Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Chalardmaijumgudkarn

Chalardmaijumgudkarn

Description: Chalardmaijumgudkarn

Search

Read the Text Version

๗. ฉลาดอย่างมสี ติ

สตินั้นเกิดจากความจำ�ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจำ�ได้ว่า สุข-ทุกข์ไม่ใช่มาจากผู้อื่นท�ำ ไม่ใช่มาจากเราท�ำ แตม่ าจากผสั สะ ซ่ึงอาศยั อายตนะภายใน ภายนอก ซ่งึ ไม่ใชต่ วั ตน ค�ำ วา่ “มีสติ กำ�กบั ใจ เปน็ อยอู่ ยา่ งผู้มจี ิตกวา้ งขวางไม่มีประมาณ” นั้นตรงข้ามกบั คำ�ว่า “มิได้มสี ติก�ำ กบั ใจ เป็นอยโู่ ดยจติ คับแคบ” “ภิกษุ ท.! ปถุ ชุ น ผูไ้ มม่ ีการสดบั ถกู ตอ้ ง ทกุ ขเวทนาในสรรี ะนอี้ ยู่ ยอ่ มเศรา้ โศก ยอ่ มล�ำ บากใจ รำ�่ ไรรำ�พัน เปน็ ผูท้ ุบอกร้องไห้ ย่อมถึงความมีสตฟิ ัน่ เฟือน” ดังน้นั การมสี ตกิ ำ�กับใจและการขาดสตกิ �ำ กบั ใจ จึงมีผลต่างกัน มีสติ ทำ�ใหเ้ หน็ เหตุปัจจยั อยา่ งใจกวา้ ง และการขาดสตทิ ำ�ให้ใจแคบฟน่ั เฟือน ค�ำ ว่า ฟน่ั เฟอื น คือวิปลาส ๓ จ�ำ ผิด คดิ ผดิ เห็นผดิ ภิกษุ ท.! สญั ญาวปิ ลาส จติ วปิ ลาส ทฏิ ฐวิ ิปลาส ๔ อยา่ ง ๑. สญั ญาวปิ ลาส จติ วปิ ลาส ทิฏฐวิ ปิ ลาส ในสง่ิ ท่ีไมเ่ ที่ยง ว่าเที่ยง ๒. สัญญาวิปลาส จติ วิปลาส ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส ในสง่ิ เป็นทกุ ข์ วา่ เปน็ สขุ ๓. สญั ญาวิปลาส จิตวิปลาส ทฏิ ฐวิ ิปลาส ในสิง่ มิใช่ตวั ตน วา่ เป็นตวั ตน ๔. สญั ญาวิปลาส จิตวปิ ลาส ทิฏฐิวิปลาส ในสิ่งท่ไี มง่ าม ว่างาม สว่ นความจ�ำ อนั ถกู ตอ้ ง คอื ถริ สญั ญาเปน็ เหตใุ กลใ้ หเ้ กดิ สติ หรอื สญั ญาทเ่ี ปน็ สว่ นประกอบแหง่ วชิ ชา ๖ อยา่ ง ทก่ี ลา่ วแลว้ ในบทท่ี ๓ เมอ่ื รวม กบั อกี ๔ ขอ้ ตอ่ ไปน้ี รวมเปน็ ๑๐ อยา่ ง จติ หยง่ั ลงสอู่ มตะ ดว้ ยสญั ญา ๑๐ ประการ ๕๒

๗. อสุภสญั ญา จำ�ไดใ้ นความเปน็ ปฏกิ ูล ๘. มรณสญั ญา จ�ำ ไดถ้ งึ ความตาย ๙. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา จ�ำ ไดถ้ ึงการละตัณหาในรส ๑๐. สพั พโลเกอนภริ ตสญั ญา จ�ำ ได้ถึงการไมน่ า่ ยดึ ติดในโลก (เพราะโลกอนั วิจิตรไมใ่ ช่กเิ ลส) เรอ่ื งของความจำ�อันถกู ตอ้ งที่ท�ำ ใหเ้ กดิ สติ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงจ�ำ ได้ ถึงสภาวะที่เป็นปรมัตถ์ หรืออนัตตสัญญา คือ จำ�ได้ถึงเหตุปัจจัยไม่ใช่ตัว ตน ดังนั้น หากเผลอคิดถลำ�เขา้ ไปในเนื้อหาเป็นตัวตน เป็นเขา เป็นเรา เมื่อใด ความจ�ำ ท่ีถูกตอ้ งดงั กล่าวทำ�ให้เกดิ สติ จะแทรกตวั เข้าไปตดั วงจรของความคดิ ผิด แม้หลงคดิ ค�ำ ว่า “เรา” ในมุมต่าง ๆ ก็จะถูกละ ดว้ ยสติที่จ�ำ ถูกต้องดว้ ยอนตั ตสญั ญาดังกล่าว คอื เห็นถกู ว่าจติ คิด คำ�วา่ “เรา” แต่ไมใ่ ช่ “เรา” จริง ๑. สติเกดิ จากความจ�ำ อันถูกตอ้ งไมว่ ปิ ลาส ๒. ยอ่ มทำ�ใหไ้ ม่ฟ่ันเฟอื น เผลอเพลิน หลงคิดไปอย่างวปิ ลาสว่า มีตัวตน ๓. ทำ�ให้มที ่ีต้ังแห่งสตปิ ัฏฐาน ๔ ตามเห็นสง่ิ ที่เกิด-ดับไปใน กายใน กาย – เวทนาในเวทนา – จิตในจิต - ธรรมในธรรม สง่ิ ท่ีเกดิ -ดบั ได้ยอ่ มไมม่ ี ตัวตนถาวร อาศัยเป็นท่ีตง้ั แหง่ ความระลึกรู้ คอื สติ อาศยั เป็นทีต่ ้งั แหง่ รู้ (ไม่ เผลอ) เพ่ือไม่เป็นท่อี าศัยของตัณหา และทิฏฐิ และไมย่ ดึ ถืออะไรในโลก (ไม่ เปน็ ทอ่ี าศยั ของอปุ าทาน) ๕๓

๔. สติ จงึ ทำ�ใหเ้ กิดผลประจักษ์เปน็ การรักษาจติ ให้ปกตสิ ุขอยู่ไดใ้ น ท่ามกลางความแปรปรวนต่าง ๆ ด้วยการมีที่ตั้งไม่ล่องลอยไปในความคิด ปรงุ แตง่ มีความจ�ำ อันถกู ต้องทำ�ใหเ้ กดิ สตขิ ้ึนมาได้ และรกั ษาใจให้ปกติสขุ ดังพุทธพจน์ “ตถาคต ยังคงเปน็ สุขอยไู่ ด้ แม้ความแปรปรวนของรปู รส กลนิ่ เสียง สมั ผัสกาย และธรรมารมณ์” “ตถาคต รูแ้ จ้งความตง้ั อยูไ่ ม่ได้ รสอรอ่ ย โทษ และอุบาย เครอื่ งสลัด ออกแหง่ รูปตามเปน็ จรงิ ไม่มรี ูปเป็นทีน่ ่ายนิ ดี ไม่ยินดีในรูป ไม่บนั เทิงในรปู ยังคงอยู่ เปน็ สุขแมเ้ พราะความแปรปรวน ความจางคลาย ความดับไปของรปู รส กล่นิ เสียง สัมผสั กาย และธรรมารมณ”์ (สฬ. ส. ๑๘/๑๕๙/๒๑๖) ความหมายของธรรมารมณ์ คือความนกึ คดิ ทางจิตนีจ้ �ำ เปน็ อยา่ งยง่ิ ที่จะต้องมสี ติ เพราะสตมิ หี น้าท่ีจับใหใ้ จตง้ั อยไู่ ม่ลอ่ งลอยโดยอาศยั จบั ไว้กบั ฐานในสติปฏั ฐาน ๔ กไ็ ด้แมใ้ นอานาปานสติ ดงั พุทธพจน์ “ภิกษุ ท.! เราไม่กล่าว อานาปานสติว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอัน ลืมหลงแล้ว ไมม่ ีสัมปชัญญะ ภกิ ษุ ท.! เพราะเหตนุ ้นั ในเรอื่ งนีภ้ กิ ษนุ ้ันย่อมชือ่ วา่ เป็นผตู้ ามเห็นจติ อยูเ่ ปน็ ประจำ� มคี วามเพียรเผากเิ ลสมสี มั ปชญั ญะ มสี ตนิ �ำ อภิชฌา และโทมนัสออกเสยี ได้ในสมยั นนั้ ” หรอื แม้แต่การมสี ตใิ นหมวดอายตนะ กย็ งั สามารถเห็นเขา้ มาในจติ ดัง พทุ ธพจน์ “ภกิ ษุ ท.! ภิกษใุ นกรณีน้ี เหน็ รปู ด้วยตาแล้ว รู้ชดั ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเกดิ มี ๕๔

อยู่ในภายใน, รชู้ ดั ราคะ โทสะ โมหะ อนั ไมเ่ กดิ มีอย่ภู ายใน ว่าไม่เกิดมีอยู่ในภายใน ภิกษุ ท.! เมือ่ เธอรชู้ ดั อย่างน้ีแล้ว ยังจ�ำ เปน็ อยอู่ ีกหรือท่จี ะตอ้ งรูธ้ รรมทัง้ หลาย ด้วยอาศยั ความเช่อื ความชอบใจ การฟงั ตาม ๆ กนั มา การตรติ รองไปตาม อาการ การเห็นวา่ มันเข้ากนั ได้ ตามทิฏฐขิ องตน ?” “ขอ้ นั้นหามิได้ พระเจ้าขา้ !” ภกิ ษุ ท.! ธรรมทง้ั หลายเป็นสิ่งที่ต้องเห็นดว้ ย ปญั ญาแล้วจงึ รู้ มใิ ชห่ รอื ? “ขอ้ นน้ั เป็นอย่างนน้ั พระเจ้าขา้ !” (สฬา.ส. ๑๘/๑๗๓-๑๗๕ ๒๓๙-๒๔๒) แท้จริงการมสี ติตามดลู ักษณะของสิง่ ท่เี กิดดบั คอื ตามดูกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ยอ่ มเหน็ เปน็ กระแสเหตุปัจจัยที่ อาศยั กนั เกดิ ขน้ึ และดบั ไป ซง่ึ แสดงสถานภาพใหเ้ หน็ ถงึ ความไมใ่ ชต่ วั ตนของ สงิ่ นั้น คอื เห็นสุข ทุกข์ ไมใ่ ช่มาจากผอู้ น่ื ทำ� ไม่ใชม่ าจากเราทำ� จงึ ไมข่ าดสติ เผลอไผลไปหลงปรงุ แต่งชอบชงั กับส่งิ ทีไ่ ม่มตี ัวตนเหล่าน้ัน อีกทง้ั ยังฉลาด เหน็ ถงึ การปรงุ แตง่ ชอบชงั ภายในเปน็ ธรรมหยาบ เปน็ ของทป่ี รงุ แตง่ ขนึ้ มา จากอวชิ ชาหรือความวปิ ลาสดงั กลา่ ว ที่เห็นผิด จำ�ผิด คดิ ผิดว่าเปน็ ตัวตน การมีสติในอายตนะผัสสะทำ�ให้เห็นเหตุปัจจัยแห่งการเกิดสุข- ทกุ ขเวทนา เหน็ องคป์ ระกอบยอ่ ย ๆ ทอ่ี าศยั กนั เกดิ ขน้ึ ทไ่ี มใ่ ชต่ วั ตน ท�ำ ให้ ฉลาดทร่ี จู้ กั คณุ โทษและทางออก ใหไ้ ดพ้ บกบั ความสขุ กายสขุ ใจ ดงั พทุ ธพจน์ ตอ่ ไปน้ี ๕๕

ภกิ ษุ ท.! ผทู้ ร่ี เู้ หน็ จกั ษตุ ามทม่ี นั เปน็ รเู้ หน็ รปู ทง้ั หลายตามทม่ี นั เปน็ รู้เห็นจักขวุ ิญญาณตามท่ีมันเปน็ รู้เห็นจกั ษสุ ัมผัสตามที่มนั เปน็ รู้เหน็ เวทนาอันเป็นสุขหรือทกุ ข์ หรอื ไมส่ ขุ ไม่ทกุ ข์ ซ่งึ เกดิ ขน้ึ เพราะจกั ษุสัมผสั เปน็ ปัจจัยตามทม่ี นั เป็น ยอ่ มไมต่ ดิ พนั ในจักษุ ไม่ตดิ พนั ในรูปทง้ั หลาย ไม่ตดิ พันในจักขุวิญญาณ ไม่ตดิ พันในจกั ขุสัมผสั ไม่ตดิ พนั ในเวทนาอันเปน็ สุข ทกุ ข์ หรอื ไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกดิ เพราะจกั ขุสัมผสั เป็นปัจจัย (รู้จักอรยิ สัจข้อท่ี ๑ คอื รู้ทกุ ข์) เมือ่ ผู้นั้นไม่ติดพนั ไมห่ มกมุ่น ไม่ลุม่ หลง รเู้ ท่าทันเหน็ โทษ ตระหนักอยู่ อุปาทานขันธ์ทงั้ ๕ ยอ่ มถึงความไม่กอ่ ตัวพอกพูนต่อไป อนง่ึ ตัณหาที่เปน็ ตวั การ กอ่ ภพใหมอ่ นั ประกอบดว้ ยนนั ทริ าคะ คอยแสเ่ พลดิ เพลนิ ในอารมณต์ า่ งๆ ก็จะถูกละ ไปดว้ ย (รู้อรยิ สจั ขอ้ ๒ คอื ละสมุทยั ) ความกระวนกระวายทางกายก็ดี ความกระวนกระวายทางใจก็ดี ความ เร่าร้อนกายกด็ ี ความเรา่ รอ้ นใจก็ดี ความกลดั กลุ้มทางกายกด็ ี ความกลดั กลุ้มทาง ใจก็ดี ย่อมถกู ละได้ ผูน้ นั้ ย่อมเสวยท้ังความสุขทางกาย ทัง้ ความสขุ ทางใจ (อริยสัจ ข้อ ๓ คอื นโิ รธแจง้ ) บคุ คลผ้เู ห็นเช่นนนั้ แลว้ มีความเห็นอนั ใด ความเห็นนั้นก็เป็น สมั มาทิฏฐิ มีความด�ำ รใิ ด ความดำ�ริน้ันกเ็ ป็น สัมมาสังกปั ปะ ๕๖

มีความพยายามใด ความพยายามนั้นกเ็ ปน็ สมั มาวายามะ มคี วามระลกึ ใด ความระลกึ น้นั กเ็ ป็น สมั มาสติ มสี มาธิใด สมาธินน้ั ก็เปน็ สมั มาสมาธิ สว่ นกายกรรม วจกี รรม และอาชวี ะของเขายอ่ มบริสุทธิ์แต่ตน้ ทีเดยี ว ด้วยประการน้ี เขาชอื่ วา่ มีอรยิ อฏั ฐงั คิกมรรค อันถึงความเจริญบรบิ ูรณ์ (อริยสัจขอ้ ๔ คอื มรรคเจริญ) (ม.อ.ุ ๑๒ / ๘๒๘ / ๕๒๓) ในเชิงปฏบิ ัติ การเจรญิ สตกิ บั ชวี ติ ประจ�ำ วนั เปน็ การตามเหน็ ธรรมในธรรมทา่ มกลาง ผัสสะด้วยอายตนะภายใน-ภายนอก ทำ�ใหเ้ กิดวญิ ญาณ จงึ ร้ชู ดั วา่ วิญญาณอาศยั สงิ่ อนื่ เกิดขนึ้ ไม่ใช่ ตัวตน โดยรสู้ กึ เข้าไปตรงผัสสะ อันเป็นเหตุปจั จยั ใหเ้ กิดเวทนา เม่อื รวู้ ่าสุข-ทกุ ขเวทนาไม่ใช่มาจาก คนอื่นทำ� ไม่ใชม่ าจากเราทำ� ยอ่ ม รกั ษาจติ ด้วยสตดิ งั พุทธพจน์ ดงั น้ี ๑. จิตของเราอยา่ กำ�หนดั ในธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความก�ำ หนดั ทัง้ หลาย ๒. จติ ของเราอยา่ ขัดเคอื ง ในธรรมอันเปน็ ทตี่ ั้ง แห่งความขดั เคืองทงั้ หลาย ๕๗

๓. จติ ของเราอยา่ หลง ในธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ความหลงทง้ั หลาย ๔. จติ ของเราอยา่ มวั เมา ในธรรมอันเปน็ ท่ีตั้งแหง่ ความมัวเมา ทัง้ หลาย ภกิ ษุในกาลใดแล จิตของภิกษไุ มก่ ำ�หนดั เพราะปราศจากราคะ ไม่ขัดเคือง เพราะปราศจากโทสะ ไม่หลงเพราะปราศจากโมหะ ไม่มวั เมาเพราะปราศจากความ มวั เมา ในกาลน้ันยอ่ มไมห่ วนั่ ไหว ไมถ่ ึงซึง่ ความสะด้งุ และมิใชถ่ ึงธรรมนี้แมเ้ พราะ เหตแุ ห่งคำ�ของสมณะ (แตร่ ักษาจติ ถูกต้อง) (จตกุ ฺก.อํ. ๒๑/๑๖๑/๑๑๗) การเหน็ สุข-ทุกขม์ าจากผสั สะ เปน็ กระแสเหตปุ ัจจัย ทไ่ี ม่ใชต่ วั ตน ไม่ก�ำ หนดั ไมข่ ดั เคอื ง ไมล่ ุม่ หลงน่นั เอง คอื สัมมาทิฏฐิ และการรู้ว่าทกุ ขไ์ ม่ได้มาจากคนอ่ืนท�ำ จึง ละการดำ�ริร้ายท�ำ ใหเ้ กิดสมั มาสงั กปั ปะ กาย วาจา ใจ ยอ่ มบรสิ ทุ ธ์ิ รวมถงึ สมั มาวายามะทไ่ี มเ่ อา อกศุ ลมาทบั ถมตนซง่ึ ไมม่ ที กุ ข์อยู่ก่อน มคี วามสุข โดยชอบธรรมจากสัมมาสมาธิ ภกิ ษุ ท.! ความบากบ่ัน ความเพียร จะมีผลขน้ึ มาไดอ้ ย่างไร ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมไม่น�ำ ความทกุ ข์มาทบั ถมตน ซึ่งไมม่ ที กุ ข์ทับถม ไมต่ อ้ งสละ ความสุขอนั ประกอบดว้ ยธรรมทมี่ ีอยู่ และกไ็ ม่มัวเมาอยู่ใน ความสุขนั้นด้วย (ม.อ.ุ ปริ๑๔/๑๓/๑๒–๑๓) ๕๘

ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการไม่เพิ่มความทุกข์อันกระวนกระวายข้ึนในใจที่มีความสุขอยู่แล้ว เพราะละความกระวนกระวาย ความเร่ารอ้ น ทางกาย ทางใจได้ จึงเสวยซ่งึ ความ สุขอนั เปน็ ไปทางกาย ใจ ท่ีไมก่ ระวนกระวายได้ ซง่ึ เป็นความสขุ โดยชอบธรรม สติ จงึ เอือ้ อ�ำ นวยให้เกิดสมาธดิ ว้ ยการจบั ใจไว้ไม่ใหเ้ ผลอไปก�ำ หนดั ขัดเคอื ง ลมุ่ หลง มวั เมา จิตจึงตั้งมัน่ เป็นสมาธทิ ่ีมีความสขุ ในทิฏฐธรรม คือมีความสขุ ในปัจจุบัน ดว้ ย การมสี ติรกั ษาจิตใน ๔ ประการข้างต้น ซึ่งผลลพั ธน์ ั้นต้องลงมอื กระทำ� มใิ ชถ่ ึงธรรม น้เี พราะเหตแุ ห่งค�ำ ของสมณะดงั กลา่ ว แตถ่ งึ ธรรมอนั เปน็ สขุ ดว้ ยการปฏบิ ตั จิ รงิ ท�ำ ให้ เกดิ ผลจรงิ ผไู้ ดฌ้ านทฉ่ี ลาด ในการน้อมจติ ไปในสมาธิและ กระทำ�ความเคารพในสมาธนิ ับวา่ เป็นเลศิ ๕๙

๘. ฉลาดที่จะมีความสขุ กายสขุ ใจ

ในท้ายบทที่แล้วซ่ึงพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสถึงการละความ กระวนกระวายทางกายและใจ ละความเรา่ รอ้ นทางกายและใจ ผ้นู น้ั ยอ่ ม เสวยท้งั ความสุขกายและใจ การละความกระวนกระวาย แสดงให้เห็นถึงหนทางที่จะมีความสุข ในปัจจบุ นั ขณะนไี้ ดท้ ั้งกายและใจ หรือแมใ้ นค�ำ กล่าวทวี่ ่า “ตถาคตยงั คงอยู่ เปน็ สขุ อยูไ่ ด้ แมเ้ พราะความแปรปรวน ความจางคลาย ความดับไปแห่งรปู ฯ” จนถงึ พทุ ธพจนท์ ท่ี รงตรสั ถงึ การไมน่ �ำ ทกุ ขม์ าทบั ถมตน ซง่ึ ไมม่ ที กุ ข์ ท ับถม และไมต่ อ้ งสละความสขุ อันประกอบดว้ ยธรรมทีม่ ีอยู่ ถ้อยคำ�ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นกำ�ลังใจให้เห็นถึงหนทางแห่งความ พ้นทกุ ข์ และพบความสขุ ในปจั จุบนั ซึ่งประเด็นส�ำ คญั คอื การไม่น�ำ ทุกข์มา ทบั ถมตน คือ การมีสตจิ ำ�ถกู ต้องว่า ทกุ ข์ไม่ไดม้ าจากผอู้ นื่ ทำ� และไมไ่ ด้ มาจากเราทำ� ย่อมละความกระวนกระวายทางกายใจ มสี ติรักษาจิตท่ีปกติ สขุ ไวไ้ ด้ แมใ้ นพทุ ธพจนท์ ต่ี รสั ถงึ ความบากบน่ั ความเพยี ร ลว้ นเปน็ องคป์ ระกอบ ท่สี �ำ คัญของสติปัฏฐาน ๔ ทกุ หัวขอ้ คอื ความเพยี รทค่ี อยปิดกน้ั อกศุ ลทยี่ ัง ไม่มเี พราะอกุศลนั้นไม่ใชธ่ รรมชาติทีม่ ีอยกู่ ่อนในใจ แต่เกดิ ขนึ้ ภายหลังเพราะ อวิชชา แต่คู่ปรับคือวิชชาที่มีความจำ�ถูกต้องดังกล่าว ถึงความเป็น อนตั ตสญั ญา คอื จ�ำ ไดว้ า่ กาย – ใจไมใ่ ชต่ วั ตน หนทางแหง่ สตปิ ัฎฐาน ๔ ทงั้ หมด จงึ เป็นฐานท่ีต้ังแห่งรแู้ ละปญั ญาในธรรมวิจัยอยู่ทุกขณะของกระแส เหตุปัจจยั อันเป็นสภาวธรรมลว้ น ๆ หากตามดูกายในกายเห็นเหตุปจั จยั ท่ี เกิด – ดับในกายใจ ซึ่งไม่มีสักอณูหนึ่งที่เป็นตัวตนของเราในธาตุ ๔ และ ผัสสะ เหล่าน้ัน ๖๑

หรอื ตามดูเวทนาในเวทนา ซึง่ อาศัยผสั สะเกดิ ขนึ้ ผัสสะน้ันหมายถึง การประจวบกนั แหง่ ธาตุ ๓ อย่าง คือ รปู กเ็ ป็นธาตุ จกั ษุกเ็ ป็นธาตุ ซง่ึ กระทบ กันทำ�ให้เกิดจักขุวิญญาณธาตุ การบรรจบกันทั้ง ๓ เรียกว่า ผัสสะ เมื่อ กระจายตัวดูเหตุปัจจัยของแต่ละสิ่งตั้งแต่เหตุปัจจัยแห่งรูป เหตุปัจจัยแห่ง จักษุ เหตปุ จั จัยแหง่ จกั ขุวญิ ญาณ กไ็ ม่เห็นมสี กั อณูทีเ่ ป็นตัวตน ดงั น้ัน เวทนา สุข ทุกข์ เฉย ๆ เหลา่ นั้นจะเปน็ ตัวตนของเราไปได้อย่างไร แมใ้ นการตามดจู ติ ในจติ ทม่ี รี าคะ กร็ วู้ า่ เกดิ จากอะไร เพราะรปู รส กลิ่น เสียง สัมผัสกาย ที่ส่งผลสู่เวทนา ไม่ใช่ราคะ ถึงความวิจิตรละเอียด อ่อนประณีตในโลกตั้งแต่กลีบดอกไม้อันบอบบางหรือผิวพรรณอันเต่ง ตึงชั่วขณะ ก็อยไู่ ปตามเหตุปจั จัยและดบั ไปตามเหตุปัจจยั สิ่งเหลา่ นัน้ หาใช่ ราคะไม่ แต่ความไม่รู้จกั เหตปุ ัจจัยเหลา่ นน้ั ทำ�ให้ความใคร่ตดิ ใจอยากไดส้ ่ิง เหล่านนั้ หากเห็นสิง่ เหลา่ นน้ั เปน็ อณูไม่ใชต่ ัวตน ราคะกย็ อ่ มดบั ไป โทสะที่มี ตอ่ เหตปุ จั จยั และโมหะกเ็ ชน่ เดยี วกนั หากรจู้ กั กระบวนการเหตปุ จั จยั ทเ่ี กดิ – ดบั ตามเปน็ จรงิ อาการของจติ ในจติ เหลา่ นน้ั กจ็ ะกลายเปน็ สง่ิ ถกู รทู้ เ่ิ กดิ -ดบั ตาม เหตปุ จั จยั เช่นกนั ไม่ใช่ “เรา” แตอ่ ย่างใด การตามดธู รรมในธรรม หากรวู้ า่ สขุ -ทกุ ขไ์ มไ่ ดม้ าจากผอู้ น่ื ท�ำ ไมใ่ ช่ มาจากเราท�ำ นวิ รณ์ ๕ กถ็ กู ละไป รวมถงึ รปู ธรรมนามธรรมอนั ประกอบเปน็ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ท่สี ง่ ผลสู่สังโยชน์ เหล่าน้ลี ้วนเป็นกระแสเหตปุ จั จยั ท้ังสิ้น คือไม่เห็นสักอณทู ี่เป็นตัวตน แม้ในโพชฌงค์ ๗ และอรยิ สัจ ๔ การมสี ตกิ �ำ กบั ใจไมล่ มื ใจหรอื รกั ษาใจใหป้ กตสิ ขุ อยกู่ อ่ น ยอ่ มเหน็ กระแส เหตุปัจจัยอันเกดิ -ดบั ซึ่งไมใ่ ชต่ ัวตนคอื กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ใน จติ ธรรมในธรรม อนั เป็นแคส่ ภาวธรรมลว้ นๆ ไม่ใช่ \"คน\" หรอื อตั ตาตัวตน แต่อยา่ งใด ๖๒

ซง่ึ การอยแู่ บบพระอรยิ เจา้ ทไ่ี ดอ้ ยมู่ าแลว้ บดั นจ้ี กั อยไู่ ปกด็ ี โดยอาศยั สตอิ ารกั ขาจิตอยา่ งเดยี วกม็ ี ภกิ ษุ ท.! ภิกษเุ ปน็ ผมู้ อี ารกั ขาอยา่ งเดียว เป็นอย่างไรเล่า? ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษใุ นกรณีนี้ ประกอบการรกั ษาจิตด้วยสติ ภกิ ษุ ท.! ภกิ ษอุ ย่างนีช้ ่อื ว่ามอี ารักขาอยา่ งเดยี ว ( ทสก.อ°. ๒๔ / ๓๑ – ๓๔ / ๒๐) ในเชิงปฏบิ ัติ แมใ้ นขณะนี้หากมีสตริ ะลึกรเู้ ข้าไปสู่สง่ิ ท่สี มมตเิ รยี กวา่ จติ คือความ ร้สู กึ ทเ่ี ปน็ อณแู ทรกอยทู่ ว่ั สรรพางคก์ าย จะพบความรสู้ กึ ทไ่ี รช้ อ่ื โปรง่ เบา ไมม่ ี ขดี ขอบเขต ไมเ่ ปน็ เสน้ ทบึ จงึ ไม่มีขอบเขตทเี่ ป็นก้อน เปน็ ความรูส้ กึ ที่ปกติ สุขอยู่ก่อน ส่วนความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ล้วนเกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งโลกอัน วจิ ติ รกอ็ ยูไ่ ปตามประสาของมัน คอื โลกอนั ประกอบด้วย รูป รส กลน่ิ เสยี ง สมั ผสั กาย ไมใ่ ชก่ เิ ลสเครอ่ื งเศรา้ หมอง แตก่ ารขาดสตเิ ขา้ ไปปรงุ แตง่ ชอบ – ชงั อนั เป็นธรรมหยาบต่างหากทส่ี ร้างความเศรา้ หมองมาบดบงั ใจที่ปกติสขุ ดังนนั้ ในเชงิ ปฏิบัติการเจรญิ สติ รกั ษาจิต ที่ปกตสิ ขุ โดยไมห่ ลงลืมวา่ ใจปกตสิ ขุ อย่กู อ่ น เปน็ การไมน่ ำ�ทกุ ขม์ าทบั ถม และมีความสุข โดยชอบธรรมจากใจที่ปกตสิ ุข ๖๓

๙.ฉลาดในสติ เหน็ นิมิตของจติ

การจำ�ถูกต้องว่าทุกข์ไม่ได้มาจากผู้อ่ืนกระทำ�และไม่ได้มาจากเราทำ� ย่อมละความโกรธเกลยี ดออกจากใจ เม่อื ไมเ่ บยี ดเบียนตนและผู้อืน่ ก็ ยอ่ มมีความสุขในปัจจุบันทนั ตาเห็น ความจริงแล้ว การเจริญสติทุกรูปแบบก็เพื่อให้เกิดความสุขตรง ปัจจุบนั หรือสขุ วหิ ารในทิฏฐธรรมหมายถงึ สุขซึ่งให้ผลทันตาเห็นดว้ ยการ ประจกั ษ์ในสภาวะ หรอื ส่ิงทส่ี ามารถเหน็ ได้ในปัจจบุ ันขณะ ซงึ่ เกิดจากการ เจริญสตอิ ยา่ งฉลาดสามารถเห็นนมิ ติ แหง่ จติ ได้ คอื เหน็ เคร่ืองหมายท่ีเรียก ว่า “จติ ” ไมห่ ลงวา่ เป็น “จติ ” จากถ้อยคำ�สมมติทเ่ี รียกตามกนั มา แตร่ ้จู ัก แลว้ วา่ สิง่ นั้นคืออะไร? และสามารถท�ำ จิตใหต้ งั้ มนั่ ละกเิ ลส (เคร่อื งเศรา้ หมอง) ได้ ดงั น้นั จึงมีพุทธพจนด์ ำ�รัสเกี่ยวกบั ความ ฉลาดในการเจรญิ สติ ดงั นี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในกรณีนี้ ภกิ ษบุ างรปู เปน็ บัณฑิต ฉลาด เปน็ ผูต้ ามเหน็ กายในกาย มีความเพยี รเผากิเลส มีสมั ปชัญญะ มีสติ น�ำ ออกซึง่ อภิชฌาและโทมนัสในโลก อยู่ เม่ือเธอนนั้ ตามเหน็ กายในกายอยู่ ก็ทำ�จิตให้ต้ังมนั่ ได้ ท�ำ อปุ กเิ ลสให้ละไปได้ กำ�หนดนิมิตนัน้ ได้ (เวทนา จติ ธรรม ตรัสอย่างเดียวกนั ) ภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุซ่ึงเปน็ บณั ฑิต เฉยี บแหลมฉลาดนัน้ จงึ เปน็ ผ้ไู ดส้ ุขวหิ ารในทิฎฐธรรมเทยี ว ได้สตสิ ัมปชญั ญะ ข้อน้ัน เพราะเหตไุ รเล่า? ๖๕

ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอ้ นน้ั เพราะเหตวุ า่ ภกิ ษนุ น้ั เปน็ บณั ฑติ เฉยี บแหลม ฉลาด กำ�หนด นิมติ แห่งจิตของตนได้ (สํ.มหาวาร. ๑๙ / ๒๐๑, ๒๐๒ / ๗๐๕, ๗๐๗) ค�ำ วา่ นมิ ติ ของจติ และการท�ำ ใหต้ ง้ั มน่ั ได้ รวมทง้ั การละอปุ กเิ ลส จนถงึ สขุ วหิ ารในปจั จบุ นั ลว้ นมคี วามหมายสมั พนั ธก์ นั ในเหตปุ จั จยั ทต่ี อ่ เนอ่ื ง คอื ๑. การมสี ตติ ามดกู ายในกาย ยอ่ มเห็นนิมติ เคร่ืองหมายพอให้ รวู้ ่ากาย แต่ไมใ่ ช่ “คน” เหน็ แตเ่ พยี งธาตุ หรือสภาวะท่อี าศยั เหตปุ ัจจยั เกิดขึ้น ไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปหมายม่นั ในสมมตบิ ญั ญตั ิ หรือนมิ ติ เคร่ืองหมายเหล่าน้ัน จริงจังแตเ่ ห็นเปน็ “อณู” และไม่มีสักอณทู ่เี ป็นตวั ตนของใคร ๒. การตามดูเวทนาในเวทนา ก็เห็นเป็นเพียงผัสสะจากองค์ ประกอบ ๓ อย่าง ทีไ่ ม่ใชต่ วั ตน คือ ตากระทบรปู ท�ำ ให้เกดิ จักขวุ ญิ ญาณ การประจวบแห่งสภาวะทัง้ ๓ น้ีเรยี กวา่ ผัสสะ สง่ ผลสู่เวทนา สุข ทุกข์ หรอื เฉย ๆ ในเมอ่ื องค์ประกอบทงั้ ๓ ของผสั สะเหล่านนั้ ไม่ใชต่ วั ตน เวทนาจะ เป็นตัวตนไปไดอ้ ยา่ งไร เหน็ เปน็ เพยี งสภาวธรรมไม่ใช่ “คน” และกไ็ มใ่ ชค่ น ทมี่ ี “เวทนา” แม้ทางหู จมกู ล้นิ กาย ใจ และธรรมารมณ์กล็ ว้ นเปน็ ผัสสะ อาศยั องคป์ ระกอบทไี่ ม่ใชต่ ัวตน คือธรรมารมณก์ ระทบใจ เกิดมโนวญิ ญาณ การประจวบแหง่ สภาวธรรมทงั้ ๓ เป็นผัสสะ ท�ำ ให้เกดิ เวทนา ความหมายของธรรมารมณ์ (ธรรม + อารมณ์) คือธรรมที่เป็น กศุ ลธรรมบา้ ง อกศุ ลธรรมบา้ ง อพั ยากฤตธรรมบา้ ง ลว้ นเปน็ อารมณท์ ีถ่ กู รู้ เพราะหากไม่มใี จ กไ็ มม่ ีธรรม บางครัง้ จงึ ถกู เรียกว่า ธรรมธาตุ เมอื่ ๖๖

ธรรมทเ่ี ปน็ ฝา่ ยกศุ ล-อกศุ ลธรรมมากระทบใจ ธาตรุ จู้ งึ เกดิ มโนวญิ ญาณ คอื การรบั รทู้ างใจ เปน็ กุศลก็สง่ ผลส่สู ุขเวทนา ถา้ เปน็ อกศุ ลก็สง่ ผลสู่ทุกขเวทนา ถ้าเปน็ อพั ยากฤตธรรม กเ็ ป็นอเุ บกขา เวทนา มีแต่สภาวธรรมลว้ น ๆ ทอ่ี าศยั กนั เกดิ ขน้ึ พอเปน็ เครอ่ื งหมายใหเ้ หน็ ใหร้ บั รู้ (นมิ ติ ) คือเหน็ ถูกตามความเป็นจริงวา่ ไมใ่ ชต่ วั ตน หรือไม่ใช่ “คน” แตอ่ ยา่ งใด คอื ไม่มสี ักอณใู นเวทนาเหลา่ นนั้ ที่เป็นตวั ตน ๓. การตามดูจติ ในจติ ที่มีราคะ โทสะ โมหะ กล็ ้วนเกดิ จากเหตุ ปัจจัยเพราะกายและเวทนาไม่ใช่กิเลส แต่เพราะความไม่รู้จึงหลงกำ�หนัด พอใจในรูปอยากไดส้ ขุ เวทนาจากผัสสะ จึงเกดิ ราคะ แตไ่ ม่ใช่คนมี “ราคะ” ราคะ เป็นสภาวธรรมหรือคลื่นพลังงานที่ก่อตัวขึ้นมาชั่วคราวบน ช่องวา่ งใน DNA ซง่ึ เปน็ อณแู หง่ คลนื่ นามธรรมไมม่ ีรูป หรือแมแ้ ต่ โทสะ ก็ เกิดจากเหตุปจั จัย เพราะไมร่ ู้จักกาย ไมร่ ้จู กั เวทนา ว่าเกิดมาจากผัสสะ เม่ือ เกิดทุกขเวทนาขึ้นจึงเกิดโทสะ รวมถึงโมหะ ที่เป็นอวิชชาเพราะไม่รู้จัก เหตุปจั จัย เม่อื ร้จู ักเหตุปจั จัยว่าไมใ่ ช่ “คน” คอื รูป รส กลิน่ เสยี ง สัมผสั กาย ก็อยู่ไปตามประสาของโลกมิใช่กเิ ลส (เครื่องเศร้าหมอง) เม่ือรู้จักเหตุ ปัจจัยของผัสสะที่ไม่ใช่ตัวตน โมหะก็ถูกละไปจิตจึงตงั้ ม่ัน เม่อื จติ ตัง้ มน่ั ก็เห็น นิมติ เปน็ อณูที่แฝงอยู่ในความว่าง ไมห่ ลงทางว่าจิตเปน็ ตัวตน ๔. การตามดธู รรมในธรรม กเ็ ห็นเปน็ กระแสเหตุปจั จัยเชน่ เดียวกนั ในนิวรณ์ ๕ อนั อาศยั ราคะ โทสะ โมหะ ไมใ่ ช่ \"คน\" ใน ขันธ์ ๕ เหน็ รูปเกดิ จาก ธาตุ ๔ เวทนา สญั ญา สังขาร เกิดจากผสั สะ คอื การประจวบแหง่ อายตนะ ภายนอก + ภายใน = วญิ ญาณ ๖๗

จงึ ท�ำ ใหเ้ หน็ อายตนะ ๖ และรจู้ กั สงั โยชนท์ เ่ี กดิ จาก อายตนะ ผสั สะ เวทนา สขุ ทุกข์ อุเบกขา คือเพราะไม่ร้จู ักสขุ -ทกุ ขเวทนาว่าไม่ใช่ตวั ตนจงึ ท�ำ ใหเ้ กิด ราคะสงั โยชน์ ปฏฆิ ะสังโยชน์ อวิชชาสงั โยชน์ แต่เพราะรู้จักวา่ เวทนาไมใ่ ชต่ วั ตน สงั โยชนก์ ็ไมร่ อ้ ยรัด มีสตมิ องเห็นความสัมพนั ธ์ของโพชฌงค์ ๗ และ อรยิ สัจ ๔ คอื รู้ว่า ๑. อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ รู้ทุกข์ ๒. ละสมุทัย คือ ละตัณหา อปุ าทานดบั ๓. การที่ตัณหาดับไป นิโรธ จึงแจ้งขึ้น คือทุกข์จากอุปาทานดับ ภพ – ชาตดิ บั ๔. การเห็นน้เี ป็นสมั มาทิฎฐิ เปน็ มรรค ซง่ึ ทง้ั หมดลว้ นเปน็ กระแสเหตปุ จั จยั ไมใ่ ชค่ น มี อปุ าทาน และไมใ่ ช่คนดบั อปุ าทาน มีแตค่ ลน่ื พลังงานในกระแส ฝ่ายเกดิ และฝา่ ยดับแต่ไม่มใี ครอย่ใู นนั้น ซงึ่ พระพุทธองค์ไดต้ รสั ถึงคาถา อันนา่ เศร้า “ธรรมอันไปทวนกระแส อนั เปน็ ธรรมละเอียดลกึ ซง้ึ เห็นไดย้ ากเปน็ อณู (ม.ม.๑๓/๔๖๑/๕๐๙) การฉลาดเหน็ นมิ ติ ของจติ เปน็ อณคู อื เหน็ เปน็ คลน่ื พลงั งานทแ่ี ฝงอยู่ ในความวา่ งหรือชอ่ งวา่ งใน DNA ทเี่ ขา้ ไปรบั ร้คู วามเยน็ ความรอ้ น ความ อ่อน ความแข็งของธาตุ ๔ ที่ประชุมรวมกันจากอณเู ล็ก ๆ ใน DNA ทีม่ ชี ่อง ว่าง ๑ ในล้านมิลลเิ มตรต่อเน่อื ง หากดงึ เหยยี ดออกจะมคี วามยาวไปกลับ ดวงจนั ทร์ได้ ประมาณ ๓,๐๐๐ รอบ ชอ่ งวา่ งนเ้ี อง เมื่อกระทบคลืน่ พลังงาน ๖๘

ของรปู สมั พนั ธ์ในอณยู ่อย ๆ ซึ่งรปู ทรงของ DNA มกี ารสวิงตัวเช่นเดยี วกับ รูปทรงของกาแลก็ ซีแ่ ละจกั รวาล การสวิงตวั นเี้ องทกี่ อ่ ให้เกิดการหมนุ ของ คลืน่ พลงั งานเมือ่ มาปรากฏตามเซลล์ประสาทตา หู จมกู ลิน้ กาย จึงเกดิ การรับร้สู มมตเิ รยี กว่า วิญญาณ คอื การรับรเู้ มอ่ื ตา – รูป กระทบกนั หรอื หู – เสยี ง ลน้ิ – รส ฯ ซง่ึ เปน็ อณอู ยใู่ นทกุ เซลลป์ ระสาท เชน่ ลน้ิ ทม่ี ีเซ็นเซอร์อยู่ ๕,๐๐๐ จุดเป็นอณูเล็ก ๆ ทุกจุดมีช่องว่างใน DNA ๑ ในล้านมลิ เปน็ อณูท่ี ละเอยี ดลกึ ซง้ึ ท่รี ับคลื่นพลังงานจากมวลสารท่ีกระทบกันผ่านเซลล ์ ประสาทล้ิน การรับรทู้ ัง้ หมดนนั้ ผา่ นช่องว่างทอ่ี ณูใน DNA ส่งตอ่ คล่นื พลังงานไปยงั สมองท่สี ลบั ซบั ซ้อนเหมือนเขาวงกต คลื่นพลงั งานนน้ั จงึ ถกู เกบ็ ไวเ้ ปน็ หนว่ ยความจ�ำ (สญั ญา) และ น�ำ มาผสมประมวลเปรยี บเทยี บเปน็ ความคดิ ปรงุ แตง่ (สงั ขาร) สง่ ผลสอู่ ารมณส์ ุข-ทกุ ข์ (เวทนา) เกิดการรับรอู้ ารมณ์ เหลา่ น้ัน (วญิ ญาณ) จิต หรอื วญิ ญาณนี้ จงึ เหมอื นมายากล ดงั ท่ีพระพทุ ธองค์ทรงอปุ มา ดงั กลา่ ว ดงั นน้ั การทวนกระแสเขา้ ไปเหน็ อณทู แ่ี ฝงอยใู่ นความวา่ งตอ้ งใชส้ มาธิ ทล่ี ะเอยี ดลกึ ซง้ึ ในการใชจ้ ติ ดจู ติ ไมห่ ลงไปกบั เนอ้ื หาความคดิ โดยเฉพาะอยา่ ง ยง่ิ การหลงกลว่า “เราคิด” พระพุทธองค์จึงทรงตรัสถึงวิญญาณเหมือนการแสดงกล “ภิกษุ ท.! นักแสดงกลก็ตาม แสดงกลอยู่ทท่ี างใหญ่สีแ่ ยก บุรษุ ผู้มจี กั ษุ เห็นกลนนั้ กเ็ พ่งพินิจ พิจารณาโดยแยบคาย เมอ่ื บุรษุ ผู้นัน้ เหน็ อยู่ เพ่งพนิ จิ โดยแยบคายอยู่ กลนั้นย่อม ปรากฏเปน็ ของว่างเปลา่ และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมไิ ดฯ้ ” (- ขนฺธ.ส°. ๑๗ / ๑๗๓ / ๒๔๖) ๖๙

เช่นขณะอ่านหนังสือ เพราะเหตุที่ตากระทบกับรูป ทำ�ให้เกิดจักขุ วิญญาณ การประจวบกันกับสิ่งทั้ง ๓ น้ี เรยี กวา่ ผัสสะ สง่ ผลสู่เวทนา สุข ทุกข์ เฉย ๆ และสง่ ผลสู่ความจำ� (สญั ญา) นำ�ความจ�ำ น้นั มาประมวลเปรยี บ เทยี บกับส่วนท่ีเคยจดจ�ำ มา แลว้ คิดตดั สนิ ทางใดทางหนง่ึ คือ สังขาร หากคิดไปในทางไม่ดี วิญญาณ กร็ ับรคู้ วาม คดิ น้นั เปน็ ธรรมารมณก์ ระทบใจเกิดมโนวิญญาณ และส่งผลสู่ทุกขเวทนา เวทนานั้นส่งผลสู่ ร่างกาย และบคุ ลิกภาพ สงั ขาร ---> วญิ ญาณ ---> นาม-รปู หากคดิ ในทางดี กส็ ง่ ผลสู่เวทนาท่เี ปน็ สุข และอารมณด์ ี ใบหนา้ สดใส จิตวิญญาณจึงเหมือนการแสดงกล ที่ซับซ้อนหมุนวนเปลี่ยนแปลง ได้ตลอดเวลา เหมือนหากละความสนใจที่ตัวหนังสือแล้วสนใจที่เสียงแทน เสยี งกระทบหทู ำ�ใหเ้ กิดโสตวญิ ญาณ การประจวบของทั้ง ๓ เรียกว่า ผสั สะ สง่ ผลสู่เวทนา สุข ทกุ ข์ หรือเฉย ๆ แลว้ ส่งผลสสู่ ัญญาเปรยี บเทยี บในเสยี ง นน้ั ว่าคืออะไร ผสมกับเวทนาจึงเกิดสังขาร คิดปรุงแต่งตดั สินวา่ ดี – ไม่ดี – ชอบ – ชัง วญิ ญาณกร็ บั รสู้ ังขารน้ันอกี ที หากตดั สนิ วา่ ไมด่ ีไมช่ อบ ก็เกิด ทกุ ขเวทนา ส่งผลส่บู ุคลกิ ภาพบดู บงึ้ ตึงเครยี ดฯ หากหลงประเด็นทเี่ นื้อหา ของความคดิ อนั เปน็ สมมตจิ ะไมส่ ามารถเหน็ นมิ ติ ของจติ อนั เปน็ อณแู ฝงอยูใ่ น ความวา่ ง ซง่ึ อณูนเี้ องท่ีเป็นกระแสปฏิจจสมปุ บาท จากอวชิ ชา ---> สงั ขาร ---> วิญญาณ ---> นามรูป ---> อายตนะฯ ซ่ึงหากเหน็ กระแส ของคล่ืนพลังงานในวิญญาณตรงปัจจุบันเป็นอณูแฝงอยู่ในความว่างก็จะ หายสงสยั ถงึ จุตปิ ฏสิ นธวิ ิญญาณไปดว้ ย ๗๐

ดังน้นั การฉลาดในการเจริญสตปิ ฏั ฐาน ๔ ทำ�ใหฉ้ ลาดเหน็ นิมิตของ จิต จึงท�ำ จติ ให้ตัง้ ม่นั (สมาธิ) ทำ�ใหล้ ะอุปกิเลสไปได้ ดงั พทุ ธพจน์ “เมอ่ื เธอนั้นตามเหน็ จิตในจิตอยู่ กท็ ำ�ให้จติ ตง้ั มั่นได้ ทำ�อุปกเิ ลสให้ละไป ได้ กำ�หนดนมิ ติ น้ันได้ (กาย เวทนา จิต ธรรม เช่นเดียวกนั )” ภิกษุซึ่งเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ฉลาดนั้น จึงเป็นผู้ได้สุขวิหารใน ทิฎฐธรรม (สุขในปจั จุบนั ) ภิกษุ ท.! ข้อนั้นเพราะเหตวุ า่ ภกิ ษนุ น้ั เป็นบณั ฑติ เฉยี บ แหลม ฉลาดกำ�หนดนิมิตแห่งจิตของตนได้ (มหาวารสํ . ๑๙/๒๐๑-๒๐๒, ๗๐๕, ๗๐๗) (ไม่ฉลาดตรสั ถึงผลตรงขา้ ม) ในเชงิ ปฏบิ ตั ิ การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ดว้ ยการมสี ตสิ มั ปชญั ญะ คอื รู้สึกตัวรู้ชัดลง ไปที่ความรู้สึก ความรู้สึกในยามนี้นั่นแหละ ที่เป็นคลื่นพลังงานซ้อนอยใู่ น อณขู องกายแทรกตัวเป็นอณูของนามธรรมซึง่ ไมม่ ีรูปแต่ซ้อนอยู่ในรูปที่เรียก ว่าจิต แต่ก็ไม่ใช่จิตดังสมมติ หากสามารถระลึกรแู้ ละ รสู้ กึ ถงึ ความละเอยี ดในชอ่ งวา่ งทเ่ี ปน็ อณใู นรา่ งกาย นน้ั เพราะชอ่ งวา่ งในอณูนน้ั ตอ่ กับความวา่ งภายนอก จึงร้สู กึ โปร่งเบา กลวง ๆ ยิ่งเจริญสติดจู ติ ในจติ ทม่ี สี มาธจิ ะยง่ิ รสู้ กึ ถงึ อณทู โ่ี ปรง่ เบายง่ิ ขน้ึ ๆ แตท่ ่ี ไมส่ ามารถเหน็ ได้เพราะขาดสติ เผลอถลำ�เขา้ ไป ในเนอ้ื หาทค่ี ดิ ปรุงแต่งโดยหลงไปในเน้ือหาว่า มีตวั ตนของ “เรา” “เขา” จริงจงั จงึ บดบงั ลักษณะท่ีเป็นอณเู ม่ือไมส่ นใจเน้ือหาสมมติท่ีนึกคิด ๗๑

ร้วู ่าเป็นเพยี งความคดิ ไม่ใช่ “เราคดิ ” จะสามารถ สัมผัสกับนิมิตของจิต ละอุปกิเลส มีความสุข ในวิหาร ในทิฏฐธรรม ดังกล่าว ๗๒



๑๐.ฉลาด ไมเ่ศร้าหมอง

การเจริญสติเพื่อมีความสุขในปัจจุบันเป็นวิหารในทิฏฐธรรมคือ มี ความรู้ชัดถึงนิมิตของจิตไม่ใช่จิตแต่รู้สึกตัวถึงสภาวะท่ีโปร่งเบาสบายไม่มี ขอบเขตไมม่ ชี อ่ื วา่ “จติ ” และเหน็ ความจรงิ ของกายและใจเปน็ สภาวธรรม ตรงปัจจุบันขณะข้างหน้าอย่างฉลาด รู้ชัดว่าเป็นสภาวธรรมที่อาศัยกันเกิด ขึ้นทั้งกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ซึ่งล้วนเป็นกระ แสเหตุปัจจัยที่อาศัยเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่คงที่ไม่มีตัวตนถาวร การเจรญิ สติ ปฏั ฐาน ๔ จงึ เปน็ การตามเหน็ สภาวะและเหน็ ลกั ษณะของเหตปุ ัจจยั ทเี่ กิด ข้นึ จากเหตใุ ดก็รู้ ดับเพราะเหตุใดก็รู้ ในกาย เวทนา จติ ธรรม เหล่าน้นั การ เห็นลักษณะเปน็ ไตรลักษณ์ คือลกั ษณะ ๓ อยา่ งทีเ่ ปลย่ี นแปลงไปตามเหตุ ปจั จยั (อนิจจัง) ไม่คงที่ (ทกุ ข์) อาศยั สิ่งอ่ืนเกิดขึ้น (อนัตตา) เป็นวปิ สั สนา คอื สัมมสนญาณคือ ปญั ญาญาณทไ่ี มไ่ ด้เกิดจากความคิดแต่เหน็ ลกั ษณะท่ี เปน็ ปรมตั ถสภาวะ เม่ือเหน็ เปน็ กระแสเหตปุ จั จยั ไม่ใช่ตวั ตน คือ กายไมใ่ ชก่ เิ ลส เวทนา กไ็ มใ่ ช่กเิ ลส จติ ก็ไม่ใชก่ เิ ลส ธรรมกไ็ มใ่ ช่กเิ ลส ธาตุตา่ ง ๆ ในโลกทัง้ ความ วิจติ ร และความวนิ าศที่แปรปรวนไปไมใ่ ชก่ เิ ลส การฉลาดเห็นเช่นนี้ ย่อม ละอายใจที่จะกอ่ โลภะ โทสะ โมหะ อันเศร้าหมองกับส่งิ ไม่มตี ัวตนเหล่าน้ัน คอื ไมห่ ลงวา่ สขุ ทกุ ข์ มาจากผอู้ น่ื หรอื มาจากเราท�ำ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การรจู้ กั สงั ขารขนั ธ์ ซง่ึ เปน็ การน�ำ เอาความจ�ำ มา คิดนึกด้วยเจตจำ�นง จึงถูกเรียกว่าหมู่แห่งเจตนา ๖ หรือสัญเจตนาใน เรือ่ งรปู , เสยี ง, กลน่ิ , รส, สัมผสั กาย, และธรรมารมณ์ หรอื คนท่ัวไปกลา่ ว กนั วา่ “สังขารท้ังหลาย” หมายถงึ กริ ยิ าทป่ี รุงแต่ง อยา่ ลมื ความจริงวา่ โลก อนั วจิ ิตรเหลา่ นี้ลว้ นอยูต่ ามประสา ไม่รูเ้ รื่องด้วยว่ามันมชี อื่ วา่ อะไร แมแ้ ต่ใน ๗๕

แมลงตัวเลก็ ๆ หรือแมงกะพรนุ ที่สมมติบญั ญตั วิ า่ เปน็ สง่ิ มชี วี ติ มรี ูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ มันก็มิร้เู ร่อื งดว้ ย แต่สงั ขารนนั้ ไดป้ รุงรปู ให้เป็น รูป ปรุงแต่งเวทนาให้เป็นเวทนาฯ คือ ปรุงแต่งชื่อของมันขึ้นมาว่า อยา่ งนีเ้ รียกวา่ รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ แล้วก็หลงกับ วาทะเหล่านั้น กลายเป็นอัตตวาทุปาทานยึดมั่นในชื่อวาทะเหลา่ นน้ั ว่า เป็นตวั ตนจรงิ จงั การมีสติตามดกู ายในกาย, เวทนาในเวทนา, จติ ในจติ , ธรรมในธรรม ย่อมรู้จักนิมิตของสิ่งนั้นว่าเป็นเพียงเครื่องหมายให้รู้จัก แต่สภาวะแท้ ของมนั ไมใ่ ช่ “คน” คือเมอื่ แยกองค์ประกอบออกแล้วไมม่ สี กั อณทู เี่ ป็นตัว ตนหรอื เป็นคน ดงั พทุ ธพจน์ที่ทรงไมใ่ หย้ ดึ ม่นั ในสิง่ เหล่าน้นั ไมส่ �ำ คัญม่นั หมาย ซ่ึงดนิ ไม่ส�ำ คญั มั่นหมาย ในดนิ ไมส่ �ำ คัญมั่นหมาย โดยความเป็นดนิ ไม่ส�ำ คญั มั่นหมาย วา่ ดินของเรา ไม่เพลนิ อย่างย่งิ ซง่ึ ดนิ ในกรณีอืน่ อกี คือ น้ำ� ไฟ ลมฯ จนถงึ รปู เสียงฯ สิ่งท่รี ู้สกึ แล้วทางจมูก ลิ้น ผิวกายฯ จนกระทัง่ กรณีแห่งนิพพาน กไ็ ด้ตรัสแบบเดียวกนั (- ม.ู ม. ๑๒/๖/๔) ภิกษุ ท.! คนทัว่ ไปกลา่ วกันว่า “สงั ขารทง้ั หลาย” เพราะอาศัยความหมาย อะไรเลา่ ? ๗๖

ภิกษุ ท.! เพราะกริ ยิ าท่ปี รุงแตง่ ใหส้ �ำ เรจ็ รปู มีอยู่ในส่ิงนน้ั ดังนน้ั สิง่ น้ันจงึ ถูกเรยี กว่า สงั ขาร สิ่งนน้ั ย่อมปรุงแตง่ อะไร ให้เป็นของส�ำ เรจ็ รูป สงิ่ นน้ั ยอ่ มปรงุ แตง่ รูป ใหส้ ำ�เร็จรปู เพอ่ื ความเป็นรูป สง่ิ น้นั ย่อมปรุงแต่งเวทนา ให้ส�ำ เรจ็ รูปเพอ่ื ความเป็นเวทนา ส่งิ นั้นยอ่ มปรงุ แต่งสัญญา ใหส้ �ำ เรจ็ รปู เพ่ือความเป็นสัญญา สิง่ นั้นย่อมปรุงแต่งสังขาร ใหส้ ำ�เรจ็ รูปเพื่อความเปน็ สงั ขาร สงิ่ นัน้ ยอ่ มปรงุ แต่งวญิ ญาณ ใหส้ �ำ เรจ็ รูปเพอื่ ความเปน็ วิญญาณ ภกิ ษุ ท.! เพราะกริ ยิ าท่ีปรงุ แตง่ ใหส้ �ำ เร็จรปู มีอยใู่ นสงิ่ น้นั ดงั นนั้ สงิ่ นั้นจงึ ถูกเรยี กว่าสังขารทั้งหลาย (.ส.ํ ขนธ ๑๗/๑๐๖/๑๕๙) หากสังเกตคำ�ว่า สิ่งนั้น ย่อมปรุงแต่งสังขาร ให้สำ�เร็จรูปเป็น สงั ขาร จะเข้าใจถงึ ตัวสภาวะนัน้ วา่ แทจ้ ริงก็มใิ ช่สงั ขาร แต่เป็นเพยี ง ส่งิ น้นั หรอื สภาวะบางสิ่ง อนั เป็นกิริยาทป่ี รุงแต่ง ซึ่งมาสมมติชอื่ เรยี กวา่ สังขาร พระพุทธองคจ์ งึ ทรงเน้นไม่ให้สำ�คัญม่ันหมายแม้ในสิ่งทัง้ ปวง การเข้าใจลักษณะหรือกิริยาที่เรียกว่าสังขารอันไม่ใช่ตัวตน ย่อม สามารถวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลายท้ังภายในภายนอกด้วยปัญญา คือสังขารเุ ปกขาญาณ อันเปน็ ตวั วิปัสสนาญาณที่จ�ำ เปน็ เปน็ ปากประตู ไปสู่มรรค ผล นิพพาน เพราะการวางใจต่อสงั ขารการปรงุ แต่งทง้ั ปวง เมื่อ วางใจเป็นกลาง จติ ยอ่ มตัง้ ม่ัน ดงั น้ัน การเจรญิ วิปัสสนาย่อมเปน็ ผูฉ้ ลาด ด้วยอาการ ๑๐ ๗๗

“พระเสขะเจรญิ วปิ ัสสนายอ่ มเปน็ ผู้ฉลาดตั้งไว้ ๑. โดยความเปน็ ของไม่เท่ยี ง ๒. โดยความไม่คงทีเ่ ป็นทุกข์ ๓. อนตั ตา ๔. สิ้นไปไมเ่ ปน็ ก้อน ๕. เสอื่ มไปไมป่ ระมวลเข้ามา ๖. แปรปรวนไมย่ งั่ ยนื ๗. ไมย่ ึดถอื ในนมิ ิต ๘. ไม่มีท่ตี ัง้ ถาวร ๙. สูญไมย่ งั่ ยืน ๑๐. ต้งั ไว้ซึง่ ญาณปัญญา” ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเจริญสติที่ฉลาด เห็นนิมิตแห่งจิตคือเห็นเป็น เครื่องหมายให้รู้แต่ไม่สำ�คัญม่ันหมายโดยความเป็นส่ิงน้ันคือมีญาณปัญญา เห็นตามความเป็นจริง แม้ในการตามดูจติ ในจิต ซงึ่ เหน็ จติ ตสงั ขารปรุงแตง่ เปน็ ราคะ โทสะ โมหะ กร็ ู้จักในอาการปรงุ แต่งเหล่าน้ัน ไม่ใชต่ วั ตนและไมไ่ ด้สำ�คญั มั่นหมาย แต่เห็นเปน็ กระแสเหตปุ จั จัยปรงุ แต่งซ่งึ กิรยิ าท่ปี รุงแต่งเหลา่ นน้ั ซง่ึ จติ ตสงั ขาร คอื การผสมของสญั ญาบวกกบั เวทนา คอื ปรงุ แตง่ การกระท�ำ ทางใจ (มโนสญั เจตนา) วจีสังขาร เป็นการปรงุ แต่งวาจาในการวิตกตรกึ ถึงส่งิ นัน้ วจิ ารถึง สง่ิ น้ันตามเจตนานั้น ๆ (วจีสญั เจตนา) ส่งต่อสูก่ ายสังขาร คือ กริ ิยาที่ปรงุ แต่งการกระทำ�ทางกาย (กายสญั เจตนา) ซึ่งแท้จริงกเ็ ปน็ เพียงสภาวธรรมไม่ใช่ “คนปรุงแต่ง” แตเ่ ปน็ กิรยิ าปรงุ แตง่ หรือสภาวธรรมที่มีเจตนาเปน็ ประธานปรุงแตง่ ความคดิ การพดู การกระทำ� ท้ังเปน็ กศุ ลธรรม อกศุ ลธรรม เปน็ อพั ยากฤตธรรม ๗๘

การหลงเนอ้ื หาความคิดเพราะขาดสติ หลงเอาสังขารภายนอกมา ปรุงแตง่ สังขารภายใน ความจริงของทุกชีวิตล้วนถูกรายรอบด้วยสังขารอยู่ตลอดเวลาทั้ง กายสังขาร วจีสังขาร และจิตตสังขาร การมีสติเห็นจิตคิด เป็นการผสม ระหว่างสงั ขารภายนอกมาประมวลเป็นสงั ขารภายใน หากมสี ตเิ ห็นว่าสังขาร ทัง้ หลายไม่ใช่ตัวตนจึงจะรอดพน้ ปลอดภยั จากอุปกิเลสทัง้ ปวง คอื มีปญั ญา เป็นสังขารุเปกขาญาณเปน็ กลางตอ่ สังขารทั้งปวง ไมห่ ลงตอบโตส้ ่งิ ไมม่ ีตวั ตนเหล่านั้น รู้ความจริงว่าทุกข์ไมไ่ ดม้ าจากผูอ้ ่นื ทำ� และไมใ่ ช่มาจากเราทำ� ดังนัน้ การมสี ติเหน็ จติ ในจิต จนเหน็ นิมิตของจิต ละความเศร้าหมอง ต่าง ๆ ท�ำ ให้จิตต้งั มั่นไดร้ ับสขุ วิหารจากทิฎฐธรรมตรงปจั จบุ ันขณะ อนั เกดิ จากเหน็ จติ ไมใ่ ชต่ ัวตนย่อมทำ�ใหล้ ะอปุ กิเลส ๑๖ ไปโดยปริยาย ๑. ความละโมบ ๒. คดิ ประทษุ รา้ ย ๓. โกรธ ๔. ผกู โกรธไว้ ๕. ลบหลู่คณุ ท่าน ๖. ตีเสมอ ๗. รษิ ยา ๘. ตระหนี่ ๙. เจา้ เล่ห์ ๑๐. โออ้ วด ๑๑. หวั ดื้อ ๑๒. แขง่ ดี ๑๓. ถือตัว ๑๔. ดหู ม่ินท่าน ๑๕. มวั เมา ๑๖. ประมาท ซง่ึ ถา้ หากฉลาดมสี ตเิ ห็นนมิ ิตของจิตไดว้ า่ ไม่ใช่ตวั ตน อุปกิเลส ๑๖ (ความเศรา้ หมอง) เหล่านีก้ ็ยอ่ มไมอ่ าจกอ่ ตวั ได้ ดังนน้ั หากความเฉยี บแหลมยงั ไม่ เพียงพอ จึงยังไมม่ คี วามสุขในปจั จุบัน ทันตาเหน็ ดังพุทธพจนน์ ี้ ๗๙

“ภิกษุ ท.! ในกรณีน้ี ภิกษบุ างรูปเป็นผตู้ ามเห็นกายในกาย มีความเปน็ คน เขลา ไม่เฉยี บแหลม ไมฉ่ ลาด เพยี รเผากเิ ลส มีสตสิ มั ปชญั ญะ มสี ติน�ำ ออกซึ่ง อภชิ ฌา และโทมนัสในโลกอยู่ เม่ือเธอตามเหน็ กายในกายอยู่ กท็ �ำ จิตใหต้ ั้งม่ันไม่ ได้ ทำ�อปุ กิเลสใหล้ ะไปไมไ่ ด้ ก�ำ หนดนมิ ติ น้นั ไมไ่ ด้ (เวทนา จติ ธรรม ตรสั อยา่ ง เดียวกัน)” ภิกษุ ท.! เปน็ คนเขลา ไม่เฉียบแหลม ไม่ฉลาดนนั้ จึงเปน็ ผูไ้ มไ่ ดส้ ุขวิหารใน ทฏิ ฐธรรมเลย ภกิ ษุทั้งหลายภิกษุซ่งึ ไมไ่ ด้สติสัมปชญั ญะ ขอ้ นน้ั เพราะเหตุไรเล่า? ภกิ ษุท้ังหลาย ขอ้ นัน้ เพราะเหตุว่า ภิกษุน้นั เปน็ คนเขลา ไมเ่ ฉียบแหลม ไม่ ฉลาด กำ�หนดนิมิตแหง่ จิตของตนไมไ่ ด้ (ในฝา่ ยฉลาดตรสั ในทางตรงกนั ขา้ มขา้ ง ต้น) (มหาวาร.ส°. ๑๙/๒๐๑, ๒๐๒/๗๐๕,๗๐๗) “ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุเป็นผู้ฉลาดในธาตุ ฉลาดในอายตนะ ฉลาดใน ปฏิจจสมุปบาทและฉลาดในฐานะและอฐานะ ดูกรอานนท์ ด้วยเหตุเท่านี้แล จึง ควรเรียกได้ว่า ภิกษุเป็นบัณฑิต มีปัญญาพิจารณาฯ ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยกายสุจริต เมื่อตายไปพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกายสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัด ว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แลคือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยกายสุจริต เมื่อตายไปพึงเข้า ถึงสุคติ โลกสวรรค์ เพราะกายสุจริตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้ฯ วจีสุจริต มโนสุจริตเช่นกัน (ส่วนทุจริตตรัสในทางตรงกันข้าม) ๘๐

ในเชงิ ปฏิบตั ิ ฉลาดไม่เศร้าหมอง คือการมีสติเห็นจิตในจิตไม่หลงถลำ�เข้าไปใน เนือ้ หาความคดิ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ไมห่ ลงผิดว่า “เราก�ำ ลังคดิ ” แตเ่ ห็นว่า จติ กำ�ลงั คิดและเน้ือหาที่คิดเปน็ การปรงุ แต่ง ไมม่ ตี ัวตนถาวรอย่จู ริง กเิ ลสอนั เศรา้ หมองมิไดม้ ีมาก่อน และรู้ว่าสขุ ทุกข์ ไม่ไดม้ าจากคนอนื่ ทำ� ยอ่ มละโทสะ ท่ีเปน็ กเิ ลสอนั เศร้าหมอง และรู้วา่ สขุ ทกุ ข์ไมไ่ ด้มาจากเราท�ำ ยอ่ มละโลภะ อันเป็นกิเลสท่เี ศรา้ หมอง เมอ่ื รูจ้ กั วา่ ส่งิ ภายนอกท้งั หลายไม่ใชก่ เิ ลสอันเศร้า หมอง ย่อมมีสติเห็นจิตในจิต ไม่เติมความเศร้าหมองลงไป มีสติรักษาจิต ที่ปกติสุขอยู่ก่อน ย่อมได้รับความสุขในปัจจุบันทันตาเห็น คือมีความสขุ ใน ทิฏฐธรรมดงั กล่าว “ดกู ร อานนท์ ภิกษุในกรณนี ี้ ย่อมเป็นผพู้ จิ ารณาเห็นกายในกาย อยู่เปน็ ประจำ� มีความเพยี รเผากิเลส มคี วามร้สู กึ ตวั ทัว่ พร้อม มีสติ พึงก�ำ จัดอภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกเสียได้ เมือ่ พิจารณาเหน็ กายในกายอยู่ ความเรา่ รอ้ นในกายอันมกี าย เปน็ อารมณ์เกิดขนึ้ ก็ดี หรอื ว่าความหดหแู่ หง่ จติ เกิดข้นึ ก็ดี หรือว่าจิตฟ้งุ ซา่ นไปใน ภายนอกกด็ ”ี “ดูกรอานนท์! ภกิ ษนุ นั้ พึงต้ังจติ ในนมิ ติ อย่างใดอยา่ งหน่ึง ซึง่ เปน็ ที่ต้ังแห่ง ความเล่อื มใส ๘๑

เมอื่ ตั้งจิตในนมิ ติ เป็นที่ตัง้ แห่งความเลือ่ มใส ปราโมทยย์ อ่ มเกิดขนึ้ เมื่อมปี ราโมทยแ์ ล้ว ปิตยิ ่อมเกดิ ข้นึ เม่อื มใี จปิติแล้ว กายยอ่ มรำ�งับ ผมู้ กี ายรำ�งบั แล้ว ย่อมร้สู กึ เปน็ สขุ เมื่อรสู้ ึกเป็นสุข จิตยอ่ มตัง้ มนั่ ” ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า “เราตั้งจิตไว้เพื่อประโยชน์แก่ธรรมใด ประโยชน์นัน้ ส�ำ เรจ็ แลว้ แก่เรา เอาละบดั นเ้ี ราจะน�ำ จิตเฉพาะต่ออารมณน์ ัน้ ” ภิกษุนั้นย่อมนำ�จิตเฉพาะต่ออารมณ์นั้นด้วย ไม่กระทำ�ซึ่งวิตกด้วย ไม่ กระทำ�ซึ่งวจิ ารด้วย เธอน้นั ยอ่ มร้ชู ัดว่า “เราเป็นผ้ไู ม่มวี ติ ก ไม่มีวิจาร เปน็ ผู้มสี ตมิ ี สขุ ในภายใน” ดงั น้ี (ในกรณี เวทนา – จิต – ธรรม ทรงตรัสไวน้ ัยเดียวกนั ) ๘๒

๑๑.ฉลาดมีนดั กับความสงบ

ฉันเองยอมรับถึงความไม่ฉลาด เพราะศึกษาเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ปฏิจจสมุปบาทมา ๔๐ ปี และอานาปานสตถิ ึง ๕๐ ปี ยังไม่ฉลาดพอ จึงหัดมี นัดกบั ความสงบบอ่ ยข้นึ ในแตล่ ะวันเทา่ ท่ีพอจะทำ�ได้ เพราะแต่ละสถานท่ีในโลกก็มักมีมุมสงบที่ห่างจากการคลุกคลีกับ สังขารความปรงุ แต่ง หรือหา่ งจากการคลุกคลีในอุปาทานกลมุ่ ต่าง ๆ ซ่ึง ไมใ่ ช่คนมีอปุ าทาน แต่สงั ขารความปรงุ แตง่ และอปุ าทานต่างหากท่ีแฝงอยู่ใน สภาวะทเ่ี รียกว่า “คน” การตื่นแต่เช้าอากาศสดชื่น และสังขารคือความปรุงแต่งใหม่ยังไม่ เข้ามาขณะความปรุงแต่เก่าซีดจางเหมือนดาวในรุ่งสาง และมีโอกาสอยู่ ล�ำ พงั ในความสงบสงดั อันภิรมย์ของจติ ทำ�ให้แลเหน็ นมิ ติ ของจติ ง่าย คอื เห็น เครื่องหมายที่เรียกว่าจิตน้ันมีธรรมชาติเดิมเป็นความปลอดโปร่งแต่ถูกบัง อย่ดู ้วยคล่ืนพลงั งานของความปรงุ แตง่ การเจรญิ สตยิ ามเชา้ ต้งั แต่รู้สกึ ตวั ในยามตนื่ นอน แม้อยู่บนทน่ี อนก็ สามารถเห็นอาการของจิตท่ีปลอดโปรง่ หรืองวั เงยี เพียงแค่ลุกขนึ้ ตัง้ ศีรษะ ให้ตรงอาการงวั เงยี ก็หายไป ความคิดที่อ้อยอ่งิ กจ็ างคลาย เพยี งยา่ งกาย เทา้ กระทบพื้นสัมผัสท่ีตื่นก็กระตุ้นให้เหน็ ความรูส้ กึ ตัวที่แท้ ซง่ึ ไม่มีชือ่ ว่าเทา้ หรอื พนื้ แมแ้ ต่เพยี งผสั สะ อนั ประกอบด้วยองค์ ๓ คอื เทา้ -พน้ื ท�ำ ใหเ้ กิด กายวิญญาณ รวมกนั เป็นผสั สะ สง่ ผลสอู่ เุ บกขาเวทนาเห็นธรรมารมณท์ เ่ี หน็ เป็นกลาง ๆ กระทบใจเป็นมโนวิญญาณส่งผลสู่เวทนาที่เป็นอุเบกขา ปัญหา ต่าง ๆ จากสังขารและอุปาทานยังไม่ก่อตัวให้อึดอัด สัมผัสสภาวะที่ปลอด โปรง่ โลง่ เบากวา้ งขวาง แมใ้ นขณะเขา้ หอ้ งน้ำ� ท�ำ ธรุ ะสว่ นตวั กส็ ามารถเจริญ ๘๔

สติได้ต่อเนื่องกับความสงัดอันน่าอภิรมย์ จำ�ได้ถึงอกุศลกรรมที่ไม่ได้มีมา กอ่ น ตัง้ จิตอธิษฐานทจี่ ะไมเ่ พ่มิ ทกุ ขใ์ ห้กบั คนทม่ี ีทุกข์ และจะไม่ก่อเจตนารา้ ย ท่ีจะเบยี ดเบียนตนและผู้อ่นื การมนี ดั กับความสงบในชว่ งเวลาตนื่ นอนทำ�ให้จัดทิศทางของชวี ิตได้ อย่างมรี ะเบยี บไมป่ ระมาทพลงุ่ พลา่ นร้อนรนกระวนกระวาย เพราะธรรมชาติ เดิมของทุกสรรพสงิ่ รอบตวั ตั้งแต่ท้องฟา้ อาคารของใชต้ า่ ง ๆ ล้วนว่างจาก ชอื่ สมมตอิ ยูก่ อ่ นวา่ อะไร รวมถึงองค์ประกอบของชวี ิตทเี่ รยี กวา่ ขันธ์ ๕ มี แตก่ ิริยาท่ปี รงุ แต่งสงั ขารใหเ้ ป็นสงั ขาร คือแม้แตส่ งั ขารกย็ งั มิใช่สังขาร แต่ สังขารก็ปรงุ แต่งรปู ให้เรียกวา่ รปู ปรงุ แต่งเวทนาให้เรียกว่า เวทนา ปรุงแต่ง สญั ญาใหเ้ รยี กวา่ สญั ญา ปรงุ แตง่ วญิ ญาณใหเ้ รยี กวา่ วญิ ญาณ แลว้ กห็ ลงกบั มโนผัสสะทางวาทะภายในเหลา่ นัน้ รวมถึงการปรงุ แตง่ ชอ่ื สมมตติ า่ ง ๆ ข้นึ มาในโลกจนหลงลมื ความจรงิ ไปชว่ั ขณะ เมอ่ื ตน่ื เชา้ ขน้ึ มาอยา่ งมสี ติ เหน็ นมิ ติ ของชวี ติ มสี มั มาทฏิ ฐเิ หน็ ถกู ตอ้ งตามความเปน็ จรงิ ย่อมสามารถใชช้ วี ติ จติ ใจ ในแตล่ ะขณะไดอ้ ยา่ งไมก่ อ่ โทษทกุ ขใ์ หก้ บั ตนและผอู้ น่ื สามารถดม่ื ด่ำ�กบั ความ สุขโดยชอบธรรม ดงั นน้ั ควรสรา้ งโอกาสในการอภริ มยต์ อ่ ความสงบภายใน แมใ้ นบท สนทนาที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้มีสติในขณะดำ�ริจะพูด การระมัดระวังใน การไม่เบียดเบียนตนและผูอ้ ืน่ เป็นเร่ืองทคี่ วรเอาใจใส่ หากไม่จำ�เปน็ จะต้อง พูด การรกั ษาความอภริ มยไ์ วภ้ ายในเปน็ ความสขุ กวา่ หากจ�ำ เปน็ ตอ้ งพดู กไ็ ม่ พดู เพอ่ื ตอบสนองอุปาทานด้วยการเปรียบเทียบเหยียดหยามข่มเหงกันด้วย วาทะแห่งตัวตน คืออัตตวาทุปาทาน กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน หรือ สลี ัพพตปุ าทาน ๘๕

ดงั น้นั การไม่คลุกคลีกบั อุปาทานภายใน ยอ่ มไม่ส่งใจเหยยี ดออกไป คลุกคลีกับอปุ าทานภายนอก ถกู หลอกด้วยอวิชชาพาปรงุ แต่งสังขาร เพราะ จำ�ได้ถูกต้องว่าสุข-ทุกข์ไม่ได้มาจากผู้อื่นทำ� และไม่ใช่มาจากเราทำ� ยอ่ มไม่ จ�ำ เป็นต้องไปคลกุ คลี ละความยนิ ดกี บั ส่งิ ทีไ่ ม่ใชต่ วั ตนเหลา่ น้ัน การมีนัดกับความสงบเป็นสิ่งจำ�เป็นของชีวิตที่ได้เห็นนิมิตของจิต อันมธี รรมชาตปิ ระภัสสรอยู่กอ่ น มีแคอ่ ปุ กิเลสทีจ่ รผา่ นมาชวั่ ขณะ หากมสี ติ ไม่ออกไปปะทะหรือประทุษร้าย เพราะผู้อื่นไม่ใช่ต้นเหตุแห่งสุข-ทุกข์ คือ เห็นผัสสะเป็นองค์ประกอบของสิ่งที่ไม่มีตัวตน จะไม่หลงการแสดงกลของ วิญญาณ ไม่ไปคว้าสงั ขารภายนอกมาปรงุ แต่งสังขารภายในให้ว่นุ วาย และไม่ ปรุงสังขารภายในส่งออกไปสร้างความวนุ่ วายภายนอก มีความสุขในวิหารแห่งทิฏฐธรรม คือเห็นสภาวะตามความเป็นจริง ตรงปัจจุบัน มีความสุขทันตาเห็นเพราะเห็นเป็นแค่กระแสเหตุปัจจัยที่อาศัย กนั เกดิ ขน้ึ และดับไป ไมถ่ ลำ�สง่ จิตออกไปคลกุ คลีกับสังขารอุปาทานอนั ไม่มี แก่นสารใด ๆ พระพุทธองค์จึงทรงอุปมาสังขารเหมือนต้นกล้วยที่คร้ันพอลอกกาบ ออกไปเรื่อย ๆ ก็ไม่พบแก่นสารอยู่ภายใน มีแต่ความว่างเปล่าอยู่สุดปลาย ทาง \"ภิกษุ ท.! อปุ ไมยกฉ็ นั น้นั คอื สังขารชนดิ ใดชนิดหนง่ึ มอี ยู่ จะเปน็ อดีต อนาคต หรือปัจจบุ ันก็ตาม เป็นภายในหรอื ภายนอกก็ตาม หยาบหรอื ละเอยี ด ๘๖

กต็ าม เลวหรอื ประณีตก็ตาม มอี ยูใ่ นท่ไี กลหรอื ทใี่ กลก้ ต็ าม ภิกษุ สงั เกตเหน็ สังขาร ทง้ั หลายเหลา่ นั้น ยอ่ มเพง่ พนิ ิจโดยแยบคาย\" เมอ่ื ภกิ ษสุ งั เกตเห็นอยู่ เพง่ พินิจพจิ ารณาโดยแยบคายอยู่ สงั ขารท้ังหลาย ย่อมปรากฏเป็นของวา่ งเปล่า และปรากฏเปน็ ของหาแกน่ สารมไิ ด้ ภกิ ษุ ท.! ก็แก่น สารในสังขารท้งั หลายเหล่านั้น จะพึงมีได้อย่างไร (ขนธ.ส.๑๗/๑๗๒/๒๔๕) ในเชงิ ปฏิบัติ การเจริญอานาปานสตทิ คี่ รอบคลุมสติปฏั ฐาน ๔ สติปัฏฐานบรบิ รู ณเ์ พราะอานาปานสตบิ รบิ รู ณ์ ภิกษุ ท.! อานาปานสตอิ ันบคุ คลเจริญแลว้ อย่างไร ท ำ�ให้มากแลว้ อยา่ งไร จึงทำ�สติปฏั ฐานทง้ั ๔ ให้บรบิ ูรณไ์ ด้? หมวดกายานปุ ัสสนา ภกิ ษุ ท.! สมยั ใด ภกิ ษุ (๑) เมอื่ หายใจเขา้ ยาว ก็รู้สกึ ตัวทว่ั ถงึ วา่ เราหายใจเข้ายาว ดงั นี้, หรอื ว่า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สกึ ตัวทั่วถงึ วา่ เราหายใจออกยาว ดังน้กี ด็ ี (๒) เม่อื หายใจเข้าส้ัน กร็ สู้ กึ ตัวทว่ั ถึง วา่ เราหายใจเข้าสน้ั ดงั นี้ หรือว่าเมอื่ หายใจออกสนั้ กร็ ูส้ กึ ตัวท่ัวถึง ว่าเราหายใจออกส้นั ดงั นีก้ ็ดี (๓) ยอ่ มท�ำ ในบทศึกษาวา่ เราเปน็ ผู้รูพ้ รอ้ มเฉพาะซึ่งกายท้ังปวง จักหายใจ เขา้ ดังน้ี ย่อมทำ�ในบทศึกษาวา่ เราเป็นผ้รู พู้ ร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จกั หายใจออก ดงั นี้ ๘๗

(๔) ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�กายสังขารให้รำ�งับอยู่ จักหายใจ เข้าดงั น้ี ยอ่ มทำ�ในบทศึกษาวา่ เราเป็นผทู้ ำ�กายสงั ขารให้รำ�งบั อยู่ จักหายใจออก ดังน้ี ภกิ ษ ท.! สมัยนน้ั ภิกษชุ ื่อว่าเป็นผู้ตามเหน็ กายในกายอยู่เปน็ ประจำ� มีความ เพยี รเผากิเลส มสี มั ปชัญญะ มีสติ นำ�อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสียได้ ภิกษุ ท.! เราย่อมกล่าวลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ว่าเป็นกาย อันหนึ่ง ๆ ในกายทั้งหลาย ภกิ ษุ ท.! เพราะเหตุนัน้ ในเร่ืองน้ี ภกิ ษนุ ้นั ย่อมชอ่ื ว่าเป็น ผตู้ ามเห็นกายในกายอยู่เปน็ ประจ�ำ มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ น�ำ อภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสยี ได้ ในสมยั นนั้ หมวดเวทนานปุ สั สนา ภิกษุ ท.! สมัยใดภิกษุ (๑) ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจเข้า ด ังนี้ ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ จักหายใจออก ดังนี้ (๒) ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเขา้ ดังน้ี ยอ่ มท�ำ ในบทศกึ ษาว่า เราเปน็ ผู้รพู้ ร้อมเฉพาะซงึ่ สขุ จกั หายใจออก ดังน้ี (๓) ย่อมท�ำ ในบทศึกษาวา่ เราเปน็ ผรู้ ้พู ร้อมเฉพาะซ่ึงจติ ตสงั ขาร จักหายใจ เข้าดงั น้ี ย่อมทำ�ในบทศึกษาวา่ เราเปน็ ผ้รู ู้พร้อมเฉพาะซง่ึ จติ ตสงั ขาร จกั หายใจ ออกดังนี้ (๔) ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า เราเปน็ ผู้ทำ�จิตตสงั ขารใหร้ �ำ งบั อยู่ จกั หายใจ เขา้ ดงั น้ี ๘๘

ยอ่ มท�ำ ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผูท้ �ำ จิตตสังขารใหร้ ำ�งับอยู่ จักหายใจออก ดงั นี้ ภิกษุ ท.! สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็น ประจำ� มคี วามเพียรเผากิเลส มสี มั ปชัญญะ มีสติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก ออกเสยี ได้ ภิกษุ ท.! เราย่อมกลา่ วการทำ�ในใจเป็นอยา่ งดีตอ่ ลมหายใจเขา้ และลม หายใจออกทั้งหลาย ว่าเปน็ เวทนาอนั หน่งึ ๆ ในเวทนาทง้ั หลาย ภิกษุ ท.! เพราะ เหตุนน้ั ในเรือ่ งนี้ ภกิ ษุนนั้ ย่อมชือ่ วา่ ตามเห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลายอยู่เปน็ ประจ�ำ มีความเพียรเผากเิ ลส มสี มั ปชญั ญะ มีสติ นำ�อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได้ ในสมัยน้ัน หมวดจิตตานปุ ัสสนา ภิกษุ ท.! สมยั ใดภกิ ษุ (๑) ย่อมทำ�ในบทศกึ ษาวา่ เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซง่ึ จิต จกั หายใจเข้า ดงั นี้ ยอ่ มทำ�ในบทศึกษาว่า เราเป็นผูร้ ูพ้ ร้อมเฉพาะซงึ่ จิต จกั หายใจออก ดงั น้ี (๒) ย่อมท�ำ ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผทู้ ำ�จติ ใหป้ ราโมทย์ยิง่ อยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้ ย่อมท�ำ ในบทศกึ ษาว่า เราเปน็ ผู้ท�ำ จติ ให้ปราโมทย์ยงิ่ อยู่ จักหายใจออก ดงั น้ี (๓) ย่อมทำ�ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผู้ท�ำ จติ ให้ต้งั ม่นั อยู่ จักหายใจเข้าดังน้ี ย่อมท�ำ ในบทศกึ ษาวา่ เราเป็นผู้ท�ำ จิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังน้ี (๔) ย่อมท�ำ ในบทศึกษาว่า เราเปน็ ผู้ทำ�จิตให้ปลอ่ ยอยู่ จักหายใจเขา้ ดงั นี้ ยอ่ มทำ�ในบทศึกษาวา่ เราเป็นผูท้ �ำ จติ ใหป้ ล่อยอยู่ จักหายใจออกดงั นี้ ภิกษุ ท.! สมัยนน้ั ภกิ ษุช่ือว่าเป็นผู้ตามเห็นจติ ในจิตท้ังหลายอยเู่ ป็นประจำ� มคี วามเพยี รเผา กิเลส มีสัมปชัญญะ มสี ติ น�ำ อภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสยี ได้ ๘๙

ภิกษุ ท.! เราไม่กล่าวอานาปานสติ ว่าเปน็ ส่ิงที่มไี ดแ้ ก่บคุ คลผ้มู สี ตอิ ันลืม หลงแลว้ ไม่มีสมั ปชญั ญะ ภิกษุ ท.! เพราะเหตนุ ั้นในเรื่องนภี้ ิกษนุ นั้ ย่อมช่อื วา่ เป็น ผ้ตู ามเหน็ จิตในจติ อย่เู ป็นประจำ� มีความเพยี รเผากิเลส มีสัมปชญั ญะ มสี ติ นำ� อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ในสมัยนนั้ หมวดธมั มานปุ ัสสนา ภิกษุ ท.! สมยั ใดภกิ ษุ (๑) ยอ่ มทำ�ในบทศึกษาวา่ เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เท่ยี งอยูเ่ ปน็ ประจำ� จกั หายใจเขา้ ดงั นี้ ย่อมทำ�ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผ้ตู ามเห็นซงึ่ ความไม่เทีย่ งอย่เู ป็น ประจำ� จักหายใจออก ดงั นี้ (๒) ยอ่ มท�ำ ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผตู้ ามเหน็ ซง่ึ ความจางคลายอยเู่ ปน็ ประจ�ำ จกั หายใจเขา้ ดังนี้ ยอ่ มทำ�ในบทศึกษาวา่ เราเป็นผ้ตู ามเหน็ ซึ่งความจางคลายอยู่ เปน็ ประจำ� จักหายใจออก ดงั นี้ (๓) ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็น ประจำ� จกั หายใจเขา้ ดังนี้ ยอ่ มท�ำ ในบทศกึ ษาว่า เราเปน็ ผู้ตามเหน็ ซึง่ ความดับไม่ เหลอื จักหายใจออกดังน้ี (๔) ย่อมทำ�ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผู้ตามเห็นซง่ึ ความสลดั คืนอยเู่ ปน็ ประจำ� จกั หายใจเขา้ ดังนี้ ยอ่ มท�ำ ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผ้ตู ามเห็นซึ่งความสลดั คนื อย่เู ปน็ ประจำ� จักหายใจออก ดังน้ี ภิกษุ ท.! สมยั นั้นภกิ ษชุ ื่อวา่ เปน็ ผู้ตามเหน็ ธรรมในธรรม ท้งั หลายอยเู่ ป็นประจำ� มคี วามเพยี รเผากเิ ลส มสี ัมปชัญญะ มีสติ นำ�อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกออกเสยี ได้ ๙๐

ภิกษุ ท.! ภกิ ษนุ ัน้ เปน็ ผู้เข้าไปเพง่ เฉพาะเปน็ อยา่ งดแี ล้ว เพราะเธอเหน็ การ ละอภชิ ฌาและโทมนสั ทั้งหลายของเธอนั้นดว้ ยปญั ญา ภกิ ษุ ท.! เพราะเหตนุ น้ั ใน เร่อื งนี้ ภิกษนุ นั้ ย่อมชอ่ื ว่าเป็นผูต้ ามเห็นธรรมในธรรมท้งั หลายอยู่เปน็ ประจ�ำ มีความ เพียรเผากิเลส มสี มั ปชญั ญะ มีสติ น�ำ อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกออกเสยี ได้ ในสมยั นนั้ ภิกษุ ท.! อานาปานสตอิ นั บุคคลเจรญิ แลว้ อยา่ งนี้ ท�ำ ใหม้ ากแลว้ อยา่ งนแ้ี ล ช่ือว่า ท�ำ สตปิ ฏั ฐานทงั้ ๔ ให้บรบิ รู ณ์ได้ (อปุ ริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙) ๙๑



๑๒. ฉลาดรจู้ กั เครอ่ื งรอ้ ยรดั

การมีความสุขอยู่ในวิหารแห่งทิฏฐธรรมตรงปัจจุบันของใจที่ปลอด โปร่งจากการมีสติ ทำ�ให้เห็นกระแสความปรุงแต่งสังขารจากเงื่อนไข เหตุ ปัจจัยที่แปรปรวนเปน็ อน่ื ไมค่ งที่ เปน็ ของไม่นา่ เข้าไปรอ้ ยรดั ฝากใจท่ีหวงั จะไดค้ วามสขุ จากความเปน็ อน่ื ของสง่ิ เหลา่ นน้ั ดว้ ยการจ�ำ ถกู ตอ้ งวา่ สขุ -ทกุ ข์ ไมไ่ ดม้ าจากผอู้ น่ื ท�ำ มแี ตส่ ง่ิ ทแ่ี ปรปรวนเปน็ อน่ื ไดจ้ ากเงอ่ื นไขปจั จยั หลากหลาย จึงไมค่ งที่ ไม่ใชท่ ี่พึง่ อนั ปลอดภยั เพราะส่งิ ตา่ ง ๆ ในโลกไมไ่ ดร้ อ้ ยรดั มัด ใจไว้ ความยนิ ดีในสง่ิ เหลา่ นน้ั ตา่ งหากท่เี ขา้ ไปผกู มดั การมนี ดั กบั ความ สงบอนั อภิรมยด์ ้วยธรรมชาตเิ ดมิ ของใจท่ีปกตสิ ขุ อยู่ก่อน โดยไมต่ อ้ งเปรียบ เทียบแขง่ ขันการปรุงแตง่ ลาภยศ สรรเสรญิ กบั สงั ขารใด ๆ เปน็ ความปลอด โปร่งปลอดภัยไม่สะดงุ้ หว่ันไหวไปในอตั ตวาทปุ าทานตา่ ง ๆ หรือ อุปาทาน กลมุ่ ตา่ ง ๆ อันมากมาย ด้วยความขัดแย้งจากความยดึ มัน่ วา่ เป็นตวั ตนแล้ว สร้างกลไกแสวงหาภาวะทีด่ กี วา่ สง่ิ อ่ืน ๆ อย่ตู ลอดเวลา ไมส่ ามารถมองเห็น นมิ ติ ของจิต อันไมม่ ตี ัวตนอยูก่ อ่ นได้ เพราะหลงผิดร้อยรดั มดั สงิ่ ภายนอก ว่าเป็นตวั ตนของตนด้วยอปุ าทาน พระพุทธองค์จึงทรงช้ีให้เห็นถึงหนทางท่ีจะเอ้ือให้เห็นนิมิตของจิต และตดั เครือ่ งร้อยรัดอันเศรา้ หมองออกจากใจ ดงั น้ี ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดหนอ ยังเป็นผู้มีความพอใจในการคลุกคลีกันเป็น หมู่ ๆ ยังมีความยินดีในการคลุกคลีกันเป็นหมู่ ๆ ยังตามประกอบซึ่งความพอใจ ในการคลกุ คลีเป็นหมู่ ๆ ยังมคี วามพอใจในคณะ ยงั ยนิ ดใี นคณะ ยังตามประกอบซ่ึง ความพอใจในคณะ ภิกษุนั้นจักมาเป็นผู้อยู่เดี่ยวโดด อภิรมย์ในความสงบสงัดดังนี้ ข้อนี้เป็น ฐานะที่มีไมไ่ ดเ้ ปน็ ไมไ่ ด้ เมอื่ อยู่โดดเดยี่ วไมไ่ ด้ และไมอ่ ภริ มยใ์ นความสงัดอยู่ ยังจกั สามารถถอื เอาซึ่งนิมิตแห่งจิตดงั นี้ ขอ้ นี้เปน็ ฐานะทมี่ ีไม่ได้ เปน็ ไมไ่ ด้ ๙๔

เมื่อไม่อาจถือเอาซึ่งนิมิตแห่งจิตดังนี้ แต่ยังจักทำ�สัมมาทิฏฐิให้บริบูรณ์ ไดด้ ังนี้ ข้อน้เี ปน็ ฐานะทีม่ ีไม่ได้ เปน็ ไม่ได้ เมือ่ ไม่ทำ�สัมมาทฏิ ฐิให้บริบรู ณ์แลว้ จกั ทำ� สัมมาสมาธใิ ห้บริบรู ณด์ งั น้ี ขอ้ นเ้ี ปน็ ฐานะที่มไี มไ่ ด้ เป็นไม่ได้ เมื่อไม่ละสงั โยชน์ท้งั หลายแล้ว จกั ท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ นพิ พานดงั น้ี ขอ้ นเี้ ปน็ ฐานะท่ีมีไม่ได้ เป็นไม่ได้ (อ.ฉกก ๒๒/๔๗๑/๓๙๙) (ส่วนฐานะที่มีได้เป็นได้ ตรัสในเรื่องของอภิรมย์ในความสงัด และ เห็นนมิ ิตของจติ เกิดสมั มาทิฏฐิ เกิดสัมมาสมาธฯิ ) ปรากฏการณ์ในโลกไม่ได้รอ้ ยรดั ใจไว้ แต่การยนิ ดใี นการคลกุ คลนี ัน้ มัดใจไว้ จะสังเกตเห็นว่าในพุทธพจน์ข้างต้น ทำ�ให้เห็นว่า การยินดีในการ คลุกคลีเป็นการร้อยรัดมัดใจไว้กับสังขาร และยึดมั่นด้วยอุปาทาน ไม่ สามารถทวนกระแสเข้ามาเห็นนิมิตของจิต เพราะการหลงว่ามีตัวตนของ ตน และตัวตนของผู้อน่ื คอื หลงผิดวา่ สขุ -ทกุ ขม์ าจากผูอ้ นื่ ท�ำ จึงหลงขาดสติ เผลอเพลินไปกับการคลุกคลีในสังขารการปรุงแต่งท้ังภายนอกภายใน กลายเป็นเครื่องร้อยรัดใจเดิมที่มีอิสรภาพอยู่ก่อน มองไม่เห็นกระแสของ ผสั สะ อนั ประจวบกนั ของ ๓ สง่ิ คอื ตากระทบรปู เกดิ จกั ขวุ ญิ ญาณ เปน็ ผสั สะ ทำ�ใหเ้ กดิ สุข ทุกข์ อเุ บกขาเวทนา เมือ่ ไม่รูจ้ กั ทม่ี าของสขุ เวทนา ว่าไมใ่ ช่จาก ผอู้ ื่นท�ำ ไม่ใชม่ าจากเราท�ำ กแ็ อบลอบเก็บความยนิ ดีพอใจในสง่ิ นน้ั รอ้ ยรดั มดั ใจไวก้ บั สง่ิ นน้ั กลายเปน็ ราคะสงั โยชน์ เมอ่ื ผสั สะแลว้ เกดิ ทุกขเวทนา ไมร่ จู้ กั กระแสเหตุปจั จยั ทไี่ ม่ใชต่ วั ตน กแ็ อบเกบ็ ความไม่ชอบไว้ผูกโกรธ ร้อยรัดมัด ไว้ในใจกับสิ่งไม่มีตัวตน กลายเป็นปฏิฆะสังโยชน์ ๙๕

ดังน้ัน การหลงเผลอเพลินกบั การคลุกคลยี ินดีกับการคลกุ คลีในสง่ิ ไมใ่ ชต่ ัวตนยอ่ มมีผลเป็นการเสพตดิ และปรากฏการณ์ในโลกไม่ใชส่ ง่ิ เสพตดิ แต่อวิชชาต่างหากที่มายึดเสพติดปรากฏการณ์ในโลก เหมือนนักเสพยา ทต่ี อ้ งวนกลบั ไปหายาเสพตดิ ทกุ ครง้ั ไมส่ ามารถเหน็ นมิ ติ ของจติ ไมเ่ หน็ นมิ ิตของ วิญญาณทไ่ี มใ่ ชต่ วั ตน เปน็ เพยี งมายากลทส่ี ลบั ซบั ซอ้ นจากผสั สะ มีตัวแปร เปน็ ธรรมารมณ์ทก่ี ระทบใจ เกดิ มโนวิญญาณ คอื ผัสสะ ส่งผลสู่เวทนา ---> ตัณหา ---> อปุ าทาน ---> ภพ ---> ชาติ ความฉลาดในการตดั โซ่ตรวนอนั ร้อยรัดเสพติดเหย่ือท่ไี มม่ ีตัวตน มี หนทางทพ่ี ระพุทธองคท์ รงช้ีใหเ้ ห็นถงึ ฐานะท่เี ป็นไปได้ มีได้ ดงั น้นั การเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ในการตามดูกายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ ธรรมใน ธรรม แล้วไม่สามารถเหน็ นมิ ิตของจติ ไมส่ ามารถละอุปกเิ ลส หากสังเกต จะเห็นต้นเหตุที่ยินดีกับการคลุกคลี แล้วปรับเหตุปัจจัยให้สอดคล้องกับ ฐานะทจี่ ะเปน็ ไปไดด้ งั กล่าว คนฉลาดจึงมิไดร้ อโอกาสแตส่ ร้างโอกาสแห่ง การไม่คลกุ คลีกบั ส่ิงเสพติดในทกุ ทต่ี ง้ั แต่ต่ืนเช้าอันสงบสงัดนา่ อภิรมย์ จนถงึ การไม่คลุกคลีทางวาจายาพิษจากอุปาทานต่าง ๆ ไม่เสียพลังงานโดยเปล่า ประโยชน์กับการปรุงแต่งอันเป็นของว่างเปล่า ไม่มีแกน่ สาร แตร่ ู้จัก ท นถุ นอมแกน่ สารภายในของใจอันสงบ ปกตสิ ุขอยู่ก่อน ขอ้ สรปุ ทีค่ วรตระหนักอยู่กับใจอย่างไมบ่ ิดพลิว้ คอื สขุ -ทุกขไ์ มไ่ ด้มาจากผอู้ ่นื ท�ำ ไมไ่ ด้มาจากเราท�ำ คือหมู่คณะไมใ่ ชส่ ิง่ เสพตดิ แตค่ วามยนิ ดี ในหมู่คณะตา่ งหากท่เี ป็นส่งิ เสพติด คือ เสพตดิ ในความยนิ ดี อันมลี าภยศ สรรเสริญ ๙๖

ในหมคู่ ณะ มีรปู รส กลิน่ เสียง สัมผัสกาย และธรรมารมณ์ อยู่ในหมคู่ ณะ และความก�ำ หนัดไปด้วยอ�ำ นาจความ ต รติ รึกเหล่าน้นั ตา่ งหาก คือกิเลส ดงั พุทธพจน์ “อารมณอ์ ันวจิ ิตรทง้ั หลายก็มอี ยู่ใน โลกตามประสาของมนั เทา่ นั้น อารมณอ์ ันวิจติ รทั้งหลายในโลก หาใชก่ ามไม่ ความก�ำ หนัดไปตามอ�ำ นาจความตรติ รึกนั่นแหละคือกาม” (ฉกก.อ.๒๒/๔๕๗-๔๖๐/๓๓๔) ในเชิงปฏบิ ัติ ตั้งสติตั้งแตต่ ่ืนนอนเมือ่ รสู้ กึ ตวั ว่าตื่นแล้วอยา่ มวั รรี อ หากเหน็ ความ เผลอคิดบาง ๆ อย่าหลงเนอ้ื หาว่า “เราคดิ ” ขยบั ตัวนงั่ ข้นึ ศีรษะตรง เหน็ ความคิดดบั มสี ตเิ หน็ จิตในจติ ร้วู า่ ความคดิ ไมใ่ ช่ตัวตนของเรา อยา่ ถกู หลอก ด้วยความคดิ อยา่ มัวแต่หาข้ออา้ งวา่ “ไม่มีเวลา” ทุกคนมเี วลาเทา่ กนั แต่ จะใชเ้ วลาในการทำ�สงิ่ ใดตา่ งหาก เม่ือร้วู า่ หนทางแหง่ ความพ้นทกุ ขแ์ ละพบ สุขมีอยู่ กค็ วรเจรญิ สติกับชีวติ ประจ�ำ วนั เห็นผัสสะเกิด – ดับไปทกุ ขณะไมม่ ี ตวั ตนถาวร เลือกเวลาอันพอเหมาะในแต่ละวนั มนี ัดกบั ความสงบสุขอันนา่ อภิรมย์ ออกจากเครอ่ื งร้อยรัด คอื การเสพติดยินดีกบั การคลุกคลซี ึ่งมีเหยื่อ ล่อเป็นลาภยศชื่อเสียง หากตั้งสติขึ้นมาได้ว่าอารมณ์อันวิจิตรทง้ั หลายในโลกไม่ใช่กาม มีแตค่ วามก�ำ หนัดไปตามอ�ำ นาจความ ตรติ รกึ นั่นแหละทท่ี �ำ ให้ใจเศรา้ หมอง ยอ่ มสมควรมสี ติ ออกมาจากความกำ�หนดั เหลา่ นั้น จะพบกบั ความสขุ อนั ปลอดโปรง่ จากกเิ ลสเครอ่ื งเศรา้ หมองใจ เพียงแค่ การเจริญสมาธแิ มเ้ พยี งขณิกสมาธิ กพ็ อละความ ๙๗

ก�ำ หนดั เหลา่ นน้ั ได้ เชน่ ทดลอง ท่องพุทโธสัก ๕ ครั้ง และสังเกต ดูใจทว่ี า่ งจากความก�ำ หนดั ลง ชว่ั ขณะ หรอื ทดลองดลู มหายใจเขา้ ออกสัก ๕ ครั้ง และสังเกตดใู จทไ่ี มม่ อี กุศล อยกู่ ่อน จึงเรียกวา่ ขณกิ สมาธิ กพ็ อเปน็ บาทฐาน วปิ สั สนา คอื วิ แปลวา่ วิเศษ ปสั สนา แปลวา่ การ เหน็ รวมความแปลว่า การเห็นความจรงิ อนั วิเศษวา่ อกุศล อนั เศร้าหมองทง้ั หลายไม่ได้มีอยู่กอ่ น และกิเลสทัง้ หลายมีจุดอ่อนอยทู่ ี่การเกิด – ดบั ไม่มีตัวตนถาวรอย่จู รงิ การเจริญสมาธิ ตัง้ แต่ระดบั ขณิกสมาธิ คอื เผลอแล้วรู้ จนถงึ อุปจารสมาธิ ท่แี นบอยู่กับใจ เห็นความเกดิ – ดับ ไม่ใช่ตัวตน ย่อมพน้ จากเครื่องรอ้ ยรัด เข้าสูอ่ ปั ปนาสมาธิ อนั ม่นั คงได้ ด้วยเหตุน้ี ๙๘



๑๓.ฉลาดรู้จกั เสน้ ผมบงั ภเูขา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook