ใจน้ันเป็นอิสรภาพอยู่ก่อนและโลกก็ไม่ได้ร้อยรัดมัดผู้ใดไว้ในโลก สง่ิ ของในโลกไมใ่ ชโ่ ซล่ า่ มใจ และไมร่ เู้ รอ่ื งดว้ ยวา่ มนั มคี ณุ คา่ นา่ รกั หรอื นา่ ชงิ ชงั อวชิ ชาตา่ งหากที่ทำ�เร่ืองไมเ่ ปน็ เรือ่ งใหเ้ ปน็ เร่อื งปรุงแต่ง แกง่ แยง่ ขดั แย้ง กับสงิ่ ของในโลกซง่ึ ไม่เคยรู้เรือ่ งด้วยตง้ั แต่ที่ดิน แม่น้ำ� ขุนเขา พชื พรรณ หรอื สรรพสตั ว์ในแอง่ น้ำ�และผืนดนิ เหลา่ นั้น ซ่ึงไม่รเู้ รื่องด้วยว่ามนั เปน็ ราคะ โทสะ หรือโมหะ หญงิ สาว ๒ คนกำ�ลงั ดายหญา้ อย่ใู นสวน คนหนงึ่ เหลือบไปเหน็ รูดนิ ท่ีมใี ยแมงมมุ ขวางอยปู่ ากรู คอยดกั จบั สตั ว์ เธอก็รู้ได้ทันทวี า่ ข้างในรูน้นั มี แมงมุมยกั ษอ์ ยู่ข้างใน เธอท�ำ ทา่ ลงิ โลดดีใจ ขณะชวนเพ่อื นสาวของเธอขดุ รู ดนิ นน้ั และพบกับแมงมุมยักษส์ ีด�ำ ขนาด ๔ นวิ้ มีขนปกคลมุ ตามลำ�ตัว และ ขาอนั รมุ่ รา่ มของมัน ความก�ำ หนัดท่จี ะเสพรสชาตินนั้ ล้นออกมาที่รมิ ฝีปาก แววตาแหง่ ความรษิ ยา และการแกง่ แยง่ จึงเกิดข้นึ ขณะทพี่ ร่ำ�สรรเสรญิ มันว่ามีรสอรอ่ ย ดีเลศิ แล้วจะนำ�ไปใสส่ ้มตำ� เรอ่ื งราวท่เี กิดข้ึนน้ี ท�ำ ให้ไดเ้ ห็นวา่ แมงมุมยกั ษต์ วั น้ันไมใ่ ชก่ าม ไมใ่ ช่ กเิ ลส คอื รูป รส กลน่ิ เสียง สมั ผัสกาย ทงั้ หลายไม่ใช่กาม ไมใ่ ชก่ เิ ลส (เคร่ือง เศรา้ หมอง) แต่อวิชชาท่ีไม่ร้ปู รงุ แตง่ ความยินดี ชอบ-ชงั ต่อปรากฏการณ์ใน โลกนขี้ ึ้นมา โลกนี้จึงมิใช่เครื่องร้อยรัดมัดใจ แมงมุมตัวนั้นก็มิได้ร้อยรัดมัดใจ ความชอบยินดใี นรปู รส กล่ิน เสียง สมั ผสั กายนั้น ต่างหากที่รอ้ ยรัด มดั ใจด้วยความยดึ ม่ัน คืออปุ าทาน ๑๐๑
เมอื่ เพง่ จอ้ งในส่งิ ใดด้วยความยดึ ม่ันทางใดทางหน่งึ ซึง่ เทิดคา่ ขึ้นมา ดว้ ยเนอ้ื หาปรุงแตง่ ทางใจ การเข้าไปร้อยรัดในความปรงุ แตง่ เหลา่ นัน้ จงึ มา บดบังธรรมชาติเดิมของใจอนั กว้างใหญไ่ พศาล ไมม่ ปี ระมาณ เป็นอิสรภาพ อันบรสิ ทุ ธ์ิแตด่ ้งั เดมิ เหมอื นเสน้ ผมบงั ภูเขา ทเ่ี ผลอเพง่ จอ้ งเขา้ ไปในจดุ ยดึ มน่ั จงึ บดบงั ความกวา้ งใหญ่ ไรเ้ ขตแดนของธรรมชาติเบื้องหลัง การมสี ตไิ มเ่ ผลอเพง่ จอ้ งในเนือ้ หาชอบ – ชัง ไม่หลงสมมตบิ ัญญตั ิใน ความคิด รูค้ วามจรงิ ว่า ไม่ใช่ “เราคดิ ” แตอ่ อกมาจากความคิดคำ�วา่ “เรา” ย่อมไม่อาจบดบงั ธรรมชาตเิ ดิมของใจทไ่ี ม่ใช่ตัวตน การมีสติที่จำ�ถูกต้องว่าสุข-ทุกข์ไม่ใช่มาจากตัวการภายนอกหรือผู้ อนื่ เปน็ ผ้กู ระท�ำ ไม่ใช่เราทำ�จำ�ได้ถงึ อนตั ตสญั ญาในสิ่งไมใ่ ช่ตวั ตน อาศยั เหตุ ปัจจัยเกิดขึ้น และเห็นประจักษ์ด้วยประสบการณ์ตรงเฉพาะหน้าของกายใน กาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ลว้ นไมใ่ ชต่ ัวตน ยอ่ มสามารถ เหน็ กระแสของเหตปุ จั จยั ท่ีเกิดดบั ไปในขนั ธ์ ๕ เหลา่ น้นั ตามความเปน็ จริง ท�ำ ใหล้ ะสักกายทิฏฐิ หรอื ละความเหน็ ผิดว่าเป็นตวั ตนไดด้ ้วยมุมมอง ทถี่ กู ตอ้ งดังกลา่ ว ไมถ่ กู บดบงั ดว้ ยการถล�ำ เข้าไปอาศัยในเศษธลุ อี นั เปน็ อณู แตเ่ หน็ อณเู หลา่ นน้ั ไมใ่ ชต่ วั ตน จงึ ไมถ่ กู เสน้ ผมบงั ภเู ขาดงั กลา่ ว การเห็นกระแสเหตุปัจจัยในสุข-ทุกขเวทนา อันอาศัยผัสสะเกิดขึ้น ท�ำ ให้พระโสดาบนั ไมห่ ลงคิดว่า สุข-ทกุ ข์ มาจากคนอ่ืนท�ำ หรือตนท�ำ เอง จงึ ไมต่ อ้ งท�ำ ร้ายใครในการแกป้ ัญหาสขุ ทุกข์ ปดิ นรกวสิ ยั เพราะ เหตนุ ้ี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมารมณ์ที่กระทบใจ ทำ�ให้เกิดมโนวิญญาณ ๑๐๒
เป็นผัสสะที่ทำ�ให้เกิด สุข ทุกข์ เวทนาทางใจ เมื่อฉลาดเห็นเช่นนี้ ย่อม ฉลาดไม่ก่อธรรมารมณ์ที่ประกอบด้วยเจตนาร้าย อันให้ผลเป็นทุกข์ เมื่อ เหตุนั้นไม่มี ผลนั้นก็ไม่มี พระโสดาบันจึงปิดอบายภูมิด้วยปัญญาความ เข้าใจ แล้วละความงมงาย ในสีลพั พตปรามาส หรอื สีลพั พตุปาทาน แต่ฉลาดในเหตปุ จั จยั และจดุ มงุ่ หมายของศลี นน้ั คอื เปน็ ศลี ทเ่ี ปน็ ไทจากตณั หา และทฏิ ฐิ เปน็ ศลี ที่เก้ือกลู ตอ่ สมาธิ การทเี่ หน็ กระแสเหตปุ ัจจยั ท่ีอาศยั กนั เกดิ ข้ึนดังกลา่ ววา่ เพราะสิ่งน้มี ี สง่ิ นีจ้ ึงมี เพราะสง่ิ นด้ี บั สิ่งนีจ้ งึ ดับ ย่อมหายสงสัยในหลักธรรมโดยประจักษ์ เข้าไปที่ใจ และเห็นนิมิตของจิตได้ หรือเห็นเครื่องหมายที่เรียกว่า “จิต” น้นั ไมใ่ ช่ตัวตน ผลของพระโสดาบนั ทล่ี ะวิจกิ ิจฉา เพราะเห็นธรรมทัง้ หลายลว้ นเกิดแตเ่ หตุ และเห็นเหตแุ หง่ ธรรมน้ัน ดงั พทุ ธพจน์ที่ว่า “ผู้ใด เห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต” คือ หายสงสัยในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ผู้เห็นธรรมในปฏิจจสมุปบาท ดังความเข้าใจในเรอ่ื งของสขุ -ทกุ ขเวทนา ทีไ่ ม่ใชผ่ อู้ ื่นกระทำ�หรอื เรา ท�ำ แตอ่ าศยั ผสั สะเปน็ เหตปุ จั จยั ดว้ ยตากระทบรปู ท�ำ ใหเ้ กดิ จกั ขวุ ญิ ญาณ การ ประกอบแหง่ ส่ิงทงั้ ๓ นี้เรียกวา่ ผสั สะ (ห-ู เสียง จมกู -กลนิ่ ล้นิ -รส กาย- สมั ผสั กาย ใจกบั ธรรมารมณ์ เหมอื นกนั ทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ วญิ ญาณตามทวารตา่ ง ๆ) ผสั สะเหลา่ น้ลี ้วนเกดิ จากอายตนะภายใน ภายนอก ซ่งึ เรยี กรวม กันวา่ สฬายตนะ เปน็ ปัจจัยใหเ้ กิดผสั สะ และผัสสะเป็นปัจจยั ใหเ้ กิด เวทนา ความฉลาดนยี้ อ่ มนำ�ความรคู้ วามเข้าใจน้ีไปสนู่ ัยแหง่ อดตี และอนาคต วา่ สขุ -ทุกขเวทนาในอดตี กเ็ กิดจากผัสสะ ดบั เพราะผัสสะ หรอื สุข ทุกข์ใน ๑๐๓
อนาคตก็เกิดเพราะผัสสะ ดับเพราะผัสสะ เพราะเห็นและรู้จักเวทนาใน ปัจจุบันที่เกิดจากผัสสะ ดับเพราะผัสสะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผัสสะใน ธรรมารมณท์ ่กี ระทบใจ ท�ำ ให้เกิดมโนวญิ ญาณ ส่งผลสสู่ ุข-ทกุ ข์ ทางใจ แต่ ไม่ใชเ่ พราะผ้อู ่นื เปน็ ต้นเหตุแหง่ ทุกข์ และไม่ใช่เราเป็นผ้กู ระท�ำ คือละความ เห็นผดิ ว่าขนั ธ์ ๕ เป็นตวั ตนท�ำ ให้พระโสดาบันละสกั กายทฏิ ฐิ เพราะเห็น เปน็ กระแสเหตปุ จั จยั ในปฏิจจสมปุ บาท การเหน็ เชน่ น้ี คือ สัมมาทฏิ ฐิ เห็นถกู ว่าขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ไมใ่ ช่ ตัวตน ทำ�ใหเ้ กิดการด�ำ ริถูก หากเห็นวา่ ทกุ ข์ไมไ่ ดม้ าจากผ้อู น่ื ก็ยอ่ มละการคดิ รา้ ย คือไม่ดำ�รดิ ้วยเจตนาเบยี ดเบียน ตนและผอู้ ่นื จึงเปน็ การด�ำ ริชอบ การ พูดจาชอบ การท�ำ การงานชอบ การเลยี้ งชวี ติ ชอบ ความพากเพียรชอบ ปิด กั้นอกศุ ล ความระลกึ ชอบ มีสติเหน็ ความเผลอคดิ อกศุ ลแล้วไม่คิดต่อ อกุศล ก็ครอบง�ำ ใจไม่ได้ ความต้งั ใจมัน่ ชอบ คอื สัมมาสมาธิกเ็ กดิ ข้นึ เป็นหน่ึง โดย องคป์ ระกอบของมรรค ๘ ดงั กล่าว การเข้าใจลักษณะที่แท้แห่งผัสสะ เป็นสิ่งจำ�เป็นในการเห็นองค์ ประกอบของขนั ธ์ ๕ หรอื การบัญญัตคิ ำ�ว่าขันธ์ ๕ ขึ้นมา ดังพทุ ธพจน์นี้ ภกิ ษุ ท.! มหาภตู ๔ อยา่ ง (ธาตุ ๔) เปน็ เหตปุ จั จัย เพื่อการบัญญตั ิรปู ขันธ์ ผัสสะ (การประจวบแห่งอายตนะภายใน ภายนอก วิญญาณ) เป็นเหตุ เป็นปจั จยั เพอ่ื การบญั ญตั เิ วทนาขันธ์ ๑๐๔
ผัสสะ (อาศัยองค์ ๓) เหมือนกบั ข้างต้น เปน็ เหตุ เป็นปจั จัย เพอื่ การบญั ญัติสญั ญาขันธ์ ผสั สะ (อาศยั องค์ ๓) เหมือนกันข้างตน้ เปน็ เหตุ เป็นปัจจัย เพอ่ื การบญั ญตั ิสังขารขันธ์ นามรูป แลเปน็ เหตุ เป็นปัจจัย เพอื่ การบัญญตั ิ วญิ ญาณขนั ธ์ (อุปริ.ม. ๑๔/๑๐๒/๑๒๔) ภกิ ษุ ท.! ผ้ใู ดจะกลา่ วอย่างน้วี า่ “เราจกั บัญญัติซงึ่ การมา การไป การจุติ การอุบัติ ฯ ของวิญญาณ โดยเวน้ จากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสญั ญา และเวน้ จากสงั ขาร” ดงั น้นี นั้ นไี่ ม่ใชฐ่ านะที่จักมไี ด้เลย (ขน ธ. ส. ๑๗/๑๐๖-๑๐๗) ซ่งึ ส่ิงส�ำ คญั ท่คี วรตระหนกั กค็ อื ขันธ์ ๕ นน้ั เป็นส่ิงอาศัยเหตุปจั จยั เกดิ ขึ้น และเหตุปัจจัยที่ทำ�ใหเ้ กิดขันธ์ ๕ ไม่ใชต่ วั ตน ดังนนั้ ขันธ์ ๕ จะเปน็ ตัว ตนไปไดอ้ ยา่ งไร ดงั พุทธพจน์นี้ ภิกษุ ท.! ถึงแม้เหตุ แม้ปจั จยั เพอื่ การบังเกิดขึ้นของรปู กไ็ มเ่ ท่ยี ง รูปทเ่ี กิด จากเหตปุ ัจจัย อนั ไมเ่ ท่ียงแลว้ จกั เป็นของเที่ยงไปได้อยา่ งไร (เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ตรัสอยา่ งเดียวกัน) (ขน.ธ.ส. ๑๗/๒๙/๔๕) ในมมุ มองของทกุ ข์ คือ คงทอ่ี ยไู่ มไ่ ด้ เปน็ อ่นื ท่ี ไมใ่ ชอ่ ยา่ งน้นั เป็นมุมมองของอนัตตา ที่อาศัยเหตุปัจจัย เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน จึงไม่ใช่เป็นอตั ตาตัวตนแตอ่ ยา่ งใด ๑๐๕
ในเชิงปฏบิ ัติ การเจริญสติระลึกรู้ลงไปตรงปจั จุบันของกาย – ใจ จนรสู้ ึกชดั ถงึ ปรมัตถสภาวะของรูป – นาม เหน็ เหตุปจั จยั ของขนั ธ์ ๕ ว่าเกิดจากส่งิ ใดกร็ ู้ ดับเพราะสงิ่ ใดก็รู้ การมีสติปญั ญาเหน็ ความเกดิ – ดบั ลงตรงหนา้ ยอ่ มยนื ยนั สถานภาพของสง่ิ นน้ั วา่ ไมม่ ตี วั ตนถาวรท�ำ ใหเ้ กดิ สมาธิท่ีประจกั ษ์เข้าสปรมัตถ สภาวะ เห็นความจริงแท้ไม่หลงในสมมตใิ นความคดิ วา่ มอี ตั ตาตวั ตน “เรา” “เขา” จริงจัง ๑. ละสกั กายทิฏฐิ คอื ละความเห็นผดิ ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน ๒. ละวจิ ิกจิ ฉา คอื ละความสงสัยในหนทางแหง่ การดับทกุ ข์จาก การเห็นถกู ข้างตน้ ๓. ละสลี ัพพตปรามาส คอื ละความงมงายแตร่ จู้ กั จดุ มุง่ หมายของ ศลี ด้วยการมีสตริ ู้ว่าสุข ทกุ ข์ ไมไ่ ด้มาจากผ้อู น่ื ทำ� ไม่ได้มาจากเราท�ำ จึงละ การเบียดเบยี นตนและผู้อนื่ ทางกาย วาจา ใจ ศลี จงึ สมบูรณ์ ปดิ อบายภูมิ เพราะเหตนุ ี้ ในเชงิ ปฏิบัติ ผ้ปู ฏบิ ตั ิจะตอ้ งเขา้ ถึงตวั ความรสู้ กึ ทีเ่ ป็นปรมตั ถ์ คอื วปิ ัสสนาท่ีเกิด จากสมาธิ คอื สามารถประจกั ษเ์ ขา้ ถงึ ของรปู – นาม ขนั ธ์ ๕ คอื แยกรปู – นาม จนเหลอื เป็นปรมตั ถล์ ว้ น ๆ ดว้ ยประสบการณ์ตรง ไมใ่ ช่การคิดเอา การมี ประสบการณ์ตรงด้วยการเจริญสมาธิน้ีเองที่จะช่วยยืนยันให้เข้าใจถึงท่ีมา ของสขุ ทกุ ข์ วา่ ไม่ใชผ่ ูอ้ ืน่ ท�ำ ไม่ใช่มาจากเราท�ำ คอื ตอ้ งเหน็ สุข ทกุ ข์ ในระดับ ปรมัตถ์ที่ไม่ใช่ตัวตนของใครแต่เป็นสภาวะล้วน ๆ โดยอาศัยการเจริญมรรค มีองค์ ๘ ซ่งึ สมั มาสมาธิอันมีบริขาร ๗ จากสมั มาทิฏฐิ จนถึงสมั มาสติ มา รวมเปน็ หนง่ึ ในสมาธิ ซงึ่ ความหมายของวปิ สั สนาก็คือ การเห็นสภาวะท่ี เป็นปรมตั ถไ์ รส้ มมตบิ ญั ญัติ แมแ้ ต่ค�ำ วา่ จติ หรือใจ ซ่ึงผู้ปฏบิ ตั ิจะประจักษ์ ได้จากการปฏิบัติ และรู้ได้ดว้ ยตนเอง ๑๐๖
๑๔. ฉลาดปดิ อบาย
การเข้าใจเรื่องกรรม คือเจตนาเป็นที่ตั้งของเวทนา ย่อมเข้าใจใน ความหมายเดียวกันของผัสสะท่ีเกิดจากธรรมารมณ์กระทบใจ ท�ำ ใหเ้ กดิ มโน วิญญาณ การประจวบของสง่ิ ทงั้ สาม เรยี กวา่ ผัสสะ เป็นปจั จัยให้เกิดเวทนา คอื หากธรรมารมณ์นั้นนึกคิดไปในทางเจตนาดี เวทนาอารมณก์ เ็ ป็นสุข หาก นกึ คดิ ไปในทางเจตนารา้ ยก็ใหผ้ ลเปน็ ทุกขเวทนา คอื เห็นว่าส่ิงน้มี ี สง่ิ นีย้ อ่ ม มี เป็นกระแสเหตปุ ัจจยั ไม่ใช่ “คน” ซึง่ มีความสมั พนั ธก์ บั เรอื่ งทวี่ ่า สุข ทกุ ข์ ไมใ่ ชค่ นอ่นื ท�ำ ไมใ่ ชม่ า จากเราทำ� และไมไ่ ด้เกิดข้นึ ลอย ๆ เม่อื รู้วา่ สขุ -ทกุ ขไ์ มไ่ ดม้ าจากคนอนื่ ทำ� การจะประทุษรา้ ยคนอืน่ เพื่อแกป้ ญั หาสุข-ทกุ ข์ จงึ ไม่อยใู่ นฐานะท่ี เปน็ ไปได้ ศีล ๕ จงึ สมบูรณด์ ้วยเหตุน้ี โดยรู้จกั เหตปุ จั จยั แห่งสุข-ทกุ ข์ ไม่งมงาย คือ ละสีลัพพตปรามาส ดงั พทุ ธพจน์นี้ “คหบด!ี ในกาลใด ภยั เวร ๕ ประการ อนั อริยสาวกทำ�ให้สงบร�ำ งบั ได้แล้ว ด้วย อริยสาวกประกอบพร้อมแล้วด้วยโสดาปัตติยังคะ ๔ ด้วย อริยญายธรรม เป็นธรรมทีอ่ รยิ สาวกเหน็ แล้วดว้ ยดี แทงตลอดแลว้ ดว้ ยดี ด้วยปัญญาดว้ ย ในกาล นน้ั อรยิ สาวกนั้นเมอื่ หวังอยู่กพ็ ยากรณ์ตนด้วยตนน่นั แหละว่า เราเป็นผมู้ นี รกสิ้น แลว้ มีก�ำ เนดิ เดรัจฉานส้ินแล้ว มเี ปรตวสิ ยั สน้ิ แล้ว มีอบาย ทุคติ วินบิ าตสน้ิ แลว้ เราเปน็ ผู้ถงึ แลว้ ซ่ึงกระแส แห่งนพิ พาน มคี วามไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เปน็ ผู้เท่ยี งแท้ ต่อนพิ พาน มกี ารตรสั รพู้ รอ้ มเบือ้ งหน้า ดังน้ี คหบด!ี ภยั เวร ๕ ประการอันอริยสาวกทำ�ใหส้ งบร�ำ งับได้แล้ว เป็นอย่างไร เลา่ ? คหบดี! บุคคลผู้ฆ่าสัตว์อยู่ปกติย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง ๑๐๙
(ปัจจุบันทันตาเห็น) ในสัมปรายิกบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสทางใจบ้าง เพราะ ปาณาติบาตเปน็ ปจั จยั ผ้เู วน้ ขาดแลว้ จากปาณาติบาต ยอ่ มไมป่ ระสบภยั เวรนนั้ ท้งั ในทิฏฐธรรมและสมั ปรายิกไมต่ อ้ งเสวย ภัยเวรนั้น ย่อมเป็นสิ่งสงบรำ�งับไปทุกข์โทมนัสทางใจด้วย เมื่ออริยสาวก เวน้ ขาดจากปาณาติบาตดว้ ยอาการอยา่ งน้ี (ในกรณแี หง่ การลกั ทรพั ย์ กาเมฯ มุสา และสรุ าฯ ก็ไดต้ รสั ไว้ท�ำ นอง เดยี วกัน) คหบดี! อริยสาวกเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยองค์แห่งการบรรลุซึ่ง โสดาบัน ๔ องค์ อยา่ งไรเล่า ๑. คหบดี ! อรยิ สาวกในกรณนี ้ี เป็นผ้ปู ระกอบพรอ้ มแลว้ ดว้ ยความลื่อม ใสอันหยั่งลงมั่น ในพระพุทธเจ้าว่าฯ เป็นผู้ไกลจากกิเลสฯ (เครื่องเศรา้ หมอง) ๒. เป็นผูป้ ระกอบพร้อมแลว้ ด้วยความเล่ือมใสอันหยัง่ ลงม่ันในพระธรรมฯ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำ�กัดกาลฯ ๓. เปน็ ผูป้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ด้วยความเลื่อมใสอันหย่ังลงมัน่ ในพระสงฆฯ์ เปน็ ผู้ปฏิบตั ิเพือ่ ร้ธู รรมเปน็ เครอื่ งออกจากทุกขแ์ ล้วฯ ๔. เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยศีล เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหาฯ ไม่ถูก ตัณหาและทิฏฐิลูบคลำ� เป็นศีลที่เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ ดังนี้ คหบดี! อรยิ ญายธรรม เป็นธรรมท่อี รยิ สาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแลว้ ดว้ ยดี ดว้ ยปัญญาน้นั เป็นอย่างไรเลา่ ? ๑๑๐
คหบดี! อรยิ สาวกในกรณีน้ี ยอ่ มท�ำ ไว้ในใจโดยแยบคายเปน็ อย่างดี ซง่ึ ปฏจิ จสมปุ บาทนั่นเทยี ว ด่ังน้ีว่า เพราะสิง่ น้มี ี สง่ิ นย้ี ่อมมี เพราะความเกดิ ขน้ึ แหง่ ส่ิงน้ี สิ่งนี้จงึ เกิดมี เพราะสิ่งนีไ้ ม่มี สิ่งน้ยี ่อมไม่มี เพราะความดบั ไปแหง่ สง่ิ นี้ สงิ่ นี้จึงดับไปไดแ้ ก่ส่ิงเหลา่ นี้ คอื เพราะมีอวชิ ชาเป็นปัจจัย จึงมสี งั ขาร เพราะมีสังขารเป็นปจั จัย จงึ มีวิญญาณ เพราะมวี ิญญาณเป็นปจั จยั จงึ มนี ามรปู เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จัย จึงมีอายตนะ เพราะมอี ายตนะเปน็ ปัจจัย จงึ มผี สั สะ เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปจั จัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจยั จงึ มีอุปาทาน เพราะมอี ปุ าทานเป็นปจั จัย จึงมภี พ เพราะมีภพเปน็ ปัจจัย จึงมชี าติ เพราะมีชาตเิ ป็นปจั จยั จงึ มชี รา มรณะ ความโศก ความคร่ำ�ครวญ ทกุ ข์ โทมนสั และความคบั แค้นใจจงึ มพี ร้อม ความเกิดข้ึนแห่งกองทุกข์ทั้งปวงน้ี จึงมีได้ ดว้ ยประการฉะน้ี เพราะอวิชชาสำ�รอกดับไมเ่ หลอื สังขารจึงดบั ฯลฯ ความดบั แห่งกองทุกข์ทง้ั มวลนี้ ยอ่ มมไี ด้ด้วยประการฉะนี้ ๑๑๑
คหบดี! อรยิ ญายธรรมนีแ้ ล เป็นธรรมที่อรยิ สาวกนนั้ เปน็ แลว้ ด้วยดี แทง ตลอดดว้ ยดี ดว้ ยปญั ญา คหบดี! ในกาลใดแล ภัยเวร ๕ ประการเหล่าน้ี เป็นส่งิ ทอี่ ริยสาวกทำ�ให้สงบ รำ�งบั ได้แลว้ ด้วย อรยิ สาวก เปน็ ผปู้ ระกอบพร้อมแลว้ ด้วยโสดาปัตติยังคะ ๔ เหลา่ น้ดี ้วย อรยิ ญายธรรมนี้ เป็นธรรมอนั อรยิ สาวกเหน็ แลว้ ด้วยดี แทงตลอดแลว้ ดว้ ย ดี ดว้ ยปัญญาด้วย ในกาลน้นั อริยสาวกนัน้ ปรารถนาอยู่ ก็พยากรณต์ นดว้ ยตนนน้ั แหละวา่ เรา เป็นผู้มนี รกสิ้นแล้ว มีก�ำ เนิดเดรัจฉานสนิ้ แล้ว มีเปรตวสิ ัยสิน้ แลว้ มอี บาย ทคุ ติ วนิ บิ าตส้ินแลว้ เราเปน็ ผูถ้ ึงแลว้ ซงึ่ กระแส (แหง่ นิพพาน) มคี วามไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เป็น ผู้เท่ยี งแทต้ อ่ นิพพาน มกี ารตรัสรเู้ ป็นเบ้อื งหนา้ ดังน้ี (ทสก.อ. ๒๔/๑๙๕/๙๒) ในเชงิ ปฏบิ ตั ิ ในการปดิ อบายภมู ิ เพราะมสี ติ สขุ ทกุ ข์ ไมไ่ ดม้ าจากผอู้ น่ื หรอื ตนท�ำ ยอ่ มไม ่ แกป้ ญั หาสขุ ทกุ ข์ ดว้ ยการเบยี ดเบยี นตน และผอู้ น่ื จงึ ละกามฉนั ท์ ละพยาบาท คอื ละ นวิ รณ์ ๕ จงึ เกดิ สมาธเิ ขา้ สปู่ รมตั ถสภาวะ ประจกั ษอ์ ยใู่ นสจั จานโุ ลมกิ ญาณในอรยิ สจั ๔ ๑๑๒
เม่อื เปน็ ดงั นี้ ก็พยากรณต์ นเองได้อย่างมั่นใจว่า เราเปน็ ผ้มู นี รกสน้ิ แล้วฯ การเจริญสติ เหน็ ผสั สะทำ�ให้เกดิ สขุ -ทกุ ขเวทนา ไม่ใช่ตน หรอื ผู้ อืน่ ท�ำ ย่อมเกิดสมาธิ และวิปัสสนา เหน็ เป็นกระแสเหตปุ ัจจยั ในขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ไม่ใชส่ ตั ว์ ตวั ตน บคุ คล เรา เขา เม่อื เห็นถูกตอ้ งดังน้ี ย่อมเป็น สมั มาทฏิ ฐิทเ่ี ปน็ โลกุตระ ปิดกัน้ เจตนารา้ ย ศีลจึงสมบรู ณ์ ความสัมพันธข์ อง การละสงั โยชน์ ๓ จึงเกิดข้นึ อย่างสัมพันธ์กันจากการเหน็ เหตุปัจจยั ในกระแส ปฏิจจสมปุ บาท ผู้ปฏิบัติเห็นปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่ “คน” จึงละสักกายทิฏฐิ คือ ละความเห็นผิดว่าขันธ์ เป็นตัวตน เพราะเห็นเป็นกระแสเหตุปัจจัย หรือ เป็นเพียงคลื่นพลังงานตรงหน้าของสมาธิ จนเป็นวิปัสสนาญาณ ปัญญา ประจกั ษถ์ ึงสภาวะท่ไี ร้ชื่อ ไร้สมมติบญั ญตั ิ ผู้ปฏิบัติเข้าใจเหตุปัจจัยในปฏิจจสมุปบาท จึงหายสงสัยในธรรม ละวจิ ิกิจฉา คือละความสงสยั ในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆด์ งั กลา่ ว ผู้ปฏบิ ัติเขา้ ใจว่าสขุ ทุกขไ์ ม่ใชม่ าจากผู้อื่น ไม่ใช่มาจากเราท�ำ จึงไม่ เบยี ดเบียนตนและผู้อื่น ละสลี พั พตปรามาส หากไม่ผิดศีล ๕ กย็ ่อมพยากรณ์ ในการปิดอบายภูมิ ไม่งมงายว่ามาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือมีผู้ดลบนั ดาล แต ่ รจู้ กั เหตปุ จั จยั ของสง่ิ นน้ั ๆ เพราะเหน็ กระแสปฏจิ จสมปุ บาทรจู้ กั กรรมภพ คอื การเขา้ ไปอาศัยอยู่ในเจตนาใดยอ่ มสง่ ผลสู่ ชาติ คือตระหนกั ถงึ ความรสู้ ึก ในขันธ์ ๕ จากเจตนาดีรา้ ยเหลา่ นั้น หากไม่มีเจตนารา้ ยแลว้ อบายภูมยิ อ่ ม ถูกปดิ ไปดงั น้ี โดยไม่ตอ้ งมาหว่ันวิตกว่าใครจะพยากรณ์การปิดอบายภูมิให้ ๑๑๓
เพราะเหน็ เหตุปจั จยั ด้วยตนเอง โดยไมต่ อ้ งเชอ่ื ผอู้ น่ื วา่ เพราะสง่ิ น้ี ๆ มี สง่ิ น้ี ๆ จงึ มี เพราะสง่ิ น้ี ๆ ดบั สง่ิ น้ี ๆ จึงดบั เปน็ การเหน็ ความเกดิ -ดบั ในวปิ สั สนาญาณ จงึ มปี ญั ญาช�ำ แรกกเิ ลส เทย่ี งตรงตอ่ พระนิพพานด้วยเหตุน้ี ๑๑๔
๑๕.ฉลาดผ่องใสไมม่ เีวร
แสงอรุโณทัยทาทาบละอองรุ้งบนยอดหญ้าที่ประดับด้วยมาลัย แหง่ น้ำ�ค้าง ทอแสงประกายระยิบระยบั หอมสายลมแห่งรงุ่ อรณุ ทโ่ี ชยแผ่ว เบา ๆ คลกุ เคลา้ กบั เสยี งเบา ๆ ของนกรอ้ งอยรู่ อบตวั ปกี หลากสสี นั โผบนิ ลอด เขา้ ไปตามกง่ิ ไม้ ดงั่ งานเล้ยี งต้อนรับวนั ใหม่ หนทางแห่งสติสัมปชัญญะที่เข้าใจกระแสเหตุปัจจัยเป็นวันใหม่ของ ชีวิตอันงดงามด้วยปัญญา เมื่อเข้าใจชัดว่าสุข-ทุกข์เป็นเพียงผัสสะจากเหตุ ปจั จยั ภายนอกกระทบอายตนะภายในกลายเปน็ การรบั รู้ รวมกนั เปน็ ผสั สะสง่ ผลสู่เวทนา จึงเห็นความจริงชัดว่าสุข-ทุกข์ไม่ใช่คนอื่นทำ� ไม่ใช่มาจากเรา ทำ� แม้ตัวแปรจะเป็นธรรมารมณ์ที่นึกคิดปรุงแต่งกระทบใจ ทำ�ให้เกิดมโน วิญญาณ เปน็ ผสั สะสู่สขุ -ทุกขท์ างใจ กไ็ มใ่ ช่เรา แต่เกิดจากความฉลาดทีใ่ ช้ เหตปุ จั จยั อยา่ งไมก่ อ่ ทกุ ขใ์ จ ไมห่ ลงไปในอวชิ ชาทไ่ี มร่ จู้ กั ความจรงิ ของขนั ธ์ ๕ ทเ่ี กดิ - ดบั การไม่เผลอคิดว่าทุกข์มาจากผู้อื่นทำ� เป็นการยุติบทบาทความ พยาบาทและการโกรธเกลียด รวมถึงการไม่โตต้ อบด้วยเจตนารา้ ยทางกาย วาจา ใจ เม่อื ประจักษ์อยแู่ กใ่ จว่าเขาไม่ใช่ตน้ เหตแุ หง่ ทุกข์ ท�ำ ใหฉ้ ลาดในการ เข้าใจเรื่องศีล ๕ ที่ไม่แก้ปัญหาด้วยการฆ่า ไม่ปล้นชิง ไม่ผิดข้อกาเม ไม่ โกหก และไมแ่ กป้ ญั หาดว้ ยของมนึ เมา ท�ำ ใหไ้ ดร้ บั ความสขุ ใจจากเจตนาดี ผู้ มอี ารมณ์ดยี ่อมมีใบหน้าผอ่ งใสคือ ปญุ ญาภิสงั ขาร (คดิ ด)ี ---> วิญญาณ ---> นามรูป มคี วามสุขใบหนา้ ผอ่ งใส ดงั พุทธพจน์ ภกิ ษุ ท.! บคุ คลในกรณนี ้ี ละปาณาตบิ าต เวน้ ขาดจากปาณาตบิ าต วาง ทอ่ นไม้ วางศสั ตรา มคี วามละอาย มคี วามเอน็ ดกู รณุ าเกอ้ื กลู แกส่ ตั วท์ ง้ั หลาย เขาไม่ กระเสอื กกระสนดว้ ยกาย ไมก่ ระเสอื กกระสนดว้ ยวาจา ไมก่ ระเสอื กกระสนดว้ ยใจ ๑๑๖
กายกรรมของเขาตรง วจกี รรมของเขาตรง มโนกรรมของเขาตรง คตขิ อง เขาตรง อปุ บตั ิของเขาตรง ภกิ ษุ ท.! สำ�หรบั ผ้มู ีคตติ รง มอี ุปบตั ิตรงนั้น เรากลา่ วคติอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ในบรรดาคติสองอยา่ งแก่เขา คือเหลา่ สัตวผ์ มู้ สี ุขโดยสว่ นเดยี วหรือว่าตระกูลอัน สงู ตระกลู ขตั ติยมหาศาล ตระกูลพราหมณม์ หาศาล หรือตระกูลคหบดมี หาศาล อนั มน่ั คง มที รพั ยม์ าก มโี ภคะมาก มที องและเงนิ มาก มอี ปุ กรณแ์ หง่ ทรพั ยม์ าก ฯ (ในกรณขี องการไม่ลกั ทรัพย์ และไม่ผดิ กาเม และวจีสจุ ริต มโนสจุ รติ ตรสั แบบ เดยี วกัน) (ทสก. อ.ิ ๒๔/๓๑๑/๑๙๓) ภิกษุ ท.! อรยิ สาวกในกรณีนี้ ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาตบิ าตฯ ย่อมชื่อว่าให้อภัยทาน อเวรทาน อัพยาปัชฌทาน แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มี ประมาณฯ ยอ่ มเปน็ สว่ นแห่งความไม่มภี ัย ไมม่ ีเวร ไม่มีความเบยี ดเบียน อนั ไมม่ ี ประมาณฯ รจู้ กั กนั วา่ เปน็ ของเลิศ เป็นของมีมานาน เปน็ ของประพฤตสิ บื กันมาแต่ โบราณ ไมเ่ คยถกู ทอดทิ้งในอดตี ไม่ถกู ทอดท้งิ อยูใ่ นปจั จบุ ัน และจักไมถ่ ูกทอดทง้ิ ในอนาคต อันสมณพราหมณ์ผู้รไู้ ม่คัดคา้ น ภกิ ษุ ท.! ขอ้ นีเ้ ปน็ ทอ่ ธารแห่งบญุ เป็น ทีไ่ หลออกแหง่ กศุ ล น�ำ มาซึ่งสุขเปน็ ไปเพื่อยอดสดุ อนั ดี มสี ุขเป็นวบิ ากเป็นไปเพอ่ื สวรรค์ เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขอันพึงปรารถนา น่ารักใคร่ น่า พอใจ (ในกรณีนีจ้ ัดเปน็ ทานชัน้ ปฐม สว่ นการไมล่ กั ทรัพยจ์ ัดเปน็ ทานอนั ดับท่สี อง และขอ้ กาเมจัดเปน็ ทานอันดับสาม ตรสั อยา่ งเดยี วกัน) (อฎฐก.อ. ๒๓/๒๕๐/๐๒๙) ๑๑๗
ในพุทธพจน์เบื้องต้นท�ำ ใหเ้ ห็นกระแสเหตุปัจจยั ทใี่ หค้ วามสขุ โดยไม่ ก่อเจตนาร้าย จากการเห็นถูกว่าทุกข์ไม่ได้มาจากคนอื่นทำ� จึงเป็นเหตุให้ ละการประทุษร้ายดังกล่าว ศีลจึงสมบูรณ์หรือรู้จุดมุ่งหมายของศีล ละ สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันจงึ ละธรรม ๖ อยา่ ง ๑. ละสักกายทฏิ ฐิ ละความเห็นผดิ ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน ๒. ละวจิ กิ ิจฉา ละความสงสยั ในข้อปฏบิ ตั เิ พ่ือดบั ทกุ ข์ ละความ สงสัยใน (๑) พระพุทธ (๒) พระธรรม (๓) พระสงฆ์ และข้อท่ี (๔) ทีร่ ู้จัก จดุ มงุ่ หมายของศีล ทล่ี ะภยั เวร ๕ ประการ ดังกลา่ วจึงทำ�ให้ ๓. ละสลี พั พตปรามาส ละความงมงายแต่รจู้ ดุ ม่งุ หมายของศีล ๔. ละราคะ ทีค่ วรแก่การไปอบายภมู ิ ๕. ละโทสะ ทคี่ วรแก่การไปอบายภูมิ ๖. ละโมหะ ทคี่ วรแก่การไปอบายภมู ิ (อกุ ก.จํ. ๒๒/๔๘๗/๓๖๐) ซง่ึ พระโสดาบนั ปดิ อบายภมู ดิ ว้ ยเหตปุ จั จยั ดงั กลา่ ว ดว้ ยการไมห่ ลงคดิ วา่ สขุ -ทุกขม์ าจาก คนอืน่ ทำ�หรอื ไมห่ ลงคดิ ว่าสุข-ทุกขม์ าจากเรา ท�ำ เอง เพราะเหน็ ถูกว่าขนั ธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตน พระโสดาบันมี ๓ ประเภท คือ (๑) เอกพีชี เกิดอกี ครั้งเดยี ว (๒) โกลังโกละ เกดิ อกี ๑๑๘
๒-๓ ครั้ง (๓) สตั ตกั ขตั ตุปรมะ เกดิ อีก ๗ ครั้งเปน็ อย่างมาก ดงั พทุ ธพจนน์ ้ี ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษใุ นกรณีนี้ เป็นผทู้ ำ�ใหบ้ รบิ ูรณใ์ นศีล ท�ำ พอประมาณในสมาธิ ทำ�พอประมาณในปัญญาฯ เพราะความสิ้นไปรอบแหง่ สังโยชน์ ๓ เปน็ โสดาบัน เปน็ ผู้มีอนั ไมต่ กต�ำ่ เป็นธรรมดา เปน็ ผู้เท่ยี งต่อพระนิพพาน มีการตรัสรูพ้ ร้อมในเบอ้ื ง หนา้ ภกิ ษนุ น้ั เพราะความสน้ิ ไปรอบแหง่ สงั โยชน์ ๓ เปน็ ผสู้ ตั ตกั ขตั ตปุ รมะ ยังตอ้ ง ท่องเทย่ี วไปในภพแห่งเทวดาและมนษุ ยอ์ กี ๗ ครั้งเป็นอยา่ งมาก แลว้ ยอ่ มกระท�ำ ที่สดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ (ทอ่ งเทีย่ วไปสูส่ กลุ ๒-๓ คร้งั บ้าง จักเกดิ ในภพแห่งมนษุ ย์หนเดยี ว บ้าง) (ตํก.อ.ํ ๒๐/๒๙๗/๕๒๖) ภกิ ษุ ท.! อานสิ งสแ์ ห่งการทำ�ให้แจง้ ซึง่ โสดาปัตติผล ๖ อยา่ ง เหลา่ น้ี มอี ยู่ คอื ๑. เป็นผเู้ ทยี่ งแท้ตอ่ สทั ธรรม (คือรู้อบุ ายในการออกจากทุกข์ ลงมือ ปฏิบัตแิ ละเทย่ี งแทต้ ่อผลลัพธ)์ ๒. เป็นผมู้ ีธรรมอันไม่รู้เสือ่ ม (คือความเข้าใจเหตุปจั จยั ใน ปฏิจจสมุปบาท) ๓. ทกุ ขด์ บั ไปทุกขัน้ ตอนแห่งการกระทำ�ท่ีกระทำ�แล้ว (ความไมค่ งท่ี) ๔. เป็นผปู้ ระกอบดว้ ยอสาธารณญาณ (ไมใ่ ชส่ ่งิ ทปี่ ุถุชนทัว่ ไปเห็นคอื ปฏจิ จสมปุ บาทเป็นกระแสเหตุปจั จัยไมใ่ ช่ “คน”) ๕. เป็นผู้เห็นธรรมทเี่ ปน็ เหตุ และ ๑๑๙
๖. เห็นธรรมทง้ั หลาย ท่ีเกิดมาแต่หตุ (ฉกก.อ.ํ ๒๒/๔๙๐/๓๖๘) ในเชงิ ปฏบิ ตั ิ การเจรญิ สตไิ มห่ ลงเอาวจีสังขารภายนอก มาปรงุ แต่งวจีสงั ขารภายใน หรือไม่หลงเอากายสังขารภายนอกมาปรุง แต่งโต้ตอบด้วยการกระทำ�เป็นกายสังขารภายใน เห็นธรรมทั้งหลายเกิด แต่เหตุ และเหน็ เหตแุ หง่ ธรรมน้นั เชน่ การตามดูกายในกาย เห็นกระแสเหตุ ปัจจัยของกายที่เกิดมาจากธาตุ ๔ ที่ไมใ่ ช่ตวั ตน หรอื ตามดเู วทนาในเวทนา เห็นเวทนาเกิดมาจากผัสสะที่ไม่ใช่ตัวตน หรือตามดูจิตในจิตเห็นราคะเกิด จากการไม่รู้จักสุขเวทนา ว่าไม่ใช่ตัวตน และเห็นโทสะเกิดจากการไม่รู้จัก ทกุ ขเวทนาวา่ ไมใ่ ชต่ วั ตน เมื่อรูจ้ ักสขุ -ทกุ ขเวทนา วา่ ไมใ่ ช่ตวั ตน ราคะ โทสะก็ดับไป อาการ ของจติ ยอ่ มไมใ่ ชต่ วั ตน จนถงึ การตามดธู รรมในธรรมคอื นวิ รณ์ ๕ ในขนั ธ์ ๕ และอายตนะ ๖ ทีเ่ หน็ ธรรมทั้งหลายเกดิ แตเ่ หตุ และเหน็ เหตุแห่งธรรมนนั้ การเห็นในสมาธิน้ีไม่ใช่การคิดเอาแต่ประจักษ์ถึงสภาวะท่ีเป็นปรมัตถ์ด้วย วิปัสสนาญาณ จึงทำ�ใหล้ ะสักกายทิฏฐคิ อื ละความเหน็ ผิดวา่ ขันธ์ ๕ เป็นตัวตน ละ วจิ กิ ิจฉา (หายสงสยั ) และละสลี ัพพตปรามาสได้ จากการเห็นธรรมทัง้ หลายเกดิ แต่เหตแุ ละเหน็ เหตุแห่งธรรมน้ัน ปัญญาจากการเจริญสมาธิ และวปิ สั สนาญาณจะเกดิ ผลลัพธ์เปน็ ความกระจา่ งด้วยตนเอง ๑๒๐
ในเชิงปฏิบัติ การละราคะ โทสะ โมหะ ทส่ี มควรแกก่ ารไปอบายนน้ั จะเหน็ ตวั อยา่ ง จากนางวิสาขาท่เี ปน็ พระโสดาบนั แตก่ ย็ ังมีครอบครัวแต่ไมผ่ ดิ ศลี ๕ ส่วน เหตุทพ่ี ระโสดาบันยงั ตอ้ งมาเกิดอกี ๑ ชาติ ๒-๓ ชาติ หรือ ๗ ชาติบ้าง โดยท่เี กิดในสุคตภิ มู มิ รี ปู สวย เป็นนางฟ้า เทวดา หรอื ร่ำ�รวย กเ็ พราะเม่อื ไม่มีเจตนาร้าย มเี จตนาดอี ารมณ์ยอ่ มดีมคี วามสขุ หน้าตาย่อมผอ่ งใส ซึ่งสามารถเห็นได้จากการปฏิบัติในปัจจุบันขณะนี้ และสามารถเห็น ความยินดีพอใจในความสุขอันประณีต คือปุญญาภิสังขาร เหตุนั้นทำ�ให้ พระโสดาบันกลับมาเกิดจนกระจ่างชัดในความสุขจากปญุ ญาภสิ งั ขาร ส่วน การละอปญุ ญาภสิ ังขาร ย่อมท�ำ ให้มีศกั ยภาพพอด้วยจิตทีป่ ลอดโปรง่ ไม่ถูก ครอบงำ�ดว้ ยอบาย จติ ท่มี ศี ลี ไร้ความกังวลย่อมมปี ราโมทย์ - ปติ ิ - ปัสสัทธิ - สขุ สดใสดว้ ยสมาธิ ปลอดโปร่งด้วยปญั ญาในปฏจิ จสมปุ บาทที่ชดั เจนถงึ สภาวะแท้เห็นขันธ์ ๕ ไม่ใช่ “คน” แตเ่ ปน็ ปรมัตถ์ล้วน ๆ จงึ เกดิ นพิ พิทา – วิราคะ – วมิ ุตตญิ าณทัสสนะ ยอ่ มเปน็ ผูเ้ ที่ยงแท้ต่อนิพพาน คอื เม่อื อปุ าทาน ดับ ภพ – ชาตยิ อ่ มดับในที่สดุ ๑๒๑
๑๖. ฉลาดละอปุ าทาน
ฉันนั่งอยู่บนโขดหินข้างแอ่งน้ำ�ตกกลางป่า ที่มีลูกแมวน้ำ�ดำ�ผุด ดำ� ว่ายอยู่ ธารน้ำ�ตกในขุนเขาลดั เลาะไหลลงสู่ท้องทะเล แตก่ ลับเปน็ หนทางให้ แม่แมวน้ำ� ทวนยอ้ นกลบั เข้าไปในแอ่งน้ำ�ตกกลางปา่ เพ่อื คลอดลูก และซ่อน ไว้ในหบุ เขา ทีม่ แี อง่ น้ำ�อันปลอดภัย ลูกของมันด�ำ ผดุ ด�ำ ว่ายอยา่ งเบิกบาน ขณะท่ีทกุ วนั แม่แมวน้ำ�จะน�ำ อาหารจากท้องทะเล มาป้อนใหล้ กู นอ้ ย จนกว่า จะโตพอ จึงพาออกไปมหาสมุทรใหญ่ เมื่อลัดเลาะลงมาตามลำ�ธารจนถึงชายหาด มีแมวน้ำ�หลายตัวนอน อยู่ ดูกลมกลืนเหมอื นก้อนหนิ คงเป็นเพราะขนละเอยี ดบนชนั้ ไขมนั ท่หี นา ทำ�ให้กันความหนาว และรา้ นค้าจงึ นำ�มาท�ำ เป็นเส้อื กนั หนาว การแกป้ ัญหาจากทุกขเ์ พื่อหาสขุ ล้วนมีวิธีท่ีต่างกนั ออกไป การเขา้ ใจ ท่มี าของสขุ -ทกุ ขว์ า่ ไมใ่ ชม่ าจากผอู้ น่ื ท�ำ แตส่ ขุ -ทกุ ขท์ ง้ั หลายลว้ นเกดิ จาก ผัสสะ ซึ่งมีอายตนะภายในภายนอกกระทบกัน เรียกว่าผัสสะ เป็น ปัจจัยทำ�ให้เกิดเวทนา เพราะเกิดสุข-ทุกข์ (เวทนา) จึงเกิดความรู้สึก ปรารถนาอยากได้สขุ และปรารถนาพน้ ทกุ ข์ (ตณั หา) เม่อื ไม่รู้จกั เวทนาวา่ เปน็ เพยี งกระแสเหตปุ จั จยั เหลา่ นน้ั ไมย่ อมปลอ่ ยตณั หา หลงยดึ วา่ เปน็ ตวั เปน็ ตน (อปุ าทาน) จึงลงมือกอ่ พฤตกิ รรมด้วยเจตนาดรี ้าย กอ่ กรรม (ภพ) ความ ตระหนกั ถงึ สง่ิ ทท่ี �ำ ลงไปเกดิ ผลเปน็ ขนั ธ์ ๕ นน้ั ๆ (ชาต)ิ และความเสอ่ื มไปของ สิง่ ท่ไี ดร้ บั เป็นความคร่ำ�ครวญ คับแค้นใจ เป็นอาหารหล่อเลี้ยง อวิชชา หลงว่าขันธ์ ๕ เป็นเรา จงึ ปรุงแต่งความคดิ ทางดรี า้ ย (สังขาร) ทำ�ให้เกิด (วิญญาณ) รบั รู้ และสง่ ผลสบู่ คุ ลกิ ภาพ (นาม รปู ) ส่งผลสู่การแสวงหาทาง อายตนะ กระทบกันเป็นผัสสะ ---> เวทนา ---> ตัณหา ---> อุปาทาน ---> ภพ ---> ชาติ ๑๒๓
ปฏกิ ริ ิยาท่ไี หลวนจากความรู้สกึ ท่ีทำ�ลงไป ผลของการรับร้ถู งึ ส่ิงที่ ทำ�ลงไปนั้น คดิ ค�ำ นงึ ถึงสิ่งนนั้ จดจำ�ในส่งิ น้ัน กระบวนการท้ัง ๕ ดังกล่าว จงึ ถกู เรียกว่า ชาติ คือการส�ำ นึกแหง่ ตวั ตนอนั พรา่ เลอื นดว้ ยองคป์ ระกอบ ท้ัง ๕ ข้างตน้ ทร่ี วมกันเรยี กว่า ขันธ์ ๕ เพราะขันธ์ ๕ อนั อาศัยเหตปุ ัจจยั เกิดขน้ึ เกดิ จากสง่ิ ทแ่ี ปรปรวนเปน็ ท่รี วมของความแปรปรวนอนั มเี งอื่ นไข มากมายซงึ่ ไม่คงท่ี อยใู่ นสภาพเดิมไม่ได้แมส้ ักขณะ จึงน�ำ มาซึง่ ความร่วง โรยเปน็ อ่ืนคอื ชรา มรณะ ความโศก ความคร่ำ�ครวญรำ�พนั ความทุกข์กาย ความทุกขใ์ จ ความคบั แคน้ ใจทัง้ หลายจงึ พว่ งตามมา และส่งผลสอู่ วชิ ชาไมร่ ู้ ทมี่ าของสขุ ทุกข์ ปรงุ แตง่ ดรี ้ายในการแก้ปัญหาหมนุ วนอยูเ่ ช่นนัน้ การมีสติปัญญาเห็นเป็นกระแสเหตุปัจจัยดังกล่าวเป็นอณู โดยเป็น ปรมตั ถไ์ มใ่ ชส่ มมติ ไมม่ ีอัตตาตัวตนของใคร อยใู่ นคลน่ื พลังงานเหล่าน้นั คอื ไมใ่ ช่ “คน” ท่ีเป็นตัวตนถาวรในสมมตแิ ต่อย่างใด แต่เปน็ สภาวธรรมท่อี าศยั กนั เกิดข้ึน และดบั ไปตามเหตปุ จั จัยน้นั ๆ ดังนั้น การละอุปาทานหรือละความยึดมั่นว่าเป็นตัวตน ย่อมเกิด จากการเจรญิ สติ มสี มาธิ และมปี ญั ญาในวปิ สั สนาที่เป็นปรมตั ถ์อนั ตา่ งจาก สมมติ ไม่หลงเนอื้ หาบญั ญตั ิ แต่ใช้ความร้สู ึก รู้ชัดไปทตี่ ัวสภาวะไม่ใชก่ าร จนิ ตนาการหรอื คดิ เดาเอา แตเ่ ขา้ ไปประจกั ษถ์ งึ สภาวะเหลา่ นน้ั จนหายสงสยั ละความสงสัยในชีวิต เห็นเป็นองค์ประกอบของขันธ์ ๕ อายตนะ ผสั สะ ส่ง ผลสูส่ ุข ทุกข์ เวทนาฯ การเหน็ สุข-ทุกขเวทนาไมใ่ ชเ่ ราจึงสามารถละอุปาทาน “ภกิ ษุ ท.! ก็ธรรมเป็นไปเพอื่ รอบรู้ซง่ึ อุปาทานทัง้ ปวงเป็นอยา่ งไรเลา่ ? เพราะอาศัยซ่งึ ตาด้วย ซ่งึ รปู ท้ังหลายด้วย ซง่ึ จักขวุ ิญญาณ การประจวบ พร้อมแห่งธรรม ๓ ประการนน่ั แหละ คอื ผสั สะ เพราะผัสสะเป็นปจั จยั จงึ มเี วทนา ๑๒๔
ภิกษุ ท.! อรยิ สาวกผ้มู ีการสดบั แล้ว เหน็ อยอู่ ยา่ งน้ี ๑. ยอ่ มเบอื่ หน่ายแมใ้ นตา ๒. ยอ่ มเบอื่ หนา่ ยแม้ในรูปท้ังหลาย ๓. ย่อมเบอื่ หนา่ ยแมใ้ นจกั ขุวญิ ญาณ ๔. ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแม้ในจกั ขุสมั ผสั ๕. ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นเวทนา เมอ่ื เบ่อื หน่ายย่อมคลายกำ�หนัด เพราะคลายก�ำ หนดั ย่อมหลดุ พ้น อรยิ สาวกย่อมรชู้ ดั ว่า “อปุ าทาน” เป็นสิ่งท่เี รารอบรู้แล้วเพือ่ ความหลุดพน้ ดังนี้ (หู-เสียง จมกู -กล่นิ ลิน้ -รส กาย-สัมผัสกาย) ภิกษุ ท.! เพราะอาศัยซึง่ ใจดว้ ย ซึง่ ธรรมารมณ์ท้ังหลายจึงเกิด มโนวิญญาณ การประจวบพร้อมแหง่ ธรรม ๓ ประการ นน่ั คือ ผสั สะ เพราะผัสสะเป็นปัจจยั จงึ มเี วทนาฯ (ตรัสถึงอายตนะ ๖ เหมอื นกับ ตา-รูป ทกุ ประการ) (สฬา.สํ.๑๘/๓๙/๖๓) ๑๒๕
การเจริญสตกิ บั ชีวติ ประจ�ำ วันยอ่ ม ร้ชู ดั เหตุปจั จยั ทีท่ �ำ ใหเ้ กดิ สขุ -ทุกขเวทนา อนั มาจากผสั สะทางอายตนะ ๖ ภายในกับภายนอกทำ�ใหเ้ กดิ วิญญาณ การมสี มาธิและ วปิ สั สนาเหน็ สขุ -ทุกข์เปน็ กระแสเหตปุ ัจจัยเชน่ นี้ ย่อมละ ความเห็นผดิ ว่าสุข-ทุกขม์ าจากคนอ่นื ท�ำ และละความเห็นผดิ วา่ สขุ -ทกุ ขม์ าจากเราท�ำ ยอ่ มท�ำ ใหล้ ะสกั กายทฏิ ฐิ คอื ละความเหน็ ผดิ วา่ เวทนาเป็นตัวตน ซ่ึงเวทนาอนั เกิดจากรูปกระทบกัน รูปจึงไมใ่ ชต่ ัวตน, แม้แต่ สญั ญาทเ่ี กิดจากผัสสะและสงั ขารทีเ่ กดิ จากผัสสะ และวิญญาณทเ่ี กดิ จากนาม รูป ส่งิ เหลา่ น้ลี ว้ นเห็นเปน็ กระแสเหตุปจั จยั ท่ีอาศัยกันเกิดขึ้น ดังน้ัน เมื่อเห็นเวทนาไม่ใช่ตัวตน จงึ ละความอยากได้ในเวทนา ตณั หาจงึ ถกู ละ อปุ าทานยดึ มน่ั กบั ตณั หาแลว้ ไมย่ อมปลอ่ ย เมอ่ื ตณั หาถูก ละ อปุ าทานจงึ ถกู ละไปดว้ ย เพราะการมีปญั ญาเหน็ กระแสเหตุ ปัจจยั ดังกล่าว อปุ าทาน ๔ คือ ๑. กามุปาทาน ยดึ มัน่ ยินดใี นรูป รส กล่นิ เสียง ๒. ทิฏฐปุ าทาน ยดึ มน่ั ในความคดิ ๓. สลี พั พตุปาทาน ยึดมั่นในศลี พรตกฎกตกิ าอย่างงมงาย ๔. อัตตวาทปุ าทาน ยดึ มั่นในวาทะว่าขันธ ๕ เป็นตัวตน อุปาทาน ๔ เหล่าน้ีล้วนเกดิ จากอปุ าทานขันธ์ ๕ คอื มคี วามยนิ ดี พอใจในรปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความยินดีพอใจนน้ั จึงกลายเป็น เครอื่ งรอ้ ยรดั เปน็ สังโยชนไ์ ปด้วยกัน ๑๒๖
ดงั พทุ ธพจน์น้ี ภกิ ษุ ท.! เราจักแสดงสิ่งซงึ่ เป็นทีต่ ั้งแห่ง อุปาทานและตัวอปุ าทาน พวกเธอทง้ั หลาย จงฟังขอ้ น้ัน ภกิ ษุ ท.! รูปกายเปน็ สง่ิ ทซ่ี ่งึ เป็นท่ีตงั้ แหง่ อุปาทาน ฉันทราคะ (ความกำ�หนัดเพราะพอใจ) เข้าไปมีอยู่ในรูปนั้น ฉันทราคะ นั้น น่ันคอื ตวั อุปาทานในรูปน้นั ในเวทนากก็ ลา่ วเช่นเดียวกัน คือ ฉันทราคะ คือตัวอุปาทานในเวทนาน้นั (ในสัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ทรงตรัสเชน่ เดยี วกนั ) (ขนช.ส.ํ ๑๗/๒๐๒/๑๙๐) จะเห็นได้ว่าฉันทราคะนั่นเองคือตัวอุปาทาน ซึ่งความใคร่พอใจ หรือกำ�หนัดพอใจในสิ่งนั้น อาการของความกำ�หนัด มีสภาวะเป็นความ อดึ อัด ไมโ่ ปรง่ โลง่ จงึ เรยี กวา่ อปุ าทาน คือความยึดม่ัน แมใ้ นสัญโญชน์ ก็ ทรงตรสั เช่นเดยี วกนั ต่างจากคำ�ว่า อุปาทานเปน็ สัญโญชน์อนั เปน็ เคร่ือง ร้อยรัดดงั น้ี ภิกษุ ท.! เราจักแสดงส่งิ ซง่ึ เปน็ ท่ีตั้งแห่งสญั โญชนแ์ ละตวั สัญโญชน์ พวกเธอทงั้ หลายจงฟังดงั นัน้ ภิกษุ ท.! รูปกาย เปน็ ส่ิงซึง่ เป็นทตี่ ง้ั แห่งสัญโญชน์ ฉันทราคะได้เข้าไปมีอยู่ในรูปนั้น ฉันทราคะนั้นคือตัวสัญโญชน์ในรูปนั้น (เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณตรัสแบบเดยี วกนั ) (ขนช.สํ.๑๗/๒๐๒/๓๐๘) ๑๒๗
ในสว่ นของอายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ ทรงตรสั ถงึ อุปาทานิยธรรม หรืออปุ าทานในอายตนะภายใน ๖ (๑๘/๑๐/๑๖๐) อุปาทานในอายตนะภายนอก ๖ (๑๘/๑๓๖/๑๙๐) ทรงตรัสถึงอุปาทาน ดว้ ยฉนั ทราคะ ในส่วนแห่งสัญโญชนิยธรรมคือสัญโญชน์ในอายนตะภายใน ๖ (๑๘/๑๑๐/๑๕๙)และสญั โญชนใ์ นอายตนะภานนอก๖ (๑๘/๑๓๕/๑๘๙) ตรสั ในความหมายและลกั ษณะแหง่ การรอ้ ยรดั ดว้ ยฉนั ทราคะ คอื ความก�ำ หนดั ด้วยความพอใจเชน่ เดียวกนั จะเหน็ ไดว้ า่ อบุ ายเครอ่ื งออกจากอปุ าทาน และสญั โญชนก์ ค็ อื การละ ฉนั ทราคะ ในส่ิงเหล่านั้น เพราะร้จู กั เหตเุ กดิ ขนึ้ และดบั ไปของขนั ธ์ ๕ และ อายตนะ ๖ เหลา่ น้ันว่าเป็นเพียงกระแสเหตุ ปจั จยั คอื มสี ตเิ หน็ ลกั ษณะและตวั สภาวธรรม ไมห่ ลงในเนอ้ื หาสมมติ จงึ ละความงมงาย มคี วามละอายใจท่จี ะยดึ ม่ันกับสิ่งของในโลก อันไม่รูเ้ รื่องด้วย คือโลกไม่ใช่กเิ ลส คือมคี วามเท่ียงแท้ตอ่ สทั ธรรมที่เป็นความจรงิ และปฏิบัตใิ ห้เห็นความจรงิ จนหลุดพน้ จากทุกข์ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสถึงพระโสดาบันที่รู้จักการเกิด – ดับ ของ ขนั ธ์ ๕ และอายตนะ ๖ โดยรู้จกั อบุ ายเคร่อื งออกจากอุปาทานขนั ธ์ ๕ และ อายตนะ ๖ ส่วนพระอรหันต์ละอปุ าทานขนั ธ์ ๕ คือหลุดพ้นเพราะไมย่ ดึ มัน่ แม้ในอายตนะ ๖ ๑๒๘
ในเชิงปฏิบตั ิ ผู้ปฏิบตั ยิ งั คงเร่มิ ต้นด้วยการเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ เหมือนเดิมดว้ ยการ สงั เกตลักษณะทีเ่ กดิ – ดบั ของกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจติ ธรรม ในธรรม เม่อื เหน็ เปน็ สภาวธรรมทเ่ี กดิ – ดับ ไมใ่ ชต่ วั ตนย่อมเบอื่ หนา่ ยในการ คลกุ คลีกบั การปรุงแตง่ ต่าง ๆ ทางกายสังขาร วจีสงั ขาร มโนสังขาร ไม่หลง เอาสงั ขารภายนอกมาถูกหลอกใหป้ รงุ สงั ขารภายใน แต่มีสติเห็นจติ ในจติ รู้ วา่ สงั ขารท้งั หลายไม่ใชต่ วั ตน แมใ้ นขณะเจริญสตริ ะหวา่ งสนทนาจะพบวา่ วจีสังขารทีป่ รุงแต่งกัน ไปมาลว้ นน่าเบื่อหน่าย แม้ในมโนสงั ขารทป่ี รงุ แต่งธรรมารมณ์กระทบกับใจ ทำ�ให้เกิดมโนวญิ ญาณ ความเบอ่ื หนา่ ยในกายสงั ขาร วจสี งั ขาร มโนสงั ขาร ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ย ทจ่ี ะยึดมนั่ กบั เวทนาอนั อาศัยผสั สะทไี่ มม่ ตี ัวตนเหล่านั้น การเจริญสตทิ ีฉ่ ลาด ย่อมเกิดสมาธิ และวิปัสสนาญาณไปในตัว คือเห็นโทษภัยในสังขารเป็น อาทีนวญาณจึงเกิดนพิ พทิ าญาณ เมอ่ื เบอื่ หน่ายยอ่ มคลายกำ�หนัดเปน็ กลาง ต่อสังขารคือ สังขารุเปกขาญาณ เพราะคลายกำ�หนัดย่อมหลุดพ้น คือ สติสัมปชญั ญะ ---> หิริ โอตตปั ปะ ---> อนิ ทรียสังวร ---> ศลี ---> สมาธิ ---> ปฏจิ จสมปุ บาท ---> นพิ พทิ า วริ าคะ ---> วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ในการปฏิบตั ิเจรญิ สติ รจู้ กั สขุ -ทกุ ขเวทนา มาจากผสั สะทางอายตนะ ดงั กลา่ ว โดยเหน็ อายตนะในลกั ษณะปรมตั ถท์ เ่ี ปน็ สภาวธรรมจงึ ละอปุ าทานที่ จะยดึ ม่นั ในอายตนะ และขนั ธ์ ๕ อนั ไมใ่ ช่ตัวตนเหล่านัน้ เพราะหากยังขาด สตเิ ผลอเพลนิ ยึดม่นั ในอายตนะท่ไี ม่ใช่ตวั ตน เม่อื ผสั สะนั้นแปรปรวนย่อมเป็น ๑๒๙
ทกุ ข์เพราะความยึดม่ันน้ัน ซึ่งผ้ปู ฏบิ ัติสามารถเห็นทกุ ข์มากหรอื นอ้ ย ขึ้นอยกู่ บั ความยดึ มน่ั มากหรอื น้อย และเห็นว่าสิง่ ใดไมย่ ึดมั่นก็ไม่เป็น ทกุ ข์เพราะส่ิงนน้ั คือรจู้ ักอริยสจั ๔ ว่าโดยยอ่ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เปน็ ทุกข์ ละ สมทุ ยั นิโรธแจง้ มรรคเจริญ ดงั นน้ั พระโสดาบนั จงึ รจู้ กั เหตปุ จั จยั ทเ่ี กดิ – ดบั ในขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๖ ในระดับปรมัตถธรรม เจรญิ มรรคมีองค์ ๘ รู้จกั คุณ และรู้จกั โทษอนั แปรปรวน และรู้จักอุบายท่ีจะออกพ้นไปจากอุปาทานด้วยการละความเผลอเพลิน ละฉนั ทราคะในสิง่ ที่ไมใ่ ช่ตวั ตนเหลา่ นัน้ ๑๓๐
๑๗.ฉลาดรจู้ ักอวชิ ชา
ทิวเขาหิมะขาวโพลนดูวิเวกวังเวง มองไปทางทิศทางใดล้วนมีแต่ สขี าวทเ่ี วง้ิ วา้ งของทวิ เขา และทอ้ งฟา้ เสมอื นการบรรจบกนั ของความวา่ งเปลา่ เหลือบมองเห็นแพะภูเขาที่ซ่อนตัวอยู่หลังโขดหินสีขาว มันมิได้ทำ�ให้ความ วงั เวงลดลงไป แต่กลับสร้างความเงยี บเหงาอนั ท�ำ ให้ความวา้ เหวข่ น้ึ มาแทน แท้จรงิ แล้วโลกน้ีมใิ ชเ่ ครือ่ งร้อยรัดมัดใจของชีวิตใด แตค่ วามยนิ ดอี นั น้อยนดิ ตา่ งหากที่เข้ามามัดใจไวก้ บั โลกนี้ ขณะทีโ่ ลกประกอบด้วยเหตุปัจจัย อนั หลากหลายทีพ่ รอ้ มจะแปรปรวนเป็นอนื่ อยทู่ ุกขณะ ไมม่ สี ภาพใด อนั คงทีแ่ ม้ในรูป รส กลน่ิ เสียง สัมผัสกาย และธรรมารมณ์ อันปรุงแต่งผัสสะสสู่ ุข-ทกุ ขเวทนา โลกจึงมิใช่ที่คุมขังของจิตวิญญาณ แต่อุปาทานที่หลงยึดมั่นด้วยฉันทราคะ ต่างหากที่เป็นสภาวธรรมหรือคลื่น พลังงานชนิดหนึ่งแฝงตัวเข้ามารอ้ ยรดั ยึดม่ันกนั ไวใ้ นอณู แทรกตวั อยูใ่ นชอ่ งวา่ ง DNA อนั สมมติเรียกว่าวญิ ญาณ ยดึ มน่ั ไว้ กบั รปู รส กลนิ่ เสยี ง สัมผสั กาย เป็นทีฝ่ ันใฝ่ ปรารถนา ปรุงแตง่ ธรรมารมณท์ างใจ จะเห็นว่าฉันทราคะ นั้นพระพุทธองค์ทรงใช้ ความหมายของ อุปาทาน และสัญโญชน์ คือความ กำ�หนัดด้วยความยินดี นั่นแหละคือเคร่ืองยึดม่ันและ เครอ่ื งร้อยรัด ๑๓๒
ในเชิงปฏิบัติที่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นถึงฐานะที่จะเป็นไปได้ คือ ต้องเหน็ นมิ ิตของจิต จึงจะมสี ัมมาทิฏฐิ เมือ่ มีสมั มาทฏิ ฐจิ ึงจะมีสมั มาสมาธิ และตัดสญั โญชนไ์ ด้ คอื การเหน็ เครอ่ื งหมายของสง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ จติ แทจ้ รงิ มใิ ชจ่ ติ เปน็ เพยี งคลน่ื พลงั งานทแี่ ฝงอยใู่ นรปู ชีวิต ไมใ่ ช่จติ เรา การเหน็ เช่นนี้ทำ�ใหเ้ กดิ สมั มาทฏิ ฐิ คือเห็นถูกตามความเป็นจรงิ สัมมาสมาธิ จึงต้ังม่ันขน้ึ และเห็นนมิ ิตของจิต เป็นคลื่นพลังงานไหวตัวอยู่ในความว่าง แต่ไม่แปะติดกับความว่าง คือไม่ สามารถจะใชก้ าวชนดิ ใดแปะติดคล่ืนพลังงานอนั มีกริ ยิ าไหวตวั ไปตามผสั สะ อนั เปน็ สงั ขตธรรมคอื ธรรมทอ่ี าศยั เหตปุ จั จยั ซง่ึ ไมต่ ดิ กบั อสงั ขตธรรม คอื ธรรมทไ่ี มอ่ าศยั เหตปุ จั จยั แตท่ ง้ั หมดกล็ ว้ นเปน็ ธรรม คอื สพั เพธมั มาอนตั ตา แมแ้ ตธ่ รรมทเ่ี ปน็ กศุ ล หรอื อกศุ ลทเ่ี กดิ จากเหตปุ จั จยั คอื ธรรมารมณ์ กระทบใจ เกิดมโนวญิ ญาณรวมกันเรยี กวา่ ผัสสะ หากไมป่ รงุ แตง่ ไปในทางกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม ก็จะเป็น อัพยากฤตธรรม คือ ธรรมที่เป็นกลาง ๆ ไม่ดี ไมช่ ่วั ในทางปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติที่มีสมาธิ และ วิปัสสนาที่เห็นปรมัตถธรรม จะเห็นคลื่นพลังงาน นั้นไหวตัว เกิด-ดับ เป็นสภาวธรรมหนึ่ง นั่นคอื ผล อนั เกิดจากสมาธิ และวิปัสสนา การเห็นผัสสะทางธรรมารมณ์หรือธรรมธาตุ ที่เป็นกุศลธรรม อกุศลธรม อพั ยากฤตธรม จะเหน็ ทงั้ หมดเป็นสภาวธรรม ไมใ่ ช่ “คน” แมเ้ มอ่ื ธรรมารมณก์ ระทบใจเกดิ มโนวญิ ญาณเปน็ ผสั สะ จงึ รจู้ กั ผสั สะตามความ ๑๓๓
เป็นจรงิ ในสภาวะแห่งปรมัตถธรรมทไี่ ม่ใช่สมมติ วา่ ผัสสะเหล่านัน้ ไมใ่ ชต่ วั ตน ผลจากผสั สะทเี่ ปน็ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อเุ บกขาเวทนา ยอ่ มมิใช่ตวั ตนไป ด้วย “ดกู ่อนภกิ ษุ ท.!” เพราะอาศยั ใจด้วย ธรรมารมณ์ท้งั หลายด้วยจึงเกดิ มโนวญิ าณ การประจวบแหง่ ธรรม ๓ ประการ นน่ั คอื ผสั สะ เพราะผสั สะเปน็ ปัจจัย จงึ เ กิดเวทนาอนั เปน็ สุขบ้าง เปน็ ทุกข์บ้าง ไมใ่ ช่สุขไมใ่ ชท่ กุ ขบ์ า้ ง บุคคลน้นั เม่ือสุขเวทนาถูกตอ้ งอยู่ ยอ่ มไม่เพลดิ เพลนิ ย่อมไมพ่ ร่ำ� สรรเสรญิ ไมเ่ มาหมกอยู่ อนสุ ยั คือราคะ ยอ่ มไม่ตามนอนแก่บคุ คลนั้น เมอ่ื ทุกขเวทนาถกู ต้องอยู่ เขายอ่ มไม่เศร้าโศก ยอ่ มไม่ระทมใจ ยอ่ มไม่ คร่ำ�ครวญ ย่อมไมต่ อี กร่ำ�ไห้ ยอ่ มไมถ่ ึงความหลงใหลอยู่ อนุสยั คือปฏิฆะ ย่อมไม่ ตามนอนแกบ่ ุคคลนั้น เม่ือเวทนาอันไมใ่ ชท่ กุ ข์ ไม่ใชส่ ขุ ถูกต้องอยู่ เขายอ่ มรู้ตามเป็นจริง ๑. ซงี่ เหตุใหเ้ กิดเวทนาน้นั ด้วย ๒. ซึ่งความดับไม่เหลือแหง่ เวทนาน้ันดว้ ย ๓. ซ่ึงอัสสาทะ ของเวทนานนั้ ดว้ ย (รสอร่อย หรือคณุ ) ๔. ซึ่งอาทนี วะ ของเวทนาน้ันด้วย (โทษของความแปรปรวน) ๕. ซงึ่ นสิ สรณะ ของเวทนานน้ั ด้วย (อุบายเคร่อื งออกพน้ ไป) อนุสัยคอื อวิชชา ยอ่ มไมต่ ามนอนแกบ่ ุคคลน้ัน ดกู อ่ นภกิ ษุ ท.! บคุ คลนน้ั หนอละราคานสุ ยั อนั เกดิ จากสขุ เวทนาเสยี ไดแ้ ลว้ ๑๓๔
บรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิดจากทุกขเวทนาเสียแล้ว ถอนอวิชชานุสัยอันเกิดจาก อทกุ ขมสุขเวทนาเสยี ไดแ้ ล้ว เมื่อละอวชิ ชาเสยี ไดแ้ ละทำ�ใหว้ ิชชาเกดิ ขึน้ ได้แล้ว เขาจักทำ�ทีส่ ดุ แห่งทุกข์ ในทฏิ ฐธรรมนไี้ ดน้ ัน้ (ปจั จบุ นั ทันตาเหน็ ) ข้อนเ้ี ป็นฐานะท่จี ักมไี ดด้ งั นี้ (อุปร.ม. ๑๔/๕๑๘/๘๒๓) ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จริญ คนกล่าวกนั ว่า อวิชชา- อวิชชา ดังนี้ กอ็ วชิ ชานน้ั เปน็ อยา่ งไร? ภิกษุ ท.! ในโลกน้ี ปถุ ุชนผู้ไมไ่ ด้ยินได้ฟังย่อมไมร่ จู้ กั รปู ไมร่ ู้จักเหตใุ หเ้ กดิ ของรปู ไม่รจู้ กั ความดับไม่เหลอื ของรปู ไมร่ ู้จักทางดำ�เนินใหถ้ งึ ความดับไมเ่ หลือ ของรปู (เขายอ่ มไมร่ ู้จกั เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณตรสั อย่างเดียวกัน) ภกิ ษุ ท.! ความไม่รูน้ ้ี เราเรียกว่า “อวิชชา” (ขนธฺ ส.ํ ๑๗/๑๙๘/๓๐๐) “ไม่รูช้ ัดแจ้งตามเปน็ จริงซ่งึ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั มคี วาม กอ่ ข้นึ เปน็ ธรรมดาฯ อันมคี วามเสื่อมไปเปน็ ธรรมดา” ไมร่ ู้ชัดแจง้ ตามเปน็ จรงิ ซึง่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อนั มีทง้ั ความ ก่อขึ้น และความเส่ือมไปเป็นธรรมดาฯ ความไมร่ นู้ ้เี รียกว่าอวชิ ชา (ขนฺธสํ. ๑๗/๒๐๙/๓๒๐) ในสว่ นของวิชชา ทรงตรสั ในทางตรงขา้ มคือ รูช้ ดั แจ้ง ถงึ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ๑๓๕
รู้ชดั แจ้ง ถงึ เหตใุ หเ้ กิด รูปฯ รชู้ ดั แจ้ง ถงึ ความไมเ่ หลือของรปู ฯ รชู้ ัดแจง้ ถงึ ความดำ�เนินให้ถึงความดบั ไม่เหลือของรปู ฯ (ขนธฺ สํ. ๑๗/๑๙๘/๓๐๑) รูช้ ดั แจง้ ตามเปน็ จรงิ ซง่ึ รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อันมคี วามกอ่ ขึ้นเป็นธรรมดา รชู้ ัดแจ้งตามเปน็ จริง ซึ่งรปู ฯ อนั มคี วามเส่ือมไปเป็นธรรมดา รชู้ ัดแจ้งตามเปน็ จริงซึ่งรูปฯ อนั มที ้งั ความกอ่ ขึน้ และเสือ่ มไปเป็นธรรมดา อย่างนีแ้ ลเราเรยี กว่า “วชิ ชา” และบุคคลชื่อว่าเปน็ ผ้ถู งึ วชิ ชา ยอ่ มมดี ้วยเหตุ มีประมาณเท่านแ้ี ล (ขนธฺ สํ. ๑๗/๒๑๐/๓๒๑) ในเชงิ ปฏิบัติ เจริญสมาธิเพื่อสิ้นอาสวะนั้น พระพุทธองค์ทรงเน้นให้ตามเห็น ความตง้ั ขน้ึ และเสอ่ื มไปในอปุ าทานขนั ธ์ ๕ จะสงั เกตเหน็ วา่ ความโดดเดน่ อยูท่ วี่ ิธมี อง คอื รวู้ า่ รชู้ ัดแจง้ ตามความเปน็ จรงิ ซง่ึ เหตุ เกดิ – ดบั และรู้ว่า ไม่รชู้ ดั แจง้ ตามความเปน็ จริงซึง่ เหตุ เกิด – ดับ ในขนั ธ์ ๕ ดังนัน้ ในวธิ ีปฏิบัติเมื่อมีสติจ�ำ ถูกตอ้ งว่า สุข ทกุ ข์ ไม่ใช่ตน และผู้อ่ืน ๑๓๖
ทำ� ไม่หลงกับเนือ้ หาปรงุ แตง่ การออกจากความคดิ ปรงุ แต่งในนิวรณ์ ๕ จึง ท�ำ ใหเ้ กดิ สมาธิ คอื รชู้ ัด เขา้ ไปถงึ ตวั สภาวะน้นั อันเปน็ วิปสั สนาญาณออก จากสมมติสปู่ รมัตถ์ เหน็ เป็นกระแสเหตปุ จั จัยท่เี กดิ – ดับ ไม่ใชต่ ัวตน จนถงึ รูจ้ กั คณุ โทษ อนั เปน็ อน่ื และรจู้ กั อุบายทางออก คือการละฉันทราคะ อนั เปน็ ตัวอุปาทาน และตวั สญั โญชนด์ งั กล่าว อวชิ ชาจงึ ถูกละไปดว้ ยเหตนุ ้ี พระสทั ธรรม คอื การเขา้ ใจวธิ กี ารทถ่ี กู ตอ้ งกอ่ น และลงมอื ปฏบิ ตั ิ ซึง่ ในท่ีสุดผลยอ่ มประจกั ษใ์ นทสี่ ดุ เพยี งแตผ่ ปู้ ฏิบตั ติ อ้ งไมเ่ กยี จครา้ น เจรญิ สติ กับชวี ติ ประจ�ำ วัน และเจรญิ สมาธสิ ม่ำ�เสมอโดยเข้าใจค�ำ วา่ ร้ชู ัด อนั ประจักษ์ เขา้ สูต่ ัวสภาวะทเ่ี ป็นปรมัตถ์จนคุ้นเคยในการแยกรปู แยกนามในวิปสั สนา รู้ชดั ถงึ ตวั แทข้ องส่ิงทสี่ มมตเิ รยี กวา่ “จติ ” มีสตไิ มห่ ลงลมื ใจ คอื รูช้ ดั วา่ ยงั เหน็ ธรรมชาติเดมิ ของใจทป่ี กติเป็นกลาง โปร่ง ๆ อยู่หรือไม?่ หากจ�ำ สภาวะน้ันได้แม่นยำ� จะไมถ่ ูกบดบังดว้ ยสมมติ หรอื เส้นผมบงั ภเู ขาอกี ตอ่ ไป เพียงแตว่ ่าตอ้ งมีความเพยี ร แม้ขณิกสมาธิ กับชีวติ ประจำ�วนั ก็ไมค่ วรละเวน้ คอื ใชส้ มมติ ไปตามเหตปุ จั จยั แลว้ รชู้ ดั ทค่ี วามรสู้ กึ ตวั ใน ระดบั ขณกิ สมาธเิ สมอ ๆ ในเวลาสว่ นตวั ท่ี สัปปายะกเ็ จรญิ อปุ จารสมาธิ วิปัสสนาญาณจะเกิดชดั ในช่วงนี้ จนถงึ สงั ขารุเปกขาญาณ เปน็ กลางต่อสงั ขาร การปรงุ แตง่ ทง้ั ปวง จติ จะตง้ั มน่ั เปน็ กลาง เขา้ สอู่ ปั ปนาสมาธเิ องโดยไมต่ อ้ งบังคบั ๑๓๗
๑๘. ฉลาดมคี วามสขุ ในปัจจบุ นั ชาติ
หากความสุขมาจากความยินดีที่ร้อยรัดและผูกกับสิ่งนั้นเอาไว้ ดู เหมือนเปอรเ์ ซน็ ของความสขุ ในโลกนจ้ี ะน้อยกว่าทกุ ข์ เพราะสิง่ ที่ยดึ ไว้ด้วย ความยินดี ล้วนมีความแปรปรวนเป็นอื่นอย่างไม่คาดคิดได้เสมอ ไม่ว่ารูป ภายนอก ภายใน ที่ยึดไว้ด้วยความยินดี หรือวัตถุเครื่องใช้ หรือลาภ ยศ สรรเสริญที่ยึดไว้ด้วยความกำ�หนัดไปตามอำ�นาจความตริตรึก และฉันทะ ราคะในสงิ่ เหล่านนั้ อันเปน็ ตวั อุปาทานและสญั โญชน์ การมสี ตสิ งั เกตเหน็ จติ ในจติ จะพบวา่ สง่ิ ทก่ี �ำ ลงั เผลอเพลนิ ยนิ ดอี ยนู่ น้ั คร้นั ไมเ่ ปน็ ดงั ใจจะเกดิ สภาวะอึดอดั คบั ข้องขึ้นทนั ที ใจทเี่ คยผ่องใสอยู่ก่อน กเ็ ศร้าหมองลงช่วั ขณะ การมสี ติจ�ำ สภาวะไดแ้ มน่ ยำ�ว่า รปู รส กล่ิน เสยี ง สมั ผสั กาย ไมใ่ ชก่ เิ ลส ไมใ่ ชก่ าม แตค่ วามก�ำ หนดั ดว้ ยความพอใจ ฉนั ทราคะ ที่เป็นตัวอุปาทาน เป็นสัญโญชน์ต่างหากที่ทำ�ให้ใจเศร้าหมองเพราะ อวชิ ชา “มาฑินทิยะ”! แม้เราเองก็ไม่เคยได้เห็นได้ฟังเช่นนั้นเลยว่า พระราชาก็ดี อ�ำ มาตย์ผ้ใู หญ่ของราชาก็ดี ผ้อู ่มิ เอิบเพียบพรอ้ มด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบ�ำ เรออยู่ ยงั ละกามตณั หา ความก�ำ หนดั ปรารถนา ยนิ ดใี นรูป (รส กลน่ิ เสียง สัมผัสกาย) ยงั บรรเทาความเรา่ รอ้ นเพราะกามไมไ่ ด้ (ความก�ำ หนัดด้วยความยนิ ดี) แลว้ จะเปน็ ผูป้ ราศจากความกระหาย มีจิตสงบเย็นอยู่ ณ ภายใน ในอดีตก็ตาม กำ�ลงั อยู่ ในปจั จุบันก็ตาม หรอื จะอยใู่ นอนาคตก็ตาม ดงั นแี้ ล (ม.ม. ๑๓/๒๐๘/๒๘๖) “อารมณ์ รูป รส กล่ิน เสยี ง สัมผสั กาย” อันวิจิตรก็มอี ยใู่ นโลกตาม ประสาของมนั เท่านน้ั อารมณอ์ นั วจิ ิตรทงั้ หลายในโลก หาใชก่ ามไม่ ความกำ�หนัดไป ตามอำ�นาจความตริตรึก นน่ั แหละคอื กาม ฯ (ฉกก.๐.๒๒/๔๕๗-๔๖๐/๓๓๔) ๑๓๙
ความเข้าใจถูกต้องที่แท้ว่า โลกไม่ใช่กาม แต่คือความกำ�หนัดไป ตามอำ�นาจความตริตรึก จะเข้าใจ ความหมายของกามุปาทานอันส่งผลสู่ กามภพคือการยึดไว้ด้วยความกำ�หนัดไปตาม อำ�นาจความตริตรึก ซึ่งความตรติ รกึ นน้ั คอื หลง เผลอเพลนิ ไปในจนิ ตนาการทเ่ี ทดิ คา่ สง่ิ เหลา่ นน้ั ขน้ึ มา โดยที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้รู้เรื่องด้วย เพียงอยู่ไปตามประสาของมัน แตฉ่ ันทราคะ คืออุปาทานในส่ิงนั้น เพราะอปุ าทานเปน็ ปัจจัย ภพ - ชาติ จงึ มี คือ กามุปาทาน ---> กามภพ เพราะยึดถืออยู่ด้วยความกำ�หนัดไปตามอำ�นาจตริตรึกถึงสิ่ง นั้น จึงเขา้ ไปอาศยั อยใู่ นส่ิงน้นั (ภพ) ด้วยความปรงุ แต่งต่าง ๆ และหลงผิด ตระหนกั ว่าเปน็ “เรา” ที่ถกู รอ้ ยรดั อย่ดู ว้ ยกามคอื รอ้ ยรัดดว้ ยฉนั ทราคะใน สงิ่ นัน้ การรู้จักความหมายท่ีแท้จริงของกามกิเลสต้ังแต่อวิชชาอันเป็น หัวหน้าใหญ่ของกิเลสจะทำ�ให้มีสติสังเกตเห็นสภาวธรรมได้ถูกต้องแม่นยำ� รู้ชัดตามความเป็นจรงิ ตง้ั แต่ อวิชชา คือความไม่รู้ชดั แจ้งขันธ์ ๕ อันอาศัยเหตปุ จั จยั เกดิ – ดบั อปุ าทาน คือสภาวะแห่งฉนั ทราคะ กำ�หนดั ยินดใี นขันธ์ ๕ สัญโญชน์ คือสภาวะแห่งฉนั ทราคะกำ�หนัดยนิ ดีในขันธ์ ๕ ๑๔๐
กาม คือความก�ำ หนัดไปตามอ�ำ นาจ ความตริตรึก เมอ่ื รเู้ ขารู้เราคือรจู้ ักอวิชชาจึงละ อวิชชาได้ กองทพั กเิ ลสทง้ั หมดนล้ี ว้ นเปน็ สภาวธรรม ทท่ี �ำ งานผสานสอดคลอ้ งกนั อยู่ เป็นคลื่นพลงั งานแฝงอยใู่ นใจ ทอี่ าศัยอยู่ในกามภพ คอื สภาวะทอ่ี าศยั อยใู่ นความก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ นาจความ ตรติ รกึ ถงึ รปู รส กลน่ิ เสยี ง สมั ผัสกาย เพราะอวชิ ชาไมร่ ้จู กั ขันธ์ ๕ ว่า เปน็ กระแสเหตปุ จั จัยทเี่ กดิ -ดบั ดังกลา่ ว เมอ่ื รู้จักความเกดิ – ดบั ของขันธ์ ๕ อวิชชาก็ค่อย ๆ หมดบทบาทไปในที่สุด ในการเจริญสติปฏั ฐาน ๔ ตามดกู ายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ใน จติ ธรรมในธรรม ลว้ นมีจุดหมายส�ำ คญั ที่เห็นความเกิด – ดับ และฉลาดที่ สามารถท�ำ จติ ให้ต้งั มนั่ ละอปุ กิเลสอนั เศร้าหมองออกจากใจ เพราะเหน็ นิมิต ของจิตว่าไมม่ ีตวั ตนถาวร พระโสดาบนั เป็นผูเ้ ที่ยงแทต้ ่อสัทธรรมใน ๓ มุมคือ ๑. เขา้ ใจแล้ว ๒. ลงมอื ปฏิบตั ิ ๓. บรรลถุ งึ ผล ดงั นน้ั ประเดน็ ส�ำ คญั ทไ่ี มค่ วรละเลยคอื การปฏบิ ตั สิ ตปิ ฏั ฐาน ๔ ท่ี ฉลาด ย่อมได้รับผลเป็นความตั้งมั่นของจิต คือมีสมาธิ และวิปัสสนา ละ อปุ กิเลสอันเศรา้ หมองได้ และบรรลถุ ึงสขุ วิหารในทิฏฐธรรม คือ มีความสุข ทนั ตาเห็น เพราะร้จู ักนิมติ ของจติ ดงั กลา่ ว ๑๔๑
คำ�ว่า สุขวิหารในทิฏฐธรรม นี้เป็นเครื่องยืนยันความฉลาดในผล ของการปฏบิ ตั ิ หากเข้าใจกระแสเหตปุ จั จัยในขนั ธ์ ๕ ดงั กล่าวทมี่ คี วามกอ่ ข้นึ และดับไป ไมใ่ ชต่ วั ตน ย่อมเกดิ วปิ สั สนาญาณทเ่ี ปน็ ปรมตั ถ์ ไมห่ ลงคิดไป ใ นทางอวิชชา ท่พี าปรงุ แต่งสงั ขารต่าง ๆ อยา่ งไม่รจู้ กั ท่มี าของสุข-ทุกข์ หากรชู้ ัดแจ้งถงึ ทม่ี าของสุข-ทกุ ข์ วา่ ไมใ่ ชม่ าจากคนอื่นท�ำ ไมใ่ ช่ มาจากเราทำ� เพยี งความเขา้ ใจแคน่ ี้ หากน�ำ ไปใช้ปฏบิ ัติได้จริง ยอ่ มมผี ล เปน็ การไม่โกรธเกลยี ดคนอ่ืน เพราะคนอ่ืนไมใ่ ชต่ วั การแหง่ ทุกข์ และไม่หลง ลงโทษตัวเองใหเ้ ศรา้ หมอง ชีวิตทไ่ี มม่ คี วามโกรธเกลียด ไมเ่ ศรา้ หมอง ก็ยอ่ มได้รับสขุ วิหารในทฏิ ฐธรรม คอื มีความสขุ ทันตาเหน็ ในปัจจบุ นั ชาติ จากผลของการปฏิบัติดังกลา่ ว ญาณ ทร่ี ูจ้ ักเหตุปัจจยั ของสงิ่ เหล่านัน้ ช่อื วา่ ธัมมฏั ฐิติญาณ เป็น ญาณที่เกิดกอ่ นญาณในนิพพาน ญาณ คือ ความรู้ว่าเพราะผัสสะเป็นปัจจยั จงึ มีเวทนา ญาณ คอื ความรวู้ า่ เมอ่ื ผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไมม่ ี แมใ้ นอดตี เวทนาก็เกดิ จากผสั สะ ดบั เพราะผสั สะ แมใ้ นอนาคต เวทนากเ็ กิดจากผสั สะ ดบั เพราะผสั สะ แม้การเหน็ น้ันทชี่ ่ือวา่ ธมั มฏั ฐติ ญิ าณ ในกรณนี ้นั ก็ สน้ิ ไป ดบั ไปเช่น กัน การเห็นเช่นนี้ตลอดทุกมุมในปฏิจจสมุปบาท แม้ในมุมมองของเวทนา เป็นปัจจัยตณั หาจึงมีท้งั ในปัจจบุ ัน อดตี อนาคต ตณั หาเป็นปัจจยั อุปาทานจงึ มที ัง้ ในปัจจบุ นั อดีต อนาคต อุปาทานเปน็ ปจั จัย ภพจงึ มี ทงั้ ในปจั จุบัน อดตี อนาคต ๑๔๒
คอื แมภ้ พ-ชาตใิ นอนาคตขา้ งหนา้ กล็ ว้ นเกดิ จากอปุ าทานซง่ึ เมื่อมีภพ-ชาติ ก็ย่อมต้องมีความแก่ ความตาย ความโศก ความ คร่ำ�ครวญ ความทุกขก์ ายทกุ ขใ์ จ ความคับแคน้ ใจตามมา หรือในมมุ มองของธรรมญาณ หรอื ญาณในธรรม คอื ๑. ญาณรู้ในชรา มรณะ ๒. ญาณรู้ในเหตุเกิดขน้ึ แหง่ ชรามรณะ (ชาติ) ๓. ญาณรู้ในความดบั ไมเ่ หลอื แห่งชรา มรณะ ๔. ญาณรใู้ นขอ้ ปฏิบัติถึงความดบั ไม่เหลือ แหง่ ชรา มรณะ (มรรค มีองค์ ๘) ซึง่ เห็นทุกมมุ ปฏิจจสมปุ บาทเป็นเหตุปัจจัยและ เห็นตามลำ�ดบั ธรรมญาณทงั้ ๔ ข้างต้นทุกๆ ขนั้ ตอน ดังนี้ ชรา มรณะ ---> ชาติ ---> ภพ ---> อุปาทาน ---> ตณั หา ---> เวทนา ---> ผัสสะ ---> สฬายตนะ ---> นามรปู ---> วญิ ญาณ ---> สงั ขาร ---> อวิชชา คือเหน็ โดยญาณ ๔ อยา่ งขา้ งตน้ เหมอื นกันในมมุ อริยสัจ ๔ นั่นเอง “ในการใด ความรู้ของอริยสาวกนั้น ชื่อว่าญาณในธรรมด้วยธรรมนี้ อริยสาวกนน้ั เห็น (ธรรมญาณ) แลว้ ฯ และเปน็ ธรรมอันใช้ได้ไมจ่ ำ�กดั กาล อริยสาวก นั้นย่อมนำ�ความรู้ไปสู่นัยยะอันเป็นอดีตและอนาคตว่า สมณะพราหมณ์เหล่าใดใน อดีต-อนาคตก็รูย้ ิ่งเหมือนทเ่ี ราไดร้ ู้ ย่ิงแล้วในบัดน้ฯี ” เราเรยี กอรยิ สาวกนน้ั ว่า ฯ ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรม ฯ มีปัญญาชำ�แรกกิเลส ยืนอยจู่ รดประตแู หง่ อมตะ (นทิ าน ส .๑๖/๖๘-๗๑/๑๒๐-๑๒๕) ๑๔๓
ในเชงิ ปฏิบตั ิ เจริญสมาธิมี ๔ อยา่ งคือ ๑. เพ่ือความสขุ ในปัจจบุ ัน ๒. เพอื่ การไดญ้ าณทสั สนะ ๓. เพ่ือสตสิ มั ปชัญญะ ๔. เพือ่ ละอาสวะ การเห็นปฏิจจสมุปบาทเป็นกระแสเหตุปัจจัย คือวิปัสสนาญาณซึ่ง ผปู้ ฏิบัติมิใช่แค่จดจำ�สมมติบัญญัติ แต่เข้าไปประจักษ์ถึงตัวสภาวะแท้ของ รูป – นามเหล่านน้ั และเหน็ ลกั ษณะทเ่ี ปน็ เหตปุ ัจจัยของรปู นามเหลา่ นั้น จน รู้ชัดถึงแตล่ ะขณะของสภาวะทีค่ ่อย ๆ เคลือ่ นตวั ไปสูอ่ ีกสภาวะหน่งึ ซึง่ เกิดข้นึ ในสมาธอิ นั ละเอยี ด ระดบั ออ่ นจากขณกิ สมาธิ จนถงึ ระดบั แนบอยู่ กับใจตลอดเวลาคือ อุปจารสมาธิซึ่งเป็นขั้นสรุปวิปัสสนาญาณภายในเห็น ความเกิด – ดับของขันธ์ ๕ ในระดบั ญาณทัสสนะ มีสติสัมปชัญญะรู้ชดั ต่อ สภาวะทแี่ ทอ้ ันเป็นปรมัตถ์ และละอาสวะได้ “ภกิ ษุ ท.! เธอท้งั หลายจงเจริญสมาธิเถดิ ภิกษุผู้มีจิตเป็นสมาธแิ ล้ว ยอ่ มรชู้ ดั ตามที่เป็นจริง ซึง่ ความเกดิ ขึ้น และความดับไป แหง่ รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณฯ เมอื่ ภกิ ษนุ ้ันไม่เพลดิ เพลิน ไม่พร่ำ�สรรเสริญ ไมเ่ มาหมกอยซู่ ึ่งรูปฯ ๑๔๔
นันทิ (ความเผลอเพลิน) ใดในรูปฯ นนั ทิ นัน้ ย่อมดบั ไป เพราะความดับแห่งนันทิ จงึ มีความดับแหง่ อปุ าทาน เพราะอุปาทานดับ ภพจงึ ดับ เพราะภพดบั ชาตจิ งึ ดบั เพราะชาติดับ ชรา มรณะ ความโศก ความคร่ำ�ครวญ ทุกขก์ าย ทุกขใ์ จ ความคบั แคน้ ใจจึงดบั ความดบั ลงด้วยกองทกุ ขท์ ัง้ ส้ินย่อมมดี ว้ ยอาการอยา่ งน้ี (ขนฺธ.ส.ํ ๑๗/๑๘-๑๙/๒๗-๒๙) ๑๔๕
๑๙. ฉลาดในการรู้ชดั
สายลมหอมกลิ่นรุ่งอรุณ พัดแสงดาวให้เลือนราง การเดินทางแห่ง ราตรที ย่ี าวไกลใกลส้ น้ิ สดุ เสน้ ขอบฟา้ ปรากฏเปน็ แสงขลบิ ทอง แลว้ ผลแิ ยม้ ละอองทอง โปรยปลิวอย่างนุม่ นวล มิไดเ้ รง่ รีบ แมก้ ลีบดอกไมอ้ นั บอบบาง หรือขนอันละเอียดออ่ นของนก ก็ถกู ปลุกใหต้ ่ืน ฉนั มองเหน็ นกกระจบ๊ิ ตวั เทา่ หวั แมม่ อื นอนอยบู่ นใบชบา ขณะทเ่ี หยยี ด ปกี ออกรบั แสงอรณุ แลว้ เสยี งนกกก็ ระซบิ ระยบิ ระยบั ขน้ึ สอดผสานตอ้ นรบั ความตน่ื อนั ก�ำ ลงั บานสะพรง่ั ขน้ึ การเจรญิ สตใิ นยามเชา้ ดว้ ยอริ ยิ าบถอันง่าย ๆ เพยี งแค่เทา้ กระทบพื้นในขณะเดนิ อยา่ งร้ชู ัดทต่ี วั สภาวะอนั ไร้ชือ่ วา่ เท้า หรือ พน้ื เปน็ การตนื่ ต่อความจริงตรงหน้า กา้ วอย่างสบาย ๆ อย่างรู้ตัวท่วมท้น หนทางทม่ี ีแสงอุทยั อ่อนเบาบาง ทกุ ยา่ งก้าวแห่งความตน่ื อันเบิกบาน ผสาน กับอุทยานในกระแสเหตุปัจจัยแห่งสภาวธรรมตรงหน้า รู้จักว่าสิ่งใดเป็น สมมตสิ ัจจะ และปรมัตถสัจจะ การรู้ชัดเป็นสิ่งที่ไม่ควรประมาทละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การ รู้ชัดปัจจุบันของกายและใจ อันประกอบด้วยขันธ์ ๕ รู้ชัดถึงเหตุปัจจัย ในมหภาคของธาตุ ๔ ทีป่ ระกอบเปน็ รูปอาศัยชัว่ ขณะ ต้งั แตล่ มหายใจ และ ความรสู้ กึ ผสั สะอนั อาศยั อายตนะภายใน ภายนอก จงึ เกดิ วญิ ญาณทง้ั ๖ ส่ง ผลส่เู วทนา, สัญญา, สงั ขาร และมายากลของวิญญาณท่ีกลับมารสู้ ัญญาของ สงั ขารปรุงแตง่ สง่ ผลไปสรู่ ูปนาม หมนุ วนอาศยั กนั เกิดข้นึ ความฉลาดรู้จัก ขันธ์ ๕ เป็นการรู้จักทั้งสมมติสัจจะ และปรมัตถสัจจะคือ เป็นกระแสเหตุ ปัจจยั ไม่ใช่ตัวตน การเห็นเชน่ นน้ั เป็นสัมมาทฏิ ฐิ ท�ำ ใหไ้ มเ่ กดิ การเบียดเบียน ตน และผอู้ ่ืน ทางกาย วาจา ใจ ๑๔๗
ความเพยี รน้นั จงึ คอยปดิ กั้นอกศุ ลทยี่ ังไม่เกิด ไมใ่ ห้เกิดขน้ึ ด้วยการมี สติ ตามรักษาจิตที่ปกติ ไว้เป็นสุขวิหารในทิฏฐธรรม ทำ�ให้เกิดสัมมาสมาธิ ตั้งมั่นอย่างเบิกบาน ไม่ถูกอุปกิเลสความเศร้าหมองครอบงำ� พระพุทธองค์ ทรงตรัสถงึ เร่อื งฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ใคร่ครวญธรรมโดยวธิ ี ๓ ประการ เรียกว่า “จบกจิ ” ภิกษุ ท.! ภิกษุผ้ฉู ลาดในฐานะ ๗ ประการน้ันเป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท.! ภกิ ษุในกรณนี ้ี ๑. ย่อมรชู้ ดั ซึ่งรปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ๒. รชู้ ดั ซ่ึงเหตุใหเ้ กดิ แหง่ รูป ฯ ๓. รู้ชัดซ่ึงความดบั ไม่เหลอื แห่งรูป ฯ ๔. รชู้ ดั ข้อปฏิบัตใิ หถ้ ึงความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ รูป ฯ ๕. รชู้ ัดซึ่งอสั สาทะ (รสอร่อยหรอื คณุ ) แห่งรูป ฯ ๖. รูช้ ัดซ่งึ อาทีนวะ (โทษอันแปรปรวน)แห่งรูป ฯ ๗. รชู้ ัดแห่งนสิ สรณะ (อุบายเคร่อื งออกไปพน้ ) จากรูป ฯ (เวทนา, สัญญา, สงั ขาร, วญิ ญาณ, ตรัสเช่นเดียวกัน) ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษผุ พู้ จิ ารณาใครค่ รวญธรรมโดยวธิ ี ๓ ประการ นน้ั เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ๑๔๘
ภกิ ษใุ นกรณนี ีย้ ่อมพิจารณาใครค่ รวญ ๑. โดยความเปน็ ธาตุ ๒. โดยความเปน็ อายตนะ ๓. โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาท ภกิ ษุ ท.! ภิกษุผฉู้ ลาดในฐานะ ๗ ประการดว้ ย เปน็ ผพู้ จิ ารณาใคร่ครวญ ธรรม ๓ ประการด้วย เราเรียกว่า เกพลี ผู้จบกิจแห่งพรหมจรรย์เปน็ อดุ มบรุ ุษใน ธรรมวนิ ยั นี้ ดงั นี้แล (ขนธฺ ส.ํ ๑๗/๗๖-๘๐/๑๑๘-๑๒๔) ๑๔๙
๒๐.ฉลาดในผสั สะกบั ชีวิตประจ�ำ วนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188