบลนอย เทือกเขาสตาโนวอย และเทอื กเขาโก ลีมา เทือกเขาท่ีแยกไปทางทิศตะวันตก แยกเปนแนวเหนือและแนวใต แนวเหนือ ไดแก เทอื กเขาฮนิ ดกู ชู เทอื กเขาเอลบชู ร สว นแนวทศิ ใต ไดแ ก เทอื กเขาสไุ ลมาน เทอื กเขาซากรอส ซงึ่ เมือ่ เทอื กเขาท้งั 2 นี้ มาบรรจบกนั ท่ีอารเ มเนยี นนอตแลว ยังแยกออกอกี เปน 2 แนว ในเขตประเทศตรุ กี คือ แนวเหนือเปน เทือกเขาปอนตกิ และแนวใตเ ปนเทือกเขาเตารสั 4) เขตทร่ี าบสงู ตอนกลางทวปี เขตทรี่ าบสงู ตอนกลางเปน ทรี่ าบสงู อยรู ะหวา ง เทอื กเขาหนิ ใหมท ส่ี าํ คญั ๆ ไดแ ก ทร่ี าบสงู ทเิ บตซง่ึ เปน ทร่ี าบสงู ขนาดใหญแ ละสงู ทสี่ ดุ ในโลก ที่ราบสูงยูนนาน ทางใตของประเทศจีน และท่ีราบสูงที่มีลักษณะเหมือนแอง ช่ือ ตากลามากนั ซง่ึ อยรู ะหวา งเทอื กเขาเทยี นซานกบั เทอื กเขาคนุ ลนุ แตอ ยสู งู กวา ระดบั นา้ํ ทะเล มาก และมีอากาศแหงแลงเปน เขตทะเลทราย

« ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน » 5 5) เขตทีร่ าบสงู ตอนใตและตะวนั ตกเฉียงใต เขตที่ราบสงู ตอนใตแ ละตะวนั ตกเฉยี งใต ไดแ ก ทร่ี าบสงู ขนาดใหญ ทางตอนใตข องทวปี เอเชยี ซง่ึ มคี วามสงู ไมม ากเทา กบั ทรี่ าบสงู ทางตอนกลางของทวปี ทรี่ าบสงู ดงั กลา ว ไดแ ก ทรี่ าบสงู เดคคาน ในประเทศอนิ เดยี ทร่ี าบสงู อหิ รา น ในประเทศอหิ รา นและอฟั กานสิ ถาน ทร่ี าบสงู อนาโตเลยี ในประเทศตรุ กแี ละ ทีร่ าบสูงอาหรบั ในประเทศซาอุดอี าระเบีย 1.3 สภาพภมู ิอากาศ สภาพภมู ศิ าสตรแ ละพชื พรรณธรรมชาตใิ นทวีปเอเชยี แบง ไดดงั นี้ 1) ภมู อิ ากาศแบบปา ดบิ ชน้ื เขตภมู อิ ากาศแบบปา ดบิ ชนื้ อยรู ะหวา งละตจิ ดู ที่ 10 องศาเหนอื ถงึ 10 องศาใต ไดแ ก ภาคใตของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซยี และ ฟล ิปปน ส มีความแตกตางของอณุ หภูมิ ระหวา งกลางวนั และกลางคืนไมมากนัก มปี รมิ าณ นาํ้ ฝนมากกวา 2,000 มิลลิเมตร (80 น้ิว) ตอป และมีฝนตกตลอดป พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน ปา ดงดบิ ซงึ่ ไมม ฤี ดทู ผี่ ลดั ใบและมตี น ไมห นาแนน สว น บรเิ วณปากแมน ํา้ และชายฝง ทะเลมีพืชพรรณธรรมชาติเปนปา ชายเลน 2) ภมู อิ ากาศแบบมรสมุ เขตรอ น หรอื รอ นชนื้ แถบมรสมุ เปน ดนิ แดนทอ่ี ยู เหนอื ละตจิ ดู 10 องศาเหนือขึ้นไป มฤี ดูแลง และฤดูฝนสลบั กันประมาณปล ะเดอื น ไดแก บรเิ วณคาบสมทุ รอนิ เดยี และคาบสมทุ รอนิ โดจนี เขตนเ้ี ปน เขตทไี่ ดร บั อทิ ธพิ ลของลมมรสมุ ปรมิ าณนาํ้ ฝนจะสงู ในบรเิ วณดา นตน ลม (Winward side) และมฝี นตกนอ ยในดา นปลายลม (Leeward side) หรอื เรยี กวา เขตเงาฝน (Rain shadow) พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน ปา มรสมุ หรอื ปา ไมผ ลดั ใบในเขตรอ น พนั ธไุ มส ว นใหญ เปน ไมใ บกวางและเปนไมเ นอ้ื แขง็ ที่มีคาในทางเศรษฐกจิ หรอื ปา เบญจพรรณ เชน ไมสกั ไม จันทน ไมประดู เปนตน ปา มรสุม มลี กั ษณะเปนปาโปรง มากกวาปาไมในเขตรอ นชืน้ บาง แหงมีไมข นาดเล็กขนึ้ ปกคลุมบรเิ วณดินชนั้ ลาง และบางแหงเปน ปา ไผ หรอื หญา ปะปนอยู 3) ภมู ิอากาศแบบทงุ หญาเมืองรอ น มีลักษณะอากาศคลา ยเขตมรสมุ มีฤดู แลง กบั ฤดฝู น แตป รมิ าณนาํ้ ฝนนอ ยกวา คอื ประมาณ 1,000 - 1,500 มลิ ลเิ มตร (40 - 60 นว้ิ ) ตอป อณุ หภมู ิเฉลย่ี ตลอดป ประมาณ 21 องศาเซลเซยี ส (70 องศาฟาเรนไฮต) อุณหภมู ิ กลางคนื เยน็ กวา กลางวนั ไดแ ก บรเิ วณตอนกลางของอนิ เดยี สาธารณรฐั แหง สหภาพพมา และคาบสมุทรอนิ โดจนี พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน ปา โปรง แบบเบญจพรรณ ถดั เขา ไปตอนในจะเปน ทงุ หญา สงู ตั้งแต 60 - 360 เซนติเมตร (2 - 12 ฟตุ ) ซ่ึงจะงอกงามดใี นฤดฝู น แตแหง เฉาตายใน ฤดหู นาว เพราะชวงน้อี ากาศแหง แลง 4) ภมู อิ ากาศแบบมรสมุ เขตอบอนุ อยใู นเขตอบอนุ แตไ ดร บั อทิ ธพิ ลของลม มรสุมมีฝนตกในฤดูรอ น ฤดหู นาวคอ นขางหนาว ไดแก บริเวณภาคตะวนั ตกของจนี ภาค ใตของญ่ีปุน คาบสมุทรเกาหลี ฮองกง ตอนเหนือของอินเดยี ในสาธารณรฐั ประชาชนลาว และตอนเหนอื ของเวยี ดนาม

6 หนงั สอื เรียนสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) พืชพรรณธรรมชาติเปนไมผลัดใบหรือไมผสม มีทั้งไมใบใหญท่ีผลัดใบและไม สนท่ีไมผลัดใบ ในเขตสาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลี ทางใตของเขตนี้เปนปาไมผลัดใบ สว นทางเหนอื มอี ากาศหนาวกวาปา ไมผสม และปา ไมผลัดใบ เชน ตนโอก เมเปล ถาขึน้ ไป ทางเหนืออากาศหนาวเยน็ จะเปนปาสนที่มีใบเขยี วตลอดป 5) ภมู ิอากาศแบบอบอุนภาคพืน้ ทวีป ไดแก ทางเหนอื และตะวันออกเฉยี ง เหนอื ของประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี เกาหลเี หนอื ภาคเหนอื ของญปี่ นุ และตะวนั ออก เฉียงใตข องไซบีเรีย มฤี ดูรอนทีอ่ ากาศรอน กลางวันยาวกวา กลางคนื นาน 5 - 6 เดือน เปน เขตปลูกขาวโพดไดด ี เพราะมีฝนตกในฤดรู อน ประมาณ 750 - 1,000 มม. (30 - 40 นว้ิ ) ตอ ป ฤดหู นาวอุณหภูมิเฉล่ียถงึ 7 องศาเซลเซียส (18 องศาฟาเรนไฮต) เปนเขตท่คี วาม แตกตา งระหวางอุณหภูมิมมี าก พชื พรรณธรรมชาติเปน ปา ผสมระหวา งไมผ ลดั ใบและปา สน ลกึ เขาไปเปน ทงุ หญา สามารถเพาะปลกู ขาวโพด ขาวสาลี และเลยี้ งสตั วพ วกโคนมได สว นแถบชายทะเลมี การทําปา ไมบ า งเลก็ นอ ย 6) ภมู อิ ากาศแบบทงุ หญา กงึ่ ทะเลทรายแถบอบอนุ มอี ณุ หภมู สิ งู มากในฤดู รอ นและอณุ หภมู ติ า่ํ มากในฤดหู นาว มฝี นตกบา งในฤดใู บไมผ ลแิ ละฤดรู อ น ไดแ ก ภาคตะวนั ตกของคาบสมุทรอาหรบั ตอนกลางของประเทศตรุ กี ตอนเหนือของภาคกลางของอิหราน ในมองโกเลยี ทางตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของจนี พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน ทงุ หญา สนั้ (Steppe) ทงุ หญา ดงั กลา วมกี ารชลประทาน เขาถงึ ใชเลี้ยงสัตวและเพาะปลกู ขา วสาลี ขา วฟาง ฝาย ไดด ี 7) ภมู อิ ากาศแบบทะเลทราย มีความแตกตางระหวา งอณุ หภมู ิกลางวนั กับ กลางคืนและฤดูรอนกับฤดูหนาวมาก ไดแก ดินแดนท่ีอยูภายในทวีปท่ีมีเทือกเขาปดลอม ทําใหอิทธิพลจากมหาสมทุ รเขาไปไมถึง ปรมิ าณฝนตกนอยกวา ปล ะ 250 มม. (10 นว้ิ ) ไดแก บรเิ วณคาบสมุทรอาหรบั ทะเลทรายโกบี ทะเลทรายธาร และทีร่ าบสูงทเิ บต ที่ราบสงู อิหรา น บริเวณที่มนี ํ้าและตน ไมข น้ึ เรียกวา โอเอซิส (Oasis) พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน อนิ ทผลมั ตะบองเพชร และไมป ระเภทมหี นาม ชายขอบ ทะเลทราย สวนใหญเปนทุงหญาสลับปาโปรง มีการเลี้ยงสัตวประเภทท่ีเลี้ยงไวใชเน้ือและ ทําการเพาะปลูกตองอาศัยการชลประทานชว ย 8) ภูมิอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน อากาศในฤดูรอน รอนและแหงแลง ในเลบานอน ซเี รีย อสิ ราเอล และตอนเหนอื ของอิรัก พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน ไมต น เตย้ี ไมพ มุ มหี นาม ตน ไมเ ปลอื กหนาทท่ี นตอ ความ แหง แลง ในฤดูรอ นไดด ี พชื ทีเ่ พาะปลกู ไดแก สม องุน และมะกอก 9) ภมู อิ ากาศแบบไทกา (ก่ึงขั้วโลก) มีฤดูหนาวยาวนานและหนาวจัด ฤดู รอ นสนั้ มนี า้ํ คา งแขง็ ไดท กุ เวลา และฝนตกในรปู ของหมิ ะ ไดแ ก ดนิ แดนทางภาคเหนอื ของ ทวปี บรเิ วณไซบีเรยี

« ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน » 7 พืชพรรณธรรมชาติเปนปาสน เปนแนวยาวทางเหนือของทวีป ที่เรียกวา ไทกา (Taiga) หรือปาสนของไซบีเรีย 10) ภมู ิอากาศแบบทนุ ดรา (ขว้ั โลก) เขตน้มี ีฤดูหนาวยาวนานมาก อากาศ หนาวจดั มหี มิ ะปกคลมุ ตลอดป ไมมีฤดูรอน พืชพรรณธรรมชาตเิ ปน พวกตะไครน า้ํ และมอสส 11) ภูมิอากาศแบบท่ีสูง ในเขตที่สูงอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูงใน อตั ราความสูงเฉลยี่ ประมาณ 1 องศาเซลเซียสตอความสูง 10 เมตร จึงปรากฏวา ยอดเขาสูง บางแหงแมจ ะอยใู นเขตรอ น ก็มีหิมะปกคลมุ ทงั้ ป หรอื เกือบตลอดป ไดแ ก ทร่ี าบสงู ทเิ บต เทือกเขาหมิ าลยั เทอื กเขาคุนลนุ และเทอื กเขาเทียนชาน ซึง่ มคี วามสงู ประมาณ 5,000 - 8,000 เมตร จากระดับน้ําทะเล มหี มิ ะปกคลุมและมีอากาศหนาวเย็นแบบขว้ั โลก พืชพรรณธรรมชาติเปนพวกคะไครน ํ้า และมอสส การแบง ภมู ภิ าค ทวีปเอเชียนอกจากจะเปนอนุภูมิภาคของทวีปยูเรเชีย ยังอาจแบงออกเปนสวนยอย ดังนี้ เอเชียเหนอื หมายถงึ รสั เซยี เรยี กอีกอยา งวาไซบเี รีย บางครั้งรวมถึงประเทศทาง ตอนเหนือของเอเชียดวย เชน คาซคั สถาน เอเชียกลาง ประเทศในเอเชียกลาง ไดแก - สาธารณรฐั ในเอเชยี กลาง 5 ประเทศ คอื คาซคั สถาน อซุ เบกสิ ถาน ทาจกิ สิ ถาน เตริ กเมนสิ ถาน และครี ก ซี สถาน - ประเทศแถบตะวนั ตกของทะเลสาบแคสเปย น 3 ประเทศ คอื จอรเ จยี อารเ มเนยี และอาเซอรไบจานบางสวน เอเชียตะวนั ออก ประเทศในเอเชยี ตะวันออก ไดแก - เกาะไตห วนั และญ่ปี ุน ในมหาสมทุ รแปซิฟก - เกาหลีเหนือและเกาหลใี ตบ นคาบสมทุ รเกาหลี - สาธารณรฐั ประชาชนจีนและมองโกเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต คือ ประเทศ บนคาบสมุทรมลายู คาบสมุทรอินโดจีน เกาะตางๆ ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทร แปซิฟก เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต ประกอบดวย - ประเทศตางๆ ในแผนดินใหญ ไดแก สาธารณรัฐแหงสหภาพพมา ไทย สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว กัมพชู า และเวยี ดนาม - ประเทศตา งๆ ในทะเล ไดแ ก มาเลเซยี ฟล ปิ ปน ส สงิ คโปร อนิ โดนเี ซยี บรไู น และตมิ อรต ะวนั ออก (ตมิ อร - เลสเต) ประเทศอนิ โดนเี ซยี แยกไดเ ปน 2 สว น โดยมที ะเลจนี ใต คน่ั กลาง ท้งั สองสว นมที ้ังพ้นื ท่ที เี่ ปนแผน ดนิ ใหญแ ละเกาะ

8 หนงั สือเรยี นสาระการพัฒนาสังคม รายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) เอเชียใต เอเชียใตอ าจเรียกอีกอยา งวาอนุทวปี อนิ เดีย ประกอบดวย - บนเทอื กเขาหมิ าลยั ไดแ ก อนิ เดยี ปากสี ถาน เนปาล ภฏู าน และบงั กลาเทศ - ในมหาสมทุ รอนิ เดยี ไดแก ศรลี ังกาและมัลดีฟส เอเชียตะวันตกเฉียงใต (หรือเอเชียตะวันตก) ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะใน สหรฐั อเมรกิ ามกั เรยี ก อนภุ มู ภิ าคนวี้ า ตะวนั ออกกลาง บางครงั้ “ตะวนั ออกกลาง” อาจหมาย รวมถึงประเทศในแอฟริกาเหนอื เอเชียตะวนั ตกเฉียงใตแบงยอยไดเปน - อะนาโตเลยี (Anatolia) ซงึ่ กค็ ือเอเชียไมเนอร (Asia Minor) เปน พ้นื ท่ี สวนที่เปน เอเชยี ของตรุ กี - ประเทศตุรกี 97 % ของตุรกี - ทเ่ี ปนเกาะ คือ ไซปรัส ในทะเลเมดิเตอรเ รเนยี น - กลมุ เลแวนตห รอื ตะวนั ออกใกล ไดแ ก ซเี รยี อสิ ราเอล จอรแ ดน เลบานอน และอริ กั - ในคาบสมทุ รอาหรับ ไดแก ซาอดุ ิอาระเบยี สหรัฐอาหรับเอมเิ รตส บาหเ รน กาตาร อมาน เยเมน และอาจรวมถึงคเู วต - ท่ีราบสงู อิหรา น ไดแก อิหรา นและพนื้ ที่บางสวนของประเทศอื่นๆ - อัฟกานิสถาน 

« ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน » 9 กิจกรรมท่ี 1.1 ลักษณะทางภูมศิ าสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี 1) ใหผูเ รียนอธิบายจุดเดนของลกั ษณะภูมิประเทศในทวีปเอเชีย ท้ัง 5 เขต ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 2) ภมู อิ ากาศแบบใดทม่ี หี มิ ะปกคลมุ ตลอดป และพชื พรรณทป่ี ลกู เปน ประเภทใด ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... .....................................................................................................................................

