ความฉลาดในฐานะ ๗ ประการ และใครค่ รวญโดยธรรม ๓ ประการ ดงั กลา่ ว ลว้ นเกดิ ขนึ้ กบั ชวี ิตประจำ�วันอยู่ตลอดเวลา เมอื่ ข้นึ ตน้ ถกู วธิ ี คอื ไม่ หลงคดิ วา่ สขุ -ทกุ ขม์ าจากผอู้ ื่นท�ำ ร้คู วามจริงวา่ สขุ -ทุกข์ไมใ่ ช่มาจากเรา ท�ำ แตเ่ กิดจากผสั สะ คอื ความประจวบแหง่ อายตนะภายนอกกระทบภายใน ท�ำ ให้เกิดวิญญาณ การประจวบแหง่ ธรรม ๓ ประการเรียกว่า ผสั สะ เป็น ปัจจัยให้เกิดสขุ -ทกุ ข์ หรอื อเุ บกขาเวทนา มีสตริ ะลกึ รู้ และรชู้ ัดถงึ ตัวสภาวะด้วยสมาธิ เห็นเปน็ ปรมตั ถธรรมใน สุข ทกุ ข์ เหลา่ นัน้ ซ่งึ ไม่ใช่ “คน” แต่เปน็ สภาวธรรมล้วน ๆ เรียกวา่ ร้ชู ดั หากนำ�เอาสขุ -ทุกขเวทนา มาเปน็ ตวั ประธานในการดูผสั สะจาก การเจรญิ สตใิ นชีวติ ประจ�ำ วันจนเกดิ สมาธแิ ละวปิ ัสสนา ย่อมพอเรยี บเรียง ความฉลาดในฐานะ ๗ ใครค่ รวญโดยธรรม ๓ ประการไดด้ ังนี้ ๑. ร้ชู ัดซึง่ อย่างน้ี เรยี กวา่ สขุ -ทกุ ขเวทนาขนั ธ์ ๒. รูช้ ดั ซึง่ เหตุใหเ้ กดิ สขุ -ทุกขเวทนา เกดิ มาจากผสั สะ ๓. รู้ชัดซึง่ ความดับไม่เหลอื แห่ง สุข-ทุกขเวทนา คือ ผสั สะดบั ๔. รูช้ ัดซ่งึ ข้อปฏบิ ตั ใิ ห้ถงึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ สุข-ทุกขเวทนา คือ มรรค ๘ ๑. สัมมาทฏิ ฐิ เหน็ ถกู วา่ สขุ -ทกุ ขเวทนา ไมใ่ ชต่ วั ตน ไมไ่ ดม้ าจากผอู้ น่ื ท�ำ ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ย่อมไมด่ ำ�ริในการทำ�ร้ายผู้อ่ืน เพราะผอู้ ่ืนไม่ใช่ตน้ เหตุแห่งสุข-ทุกข์ ๑๕๑
๓. สมั มาวาจา ยอ่ มมีวาจาไม่ประทษุ ร้ายผู้อน่ื อัน ไม่ใช่ตน้ เหตแุ ห่งสขุ -ทุกข์ ๔. สัมมากัมมันตะ ยอ่ มมคี วามประพฤตไิ มป่ ระทษุ รา้ ย ผอู้ นื่ อันไมใ่ ช่ตน้ เหตแุ หง่ สุข-ทกุ ข์ ๕. สมั มาอาชีวะ ย่อมมีการงานชอบไมเ่ บียดเบยี น ตนเองและผู้อื่นอันไม่ใชต่ ้นเหตุ แห่งสุข-ทุกข์ ๖. สัมมาวายามะ ย่อมมคี วามเพียรชอบ คอยปดิ ก้นั เจตนาร้าย เพราะผูอ้ น่ื ไม่ใชต่ น้ เหตุ แหง่ สขุ -ทกุ ข์ ๗. สมั มาสต ิ ยอ่ มมีความระลึกชอบ ไม่ขาดสติ คดิ ว่าผูอ้ ่นื เปน็ ตน้ เหตแุ หง่ สขุ -ทุกข์ ๘. สมั มาสมาธ ิ ยอ่ มมคี วามต้ังมน่ั ชอบ ไมฟ่ ุ้งซา่ น ไปในอดตี อนาคต ว่าตนหรอื ผู้อน่ื เป็นต้นเหตแุ หง่ สขุ -ทกุ ข์ ๕. รู้ชดั ซง่ึ คุณแหง่ เวทนา คือ สขุ โสมนัส จากการไม่เบยี ดเบียน ตนและผ้อู น่ื และความสขุ ทีไ่ ม่กระวนกระวายทางกายทางใจ ๖. รู้ชัดซ่ึงโทษอนั แปรปรวน แตเ่ พราะไม่ยึดมน่ั ในเวทนาวา่ เปน็ “เรา” ความโศก ความคร่ำ�ครวญ ทุกข์กาย ทุกขใ์ จ ความคบั แคน้ ใจ ย่อมไม่มี ๑๕๒
๗. รชู้ ดั ซงึ่ อุบายเครื่องออกไปพน้ จากเวทนา คอื ละฉนั ทราคะ ละ ความเผลอเพลนิ ละความก�ำ หนัดด้วยอ�ำ นาจความตรึกถึงสิง่ น้นั จึงละความ เศร้าหมอง คือ อุปกเิ ลสต่าง ๆ ได้ สว่ นความฉลาดในการใคร่ครวญโดยธรรม ๓ ประการ ๑. โดยความเป็นธาตุคือ สุข-ทกุ ข์ เป็นสภาวธรรมลว้ น ๆ ที่เป็น ปรมัตถ์ ไมใ่ ชม่ าจากผูอ้ ืน่ ท�ำ ไม่ใช่เราท�ำ เมอ่ื เห็นสขุ -ทกุ ข์ เปน็ ตัวประธาน ดงั กล่าว จะพบวา่ สุข-ทกุ ข์ กเ็ ปน็ ธาตุ “ดกู รอานนท์ มธี าตุ ๖ อย่าง ไดแ้ ก่ ธาตุคือสุข ธาตคุ ือทกุ ข์ ธาตุคือ โสมนัส ธาตุคือโทมนัส ธาตุคอื อุเบกขา ธาตคุ ืออวชิ ชาฯ ภิกษุร้อู ย่เู หน็ อยู่ จงึ ควร เรยี กวา่ ภกิ ษุผ้ฉู ลาดในธาตุฯ” ๒. โดยความเป็นอายตนะ เมื่อเห็นสุข-ทกุ ข์ ไม่ใช่จากผู้อ่ืนท�ำ ไมใ่ ช่ เราท�ำ เป็นเพียงสิง่ กระทบกันจากอายตนะภายในกับภายนอก “ดกู รอานนท์ ธาตุ ๑๘ อยา่ ง ได้แก่ ธาตุ คอื ตา ธาตุ คอื รปู ธาตุ คอื จกั ขวุ ิญญาณ ธาตุ คอื หู ธาตุ คือ เสยี ง ธาตุ คอื โสตวิญญาณ ธาตุ คอื จมกู ธาตุ คอื กลิ่น ธาตุ คอื ฆานวญิ ญาณ ธาตุ คอื ลนิ้ ธาตุ คอื รส ธาตุ คอื ชวิ หาวิญญาณ ธาตุ คอื กาย ธาตุ คือ โผฎฐัพพะ ธาตุ คอื กายวญิ ญาณ ธาตุ คอื มโน ธาตุ คือ ธรรมารมณ ์ ธาตุ คือ มโนวญิ ญาณ เรยี กได้ว่า ภิกษผุ ู้ฉลาดในธาตุฯ” ฉลาดในอายตนะ ๑๕๓
๓. โดยความเป็นปฏิจจสมุปบาท เมอื่ เหน็ สุข-ทุกข์ ไม่ใชจ่ ากผู้อ่นื ท�ำ ไมใ่ ชเ่ ราทำ� ข้าแต่พระองค์ฯ ภิกษุผ้ฉู ลาดในปฏิจจสมปุ บาทด้วยเหตเุ ทา่ ไร “ดกู รอานนท์ ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ ยอ่ มรู้อย่างนี้วา่ เมือ่ เหตุนม้ี ี ผลน้จี งึ มี เพราะเหตนุ ี้เกิดขน้ึ ผลนี้จงึ เกดิ ข้นึ เมอ่ื เหตนุ ้ไี มม่ ี ผลนจ้ี ึงไมม่ ี เพราะเหตุน้ีดบั ผลนจ้ี งึ ดบั เพราะอวชิ ชาเป็นปจั จยั จึงมีสังขาร เพราะสังขารเปน็ ปจั จยั จึงมีวิญญาณ เพราะวญิ ญาณเปน็ ปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจยั จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเปน็ ปจั จัย จงึ มีผัสสะ เพราะผสั สะเปน็ ปัจจยั จงึ มีเวทนา เพราะเวทนาเปน็ ปจั จัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเปน็ ปจั จยั จึงมอี ุปาทาน เพราะอุปาทานเปน็ ปจั จยั จงึ มภี พ เพราะภพเป็นปจั จัย จงึ มีชาติ เพราะชาตเิ ป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ (ความโศก ความคร่ำ�ครวญ ทุกข์โทมนัส ความคับแคน้ ใจ) ๑๕๔
