TALK LIKE A PRO พ ลั ง พู ด เ ป ลี่ ย น ชี วิ ต อาจารย์ วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ หนังสือ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ โดยรายได้ นำไปสนับสนุน งานวิจัยห้องเรียนแห่งอนาคต เพื่อร่วมสนับสนุน โครงการ กรุณางดการเผยแพร่ต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
1 ทำไม ทำไม อาจารย์มากมาย ที่มีความรู้ แต่เวลาสอน กลับไม่ค่อยมีคนอยากเรียน ทำไม คนที่มีประสบการณ์มาก มีเรื่องน่าสนใจเยอะ เวลาที่นั่งคุยกันเราฟังอย่างเพลิดเพลิน แต่พอขึ้นเวที ออกสื่อ หรือต้องพูดในที่ชุมชน 1
เราไม่ได้เรียนรู้เรื่องของ กลับไม่สามารถถ่ายทอดให้คนฟังประทับใจ เหมือนเวลาที่นั่งคุยกัน การพูดอย่างจริงจัง ทำไมคนมีอุดมการณ์อยากสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคม แต่พูดไป อาจเพราะเรา คิดว่า เรา แล้ว คนไม่เชื่อ คนไม่เข้าใจ กลายเป็นผู้นำที่ไม่มีคนตาม พูดได้ดีแล้ว ทำไมคนมีอำนาจ แต่พูดให้คนเชื่อไม่ได้ เป็นได้แค่ผู้บริหารที่มี หรือเราไม่รู้ว่า ตำแหน่งแต่ไม่ใช่ผู้นำ การพูด สามารถสร้าง อาจเป็นเพราะว่าเราพูดกันได้โดยไม่ต้องเรียนเรื่องการพูด เพราะการ ความเปลี่ยนแปลง พูดเป็นความสามารถที่ทุกคนมีกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเราส่วนมากเลย ไม่ได้เรียนเรื่องของการพูดอย่างจริงจัง ให้ชีวิต ได้มากเพียงใด อาจเพราะเราคิดว่าเราพูดได้ดีแล้ว หรือเราไม่รู้ว่า การพูดสามารถ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตได้มากเพียงใด ผมเชื่อมั่นว่าถ้าเราเรียนรู้และฝึกฝนการพูดและการสื่อสารอื่น นอกจากจะช่วยให้เราทุกคนมีความก้าวหน้าในด้านการงานแล้ว การ สื่อสารที่ดีจะยังช่วยทำให้ชีวิตประจำวันของเราราบรื่น คนที่เรียนและ ฝึกฝนเรื่องของการพูดจะมีความสามารถพูดในที่สาธารณะกลายเป็น คนที่มีผู้ชื่นชม รู้จักการใช้คำพูดที่ทำให้ผู้ฟังสนุกและสร้างแรงบันดาล ใจให้ผู้ฟัง ด้วยความรู้และความสามารถนี้ จะช่วยให้เราใช้การพูด และโพสสร้างความสำเร็จกันได้ทุกคน ผมสนใจเรื่องการพูด มาตั้งแต่เรียนมัธยม อ่านหนังสือเรื่องการพูด แทบทุกเล่มที่วางขาย เข้าอบรมฝึกการพูด มาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนใน มหาวิทยาลัย และได้ใช้ความรู้เรื่องการพูดและการสื่อสารในการ ทำงานต่างๆ มาตลอดชีวิตครับ ความรู้และทักษะนี้ ช่วยทำให้ เมื่อเราพูดแล้วมีคนอยากฟัง เรา สามารถพูดแล้วทำให้คนคิด และเมื่อเราโพสต์จะมีคนติดตาม ทั้งหมดนั้นสร้างความก้าวหน้าในงานด้านต่างๆได้มากครับ เราอาจลืมไปว่าแทบทุกงานของเราล้วนต้องอาศัยการสื่อสาร เช่น ครู อาจารย์และวิทยากร ต้องใช้การพูดเพื่อให้ความรู้ ถ้าใช้เทคนิคการ 2
ผมใช้ความรู้ เหล่านี้ เล่าเรื่องให้สนุก ใช้ความรู้เรื่องการพูดให้คนเชื่อและใช้ความรู้เรื่อง เพื่อเตรียมการบรรยาย การพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจแทนที่จะสอนไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้มีผู้ ทุกครั้ง สนใจอยากมาเรียน อยากเข้าฟัง วิทยากรที่ใช้เทคนิคเล่าให้เห็นเป็นภาพและการเล่าเรื่องให้ผู้ฟัง จนปัจจุบัน กลายเป็น ขบขัน จะทำให้ผู้ฟังติดตามได้ยิ้มและมีเสียงหัวเราะ ผู้นำการ วิทยากรด้านการศึกษา เปลี่ยนแปลง ต้องใช้ทั้งการพูดและการสื่อสารทุกทางเพื่อขายความ คิดเพราะต้องสร้างแนวร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ควรพูดและ ที่มีผู้ฟังมากที่สุดใน โพสต์โดยใช้ความรู้เรื่องการพูดเพื่อเปลี่ยนความคิดและ ประเทศ ความรู้เรื่องอื่นๆนำไปใช้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยทำให้ผู้ฟังเปิดใจ พร้อมที่จะรับไอเดียใหม่ๆของเราได้ ผมใช้ความรู้เหล่านี้เพื่อเตรียมการบรรยายทุกครั้งจนปัจจุบันกลาย เป็นวิทยากรด้านการศึกษาที่มีผู้ฟังมากที่สุดในประเทศ ผมใช้ความรู้ เหล่านี้ในการทำเพจ ก่อนจะโพสต์ก็คิด และใช้ความรู้นี้ ตอนนี้เพจ ส่วนตัวของผมเข้าถึงคนได้เดือนละ 3-4 ล้านคน ความรู้นี้ยังช่วยให้ รายการ Liveสดเรื่องการศึกษา ซึ่งโดยทั่วไปคจะสนใจเรื่องข่าวสาร และบันเทิงมากกว่า ไม่ค่อยมีคนสนใจรายการการศึกษา แต่รายการ คุยสดทางFacebookของผม มีผู้ชมครั้งละหลายพันคนบางตอนมีคน ชมเกินหมื่นคน ความรู้ในการพูดและโพสต์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ฟังได้รับ ความรู้ มีความสุขและช่วยสร้างความหวังในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือเป็นความโชคดี แต่มัน มาจากการเรียนและใช้ความรู้เรื่องการพูดและเขียนอย่างจริงจัง ทุก วันนี้ผมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการในหลายองค์กร ด้านการ ศึกษาและการพัฒนามนุษย์ ผมใช้ความรู้ เรื่องการพูดอย่างเป็น ทางการ การพูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย การพูดในเรื่องที่อาจสร้าง ความไม่พอใจ และการพูดเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้ช่วย ให้ผู้ร่วมประชุมยอมรับข้อมูลและความคิดของเรา เรื่องที่เกินความคาดหมายคือความรู้พวกนี้ยังช่วยให้ผมกลายเป็นนัก เขียนอีกด้วยครับ ผมเขียนหนังสือBest Seller ได้หลายเล่มก็เพราใช้ ความรู้เรื่องการพูดนี่แหละครับ ในขณะที่คนส่วนมากมีชื่อเสียงเพราะ เขียนเก่งและได้รับเชิญไปพูดเพราะมีผลงานจากการเขียน แต่สำหรับ ผมแล้ว ตรงกันข้ามเลย ผมเป็นนักพูดที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักเขียน เพราะรู้ว่าการจะทำอะไรให้สำเร็จได้จริงจังยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ 3
การพูดเก่ง ต้องใช้ความรู้และฝึกฝนมาก แต่แล้ววันนึงบรรณาธิการก็มาบอกว่า อาจารย์เขียนได้ครับ สมัยนี้เขามีสไตล์การเขียนที่หลากหลาย ไม่ใช่เรื่องของ อาจารย์ลองเขียนแบบที่พูดนั่นแหละ แม้หลายคนอาจยังไม่คิดจะเป็น พรสวรรค์ หรือ เป็น วิทยากร ไม่ได้คิดจะเป็นนักเขียน แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าเรียนรู้การพูดแล้ว ความโชคดี ทำมาหากินอะไร ก็จะก้าวหน้า เป็นหัวหน้าก็จะมีทีมงานช่วยเหลือ สนับสนุน เป็นลูกน้องก็จะมีหัวหน้าส่งเสริม เป็นเพื่อนร่วมงานก็จะได้ รับความร่วมมือ แม้เกษียณแล้วยังได้ใช้การพูดเพื่อแบ่งปันให้สังคม ได้อีกมาก งานของผมในช่วง5 ปีมานี้คือการเปลี่ยนการสอน และการ วัดผลในโรงเรียนวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ทั้งของไทย และนานาชาติ เรื่องนี้ทำให้เพื่อนๆและน้องๆแปลกใจกันมากว่า ผมไป สอนอาจารย์มหาวิทยาลัยได้อย่างไร เพราะเชื่อกันมาว่า บุคคล ที่น่าจะสอนยากที่สุด คือ ครู อาจารย์ นี่แหละครับ แล้วที่ผมไปพูดให้ อธิการบดี คณบดี ศาสตรจารย์ รองศาสตรจารย์ ระดับ PHD ฟังมา นั้น แต่ละท่านล้วนมีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิสูงกว่าผมทั้งนั้น คำถามคือ แล้วผมไปพูดอะไร พูดอย่างไร ท่านจึงฟังกัน นอกจากที่ได้รับเชิญไป บรรยาย ให้หน่วยงานต่างๆทางด้านการศึกษา เช่น สภาการศึกษา มหาวิทยาลัยต่างๆ สมาคมผู้ปกครอง สมาคมผู้บริหารโรงเรียน ผม ยังไปพูดให้อีกหลายหน่วยงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยตรง เช่นกองทัพไทย วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สำนักงานปราบปราม ทุจริตและประพฤติมิชอบ ในวงราชการ (ปปช) สำนักจัดหางาน บริษัทแอร์พอร์ตลิ้งค์ สายการบิน บริษัทยาต่างประเทศ รายการทีวี หลายรายการ เวที TEDx รวมทั้งให้สัมภาษณ์ นิตยสารต่างๆอีกมาก ถ้าไม่รวมรายการ Facebook live ที่ผมพูดทุกสัปดาห์ แล้ว โดยเฉลี่ย ผมต้องพูดในที่สาธารณะไม่น้อยกว่าปีละ 120 งานครับ ..... ผมเอา อะไรไปพูด ทำยังไง จะมีคนเชิญเราไปพูด พูดอย่างไรให้คนฟังได้ ความรู้ พูดอย่างไรไม่ให้เขาเบื่อ พูดอย่างไรให้คนฟังสนุก หัวเราะ มี ความสุข พูดอย่างไรให้ผู้ฟังประทับใจ หนังสือเล่มนี้ เพื่อจะตอบคำถามเหล่านี้ ผมเชื่อมั่นว่า ความรู้เรื่องการพูด และการสื่อสารเป็นเรื่องที่มีค่าต่อทุก คนและมีค่ามากอย่างยิ่งต่อสังคมในขณะนี้ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมออนไลน์ ที่ผู้คนใช้เหตุผลเพื่อทำร้าย 4
เป็นหัวหน้าก็จะมีทีมงาน มากกว่าจะสร้างสรรค์ ความเห็นต่างเล็กๆอาจกลายเป็นความขัดแย้ง ช่วยเหลือ สนับสนุน และกลายเป็นความเกลียดชัง เนื้อหาทั้งหมดในเล่มนี้ ผมรวบรวมจากประสบการณ์ส่วนตัวและ เป็นลูกน้องก็จะมี ความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมต่างๆที่ผ่านมา รวมทั้งความรู้เรื่องการ หัวหน้าส่งเสริม สื่อสารในโลกยุคใหม่ จากหลักสูตร ต่างประเทศ เช่น Dynamic pub- lic speaking : Washington University Content strategy : เป็นเพื่อนร่วมงานก็จะ Northwestern University Storytelling and influencing :Mac- ได้รับความร่วมมือ quarie University Transmedia Storytelling :UNSW [The Uni- versity of New South Wales] แม้เกษียณแล้ว ยังได้ใช้ เนื้อหาความรู้ด้านการสื่อสารในหลักสูตรต่างๆเหล่านี้มาจากการวิจัย การพูดเพื่อแบ่งปันให้ ที่น่าสนใจ หลายเรื่องเป็นความรู็ใหม่ที่เราสามารถนำไปใช้ได้อย่างดี สังคมได้อีกมาก ทั้งการพูดและการเขียน เช่นการคิดหัวข้อเรื่องที่จะพูด วิธีการพูดใน วาระต่างๆ ทั้งบนเวที ในรายการทีวี และการ live ทางโซเชียลมีเดีย เนื้อหาจากนี้ คือการนำความรู้เหล่านี้ มาเล่าให้ฟังกันแบบง่ายๆ เพื่อ ให้ผู้อ่านได้เรียนวิชาการด้านการพูดและการสร้างเนื้อหาแบบเพลินๆ ครับ ผม เคยใช้ความรู้เหล่านี้ อบรมฝึกฝน อาจารย์ธรรมดาๆ นักศึกษาจบใหม่หรือแม้แต่ ผู้บริหาร ที่ไม่เคยคิด จะพัฒนาการพูด จำนวนมาก แค่เขาเหล่านั้นได้รู้วิธี มีวิชา และใช้เวลาฝึกฝน ตอนนี้ หลายคนเป็นวิทยากรระดับประเทศ ไปแล้วครับ นั่นยิ่งทำให้ผมเชื่อ มั่นว่าเราทุกคนก็สามารถ พูดอย่างมืออาชีพได้ ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะครับ 5
2 พูดเรื่องอะไรให้คนเชื่อ พูดเรื่องที่เรารู้ พูดเรื่องที่เรารู้สิครับ ถ้าตอบแบบนี้อาจจะคิดว่าเป็นคำตอบที่กวนไปหน่อยแต่เราต้องพูด เรื่องที่เรารู้จริงๆ การเป็นวิทยากรที่ดีต้องมีเรื่องรู้จริงของเราเองหรือเรื่องของผู้อื่นที่เราพิสูจน์แล้ว ว่าเป็นเรื่องจริง ผู้ฟังจะเชื่อคำพูดของเรา เมื่อเราพูดเรื่องที่เรารู้และเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง ข้อมูลที่ เราได้มาจากการค้นคว้าของเราเอง อาจได้มาจากประสบการณ์ในการทำงาน การใช้ชีวิตหรือได้ 6
มาจากการอ่านและเราเชื่อว่าเรารู้แล้วและพร้อมที่จะแบ่งปัน แต่ความเชื่อของผู้ฟังไม่ได้มาจาก ความมั่นใจของเรา จึงมีนักพูดมากมายที่ไม่สามารถทำให้ผู้ฟังเชื่อได้แม้จะมีความรู้และความ สามารถในการพูด ปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะช่วยทำให้ผู้ฟังเชื่อเรื่องที่เราพูดขึ้นกับที่มาของ ข้อมูลนั้นๆ เช่น การพูดโดยใช้ข้อมูลจากประสบการณ์ที่พบเจอจะทำให้คนฟังหรือคนอ่านเชื่อ เรื่องที่เราพูดได้น้อยกว่าการอ้างถึงงานวิจัย นักเขียนนักพูดที่อยากให้เรื่องที่เรานำเสนอมีนำ้หนัก น่าเชื่อถือควรศึกษาหาข้อมูลจากงานวิจัยและถ้าจะให้เป็นที่ยอมรับมากที่สุดเราควรทำการค้นหา ความจริงด้วยตนเองครับ การค้นหาความจริงด้วยกระบวนการขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ นั่นแหละ ที่เขาเรียกกันว่า งานวิจัย นักเขียนที่ดี นักพูดที่มีราคา จึงควรทำงานวิจัย ด้วยครับ “นักเขียนนักพูดที่ดี ควรศึกษาจากงานวิจัย ในเรื่อง ที่เราจะนำเสนอ ตัวอย่างเรื่องที่มาของข้อมูลซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าเรื่องที่เราพูดนั้น มีความน่าเชื่อถือ หนัก แน่นเพียงใดเช่นถ้าเราพูดเรื่องครูว่า “ผมคิดว่า การเป็นครูที่ดีนั้น ควร มีอารมณ์ขัน สร้างความ สุขให้กับนักเรียน” การพูดแบบนี้เป็นเรื่องของความคิดเห็น ซึ่งเรื่องของความคิดเห็น จะได้รับ ความเชื่อถือน้อยที่สุด เราสามามารถเพิ่มความหนักแน่นได้โดยเล่าประสบการณ์เรื่องนี้เพิ่มเติม เช่น “จากการที่เป็นครูสอนหนังสือมา 10 ปี ผมเจอทั้งเด็กในเมืองและชนบทมามาก ทั้งเด็กที่ ตั้งใจเรียนและเด็กเกเร มันแปลกมากเด็กพวกนี้ทุกคน ต้องการครูใจดีครับ”การพูดแบบนี้ มี ความน่าเชื่อถือมากขึ้นเพราะผู้พูดเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และนำประสบการณ์มาสรุปเป็น ความรู้ เล่าให้ผู้ฟังได้ เราลองมาเสริมเรื่องของการวิจัยที่เกี่ยวข้องเช่น “จากงานวิจัย ของคณะศึกษา ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้ทำการสำรวจ ความคิดเห็นของเด็กจากทั่วประเทศ พบว่า ครู ที่เด็ก ต้องการ มากที่สุด คือ คุณครูใจดีครับ” การพูดที่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันแบบนี้ เป็นการพูดที่อ้างอิงถึงงานวิจัยซึ่งทำให้ผู้ฟังเชื่อได้มากกว่าและถ้าจะสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น ไปอีกควรระบุให้ชัดไปเลยว่าเป็นงานวิจัย ของใครทำมาเมื่อไร กับคนกลุ่มใดบ้าง และถ้าเรามี การวิจัยด้วยตนเองและนำมาพูดเช่น “มีหลายคน ที่คิดว่าครูสอนเก่งคือครูในฝันของเด็กๆ ผมได้ อ่านงานวิจัยหลายเรื่องว่าครูที่เด็กต้องการมากที่สุดเป็นครูแบบไหน ปรากฏว่าเด็กอยากได้ครู 7
ใจดีมากกว่าครูที่เก่งในวิชานั้นๆ ผมเลยทำแบบสำรวจความคิดเห็นของเด็กด้วยตนเอง เป็นงาน วิจัยเล็กๆทางอินเตอร์เน็ตปรากฏว่า เด็ก > 70% อยากได้ครูใจดีครับ”การพูดอย่างนี้ มีความน่า เชื่อถือสูงมากเพราะผู้พูด นอกจากมีข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือแล้ว ยังได้ทำการค้นหาความจริง ด้วยตนเองอีกด้วย ที่มา ของข้อมูล คือตัว บ่งบอกว่า เรื่องที่เราพูดนั้น มีความ น่าเชื่อถือ หนักแน่น เพียงใด 8
เราสามารถสร้างเนื้อหาให้มีความน่าเชื่อถือได้ ในงานเขียนและการพูดจาก 4 ขั้นตอนคือ 1 หาข้อมูล 2 นำมาจัดทำเป็นสารสนเทศน์ 3พัฒนามาเป็นความรู้ 4 นำมาเรียบเรียงและนำเสนอเป็น “คำตอบ” 9
3 พูดเรื่อง ที่ มีประโยชน์ ความรู้ และเรื่องเล่าต่างๆ ในการพูด ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง ในการบรรยายบางครั้งเรามีเรื่อง ที่อยากจะพูดหลายเรื่อง เช่นประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญหรือความรู้ของเรา แต่สิ่งที่ต้อง คิด ก่อนพูดหรือโพสต์ คือ เรื่องนั้นๆเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังหรือไม่ เราอาจใช้คำถามต่อไปนี้เพื่อตัดสิน ใจก่อนที่จะพูด คือเรื่องที่เราจะพูดช่วยทำให้ผู้ฟังได้ความรู้ มีความสุขหรือให้ความหวังแรง บันดาลใจกับผู้ฟังหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ไม่ การพูดนั้นก็อาจทำให้ผู้ฟังเสียเวลา ในการพูดควรทำ อย่างระวังและตั้งใจ เราไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องที่อยากพูด ไม่จำเป็นต้องพูดเยอะๆเพราะการ 10
เป็นนักพูดที่มีคนติดตามไม่ได้มาจากปริมาณข้อมูลที่เราพูดแต่เป็นเรื่องของการนำเสนอข้อมูล เรื่องราวที่มีค่าต่อผู้ฟัง เปรียบเหมือนเราเป็นพ่อครัวที่จัดเตรียมอาหารหนึ่งจาน แม้เราจะมีวัตถุดิบ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก มีเครื่องปรุงที่หลากหลายแต่ถ้าเราใส่ทุกอย่างลงไป อาหารจานนั้น ของเราคงไม่น่าทาน ดังนั้นในการเตรียมเนื้อหาทุกครั้ง เราควรถามตัวเองว่าเรื่องที่จะพูดของเรา นั้นจะทำให้ผู้ฟัง มีความรู้ มากขึ้นไหม มีความ สุข สนุก ที่ได้ฟังไหม และทำให้ผู้ฟังมีความหวัง มี กำลังใจ มากขึ้นหรือเปล่า ปกติแล้ว ผู้ฟังไม่ได้ตั้งใจมาฟังเรื่องของวิทยากรไม่ว่าจะเป็นความรู้ความชี่ยวชาญใดๆของ ผู้พูด โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว ถ้าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เนื้อหาเรื่องราว มีความกระจ่างมากขึ้น “พูดเรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ในเวลาที่เขาอยากฟัง” หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับเป้าหมายในการพูด การพูดเรื่องดีๆของเราก็จะกลายเป็นการพูดเรื่อย เปื่อยในความรู้สึกของผู้ฟัง เขาอยากฟังเรื่องที่มีค่าต่อเขา อยากฟังเรื่องที่จะช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้น นักพูดต่างจากผู้สอนทั่วไปตรงนี้คือ นักพูดจะพูดเพื่อคนฟังส่วนผู้สอนจะสอนเรื่องที่เขารู้ การที่จะ ทำให้เราเป็นวิทยากรที่มีผู้ชื่นชมติดตามในยุคนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งทางวิชาการหรือการ รับรองจากสถาบันใด เมื่อก่อนคนอาจจะเลือกเชิญวิทยากรไปพูดโดยพิจารณาจากตำแหน่งหรือมี ใบรับรองจากสถาบันต่างๆว่าผ่านหลักสูตรโน่นนั่นนี่แต่ในยุคนี้ ยุคที่สังคมออนไลน์แพร่ข่าวได้ อย่างรวดเร็ว คนจะเชื่อรีวิวจากผู้เคยฟังหรืออ่านผลงานของเรามากกว่า ถ้าคนเคยฟังหลายคน บอกว่าดี ยืนยันว่าใช่ นั่นจะน่าเชื่อกว่าใบรับรองทุกสถาบัน โลกวันนี้ ผู้ฟังเป็นผู้รับรองคุณภาพ ครับ ในทางตรงกันข้ามผู้พูดที่ละเลย ขาดการเตรียมตัวหรือ “หลุด”แค่ครั้งเดียวก็อาจดังในทาง ลบแค่ช่วงข้ามคืน 11
“นักพูดจะพูด เพื่อคนฟัง ส่วนผู้สอนจะสอนเรื่องที่ เขารู้ 12
4 โพสต์ให้ได้เรื่อง สังคมออนไลน์คือส่วนสำคัญในการสร้างตัวตนของวิทยากรในยุคนี้ การอัทเดทStatus ใน Face- book การTweet ข้อความ การลงรูปพร้อม captionในInstagram หรือแม้กระทั่ง การshareเรื่อง ราวของผู้อื่น ทั้งหมดนี้คือการสร้างตัวตนของเราในโลกซ้อนโลก ผู้คนสามารถจะติดตาม ความเป็นตัวตนของเราได้ทุกทางจากเรื่องที่เราเขียน จากภาพที่เราเผย แพร่ จากสถานที่ ที่เราเคย Check in แม้กระทั่งจากcommentที่คนเขียนถึงเรา 13
ในโลกซ้อนโลก ผู้ติดตามของเราจะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้และตัดสินว่าเราเป็นคน อย่างไร มีทัศนคติในเรื่องต่างๆอย่างไร ดังนั้นต้องตั้งสติก่อนPostทุก ผู้คนสามารถจะติดตาม ครั้งเอาง่ายๆก่อนPostหรือShareถามตัวเองตามนี้ครับ ความเป็นตัวตนของเรา ได้ ทุกทาง 1 โพสต์ให้ใครอ่าน 2 เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่านไหม ถ้าสองคำถามนี้ ยังไม่ผ่าน ก็ไม่น่าจะโพสต์แล้วครับ แต่ถ้าสองคำถามนี้ผ่าน ก็มาดูข้อสามคือ 3 เป็นเรื่องจริงรึเปล่า และสุดท้าย 4 เป็นเรื่องที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ ของเราไหม การเป็นนักพูด นักเขียนนั้นมีความเป็นสาธารณะสูงมากหลาย ครั้งที่ผมอยากลงเรื่องส่วนตัวบางเรื่อง ที่ภูมิใจ แต่เมื่อใช้หลัก 4 ข้อนี้ แล้ว บางทีก็ล้มเลิกความตั้งใจ คือไม่โพสต์ดีกว่า เช่น เห็นหลายคน นิยมถ่ายรูป อาหารสวยๆ ลงโซเชียล วันนึงผมไปญี่ปุ่นทานขนมที่ ตกแต่งสวยงามน่าถ่ายรูป อยากจะโพสต์กับเขาบ้างแต่พอใช้หลัก การนี้ถามตัวเองว่า โพสต์ให้ใครอ่านคำตอบคือแฟนเพจที่สนใจการ ศึกษาและการพัฒนามนุษย์ ภาพขนมสวยๆของผมที่จะลงนี้จะเกิด ประโยชน์ต่อผู้อ่านไหม ผมคิดว่าคงไม่ เพราะผมไม่ใช่ผู้แนะนำการ ท่องเที่ยวหรือผู้เชี่ยวชาญด้านขนม และผู้ติดตามผมก็ไม่ได้คาดหวัง ให้เป็นเช่นนั้น เขาอยากฟังเรื่องการพัฒนาลูก อยากรู้เรื่องนโยบาย กระทรวง อยากรู้เรื่องโลกของการสอนและการวัดผล บางทีการโพสต์ รูปขนมอาจทำให้แฟนเพจหิวด้วยซำ้ถ้าใครเผลอมาอ่านตอนกลางคืน ภาพที่จะลงถึงแม้ผมจะชอบแต่มันไม่ได้ส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็น ตัวตนของผมอีกด้วย เพราะปกติผมชอบทานข้าวเหนียวมะม่วง มากกว่า เลยสรุปกับตัวเองได้ว่า ไม่ต้อง post ลงไปหรอกครับ หลาย ครั้งที่ผมก็ใช้หลักการถามตัวเองก่อนโพสต์แบบนี้ ทำให้ผมลงเรื่อง ส่วนตัวแต่เป็นการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ ติดตามมากกว่าการที่จะโพสต์โดยไม่มีหลักการ ตัวอย่างการโพสต์ รูปลูกสาววันที่ผมไปส่งลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ คนเป็นพ่อก็ภูมิใจ อยากจะลงรูปลูก ปกติผมไม่เคยลงเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มี ประโยชน์ต่อผู้ติดตาม ผมคิดเสมอว่าการโพสต์เรื่องไม่มีประโยชน์คือ 14
ไม่เคยบอกให้เขาท่อง การรบกวน และไม่ให้เกียรติผู้ติดตาม วันนั้นผมลงรูปคู่กับลูก และเพื่อ หนังสือไปสอบ ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ผมจึงเล่าเรื่องแนวคิดการเลี้ยงลูกสั้นๆว่า “ผมไม่เคยบอกลูกให้เรียนเอาปริญญา ไม่เคยให้ลูกกวดวิชาและไม่ ผมบอกเขาว่า เคยบอกให้เขาท่องหนังสือไปสอบ ผมมักจะบอกลูกว่าอยากรู้อะไรก็ หาอ่านเอานะ อ่านสิบเล่มดีกว่าท่องจำสิบเที่ยว อยากเก่งอะไรก็ใช้ อยากรู้อะไรก็หาอ่านเอา เวลาฝึกฝน เกรดเท่าไรก็ช่าง ขอแค่เราไม่โง่ จบอะไรก็ไม่เป็นไรขอแค่ นะ มีนำ้ใจและเข้าใจชีวิต ไม่ต้องมาเรียนเพื่อพ่อ พ่อเรียนมาเยอะแล้ว ถ้า จะเรียนอะไรก็เรียนเพื่อตนเอง ” อ่านสิบเล่มดีกว่าท่องจำ สิบเที่ยว 15
เรื่องราวเนื้อหาที่เขียน อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังเพราะเป็นมุมมองในการเลี้ยงลูก ถ้าเรานำหลักการ4 ข้อถามตัวเองทุกครั้งก่อนโพสต์น่าจะทำให้ผู้ติดตามชอบ share และไม่เบื่อที่จะติดตามครับ หลักการนี้สามารถนำไปใช้ในการตอบคำถามได้อีกด้วย ในสังคมออนไลน์และงานบรรยาย ต่างๆ ผู้พูดไม่จำเป็นต้องตอบทุกคำถาม ทุกครั้งก่อนตอบเราก็ทบทวนว่า จะตอบคำถามนั้นให้ ใคร จะเกิดประโยชน์ไหม คำตอบที่จะตอบนั้นเรารู้จริงรึเปล่า และมันเป็นเรื่องที่ส่งเสริมความเป็น ตัวตนเราหรือไม่ ในการบรรยายบางครั้งผมไม่ตอบเพราะไม่มีประโยชน์ บางครั้งผู้ถามแค่แสดง ทัศนะนำเสนอเรื่องของเขา ในเพจก็เช่นกัน ผมชอบอ่านความคิดเห็นของแฟนเพจและตอบด้วย ตนเองทุกครั้งที่เห็นว่ามีประโยชน์ หลายครั้งเป็นคำถามง่ายๆแต่ช่วยให้ผมสร้างเนื้อหาที่มีค่าต่อ ผู้ติดตามเช่นครั้งนึงแฟนเพจถามว่า“ลูกผม เรียนเก่งไหม “ผมคิดว่าการตอบคำถามนี้จะประโยชน์ และส่งเสริม และส่งเสริมความเป็นตัวตนในฐานะนักวิชาการการศึกษา จึงลงรูปและเขียนเนื้อหา ที่จะเกิดประโยชน์ต่อแฟนเพจ ดังนี้ ——- ลูกผมเรียนเก่งไหม “1 ผมเชื่อว่า เด็กทุกคนมีดี และเด็กทุกคน เก่งได้ครับ 2 ความเก่ง มีหลากหลาย 3 ผมตั้งใจจะช่วยลูกพัฒนา เรื่องที่เขาสนใจช่วยสนับสนุนเป้าหมายที่เขาฝัน 4 ผมจึงไม่เคยบอกให้ลูกตั้งใจเรียนเพื่อจะได้เกรดดี และกลายเป็น เด็กเรียนเก่ง ในความหมายที่เราวัดกันได้จากเกรดเฉลี่ย 5 ผมไม่ถามลูกว่าได้เกรดเท่าไร แต่ถามว่า เรียนสนุกไหม เรียนอะไรและนำมาใช้ทำอะไรได้ บ้าง 6 ผมสนใจเรื่อง ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ และการแบ่งปัน จึงมักจัดกิจกรรม ที่พัฒนา เรื่องเหล่านี้ให้ลูก และทำการวัดผล อย่างจริงจัง 7 ผม อยากให้ลูกมี วิสัยทัศน์จึงให้เขา เที่ยว เล่นเกมส์ และสนุกตามวัย โดยไม่เคยให้เขา กวดวิชาเลย ก็ใช้แนวคิดนี้ มาตั้งแต่เขาเริ่มเรียนอนุบาลจนเรียนมหาวิทยาลัย ไม่เคยถามว่า ได้เกรด เท่าไรครับ ผมจึงสรุปไม่ได้ ว่าลูกเรียนเก่งไหม แต่ รู้ว่า เขาคิดเก่ง ค้นหาความรู้ได้ มีความมั่นใจ ในทิศทางของเขาเองและเป็นคน ที่เข้าใจ ผู้อื่น มีความสุข ที่ได้แบ่งปัน แค่นั้นผมก็พอใจแล้วครับ ไม่ว่าเขาจะเรียน หรือเลิกเรียนในฐานะที่ผมเป็นนักการศึกษา ผมว่า มัน Ok แล้วนะครับ” โพสต์นี้ เข้าถึงมากกว่า ล้านคนครับ 16
เราควร ปฏิเสธ งาน หรือรายการต่างๆถ้ารายการนั้นๆไม่ได้ช่วยส่งเสริมความเป็นตัวเรา มือ อาชีพต้องรู้จักเลือกที่จะปฏิเสธเพราะทุกครั้งที่เราสื่อสารออกไป ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน งานพูด รายการสัมภาษณ์ งานพิธีกรหรือแม้แต่ การอัพเดทสเตตัส ทุกงานคือการร้อยเรียง ความเป็นตัว ตนของเรา ““1 โพสต์ให้ใครอ่าน 2 เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่านไหม 3 เป็นเรื่องจริงรึเปล่า 4 เป็นเรื่องที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ ของเราไหม ”” 17
5 เตรียมตัว “ใช้เวลา 80% เตรียมตัว เพื่อพูด20% “ ไม่มีใครกล่าวไว้หรอกครับ ผมแค่นึกถึง แนวคิดของคุณ พาเลโตที่ว่า ควรเลือกทำอะไรที่สำคัญแค่20% นั่นจะออกผล ถึง80% เช่นสำรวจสินค้าในบริษัท จะพบว่าสินค้า 20% ทำกำไรให้บริษัท 80% มีพนักงานในบริษัทแค่ 20% ที่ทำงานมีค่าและส่งผล กำไรให้บริษัท80% มีเรื่องสำคัญในชีวิตแค่20%ของเรื่องทั้งหมดที่จะส่งผลให้เราประสบความ สำเร็จถึง80% ผมคิดว่าการพูดก็เช่นกัน คือการเตรียมพูดนั้นสำคัญมาก สำหรับวิทยากรควรใช้ เวลา80%ในการเตรียมตัว เพื่อการพูดที่ใช้เวลาแค่20% เพราะการเตรียมตัวดีจะส่งผลมากต่อ 18
ความสำเร็จของการพูด อ่านมาถึงตรงนี้จะได้เข้าใจกันครับว่าวิทยากรมืออาชีพไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน เจ้าหน้าที่จัดคิวบรรยายของผม เล่าว่าผู้จัดงานบางคนติดต่อ ถามว่า ค่าบรรยายอาจารย์วันละ เท่าไร โอ้โห นี่ ถามกันเป็นค่าแรงรายวันเลยนะครับ พอบอกไปว่า 30,000บาท เขาก็ตกลงเชิญ อาจารย์ มาพูด1 ชั่วโมง สรุป ชั่วโมงละ 3750 พอดีนะคะ เพราะเอา8 หาร 30,000 ได้ 3750บาทพอดีจริงๆ สงสัยท่านที่ติดต่อมาจะเรียนจบมาทางด้านคณิตศาสตร์ครับ นี่ยังนับว่า มี เมตตา เพราะถ้าท่านเอา24 หาร ผมจะเหลือ ค่าวิทยากร 1250 บาท และถ้าโหดร้ายกว่านั้น คือ เชิญไปพูด 15นาที ผมจะเหลือ ค่าวิทยากร 312.50 บาท การเป็นนักพูดบางครั้งผู้จัดแค่อยากได้ ตัวเราไปร่วมงาน บางงานได้พูดแค่ 20- 30 นาทีจริงๆ หรืออย่างงาน TEDx เขาให้พูดแค่ 14 นาทีเท่านั้น ยิ่งให้พูดน้อยยิ่งต้องเตรียมมากเพราะพูด14นาทียากกว่าพูด40นาที เรื่องที่ วิทยากร ต้อง เตรียมตัว มีมากครับ ถ้าจะเป็นนักพูดมืออาชีพ ก็ต้องเป็นนักเตรียมตัวมืออาชีพ และเรื่องที่ หลายคนคิดว่า คนพูดเก่งจะใช้เวลาเตรียมตัวน้อย เป็นความเข้าใจผิดครับ ไม่ใช่เขาพูดเก่งเลย เตรียมน้อย แต่เขาพูดเก่ง เพราะเขาเตรียมตัวมาก นักพูดหน้าใหม่ บอกว่าเขาตื่นเต้นเวลาต้อง พูด และคิดว่า นักพูดมืออาชีพ จะชิน ไม่ตื่นเต้นอะไร นี่ก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนครับ สำหรับผมนั้น ต้องคอยบอกกับเองตลอดชีวิตการเป็นวิทยากรว่า จะเป็นนักพูดที่ดี ต้องตื่นเต้นทุก ครั้งที่ขึ้นเวที เมื่อไรที่เราไม่ตื่นเต้น เราจะสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ฟังไม่ได้ครับ และเพราะ เราตื่น เต้น เราจึงต้องเตรียมตัววิทยากร มือใหม่ถามว่า “อาจารย์ ทำอย่างไรให้หายตื่นเต้นคะ”ผมมักจะ บอกว่า ตื่นเต้นแบบนี้และดีจะได้เตรียมตัวมากๆ “อ้าวแต่หนูขึ้นเวทีก็ยังตื่นเต้น”ผมเองก็ตื่นเต้น ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีครับ ถ้าเมื่อไรเรา ชิน นั่นเป็นเรื่องแย่เลย ผมเองพยายามรักษาความตื่นเต้น ทุก ครั้งบนเวที เพราะมันช่วยให้เราตื่นตัวและมีพลัง เราควรมีการเตรียมตัวพูด 4 เรื่องสำคัญต่อไปนี้ 1 เนื้อหา ......ค้นคว้า หาข้อมูล จากงานวิจัย และหนังสือต่างๆ 2 วางโครงเรื่อง.......รวบรวมข้อมูล ทำเป็นความรู้ และ เตรียมตัวอย่างเรื่อง มาจัดเรียงลำดับการ เล่า เอามาวางเป็นโครงเรื่อง และซ้อมพูดจริง เรื่องนี้จำเป็นมากครับ อย่าแค่คิดว่าจะพูดอย่างไร ต้องซ้อมพูดโดยการยืนพูด ออกเสียงมาจริงๆ เพราะการซ้อมจะทำให้เราควบคุมเวลาและมี จังหวะบนเวทีจริง 3 สื่อ.......จัดเตรียม สื่อ ภาพ คลิป ประกอบการบรราย หลักการใช้ power point หรือ keynoteให้ได้ผลง่ายๆคือใช้สื่อเท่าที่จำเป็น เพราะการพูดอย่าง มืออาชีพ จะเน้นที่ตัววิทยากร คำพูด นำ้เสียงและการเล่าเรื่องซึ่งจะทำให้ผู้ฟัง ได้อรรถรส มากกว่าการให้ความสนใจไปกับสื่อpresentationของเรา ข้อควรระวังในการใช้สื่อคืออย่าใส่ตัว หนังสือเพื่อให้ผู้ฟังอ่านpresentation และที่ไม่ควรใช้อย่างยิ่งคือ การทำPresentation เหมือน สรุปย่อ เนื้อหามาให้คนอ่าน โดยทำเป็นห้วข้อ เป็น bulletแบบที่เราเห็นทั่วๆไป ในการบรรยาย 19
ของ ครู อาจารย์ วิธีนี้ ไม่น่าสนใจครับ เคยเห็นผู้บรรยายบางท่าน ใส่ทั้งหัวข้อพร้อมตัวหนังสือ ตัว หนังสือยิ่งมาก ก็ทำให้ขนาดตัวหนังสือยิ่งเล็กลง จนผู้ฟังอ่านได้ยากมาก ยิ่งคนนั่งไกลๆลำบาก เลย ถ้าจะเขียนรายละเอียดขนาดนี้ แจกหนังสือให้อ่านประกอบการบรรยายก็ได้ครับ อย่าลืมว่า เขามาฟังเรานะครับ ไม่ได้มานั่งอ่านจอ และยิ่งถ้าไปเจอห้องใหญ่ๆ ต้องนั่งไกลๆหรือโปรเจคเตอร์ มีกำลังส่องสว่างน้อยๆ แบบนี้คงต้องแจกแว่นขยายประกอบการฟังบรรยายกันเลย วิธีที่ดีกว่านั้น คือมีแต่หัวข้อ ตัวโตๆ เห็นกันชัดๆ ข้อดีคือ ทำให้เราบรรยายครบตามหัวข้อ เนื้อหา ไม่ขาด ไม่ หาย แต่ข้อเสียคือ ทำให้เราขาดความยืดหยุ่น คือต้องบรรยาย ทุกหัวข้อ ตามที่ใส่ไว้ แต่ที่อยาก แนะนำคือให้ทำPresentationแบบภาพ Infographic และภาพประกอบ เท่านั้น ไม่ต้องใส่หัวข้อ อะไรให้ผู้ฟังอ่านครับ ใช้ภาพ infographicและใส่ภาพประกอบ แทนที่จะเป็นหัวข้อเรื่อง แบบนี้จะ ทำให้การนำเสนอสวยงาม น่าดูกว่า infographic จะช่วยให้ผู้ฟังเห็นภาพรวม และภาพจะช่วยให้ “ไม่ใช่เขาพูดเก่ง เลยใช้เวลาเตรียมน้อย แต่เขาพูดเก่ง เพราะเขาใช้เวลาเตรียมตัวมาก ผู้ฟังเข้าใจเรื่องได้ชัดขึ้น การทำPresentation แบบนี้ช่วยทำให้ผู้พูด ใช้จังหวะการพูดได้ยืดหยุ่น กว่ามากครับ ภาพไหนจะพูดยาวหรือสั้นก็ขึ้นกับผู้ฟังว่าสนใจมากน้อยเพียงใด เรื่องที่ควรระวังอีกเรื่องของการทำ Presentation คือ การใช้เอฟเฟคมากเกินจำเป็น เคย เห็น presentation ของนักศึกษา คงร้อนวิชา ใส่ตัวหนังสือ วิ่งเข้า ซ้ายขวา โกลาหล เปลี่ยนสไลด์ ด้วยeffect ใหม่ทุกหน้า กว่าจะฟังบรรยายจบ ตาลายครับ การเปลี่ยนสไลด์ด้วย effect ควรทำ อย่างมีเหตุผล คือควรใช้ effect เดียวในการบรรยาย นอกจาก บางสไลด์ ที่ต้องการเน้น เป็น พิเศษ เรื่องนี้คล้ายๆ เราอ่านหนังสือน่ะครับ ไฮไลด์ เฉพาะตอนสำคัญ มันจะน่าดูกว่า ไฮไลด์ ไปทั้ง แถบ แทบทุกหน้า เทคนิคอย่างนึงในการเตรียมPresentation ที่ใช้ได้ดีคือ ถ้าเรามีประเด็นที่อยากจะพูด แต่ เวลามีจำกัดอาจไม่มีโอกาสพูด และเรามีภาพที่อาจนำเสนอในช่วงการตอบคำถาม เราควร เตรียม ภาพพวกนั้นไปด้วย ผมใช้วิธีใส่สไลด์และภาพหรือคลิปพวกนี้วางเผื่อเอาไว้หลังจาก สไลด์ สุดท้ายในการพูด นั่นคือ ถ้าเวลาพอดี ผู้ฟังก็ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร เพราะจบพอดี แต่ถ้ามี เวลาเหลือ ก็จะได้พูดในประเด็นที่อยากจะพูด ถ้าผู้จัดงานรักษาเวลาก็จะได้ประโยชน์จากวิทยากร 20
เพราะจะเหลือเวลาให้พูดและตอบคำถามเพียงพอที่จะนำเสนอเรื่องที่สำรองมานี้และแม้จะไม่มี คำถามจากผู้ฟัง เราก็สามารถจะนำเอาภาพและเรื่องสำรองมาเล่าให้ผู้ฟังได้ อย่างนี้ ก็จะเป็นการ จบการบรรยายแบบบริบูรณ์ เรื่องการเตรียม Presentation นี้สำคัญมาก เพราะถ้ามีอุปสรรคใดๆเกิดขึ้น อาจจะทำให้ เสียเวลาซึ่ง ส่งไม่ผลดีให้การพูดของเรา ลองนึกดูนะครับ ขึ้นเวทีแล้วปรากฏว่า ฉายPresentationขึ้นจอไม่ได้ ต้องแก้ไขเปลี่ยนเครื่องเปลี่ยนตัวต่อเชื่อมและสารพัด จะสร้าง ความว้าวุ่นมาก อุบัติเหตพวกนี้ ป้องกันได้ เช่นมีการสำรองไฟล์ ไว้ใช้อย่างน้อยสองแบบ หลัง จากที่เรา ทำ presentation เพื่อการบรรยายเสร็จแล้ว ควรทำไฟล์สำรองไว้ด้วย เช่น ถ้าเป็นไฟล์ powerpoint ก็ควร แปลงเป็นไฟล์ pdf สำรองไว้ด้วย เพราะอุปกรณ์ในงาน หรือเครื่องอาจมี ปัญหา บางทีไม่รองรับชนิดของ ไฟล์ที่เราใช้โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้ mac book ซึ่งปกติใช้ “ผมเองพยายามรักษาความตื่นเต้น ทุกครั้งบนเวที เพราะมันช่วยให้เราตื่นตัวและมีพลัง โปรแกรม keynote แนะนำให้แปลงเป็น powerpointและ pdfเอาไว้ทั้งสองแบบครับ เพราะ แม้ว่าเราจะนำเครื่อง mac book หรือNotebookของเราไปเองแต่อาจเจอกับปัญหาต่างๆที่คาดไม่ ถึง เช่นปัญหาเรื่องการต่อเชื่อม ปัญหาเรื่องสเปกของโปรเจคเตอร์ ปัญหาพวกนี้ ทำให้เสียเวลา และบางครั้งถึงจะปรับแก้อย่างไรก็ไม่สามารถนำภาพออกจอได้ถ้าเราสำรองไฟล์ไว้ เรายังแก้ไข โดยใช้ไฟล์นำลงในเครื่องของผู้จัดงาน ได้ครับ 4เตรียมอุปกรณ์ ต่างๆที่ต้องใช้ในงาน เช่น การบันทึกเสียง การถ่ายทอดสด ป้าย และอื่นๆ เรื่องที่ จำเป็นมากแต่หลายคนไม่ค่อยทำ คือการใช้ เครื่องบันทึกเสียงหรือวีดีโอบันทึกการพูด ของตนเองทุกครั้ง เรื่องนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะจะช่วยให้เราพัฒนาตนเองได้จากการนำ เอาการพูดของเรามาวิเคราะห์ การอัดคลิป ที่เราบรรยายเพื่อมาศึกษา ดูท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ของเรา จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้เร็วมาก เช่นเมื่อทีมงานมาดูบันทึก ก็สรุปข้อที่ต้องแก้ไขเขา บอกว่า ผมเป็นคนชอบยืนหลังค่อม นี่เป็นความเข้าใจผิดครับ ความจริงไม่ได้ชอบแบบนั้นแต่ 21
อย่าลืมว่าเขามาฟังเรา เผลอ เมื่อเราได้ดูตัวเองได้เห็นข้อบกพร่องก็เริ่มปรับไปได้ บาง นะครับ รายการเราอินมาก มีความรู้สึกมาก เสียงดังไป เมื่อมาดู เราก็รู้และก็ ไม่ได้มานั่งอ่านจอ ต้องปรับปรุง บางครั้งเวลาอยู่บนเวที ยืนจุดเดียวนานไปเรื่องเหล่านี้ เราไม่เห็นตัวเองแน่นอน การบันทึกจะทำให้เห็นและนำไปฝึกเพื่อให้ ผู้ฟังตั้งใจมาฟังเรานะ งานพูดของเรามีคุณภาพมากขึ้นได้ ครับ ควรบันทึก รายละเอียด กลุ่มผู้ฟัง และสถานที่ด้วย ผมได้รับเชิญไปพูด ไม่ใช่มาดูงานแสงสี เยอะมาก หัวข้อในการพูดก็วนเวียนใกล้ๆกัน ถ้าเราพูดแบบเดิม เสียง เนื้อหาเดิม มุขเดิมกับกลุ่มผู้ฟังใหม่ก็ยังพอจะไปได้ แต่ถ้ากลุ่มผู้ฟัง เดิม แล้วเราไม่ปรับเติม เสริมแต่ง ต่อให้พูดดีแค่ไหน ก็อาจไม่เกิด ประโยชน์ต่อผู้ฟัง เหมือนดูหนังซำ้มันน่าเบื่อมาก และคงไม่มีใคร อยากเชิญไปอีกเพราะเราเป็นพวกแผ่นเสียงตกร่อง มุขต่างๆแค่ขึ้นต้น ผู้ฟังก็ขำรอกันละครับ อาจขำเรื่องเพราะตลก หรือ ขำที่เราใช้มุขเดิม เมื่อก่อนเขาเรียกอาการนี้ว่า ตลกฝืด แต่วัยรุ่น ยุคนี้ เรียกกันว่า มุขแป้ก นักพูดที่ดี ควรเตรียมตัวอย่างใหม่ๆ คิดเรื่องใหม่ ค้นคว้าเพิ่มและจัดโครงร่างใหม่ทุกครั้งแม้จะพูดเรื่องเดิม เช่นเปลี่ยน ตัวอย่างให้สอดคล้องกับผู้ฟัง เปลี่ยนการลำดับเรื่องเพื่อจุดเน้นที่ต่าง ออกไป สำหรับตัวผมเอง ก็ต้องเตรียมโครงร่าง (Plot )ใหม่ทุกครั้ง เหตผลง่ายๆของผมคือ มัน น่าเบื่อครับ ถึงแม้คนฟังจะไม่เบื่อแต่ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนพูดเอง เบื่อเอง การเตรียมตัวเรื่องสุดท้ายก่อนงานคือ เอกสาร ประกอบการบรรยาย มีคำถามว่า เราควรทำเอกสารประกอบการบรรยายหรือไม่ เพราะผู้ จัดงาน มักจะขอเอกสารประกอบการบรรยายและคาดหวังว่า เราจะส่ง presentationซึ่งมีเนื้อหาต่างๆแบบที่เขาเคยเห็นจากผู้ บรรยายทั่วไปที่มักส่งpresentationที่มีหัวข้อและ สรุป ไปให้ แต่ presentationของเราแค่รูปภาพ และ infographic ไม่ได้เป็นเอกสาร อย่างที่ผู้จัดคาดหวังเราจะทำอย่างไร ผมมักจะส่งเอกสารให้ครับ แต่ เป็นเอกสารที่ทำเป็นสรุปเนื้อหาสั้นๆว่ามาพูดเรื่องอะไรส่ง พร้อมPresentation ที่ได้ไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรมากนัก แต่ เพราะบางองค์กรต้องใช้เอกสารนี้เพื่อนำไปประกอบรายงานสรุป โครงการ 22
ผมจะแจ้งผู้จัดว่าขอให้แจกเอกสารเหล่านี้ หลังการบรรยายเพราะ ไม่มีประโยชน์ที่จะให้ผู้ฟังนั่งอ่านเอกสารในขณะบรรยาย หรือถ้าส่งpresentationให้ ก็ไม่มีประโยชน์เพราะ ผู้ฟังก็คงได้แต่ดูรูป ขณะที่รูปเหล่านั้นก็แสดงขึ้นอยู่บนจอ การที่ผู้ฟังนั่งก้มหน้าดูเอกสาร จะทำให้เราจะไม่เห็นอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ฟัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ที่ เราต้องติดตามเพื่อสร้าง จังหวะของการพูดที่ดีอีกด้วย 23
6 การตั้งชื่อเรื่อง ชื่อเรื่อง มีความสำคัญมาก มีงานวิจัยเผยว่า ชื่อเรื่องคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ ภาพยนตร์ และหนังสือ ได้รับความนิยม ทำให้คนทำอาชีพตั้งชื่อเรื่องมีรายได้สูงมาก เคยดูหนังโดยไม่รู้ชื่อ เรื่อง ดูไปแล้วเพลินก็ดูต่อ ดูจนจะจบก็ยังรู้สึกอยากรู้ว่า หนังที่เราดูเนี่ย ชื่ออะไร นั่นแหละครับ ความสำคัญของชื่อเรื่อง ผมเคยเห็นคนเศร้า ก็เผลอไปถามเขาว่าเศร้าเรื่องอะไร คำตอบที่ได้กวนมากคือ ก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อ เลยไม่รู้จะตอบว่า เรื่องอะไร แบบนี้ก็มี 24
ชื่อเรื่องมีความสำคัญแต่เวลาที่เราไปงานบรรยาย ผู้จัดมักจะตั้งชื่อเรื่องมาแบบไม่น่าสนใจ คือฟังชื่อเรื่องแล้วไม่ชวนฟังเลย บางชื่อก็น่าเบื่อมาก บางชื่อก็ยาวมาก บางชื่อก็ดูวิชาการจนคน กลัวจะฟังไม่รู้เรื่อง เราลองมาตั้งชื่อเรื่องกันดีกว่าครับ ต่อไปเวลามีใครเชิญไปพูดจะได้ช่วยเขาตั้ง ชื่อเรื่องให้น่าสนใจ เพราะการตั้งชื่อหัวข้อบรรยาย เป็นจุดแรกที่จะเรียกคนมาฟังครับ เราคิดชื่อเรื่องจากอะไรกันบ้าง 1 ตั้งชื่อจากประโยชน์ ที่ผู้ฟังจะได้รับ การตั้งชื่อแบบนี้ ง่ายและเป็นวิธีที่นิยมกันมาก เช่น “ สอนอย่างไร ให้ผู้เรียนพัฒนาความคิดสร้างสรรค์” “พัฒนาตนเองสู่ ครูยุค 4.0” “พ่อแม่มืออาชีพ เล่านิทานเพื่อพัฒนาการลูก” “สาขาอาชีพอนาคต เรียนอะไรหางานง่าย รายได้สูง” 2 ตั้งชื่อแบบเร้าใจ ท้าทาย ชวนติดตาม หรือกระตุ้นความอยากรู้ เช่น “เกษตรยุคใหม่ รวยได้ใน10วัน” “ทำงานให้ช้าลง เพื่อผลงานจะมากขึ้น” “7 ปัญหาในการพัฒนาเด็ก และแนวทางแก้ไข” “2554 ปริญญาตรี ล้นประเทศ “ การตั้งชื่อแบบนี้ จะทำให้ผู้ฟังสนใจมากกว่าการตั้งชื่อแบบที่เห็นกันทั่วไป 3 ตั้งชื่อที่คล้องจอง ถ้าเป็นการตั้งชื่อ ในการ Live สด หรือตั้งชื่อหนังสือ เทคนิคนี้จะเหมาะมาก ครับเพราะจะช่วยให้ผู้ฟังจำง่าย บอกต่อง่าย ผมแปลหนังสือขายดี ทั่วโลก International best seller ของ sir Ken Robinson ชื่อภาษาอังกฤษ สั้นๆว่า out of our mind ถ้าแปลเป็นไทย ก็อาจจะเป็น “คิดหลุดโลก”แต่กองบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ซึ่งมีนักตั้ง ชื่อ ใช้ชื่อน่าอ่านว่า “จะสร้างสรรค์ชีวิต ต้องคิดนอกกรอบ” เป็นชื่อที่ใช้คำพ้องเสียง คือ ชีวิต และ คิด ความคล้องจองของเสียงทำให้น่าจดจำและเป็นศิลปะในการตั้งชื่อที่เราน่าจะนำไปใช้ในการ ตั้งชื่อหัวเรื่องในการพูดได้ งานแปลอีกเล่มของผมชื่อ too fast to think กองบรรณาธิการ มาตั้ง ชื่อใหม่เพื่อให้เข้าใจง่ายว่า “โลกหมุนเร็วขึ้น ต้องคิดให้ช้าลง” ชื่อนี้ถึงมีความหมายชัด ตรง แต่ ยังขาดความคล้องจอง ผมลองมาคิดเล่นๆ ว่าน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น “ช้าลงอีกนิด ทางชีวิตจะ งดงาม” หรือ “เมื่อโลกมีความเร่ง เราต้องเก่งเรื่องความคิด” ผมว่ามันฟังแล้วรื่นหูและจำง่ายกว่า นะครับ 25
หนังสือ ที่ผมเขียนเอง ได้ตั้งชื่อเอง และกองบรรณาธิการเห็นชอบชื่อ “ห้องเรียนแห่ง อนาคต” และ “สาขาอาชีพอนาคต” สองเล่มนี้ ตั้งชื่อสั้นๆแต่ชวนให้คนสงสัย และกลายเป็น หนังสือขายดี ถึงไม่มีคำพ้องเสียง แต่อาจเป็นเพราะ ชื่อเป็นมงคล (อันนี้คิดเข้าข้างตัวเองมาก) หนังสือเล่มล่าสุด ผมใช้ชื่อ”สอนสร้างสรรค์ เรียนบรรเจิด” ตามเทคนิค ความคล้องจอง แต่กอง บรรณาธิการขอแก้เป็น “สอนสร้างสรรค์เรียนสนุกยุค4.0” ซึ่งก็ฟังทันยุค สอดคล้องกับสมัยนี้ที่ อะไรๆ ถ้าเป็น4.0 ก็จะดึงความสนใจแต่เล่มนี้ยังไม่ขึ้นอันดับหนังสือขายดี จึงได้เป็นโอกาสให้ผม โทษว่าเป็นเพราะชื่อที่กองบรรณาธิการตั้งให้ (ฮา) ท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ เวลาจะตั้งชื่ออะไร ลอง คิดตั้งชื่อ ให้คล้องจอง จะเป็นพ้องเสียง หรือพ้องคำ ก็น่าสนใจทั้งนั้น ชื่อ งานนิทรรศการ ชื่อเรื่อง บรรยาย ชื่อหนังสือ ใช้ได้ทั้งนั้น ครับ เวลาที่มีคน ถามว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร เราอาจมีคำตอบดีๆ ที่น่าสนใจเช่น เรื่อง “ทางของข้า อย่ามาเผือก” วิชาภาษาไทยที่เคยถูกละเลย ก็ได้นำมาใช้งานนี้ แหละครับ 4 ตั้งชื่อ ที่เป็นเฉพาะเจาะจง การตั้งชื่อแบบนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังอยากเข้ามาฟัง เพราะรู้สึกว่าเรามาพูดเรื่องของ เขา เป็นการเฉพาะเจาะจง ไม่ใช่เป็นการพูดที่หาฟังกันง่ายๆ เช่น “แนวทางการปรับปรุงหลักสูตร อุดมศึกษา สำหรับมหาวิทยาลัยราชมงคลัญญบุรี” “การใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมในจังหวัดเชียงราย” “เปลี่ยนห้องสอน เป็นห้องเรียน แนวปฏิบัติสำหรับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย” “Happy School สร้างโรงเรียนแห่งความสุข เพื่อชาว เบญจะมะมหาราช” คนฟังจะคาดหวังได้ว่าเราจะมาพูดเป็นพิเศษ เฉพาะเจาะจงไปสำหรับผู้ฟังที่นี่ คนที่เคยฟังเราจากที่อื่นๆ หรือในยูทูป ก็จะสนใจมาฟังงานนี้ เพราะครั้งนี้ เป็นเรื่องที่แตก ต่างจากที่เคยฟังเนื่องจากเป็นการพูดเฉาะเจาะจงสำหรับกลุ่มคนฟังซึ่งเราเองก็ต้องเตรียมเนื้อหา ตัวอย่างให้เฉพาะด้วยนะครับจะได้สมกับอที่ตั้งไว้ ในการรับงาน บรรยาย บางทีผู้จัดตั้งชื่อมาให้ แบบนี้ก็ดีครับไม่เป็นภาระ แต่ก็แปลกใจว่า ทำไมชื่อเรื่องที่ใช้ มักขึ้นต้นด้วยคำว่า “บรรยายพิเศษ” เช่น ในงานประชุมวิชาการประจำปี ผมมักจะเห็นป้ายแบบนี้ คือ เชิญรับฟังการบรรยายพิเศษ “แนวคิดในการเลือกประเด็นวิจัย ด้านการศึกษา” โดย ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ เห็นทีไรก็สงสัยทุกที ว่าบรรยายพิเศษ นี่มันต่างกับ บรรยายปกติอย่างไร คือถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวนี่ยังพอนึกออกว่าพิเศษต่างจากธรรมดา ตรงที่มี ปริมาณมากกว่า ลองไปเสริซหาในกูเกิ้ล ก็ไม่เจอ ต่างประเทศก็ไม่ได้ใช้ แบบนี้ เลยคิดเอาเองว่า บรรยายพิเศษน่าจะเป็น การพูดเป็นพิเศษ เฉพาะเจาะจงให้สำหรับงานที่จัดครั้งนี้ ไหนๆก็เป็น บรรยายพิเศษแล้ว ก็น่าจะตั้งชื่อให้เป็นพิเศษ แนวๆนี้ น่าจะเหมาะสมดี 26
7 ส่วนประกอบของเนื้อหา ส่วนประกอป ของการบรรยาย โดยทั่วไปก็ มีสามส่วนคือ INTRO นำเรื่อง หรือเกริ่นนำ BODY ตัวเรื่อง และ Conclusion สรุป 27
การนำเรื่อง หรือเกริ่น การเขียนโครงร่างเพื่อการพูด มาจากสามส่วนนี้ ถ้าจะสรุปสั้นๆ นำ เข้าใจง่ายๆก็ได้ตามนี้คือ ส่วน นำเรื่อง ( Intro) ต้องให้เร้าใจ น่า สนใจ ชวนติดตาม การนำเรื่อง หรือเกริ่นนำควรใช้เวลาไม่เกิน 10% ควรใช้เวลาไม่เกิน ของเวลาทั้งหมด ในกรณีการพูดที่มีช่วงเวลาสั้นเช่นน้อยกว่า 30นาที 10% ของเวลาทั้งหมด เกริ่นนำอาจเป็นแค่สามสี่ประโยคเพื่อสร้าความน่าสนใจก็เพียงพอ แล้ว ส่วนเนื้อหา (Body)ต้องมีความชัด เริ่มตั้งแต่เป้าหมายของการ พูด ต้องชัดว่าพูดเพื่ออะไร ให้ใคร การอธิบายเรื่องต้องทำให้เป็น ภาพชัด ควรมีตัวอย่างประกอบโดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง (Story telling )เพื่อให้ผู้ฟังติดตาม อาจมีเนื้อเรื่องย่อยๆเป็นตัวอย่าง ประกอบเพื่อสนับสนุนเรื่อง ซึ่งจะใช้เพื่อให้เรื่องมีนำ้หนักและน่าสนใจ ส่วนช่วงสรุปเราใช้เพื่อสร้างความประทับใจ และประทับจำ แต่ คำถามคือเร้าใจยังไง จะพูดอย่างไร ใช้เรื่องอะไร จึงจะทำให้ผู้ฟัง ติดตาม อธิบายเรื่องให้ชัดเจนคืออย่างไร จะใช้ตัวอย่างแบบไหน และ การจบแบบไหนบ้างที่จะทำให้ผู้ฟังประทับใจ นั่นแหละครับคือ ทั้งหมด ที่เราจะต้องมาดูรายละเอียดและตัวอย่างกันต่อไป 28
INTRODUCTION เกริ่นนำ เน้นเป้าหมาย ตัวอย่างการขึ้นต้น(Intro) จากการบรรยาย เรื่อง “แนวทางการสอนและการวัดผล แบบฐาน สมรรถนะ เพื่อพัฒนาผู้เรียนสู่ศตวรรษที่21” ซึ่งผู้ฟังคือครูและผู้บริหาร “สวัสดีครับ ทั้งเห็นใจและชื่นชม ทุกท่านครับ นี่วันเสาร์ อาจารย์ยังขยันมาหาความรู้ แทนที่จะได้ หยุดงาน พักผ่อน ไปเที่ยว หรืออยู่กับครอบครัว งานของครูนี่น่าจะหนักนะครับ ผมเดินเข้ามาเห็น ป้ายโครงการ โน่นนั่นนี่ เยอะไปหมด ใช่ไหมครับ (ตอนนี้ รอดู การตอบรับ จากผู้ฟัง เว้นจังหวะ เพื่อพูดต่อ ) ปรับหลักสูตรแต่ละครั้ง ก็ มีแต่เพิ่มเนื้อหา มีแต่ผู้หวังดี อยากให้เด็กเรียนมากๆ ก็เพิ่มเนื้อหา สาระกันเข้ามา จนครู สอนแทบไม่ทัน ใช่ไหมครับ พอมาเจอนโยบาย ลดเวลาเรียน เข้าไปอีก ลดเวลาเรียน แต่ไม่ลดวิชาสอน น่า มึน นะครับ พอเด็กทำข้อสอบไม่ได้ ครูก็เดือดร้อน เจอนโยบาย ห้ามให้เด็กสอบตก เข้ามาอีก ทีนี้ล่ะ มึน สองเด้ง กันเลยครับ วันนี้ ผมจะช่วยให้ วันเสาร์ ของพวกเรา ไม่เป็นการเสียปล่าวครับ ผมขอเวลาสองชั่วโมง ที่จะช่วยให้ เราหายมึนกัน การสอนและการวัดผลแบบฐานสมรรถนะ จะช่วยลดเวลาสอน และช่วยให้เด็กสอบได้ เพราะวัดผลต่างจากเดิม 29
คราวนี้ จะไม่มีเด็กสอบตก กันละครับ และที่สำคัญ คือ การสอนและวัดผลแบบนี้ แหละครับ ที่จะช่วยให้ทั้งครู และนักเรียน มีเวลามากขึ้น..ดีไหมครับ” การขึ้นต้น แบบนี้ ชี้ไปที่ปัญหาของผู้ฟังที่พบเจอและสัญญาว่าเราจะมาช่วยแก้ปัญหานั้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฟังตื่นตัว และรู้ว่า จะได้รับอะไร ถ้าไม่แอบหนีไป :) 30
INTRODUCTION เกริ่นนำ เพื่อสร้างความเป็นกันเอง ตัวอย่าง ขึ้นต้น การบรรยาย เรื่อง “การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน เปลี่ยนห้องสอน เป็นห้องเรียน ” “ สวัสดีครับ พวกเรามีใครชอบสอนกันบ้างครับ แหม ถ้าไม่ชอบสอนก็คงไม่มาเป็นครูกันใช่ ไหมครับ (ดูจังหวะ การตอบรับ ) ขอบคุณครับ ผมก็เป็นคนชอบสอน แต่ไม่ค่อยอยากเป็นครู เพราะการเป็นครูที่ไม่ง่าย ไม่แค่สอน แต่ครูทุกวันนี้ ต้องเป็นซุปเปอร์แมน หรือ วอนเดอร์วูแมน กันเลย คือนอกจากเป็นคนสอน ยังต้องเป็นนักเรียน อย่างเช่นที่ต้องมานั่งเรียนกันวันนี้ บางท่านเป็นคนเก็บพัสดุ ทำการเงินก็มี ผมเคยเจอบางท่านเป็นพนักงานต้อนรับ เสริฟนำ้ ขับรถก็มี ... ใช่ไหมครับ แต่ที่น่า จะงงกันสุดๆคือ ให้ครู เป็นยาม (จังหวะนี้ คนจะฮา ถ้ามีฮา มาก ก็ขยายความต่ออีกนิด ให้หัวเราะกัน ต่อ เช่น ... ผมสงสัยจริงๆ ครูยามนี่ มีหน้าที่อะไร ถ้าให้ เฝ้าโรงเรียน เราก็ไม่เคยเรียนวิชาต่อสู้ อาวุธก็ไม่มี เห็นโจรมา จะบอกให้โจรหยุดนะ ไม่งั้นจะให้ คาบไม้บรรทัด ก็ไม่ได้ ........” “ผมเอง เคยเป็นครู แต่ลาออกมานานแล้วครับ ตั้งแต่เลิกสอน ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ (ตรงนี้ก็ ฮา ) “ การขึ้นต้นแบบนี้ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ กับผู้ฟัง ทำให้สบายใจ เปิดใจที่จะฟังต่อไป ผู้ ฟังคาดหวังว่า เรื่องในวันนี้ จะสนุก เพราะวิทยากร มีอารมณ์ขัน และก็เป็นครูที่เข้าใจ ความรู้สึก ของครู 31
INTRODUCTION เกริ่นนำ แบบร่วมมือ การขึ้นต้นการบรรยายโดยวิธี ชักชวนให้ผู้ฟัง ลงมือทำอะไรบางอย่าง เช่น โหวต ร้องเพลง ปรบ มือเป็นจังหวะ ฯลฯ นั่นคือการสร้างความร่วมมือ ( Engagement )จากผู้ฟัง เป็นวิธีเกริ่นนำที่ได้ ผลดีช่วยกระตุ้นให้ผู้ฟังตื่นตัวได้ เป็นการพูดนำเพื่อสร้างบรรยากาศให้ผู้ฟังผ่อนคลาย สร้าง ความรู้สึกที่เป็นกันเองและยังช่วยปลุกจากความง่วง หรือเพลีย ทำให้ผู้ฟังอยากจะฟัง ใครที่ วางแผนว่าจะมางานนี้ แค่ลงทะเบียนและถ่ายรูปเป็นหลักฐาน กะไว้ว่าประธานกลับเมื่อไร เราจะ แวบ เมื่อนั้น ก็อาจจะเปลี่ยนใจเพราะการขึ้นต้นโดย ชักชวนให้ผู้ฟังร่วมทำอะไรบางอย่าง นี่แหละ ครับ ที่จะทำให้ เกิดการเปลี่ยนแผนได้ ตัวอย่างเช่น “ ขอบคุณ พิธีกรครับ สวัสดีท่าน ผู้บริหาร และคุณครูทุกท่านที่มากันเต็มห้องประชุม ที่มากันเยอะนี่ สนใจ อยากฟัง หรือเขาบังคับให้มากันนะครับ ผมเข้ามาเห็นมีเช็คชื่อกันด้วย ใช่ไหมครับ .......(ตรงนี้อาจมี ฮาเล็กๆ) เอ้าถึงจะมาเพราะอะไร ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่มาเจอกันครับ เพราะวันนี้ จะมาคุยเรื่อง Happy School โรงเรียนแห่งความสุข แค่ชื่อนี้ เราก็ฝันไปไกลเลยนะครับ ตอนเด็กๆผมเคยร้องเพลงนี้ ครับ” “โรงเรียนของเรา น่าอยู่ คุณครู .....(แล้วก็ ทำมือเชื้อเชิญให้ผู้ฟังร้องไปพร้อมๆกัน ) ใจดีทุกคน เด็กๆ ก็ ........ไม่ซุกซน พวกเราทุกคน ชอบไปโรงเรียน .......ชอบไป ชอบไป โรงเรียน .......(ครูจะร้องบ้าง ขำบ้าง เรารอจังหวะแล้วก็พูดต่อ ) เพลงที่ร้องกันมานานเนี่ย ประโยคไหนที่มันเป็นจริงบ้างครับ “ (ตรงนี้ดูการตอบรับ ถ้าเฮมาก ก็ขยายผลต่อ ) 32
จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาได้แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นต้น การนำสู่เนื้อหาหรือการพูดถึง เนื้อหา ต้องมีจังหวะครับ ตัวอย่างการพูดตลอดเล่มนี้ จะมีวงเล็บ ที่บอกถึงจังหวะในการพูด จะพูด ต่อ จะขยายความ หรือจะสร้างความร่วมมือให้ผู้ฟังโต้ตอบ ตอนไหน อย่างไร ทั้งหมดนี้ ขึ้นกับ บรรายกาศและการตอบสนองของผู้ฟังซึ่งเราจะค่อยๆเรียนรู้เรื่องจังหวะกันในตัวอย่างอื่นๆ ต่อไป 33
INTRODUCTION เกริ่นนำแบบพิธีการ การขึ้นต้นก่อนนำเสนอเรื่องราว แบบพิธีการ คือการกล่าวทักทาย ผู้เข้าร่วมฟัง แบบพิธีการ ถ้า หนังสือเล่มนี้ไม่พูดถึงการขึ้นต้นแบบพิธีการ ครูบาอาจารย์ที่ฝึกสอนผมมา ท่านคงโกรธ ทั้งๆที่ตัว ผมเองไม่นิยมการขึ้นต้นแบบนี้เลย เพราะมันน่าเบื่อ ผมชอบใช้การเกริ่นนำเพื่อสร้างความสงสัย ชวนติดตามมากกว่า แต่ในงานที่มีพิธีการ เรื่องของการขึ้นต้นด้วยการทักทายที่ประชุมเป็นความ จำเป็น เราอาจกล่าวทักที่ประชุมอย่างเป็นทางการสั้นๆ แล้วค่อยเริ่มเกริ่นนำแบบอื่นๆต่อจากนั้น ให้กลมกลืนต่อเนื่องไปก็ได้ เช่นถ้าเราต้องพูดในงานพิธีอะไรสักอย่างที่ดูมีความขลัง หรือเป็นทาง การมากๆ ก่อนที่เราจะพูดเกริ่นนำ เราต้องเริ่มด้วยการทัก ผู้มาร่วมงาน ซึ่งหลักการทัก ก็จะเรียง ตามลำดับยศถาบรรดาศักดิ์ ของบรรดา Big nameทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน คนใหญ่คนโต บ้านเรา มีเยอะ ถ้าไม่เอ่ยชื่อท่าน มันจะไม่งามครับ เช่น “ท่านสมชาย แสนดี รองผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านสุขุม วงไทย นายก อบจ ท่านวิชัย สุขดี ผู้อำนวยการเขตพื้นที่36 และท่านผู้เกียรติ ทุกท่าน ........ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ...................” การกล่าวทักแบบนี้ ในงานใหญ่ๆ อาจจำเป็นต้องเอ่ยชื่อหลายคน เพราะมากันเยอะ ถ้าไม่เอ่ยชื่อ ท่านก็อาจจะน้อยใจได้ แต่โดยทั่วไป สามสี่คนน่าจะเหมาะสมแล้วส่วนการพูด แบบพิธีการอื่นๆ เช่นพูดแถลงการณ์ ด้วยการอ่านข้อความที่เขียนเตรียมไว้ และการพูดแบบพิธี การอื่นๆ ตามหลักการพูดทั่วไป เราหาอ่านกันเอาเองได้ครับ มีหนังสือแนวนี้อยู่มาก เพราะ เป็น พื้นฐานการพูดมาตรฐาน ซึ่งหากันได้ง่ายมาก ในอินเตอร์เนตก็มีเยอะ ดังนั้นเพื่อเป็นส่วนนึงใน การช่วยลด ภาวะโลกร้อน ผมขอไม่นำเนื้อหาเหล่านี้มารวมไว้ในเล่มนี้นะครับ 34
8 โครงเรื่อง PLOT โครงเรื่อง หรือ Plot เป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้พูดที่ดี ต้องเตรียมPlot โดยลำดับเนื้อหาคร่าวๆไว้เพื่อ ให้การเล่าเรื่องของเราดำเนินไปอย่างราบรื่นและช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย เพราะการเล่าเรื่องวน กลับไปกลับมานอกจากจะทำให้ผู้ฟังงง เราเองก็จะสับสน ไปด้วย ตัวอย่าง การวางโครงเรื่องแบบต่างๆต่อไปนี้ จะช่วยให้เราวางPlot ได้ ง่ายขึ้น 35
การเล่าเรื่องวนกลับไป การวางโครงเรื่องแบบ จากภาพใหญ่สู่ solution เช่น กลับมานอกจากจะ 1 สถานะการณ์ทั่วไป overview ทำให้ ผู้ฟัง งง 2 เหตุการณ์ หรือ สถานะการ ที่เฉพาะเจาะจง 3 ปัญหา problem เราเองก็จะสับสน ไป 4 ทางแก้ไข Solution ด้วย ตัวอย่างการวางPlot แบบนี้เช่น เรื่อง “การศึกษา เพื่อพัฒนา นวัตตกรรม ในประเทศไทย”เราวางโครงเรื่องโดยเรียงลำดับ เนื้อหา หรือโครงเรื่องดังนี้ 1 ประเทศ ต่างๆ ในโลก ที่ เติบโต ด้วยนวัตกรรม 2 ข้อมูลสถิติ เปรียบเทียบ นวัตกรรม ในต่างประเทศ และใน ไทย 3 ระบบการศึกษา ที่ไม่ส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ เป็น อุปสรรค ต่อการสร้างนวัตกรรม 4 แนวทางการปรับ การศึกษา เพื่อพัฒนานวัตกรรม อีกตัวอย่าง ของวางโครงเรื่องแบบ จากภาพใหญ่ สู่คำตอบ เรื่อง “การสอนแบบสร้างสรรค์ สอนสร้างสรรค์ เรียนสนุก ยุค4.0” 1 การศึกษาทั่วโลก 2 การศึกษาไทย 3 ปัญหา และ ความต้องการ ของสังคม 4 ทางแก้ไข โดยเปลี่ยนการสอนและการวัดผล การวางโครงเรื่องแบบจากภาพใหญ่สู่คำตอบแบบนี้ เป็นลักษณะของ การบรรยาย ให้มองภาพกว้างและเจาะเข้าไปในรายละเอียด สุดท้าย นำไปสู่คำตอบ การวางโครงเรื่องแบบนี้ ทำให้เราพูดโดยไม่ต้องมี Presentation ได้ อย่างราบรื่น เพราะเป็นโครงช่วยให้เราจำได้ง่าย ในการพูดเราใช้ โครงเรื่องนี้ไว้ในใจและใช้เทคนิคการพูดแบบต่างๆเพื่อให้ราย ละเอียดและตัวอย่างตามความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ และบรรยากาศในการบรรยายได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องกังวลว่าจะ หลุดกรอบหรือขาดเป้าหมายในการพูด 36
“ฉายภาพใหญ่ ใช้เหตการณ์เฉพาะ เจาะไปที่ปัญหา และ ตามมาด้วย เฉลย ” การวางโครงเรื่อง หรือ plot อีกแบบที่นิยมกันมากคือใช้การ เล่าเรื่อง (story telling )แบบนิยาย วิธีนี้ เรียงลำดับง่ายๆคือ 1 ปูพื้นตัวเอกซึ่งเป็นตัวหลักของเรื่อง 2 เล่าถึงสภาพแวดล้อม และเหตุการณ์ ต่างๆที่เกิดขึ้น 3 บรรยายจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ตัวเอกมีการเปลี่ยนแปลง 37
4 ผลลัพธ์ ของการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดอะไรบ้าง 5 บทสรุป ในที่สุดแล้วเรื่องราวสุดท้ายเป็นอย่างไร ตัวอย่างการเล่าเรื่อง 1 ปูพื้น สโนว์ไวท์ เป็นสาวสวย แม่เลี้ยงใจร้าย 2 เหตุการณ์ กระจกวิเศษ ยืนยันว่าสโนวไวท์สวยที่สุด แม่เลี้ยงวางแผนฆ่า 3 จุดเปลี่ยน คนแคระทั้งเจ็ด ช่วย 4 ผลลัพธ์ สโนว์ไวท์ กินแอบเปิ้ล 5 สรุป ตาย เจ้าชาย จูบ พบรักแท้ คนดีรับความสุข การวางโครงเรื่องแบบ story telling เป็นการเล่าเรื่องที่ชวนให้ติดตาม น่าสนใจ เหมาะกับการใช้ เล่าในช่วงที่เรายกตัวอย่างเพื่อสนับสนุนเรื่องหลัก ตัวอย่างนี้ เป็นส่วนนึงของการบรรยาย ผมพูดถึง ผู้บริหารโรงเรียน ที่พยายามเปลี่ยนการสอน ของครูโดยใช้ plot แบบการเล่าเรื่อง 1 ปูพื้นตัวเอก “อาจารย์กัมพล เป็นครูมานาน จนกระทั่งต่อมาได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนในชนบท ห่างไกล โรงเรียนของท่าน ไกลมากครับ อยู่ชายแดน ห่างจากกัมพูชาแค่7 กิโลเมตร ด้วยความที่เป็นคนมีอุดมการณ์ อยากเห็นเด็กมีความสุขในการเรียน 38
จึงพยายามศึกษาหาความรู้ ด้วยตนเองมาตลอด เพราะมั่นใจว่า ถ้าอยากจะช่วยให้เด็กๆ คิดเก่ง และมีความสุขกับการเรียน ต้องมีการเปลี่ยนแปลง การเรียนการสอน” 2 เหตุการณ์ “ผมเจอ ผอ.กัมพลครั้งแรก เมื่อ ห้าปีที่แล้วครับ ตอนนั้นเปิดอบรม CBL การสอนแบบ สร้างสรรค์ ผอ.กัมพล ลงทุนเดินทางมาเข้าอบรม ทั้งๆที่ไม่มีคำสั่งหรือการสนับสนุน จาก กระทรวง ลงทุนทั้งเวลาและยัง ใช้เงินส่วนตัว อีกด้วย หลังจากจบการอบรม ผอ.กลับไปด้วยความ ตื่นเต้น เริ่มประชุมครู ถ่ายทอดความรู้ ครูบางท่านก็ ปรับเปลี่ยนการสอน บางท่านก็ยังยึดติดกับ การสอนแบบเดิม เด็กๆที่ได้เรียนด้วยการสอนแบบใหม่ต่างก็มีความสุข แต่ปัญหาคือห้องเรียน เสียงดัง เรื่องนี้ทำให้ครูรุ่นเก่าบางคนเริ่มบ่นว่าสอนแบบนี้เด็กไม่มีระเบียบ ผู้ปกครองบางคนเริ่ม สงสัย ว่าสอนแบบนี้เด็กจะทำข้อสอบได้อย่างไร หลายคนจับกลุ่มนินทาว่า ผอ. กัมพล เพี้ยน ไป แล้ว ผอ.กัมพลหาวิธี แก้โดยเชิญ ผู้ปกครอง และครูที่ยังสงสัยให้มาลองเรียน ด้วยตัวเอง” 3 จุดเปลี่ยน “จากการที่เข้าเรียนด้วยการสอนสร้างสรรค์ด้วยตนเอง ทำให้ครูและผู้ปกครอง ซึ่งตลอด ชีวิต คิดว่าการสอน คือ การที่ครู ต้องบอกเล่าความรู้ เริ่มเข้าใจว่า การเรียน รู้ด้วยตนเองสนุก กว่า และจดจำเนื้อหาได้มากกว่า ได้รู้ว่าห้องเรียนที่สร้างความสุข และความรู้ ไปด้วยกันนั้นเป็น เรื่องที่ทำได้ ได้รู้ว่าความเคร่งเครียด ไม่ใช่ทางเดียวที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ ครูและผู้ปกครองได้เรียนอย่างมีความสุขด้วยตนเอง” 4 ผลลัพธ์ “ตั้งแต่นั้นมาครูแทบทั้งโรงเรียนเปลี่ยนการสอน ทำให้เด็กๆที่เคยโดดเรียน กลับเป็นเด็กที่ ชอบ มาโรงเรียน ผอ.กัมพลกลายเป็นที่ชื่นชมของชุมชน ชื่อเสียงของโรงเรียน ทุ่งยาวคำโปรย โด่งดัง ดังไปถึงกระทรวง” 5 บทสรุป “วันนี้ ผอ.กัมพล กลายเป็นต้นแบบตัวอย่างของครูซึ่งเป็นผู้บริหารยุคใหม่ กระทรวง ศึกษาธิการ เชิญ ผอ.กัมพลเป็นวิทยากรในเวทีระดับชาติ เมื่อก่อนเราต้องเดินทางไปดูงานการ ศึกษาดีๆกันที่ยุโรป อเมริกา แต่วันนี้ คนในกระทรวงเดินทางมาดูงานที่ รร.ทุ่งยาวคำโปรย กัน แล้วครับ” 39
การบรรยาย ส่วนมากจะวางโครงเรื่องแบบแรก คือจากภาพใหญ่สู่คำตอบ และใช้ plot แบบการเล่านิทาน เพื่อการบรรยายส่วนย่อยๆเช่น เพื่อเล่าเรื่อง และ เล่า ตัวอย่าง สนับสนุน ในช่วงต่างๆ การบรรยายที่ไม่มีเรื่องเล่า จะน่าเบื่อมากครับ เราควรคิด Plotคือเรียง ลำดับเรื่องไว้คร่าวๆแบบนี้จะทำให้เราควบคุมเวลาได้ และใช้ความยืดหยุ่นในการพูด แต่ละช่วง ได้ ช่วงไหนคนสนใจมาก เราอาจขยายความ ใส่รายละเอียด หรือเพิ่มตัวอย่าง ช่วงไหนคนเริ่ม เคลิ้ม คือท่าทางจะหลับ เราก็งัดเอาเทคนิคการมีส่วนร่วม เพื่อเป็นการปลุกผู้ฟัง แต่เราก็สามารถ กลับมายังโครงร่างเดิม ไม่หลุดวงโคจรไป เราควรทบทวนโครงร่างให้แม่นยำ ก่อนขึ้นบรรยาย ถ้ามือใหม่ กลัวหลุด ก็สามารถเขียน เอาไว้ตัวโตๆ เก็บไว้ในที่ เรามองเห็นง่าย เช่นวางไว้บนโพ เดียมหรือเขียนในกระดาษเล็กๆ ใช้ตัวย่อ เขียนตัวโตๆใส่กระดาษใกล้มือ หรือวางแถวๆหน้าเวที ก็ได้ครับ เพราะบางครั้งพูดไปแล้วเพลิน โดยเฉพาะการพูดที่ไม่ใช้สไลด์ หรือบางทีมีผู้ฟังถาม หรือมีการขัดจังหวะอย่างน้อย Plot ก็จะช่วยเราได้ ก็เหมือน ชูชีพ ถึงไม่ได้ใช้แต่ก็ควรมี เพื่อความ มั่นใจ ว่าเราจะได้ไม่ต้อง ดำนำ้ 40
“การบรรยายที่ไม่มีเรื่องเล่า จะน่าเบื่อมากครับ ” 41
9 พูดดี มีจังหวะ การพูดอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่การท่องจำเนื้อหามาเล่าให้คนฟังและถึงแม้ ผู้พูดจะท่องจำเนื้อหาได้ ทั้งหมด และนำมาเล่าได้อย่างแม่นยำ แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีที่จะได้ผลดีที่สุดแน่นอน การพูดที่ดี คือการ สื่อสารระหว่างวิทยากร และกลุ่มผู้ฟังซึ่งต้องใช้ การโต้ตอบ ต้องมีจังหวะและลีลา บางคน เป็นคนช่างพูด คือพูดได้เรื่อยๆแต่ปัญหาคือ ไม่มีใครอยากฟัง ให้ฟังฟรี ก็ยังไม่มีคนฟัง จะต้องจ้างคนมาฟังก็ดูจะเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยมีใครทำกัน 42
แต่บางคน พูดแล้ว คนฟังชอบ ฟังแล้วอยากฟังอีก เพราะอะไร เรื่องสำคัญที่จะทำให้การพูด น่าฟัง คือ จังหวะ ครับ จังหวะ การพูด ก็เหมือนจังหวะดนตรี วิทยากรบางท่านความรู้อัดแน่น เจอไมค์ แล้วหยุดไม่ อยู่ พรั่งพรูคำพูดออกมา ได้น่าทึ่ง คือเร็วมาก มากจนคนฟังเหนื่อย คือฟังไม่ทันเพราะท่านไม่หยุด พักหายใจเลย ถ้าเป็นแบบนี้ พูดจบ ผู้ฟังทุกคนจะโล่งใจ เพราะจะได้ผ่อนคลายกันซะที เนื่องจาก นั่งเกร็งกันมานาน ด้วยความเป็นห่วงวิทยากร ว่าจะขาดใจคาเวทีนะครับ การพูดที่ทำให้ผู้ฟังติดตาม มาจากการใช้จังหวะ พูดกับผู้ฟัง “ผู้ฟังติดตามเพราะผู้พูดรู้จักใช้จังหวะ ในการพูดกับผู้ฟัง ” ตัวอย่างของการใช้จังหวะ ในการพูดต่อไปนี้ จะช่วยให้เรานำไปปรับสร้างจังหวะในการพูด ของเราได้ “หัวใจ ของพุทธ คือทางพ้นทุกข์ใช่ไหมครับ” (ปล่อยจังหวะ นิด ให้ผู้ฟังคิด และเราก็ดูว่าผู้ฟังพยักหน้าตาม รึเปล่า ถ้าพยักหน้าตามกันก็ พูดต่อ แต่ถ้ายังมีแวว สงสัย หรือพยักหน้ากันน้อย ก็เสริมเรื่องเพื่อยืนยัน ) “ดังนั้น คนเป็นพุทธ ที่เข้าถึงธรรมก็ต้องไม่ทุกข์ หรือทุกข์กันน้อยมาก แล้วพวกเรายังมีความทุกข์กันอยู่ ใช่ไหมครับ (หยุดเพื่อรอ แล้วค่อยพูดต่อ) เมื่อก่อน คุณย่าพาผมไปวัด ไปไหว้พระ ไปทำบุญ แต่กลับมาบ้าน ผมก็ยังทุกข์ โตมาถึงได้รู้ว่าวิธีพ้นทุกข์ เขาทำกันอย่างไร” (เว้นจังหวะเพื่อ ให้ สงสัย) .... (จังหวะนี้ อาจใช้เทคนิค การสร้างความร่วมมือ )........ “ เอ้า สมมุติว่า ความทุกข์แบบสุดๆเท่ากับ 10 ทุกข์น้อยๆเท่ากับ 0 ลองมาสำรวจระดับความทุกข์กันหน่อยครับ ........ มีใคร มากกว่า 5 ยกมือหน่อยครับ ......” 43
การพูด โดยใช้จังหวะ หยุดเพื่อให้คิด หยุดเพื่อให้ขำ และปล่อยจังหวะเพื่อดึงระดับความ สนใจ ทำให้ความอยากรู้ของผู้ฟังสูงขึ้น จะทำให้การพูดสนุก มีสีสัน และตัวของวิทยากร ที่ใช้ จังหวะในการพูด จะสนุกไปกับผู้ฟังอีกด้วย เรื่องของการใช้จังหวะ เป็นทักษะ ครับ ไม่มีใครอ่าน ตำราฝึกพูดแล้วกลายเป็นนักพูดที่มี จังหวะ นักพูดที่ใช้จังหวะเก่งๆทุกคน ได้มาจากการฝึกฝนและผ่านเวทีต่างๆมาทั้งนั้น ยิ่งมี ประสบการณ์มากก็จะยิ่งใช้จังหวะเก่ง การเล่าเรื่อง ด้วยจังหวะ จะช่วยสร้างความรู้สึกต่างๆให้ผู้ฟังได้มากเช่น สงสัย สนุก ประหลาดใจ ตลก ซึ้ง ซึ่งอารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นมากน้อยมาจากศิลปะในการใช้เรื่องเล่าและ จังหวะในการเล่า ผู้พูดที่ใช้จังหวะเก่ง จะสามารถดึงผู้ฟังให้ติดตามได้อย่างต่อเนื่องจนแทบไม่มี ใครอยากพักเบรคกันเลย ถ้าพูดดีเล่าเรื่องเก่งผู้ฟังจะลุกไปห้องนำ้ยังต้องกลั้นไว้ เพราะกลัวจะ พลาดตอนสำคัญ นักพูดเก่งๆอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นนิ่วได้นะครับ “ เพราะการพูด เป็นงานศิลปะนี่แหละ มันเลยเป็นของที่ มีค่า มากกว่าการสอน ทั่วๆไป” การพูดที่ดีคือ งานศิลปะ การพูดในที่ชุมชนเป็นงานศิลปะแบบหนึ่งและด้วยความที่ การพูด เป็นงานศิลปะนี่แหละ มันเลยเป็นของที่ มีค่า ถ้าการพูดเป็นแค่การนำเสียงออกมาให้คนฟัง เราก็คงใช้ เครื่องอัดเสียงมาเปิดให้คนฟังก็ พอ แต่แม้กระทั่ง การอัดเสียงให้คนฟังเราก็ยังสามารถใช้ความรู้เรื่องการเล่าเรื่อง และการใช้ จังหวะ ทำให้คลิปเสียงเป็นงานศิลปะได้ ช่วงสี่ห้าปีมานี้ มีคนจำนวนนึงที่ใช้ความรู้เหล่านี้ไปทำPodcast (คลิปเสียงที่ใช้ออกอากาศ เป็นตอนๆ)พูดเรื่องที่ตนเองสนใจและมประโยชน์ต่อผู้ฟัง มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนสามารถ สร้างรายได้จนกลายเป็นอาชีพเพราะรายได้สูงกว่าเงินเดือนจากงานประจำ เพื่อนชาวอเมริกัน ของผมเมื่อก่อนเป็นครูไฟแรง เลยทำรายการสอนภาษาอังกฤษทางpodcast ตอนแรกก็ทำเล่น ตอนนี้ลาออกมาทำ Podcastอย่างเดียว เขาบอกว่ารายได้สูงกว่าเดิมมาก รายการของวันเดียว ทำรายได้มากกว่าเงินเดือนทั้งเดือน อาชีพใหม่อย่าง podcasterนี้ คือผู้สร้างรายการของตนเอง ทางpodcast มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และทำรายได้สูงแบบก้าวกระโดด หลายคนสามารถทำราย ได้สูงมาก podcast บางรายการ ทำกันเป็นทีม ม4ีน4ักกลยุทธ์เนื้อหา (content strategist ) นักเล่า
เรื่อง นักเทคโนโลยีด้านสื่อและนักการตลาดดิจิตอล ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ที่สำคัญคือมีเวลา ใช้ชีวิตอิสระต่างจากการเป็นคนทำงานรับเงินเดือนมาก แต่คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้คือผู้ที่ รู้จักนำความรู้และเทคนิคต่างๆไปใช้ เช่นการตั้งชื่อตอน ( Episode) การทักทาย การเล่าเรื่อง การสร้างเสียงหัวเราะรวมทั้งการใส่เสียงประกอบอย่างมีทั้งเทคนิค และศิลปะ จังหวะของการพูด ส่งผลให้ การพูดของเราดี น่าสนใจ หรือ ทำให้ไม่มีใครอยากฟัง และถ้า พูดถึงจังหวะการพูดแล้วเรื่องที่ต้องมาคู่กันเลยคือ ระดับเสียง การพูดโดยใช้จังหวะและระดับ เสียงอย่างเหมาะสม เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของการพูดที่มีคุณภาพ นักพูดเก่งๆคือนักพูดที่ ใช้ จังหวะและระดับความดังที่กลมกลืนแบบผู้ฟังไม่รู้ตัว ครั้งนึง ในงานรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เรื่องพระราชบัญญัติ การศึกษา มีผู้เข้าร่วม แสดงความคิดเห็น ต่อแถวกันมาพูดที่ไมค์ ซึ่งตั้งไว้กลางห้องประชุม คนร่วมฟังประมาณ 400- “podcasterมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และสามารถสร้างรายได้ แบบก้าวกระโดดจากการทำpodcast ” 500 คน พอถึงคิวผู้บริหารท่านนึง ออกมาแสดงความคิดเห็น ท่านคว้าไมค์ได้เท่านั้น ทุกคนตะลึง เพราะท่านพูดแสดงความคิดเห็นเรื่องธรรมดาๆไม่น่าจะต้องใช้เสียงดัง แต่ท่านพูดด้วยเสียงที่ดัง มากๆ เหมือนตะโกน ท่านอาจจะคิดว่าถ้าตะโกนแล้ว ความคิดเห็นของท่านจะมีนำ้หนัก น่าเชื่อถือ หรือจะทำให้มีคนสนใจฟัง ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ใช่หลักของการพูดให้คนเชื่อเลย หรือเพราะท่านติดนิสัยยืนพูดหน้าเสาธง อันนี้ ผมไม่แน่ใจนะครับ แต่ที่แน่ๆสิ่งที่ตามมาคือ ไม่มีใครอยากฟังเนื้อความจากเสียงตะโกน ต่างหันมามองหน้ากัน แบบงงๆว่ามีอะไรเกิดขึ้น ท่านไปโกรธอะไรมา แทนที่ผู้ฟังจะได้ฟังเนื้อหาของท่าน ผู้ฟังกลับรู้สึก ว่าถูกรบกวน เพราะเสียงที่ดังเกินไป แบบนี้ ฝรั่งไม่เรียกว่า sound แต่มันคือ noise การควบคุมระดับความดังของเสียงเป็นเทคนิคอย่างนึงที่สำคัญ นักพูดจะใช้เสียงดัง ค่อย เพื่อดึงความสนใจหรือเน้นจังหวะได้ การพูดเบา ทำให้คนต้องใช้ความพยายามในการฟัง บางครั้งนักพูดลดระดับเสียงลงมาจน ห้องบรรยายเงียบกริบเพื่อเรียกความสนใจ หรือเพื่อสร้างบรรยากาศ 45
การใช้ระดับเสียงทั้งเบาและดังสามารถดึงความสนใจได้ทั้งสองแบบขึ้นอยู่กับจังหวะใน การพูด แต่ที่เราต้องระวังมากคือ การพูดด้วยระดับเสียงเท่าๆกันเป็นระยะเวลานานๆ เพราะการทำ เช่นนี้จะทำให้ผู้ฟังสงบมาก เหมาะสำหรับ การฝึกสมาธิมากกว่าการฟังบรรยาย เราควรฝึกใช้เทคนิคของ จังหวะการพูด และ เล่นกับระดับเสียง เบาและ ดัง ตามเนื้อหา นำ ไปใช้แล้วจะติดใจ เพราะเป็นการพูดที่ทำให้ผู้ฟังเพลินครับ ใครมีลูกหลานหรือลูกศิษย์ตัวเล็กๆ ลองนำจังหวะและระดับความดัง ไปเล่านิทาน แล้วดูผล ก็ได้ครับ ผมเชื่อว่าจะเป็นนิทานที่ สนุกและมีสีสันมาก “ แต่ที่เราต้องระวังมากคือ การพูดด้วยระดับเสียงเท่าๆกัน เป็นระยะเวลานานๆ เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้ผู้ฟังสงบ มาก เหมาะสำหรับ การฝึกสมาธิมากกว่าการฟังบรรยาย ” 46
10 INNER อินเนอร์(inner) มันก็คือความรู้สึก ( Feeling )ความปรารถนา หลงไหล(Passion ) ของนักพูด นักเขียนรวมทั้งนักสื่อสารอื่นๆซึ่งเป็นเหมือนแหล่งพลังงานที่มีอยู่ในตัวเองและจะปลดปล่อยออก มาทางคำพูด น้ำเสียง ท่าทาง อาการ และสายตา ทั้งหมดนั้นสามารถบ่งบอกถึงInner ของพวก เขาได้ 47
การเป็นนักพูดที่จะประสบความสำเร็จจึงต้องมี Inner คือต้องมีอารมณ์ มีความรู้สึก มีความ เชื่อหรืออุดมการณ์ ถ้าการพูดคือ เพลง เนื้อหาในการพูด คือเนื้อร้อง อารมณ์ นี่แหละครับ เป็นเหมือนทำนองของ เพลง ถ้าเราพูดโดยไร้ ความรู้สึก คือไม่มีอารมณ์ มันก็เหมือน ร้องเพลงโดย ไม่มีทำนอง แค่นึกถึงการพูดที่ไม่มีอินเนอร์ เราก็รู้สึกได้ถึงความจืดแบบสุดๆเลยนะครับ การพูดไม่ใช่เป็นเพียงแค่การถ่ายทอดเสียง แต่มันเป็นการส่งต่ออีกเรื่องที่สำคัญมากนั่นคือ อารมณ์ อารมณ์ของผู้พูดจะสร้างความรู้สึกให้ผู้ฟังได้เสมอ ดังนั้นถึงแม้ว่าเราจะพูดด้วยเนื้อหาที่ น่าสนใจแต่ถ้าขาดอารมณ์สิ่งที่ตามมาคือความเบื่อของผู้ฟัง ลองนึกดูภาพนี้นะครับ วิทยากรเดินเข้าห้องบรรยายมาแบบเฉื่อยๆ แล้วก็ขึ้นไปบนเวที นั่ง ลงไปจมอยู่กับกองไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม บนโต๊ะวิทยากร(บางงานเยอะ ขนาดบังหน้าตาผู้บรรยาย) สภาพทางภูมิศาสตร์ เหมือนอยู่ห่างไกลผู้ฟังมาก ทั้งระดับความสูง และความไกล หลังจากนั้นท่านก็เปิดPresentationที่เต็มไปด้วยข้อความ แล้วก็นั่งบรรยายเรื่องที่ เตรียมมาอย่างดี เหมือนศาสดาที่พรำ่สอนผู้ฟังด้วยนำ้เสียงแบบโมโนโทน เป็นบรรยากาศที่ขลังมากครับ การพูดแบบนี้จะสะกดผู้ฟังได้ คือผู้ฟังนั่งนิ่ง จะไม่ลุกไปไหนเลย ไม่ใช่เพราะอินกับการ บรรยายนะครับ แต่เพราะจะค่อยๆทยอยหลับกันไป โดยเฉพาะถ้าเป็นการพูดภาคบ่าย หลัง อาหารเต็มท้องนี่ยิ่งต้องระวังกันเป็นพิเศษ ผมเคยสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษาท่านนึง เมื่อเกษียณจากราชการแล้วก็อยากทำ ประโยชน์เพื่อลูกหลาน เลยไปสมัครเป็นผู้แทนราษฎร ด้วยความที่เป็นคนที่มีความรู้เยอะ ประสบการณ์ล้นและเป็นผู้มีอุดมการณ์สูงจึงทำให้คน มากมายฝากความหวังไว้กับท่าน ผมเคยเชิญท่านมาพูดคุยเรื่องการศึกษา เพื่อเผยแพร่แนวคิดให้คนทั่วไปได้ฟังกัน ท่านที ครบทุกอย่าง เสียอย่างเดียวครับคือเวลาท่านให้สัมภาษณ์ เหมือนท่านกำลังบ่นให้เราฟัง ผมต้อง บอกท่านตรงๆว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์รู้สึกเดือดร้อนเรื่องความห่วยของการศึกษาใช่ไหมครับ” “อาจารย์ถึง ต้องมาอุทิศเวลาเพื่อบ้านเมืองใช่ไหมครับ” ท่านก็บอกว่า “แน่นอน มันแย่มาก” แล้วผมก็เริ่มให้คำแนะนำ เพื่อช่วยให้ท่านได้ปลดปล่อยพลังซึ่งจะช่วยให้ท่านพูดอย่างมี อารมณ์ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกและอุดมการณ์สู่ผู้ฟังได้ 48
“แต่ เวลาอาจารย์พูดมันไม่มีอารมณ์ ของคนที่เดืดร้อนเลยครับ แล้วผู้ฟังเขาจะรู้สึกเดือด ร้อนได้อย่างไร” จากนั้นผมก็เริ่มใหม่โดยใช้วิธีโต้เถียงกับท่าน คือทำตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม ท่านคิดอะไร ผม จะค้านหมดทุกเรื่อง แล้วถกเถียงกัน สร้างบรรยากาศการโต้แย้ง วิธีนี้ค่อนข้างได้ผลครับ ท่านเริ่ม มีอารมณ์ จากนั้นเราเริ่มอัดรายการใหม่ในขณะที่ท่านมีความรู้สึก วิธีนี้ทำให้คำพูดออกมามี พลัง เพราะเป็นการพูดที่มีอารมณ์ ตอนนี้กำลังรอลุ้นท่านพูดอภิปรายในสภาว่าจะเป็นอย่างไร การให้ข้อมูลโดยไร้ความรู้สึก มันก็เหมือนการเอาเพลงมาอ่านให้คนฟังน่ะครับ แล้วจะหวังให้ผู้ฟัง ร้องตามได้อย่างไร “ถ้าเราเชื่อสุดใจแล้วอารมณ์นั้นจะถ่ายทอดออกมาเอง” ครั้งหนึ่งในงานบรรยายเรื่อง การพูดให้คนเชื่อ หลังจากเล่าถึงเทคนิค วิธีต่างๆจบ ก็มีผู้ฟัง ถามว่า ถ้าเราพูดโดยใช้หลักการนี้ พูดเรื่องที่เราเองก็ยังไม่ได้เชื่อเต็มที่ เราจะทำให้คนอื่นเชื่อได้ ไหม เช่น พูดเรื่องพระเยซูและชีวิตหลังตาย ทั้งๆที่เราเองก็ยังไม่มั่นใจ พูดเรื่องความสุจริต ทั้งๆที่เราเองก็ยังไม่สุจริตเท่าไร พูดเรื่อง ความมีนำ้ใจ ทั้งๆที่เราเองก็เป็นพวกสายโหดไร้นำ้ใจ ถึงแม้เราจะนำหลักการพูดเพื่อให้คนเชื่อมาหาข้อมูล วางPlot และมีงานวิจัยรองรับ มี ตัวอย่างชัดเจน แต่ก็จะทำให้คนเชื่อได้ระดับนึงเท่านั้น เพราะ การพูดแบบนี้เป็นการพูดที่ขาด Inner คือเราไม่ได้พูดมาจากพลังภายในของตัวเรา การพูดที่จะได้ผลเต็มที่ ผู้พูดต้องเชื่อเช่นนั้นแบบสุดจิตสุดใจ ถ้าเราเชื่อสุดใจแล้วอารมณ์นั้นจะถ่ายทอดออกมา 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156