10 หนงั สือเรยี นสาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าสงั คมศกึ ษา (สค21001) เรื่องที่ 2 การเปลยี่ นแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพ การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพ หมายถงึ ลักษณะการเปลย่ี นแปลงของสิ่ง แวดลอมทางกายภาพทอ่ี ยูร อบตวั มนษุ ย ทัง้ สว นทเี่ ปนธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาค และชวี ภาค ตลอดจน ความสัมพันธท างพน้ื ทข่ี องสงิ่ แวดลอ มทางกายภาพตา ง ๆ ดังกลาว ขา งตน การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร กอใหเกิดความเปล่ียนแปลงทางกายภาพ ทั้ง ภูมิประเทศและภูมิอากาศในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย สวนมากเกิดจาก ปรากฏการณตามธรรมชาติและเกิดผลกระทบตอประชาชนท่ีอาศัยอยู รวมท้ังสิ่งกอสราง ปรากฏการณต างๆ ท่ีมกั จะเกิด มดี ังตอ ไปนี้ 2.1 การเกิดแผนดินไหว แผนดินไหวเปนปรากฏการณธรรมชาติที่เกิดจากการ เคลื่อนที่ของแผนเปลือกโลก (แนวระหวางรอยตอธรณีภาค) ทําใหเกิดการเคล่ือนตัวของ ชั้นหนิ ขนาดใหญเ ลือ่ นเคลือ่ นทห่ี รอื แตกหัก และเกดิ การโอนถา ยพลงั งานศกั ย ผานในชัน้ หินที่อยูติดกัน พลังงานศักยนี้อยูในรูปเคลื่อนไหวสะเทือน จุดศูนยกลางการเกิดแผนดิน ไหว (focus) มักเกดิ ตามรอยเลอื่ น อยูในระดบั ความลกึ ตา ง ๆ ของผิวโลก สวนจุดทีอ่ ยใู น ระดบั สูงกวา ณ ตําแหนงผวิ โลก เรยี กวา “จุดเหนือศนู ยกลางแผน ดินไหว” (epicenter) การสน่ั สะเทอื นหรือแผนดินไหวนจ้ี ะถูกบนั ทึกดว ยเครื่องมือทีเ่ รียกวา ไซสโ มกราฟ 1) สาหตกุ ารเกดิ แผน ดินไหว - แผนดินไหวจากธรรมชาติ เปนธรณีพิบัติภัยชนิดหนึ่ง สวนมากเปน ปรากฏการณทางธรรมชาติท่ีเกิดจากการสั่นสะเทือนของพ้ืนดิน อันเนื่องมาจากการปลด ปลอยพลังงานทส่ี ะสมไว ภายในโลกออกมาอยา งฉับพลนั เพอื่ ปรบั สมดุลของเปลือกโลกให คงท่ีโดยปกติเกิดจากการเคล่ือนไหวของรอยเล่ือนภายในชั้นเปลือกโลก ที่อยูดานนอกสุด ของโครงสรา งของโลก มีการเคลือ่ นทห่ี รือเปลีย่ นแปลงอยา งชา ๆ อยูเสมอ แผนดินไหวจะ เกิดข้ึนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ภาวะน้ีเกิดข้ึนบอยในบริเวณขอบเขตของแผน เปลอื กโลกทแ่ี บง ชนั้ เปลอื กโลกออกเปน ธรณภี าค (lithosphere) เรยี กแผน ดนิ ไหวทเ่ี กดิ ขน้ึ บริเวณขอบเขตของแผนเปลือกโลกน้ีวา แผนดินไหวระหวางแผน (interpolate earth- quake) ซ่ึงเกดิ ไดบอยและรนุ แรงกวา แผนดินไหวภายในแผน (intraplate earthquake) - แผนดินไหวจากการกระทําของมนุษย ซึ่งมีท้ังทางตรงและทางออม เชน การทดลองระเบดิ ปรมาณู การทาํ เหมอื ง สรา งอา งเกบ็ นาํ้ หรอื เขอ่ื นใกลร อยเลอื่ น การ ทํางานของเครือ่ งจกั รกล การจราจร เปนตน 2) การวดั ระดบั ความรนุ แรงของแผน ดนิ ไหว โดยปกตจิ ะใชม าตรารคิ เตอร ซึ่งเปนการวัดขนาดและความสัมพันธของขนาดโดยประมาณกับความส่ันสะเทือนใกล ศูนยก ลาง

« ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน » 11 ระดับความรนุ แรงของแผนดนิ ไหว 1 - 2.9 เลก็ นอ ย ผคู นเรม่ิ รสู กึ ถงึ การมาของคลน่ื มอี าการวงิ เวยี นเพยี งเลก็ นอ ย ในบางคน 3- 3.9 เล็กนอย ผูคนที่อยูในอาคารรูสึกเหมือนมีอะไรมาเขยาอาคารใหสั่น สะเทอื น 4 - 4.9 ปานกลาง ผูทอ่ี าศัยอยูท้งั ภายในอาคารและนอกอาคาร รูส กึ ถึงการสั่น สะเทอื น วตั ถหุ อยแขวนแกวงไกว 5 - 5.9 รุนแรงเปน บริเวณกวาง เคร่ืองเรอื น และวตั ถุมีการเคลอื่ นที่ 6.69 รุนแรกมาก อาคารเริ่มเสียหาย พังทลาย 7.0 ขนึ้ ไป เกดิ การส่ันสะเทอื นอยา งมากมาย สง ผลทําใหอาคารและสง่ิ กอ สราง ตางๆ เสยี หายอยา งรุนแรง แผนดนิ แยก วัตถุบนพน้ื ถูกเหวี่ยงกระเด็น 3) ขอปฏบิ ตั ใิ นการปองกันและบรรเทาภัยจากแผนดนิ ไหว กอนเกิดแผนดินไหว 1. เตรียมเครื่องอปุ โภคบริโภคที่จาํ เปน เชน ถานไฟฉาย ไฟฉาย อปุ กรณ ดับเพลิง นาํ้ อาหารแหง ไวใชใ นกรณีไฟฟา ดบั หรอื กรณีฉุกเฉนิ อื่นๆ 2. จดั หาเครอื่ งรบั วทิ ยทุ ใี่ ชถ า นไฟฉายหรอื แบตเตอรสี่ าํ หรบั เปด ฟง ขา วสาร คาํ เตอื น คําแนะนําและสถานการณต างๆ 3. เตรยี มอปุ กรณน ิรภัย สําหรับการชวยชีวิต 4. เตรยี มยารกั ษาโรค และเวชภณั ฑใ หพ รอ มทจ่ี ะใชใ นการปฐมพยาบาลเบอ้ื งตน 5. จดั ใหม กี ารศกึ ษาถงึ การปฐมพยาบาล เพอ่ื เปน การเตรยี มพรอ มทจ่ี ะชว ย เหลือผูที่ไดรับบาดเจ็บ หรอื อนั ตรายใหพ น ขดี อันตรายกอ นท่ีจะถงึ มือแพทย 6. จาํ ตาํ แหนง ของวาลว เปด -ปด นา้ํ ตาํ แหนง ของสะพานไฟฟา เพอ่ื ตดั ตอน การสงน้ํา และไฟฟา 7. ยึดเครอื่ งเรือน เครื่องใชไมสอย ภายในบาน ท่ที ํางาน และในสถานศกึ ษา ใหม ัน่ คง แนน หนา ไมโยกเยกโคลงเคลงเพอ่ื ไมให ไปทาํ ความเสียหายแกชีวิตและทรัพยส ิน 8. ไมควรวางส่ิงของที่มีน้ําหนักมากๆ ไวในท่ีสูง เพราะอาจรวงหลนมา ทาํ ความเสียหายหรือเปน อันตรายได 9. เตรียมการอพยพเคล่อื นยาย หากถึงเวลาทีจ่ ะตองอพยพ 10. วางแผนปองกันภัยสําหรบั ครอบครัว ทท่ี าํ งานและสถานที่ศกึ ษา มกี าร ชี้แจงบทบาทท่ีสมาชิกแตละบุคคลจะตองปฏิบัติ มีการฝกซอมแผนท่ีจัดทําไว เพ่ือเพ่ิม ลักษณะและความคลอ งตัวในการปฏบิ ตั เิ มือ่ เกดิ เหตกุ ารณฉ ุกเฉิน ขณะเกิดแผน ดนิ ไหว 1. ต้ังสติ อยูในที่ที่แข็งแรงปลอดภัย หางจากประตู หนาตาง สายไฟฟา เปนตน

12 หนงั สือเรยี นสาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศกึ ษา (สค21001) 2. ปฏิบัติตามคําแนะนํา ขอควรปฏิบัติของทางราชการอยางเครงครัด ไม ตนื่ ตระหนกจนเกนิ ไป 3. ไมค วรทาํ ใหเ กดิ ประกายไฟ เพราะหากมกี ารรว่ั ซมึ ของแกส หรอื วตั ถไุ วไฟ อาจเกดิ ภยั พบิ ตั ิจากไฟไหม ไฟลวก ซํ้าซอนกบั แผนดินไหวเพ่มิ ข้ึนอีก 4. เปด วทิ ยุรบั ฟงสถานการณ คําแนะนํา คําเตอื นตา ง ๆ จากทางราชการ อยา งตอ เนอ่ื ง 5. ไมค วรใชล ฟิ ต เพราะหากไฟฟา ดบั อาจมอี นั ตรายจากการตดิ อยภู ายใตล ฟิ ต 6. มดุ เขา ไปนอนใตเ ตยี งหรือตง่ั อยาอยใู ตค านหรอื ทที่ ่มี นี ้ําหนกั มาก 7. อยใู ตโ ตะ ทแ่ี ขง็ แรง เพอ่ื ปอ งกนั อนั ตรายจากสงิ่ ปรกั หกั พงั รว งหลน ลงมา 8. อยูหา งจากส่งิ ทไี่ มม่นั คงแขง็ แรง 9. ใหร บี ออกจากอาคารเมอ่ื มกี ารสง่ั การจากผทู คี่ วบคมุ แผนปอ งกนั ภยั หรอื ผทู ่ีรับผิดชอบในเรือ่ งนี้ 10. หากอยูในรถ ใหหยุดรถจนกวาแผนดินจะหยุดไหวหรือสั่นสะเทือน หลังเกิดแผนดินไหว 11. ตรวจเช็คการบาดเจ็บ และทาํ การปฐมพยาบาลผทู ่ีไดร ับบาดเจบ็ แลว รบี นาํ สง โรงพยาบาลโดยดวน เพื่อใหแ พทยไ ดท าํ การรกั ษาตอ ไป 12. ตรวจเชค็ ระบบนา้ํ ไฟฟา หากมกี ารรว่ั ซมึ หรอื ชาํ รดุ เสยี หาย ใหป ด วาลว เพื่อปองกัน นา้ํ ทว มเออ ยกสะพานไฟฟา เพ่ือปอ งกนั ไฟฟารว่ั ไฟฟา ดดู หรือไฟฟาช็อต 13. ตรวจเชค็ ระบบแกส โดยวธิ ีการดมกล่นิ เทานนั้ หากพบวา มีการรั่วซึม ของแกส (มีกลิ่น) ใหเปดประตูหนาตาง แลวออกจากอาคารแจงเจาหนาท่ีปองกันภัยฝาย พลเรอื นผทู ี่รบั ผดิ ชอบไดทราบในโอกาสตอไป 14. ไมใ ชโ ทรศัพทโดยไมจ ําเปน 15. อยากดนํ้าลางสวม จนกวาจะมีการตรวจเช็คระบบทอเปนท่ีเรียบรอย แลว เพราะอาจเกดิ การแตกหกั ของทอ ในสว ม ทาํ ใหน า้ํ ทว มเออ หรอื สง กลนิ่ ทไี่ มพ งึ ประสงค 16. ออกจากอาคารทช่ี ํารดุ โดยดว น เพราะอาจเกิดการพังทลายลงมา 17. สวมรองเทา ยางเพอื่ ปองกันส่ิงปรกั หักพัง เศษแกว เศษกระเบ้อื ง 18. รวมพล ณ ที่หมายท่ีไดตกลงนัดหมายกันไว และตรวจนับจํานวน สมาชิกวา อยูครบหรือไม 19. รว มมอื กบั เจา หนา ทใี่ นการเขา ไปปฏบิ ตั งิ านในบรเิ วณทไี่ ดร บั ความเสยี หาย และผไู มม หี นา ทห่ี รอื ไมเ กยี่ วขอ งไมค วรเขา ไปในบรเิ วณนนั้ ๆ หากไมไ ดร บั การอนญุ าต 20. อยาออกจากชายฝง เพราะอาจเกิดคลื่นใตนํ้าซัดฝงได แมวาการสั่น สะเทอื นของแผนดินจะสิ้นสดุ ลงแลว ก็ตาม

« ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน » 13 ผลกระทบตอ ประชากรทเ่ี กดิ จากแผน ดนิ ไหว จากเหตุการณแผนดินไหวครั้งรายแรงลาสุดในทวีปเอเชีย ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมอื่ วนั ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 มีความรนุ แรงอยูท่ีขนาด 7.9 รกิ เตอร ท่ี ความลกึ : 19 กิโลเมตร โดยจดุ ศนู ยกลางการสนั่ อยูท ี่ เขตเหวินฉวน มณฑลเสฉวน ทาง ตะวนั ตกเฉยี งเหนือ ของนครเฉิงตู 90 กิโลเมตร แผนดนิ ไหวครัง้ นสี้ รา งความเสียหายให กบั ประเทศจนี อยา งมหาศาล ท้งั ชวี ติ ประชาชน อาคารบา นเรอื น ถนนหนทาง โดยมผี เู สีย ชวี ติ 68,516 คน บาดเจบ็ 365,399 คน และสญู หาย 19,350 คน (ตวั เลขอยา งเปน ทางการ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551) นอกจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจนี แลว แผน ดินไหวก็ยงั สามารถรสู ึกได ในประเทศเพื่อนบานของจีน อาทิเชน ประเทศไทย ประเทศบังกลาเทศ ประเทศอินเดีย ประเทศปากสี ถาน แมวาการเกิดแผนดินไหวไมสามารถปองกันได แตเราควรเรียนรูขอปฏิบัติใน การปอ งกนั ทง้ั กอ นการเกดิ แผน ดนิ ไหว และขณะเกดิ แผน ดนิ ไหว เพอ่ื ปอ งกนั ความเสยี หาย ทีเ่ กิดกับชีวติ 2.2 การเกิดพายุ พายุ คอื สภาพบรรยากาศทถี่ กู รบกวนแบบใด ๆ กต็ าม โดยเฉพาะทมี่ ผี ลกระทบตอ พนื้ ผวิ โลก และบง บอกถงึ สภาพอากาศทรี่ นุ แรง เมอ่ื พดู ถงึ ความ รนุ แรงของพายุ จะกลา วถึงความเรว็ ท่ีศนู ยกลาง ซึ่งอาจสูงถงึ 400 กม./ชม. ความเร็วของ การเคลอ่ื นตวั ทศิ ทางการเคลอื่ นตวั ของพายแุ ละขนาดความกวา งหรอื เสน ผา ศนู ยก ลางของ ตัวพายุ ซึ่งบอกถึงอาณาบริเวณที่จะไดรับความเสียหายวา ครอบคลุมเทาใด ความรุนแรง ของพายุจะมีหนวยวัดความรุนแรงคลายหนวยริกเตอรของการวัดความรุนแรงแผนดินไหว มกั จะมคี วามเร็วเพ่มิ ขนึ้ เรื่อยๆ ประเภทของพายุ พายุแบง เปนประเภทใหญๆ ได 3 ประเภท คอื 1) พายุฝนฟา คะนอง มลี กั ษณะเปน ลมพดั ยอนไปมา หรือพัดเคลื่อนตวั ไป ในทิศทางเดียวกัน อาจเกิดจากพายุท่ีออนตัวและลดความรุนแรงของลมลง หรือเกิดจาก หยอ มความกดอากาศตา่ํ รอ งความกดอากาศตา่ํ อาจไมม ที ศิ ทางทแ่ี นน อน หากสภาพการณ แวดลอมตางๆ ของการเกดิ ฝนเหมาะสมกจ็ ะเกิดฝนตก มีลมพดั 2) พายุหมุนเขตรอนตางๆ เชน เฮอรร เิ คน ไตฝ ุน และไซโคลน ซึ่งลว นเปน พายุหมุนขนาดใหญเชนเดียวกัน และจะเกิดขึ้นหรือเร่ิมตนกอตัวในทะเล หากเกิดเหนือ เสน ศนู ยส ตู ร จะมที ศิ ทางการหมนุ ทวนเขม็ นากิ า และหากเกดิ ใตเ สน ศนู ยส ตู รจะหมนุ ตาม เขม็ นาิกา โดยมีชอื่ ตา งกนั ตามสถานทเ่ี กดิ กลา วคือ พายเุ ฮอรร เิ คน (hurricane) เปน ชอื่ เรยี กพายหุ มนุ ทเี่ กดิ บรเิ วณทศิ ตะวนั ตกของมหาสมุทรแอตแลนติก เชน บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อาวเม็กซิโก ทะเล แครบิ เบียน เปน ตน รวมทง้ั มหาสมทุ รแปซฟิ ก บริเวณชายฝงประเทศเมก็ ซิโก พายุไตฝุน (typhoon) เปนชื่อพายุหมุนท่ีเกิดทางทิศตะวันตกของ

14 หนังสอื เรยี นสาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าสังคมศกึ ษา (สค21001) มหาสมทุ รแปซฟิ ก เหนอื เชน บริเวณทะเลจีนใต อา วไทย อาวตังเกี๋ย ประเทศญ่ีปุน พายไุ ซโคลน (cyclone) เปน ชอื่ พายหุ มนุ ทเี่ กดิ ในมหาสมทุ รอนิ เดยี เหนอื เชน บรเิ วณอา วเบงกอล ทะเลอาหรบั เปนตน แตถ า พายนุ ี้เกิดบริเวณทะเลตมิ อรแ ละทศิ ตะวัน ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศออสเตรเลีย จะเรยี กวา พายุวลิ ล-ี วลิ ลี (willy-willy) พายโุ ซนรอ น (tropical storm) เกดิ ขน้ึ เมอื่ พายเุ ขตรอ นขนาดใหญอ อ นกาํ ลงั ลงขณะเคลื่อนตัวในทะเล และความเร็วทีจ่ ดุ ศูนยกลางลดลงเมอ่ื เคลอ่ื นเขาหาฝง มีความเร็ว ลม 62 - 117 กโิ ลเมตรตอชว่ั โมง พายดุ เี ปรสชนั (depression) เกดิ ขน้ึ เมอื่ ความเรว็ ลดลงจากพายโุ ซนรอ น ซง่ึ กอ ใหเ กิดพายฝุ นฟา คะนองธรรมดาหรือฝนตกหนัก มคี วามเรว็ ลมนอ ยกวา 61 กโิ ลเมตร ตอ ช่ัวโมง 3) พายทุ อรน าโด (tornado) เปน ชือ่ เรยี กพายุหมุนท่เี กดิ ในทวปี อเมริกา มี ขนาดเน้ือท่ีเล็กหรือเสนผาศูนยกลางนอย แตหมุนดวยความเร็วสูง หรือความเร็วท่ี จุดศูนยก ลางสูงมากกวา พายหุ มุนอืน่ ๆ กอความเสยี หายไดรุนแรงในบริเวณทพ่ี ัดผาน เกิด ไดท้ังบนบกและในทะเล หากเกิดในทะเล จะเรยี กวา นาคเลน นา้ํ (water spout) บางคร้ัง อาจเกดิ จากกลมุ เมฆบนทอ งฟา แตห มนุ ตวั ยนื่ ลงมาจากทอ งฟา ไมถ งึ พน้ื ดนิ มรี ปู รา งเหมอื น งวงชา ง จึงเรยี กกันวา ลมงวง ความเร็วของพายุ สามารถแบง ออกเปน 5 ระดบั ไดแ ก 1) ระดับที่ 1 มีความเร็วลม 119 - 153 กิโลเมตรตอช่ัวโมง ทําลายลาง เล็กนอ ย ไมสง ผลตอส่งิ ปลูกสราง มนี ํ้าทวมขงั ตามชายฝง 2) ระดับที่ 2 มีความเร็วลม 154 - 177 กิโลเมตรตอช่ัวโมง ทําลายลาง เล็กนอย ทาํ ใหหลังคา ประตู หนา ตา งบานเรือนเสียหายบา ง ทําใหเกดิ นํ้าทว มขงั 3) ระดับที่ 3 มีความเร็วลม 178 - 209 กิโลเมตรตอ ชั่วโมง ทาํ ลายลา งปาน กลาง ทาํ ลายโครงสรางทอี่ ยูอ าศัยขนาดเลก็ นา้ํ ทวมขังถึงพ้นื บานชัน้ ลา ง 4) ระดบั ที่ 4 มีความเรว็ ลม 210 - 249 กิโลเมตรตอช่ัวโมง ทําลายลา งสูง หลงั คาบา นเรอื นบางแหง ถกู ทําลาย นาํ้ ทว มเขา มาถึงพ้นื บาน 5) ระดับท่ี 5 มีความเร็วลมมากกวา 250 กิโลเมตรตอช่วั โมง จะทาํ ลายลาง สูงมาก หลังคาบา นเรอื น ตึกและอาคารตาง ๆ ถูกทาํ ลาย พงั ทลาย นํ้าทว มขงั ปริมาณมาก ถงึ ข้ันทาํ ลายทรพั ยสนิ ในบา น อาจตอ งประกาศอพยพประชาชน ลําดับชั้นการเกดิ พายฝุ นฟา คะนอง 1) ระยะเจริญเติบโต โดยเร่ิมจากการท่ีอากาศรอนลอยตัวข้ึนสูบรรยากาศ พรอมกับการมีแรงมากระทํา หรือผลักดันใหมวลอากาศยกตัวข้ึนไปสูความสูงระดับหนึ่ง โดยมวลอากาศจะเยน็ ลงเมอ่ื ลอยสงู ขนึ้ และเรมิ่ ทจี่ ะเคลอื่ นตวั เปน ละอองนาํ้ เลก็ ๆ เปน การ กอ ตวั ของเมฆควิ มลู สั ในขณะทค่ี วามรอ นแฝงจากการกลน่ั ตวั ของไอนา้ํ จะชว ยใหอ ตั ราการ ลอยตัวของกระแสอากาศภายในกอนเมฆเร็วมากย่ิงข้ึน ซึ่งเปนสาเหตุใหขนาดของเมฆคิว

« ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน » 15 มูลัสมีขนาดใหญข้ึน และยอดเมฆสูงเพิ่มขึ้นเปนลําดับ จนเคลื่อนท่ีข้ึนถึงระดับบนสุดแลว (จุดอิ่มตัว) จนพัฒนามาเปนเมฆคิวมูโลนิมบัส กระแสอากาศบางสวนก็จะเร่ิมเคลื่อนที่ลง และจะเพม่ิ มากขึน้ จนกลายเปน กระแสอากาศที่เคลอ่ื นท่ลี งอยา งเดียว 2) ระยะเจริญเติบโตเต็มที่ เปนชวงท่ีกระแสอากาศมีท้ังไหลขึ้นและไหลลง ปริมาณความรอนแฝงที่เกิดขึ้นจากการกลั่นตัวลดนอยลง ซ่ึงมีสาเหตุมาจากการท่ี หยาดนํ้าฟาท่ีตกลงมามีอุณหภูมิต่ํา ชวยทําใหอุณหภูมิของกลุมอากาศเย็นกวาอากาศ แวดลอม ดังน้ันอัตราการเคล่ือนท่ีลงของกระแสอากาศจะมีคาเพิ่มขึ้นเปนลําดับ กระแส อากาศที่เคลอ่ื นทล่ี งมา จะแผข ยายตัวออกดานขางกอ ใหเกิดลมกระโชกรุนแรง อุณหภูมจิ ะ ลดลงทนั ทที นั ใด และความกดอากาศจะเพม่ิ ขนึ้ อยา งรวดเรว็ และยาวนาน แผอ อกไปไกลถงึ 60 กโิ ลเมตรได โดยเฉพาะสว นทอ่ี ยดู า นหนา ของทศิ ทาง การเคลอื่ นทข่ี องพายฝุ นฟา คะนอง พรอ มกนั นนั้ การทกี่ ระแสอากาศเคลอื่ นทข่ี นึ้ และเคลอื่ นทลี่ งจะกอ ใหเ กดิ ลมเชยี รร นุ แรงและ เกดิ อากาศปน ปว นโดยรอบ 3) ระยะสลายตัว เปนระยะที่พายุฝนฟาคะนองมีกระแสอากาศเคลื่อนที่ลง เพยี งอยางเดียว หยาดน้ําฝนตกลงมาอยา งรวดเร็วและหมดไป พรอมๆ กบั กระแสอากาศท่ี ไหลลงกจ็ ะเบาบางลง การหลบเลี่ยงอันตรายจากพายุฝนฟาคะนอง เนื่องจากพายุฝนฟาคะนอง สามารถ ทาํ ใหเ กดิ ความเสยี หายตอ ทรพั ยส นิ และอนั ตรายตอ ชวี ติ ของมนษุ ยไ ด จงึ ควรหลบ เล่ียงจากสาเหตดุ ังกลา ว คือ 1) ในขณะปรากฏพายฝุ นฟา คะนอง หากอยูใกลอาคารหรอื บานเรอื นทแี่ ข็ง แรงและปลอดภยั จากน้าํ ทว ม ควรอยแู ตภายในอาคารจนกวาพายุฝนฟาคะนองจะยตุ ลิ ง ซง่ึ ใชเวลาไมนานนัก การอยูในรถยนตจะเปนวิธีการที่ปลอดภัยวิธีหนึ่ง แตควรจอดรถใหอยู หางไกลจากบริเวณท่ีนํ้าอาจทวมได อยูหางจากบริเวณท่ีเปนนํ้า ขึ้นจากเรือ ออกหางจาก ชายหาดเม่อื ปรากฏพายุฝนฟา คะนอง เพือ่ หลกี เล่ียงอันตรายจากน้ําทวมและฟา ผา 2) ในกรณีทอ่ี ยใู นปา ในทงุ ราบ หรอื ในท่ีโลง ควรคกุ เขาและโนม ตวั ไปขาง หนา แตไมควรนอนราบกับพนื้ เน่ืองจากพนื้ เปยกเปน ส่ือไฟฟา และไมค วรอยใู นทตี่ ํ่า ซ่งึ อาจเกดิ น้าํ ทว มฉับพลันได ไมค วรอยใู นทโ่ี ดดเด่ียวหรอื อยูสงู กวาสภาพส่งิ แวดลอ ม 3) ออกหา งจากวัตถุทีเ่ ปนสอ่ื ไฟฟาทกุ ชนดิ เชน ลวด โลหะ ทอน้ํา แนว ร้ัวบาน รถแทรกเตอร จักรยานยนต เครอื่ งมอื อปุ กรณท ําสวนทกุ ชนดิ รางรถไฟ ตนไมสงู ตน ไมโ ดดเดยี่ วในทแี่ จง ไมค วรใชอ ุปกรณไ ฟฟา เชน โทรทัศน ฯลฯ และควรงดใชโ ทรศพั ท ชั่วคราว นอกจากกรณฉี กุ เฉิน ไมค วรใสเ ครือ่ งประดับโลหะ เชน ทองเหลอื ง ทองแดง ฯลฯ ในทแ่ี จง หรือถือวตั ถโุ ลหะ เชน รม ฯลฯ ในขณะปรากฏพายุฝนฟาคะนอง นอกจากน้ีควร ดูแลสิ่งของตางๆ ใหอยูในสภาพที่แข็งแรงและปลอดภัยอยูเสมอโดยเฉพาะส่ิงของที่อาจจะ หักโคน ได เชน หลังคาบาน ตนไม ปายโฆษณา เสาไฟฟา ฯลฯ

16 หนังสอื เรยี นสาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศกึ ษา (สค21001) ผลกระทบตอ ประชากรทเี่ กิดจากพายุ จากกรณกี ารเกดิ พายไุ ซโคลน “นารก สี ” (Nargis) ทส่ี าธารณรฐั แหง สหภาพพมา ถือเปน ขา วใหญทีท่ ั่วโลกใหค วามสนใจอยา งยิ่ง เพราะมหนั ตภยั ครงั้ นี้ ไดค รา ชวี ติ ชาวพมา ไปนับหม่ืนคน สูญหายอีกหลายหม่ืนชีวิต บานเรือน ทรัพยสิน และสาธารณูปโภคตางๆ เสียหายยบั เยนิ “นารก สี ” เปน ชอ่ื เรยี กของพายหุ มนุ เขตรอ น มผี ลพวงมาจากการเกดิ ภาวะโลกรอ น มคี วามเรว็ ลม 190 กโิ ลเมตรตอ ชว่ั โมง พายุ “นารก สี ” เรม่ิ กอ ตวั เมอ่ื วนั ท่ี 27 เมษายน 2551 ในอาวเบงกอล ตอนกลางและพดั เขา บริเวณสามเหลีย่ มปากแมน ํ้าอริ ะวดี ท่ีนครยา งกงุ และ บาสเซน สาธารณรัฐแหงสหภาพพมา ในเชา วันที่ 3 พฤษภาคม 2551 ความรนุ แรงของไซโคลน “นารกีส” จัดอยใู นความรนุ แรงระดบั 3 คือ ทาํ ลาย ลา งปานกลาง ทาํ ลายโครงสรา งทอ่ี ยอู าศยั ขนาดเลก็ นา้ํ ทว มขงั ถงึ พนื้ บา นชน้ั ลา งพดั หลงั คา บานเรือนปลิววอน ตนไมและเสาไฟฟาหักโคน ไฟฟาดับทั่วเมือง ในขณะที่ทางภาคเหนือ และภาคใตข องประเทศไทยกเ็ จอหางเลขอิทธิพล “นารกสี ” เลก็ นอ ย ซง่ึ ทําใหห ลายจังหวัด เกิดฝนตกชกุ มีนา้ํ ทวมขงั พบิ ัติภยั ธรรมชาติไมมที างเลยี่ งได ไมวา จะประเทศไหนหรือแผน ดินใด แตมวี ิธี ปองกันที่ดีท่ีสุด คือ รัฐบาลตองมีหนวยงานซ่ึงทําหนาท่ี early warning คือ เตือน ประชาชนคนของตนแตแ รกดว ยขอ มลู ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพและทนั การณ จากนนั้ กต็ อ งรบี ดาํ เนนิ การตางๆ อยางเหมาะสม เชน ยายผูคนใหไปอยูในที่ปลอดภัย ท้ังนี้ นับเปนโชคดีของ ประเทศไทยท่ีเมื่อ นารกีส มาถึงบานเราก็ลดความแรงลง คงมีแตฝนเปนสวนใหญ แมจะ ทําความเสียหายแกพืชไรของเกษตรกรไมนอยแตก็เพ่ิมประมาณนํ้าในเขื่อนสําคัญๆ แต อยา งไรกต็ ามผลพวงภัยพบิ ตั ทิ างธรรมชาตทิ ี่เกิดขึ้นทงั้ หมด มาจาก “ภาวะโลกรอน” ซ่ึงก็ เกดิ จากฝมอื มนษุ ยท ัง้ สิน้ 2.3 การเกิดคล่นื สึนามิ คล่ืนสึนามิ (tsunami) คอื คล่ืนในทะเล หรือคลืน่ ยักษ ใตน้ํา จะเกดิ ภายหลงั จากการส่นั สะเทอื นของแผนดินไหว แผนดนิ ถลม การระเบดิ หรอื การ ปะทุของภูเขาไฟที่พ้ืนทองสมุทรอยางรนุ แรง ทาํ ใหเกดิ รอยแยก นํ้าทะเลจะถูกดดู เขาไปใน รอยแยกนี้ ทําใหเ กิดภาวะน้ําลดลงอยางรวดเร็ว จากน้ันแรงอดั ใตเ ปลอื กโลกจะดันนา้ํ ทะเล ขึ้นมากอพลงั คล่ืนมหาศาล คลื่นสนึ ามิอาจจะเคล่ือนทขี่ ามมหาสมุทร ซึง่ หา งจากจุดทเี่ กิด เปน พนั ๆ กโิ ลเมตร โดยไมม ลี กั ษณะผดิ สงั เกต เพราะมคี วามสงู เพยี ง 30 เซนตเิ มตร เคลอ่ื นที่ ดวยความเรว็ 600 - 1,000 กิโลเมตรตอช่วั โมง แตเมื่อเคล่ือนตัว เขา มาในเขตน้ําตนื้ จะ เกิดแรงดันระดบั นํ้าใหส ูงขึน้ อยางรวดเร็ว และมแี รงปะทะอยางมหาศาลกลายเปน คลน่ื ยกั ษ ทม่ี ีความสูง 15 - 30 เมตร สนึ ามิ สว นใหญเ กดิ จากการเคลอื่ นตวั ของเปลอื กโลกใตท ะเลอยา งฉบั พลนั อาจ จะเปน การเกดิ แผน ดนิ ถลม ยบุ ตวั ลง หรอื เปลอื กโลกถกู ดนั ขน้ึ หรอื ยบุ ตวั ลง ทาํ ใหม นี าํ้ ทะเล ปรมิ าตรมหาศาลถกู ดนั ขน้ึ หรอื ทรดุ ตวั ลงอยา งฉบั พลนั พลงั งานจาํ นวนมหาศาลกถ็ า ยเทไป ใหเ กดิ การเคลอ่ื นตวั ของนาํ้ ทะเลเปน คลนื่ สนึ ามทิ เ่ี หนอื ทะเลลกึ จะดไู มต า งไปจากคลน่ื ทวั่ ๆ

« ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน » 17 ภาพหลังสึนามิ ไปเลย จงึ ไมส ามารถสงั เกตไดด ว ยวธิ ปี กติ แมแ ตค นบนเรอื เหนอื ทะเลลกึ ทค่ี ลนื่ สนึ ามเิ คลอื่ น ผานใตทองเรือไป ก็จะไมรูสึกอะไร เพราะเหนือทะเลลึก คล่ืนน้ีสูงจากระดับนํ้าทะเลปกติ เพียงไมกี่ฟุตเทาน้ัน จึงไมสามารถแมแตจะบอกไดดวยภาพถายจากเคร่ืองบิน หรือยาน อวกาศ นอกจากนแี้ ลว สึนามิ ยงั เกดิ ไดจากการเกดิ แผนดินถลม ใตท ะเล หรือใกลฝ งท่ีทาํ ให มวลของดินและหนิ ไปเคล่อื นยายแทนทีม่ วลนาํ้ ทะเล หรือภเู ขาไฟระเบิดใกลทะเล สงผลให เกิดการโยนสาดดินหินลงนํ้า จนเกิดเปนคล่ืนสึนามิได ดังเชน การระเบิดของภูเขาไฟ กระกะต้วั ในป ค.ศ. 1883 ซ่งึ สงคล่นื สนึ ามิ ออกไปทาํ ลายลา งชีวิตและทรัพยส นิ ของผูค น ในเอเชยี มจี ํานวนผูต ายถงึ ประมาณ 36,000 ชวี ติ คลนื่ สนึ ามกิ บั ผลกระทบตอ สง่ิ แวดลอ ม การเกดิ คลน่ื สนึ ามกิ ระทบตอ สงิ่ แวดลอ ม และสังคม ในหลาย ๆ ดาน เชน เกิดการเปล่ียนแปลงของพื้นท่ีชายฝงในชวงเวลาอันสั้น รวมทงั้ การเปลยี่ นแปลงทอ่ี ยอู าศยั ของสตั วน าํ้ บางประเภท ปะการงั ถกู ทาํ ลาย ประชาชนขาด ที่อยอู าศัย ไรท รัพยส ิน สน้ิ เนอ้ื ประดาตวั กระทบตอ อาชพี ไมว าจะเปนชาวประมง อาชพี ที่ เก่ียวกบั การบริการดานทอ งเท่ียว สง่ิ ปลูกสรางอาคารบานเรือนเสียหาย ฯลฯ ผลกระทบตอ ประชากรทเ่ี กดิ จากคลื่นสึนามิ จากกรณีการเกิดคล่นื สึนามิ ในวันท่ี 26 ธนั วาคม 2547 เวลา 0:58:50 น. (UT) หรอื เวลา 7:58:50 น. ตามเวลาในประเทศไทย ไดเ กิดแผนดินไหวขนาด 8.9 ตามมาตรา ริกเตอร ที่นอกชายฝงตะวันตกทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย

18 หนงั สือเรยี นสาระการพัฒนาสงั คม รายวิชาสงั คมศกึ ษา (สค21001) จุดศูนยกลางอยูลึก 10 กม. หางจากเมืองบันดาเอเช ประมาณ 250 กม. และหางจาก กรุงเทพฯ 1,260 กม. แผนดินไหวนี้เปนแผนดินไหวที่ใหญเปนอันดับที่ 5 นับต้ังแตป ค.ศ. 1900 และใหญท สี่ ดุ นบั ตง้ั แตแ ผน ดนิ ไหวอลาสกาในป ค.ศ. 1964 เหตกุ ารณด งั กลา ว ทําใหเกดิ การส่ันสะเทอื นรบั รไู ดใ นประเทศมาเลเซีย สงิ คโปร และไทย แรงคลื่นสูงประมาณ 6 เมตร ไดถ าโถมตามแนวชายฝง สรา งความเสยี หายในวงกวา ง ทาํ ใหเ กดิ ผเู สยี ชวี ติ และบาด เจ็บเปนจาํ นวนมาก ในประเทศอนิ เดีย ศรีลังกา มาเลเซยี และจงั หวดั ทอ งเที่ยวทางใตของ ประเทศไทย มผี ูเสยี ชีวิตนับรอ ยและมีผูบาดเจ็บเปนจํานวนมากในจงั หวัดภูเกต็ พงั งา ตรงั และกระบ่ี 

« ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน » 19 กจิ กรรมท่ี 1.2 การเปล่ียนแปลงสภาพภมู ศิ าสตรกายภาพ 1) ใหผูเรียนอธิบายวาการเกิดแผนดินไหวอยางรุนแรง จะสงผลกระทบตอ ประชากรและส่งิ แวดลอมอยางไรบา ง ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 2) ใหบ อกความแตกตา งและผลกระทบทเี่ กดิ ตอ ประชากรและสง่ิ แวดลอ มของ พายฝุ นฟา คะนอง พายุหมุนเขตรอ น และพายุทอรน าโด ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 3) คลนื่ สนึ ามกิ บั ผลกระทบตอ สงิ่ แวดลอ มมากมายหลายอยา ง ในความคดิ เหน็ ของผูเ รยี นผลกระทบดานใดที่เสยี หายมากท่ีสุด พรอ มใหเ หตผุ ลประกอบ ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... .....................................................................................................................................

20 หนังสอื เรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) เรอ่ื งท่ี 3 วธิ ีใชเครอื่ งมือทางภมู ศิ าสตร เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร หมายถึง สิ่งที่มนุษยสรางขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและบันทึก ขอมูลทางดานภมู ศิ าสตร เครอ่ื งมอื ภมู ิศาสตรที่สาํ คญั ไดแ ก แผนท่ี ลกู โลก เขม็ ทศิ รูปถาย ทางอากาศ และภาพถา ยจากดาวเทยี ม และเครอ่ื งมอื เทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษาภมู ศิ าสตร ฯลฯ 3.1 แผนท่ี เปน สง่ิ ทีม่ นุษยส รา งข้นึ เพอ่ื แสดงลักษณะท่ีต้งั ของส่ิงตางๆ ที่ปรากฏ อยบู นพนื้ ผวิ โลก ทง้ั ทเี่ กดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาตแิ ละสง่ิ ทม่ี นษุ ยส รา งขน้ึ โดยการยอ สว นใหม ี ขนาดเล็กลงตามที่ตองการ พรอมทั้งใชเครื่องหมาย หรือสัญลักษณแสดงลักษณะแทน สงิ่ ตางๆ ลงในวัสดุพื้นแบนราบ ความสําคัญของแผนที่ แผนทีเ่ ปนทรี่ วบรวมขอมลู ประเภทตา งๆ ตามชนดิ ของแผนท่ี จงึ สามารถใชป ระโยชนจ ากแผนทไี่ ดต ามวตั ถปุ ระสงค โดยไมจ าํ เปน ตอ งเดนิ ทาง ไปเห็นพน้ื ท่ีจรงิ แผนท่ีชวยใหผูใชส ามารถรสู ง่ิ ท่ปี รากฏอยบู นพื้นโลกไดอ ยางกวา งไกล ถูก ตองและประหยดั ประโยชนข องแผนท่ี แผนท่มี ีประโยชนตอ งานหลายๆ ดาน คือ 1. ดา นการเมืองการปกครอง เพื่อรักษาความม่ันคงของประเทศชาติ ใหค ง อยูจาํ เปนจะตองมีความรใู นเรอื่ งภมู ิศาสตรการเมือง หรอื ทเ่ี รียกกนั วา “ภมู ิรัฐศาสตร” และ เคร่อื งมือท่สี าํ คัญของนักภูมิรัฐศาสตรก็คือ แผนท่ี เพอ่ื ใชศ ึกษาสภาพทางภมู ิศาสตรและนาํ มาวางแผนดําเนนิ การเตรยี มรบั หรือแกไขสถานการณทเี่ กิดขน้ึ ได 2. ดานการทหาร ในการพิจารณาวางแผนทางยุทธศาสตรของทหาร จําเปน ตอ งหาขอ มลู หรอื ขา วสารทเี่ กยี่ วกบั สภาพภมู ศิ าสตร และตาํ แหนง ทางสงิ่ แวดลอ มทถ่ี กู ตอ ง แนน อนเกี่ยวกับระยะทาง ความสูง เสนทาง ลักษณะภมู ปิ ระเทศทส่ี าํ คัญ 3. ดานเศรษฐกจิ และสงั คม ดา นเศรษฐกิจ เปน เคร่อื งบง ชี้ความเปน อยขู อง ประชาชนภายในชาติ การดาํ เนนิ งานเพอ่ื พฒั นาเศรษฐกจิ ของแตล ะภมู ภิ าคทผ่ี า นมา แผนท่ี เปน สง่ิ แรกทต่ี อ ง ผลติ ขน้ึ มาเพอ่ื การใชง านในการวางแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง ชาติ ก็ตองอาศัยแผนที่เปนขอมูลพื้นฐานเพื่อใหทราบทําเลท่ีตั้งสภาพทางกายภาพแหลง ทรัพยากร 4. ดา นสงั คม สภาพแวดลอมทางสังคมมีการเปลยี่ นแปลงอยเู สมอ ทเ่ี ห็นชดั คอื สภาพแวดลอ มทางภมู ศิ าสตร ซงึ่ ทาํ ใหส ภาพแวดลอ มทางสงั คมเปลยี่ นแปลงไป การศกึ ษา สภาพการเปล่ียนแปลงตองอาศัยแผนท่ีเปนสําคัญ และอาจชวยใหการดําเนินการวางแผน พฒั นาสังคมเปนไปในแนวทางทถี่ กู ตอง 5. ดา นการเรยี นการสอน แผนทเ่ี ปน ตวั สง เสรมิ กระตนุ ความสนใจ และกอ ให เกิดความเขาใจในบทเรยี นดขี ึน้ ใชเ ปน แหลง ขอมูลท้งั ทางดา นกายภาพ ภมู ิภาค วฒั นธรรม เศรษฐกิจ สถิติและการกระจายของสิ่งตางๆ รวมท้ังปรากฏการณทางธรรมชาติ และ ปรากฏการณต า งๆ ใชเ ปน เคร่ืองชว ยแสดงภาพรวมของพื้นทห่ี รือของภูมภิ าค อนั จะนําไป ศึกษาสถานการณและวเิ คราะหค วามแตกตา งหรอื ความสมั พนั ธของพ้นื ท่ี

« ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน » 21 6. ดานสงเสริมการทองเท่ียว แผนท่ีมีความจําเปนตอนักทองเท่ียวในอันที่ จะทําใหรูจักสถานที่ทองเที่ยวไดงาย สะดวกในการวางแผนการเดินทางหรือเลือกสถานที่ ทองเทย่ี วตามความเหมาะสม ชนิดของแผนที่ แบงตามการใชงานได 3 ชนดิ ไดแก 1. แผนทภ่ี มู ปิ ระเทศ เปน แผนทแี่ สดงความสงู ตาํ่ ของพนื้ ผวิ โลก โดยใชเ สน ชน้ั ความสงู บอกคา ความสงู จากระดบั นา้ํ ทะเลปานกลาง แผนทช่ี นดิ นเี้ ปน พน้ื ฐานทจ่ี ะนาํ ไปทาํ ขอ มูลอ่ืนๆ เก่ยี วกบั แผนที่ 2. แผนทเ่ี ฉพาะเรอ่ื ง เปน แผนทท่ี แ่ี สดงลกั ษณะใดลกั ษณะหนง่ึ โดยเฉพาะ ไดแ ก แผนที่ รัฐกจิ แสดงเขตการปกครองหรืออาณาเขต แผนทีแ่ สดงอุณหภูมิของอากาศ แผนท่ี แสดงปริมาณนํ้าฝน แผนที่แสดงการกระจายตัวของประชากร แผนท่ีเศรษฐกิจ แผนที่ ประวัตศิ าสตร เปน ตน 3. เปน แผนทท่ี รี่ วบรวมเรอ่ื งตา ง ๆ ทง้ั ลกั ษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ ทาง สงั คม ทางดา นประชากร และอน่ื ๆ ไวในเลมเดยี วกนั องคป ระกอบของแผนท่ีมีหลายองคป ระกอบ คือ 1. สญั ลกั ษณ คอื เครอ่ื งหมายทใ่ี ชแ ทนสง่ิ ตา งๆ ตามทต่ี อ งการแสดงไวใ นแผนที่ เพอ่ื ใหเ ขา ใจแผนท่ไี ดง า ยขึ้น เชน จุด วงกลม เสน ฯลฯ 2. มาตราสว น คอื อตั ราสว นระยะหา งในแผนทกี่ บั ระยะหา งในภมู ปิ ระเทศจรงิ 3. ระบบอา งองิ ในแผนท่ี ไดแ ก เสน ขนานละตจิ ดู และเสน ลองจจิ ดู (เมรเิ ดยี น) เสน ละตจิ ดู เปน เสน สมมตทิ ลี่ ากไปรอบโลกตามแนวนอนหรอื แนวทศิ ตะวนั ออก ตะวนั ตก แตละเสนหา งกนั 1 องศา โดยมีเสน 0 องศา (เสนศนู ยสตู ร) แบง กง่ึ กลาง โลก เสน ทอ่ี ยเู หนอื เสน ศนู ยส ตู ร เรยี กเสน องศาเหนอื เสน ทอี่ ยใู ตเ สน ศนู ยส ตู ร เรยี กเสน องศา ใต ละติจดู มที งั้ หมด 180 เสน เสน ลองจจิ ดู เปน เสน สมมตทิ ลี่ ากไปรอบโลกในแนวตง้ั จากขวั้ โลกเหนอื ไป ยัง ขวั้ โลกใต แตล ะเสน หา งกนั 1 องศา กาํ หนดใหเสน ท่ีลากผา นตาํ บลกรนี ิช กรุงลอนดอน ประเทศองั กฤษ เปน เสน 0 องศา (เมรเิ ดยี นปฐม) ถา นบั จากเสน เมรเิ ดยี นปฐม ไปทางตะวนั ออก เรยี กเสนองศาตะวนั ออก ถานับไปทางตะวันตกเรยี กเสนองศาตะวนั ตก ลองจจิ ูด มี ทั้งหมด 360 เสน พกิ ดั ภมู ศิ าสตร เปน ตาํ แหนง ทต่ี ง้ั ของจดุ ตา งๆ บนพน้ื ผวิ โลก เกดิ จากการ ตดั กนั ของเสน ขนานละตจิ ดู และเสน เมรเิ ดยี น โดยเสน สมมตทิ ง้ั สองนจ้ี ะตง้ั ฉากซง่ึ กนั และกนั 4. ขอบระวาง แผนท่ีทุกชนิดควรมีขอบระวาง เพื่อชวยใหดูเรียบรอย และ เปนการกําหนดขอบเขตของแผนที่ดวย ขอบระวางมักแสดงดวยเสนตรงสองเสนหรือ เสน เดียว 5. ระบบอา งองิ บนแผนที่ คือระบบทก่ี าํ หนดขึน้ เพ่ืออาํ นวยความสะดวกใน การคํานวณหาตาํ แหนง ทตี่ ัง้ และคํานวณหาเวลาของตําแหนงตา งๆ บนพืน้ ผวิ โลก ซึ่งแยก ไดดงั นี้

22 หนังสอื เรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) ภาพแผนทที่ วีปเอเชยี ระบเุ สน ละตจิ ูดและลองติจดู การคาํ นวณหาตาํ แหนง ทตี่ ง้ั จะใชล ะตจิ ดู และลองจจิ ดู เปน เกณฑ วธิ นี เ้ี รยี กวา การพิกดั ภมู ิศาสตร การคํานวณหาเวลา โดยใชห ลักการวา 1 นาที = 15 ลิบดา และ 4 นาที = 1 ลองจจิ ูด หรอื 1 องศา 6. สีทีใ่ ชในการเขยี นแผนที่แสดงลักษณะภูมปิ ระเทศ สีดํา หมายถึง ส่ิงสําคัญทางวัฒนธรรมที่มนุษยสรางขึ้น เชน อาคาร วัด สถานที่ราชการ สีนาํ้ ตาล หมายถงึ ลักษณะภมู ิประเทศทีม่ คี วามสงู สนี ํ้าเงนิ หมายถงึ ลักษณะภมู ปิ ระเทศทเ่ี ปนนาํ้ เชน ทะเล แมน้ํา หนองบงึ สีแดง หมายถึง ถนนสายหลัก พื้นท่ียานชุมชนหนาแนน และลักษณะ ภูมปิ ระเทศสําคญั สีเขียว พชื พนั ธไุ มต าง ๆ เชน ปา สวน ไร 3.2 ลูกโลก เปนเครื่องมือทางภูมิศาสตรอยางหน่ึงท่ีใชเปนอุปกรณในการ ศกึ ษาคน ควา หรอื ใชป ระโยชนใ นดา นอน่ื ๆ ลกู โลกจาํ ลองเปน การยอ สว นของโลกมลี กั ษณะ ทรงกลม บนผิวของลูกโลกจะมีแผนท่ีโลก แสดงพื้นดิน พื้นน้ํา สภาพภูมิประเทศ ที่ต้ัง ประเทศ เมือง และเสน พกิ ดั ทางภมู ิศาสตร เพอ่ื สามารถบอกตาํ แหนง ตา งๆ บนพนื้ ผิวโลก ได ลกู โลกจาํ ลองสรา งคลายลกู โลกจริง แสดงสีแทนลักษณะภมู ปิ ระเทศตา งๆ องคป ระกอบของลกู โลก ไดแ ก เสนเมรเิ ดยี น เปน เสนสมมติที่ลากจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต ซง่ึ กาํ หนด ใหม คี าเปน 0 องศาที่เมอื งกรนี ิช ประเทศอังกฤษ

« ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน » 23 เสนขนาน เปนเสนสมมติที่ลากไปรอบโลกในแนวนอน ทุกเสนจะขนานกับ เสนศนู ยสตู ร 3.3 เขม็ ทิศ เปนเคร่ืองมือสําหรบั ใชใ นการหาทิศทางของจุดหรอื วัตถุ โดยมี หนว ยเปน องศา เปรยี บเทยี บกบั จดุ เรม่ิ ตน อาศยั แรงดงึ ดดู ระหวา งสนามแมเ หลก็ ขว้ั โลกกบั เข็มแมเหล็ก ซึ่งเปนองคประกอบที่สําคัญท่ีสุด เข็มแมเหล็กจะแกวงไกวอิสระในแนวนอน เพอื่ ใหแ นวเขม็ ช้ีอยใู นแนว เหนอื - ใต ไปยงั ขว้ั แมเ หลก็ โลกตลอดเวลา เขม็ ทศิ มปี ระโยชน เพอ่ื ใชใ นการเดนิ ทาง ไดแ ก การเดนิ เรอื ทะเล เครอ่ื งบนิ การใชเ ขม็ ทศิ จะตอ งมแี ผนทป่ี ระกอบ และตอ งหาทศิ เหนือกอน 3.4 รปู ถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทยี ม เปน รปู หรอื ขอ มลู ตวั เลข ที่ไดจากการเก็บขอมูลภาคพ้ืนดินจากกลองที่ติดอยูกับยานพาหนะ เชน เครื่องบิน หรือ ดาวเทยี ม ประโยชนของรูปถายทางอากาศและภาพถายจากดาวเทียม รูปถายทาง อากาศและภาพถายจากดาวเทียมใหขอมูลพ้ืนผิวของเปลือกโลกไดเปนอยางดี ทําใหเห็น ภาพรวมของการใชพื้นท่ีและการเปลี่ยนแปลงตางๆ ตามที่ปรากฏบนพ้ืนโลกเหมาะแกการ ศึกษาทรัพยากรผิวดิน เชน ปาไม การใชประโยชนจ ากดนิ หิน และแร 3.5 เคร่ืองมือเทคโนโลยีเพอื่ การศกึ ษาภูมิศาสตร เทคโนโลยีท่สี ําคญั ดาน ภูมิศาสตร คือ 1) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร (GIS) หมายถึง การเก็บ รวบรวม และ บันทึกขอมูลทางภูมิศาสตรดวยระบบคอมพิวเตอรโดยขอมูลเหลาน้ีสามารถปรับปรุงแกไข ใหถูกตองทันสมัย และสามารถแสดงผลหรือนําออกมาเผยแพรเปนตัวเลข สถิติ รูปภาพ ภาพดาวเทียมถา ยภาพทางอากศ

24 หนังสอื เรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ตาราง แผนที่ และขอ ความทางหนาจอคอมพวิ เตอรหรือพมิ พออกมาเปนเอกสารได ประโยชนข องระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร (GIS) คอื ชว ยใหป ระหยดั เวลา และงบประมาณ ชวยใหเห็นภาพจําลองพื้นที่ชัดเจนทําใหการตัดสินใจวางแผนจัดการและ พัฒนาพื้นท่ีมีความสะดวกและสอดคลองกับศักยภาพของพ้ืนท่ีนั้นและชวยในการปรับปรุง แผนท่ใี หทนั สมัย 2) ระบบพกิ ดั พนื้ ผวิ โลก (GPS) เปน เครอื่ งมอื รบั สญั ญาณพกิ ดั พน้ื ผวิ โลก อาศัยระยะทางระหวางเคร่ืองรับดาวเทียม GPS บนพ้ืนผิวโลกกับดาวเทียมจํานวนหน่ึงท่ี โคจรอยูในอวกาศและระยะทางระหวางดาวเทียมแตละดวง ปจจุบันมีดาวเทียมชนิดน้ีอยู ประมาณ 24 ดวง เครือ่ งมอื รับสญั ญาณ มีขนาดและรูปรางคลา ยโทรศัพทม อื ถอื เมอื่ รับ สญั ญาณจากดาวเทยี มแลว จะทราบคา พกิ ดั ณ จดุ ทวี่ ดั ไว โดยอาจจะอา นคา เปน ละตจิ ดู และ ลองจิจดู ได ความคลาดเคลอื่ นขึน้ อยูกบั ชนิดและราคาของเครื่องมอื ประโยชนข องเครอ่ื งมอื เทคโนโลยเี พอื่ การศกึ ษาภมู ศิ าสตร จะคลา ยกบั การใชประโยชนจ ากแผนทสี่ ภาพภมู ิประเทศและแผนทีเ่ ฉพาะเร่ือง เชน จะใหค าํ ตอบวา ถา จะเดนิ ทางจาก จดุ หนง่ึ ไปยงั อกี จดุ หนง่ึ ในแผนทจี่ ะมรี ะยะทางเทา ใด ถา ทราบความเรว็ ของ รถจะทราบวาใชเ วลานานเทา ใด บางครง้ั ขอ มลู มีความสับสนมาก เชน ถนนบางชว งมีสภาพ ถนนไมเ หมอื นกนั คอื บางชว งเปน ถนนกวา งทส่ี ภาพผวิ ถนนดี บางชว งเปน ถนนลกู รงั บาง ชว งเปน หลมุ เปน บอ ทาํ ใหก ารคดิ คาํ นวณเวลาเดนิ ทางลาํ บากแตร ะบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร จะชว ยใหคําตอบได 

« ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน » 25 กจิ กรรมที่ 1.3 วธิ ีใชเครื่องมอื ทางภมู ศิ าสตร 1) ถาตองการทราบระยะทาง จากที่หน่งึ ไปยงั อกี ท่ีหน่ึง ผูเรียนจะใชเครื่องมอื ทางภูมิศาสตรชนิดใด ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 2) ภาพถายจากดาวเทียม มีประโยชนอ ยา งไร ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 3) แผนที่มปี ระโยชนอ ยางไร ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 4) ถาตองการทราบวาประเทศไทยอยู พิกัดภูมิศาสตรท่ีเทาไหร ผูเรียนจะใช เคร่ืองมือทางภมู ศิ าสตรช นิดใดไดบ า ง ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... .....................................................................................................................................

26 หนังสอื เรียนสาระการพัฒนาสังคม รายวชิ าสงั คมศกึ ษา (สค21001) เร่อื งท่ี 4 สภาพภูมศิ าสตรกายภาพของไทยทสี่ ง ผลตอทรัพยากร ตา งๆ และสิ่งแวดลอ ม ประเทศไทยมีความแตกตางกันทางสภาพภูมิศาสตรก ายภาพ เน่อื งจากมปี จจัย ทกี่ อ ใหเ กดิ ลกั ษณะภมู ิประเทศ คือ 1) การผนั แปรของเปลือกโลก เกดิ จากพลงั งานภายในโลกท่ีมกี ารบบี อัด ให ยกตวั สูงขึน้ หรือทรุดตาํ่ ลง สว นที่ยกตัวสูงขนึ้ ไดแก ภเู ขา ภเู ขาไฟ เนินเขา ท่ีราบสูง สวน ทล่ี ดตํา่ ลง ไดแก หบุ เขา ท่ีราบลุม 2) การกระทาํ ของตัวกระทาํ ตา งๆ เมื่อเกดิ การผนั แปรแบบแรกแลว กจ็ ะเกิด การกระทําจากตัวตางๆ เชน ลม น้าํ คลน่ื ไปกดั เซาะพงั ทลายภมู ปิ ระเทศหลกั ลกั ษณะของ การกระทํามี 2 ชนิด คือ การกัดกรอนทาํ ลาย คือ การทําลายผิวโลกใหตํา่ ลง โดย ลม อากาศ นํ้า นา้ํ แข็ง คล่ืนลม และการสะสมเสรมิ สรา ง คอื การปรบั ผิวโลกใหร าบโดยเปนไป อยา งชา ๆ แตต อเน่อื ง 3) การกระทาํ ของมนษุ ย เชน การสรา งเขอ่ื น การระเบิดภูเขา ดว ยเหตดุ งั กลา ว นกั ภมู ศิ าสตรไ ดใ ชห ลกั เกณฑค วามแตกตา งทางดา นกายภาพ เชน ภมู ปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศของทอ งถน่ิ มาใชใ นการแบง ภาคภมู ศิ าสตร จงึ ทาํ ใหป ระเทศไทย มีสภาพภมู ิศาสตรทีแ่ บง เปน 6 เขต คือ 1. เขตภเู ขาและหบุ เขาทางภาคเหนอื ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน ภเู ขามากกวา ภาคใดๆ และเทือกเขาจะทอดยาวในแนวเหนือใตสลับกับที่ราบหุบเขา โดยมีที่ราบหุบเขา แคบๆ ขนานกนั ไป อนั เปน ตน กาํ เนดิ ของแมน าํ้ ลาํ คลองหลายสาย แควใหญน อ ยในภาคเหนอื ทําใหเกิดที่ราบลุมแมนํ้า ซ่ึงอยูระหวางหุบเขาอันอุดมสมบูรณไปดวยทรัพยากรธรรมชาติ ราษฎรสวนใหญประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสัตว และทําเหมืองแร นอกจากน้ี ทรพั ยากรธรรมชาติยงั เอื้ออาํ นวยใหเ กดิ อุตสาหกรรมในครวั เรือนทม่ี ีชื่อเสียง เปน ทีร่ จู กั กัน มาชา นาน ภาคเหนอื จะอยใู นเขตรอ นทมี่ ลี กั ษณะภมู อิ ากาศคลา ยคลงึ กบั ภมู อิ ากาศทางตอน ใตของเขตอบอนุ ของประเทศท่มี ี 4 ฤดู 2. เขตเทอื กเขาทางภาคตะวนั ตก ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน พน้ื ทแ่ี คบๆ ทอด ยาวขนานกบั พรมแดนประเทศพมา สว นใหญเ ปนภเู ขา มแี หลงทรพั ยากรแรธาตุ และปา ไม ของประเทศ มปี รมิ าณฝนเฉลยี่ ตาํ่ กวา ทกุ ภาค และเปน ภมู ภิ าคทปี่ ระชากรอาศยั อยนู อ ย สว น ใหญอยูในเขตท่ีราบลุมแมน้ําและชายฝง และมักประกอบอาชีพปลูกพืชไรและการประมง ลักษณะภูมิอากาศโดยท่ัวไปมีความแหงแลงมากกวาในภาคอ่ืนๆ เพราะมีเทือกเขาสูงเปน แนวกําบงั ลม ทาํ ใหอากาศในฤดรู อ นและฤดูหนาว แตกตา งกันอยา งเดน ชัด เนอ่ื งจากแนว เทอื กเขาขวางกน้ั ทศิ ทางลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใตก อ ใหเ กดิ บรเิ วณเงาฝน หรอื พน้ื ทอี่ บั ลม ฝนจะตกดานตะวนั ตกของเทอื กเขามากกวา ดา นภาคตะวันออก

« ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน » 27 3. เขตทีร่ าบของภาคกลาง ลักษณะภมู ปิ ระเทศสว นใหญเปนท่รี าบลมุ แมนํ้า อันกวางใหญ มีลักษณะเอียงลาดจากเหนือลงมาใต เปนท่ีราบท่ีมีความอุดมสมบูรณมาก ทสี่ ดุ เพราะเกดิ การทบั ถม ของตะกอน เชน ทร่ี าบลมุ แมน า้ํ เจา พระยา และทา จนี เปน แหลง ที่ทําการเกษตร (ทํานา) ท่ีใหญที่สุด มีเทือกเขาเปนขอบของภาค ทั้งดานตะวันตกและ ตะวนั ออก 4. เขตภเู ขาและทรี่ าบบรเิ วณชายฝง ทะเลตะวนั ออก ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน เทอื กเขาสูงและทีร่ าบ ซ่ึงสว นใหญเ ปนท่ีราบลกู ฟูก และมแี มน ํ้าทีไ่ หลลงสูอา วไทย แมน้ําใน ภาคตะวนั ออกสวนมากเปน แมนํา้ สายสัน้ ๆ ซง่ึ ไดพ ดั พาเอาดินตะกอนมาทิ้งไว จนเกิดเปน ที่ราบแคบๆ ตามท่ีลุมลักษณะชายฝงและมีลักษณะภูมิประเทศเปนเกาะ อาว และแหลม ลกั ษณะภมู อิ ากาศ ภาคตะวนั ออกมชี ายฝง ทะเลและมเี ทอื กเขาเปน แนวยาว เปด รบั ลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใตจ ากอา วไทยอยา งเตม็ ที่ จงึ ทาํ ใหภ าคนมี้ ฝี นตกชกุ หนาแนน บางพน้ื ที่ ไดแ ก พื้นท่ีรับลมดานหนาของเทือกเขาและชายฝงทะเล อุณหภูมิของภาคตะวันออกจะมีคา สมํ่าเสมอตลอดทงั้ ป และมีความชืน้ คอนขา งสูง เหมาะแกการทาํ สวน 5. เขตทีร่ าบสงู ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะภมู ิประเทศเปนทรี่ าบสูง ขนาดตา่ํ ทางบริเวณตะวนั ตกของภาคจะมภี เู ขาสงู ทางบรเิ วณตอนกลางของภาคมีลกั ษณะ เปนแองกะทะ เรยี กวา “แอง ทร่ี าบโคราช” มีแมนํ้าชีและแมน้ํามูลไหลผา น ยงั มที ีร่ าบโลง อยู หลายแหง เชน ทุงกุลารองไห ทงุ หมาหวิ ซึง่ สามารถทํานาไดแ ตไดผลผลติ ตํา่ และมแี นว ทวิ เขาภพู านทอดโคง ยาวคอ นไปทางตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของภาค ถดั เลยจากแนวทวิ เขาภพู าน ไปทางเหนอื มีแองทรดุ ตาํ่ ของแผน ดิน เรียกวา “แองสกลนคร” 6. เขตคาบสมทุ รภาคใต ลักษณะภมู ปิ ระเทศเปน คาบสมทุ รยื่นไปในทะเล มี เทือกเขาทอดยาวในแนวเหนือใต ที่เปนแหลงทับถมของแรดีบุก และมีความสูงไมมากนัก เปน แกนกลางบรเิ วณชายฝง ทะเลทงั้ สองดา นของภาคใตเ ปน ทรี่ าบ มปี ระชากรอาศยั อยหู นา แนน ภาคใตไ ดร ับอิทธพิ ลความช้ืนจากทะเลทัง้ สองดา น มีฝนตกชกุ ตลอดป และมปี ริมาณ ฝนเฉลยี่ สงู เหมาะแกก ารเพาะปลกู พชื ผลเมอื งรอ น ทต่ี อ งการความชนื้ สงู ลกั ษณะภมู อิ ากาศ ไดรบั อทิ ธิพลของลมมรสุมทั้งสองฤดู จงึ เปน ภาคท่ีมีฝนตกตลอดทั้งป ทาํ ใหเ หมาะแกการ ปลกู พืชเมอื งรอนที่ตองการความชมุ ชนื้ สงู เชน ยางพารา ปาลม นํา้ มนั เปน ตน องคป ระกอบของสง่ิ แวดลอ มทางกายภาพของไทย ทสี่ าํ คญั มี 3 องคป ระกอบ ไดแ ก ลักษณะภมู ปิ ระเทศ ภมู ิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ซึง่ มีความเกีย่ วพันซง่ึ กันและกนั และมีผลตอความเปนอยขู องมนษุ ยท้ังทางตรงและทางออม 1) ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ลกั ษณะของเปลอื กโลกท่เี หน็ เปนรูปแบบตา งๆ แบง เปน 2 ประเภท คือ ลกั ษณะภูมปิ ระเทศหลกั ไมเ ปลย่ี นรปู งา ย ไดแ ก ทร่ี าบ ทร่ี าบสงู ภเู ขา และเนนิ เขา ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศรองเปลย่ี นแปลงรปู ไดง า ย ไดแ ก หบุ เขา หว ย เกาะ อา ว แมน ้ํา สนั ดอนทราย แหลม ทะเลสาบ 2) ลกั ษณะภมู อิ ากาศ หมายถงึ คา เฉลยี่ ของลมฟา อากาศทเ่ี กดิ ขนึ้ เปน ประจาํ

28 หนังสอื เรยี นสาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) แผนท่ภี ูมปิ ระเทศไทย

« ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน » 29 ในบรเิ วณใดบรเิ วณหนงึ่ ในชว งระยะเวลาหนง่ึ ซงึ่ มปี จ จยั ควบคมุ อากาศ เชน ตาํ แหนง ละตจิ ดู 3) ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถึง ส่งิ ทเี่ กิดขน้ึ เองตาม ธรรมชาติและมนษุ ยสามารถนาํ ไปใชป ระโยชนใ นการดํารงชีวิตได แบง ออกเปน 4 ประเภท คอื ทรัพยากรดนิ ทรัพยากรน้าํ ทรัพยากรปา ไม และทรพั ยากรแรธ าตุ ทรพั ยากรธรรมชาติ แบง เปน 3 ประเภท คอื - ทรัพยากรท่ีใชแลวหมดไปไมสามารถเกิดมาทดแทนใหมได เชน น้าํ มัน แรธาตุ - ทรพั ยากรทใ่ี ชแ ลว สามารถสรา งทดแทนได เชน ปา ไม สตั วบ ก สตั วน าํ้ - ทรัพยากรทใี่ ชแ ลวไมหมดไป เชน นาํ้ อากาศ เปน ตน การอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ การอนุรักษ หมายถึง การรูจักใช ทรัพยากรธรรมชาตอิ ยา งคุมคา และใหเ กดิ ประโยชนม ากที่สดุ โดยมีวตั ถปุ ระสงค คอื 1. เพือ่ ปรบั ปรุงคุณภาพชวี ติ ของมนุษย หมายถงึ การใชป ระโยชนสูงสดุ และ รกั ษาสมดลุ ของธรรมชาตไิ วด ว ย โดยใชเ ทคโนโลยที ท่ี าํ ใหเ กดิ ผลเสยี ตอ สภาพแวดลอ มนอ ย ทสี่ ดุ 2. เพื่อรักษาทรัพยากรและส่ิงแวดลอมใหอยูในสภาพสมดุล โดยไมเกิดสิ่ง แวดลอ มเปนพษิ (Polution) จนทาํ ใหเกดิ อนั ตรายตอมนษุ ยแ ละสง่ิ แวดลอ ม 1) ทรพั ยากรดนิ ดนิ เกดิ จากการสลายตวั ของหนิ แรธ าตแุ ละอนิ ทรยี ว ตั ถตุ า งๆ อันเน่อื งมาจากการกระทาํ ของลม ฟา อากาศและอน่ื ๆ สว นประกอบที่สาํ คญั ของดนิ ไดแก อนนิ ทรยี วัตถหุ รอื แรธ าตุ ปญหาของการใชทรพั ยากรดนิ เกดิ จาก 1. การกระทําของธรรมชาติ เชน การสกึ กรอนพังทลายท่ีเกิดจากลม กระแส นํ้า และการชะลางแรธาตุตางๆ ในดนิ 2. การกระทาํ ของมนษุ ย เชน การทาํ ลายปา ไม การปลกู พชื ชนดิ เดยี วซา้ํ ซาก การเผาปา และไรนา ทําใหสูญเสียหนาดิน ขาดการบาํ รุงรักษาดิน การอนุรักษทรัพยากรดิน โดยการปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชแบบขั้นบันได ปอ งกนั การเซาะของนา้ํ ปลกู พชื คลมุ ดนิ ปอ งกนั การชะลา งหนา ดนิ ไมต ดั ไมท าํ ลายปา และ การปลูกปาในบริเวณทมี่ คี วามลาดชัน เพอ่ื ปอ งกันการพงั ทลายของดนิ 2) ทรพั ยากรนาํ้ นา้ํ เปน ทรพั ยากรทจ่ี าํ เปน ตอ การดาํ รงชวี ติ ของมนษุ ยแ ละสง่ิ มีชวี ติ ใชแลวไมห มดส้ินไป แบง เปน - น้ําบนดนิ ไดแก แมน้ํา ลําคลอง หนอง บึง ทะเลสาบ ปรมิ าณน้าํ ขึ้นอยู กบั ปริมาณนาํ้ ฝน - นาํ้ ใตด นิ หรอื นาํ้ บาดาล ปรมิ าณนาํ้ ขน้ึ อยกู บั นาํ้ ทไ่ี หลซมึ ลงไปจากพน้ื ดนิ และความสามารถในการกกั นํา้ ในชนั้ หนิ ใตด นิ

