อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๙๕ ๕.๒๓ ไมค่ วรตําหนขิ ณะให้คาํ แนะนาํ ๕.๒๔ ตอ้ งวเิ คราะหค์ วามแตกตา่ งที่เกิดข้นึ ตลอดเวลา ๕.๒๕ ต้องไมต่ ัง้ คําถามรุกต่อผรู้ ับคําแนะนาํ ๕.๒๖ ต้องไม่ยึดมั่นว่าปัญหาอย่างเดียวกันต้องแนะนําอย่างเดียวกัน และมิได้หมายความว่าห้ามแนะนําอย่าง เดยี วกนั ๕.๒๗ อนุศาสนาจารย์ต้องตระหนักเสมอว่า ตนไม่ใช่ผู้พิพากษาที่จะตัดสินผู้ที่รับคําแนะนํา ว่าดีหรือช่ัว ผิดหรือ ถูก แตค่ วรถือวา่ เป็นผรู้ ่วมวางแผนปฏิบัติ บางสง่ิ บางอยา่ ง เม่อื คุน้ เคยนบั ถอื กันแล้วอาจพดู กนั ตรงไปตรงมา ๕.๒๘ พึงกระต้นุ ใหเ้ ขาคน้ พบความสามารถในตัวเขาเอง ๕.๒๙ ความสาํ เรจ็ แห่งการปฏบิ ตั ิการรว่ มกัน ต้องเป็นของผู้รบั คําแนะนาํ มิใช่เป็นของอนุศาสนาจารย์ ๕.๓๐ การใหค้ าํ แนะนาํ โดยปกตกิ ระทําหลายครง้ั ต่อหน่งึ กรณี ปจั จัยเวลาจึงเปน็ เรือ่ งสําคัญ ทั้งอนศุ าสนาจารยย์ ังต้องพะรุงพะรังอยกู่ ับพิธตี ่างๆ ซง่ึ แม้ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทีส่ าํ คญั ทส่ี ดุ แตก่ เ็ ป็นส่งิ ทล่ี ะทงิ้ ไปไม่ได้
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๙๖ งานดา้ นศาสนาและพธิ ีการ ๑. งานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับศาสนาและพธิ กี ารต่างๆ อนุศาสนาจารย์ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในงานด้านศาสนาและพิธีการต่างๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่าง ถกู ตอ้ ง และสามารถปฏิบัติได้อย่างดี งานดังกล่าวนี้จะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วย ตลอดจนระเบียบคําสั่งที่ หน่วยเหนือได้กําหนดไว้และสามารถปรับให้เกิดความเหมาะสมกับกลุ่มหรือชุมชน, สภาวการณ์หรือสภาพแวดล้อมของแต่ละ พื้นที่ทห่ี นว่ ยตงั้ อยู่ ๒. ลักษณะการปฏิบตั ิพิธีของอนศุ าสนาจารย์ ก. งานพิธีของหน่วย อนุศาสนาจารย์จะต้องให้ข้อเสนอแนะท่ีถูกต้องเหมาะสมกับงานพิธีของหน่วยในระดับ ต่างๆ และสามารถเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพิธีกรได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งสามารถจัดบุคคลเข้าร่วมในการปฏิบัติได้อย่าง เหมาะสมด้วย ข. งานพิธีของกําลังพลเป็นรายบุคคล ในฐานะท่ีอนุศาสนาจารย์เป็นผู้นําด้านจิตวิญญาณของกําลังพลใน กองทัพ การช่วยปฏิบัติพิธีต่างๆ ให้กําลังพล จึงเป็นการเสริมสร้างขวัญและกําลังใจได้อย่างดี ดังน้ัน อนุศาสนาจารย์ จะตอ้ งว่างเสมอสาํ หรบั งานในดา้ นนี้ ค. งานพิธีของญาติของกําลังพล สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น ความสุขทุกข์ของญาติ ย่อมมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของกําลังพลอย่างมาก อนุศาสนาจารย์จึงต้องหาช่องทางเข้าร่วมกิจกรรมกับบุคคลเหล่าน้ัน โดยเฉพาะงานทเ่ี กีย่ วกบั พิธีการทางดา้ นศาสนา ด้วยการให้ข้อแนะนาํ และปฏิบตั ิพิธีด้วยตนเอง ง. งานพิธขี องหนว่ ยงานหรอื ชมุ ชนอืน่ ๆ กองทัพจะสามารถปฏิบัตภิ ารกจิ ตา่ งๆ บรรลุจดุ ประสงคไ์ ด้น้นั จําต้องอาศัยความรว่ มมือ กับหน่วยงานหรือชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงด้วย อนุศาสนาจารย์เป็นผู้หน่ึงที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ และความรู้สึกท่ีดีต่อกัน ระหว่างกองทัพกับประชาชน ดังนั้น อนุศาสนาจารย์จึงพร้อมเสมอท่ีจะเป็นผู้แทนหน่วย ในการสร้างสัมพันธ์กับหน่วยงานหรือ ชมุ ชนนอกหน่วยในกจิ การด้านศาสนาและพิธกี ารทนั ทที ีม่ กี ารรอ้ งขอจากหนว่ ยงานหรือชุมชนนั้นๆ ๓. งานพธิ ที ีอ่ นศุ าสนาจารยป์ ฏิบัติ ๓.๑ งานพิธีของหน่วยทหาร ก. พิธีกระทําสตั ย์ปฏญิ าณตนต่อธงชยั เฉลิมพล ข. พิธวี ันสถาปนาหน่วย ค. พิธใี นวันสาํ คัญทางศาสนา ง. พธิ สี งกรานต์ จ. พิธแี สดงตนเป็นพุทธมามกะ ฉ. พิธไี หว้ครู ช. พธิ เี ปดิ - ปิดการศึกษา ซ. พิธปี ระดบั ยศ ฌ. พิธขี อขมาลาอุปสมบท ญ. พิธไี หว้พระสวดมนต,์ ปฏิบตั ธิ รรม ฎ. พิธถี วายกฐิน, ผา้ ปา่ , สังฆทาน ฏ. พิธสี ักการะส่งิ ศักดิ์สทิ ธปิ์ ระจําหน่วย
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๙๗ ฐ. พิธอี ําลาชีวติ ราชการ ฑ. พิธีพุทธาภเิ ษก, พิธีหล่อพระ ฒ. พิธีศพทหาร ณ. พิธีมงคลสมรส ๓.๒ งานพธิ ที ่ัวไป ก. การต้ังชอื่ ข. พธิ ที ําบญุ อายุ ค. พธิ ที ําบญุ สะเดาะเคราะห์ ง. พิธวี างศิลาฤกษ,์ พิธียกเสาเอก จ. พิธีทาํ บญุ ฉลองยศ, ฉลองเครื่องราชอสิ รยิ าภรณ์ ฉ. พิธีเปดิ อาคารสํานกั งาน ช. พธิ ีโกนจกุ ซ. พิธที ําบญุ ตกั บาตร ฌ. พธิ ผี ูกพัทธสีมา ญ. พิธยี กช่อฟ้า ฎ. พธิ ีฉลองพระพทุ ธรปู ฏ. พิธลี อยกระทง ------------------------
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๙๘ บทท่ี ๖ การปฏสิ ัมพนั ธก์ ับศาสนาอ่นื ๑. กลา่ วท่วั ไป รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ไดบ้ ัญญตั ิหลักการเก่ยี วกบั สิทธแิ ละเสรภี าพในการนับ ถอื ศาสนาของชนชาวไทยไวใ้ นมาตรา ๓๘ ความวา่ “บคุ คลยอ่ มมเี สรภี าพบรบิ ูรณ์ในการถือศาสนา นกิ ายของศาสนา หรอื ลัทธนิ ิยมในทางศาสนา และยอ่ มมีเสรีภาพในการปฏิบัตติ ามศาสนบญั ญตั หิ รอื ปฏบิ ตั ิพธิ ีกรรมตามความเชื่อถือของตนเมือ่ ไม่ เป็นปฏปิ ักษ์ต่อหน้าท่ขี องพลเมืองและไมเ่ ป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรอื ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทําการใดๆ อันเป็นการรอน สิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนาหรือปฏิบัติตามศาสน บญั ญตั ิหรอื ปฏิบัติพธิ ีกรรมตามความเช่ือถอื แตกตา่ งจากบุคคลอนื่ ” เสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาหรือความเช่ือ ในที่น้ีนั้นหมายรวมถึงเสรีภาพในการยึดมั่นศรัทธาหรือมีความ เช่ือที่แตกต่างจากบุคคลอื่นในหลักการทางศาสนาหรือความเชื่อใดๆ หรือเสรีภาพท่ีจะไม่นับถือศาสนาใดๆ เสรีภาพในการ นับถือศาสนาจําเป็นต้องมีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา สิทธิที่จะคงไว้ในความเชื่อถือศรัทธา จึงไม่มีบุคคลใดที่จะถูก บังคับให้เป็นที่เส่ือมเสียแก่เสรีภาพในการเลือกถือศาสนาด้วยมาตรการใดๆ หรือให้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งไม่ว่าโดย ทางตรงหรือทางออ้ ม เสรีภาพในการนับถือศาสนาในประเทศไทย มีลักษณะเช่นเดียวกันกับเสรีภาพในเร่ืองอ่ืนๆ ตามที่บทบัญญัติของ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติรับรองไว้ กล่าวคือ เสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยเน้ือหาของการใช้เสรีภาพแล้ว เป็นเสรีภาพที่สมบูรณ์และไม่อนุญาตให้มีการจํากัดใดๆ ได้เลย รัฐหรือหน่วยงานของรัฐไม่มีอํานาจแทรกแซงเสรีภาพในการ ถอื ศาสนา รัฐธรรมนูญฉบบั ปัจจุบันได้บัญญัติขยายความหมายเสรีภาพในศาสนาในรัฐธรรมนูญให้มีรายละเอียดชัดเจนขึ้น ส่งผลให้รัฐต้องอํานวยประโยชน์ให้บุคคลได้รับประโยชน์สมดังสิทธิท่ีได้รับรองไว้ และหลักการอีกประการหน่ึงคือ การใช้ เสรีภาพจะต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชนด้วย หากมกี ารใช้เสรีภาพท่ี ไม่ชอบย่อมจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังได้วาง หลักไว้ว่าบุคคล จะไม่นับถือศาสนาใดๆ เลยก็ได้ รัฐจะบังคับให้ราษฎรนับถือศาสนาใดศาสนาหน่ึงก็ไม่ได้ และยังได้วาง หลกั ประกนั ความเปน็ ธรรมต่อบุคคลท่ีจะไม่ถกู เลือกปฏิบตั ิอยา่ งได้เปรียบหรือเสียเปรียบอันเน่ืองมาจากความเช่ือทางศาสนา ของตน โดยตัง้ อยู่บนหลกั การพื้นฐานสองประการ คอื ประการแรก เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นสิทธิธรรมชาติจะล่วงละเมิดไม่ได้ และเป็นสิทธิศักดิ์สิทธิ์ของ มนษุ ย์ทกุ คนต้องใหก้ ารรับรองและคุม้ ครอง ประการท่ีสอง เป็นหลักความจริงว่าเสรีภาพในศาสนาไม่มีใครจะใช้เสรีภาพอยู่เหนือผู้อื่น ทุกคนมีสิทธิและ หน้าท่ีเท่าเทียมกัน โดยรัฐจะต้องทําหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของสังคมโดยรวม ถึงต้องเข้ามาจัดระเบียบการใช้เสรีภาพ ในทางศาสนาของประชาชนและป้องกันไม่ให้การใช้เสรีภาพของประชาชนคนหน่ึงกระทบกระเทือนต่อเสรีภาพของผู้อ่ืน โดย รัฐจะไปจํากัดหรือแทรกแซงเสรีภาพในศาสนาของประชาชนจนเกินขอบเขตจากเง่ือนไขที่กําหนดไว้ไม่ได้ หากแต่จะต้อง กําหนดไว้ให้ชัดเจน เน่ืองจากเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนามีบทบาทสําคัญทางสังคม การจัดระเบียบความสงบ เรียบร้อยของประชาชนและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จึงเป็นส่ิงสําคัญที่รัฐจะช่วยให้เกิดความเข้าใจกันระหว่างศาสนา หาก ไมไ่ ด้รับความใส่ใจจากภาครัฐแลว้ ปัญหาดังกลา่ วอาจจะทาํ ให้เกิดข้อขัดแยง้ ระหวา่ งศาสนาได้
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๙๙ กองทัพบกได้ตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาของกําลังพล และเปิดโอกาสให้กําลังพลที่นับถือ ศาสนาน้นั ๆ ได้ปฏบิ ัติศาสนกจิ ตามหลักศาสนาของตนอยา่ งเท่าเทยี มเสมอกัน อนุศาสนาจารย์ มีหน้าท่ีโดยตรงในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติการ อํานวยการเกี่ยวกับการศาสนา และให้คําแนะนําแก่ ผู้บงั คับบัญชา ในปญั หาทง้ั ปวงเกยี่ วกบั ศาสนาและขวญั ซึ่งต้องปฏิบตั ิการเกีย่ วกบั การบรกิ ารทางศาสนา และวางโครงการให้ ทหารมีโอกาสได้ปฏิบัติศาสนกิจ ทั้งนี้รวมท้ังการอํานวยการให้ทหารที่นับถือศาสนาต่างๆ ได้ปฏิบัติศาสนกิจตามหลัก ศาสนาของตน ๒. การปฏบิ ัตศิ าสนกจิ ประจาํ วันของทหารมสุ ลมิ เน่ืองด้วยประชาชนส่วนมากในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นับถือศาสนาอิสลาม ผู้ที่เข้ามารับราชการทหาร สมควรได้รับการช่วยเหลือให้ได้ประกอบพิธีไหว้พระสวดมนต์ประจําวัน ตามประเพณีนิยมในศาสนาของตน เพราะฉะนั้น หน่วยในกองทัพบก โดยเฉพาะหน่วยในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงได้จัดให้ทหารมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจประจําวันน้ัน โดย ปฏิบัติตามคําส่ัง ทบ. (คําสั่งชี้แจง) ที่ ๑๓/๘๑๗๓ เรื่อง การไหว้พระสวดมนต์ประจําวันของทหารมุสลิม ลง ๑๔ เม.ย. ๐๑ ดังนี้ ๒.๑ หนว่ ยใดมีทหารมุสลิมจํานวนมากก็ให้ทหารมุสลิมแยกไหว้พระสวดมนต์ประจําวันต่างหาก และเพ่ือความ เป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยและถูกต้องตามประเพณีของศาสนาอิสลามให้ปฏบิ ัติดงั นี้ ๒.๑.๑ จดั ให้มหี อ้ งทาํ ละหมาดของทหารมุสลิม โดยกําหนดเอาห้องใดห้องหนึ่ง ในโรงที่อยู่ของทหาร หรือ สถานทีต่ ามสมควร และจดั ให้มีลกั ษณะดงั นี้ - สะอาดปราศจากส่ิงโสโครก - ไม่ประดษิ ฐานรูปเคารพใดๆ - ถ้าจะประดบั ดว้ ยภาพอักษรคตธิ รรมมุสลิมตามความเหมาะสมกไ็ ด้ - มีแผน่ ป้ายบอกว่า “ ห้องละหมาดทหารมสุ ลมิ ” ๒.๑.๒ เมื่อถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ของทหารประจําวัน ซึ่งโดยปกติเวลา ๒๐๓๐ ตรงกับเวลา ละหมาดอิซาร์ของมุสลิม ให้บรรดาทหารมุสลิมเข้าไปทําละหมาด (ละหมาดอิซาร์) ในห้องละหมาดทหารอิสลาม แทนการ ไหว้พระสวดมนต์ตามระเบยี บการไหวพ้ ระสวดมนตข์ องทหารท่ีปฏิบตั ิอยูก่ ่อน ๒.๑.๓ การไหว้พระสวดมนต์ประจาํ วนั ของทหารมสุ ลิม ใหก้ ระทาํ ตามลําดบั ดงั น้ี - ทหารละหมาดตามลาํ พงั - กล่าวบทปลงใจ - รอ้ งเพลงชาติ - ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ๒.๒ พิธที าํ ละหมาด พระบัญญตั ิของศาสนาอิสลาม กําหนดใหม้ สุ ลมิ ทําละหมาดวนั ละ ๕ ครัง้ (อสั - ซอละฮ์) แตล่ ะครัง้ ตอ้ งกระทํา ภายในเวลาที่กําหนดไว้ในพระคัมภีร์กุระอาน ละหมาด ๕ คร้ังนั้น เฉพาะครั้งสุดท้ายของวันเรียกว่า ละหมาด อิซาร์ กําหนดให้ทําในระหว่างเวลาตั้งแต่สิ้นแสงดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า จนเห็นแสงทองจับขอบฟ้าในวันใหม่ โดยปกติแล้ว การ ทําละหมาดแต่ละคร้ังใช้เวลาเพียงเล็กน้อย และทําตามลําพัง ณ ท่ีอยู่ของตน ผู้ทํายืนบ่ายหน้าไปทางทิศ กิบลัด คือทิศท่ีต้ัง วิหาร กาบะห์ นครมกั กะห์ ประเทศซาอดุ ิอาระเบีย
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๐๐ เม่ือมีสัญญาณให้ทหารมุสลิมประชุมไหว้พระสวดมนต์ประจําวัน ซึ่งตามปกติตรงกับเวลาละหมาดอิซาร์ของ มสุ ลมิ อยแู่ ล้ว ใหท้ หารมสุ ลมิ รบี เขา้ ประชุมในห้องละหมาดแล้วปฏิบัติดังต่อไปนี้ ๑. เมอ่ื เข้าไปในห้องละหมาดแล้ว ต้องสํารวมกิริยาวาจารําลึกถึงองค์พระอัลเลาะห์ ทําละหมาดอิซาร์ตาม ลัทธศิ าสนาของตนโดยต่างคนตา่ งทํา ผ้ใู ดทาํ เสร็จแล้วใหร้ ออยกู่ อ่ น จนกวา่ คนอ่ืนจะทําละหมาดเสรจ็ ๒. กล่าวบทปลงใจ ผเู้ ปน็ หัวหน้าบอกทหารใหอ้ ยู่ในท่าตรงแล้วว่านาํ กล่าวบทปลงใจ ทั้งหมดว่าตาม โดยใช้เสียงให้ หนกั แนน่ แต่มิใช่ตะโกนดว้ ยความคะนอง การนําใหน้ ําเป็นบทๆ ดังน้ี “ ชาติของเรา, เป็นไทยอยู่ได้, จนถึงตัวเราคนหน่ึงนี้, เพราะบรรพบุรุษของเรา, เอาเลือด, เอาเนื้อ, เอาชีวิต, และความลําบากยากเขญ็ เข้าแลกไว้, เราตอ้ งรกั ษาชาติ, เราต้องบาํ รงุ ชาต,ิ เราตอ้ งสละชพี เพอ่ื ชาติ ” ๓. ร้องเพลงชาติ ผเู้ ป็นหัวหนา้ รอ้ งนํา ท้งั หมดร้องรบั แล้วร้องตอ่ ไปจนจบ ๔. ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ผู้เป็นหัวหน้าร้องนํา ทั้งหมดร้องรับ แล้วร้องต่อไปจนจบเม่ือจบเพลง สรรเสรญิ พระบารมแี ลว้ ผู้เป็นหัวหนา้ บอกพกั และเลิกประชมุ ๓. ข้อควรทราบสําหรับการตดิ ต่อประสานงานกบั มสุ ลิม ๓.๑ พิธีทางศาสนา มุสลิมไม่พึงประสงค์ให้คนนอกศาสนาไปแตะต้องพิธีกรรมของเขา พิธีบางอย่างถ้ามีคน นอกศาสนาเข้าไปในบริเวณพธิ ี ขณะกาํ ลังทาํ พิธจี ะทําใหพ้ ิธีเขาเสีย เรยี กวา่ กรรมวิบัติ ๓.๒ การแต่งงาน (วะลมี ะห)์ ตอ้ งทาํ ตามพิธที างศาสนาใหถ้ ูกต้อง คนตา่ งศาสนาไปเปน็ แขกในงานได้ ๓.๓ คัมภีร์อัล-กุระอาน มุสลิมทั้งเคารพท้ังกลัวเกรง ห้ามคนต่างศาสนาแตะต้องเป็นอันขาด แม้มุสลิมเองจะ แตะต้องก็ต้องทําความสะอาดร่างกายก่อน ผู้ท่ีเคร่งแม้เพียงได้ยินเสียงอ่านพระคัมภีร์ ถ้ากําลังเดินก็หยุดรําลึกก่อน การ สาบานตัวต่อพระคมั ภีร์ เปน็ ส่ิงทมี่ ุสลมิ กลวั และตอ้ งสตั ยซ์ ื่อ เม่อื สาบานแล้ว ๓.๔ ท่าเคารพ (สุยูส) มุสลิมต้องทําต่อพระอัลเลาะห์แต่ผู้เดียว จะทําอย่างนั้นหรือท่ีคล้ายๆ กับท่าเคารพน้ัน ตอ่ คนอื่น สิง่ อน่ื หรือแม้แตท่ ําเล่นกไ็ มไ่ ด้ ๓.๕ มสั ยดิ คอื โรงสวด เปน็ นิติบุคคลตามกฎหมาย คนต่างศาสนาจะเข้าไปก็ได้ แต่ต้องอยู่ใน อาการเคารพ ห้าม สวมรองเทา้ เข้าไป ๓.๖ วันศุกร์ เป็นวันพระของมุสลิม จะมีการชุมนุมตามมัสยิด ใช้เวลาทําพิธีราว ๔๐ นาทีระหว่างเที่ยงวันถึง บ่าย ๒ โมง การประชุมดงั กลา่ วต้องมคี น ๔๐ คน จงึ จะครบองค์ ๓.๗ วันตรุษ มีปีละ ๒ คร้ัง คือ ตรุษรายอออกปอซอ ๓ วัน ในเดือนเชาวาล และตรุษ รายอหะยี ๓ วัน ในเดอื น ซลุ ฮจิ ญะห์ มุสลมิ จาํ เป็นอยา่ งยิง่ ตอ้ งไปชมุ นุม ๓.๘ หญิงมสุ ลมิ หญงิ มุสลมิ ต้งั แตอ่ ายุ ๙ ขวบ ขึ้นไป จะถกู ห้ามมใิ หอ้ ยปู่ ะปนกบั ผชู้ าย การ ล่วงเกนิ ทางช้สู าวกับหญิงอิสลาม เป็นการเหยยี บย่ําทําลายจติ ใจมุสลมิ แม้เรอื่ งหยาบโลนทางเมถุน มุสลมิ กร็ ังเกียจ ศาสนาเท่านัน้ จะบงั คับให้หญงิ มุสลมิ เปดิ ผา้ คลมุ ศีรษะ ผอู้ ่ืนไม่ควรทําการบงั คับ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ๓.๙ สุกร - สุรา พระบัญญัติห้ามมิให้มุสลิม กิน หรือ แตะต้องสุกรและสุราเป็นอันขาดการบังคับให้เขากิน หรอื แตะต้องยกย้ายสงิ่ ทงั้ สองนไ้ี ม่ควรทาํ ๓.๑๐ พิธีศพ (การญะนาซะห)์ เม่ือมสุ ลิมตายลง มพี ิธสี ําคัญ ๔ ขอ้ คือ ๓.๑๐.๑ อาบน้ําศพ ชําระศพให้สะอาด อาบน้ําถูให้ทั่ว ๓ ครั้ง ๕ คร้ัง หรือ ๗ คร้ัง โดยเริ่มด้วยนํ้าใบ พทุ รา จบลงดว้ ยนํ้าผสมการบรู
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๐๑ ๓.๑๐.๒ ตราสัง (กาฟ่ัน) ห่อศพด้วยด้วยผ้าขาว ๓ ชั้น ให้ใช้ผ้าราคาถูก มีเสื้อผ้าหน่ึงชุด ให้ศพนอน หงาย ๓.๑๐.๓ การสวดศพ มีการสวดนมสั การโดยญาติของผตู้ าย หรอื อหิ มา่ ม แล้วแต่กรณี ๓.๑๐.๔ การฝังศพ หลุมฝังศพต้องให้ลึก ป้องกันกล่ินและสัตว์คุ้ยเข่ียได้ ให้ศพนอนตะแคงขวา หันหน้า ไปทางมักกะห์ แกเ้ ชือกทีผ่ ูกศพออกกาฟั่นออก ผู้ยกศพลงหลุมควรเปน็ ญาติผู้ตาย ถ้าศพเปน็ หญงิ มสี ามใี หส้ ามีเปน็ ผยู้ กศพ ๔. การปฏิบัตขิ องอนุศาสนาจารย์ในการสนบั สนุนกจิ กรรมของศาสนาอ่นื ๔.๑ อํานวยการให้ทหารท่ีนบั ถือศาสนาอืน่ ได้ปฏิบัติศาสนกจิ ตามหลกั ศาสนาของตน ๔.๒ จัดทําบัญชีทหารแยกตามศาสนา เพื่อสะดวกในการให้คําแนะนํา การนําประกอบศาสนกิจ และการทํา พิธีกรรมทางศาสนา ๔.๓ จัดทําบัญชีทหาร ระบุยศ ชื่อ นามสกุล ภูมิลําเนา ของทหารที่ถือศาสนาส่วนน้อยและแยกตามนิกาย ท้งั น้ี เพ่อื ใหบ้ ริการทางศาสนาไดส้ ะดวกในชีวติ ประจําวนั และแมใ้ นยามทีม่ กี ารสญู เสียกาํ ลังพล ๔.๔ จดั ทําบญั ชี วัด สเุ หร่า โรงสวด สุสาน โบสถ์ ศาสนสถาน และบุคลากรสําคัญของแต่ละศาสนาในพื้นท่ีใกล้ บรเิ วณทตี่ ั้งหนว่ ย เพอ่ื ประสานในการกระทาํ พธิ กี รรมทางศาสนาวฒั นธรรมประเพณี ๔.๕ เสนอความเห็นแก่ผู้บังคับหน่วย ผู้บังคับบัญชา ในเร่ืองการอบรมจริยธรรม การอบรมจิตใจทหาร ขวัญ กําลังใจ วัฒนธรรมประเพณี แก่ทหารที่นับถือศาสนาอื่น ตลอดจนให้ทหารได้มีโอกาสปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาของ ตนและได้รบั การบาํ รงุ รักษาขวญั ตามสมควร ๔.๖ หาโอกาสพบปะเย่ียมทหารทุกศาสนาที่ออกปฏิบัติงานนอกที่ตั้ง ปลุกปลอบบํารุงขวัญและเสริมสร้าง กาํ ลังใจทหารปว่ ยเจบ็ หรือทหารที่ไดร้ บั ความกระทบกระเทือนทางจิตใจเนื่องจากการครํ่าเคร่งในการปฏิบัติหน้าท่ี ให้กลับ มจี ิตใจรกุ รบ อาจหาญ มีพลังใจพร้อม ๔.๗ ศึกษาคําสอน พิธีกรรม ของศาสนาต่างๆ ให้เข้าใจเพ่ือสะดวกในการให้คําแนะนําการนําปฏิบัติพิธีกรรม ทางศาสนาและประเพณี ๔.๘ ประสานกับผนู้ ําศาสนาและผบู้ งั คับบญั ชาในกรณีทหารเสยี ชวี ิต ๔.๙ เป็นพิธีกรกํากบั พธิ กี ารให้ดําเนินไปด้วยความเรียบร้อย เช่น เป็นผอู้ ่านหมายรบั สงั่ , อา่ นสํานึกในพระมหากรุณาธคิ ณุ , อา่ นประวัตแิ ละคาํ ไว้อาลยั ทหารทเ่ี สยี ชวี ติ ฯลฯ ๔.๑๐ กรณีประกอบพิธีศพผู้เสียชีวิตในสนาม ณ วัดหรือศาสนสถานของศาสนาอื่นในพ้ืนที่การดําเนินการพิธี ศพ ในการกล่าวสดดุ วี ีรกรรมขอให้เพม่ิ การกล่าวธรรมสงั เวชทเี่ ขียนโดยอนศุ าสนาจารยเ์ ข้าไปดว้ ย ๔.๑๑ ประสานกับบุคคลและองค์กรของศาสนาต่างๆ ในท้องถิ่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือใน การดําเนินการกิจกรรมทางศาสนาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้อง และถือเป็นการสร้างความสามัคคีของบุคคลในชาติ อกี ดว้ ย
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๐๒ บทที่ ๗ สาํ นึกแห่งอนศุ าสนาจารย์ ๑. สํานึกในการครองตน ครองคน ครองงาน อนุศาสนาจารย์ มีงานและภารกิจหลายอย่างท่ีจะต้องครุ่นคิดและดํารงความสํานึกในใจ เฉพาะที่สําคัญๆ มี ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑.๑ ปจั จยั เวลา มีความสาํ คัญสาํ หรบั การปฏบิ ัติภารกจิ หนา้ ท่ขี องอนศุ าสนาจารย์ ๑.๒ ต้องสามารถปฏิบัติภารกิจหน้าท่ีในเวลาราชการ นอกเวลาราชการ ในวันราชการและวันหยุดราชการ งานทีเ่ หมาะสมทีจ่ ะปฏิบัตนิ อกเวลาราชการได้ เชน่ ๑.๒.๑ การสอนอบรมพลทหาร ๑.๒.๒ การฝึกซอ้ มและการไหวพ้ ระสวดมนตร์ ว่ มกับทหาร ๑.๒.๓ การเย่ยี มพบปะครอบครวั ๑.๒.๔ การตดิ ตอ่ นมิ นตพ์ ระสงฆ์ ๑.๒.๕ การปฏิบัตพิ ิธีของหนว่ ยและของกาํ ลังพลเปน็ ครงั้ คราว ๑.๒.๖ การบันทกึ รายการวิทยุ (กรณบี นั ทกึ ดว้ ยเครือ่ งบันทกึ ของตนเอง) ๑.๒.๗ การค้นควา้ เตรยี มการ ศกึ ษาฝกึ ฝนตนอยเู่ สมอ ๑.๒.๘ การวางแผนเพื่อจะไปพบปะปรึกษาหารือกับผู้บังคับหน่วยของกําลังพลท่ีมีปัญหา (ถ้าจําเป็น ) เพื่อดําเนินการแก้ปญั หารว่ มกนั ๑.๒.๙ การวางแผนพิจารณาหาเหตุผลประกอบอ่ืนๆ ในการที่จะแก้ปัญหากําลังพลท่ีมีปัญหา ว่าควรจะ ดําเนินการอยา่ งไร เมือ่ ใด ๑.๓ อนุศาสนาจารย์พึงตระหนักว่า ตนเป็นมิตรกับกําลังพลที่มีปัญหาได้ทุกประเภท คือ เป็นมิตรผู้แนะ ประโยชน์ โดยไมแ่ สดงอาการรงั เกียจดว้ ยประการใดๆ ๑.๔ กําลังพลบางนายคบกบั คนอื่น เข้ากบั ผู้อน่ื ไมไ่ ด้ มีแต่ผู้รังเกียจและตําหนิ แม้ผู้เช่นน้ี อนุศาสนาจารย์ต้อง มีจิตเมตตา และมกี รุณาจติ ตามหลกั พรหมวิหาร ด้วยวิธีหาโอกาสพบปะเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัวทั้งที่บ้าน หรือสถานท่ีตาม ความเหมาะสม ดว้ ยวธิ ีการเช่นนี้ มคี วามเปน็ ไปได้ทจี่ ะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกําลงั พลผู้นนั้ ในทางบวก ๑.๕ ต้องถือเป็นเร่ืองสําคัญที่จะรักษาความลับของกําลังพลและครอบครัวซึ่งมีปัญหา โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน ประเด็นท่ไี มค่ วรเปิดเผย ซึง่ ลอ่ แหลมทจี่ ะก่อใหเ้ กดิ ความเสื่อมเสีย ๑.๖ อนุศาสนาจารย์ต้องฝกึ ฝนบําเพ็ญจติ ภาวนาเป็นการส่วนตัวทกุ วนั เพ่อื ดาํ รงเสถยี รภาพ ความเป็นอนุศาสนาจารย์และรักษาพลงั ใจในตนใหม้ คี วามมนั่ คงหนักแน่น ๑.๗ ต้องมีวินัยเป็นแบบอย่างของทหาร และมีความเคารพเช่ือฟังอนุศาสนาจารย์ท่ีอาวุโสกว่า ตามสายการบังคับ บัญชา และคณะกรรมการอนุศาสนาจารยอ์ ย่างเคร่งครัด ๑.๘ ในกรณีไม่สามารถดํารงอยใู่ นภาวะของอนศุ าสนาจารยไ์ ด้ ต้องมคี วามตระหนักในระบบ เกียรติยศด้วยตนเอง โดยการปฏิบัติต่อคําสัตย์ปฏิญาณท่ีให้ไว้ต่อคณะอนุศาสนาจารย์เป็นลายลักษณ์- อักษร ถ้าให้ คณะกรรมการอนุศาสนาจารยเ์ ป็นผ้ดู ําเนนิ การให้อาจเกิดความเสียหายแก่อนุศาสนาจารย์ผ้นู ้ัน ๑.๙ ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า กําลังพลและครอบครัวภายในหน่วย มีทรรศนะต่ออนุศาสนาจารย์ว่าเป็นผู้เป็น แบบอย่างทางศีลธรรมจรรยา หากอนุศาสนาจารย์ประพฤติบกพร่องในส่วนน้ี จะมีผลกระทบต่อการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรม
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๐๓ การปฏิบัติพิธี การให้คําแนะนําเป็นอย่างมาก คือมากกว่ากําลังพลอื่นๆ ท่ีปฏิบัติบกพร่องในเรื่องเดียวกัน และจะนําไปสู่การ คลายศรัทธา ๑.๑๐ ต้องมีอัธยาศัยขยัน แสดงความกระตือรือร้นท่ีจะทํางานและมีความเอ้ือเฟ้ือต่องานอยู่เสมอ เพราะการ เกียจครา้ นทําการงานเป็นอบายมุขข้อหนงึ่ ในจํานวนหลาย ๆ ขอ้ ๒. วนิ ยั หรือจรรยาบรรณของอนศุ าสนาจารย์ อนุศาสนาจารย์ใหม่ทุกนาย เมื่อบรรจุเข้ารับราชการในตําแหน่งอนุศาสนาจารย์แล้ว จะต้องเข้าสู่พิธีรับเข้าหมู่ คณะของอนุศาสนาจารยท์ หารบก ในคราวอบรมเพิ่มเตมิ ความรปู้ ระจาํ ปี สายวทิ ยาการ อศจ.ทบ. โดยมพี ธิ ีการดังนี้ เวลา ................ - ผรู้ ่วมพิธพี รอ้ ม - อศจ.ใหม่ เขา้ ประจาํ จุดสาํ หรับประกอบพิธี ................ - ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.เดินทางถึงห้องประชมุ พระพทุ ธสิงห์ชยั มงคล - หน.กาํ ลังพลฯ บอกแสดงความเคารพ - ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.จดุ ธปู เทียนบูชาพระรตั นตรยั , กราบพระ, เคารพธงชาตแิ ละ พระบรมฉายาลกั ษณ์ นงั่ ณ ที่รับรอง - หน.กําลังพลฯ กลา่ วรายงานเบิกตัว อศจ.ใหม่กระทําพธิ ีรับเข้าหม่คู ณะ และเรยี นเชญิ ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.ประกอบพิธฯี - อศจ.ใหม่เดนิ ขึน้ เวทีทลี ะนาย (หันหนา้ ไปทาง ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.) จนครบ - คนหลงั สุดสั่ง ซ้ายหนั , สั่งคกุ เข่า กราบ ๓ คร้ัง - ผู้นํา กลา่ วคําบชู าพระรตั นตรยั ( อรหงั สัมมา สมั พุทโธ ภควาฯ ) ทเ่ี หลือว่าตาม - อาราธนาศีล/กลา่ วบท นะโม /สมาทานศลี (กล่าวพรอ้ มกนั ) - กลา่ วคําสตั ยป์ ฏิญาณ และวนิ ยั อศจ. เปน็ วรรค ๆ เบ้อื งหน้าพระพุทธสิงห์ชยั งคล (จบแลว้ กราบ ๓ ครั้ง) - คนสดุ ท้ายสงั่ (ลุก.....ขวา.. หัน) - เดนิ มามอบคาํ สตั ยป์ ฏญิ าณและวินัย อศจ. ให้ ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ. (โคง้ .../..ยนื ../..ก่งึ ขวาหนั .../..ยนื่ แขนซา้ ยรับปลอกแขน../ ยืนตรง /..รบั น้าํ มนต์มาดม่ื ../คนื แกว้ ../สัมผัสมือ/..โคง้ .) - เดินกลบั ไปกราบพระ เคารพธงชาติ พระบรมฉายาลกั ษณ์ (จนครบทกุ คนแลว้ ) - ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ.ใหโ้ อวาท จบแลว้ (หน.กาํ ลังพลสัง่ “ตรง”) - เดนิ ลงมายืนด้านหนา้ เวทีรับการแสดงความยินดีจาก คณะ อศจ. - เสร็จพิธี
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๐๔ ๒.๑ คาํ สตั ยป์ ฏิญาณตนของอนศุ าสนาจารย์ คาํ สตั ยป์ ฏิญาณ อศจ.ทบ. .................................. โดยหนงั สอื ฉบับนี้ ข้าพเจ้า..................................................... ขอใหค้ ําสัตย์ปฏิญาณ/ ไวต้ อ่ หนา้ พระพทุ ธสงิ หช์ ัยมงคล/ และคณะอนศุ าสนาจารยก์ องทัพบก/ ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้อ ๑ / ข้าพเจา้ / จกั ปฏบิ ัตติ ามคาํ สง่ั / และโอวาท/ ของหัวหนา้ อนศุ าสนาจารย์/ ทุกประการโดยเคร่งครดั / ข้อ ๒ / ข้าพเจ้า/ จักปฏิบัติตาม/ กฎ/ ข้อบังคับ / คําสั่ง / ระเบียบ /และแบบธรรมเนียมของทางราชการ/ ทุกประการโดยเครง่ ครดั / ข้อ ๓ / ข้าพเจ้า/ จักปฏิบัติหน้าท่ีราชการ/ จนสุดความสามารถ/ ด้วยความเต็มใจ/ โดยไม่เห็นแก่ความเหน่ือย ยากลําบาก/ แต่ประการใด ข้อ ๔ / ข้าพเจ้า/ จักไม่ประพฤติตน/ ให้เป็นท่ีรังเกียจของคณะ/ ด้วยประการใด ประการหนึ่ง/ จักประพฤติตน/ให้ เหมาะสมกบั ฐานะ/ ทีเ่ ปน็ อนุศาสนาจารยท์ ุกประการ / ข้อ ๕ / ถ้าข้าพเจ้า/ ไม่กระทําตามคําสัตย์ปฏิญาณ / ท่ีให้ไว้นี้ / หรือทําตนให้เป็นท่ีรังเกียจของคณะ/ ด้วยประการใด ประการหน่ึงกต็ าม / ข้าพเจา้ จักไม่เหน็ แก่ตัว / จนทางราชการสง่ั ใหอ้ อก / จักขอลาออกโดยดี / ดว้ ยตนเอง / ทเี ดยี ว / คาํ สัตยป์ ฏิญาณน้ี / ให้ไว้ / ณ วนั ที่ ...........เดอื น.................พ.ศ........... ลงชื่อ ......................................................... (..................................................) ผใู้ ห้คําสตั ยป์ ฏิญาณ ๒.๒ คาํ ปฏิญญาจรรยาบรรณอนศุ าสนาจารยท์ หารบก คาํ ปฏิญญาจรรยาบรรณอนุศาสนาจารย์ทหารบก ....................................... ข้าพเจา้ (ยศ,ชื่อ-สกุล) ขอให้คําปฏิญญา/ ไว้ต่อหน้าพระพุทธสิงห์ชัยมงคล/ และพระบรมรูป/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว/ องค์พระราชทาน/ กําเนดิ กิจการอนุศาสนาจารย์กองทัพไทย/ ดว้ ยการปฏิบัติตามจรรยาบรรณ ๑๓ ข้อ/ ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้อ ๑ /อนุศาสนาจารย์/ ต้องรักษาศีล ๕ เปน็ นิตย์ ขอ้ ๒ /อนุศาสนาจารย์/ ตอ้ งตง้ั อยใู่ นธรรมของสตั บุรุษ/ และกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ขอ้ ๓ /อนศุ าสนาจารย/์ ตอ้ งมภี รรยาเพียงคนเดยี ว/ และต้องเล้ยี งดูครอบครวั โดยชอบธรรม ข้อ ๔ / อนศุ าสนาจารย/์ ตอ้ งไม่เข้าไปมว่ั สมุ ในสาํ นักหญงิ แพศยา/ บอ่ นการพนัน/ และสถานท่มี กี ารเสพส่ิงเสพตดิ ข้อ ๕ /อนุศาสนาจารย์/ ต้องงดเว้นการประกอบมิจฉาชีพ/ และรับประกอบกิจ/ อันวิญญูชนพิจารณาแล้วตําหนิติเตียน ได้
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๐๕ ข้อ ๖ /อนุศาสนาจารย์/ เม่ือประสงค์จะร้องเรียน/ขอความเป็นธรรมจากผู้ใหญ่/ต้องไม่ใช้บัตรสนเท่ห์/หรือเขียนคํา ขอรอ้ ง/ตลอดจนข้อความโจมตผี ้อู นื่ ทางส่ือทุกชนิด ข้อ ๗/ อนุศาสนาจารย์จะต้องไม่ว่ิงเต้น/หรือร้องให้บุคคลภายนอกวงการอนุศาสนาจารย์/จําต้องโยกย้ายตน/ หรือ ยับยัง้ การโยกย้ายตน /ในเม่ือการกระทาํ นัน้ ขดั กบั แผนการโยกยา้ ย/ ของสายวทิ ยาการอนศุ าสนาจารย์ ข้อ ๘ /อนุศาสนาจารยจ์ ะตอ้ งงดเว้นเด็ดขาด/ จาการแสดงตัวว่าเป็นคนมักได้/ ร่ําร้องขอบําเหน็จความชอบ/จากผู้ใหญ่ เพื่อตนเอง ข้อ ๙/ อนุศาสนาจารย์/ ไมพ่ ึงพกอาวธุ ข้อ ๑๐/ อนุศาสนาจารย์/ ไมพ่ งึ เขา้ เปน็ สมาชิกพรรคการเมอื งใด ข้อ ๑๑/ อนุศาสนาจารย์/ ไมพ่ ึงราํ วง/ เตน้ รํา ร้องเพลงโชว์/ ต่อยมวย/ แต่งแฟนซี /และออกปรากฏตัวในฐานะผู้แสดง ลเิ ก ละคร ขอ้ ๑๒ / อนศุ าสนาจารย/์ พงึ ตระหนกั ในการแต่งกายให้สุภาพ/ และ ๑๒.๑ ในเวลาปฏิบตั ิราชการ/ แตง่ เครอื่ งแบบให้ครบถ้วน ๑๒.๒ ไมไ่ วผ้ มยาวหรอื ตดั ผมแบบคาวบอย ๑๒.๓ เมือ่ สวมเสอื้ แขนยาว ตอ้ งไม่พับแขน ๑๒.๔ เครอ่ื งแตง่ กายทุกส่วน ตอ้ งไม่ใชส้ ีและลวดลายทฉ่ี ูดฉาด ข้อ ๑๓/ อนุศาสนาจารย์จะต้องไม่ประพฤติตน/ เป็นปฏิปักษ์ต่อคณะสงฆ์นิกายใดนิกายหนึ่ง/และเคารพเชิดชูโดย สมํ่าเสมอกนั ด้วยอาํ นาจแหง่ คาํ ปฏญิ ญาน้ี ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย/โปรดอํานวยพรให้ข้าพเจ้า/ เจริญรุ่งเรืองในวิชาชีพ อนุศาสนาจารย/์ การรับราชการและมีความสุขสวัสดี/ ตลอดกาลนานเทอญ ฯ ๓. ลกั ษณะการปฏิบัตงิ านของอนุศาสนาจารย์ ๓.๑ ปฏบิ ตั ติ ามแผนงานท่ที ราบล่วงหน้า ทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ ๓.๒ ปฏิบัติงานตามกรณีและสถานการณ์ที่เกิดข้ึนโดยไม่มีแผนงานและไม่ทราบล่วงหน้าทั้งในวันเวลาราชการ และนอกวันเวลาราชการ ๓.๓ ปฏบิ ัตงิ านภายนอกหน่วย เชน่ การสอนอบรมและการปฏิบตั พิ ธิ แี กห่ น่วยทไ่ี ม่มีอนุศาสนาจารย์ ๓.๔ ต้องปฏิบัติงานพิธีให้แก่ผู้บังคับบัญชาในส่วนบังคับบัญชาของกองทัพบก ตามที่สํานักงานเลขานุการ กองทพั บกประสานโดยตรง ๓.๕ ต้องปฏิบัติพิธีของอดีตผู้บังคับบัญชา และข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ของกองทัพบกท่ีเกษียณอายุราชการแล้ว เปน็ คร้งั คราวตามท่ไี ด้รับการประสานโดยตรง ๓.๖ ต้องปฏิบัติงานให้ความร่วมมือแก่สถานศึกษา วัด องค์กรทางศาสนา และส่วนราชการ นอกกองทัพบกเป็น คร้ังคราวตามที่ได้รับการประสาน เช่น การร่วมอภิปรายธรรมะ การบรรยายธรรมะการปฏิบัติพิธี การเป็นกรรมการตัดสิน กจิ กรรมทางศาสนาวฒั นธรรมประเพณี ๓.๗ ต้องปฏิบัติงานทางธุรการท่ีเกี่ยวข้องกับงานเอกสาร วารสาร จุลสารทางจริยธรรมและการบันทึกเทป รายการทางสถานีวทิ ยแุ ละโทรทศั น์ ท่ีเกี่ยวข้อง ๓.๘ ต้องปฏิบัติงานให้คําแนะนําด้านขวัญกําลังใจและจริยธรรม การเยี่ยมพบปะครอบครัวทหาร ทหาร เจ็บปว่ ย การไหวพ้ ระสวดมนตข์ องทหารในเวลา ๒๐๓๐
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๐๖ ๓.๙ ต้องปฏิบัติงานในการกํากับหลักสูตรของกองทัพบกท่ีเกี่ยวกับจริยธรรม ซึ่งเปิดทําการศึกษาใน กรงุ เทพมหานคร และตา่ งจงั หวดั ตอ้ งกํากบั ดูแลนอกวันราชการและนอกเวลาราชการ ๓.๑๐ ตอ้ งส่งอนุศาสนาจารยไ์ ปบรรยายอบรมทางศีลธรรมวัฒนธรรมและปฏบิ ตั พิ ธิ ี แก่หนว่ ยทไ่ี มม่ อี นุศาสนาจารย์ ๓.๑๑ ต้องสอนในโรงเรียนเหล่าสายวิทยาการในวิชาการศาสนาและศีลธรรม ตามท่ีได้รับการประสาน รวมท้ัง การสอนในหลักสตู รท่กี องอนศุ าสนาจารยร์ ับผิดชอบโดยตรง ๓.๑๒ ต้องบรรยายอบรมทางศีลธรรมแก่นักโทษในเรือนจําของฝ่ายพลเรือนที่พุทธสมาคม แห่งประเทศไทยใน พระบรมราชูปถัมภข์ อความชว่ ยเหลอื ๓.๑๓ ต้องสอนโรงเรียนพทุ ธศาสนาวนั อาทติ ยต์ ลอดหว้ งเวลาของหลักสตู รในวนั อาทติ ย์ ๓.๑๔ ต้องบรรยายอบรมแกพ่ ระนวกะ ตามทีท่ างคณะสงฆ์ ขอความรว่ มมือในหว้ งเวลาเขา้ พรรษา ๓.๑๕ อนุศาสนาจารย์ผู้ใหญแ่ ละผตู้ ดิ ตาม ต้องออกตรวจกิจการอนศุ าสนาจารย์ประจําปีตามห้วงเวลาตลอดท้ัง สี่กองทพั ภาค ๔. การปฏิบัตภิ ารกจิ นอกเหนอื จากภารกจิ หลักของอนุศาสนาจารย์ ด้วยเหตุผลและความจําเป็นในการปฏิบัติภารกิจของอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษา-ทหารบก จึงได้มีหนังสือ ขอความร่วมมือไปยังหน่วยต่างๆ ไม่ให้มอบหมายภารกิจท่ีนอกเหนือจากภารกิจหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ ให้ อนุศาสนาจารย์ปฏิบัติ (หนงั สอื ยศ.ทบ. ท่ี ๒๕๐๓/๐๓ ลง ๒๙ ก.พ.๐๓) ซง่ึ นอกจากภารกจิ บางอย่างไม่เหมาะสมกบั ภาวะ อนุศาสนาจารย์แล้ว ยังเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีทําให้อนุศาสนาจารย์ไม่มีเวลาเพียงพอท่ีจะปฏิบัติภารกิจหลักของตน เช่นการสอน บรรยายการพบปะเสนอแนะทางจริยธรรม การริเริ่มงานทางสายวิทยาการ การแก้ปัญหารายบุคคลของกําลังพลท่ีมีปัญหา การวางแผนป้องกันกําลังพลที่ไม่มีปัญหาไม่ให้มีปัญหา เป็นต้น ให้เรียบร้อยได้ทันเวลา ทั้งไม่มีเวลาท่ีจะค้นคว้าเตรียมการ สําหรับการสอน การบรรยายของตนด้วย ภารกิจที่กรมยุทธศึกษาทหารบก ขอความร่วมมือไปยังหน่วยต่าง ๆ ไม่ให้มอบให้ อนศุ าสนาจารยป์ ฏิบัติ คือ ๔.๑ การเปน็ ผจู้ ัดการโรงเรียนบตุ ร ทบ. ๔.๒ การเป็นผู้ควบคุมรถนักเรียนและผ้โู ดยสาร ๔.๓ การเป็นกรรมการจัดซ้อื จัดขายสงิ่ ของ ๔.๔ การเป็นกรรมการประกวดราคา ๔.๕ การเป็นกรรมการตรวจรบั สิ่งของประจําเดือน ๔.๖ การเป็นกรรมการสอบสวนลงโทษผู้กระทาํ ผิด ๔.๗ การเป็นเจ้าหนา้ ทีเ่ หรญั ญิกหรือผู้เกบ็ รกั ษาเงนิ อนง่ึ นอกจากภารกิจท่กี รมยทุ ธศกึ ษาทหารบกไดข้ อความรว่ มมอื ดงั กล่าวนั้นแล้ว ยังมีภารกิจอ่ืน ๆ ที่หน่วยไม่ ควรมอบหมายให้อนศุ าสนาจารย์ปฏิบัติ เช่น ๑) การเข้าเวรยาม ( ถา้ กรณีมพี ธิ ศี พของขา้ ราชการ อศจ. จะละทิง้ เวรยามไม่ได้) ๒) การเข้าร่วมเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันท่ีมีการปฏิบัติต่อเน่ือง เช่น การเป็นกรรมการตัดสิน การแขง่ ขันกีฬา ซ่ึงจะมีผลกระทบตอ่ การปฏบิ ตั ภิ ารกจิ โดยตรงของอนศุ าสนาจารย์
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๐๗ ตอนท่ี ๒ อนุศาสนาจารย์เหล่าทัพ
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๐๘ บทท่ี ๘ ตํานานอนศุ าสนาจารย์ทหารอากาศ เรมิ่ แรกอบุ ตั ขิ องอนศุ าสนาจารยท์ หารอากาศ เมื่อกองทพั อากาศยังมฐี านะเป็นกรมอากาศยาน ยังมิได้มีอนุศาสนาจารย์บรรจุเข้ารับราชการประจําตําแหน่ง ได้ขอ ไปยังแผนกอนุศาสนาจารย์ กรมตําราทหารบก ให้ย้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาปฏิบัติหน้าท่ีอนุศาสนาจารย์ที่กรมอากาศ ยานคราวละ ๑ นายบา้ ง ๒ นายบ้าง เมอ่ื อยูไ่ ดป้ ระจาํ ครบ ๑ ปีบา้ ง ๒ ปีบ้าง กม็ ีการสับเปลย่ี นกันคร้ังหนึ่ง เป็นเช่นนี้เรอื่ ยมา อนศุ าสนาจารย์กรมอากาศยาน ๑. อนุศาสนาจารย์ ทบ. คนแรกท่ีย้ายมาอยู่ประจําที่กรมอากาศยาน คือ รองอํามาตย์ตรี กถิน อัตถโยธิน ย้ายตาม คําสั่ง ทบ.ท่ี ๗๖/๗๕๒๑ ลงวันท่ี ๒๗ มิ.ย. ๒๔๖๖ ท่านรับราชการอยู่ที่กรมอากาศยานครบ ๒ ปี แล้วย้ายกลับไปอยู่แผนก อนุศาสนาจารย์ กรมตําราทหารบก ตามคําส่ัง ทบ.ท่ี ๑๓๖/๑๗๘๗๕ ลงวันท่ี ๒๑ พ.ย. ๒๔๖๘ ขณะท่ีท่านย้ายกลับน้ี ท่านได้ เลือ่ นยศเปน็ รองอํามาตย์โท แล้ว ๒. อนุศาสนาจารย์ท่ีย้ายมาประจํากรมอากาศยานคนต่อไปคือ รองอํามาตย์ตรี ดรุน สุทธาชีพ ย้ายตามคําสั่ง ทบ. ท่ี ๑๓๖/๑๗๘๗๕ ลงวนั ท่ี ๒๑ พ.ย. ๒๔๖๘ ๓. และในปลายปี ๖๘ น้ัน ได้มีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์ตรี กมล มโนชญากร ให้มารับราชการประจํากรมอากาศยาน ตามคําสงั่ ทบ.ท่ี ๒๑๑/๒๖๘๕๐ ลงวันที่ ๒๓ ม.ี ค. ๒๔๖๘ (ในปีนก้ี รมอากาศยานมี อศจ. ๒ นาย) ๔. ต้นปี ๖๙ ได้มีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์ตรี ดรุณ สุทธาชีพ จากกรมอากาศยาน ให้ไปเป็นอนุศาสนาจารย์ ประจํา กองบินใหญ่ท่ี ๑ โคกกระเทียม ตามคําสั่งของกรมอากาศยาน (คอ.) ที่ ๑๓/๔๕๘ ลงวันที่ ๒๙ เม.ย. ๖๙ (ปี ๖๙ น้ีแผนก อนุศาสนาจารย์ทหารบก ยา้ ยสังกดั จากกรมตําราทหารบก ไปขึ้นกรมยุทธศึกษาทหารบก มีช่ือยอ่ เรียกว่า ยศ. ๔) ๕. ตน้ ปี ๗๐ ไดม้ ีคําสงั่ ย้าย รองอํามาตยต์ รี กมล มโนชญากร ไปรับราชการที่มณฑลพายัพ ตามคําสั่ง ทบ.ท่ี ๑๐๔/ ๘๔๕๖ ลงวันท่ี ๓๐ ก.ค. ๗๐ จึงย้าย รองอํามาตย์โท เวียร พูลสวัสด์ิ มารับราชการในกรมอากาศยานแทน ตามคําสั่ง ทบ. ท่ี ๑๑๔/๑๐๑๖๑ ลงวนั ท่ี ๒๓ ส.ค. ๗๐ ๖. ต้นปี ๗๑ ได้มีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม จากกรมยุทธศึกษาทหารบกมาเป็นอนุศาสนาจารย์กรม อากาศยาน และในคําสั่งอันเดียวกันน้ีให้ย้าย รองอํามาตย์โท ดรุณ สุทธาชีพ จากกองบินใหญ่ท่ี ๑ โคกกระเทียม กลับไปอยู่ แผนกอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ตามคําสั่ง ทบ. ที่ ๔๗/๒๒๕๔ ลงวันที่ ๙ พ.ค. ๗๑ เม่ือ รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม ได้ศึกษางานกับ รองอํามาตย์โท เวียร พูลสวัสด์ิ ท่ีกรมอากาศยานดีแล้ว จึงมีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์โท เวียร พลู สวสั ด์ิ จากกรมอากาศยาน ให้ไปอยูป่ ระจํากองบินใหญ่ที่ ๑ โคกกระเทียม แทน รองอํามาตย์โท ดรณุ สทุ ธาชีพ ตามคําส่ัง กรมอากาศยาน (คอ.) ที่ ๔๕/๑๔๔๗ ลงวันที่ ๒๒ ม.ิ ย. ๗๑ ๗. ปลายปี ๗๒ ได้มีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์โท กถิน อัตถโยธิน จากกรมยุทธศึกษาทหารบก มารับราชการในกรม อากาศยาน ตามคําส่ัง ทบ. ที่ ๑๐๘/๗๘๙๔ ลงวันที่ ๒๕ พ.ย. ๗๒ และในคําส่ังเดียวกันน้ี ให้ย้าย รองอํามาตย์โท เวียร พูลสวัสดิ์ จากกองบิน ๑ กลับไปกรมยุทธศึกษาทหารบก และในปลายเดือนน้ันเอง กรมอากาศยานก็ได้ออกคําสั่งย้าย รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม จากกรมอากาศยานให้ไปประจําอยู่กองบินใหญ่ที่ ๑ โคกกระเทียม แทนรองอํามาตย์โท เวียร พูลสวสั ด์ิ ๘. ต้นปี ๗๓ ได้มีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์โท จรูญ สุวรรณเนตร จากกรมยุทธศึกษาทหารบก มารับราชการในกรม อากาศยาน ตามคําสง่ั ทบ.ท่ี ๔๑/๒๒๓๐ ลงวันที่ ๒๖ พ.ค. ๗๓ และในคําส่ังเดียวกันนี้ ให้ย้าย รองอํามาตย์ตรี โปร่ง พีรคัม
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๐๙ จากกองบินใหญ่ท่ี ๑ กลับไปกรมยุทธศึกษาทหารบก ย้ายรองอํามาตย์เอก กถิน อัตถโยธิน จากกรมอากาศยาน ไปประจํา อย่กู องบินใหญท่ ี่ ๑ แทนรองอํามาตย์โท โปร่ง พีรคมั ๙. รองอํามาตย์โท จรูญ สุวรรณเนตร รับราชการอยู่ในกรมอากาศยานจนถึงปี ๒๔๗๕ จึงย้ายกลับไปกรมยุทธ ศึกษาทหารบก แล้วมีคําสั่งย้าย รองอํามาตย์โท เมฆ อําไพจริต มารับราชการในกรมอากาศยานตามรคําส่ัง ทบ.ท่ี ..........ลง วันท่ี ๓๐ ส.ค. ๗๕ ช่วงระยะเวลาตอนนี้ ได้มีเหตุการณ์สําคัญๆ เกิดข้ึน คือมีการปฏิวัติโดยคณะราษฎร์ ติดตามมาโดยการ ปราบกบฏ สงครามอินโดจีน และสงครามมหาเอเชยี บูรพา หนา้ ทขี่ อง อศจ. กรมอากาศยาน หน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ เมื่อมาประจําอยู่กรมอากาศยาน มีปรากฏอยู่ในหนังสือประมวลข้อบังคับสําหรับกรม อากาศยานภาค ๒ หน้า ๑๐ ดังน้ี มาตรา ๔ หนา้ ทีข่ องอนศุ าสนาจารย์ อนศุ าสนาจารย์สําหรับกรมอากาศยาน มหี น้าท่โี ดยละเอียดดังตอ่ ไปนคี้ ือ ข้อ ๑ อบรมส่งเสริมให้บุคคลผู้ท่ีอยู่ในความคุ้มครองของกรมอากาศยานเป็นพลเมืองดี ทั้งให้ตั้งมั่นอยู่ในความ ประพฤติดี มีจรรยาและมารยาทอันงาม กับให้ผู้ซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนาตามบรรพบุรุษของตนน้ัน มีความศรัทธาเช่ือมั่น ย่ิงข้ึนในธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่มีหน้าที่ชักจูงให้ผู้ที่นับถือลัทธิความเช่ืออย่างอื่นกลับมาถือ พระพทุ ธศาสนา เพราะราชการมไิ ดป้ ระสงคจ์ ะบังคบั นํา้ ใจผใู้ ดในทางลทั ธคิ วามเชื่อ ข้อ ๒ ฟังคําปรับทุกข์ของบุคคลผู้มีความทุกข์ร้อนอย่างใดอย่างหนึ่งและมีความประสงค์จะปรับทุกข์ เมื่อได้ทราบ ความทุกข์ร้อนของผู้ใดแล้ว พยายามปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนของผู้น้ันด้วยโอวาทของตนน่าจะปลดเปลื้อง ก็ให้บอกเล่า ชี้แจงแกผ่ ใู้ หญผ่ มู้ ีหนา้ ที่บังคบั บญั ชานัน้ ๆ ตอ่ ไป ข้อ ๓ ไปเยี่ยมเยือนตามเรือนแถวต่างๆ ตามโอกาส เพื่อสนทนาปราศรัยไต่ถามความสุข ทุกข์ อันเป็นทางนําให้เกิด ความชอบพอสนิทสนมแล้ว และถือโอกาสน้ีแนะนําในข้อที่ควรแนะ ตักเตือนในข้อท่ีควรตักเตือน ตลอดถึงการชี้แจงในเร่ือง สขุ าภบิ าลด้วย ขอ้ ๔ อบรมเด็กนกั เรยี นในโรงเรียนวดั ดอนเมืองดว้ ยจรรยาอันดี เพอื่ ใหเ้ ป็นพลเมอื งดตี อ่ ไปในภายหน้า ในการน้ีควร หาโอกาสทําให้ได้ในสัปดาห์หนึ่งคร้งั หรือสองครั้งเป็นอย่างนอ้ ย ข้อ ๕ ในเดือนหนึ่ง ควรนํากองทหารต่างๆ ไหว้พระสวดมนต์ในเวลาสักคร้ังหนึ่งเป็นอย่างน้อย นอกจากนี้ ก่อนแต่ จะทําการไหว้พระสวดมนต์ก็ดี ภายหลังจากทําการไหว้พระสวดมนต์แล้วก็ดี ควรถือเอาโอกาสนั้นเพียงเล็กน้อยส่ังสอน ให้ บงั เกดิ ศรัทธาเลอื่ มใสในพระรตั นตรยั ย่งิ ขึ้น ขอ้ ๖ เมอื่ มโี อกาสไปเยีย่ มตามกองบินตา่ งๆ ท่ีตัง้ อยู่ตา่ งตาํ บล เมอ่ื กลับจากการไปเยี่ยมครัง้ หนงึ่ แล้ว ต้องทํารายงาน เสนอผูบ้ ังคบั บญั ชาวา่ ไดท้ าํ การอยา่ งไรบ้าง ข้อ ๗ นอกจากหน้าที่อันเนื่องด้วยการอบรมดังแสดงมาน้ีแล้ว ยังมีกิจอย่างอื่นอีกอันเกี่ยวกับเอกสารท่ีสําคัญๆ ซ่ึง แล้วแตผ่ ูบ้ ังคับบญั ชาจะกําหนดให้ อนุศาสนาจารย์ทหารอากาศในยคุ (สธ.ทอ. ๓) ๑๐ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้มีการยกฐานะกรมอากาศยานขึ้นเป็นกองทัพอากาศในปีน้ัน ได้มีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์โท ขนุ เวยี รวีรธรรม (เวยี ร พูลสวสั ด)ิ์ จาก ยศ. ๔ คือจากแผนกอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ซึ่งเรียกชื่อย่อว่า ยศ. ๔ ให้มารับราชการในกองทัพอากาศ ข้ึนสังกัด สธ.ทอ. ๓ ตามคําส่ังทหารที่ ๙๘/๕๘๑๐ ลงวันท่ี ๖ ก.ค. ๘๑ จึงถือว่า อนุศาสนาจารย์ของกองทัพอากาศคนแรกคือ รองอํามาตย์โท ขุนเวียรวีรธรรม และเป็นที่น่าสังเกตว่าการจัดส่วนราชการ
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๑๐ ของอนุศาสนาจารย์คร้ังแรกนั้น ตรงกับการจัดส่วนราชการอนุศาสนาจารย์ของกองทัพอากาศอเมริกัน คือ จัดให้ อนุศาสนาจารยข์ นึ้ กับส่วนบญั ชาการ ๑๑. ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีคําส่ังย้าย รองอํามาตย์โท ขุนสุทธธรรมประภาษ (ดรุณ สุทธาชีพ) จาก ยศ.๔ มาเป็น อนุศาสนาจารย์ประจํา สธ.ทอ. ๓ ตามคําสั่งทหารท่ี ๔/๑๖๗ ลงวันที่ ๔ ม.ค. ๘๔ (ยศคร้ังสุดท้ายเม่ือครบเกษียณอายุ ราชการ เปน็ นาวาอากาศเอก) ๑๒. นับแตป่ ี ๘๒ เปน็ ต้นมา ไดม้ คี าํ สง่ั ทหารใหเ้ รียกคาํ นาํ หนา้ ชอื่ ว่า “มหา” ยกเว้นผู้ทไ่ี ดร้ ับยศหรอื บรรดาศักดิ์ เชน่ รองอาํ มาตยโ์ ท ขนุ ..................ไม่ต้องเรียกคําหนา้ ชื่อวา่ มหา ดงั นัน้ ชือ่ อนศุ าสนาจารย์ ต่อไปนีจ้ งึ มคี าํ นําหน้าชือ่ ว่า มหา และกองทพั อากาศได้ทาํ การสอบคัดเลอื กอนุศาสนาจารยแ์ ล้วบรรจุเอง ไมข่ อจากกรมยทุ ธศึกษาทหารบกอย่างแตก่ อ่ น เริ่มต้นจากมหาสจุ รสั กวีวฒั นา (ต่อมามียศเปน็ นาวาอากาศเอก) ยา้ ยมาจากกรมชา่ งอากาศมารับราชการใน สธ.ทอ. ๓ บรรจุเลือ่ นช้นั เปน็ อนศุ าสนาจารย์ ตามคาํ สงั่ ทหารที่ ๓๓๖/๒๔๐๐ ลงวันที่ ๓๐ ก.ย. ๘๖ ครน้ั พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้ยา้ ยจาก อนุศาสนาจารยไ์ ปประจําแผนกทะเบยี นพลกองทัพอากาศ ตามคาํ ส่งั ทอ.ที่ ๖๕/๒๖๑๐ ลงวนั ท่ี ๑๕ ม.ี ค. ๘๙ ๑๓. มหาสม ประพันธโรจน์ ยา้ ยจากแผนกโยธาพาหนะ (ยพ.ทอ.) มารบั ราชการใน สธ.ทอ. ๓ ตามคาํ ส่ัง ทอ.ที่ ๔๒/ ๑๒๑ ลงวันท่ี ๑๖ ก.พ.๘๘ และเล่ือนช้นั เป็นข้าราชการสญั ญาบัตรตามคาํ สงั่ ทหารที่ ๑๗๔/๘๔๓๐ ลงวันท่ี ๒๑ ก.ค. ๘๘ (ถงึ แก่กรรมเมื่อ ๓๐ ส.ค. ๐๗ ขณะถึงแก่กรรมมียศเปน็ นาวาอากาศโท) ๑๔. มหาสละ มีลักษณะ (ยศครั้งสุดท้ายเม่ือครบเกษียณอายุราชการ นาวาอากาศเอก) บรรจุเป็นข้าราชการใน สธ. ทอ. ๓ ตามคําสั่ง ทอ.ที่ ๔๒/๑๒๑๑ แล้วเลื่อนเป็นข้าราชการสัญญาบัตร ตามคําสั่งทหารที่ ๑๗๔/๘๔๓ ลงวันท่ี ๒๑ ก.ค. ๘๘ ๑๕. มหาแย้ม ประพัฒนท์ อง (ยศครง้ั สุดท้ายเมื่อครบเกษยี ณอายุราชการ นาวาอากาศเอก) ย้ายจากอนศุ าสนาจารย์ กองทัพบก มารบั ราชการใน สธ.ทอ. ๓ ตามคําส่ังทหารท่ี ๙๒/๕๙๑๑ ลงวันท่ี ๒๐ เม.ย. ๘๙ ๑๖. รองอาํ มาตย์โท เมฆ อาํ ไพจรติ (ยศครัง้ สดุ ท้ายเมอ่ื ครบเกษียณอายุราชการ นาวาอากาศเอก) กลับเข้ารบั ราชการเปน็ อนุศาสนาจารย์ สธ.ทอ. ๓ ตามคาํ สงั่ ทหารท่ี ๒๑๖/๑๕๒๑๐ ลงวันท่ี ๑๑ ต.ค. ๘๙ ยคุ กรมยทุ ธศกึ ษาทหารอากาศ ตามอัตรา ทอ. ๙๑ กองทัพอากาศได้ย้ายอัตราอนุศาสนาจารย์ซึ่งเคยข้ึนกับ สธ.ทอ. ๓ อันเป็นส่วนบัญชาการ มา ขึ้นกับกรมยุทธศึกษาทหารอากาศอันเป็นส่วนการศึกษา โดยเป็นแผนกอนุศาสนาจารย์ ต่อมาอัตรา ทอ. ๙๕ ได้ยกฐานะข้ึน เป็นกองอนุศาสนาจารย์มาจนถึงปัจจบุ นั น้ี อนุศาสนาจารยไ์ ด้รบั ยศทหาร กระทรวงกลาโหม ได้ออกกฎกระทรวง พ.ศ. ๒๔๙๖ ออกตามความในพระราชบญั ญัตยิ ศทหาร พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้มีบท เฉพาะกาลแต่งตั้งยศทหารให้แก่ข้าราชการกลาโหมพลเรือน ซึ่งเป็นข้าราชการมาก่อนวันท่ี ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๙๖ ทั้งหมด ในการนี้ อนุศาสนาจารยก์ องทพั อากาศซ่ึงเปน็ ข้าราชการกลาโหมพลเรือนมาแต่เดิม จึงได้รับคําส่ังให้เข้าโรงเรียนกลาโหมพล เรือนสัญญาบัตรร่วมกับข้าราชการกลาโหมพลเรือนเหล่าอ่ืนๆ รับการฝึกอบรมวิชาทหารและวิชาอื่นๆ ประมาณ ๒ เดือน แล้วจึงให้รับการแต่งตั้งยศทหาร ตามคําสั่งกลาโหมที่ ๔๘/๖๐๕๕ ลงวันท่ี ๑๙ มี.ค. ๙๘ เร่ือง การแต่งต้ังยศข้าราชการ กลาโหมพลเรือนเป็นนายทหารสัญญาบัตร มีผู้ไดร้ บั พระราชทานแต่งตัง้ ยศทหารในครง้ั นนั้ คอื ๑. รองอาํ มาตยโ์ ท ขนุ สุทธรรมประภาษ เปน็ วา่ ที่นาวาอากาศเอก ๒. มหาแยม้ ประพฒั น์ทอง เปน็ ว่าท่นี าวาอากาศโท ๓. รองอาํ มาตยโ์ ท เมฆ อําไพจรติ เปน็ วา่ ทนี่ าวาอากาศตรี
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๑๑ ๔. มหาสละ มลี กั ษณะ เป็น ว่าที่นาวาอากาศตรี ๕. มหาบญุ มี จรงุ คนธ์ เปน็ วา่ ที่เรืออากาศโท ๖. มหาภกั ดี พยงุ ผล เป็น ว่าท่เี รืออากาศโท ๗. มหากติ ติศักดิ์ ฉมิ บนั เทงิ เป็น ว่าที่เรอื อากาศตรี ๘. มหาสมัย สงิ หศ์ ิริ เป็น วา่ ท่ีเรอื อากาศตรี สถานทต่ี งั้ หนว่ ยอนุศาสนาจารย์ ปี ๘๑ ในยุคท่ีอนุศาสนาจารย์ทหารอากาศขึ้นอยู่กับ สธ.ทอ. ๓ น้ัน สถานที่ทํางานอยู่ตึก บก.ทอ.(หลังเก่าร้ือแล้ว) เม่ือ ๘ ธ.ค. ๘๔ เกิดสงครามอินโดจีนต่อด้วยสงครามมหาเอเชียบูรพา ต่อมาในปี ๘๗ อนุศาสนาจารย์ได้รับคําส่ังให้อพยพ หลบภัยสงคราม ย้ายสถานที่ไปอยู่บนป่าสะแก ตําบลหลักสี่ จนถึง ๑๗ ส.ค. ๘๘ ญี่ปุ่นยอมแพ้ สงครามยุติลง อนุศาสนาจารย์ได้รับคําส่ังให้กลับเข้าสู่ท่ีต้ังกับ สธ.ทอ. ๓ อยู่ตึกอาคารเหลือง (ต่อมาเป็นโรงเรียนนายเรืออากาศ และ ปัจจุบันเป็นกรมสวัสดิการทหารอากาศ) อัตรา ทอ. ๙๑ กองทัพอากาศได้แก้อัตราอนุศาสนาจารย์ให้มาข้ึนกรมยุทธศึกษา ทหารอากาศ จึงย้ายจากอาคารตึกเหลืองมาอยู่ท่ีอาคาร รร.ผบ.หมวด ปี ๙๖ ย้ายไปอยู่อาคาร พธ.ยศ.ทอ. (หลังเก่าท่ีรื้อไป แล้ว) ปี ๙๗ ย้ายไปอยู่อาคาร วทอ. (หลังเก่ารื้อไปแล้ว อยู่คนละซึกกับฝ่ายกรเงิน) ปี ๐๙ ย้ายไปอยู่อาคารกองการศึกษา และปี ๑๓ ยา้ ยมาอยอู่ าคาร ยศ.ทอ. สร้างใหม่ในปัจจบุ นั น้ี
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๑๒ ทาํ เนยี บ ผอ.กอศ.ยศ.ทอ. 1. รองอํามาตย์โท ขนุ เวยี รวรี ธรรม (พ.ศ.2481 - 2488) 2. น.อ. ขุนสทุ ธธรรมประภาษ 3. น.อ. เมฆ อําไพจรติ 4. น.อ. แย้ม ประพฒั นท์ อง (พ.ศ.2488 - 2499) (พ.ศ.2499 - 2505) (พ.ศ.2505 - 2513) 5. น.อ. สละ มลี ักษณะ 6. น.อ. ภกั ดี พยุงผล 7. น.อ. กติ ตศิ ักด์ิ ฉิมบรรเทงิ (พ.ศ.2513 - 2516) (พ.ศ.2516 - 2522) (พ.ศ.2522 - 2525)
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๑๓ 8. น.อ. สมยั สงิ หศ์ ิริ 9. น.อ. ธาํ รง อคั รพฒั น์ 10. น.อ. สนทิ รอดเงนิ (พ.ศ.2525 - 2526) (พ.ศ.2526 - 2527) (พ.ศ.2527 - 2531) 11. น.อ. ทองสุข จทชั บตุ ร 12. น.อ. ถวลิ อิ่มใจพงษ์ 13. น.อ. ปนาถ ประสาทอดศิ กั ด์ิ (พ.ศ.2531 - 2533) (พ.ศ.2533 - 2536) (พ.ศ.2536 - 2537) 14. น.อ. โกวทิ ทวิชาตวรบตุ ร 15. น.อ. สงบ จารนยั 16. น.อ. ประทปี สาวาโย (พ.ศ.2537 - 2539) (พ.ศ.2539 - 2540) (พ.ศ.2540 - 2542) 17. น.อ. เฉลา บญุ ประเสรฐิ 18. น.อ. เฉลยี ว สังฆมณี 19. น.อ.พลู ชยั บญุ ปก (พ.ศ.2542 - 2544) (พ.ศ.2544 - 2546) (พ.ศ.2546 - 2547)
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๑๔ 20. น.อ. เกษม แกว้ วเิ ศษ 21. น.อ. สุรนิ ทร์ คมุ้ จน่ั 22. น.อ. จวน ทรงภมู ิ (พ.ศ.2547 - 2549) (พ.ศ.2549 - 2554) (พ.ศ.2554 - 2555) 23. น.อ. วนั ชยั บญุ ภกั ดี 2๔. น.อ. ปรชี า วรวชั รญาณ (พ.ศ.2555 – 2560) (พ.ศ.25๖๐ – ปจั จบุ นั )
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๑๕ บทที่ ๙ ตาํ นานอนุศาสนาจารยท์ หารเรอื .......................... อนุศาสนาจารย์ทหารเรือเร่ิมก่อกําเนิดขึ้นเมื่อวันท่ี ๑ ธันวาคม ๒๔๖๗ ในสมัย พล.ร.อ.สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา ทรงเป็นผสู้ ําเรจ็ ราชการกระทรวงทหารเรือ มีประวัติความเป็นมาดังน้ี จดุ เร่มิ ความคิดทจ่ี ะมีอนุศาสนาจารยท์ หารเรือ เม่อื พ.ศ. ๒๔๖๖ พล.ร.อ. สมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครราชสีมา (ชาวทหารเรือเรียกพระนามเป็น การภายในว่า “ทูลกระหม่อม อัษฎางค์”) ขณะทรงดํารงตําแหน่งผู้สําเร็จราชการกระทรวงทหารเรือ ได้เสด็จเมืองสิงคโปร์ และปีนังเป็นทางราชการ โดยเรือหลวงพระท่ีนั่งจักรี ในขบวนเสด็จมีทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนและข้าราช บริพารในพระองค์ ในจาํ นวนข้าราชบริพารท่ตี ามเสด็จนน้ั มี นายวงศ์ เชาวนะกวี ดว้ ยผู้หน่งึ ทีพ่ ระองคท์ รงรับสัง่ ให้ตามเสด็จอยา่ งใกล้ชิด นายวงศ์ เชาวนะกวี ผู้นีเ้ คยบวชเป็นเปรียญ มี ความรอบรู้ทางศาสนากวา้ งขวางและสามารถพดู ภาษามลายใู ช้การได้ ในระหว่างเดินทางค้างแรมอยู่ในเรือพระที่นั่งน้ัน ทูลกระหม่อมฯ จะทรงหาโอกาสช่วงเวลาท่ีว่างจากราชการและ ภารกจิ อื่น รับสั่งใหน้ ายวงศ์ เชาวนะกวี แสดงธรรมใหบ้ รรดาผู้ที่อยใู่ นเรือ ทงั้ ทหารและพลเรอื นฟังเป็นประจาํ และพระองค์ก็ จะประทับฟังอยู่ด้วย ทั้งทรงพระเมตตาให้จัดของสมนาคุณซึ่งเปรียบเสมือนกัณฑ์เทศน์ประทานทุกคร้ังที่มีการแสดงธรรม นายวงศ์ เชาวนะกวี ก็ทาํ หน้าทดี่ ้วยความสามารถแสดงธรรมเป็นท่ีนิยมชมชอบของที่ประชุมทุกคราว สําหรับทูลกระหม่อมฯ กท็ รงเบิกบานและพอพระทัยในลลี าการแสดงธรรมมาก จึงทรงโปรดปราน นายวงศ์ เชาวนะกวี เป็นพิเศษ จากความเบกิ บานพระทยั ในพระธรรมท่ที รงไดร้ บั ในระหว่างประทับค้างแรมอยู่ในเรือพระท่ีน่ังในน่านทะเลน่ีเอง ทํา ให้ทรงคิดถึงทหารเรือขณะปฏิบัติหน้าท่ีอยู่ในทะเลหลวงว่า ในยามที่ว่างจากภารกิจประจําวัน หากไม่มีอะไรเป็นที่ เพลิดเพลินหรือเป็นท่ียึดเหนี่ยวทางใจแล้ว คงจะเหงาหงอยไม่น้อย เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่นํ้ากับฟ้า ในยาม เช่นน้ัน หากจะได้มีผู้รู้ทางศาสนามาพูดคุยอะไรให้ฟังเป็นการเพ่ิมพูนสติปัญญาหรือเป็นข้อคิดสะกิดใจก็คงจะคลาย ความเหงาหงอยลงได้ และคงจะแกป้ ญั หาอื่นๆ ได้อีกมาก ครัน้ แลว้ ก็ทรงเก็บความนกึ คดิ เชน่ น้นั ไว้ในพระทัย ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๗ ในการประชุมปรึกษาข้อราชการของกระทรวงทหารเรือคราวหน่ึงซ่ึงทูลกระหม่อมฯ ทรงเป็น ประธานท่ปี ระชุม หลงั จากได้ปรกึ ษาขอ้ ราชการอน่ื ๆ กันแล้ว ในตอนสุดท้ายทูลกระหม่อมฯ ได้ทรงยกเรื่องอนุศาสนาจารย์ ข้ึนหารือในที่ประชุมว่า ทหารบกได้จัดให้มีอนุศาสนาจารย์ประจํากองทัพเพื่ออบรมจิตใจและบํารุงขวัญทหารมาหลายปี แล้ว แต่ทหารเรือยังไม่มี ควรจะได้จัดให้มีข้ึนบ้าง เพื่อจะได้ทําหน้าที่อบรมส่ังสอนทหารให้ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมจรรยา เพ่ิมพูนขวัญและกําลังใจให้มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากน้ียังจะได้ช่วยปฏิบัติพิธีต่าง ๆ ทางศาสนาด้วย หากจะจัดให้มีอนุศาสนาจารย์ข้ึนได้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่กองทัพมิใช่น้อย ที่ประชุมกระทรวงทหารเรือในคราวนั้นล้วน ประกอบด้วยนายทหารผ้ใู หญ่ อาทิ พล.ร.ต. พระยาปรีชาชลยุทธ ผู้บญั ชาการทหารเรือ พล.ร.ต. พระยาราชวังสัน เสนาธกิ ารทหารเรอื พล.ร.ต. พระยาศรยทุ ธเสนี เจา้ กรมสรรพาวธุ ทหารเรือ พล.ร.ต. พระยาฤทธริ ุทธคํารณ เจ้ากรมอู่ทหารเรอื พล.ร.ต. พระยาหาญหลวงสมุทร เจา้ กรมชุมพลทหารเรอื
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๑๖ นอกจากน้ียังมีนายทหารผู้ใหญ่อ่ืนอีกหลายท่านได้ปรึกษาหารือกัน แล้วในท่ีสุดตกลงว่า กองทัพเรือควรมีอนุศาสนาจารย์ได้ ครั้นแล้วประธานท่ีประชุมคือทูลกระหม่อมฯ จึงทรงหารือต่อไปว่า เม่ือท่ีประชุมตกลงรับหลักการในเรื่องนี้แล้ว ก็ควรจะ พิจารณาเลือกเฟ้นหาผู้สามารถที่จะมาเป็นอนุศาสนาจารย์ต่อไป พล.ร.ต.พระยาราชวังสัน เสนาธิการทหารเรือ ได้เสนอชื่อ นายวงศ์ เชาวนะกวี ตอ่ ทปี่ ระชุมทันที ทปี่ ระชุมเห็นชอบตามชอ่ื ท่ีเสนาธกิ ารทหารเรอื เสนอเป็นเอกฉันท์โดยไม่มีผู้ใดอภิปราย เพราะทุกท่านในทป่ี ระชุมนัน้ ทราบกิตติศพั ท์ความสามารถของ นายวงศ์ เชาวนะกวี ดีอย่แู ลว้ เมื่อเลิกประชุมทูลกระหม่อมฯ ก็เสด็จกลับพระตําหนักวังสวนกุหลาบ หลังเสด็จกลับได้ไม่นานก็ได้มีรับสั่งให้หาตัว นายวงศ์ เชาวนะกวี เข้าเฝ้า คร้ันนายวงศ์ฯ เข้าเฝ้าแล้วทรงรับส่ังว่า “น่ี นายวงศ์ฯ เขาจะเอาแกเป็นอนุศาสนาจารย์ละนะ แกจะเอาไหม แกจะเปน็ ไดไ้ หม” นายวงศ์ฯ พอได้ฟังรับสงั่ เช่นนัน้ ก็ไดท้ ลู ตอบไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ว่า เรื่องน้ีข้าพระพุทธเจ้า ขอนําไปคิดดูก่อนว่า จะมีความสามารถเป็นอนุศาสนาจารย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุว่างานอนุศาสนาจารย์เป็นงานละเอียดอ่อน ตอ้ งใชส้ ติปญั ญามาก ทั้งความรู้ความสามารถของข้าพเจ้าก็ยังมีน้อย เกรงว่าจะรับสนองงานนี้ได้ไม่สมความมุ่งหมายของทาง ราชการ ครัน้ แลว้ ทูลกระหมอ่ มฯ ได้ทรงรับส่งั วา่ “เอ้า ถ้าอยา่ งนนั้ แกลองนําเร่อื งน้ไี ปคิดดกู อ่ น” ชั่วเวลาไม่นาน นายวงศ์ เชาวนะกวี ก็ตกลงใจว่าจะลองใช้ความสามารถดู จงึ ได้เข้าเฝา้ กราบทลู ให้ทรงทราบถึงความ ตกลงใจที่จะรับเป็นอนุศาสนาจารย์ได้ เมื่อทูลกระหม่อมฯ ได้ทรงทราบความตกลงใจเช่นน้ัน ก็ทรงพอพระทัยและรับสั่งว่า “ถ้าอย่างน้ัน แกกลับไปร่างโครงการเอามาให้ดูอีกทีว่าควรจะดําเนินการอย่างไรต่อไป” หลังจากน้ัน นายวงศ์ฯ ก็ได้ร่าง โครงการอนุศาสนาจารย์พร้อมทั้งแผนปฏิบัติงาน ทูลเสนอเพ่ือทรงพิจารณา เม่ือได้ทอดพระเนตรร่างน้ันแล้วก็ทรงเห็นชอบ ได้ทรงบันทกึ ไวเ้ ปน็ หลักฐานวา่ “ให้ใช้ตามนี้” และลงพระนามวา่ “อษั ฎางค”์ เร่ิมกิจการอนุศาสนาจารย์ทหารเรือคร้งั แรก เม่ือกระทรวงทหารเรือ เห็นชอบในร่างโครงการอนุศาสนาจารย์ตามท่ีนายวงศ์ เชาวนะกวี เสนอน้ันแล้วก็ได้มีคําส่ัง ให้นายวงศ์ เชาวนะกวี เข้าทดลองปฏิบัติราชการอยู่ก่อน ๑๕ วัน โดยให้น่ังทํางานอยู่ที่กระทรวงทหารเรือเป็นคร้ังแรก กระทรวงทหารเรือในคร้ังน้ัน ต้ังอยู่ระหว่างกรมอู่ทหารเรือและราชนาวิกสภาในปัจจุบัน ระหว่าง ๑๕ วันที่ทดลองปฏิบัติ ราชการอยู่นั้น พล.ร.ต.พระยาปรีชาชลยุทธ ผู้บัญชาการทหารเรือให้อ่าน ข.ทร.(ข้อบังคับทหารเรือ) เมื่อนายวงศ์ เชาวนะกวี ทดลองปฏิบัติราชการครบ ๑๕ วันแล้ว จึงมีคําส่ังบรรจุเป็นอนุศาสนาจารย์ เม่ือวันท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ โดยให้ได้รับ เงินเดือนๆ ละ ๕๐ บาท จึงเป็นอันถือได้ว่าอนุศาสนาจารย์ทหารเรือได้ก่อกําเนิดข้ึนเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ อัน เปน็ วันทีก่ ระทรวงทหารเรือมีคําส่ังบรรจุ นายวงศ์ เชาวนะกวี เปน็ อนศุ าสนาจารย์ นั่นเอง การเรียกขานชื่ออนุศาสนาจารย์ในสมัยน้ัน ทางราชการกําหนดให้เรียก “มหา” นําหน้าช่ือตามภูมิความรู้ที่เปรียญ ไม่ใช้ “นาย” นําหน้าช่ือเหมือนข้าราชการพลเรือนอ่ืน แม้ในการลงนามในหนังสือราชการอนุศาสนาจารย์ก็ต้องใช้ “มหา” นําหน้าช่ือเช่นเดียวกัน การใช้ “มหา” นําหน้าชื่ออนุศาสนาจารย์เพิ่งมาเลิกใช้เมื่อตอนท่ีอนุศาสนาจารย์เปลี่ยนสภาพจาก ขา้ ราชการพลเรอื นมาเป็นขา้ ราชการทหาร โดยใช้ ยศ นาํ หนา้ ช่อื แทนเม่อื พ.ศ. ๒๔๙๗ นีเ่ อง แต่กระน้ันผู้ที่เคยเรียก “มหา” นาํ หนา้ ชื่ออนุศาสนาจารย์จนเคยชินแลว้ กค็ งเรยี กอนุศาสนาจารย์วา่ “มหา” ติดปากอยู่น่ันเอง ฐานะอนุศาสนาจารยใ์ นระยะเร่มิ ต้น กิจการอนุศาสนาจารย์ทหารเรือในระยะเร่ิมต้น มีฐานะเป็นเพียง “อนุศาสนาจารย์” สังกัดอยู่ในกรมเสนาธิการ ทหารเรือ ยังไม่ได้ยกฐานะข้ึนเป็นแผนกหรือเป็นกองอย่างในปัจจุบัน และมีอนุศาสนาจารย์เพียงคนเดียวคือ มหาวงศ์ เชาว นะกวี ด้วยปรีชาสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ทหารเรือคนแรก ความนิยมเลื่อมใสในกิจการ อนุศาสนาจารย์ได้แพร่หลายไปในหมู่ทหารเรืออย่างรวดเร็ว มีหน่วยต่างๆ ร้องขอรับบริการจากอนุศาสนาจารย์มากข้ึน
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๑๗ อนุศาสนาจารย์คนเดียวจึงมีงานล้นมือ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๙-๒๔๗๙ กองทัพเรือได้บรรจุอนุศาสนาจารย์เพิ่มให้อีก ๒ นาย จึงรวมเปน็ มอี นุศาสนาจารย์ในชว่ งนนั้ ๓ นาย โดยมี รองอํามาตย์ตรี มหาวงศ์ เชาวนะกวี เป็นหัวหน้าอนศุ าสนาจารย์ ยกฐานะอนศุ าสนาจารยข์ ึน้ เปน็ แผนกอนศุ าสนาจารย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงจัดส่วนราชการในกองทัพข้ึนใหม่ โดยเฉพาะกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ซึ่งได้เคยตงั้ ข้ึนและได้มคี ําส่งั ยุบเลกิ ไปเม่ือ พ.ศ. ๒๔๖๙ เน่ืองจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศทรุดโทรมหนัก รัฐบาลได้ตัด งบประมาณลง ได้กลับรื้อฟ้ืนต้ังข้ึนมาใหม่และได้โอนกิจการส่วนอนุศาสนาจารย์ ซึ่งสังกัดอยู่ในกรมเสนาธิการทหารเรือ ไป ข้ึนสงั กดั อยู่ในกรมยุทธศึกษาทหารเรือ กับได้ยกฐานะขึ้นเป็นแผนกเรียกว่า “แผนกอนศุ าสนาจารย์” และได้มีคําสั่งแต่งตั้งให้ รองอํามาตยโ์ ท มหาวงศ์ เชาวนะกวี เปน็ หวั หนา้ แผนก เมื่ออนุศาสนาจารย์ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นแผนกและได้ย้ายสังกัดจากกรมเสนาธิการทหารเรือไปขึ้นอยู่ในกรม ยุทธศึกษาทหารเรือแล้ว ก็ได้ย้ายท่ีทํางานไปอยู่ท่ีตึกบวรวิไชยชาญ อันเป็นที่ต้ังของกรมยุทธศึกษาทหารเรือในสมัยน้ัน ตึก บวรวิไชยชาญ ต้งั อยใู่ นพระราชวังเดมิ เนื่องจากเปน็ ตึกเก่าแก่ครั้งกรุงธนบุรีและชํารุดทรุดโทรมมาก ไม่สามารถจะซ่อมบํารุง ได้ ทางราชการจึงได้ร้อื แล้วสร้างตึกกรมยทุ ธศึกษาทหารเรอื ข้นึ แทน กิจการอนศุ าสนาจารย์ในยคุ เป็นแผนกช่วงแรกน้ี เจรญิ กา้ วหน้าข้นึ มกี ารขยายงานกว้างขึน้ ตามหน่วยที่ขยายออกไป ในช่วงระยะน้ีมีเร่ืองเก่ียวข้องกับอนุศาสนาจารย์ท่ีควรจะบันทึกไว้ในประวัติด้วยก็คือ ทางสํานักงานเลขานุการในพระองค์ได้ ขอโอนตัว รองอํามาตย์โท มหาวงศ์ เชาวนะกวี หัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์ไปรับราชการ ณ สํานักราชเลขานุการใน พระองค์ ขาดจากตําแหน่งและอัตราเงินเดือนทางกองทัพเรือ ตั้งแต่วันท่ี ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๘ เม่ือหัวหน้าแผนก อนศุ าสนาจารย์โอนไปแล้ว กองทัพเรอื ได้แตง่ ต้ังให้ รองอํามาตยต์ รี มหาเสง่ียม สุทธิสานนท์ เป็นหัวหน้าแผนกสืบต่อไป และ ไดบ้ รรจุอนุศาสนาจารยใ์ หม่แทนให้ ๑ นาย จาํ นวนอนศุ าสนาจารยใ์ นยคุ เป็นแผนกชว่ งแรกกค็ งมี ๓ นายตามเดิม ต่อมากิจการอนุศาสนาจารย์ในยุคเป็นแผนกช่วงหลังได้ขยายมากขึ้น ตามความเจริญของกองทัพท่ีพัฒนาออกไป เม่ือหน่วยขยายออกไป ภารกิจของอนุศาสนาจารย์ก็ต้องขยายตาม อนุศาสนาจารย์นอกจากจะปฏิบัติงานในหน้าที่อันเป็น ภารกิจโดยตรงแล้ว ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นครูสอนวิชาศีลธรรมและวิชาภาษาไทยในโรงเรียนต่างๆ ของกองทัพเรือด้วย เช่น โรงเรียนเตรียมนายเรอื โรงเรยี นนายเรือง โรงเรียนพนั จา่ โรงเรยี นจา่ พยาบาลเปน็ ตน้ เม่อื งานมมี ากแต่อนุศาสนาจารย์มีน้อย งานจึงล้นมือ ทางราชการเห็นความจําเป็นที่จะต้องมีอนุศาสนาเพ่ิมข้ึน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๒ กองทัพเรือจึงได้บรรจุ อนศุ าสนาจารย์เพ่ิมใหอ้ ีก ๔ นาย จึงรวมเป็นมอี นศุ าสนาจารยใ์ นยคุ เปน็ แผนกชว่ งหลงั ๗ นาย ยกฐานะแผนกอนศุ าสนาจารย์เปน็ กองอนศุ าสนาจารย์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงส่วนราชการในกรมยุทธศึกษาทหารเรือใหม่ โดยยกฐานะหน่วยบาง หน่วยให้สูงข้ึนตามลักษณะของปริมาณงานที่เพ่ิมขึ้น แผนกอนุศาสนาจารย์ เป็นหน่วยหน่ึงที่ได้รับการยกฐานะจากแผนกขึ้น เป็นกองเรียกว่า “กองอนุศาสนาจารย์” (คําส่ังกองทัพเรือที่ ๖๑/๒๔๙๖) และในขณะเดียวกันได้แต่งต้ังให้ รองอํามาตย์ตรี มหาเสงย่ี ม สทุ ธิสานนท์ เปน็ หวั หน้ากอง กองอนุศาสนาจารย์ ซึ่งได้รับการยกฐานะจากแผนกขึ้นเป็นกองน้ัน มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามท่ีระบุไว้ใน ระเบียบกรมยทุ ธศกึ ษาทหารเรอื ท่ี ๕๑ วา่ ดว้ ยหน้าทกี่ องบงั คับการกรมยุทธศกึ ษาทหารเรือ ข้อ ๑๓ ดงั นี้ ข้อ ๑๓ กองอนุศาสนาจารย์ มีหัวหน้ากองเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าท่ีเก่ียวกับกิจการศาสนาและอบรมธรรม แบ่ง งานออกเปน็ ๓ แผนก คือ ๑๓.๑ แผนกวิจยั ๑๓.๒ แผนกอบรมธรรม
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๑๘ ๑๓.๓ แผนกพธิ ี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ กองทัพเรือได้มีการปรับปรุงหน่วยงานภายในกองทัพเรือใหม่อีกคร้ัง โดยกําหนดหน้าที่และ ความรับผิดขอบของหน่วยต่าง ๆ เป็น “อัตราเฉพาะกิจ” (คําสั่งกองทัพเรือท่ี ๗๕/๒๕๑๗) ในอัตราเฉพาะกิจของกรมยุทธ ศกึ ษาทหารเรือ ได้ระบุหนา้ ท่ีและความรบั ผิดชอบของกองอนุศาสนาจารย์ไวใ้ นขอ้ ๔.๕ ดงั นี้ ๔.๕ กองอนุศาสนาจารย์ มีหน้าที่ดําเนินการเกี่ยวกับกิจการอนุศาสนาจารย์ของกองทัพเรืออบรมและสอนศีลธรรม วฒั นธรรม แกท่ หารและบคุ คลในกองทพั เรือ รวมท้งั การดําเนนิ การพธิ ศี าสนา ในปจั จุบนั ได้แบง่ งานออกเป็น๔ แผนกคือ ๔.๕.๑ แผนกวิชาการ ๔.๕.๒ แผนกอบรมศีลธรรม ๔.๕.๓ แผนกศาสนพธิ ี ๔.๕.๔ แผนกจิตนเิ ทศ ในการปรับปรุงกําหนดอัตราเฉพาะกิจคร้ังนี้ ได้กําหนดหน้าที่กองอนุศาสนาจารย์กว้างข้ึน และเปล่ียนช่ือแผนกวิจัย เป็นแผนกวิชาการ แผนกอบรมธรรมเป็นแผนกอบรมศีลธรรม แผนกพิธีเป็นแผนกศาสนพิธี อัตราเฉพาะกิจดังกล่าวนี้ให้เป็น หลักดําเนนิ กิจการอนุศาสนาจารย์ กองอนุศาสนาจารย์ในระยะหลังนี้ มีงานกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก กว้างข้ึนทั้งงานอันเป็นหน้าที่โดยตรงภายใน กองทัพ และงานสนับสนุนหน่วยนอกกองทัพ งานในกองทัพน้ัน มีหน่วยที่จะต้องให้การอบรมขยายเพิ่มขึ้น ท้ังหน่วยใน ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค งานสนับสนุนหน่วยนอกกองทัพน้ัน ได้มีหน่วยราชการ สถานศึกษา สมาคม และวัดวาอาราม ได้ ขอความสนบั สนุนจากกองทพั เรอื โดยขออนศุ าสนาจารยไ์ ปเปน็ วทิ ยากรบรรยายให้ความรู้ทางศาสนาแก่ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ผู้ต้องขังในเรือนจําและทัณฑสถานต่าง ๆ มากขึ้น กองอนุศาสนาจารย์ก็ให้ความสนับสนุนบําเพ็ญ ประโยชน์แก่สังคมในด้านน้ีตลอดมา ด้วยเหตุท่ีกองอนุศาสนาจารย์มีภารกิจและปริมาณงานมากข้ึน กองทัพเรือจึงได้บรรจุ อนุศาสนาจารย์เพิ่มให้ตามความจําเป็นเร่ือยมา ในปัจจุบันกองอนุศาสนาจารย์มีกําลังพลอนุศาสนาจารย์ปฏิบัติงานอยู่ใน ส่วนกลางจาํ นวน ๘ นาย ในส่วนภมู ิภาคจํานวน ๑๘ นาย รวมเปน็ ๒๖ นาย การสง่ อนศุ าสนาจารยไ์ ปประจําหน่วยภมู ภิ าค หน่วยราชการของกองทัพเรือได้ขยายออกไปต้ังประจําอยู่ในภูมิภาคหลายหน่วย หน้าที่และอุดมการณ์ของ อนุศาสนาจารย์คือ ทหารไปอยู่ถึงไหน อนุศาสนาจารย์ต้องไปถึงนั่น ดังน้ันหากหน่วยใดไปตั้งประจําอยู่ในภูมิภาคเป็นการ ถาวรแล้ว และหน่วยน้ันมีกําลังพลมากพอสมควร กองอนุศาสนาจารย์ก็จะประสานงานกับหน่วย ดําเนินการตั้งอัตรา อนุศาสนาจารยป์ ระจาํ หน่วยขึน้ แลว้ สง่ อนุศาสนาจารย์ไปอยู่ประจาํ เพื่อจะได้มโี อกาสอยกู่ บั ทหารอยา่ งใกล้ชดิ การสง่ อนุศาสนาจารยไ์ ปปฏบิ ัตริ าชการสนาม ในปัจจุบันหน่วยของกองทัพเรือ มีทั้งหน่วยเฉพาะกิจและหน่วยประจํา ได้ออกไปต้ังปฏิบัติงานเพื่อความม่ันคงของ ชาตอิ ยใู่ นภูมิภาคในหลายพื้นท่ี โดยเฉพาะในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือและภาคใต้ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื มีหน่วยปฏิบัติ ตามลํานํ้าโขง (นปข.) ต้ังอยู่ในเขตจังหวัดเลย หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี ในภาคใต้มีทั้งหน่วยเฉพาะกิจและหน่วย ประจํา ตัง้ อยู่ในเขตจังหวดั นครศรธี รรมราช สงขลา พังงา นราธิวาส หน่วยต่างๆ เหล่านี้ บางหน่วยปฏิบัติงานอยู่ในเขตพื้นที่ ทุรกันดารและเส่ียงภัย ทหารที่อยู่ประจําหน่วยต้องมีขวัญดีและกําลังใจเข้มแข็ง กองอนุศาสนาจารย์มีหน้าท่ีโดยตรงในการ ส่งเสริมขวัญและกําลังใจทหาร จึงได้จัดส่งอนุศาสนาจารย์หมุนเวียนออกไปอบรมจิตใจและเยี่ยมบํารุงขวัญทหารเป็นประจํา โดยไปรว่ มกินร่วมนอนพักแรมอย่กู บั หน่วยเหลา่ น้ันเช่นเดยี วกับทหารทัง้ หลาย ซึง่ ไดเ้ ริ่มปฏิบัตงิ านนมี้ าต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๑๙
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๑๙ การพฒั นากจิ การอนุศาสนาจารย์ การทํางานของอนุศาสนาจารย์ทหารเรือในปัจจุบัน เราทํางานร่วมกันโดยถือหลักทิฏฐิสามัญญตา กล่าวคือได้มีการ ประชุมอนุศาสนาจารย์ ทั้งอนุศาสนาจารย์ส่วนกลางและอนุศาสนาจารย์ส่วนภูมิภาคเป็นประจํา เพื่อปรึกษาหารือกิจการ อนุศาสนาจารย์ร่วมกัน หากมีสิ่งใดบกพร่องท่ีควรจะแก้ไข ก็ร่วมกันพิจารณาแก้ไข หากมีส่ิงใดที่ควรจะจัดทําและยังมิได้ จัดทํา ก็เสนอแนะให้จัดทําหรือร่วมกันจัดทํา อนุศาสนาจารย์ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็นท่ีจะพัฒนากิจการอนุศาสนาจารย์ ได้โดยไม่จํากัดว่าจะเป็นอนุศาสนาจารย์ผู้ใหญ่หรือผู้น้อย หากมีความเห็นต่างกัน เราก็ถือเสียงข้างมากเป็นหลักในการ ดําเนนิ งาน โดยนยั นี้กิจการอนศุ าสนาจารย์ทหารเรอื จึงดาํ เนนิ ไปอยา่ งราบรนื่ และเขม้ แขง็ อายอุ นุศาสนาจารย์ทหารเรอื กองทัพเรือเร่ิมมีอนุศาสนาจารย์ประจํากองทัพเรือมาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๖๗ จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาได้ ๙๕ ปี ถ้า เป็นอายคุ นกเ็ รยี กวา่ ย่างเขา้ สวู่ ยั ชรา ทุกส่ิงทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นด้านพละกําลัง ความคล่องแคล่วว่องไว หรือความสามารถใน การงาน ล้วนมีแตล่ ะลดน้อยถอยลง แต่อายุของอนุศาสนาจารย์ทหารเรอื หาเปน็ เช่นนั้นไม่วัย ๙๕ ปีของเรากําลังอยู่ในช่วงวัย ฉกรรจ์ กิจการอนุศาสนาจารย์ในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นภารกิจ วิชาการ หรือการบริการแก่หน่วยในกองทัพ ล้วนกําลังก้าวหน้า เขม้ แข็ง แม้เราจะมีกําลังพลน้อย แต่เรากท็ าํ งานกนั ด้วยวญิ ญาณอนุศาสนาจารย์อยา่ งแท้จริง ทําเนียบหัวหนา้ /ผู้อํานวยการ กองอนศุ าสนาจารย์ทหารเรอื นับต้ังแค่มีอนุศาสนาจารย์ในกองทัพเรือเป็นต้นมา มีหัวหน้าอนุศาสนาจารย์ เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบ กจิ การอนุศาสนาจารยส์ บื ต่อกันมาจวบปจั จุบัน จาํ นวน ๑๘ ท่าน มรี ายนามตามลาํ ดับดงั นี้
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๒๐ ทาํ เนยี บ หัวหน้า/ผอ.กอศ.ยศ.ทร. รองอาํ มาตยโ์ ท มหาวงศ์ เชาวนะกวี (พ.ศ.24๖๗ - 2488) 2. น.อ. เสง่ยี ม สทุ ธสิ านนท์ ๓. น.ท. สวัสดิ์ พฒั นเ์ กดิ ผล 4. น.อ. บาํ รงุ จนั ทวานชิ (พ.ศ.248๙ – 2๕๐๒) (พ.ศ. ๒๕๐๒ – ๒๕๐๗) (พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๑๘) ๕. น.อ. นรษิ ฐ์ หรดิ าํ รง ๖. น.อ. อ่อน บญุ ญพนั ธ์ ๗. น.อ. วีระ วัฒนนิรนั ดร (พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๒๕๒๐) (พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๒๒) (พ.ศ. ๒๕๒๒ – ๒๕๒๘)
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๒๑ ๘. น.อ. วฒุ ิ ออ่ นสมกิจ ๙. น.อ. สมจติ รตั นจนั ทร์ ๑๐. น.อ. ธญั นพ ผวิ เผือก (พ.ศ.2๕๒๘ – 2๕๓๐) (พ.ศ. ๒๕๓๐ – ๒๕๓๒) (พ.ศ. ๒๕๓๒ – ๒๕๓๗) ๑๑. น.อ. ปรชี า นันตาภวิ ฒั น์ ๑๒. น.อ. ทองใบ พืน้ มว่ ง ๑๓. น.อ. สุรจติ สงสกลุ (พ.ศ. ๒๕๓๗ – ๒๕๓๙) (พ.ศ. ๒๕๓๙ – ๒๕๔๒) (พ.ศ. ๒๕๔๒ – ๒๕๔๖) ๑๔. น.อ. ทองยอ้ ย แสงสนิ ชัย ๑๕. น.อ. สุรจติ สงสกุล ๑๖. น.อ. สุนทร กลบั พษิ (พ.ศ. ๒๕๔๖ – ๒๕๔๘) (พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๔๘) (พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๔๙) ๑๗. น.อ. สนุ ทร สนั ตธิ ชั ๑๘. น.อ. มนญู จันทร์นวล ๑๙. น.อ. ธรรมนญู วเิ ศษสงิ ห์ (พ.ศ.2๕๔๙ – 2๕๕๒) (พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๕๗) (พ.ศ. ๒๕๕๗ – ปจั จบุ นั )
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๒๒ บทท่ี ๑๐ กองอนศุ าสนาจารย์ กรมเสมียนตรา สาํ นักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ....................................... พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พ ร ะ ร า ช ท า น กํ า เ นิ ด กิ จ ก า ร อ นุ ศ า ส น า จ า ร ย์ ก อ ง ทั พ ไ ท ย เ มื่ อ วั น ที่ ๒ ๙ มิ ถุ น า ย น ๒ ๔ ๖ ๑ โ ด ย มี พระราชประสงค์ให้อนุศาสนาจารย์ เป็นผู้อบรมส่ังสอน บํารุงขวัญและกําลังใจ แก่กําลังพลของกองทัพ กิจการอนุศาสนาจารย์ จึงได้เจริญมาโดยลําดับ ท้ังกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสํานักงานปลัด กระทรวงกลาโหม ต่อ ม า ไ ด้ มี คํ าสั่ ง ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม ( เ ฉ พ า ะ) ที่ ๓ ๖ / ๓ ๓ ล ง วั น ท่ี ๓ ๐ ม ก ร า ค ม ๒ ๕ ๓ ๓ เรื่องแก้ไขอัตราเจ้าหน้าท่ีกระทรวงกลาโหม (ส่วนกลาง) โดยเฉพาะกรมเสมียนตรา ในข้อ ๓ ระบุไว้ว่าขอบเขตรับผิดชอบ และหนา้ ท่ีสําคญั คอื ฯลฯ ๓.๗ ดําเนินการเกี่ยวกับศาสนพิธีต่างๆ และอบรมศีลธรรมแก่ข้าราชการและลูกจ้างของ สว่ นราชการ ในสาํ นักงานปลดั กระทรวงกลาโหม ฯลฯ ตอน ๓ อัตรากําลังพล ระบุไว้ว่า ให้บรรจุอนุศาสนาจารย์ พันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก ผู้ช่วย อนุศาสนาจารย์ พนั โท นาวาโท นาวาอากาศโท วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๓๓ บรรจุ พ.อ.เลื่อน สุนทรเศวต เป็นอนุศาสนาจารย์ กรมเสมียนตรา คนแรก (ข้นึ การบงั คบั บัญชากบั สาํ นักงานผบู้ ังคับบญั ชา) วนั ที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๔ ใหม้ ีการอบรมศีลธรรมและวฒั นธรรมขนึ้ ใน สป. เปน็ คร้งั แรก ความเป็นมากองอนุศาสนาจารย์ กรมเสมยี นตรา สาํ นักงานปลัดกระทรวงกลาโหม คําส่ัง กรมเสมียนตรา (เฉพาะ) ที่ ๑๗๑/๔๓ ลง ๗ ธันวาคม ๒๕๔๓ เรื่อง จัดตั้งกองอนุศาสนาจารย์ กรมเสมยี นตรา (อัตราทดลอง) โดยมี พ.อ.ไชยนาจ ญาติฉิมพลี นายทหารประจํากรมเสมียนตรา ปฏิบัติหน้าท่ี ผู้อํานวยการ กองอนศุ าสนาจารย์ กรมเสมียนตรา คาํ สั่ง สาํ นักงานปลดั กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๒๖๘/๔๗ ลง ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓ เรอ่ื ง การจดั ตั้ง กองอนศุ าสนาจารย์กรมเสมยี นตรา (อัตราเพอ่ี พลาง) มหี นา้ ทดี่ ําเนินการเกี่ยวกบั กจิ การอนุศาสนาจารย์ การศกึ ษา อบรม ศลี ธรรม จรยิ ธรรม วฒั นธรรม การพิธีทางศาสนา การตรวจแนะนาํ การบาํ รุงขวญั และการให้คําแนะนาํ ทางศาสนาทง้ั ปวง ใหแ้ กส่ วนราชการในสงั กัดสาํ นกั งานปลดั กระทรวงกลาโหม แบ่งสว่ นราชการออกเป็น ๓ แผนก คือ แผนกธุรการ แผนกศา สนพธิ ี และแผนกอบรม อนุมตั ิ รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงกลาโหม (ปลัดกระทรวงกลาโหม ผใู้ ช้อํานาจฯ) เม่ือ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ จดั ตั้งกอง อนุศาสนาจารย์ กรมเสมยี นตรา เปน็ อัตราถาวร ให้เป็นหน่วยขนึ้ ตรง กรมเสมยี นตรา เพิ่มข้ึนอีก ๑ ส่วนราชการ
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๒๓ ทาํ เนยี บ หวั หน้ากอง/ผอ.กอศจ.สม. ๑. พ.อ. เลือ่ น สนุ ทรเศวต (พ.ศ.2๕๓๓ – 2๕๔๓) ๒. พ.อ. ไชยนาจ ญาติฉิมพลี ๓. พ.อ. เกรียงไกร เทพนิมติ ร (พ.ศ.2๕๔๓ – 2๕๕๕) (พ.ศ.2๕๕๕ – ปจั จบุ นั )
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๒๔ บทที่ ๑๑ กองอนุศาสนาจารย์ กรมสารบรรณทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ................................. พ.อ. สนทิ หนิ ไชยศรี หก.กอศจ.สบ.ทหาร เม่ือห้วงเดือน เมษายน ๒๕๖๑ พลเอก ธารไชยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในขณะนั้น มีดําริให้ บก.ทท. มีหน่วยงานท่ีรับผิดชอบงานด้านการศึกษา อบรมศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม การพิธีทางศาสนา การบํารุง ขวัญ และการให้คําแนะนําทางศาสนาทั้งปวงแก่ส่วนราชการใน บก.ทท. จึงได้กรุณาส่ังการให้ พล.ท. สุพจน์ ธํามรงค์รัตน์ จก.สบ.ทหาร ในขณะน้ัน พิจารณาหาแนวทางในการจัดต้ังกองอนุศาสนาจารย์ข้ึน โดยให้เป็นหน่วยขึ้นตรงกรมสารบรรณ ทหาร การดําเนินการในเบ้ืองต้น สบ.ทหาร ได้จัดทํารายละเอียดโครงสร้างการจัดและอัตรา ตามนโยบายเสนอท่ี ป ร ะ ชุ ม เ ม่ื อ ๒ ๕ เ ม . ย . ๖ ๑ โ ด ย ใ ช้ ลั ก ษ ณ ะ ป รั บ เ ก ลี่ ย อั ต ร า กํ า ลั ง พ ล ภ า ย ใ น ส่ ว น ร า ช ก า ร บ ก . ท ท . โดย ผบ.ทสส. ได้กรณุ าอนมุ ัติ เม่ือ ๔ ม.ิ ย. ๖๑ โครงสร้าง กอศจ.สบ.ทหาร มีฐานะเป็นหน่วยขึ้นตรง สบ.ทหาร โดยมีการจัดเป็นแบบกลุ่มงานอัตรา กําลังพล จํานวน ๑๒ อัตรา ประกอบด้วย (พ.อ. (๑), พ.ท. (๑), พ.ต. (๒), ร.อ. (๔), จ.ส.อ. (๑), ส.อ. (๓)) โดยปรับเกล่ีย อั ต ร า กํ า ลั ง พ ล ภ า ย ใ น ส่ ว น ร า ช ก า ร บ ก . ท ท . แ ล ะ ใ ห้ ส บ . ท ห า ร อ อ ก คํ า ส่ั ง ท ด ล อ ง ป ฏิ บั ติ ร า ช ก า ร ตามคําสั่งกองบัญชาการกองทัพไทย (เฉพาะ) ที่ ๓๗๔/๖๑ เรื่อง การทดลองปฏิบัติราชการ กอศจ.สบ.ทหาร กองบัญชาการ กองทัพไทย เมือ่ ๗ มิ.ย. ๖๑ โดยมีรายนามดงั น้ี ๑. พ.ท. สนิท หินไชยศรี ๒. พ.ต. ราตรสี งดั มปี ญั ญา ๓. พ.ต. ร่วม มงั่ คล้าย ๔. ร.อ. เมธวี ฒั น์ มาลาย ร.น. ๕. ร.ท. นริ ุต ใจบญุ ๖. ร.ต.หญิง รชั ดา เอย่ี มวบิ ลู ย์ ๗. จ.ส.ต.หญิง ปทุมวดี บุญสง่ ๘. นาย อคพล วินทะไชย ๙. นาย เวนิช หารภมู ิ
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๒๕ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุมัติ โครงสร้าง กอศจ.สบ.ทหาร ตามคําสั่ง กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ท่ี ๔๖/๖๒ เรื่อง แกอ้ ัตรากองบัญชาการกองทพั ไทย กองทัพไทย ลง ๕ ก.พ. ๖๒ พล.อ. ชัยชนะ นาคเกิด เสธ.ทหาร รับคําส่ัง ผบ.ทสส. อนุมัติแก้อัตรากองบัญชาการกองทัพไทย ตามคําส่ังกองทพั ไทย (เฉพาะ) ที่ ๕๕/๖๒ เร่อื ง แกอ้ ัตรากองบัญชาการกองทพั ไทย กองทพั ไทย ลง ๒๒ ก.พ. ๖๒ คาํ ส่งั กองบญั ชาการกองทพั ไทย ท่ี ๑๒๓/๒๕๖๒ เร่อื ง ใหน้ ายทหารสัญญาบตั รรับราชการ ลง ๒๙ ม.ี ค. ๖๒ ให้ พ.ท. สนทิ หนิ ไชยศรี อศจ.รร.ตท.สปท. เปน็ หก.กองอนศุ าสนาจารย์ สบ.ทหาร เปน็ คนแรก ............................
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๒๖ บทที่ ๑๒ ตํานานอนศุ าสนาจารยก์ รมราชทัณฑ์ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการใหม่ โดยเพ่ิมแผนกอนุศาสนาจารย์ขึ้น อกี แผนกหนง่ึ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ แตย่ ังไมม่ ผี ้ดู าํ รงตําแหนง่ หวั หน้าแผนก คร้ันต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ กรมราชทัณฑ์ได้หารือ ไปยงั กองอนศุ าสนาจารย์กองทัพบก เพื่อให้ช่วยเลือกเฟ้นจัดหาอนุศาสนาจารย์กองทัพบก ผู้มีความรู้ความสามารถ มีคุณวุฒิ เหมาะสมให้ เพ่ือแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งหัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์กรมราชทัณฑ์ กองอนุศาสนาจารย์กองทัพบกจึงได้ พิจารณาจัดสง่ ร.อ. วเิ ชาวน์ ทิพยมณฑล ให้ การบริหารงานของอนศุ าสนาจารย์กรมราชทัณฑ์ งานอนุศาสนาจารย์มีหน้าท่ีรับผิดชอบในการวางแผนงานอบรมศีลธรรมเพ่ือฟื้นฟูแก้ไขจิตใจผู้ต้องขัง มุ่งปลูกฝัง ศีลธรรม จรรยา และวัฒนธรรม เพอ่ื ให้ผูต้ ้องขังนําไปเปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิกลบั ตนเป็นพลเมอื งดี งานอบรมศลี ธรรมท่ีจัดทําอยู่ในยคุ ทมี่ ีแผนกอนุศาสนาจารย์ มดี งั นี้ ๑. จดั อบรมผตู้ อ้ งขังเขา้ ใหม่ (แรกรบั ) เพ่อื ให้ทราบระเบยี บข้อบงั คับให้รจู้ ักปรับตวั เข้ากับส่งิ แวดล้อมภายในเรือนจํา ให้รสู้ ิทธแิ ละหน้าที่ ประโยชน์ที่จะไดร้ บั เพ่ือเปน็ การบํารุงขวัญและเป็นประโยชน์แก่การปกครองเรือนจาํ ๒. ประชมุ อบรมผูต้ อ้ งขงั เปน็ ประจําทกุ วัน อยา่ งน้อยสัปดาหล์ ะ ๑ ครั้ง ๓. จัดอบรมผู้ต้องขังเป็นกลุ่มตามประเภทโทษ เช่น กลุ่มประทุษร้ายต่อชีวิต กลุ่มประทุษร้ายต่อทรัพย์ กลุ่มยาเสพ ตดิ ใหโ้ ทษ กล่มุ วยั หนุ่ม เปน็ ตน้ โดยจัดอบรมเป็นประจาํ ทุกวนั หรืออย่างนอ้ ยสปั ดาหล์ ะ ๑ คร้งั ๔. จัดอบรมผู้ต้องขังเป็นรายตัว สําหรับผู้ต้องขังที่มีปัญหาพิเศษ มีประวัติน่าสนใจ เพ่ือแก้ไขความประพฤติเป็น รายบุคคลทกุ ๆ วัน ๕. ก่อนท่ีผู้ต้องขังจะพ้นโทษ โดยเหลือโทษจําอยู่ ๗ วัน จัดอบรมให้เข้าใจในหน้าท่ีพลเมืองดี เบญจศีล เบญจธรรม ตลอดจนวัฒนธรรมและจารตี ประเพณอี นั ดีงามของไทย เพือ่ จะไดเ้ ปน็ ข้อปฏิบัตเิ มอื่ ใชช้ ีวติ อย่รู ว่ มกับสังคมภายนอก ๖. จัดนิมนตพ์ ระสงฆ์แสดงธรรมอบรม ประชมุ ผ้ตู ้องขังฟงั ธรรมโดยพร้อมเพรียงกันทุกวันเสาร์หรอื วันอาทิตย์ ๗. จัดใหผ้ ตู้ อ้ งขงั ฟงั พระธรรมเทศนาทางวทิ ยกุ ระจายเสียงเปน็ ประจําทกุ รายการ ๘. จัดนิมนตพ์ ระหนว่ ยพัฒนาการทางจิต พระธรรมทูต พระธรรมจารกิ เขา้ อบรมผตู้ อ้ งขังตามโอกาส ๙. จดั ใหผ้ ตู้ อ้ งขงั เข้าอบรมธรรมศึกษาตรี โท เอก ตามหลักสูตรของคณะสงฆ์ และจัดสอบไล่รับประกาศนียบัตรเป็น ประจาํ ทุกปี ๑๐. จัดประกอบพิธีทําบุญในเรือนจําและประชุมอบรมผู้ต้องขังในวันสําคัญของทางราชการและวันสําคัญทาง ศาสนาทกุ คร้ัง ๑๑. จดั ผทู้ รงคณุ วฒุ ขิ องพุทธสมาคมท้ังในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดเข้าอบรมผู้ต้องขังเป็นประจํา โดยเฉพาะ การอบรมของผทู้ รงคณุ วฒุ จิ ากพทุ ธสมาคมแหง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์น้ัน งานอนุศาสนาจารย์จัดพาหนะรับ–ส่ง เปน็ ประจําตลอดมา ๑๒. จัดอนศุ าสนาจารย์ ๓ เหลา่ ทัพ เข้าอบรมผตู้ ้องขังเป็นประจาํ ทกุ เดือน ๑๓. จดั ผู้ทรงคณุ วุฒทิ ่ีเป็นนกั เผยแผจ่ ริยธรรมอาสาสมคั รเข้าอบรมผ้ตู ้องขงั ตามโอกาส ๑๔. จัดให้อนุศาสนาจารย์กรมฯ หมุนเวียนกันออกไปอบรมผู้ต้องขังและประสานงานการอบรมตามเรือนจํา และทัณฑสถานเป็นประจํา เดอื นละ ๒ คน
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๒๗ ๑๕. จัดหาอุปกรณ์การอบรมจิตใจ เช่น พระพุทธรูป โต๊ะหมู่บูชาพร้อมเคร่ืองตั้ง ธงชาติ พระบรมฉายาลักษณ์ หนงั สอื หลกั สตู รและคมู่ ือธรรมศึกษา โตะ๊ เรยี นพรอ้ มเกา้ อ้ี อุปกรณท์ างการศกึ ษา โดยการขอตัง้ งบประมาณจัดซ้อื เป็นปๆี ไป ๑๖. จัดให้มีการอุปสมบทผู้พ้นโทษท่ีประสงค์จะอุปสมบทและขอความอุปการะมายังกรมราชทัณฑ์ โดยกรมฯ จะ จัดหาเครอื่ งอฐั บรขิ ารให้ ๑๗. จัดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาอิสลาม เข้าอบรมผู้ต้องขังมุสลิมและเข้าประกอบพิธีทางศาสนาทุกวันศุกร์และ วันสาํ คญั ทางศาสนา ๑๘. จัดให้บาทหลวงหรือศาสนาจารย์เข้าอบรมผู้ต้องขังที่นับถือศาสนาคริสต์และประกอบพิธีทางศาสนาตามลัทธิ ตามโอกาส ๑๙. จดั ทําสถิตผิ ลการอบรมธรรมศึกษา สถิติผู้ต้องขังกระทําผิดต่อปูชนียวัตถุทางศาสนา สถิติผู้ผ่านการอบรมธรรม ศกึ ษาแล้วพน้ โทษไป แล้วกลับมาตอ้ งโทษซาํ้ อีก เพอ่ื ดําเนนิ การใหก้ ารอบรมทเ่ี หมาะสม ๒๐. จัดทําสถิติการที่บุคคลภายนอกบริจาคอาหารและสิ่งของแก่ผู้ต้องขัง จัดตอบขอบคุณ ประกาศอนุโมทนา และ ทาํ ขา่ วการบรจิ าคส่งไปโฆษณาทางวิทยกุ ระจายเสยี งแหง่ ประเทศไทย ๒๑. รบั บรจิ าคหนงั สือธรรมและสารคดจี ากบุคคลภายนอกแลว้ ดําเนนิ การจดั ส่งให้เรือนจาํ เพอื่ ใหผ้ ูต้ อ้ งขังอา่ น ๒๒. รว่ มมือกับกรมการศาสนา จดั อบรมจรยิ ธรรมนกั เรยี นตามที่กรมการศาสนาขอความร่วมมือมา ๒๓. ร่วมมือกับสํานักงานส่งเสริมเยาวชน กระทรวงศึกษาธิการ ดําเนินการหาทางพัฒนาผู้ต้องขังวัยหนุ่ม(เยาวชน) ทางศลี ธรรมและจติ ใจ ๒๔.´เปน็ เจ้าหนา้ ทพ่ี ิธเี ก่ียวกับการกศุ ลของกรมฯ เสนอแนะวิธดี ําเนนิ งานและขออนมุ ตั ิจา่ ยเงินเพื่อการกศุ ลน้นั ๆ ขา้ ราชการกรมราชทัณฑ์ซง่ึ ได้ดํารงตําแหนง่ หวั หน้าแผนกอนศุ าสนาจารย์ ๑. ร.อ. วิเชาวน์ ทิพยมณฑล ป.ธ. ๖ พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๕ ๒. นายอรุณ ฤทธิมตั พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๐๖ ๓. นายพนม นาควเิ วก ป.ธ.๘ พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๙ และ พ.ศ. ๒๕๑๒-๑๕๑๓ ๔. นายไสว ภักดีพรหมมา ป.ธ.๙ รักษาการในตําแหน่งหัวหน้าแผนกอนุศาสนาจารย์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๑๑ และดํารงตําแหน่งหวั หนา้ แผนกอนุศาสนาจารย์ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๒๑ ๕. นายมงคล พรพลทอง ป.ธ. ๙ ปฏิบตั ิหน้าทีห่ ัวหนา้ งานอนุศาสนาจารย์ ตัง้ แตว่ ันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๑-๒๕๒๒ ...................................
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๒๘ บทท่ี ๑๓ ตํานานอนุศาสนาจารย์ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธิการ ................................ เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ สมัยคณะรัฐบาลโดยมีท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดํารงตําแหน่ง นายกรัฐมนตรี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้พิจารณาเห็นว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แพร่หลายในด้านประชาชนนั้น เป็นความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่ง เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติไทยมานานแล้ว และ ประชาชนในทวีปเอเชียก็นับถือเป็นส่วนมาก ทั้งเป็นศาสนาท่ีสมควรได้รับการยกย่องส่งเสริมให้มากท่ีสุดเท่าท่ี เป็นอยู่ ณ บดั นี้ การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ยังหาได้เป็นไปตามทางท่ีควรดังกล่าวนั้นไม่ แม้ว่าพระสงฆ์มีหน้าที่ เผยแผ่อยู่แล้ว แต่ก็อยู่ในกรอบแห่งสมณะสารูปและตามสมณะวิสัย การที่จะเผยแผ่ให้แพร่หลายโดยรวดเร็ว ทั่วทิศทาง และให้ได้ผลตามความประสงค์น้ัน สมควรใช้อนุศาสนาจารย์ช่วยดําเนินการประสานงานทางฝ่าย ฆราวาสและช่วยเหลือคณะสงฆ์ ให้การเผยแผ่กว้างขวางออกไป กล่าวคือคณะสงฆ์ทําการเผยแผ่ตามกิจวัตร และตามสมณะวิสัย อนุศาสนาจารย์ทําการเผยแผ่ตามกําหนดหน้าท่ีและวิธีการท่ีจะพึงทําได้สะดวกแก่คฤหัสถ์ ดว้ ยกนั จึงมอบนโยบายน้ีให้กรมการศาสนาพิจารณาหาทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยใช้ อนุศาสนาจารย์เป็นผู้ดําเนินการอีกทางหน่ึง กรมการศาสนาจึงได้ประชุมเจ้าหน้าท่ีหารือกันจัดวางโครงการ ดําเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตลอดจนวางอัตรากําลังและกําหนดเจ้าหน้าที่ในการน้ีพร้อมด้วยหลักการ เผยแผโ่ ดยเรยี บร้อย แต่ยงั ไม่สาํ เร็จผล เพราะไม่มีงบประมาณ ต่อมาในปี ๒๔๘๖ ได้ติดต่อขอยืมอนุศาสนาจารย์จากกรมยุทธศึกษาทหารบก กระทรวงกลาโหม มาดําเนนิ การไปพลางกอ่ น ๓ นาย คือ ๑. นายโปร่ง พีรคมั ๒. นายแยม้ ประพัฒน์ทอง ๓. นายแปลก สนธริ กั ษ์ โดยให้เขียนบทความรู้เก่ียวกับจริยศึกษาบรรยายทางวิทยุกระจายเสียงเดือนละคร้ัง และ ส่งออกไปเผยแผ่ตามส่วนภมู ภิ าค เทา่ กาํ ลงั ท่ีมแี ละทท่ี าํ ได้ ปรากฏผลเปน็ ท่ีพึงพอใจแกป่ ระชาชนและนักเรียน เป็นอย่างยิ่ง ตามรายงานของครู อาจารย์โรงเรียนต่างๆ และของคณะกรรมการจังหวัดที่รายงานมาให้กรมการ ศาสนาทราบ ท้ังนี้ก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่า งานเผยแผ่น้ีสําคัญและจําเป็นเพียงไร ถ้าจะขยายให้กว้างกว่าน้ี ก็จะเกิดผลไพศาลตามนโยบาย แต่ได้จัดทําไปได้ไม่เท่าไร ก็ต้องระงับอีก เพราะกระทรวงกลาโหมได้เรียก อนุศาสนาจารย์กลับคืนไปใช้ในราชการสนาม ๒ นาย คือ นายโปร่ง พีรคัม และ นายแย้ม ประพัฒน์ทอง คงเหลืออยู่เพียงคนเดียว คือ นายแปลก สนธิรักษ์ ก็ทําไปตามกําลังเท่าท่ีจะทําได้ ตลอดปี ๒๔๘๕-๒๔๘๖ ไม่ได้ทําเตม็ เมด็ เตม็ หน่วยตามโครงการ ในปี พ.ศ.๒๔๘๗ จึงได้งบประมาณมา งานนี้จึงจัดแบ่งส่วนราชการตามพระราชกฤษฎีกา ต้ัง แผนกอนุศาสนาจารย์ อยใู่ นสาํ นกั งานเลขานุการกรมการศาสนา ซ่ึงมีอัตราดังน้ี หัวหน้าแผนก ๑ ประจําแผนก ๔ เสมียน ๑ รวม ๖ อัตรา ไดป้ ฏิบตั ิงานดา้ นการอบรมศลี ธรรมวฒั นธรรมแก่ประชาชนและนกั เรียนตลอดมา เทา่ กาํ ลงั ที่มอี ยู่
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๒๙ ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ กรมการศาสนาได้ดําเนินการติดต่อกับ ก.พ. ขอแบ่งส่วนราชการในกรมการ ศาสนา โดยขอให้ยกแผนกอนุศาสนาจารย์ขึ้นเป็นกอง ทาง ก.พ. อนุมัติให้ตั้งเป็นกองอนุศาสน์ แต่ไม่แบ่งแยก เปน็ แผนกต่างๆ ดงั ท่เี สนอไป คือให้มหี ัวหนา้ กอง และจะขอตงั้ อนุศาสนาจารย์ โท ตรี และเสมียน เปน็ อันวา่ กองอนุศาสน์มีอัตรากําลังเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติงานเพียง ๕ คนเท่านั้น ไม่เพียงพอแก่งานท่ีจําเป็นจะต้องปฏิบัติให้ กวา้ งขวางตอ่ ไปอีก คร้ันต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๑ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม กรมการศาสนาได้รับโอน ข้าราชการสภาวฒั นธรรมแหง่ ชาติ มาดาํ รงตาํ แหน่งในกองอนุศาสน์ ดงั น้ี หวั หนา้ กอง ๑ อนุศาสนาจารย์โท ๒ รวมกับข้าราชการทม่ี อี ยแู่ ลว้ รวม ๘ อัตรา แต่ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอทวั่ ถงึ สาํ หรบั ท่จี ะออกปฏบิ ตั ิงานใหไ้ ดผ้ ล ตามนโยบายของรฐั บาล ดังนนั้ งานอบรมจําตอ้ งทาํ กันไปเท่ากําลังทพี่ อจะทาํ ไดต้ ลอดมาจนถึงปจั จุบนั น้ี ๑. งานในหน้าทีข่ องกองอนศุ าสน์ เนื่องจากกองอนุศาสน์ เป็นกองวิชาการ ท่ีนับว่าสําคัญมากของกรมการศาสนา เพราะมีหน้าที่ เผยแผ่พระพุทธศาสนา และเผยแผ่กิจกรรมการพระศาสนา อบรมศีลธรรม จรรยา มารยาท วัฒนธรรม แก่ ประชาชนท่ัวไป ท้ังในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอบรมศีลธรรม วัฒนธรรม มารยาทในการสังคมแก่ เยาวชนชายหญิงของชาติ ตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ให้นักเรียนมีความประพฤติดีงาม เพ่ือเป็น พลเมืองดีของประเทศไทยในอนาคต สมตามนโยบายการศึกษาของรัฐที่แถลงไว้ แต่กองน้ีมิได้ต้ังเป็นแผนกๆ โดยถือว่า เป็นกองนโยบายในหน้าท่ีดังกล่าว ซ่ึงนโยบายของงานจําเป็นต้องผันแปรตามนโยบายของรัฐและ เหตุการณ์ที่จะต้องปฏิบัติเฉพาะหน้า ท้ังๆ ท่ีหน้าท่ีต่างๆ อาจแบ่งเป็นแผนกได้ อนุศาสนาจารย์ ซ่ึงเป็น เจ้าหน้าท่ีของกองก็ร่วมกันรับผิดชอบทุกคน มากน้อยตามตําแหน่งช้ันและอาวุโส โดยการปฏิบัติงานของกองน้ี สว่ นใหญต่ ้องปฏิบตั เิ ปน็ ทีมเวิร์ค มหี วั หน้ากองเปน็ ผู้บังคับบญั ชา มีอนุศาสนาจารย์โทเป็นเสมือนหัวหน้าแผนก และผู้ช่วยหัวหน้ากอง ประกอบด้วยอนุศาสนาจารย์ ซ่ึงล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญในการส่ังสอนอบรม ศีลธรรม ทุกคนเปน็ ผรู้ ่วมกนั ปฏบิ ตั ิ งานในหนา้ ท่ขี องกองอนศุ าสน์จําแนกไดด้ งั นี้ (๑) ปฏิบัติราชการตามนโยบายของกรมการศาสนา ก. เชิดชทู ะนุบํารงุ พระพทุ ธศาสนา ซ่งึ เปน็ ศาสนาสาํ คัญประจําชาตไิ ทย ข. ปลูกฝงั อบรมประชาชนชาวไทย ให้มจี ติ ยึดมนั่ ในหลกั ธรรมแห่งพุทธศาสนา ค. เผยแพร่พระพุทธศาสนาใหแ้ ผ่ไพศาล ฆ. จะอาศยั การศาสนา อบรมประชาชนใหม้ ีศีลธรรมอันดีงาม ง. จะคมุ้ ครองปอ้ งกนั และรกั ษาเสถยี รภาพของพระพุทธศาสนาให้คงอยูด่ ้วยดี (๒) งานหอ้ งสมดุ การศาสนา มหี นา้ ทีเ่ ก็บรวบรวมสรรพหนงั สือทเ่ี กย่ี วดว้ ยการศาสนาทวั่ ไป ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ กองอนุศาสน์จัดพิมพ์และท่ีกรมหาได้มาเก็บไว้เป็นส่วนสัด เพ่ือสะดวกแก่ การค้นคว้าและจัดหาทุนพิมพ์หนังสือเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโอกาสอันสมควร เช่น วันวิสาขบูชา วัน อาสาฬหบูชา เป็นต้น แจกจ่ายประชาชนและห้องสมุดท่ัวประเทศ พร้อมท้ังมีหน้าที่ให้คําชี้แจงแนะนําข้อข้อง ใจเกีย่ วกบั พระศาสนา ศีลธรรม วฒั นธรรม แก่นักศึกษาและประชาชนที่มาติดต่อขอความเข้าใจทุกกรณี และมี หน้าท่ีสรา้ งรวบรวมภาพยนตรท์ ่ีเก่ยี วกับเหตุการณ์ตา่ งๆ ทางพระศาสนาและวฒั นธรรมของกรมการศาสนาไว้ เพื่อเผยแผ่ด้วย ตามกาํ ลังงบประมาณและความจาํ เปน็ (๓) งานค้นคว้าและเรียบเรียงหนังสือศาสนา มีหน้าที่ค้นคว้าในด้านพระพุทธศาสนา และ วัฒนธรรม ทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า โยชนา คนั ถี และคมั ภรี ์สทั ทศาสตร์ตา่ งๆ ทัง้ ฉบบั บาลี
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๓๐ ฉบับไทย และฉบับต่างประเทศ เพื่อให้ได้หลักฐานทางธรรมะและเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอย่าง แนน่ อนถูกตอ้ ง ใช้เปน็ แนวในการอบรมสั่งสอนของกอง และแก้ข้อขอ้ งใจของประชาชนท่ีมักสอบถามมาเสมอๆ ผลของการค้นคว้าที่ได้ ก็เรียบเรียงขึ้นเป็นตําราบ้าง เป็นบทความบ้าง เพ่ือกองเก็บไว้เป็นสมบัติของราชการ และพิมพ์เผยแผ่ในโอกาสอันควร (๔) งานเผยแผ่ทางวิทยุกระจายเสียง มีหน้าที่เป็นกรรมการวิทยุกระจายเสียง มีหน้าท่ีเป็น กรรมการวิทยุกระจายเสียง กระทรวงศึกษา กรมประชาสัมพันธ์ จัดรายการวิทยุกระจายเสียง กระทรวงศึกษาธิการเป็นประจํา และประจําวันพระร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งต้องจัดกันเป็นเดือนๆ ทุก เดือน ประจํามาหลายปีแล้ว และมีหน้าที่เรียบเรียงบทความเรื่องเก่ียวกับจริยธรรม ศีลธรรม ไปบรรยายทาง วิทยุกระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์ ตามวาระเป็นประจําทุกเดือน จัดหาเรื่องท่ีเป็นของดีของไทย ในด้าน ศาสนาไปอภปิ รายทางวิทยุกระจายเสยี งของกระทรวงศกึ ษาธิการ ในรายการของดีของเมอื งไทย เปน็ ประจําทุก เดือนเช่นกนั และจัดบทความไปบรรยายในรายการธรรมรักษา ณ สถานีวิทยศุ ึกษา เป็นประจําทุกเดือน ในบาง โอกาสกจ็ ดั แสดงละครเผยแผศ่ ลี ธรรมทางวิทยุแห่งประเทศไทย ตามบทที่จัดเรียบเรียงขึ้นจากเค้าเรื่องในคัมภีร์ ชาดก พร้อมทั้งเลือกสรรและประพันธ์บทวิทยุสุภาษิตานุสรณ์ท่ีเห็นว่า เป็นคติเหมาะแก่เหตุการณ์ส่งไป บรรยายทางวิยกุ ระจายเสียงเป็นคราวๆ ไปดว้ ย (๕) งานอบรมประชาชนและเยาวชนของชาติ โดยปฏิบัติราชการตามพระราชบัญญัติคณะ สงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ร่วมมือกับองค์การเผยแผ่ ทําการอบรมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาแก่ประชาชน นกั เรยี น นกั ศกึ ษา โดยรว่ มมอื กบั กระทรวงศึกษาธกิ าร คือมีหนา้ ที่วางแนวและวธิ กี าร พร้อมทงั้ ปฏบิ ตั ิเองด้วย ในการอบรมศลี ธรรมจรรยาแกน่ ักเรียน ตามโรงเรียนต่างๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในโรงเรียนราษฎร์ และโรงเรยี นรัฐบาล โรงเรยี นอาชีวะ ท่วั พระราชอาณาจักร โดยพยายามใชห้ ลกั ในการอบรม ใหเ้ หมาะแก่กาละ ภาวะเหตุการณ์ของนักเรียนเป็นคราวๆ งานน้ีต้องทําประจําตลอดท้ังปีในสมัยการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธิการ โดยหัวหน้ากองได้จัดแบ่งแยกอนุศาสนาจารย์หมุนเวียนกันไปปฏิบัติหน้าท่ีตามท้องถิ่น ต่างๆ วันละหลายๆ โรงเรียน นับเป็นงานที่หนักมากทั้งในด้านกําลังสมองและกําลังกาย เพราะต้องตระเวนไป ตามโรงเรียนต่างๆ ให้ครบตามกําหนดที่วางไว้เป็นตารางประจําวัน งานอบรมประชาชนและเยาวชนของชาตินี้ มีจุดประสงค์ คอื ก. อบรมให้มีความเข้าใจและศรัทธาซาบซ้ึงในพระพุทธศาสนา ข. ให้รู้จักหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ค. ให้รู้จักหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนและปฏิบัติตามหลักธรรมในพระศาสนา ฆ. ให้รู้จักหน้าที่ของพลเมือง ตั้งอยู่ในศีลธรรม วัฒนธรรม ง. ให้รู้จักรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักเกียรติ รักอิสรภาพ และพร้อมที่จะพลีชีพ เพ่ือชาติ จ. ให้รู้จักประพฤติตนเป็นพทุ ธมามกะ (๖) งานเผยแผ่ความรู้ มีหน้าท่ีออกไปแสดงปาฐกถาเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนา ศีลธรรม วัฒนธรรม ในท่ีชุมนุมชน สมาคมและสโมสรทั่วไปท่ีขอร้องและเชิญมา งานนี้สัมพันธ์อยู่กับงานค้นคว้าเรียบ เรียงและงานห้องสมุดดังกล่าวแล้วข้างต้น ในการออกไปเผยแผ่นี้ ถ้าสมควรก็นําภาพยนตร์เรื่อง พระพุทธศาสนาท่ีมีอยู่ออกไปฉายประกอบด้วย แม้ในที่บางแห่งเช่นในต่างประเทศเป็นต้น ท่ีไม่สามารถจะไป ได้ เนอื่ งดว้ ยไม่มงี บประมาณ เม่อื ไดร้ ับคําร้องขอ กจ็ ดั ส่งบทความและภาพยนตรอ์ อกไปเผยแผ่เหมือนกนั เช่น
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๑๓๑ ส่งบทความรู้เร่ืองพระพุทธศาสนาของไทยในประเทศพม่า ส่งเรื่องประวัติพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ให้ ประเทศญีป่ ุน่ และส่งภาพยนตรเ์ รือ่ งพระพุทธศาสนาและวฒั นธรรมไทย ไปฉายทสี่ ิงคโปร์ เปน็ ตน้ (๗) งานอุปกรณ์แก่ราชการกองต่างๆ มีหน้าท่ีช่วยราชการฉุกเฉินและที่สําคัญๆ ของกองต่างๆ ทั้งในด้านธุรการและวิชาการ เช่น จัดอนุศาสนาจารย์ช่วยกองสังฆการีทําหน้าท่ีปฏิบัติพระสงฆ์ในงานพระราช พิธี และรัฐพิธีสําคัญๆ ซ่ึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติมากเป็นพิเศษ ช่วยประพันธ์คําร้อยกรองและคําประกาศใน พิธีการต่างๆ ให้กรม และช่วยเป็นธุระในด้านจัดพิมพ์หนังสือ หรือสารคดีในหน้าท่ีของกรมด้วยเป็นต้น นอกจากนี้งานในด้านวิชาการต่างๆ ท่ีกรมการศาสนารับภาระมาจากกระทรวง หรือจากกรม กองอื่น ก็ตกเป็น หน้าท่ีที่ต้องช่วยเหลือให้งานน้ันลุล่วงไปด้วยดี แล้วแต่ท่านอธิบดีจะมอบหมายมา และกองได้จัดพิมพ์หนังสือ มิ่งมงคล วัดสําคัญ ส่วนกลางส่วนภูมิภาค แจกตามห้องสมุดและหน่วยราชการต่างๆ ตลอดจนนักเรียน พระภกิ ษุ สมาคม (๘) งานพิเศษ กองอนุศาสน์ ได้ช่วยงานต่างๆ หลายอย่างเช่น งานวันเด็กแห่งชาติ มีการจัด รวบรวมและพิมพ์หนังสือนําทัศนาจรวัดท้ังส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพ่ือจําหน่ายในงานวันเด็กแห่งชาติ รับ หน้าท่ีจัดประกวดเรียงความส่งเสริมศีลธรรมสําหรับนักเรียนในงานวันเด็กแห่งชาติ เริ่มด้วยเขียนระเบียบการ ประกวด ประกาศ ตรวจและตัดสิน ตลอดจนจัดรางวัล ติดต่อนักเรียนท่ีได้รับรางวัลให้มารับรางวัลในงานวัน เด็กแหง่ ชาติ (๙) รว่ มกับกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ให้การอบรมอาจารยใ์ หญ่ ครูใหญ่ ผ้ชู ่วยทว่ั ราชอาณาจกั ร หวั หนา้ แผนก หัวหนา้ กองทัง้ หมดของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เปน็ การเผยแผศ่ ลี ธรรม วัฒนธรรม มนุษยสมั พันธ์ ๒. ปรมิ าณและคณุ ภาพของงาน กองอนุศาสน์มีอัตรากาํ ลังเจา้ หนา้ ที่ผู้ปฏบิ ัตอิ ยทู่ ง้ั หมดเพยี ง ๘ คน เทา่ นนั้ เปน็ หวั หน้ากอง ผ้บู ังคับบัญชา ๑ เป็นเสมยี นพนกั งาน ๑ นอกน้อี กี ๖ คน เป็นอนุศาสนาจารย์ ซึ่งเป็นหัวแรงอนั สําคัญของกอง อนุศาสนาจารย์ทงั้ ๖ นี้ ดาํ รงตําแหนง่ อนุศาสนาจารย์โท ๓ อกี ๓ เปน็ อนศุ าสนาจารย์ตรี แม้มีอัตรากําลังเพียง เท่านี้ ก็มปี รมิ าณงานท่ไี ด้ปฏิบตั ิไปแล้วมาก โดยสมรรถภาพและมีคณุ ภาพอย่างย่งิ จริงๆ ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๕๐๖ ประกาศใชพ้ ระราชกฤษฎกี าแบง่ สว่ นราชการกรมการศาสนาใหม่เป็น ๗ กอง ไดเ้ ปล่ยี นจากกองอนศุ าสน์ เป็นกองจริยศึกษามี ๒ แผนก ๑. แผนกศาสนาจารย์ ๒. แผนกส่งเสรมิ และเผยแพรจ่ รยิ ศกึ ษา ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ไดม้ ปี ระกาศคณะปฏิวตั ิ ฉบับที่ ๒๑๗ ลงวนั ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ ใหโ้ อน กองวัฒนธรรม สํานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร มาสงั กัดในกรมการศาสนา ทาํ ให้กรมการศาสนาแบง่ ส่วน ราชการออกเป็น ๘ กอง กองจริยศึกษามี ๒ แผนก คงเดิม ในปี ๒๕๑๖ คณะกรรมการปรับปรุงหน่วยราชการของคณะปฏิวัติได้ให้ความเห็นชอบให้ กรมการศาสนา แบง่ ส่วนราชการในกองและในสํานักงานออกเป็นฝ่ายตา่ งๆ ตามลักษณะงานท่ีเป็นฝา่ ยวิชาการ หรือการจัดดําเนินการที่มิใช่งานบริหารทั่วไป เป็น ๕ กอง ๓ สํานักงาน โดยยุบกองจริยศึกษา เป็นฝ่ายจริย ศกึ ษา อยู่ในกองศาสนศกึ ษา ต่อมาในปี ๒๕๒๐ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอตั้งสํานักงานสภาเผยแพร่ศาสนาและศีลธรรม ไปยงั คณะท่ีปรึกษาระเบียบบริหารของนายกรัฐมนตรี ในสมยั นายธานินทร์ กรับวเิ ชยี ร เปน็ นายก
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๓๒ รัฐมนตรี พลโท บุญเรือน บัวจรูญ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่า การจัดต้ัง สํานักงานขึ้นมาใหม่ ไมอ่ าจแก้ปญั หาได้ ควรปรบั ปรงุ งานท่ีมีอย่แู ล้วในกรมการศาสนาซงึ่ ปฏิบัตอิ ย่แู ลว้ นัน้ ให้มฐี านะสูงข้ึนระดบั กองได้ คือ ขอใหย้ กฐานะฝา่ ยจริยศึกษา ซึ่งอยู่ในกองศาสนศึกษา ขึน้ เปน็ กองจรยิ ศึกษา ในปีงบประมาณ ๒๕๒๑ ตอ่ ไป ในปี ๒๕๒๒ คณะรฐั มนตรไี ด้เห็นชอบด้วย ทีย่ กฐานะฝา่ ยจรยิ ศึกษาข้ึนเปน็ กองจรยิ ศกึ ษา โดยมอี ัตรากําลงั ดังน้ี กองจรยิ ศกึ ษา แบ่งงานออกเปน็ ๔ ฝ่าย ๑. ฝา่ ยธรุ การ ๒. ฝา่ ยอนุศาสนาจารย์ ๓. ฝ่ายสง่ เสริมเผยแพรจ่ รยิ ธรรม ๔. ฝ่ายจริยานิเทศ ในปัจจุบันนี้ งานอนุศาสนาจารย์ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ถูกยุบภารกิจไป ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาแบ่งหน่วยงานเป็น สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ กรมการ ศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม โดยปัจจุบันเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาที่เคยเป็นอนุศาสนาจารย์ ได้ถูกจัดให้ไปอยู่ ในกลุ่มส่งเสริมวิชาการพระพุทธศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมทั้งมีภารกิจใหม่ที่ไม่ใช่งานของ อนุศาสนาจารย์ ....................................
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๓๓ บทที่ ๑๔ ประวตั ิความเป็นมาของอนศุ าสนาจารย์ตํารวจ1 .......................... ยุคแรกเรม่ิ แต่เดิมนั้น คําว่า อนุศาสนาจารย์ตํารวจ เร่ิมมีปรากฏครั้งแรกเม่ือใด ไม่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัด แต่เร่ิม ปรากฏเป็นรูปธรรมครั้งแรก ตามข้อมูลทสี่ ามารถสืบค้นได้น้นั กลา่ วคือ เมือ่ ประมาณปพี ุทธศกั ราช ๒๔๙๗ กรมตํารวจ โดย ท่าน พลตาํ รวจเอก เผา่ ศรยี านนท์ อธิบดกี รมตํารวจ (ในขณะนัน้ ) ไดม้ นี โยบายให้ย้ายโรงเรียนนายร้อยตํารวจ ซึ่งได้ก่อสร้าง ขึ้นใหม่ที่อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมีคําส่ังให้ พันตํารวจเอก วิจิตร สุกโชติรัตน์ หรือมหาวิจิตร เป็นผู้ทําหน้าที่ อนุศาสนาจารย์ และสอนวิชาจริยธรรมแก่นักเรียนนายร้อยตํารวจ และท่านผู้นี้เอง เป็นผู้ตั้งคําขวัญประจําช้ันปีของ นักเรียนนายร้อยตํารวจท้ัง ๔ ชั้นปี ติดไว้ประจําอาคารนอนของนักเรียนนายร้อยตํารวจ ท้ัง ๔ อาคาร ความว่า \"เกียรติศักด์ิ รักษ์วินัย วิจัยกรณี ขันตีอุตสาหะ\" ต่อมาได้มีการรับโอนอนุศาสนาจารย์กองทัพบก มาทําหน้าที่เป็นอาจารย์สอนวิชา จริยธรรมที่โรงเรียนนายร้อยตํารวจ อีกหลายท่าน เช่น พันตํารวจเอก เขียน รัตนสุวรรณ เป็นต้น แต่ก็ไม่มีการต้ังเป็น หน่วยงานสายวิทยาการขน้ึ มา และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ในภายหลังไม่มีการรับโอนอนุศาสนาจารย์จากกองทัพมาเพ่ิมเติม คํา ว่า อนุศาสนาจารย์ จึงค่อยๆเลือนหายไปจากกรมตํารวจ ยุคก่อต้ังหน่วยงาน กระทั่ง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสํานักงานตํารวจแห่งชาติฉบับใหม่ ขึ้น และระเบียบสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ว่าด้วยการกําหนดอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งกฎหมายและระเบียบทั้ง ๒ ฉบับน้ี เป็นท่ีมาของการต้ังหน่วยงานอนุศาสนาจารย์ตํารวจ ในชื่อ กลุ่มงาน อนุศาสนาจารย์ สาํ นกั งานตาํ รวจแหง่ ชาตขิ ้ึน มสี ถานะเทยี บเทา่ กองกํากับการ อยใู่ นสังกัด กองสวัสดิการ สํานักงานกําลังพล โดยมี พันตํารวจเอก สายณั ห์ ภสู่ มบรู ณ์ เป็นผูก้ าํ กับการกลมุ่ งานอนศุ าสนาจารยค์ นแรก ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ในขณะน้ัน คือ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ท่านได้เล็งเห็น ถึงความสําคัญของงานอนุศาสนาจารย์ จึงมีดําริให้จัดฝึกอบรมตํารวจผู้ทรงคุณวุฒิ ทําหน้าท่ีศาสนพิธีกรประจําหน่วย ใน สงั กดั สํานกั งานตาํ รวจแห่งชาติ เป็นรนุ่ แรก (ปัจจุบนั ผ่านการอบรมจาํ นวน ๔ รุน่ ) ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๕๘ สํานักงานตาํ รวจแหง่ ชาติ ไดร้ บั โอนอนุศาสนาจารย์กองทัพบก คือ ร้อยโท ปณัฐชัย โป๊ะไธสง อนุศาสนาจารย์ กรมทหารม้าท่ี ๖ มาเป็นอนุศาสนาจารย์ตํารวจ ในตําแหน่งรองสารวัตร กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ กองสวัสดกิ าร เพ่อื มาทําหน้าทเ่ี ปน็ อนศุ าสนาจารย์ต้นแบบ ใหแ้ ก่อนุศาสนาจารยต์ ํารวจในปัจจุบันและอนาคต กรอบหนา้ ท่แี ละภารกจิ กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ กองสวัสดิการ สํานักงานกําลังพล สํานักงานตํารวจแห่งชาติ มีหน้าท่ีและภารกิจ รับผดิ ชอบเกย่ี วกับกิจการของอนุศาสนาจารย์ อํานวยการและดาํ เนินการเก่ียวกับศาสนพิธี ให้คําแนะนําแก่ผู้บังคับบัญชา ใน 1 ว่าที่ พนั ตํารวจตรี ปณัฐชัย โปะ๊ ไธสง, สารวัตร กลุ่มงานอนุศาสนาจารย,์ รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูล
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๓๔ ปัญหาท้งั ปวงท่เี กี่ยวกับศาสนาและขวัญของตํารวจ รวมท้งั งานอ่นื ทไี่ ดร้ ับมอบหมายตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและ คําส่ังของผ้บู ังบญั ชา โดยปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ ดังน้ี ๑. งานธรุ การ สารบรรณ และทะเบยี นพลของกลมุ่ งาน ๒. คน้ ควา้ วิทยาการอันเปน็ ประโยชนเ์ ก้อื กูลแก่งานอนุศาสนาจารย์ ๓. รวบรวมและเรียบเรียงตํารา รวมทัง้ สร้างอุปกรณ์การสอน อบรมในหน้าท่ีอนศุ านาจารย์ ๔.รับผดิ ชอบการจัดทําวารสารทางด้านศาสนา ๕.รบั ผิดชอบการจดั ทําปฎทิ นิ งานและจดหมายเหตุ ๖.ดําเนินการเรอ่ื งจุลสารทางศีลธรรม และวัฒนธรรมของกองอนศุ าสนาจารย์ สาํ หรับแจกจ่ายภายในหน่วย ในสังกัดสํานกั งานตํารวจแหง่ ชาติ ๗. วางแผน จดั ทาํ โครงการ ประสานงาน กํากบั ดูแลการอบรมศลี ธรรมวฒั นธรรม การพัฒนาจริยธรรม และ การรายงานผล ๘.ดําเนินการเรื่องการอบรมทางศีลธรรม และการอบรมกรณีอ่ืนๆ เป็นพิเศษตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ๙.ประเมนิ ผลการอบรมศลี ธรรม และการพฒั นาจริยธรรม ๑๐.ดาํ เนนิ การทางดา้ นพธิ ีและการบริการทางศาสนพธิ ี ๑๑.รบั ผิดชอบอุปกรณ์ประกอบพธิ ี ๑๒.ใหค้ าํ แนะนําและกวดขันการปฎบิ ตั ิพิธีของอนุศาสนาจารย์ และผชู้ ่วยอนุศาสนาจารย์ ๑๓.ดาํ เนนิ การประสานและนมิ นตพ์ ระสงฆใ์ นพิธีการทเี่ ก่ียวข้อง ๑๔.รับผิดชอบการจัดอนุศาสนาจารย์ปฏิบตั พิ ธิ ี ๑๕.ดําเนนิ การดา้ นพธิ แี ละการกุศลของสาํ นกั งานตาํ รวจแหง่ ชาติ ในส่วนทเ่ี กีย่ วข้องหรอื ของหนว่ ยงานตามท่ี ผ้บู งั คับบัญชาสงั่ การหรอื มอบหมายอํานาจหนา้ ท่ี ๑๖.งานอ่ืนๆ ท่ผี บู้ งั คับบญั ชามอบหมาย โครงสรา้ งหนว่ ย (ปัจจบุ ัน) กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์ มีสถานะเทียบเท่ากองกํากับการ มีอัตราบรรจุตําแหน่งตามโครงสร้างปัจจุบัน ดังน้ี ๑. ผกู้ าํ กับการ กล่มุ งานอนุศาสนาจารย์ คือ พันตํารวจ วรี ศกั ด์ิ ทองสาริ ๒. รองผู้กาํ กบั การ กลุ่มงานอนศุ าสนาจารย์ คือ พนั ตาํ รวจโท ภูริวจั น์ บญุ สุยา ๓. สารวัตร กลุ่มงานอนศุ าสนาจารย์ คอื ว่าท่ี พันตาํ รวจตรี ปณฐั ชยั โปะ๊ ไธสง ๔. รองสารวตั ร กลุม่ งานอนศุ าสนาจารย์ คอื ร้อยตาํ รวจเอก สรุ ชยั เอีย่ มศรี ๕. ผ้บู งั คับหมกู่ ล่มุ งานอนศุ าสนาจารย์ คือ สบิ ตาํ รวจโท หญงิ จณิ ห์นชิ า ชารีชุม และ สิบตํารวจตรหี ญงิ สุชาดา รงั สี
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๓๕ ทาํ เนยี บผู้บรหิ าร กลมุ่ งานอนศุ าสนาจารยต์ าํ รวจ สาํ นักงานตํารวจแหง่ ชาติ
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๓๖ ภาคที่ ๒ อนุศาสนาจารย์ทหารบก
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๓๗ บทที่ ๑๕ ทาํ เนยี บอนศุ าสนาจารย์ทหารบก
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๓๘ ๑. หวั หน้ากอง/ผอู้ าํ นวยการกองอนุศาสนาจารยท์ หารบก [ ๑.อาํ มาตย์ตรี พระธรรมนเิ ทศทวยหาญ (๒๔๖๓ -๒๔๘๕) ๒. พ.อ.ขุนจรญู ธรรมประกาศ ๓. พ.อ. เพ่มิ เกตจุ รญู (๒๔๘๕-๒๔๙๙) (๒๔๙๙-๒๕๐๐) ๔. พ.อ.วเิ ชียร วงศว์ ิเศษ ๕. พ.อ. โท เนนิ กร่าง (๒๕๐๐-๒๕๐๕) (๒๕๐๕-๒๕๐๘)
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๓๙ ๖. พ.อ. ปาน จันทรานตุ ร ๗. พ.อ. กัลยาณ์ โสตถิกุล ๘. พ.อ.ทองคาํ ศรโี ยธนิ (๒๕๐๘-๒๕๑๕) (๒๕๑๕-๒๕๑๖) (๒๕๑๖-๒๕๒๑) ๙. พ.อ. สนิ อินทรน์ ะรา ๑๐. พ.อ. สฤษฎิ์ สทิ ธเิ ดช ๑๑. พ.อ. นวม สงวนทรพั ย์ (๒๕๒๑-๒๕๒๕) (๒๕๒๕-๒๕๒๘) (๒๕๒๘-๒๕๒๙) ๑๒. วชั ระ คงอดศิ กั ดิ์ ๑๓. พ.อ. พิศษิ ฐ์ จงใจรักษ์ ๑๔. พ.อ. ศรสี วัสด์ิ แสนพวง (๒๕๒๙-๒๕๓๐) (๒๕๓๐-๒๕๓๓) (๒๕๓๓-๒๕๓๗)
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๑๔๐ ๑๕. พ.อ. แถมศักดิ์ เพชรแท้ ๑๖. สัมฤทธิ์ คมขาํ ๑๗. พ.อ. สมพร สธุ พี ันธน์ุ วุ ตั ร (๒๕๓๗-๒๕๓๙) (๒๕๓๙-๒๕๔๑) (๒๕๔๑-๒๕๔๓) ๑๘. พ.อ. ชอบ อนิ ทฤทธิ์ ๑๙. พ.อ. ทองพลู แสนบญุ ศรี ๒๐. พ.อ. ธีระพล กองธรรม (๒๕๔๓-๒๕๔๕) (๒๕๔๕-๒๕๔๗) (๒๕๔๗-๒๕๔๙) ๒๑. พ.อ. สนน่ั อนิ ทวงษ์ ๒๒. พ.อ. บญุ นาค มลู ลา ๒๓. พ.อ. จาํ รสั ฉนุ จตั รุ สั (๒๕๔๙-๒๕๕๐) (๒๕๕๐-๒๕๕๔) (๒๕๕๔-๒๕๕๕)
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๑๔๑ ๒๔. พ.อ. ศรณั ยภมู ิ ผพู้ งึ่ ๒๕. พ.อ. สมพงษ์ ถ่ินทวี ๒๖. พ.อ. วสิ ทิ ธ์ิ วิไลวงศ์ (๒๕๕๕-๒๕๕๖) (๒๕๕๗-๒๕๕๙) (๒๕๕๙-ปจั จบุ นั )
อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๔๒ ๒. ทาํ เนียบอนศุ าสนาจารย์
อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๑๔๓ ทําเนียบอนศุ าสนาจารย์ทหารบก ปฐมอนศุ าสนาจารย์ พระธรรมนเิ ทศทวยหาญ (อยู่ อดุ มศิลป์)1 ป.ธ.๙ พระสารประเสริฐ รนุ่ ที่ ๑/๒๔๖๒ ป.ธ.๗ (ตรี นาคะประทปี ) รุ่นที่ ๒/๒๔๖๓ เปรียบสามญั ขนุ ทวยหาญธรรมโชดก (โชติ นฤดม) หลวงอรรถโยธนิ ปรชี า รนุ่ ที่ ๓/๒๔๖๕ ป.ธ.๖ น.อ. ขนุ เวยี รวีรธรรม (กถิน อตั ถโยธิน) ป.ธ.๓ (เวียร พูลสวสั ดิ์)2 รุ่นที่ ๔/๒๔๖๖ เปรียบ ขุนสทุ ธรรมประภาษ (ดรณุ สทุ ธาชพี )3 ร่นุ ท่ี ๕/๒๔๖๗ เทียบ ทีปสาร ป.ธ.๖ ป.ธ.๘ พ.อ. จันทร์ วงศว์ เิ ศษ ป.ธ.๕ พ.อ. ขุนจรูญธรรมประภาศ (จรูญ สวุ รรณเนตร)4 ป.ธ.๕ พ.ท. กมล มโนชญากร รุน่ ท่ี ๖/๒๔๖๙ ทองดี นวาวัฒน์ ป.ธ.๖ โปร่ง รุ่นท่ี ๗/๒๔๗๑ ป.ธ.๖ น.อ. เมฆ พรี คมั 5 ป.ธ.๙ พร อําไพจิตร6 ป.ธ.๗ มะลิทอง พ.อ. วเิ ชียร ร่นุ ที่ ๘/๒๔๗๗ ป.ธ.๖ วงศ์วเิ ศษ7 ร่นุ ท่ี ๙/๒๔๗๘ สุนทร โลหติ คุปต์ ป.ธ.๗ 1 ปฐมอนศุ าสนาจารย์ (พ.ศ. ๒๔๖๓ – ๒๔๘๕) 2 หน.อศจ.ทอ. ลําดับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๑ – ๒๔๘๘) 3 หน.อศจ.ทอ. ลําดับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๙) 4 หน.อศจ.ทบ. ลาํ ดบั ที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๕ – ๒๔๙๙) 5 เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ยืมตัวช่วยราชการไปพลางก่อน และได้จัดตั้งเป็นแผนก อนศุ าสนาจารยใ์ นเวลาตอ่ มา 6 หน.อศจ.ทอ. ลาํ ดับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๔๙๙ – ๒๕๐๕),ลกู ศิษย์พระธรรมนิเทศทวยหาญ 7 หน.อศจ.ทบ. ลาํ ดบั ที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๐๕)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391