อย่างน้ีเปน็ ความเกดิ ข้ึนแหง่ กองทกุ ขท์ ั้งมวล เพราะผัสสะดบั จงึ ดบั เวทนา เพราะเวทนาดับ จงึ ดับตณั หา ฯลฯ (ความทกุ ข์ทัง้ ปวงจงึ ดับ) “จึงควรเรียกไดว้ า่ ภิกษุผฉู้ ลาดในปฏิจจสมุปบาท” ความฉลาดในฐานะ ๗ ประการ ใครค่ รวญโดยธรรม ๓ ประการดังกล่าวที่เรียกว่า จบกิจ (ขน.ธ.สํ. ๑๗/๗๖-๘๐/๑๑๘,๑๒๔) ในเชิงปฏิบตั ิ หากนำ�เอาสุข ทุกข์ ซึ่งไม่ได้มาจากผู้อื่นทำ� ไม่ใช่มาจากเราทำ� มา เป็นตัวประธานในการท�ำ ความเขา้ ใจ จะเหน็ ทมี่ าจากผสั สะ ซ่ึงไมใ่ ชต่ วั ตน เมือ่ รวู้ า่ สุข ทุกข์ ไมใ่ ช่ตัวตน จึงละราคะในสขุ ละปฏฆิ ะในทุกข์ ละโมหะได้ เบาบาง เปน็ สกิทาคามี เมอื่ มีสมาธิบริบรู ณย์ อ่ มละราคะในสขุ ละปฏิฆะใน ทุกข์ คอื ละสงั โยชน์เบื้องต่ำ�ทง้ั ๕ เปน็ อนาคามี ๑. สักกายทฏิ ฐ ิ ๔. กามฉันทะ ๒. วจิ กิ จิ ฉา ๕. พยาบาท ๓ . สลี พั พตปรามาส สังโยชน์เบอ้ื งสูงอกี ๕ ๖. รูปราคะ ๙. อุทธัจจะ ๗. อรปู ราคะ ๑๐. อวิชชา ๘. มานะ ๑๕๕
๒๑.ฉลาดในอรยิ สจั
แทจ้ รงิ แล้วความฉลาดในฐานะ ๗ ประการดังกล่าว หากสงั เกตจะ พบวา่ ความฉลาด ๔ ประการแรก คืออรยิ สัจ ๔ ๑. รูช้ ัดซ่งึ ขนั ธ์ ๕ (วา่ โดยยอ่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ เปน็ ทุกข์) ๒. รู้ชัดซึง่ เหตใุ หเ้ กิดแหง่ ขันธ์ ๕ ๓. รู้ชดั ซึ่งความดับไม่เหลือแหง่ ขนั ธ์ ๕ ๔. รู้ชดั ซึง่ ข้อปฏบิ ตั ิใหถ้ ึงความดบั ไม่เหลือแหง่ ขันธ์ ๕ คือ มรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ ในเชงิ ปฏบิ ตั ิ ท้งั การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ และสมาธจิ นถงึ วปิ สั สนา ในปฏิจจสมุปบาท แล้วการรู้จักที่มาของสุข ทุกข์ ว่าไม่ใช่มาจากผู้อื่นทำ� ไม่ใช่มาจากเราทำ� แต่มาจากผัสสะซึ่งหากฉลาดเห็นกระแสเหตุปัจจัยใน ผัสสะ ตามทม่ี นั เปน็ หมายถงึ เหน็ ตวั สภาวะทเ่ี ปน็ ปรมตั ถ์ ไมใ่ ชต่ วั ตน การเหน็ นัน้ กค็ รอบคลุมไปถงึ อรยิ สัจ ๔ ดังพทุ ธพจน์ต่อไปน้ี ภกิ ษุ ท.! ผทู้ ่เี ห็นจกั ษตุ ามทมี่ ันเป็น ผทู้ ่เี ห็นรูปทั้งหลายตามท่ีมันเปน็ ผูท้ เ่ี ห็นจักขวุ ญิ ญาณทง้ั หลายตามทม่ี ันเป็น ผ้ทู ่ีเหน็ จกั ขุสมั ผสั ทง้ั หลายตามที่มันเป็น ผูท้ ีเ่ หน็ เวทนาเป็นสุข-ทกุ ข์ หรือไมส่ ขุ ไม่ทุกข์ ทัง้ หลายตามที่มันเปน็ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ เพราะจกั ขสุ มั ผสั เปน็ ปจั จยั ๑๕๗
ตามทม่ี นั เปน็ ยอ่ มไมต่ ดิ พนั ในจกั ษุ ไมต่ ิดพนั ในรปู ทัง้ หลาย ไม่ตดิ พนั ในจกั ขวุ ิญญาณ ไมต่ ดิ พันในจักขสุ ัมผสั ไมต่ ดิ พนั ในเวทนาอนั เป็นสุขหรอื ทุกข์ หรอื ไม่สุขไมท่ กุ ขท์ เ่ี กดิ เพราะจกั ขสุ ัมผัสเป็นปัจจยั เม่อื ผู้นน้ั ไม่ติดพัน ไม่หมกมุ่น ไม่ลุ่มหลง รเู้ ทา่ ทนั เห็นโทษ ตระหนกั อยู่ อุปาทานขันธท์ ้งั ๕ ยอ่ มถงึ ความไม่ก่อต้ังพอกพนู ต่อไป (อริยสจั ข้อ ๑ รูท้ กุ ข์ วา่ โดยย่ออปุ าทานขนั ธ์ ๕ เป็นทุกข)์ อนึ่ง ตัณหาที่เป็นตัวการก่อภพใหม่อันประกอบด้วยนันทิราคะคอยแส่ เพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์ต่าง ๆ ก็จะถูกละไปด้วย (อริยสัจข้อ ๒ ละสมุทัย คือ ตัณหา) ความกระวนกระวายทางกายกด็ ี ความเรา่ รอ้ นใจกด็ ี ความกลดั กลมุ้ ทางกายก็ ดี ความกลดั กลมุ้ ทางใจกด็ ี ย่อมถูกเขาละได้ ผู้น้นั ย่อมเสวยท้ังความสขุ ทางกายท้ัง ความสขุ ทางใจ (อริยสจั ข้อ ๓ นิโรธ ดบั ทกุ ข)์ บคุ คลผเู้ ป็นเชน่ นนั้ แลว้ มีความเห็นอันใด ความเห็นนัน้ เปน็ สมั มาทิฏฐมิ ี ความดำ�ริใด ความด�ำ ริน้ันกเ็ ปน็ สัมมาสงั กปั ปะ มคี วามพยายามใด ความพยายาม นั้นก็เป็นสัมมาวายามะ มีความระลึกใด ความระลึกนั้นก็เป็นสัมมาสติ มสี มาธใิ ด สมาธนิ ัน้ ก็เปน็ สมั มาสมาธิ สว่ นกายกรรม วจกี รรม และอาชีวะของเขา ย่อมบรสิ ุทธิ์ ดมี าแตต่ น้ ทเี ดยี ว ดว้ ยประการดังนี้ เขาชือ่ วา่ มอี รยิ อัฏฐงั คกิ มรรค (อรยิ สจั ข้อ ๔ มรรคเจรญิ ) ๑๕๘
เมอ่ื เขาท�ำ อฏั ฐงั คกิ มรรค อนั เปน็ อรยิ ะ ใหเ้ จรญิ ดว้ ยอาการอยา่ งนอ้ี ยู่ สติปฏั ฐานทัง้ หลาย แมท้ ้งั ๔ ย่อมถงึ ซ่ึงความเตม็ รอบแหง่ ความเจริญ สัมมัปปธานทงั้ หลาย แมท้ ัง้ ๔ ยอ่ มถึงซึง่ ความเตม็ รอบแห่งความเจรญิ อิทธบิ าททง้ั หลาย แม้ท้ัง ๔ ย่อมถงึ ซ่ึงความเตม็ รอบแห่งความเจรญิ อินทรีย์ทงั้ หลาย แมท้ ง้ั ๕ ย่อมถงึ ซ่งึ ความเต็มรอบแห่งความเจริญ พละทัง้ หลาย แมท้ งั้ ๕ ย่อมถึงซึง่ ความเตม็ รอบแหง่ ความเจริญ โพชฌงคท์ ้งั หลาย แม้ทงั้ ๗ ย่อมถงึ ซึง่ ความเต็มรอบแหง่ ความเจรญิ ธรรมทัง้ ๒ คือ สมถะและวิปสั สนาของเขายอ่ มเป็นธรรมเคยี งคกู่ นั ไป บคุ คลน้ันยอ่ มกำ�หนดรู้ด้วยปญั ญาอนั ย่ิง ซึง่ ธรรมทัง้ หลาย อันบคุ คลพึง ก�ำ หนดรดู้ ว้ ยปัญญาอันย่ิง ยอ่ มละด้วยปัญญาอันยงิ่ ซ่ึงธรรมทั้งหลาย อนั บคุ คลพงึ ละดว้ ยปญั ญา อนั ย่ิง ยอ่ มเจริญดว้ ยปัญญาอนั ยิ่ง ซึ่งธรรมทง้ั หลาย อนั บคุ คลพึงเจริญอันยิ่ง ย่อมทำ�ใหแ้ จ้งดว้ ยปัญญาอันยงิ่ ซงึ่ ธรรมทง้ั หลาย อันบคุ คลพึงท�ำ ให้แจ้ง อนั ย่ิง ดกู ร ภกิ ษุ ท.! กธ็ รรมไหนเล่าเปน็ ธรรมอันบุคคลพึงกำ�หนดรู้ ด้วยปญั ญา อนั ยงิ่ คำ�ตอบพึงมีวา่ ปญั จุปาทานขันธท์ ัง้ หลาย กล่าวคือ ๑๕๙
๑. อุปาทานขันธ์ คอื รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ : ธรรมทัง้ หลาย เหล่านี้แลชอื่ ว่าเป็นธรรมอันบุคคลพงึ กำ�หนดรู้ดว้ ยปัญญาอนั ยงิ่ ฯ อวิชชา – ตัณหา เป็นธรรมอันบุคคลพึงละดว้ ยปญั ญาอนั ยงิ่ สมถะ วปิ สั สนา เปน็ ธรรมอนั บคุ คลพงึ ท�ำ ใหเ้ จรญิ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ วชิ ชา วิมุตติ เปน็ ธรรมอนั บุคคลพึงทำ�ให้แจ้งด้วยปัญญาอันย่งิ (ในกรณี หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ตรัสเช่นเดยี วกนั ) (อุปร.ิ ม. ๑๔/๕๒๓/๘๒๘) ในเชิงปฏิบตั ิ เม่ือมีสติจะเห็นธรรมท่ีถูกถักทอออกมาอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ล้วนเริ่ม ต้นมาจากผัสสะจึงไม่ควรประมาท กับการเจริญสติในชีวิตประจำ�วันจนรู้ชัด เข้าถึงตัวสภาวะทเ่ี ปน็ ปรมตั ถ์ ทส่ี ามารถแลเหน็ เป็นธรรมอันควรใครค่ รวญ ท้ัง ๓ ประการ คอื ๑. ธาตุ (คอื เหน็ เปน็ สภาวธรรมในระดบั ปรมตั ถอ์ ยา่ งรชู้ ดั รจู้ กั สมมติเรียกว่า “คน” แตไ่ มใ่ ช่ “คน”) ๑๖๐
๒. อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ (ซงึ่ กล็ ว้ นเป็นธาตแุ ละเปน็ เหตุ ปจั จัย) ๓. ปฏิจจสมุปบาท คอื เห็นเป็นกระแสเหตุปจั จยั ที่อาศยั กันเกดิ ขน้ึ คือ รปู กระทบ ตา ท�ำ ให้เกิดจกั ขุวญิ ญาณ การประจวบของธรรมทงั้ ๓ คือ ผสั สะ ส่งผลสู่ สุข-ทุกขเวทนา ในการเจริญสติ ตามดูเวทนาในเวทนา การรู้จักเวทนาขันธ์ว่าเกิด จากผัสสะอาศัยรูปฯ ย่อมร้จู ักในเวทนา เปน็ กระแสแหง่ ปัจจัย ไมใ่ ชต่ วั ตน ทำ�ให้ละตณั หาในเวทนาหรืออุปาทานขนั ธ์ ๕ คือ ตัณหาดับ อุปาทานจงึ ดบั กระบวนการปฏิจจสมุปบาทจึงประจักษ์ขึ้นตรงปัจจุบัน เพราะ สฬายตนะเป็นปจั จัย ผัสสะจึงมี เพราะผสั สะเป็นปัจจัย เวทนาจงึ มีฯ การเหน็ เช่นนีค้ ือสัมมาทิฏฐิ คือเหน็ ถูกว่าขันธ์ ๕ ไมใ่ ชต่ วั ตน และละสักกายทฏิ ฐิ คือ ละความเห็นผิดว่าขันธเ์ ป็นตวั ตน เม่อื ร้จู ักเวทนาว่าไม่ใช่ตัวตนหรือไม่ใช่เราได้รับสุข-ทุกขเวทนาแต่เป็น สภาวธรรม เปน็ ปรมัตถธรรมตัณหาจงึ ดับ อปุ าทานจงึ ดับ ภพ-ชาติ ดบั ฯ ทกุ ขด์ บั “ธาตคุ ือสขุ ธาตคุ ือทกุ ข์ ธาตคุ อื โสมนสั ธาตุคือโทมนัส ธาต ุ คอื อเุ บกขา ธาตุคืออวิชชา ภิกษุร้อู ยู่ เห็นอยู่ จงึ ควรเรยี กว่า ผฉู้ ลาดในธาตฯุ ” ดงั นน้ั การรจู้ กั สขุ -ทกุ ขเวทนา วา่ เปน็ เพยี งธาตมุ าจากผัสสะทง้ั ๖ โดย เฉพาะการสงั เกตเหน็ ธรรมารมณก์ ระทบใจ เกดิ มโนวญิ ญาณ เปน็ ผสั สะ สสู่ ุข-ทุกขเวทนา อันเป็นธาตุไม่ใช่ “คน” ย่อมประจักษ์ชัด ๑๖๑
ความจรงิ วา่ สุข-ทุกข์ไม่ใชม่ าจากคนอนื่ ทำ� หรอื ไมใ่ ช่มาจากเราทำ� เปน็ เพยี งสภาวธรรมทีอ่ าศยั ผัสสะ เปน็ กระแสเหตปุ จั จัย ไมใ่ ช่ “เรา” รู้ ชดั ว่า เป็นแค่สภาวธรรมลว้ น ๆ ไม่ใช่ “คน” การโต้ตอบเวทนาดว้ ย การหลงโทษคนอื่น ในมุมมองทห่ี ลงผิดดว้ ย ราคะ โทสะ โมหะ หรือ ตณั หา จงึ ถูกยุติบทบาทลงไป ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษนุ นั้ หนอ เมอื่ ตามเห็นสงั ขารไร ๆ โดยความเปน็ ของไม่เทีย่ ง อยู่จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมิกขันติ (ความสมควรแก่อนุโลมิกญาณ) ดังนี้นั้น น่ันเป็นฐานะทจี่ ะมไี ด้ ผปู้ ระกอบด้วยอนุโลมกิ ขนั ติ จกั หยงั่ ลงสูส่ มั มตั ตนิยาม (มรรค ๘ + สัมมาญาณ สมั มาวมิ ตุ ติ) ดงั นน้ี นั้ น่ันเป็นฐานะทจี่ ะมไี ด้ เมื่อหย่ังลงสูส่ มั มัตตนยิ ามอยู่ จักกระท�ำ ให้ แจ้งซงึ่ โสดาปตั ตผิ ล หรือสกทิ าคามผิ ล อนาคามผิ ล อรหตั ตผล ดงั น้ี น่ันเปน็ ฐานะทจี่ ะมีได้ (ฉกฺก.อํ. ๒๒/๔๙๐/๓๖๙) (ในกรณเี หน็ สงั ขาร เปน็ ทุกข์ เห็นธรรมเป็น อนตั ตา ตรัสนัยเดียวกัน) ๑๖๒
๒๒.ฉลาดในนพิ พาน
แท้จริงแล้วไมม่ ี “คน” มีแตธ่ รรมธาตุ การเข้าถงึ ธรรมธาตุน้ันตอ้ งมี ปัญญาในสัมมาทิฏฐิเห็นปฏิจจสมุปบาทและมีสมาธินำ�เข้าไปประจักษ์สภาวะ อันเปน็ ปรมัตถ์นน้ั ดังน้ันต้ังแต่บทแรกถึงบทสดุ ทา้ ยในหนังสอื เลม่ นไี้ ดน้ ำ�เอา ท่ีมาของสขุ -ทกุ ข์มาชใี้ หเ้ หน็ ว่า สขุ -ทกุ ขไ์ มไ่ ด้มาจากผอู้ ่ืนทำ� และไม่ใช่มา จากเราทำ� แต่มาจากผสั สะซงึ่ เมื่อแยกองคป์ ระกอบในผัสสะแลว้ กไ็ ม่เห็นสัก อณูท่ีเป็นอัตตาตวั ตนของใคร มีแตส่ ภาวธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม หรอื เปน็ ธรรมธาตุทง้ั สิน้ ภิกษุ ท.! ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ ไมเ่ ท่ยี ง เป็นทุกข์ เปน็ อนตั ตา แม้สิง่ ทเี่ ปน็ เหตุ เปน็ ปัจจัย ให้รูปฯ กไ็ มเ่ ที่ยง เปน็ ทุกข์ เปน็ อนตั ตา สิง่ ที่เกิดจากส่งิ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เปน็ อนตั ตา จักเปน็ ของเทย่ี ง เป็นสุข เปน็ อัตตาได้แตท่ ไี่ หน (สํ สฬ. ๑๘/๒๒๑-๖/๑๖๓-๕) ความเข้าใจเพียงแค่นี้หากมีสติกับชีวิตประจำ�วันตรงผัสสะขณะน้ี เชน่ เทา้ กระทบพน้ื โดยไมเ่ ตมิ ชอ่ื สมมตลิ งไป จะสมั ผสั ไดถ้ งึ ตวั สภาวะลว้ น ๆ ทเ่ี ปน็ ปรมตั ถธรรมตรงหนา้ สามารถรชู้ ดั ในผสั สะอนั อาศยั สง่ิ ทไ่ี มใ่ ชต่ วั ตน แล้วละความปรารถนาซึ่งสิ่งนั้น ไม่หมายมั่นซึ่งสิ่งนั้นว่าเป็นตัวตน และไม่ หมายมัน่ ยึดติดในคณุ สมบตั ิของสิ่งนั้น อนั เป็นเพยี งสภาวธรรมไมใ่ ช่ “คน” คือ ไมห่ ลงในชอ่ื สมมตจิ นขาดสตหิ ลงลืมสภาวะเดมิ ที่ไรช้ ือ่ อย่กู อ่ น ๑๖๔
“นี่แหละ มาร ท่านจะมีความเห็นยึดถือว่าเป็นสัตว์ได้อย่างไรในสภาวะที่ เป็นเพยี งกองแหง่ สังขารลว้ น ๆ นี้ จะหาตัวสตั ว์ไม่ไดเ้ ลย เปรยี บเหมอื นวา่ เพราะคุม ส่วนประกอบเขา้ ดว้ ยกนั ศพั ท์ว่า “รถ” ย่อมมฉี นั ใด เมอ่ื ขนั ธ์ท้งั หลายมอี ยู่ สมมติ ว่าสตั วก์ ็ยอ่ มมฉี ันนั้น” การเห็นความจริงในระดับสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ต้องใช้ทั้ง สติระลึกลงไปที่สิ่งนั้นจนรู้ชัดมีสมาธิอันละเอียดอ่อน และมีปัญญาในระดับ วปิ ัสสนา เห็นตามความเปน็ จรงิ การมีสมาธริ ู้สึกเขา้ ไปถึงองคป์ ระกอบอันเป็นตัวสภาวะทไี่ ม่ใช่ “คน” ยอ่ มไม่หมายมั่นในส่ิงนน้ั หรอื ไม่หมายมน่ั โดยคณุ สมบตั ขิ องส่งิ น้ันวา่ เป็นตัว ตนจริงจัง แม้ในผสั สะอันเปน็ เหตุปัจจัยใหเ้ กดิ สขุ -ทุกข์ ทีไ่ ม่ใช่มาจากผู้อ่ืนท�ำ ไมใ่ ช่มาจากเราทำ� หากเพิกถอนความหมายม่ัน ก็ย่อมคืนสู่ธรรมชาติ เดมิ ทไี่ รเ้ จา้ ของ ไร้ตัวตนอยู่ก่อน “ภิกษุ ท.! เราจกั แสดงปฏิปทาอนั สมควรแกก่ ารเพิกถอนความหมายมั่น ท้ังปวงแกพ่ วกเธอ ไมห่ มายมน่ั ซึ่งจกั ษุ ไมห่ มายม่ันในจักษุ ไม่หมายมน่ั โดยความเปน็ จกั ษุ ไมห่ มายมน่ั จักษุวา่ ของเรา ไม่หมายม่นั ซ่งึ รูป ฯ ไม่หมายมน่ั ซ่ึงจกั ขวุ ิญญาณ ฯ ๑๖๕
ไมห่ มายมั่นซง่ึ จกั ขุสมั ผสั ฯ ไม่หมายมน่ั ซ่งึ เวทนา อนั เกดิ จากจกั ขุสัมผัส เปน็ ปจั จยั อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกขก์ ต็ าม อนั เปน็ อทกุ ขมสขุ กต็ าม (หู จมกู ล้นิ กาย ใจ เชน่ เดยี วกนั ) ไมห่ มายมน่ั ซึ่ง (ปรารถนาตรงนนั้ ) ส่ิงท้ังปวง ไม่หมายมน่ั ใน (สิง่ ท่ีเป็นอย)ู่ สง่ิ ท้ังปวง ไม่หมายมน่ั โดย (คณุ สมบัติของสิ่งนั้น) ความเป็นส่ิงทัง้ ปวง ไมห่ มายมน่ั ส่งิ ท้งั ปวงวา่ ของเรา ภกิ ษุ ท.! เมอ่ื ไมม่ น่ั หมายอยอู่ ยา่ งน้ี กไ็ มถ่ อื มน่ั สง่ิ ใด ๆ ในโลก เมอ่ื ไมถ่ อื มน่ั ก็ไม่สะดุง้ , เม่ือไมส่ ะดุง้ กป็ รินิพพานเฉพาะตนนนั่ เทียว เธอน้ันย่อมรูช้ ัดวา่ “ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยอ์ ยู่จบแล้ว กิจทีค่ วรทำ�ได้ ส�ำ เรจ็ แล้ว” (-สฬา.ส๐.๑๘/๒๖/๓๓) พทุ ธพจนใ์ นบทนต้ี รสั ถงึ การเพกิ ถอนความหมายมน่ั คอื การละสมมติ เข้าไปเห็นสภาวะแท้ของสิ่งนั้นที่เป็นปรมัตถ์ ไร้การยึดถือซึ่งชื่อบัญญัติ ใน บัญญัติ โดยความเป็นบัญญัติ และไม่ยึดว่าเป็นของเราซึ่งต้องใช้สมาธิอัน ต้งั ม่ันเขา้ สูส่ ภาวะแทข้ องสง่ิ น้นั ดว้ ยปัญญาในวปิ สั สนาญาณ ภกิ ษุ ท.! ปถุ ชุ นในโลกน้ี ผไู้ มไ่ ดย้ นิ ไดฟ้ งั ไมฉ่ ลาดในธรรมของพระอรยิ เจา้ ฯ ย่อมเขา้ ใจนิพพานโดยความเปน็ นิพพาน ๑๖๖
เมื่อเข้าใจนิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมหมายมั่นซึ่งนิพพาน ยอ่ มหมายมนั่ ในนพิ พาน ยอ่ มหมายมั่นโดยความเปน็ นพิ พาน ย่อมหมายมั่นว่านิพพานเป็นของเรา ดังนี้ เขาย่อมเพลิดเพลินยิ่งต่อ นิพพาน (-ม.ู ม.๑๒/๑๕/๒) ศพั ทว์ า่ “นิพพาน” นน้ั ใชม้ าก่อนพทุ ธศาสนา อนั หมายถงึ จดุ หมาย สูงสดุ ในบางพระสูตรพวกพราหมณบ์ างคนมกั มคี วามเชือ่ ว่า รา่ งกายท่ี ปราศจากโรคภัยเป็นจดุ หมายสูงสดุ คือนิพพาน หรือการมีความสขุ อย่ใู น กามคณุ ทัง้ หลายเปน็ นพิ พาน คอื จดุ หมายสงู สุดของพราหมณ์กลุม่ น้ัน ๆ สุดแต่วา่ แต่ละลัทธิจะยดึ ถือเอาอะไรเป็นสิ่งสงู สดุ ของพวกเขา เมื่อพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้น ทรงยืมภาษาที่คนใช้กันดังที่ตรัสแก่ มารถึงสง่ิ สมมติ และยมื ใชแ้ ตไ่ มย่ ดึ ถือในสิง่ น้ัน ซึ่งสิง่ นัน้ โดยความ เปน็ สิง่ นนั้ แตท่ รงชใี้ ห้เห็นถงึ จดุ หมายสงู สดุ ในการพ้นทกุ ข์ คอื พน้ จากราคะ โทสะ โมหะ ดงั พุทธพจน์ตอ่ ไปนี้ ซ่ึงแมจ้ ะมชี ่อื มากมายแต่อย่ใู นความหมาย เดียวกนั คือ ความสน้ิ ไปจากราคะ โทสะ โมหะ \"ภกิ ษุ ท.! นพิ พานเป็นอย่างไรเลา่ ? ภิกษุ ท.! ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิน้ ไปแห่งโทสะ ความส้นิ ไป แหง่ โมหะอนั ใด ภิกษุ ท.! อนั น้ีแล เราเรียกว่า นิพพาน (สฬา.สํ. ๑๘/๑๕๒/๗๔๑) ๑๖๗
นพิ พานอธวิ จนะ
[ค�ำ ว่า “นิพพาน” ในขอ้ ความในสตู รอื่น ๆ เป็นอันมาก ไดท้ รงแสดง ไวด้ ้วย อธวิ จนะ คอื ค�ำ แทนช่ือตา่ ง ๆ กัน และมเี ร่อื งทจ่ี ะพึงศึกษา และปฏบิ ัติ อยา่ งเดยี วกัน คือ ทรงแสดงไวด้ ว้ ยค�ำ วา่ : - อสังขตะ (ธรรมทไ่ี มม่ ปี จั จยั ปรงุ แตง่ หรอื ปจั จยั ปรงุ แตง่ ไมไ่ ด)้ อนตะ (ธรรมทไี่ ม่น้อมไปในส่ิงใด หรือส่ิงใดนอ้ มไปไมไ่ ด้) อนาสวะ (ไมม่ อี าสวะอนั เปน็ สง่ิ เศรา้ หมองโดยประการทง้ั ปวง) สจั จะ (ของจริงเพยี งสงิ่ เดยี ว ไมม่ สี ิ่งทส่ี องเทยี บ) ปาระ (ฝัง่ นอกทกี่ เิ ลสและทกุ ขต์ ามไปไม่ถงึ ) นิปณุ ะ (ส่ิงละเอยี ดอ่อนส�ำ หรับการศกึ ษาและปฏบิ ตั ิ ไม่มี ส่ิงใดยง่ิ กว่า) สทุ ทุ ทสะ (อนั ผไู้ ม่สิน้ อาสวะเหน็ ได้ยากทสี่ ดุ ) อชัชชระ (ไม่มคี วามคร่ำ�คร่าลงโดยประการทั้งปวง) ธุวะ (ยั่งยืนมนั่ คงไม่แปรผนั ) อปโลกินะ (เปน็ ทจ่ี ้องมองแห่งสตั วเ์ พ่อื การบรรลถุ ึง) อนทิ ัสสนะ (ไม่มกี ารแสดงออกทางวัตถุ หรอื ทางตา ; ผอู้ ืน่ พลอยเห็นดว้ ยไมไ่ ด้) นปิ ปปญั จะ (ไมม่ ีเครอ่ื งกดี กน้ั ใหเ้ นิ่นชา้ เพราะวา่ งจากกิเลส) สันตะ (สงบ ระงบั จากการปรงุ แต่ง เสยี ดแทง เผาลน) ๑๖๙
อมตะ (ไม่ตายเพราะไม่มีการเกดิ เพราะไมอ่ ยใู่ นอ�ำ นาจ เหตปุ จั จยั ) ปณีตะ (ประณีตละเอยี ด เพราะพน้ ไปจากความเปน็ รูป ธรรมและนามธรรม) สวิ ะ (สงบเย็น เพราะไม่มไี ฟกิเลสและไฟทกุ ข์) เขมะ (เกษมจากสง่ิ รบกวนทกุ ชนิด) ตณั หกั ขยะ (เปน็ ทส่ี น้ิ ไปแหง่ ตณั หา หรอื ภาวะสน้ิ สดุ แหง่ ตณั หา) อจั ฉรยิ ะ (น่าอศั จรรย์ ไมม่ ีสงิ่ ใดนา่ อัศจรรย์เท่า) อัพภุตะ (ประหลาด ควรนำ�มาบอกกลา่ วในฐานะสงิ่ ทีไ่ ม่เคย บอกกล่าว) อนีตกิ ะ (ไม่มีเสนียดจัญไร เพราะพน้ ดีพ้นชัว่ ) อนตี กิ ธมั มะ (มีปรกติภาวะ ไม่มีเสนยี ดจัญไรเปน็ ธรรมดา) อัพยาปัชฌะ (ไมม่ ีความเบยี ดเบียนเป็นสภาวะ) วริ าคะ (ไมม่ คี วามยอ้ มตดิ ในสง่ิ ใด มแี ตจ่ ะท�ำ ใหค้ ลายออก) สุทธิ (บริสุทธิ์หมดจด เพราะไม่มีที่ตั้งแห่งความเศร้า หมอง) มตุ ต ิ (เปน็ ความปล่อย ความหลุดจากความยดึ ม่นั ถือมั่น ด้วยอุปาทาน) ๑๗๐
อนาลยะ (ไมเ่ ปน็ ทต่ี งั้ ที่อาศยั แหง่ กเิ ลสและความทุกข์) ทีปะ (เปน็ ดวงประทปี ทพี่ ่ึงของสัตว์ผูต้ กจมอยู่ในความ มืดคืออวชิ ชา) เลณะ (เป็นเสมือนที่หลบซอ่ นจากภยั ของสัตว์ผหู้ นีภยั ) ตาณะ (เป็นเสมือนทตี่ ้านทานของสัตว์ผแู้ สวงหาท่ ี ต้านทานข้าศกึ ศัตรู) สรณะ (เปน็ ท่แี ลน่ ไปส่แู หง่ จิตที่ร้สู กึ ว่ามีภยั ต้องการทพ่ี ่งึ ) ปรายนะ (เปน็ เป้าหมายเบื้องหน้าแหง่ สัตวผ์ ู้เวยี นวา่ ยอยู่ใน วฏั ฏะ) ค�ำ แทนช่อื กันและกันชนดิ น้ี ในบาลีทา่ นเรียกวา่ อธวิ จนะ ในท่ีน้เี ป็น อธวิ จนะของคำ�ว่า นิพพาน] (-สฬา.ส๐.๑๘/๔๔๑-๔๔๒, ๔๕๐-๔๕๓/๖๗๔-๖๘๔, ๗๒๐-๗๕๑.) ความหมายของนิพพานดังกล่าว คือความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะนั้น เป็นธรรมชาติเดิมอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นโลกุตรธรรมอันประเสริฐ เปน็ ทรพั ยป์ ระจ�ำ ตวั ส�ำ หรบั ทกุ คน และไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั ระหวา่ งวมิ ตุ ตกิ บั วมิ ตุ ติ ไมว่ ่าจะอยู่ในผใู้ ดดังพทุ ธพจน์ “พราหมณ์! เราบัญญัติโลกุตรธรรม อันประเสริฐว่าเป็นทรัพย์ประจำ�ตัว ส�ำ หรบั คน” (-ม.ม.๑๓/๖๑๔-๖๑๕/๖๖๕-๖๖๖) ๑๗๑
“มหาราช! ในกรณีนี้ ตถาคตไม่กล่าวความแตกต่างไร ๆ ในระหว่างชน เหล่านั้นเลย ในเมื่อกล่าวเปรียบเทียบกันถึงวิมุตติกับวิมุตติ” เดช (แห่งธรรม) อันวิริยะนฤมิตขึ้น อันปธานกระทำ�ให้เกิดขึ้นใด ๆ มีอยู่ ตถาคตไม่กล่าวความแตกต่างไร ๆ ให้เดช (แห่งธรรม) นั้น เมื่อกล่าวเทียบกันถึง วิมุตติกับวิมุตติดังนี้ (-ม.ม.๑๓/๕๒๒-๕๒๓/๕๗๘-๕๗๙) ความหมายของค�ำ ว่า วมิ ุตติ คือหลุดพน้ เป็นความปลอ่ ยหลดุ จาก ความถือม่นั ดว้ ยอุปาทาน ความหมายของคำ�ว่า ปธาน คอื ความเพียรปดิ กัน้ อกศุ ล คือ ราคะ โทสะ โมหะดงั กลา่ ว ซ่งึ ความหมายของนพิ พานทง้ั หมด ก็คือ การทำ�ให้สิ้นไปซง่ึ ราคะ โทสะ โมหะ อนั สอดคลอ้ งกบั ความหมาย ของเหตปุ ัจจยั อนั เกดิ จากการเข้าใจสขุ -ทุกขเวทนาไมใ่ ชม่ าจากผอู้ ืน่ ท�ำ ไม่ใช่ มาจากเราทำ� ละ ๑. ราคะสังโยชน์ ๒. ปฏฆิ ะสงั โยชน์ ๓. อวชิ ชาสงั โยชน์ จงึ ทำ�ใหก้ ารยึดมั่นในเวทนาดับลง ตัณหาจงึ ดบั ภพชาตจิ งึ ดับ “ดูกรสารีบุตร ถ้าคนทั้งหลายพึงถามเธออย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านสารีบุตร ท่านรู้อยู่อย่างไรจึงพยากรณ์อรหัตตผลว่า “ชาติสิ้นแล้ว ฯ กิจที่ควรทำ�ได้ทำ�เสร็จ แล้ว ฯ” “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฯ ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า ชาติมีสิ่งใดเป็นเหตุ เมื่อชาติสิ้นเพราะความสิ้นแห่งเหตุนั้น ฯ ชาติมีภพเป็นเหตุให้เกิด ฯ ภพมีอุปาทานเป็นเหตุให้เกิด ฯ ๑๗๒
อปุ ทานมตี ณั หาเปน็ เหตุใหเ้ กดิ ฯ ตณั หามเี วทนาเป็นเหตใุ หเ้ กดิ ฯ ส ่ิงน้นั ลว้ เนดเย๋ี ปว็นนทข้ี ุกา้ พข์เจา้ รแู้ ลว้ วา่ เวทนาทง้ั สามอยา่ งนน้ั เปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง เพราะรูอ้ ยู่ เหน็ อยูอ่ ย่างน้ี นันทิ จงึ ไมเ่ ข้าไปต้งั อยใู่ นเวทนาท้งั หลาย เพราะอาศัยวโิ มกข์อยา่ งไหน ท่านจึงพยากรณอ์ รหัตตผลวา่ ชาติสนิ้ แลว้ ฯ กจิ ทีค่ วรทำ�ได้ท�ำ เสร็จแล้ว ฯ เพราะอาศัยอชั ฌัตตวิโมกข์ (คือละความเผลอเพลนิ ละตณั หา) เพราะ ความสน้ิ ไปแห่งอปุ าทานทง้ั ปวง เราจึงเปน็ ผ้มู ีสติอย่ใู นลกั ษณะทีอ่ าสวะทัง้ หลายจะ ไหลไปตามไม่ได้ อนงึ่ เรายอ่ มไม่ดหู มน่ิ ซึ่งตนเองด้วย” (ส๐๑๖/๖๐/๑๐๖) การเขา้ ใจปฏจิ จสมุปบาทในสายดบั คอื การรู้จกั เวทนาทงั้ ๓ คอื สุข ทุกข์ อุเบกขา ว่าอาศัยผัสสะไม่ใช่มาจากผอู้ นื่ ท�ำ ไม่ใชม่ าจากเราทำ� และเห็น ผัสสะเหลา่ นั้นไมใ่ ชต่ วั ตน ทำ�ใหต้ ัณหาดับ อุปาทานดบั ภพชาติดบั แตไ่ มม่ ี ใครดบั หรอื ไมม่ ใี ครไปเกดิ เปน็ แตก่ ระแสเหตปุ จั จยั ทด่ี บั ดงั พทุ ธพจนน์ ้ี “ขา้ แตพ่ ระโคดมผเู้ จรญิ ภกิ ษผุ มู้ จี ติ พน้ วเิ ศษแลว้ จะไปเกดิ ในทใ่ี ดพระเจา้ ขา้ ? วงั สะ หากมคี นถามทา่ นวา่ ไฟดบั ไปตอ่ หนา้ ทา่ นนน้ั มนั ไปทางทศิ ไหนเสยี ฯ ถ้าเชือ้ น้ันสนิ้ ไปแล้ว ทัง้ ไมม่ อี ะไรอืน่ เปน็ เช้อื อกี ไฟน้นั กค็ วรนับวา่ ไมม่ ีเช้อื ดบั ไปแลว้ ” (-ม.ม.๑๓/๒๔๕-๒๔๗/๒๔๘-๒๕๑) ความหมายของปฏิจจสมุปบาททงั้ ในสายเกิด คอื สมทุ ัย และสายดบั ๑๗๓
คือ นิโรธ นั้นเปน็ ของปราณีต ไม่เป็นวสิ ยั แหง่ ตรรก คือไม่ใชแ้ คก่ ารนกึ คิด แต่ตอ้ งประจักษ์เขา้ ถงึ ตัวสภาวะเหลา่ นัน้ อนั เปน็ ธรรมธาตุ ไมใ่ ช่ \"คน\" ดงั พุทธพจนน์ ท้ี ีก่ ล่าวถึงคาถาอนั น่าเศรา้ “ธรรมทีเ่ ราได้บรรลุแลว้ น้ี เปน็ ธรรมอันลกึ ซงึ้ เห็นได้ยาก รูต้ ามได้ยาก สงบ ร ะงับ ประณตี ไมเ่ ปน็ วสิ ยั แห่งตรรก ละเอยี ด บณั ฑติ จงึ จะรู้ได”้ ก็แหละหมู่ประชานี้เป็นผู้เริงรมย์อยู่ด้วยอาลัย (ความยึดติด) ยินดีอยู่ใน อาลัย ระเริงอยูใ่ นอาลยั สำ�หรับหมู่ประชาผเู้ ริงรมย์ เพลิดเพลนิ แลว้ ในอาลยั ยาก นักท่จี ะเหน็ ส่ิงนี้คือ หลักอิทปั ปัจจยตาปฏจิ จสมุปบาท กล่าวคอื ความทส่ี ่งิ นีน้ ีเ้ ป็น ปจั จัยแกส่ ิ่งน้นี ี้ และยากนักท่เี ห็นแม้สิ่งนี้คือนิพพาน อนั เปน็ ธรรมท่สี งบระงับแหง่ สงั ขารทัง้ ปวง เป็นธรรมอันสลัด คืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความ จางคลาย เปน็ ความดับไม่เหลอื แหง่ ทุกข์ หากเราพึงแสดงธรรมแล้วคนอ่นื ไมเ่ ข้าใจ ข้อนัน้ จักเปน็ ความเหนอื่ ยเปลา่ แก่เรา เป็นความล�ำ บากแกเ่ รา โอ, ราชกมุ าร คาถา อันน่าเศรา้ เหลา่ น้ีท่ีเราไม่เคยฟังมาก่อนได้ปรากฏแจ่มแจง้ แก่เราว่า “กาลนไี้ ม่ควรประกาศธรรมทเ่ี ราบรรลุไดแ้ ลว้ โดยยาก ธรรมน้ี สตั วท์ ี่ถูกราคะ โทสะ ปิดก้ันแลว้ ไมร่ ู้ได้โดยง่ายเลย สัตวผ์ ูก้ ำ�หนัดแล้วด้วยราคะ อันความมืดหอ่ หมุ้ แลว้ จักไม่เหน็ ธรรมอันไปทวนกระแส อนั เปน็ ธรรมละเอียดลกึ ซึง้ เห็นได้ยาก เป็นอณู” ดังนี้ (ม.ม.๑๓/๔๖๑/๕๐๙) ๑๗๔
คาถาอันน่าเศร้าข้างต้นนี้ มีคำ�ว่า \"เป็นอณู\" คือไม่มีสักอณูที่อัตตา ตัวตนของใครอยใู่ นนนั้ และคำ�วา่ ไม่ใช่วสิ ยั แหง่ ตรรก รวมถงึ ค�ำ วา่ ประณีต ชวนให้ผ้ทู ี่ฉลาดและประณีตทั้งหลายได้ร้สู กึ สสู่ ภาวะใหล้ ึกซ้ึง โดยเฉพาะการ ท่ีพระพทุ ธองคท์ รงตรัสวา่ “ผู้ใดเหน็ ปฏิจจสมุปบาท ผู้นน้ั ชือ่ ว่าเหน็ ธรรม และผู้ ใดเหน็ ธรรม ผู้นั้นเหน็ ตถาคต” ซึ่งปฏิจจสมปุ บาททงั้ สายเกิดและสายดับนล้ี ว้ น เป็นธรรมธาตุ อันมคี วามตัง้ อย่แู หง่ ธรรมดาอยแู่ ลว้ ตลอดเวลา คอื ทั้งหมด ทั้งสิน้ ล้วนมแี ตธ่ รรมธาตุไมม่ อี ัตตาตวั ตนของใครสกั อณอู ยู่ในนนั้ “ดกู รภิกษุ ท.! ตถาคตทง้ั หลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตามไมบ่ งั เกิดข้นึ ก็ตาม ธรรมธาตนุ ้ันยอ่ มต้ังอยู่แลว้ นน่ั เทยี ว คอื ความตงั้ อยแู่ ห่งธรรมดา คือความเปน็ กฎ ตายตัวแหง่ ธรรมดา คือความทีเ่ มื่อมสี ิ่งน้นี เ้ี ป็นปจั จัย สงิ่ นี้น้จี งึ เกดิ ขึ้น” ธรรมธาตใุ ด ในกรณีนัน้ อนั เปน็ ตถตา คอื ความเป็นอยา่ งนั้น อวิตถตา คอื ความไม่ผิดจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญถตา ความไม่เป็นโดยประการอื่น ๆ เพราะผสั สะเปน็ ปัจจยั เวทนาย่อมมี ฯ ถา้ ภกิ ษุเป็นผหู้ ลุดพน้ แลว้ เพราะความเบ่ือหน่าย เพราะความคลายกำ�หนัด เพราะความดับไมเ่ หลือแหง่ เวทนา ด้วยความเปน็ ผู้ไม่ยดึ ม่ันถือม่นั อย่แู ล้วไซร้ ก็ เปน็ การสมควรเรียกภิกษนุ น้ั วา่ “ภิกษุผู้บรรลแุ ลว้ ซ่ึงนพิ พานในทฏิ ฐธรรม” ในกรณแี ห่งปฏิจจสมุปบาทท้ังหมด ตรสั แบบเดยี วกนั โดยความเป็น ธรรมธาตุทั้งหมด ตั้งแต่อวิชชาถึงชรา มรณะ คือเกิดวิปัสสนาญาณเห็น ปรมตั ถสภาวะ คอื ความไม่ยดึ ถือมั่นโดยสมมติว่าเป็นบคุ คล เรา เขา หากมี สมาธเิ ขา้ ไปประจกั ษย์ อ่ มเหน็ ทง้ั หมดเปน็ ธรรมธาตุ ไมใ่ ชต่ วั ตน เปน็ อณูอัน ละเอียดลึกซึ้ง ย่อมละความยึดมั่นถือมั่นว่า ธรรมธาตุเหล่านั้นเป็นอัตตา ตัวตนของใครท้งั ภายในภายนอก เมือ่ ไม่ยึดมัน่ จิตทีต่ งั้ มนั่ อยู่ในสมาธกิ เ็ ป็น ๑๗๕
อสิ ระ กว้างขวางไมม่ ขี อบเขตแห่งตัวตน คือนพิ พานในทฏิ ฐธรรม (ปจั จบุ ัน) ซงึ่ การเหน็ น้นั ก็ไม่ยดึ มั่นแม้ในนิพพาน ดังพทุ ธพจน์นี้ “เม่อื รชู้ ัดแจง้ ซึ่งนพิ พานโดยสกั แต่วา่ เป็นนิพพานแล้ว ยอ่ มไมเ่ ป็นผูห้ มายมั่น ซงึ่ นพิ พาน ไมห่ มายมนั่ ใน นพิ พาน ไม่หมายมน่ั โดยความเป็น นพิ พาน ไม่หมายมั่นวา่ นิพพานของเรา จึงไม่เป็นผ้เู พลิดเพลนิ ซง่ึ นพิ พาน (ม.ู ม.๑๒/๗/๔) ในการปฏิบตั ิ พกั การอา่ นอยา่ งสบาย ๆ ผอ่ นคลายออกไปเดนิ อยา่ ง รสู้ กึ ตวั โปรง่ เบาไม่แบกความปรารถนาใด ๆ ไวใ้ นใจเปน็ ภาระ ทอดสายตา มองตน้ ไม้ใบไม้ นก และผีเสือ้ ท่ีกำ�ลังโผบนิ สังเกตดูใจโดยไมใ่ ส่ค�ำ วา่ ต้นไม้ ไมว่ า่ อายตนะ ผสั สะ ลว้ นเปน็ ธรรมธาตทุ ต่ี ง้ั อยอู่ ยา่ งนน้ั ในทกุ สรรพสตั วก์ ล็ ว้ น มอี ายตนะ ผสั สะ เวทนาอันเป็นธรรมธาตุทง้ั หมด ไมใ่ ช่สัตว์ ตวั ตน บคุ คล เรา เขาแต่อยา่ งใด จะเกิดรอยย้ิมแหง่ ความเบิกบานขึ้นในใจโดยมไิ ด้เจตนา ในเชิงปฏบิ ัติ มองทกุ อยา่ งเปน็ ธรรมธาตใุ นหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท พระโสดาบนั เปน็ ผมู้ ี ความเทีย่ งแทใ้ นพระสัทธรรม คือเขา้ ใจในเหตแุ ละผลลพั ธ์ แล้วลงมอื ปฏบิ ตั ิ ยอ่ มได้รบั ผลดังกลา่ วแน่นอน ดงั นน้ั เมอ่ื ผปู้ ฏบิ ตั ไิ ดเ้ ขา้ ใจหลกั แหง่ ธรรมแลว้ ธรรมนน้ั แหละจะรกั ษา ๑๗๖
ผปู้ ฏบิ ตั ติ ง้ั แตก่ ารเจรญิ สตกิ บั ชวี ติ ประจ�ำ วนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การจ�ำ สภาวะ ไดแ้ มน่ ย�ำ ทเ่ี ปน็ ปรมตั ถธรรมเปน็ ธรรมธาตุ ในขณะเหน็ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ผัสสะ เวทนา อันเป็นธรรมธาตุล้วน ๆ ไม่ใช่ตัวตน ขณะเห็นจิตในจิตที่นำ� วจีสังขารภายนอกมาปรุงเป็นวจีสังขารภายในอันเป็นสมมติบัญญัติ แล้ว ละสมมตบิ ญั ญัติ เป็นการเหน็ กระแสเหตปุ ัจจยั ไม่ใช่ “เราคดิ ” หรอื เอากาย สังขารภายนอกมาปรุงจิตตสังขารภายในกระตุ้นให้กายสังขารทำ�งานตาม จติ ตสงั ขาร เมอ่ื รจู้ กั วา่ สงั ขารทง้ั ภายนอกภายในเปน็ เพยี งการปรงุ แตง่ แลว้ ไม่ ทำ�ตาม ความปรุงแตง่ จึงดับไป สงั เกตเหน็ ความดับไปตรงขณะน้นั เปน็ การ ละเสยี ไดซ้ ง่ึ ความโศก ความคร่ำ�ครวญ ร�ำ พงึ ร�ำ พนั ทกุ ขโ์ ทมนสั ความคบั แคน้ ใจ ย่อมอยู่เป็นสุข ซึ่งพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “เรากล่าวว่า เป็นภิกษุผู้ ตทังคนิพพุโต (ดับเย็นด้วยองค์ธรรมนั้น ๆ) ดังนี้ (ขนธฺ.สํ. ๑๗/๕๔/๘๘) หรือใน ค�ำ กล่าวของพระอานนท์ต่อพระอทุ ายี “อาวโุ ส ! ภิกษุในกรณนี ี้สงัดแล้วจากกาม สงดั แลว้ จากอกุศลธรรม เขา้ ถงึ ปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปิติและสุข อันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่ อาวุโส ! ตทังคนิพพาน อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยปรยิ าย (ในกรณแี หง่ ฌาน ๒ – ๓ – ๔ จนถงึ อรูปฌาน ๔ และสญั ญาเวทยิตนิโรธ) (นวก.อ.ํ ๒๓/๔๗๕/๒๕๔) เมอ่ื ผปู้ ฏบิ ตั เิ จรญิ สมาธิ วปิ สั สนาญาณจะเกดิ ขน้ึ ตามล�ำ ดบั โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสังขารุเปกขาญาณ คือเห็นสังขารขันธ์ คือความคิดปรุงแต่งดับไป อสงั ขตะคอื ธรรมทไ่ี มม่ ปี จั จยั ปรงุ แตง่ หรอื ปจั จยั ปรงุ แตง่ ไมไ่ ด้ หรอื ความ ปรุงแตง่ เขา้ ไปตั้งอยู่ไมไ่ ด้ ก็ปรากฏ ดงั นั้ง การเจรญิ สติ สมาธิ วปิ ัสสนา คอื การเหน็ ลักษณะเกดิ – ดับของ ขนั ธ์ ๕ ตา่ ง ๆ ทง้ั อดตี ปัจจุบนั อนาคต เม่อื เขา้ ใจเชน่ นี้ท�ำ ใหไ้ ม่หลงลืมสติ ๑๗๗
ผ้ปู ฏิบัติ จึงควรเจริญสมั มาสมาธิ คือฌานในระดบั ต่าง ๆ ไว้เสมอ ๆ พอได้ สัมผัสกับตทังคนิพพานท่ีพระพุทธองค์ทรงผ่อนผันมาเพื่อให้เข้าใจและสัมผัส ได้งา่ ยขน้ึ โดยไมค่ วรทอ้ แท้วา่ วาสนาบารมียังไมพ่ อ ซ่งึ ความคดิ ในเชงิ มานะ ว่า เราโงห่ รอื เลวเกินไป ก็ปิดก้ันปญั ญาไมใ่ ห้เห็นความจรงิ ทีพ่ ระพุทธองค์ ทรงตรสั ว่า “โลกุตรธรรมเปน็ ทรพั ย์ของทุกคน” ดงั นัน้ ในการฉลาดร้วู ่า สขุ ทกุ ข์ ไม่ได้มาจากตนหรือผอู้ ่นื ท�ำ แต่ มาจากผสั สะ ยอ่ มไมเ่ บยี ดเบยี นตนและผอู้ น่ื กพ็ อไดส้ มั ผสั ความสงบเยน็ อัน ประณีต เพราะนิพพานมีอีกชื่อว่า อัพยาปัชฌะ คือไม่มีความเบียดเบียน เป็นสภาวะ หรือการมีสติรักษาจิตให้ปรกติ เพราะนิพพานมีอีกชื่อว่า อนีติกธัมมะ มีปกติภาวะไมม่ ีเสนียดจัญไรเป็นสภาวะ ทดลองทบทวนดู อธิวจนะต่าง ๆ ของนิพพาน ดงั กล่าวแล้วข้างตน้ แล้วปฏบิ ตั ธิ รรมอนั เปน็ เครอ่ื งอยขู่ องพระอรยิ เจา้ ทง้ั ในอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต และมีเครื่องอยู่ ๑๐ ประการเหล่านด้ี ู ๑๗๘
ธรรมเปน็ เครอ่ื งอยู่ของพระอรยิ เจ้า (อรยิ วาส)
ภิกษุ ท.! การอย่แู บบพระอริยเจา้ ซึ่งพระอรยิ เจา้ ทงั้ หลาย ไดอ้ ยู่มาแล้วก็ดี กำ�ลังอยใู่ นบดั น้ีกด็ ี จกั อยู่ตอ่ ไปกด็ ี มีเคร่ืองอยูส่ บิ ประการเหลา่ น้ี ๑๐ ประการอะไร บา้ งเล่า? ๑๐ ประการ คือ ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้ขาด ประกอบพร้อมด้วยองค์ ๖ มอี ารกั ขาอยา่ งเดยี ว มพี นกั พงิ ๔ ดา้ น เปน็ ผถู้ อนความเหน็ วา่ จรงิ ดง่ิ ไปคนละทาง ขน้ึ เสยี แลว้ เปน็ ผลู้ ะการแสวงหาสน้ิ เชงิ แลว้ เปน็ ผมู้ คี วามด�ำ รอิ นั ไมข่ นุ่ มวั เปน็ ผมู้ กี าย สงั ขารอนั สงบร�ำ งบั แลว้ เปน็ ผมู้ จี ติ หลดุ พน้ ดว้ ยดี เปน็ ผมู้ ปี ญั ญาในความหลดุ พน้ ดว้ ยดี ภกิ ษุ ท.! (๑) ภกิ ษุ เปน็ ผู้ ละองค์ ๕ ได้ ขาด เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เปน็ ผลู้ ะกามฉนั ทะ ละพยาบาท ละถนิ มทิ ธะ ละอทุ ธจั จกกุ กจุ จะ และละวจิ กิ จิ ฉาไดแ้ ลว้ ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษอุ ยา่ งน้ี ชอ่ื วา่ เปน็ ผลู้ ะองคห์ า้ ไดข้ าด ภกิ ษุ ท.! (๒) ภกิ ษเุ ปน็ ผู้ ประกอบพรอ้ มดว้ ยองค์ ๖ เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษุ ท.! ภิกษใุ นกรณีนี้ ได้ยินเสยี งดว้ ยหู ได้ดมกลิ่นด้วยจมกู ,ได้ลม้ิ รส ด้วยล้ิน ได้สมั ผสั โผฏฐพั พะดว้ ยกาย และไดร้ ธู้ รรมารมณ์ดว้ ยใจแลว้ กเ็ ปน็ ผู้ไมด่ ใี จ ไม่เสยี ใจ มีอุเบกขา มสี ติ มีสัมปชญั ญะอยู่ได้ ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษุอยา่ งน้ี ชื่อว่าเปน็ ผู้ ประกอบพรอ้ มดว้ ยองค์ ๖ ภกิ ษุ ท.! (๓) ภกิ ษเุ ปน็ ผู้ มอี ารกั ขาอยา่ งเดยี ว เปน็ อยา่ งไรเลา่ ? ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี ประกอบการรกั ษาจติ ดว้ ยสติ ๑๘๐
ภกิ ษุ ท.! ภิกษอุ ย่างนี้ ช่ือว่ามอี ารกั ขาอย่างเดยี ว ภกิ ษุ ท.! (๔) ภิกษเุ ป็นผ้มู ีพนกั พิง ๔ ดา้ น เปน็ อยา่ งไรเล่า? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ พิจารณาแล้วเสพของสิ่งหนึ่ง พิจารณาแล้ว อดกลนั้ ของสิง่ หนงึ่ พิจารณาแลว้ เว้นขาดของสิง่ หนึง่ พิจารณาแล้วบรรเทาของสิ่ง หนง่ึ ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษุอย่างน้ี ชื่อวา่ เปน็ ผมู้ ีพนักพิง ๔ ด้าน ภิกษุ ท.! (๕) ภิกษเุ ปน็ ผถู้ อนความเห็นวา่ จริงดิ่งไปคนละทางขน้ึ เสยี แล้ว เป็นอย่างไรเลา่ ? ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษใุ นกรณนี ี้ เปน็ ผู้ถอน สละ คาย ปล่อย ละ ท้งิ เสยี แลว้ ซ่งึ ความเห็นว่าจริงดิง่ ไปคนละทางมากอยา่ งของเหลา่ สมณพราหมณม์ ากผู้ดว้ ยกนั ที่มี ความเหน็ ว่า “โลกเที่ยงบ้าง โลกไม่เทย่ี งบ้าง โลกมีทส่ี ดุ บา้ ง โลกไม่มที สี่ ดุ บ้าง ชวี ะก็ อนั น้นั สรรี ะกอ็ ันน้ันบา้ ง ชีวะก็อนั อน่ื สรรี ะกอ็ ันอ่ืนบา้ ง ตถาคตภายหลังแต่การตาย ย่อมมีอีกบ้าง ตถาคตภายหลังแต่การตาย ยอ่ มไม่มีอกี บ้าง ตถาคตภายหลังแตก่ าร ตาย ย่อมมอี กี ก็มีไมม่ ีอีกกม็ บี า้ ง ตถาคตภายหลัง แตก่ ารตาย ยอ่ มมอี กี ก็หามิได้ ไมม่ ีอีกก็หามิได้บา้ ง ภกิ ษุ ท.! ภิกษอุ ย่างน้ี ชอ่ื ว่าเปน็ ผถู้ อนความเห็นว่าจริงด่งิ ไปคนละทาง (ปจั เจกสจั จะ) ขนึ้ เสียแล้ว ภิกษุ ท.! (๖) ภกิ ษุเปน็ ผู้ ละการแสวงหาส้นิ เชิงแลว้ เป็นอยา่ งไรเลา่ ? ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณนี ี้ ผลู้ ะการแสวงหากามแล้ว เปน็ ผูล้ ะการแสวงหาภพ แล้ว และการแสวงหาพรหมจรรย์ของเธอนน้ั กร็ ะงับไปแลว้ ๑๘๑
ภกิ ษุ ท.! ภิกษุอย่างน้ี ชื่อวา่ เป็นผ้ลู ะการแสวงหาสน้ิ เชิงแล้ว ภิกษุ ท.! (๗) ภกิ ษเุ ป็นผู้ มีความด�ำ ริไมข่ ุ่นมวั เป็นอยา่ งไรเลา่ ? ภิกษุ ท.! ภกิ ษุในกรณนี ี้ เป็นผู้ละความดำ�รใิ นทาง กามเสยี แล้ว, เป็นผลู้ ะความด�ำ ริในทางพยาบาทเสยี แล้ว และเปน็ ผู้ละความดำ�ริในทางเบยี ดเบยี นเสียแลว้ ภกิ ษุ ท.! ภิกษุอยา่ งน้ี ชือ่ ว่าเป็นผมู้ ี ความดำ�ริไม่ขุ่นมวั ภิกษุ ท.! (๘) ภิกษุเป็นผู้ มีกายสงั ขาร อนั สงบร�ำ งบั แล้ว เปน็ อยา่ งไรเล่า? ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษุในกรณีน้ี เพราะละสขุ เสียได้ เพราะละทกุ ขเ์ สียได้ และเพราะความดับ หายไปแห่งโสมนัสและโทมนสั ในกาลก่อน จงึ บรรลุฌานท่ี ๔ อนั ไม่มีทกุ ขแ์ ละสขุ มีแตค่ วามที่ สติเปน็ ธรรมชาตทิ ่บี ริสทุ ธิเ์ พราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ ภกิ ษุ ท.! ภิกษุอยา่ งนี้ ชอ่ื วา่ เป็นผมู้ ีกายสงั ขาร อันสงบร�ำ งับแล้ว ภิกษุ ท.! (๙) ภกิ ษเุ ป็นผู้ มจี ิตหลดุ พน้ ด้วยดี เปน็ อยา่ งไรเล่า? ภิกษุ ท.! ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี เปน็ ผมู้ ีจติ หลดุ พ้นแล้วจากราคะ จากโทสะ จากโมหะ ๑๘๒
ภิกษุ ท.! ภกิ ษุอยา่ งนี้ ชื่อวา่ เปน็ ผมู้ จี ิตหลุดพ้นด้วยดี ภกิ ษุ ท.! (๑๐) ภกิ ษเุ ปน็ ผู้ มีปัญญาในความหลุดพน้ ด้วยดี เป็นอย่างไรเลา่ ? ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษุในกรณีนี้ ย่อมรชู้ ัดวา่ “เราละ ราคะ โทสะ โมหะ เสยี แลว้ ” ถอนขึน้ ได้กระท่ังราก ท�ำ ใหเ้ หมือนตาลยอดเนา่ ไมใ่ หม้ ี ไม่ให้เกดิ ได้อกี ตอ่ ไป ดังน้ี ภกิ ษุ ท.! ภิกษุอยา่ งนี้ ชอื่ ว่าเปน็ ผมู้ ปี ญั ญาใน ความหลดุ พน้ ด้วยดี ภิกษุ ท.! ในกาลยืดยาวฝ่ายอดีต พระอริยเจ้า เหล่าใดเหล่าหนง่ึ ไดเ้ ป็นอยู่แล้วอย่างพระอรยิ เจ้า พระอริยเจา้ ท้งั หมดเหล่านนั้ กไ็ ด้เป็นอยู่แล้วใน การอยู่อยา่ งพระอรยิ เจา้ ๑๐ ประการนเ้ี หมอื นกัน ภิกษุ ท.! ในกาล บัดน้ี พระอริยเจา้ เหลา่ ใดเหลา่ หน่ึง กำ�ลังเป็น อยู่อย่างพระอริยเจา้ พระอริยเจ้าทัง้ หมดเหล่าน้นั ก็ก�ำ ลงั เป็นอยู่ ในการอยอู่ ย่างพระอริยเจา้ ๑๐ ประการนีเ้ หมอื นกัน ภิกษุ ท.! การอย่แู บบพระอริยเจา้ ซ่งึ พระอรยิ เจา้ ทั้งหลายได้อยู่มาแล้วกด็ ี กำ�ลงั อยู่ในบดั นกี้ ็ดี จักอยูต่ ่อไปก็ดี มีเครือ่ งอยู่ ๑๐ ประการเหล่านแี้ ล (ทสก.อ.ํ ๒๔/๓๑-๓๔/๒๐) ๑๘๓
ข่าวส�ำ หรับผู้สนใจปฏบิ ัติธรรม วัดพระธาตผุ าซอ่ นแก้ว ได้จดั ตารางการปฏบิ ัตสิ �ำ หรับผสู้ นใจ ต้งั แต่เดอื นมกราคม - เดือนธันวาคม (เวน้ เดือนพฤษภาคมและเดือนพฤศจกิ ายน) เดือนละ ๑ ครั้ง โดยแบง่ เปน็ ๑). หลกั สูตร “อยู่กับรู้” ระยะเวลา ๔ วนั สำ�หรับบคุ คลท่ัวไป รับกล่มุ ละ ๑๔๐ คน ๒). หลักสตู ร “วิเวก” (พกั เดีย่ ว ปดิ วาจา) ระยะเวลา ๕ วนั สำ�หรบั ผ้ทู ่ีเคยมาปฏบิ ตั ธิ รรมทวี่ ัดแล้ว รบั กลุ่มละ ๕๐ คน โดยขอสงวนสิทธิ์ให้ผูป้ ฏิบัติแต่ละท่านสามารถสมัคร หลกั สตู ร “อย่กู บั ร”ู้ ได้ ๒ ครงั้ และหลกั สตู ร “วเิ วก” ได้ ๑ คร้งั / ปี เพอ่ื เปิดโอกาสให้กบั ผสู้ นใจทา่ นอ่นื ๆ ซึ่งมีเป็นจำ�นวนมาก ท่านทส่ี นใจกรณุ าอ่านรายละเอยี ดของแตล่ ะหลกั สูตรเพิม่ เตมิ ไดท้ ่ี www.phasornkaew.org (โปรดอา่ นรายละเอียดให้ครบ กอ่ นกรอกใบสมัคร)
ขอเชิญสาธุชนรว่ มสนับสนุนงานวปิ สั สนากรรมฐาน ของวดั พระธาตุผาซอ่ นแก้ว โดยกรณุ าโอนเงนิ เขา้ บญั ชี ธนาคารไทยพาณชิ ย์ สาขาเพชรบรู ณ์ บญั ชีออมทรัพย์ ช่อื บัญชี วดั พระธาตุผาแกว้ (เพื่อเผยแพรพ่ ระสทั ธรรม) เลขที่บัญชี ๕๙๗-๒๓๕-๙๐๒๒ หากทา่ นโอนเงนิ แลว้ กรุณาแจ้งใหท้ ราบทาง email: [email protected] เพอ่ื ด�ำ เนินการตามความประสงค์ของท่าน และออกใบอนุโมทนาบตั รให้ต่อไป
ระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงวัดพระธาตุผาซอนแกว โดยประมาณ 5.30 - 6 ช.ม. (425 ก.ม.)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188