30 หนังสอื เรยี นสาระการพัฒนาสงั คม รายวิชาสงั คมศึกษา (สค21001) - นา้ํ ฝน ไดจ ากฝนตก ซึง่ แตละบรเิ วณจะมปี รมิ าณนา้ํ แตกตางกัน ซ่งึ ใน ประเทศไทยเกดิ ปญ หาวกิ ฤตกิ ารณเ กยี่ วกบั ทรพั ยากรนาํ้ คอื เกดิ ภาวะการขาดแคลนนาํ้ และ เกดิ มลพษิ ทางนํา้ เชน นํา้ เสียจากโรงงานอุตสาหกรรม การอนรุ กั ษท รัพยากรนํา้ โดยการ 1. การพัฒนาแหลงนํ้า ไดแก การขดุ ลอกหนอง คลองบึง และแมนาํ้ ทีต่ ื้นเขิน เพือ่ ใหส ามารถกักเก็บนาํ้ ไดมากขึ้น ตลอดจนการสรางเขือ่ นและอา งกักเกบ็ นํา้ 2. การใชนํ้าอยางประหยัด ไมปลอยใหนํ้าสูญเสียไปโดยเปลาประโยชน และ สามารถนํานํ้าท่ีใชแลวกลบั มาหมนุ เวียนใชไดใ หมอีก เชน นาํ้ จากโรงงานอตุ สาหกรรม 3. การควบคมุ รกั ษาตน นาํ้ ลาํ ธาร ไมม กี ารอนญุ าตใหม กี ารตดั ตน ไมท าํ ลายปา อยางเด็ดขาด 4. ควบคุมมิใหเกิดมลพิษแกแหลงนํ้า มีการดูแลควบคุมมิใหมีการปลอยสิ่ง สกปรกลงไปในแหลงน้ํา 3) ทรพั ยากรปา ไม ปา ไมม คี วามสาํ คญั ตอ มนษุ ยท ง้ั ทางตรงและทางออ ม เชน ชว ยรักษาสภาพดิน นา้ํ อากาศ บรรเทาความรุนแรงของลมพายุ และยังไดร ับผลิตภัณฑจ าก ปา ไมห รือใชเ ปนแหลง ทอ งเทย่ี ว พกั ผอนหยอ นใจได ปา ไม แบงเปน 2 ประเภท คือ 1. ปาไมไมผลดั ใบ เชน ปา ดงดบิ หรอื ปาดิบ เปน ปา ไมบริเวณทมี่ ฝี นตกชุก พบมากทางภาคใต และภาคตะวันออก ปาดิบเขา พบมากในภาคเหนือ ปาสนเขา พบทาง ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปาชายเลนนํ้าเค็ม เปนปาไมตามดินเลน น้ําเค็ม และนํา้ กรอย 2. ปา ไมผ ลดั ใบ เชน ปาเบญจพรรณ เปน ปา ผลัดใบผสม พบมากท่สี ุดในภาค เหนอื ปาแดง ปาโคก ปา แพะ เปน ปาโปรง พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปาชายหาด เปนตนไมเลก็ ๆ ขนึ้ ตามชายหาด ปาพรุ หรือปาบงึ เปนปาไมท ่เี กดิ ตามดินเลน การอนุรักษทรพั ยากรปา ไม สามารถทาํ ไดโ ดยการออกกฎหมายคมุ ครองปา ไม คอื พระราชบัญญัตปิ า สงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 การปองกนั ไฟไหมปา การปลกู ปา ทดแทนไมท ถี่ ูกทําลายไป การปอ งกันการลักลอบตัดไม และการใชไ มใหเ กิดประโยชนแ ละ คมุ คามากท่ีสดุ 4) ทรัพยากรแรธาตุ แรธาตุ หมายถึง สารประกอบเคมีท่ีเกิดข้ึนเองตาม ธรรมชาติ แบง ออกเปน - แรโลหะ ไดแก เหล็ก ทองแดง สังกะสี ดบี ุก ตะกั่ว - แรอ โลหะ ไดแก ยิปซ่ัม ฟลอู อไรด โปแตช เกลอื หนิ - แรเ ช้ือเพลงิ ไดแ ก ลกิ ไนต หนิ นํ้ามัน ปโ ตรเลยี ม กา ซธรรมชาติ การอนรุ ักษท รัพยากรแรธ าตุ 1. ขดุ แรมาใชเ มอื่ มีโอกาสเหมาะสม 2. หาวิธีใชแ รใ หม ีประสทิ ธภิ าพและไดผ ลคุมคามากทสี่ ุด

« ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน » 31 3. ใชแ รอ ยา งประหยัด 4. ใชว ัสดุหรือสิ่งอน่ื แทนสง่ิ ทจ่ี ะตองทําจากแรธ าตุ 5. นาํ ทรัพยากรแรกลับมาใชใ หม เชน นําเศษเหลก็ เศษอลมู ิเนยี ม มาหลอมใช ใหม เปน ตน ปจจัยท่ีมผี ลกระทบตอทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอม ไดแก 1. การเพม่ิ ประชากรมผี ลทาํ ใหต อ งใชท รพั ยากรและสง่ิ แวดลอ มมากขนึ้ จงึ เกดิ ปญ หาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดลอ มตามมามากขึน้ 2. การใชเทคโนโลยีทันสมัย ซ่ึงอาจทําใหเกิดทั้งผลดีและผลเสียตอธรรมชาติ และส่งิ แวดลอม 

32 หนงั สือเรยี นสาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) กจิ กรรมท่ี 1.4 สภาพภูมศิ าสตรกายภาพของไทยที่สง ผลตอทรพั ยากรตางๆ และ ส่ิงแวดลอม 1) ใหผ ูเรียนอธบิ ายวา สภาพภมู ศิ าสตรข องประเทศไทย ทั้ง 6 เขต มีอะไรบาง และแตล ะเขตสว นมากประกอบอาชีพอะไร ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... 2) ผูเรียนคิดวา ประเทศไทยมีทรัพยากรอะไรที่มากท่ีสุด บอกมา 5 ชนิด แตล ะชนดิ สง ผลตอการดําเนินชวี ิตของประชากรอยางไรบา ง ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... ..................................................................................................................................... .....................................................................................................................................

« ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน » 33 เร่อื งที่ 5 ความสาํ คญั ของการดาํ รงชีวติ ใหสอดคลอ งกบั ทรัพยากร ในประเทศ 5.1 ความสาํ คญั ของการดํารงชวี ติ ใหส อดคลองกับทรัพยากรของประเทศไทย จากท่ีไดก ลา วมาแลว วา ประเทศไทยมีความแตกตางกันทางดา นกายภาพ เชน ภูมิประเทศ ภูมอิ ากาศของทอ งถิน่ จงึ ทาํ ใหแ ตล ะภาคมที รพั ยากรที่แตกตา งกนั ตามไปดวย สง ผลใหประชากรในแตล ะภมู ิภาคประกอบอาชพี ตางกนั ไปดวย เชน ภาคเหนอื ในภาคเหนอื มที รพั ยากรธรรมชาตทิ อ่ี ดุ มสมบรู ณ จากการทล่ี กั ษณะ ภมู ปิ ระเทศของภาคเหนอื สว นใหญเ ปน ทวิ เขา และมที รี่ าบหบุ เขาสลบั กนั แตพ นื้ ทร่ี าบมจี าํ กดั ทาํ ใหประชากรตั้งถ่ินฐานอยางหนาแนนตามที่ราบลมุ แมน ํ้า ทรัพยากรที่สาํ คญั คือ 1) ทรพั ยากรดนิ ทง้ั ดนิ ทรี่ าบหบุ เขา ดนิ ทมี่ นี าํ้ ทว มถงึ และดนิ ทเ่ี หลอื คา งจาก การกดั กรอน 2) ทรัพยากรน้าํ แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. นํ้าบนผวิ ดิน ไดแก แมน้าํ ลําธาร หนองบงึ และอา งเก็บนา้ํ ตางๆ แมว า ภาคเหนอื จะมแี มน าํ้ ลาํ ธาร แตบ างแหง ปรมิ าณนาํ้ กไ็ มเ พยี งพอ เนอ่ื งจากเปน แมน าํ้ สายเลก็ ๆ และปจ จบุ นั ปรมิ าณนา้ํ ในแมน าํ้ ลาํ ธารในภาคเหนอื ลดลงมาก ทงั้ นเ้ี นอื่ งจากการตดั ไมท าํ ลาย ปาในแหลงตนนํ้า แตอยางไรก็ตามยังมีแมน้ําหลายสาย เชน แมนํ้าปง วัง ยม นาน แมน าํ้ ปง จงั หวัดเชียงใหม และแมน้าํ กกจงั หวัดเชียงราย ท่ีมีนาํ้ ไหลตลอดป แมในฤดแู ลงก็ ยังมีนํ้าทีท่ าํ การเกษตรไดบ า ง นอกจากน้ี ยังมบี ึงน้ําจดื ขนาดใหญ คือ กวา นพะเยา จังหวดั พะเยา บงึ บอระเพ็ด จงั หวดั นครสวรรค 2. น้ําใตดิน ภาคเหนือมีนํ้าใตดินท่ีอยูในรูปของน้ําบอและบอบาดาล จึง สามารถใชบริโภคและทําการเกษตรได 3) ทรพั ยากรแร มเี หมอื งแรใ นทกุ จงั หวดั ของภาคเหนอื แรท ส่ี าํ คญั ไดแ ก ดบี กุ ทังสเตน พลวง ฟลูออไรด ดินขาว ถานลกิ ไนต และน้ํามนั ปโตรเลยี ม 4) ทรพั ยากรปา ไม ภาคเหนอื มอี ตั ราพน้ื ทปี่ า ไมต อ พน้ื ทที่ ง้ั หมดมากกวา ทกุ ภาค จังหวดั ท่มี ปี า ไมม ากท่สี ุด คอื เชียงใหม ปา ไมส วนใหญเ ปน ปาเบญจพรรณและปา แดง ไมท ่ีสาํ คัญคอื ไมสกั 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว ภาคเหนือมีธรรมชาติท่ีสวยงาม สามารถ ดงึ ดดู นักทอ งเทีย่ ว ใหมาชมวิวทิวทัศน มที งั้ น้าํ ตก วนอุทยาน ถ้ํา บอนาํ้ รอน เชน ดอย อนิ ทนนทจ ังหวดั เชยี งใหม ภูชฟี าจงั หวัดเชยี งราย ประชากร ภาคเหนอื เปน ภาคทป่ี ระชากรอาศยั อยเู บาบาง เนอื่ งจากภมู ปิ ระเทศ เต็มไปดว ยภเู ขา ประชากรสวนใหญอาศยั อยูหนาแนนตามทีร่ าบลุมแมนํา้ สวนใหญสืบเชอื้ สายมาจากไทยลา นนา นยิ มเรยี ก คนภาคเหนอื วา “คนเมอื ง” ประชากรในภาคเหนอื สามารถ รกั ษาวัฒนธรรมดัง้ เดิมไวไดอ ยางเหนียวแนน เชน ประเพณสี งกรานต ประเพณีทานสลาก หรือตานกว ยสลาก ประเพณลี อยกระทง

34 หนงั สือเรยี นสาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศกึ ษา (สค21001) ภาพความอุดมสมบรู ณปา ไมไทย นอกจากนี้ยังมีชาวไทยภูเขาอาศัยอยูเปนจํานวนมาก เชน เผามง มูเซอ เยา ลีซอ อีกอ กะเหรย่ี ง ฯลฯ จังหวดั ทีม่ ีชาวเขามากทส่ี ดุ คือ เชยี งใหม แมฮอ งสอนและเชยี งราย การ อพยพของชาวเขาเขา มาในประเทศไทยจาํ นวนมาก ทําใหเกดิ ปญ หาติดตามมา คือ ปญ หา การตัดไมทําลายปา เพื่อทําไรเลื่อนลอย ปญหาการปลูกฝน รัฐบาลไดแกไขปญหาโดยหา มาตรการตา ง ๆ ทที่ าํ ใหช าวเขาหนั มาปลกู พชื เมืองหนาว เชน ทอ กาแฟ สตรอเบอร่ี บว ย อะโวคาโด และดอกไมเมืองหนาว ฯลฯ นอกจากนห้ี นว ยงานทเี่ กี่ยวของ ยังไดจ ดั การศกึ ษา เพือ่ ใหชาวเขาไดเ รยี นภาษาไทย ปลกู จิตสาํ นึกความเปน คนไทย เพือ่ ใหเ ขาใจถึงสทิ ธหิ นา ที่ การเปนพลเมืองไทยคนหนึ่ง การประกอบอาชีพของประชากรในภาคเหนือ ประชากรในภาคเหนือจะมีอาชีพ ทํานา ซึ่งปลูกท้งั ขา วเจาและขาวเหนยี ว ในพน้ื ท่รี าบลุม แมน้ํา เนอ่ื งจากมดี นิ อดุ มสมบูรณ และมีการชลประทานที่ดี จึงสามารถทํานาไดปละ 2 คร้ัง แตผลผลิตรวมยังนอยกวาภาค กลางและภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ นอกจากน้ี ยงั ประกอบอาชพี ทาํ ไร (ขาวโพด ถวั่ เหลือง ถ่วั ลสิ ง หอม กระเทียม ออ ย) การทําสวนผลไม (ล้นิ จ่ี ลําไย) อุตสาหกรรม (โรงบม ใบยาสูบ การผลิตอาหารสาํ เรจ็ รปู และอาหารกระปอง) อตุ สาหกรรมพื้นเมอื ง (เคร่ืองเขิน เครอื่ งเงนิ การแกะสลกั ไมส ัก การทาํ รมกระดาษ) อตุ สาหกรรมการทองเทย่ี ว เน่ืองจากภาคเหนือ โดย เฉพาะจังหวัดเชียงใหม มีทัศนียภาพท่ีสวยงาม มีโบราณสถานมากมายและมีวัฒนธรรมท่ี เกา แกท ่ีงดงาม ภาคตะวนั ตก เนอ่ื งจากทวิ เขาในภาคตะวนั ตกเปน ทวิ เขาทท่ี อดยาวมาจากภาคเหนอื ดังนั้นลักษณะภูมิประเทศจึงคลายกับภาคเหนือ คือ เปนทิวเขาสูงสลับกับหุบเขาแคบ ซึ่ง

« ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน » 35 เกิดจากการเซาะของแมนํ้า ลําธารอยางรวดเร็ว ทิวเขาสวนใหญเปนหินคอนขางเกา สวน ใหญเ ปน หนิ ปนู พบมากทจ่ี ังหวดั กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบรุ ี ภูเขาหินปูนเหลาน้จี ะมี ยอดเขาหยกั แหลมตะปุมตะปา นอกจากน้ยี ังมหี นิ ดนิ ดาน หนิ แกรนิต และหินทราย และมี ท่ีราบในภาคตะวันตก ไดแก ท่ีราบลุมแมนํ้าแควใหญ ท่ีราบลุมแมนํ้าแควนอย ที่ราบลุม แมน า้ํ แมก ลอง ทรัพยากรทีส่ าํ คัญคือ 1) ทรัพยากรดิน ดินในภาคตะวันตกสวนใหญเกิดจากการผุพังของหินปูน ดินจงึ มีสภาพเปน กลางหรอื ดา ง ซง่ึ ถอื วา เปนดนิ ทอ่ี ดุ มสมบรู ณ เหมาะกบั การเพาะปลูก 2) ทรพั ยากรนา้ํ ภาคตะวนั ตกเปน ภาคทมี่ ฝี นตกนอ ยกวา ทกุ ภาคในประเทศ เพราะอยูใ นพืน้ ท่อี บั ฝน แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. นํา้ บนผวิ ดนิ ไดแก แมนํา้ ลําธาร หนองบงึ และอางเกบ็ นํ้าตา งๆ แมว า จะมฝี นตกนอ ย เพราะมที วิ เขาตะนาวศรแี ละทวิ เขาถนนธงชยั ขวางลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต ดังน้นั ฝนจึงตกมากบนภเู ขา ซึ่งในภาคตะวันตกมีปา ไมและแหลงตน นํ้าลําธารอดุ มสมบรู ณ จงึ ทําใหตนนา้ํ ลําธารมนี าํ้ หลอเล้ยี งอยูเ สมอ เชน แมนาํ้ แควใหญ แมน า้ํ แควนอย และแมนํา้ แมกลอง นอกจากนี้ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศในภาคตะวนั ตก มลี ักษณะเปน หุบเขาจาํ นวนมาก จึงเหมาะอยางยง่ิ ในการสรางเขื่อน เชน เขอื่ นภมู พิ ล เขอื่ นศรีนครินทร เขอื่ นวชริ าลงกรณ เขอื่ นเขาแหลม เขอ่ื นแกงกระจาน และเขอ่ื นปราณบรุ ี 2. นํ้าใตดิน ภาคตะวันตกมีการขุดบอบาดาล ปริมาณนํ้าที่ขุดไดไมมาก เทา กับนา้ํ บาดาลในภาคกลาง 3) ทรัพยากรแร ภาคตะวนั ตกมหี ินอัคนี และหนิ แปร มีดบี ุก ซงึ่ พบในหนิ แกรนติ ทังสเตน ตะกัว่ สงั กะสี เหลก็ รัตนชาติ และหนิ นํ้ามนั 4) ทรพั ยากรปา ไม ภาคตะวนั ตกมคี วามหนาแนน ของปา ไมร องจากภาคเหนอื จงั หวัดทีม่ ปี าไมมากทส่ี ุด คอื จงั หวดั กาญจนบรุ ี 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว สถานท่ีทองเที่ยวสวนใหญเปนภูเขา ถ้ํา น้าํ ตก เขอ่ื น อทุ ยานแหงชาติ ฯลฯ ประชากร ภาคตะวันตกเปนภาคที่มีความหนาแนนของประชากรนอยท่ีสุด จงั หวดั ท่มี ีประชากรหนาแนน ท่สี ดุ คอื จังหวัดราชบรุ ี เพราะมพี ืน้ ทเี่ ปน ท่ีราบลุม แมน้าํ การประกอบอาชพี ของประชากร ภาคตะวนั ตกมลี กั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน ภเู ขา คลายกับภาคเหนือ และมีพื้นท่ีราบคลายกับภาคกลาง ประชากรสวนใหญจึงอาศัยในพื้นท่ี ราบและมอี าชพี เกษตรกรรม อาชพี ทสี่ าํ คญั คอื การทาํ ไรอ อ ย (โดยเฉพาะทจ่ี งั หวดั กาญจนบรุ ี และราชบุร)ี ปลกู สบั ปะรด ขา วโพด มนั สาํ ปะหลัง ฝา ย องนุ การทํานา ตามทีร่ าบลมุ แมน า้ํ การเลยี้ งโคนม การทาํ โอง เคลือบดินเผา ทํานาเกลือ อาชพี การประมง การทาํ เคร่ืองจกั สาน นอกจากน้ียงั มกี ารทําเหมอื งแรด บี กุ ทังสเตน ตะกวั่ สังกะสี เหล็ก รัตนชาติ และหินน้ํามนั ภาคกลาง ภูมิประเทศในภาคกลางเปนท่ีราบลุมแมน้ํา เพราะแมน้ําหลายสายไหล ผานทาํ ใหเ กดิ การทบั ถมของตะกอนและมีภเู ขาชายขอบ พ้นื ท่ีแบง ไดเ ปน 2 เขตยอย คือ ภาคกลางตอนบน เปนที่ราบลมุ แมน าํ้ และทร่ี าบลกู ฟูก และมเี นนิ เขาเตย้ี ๆ สลบั เปนบาง

36 หนังสอื เรียนสาระการพัฒนาสงั คม รายวชิ าสังคมศกึ ษา (สค21001) ตอน และเขตภาคกลางตอนลาง คือบริเวณจังหวัดนครสวรรคลงมาถึงอาวไทย มีลักษณะ เปนที่ราบลุมนํ้าทวมถึงและเปนลานตะพกั น้ํา ทรพั ยากรท่สี าํ คัญคือ 1) ทรัพยากรดิน ภาคกลางมีดนิ ที่อุดมสมบูรณก วาภาคอนื่ ๆ เพราะเกิดจาก การทบั ถมของโคลน ตะกอนทม่ี ากบั แมน าํ้ ประกอบกบั มกี ารชลประทานทดี่ ี จงึ ทาํ การเกษตร ไดด ี เชน การทาํ นา 2) ทรพั ยากรนํ้า ภาคกลางเปนภาคที่มีนํา้ อุดมสมบรู ณ แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. น้าํ บนผิวดนิ มีแมนาํ้ ทสี่ าํ คญั หลอเลยี้ ง คือ แมน าํ้ เจา พระยา ซึง่ จะมนี า้ํ ไหลตลอดท้ังป เน่ืองจากมีแมน ้ําสายเล็ก ๆ จาํ นวนมากไหลลงมาสูแมน้ําเจาพระยา และยงั มีการชลประทานที่ดีเพ่ือกักเก็บน้ําไวใชในฤดูแลง นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบขนาดใหญ คือ บงึ บอระเพ็ด ซ่งึ เปนแหลง เพาะพันธปุ ลาทใี่ หญท่สี ุดในโลก 2. นํ้าใตดิน เน่ืองจากภาคกลางมีลักษณะเปนแองขนาดใหญ จึงมีบริเวณ นาํ้ บาดาลมากที่สดุ ของประเทศ 3) ทรัพยากรแร หินในภาคกลางสวนใหญเปนหินเกิดใหมท่ีมีอายุนอย มี หนิ อคั นซี งึ่ เปน หนิ เกา พบไดท างตอนเหนอื และชายขอบของภาคกลาง และมนี าํ้ มนั ทจี่ งั หวดั กําแพงเพชร 4) ทรพั ยากรปา ไม ภาคกลางมีพ้ืนที่ปา ไมน อยมาก จังหวัดที่มีปา ไมมากคือ จังหวัดท่ีอยูทางตอนบนของภาค คือ จังหวัดเพชรบูรณ พิษณุโลก และจังหวัดอุทัยธานี สุโขทยั และกําแพงเพชร 5) ทรัพยากรดานการทองเท่ียว สถานทีท่ องเทยี่ วสวนใหญเ ปน นํา้ ตก และ แมน้ํา ซึ่งปจจุบันแมน้ําหลายสายจะมีตลาดนํ้าใหนักทองเท่ียวไดมาเย่ียมชม วนอุทยาน (หว ยขาแขง จงั หวัดอทุ ยั ธานี) นอกจากนยี้ ังมโี บราณสถานทีเ่ ปน มรดกโลก เชน ที่จังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา ประชากร ภาคกลางเปนภาคท่ีมีประชากรมากเปนอันดับสอง รองจากภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ประชากรสว นใหญจ ะหนาแนน มากในบรเิ วณทรี่ าบลมุ แมน าํ้ เจา พระยา เพราะความอุดมสมบูรณเหมาะแกการเพาะปลูก จังหวัดที่ติดกับชายทะเลก็จะมีประชากร อาศยั อยหู นาแนน นอกจากนภี้ าคกลางจะมอี ตั ราการเพม่ิ ของประชากรรวดเรว็ มาก เนอื่ งจาก มกี ารอพยพเขามาหางานทาํ ในเมืองใหญก นั มาก การประกอบอาชีพของประชากร ภาคกลางอดุ มสมบรู ณ ทง้ั ทรพั ยากรดิน และน้ํา นับเปนแหลงอูขาวอูนํ้าของประเทศในภาคกลางตอนบนประกอบอาชีพทํานาขาว และทําไร (ขา วโพด ออ ย มนั สําปะหลงั ) รองลงมาคือ อุตสาหกรรม ภาคกลางตอนลา งจะมี อาชีพปลูกขาวในบริเวณราบลมุ แมนํ้า เนอื่ งจากที่ดินเปนดนิ เหนยี วมนี าํ้ แชข ัง และมรี ะบบ การชลประทานดี จงึ สามารถทาํ นาไดป ล ะ 2 ครงั้ นบั เปน แหลง ปลกู ขา วทใ่ี หญท ส่ี ดุ ในประเทศ และมีการทาํ นาเกลือ นากงุ ในแถบจังหวดั ชายทะเล

« ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน » 37 ภาคตะวนั ออก ภาคตะวนั ออกเปน ภาคทเี่ ลก็ ทสี่ ดุ ตอนเหนอื ของภาคมภี มู ปิ ระเทศ เปนทีร่ าบลุม เกิดจากการเคล่ือนไหวและการบีบอดั ตัวของเปลอื กโลก ทําใหต อนกลางของ ภาคโกง ตวั เปน ทวิ เขา ไปจนถงึ ดา นตะวนั ออกเฉยี งใต ขณะเดยี วกนั ตอนเหนอื ของภาคเกดิ การทรดุ ตวั เปน แอง กลายเปน ทรี่ าบลมุ แมน าํ้ และเกดิ การทบั ถมของโคลนและตะกอน ตอน กลางของภาคเปนทิวเขา ภมู ปิ ระเทศสวนใหญเปน หุบเขาแคบ ๆ มีที่ราบตามหบุ เขา เรยี ก วา ทร่ี าบดนิ ตะกอนเชงิ เขาตอนใตข องภาคเปน ทรี่ าบชายฝง ทะเลภาคตะวนั ออก มที รพั ยากร ทส่ี าํ คัญคือ 1) ทรพั ยากรดนิ ดนิ สว นใหญไ มค อ ยสมบรู ณ เพราะเปน ดนิ รว นปนทรายและ นํา้ ฝนจะชะลา งดิน เหมาะแกก ารปลกู พชื สวน เชน ทเุ รียน เงาะ ระกํา สละ มังคดุ ฯลฯ และ ใชปลูกพืชไร เชน มันสําปะหลัง ออย ฯลฯ การทํานาก็มีบางบริเวณตอนปลายของแมนํ้า บางปะกง 2) ทรัพยากรนํา้ ภาคตะวันออกมนี ้าํ อยา งอดุ มสมบูรณ แตเ นื่องจากแมน าํ้ ใน ภาคตะวนั ออกเปน แมน าํ้ สายสน้ั ๆ ทาํ ใหก ารสะสมนาํ้ ในแมน า้ํ มนี อ ย เมอ่ื ถงึ ชว งหนา แลง มกั จะขาดแคลนนาํ้ จดื เพราะเปน ภมู ภิ าคทมี่ นี กั ทอ งเทย่ี วจาํ นวนมาก นอกจากนใี้ นหนา แลง นาํ้ ทะเลเขามาผสมทาํ ใหเกดิ น้าํ กรอ ย ซึ่งไมสามารถใชบ ริโภคหรอื เพาะปลูกได การสรา งเขื่อน ก็ไมส ามารถทําได เพราะสภาพภูมปิ ระเทศไมอ ํานวย 3) ทรัพยากรแร ภาคตะวันออกมแี รอ ยูบาง เชน เหลก็ แมงกานีส พลวง แต มีแรท่ีมีช่ือเสียง คือ แรรัตนชาติ เชน พลอยสีแดง พลอยสีนํ้าเงินหรือไพลิน และพลอยสี เหลือง โดยผลติ เปน สินคาสง ออกไปขายยังตา งประเทศ 4) ทรพั ยากรปาไม ปาไมในภาคตะวันออกจะเปน ปาดงดบิ และปา ชายเลน แตก ล็ ดจาํ นวนลงอยา งรวดเรว็ เพราะมกี ารขยายพน้ื ทก่ี ารเกษตร สรา งนคิ มอตุ สาหกรรม ฯลฯ 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว เปนภาคที่มีทรัพยากรทองเท่ียวมากมาย โดยเฉพาะจงั หวดั ท่ีอยชู ายทะเล เกาะตา งๆ นา้ํ ตก ฯลฯ ประชากร ภาคตะวนั ออกเปน อีกภาคหน่ึงที่มีการเพิ่มของประชากรคอ นขา ง สงู เนอื่ งจากมกี ารยา ยมาทาํ มาหากนิ การเจรญิ เตบิ โตของเขตอตุ สาหกรรม รวมทง้ั การทอ ง เที่ยวเปน เหตจุ งู ใจใหคนเขามาตง้ั ถิ่นฐานเพ่มิ มากขึน้ การประกอบอาชีพของประชากร มีอาชพี ทส่ี าํ คัญ คอื 1. การเพาะปลูก มีการทาํ นา ทําสวนผลไม ทัง้ เงาะ ทุเรียน มังคดุ ระกํา สละ สวนยางพารา ทาํ ไรอ อย และมนั สําปะหลงั 2. การเลี้ยงสัตว เปนแหลงเลี้ยงเปดและไก โดยเฉพาะที่จังหวัดชลบุรี และ ฉะเชิงเทรา 3. การทําเหมืองแร ภาคตะวันออกเปนแหลงท่ีมีแรรัตนชาติมากท่ีสุด เชน ทับทิม ไพลิน บุศราคัม สงผลใหประชากรประกอบอาชีพเจียรนัยพลอยดวย โดยเฉพาะ จงั หวัดจันทบุรแี ละตราด

38 หนังสอื เรยี นสาระการพัฒนาสงั คม รายวชิ าสังคมศกึ ษา (สค21001) 4. อตุ สาหกรรมในครวั เรือน เชน การผลติ เสอี่ จันทบุรี เคร่ืองจักสาน 5. การทองเที่ยว เนื่องจากมีทัศนียภาพที่สวยงามจากชายทะเลและเกาะ ตา งๆ อตุ สาหกรรมการทองเที่ยวจงึ สรา งรายไดใ หกบั ภูมิภาคนเี้ ปนอยางมาก ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศสว นใหญ เปน ทร่ี าบสงู แอง กะทะและ ยังมที ี่ราบลมุ แมน ้าํ ชแี ละแมน าํ้ มูลท่เี รียกวา แองโคราช ซึ่งเปน ท่รี าบลุมขนาดใหญท ีส่ ดุ ของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะมีแมน้ํามูลและแมนํ้าชีไหลผาน จึงมักจะมีน้ําทวมเม่ือฤดู น้ําหลาก มที รพั ยากรทสี่ ําคัญ คือ 1) ทรพั ยากรดนิ ดินในภาคนม้ี ักเปน ดนิ ทราย ไมอมุ นํ้า ทําใหก ารเพาะปลกู ไดผลนอ ย แตกส็ ามารถแบงไดต ามพ้นื ที่ คอื บริเวณท่ีราบลุมแมน้ําแมน้ําชี แมนํ้ามูล และแมน้ําโขง จะมีความอุดม สมบูรณคอนขางมาก นิยมปลกู ผักและผลไม สว นท่ีเปนน้ําขังมกั เปนดนิ เหนยี ว ใชทํานา บริเวณลําตะพักลํานํ้า สวนใหญเปนดินทราย ใชทํานาไดแตผลผลิตนอย เชน ทงุ กลุ ารอ งไห บรเิ วณทสี่ ูงกวา น้ี นยิ มปลกู มนั สาํ ปะหลัง บริเวณทสี่ งู และภูเขา เนอื้ ดินหยาบเปนลกู รัง ท่ีดนิ น้มี ักเปนปา ไม 2) ทรพั ยากรนา้ํ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จะมปี ญ หาในเรอื่ งของนา้ํ มากกวา ภาคอนื่ ๆ แมว า ฝนจะตกหนกั และในหนา แลง จะขาดแคลนนา้ํ เพอื่ การเกษตรและการบรโิ ภค น้ําในภาคนจ้ี ะแบงเปน 2 ประเภท คือ นาํ้ บนผวิ ดิน ไดแก นา้ํ ในแมนํา้ ชี แมน า้ํ มูล และแมน้ําสายตางๆ ในฤดฝู น จะมปี รมิ าณนา้ํ มาก แตใ นฤดแู ลง นา้ํ ในแมน าํ้ จะมนี อ ย เนอ่ื งจากพน้ื ดนิ เปน ดนิ ทราย เมอื่ ฝน ตกไมส ามารถอมุ นา้ํ ได สว นนาํ้ ในแมน าํ้ ลาํ คลองกม็ ปี รมิ าณนอ ย เพราะนา้ํ จะซมึ ลงพน้ื ทราย แตภ าคน้ีถอื วา โชคดที ม่ี เี ขอ่ื น อางเก็บนาํ้ และฝายมากกวา ทุกๆ ภาค นาํ้ ใตด นิ ปรมิ าณนาํ้ ใตด นิ มมี าก แตม ปี ญ หานาํ้ กรอ ยและนาํ้ เคม็ การขดุ บอ ตองขุดใกลแ หลง แมนํ้าเทานนั้ หรอื ตอ งขดุ ใหลกึ จนถึงชั้นหนิ แข็ง 3) ทรพั ยากรแร ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื มีแรโพแตซมากทีส่ ดุ จะมอี ยมู าก บริเวณตอนกลางและตอนเหนอื ของภาค นอกจากนย้ี ังมีเกลือหนิ มากทสี่ ดุ ในประเทศไทย 4) ทรัพยากรปา ไม ปา ไมในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื จะเปน ปา แดง ซ่งึ เปน ปา ผลดั ใบเปนปา โปรง ปา แดงชอบดนิ ลูกรังหรอื ดนิ ทราย เชน ไมเตง็ รัง พลวง พะเยา ฯลฯ 5) ทรพั ยากรดา นการทอ งเทย่ี ว มแี หลง ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละทมี่ นษุ ยส รา ง ขนึ้ เชน วิวทิวทศั น (ภกู ระดึง) เขื่อน ผาหิน (จังหวัดอุบลราชธานี) หลักฐานทางโบราณคดี (จงั หวัดอุดรธานี) ประชากร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากรหนาแนนอาศัยอยูตามแอง โคราชบริเวณที่ราบลุมของแมนา้ํ ชแี ละแมน ้ํามลู การประกอบอาชีพของประชากร ประชากรประกอบอาชพี ท่ีสําคญั คือ - การเพาะปลกู เชน การปลกู ขาว การทําไร (ขา วโพด มนั สาํ ปะหลงั ออย ปอ ยาสบู )

« ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน » 39 - การเลย้ี งสัตว เชน โค กระบือ และการประมงตามเขอ่ื นและอา งเก็บน้าํ - อตุ สาหกรรม สว นใหญเ ปน การแปรสภาพผลผลิตทางการเกษตร เชน โรง สขี าว โรงงานมันสําปะหลังอดั เม็ด โรงงานทาํ โซดาไฟ (จากแรห นิ เกลอื และโปแตซ) ภาคใต ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศของภาคใตเ ปน คาบสมทุ ร มที วิ เขาสงู ทอดยาวจากเหนอื จรดใต มที ะเลขนาบทั้ง 2 ดา น ทวิ เขาท่ีสําคัญ คอื ทวิ เขาภูเกต็ ทิวเขานครศรธี รรมราช และ ทิวเขาสนั กาลาครี ี และมแี มน า้ํ ตาป ซึง่ เปนแมน้าํ ท่ียาวและมีขนาดใหญท ีส่ ดุ ของภาคใต ท่ี เหลอื จะเปน แมนา้ํ สายเล็กๆ และส้นั เชน แมน ํ้าปต ตานี แมน ้ําสายบุรี และแมนาํ้ โก-ลก และ มีชายฝงทะเลท้ังทางดานอาวไทย ซ่ึงมีลักษณะเปนชายฝงแบบยกตัว เปนท่ีราบชายฝงท่ี เกดิ จากคลนื่ พดั พาทรายมาทบั ถม จนกระทง่ั กลายเปน หาดทรายทสี่ วยงาม และชายฝง ทะเล ดา นทะเลอนั ดามนั ทม่ี ลี กั ษณะเวา แหวง เพราะเปน ฝง ทะเลทจ่ี มนาํ้ และมปี า ชายเลนขน้ึ อยา ง หนาแนน 1) ทรพั ยากรดนิ ลกั ษณะดนิ ของภาคใตจะมี 4 ลักษณะ คือ 1. บรเิ วณชายฝง เปนดินทราย ทเี่ หมาะแกการปลกู มะพรา ว 2. บรเิ วณที่ราบ ดนิ บรเิ วณท่รี าบลุมแมน า้ํ เกดิ จากการทบั ถมของตะกอน เปน ชนั้ ๆ ของอนิ ทรยี ว ัตถุ นยิ มทาํ นา 3. บรเิ วณทด่ี อนยงั ไมไ ดบ อกลกั ษณะดนิ นยิ มปลกู ปาลม นาํ้ มนั และยางพารา 4. บรเิ วณเขาสงู มลี กั ษณะเปน ดนิ ทมี่ หี นิ ตดิ อยู จงึ ไมเ หมาะแกก ารเพาะปลกู 2) ทรพั ยากรนา้ํ แมน า้ํ สว นใหญใ นภาคใตเ ปน สายสน้ั ๆ แตก ม็ นี าํ้ อดุ มสมบรู ณ เน่อื งจากมีฝนตกเกอื บตลอดป แตบางแหง ยงั มกี ารขดุ น้าํ บาดาลมาใช 3) ทรพั ยากรแร แรที่สาํ คัญในภาคใต ไดแก ดีบกุ (จังหวดั พังงา) ทงั สเตน เหลก็ ฟลูออไรด ยปิ ซ่มั ดินขาว ถานหนิ ลกิ ไนต 4) ทรัพยากรปาไม ปาไมในภาคใตเปนปา ดงดิบ และปา ชายเลน 5) ทรัพยากรดานการทองเท่ียว มีทรัพยากรดานการทองเท่ียวมาก เชน ทิวทัศนตามชายฝงทะเล เกาะ และอุทยานแหงชาติทางทะเล นํ้าตก สุสานหอยลานปที่ จังหวดั กระบี่ ประชากร ประชากรอาศัยอยูหนาแนน ตามท่ีราบชายฝงต้ังแตจังหวัด นครศรธี รรมราชลงไปถึงจงั หวัดปต ตานี เพราะเปน ท่ีราบผืนใหญ การประกอบอาชพี ของประชากร อาชพี ทสี่ าํ คัญ คอื - การทําสวน เชน ยางพารา ปาลมนํา้ มัน และสวนผลไม - การประมง ทาํ กันทกุ จงั หวดั ทีม่ ชี ายฝง ทะเล - การทําเหมืองแรดีบุก - การทองเท่ียว ภาคใตมีภูมิประเทศท่ีสวยงาม ทําใหมีแหลงทองเที่ยวตาม ธรรมชาตมิ ากมายหลายแหง เชน ทวิ ทศั นช ายฝง ทะเล เกาะแกงตา ง ๆ ฯลฯ สามารถทําราย ไดจากการทอ งเท่ยี วมากกวา ภาคอ่ืนๆ

40 หนังสอื เรียนสาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาสงั คมศกึ ษา (สค21001) 5.2 ความสําคัญของการดํารงชีวิตใหสอดคลองกับทรัพยากรของประเทศใน เอเชยี ลักษณะประชากรของทวีปเอเชีย เอเชียเปนทวีปท่ีใหญและมีประชากรมาก เปนอนั ดับ 1 ของโลก ถือเปน ทวีปแหลงอารยธรรม เพราะเปน ดนิ แดนทคี่ วามเจรญิ เกิดข้ึน กอนทวีปอ่นื ๆ ประชากรรูจักและต้งั ถ่ินฐานกันมากอน สว นใหญอ าศยั อยหู นาแนนบรเิ วณ ชายฝง ทะเลและทร่ี าบลมุ แมน า้ํ ตา ง ๆ เชน ลมุ แมน า้ํ เจา พระยา ลมุ แมน าํ้ แยงซเี กยี ง ลมุ แมน าํ้ แดงและลมุ แมน าํ้ คงคาสว นบรเิ วณทมี่ ปี ระชากรเบาบางจะเปน บรเิ วณทแี่ หง แลง กนั ดารหนาว เย็นและในบริเวณท่เี ปนภูเขาซบั ซอน ซ่ึงสว นใหญจะเปนบริเวณกลางทวีป ประชากรในเอเชียประกอบดวยหลายเช้ือชาติ ดังน้ี 1) กลุม มองโกลอยด มีจํานวน 3 ใน 4 ของประชากรท้งั หมดของทวีป มี ลักษณะเดน คอื ผวิ เหลือง ผมดําเหยียดตรง นยั นตารี จมูกแบน อาศัยอยูใ นประเทศ จีน ญีป่ นุ เกาหลี และไทย 2) กลมุ คอเคซอยด เปนพวกผวิ ขาว หนาตารปู รางสงู ใหญเ หมอื นชาวยโุ รป ตา ผมสดี าํ สว นใหญอ าศยั อยใู นเอเชยี ตะวนั ตกเฉยี งใตแ ละภาคเหนอื ของอนิ เดยี ไดแ ก ชาว อาหรับ ปากีสถาน อนิ เดีย เนปาล 3) กลมุ นิกรอยด เปนพวกผวิ ดํา ไดแก ชาวพนื้ เมอื งภาคใตของอนิ เดยี พวก เงาะซาไก มรี ปู รา งเลก็ ผมหยิก นอกจากนี้ยงั อยูใ นศรลี ังกาและหมูเ กาะในเอเชียตะวันออก เฉยี งใต 4) กลุมโพลิเนเซียน เปนพวกผิวสีคล้ํา อาศัยอยูตามหมูเกาะแถบเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต ไดแก ชนพ้ืนเมืองในหมเู กาะของประเทศอินโดนเี ซยี ประชากรของทวีปเอเชียจะกระจายตัวอยูตามพื้นท่ีตางๆ ซ่ึงข้ึนอยูกับความ อุดมสมบูรณของพ้ืนท่ี ความเจริญทางดานวิชาการในการนําเทคโนโลยีมาใชกับ ทรพั ยากรธรรมชาติ เพอื่ ใหเ กดิ ประโยชนส งู สดุ และทาํ เลทต่ี ง้ั ของเมอื งทเี่ ปน ศนู ยก ลาง สว น ใหญจะอยูกันหนาแนนบริเวณตามท่ีราบลุมแมนํ้าใหญๆ ซึ่งท่ีดินอุดมสมบูรณ พ้ืนท่ีเปน ที่ราบเหมาะแกการปลูกขา วเจา เขตประชากรทีอ่ ยูก นั หนาแนน แบงไดเปน 3 ลกั ษณะคอื 1. เขตหนาแนนมาก ไดแก ที่ราบลุมแมนํ้าฮวงโห แมนํ้าแยงซีเกียง ชายฝง ตะวันออก ของจนี ไตห วนั ปากแมนาํ้ แดง (ในเวยี ดนาม) ท่ีราบลมุ แมนาํ้ คงคา (อินเดยี ) ลุมแมนํา้ พรหมบุตร (บังคลาเทศ) ภาคใตข องเกาะฮอนชู เกาะควิ ชู เกาะซิโกกุ (ในญป่ี ุน ) เกาะชวา (ในอินโดนีเซยี ) 2. เขตหนาแนน ปานกลาง ไดแก เกาหลี ภาคเหนือของหมเู กาะญ่ปี นุ ท่ีราบ ดนิ ดอนสามเหลย่ี มปากแมน าํ้ โขงในเวยี ดนาม ทร่ี าบลมุ แมน าํ้ เจา พระยา ทร่ี าบปากแมน าํ้ อริ ะวดี ในพมา คาบสมุทรเดคคานในอนิ เดยี ลมุ แมน้ําไทกรสิ -ยูเฟรตสี ในอิรัก 3. เขตบางเบามาก ไดแก เขตไซบีเรียในรัสเซีย ทะเลทรายโกบีในมองโกเลีย แควน ซินเกยี งของจนี ทร่ี าบสงู ทเิ บต ทะเลทรายในคาบสมุทรอาหรบั ซ่ึงบริเวณแถบนีจ้ ะมี อากาศหนาวเยน็ แหงแลง และทรุ กันดาร

« ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน » 41 ลักษณะการต้ังถิ่นฐาน ประชากรสวนใหญ อาศัยอยูหนาแนนบริเวณชายฝงทะเลและท่ีราบลุมแมน้ําตาง ๆ เชน ลุมแมน าํ้ เจาพระยา ลมุ แมนา้ํ แยงซีเกียง ลุมแมน้ําแดงและลมุ แมน้ําคงคา และในเกาะ บางเกาะทม่ี ดี ินอุดมสมบรู ณ เชน เกาะของประเทศฟลปิ ปนส อนิ โดนีเซยี และญ่ีปุน สว น บรเิ วณทม่ี ีประชากรเบาบาง จะเปน บรเิ วณทีแ่ หง แลง กันดาร หนาวเย็นและในบรเิ วณท่เี ปน ภเู ขาซับซอ น ซ่งึ สวนใหญจะเปนบริเวณกลางทวปี มเี พียงสว นนอ ยท่ีอาศัยอยูในเมือง เมอื ง ที่มปี ระชากรอาศัยเปน จาํ นวนมาก ไดแ ก โตเกยี ว บอมเบย กลั กัตตา โซล มะนลิ า เซียงไฮ โยะโกะฮะมะ เตหะราน กรุงเทพมหานคร เปน ตน ลักษณะทางเศรษฐกจิ ประชากรของทวปี เอเชียประกอบอาชพี ที่ตา งกนั ขน้ึ อยกู บั สภาพแวดลอมทางธรรมชาติ ไดแก ภูมอิ ากาศ ภมู ปิ ระเทศ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสภาพ แวดลอมทางวัฒนธรรม ไดแก ความเจริญในดานวิชาการ เทคโนโลยี การปกครองและ ขนบธรรมเนยี มประเพณี แบง ได 3 กลมุ ใหญๆ คอื 1) เกษตรกรรม การเพาะปลูก นับเปนอาชพี ที่สาํ คัญในเขตมรสมุ เอเชยี ไดแก เอเชยี ตะวนั ออก เอเชยี ตะวันออกเฉียงใตแ ละเอเชียใต ทําการเพาะปลูกประมาณรอยละ 70 - 75 % ของประชากรทั้งหมด เนื่องจากทวีปเอเชียมีภูมิประเทศเปนที่ราบลุมแมน้ําอันกวางใหญ หลายแหง มีท่ีราบชายฝงทะเล มีภูมิอากาศที่อบอุน มีความชื้นเพียงพอ นอกจากน้ียังมี การนาํ เทคโนโลยที ี่ทันสมัยเขา มาชวย หลายประเทศกลายเปนแหลง อาหารทส่ี าํ คญั ของโลก จะทาํ ในท่รี าบลมุ ของแมน ้ําตางๆ พืชทีส่ าํ คญั ไดแก ขา ว ยางพารา ปาลม ปาน ปอ ฝาย ชา กาแฟ ขาวโพด สม มันสําปะหลัง มะพรา ว การเลย้ี งสตั ว เลย้ี งมากในชนบท มที งั้ แบบฟารม ขนาดใหญแ ละปลอ ยเลยี้ ง ตาม ทุง หญา ขน้ึ อยูกับลักษณะภูมปิ ระเทศ ภูมิอากาศ และความนยิ ม ซงึ่ เล้ียงไวใชเ นอ้ื และ นมเปนอาหาร ไดแก อฐู แพะ แกะ สกุ ร โค กระบือ มา และจามรี ภาพจามรี

42 หนงั สอื เรยี นสาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) การทําปาไม เนื่องจากเอเชียต้งั อยใู นเขตปาดงดบิ มรสุมเขตรอ นและเขต อบอนุ จงึ ไดรับความช้ืนสูง จงึ เปนแหลง ปา ไมท่ใี หญและสําคญั ของโลกแหงหนึง่ มที ง้ั ปาไม เนอื้ ออนและปา ไมเ นื้อแข็ง การประมง นบั เปน อาชพี ทสี่ าํ คญั ของประชากรในเขตรมิ ฝง ทะเล ซง่ึ มหี ลาย ประเภท ไดแ ก ประมงนาํ้ จดื ประมงนาํ้ เคม็ การงมหอยมกุ และเลยี้ งในบรเิ วณลาํ คลอง หนอง บึงและชายฝงทะเล 2) อุตสาหกรรม ไดแก 1. การทําเหมอื งแร ทวีปเอเชยี อดุ มสมบูรณไ ปดวยแรธาตุและแรเ ช้ือเพลงิ ไดแ ก แรเ หลก็ ถา นหนิ ปโ ตรเลยี ม และกา ซธรรมชาติ ซง่ึ จนี เปน ประเทศทม่ี กี ารทาํ เหมอื ง แรม ากทส่ี ดุ ในทวปี เอเชยี สว นถา นหนิ เอเชยี ผลติ ถา นหนิ มากทสี่ ดุ ในโลก แหลง ผลติ สาํ คญั คอื จีน อนิ เดยี รสั เซยี และเกาหลี แรเหล็ก ผลติ มากในรสั เซยี อนิ เดยี และจีน สว นน้ํามนั ดิบ และกาซธรรมชาติ เอเชียเปนแหลงสํารองและแหลงผลิตน้ํามันดิบและกาซธรรมชาติมาก ทสี่ ดุ ในโลก ซง่ึ มมี ากบรเิ วณอา วเปอรเ ซยี ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ไดแ ก อหิ รา น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส อิรัก คูเวต โอมาน กาตาร ประเทศท่ีผลิตน้ํามันดิบมาก คือ ซาอุดิอาระเบียและจีน นอกจากน้ียังพบในอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ปากีสถาน พมา อุซเบกสิ ถาน เติรกเมนิสถาน อาเซอรไบจาน 2. อุตสาหกรรมทอผา ผลิตภัณฑจากไมและหนังสัตว ซึ่งอุตสาหกรรม เหลานี้ หลายประเทศในเอเชียเร่ิมจากอุตสาหกรรมในครัวเรือน แลวพัฒนาขึ้นเปนโรงงาน ขนาดเลก็ ขนาดกลาง ขนาดใหญ นอกจากนย้ี งั มอี ตุ สาหกรรมอาหารสาํ เรจ็ รปู เครอ่ื งจกั รกล ยานพาหนะ เคมี 3) พาณิชยกรรม ไดแก การสง สนิ คา ออกและสนิ คา นาํ เขา ประเทศ สินคาที่ผลิตในทวีปเอเชียท่ีเปนสินคา ออกสว นมากจะเปน เครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภค และวัตถุดิบ ไดแก ขาวเจา กาแฟ ชา น้ําตาล เคร่อื งเทศ ยางพารา ฝาย ไหม ปอ ปาน ขนสัตว หนังสัตว ดีบุก ฯลฯ ญ่ีปุนและจีนมีปริมาณการคากับตาง ประเทศมากท่ีสุดในทวีป สินคาออก เปนประเภทเครื่องจักร ประเทศท่ีสงออกมาก คือ ญ่ีปุน สวนประเภท อาหาร เชน ขาวเจา ขาวโพด ถ่วั เหลือง ไดแก ไทย พมา และเวียดนาม สว นสินคานาํ เขา ประเทศ สว นมากจะส่ังซ้อื จากยุโรปและอเมรกิ า ไดแก ผลติ ภณั ฑ จากอตุ สาหกรรม เครอ่ื งโลหะสาํ เรจ็ รปู เชน เครอื่ งจกั ร เครอื่ งยนต เครอ่ื งไฟฟา เคมี เคมภี ณั ฑ เวชภัณฑตางๆ 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook