Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสืออนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย

หนังสืออนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย

Description: เล่มหนังสือ ๑๐๐ ปี

Search

Read the Text Version

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๒๙๔ อาจริยพจน์ พ.อ. วสิ ิทธิ์ วิไลวงศ1์ 16 .......................................... พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานกิจการอนุศาสนาจารย์ไทย จวบปัจจุบันครบ ๑๐๐ ปี โดยทรงเลือก รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ (อํามาตย์ตรี พระธรรมนิเทศทวยหาญ) ซึ่งรับราชการอยู่ ในกรมราชบัณฑิต กระทรวงธรรมการ ให้เป็นอนุศาสนาจารย์ตามกองทหารออกไปยังประเทศยุโรป โดยมีพระ ประสงค์ให้เป็นผู้สอนทหาร ช่วยรับธุระของพระองค์ในการส่ังการสอนทหารช่วยปลดเปล้ืองบรรเทาความทุกข์ รอ้ น จะได้คอยอนุศาสนพ์ รา่ํ สอนและปลอบโยนปลดเปล้ืองในยามทุกข์ ฉะน้ันการบรรเทาความทุกข์ร้อน และการพรํ่าสอนปลอบโยนปลดเปล้ืองความทุกข์ของกําลังพล และ ครอบครวั พร้อมทงั้ ประชาชนทัว่ ไปจึงเปน็ หน้าท่ีหลกั ของอนุศาสนาจารย์ ธุระหน้าท่ีในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ กิจหน้าท่ีด้านการศึกษาเล่าเรียน และวิปัสสนา ธุระ กิจหน้าท่ีด้านการเจริญวิปัสสนา ซ่ึงศตวรรษแรกอนุศาสนาจารย์ ได้ทําหน้าที่โดนการอบรมศีลธรรม วัฒนธรรมหาร คือได้ทําหน้าที่โดยการให้การศึกษาอบรม การบรรยายธรรมเป็นส่วนใหญ่ กล่าวโดยรวมคือได้ ทาํ หน้าที่ด้านปรยิ ตั ิ เมื่อกาลมาถึงศตวรรษที่ ๒ ซึ่งเป็นยุคท่ีชาวโลกได้หันมาสนใจพระพุทธศาสนา ด้วยการบําเพ็ญจิต ภาวนาหรอื เจริญกรรมฐาน อนศุ าสนาจารย์จึงควรให้ความสําคัญกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยการนําตน เข้าส่วู ถิ ขี องการปฏบิ ัตวิ ิปสั สนาตามหลกั สติปัฏฐานสี่อนั เป็นวิชาเอก เป็นทางสายเอก (มิใช่ทางสายโท หรือทาง ในตรอก ซอก ซอย) ที่จะทําไปสู่ความพ้นทุกข์ หรือมีทุกข์น้อยลง เพ่ือให้ตนเองได้รับรสแห่งพระธรรม ได้เห็น ผลจากการปฏิบัติธรรมที่เกิดข้ึนกับตนเอง จนเกิดศรัทธาอย่างม่ันคง ด้วยผลแห่งการปฏิบัติธรรม และเกิด ทกั ษะที่จะนาํ กาํ ลงั พลเขา้ สูว่ ิถีแหง่ การปฏิบัติธรรม เนอื่ งจากในยคุ น้ีมเี วลาให้กับพระพุทธศาสนาน้อย เม่ือเขามี เวลาให้น้อยก็เปรียบเสมือนพระสงฆ์ที่มาบวชในตอนแก่ชราแล้ว ซึ่งพระพุทธองค์จะทรงให้ไปทําธุระที่ ๒ คือ วิปัสสนาธุระ ฉะนัน้ การนําธรรมะมาพฒั นาคนท่มี ีเวลานอ้ ย จงึ เป็นธรรมคอื การนําปฏบิ ัตธิ รรม บทบาทหน้าท่ีทจี่ ะนําองคก์ รของอนุศาสนาจารยใ์ ห้มชี อื่ เสยี งในศตวรรษท่ี ๒ นี้ จึงเป็นบทบาทหน้าที่ใน การสอนการปฏิบตั ิธรรม จึงจะนํามาใหส้ ายวิทยาการอนุศาสนาจารยม์ คี วามเจรญิ กา้ วหน้าอย่างยงั่ ยืน .......................................... 116 ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ. ลาํ ดบั ที่ ๒๖ ( พ.ศ. ๒๕๕๙ – ปจั จุบัน )

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๒๙๕ บทที่ ๑๙ บทความ

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๒๙๖ บทบาทอนุศาสนาจารย์กบั การพฒั นาเยาวชน พ.อ. อรณุ นิลสุวรรณ (อดตี อนุศาสนาจารย์ กองทพั ภาคท่ี ๔) .......................................... ๑. เกรน่ิ นาํ พันโท เกรียงไกร จันทะแจ่ม ได้ขอให้เขียนบทความเร่ือง “บทบาทอนุศาสนาจารย์กับการพัฒนา เยาวชน” เพ่อื นําไปลงพิมพ์ในหนังสือ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ดว้ ยเห็นว่าขา้ พเจ้าทาํ โครงการเกี่ยวกับ เยาวชนตลอดมา ก็รู้สึกเขินนิดๆ เพราะงานท่ีทําเป็นงานเล็กๆ ของสํานักสงฆ์ คือ “โครงการของศูนย์ศึกษา พระพุทธศาสนาวันอาทติ ย์ ตาํ บลท่าข้าม” (ศอต.ทา่ ข้าม) เปน็ โครงการไมใ่ หญ่ แต่ต้ังปณิธานไว้ในใจว่าจะทําไป ตลอดชีวติ ก็จะเลา่ ถึงวธิ ีคิดในการทาํ งานสว่ นนี้สกู่ นั ฟงั ๒. ความเปน็ มาของโครงการ ก่อนอื่นก็จะขอเล่าความเป็นมาก่อนจะมาเป็น “โครงการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ตําบล ท่าขา้ ม” สกั เล็กนอ้ ย กลา่ วคือ ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ ขา้ พเจ้าจบการศกึ ษาช้ัน ป.๔ จากโรงเรยี นวัดหินเกล้ียง ตําบล ท่าข้าม อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แต่ไม่สามารถเรียนต่อชั้น ป.๕ ได้ เพราะพ่อป่วยหนัก แม่ไม่อนุญาตให้ เรียน จนถงึ ปี พ.ศ.๒๕๐๓ พ่อถึงแก่กรรม แม่ขอให้ข้าพเจ้าบวชเณรหน้าศพพ่อ บวชแล้วก็ไปอยู่วัดท่าข้าม ท่อง บทสวดมนต์กบั หลวงตา จนจบปาฏโิ มกข์ แต่ไมไ่ ดเ้ รยี นนกั ธรรมเพราะไมม่ คี รสู อน จนมาถึงปี พ.ศ.๒๕๐๖ พระอธิการเทือน ปนาโท (พระครูปนาทธรรมคุณ) เจ้าอาวาสวัดหินเกลี้ยง มา เปิดสอนนักธรรมที่สํานักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) ซึ่งเป็นสํานักเรียนพระปริยัติธรรมประจําตําบลท่าข้าม ได้

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๒๙๗ ซักชวนข้าพเจ้ากับเพ่ือนๆสามเณรวัดท่าข้ามและวัดอื่น ๆ อีกหลายรูปไปเรียนนักธรรม โดยท่านพระอธิการ เทอื น ปนาโท เปน็ ผสู้ อนเอง ปรากฏว่าในปีนั้น สามเณรอรุณ นิลสุวรรณ สอบนักธรรมชั้นตรีได้เป็นรูปแรกของ ตําบลท่าขา้ ม ตอ่ มาพระอธิการเทอื น ปนาโท พิจารณาเหน็ วา่ ขา้ พเจ้ามีแววทางการศึกษา ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ จึงจดั ส่งไปเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรมแผนกบาลี ณ วดั คูหาสวรรค์ จงั หวัดพัทลุง และในปี พ.ศ.๒๕๑๐ สอบ ป.ธ. ๑-๒ ได้ ปี ๒๕๑๑ สอบ ป.ธ. ๓ ได้ และ ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ สอบ ป.ธ.๔ ได้ ตามลําดับ จากนนั้ เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร เขา้ ศกึ ษาตอ่ ณ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วดั มหาธาตุ ทา่ พระจันทร์ ในปี ๒๕๑๓ จนจบปริญญาตรีพุทธ ศาสตร์บัณฑติ (เกียรตนิ ิยมอันดบั ๒) ในปี พ.ศ.๒๕๒๑ (พธ.บ.รนุ่ ที่ ๒๔ รุ่นเดียวกับ พระพรหมบณั ฑติ (ประยรู ธมมฺ จติ ฺโต) อดตี อธกิ ารบดี ม.มจร.) จากนนั้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ กไ็ ปปฏบิ ตั ิศาสนกจิ ท่อี ําเภอย่านตาขาว จังหวดั ตรัง ปี พ.ศ.๒๕๒๓ เดินทางไปศกึ ษาต่อระดบั ปริญญาโท ณ มหาวิทยาลยั มทั ราส รัฐทมฬิ นาฑู ประเทศอินเดีย ปี พ.ศ.๒๕๒๕ ลาสกิ ขา กลบั มาเปน็ อาจารยส์ อน ณ มจร. วัดมหาธาตุ ทา่ พระจนั ทร์ และในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ก็ สอบบรรจุเป็น อศจ.ยศ.ทบ. ไดต้ ามลาํ ดับ จากจุดเร่ิมต้น ที่เข้ามาศึกษานักธรรมช้ันตรี กับ พระครูปนาทธรรมคุณ (เทือน ปนาโท) นั้น ทําให้ ข้าพเจ้าได้รับความสําเร็จในชีวิตมีความโดดเด่นที่เรียกว่า เป็นคนแรกของตําบลท่าข้ามหลายอย่าง คือ สอบ นักธรรมตรีได้เป็นคนแรก สอบบาลไี ดเ้ ปน็ มหาเปรยี ญคนแรก เรยี นจบปริญญาตรี พทุ ธศาสตรบณั ฑิต เป็นคน แรก เรียนจบปริญญาโท จากประเทศอินเดียเป็นคนแรก และสอบบรรจุเป็นอนุศาสนาจารย์กองทัพบกได้เป็น คนแรก ของตําบลท่าข้ามอีกเช่นกัน ความสําเร็จของข้าพเจ้าในส่วนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้อง ๆ ถือเป็น แบบอย่าง ได้เดินตามมาศึกษากับพระครูปนาทธรรมคุณ จน สอบเปรียญได้ และจบ ปริญญาตรี ปริญญาโท ต่อมาอกี นับได้ ๒๑ คน เมอ่ื เป็นอนศุ าสนาจารย์ กองทพั บกแล้ว ไดป้ ฏิบตั งิ านในหน้าท่ี อศจ. หลายพ้ืนที่ เช่น กรุงเทพมหานคร จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสระบุรี และในปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ก็ได้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ ณ กรมทหารราบท่ี ๕ ค่ายเสนา ณรงค์ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ท่ีเป็นภูมิลําเนาเดิม ได้มีโอกาสสนองงานคณะสงฆ์ และครูบาอาจารย์ อย่างใกล้ชิด และอบอุ่นยิ่ง โดยเฉพาะได้สืบทอดงาน ศพอ.หาดใหญ่ ท่ีก่อต้ังโดย พ.อ.ประทัย โกศลกุล อดีต

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๒๙๘ อศจ.ผส.๕ ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ โดยดํารงตําแหน่งเลขานุการ ศพอ.หาดใหญ่ เป็นคนท่ี ๕ ต่อจาก พ.อ. ประทัย โกศลกุล, พ.อ. ศรสี วัสดิ์ แสนพวง, พ.ท. สุรินทร์ พัฒนศริ ิ และ พ.อ. อรุณ ศุภรัตนดิลก ตามลาํ ดับ ในฐานะเลขานุการ ศพอ.หาดใหญ่ ได้ร่วมกับพระเถระหลายรูป เช่น พระครูโสภณคุณาทร วัดคลอง เปล รเิ ร่ิมจดั โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดรู อ้ นในนามคณะสงฆ์อําเภอหาดใหญ่ ร่วมกับ ค่ายเสนาณรงค์ข้ึน เป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ.๒๕๓๒ และคร้ังต่อมาอีกหลายปี จนทําให้ค่ายเสนาณรงค์กับคณะสงฆ์ มีความสัมพันธ์ กันอย่างใกล้ชิด จนต่อมา ผบ.จทบ.สข. (ผบ.มทบ.๔๒) ได้รับพระราชทานรางวัลเสมาธรรมจักร เพราะผลงาน สนับสนุนศพอ.หาดใหญ่ หลายท่านติดต่อกัน ในด้านพิธีกรรม ได้ร่วมกับพระครูอาทรวรคุณ เลขานุการเจ้า คณะจงั หวดั สงขลา ปรบั ปรงุ การปฏบิ ตั ิพิธกี รรมตา่ ง ๆ ให้เรียบร้อยขึ้น และปฏิบัติพิธีเป็นแบบอย่างท่ีดี จนเป็น ท่ีกล่าวขานกันว่า ถ้ามี พระครูอาทรวรคุณ และ ร.อ.อรุณ นิลสุวรรณ อยู่แล้ว งานพิธีน้ันต้องเรียบร้อย ซ่ึงพระ ครอู าทรวรคุณ พระครูโสภณคุณาทร และ พ.อ.อรุณ นิลสุวรรณ ซ่ึงเกิดปี พ.ศ.เดียวกัน กลายเป็นเพื่อนคู่ทุกข์ คยู่ าก ด้วยกันมาจนปจั จุบนั ในส่วนที่เกี่ยวกับพระครูปนาทธรรมคุณ (เทือน ปนาโท) ก็ได้แวะเวียนไปเยี่ยม ไปช่วยงานอย่าง สม่ําเสมอ เห็นว่าท่านมีสุขภาพแข็งแรงดี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๙ พระครูปนาทธรรมคุณ ได้เร่ิมก่อสร้างศาลา การเปรียญหลังใหม่ของสํานักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) ทดแทนหลังเก่าที่ชํารุดทรุดโทรม เพ่ือใช้เป็นสถานที่ บําเพ็ญกุศล ศึกษาธรรมของพระเณรและเป็นท่ฝี กึ อบรมเยาวชนใหเ้ ปน็ หลักฐาน แต่ศาลายังไม่ทันเสร็จ พระครู ปนาทธรรมคณุ ไดม้ รณภาพลงดว้ ยโรคลมปัจจบุ ัน ในวนั ท่ี ๕ ธนั วาคม ๒๕๔๐ สริ ิรวมอายุไดเ้ พียง ๖๗ ปี จากการมรณภาพของพระครูปนาทธรรมคุณ ได้กลายเป็นจุดเร่ิมต้นของข้าพเจ้าท่ีได้เข้าไปมีบทบาทใน การพัฒนาเยาวชนในตําบลท่าข้าม เพ่ือสืบทอดเจตนารมณ์ของพระครูปนาทธรรมคุณ อย่างต่อเนื่องมาจน ปัจจุบัน การดําเนินการพัฒนาเยาวชน ตําบลท่าข้าม (ศอต.ท่าข้าม) จะมีความแตกต่าง จากการดําเนินงาน ศพอ.หาดใหญ่ เพราะว่างาน ศพอ.หาดใหญ่ เป็นงานเสวยบุญบารมีของครูอาจารย์ท่ีสะสมสร้างไว้ ให้ทั้งเงิน ทั้งคน ทงั้ ชื่อเสยี งของงาน ทีค่ นรู้จกั ศรทั ธาอยู่แล้ว แตก่ ารดําเนินงาน ศอต.ท่าข้ามนัน้ เป็นการเสวยวิบากกรรม ท่ีต้องสูญเสียอาจารย์ไปอย่างกะทันหัน และทิ้งภาระการสร้างศาลาไว้เบื้องหลัง จึงต้องใช้ความพยายามอย่าง สูงในการสร้างงาน สร้างคน สร้างบารมี ความดี และชื่อเสียง เพ่ือสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ไว้ ซึ่ง ตอ้ งเรมิ่ ต้นจากศนู ย์ (ชีวิตติดลบ) เพ่อื ใหเ้ กดิ ความศรัทธาเชอ่ื ถือ ตรงน้เี ปน็ งานท่ีท้าทายอย่างยิ่ง แต่พยายามทํา ได้สาํ เร็จแลว้ ในระดบั หนง่ึ ซึ่งจะเล่าส่กู นั ฟงั ต่อไป

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๒๙๙ ๓.แนวทางการดาํ เนนิ งานพฒั นาเยาวชนของศอต.ทา่ ขา้ ม เมื่อพูดถึงแนวทางในการดําเนินงานของ ศอต.ท่าข้าม ถ้าพูดแบบสํานวนของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ก็ใช้หลักศาสตร์พระราชา ๓ หลกั คือ ยดึ หลกั มนั่ คง ม่งั ค่ัง และยั่งยืน ไดด้ ังน้ี คือ แนวทางท่ี ๑ หลกั การสร้างความมน่ั คง ๑. ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ หลงั จากพระครปู นาทธรรมคุณ มรณภาพแลว้ ก็ไดร้ ว่ มกับ พระมหามนตรี สุขขวัญ (ผู้เป็นศิษย์ของพระครูปนาทธรรมคุณ และมีศักดิ์เป็นหลานของข้าพเจ้า) ได้มาจําพรรษาท่ีสํานักสงฆ์ วชิรธรรม (เกาะปลัก) เปิดอบรมเยาวชนข้ึนเป็นคร้ังแรก โดยเชิญชวนเยาวชนในพื้นท่ีใกล้เคียง มาทําความดี ถวายหลวงพ่อ (พระครูปนาทธรรมคุณ) ในช่วงเข้าพรรษา ตอนเย็น เวลา ๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. โดยฝึกการไหว้ พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เล่านิทานชาดกให้ฟังแล้วเล้ียงขนม เคร่ืองดื่ม ตามสมควร ก็มีเยาวชนมาสมัครตั้งแต่ ระดับ อนุบาล จนถึง ม.๓ จํานวนถึง ๖๑ คน พอออกพรรษาก็มอบเกียรติบัตรให้ในนามเจ้าคณะอําเภอ หาดใหญ่ พร้อมด้วยทุนรางวัลการศึกษา ก็เป็นท่ีฮือฮาพอใจของเยาวชนและผู้ปกครอง ท่ัวไป งานช่วงนี้จะทํา พรอ้ มๆกับการหาทนุ เตรยี มสร้างศาลาการเปรียญที่คา้ งคาอยู่ และทําต่อเน่ืองกันมา ๕ ปี ๒. ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อเห็นแนวทางการอบรมเยาวชนรุ่นเร่ิมแรกพอไปได้ ในปีนี้ก็ได้จัดทํา โครงการจัดต้ังกองทุนมูลนิธิช่ือว่า “กองทุนมูลนิธิพระครูปนาทธรรมคุณเพ่ือการศึกษา” โดยขออนุมัติ พระ ราชวีราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสงขลา เป็นประธานกรรมการกองทุน พ.ท.อรุณ นิลสุวรรณ อศจ.พล.พัฒนา ๔ เป็นเลขานุการ ปรากฏว่า โครงการเร่ิมแรกได้รับเงินเข้ากองทุน ๑๐๐,๐๐๐ กว่าบาท (จากชีวิตเป็นศูนย์ ก็เร่ิม มเี งินเปน็ แสน) ทาํ ใหเ้ กดิ กําลังใจ มีพลังใจที่ม่งั คงข้ึน มงุ่ มน่ั ทจ่ี ะพฒั นาตอ่ ไปใหด้ ยี ง่ิ ขึน้ แนวทางท่ี ๒ หลักการสรา้ งความมงั่ คงั่ ๑. ในปี พ.ศ.๒๕๔๖ ปีนี้การสร้างศาลาการเปรียญพอใช้ประโยชน์ได้แล้ว แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จงึ ได้ขยายผลการฝึกอบรมเยาวชนให้กว้างขึน้ ในรูปแบบของศูนยอ์ บรม (ศูนย์วันอาทิตย์) คือเปล่ียนมาอบรมใน ทุกวันเสาร์ ตอนเช้า เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. บนศาลาการเปรียญหลังใหม่ และได้ขออนุมัติพระเทพวีรา ภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสงขลา ออกระเบียบจัดตั้งเป็นศูนย์อบรม ชื่อว่า “ศูนย์ฝึกอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรม เยาวชน ตําบลท่าข้าม” โดยพระเทพวีราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสงขลา ในนามประธานกองทุนมูลนิธิพระครูป นาทธรรมคุณเพ่ือการศึกษา ลงนามแต่งตั้งให้ พระครูชยุตสุตคุณ เจ้าคณะตําบลท่าข้าม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสินธน อินทรัตน์ นายก อบต.ท่าข้าม เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ และ พ.ท.อรุณ นิลสุวรรณ เป็นเลขานุการ ผลปรากฏว่า ได้พัฒนายกระดับ ฐานะของศูนย์อบรมเป็นรูปแบบ มีระบบขึ้น แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนกับ กรมการศาสนา ส่วนการเรียนการสอน ก็ใช้รูปแบบของ ศพอ.หาดใหญ่ ขอสนับสนุนพระอาจารย์ จากวัดหงส์ ประดิษฐาราม มาช่วยสอน บางทีพระอาจารย์ติดศาสนกิจ ก็ต้องสอนคนเดียว เม่ือต้องสอนคนเดียว ก็ต้อง วางแผนดังน้ี คือ ตอนเย็นวันศุกร์ เตรียมซ้ือขนม-นม-เคร่ืองดื่ม ใส่รถกระบะ เตรียมพร้อมไว้ทุกวัน พอเช้าวัน เสารอ์ อกจากบา้ นมาแต่เช้า วธิ กี ารสอนคือ ๐๘.๐๐ น. ฝกึ การไหวพ้ ระสวดมนต์ นัง่ สมาธิก่อน เวลา ๐๙.๐๐ น. พักทานอาหารว่าง (ขนม-นม ท่ีเตรียมมา) เวลา ๐๙.๓๐ – ๑๐.๓๐ น. อบรมเน้ือหาวิชาการ จะสอนเร่ืองอะไร ก็ออกเป็นแบบฝึกหัดมา ๒๐ - ๓๐ ข้อ ให้นักเรียนฝึกคิด-ทํา พอนักเรียนทําเสร็จก็จะเฉลย ช่วงท่ีเฉลย ก็ถือ

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๐๐ โอกาสพูดอบรมไปด้วยตามเนื้อหาแบบฝึกหัดแล้วบันทึกผลคะแนนของนักเรียนทุกคนไว้ พอครบเทอม ก็รวม คะแนนเหมือนคะแนนสอบ แล้วให้ทุนรางวัลตามผลงานที่ทํา เวลา ๑๐.๓๐ น. ก็เล้ียงอาหารกลางวันอีกรอบ หนึ่ง ก่อนกลับบ้าน เวลา ๑๑.๐๐ น. สรุปผลงานประจําวัน รวมถึงความดีความชอบของทุกคนต่อเนื่อง กิจกรรมจะดําเนินไปทํานองนี้ ประเมินแล้ว นักเรียน พอใจ การอบรมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี แต่ถ้าวันใด พระอาจารย์มาสอนครบ ก็แยกยา้ ยกันเข้าชัน้ เรยี น ตามรูปแบบ ศพอ.นนั่ เอง ๒. ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ คณะสงฆ์จงั หวดั สงขลา ไดเ้ ปิดหน่วยวิทยบรกิ าร มจร.สงขลา ขึ้นที่วัดหงส์ ประดิษฐาราม พ.ท.อรุณ นิลสุวรรณ ได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์สอนด้วย ก็ได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องการสอนอบรม เยาวชน ให้นิสิตฟัง และซักชวนให้ไปจําพรรษา และสอนเยาวชน ที่สํานักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) โดยต้ัง ปณิธานไว้ในใจว่า ถ้าพระนิสิตรูปใด ไปช่วยสอน ก็จะรับเป็นผู้อุปถัมภ์ค่าเทอม และค่าใช้จ่ายให้ท่าน จนจบ ปริญญาตรี ผลปรากฏว่า มีสมัคร ๒ รูป คือ พระเกียงไกร กับ พระพงษ์ศักด์ิ ได้มาเปิดสอนแบบธรรมศึกษาขึ้น เป็นปีแรก มีเยาวชนสมคั รเขา้ สอบ ๑๙ คน สอบได้ ๑๘ คน โดยสง่ ไปร่วมสอบ ณ สนามสอบ วัดหงส์ประดิษฐา ราม เมือ่ มีเยาวชน สอบธรรมศึกษาตรีได้ ช่ือเสียงก็ขจรขจายไป ผู้ปกครอง ก็ดีใจ โรงเรียนก็ภูมิใจ มี ผลทําให้เยาวชนมาสมัครเรียนมากข้ึน การสนับสนุนทุนดําเนินงานก็ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ นายก อบต.ท่าข้าม ได้ จัดงบอุดหนุนให้ปีละ ๕๐,๐๐๐ บาท ทําให้ฐานะของ ศอต.ท่าข้าม หรือ พ.ท.อรุณ นิลสุวรรณ หรือ ตารุณ-ลุง รณุ เรมิ่ ตดิ ปาก ตดิ ใจ เยาวชน และชุมชนมากขึ้นเรื่อยๆ ๓. ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เม่ือเยาวชน สมัครสอบธรรมศึกษามากข้ึน ก็มีอุปสรคในเรื่องสถานที่สอบ ธรรมศึกษา ที่เคยไปร่วมสอบกับวัดหงษ์ประดิษฐาราม สถานท่ี ก็ไม่เพียงพอ จึงได้ขออนุมัติพระเทพวีราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสงขลา ลงนามหนังสือขอใช้สถานท่ีของโรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม ซึ่งอยู่ในตําบลทุ่งใหญ่ ติด กับตําบลท่าข้าม ให้เป็นสนามสอบธรรมศึกษาประจําปี ของคณะสงฆ์ตําบลท่าข้าม ผลการประสานงานเป็นไป ด้วยดีเพราะทางโรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม มีความประสงค์จะให้นักเรียนเข้าสอบธรรมศึกษาอยู่ด้วยแล้ว จึง ทําให้โรงเรียนระดับประถมศึกษาในตําบลท่าข้ามและตําบลทุ่งใหญ่ ที่เป็นเครือข่ายสมาชิกของ ศอต.ท่าข้าม ได้ร่วมสอบธรรมศึกษา ณ โรงเรยี นหาดใหญพ่ ิทยาคม ท้งั หมดทุกโรงเรียน ผลดีทเ่ี กิดขน้ึ คอื ๑. นกั เรียนท่มี าเรยี น ศอต.ทา่ ขา้ ม มสี ถานท่สี อบธรรมศึกษาใกล้บา้ น ๒. พระอาจารย์ ศอต.ท่าข้าม ได้มีโอกาสไปสอนธรรมศึกษาในโรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม ได้ขยาย สมาชิกเครือขา่ ยกว้างขวางมากข้นึ ๓. นักเรยี นระดบั ประถมศกึ ษาได้มโี อกาสเข้าเรียน ชนั้ ม.๑ ทโ่ี รงเรียนหาดใหญ่พทิ ยาคม เพิม่ มากขึน้ ๔. ลูกหลานเยาวชนในตําบลท่าข้าม ตําบลทุ่งใหญ่ ท่ีไม่ชอบเรียนธรรมะ พอไปเรียน ม.๑ ที่โรงเรียน หาดใหญ่พิทยาคม ก็ถูกบังคับให้สอบธรรมศึกษาทุกคน ก็ต้องพบตารุณท่ีนั่น เรียกว่า หนีตารุณ – ไม่พ้นเลย ทีเดียว และในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ น้ี เกียรติคุณความดีของ ศอต.ท่าข้ามได้ขจรขจายไปอีกข้ึนหนึ่ง น้ันคือ นายเอก พงษ์ อิสโร ลูกศิษย์รุ่นแรก ปี พ.ศ.๒๕๔๒ ซ่ึงกําลังเรียนอยู่ช้ัน ม.ปลายของโรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม ได้ริเริ่ม

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๐๑ ขอเปิดโครงการอบรมเยาวชนภาคฤดูร้อนขึ้นท่ี ศอต.ท่าข้าม สํานักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) ในช่วง ๑-๓๐ เมษายน ๒๕๔๙ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ ๓ ประการ คือ ๑. เพ่อื ฝกึ อบรมเยาวชนในห้วงปิดภาคเรียน ๒. เพอ่ื สง่ เสริมความรกั ความสมั พนั ธอ์ นั ดรี ะหวา่ ง พ่ๆี น้องๆ ในชุมชน ๓. เพ่อื เสรมิ สร้างใหพ้ ๆ่ี เปน็ ผ้นู ําท่มี จี ิตอาสา กล้าแสดงออก มใี จรกั และรจู้ ักทาํ งานกันเปน็ ทีม เมื่อพิจารณาข้อเสนอแล้ว เห็นว่า เป็นความริเริ่มท่ีดี ก็อนุมัติให้ดําเนินการและได้บรรจุโครงการน้ี เป็น โครงการของ ศอต.ท่าข้าม และดําเนินการพัฒนาต่อเนือ่ งมาจนปจั จบุ นั เป็นปีที่ ๑๔ แล้ว น่คี อื แนวทางที่พัฒนาสร้างความม่ังค่ัง หรือ ขยายผลงาน ศอต.ท่าข้ามใหก้ า้ วหนา้ กวา้ งขวางข้นึ ดว้ ยดี แนวทางที่ ๓ หลักการสร้างความย่ังยืน มาถึงตอนนี้ งานอบรมเยาวชนของ ศอต.ท่าข้าม มีงานหลัก ๆ อยู่ ๒ งาน (โครงการ) คอื ๑. โครงการอบรมเยาวชนภาคพรรษา อบรมในช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค. ของทุกปี เป็นการอบรมใน รูปแบบหลักสูตรธรรมศึกษา ตรี โท เอก รับสมัครเยาวชน ในระดับ ป.๓-ม.๓ ชั้น ป.๓-๔ อบรมปลูกฝัง คุณธรรมจริยธรรมพื้นฐาน และปูพื้นเพื่อเตรียมสอบธรรมศึกษา ส่วนในระดับชั้น ป.๕ ขึ้นไปสอนเพื่อส่งเข้า สอบธรรมศึกษาประจาํ ปขี องคณะสงฆ์ กลุ่มเยาวชนเป้าหมายในโครงการนี้ คือ นักเรียนจากโรงเรียนในตําบลท่าข้าม ๔ โรงเรียน คือ รร.วัดหินเกล้ียง รร.วัดท่าข้าม รร.วัดเขากลอย และรร.วัดแม่เตย ในตําบลทุ่งใหญ่มี ๓ โรงเรียน คือ รร.วัด พรุเตาะ รร.บ้านทุ่งใหญ่ และ รร.บ้านทุ่งงาย ถ้ารวม รร.หาดใหญ่พิทยาคม ซ่ึงเป็นโรงเรียนระดับมัธยมด้วย เปน็ ๘ โรงเรียน มนี กั เรียนเปา้ หมาย ๓๐๐ – ๔๐๐ คน วธิ ีการจดั การเรียนการสอน รร.วัดหินเกล้ียง รร.วัดเขากลอย รร.วัดพรุเตาะ รร.วัดท่าข้าม และ รร.บ้านทุ่งใหญ่ ให้นกั เรยี นมาเรยี นในวันเสาร์ ณ ศอต.ทา่ ขา้ ม เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ส่วน รร.วัดแม่เตย รร.บ้านทุ่งงาย และ รร.หาดใหญ่พิทยาคม จะจัดครูไปสอนในโรงเรียน ไม่ต้องจัดเล้ียง อาหาร-เครอื่ งดม่ื ขอ้ ตกลงสาํ หรับนักเรียน ๒ กลุม่ น้คี อื ๑. ถ้ามาเรียนท่ี ศอต.ท่าข้าม จะได้รับสิทธิ์ คือ เมื่ออบรมจบหลักสูตรจะได้รับ ทุนการศึกษาตามความสามารถทกุ คน และถา้ สอบธรรมศึกษาได้ กจ็ ะได้รับทนุ อกี ๕๐๐ บาท (ได้ ๒) ๒. ถ้าครูไปสอนในโรงเรียน จะได้ทุนการศึกษาเมื่อสอบธรรมศึกษาได้เท่าน้ัน (ได้ ๑) การรบั ทนุ การศกึ ษาของนักเรียนผู้เขา้ อบรมโครงการนี้ กาํ หนดในวนั อาทติ ย์ท่ี ๒ ของเดือน ธันวาคม ซ่ึงตรงกับ วันทําบุญครบรอบวันมรณภาพของพระครูปนาทธรรมคุณ (เทือน ปนาโท) ประจําปี จะมีการเชิญทําบุญ ทอดผา้ ปา่ สามัคคสี มทบทุนมลู นธิ ิด้วย สําหรบั ครสู อนปจั จุบนั มคี รูจติ อาสา เป็นหลักอยู่ ๔ ท่าน คือ ๑. พ.อ.อรณุ นิลสวุ รรณ ๒. นายป้อน ณ มณี (ลกู ศษิ ย์พระครูปนาทธรรมคุณ) ๓. นายฉลอง เพช็ รขาว (ลูกศิษยพ์ ระครปู นาทธรรมคุณ)

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๐๒ ๔. นายอดเิ รก แก้วมณีโชติ (ศิษย์เก่า ศอต.ท่าข้าม จบ ปริญญาตรีพุทธศาสตร บัณฑติ ) โครงการอบรมเยาวชนภาคพรรษาน้ีจะมีนักเรียนประมาณ ๑๐๐ – ๑๕๐ คน กลุ่มน้ี ตอ้ งบริหารจัดการเรอื่ งอาหาร ขนม และเครอื่ งดื่มบริการเป็นประจาํ ทกุ วัน ๒. โครงการอบรมเยาวชนภาคฤดูร้อน (โครงการพี่สอนน้อง) อบรมในช่วงวันที่ ๑ - ๓๐ เมษายน ชว่ งปิดภาคเรียนของทุกปี รับสมัครเยาวชน ตั้งแต่ ป.๑ - ม.๓ (บางทีน้องอยู่ช้ันอนุบาลตามพ่ีมา ก็รับ ให้เรียนด้วย) กิจกรรมการเรียนการสอน คือ สอนวิชาสามัญศึกษา ภาษาไทย อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา กิจกรรมไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ มารยาทไทย รวมถึงกิจกรรมนันทนาการ และ การแขง่ กีฬาสดี ว้ ย เพื่อให้น้องๆ มีความรกั ผกู สมั พันธ์กัน กลุ่มเยาวชนเป้าหมายของโครงการนี้ นอกจากเยาวชนในโรงเรียน ๘ โรงเรียนข้างต้น แล้ว จะมีเยาวชนที่เรยี นโรงเรียนในเมอื ง หรอื ตา่ งอําเภอ ตา่ งจงั หวัด ด้วย เนื่องจากเด็กบางคนปิดเทอมแล้วมา อยู่บ้านปู่ย่า ปู่ย่าก็พามาสมัครเข้าอบรมดีกว่าซนอยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ได้อะไร โครงการนี้ เน้นความรักผูกพันกัน ระหวา่ งพๆ่ี น้องๆ แต่มีการประเมินผลทางวชิ าการและมอบทุนการศกึ ษาแก่ผเู้ ข้าอบรมทุกคนด้วย ผลดีของโครงการน้ี นอกจากประเด็นความรักของพี่น้องแล้ว ยังเป็นช่องทาง ประชาสัมพันธ์กิจกรรม ศอต.ท่าข้าม ได้กว้างไกล เพราะผู้ปกครองท่ีอยู่ไกลมาเห็นแล้วเกิดศรัทธา หรือเห็น ผลดีที่เกิดกับลูกหลาน ก็ช่วยกันแนะนําบอกล่าว แถมบางคร้ังยังชักชวนมาเป็นเจ้าภาพเล้ียงอาหารเด็กๆ อีก ดว้ ย จากโครงการท่ที ําประจํา ๒ โครงการนี้ ก็สะทอ้ นให้เห็นความมั่นคงของศอต.ท่าข้ามได้แล้วส่วน หน่ึง แต่เพื่อให้ผลการพัฒนาอย่างยงั่ ยนื และตอ่ เนือ่ ง ก็ได้กาํ หนดแนวนโยบายกับเยาชนผู้ทีม่ าเข้าอบรมไว้อีกวา่ ๑. นกั เรียนท่ีเขา้ อบรม ณ ศอต.ท่าข้าม ถ้าทําดีจะไดร้ ับรางวลั ทกุ คน (ใช้สโลแกนว่า ท่ีนี่ ....ใครทําดี มรี างวลั มอบให้ทุกคน) ๒. ผู้ที่เข้าอบรมจบหลักสูตรและสอบธรรมศึกษา จะได้ทุนรางวัล ๒ ครั้ง คือ ขณะเข้า อบรม จบหลักสูตร ๑ ครั้ง และเม่ือสอบธรรมศึกษาได้ จะไดอ้ ีก ๑ ครัง้ ๓. ผู้ท่เี ข้าอบรมตง้ั แต่ ป.๓ - ม.๓ รวม ๗ ปี หรืออยา่ งน้อย ๕ ปี จนจบ ม.๓ จะไดร้ บั ยก ย่องเปน็ นกั เรียนดีเดน่ ได้รับโล่ประกาศเกยี รตคิ ณุ ๑ โล่ ทุกคน ๔. ผู้ท่ีเรียนตั้งแต่ ป.๓ - ม.๓ จบ ม.๓ แล้ว ถ้ายังเรียนต่อ ม.๔ หรือ ปวช. จะพิจารณา ใหเ้ ป็นครูสอนนอ้ งโครงการอบรมภาคฤดรู ้อนประจาํ ปี ๕. ผู้ที่เรียนต้ังแต่ ป.๓ - ม.๓ ถ้าเป็นครูสอนน้องต่อเนื่องจนจบ ม.๖ หรือ ปวส. หรือ รบั ภาระเป็นหัวหน้าโครงการ จะไดร้ บั โล่ประกาศเกยี รติคุณอกี ๑ โล่ ๖. ผู้ที่เรียนต้ังแต่ ป.๓ – ม.๓ และเป็นครูสอนน้องดีเด่นหรือเป็นหัวหน้าโครงการภาค ฤดรู อ้ น เมื่อเข้าศกึ ษาตอ่ ในมหาวทิ ยาลยั จะไดร้ บั ทุนการศกึ ษาอยา่ งต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๐๓ น่ีคือหลักนโยบายการสร้างความยั่งยืนให้กับเยาวชนของ ศอต.ท่าข้าม ทําให้นักเรียนมองเห็นสิทธิ ประโยชน์ท่ีตนจะได้รับเมื่อมาศึกษาและทํากิจกรรมกับศอต.ท่าข้าม ทําให้นักเรียนส่วนใหญ่ต้ังใจเรียนต้ังแต่ ป. ๓-ม.๓ ได้รับโล่นักเรียนดีเด่นไปแล้ว ไม่ต่ํากว่า ๓๐ คน และท่ีมาเป็นครูสอนน้อง หรือ เป็นหัวหน้าโครงการ อบรมเยาวชนภาคฤดูร้อน และได้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี จํานวน ๑๑ คน ถือเป็นผลงานการพัฒนา เยาวชนของ ศอต. ทา่ ขา้ ม ที่ดําเนินการมาต้ังแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ จน ปัจจุบัน รวม ๒๒ ปี ที่เป็นรูปธรรม แม้จะ มีจาํ นวนนอ้ ย แตเ่ หมาะสมกับฐานะของ ศอต.ทา่ ขา้ ม ที่เปน็ สาํ นกั สงฆ์เล็กๆ ๔. บทสรปุ ปัจจุบัน “ศูนย์ฝึกอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรมเยาวชนตําบลท่าข้าม” (ศอต.ท่าข้าม) ได้จด ทะเบียนเป็น “ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์” ในนามของวัดหินเกล้ียง ซึ่งเป็นวัดท่ีพระครูปนาท ธรรมคณุ (เทอื น ปนาโท) เคยดาํ รงตําแหน่งเจ้าอาวาส เป็นหน่วยงานเผยแผ่ธรรมของกรมการศาสนา ทะเบียน เลขท่ี ๑/๒๕๕๙ แต่เปดิ ดําเนินการ ณ สาํ นกั สงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) ใชช้ อื่ ย่อวา่ “ศอต.ทา่ ข้าม” เหมอื นเดมิ นับเป็นการพัฒนามาสู่ความมั่นคง ม่ังคั่ง และย่ังยืน ท่ีสมบูรณ์ ในระดับหนึ่ง ซ่ึงได้รับการ สนับสนุนงบประมาณจากกรมการศาสนา อบต.ท่าข้าม ดอกผลกองทุนมูลนิธิ พระครูปนาทธรรมคุณ เพื่อ การศึกษาคณะสงฆ์ และผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป และโดยบารมีคุณความดีของท่านพระครูปนาทธรรมคุณ (เทือน ปนาโท) ถือเป็นต้นทุนหลักท่ีสําคัญท่ีทําให้ภารกิจ ศอต.ท่าข้าม ดําเนินไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนต่อไปไม่ ขาดสาย คณะศิษย์ผู้ดําเนินงานต่างสํานึกในอุปการคุณของพระครูปนาทธรรมคุณ ยึดถือคติธรรมประจําใจอยู่ เสมอวา่ ยึดมน่ั กตัญญู เชิดชคู รูอาจารย์ สืบทอดปณธิ าน ให้การศึกษาแก่เยาวชน สง่ เสรมิ คนดี เพอื่ ทดแทนคุณแผน่ ดิน. น่ีคือ เรื่องเล่า เก่ียวกับ บทบาทของอนุศาสนาจารย์ ที่ดําเนินการพัฒนาเยาวชนของ ศอต.ท่าข้าม นํามาเลา่ เพือ่ เป็นแบบอยา่ งต่อไป ตดิ ตามชมภาพกิจกรรมไดท้ ่ี QR.code ..........................................

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๐๔ การพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารยท์ หารบกไทยเชิงพทุ ธบูรณาการ The Competency Development of The Royal Thai Army’s Chaplains Based on Buddhist Integration พนั เอก อคั รนิ ทร์ กําใจบญุ 117 .......................... บทคดั ย่อ บทความน้ีเป็นบทความจากงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเชิงพุทธบูรณาการ” ผลการวิจัยพบว่า ทฤษฎีที่เก่ียวกับการพัฒนาสมรรถนะ คือ ทฤษฎีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทฤษฎีการพัฒนาสมรรถนะ และทฤษฎีวงจรการบริหารคุณภาพ PDCA ซ่ึงสมรรถนะที่ต้องการพัฒนามี ๓ อย่าง คือ สมรรถนะทางกาย สมรรถนะทาง จิตใจ และสมรรถนะทางปัญญา โดยมุ่งหวังผลคือการใช้สมรรถนะท่ีได้รับการพัฒนาแล้วเหล่าน้ีเพื่อขับเคล่ือนการปฏิบัติ ภารกิจซ่ึงเป็นบทบาทและหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยที่สําคัญ๔ ด้านคือ๑) การอบรมการสอนศีลธรรม ๒)การ ปฏิบัติธรรม ๓) การปฏิบัติศาสนพิธี และ ๔) การเย่ียมไข้การพัฒนาสมรรถนะสามารถนําหลักพุทธธรรมมาบูรณาการคือ ๑) อิทธิบาท ๔,๒)พรหมวิหาร ๔,๓) ภาวนา ๔,๔)กัลยาณมิตรธรรม ๗, ๕) ธรรมเทสกธรรม ๕, ๖) เทศนาวิธี ๔, และ ๗) อนุ ศาสนีปาฏหิ ารยิ ์ การนําหลักธรรมมาผสมผสานเข้าเป็นวิถีการดําเนินชีวิต แนวทางการพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทย เชิงพุทธบูรณาการ เรียกว่า PACKED MODEL ประกอบด้วย P = Planning การวางแผนเตรียมการเพื่อการปฏิบัติ A = Army’s Goal เป้าหมายของกองทัพบกหรือผลที่ต้องการบรรลุถึง C = Cooperation ความร่วมมือกันท้ังทางด้านกายภาพ จิตใจและสติปัญญา มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด K = Kick-off คือการเร่ิมต้นลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง E = Elation อนุศาสนาจารย์มีความภาคภูมิใจในบทบาทและหน้าที่ของตนเอง D = Dharma คือ หลักธรรมะ อนุศาสนาจารย์นําหลักธรรม ในทางพระพุทธศาสนาดังกลา่ วแล้วมาประยกุ ตใ์ ช้ เพื่อนาํ ไปส่คู วามมีคุณภาพแหง่ สมรรถนะทางกายทางจิตใจและทางปญั ญา คําสําคัญ: การพฒั นาสมรรถนะ อนศุ าสนาจารยท์ หารบกไทย พทุ ธบูรณาการ 117หน.อบรม กอศจ.ยศ.ทบ. ,นิสิตพทุ ธศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๐๕ Abstract This article from the dissertation entitled ‘The Competency Development of The Royal Thai Army’s Chaplains Based on Buddhist Integration’. This is a qualitative research done by studying documentaries, in-depth interview and focus group discussion. In the research, it was clearly found that the theories concerning with the competencies refer to the theories of human resource development, theory of competency, and theory of PDCA wherein the desirable competencies are primarily of three aspects: physical, mental and intellectual competency; each theory is purposely assigned to utilize the developed competency to effectively drive the Royal Thai Army’s chaplains’ roles and duty into the following four categories: 1) teaching and training of morality, 2) practicing Dhamma, 3) performing religious rites, and 4) attending of sick person. In these matters, the Buddhist integrated development of competencies are actualized through: 1) four paths of accomplishment, 2) four sublime states of mind, 3) four kinds of development, 4) seven qualities of a good friend, 5) five qualities of a preacher, 6) four Buddhist styles of teaching, and 7) marvel on teaching. In the application of the integrated Buddhist teachings into ways of life, it showed that the guidelines to develop the Royal Thai Army’s chaplains’ competencies are called PACKED MODEL comprising of P meaning Planning to perform, A meaning Army’s Goal referring to the Royal Thai Army’ s goal or expected result, C meaning Cooperation where physical, mental and intellectual cooperation are closely given, K meaning Kicking-off referring to making an effort in doing what is assigned, E meaning Elation whereby all chaplains are proud of their roles an duty, D meaning Dhamma by which all chaplains put the Buddhist teachings into their practice in order to get the physical, mental and intellectual competencies respectively. Keywords:Competency Development,The Royal Thai Army’s Chaplains, Buddhist Integration.

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๐๖ ๑. บทนํา การทหารมีไว้ทั้งเพ่ือการสงครามและมิใช่สงครามคือท้ังการรบและมิใช่การรบ และส่วนอันสําคัญที่มิใช่การรบก็ คือการพัฒนาประเทศการปฏิบัติการทางทหารด้านการรบ ปัจจัยสําคัญที่จะนําไปสู่ความสําเร็จแห่งชัยชนะซ่ึงถือว่าเป็นพลัง อํานาจทางการทหาร ประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ พลังอํานาจกําลังรบท่ีมีตัวตน เช่น กําลังพล ยานพาหนะ และอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และพลังอํานาจกําลังรบท่ีไม่มีตัวตน (Intangible) เช่น ความกล้าหาญ ความเสียสละ ความอดทน เห็นได้ว่าคน เป็นได้ทั้งกําลังรบที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน118ขึ้นช่ือว่าสงครามแม้จะพยายามลดโทษให้น้อยลงเท่าไหร่แล้วก็ตาม ก็ยังเป็นท่ี สยดสยองแก่มวลมนุษย์ชาติอย่างเหลือท่ีจะพรรณนาอยู่น่ันเอง ซ่ึงสิ่งท่ีดีท่ีสุด คือ สันติภาพ ความสงบเป็นส่ิงอันประเสริฐ หนทางท่ีจะบรรเทาความร้ายกาจของสงครามท่ีเชื่อกันว่าได้ผลมากก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development : HRD) ด้วยการให้การศึกษา เพราะการศึกษาจะกระทําให้บุคคลเป็นอารยะชน และในท่ีสุดก็จะมีหิริและ โอตตัปปะ119 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คือ การทําให้มนุษย์เจริญข้ึนมีสมรรถนะมากขึ้นจนกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าใน สังคมและในประเทศ กระบวนการที่ส่งเสริมให้บุคคลเพ่ิมพูนความรู้และทักษะมีพฤติกรรมการทํางานที่เหมาะสมกับงานท่ี รับผิดชอบ ซ่ึงเป็นการเพิ่มสมรรถนะของบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพการพัฒนาสมรรถนะของมนุษย์ จึงเป็นสิ่งที่สําคัญในกระบวนการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ เพราะมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพยากรธรรมชาติใดๆ รฐั บาลจึงใหค้ วามสาํ คัญกับการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยใ์ ห้มากย่ิงขึ้นเพราะไดเ้ ล็งเห็นแลว้ ว่า แม้จะมีทรัพยากรธรรมชาติจํากัด แต่ถ้าพลเมืองในประเทศมีคุณภาพมีสมรรถนะดีมีการศึกษามีความสํานึกดีในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศชาติย่อมมี ความเจริญก้าวหน้า ในทํานองเดียวกัน ถ้าประเทศใดประกอบด้วยพลเมืองท่ีไร้คุณภาพ แม้จะมีทรัพยากรธรรมชาติอย่างอุดม สมบูรณ์เพียงใด กไ็ ม่สามารถรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติทม่ี ีอยแู่ ละใช้ทรัพยากรน้นั ใหค้ ุ้มคา่ ได้ การจะพัฒนาบุคลากรขององค์กร จําเป็นจะต้องมีการประเมินความสามารถของบุคลากรในองค์กรให้รู้ว่า มีจุด แขง็ อะไรทีต่ อ้ งส่งเสรมิ สนับสนนุ และมีจดุ ออ่ นอะไรที่ต้องปรับปรุงแกไ้ ข การพัฒนาทสี่ ําคัญ คือ ตอ้ งให้รู้เทา่ ทนั ความเป็นไปของ ความเปล่ียนแปลงและตอบรับความต้องการของโลกในอนาคต ทรัพยากรมนุษย์เป็นองค์ประกอบที่สําคัญยิ่งอย่างหนึ่งของ องคก์ ร เพราะจะเป็นผูน้ ําเอาทรพั ยากรดา้ นอ่นื ๆ ขององคก์ รในการท่ีมอี ยอู่ ย่างจํากัดมาใช้เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรให้มาก ท่ีสุด ทั้งยังเป็นผู้จัดการหรือดําเนินงานให้แก่องค์กรในการที่จะแสวงหาทรัพยากรอื่นๆ ท่ีจําเป็นให้แก่องค์กรด้วย หาก บุคลากรเป็นผู้ขาดประสิทธิภาพ ทรัพยากรต่างๆ เหล่าน้ัน ก็จะถูกนําไปใช้สอยอย่างไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้น การพัฒนาบุคลากร เปน็ สิ่งจาํ เปน็ ต่อประสทิ ธภิ าพงานเป็นอย่างมาก จาํ เปน็ ต้องมีการอบรมแนะนําแก่ผูเ้ ข้าทาํ งานใหม่ หรือแม้ผู้ที่ได้เข้าทํางาน มานานแลว้ ก็ควรมีการอบรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะให้กา้ วทนั ตอ่ การเปล่ยี นแปลงของโลกซึ่งมีการเปลยี่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา120 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลื่อมใสและใฝ่พระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในทางปริยัติและทางปฏิบัติ ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับธรรมะไว้เป็นจํานวนมาก กับได้ทรงริเร่ิมให้มี “อนุศาสนาจารย์” เกดิ ขึ้นเป็นครง้ั ในกองทัพบก เพ่ือเป็นที่ปรกึ ษาและเป็นผปู้ ลกุ ปลอมใจแก่บรรดาทหารหาญ121ดังพระราช ปรารภเม่ือคราวที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมจัดส่งกองทหารอาสาไปช่วยราชสัมพันธมิตรในงาน ราชการสงคราม โดยมีกระแสพระราชปรารภ ใจความว่า “ทหารที่จากบ้านเมืองไปคราวนี้ต้องไปอยู่ในถ่ินไกล ไม่ได้พบเห็น พระเหมือนอยู่ในบ้านเมืองของตน จติ ใจจะเหินห่างจากธรรมะ ถึงยามคะนองก็จะฮึกเหิมเกินไป เป็นเหตุให้เสื่อมเสีย ไม่มีใครจะ คอยใหโ้ อวาทตักเตือน ถงึ คราวทุกข์ร้อน ก็อาดูรระสํ่าระสาย ไม่มีใครจะช่วยปลดเปลื้องบรรเทาให้ ดูเป็นการว้าเหว่น่าอนาถ ถ้า 118คงชีพ ตันตระวาณิชย์, พันตรี, “คุณภาพชีวิตการทํางานของนายทหารชั้นประทวน สังกัดกรมทหารราบท่ี ๑ มหาดเล็กรักษา พระองค”์ , วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑติ (รฐั ศาสตร์), (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๓), หน้า ๒. 119กองทพั บก, ตาํ รายทุ ธศาสตร์ของกรมยุทธการทหารบก, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พอ์ รุณการพมิ พ์, ๒๔๗๐), หน้า ๑๔. 120สมาน รักสิโยกฤฎ์, ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล, พิมพ์คร้ังที่ ๑๓, (กรุงเทพมหานคร:สวัสดิการสํานักงาน กพ., ๒๕๓๐), หน้า ๘๓. 121ปธาน ทองขุนนา, พันเอก, “รัชกาลท่ี ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”, นิตยสารยุทธโกษ, อรุณการพิมพ์, ปีท่ี ๑๒๕ ฉบับท่ี ๑ (ตลุ าคม-ธนั วาคม ๒๕๕๙): หน้า ๒.

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๐๗ มีอนุศาสนาจารย์ออกไป จะได้คอยอนุศาสน์พรํ่าสอนและปลอบโยนปลดเปลื้องในยามทุกข์”122 คําว่า “อนุศาสนาจารย์” จึง เปน็ พระราชมติทท่ี รงเร่มิ บญั ญตั ขิ น้ึ ในราชการคราวนั้นเป็นครั้งแรก การให้การศึกษาด้านการพระศาสนาในหน่วยงานทหารเพ่ือให้บรรลุผลตามท่ีต้องการ ผู้ที่ถ่ายทอดต้องใช้ความรู้ ความสามรถและความพยายามเป็นอย่างมาก และถึงแม้จะมีอุปสรรคขัดขวาง ก็ควรต้องใช้ความพยายามขจัดสิ้นไปให้จงได้ จึงจะได้ผลสําเร็จ น่ันคือ ทหารของชาติยึดม่ันอยู่ในความประพฤติดี มีศีลธรรมจรรยางดงาม คู่ควรแก่ศักดิ์ศรีแก่การเป็นร้ัว ของชาติ และรกั ษาความมัน่ คงของชาตใิ หย้ ั่งยนื ตลอดไป โดยสภาพบรรยากาศของกองทัพนน้ั สายการบังคับบัญชา ทําให้คน ที่มีอํานาจโดยเฉพาะผู้ท่ีข้ึนสู่อํานาจโดยวิถีที่ไม่ถูกต้องตามระบบ รู้สึกโดดเด่ียว ว้าเหว่ ไม่ปลอดภัย เกิดความกลัว ไม่ม่ันใจ หวาดระแวงว่าอาํ นาจจะลดลง จงึ พยายามท่ีหาเวทย์มนต์คาถา การสะเดาะเคราะห์ การสืบชะตามาช่วย ปรากฏการณ์เช่นน้ี บง่ บอกถึงความไม่มั่นใจในหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนา123 บทบาทหรือภารกิจของอนุศาสนาจารย์ในปัจจุบันตามท่ีได้รับมอบหมายจากกองทัพบกมีหน้าที่ความปรากฏตาม หมายเลขชาํ นาญการทางทหาร (ชกท.) ๕๓๑๐ ความว่า อนุศาสนาจารยห์ นา้ ที่ทัว่ ไป ปฏิบตั ิการหรืออํานวยการเก่ียวกับการศาสนา และให้คําแนะนําแก่ผู้บังคับบัญชาในปัญหาท้ังปวงเกี่ยวศาสนาและขวัญ หน้าที่เฉพาะปฏิบัติการเกี่ยวการบริการทางศาสนา และวางโครงการให้ทหารมีโอกาสได้ปฏิบัติศาสนกิจ เยี่ยมเยียนผู้เจ็บป่วยและนักโทษทหาร ช่วยเหลือและประสานงานในการ ดาํ เนนิ การให้ทหารมขี วญั ดี มสี ว่ นในการอบรมผู้คัดเลอื กเขา้ มาเปน็ ทหารและทําการบรรยายอบรมทหารเก่ียวกับศาสนา ติดต่อ ประสานงานกับองค์การสงเคราะห์ต่างๆ เช่น สภากาชาด หรือวัดในท้องถ่ินรับและแจกจ่ายเอกสารเกี่ยวกับศาสนา และรายงาน การปฏิบตั ิของตน124 การปฏบิ ัติในภารกิจของอนุศาสนาจารยต์ ามทีไ่ ด้รับมอบหมายจากกองทพั บกนนั้ สามารถสรุปได้เป็น ๔ ด้าน คือ๑. การอบรมการสอนศีลธรรม ๒. การปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนา ๓. การปฏิบัติศาสนพิธี และ ๔. การเย่ียมไข้ ซึ่งบทบาทของ อนุศาสนาจารย์นนั้ เปน็ บทบาทของผชู้ น้ี าํ ทางด้านความคดิ และการปฏบิ ัติตนเปน็ ตัวอย่างเปน็ แบบอย่างทีด่ ีแก่กําลงั พลของหน่วย การปฏิบัติภารกิจท้ัง ๔ ด้านของอนุศาสนาจารย์ตามที่กล่าวมานั้น พบว่า อนุศาสนาจารย์ยังมิได้ใช้สมรรถนะของตนเองใน การปฏิบัติภารกิจทั้ง ๔ ด้านอย่างเต็มที่ จึงทําให้ผู้บังคับบัญชาส่วนใหญ่ในหน่วยทหารมิได้มองอนุศาสนาจารย์ในฐานะเป็น ผู้นําทางจิตวิญญาณ ซึ่งมิได้ตรงกับเจตนารมณ์หลักของการก่อเกิดกําเนิดอนุศาสนาจารย์ตามท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภให้มีอนุศาสนาจารย์ และอนุศาสนาจารย์ยังขาดทักษะในการสอน การอบรม การนํากําลังพลเข้า ปฏบิ ตั ธิ รรมเนือ่ งจากขาดองคค์ วามรแู้ ละความเขา้ ใจ รวมถึงขาดหลกั วธิ ีคิดและอดุ มการณ์ในความเป็นอนศุ าสนาจารย1์ 25 ดังน้ัน อนุศาสนาจารย์ซ่ึงเป็นบุคลากรของกองทัพ มีหน้าท่ีอันสําคัญ คือ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในหน่วยงาน ทหารการนําพากําลังพลปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนา การปฏิบัติศาสนพิธีและการเย่ียมบํารุงขวัญกําลังพลผู้เจ็บป่วย จึงควรมี การพัฒนาสมรรถนะเพื่อความสําเร็จในภารกิจและหน้าท่ีตามท่ีได้รับมอบหมาย ถ้าขาดสมรรถนะความรู้ความสามารถก็จะ เป็นปัญหาต่อการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม การปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนา การปฏิบัติศาสนพิธี และขวัญกําลังใจของกําลังพล ในกองทัพอันจะมีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าด้านคุณธรรมจริยธรรมของกําลังพลในกองทัพได้ผู้วิจัยเห็นว่า การพัฒนา สมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทย โดยนําหลักพุทธธรรมเข้ามาบูรณาการมีความสําคัญยิ่ง ซ่ึงจะนําไปสู่ความมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะ อนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเชิงพุทธบูรณาการ” องค์ความรู้ท่ีได้จากการวิจัยครั้งนี้ ผู้บริหารสายวิทยาการอนุศาสนาจารย์ ทหารบกไทยและอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยสามารถนําไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเพื่อการปฏิบัติงานให้เกิด ประโยชน์ต่อการพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทย ให้มีความรู้ความชํานาญและถึงความเจริญรุ่งเรืองในสาย วทิ ยาการอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยตอ่ ไป 122กองทัพบก, ค่มู ือการอนศุ าสนาจารยก์ องทพั บก, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์กรมยทุ ธศึกษาทหารบก, ๒๕๓๘), หน้า ๔. 123วิเชียร ปราบพาล, เรืออากาศเอก, “การวิเคราะห์บทบาทอนุศาสนาจารย์ : ศึกษาเฉพาะกรณีอนุศาสนาจารย์ทหาร อากาศไทย”, สารนิพนธ์สงั คมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัย ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๐), หน้า ๒. ๘กองทพั บก, คูม่ ือการอนุศาสนาจารย์กองทัพบก, หน้า ๑๒๘. 125สัมภาษณ์ พันโท บวรวทิ ย์ ไชยศิลป์ หัวหน้าแผนกกําลังพล กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศกึ ษาทหารบก, ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑.

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๐๘ ๒. วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั ๒.๑ เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาสมรรถนะตามศาสตร์สมัยใหม่ และหลักพุทธธรรมของ อนศุ าสนาจารย์ทหารบกไทย ๒.๒ เพอ่ื ศกึ ษาบทบาท ภารกจิ สภาพปญั หา และสมรรถนะของอนุศาสนาจารยท์ หารบกไทย ๒.๓ เพอ่ื เสนอแนวทางการพฒั นาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเชิงพุทธบูรณาการ ๓. วิธดี าํ เนินการวิจัย วิธีดําเนินการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีวิธีการเก็บข้อมูลเชิงเอกสาร (Doccumentary Research)การสัมภาษณ์เชิงลึก(an in-depth interview) และการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group Discussion) แบง่ เปน็ ๔ ขั้นตอนใหญ่ ดงั น้ี ข้ันตอนท่ี ๑ ศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร (Document Study) โดยศึกษาค้นคว้าข้อมูลเก่ียวกับแนวคิด ทฤษฎี หลักการพัฒนาสมรรถนะของบุคคลตามศาสตร์สมัยใหม่ รวบรวมข้อมูลจากหนังสือ ตํารา บทความ งานวิจัย ที่เกี่ยวกับการ พัฒนาสมรรถนะของบุคคล ศึกษาหลักพุทธธรรมที่สอดคล้องเหมาะสมกับการพัฒนาสมรรถนะ การศึกษาบทบาท ภารกิจ สภาพปัญหา จากข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารหนังสือที่เกี่ยวข้อง และสมรรถนะของ อนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยท่ีพึงประสงค์ รวบรวมข้อมูลจากการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ ขั้นตอนท่ี ๒ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยได้สร้างแบบสัมภาษณ์ เพ่ือนําไปสัมภาษณ์ประชากรกลุ่ม ตัวอย่าง โดยปรึกษากับอาจารย์ท่ีปรึกษา และให้ผู้เชี่ยวชาญดําเนินการตรวจสอบแก้ไข ปรับปรุงเครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษา วจิ ยั เพอื่ ใหม้ คี วามครบถว้ นถูกต้องสมบรู ณ์ ขั้นตอนที่ ๓ ลงพ้ืนท่ีเพื่อทําการสัมภาษณ์เชิงลึกประชากรกลุ่มตัวอย่าง โดยประชากรที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็น พระสงฆ์ท่ีมีความรู้และเข้าใจบทบาทของอนุศาสนาจารย์ โดยมีลักษณะของการได้รู้จักและการปฏิบัติภารกิจหรือการ ร่วมงานกันบ่อยๆ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาท่ีมีความเกี่ยวข้องกับอนุศาสนาจารย์โดยสายการบังคับบัญชา ทั้งในอดีตและ ปัจจุบนั และอนุศาสนาจารยช์ ั้นผูใ้ หญ่ในฐานะเป็นผูท้ รงคณุ วุฒิ ท้งั ท่ีเปน็ อดีตและปจั จุบัน ข้นั ตอนท่ี ๔ เก็บรวบรวมข้อมูลในการสัมภาษณ์จากการลงพื้นที่ด้วยตนเอง โดยมีการจดบันทึกและทําการ บันทึกเสียง พร้อมทั้งการบันทึกภาพการสัมภาษณ์ จัดการประชุมกลุ่มย่อย แล้วนําข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ และข้อมูล จากการประชุมกลุ่มย่อย มาสู่การวิเคราะห์ การสังเคราะห์เพ่ือให้ได้คําตอบตามวัตถุประสงค์ท่ีกําหนดไว้ แล้วนํามาเป็นกรอบ ในการอธิบายและแสดงทัศนะของผู้วิจัย เพื่อนําเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเชิงพุทธ บูรณาการ ๔. ผลการวจิ ยั พระพุทธศาสนามีลักษณะสําคัญอย่างหน่ึง คือยืนยันในความมีสมรรถนะสูงสุดของมนุษย์126ท้ังทางด้านร่างกาย จติ ใจและปญั ญา ซึ่งเป็นความสามารถท่ีมอี ยู่ในตัวมนษุ ย์ เกิดมีขึน้ แต่กําเนิดหรือ การฝกึ ฝนอบรมพัฒนาสมรรถนะในตัวมนุษย์แบ่งออกเป็น ๓ ด้าน คือ สมรรถนะทางกาย สมรรถนะทางจิตใจ และสมรรถนะ ทางปญั ญาซ่ึงการพฒั นาสมรรถนะหรือขดี ความสามารถจะเร่ิมตน้ ท่หี ลักการของการศึกษาเพราะการพัฒนาหรือภาวนานั้นเป็น ส่ิงเดียวกับการศึกษาหรือสิกขา ซึ่งสิ่งท่ีต้องศึกษาหรือพัฒนาแยกออกไปเป็น ๓ ด้านใหญ่ๆ โดยสอดคล้องกับการดําเนินชีวิต ของมนษุ ย์ที่มี ๓ ดา้ น คือพฤติกรรมทางกายวาจา จิตใจ และปัญญา127โดยพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงหลักการศึกษา ไว้๓ประการ เรยี กว่า ไตรสกิ ขา คืออธศิ ลี สิกขา อธจิ ิตตสกิ ขา และอธิปัญญาสกิ ขา 126พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ลกั ษณะแห่งพระพุทธศาสนา, พิมพค์ รั้งท่ี ๑๑, (กรงุ เทพฯ: เคลด็ ไทย, 25๔๗), หน้า ๕๐. 127พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), การศึกษากับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๓๙), หน้า ๖๗.

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๐๙ มนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจึงต้องมีผู้นํา รวมทั้งมีการควบคุมกํากับดูแลหรือจัดระเบียบกันภายใน กลุ่ม ซ่ึงอาจเรียกว่า “การบริหาร” หรือ “การพัฒนา” เพ่ือให้เกิดความสงบเรียบร้อยและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วย เหตผุ ลนีม้ นษุ ยจ์ ึงไมอ่ าจหลีกเลี่ยงการพฒั นาได้ และอาจกล่าวไดว้ ่า “ท่ใี ดมกี ลุ่ม ท่ีน้ันย่อมมีการพฒั นา” คําว่า “การพัฒนา”ตรงกับคําในภาษาอังกฤษว่า Development มีความหมายว่า การเปลี่ยนแปลงท่ีละเล็กละ น้อยอย่างมีกระบวนการ โดยมีจุดมุ่งหมายโดยผ่านลําดับข้ันตอนต่างๆ ไปสู่ระดับท่ีสามารถขยายตัวขึ้นเติบโตข้ึนมีการ ปรับปรุงใหด้ ีขน้ึ และเหมาะสมกวา่ เดมิ หรอื อาจก้าวหนา้ ไปถงึ ขน้ั ทอี่ ดุ มสมบูรณเ์ ป็นที่น่าพอใจ128 สว่ นความหมายจากรูปศพั ท์ ในภาษาไทยน้ันหมายถึง การทําความเจริญการเปล่ียนแปลงในทางท่ีเจริญขึ้นการคล่ีคลายไปในทางท่ีดีการพัฒนาซึ่งเข้าใจ กันโดยท่ัวไปหมายถึงการทําใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหน่ึงท่ีดีกว่าเดิมอย่างเป็นระบบหรือการทําให้ดี ขนึ้ กวา่ สภาพเดมิ ทเี่ ป็นอยูอ่ ยา่ งเป็นระบบ129 คําว่า “สมรรถนะ”(Competency)น้ี ได้มีนักวิชาการที่ศึกษาเก่ียวกับเร่ืองนี้ให้คําแปลและคําจํากัดความไว้ แตกต่างกันมากมายตามความเขา้ ใจและความเชื่อของแต่ละบุคคล หรือแต่ละสถาบัน บางท่านอาจแปลว่า “ศักยภาพ” หรือ “ความสามารถ” หรือ “ขีดความสามารถ” หรือ “ความสามารถเชิงสมรรถนะ” หรือ “สมัตถิยะ” หรือ “สมรรถนะ”หรือ บางท่านบอกว่าไม่จาํ เปน็ ต้องแปล เรยี กทบั ศพั ท์ไปเลยคอื “คอมพเี่ ทนซี”่ 130 การพัฒนาสมรรถนะ หมายถึง การนําเอาคุณลักษณะพ้ืนฐาน (Underlying Characteristic)ของบุคคล ได้แก่ แรงจูงใจ (Motive) อุปนิสัย (Trait) ทักษะ (Skill) จินตภาพส่วนตน (Self-Image)บทบาททางสังคม (Social Role) องค์ ความรู้ (Body of Knowledge) ซึ่งเป็นความสามารถท่ีซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวบุคคล นํามาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมี กระบวนการ นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าสมรรถนะ (Competency) คือความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะท่ีจําเป็นของ บคุ คลในการทาํ งานใหป้ ระสบความสําเร็จ มีผลงานได้ตามเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กําหนดหรือสูงกว่าซ่ึงต้องมีการประเมินเพ่ือ นําใชต้ อ่ กบั งานทรัพยากรบคุ คลดา้ นอนื่ ๆ แนวทางหลกั ในการพฒั นาสมรรถนะ ประกอบด้วย ๓ แนวทาง คือ๑) Trainingการฝึกอบรมหมายถึง การเรียนรู้ ซึ่งเน้นงานปัจจุบัน131 อย่างเป็นระบบเพื่อสร้างหรือเพ่ิมพูนความรู้ ทักษะ ความสามารถ และพฤติกรรมในการทํางาน132 ของบุคคล สําหรับการปฏิบัติงานในเร่ืองหนึ่งเรื่องใดในทางท่ีถูกท่ีควรของหน่วยงาน เพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานและภาระ หน้าที่ต่าง ๆในปัจจุบันและอนาคตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงข้ึน การฝึกอบรมจึงเป็นโครงการที่ถูกจัดข้ึนมาเพื่อช่วยให้ บุคคลมีคุณสมบัติในการทํางานสูงขึ้นการฝึกอบรมเป็นวิธีการหน่ึงท่ีจะช่วยให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และเกิดทักษะ จากประสบการณ์ตลอดจนเกิดเจตคติที่ดีและถูกต้องต่อกิจกรรมต่างๆ เป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพของงาน๒) Education การศึกษา คือ การเรียนรู้ซ่ึงเน้นงานในอนาคตเป็นการเตรียมบุคลากรสําหรับการเลื่อน ตําแหน่งการโยกย้ายการพัฒนาสายชีพโดยการศึกษาเป็นระบบที่มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาขีดความสามารถทางปัญญาแนวคิด ความเข้าใจสังคมและผลการปฏิบัติงานผ่านกระบวนการเรียนรู้133เป็นการดําเนินการด้วยกระบวนการทุกอย่าง ท่ีทําให้ บุคคลพัฒนาความสามารถด้านต่างๆ รวมท้ังทัศนคติและพฤติกรรมอ่ืนๆ ตามค่านิยมและคุณธรรม เพ่ือความเจริญงอกงาม ของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การสืบสานทางวัฒนธรรมการสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพ แวดล้อมสังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองนอกจากน้ัน การศึกษาอาจหมายถึง การส่งเสริม 128ปกรณ์ ปรียากร, ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาในการบริหารการพัฒนา, (กรุงเทพฯ: สามเจริญพานิช, ๒๕๓๘), หนา้ ๕. 129ยุวฒั น์ วฒุ เิ มธ,ี การพฒั นาชุมชน : จากทฤษฎสี กู่ ารปฏิบัติ, (กรุงเทพฯ: บากกอกบล็อก, ๒๕๓๔.), หน้า ๑. 130ฐิติพัฒน์ พิชญธาดาพงศ,์ “ยุทธวิธกี ารใชร้ ะบบสมรรถนะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพ่ือผลักดันองค์กรสู่ความเป็นเลิศเหนือ คู่แข่ง”, วารสารดํารงราชานุภาพ, หน้า ๒๐-๒๑. 131Sims,R.R., Human ResourceManagement : Contemporary Issues,Challengrs,and Opportunities, (Charlotte, NC : Information Age, 2007), p. 7. 132Ivancevich, j.m., Human ResourceManagement, p. 399. 133Marchington, M., & Wilkinson, A., Human ResourceManagement at Work : PeopleManagementand Department, p. 343.

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๑๐ ให้มีการดูงานหรือศึกษาต่อซ่ึงเป็นกิจกรรมท่ีช่วยเพ่ิมคุณวุฒิของบุคคลให้มีความรู้ท่ีดีขึ้นหรือได้รับความรู้ใหม่ๆ134 และยัง หมายรวมถึงศิลปะในการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ในอดีตซึ่งรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบสําหรับคนรุ่นใหม่๓) Development การพัฒนาเป็นการมองระยะยาวในการเตรียมบุคลากรให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงและการเจริญเติมโตขององค์การใน อนาคต เป็นกระบวนการของการเกี่ยวข้องเช่ือมโยงจากวุฒิภาวะข้ันหน่ึงไปสู่วุฒิภาวะอีกขั้นหนึ่ง เช่น จากผลการปฏิบัติงาน ระดับทั่วไปสู่ผลการปฏิบัติงานระดับดีและพัฒนาสู่ระดับดีเยี่ยม มุ่งขยายโลกทัศน์ของผู้ปฏิบัติงาน เป็นการดําเนินการด้าน วิธีการต่างๆ เพือ่ เพม่ิ และขยายโลกทศั นส์ าํ หรับการปฏบิ ตั งิ านและการปฏบิ ัตติ น บทบาทและภารกิจของอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยประกอบด้วยภารกิจหลัก ๔ ด้าน คือ ๑) การอบรมและสอน ศีลธรรม เป็นการดําเนินการอบรมและการสอนศีลธรรมวัฒนธรรมแก่ทหาร และบุคคลในสังกัดกองทัพบกให้มีความประพฤติ และอัธยาศัยดีงามดําเนินการสอนวิชาการศาสนาและศีลธรรมในโรงเรียนเหล่าและสายวิทยาการต่างๆ ของโรงเรียนหน่วยงาน ทหาร๒) การปฏิบัติธรรม/การเจริญจิตภาวนา ดําเนินการนํากําลังพลปฏิบัติธรรมในโอกาสต่างๆสร้างสรรค์อุดมธรรมของ พระพุทธศาสนาแก่กําลังพลทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการท้ังในท่ีต้ังปกติและในสนามรบ๓) การปฏิบัติศาสนพิธี ดาํ เนนิ การในดา้ นศาสนพธิ ีและใหก้ ารบรกิ ารทางศาสนาปฏิบัตกิ ารเก่ยี วกบั พธิ ีการรวมถึงการวางโครงการให้ทหารมีโอกาสได้ ปฏิบัติศาสนกิจ๔) การเยี่ยมไข้ ดําเนินการในเร่ืองบํารุงรักษาขวัญและกําลังใจของทหารให้ทหารมีขวัญและกําลังใจเข้มแข็ง พบปะเยี่ยมเยียนกําลังพลผู้เจ็บป่วยผู้ถูกคุมขังและผู้มีปัญหาเพื่อปลุกปลอบขวัญและให้กําลังใจท้ังในยามปกติและยาม สงคราม การที่อนุศาสนาจารย์จะปฏิบัติภารกิจทั้ง ๔ ด้าน ให้ได้ผลดีเป็นท่ียอมรับ รวมถึงเป็นท่ีเช่ือถือเชื่อมือเป็นท่ี ไว้วางใจของผู้บังคับบัญชาตลอดถึงกําลังพลและครอบครัวพร้อมท้ังประชาชนโดยทั่วไปอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยควร พัฒนาสมรรถนะคือขีดความสามารถทงั้ ๓ อย่าง คอื สมรรถนะทางกาย สมรรถนะทางจิตใจ และสมรรถนะทางปญั ญา ดังนี้ ๑) สมรรถนะทางกาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และหายไปได้การท่ีร่างกายอ่อนแอสุขภาพไม่สมบูรณ์และร่างกายไม่มี ความเข้มแข็งทนทานก็เพราะขาดสมรรถนะทางกาย การที่เราจะรักษาร่างกายให้มีสมรรถนะมีสุขภาพแข็งแรงคงสภาพอยู่ เสมอนั้นอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยจําเป็นต้องมีการออกกําลังกายเป็นประจําเพื่อให้มีสมรรถนะทางกายท่ีคงสภาพและ เป็นการสร้างเสริมสมรรถนะทางกายให้ดีย่ิงๆ ข้ึนไปอีกด้วยนอกจากนี้แล้วยังเป็นประโยชน์ในการป้องกันโรคภัยเบียดเบียน อนศุ าสนาจารย์ตอ้ งมีเปา้ หมายการพัฒนาสมรรถนะทางกายอย่างเป็นระบบดูแลร่างกายของตนเองให้สมบูรณ์แข็งแรงตลอดเวลา ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน พัฒนากายภาพในทุกส่วนความสมส่วนของร่างกาย เก่ียวกับการแต่งกายท่ียังไม่สมบูรณ์ แก้ไขด้วยให้ ความสําคัญในเร่อื งการแต่งกายท่ีสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย การรักษาการแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ ซ่ึงเก่ียวข้องกับทางกายทั้งส้ิน เกี่ยวกับการขาดทักษะหรือไม่มีความชํานาญด้านเทคโนโลยีหรือการปฏิบัติหน้าที่อ่ืนๆ แก้ไข ด้วยให้มีความใส่ใจในการฝึกฝนขีดความสามารถทางกาย สร้างความชํานาญคือการทําบ่อยๆ ทําแล้วทําอีกให้เวลาและเตรียม ตัวทําให้สมบูรณ์ที่สุดคือเตรียมตัวพร้อมซักซ้อมดีแสดงความกระฉับกระเฉง พร้อมให้สร้างสุนทรียภาพขึ้นทางเสียง น้ําเสียง ใหม้ ีนํ้าหนกั น่าเชื่อถือ ซ่ึงเป็นศลิ ปะอยา่ งหน่ึง เช่น การอาราธนาศีลอยา่ ให้พลาด การออกเสียงชัดเจนมีการฝึกฝนการใช้เสียง เพอ่ื ให้เกิดความเหมาะสมและพอดี ๒) สมรรถนะทางจิตใจปัญหาแต่ละปัญหานั้นเป็นสิ่งท่ีสามารถปรับปรุงแก้ไขได้การพัฒนาสมรรถนะทางจิตใจ ประการแรก อนุศาสนาจารย์ต้องมีความตั้งใจในการท่ีจะดําเนินการแก้ไข ประการต่อมาคือการฝึกฝนอย่างจริงจังการลงมือ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความชํานาญสิ่งใดก็ตามแต่เมื่อทําอยู่บ่อยๆ ก็จะทําให้เกิดความชํานาญเกิดความเคยชินการฝึกฝนจึงเป็น เรือ่ งที่สําคญั มีการฝกึ ฝนทางด้านการคิด มีเปา้ หมายในการปรบั ปรงุ แกไ้ ขพฒั นา อนศุ าสนาจารย์ตอ้ งหม่ันเจริญจิตตภาวนาท่ี เรียกว่ากรรมฐานจะเป็นสมถะกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานก็ดีท้ังน้ันเพราะจะทําให้มีจิตใจที่มั่นคงเกี่ยวกับความขัดแย้ง หรือความสับสนภายในจิตใจต้องแก้ไขด้วยการฝึกฝนการคิดด้วยการคิดเป็นระบบ การคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์การคิด อย่างสร้างสรรค์และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เกี่ยวกับทุกข์ทางจิตใจต้องแก้ไขด้วยหลักคุณธรรม มีความมุ่งม่ันและยึดมั่น ในหลกั คุณธรรม มหี ลกั คณุ ธรรมประจําใจ การปฏิบัติธรรมซ่งึ เปน็ สว่ นสําคัญในการสร้างสุขภาพจิตท่ีดที ําจติ ใจใหม้ ีความสุข 134สจุ ติ รา ธนานันท์, การพัฒนาทรพั ยากรมนุษย,์ (พิมพค์ รั้งท่ี ๒), (กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั บณั ฑติ พัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๕๐), หนา้ ๒๖.

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๑๑ ๓) สมรรถนะทางปัญญา ปัญญาเป็นสิ่งสําคัญในการปฏิบัติภารกิจหรือการทําหน้าที่ท้ัง ๔ ด้านของ อนุศาสนาจารย์ การมีปัญญาจะช่วยให้สามารถทํางานได้อย่างถูกต้อง หรือเม่ือมีปัญหาเกิดขึ้นปัญญาก็จะช่วยในการแก้ไข ปัญหา นอกจากน้ี ปัญญายังช่วยในการพัฒนาองค์กรในการสร้างความเจริญก้าวหน้า ถ้าขาดปัญญาขาดความรู้ก็จะทําให้การ ทํางานติดขัด การทํางานไม่ล่ืนไหล อนุศาสนาจารย์เป็นผู้อยู่ในฐานะเป็นครูอาจารย์ ต้องเป็นผู้นําทางด้านความรู้ ต้องหม่ัน แสวงหาความรู้ท้ังคดีโลกและคดีธรรมอนุศาสนาจารย์ต้องขวนขวายศึกษาแสวงหาความรู้อยู่เสมอไม่น่ิงอยู่กับที่ ต้องหมั่น แสวงหาความรู้ท้ังคดีโลกและคดีธรรมสิ่งสําคัญก็คือความตั้งใจในการท่ีจะแสวงหาความรู้เพ่ิมเติมอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดน่ิงอยู่ กับความรู้เดิมๆ ที่มีอยู่แล้ว เก่ียวกับท่ีมาของความรู้หรือวิธีแสวงหาความรู้ ต้องแก้ไขด้วยการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการท่ี หลากหลาย จากผู้เช่ียวชาญ จากการอบรม จากการพูดคุย หรือแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองเกี่ยวกับองค์ความรู้ท่ีล้าหลัง ต้อง แกไ้ ขด้วยความรู้ทท่ี ันสมยั ทนั โลกแล้วก็ทนั เหตกุ ารณเ์ พราะโลกมีการเปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาอนุศาสนาจารย์นอกจากจะมี ความรดู้ ้านศาสนาอยา่ งท่องแทแ้ ลว้ ยังต้องมคี วามรแู้ ละความสามารถในการใช้เทคโนโลยอี นศุ าสนาจารยม์ คี วามเปน็ พหูสูตคือ ต้องศกึ ษาใหม้ ากทง้ั คดโี ลกและคดธี รรม มีความแตกฉานในหลกั ธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนาได้ดีมีความรู้ท่ีชัดเจนสามารถ อธบิ ายได้ว่าทําไมต้องปฏิบตั ิแบบนี้ ตอ้ งมีความรอบรู้ในหลกั ธรรมคาํ สั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก สามารถอธิบายธรรมะให้ เข้าใจง่ายและชวนฟงั น่านําไปปฏิบัติ มีการเพ่ิมพูนความรู้อยู่เสมอทั้งความรู้ทางศาสนาความรู้ทางโลกความรู้ทางเทคโนโลยี และการส่ือสารสามารถประยุกต์ความรู้ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพความรอบรู้ในหัวข้อ หลักธรรมต่างๆทงั้ ในแนวลึกและแนวกวา้ ง หลักธรรมที่สามารถนํามาบูรณาการเพื่อส่งเสริมและพัฒนาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ ทหารบกไทยเชิงพุทธบูรณาการเพ่ือให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลนน้ั ผวู้ ิจยั สามารถสรุปหลักธรรมทสี่ ําคัญคือ ๑) หลักอิทธิบาท ๔ มีอยู่ ๔ ประการ คือ ๑) ฉันทะ คือความพอใจรักใคร่ในเป้าหมายในการพัฒนาสมรรถนะทาง กายทางจติ ใจและทางปญั ญา ด้วยความเต็มใจไมเ่ บอ่ื หนา่ ยทจ่ี ะทาํ เป็นจดุ เริ่มตน้ ทส่ี ําคญั ทาํ ใหเ้ กิดคุณธรรมข้อต่อไปทุกข้อ๒) วิริยะ คือมีความพากเพียรมีความพยายามในการพัฒนาสมรรถนะทางกายทางจิตใจและทางปัญญา ทําด้วยความ ขยันหม่ันเพียรและมีมานะอุตสาหะไม่ทอดท้ิงจนกว่าจะประสบผลสําเร็จ๓) จิตตะ คืออนุศาสนาจารย์ก็มีความเอาใจจดจ่อ ไม่วาง ธุระ ต้องเอาใจใส่ในการพัฒนาสมรรถนะทางกายทางจิตใจและทางปัญญา ทําส่ิงท่ีเป็นเป้าหมายตามต้องการหรือวัตถุประสงค์ที่ กาํ หนดไวแ้ ลว้ ให้อยู่ในใจเสมอ ๔) วิมังสา คือคิดพัฒนาสมรรถนะทางกายทางจิตใจและทางปัญญา ก็ทําด้วยความรู้จักไตร่ตรอง รูจ้ กั พิจารณาใคร่ครวญร้จู กั พนิ จิ พเิ คราะห์ทดลองทดสอบ ตรวจหาสาเหตุดว้ ยความรอบคอบ เมื่อเกิดปัญหาดา้ นสมรรถนะทาง กายทางใจและทางปญั ญา การนาํ หลกั อทิ ธิบาท ๔ มาประยุกตใ์ ชแ้ ก้ไขปญั หา เพ่ือใหป้ ระสบความสาํ เรจ็ ท่มี งุ่ หวงั ไว้ ๒) หลักพรหมวิหาร ๔ เป็นธรรมเคร่ืองอยู่อย่างประเสริฐประกอบด้วย ๑) เมตตา คือ ความรักใคร่ปรารถนาดีอยากให้ เขามคี วามสุข ๒) กรณุ า คอื ความสงสาร คิดช่วยเหลอื ให้พ้นจากความยุ่งยากเดือดร้อน ๓) มุทิตา คือ ความยินดี คิดส่งเสริม ให้กําลังใจในเมื่อเขาประสบความสําเร็จ ๔) อุเบกขา คือ ความวางเฉย วางใจเป็นกลาง หลักธรรมข้อนี้นับว่าเป็นส่ิงสําคัญ สําหรับอนุศาสนาจารย์ ผู้ทําหน้าท่ีให้การอบรมหรือการสอนศีลธรรมการปฏิบัติธรรมการปฏิบัติศาสนพิธีและการเยี่ยมไข้ นํา พรหมวิหาร ๔ มาปรับใช้หรือบูรณาการใช้ในการแก้ไขปัญหาสมรรถนะทางกายทางจิตใจและทางปัญญา เพ่ือความประพฤติ ทป่ี ระเสรฐิ บริสทุ ธแิ์ ละกาํ กบั ความประพฤติให้เปน็ ไปโดยชอบถูกตอ้ งตามทํานองคลองธรรม ๓) หลักภาวนา ๔ หมายถึง การเจริญการพัฒนาการฝึกอบรมเป็นหลักธรรมเพ่ือการพัฒนา โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ ๑) กายภาวนา คือ การพัฒนากายให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ให้มีมีบุคลิกภาพ ทางกายสดชื่นแจ่มใสสง่างาม ร่างกายคล่องแคล่วว่องไว มีทักษะในการใช้วาจา ๒) ศีลภาวนา คือ การพัฒนาความประพฤติ โดยเฉพาะที่สําคัญอนั จะต้องมีสว่ นที่เก่ียวข้องกับผู้อ่ืน ไม่มีการเบียดเบียน ไม่โกหกหลอกลวงผู้อ่ืนทั้งทางตรงและทางอ้อมท้ัง ทางกายและทางวาจา ไม่ทําร้ายตนเองและผู้อ่ืน ๓) จิตตภาวนา คือ พัฒนาจิตใจให้สงบให้มีสมาธิพยายามทําจิตให้เป็นสุข ให้อ่ิมเอิบ ให้เบิกบานแจ่มใส ให้เกิดปราโมทย์ ไม่ให้จิตใจขุ่นมัว มีจิตใจหนักแน่นไม่หวั่นไหวในเพราะอิฏฐารมณ์หรือ อนฏิ ฐารมณ์ และ ๔) ปญั ญาภาวนา คอื การพัฒนาปัญญา ใช้ปัญญาในการศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ทั้งทางโลกและทางธรรม และนําความรู้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติภารกิจด้านต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาปัญญาของผู้ปฏิบัติวิปัสสนา ตามแนวทางของมหาสตปิ ัฏฐาน ๔

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๑๒ ๔) หลักกัลยาณมิตรธรรม ๗คือ ๑) ปิโย คือ อนุศาสนาจารย์เป็นบุคคลมีบุคลิกภาพน่ารัก เพียงแค่เห็นก็เกิด ศรทั ธา เห็นแลว้ ร้สู กึ สบายใจ ชวนให้เข้าใกลป้ รึกษา ไต่ถาม มีความร่าเริงผ่องใส เบิกบานอยู่เป็นประจํา ๒) ครุ คือ มีความหนักแน่น หรอื น่าเคารพท่ีอุดมภมู ริ ้ภู ูมิธรรม เกิดความตระหนกั และซาบซงึ้ ไดด้ ีว่าอะไรถูกอะไรผิดอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป ไม่หว่ันไหวต่อส่ิง เย้ายวนต่างๆ ๓) ภาวนีโย มีบุคลิกภาพท่ีน่ายกย่อง ทรงความรู้มีภูมิปัญญาเป็นเลิศ มีความสามารถอันยอดเยี่ยม ๔) วัตตา มี ความสามารถด้านการพูด รจู้ ักช้แี จงใหเ้ ข้าใจ สามารถพูดโน้มน้าวใจใหท้ าํ ตามในส่ิงท่ดี ใี ห้เหตุให้ผล คอยให้คําแนะนําว่ากล่าว ตักเตือน เป็นท่ีปรึกษาที่ดี เป็นผู้ฉลาดในการใช้คําพูด๕) วจนักขโม คือมีสมรรถนะทางจิตใจอดทนฟังได้ในคําตําหนิว่าร้าย พร้อมท่ีจะรับฟังวิพากษ์วิจารณ์ อดทนฟังได้ไม่เบ่ือหน่ายไม่ฉุนเฉียว ไม่เสียอารมณ์แม้จุกจิก ๖) คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตามี ทักษะทางวาจาท่ีสามารถพูดใช้ถ่อยคําได้ลึกซ้ึง แถลงชี้แจงเรื่องที่ลึกล้ําได้ สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจ สามารถแถลงช้ีแจงได้จนเห็นภาพพจน์ ๗) โน จัฏฐาเน นิโยชะเย คือ มีสติปัญญาพิเคราะห์พิจารณาไม่เป็นบุคคลท่ีชักนําไป ในทางเสอื่ มเสียหรือขดั ตอ่ ศลี ธรรมอันดงี าม ประพฤตปิ ฏิบตั ิตนอยใู่ นศลี ธรรมอนั ดงี ามตลอดเวลา ๕) หลักธรรมเทสกธรรม ๕ หลักธรรมน้ีได้แก่ ๑) อนุปุพฺพิกถํ) กล่าวธรรมะไปตามลําดับเพื่อช่วยให้ผู้ฟังสามารถ ตดิ ตามเนือ้ หาและเข้าใจในธรรมะไดด้ ี ๒) ปริยายทสฺสาวี ใช้เหตุผลประกอบการบรรยาย จะช่วยให้มีความเข้าใจได้ชัดเจนมาก ยง่ิ ขึน้ เพราะเหตแุ ละผลจะมคี วามสมั พนั ธก์ ัน ๓) อนทุ ยตํ ปฏจิ จฺ มีเมตตาจติ ต่อผ้ฟู งั หวังให้ผู้ฟงั ไดร้ บั ความสุขความเข้าใจจาก การฟงั เพ่ือนําไปเป็นข้อปฏบิ ัตเิ ป็นหลกั การหรอื แนวทางในการดาํ เนนิ ชีวิต ๔) น อามสิ นฺตโร ไมเ่ ห็นแกอ่ ามิส ไม่อบรมหรือสอน ศีลธรรมโดยตั้งจิตหวังจะได้ลาภสักการะ เพราะจะทําให้จิตใจหม่นหมองไม่ผ่องใสไม่บริสุทธิ์ ๕) อตฺตานญฺจ ปรญฺจ อนปุ หจจฺ สอนหรืออบรมศลี ธรรมโดยไมก่ ระทบตนและผอู้ น่ื ไมเ่ สยี ดสใี ครๆ ๖) หลักเทศนาวิธี ๔มีอยู่ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นชัด จะอบรมจะสอนอะไรก็ชี้แจงจําแนก แยกแยะอธิบายและแสดงเหตุผลให้ชัดเจน จนผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นจริง ๒) สมาทปนา ชักชวนให้อยากรับเอาไปลงมือ ทาํ หรอื นาํ ไปปฏิบตั ๓ิ ) สมตุ เตชนาเรา้ ใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลุกเร้าใจให้กระตือรือร้นเกิดความอุตสาหะ มีกําลังใจแข็งขัน มั่นใจที่จะทําให้สําเร็จจงได้ สู้งาน ไม่กลัวเหน่ือย ไม่กลัวยาก๔) สัมปหังสนา ชโลมใจให้สดช่ืนร่าเริง บํารุงจิตให้แช่มช่ืนเบิกบาน โดยช้ใี ห้เห็นผลดีหรอื คณุ ประโยชนท์ จี่ ะได้รบั และทางท่จี ะกา้ วหน้าบรรลุผลสาํ เร็จยงิ่ ขึน้ ไป ๗) หลักอนุศาสนีปาฏิหาริย์ คือ คําสั่งสอนอันอาจจูงใจคนให้นิยมเช่ือถือนําไปปฏิบัติตามจนได้ผลอย่างน่า อัศจรรย์ บทบาทภารกิจหน้าที่อันสําคัญย่ิงของอนุศาสนาจารย์ คือ ให้การอบรมหรือการสอนศีลธรรมการปฏิบัติธรรมการ ปฏิบัติศาสนพิธีและการเย่ียมไข้เป็นกิจหน้าท่ีอันสําคัญ เป็นภารกิจที่อนุศาสนาจารย์ทุกนายต้องตระหนักและใส่ใจอยู่เสมอ ดังนัน้ การทีอ่ นศุ าสนาจารยใ์ ส่ใจในการทาํ หน้าทพี่ ร่าํ สอนอยูเ่ สมอจัดได้วา่ เปน็ อนศุ าสนปี าฏิหารยิ ์ ๕. บทสรปุ แนวทางการพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเชิงพุทธบูรณาการ สามารถสรุปออกมาเป็น MODEL เรยี กว่า PACKED MODEL โดยในการพัฒนาสมรรถนะอนศุ าสนาจารย์ทหารบกไทย คณะผบู้ ังคับบญั ชาซ่ึงเป็นผูบ้ รหิ ารหนว่ ย และผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องควรมีการนําหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคและส่งเสริมการ พัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเกิดประสิทธิภาพกําหนดแนวทางปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายเพื่อความสําเร็จอัน หมายถึงการให้ความสําคัญต่อหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการนําหลักการพัฒนาสมรรถนะตามวิทยาการศาสตร์ สมัยใหม่เพ่ือการพัฒนาสมรรถนะให้ได้ความทันยุคทันสมัยและเป็นสากลนอกจากน้ันต้องเล็งเห็นสาเหตุที่อาจจะนํามาซึ่ง ปัญหาในการพัฒนาสมรรถนะและทําการป้องกันคอยระมัดระวังทุกขั้นตอนในการพัฒนาสมรรถนะต้องนําหลักธรรมในทาง พระพุทธศาสนาผสมผสานเพ่ือให้การพัฒนาสมรรถนะมีการตรวจตราควบคุมอํานวยการและเพ่ิมพูนความรู้ท้ังจาก ประสบการณ์และความรู้รอบตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีให้ทันต่อสภาวะจิตใจเพื่อให้การพัฒนาสมรรถนะประสบความสําเร็จตาม เป้าหมายโดยPACKED MODEL แทนคาํ อธบิ ายดังนี้ ๑) P = Planning คือ การวางแผน ขั้นตอนของการดําเนินงานต่างๆ นั้น ขั้นตอนแรก คือ ข้ันวางแผนขั้น เตรยี มการมีความสาํ คญั อยา่ งยิ่งยวด ถงึ กบั มคี ํากล่าววา่ “การวางแผนดี มีความสําเร็จไปแล้วคร่ึงหนึ่ง” งานทุกงานภารกิจทุก ภารกิจ ที่มคี วามสําเรจ็ ด้วยดี เบอ้ื งหลังที่สาํ คญั คอื การวางแผนหรือการเตรยี มความพรอ้ ม การเตรยี มความพรอ้ มอันดบั แรกคือ เตรียมความพร้อมที่เกี่ยวกับตัวเอง อนุศาสนาจารย์ต้องมีการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย คือความมีร่างกายแข็งแรง มรี า่ งกายคล่องแคลว่ ว่องไว ความพร้อมทางด้านจิตใจ คือมหี ลกั คณุ ธรรมประจาํ ใจเปน็ เครอ่ื งยดึ เหน่ยี ว มีความศรัทธาเช่ือมั่นใน

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๑๓ ภารกิจท่ีจะทํา มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความมุ่งมั่นเพ่ือความสําเร็จของงานท่ีจะทํา และมีความรู้ความเข้าใจในข้ันตอน ความสําเร็จของภารกิจที่อนุศาสนาจารย์จะลงมือปฏิบัติในด้านการอบรมการสอนศีลธรรม การปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนา การปฏิบัติศาสนพิธี และการเย่ียมไข้กําลังพลหรือครอบครัวท่ีมีการเจ็บป่วย ในการปฏิบัติภารกิจแต่ละด้านต้องมีการ เตรียมการทางด้านกายภาพท่ีมีการประสานสอดคล้องกัน และมีหลักคิดท่ีสําคัญในแต่ละด้านเพื่อให้เป็นไปในทิศทางท่ี เหมาะสม และตอ้ งมีความรคู้ วามเขา้ ใจเพ่อื ใหก้ ารปฏิบัติภารกิจเป็นไปโดยไมต่ ดิ ขัด ๒) A = Army’s Goal คือ เปา้ หมายของกองทัพบกอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยตอ้ งคาํ นึงถงึ เป้าหมายซึ่งเป็นผล ท่ีกองทัพบกต้องการเป็นสําคัญ ผลทางด้านกายภาพ คือความเป็นผู้มีบุคลิกภาพท่ีน่าศรัทธา น่าเคารพ น่านับถือ น่าเชื่อถือ น่ายกย่อง มีความสามารถในการทํางานทางกายภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางด้านจิตใจ คือความเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น มั่นคง ไม่หว่ันไหวมีจิตใจที่มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกําลังพล มีความรอบรู้มีความสามารถทางสติปัญญาในการช่วยแก้ไขปัญญากําลัง พลของหนว่ ย มีความรอบรูใ้ นภารกิจท่จี ะทาํ ได้เปน็ อย่างดี ๓) C = Cooperation คือ ความร่วมมือ การทํางานท่ีจะให้ประสบผลสําเร็จก็คือ ความร่วมมือ ความมีส่วนร่วม ทง้ั ทางดา้ นกายภาพ จิตใจ และสตปิ ัญญา มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เป็นการเดินเข้าหาหน่วยเข้าหากําลังพล สร้าง ความรู้สึกในความมีส่วนร่วมให้เกิดแก่กําลังพลและครอบครัว ในการทํางานร่วมกันจึงมีหลักการทํางานร่วมกัน 5 ร่วม คือ 1) ร่วมคิด คือการนาํ เอาทุกฝา่ ยทเ่ี กี่ยวข้องมารว่ มกันปรึกษาหารอื วางแผนงาน กําหนดรายละเอียดท่ีเก่ียวข้อง กําหนด กรอบเวลา รวมทงั้ แบ่งงานรบั ผิดชอบเพ่อื ทุกคนจะได้ไปปฏบิ ตั ิในสว่ นของตน 2) ร่วมทํา เมื่อตกลงในเร่ืองต่างๆท่ีได้ร่วมคิดไว้ แล้ว ต่างคนต่างฝ่ายก็ไปดําเนินการในส่วนที่ตัวเองรับมอบหมายให้บรรลุความสําเร็จตามท่ีวางไว้ 3) ร่วมแก้ไข เม่ือไปทํางาน แลว้ ประสบปัญหาใดก็รบี แจง้ เรอื่ งต่อกันและกันเพ่ือเร่งรีบแก้ไขมิให้ส่งผลกระทบต่องานท้ังหมด4) ร่วมรับผิดชอบ ทํางานไป แล้วหากได้รับผลสําเร็จของงานก็รับผลสําเร็จร่วมกัน ถ้างานที่ทําไปไม่ประสบความสําเร็จหรือเกิดความเสียหายก็รับผล แห่งความรับผิดชอบนั้นร่วมกันโดยไม่ปัดความรับผิดชอบไปยังฝ่ายใด5) ร่วมดําเนินการ ปฏิบัติงานใดๆเสร็จเรียบร้อยพึง สรุปบทเรียนที่เกิดขึ้นแล้วนํามาดําเนินการให้ดียิ่งขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่องจะเห็นได้ว่า 5 ร่วมนั้นพัฒนามาจากวงจร PDCA (Plan, Do, Check, Act)นนั้ เอง ๔)K = Kick-off คือ การเริ่มต้นลงมือปฏิบัติถ้าไม่ลงมือทําอะไร คิดดีแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ไม่มีใครท่ีประสบ ความสาํ เร็จมาตั้งแตต่ ้น ความคดิ ต่างๆ ไม่ได้เกดิ ขน้ึ มาแบบสาํ เร็จรูป แต่มนั จะเป็นรูปธรรมหากคิดแล้วลงมือปฏิบัติ การลังเล ไม่กล้าทําในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพราะเรากลัวว่าส่ิงท่ีทําลงไปจะผิดพลาด ทําให้ไม่กล้าท่ีจะลงมือทําอะไรเลย จะส่งผลร้ายไปยัง อนาคต เพราะจะหยดุ ย้งั มใิ ห้ริเร่มิ ทําอะไร เม่ือกําหนดเปา้ หมายและวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มลงมือปฏิบัติได้เลย จงมุ่งมั่น ต้ังใจ ทุ่มเททําให้เต็มท่ี หมั่นทบทวนเป้าหมายอยู่สม่ําเสมอ อย่าไปกลัวกับอุปสรรคที่จะเกิดข้ึน เพราะอุปสรรคเป็นบท ทดสอบท่ีเปรยี บเหมือนบนั ไดให้กา้ วขา้ มไปสูค่ วามสาํ เรจ็ หากคดิ และแกไ้ ขปญั หาได้ ความสาํ เรจ็ อยไู่ มไ่ กลเกินเอ้ือมอย่างแน่นอน การลงมือทําแสดงให้เห็นว่าจริงจังกับเจตนาในการทํา การลงมือทําในทุกๆ วัน ต้องมุ่งเน้นไปท่ีการทําในสิ่งท่ีจําเป็นต้องทํา เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การมุ่งมั่นทําในงานท่ีถูกต้อง คือหัวใจสําคัญของความสําเร็จ จงตัดสินใจแน่วแน่ว่าอะไรบ้างที่ จําเป็นตอ้ งทาํ ให้สําเรจ็ และรู้แน่ชดั วา่ จะต้องทาํ อย่างไรบา้ ง ต้องมงุ่ มั่นทาํ เฉพาะสิง่ ทีจ่ าํ เป็นต้องทําเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ความ มงุ่ ม่นั ทําแต่สิ่งทถี่ กู ตอ้ งคอื หัวใจของความสาํ เร็จ การลงมือทํามคี วามสาํ คญั เปน็ อยา่ งมาก E = Elation คือ ความภาคภูมิใจ อนุศาสนาจารย์ต้องมีความภาคภูมิใจในตนเองและภารกิจหน้าท่ีของตน สร้าง ฉันทะและความภาคภูมิใจในหน้าที่การงาน ตระหนักเห็นคุณค่าภารกิจหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ช่วยคนให้ทําแต่ความดี บุคคลที่ทําแต่ความดีชีวิตจะมีแต่ความสุขด้วยการมีบุคลิกภาพท่ีดี เป็นคนที่มีความเช่ือม่ันในความคิดของตนเอง สามารถให้ เหตุผลในส่ิงที่ตนเองกระทําได้กระจ่างชัด มั่นใจในการกระทําหรือการตัดสินของตน กล้าคิดกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม มี ความคดิ สร้างสรรค์ มุง่ มน่ั การทาํ งานใหป้ ระสบผลสําเรจ็ มคี วามรับผิดชอบท้ังตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น มั่นคงทางจิตใจ มองโลกในแง่ ดี สร้างสัมพันธภาพท่ีดีต่อบุคคลอื่น ทํางานอย่างเต็มท่ี การท่ีลงมือทํางานอย่างสุดความสามารถ เม่ืองานสําเร็จเสร็จสิ้นแล้ว มองย้อนกลับไปความภูมิใจก็จะเกิดข้ึนมาได้ ยิ่งถ้าเป็นงานท่ียาก หรือการข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้ก็ย่ิงภูมิใจ ให้การ ช่วยเหลือคนอ่ืนแน่นอนว่าเราไม่ได้ทํางานทุกอย่างสําเร็จได้ด้วยคนเดียว การที่เรารู้จักมีนํ้าใจช่วยเหลือซ่ึงกันและกันนั้นจะทํา ให้งานออกมาดี แถมยังได้ความภาคภูมิใจกับความสําเร็จนั้นไปด้วยกันทั้งน้ี ความภูมิใจในงานที่ทําต้องไม่เกิดจากการเอารัดเอา เปรียบผู้อน่ื จงึ จะเรยี กได้วา่ ภาคภมู ใิ จอยา่ งแทจ้ ริง

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๑๔ D = Dharma คือ หลักธรรมะ ในการพัฒนาสมรรถนะน้ัน อนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยควรนําหลักพุทธธรรม มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมรรถนะ ๓ อย่าง คือ ๑) สมรรถนะทางกาย ๒) สมรรถนะทางจิตใจ และ ๓) สมรรถนะทาง ปญั ญา เพื่อความมีประสิทธภิ าพในการปฏบิ ัตภิ ารกิจท้ัง ๔ ด้าน คือ ๑) การอบรมการสอนศีลธรรม ๒) การปฏิบัติธรรม ๓) การปฏิบัติศาสนพิธี และ๔) การเยี่ยมไข้ สําหรับหลักพุทธธรรมท่ีจะนํามาใช้ในการพัฒนาสมรรถนะ คือ หลักอิทธิบาท ๔ หลัก พรหมวิหาร ๔ หลักภาวนา ๔หลกั กลั ยาณมิตรธรรม ๗หลักธรรมเทสกธรรม ๕ หลกั เทศนาวิธี ๔ และหลกั อนุศาสนีปาฏิหาริย์ ๖.ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเชิงพุทธบูรณาการ ผู้วิจัยขอเสนอแนว ทางการนําไปประยุกต์ใช้ ดังนี้ ๑) ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย กองทัพบก โดยกรมยุทธศึกษาทหารบกควรให้การสนับสนุนส่งเสริมกองอนุศาสนาจารย์ให้จัดทําหลักสูตร การศึกษาหรือหลักสูตรการฝึกอบรมแนวทางการพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทย โดยนําหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา เช่น หลักภาวนา ๔ หลักกัลยาณมิตรธรรม ๗หลักธรรมเทสกธรรม ๕ หลักเทศนาวิธี ๔ หลักพรหมวิหาร ๔ หลักอทิ ธิบาท ๔ และอนุศาสนีปาฏิหารยิ ์ ไปบรู ณาการเข้ากับการปฏิบัติหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ ในการพัฒนาประสิทธิภาพ การทํางานของอนุศาสนาจารย์อย่างเป็นรูปธรรม เพ่ือเป็นการปลุกจิตสํานึกให้อนุศาสนาจารย์ได้มีความรู้ความเข้าใจใน หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและสามารถนํามาใชเ้ ป็นหลักยึดถือประพฤติปฏบิ ัตไิ ด้อยา่ งเหมาะสม ๒) ข้อเสนอแนะเชงิ ปฏิบัติ จากผลการวิจัยในครั้งน้ีพบว่า แนวคิดตามหลักไตรสิกขา ได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขามี ความสอดรับกับแนวคิดสมรรถนะ (Competency) คือ คุณลักษณะเฉพาะพ้ืนฐาน ๖ ประการ ได้แก่ แรงจูงใจ (Motive) อุปนิสัย (Trait) อัตมโนทัศน์ (Self-Image)บทบาททางสังคม (Social Role) ความรู้ (Knowledge) และทักษะ (Skill) ท่ีมี ความสัมพันธ์ซ่อนอยู่ภายในตัวของบุคคล ซึ่งสมรรถนะเหล่าน้ีจะเป็นตัวผลักดันให้บุคคลสามารถสร้างผลการปฏิบัติงานใน งานที่ตนรับผิดชอบได้สูงกว่าหรือเหนือกว่าเกณฑ์และเป้าหมายที่กําหนดไว้ดังนั้น อนุศาสนาจารย์ทหารบกไทย พึงเอา แนวคิดสมรรถนะตามหลักหลักไตรสิกขา และแนวคิดสมรรถนะ คือ คุณลักษณะเฉพาะพื้นฐาน ๖ ประการ มาบูรณาการ ร่วมกันกับหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาอื่นๆ ในมิติความสัมพันธ์สอดคล้องกันเชิงเหตุผลได้ยึดถือเป็นข้อปฏิบัติ เพ่ือให้ การทํางานประสบความสําเร็จมีผลงานได้ตามเกณฑ์มาตรฐานท่กี าํ หนดหรอื สูงกว่า ๓) ขอ้ เสนอแนะงานวจิ ยั คร้งั ตอ่ ไป จากการศึกษาเรื่อง การพัฒนาสมรรถนะอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทยเชิงพุทธบูรณาการสามารถสรุปผลการวิจัย ไดด้ งั นีน้ น้ั ผ้วู ิจัยพบวา่ ยงั มีประเดน็ ท่ีเปน็ สาระสาํ คญั ท่นี ่าสนใจศึกษาค้นควา้ ดงั นี้ ๑. ควรทาํ วจิ ยั เรอื่ ง “ศกึ ษาวิเคราะห์เปรียบเทยี บบทบาท ภารกิจ และสมรรถนะของอนุศาสนาจารย์ทหารบกไทย กบั อนุศาสนาจารย์ทหารเรอื ไทย” ๒. ควรทําวิจยั เร่อื ง “รปู แบบการนาํ หลกั พรหมวิหาร ๔ มาบูรณาการเพอื่ เพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการปฏิบัตภิ ารกจิ การ เยี่ยมไข้ของอนศุ าสนาจารย์ทหารบกไทย” ๓. ควรทาํ วจิ ยั เร่ือง “การปฏบิ ตั ธิ รรมกบั ผลสมั ฤทธใ์ิ นการพฒั นาบคุ ลากรของกองทพั บก” ............................... บรรณานกุ รม มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลง กรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. กองทพั บก.คูม่ ือการอนศุ าสนาจารย์กองทัพบก.กรงุ เทพฯ: โรงพิมพก์ รมยุทธศึกษาทหารบก, ๒๕๓๘. กองทัพบก.ตํารายุทธศาสตรข์ องกรมยุทธการทหารบก. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์อรณุ การพมิ พ,์ ๒๔๗๐.

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๑๕ คงชพี ตันตระวาณิชย,์ พันตร.ี คุณภาพชวี ิตการทํางานของนายทหารชนั้ ประทวน สังกัดกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเลก็ รกั ษา พระองค์.วิทยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (รัฐศาสตร)์ . บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๓. ฐติ พิ ัฒน์ พชิ ญธาดาพงศ์. ยุทธวิธกี ารใชร้ ะบบสมรรถนะในการบรหิ ารทรัพยากรมนุษย์ เพือ่ ผลักดนั องค์กร สคู่ วามเป็นเลิศเหนอื ค่แู ขง่ .วารสารดํารงราชานุภาพ.ปที ่ี ๖ ฉบบั ท่ี ๒๐ (กรกฎาคม – กันยายน ๒๕๔๙). ปกรณ์ ปรียากร.ทฤษฎแี ละแนวคดิ เกยี่ วกบั การพัฒนาในการบริหารการพฒั นา. กรงุ เทพฯ: สามเจรญิ พานิช, ๒๕๓๘. ปธาน ทองขุนนา, พนั เอก. รชั กาลท่ี ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ วั .นิตยสารยุทธโกษ. ปีที่ ๑๒๕ ฉบับที่ ๑ (ตุลาคม-ธนั วาคม ๒๕๕๙). พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต).การศึกษากบั การพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๓๙. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต).ลกั ษณะแหง่ พระพทุ ธศาสนา. พิมพ์คร้ังที่ ๑๑.กรุงเทพฯ: เคลด็ ไทย, 25๔๗. ยวุ ฒั น์ วุฒเิ มธี.การพัฒนาชมุ ชน : จากทฤษฎีสู่การปฏบิ ตั .ิ กรุงเทพฯ: บางกอกบล็อก, ๒๕๓๔. วิเชียร ปราบพาล, เรืออากาศเอก.การวิเคราะห์บทบาทอนุศาสนาจารย์ : ศึกษาเฉพาะกรณี อนุศาสนาจารยท์ หารอากาศไทย.สารนพิ นธ์สงั คมสงเคราะห์ศาสตรมหาบณั ฑิต, บณั ฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ๒๕๔๐. สมาน รกั สิโยกฤฎ์.ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกบั การบรหิ ารงานบคุ คล. พมิ พค์ รั้งท่ี ๑๓. กรงุ เทพฯ:สวัสดกิ ารสาํ นักงาน กพ., ๒๕๓๐. สจุ ิตรา ธนานนั ท.์ การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๒. กรุงเทพฯ: สถาบันบัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์, ๒๕๕๐. Ivancevichj.m. Human ResourceManagement.10thed. New yok :McGrawhill, 2007. Marchington M. & Wilkinson A. Human ResourceManagement at Work : People Managementand Department. 4thed, Londol : DIPD, 2008. Sims,R.R. Human ResourceManagement : Contemporary Issues, Challengrs, and Opportunities. Charlotte, NC : Information Age, 2007.

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๑๖ คณุ คา่ ของอนุศาสนาจารย์กองทพั บกในจงั หวดั ชายแดนภาคใต1้ 35 The Value of Army Chaplains in Southern Border Provinces of Thailand ภัทรกฤติ รอดนิยม136* และศนั สนีย์ จนั ทร์อานุภาพ137 Phattarakrit Rodniyom2* and Sansanee Chanarnupap3 บทคัดยอ่ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาคุณค่าเชิงบทบาทหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกที่ ปฏิบัติงานในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การศึกษาเอกสาร และการศึกษาภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ เจาะลึก ผู้ให้ข้อมูลหลักมีจํานวน 40 คน ผลการศึกษาพบว่า อนุศาสนาจารย์เป็นคําเรียกชื่อนายทหารผู้ปฏิบัติ หน้าที่ทางด้านศาสนาในกองทัพ ภารกิจของอนุศาสนาจารย์กองทัพบก คือ นํากําลังพลเข้าหาธรรมะ นําธรรมะ พัฒนากําลังพล ดํารงสถานภาพเป็นตัวแทนของศาสนาในการอบรมสั่งสอนด้านศีลธรรม จริยธรรม และ วัฒนธรรม เป็นผู้นําทางด้านจิตวิญญาณของกําลังพลทุกระดับ เป็นเจ้าหน้าท่ีพิธีการทางศาสนาท่ีอยู่ใน เคร่ืองแบบ อนุศาสนาจารย์กองทัพบกมีหน้าที่สร้างขวัญกําลังใจและกระตุ้นจิตสํานึกให้กําลังพลมีความ รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ และพร้อมที่จะเสียสละตนเองในการปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย คุณค่าเชิงบทบาท หน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถสรุปได้ 3 ข้อ ได้แก่ (1) ด้านการอบรม สั่งสอนในทางธรรม (2) ด้านศาสนพิธีและพิธีกรรมตามความเช่ือ โดยเฉพาะในกรณีท่ีกําลังพลเสียชีวิต และ (3) ด้านการให้คําปรึกษาและสร้างขวัญกําลังใจ โดยเฉพาะการเยี่ยมเยียนกําลังพลท่ีป่วย บาดเจ็บ ถูกคุมขัง หรือมี ปัญหา เพอ่ื ปลอบขวัญและใหก้ าํ ลังใจ คําสาํ คญั : คณุ ค่า อนุศาสนาจารย์กองทัพบก จงั หวัดชายแดนภาคใต้ 135 บทความน้เี ป็นส่วนหน่ึงของวิทยานพิ นธ์หลักสตู รศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาไทยคดีศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ ไดร้ ับทนุ สนับสนนุ การวิจัยจากบณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ ประจําปีการศกึ ษา 2560 136 รอ้ ยโท, นักศึกษาหลักสตู รศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ไทยคดศี กึ ษา) คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ จ.สงขลา 90000,ปจั จุบันดาํ รงตาํ แหนง่ อศจ.ร.5 137 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร., คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ จ.สงขลา 90000 2 Graduate Student in M.A. (Thai Studies), Faculty of Humanities and Social Sciences Thaksin University, Songkhla 90000 3 Assistant Professor, Dr., Faculty of Humanities and Social Sciences Thaksin University, Songkhla 90000 * Corresponding author: [email protected] Tel. 0950149333

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๑๗ Abstract This paper aims to study the value of Thai army chaplains working in Southern border provinces of Thailand. The research methodology comprises of documentary and field research. Data are collected by general observation, participatory observation and in-depth interview. Forty key informants generate the core data for the study. The research found that an army chaplain is a soldier who is responsible for the moral teaching in the military. He is the key person who is responsible for promoting morale, responsibility, honesty so that the military will be ready to sacrifice their life for the assigned mission. Principally, Thai army chaplains in Southern border provinces of Thailand have significant acting roles in three areas: (1) teaching and training in righteousness (2) directing religious practices and ritual, especially when soldiers died (3) mentoring, visiting and raising up the soldiers who are in needs such as sick, injured, imprisoned or suffering. Keywords: Value, Thai Army Chaplain, Southern Border Provinces of Thailand

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๑๘ บทนาํ ฐานข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Incident Database - DSID) รายงาน สรุปสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรอบ 13 ปี ระหว่างปี พ.ศ.2547-2559 พบว่า มี ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม 19,507 ราย เม่ือพิจารณาจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของการเกิดเหตุการณ์ จะเห็น ได้ว่าข้อมูลรวมต้ังแต่ปี พ.ศ.2547-2559 มีเหตุการณ์มากท่ีสุดท่ีจังหวัดนราธิวาส คือ 6,959 เหตุการณ์ (ร้อยละ 36) รองลงมาคือจังหวัดปัตตานีมี 6,279 เหตุการณ์ (ร้อยละ 33) และจังหวัดยะลามี 5,357 เหตกุ ารณ์ (รอ้ ยละ 28) สถานการณ์ความรุนแรงมีผลต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งผู้ปฏิบัติงานในด้านการดูแล ความสงบและความมั่นคงของประเทศชาติด้วย ข้อมูลการวิเคราะห์สถานการณ์ความไม่สงบท่ีเกิดขึ้นพบว่า เป้าหมายในระยะหลังของการก่อเหตุการณ์ความไม่สงบมักจะมุ่งไปท่ีผู้ถืออาวุธด้วยกันมากกว่าที่จะโจมตี ประชาชน จํานวนของกองกําลังฝ่ายทหาร ตํารวจ ทหารพราน และอาสาสมัครป้องกันภัยท่ีบาดเจ็บและ เสียชีวิตมีประมาณร้อยละ 36.8 [1] นอกจากนั้น ผลการศึกษาภาวะสุขภาพจิตและทัศนคติของกําลังพล กองทัพบกที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังพบว่า กําลังพลส่วนใหญ่มีความรู้สึกเครียด ทางจิตใจ (ร้อยละ 61.50) และต้องการได้รับความช่วยเหลือ (ร้อยละ 45.93) โดยมีภาวะเส่ียงต่อการเกิด โรคซึมเศร้า (ร้อยละ 34.55) และมีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น (ร้อยละ 19.67) ส่วนทัศนคติ เกีย่ วกับสาเหตุของความเครยี ด ได้แก่ ปญั หาด้านการเงิน (ร้อยละ 62.20) ปัญหาความปลอดภัยในชีวิต (ร้อย ละ 57.93) และปัญหาครอบครัว (ร้อยละ 48.63) สําหรับทัศนคติต่อการเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตมี อุปสรรคไดแ้ ก่ การลาหยดุ (รอ้ ยละ 64.35) และการเดินทางไปรับบรกิ าร (ร้อยละ 56.03) [2] ด้วยเหตุน้ี กองทัพบกจึงให้ความสําคัญกับการดูแลสุขภาวะทางจิตใจของกําลังพลทั้งในท่ีต้ังและใน สนาม โดยได้กําหนดตําแหน่ง “อนุศาสนาจารย์” ทําหน้าท่ีนํากําลังพลเข้าหาธรรมะ นําธรรมะพัฒนากําลังพล ช่วยให้คําปรึกษา ปลอบขวัญ สร้างกําลังใจ และกระตุ้นจิตสํานึกให้กําลังพลพร้อมที่จะเสียสละตนเองในการ ปฏิบตั ติ ามภารกิจทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย [3] บทความวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณค่าเชิงบทบาทหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกท่ี ปฏิบัติงานในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส โดยใช้ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การศึกษาเอกสารและการศึกษาภาคสนาม โดยอนุศาสนาจารย์ กองทัพบก ในบทความวิจัยนี้ หมายถึง บุคคลผู้ที่ดํารงตําแหน่งเป็นอนุศาสนาจารย์และผู้ช่วยอนุศาสนาจารย์ กองทัพบก ซ่ึงแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ อนุศาสนาจารย์ (คําย่อเรียกว่า อศจ.) เป็นนายทหารสัญญาบัตร อัตราบรรจุช้ันยศตั้งแต่ร้อยตรีขึ้นไป และผู้ช่วยอนุศาสนาจารย์ (คําย่อเรียกว่า ผช.อศจ.) ซ่ึงยังจําแนกได้เป็น สองประเภทย่อย คือ (1) เป็นนายทหารสัญญาบัตร มีคุณสมบัติเหมือนอนุศาสนาจารย์ ชั้นยศร้อยตรีขึ้นไป และ (2) เป็นนายทหารช้ันประทวน มีคุณสมบัติสําเร็จการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เปรียญธรรม 6 ประโยค ขน้ึ ไป มชี ั้นยศตงั้ แตส่ ิบตรถี งึ จา่ สบิ เอก ข้อค้นพบที่ได้ช่วยขยายองค์ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติบทบาทของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกใน สถานการณ์ความไม่สงบ และยังสามารถเป็นแหล่งความรู้สําหรับวางแผนพัฒนาการปฏิบัติงานของ อนุศาสนาจารย์ประจํากองทัพไทยในทกุ เหล่าทัพต่อไป

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๑๙ วิธีการวิจยั บทความวิจยั นี้ใชร้ ะเบยี บวธิ ีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประกอบด้วยการศึกษาเอกสาร และการศึกษาภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ เจาะลึก ผู้ให้ข้อมูลหลักมีจํานวน 40 คน จําแนกออกเป็น (1) อนุศาสนาจารย์ท่ีปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัด ชายแดนภาคใต้ จํานวน 12 คน (2) ผู้บังคับบัญชาในสนามซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยทหารที่ดูแลการ ปฏบิ ัติบทบาทของอนุศาสนาจารย์ในพ้ืนทีจ่ ังหวดั ชายแดนภาคใต้ จํานวน 12 คน (3) กําลังพลภายในขอบเขต ความรบั ผดิ ชอบของอนศุ าสนาจารยท์ ่ีปฏิบัติหนา้ ทใ่ี นพ้นื ท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน 12 คน นอกจากน้ัน ผู้วิจัยยังเก็บข้อมูลจากอนุศาสนาจารย์ในสังกัดกองทัพภาค 4 แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน 4 คน เพ่ือใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาคุณค่าเชิงบทบาทหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ สําหรับการเข้าถึงผู้ให้ข้อมูลนั้น ผู้วิจัยเป็นอนุศาสนาจารย์ประจํากองทัพภาค 4 แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าท่ี ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ผ้วู ิจัยสามารถเข้าถึงข้อมูลและผู้ให้ข้อมูลหลักได้ง่าย โดยอาศัยความสัมพันธ์ในฐานะ เพื่อนร่วมงาน ซึ่งต้องประสานการทํางานและแลกเปล่ียนประสบการณ์ทํางานระหว่างกัน ผู้วิจัยสามารถเข้า พ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อติดตามการทํางานของผู้ให้ข้อมูลหลักได้ตลอดช่วงเวลาการวิจัย ท้ังนี้ ผู้วิจัย ตระหนักว่า แม้ผู้วิจัยจะเป็นอนุศาสนาจารย์ แต่ข้อมูลและข้อค้นพบที่ได้จะต้องมาจากผู้ให้ข้อมูลหลักอย่าง แท้จริง ผู้วิจัยพิจารณาข้อจํากัดในการวิจัย พบว่า การวิจัยนี้มีข้อจํากัดดังน้ี (1) ข้อมูลสําคัญทางราชการทหาร บางอย่างไม่สามารถเปิดเผยได้ เช่น ข้อมูลสถิติจํานวนกําลังพลในพื้นที่ เป็นต้น (2) ช่ือสกุลของผู้ให้ข้อมูลหลัก จํานวนหนึง่ จําเปน็ ต้องใช้นามแฝง เพอื่ ความปลอดภยั เนอ่ื งจากเป็นผูป้ ฏิบตั งิ านในพืน้ ที่เกดิ สถานการณ์ความไม่ สงบ ผู้วิจัยนําข้อมูลที่ได้รับจากการศึกษาเอกสารและการศึกษาภาคสนามมาจัดกระทําอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยง และหาความสัมพันธ์ของข้อมูล เพื่อทําความเข้าใจคุณค่าเชิงบทบาทหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ การตรวจสอบความเช่ือถือได้ของข้อมูลใช้วิธีสามเส้า (Triangulation) จากนั้นผู้วิจัย สร้างข้อสรปุ ด้วยการวิเคราะห์เชงิ เนื้อหา (Content Analysis) แลว้ จงึ เขยี นรายงานเชิงพรรณนา ผลการศกึ ษา ประวตั ิความเป็นมาของอนุศาสนาจารยก์ องทพั บก ประวัติความเป็นมาของอนุศาสนาจารย์กองทัพบก พอจะสรุปใจความสําคัญได้ดังนี้ ตําแหน่ง อนุศาสนาจารย์สําหรับกองทหารน้ันเร่ิมต้นขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซ่ึงในคร้ังนั้นนิยมใช้เรียกตัวบุคคล ไม่ได้แต่ง ต้ังข้ึนเป็นกองหรือแผนก และไม่ได้บัญญัติศัพท์เรียกว่าอนุศาสนาจารย์อย่างในปัจจุบัน คงเรียกตาม ภาษาอังกฤษว่า แช๊ปลิน (Chaplain) ตามสมัยนิยมในยุคน้ัน คําว่า “อนุศาสนาจารย์” พบคร้ังแรกในสมัย รัชกาลท่ี 6 เม่ือครั้งประเทศไทยประกาศเข้าสู่สงครามโลกครั้งท่ี หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมส่งกองทหารอาสาไปช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรในงานสงคราม และทรงมีพระราชปรารภวา่ “กองทหารทโี่ ปรดเกล้าฯ ให้สง่ ไปแล้วนัน้ จดั ไดด้ ีทุกสงิ่ สรรพ์ แต่ยังขาดสิ่งสําคัญ อยู่อย่างหนึ่งคือ อนุศาสนาจารย์ ที่จะเป็นผู้ปลุกใจทหาร หาได้จัดส่งไปด้วยไม่ เพราะทหารท่ีจากบ้านเมือง ไปคราวนี้ต้องไปอยู่ในถ่ินไกล ไม่ได้พบเห็นพระเหมือนเมื่ออยู่ในบ้านเมืองของตน จิตใจจะห่างเหินจากทาง ธรรม ถึงยามคะนองก็จะฮึกเหิมเกินไป เป็นเหตุให้เส่ือมเสีย ไม่มีใครจะคอยให้โอวาทตักเตือน ถึงคราวทุกข์

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๒๐ ร้อนก็จะอาดูรระส่ําระสาย ไม่มีใครจะช่วยปลดเปล้ืองบรรเทาให้ดูเป็นการว้าเหว่น่าอนาถ ถ้ามี อนุศาสนาจารย์ออกไป จะไดค้ อยอนุสาสนพ์ รา่ํ สอนและปลอบโยนปลดเปลอื้ งในยามทุกข”์ ในคร้งั นัน้ ได้ทรงเลือก รองอาํ มาตยต์ รี อยู่ อุดมศิลป์ ซง่ึ รบั ราชการอยูใ่ นกรมราชบณั ฑิต กระทรวงธรรม การ ให้เป็นอนุศาสนาจารย์ตามกองทหารอาสาออกไปยังประเทศสัมพันธมิตร ณ ทวีปยุโรป ก่อนออกเดินทาง พระองค์ได้มีพระราชดํารสั ส่ังเสยี เมือ่ เข้าเฝ้าถวายบังคมลาไปราชการสงครามตามพระราชดําริ ดังนี้ “นี่แน่ เจ้า เป็นผู้ท่ีข้าได้เลือกแล้ว เพ่ือให้ไปเป็นผู้สอนทหาร ด้วยเห็นว่าเจ้าเป็นผู้สามารถที่จะส่ังสอนทหารได้ ตามที่ ข้าได้รู้จักชอบพอกับเจ้ามานานแล้ว เพราะฉะนั้น ขอให้เจ้าช่วยรับธุระของข้าไปสั่งสอนทหารทางโน้น ตามแบบอย่างท่ีข้าเคยสอนมาแล้ว เจ้าก็คงจะได้เห็นแล้วมิใช่หรือ เออ น่ันและ ข้าขอฝากให้เจ้าช่วยสอน อยา่ งน้ันด้วย เขา้ ใจละนะ” เมื่ออนุศาสนาจารย์ไปถึงนครปารีส ประเทศฝร่ังเศสแล้ว หัวหน้าทูตทหารได้ทํารายงานบอกมายังกรม เสนาธิการทหารบก โดยระบุหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ที่ต้องปฏิบัติในราชการสงครามคราวนั้น จอมพลเสนาธิ การทหารบก ไดท้ รงกาํ หนดไปยังกองทตู ทหารมีใจความ 5 ขอ้ ดงั นี้ (1) ใหท้ าํ การอยู่ในกองทูตทหาร (2) ส่งตัว ไปเยี่ยมเยียนทหารในท่ีต่าง ๆ ซึ่งทหารแยกย้ายกันอยู่น้ันเนือง ๆ เพื่อสั่งสอนตักเตือนในทางพระพุทธศาสนา และทางจรรยาความประพฤติ (3) ให้ถามสุขทุกข์กันอย่างจริงใจ ท้ังคอยให้รับธุระต่าง ๆ ของทหาร เช่น จะสั่ง มาถึงญาติของตนในกรุงสยาม หรือส่งเงินส่งของมาให้ ให้รับธุระทุกอย่าง (4) ทหารคนใดเจ็บไข้ให้ อนศุ าสนาจารยไ์ ปเย่ยี มปลอบโยนเอาใจ และ (5) ถ้ามีเหตุอันไม่พึงประสงค์ท่ีทหารคนใดถึงแก่ความตายลง ให้ อนุศาสนาจารย์ทําพิธี โดยอ้างพระธรรมตามแบบสงฆป์ ฏบิ ัตใิ นขณะฝงั ศพ ประมวลความว่า อนุศาสนาจารย์ทําหน้าที่ตามอย่างพระ แต่พระจะเดินทางไปยุโรปมิได้ ขัดด้วยการ แต่งกายและเหตุอ่ืนๆ จึงต้องใช้คฤหัสถ์ซ่ึงเป็นเปรียญและเคยอุปสมบทอยู่ในสมณเพศแทน โดยก่อน อนุศาสนาจารย์จะออกเดินทางในคร้ังนัน้ ได้ถวายบังคมลาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า และทรงพระกรุณาโปรดให้ ขึ้นเฝ้าบนตําหนักจันทร์เป็นพิเศษ ได้ประทานวัตถุเป็นมิ่งขวัญสามอย่าง คือ เหรียญพระพุทธชินสีห์ เหรียญ พระจตุราริยสัจ และเหรียญมหาสมณุตตมาภิเษก แล้วทรงสั่งไว้ว่า ถ้าถึงคราวจําเป็นก็ให้นําวัตถุเหล่านี้ออกทํา น้ํามนต์ได้ ทั้งทรงอธิบายไว้ด้วยว่า สีลพตปรามาสน้ัน ถ้ามุ่งเอาเมตตากรุณาเป็นท่ีตั้งแล้ว ยังเป็นกิจท่ีควรทํา ไม่เป็นข้อที่เสียหาย อนุศาสนาจารย์จึงได้อัญเชิญวัตถุมิ่งขวัญทั้งสามไปยังโรงพยาบาลลุกเซมเบิก ประเทศ ฝร่ังเศส เมื่อนายแพทย์ให้ทหารป่วยท่ีเดินได้มารวมกันในห้องทหารป่วยท่ีเดินไม่ได้ อนุศาสนาจารย์ได้ตั้ง สัตยาธิษฐานประกาศข้อความทํานํ้ามนต์ดัง ๆ ช้า ๆ ให้ทุกคนได้ยินทุกคําอย่างกล่าวประกาศสัตยาธิษฐานท่ี ท่านทํากันมา คร้ันสําเร็จเป็นนํ้ามนต์ข้ึนแล้ว จึงได้ประพรมตามเตียงคนไข้จนท่ัวห้อง เพ่ือขับอุปัทวะอย่างประ นํา้ มนต์ขนึ้ เรือนใหม่ นบั เปน็ การสร้างขวญั กําลงั ใจใหก้ บั ทหารไทยในโรงพยาบาลลุกเซมเบกิ [4] อนศุ าสนาจารย์ที่ไปคราวนน้ั ไดก้ ลับมากับกองทตู ทหารถึงกรุงเทพมหานคร ในวันท่ี 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2462 กระทรวงกลาโหมได้มีคําส่ังต้ังกองอนุศาสนาจารย์ข้ึนทันทีตามพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้ง กองอนุศาสนาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มถิ ุนายน พ.ศ. 2462 เปน็ ต้นมา ปัจจุบันกองอนุศาสนาจารย์ สังกัดกรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นการจัดหน่วยกําลังพลสายวิทยาการ อนุศาสนาจารย์ขึ้นตรงกองทัพบก และหน่วยรองเป็นการจัดกําลังพลสายวิทยาการอนุศาสนาจารย์ประจํา หน่วยปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายกิจการพิเศษประจําผู้บังคับบัญชา สําหรับตําแหน่งอนุศาสนาจารย์น้ัน เป็นคํา

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๒๑ เรียกช่ือนายทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ทางด้านศาสนาในกองทัพ138 ภารกิจของอนุศาสนาจารย์กองทัพบก คือ นํา กําลังพลเข้าหาธรรมะ นําธรรมะพัฒนากําลังพล ดํารงสถานภาพเป็นตัวแทนของศาสนาในการอบรมส่ังสอน ด้านศีลธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรม เป็นผู้นําทางด้านจิตวิญญาณของกําลังพลทุกระดับ เป็นเจ้าหน้าท่ีพิธี การทางศาสนาท่ีอยู่ในเครื่องแบบ อนุศาสนาจารย์กองทัพบกมีหน้าท่ีสร้างขวัญกําลังใจและกระตุ้นจิตสํานึกให้ กําลงั พลมคี วามรับผิดชอบ ซอ่ื สัตย์ และพร้อมท่ีจะเสียสละตนเองในการปฏบิ ัติตามภารกจิ ทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย คณุ สมบตั แิ ละการเข้าสู่ตาํ แหนง่ ของอนุศาสนาจารยก์ องทพั บก ผู้ที่เข้ารับตําแหน่งอนุศาสนาจารย์จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านศาสนาเป็นอย่างดี โดย กองทัพบกจะส่งอนศุ าสนาจารยไ์ ปประจําอย่ตู ามหน่วยต่าง ๆ ตัง้ แต่ระดับกรม หรอื ศูนย์การทหารข้นึ ไป ผ้สู มคั รสอบคดั เลือกเปน็ อนุศาสนาจารยก์ องทัพบก จะต้องมีคุณสมบตั ดิ ังน้ี 1. เปน็ ผู้เคยอปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา 2. วิทยฐานะสําหรับตําแหน่งอนุศาสนาจารย์และผู้ช่วยอนุศาสนาจารย์ช้ันสัญญาบัตรต้องเป็นเปรียญ ธรรม 9 ประโยค หรือปริญญาทางศาสนา เช่น ปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย หรือปริญญาศาสนศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซ่ึงจะต้องได้เปรียญ ธรรม 4 ประโยคข้ึนไป สําหรับตําแหน่งผู้ช่วยอนุศาสนาจารย์ช้ันประทวนนั้น จะต้องเป็นเปรียญธรรม 6 ประโยคขนึ้ ไป 3. มสี ญั ชาติไทย และบดิ ามารดามีสญั ชาติไทยโดยกําเนดิ 4. ตําแหน่งอนุศาสนาจารย์และผู้ช่วยอนุศาสนาจารย์ชั้นสัญญาบัตร ต้องมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ และไม่ เกิน 35 ปีบริบูรณ์ สว่ นตําแหนง่ ผู้ช่วยอนศุ าสนาจารย์ชั้นประทวน ตอ้ งมีอายคุ รบ 21 ปีบริบูรณ์และไม่เกิน 30 ปี บริบูรณ์ 5. ไม่เคยมีประวัติเสยี หายทัง้ ในระหว่างเปน็ พระภกิ ษแุ ละลาสกิ ขามาแลว้ 6. มีร่างกายสมบรู ณไ์ มม่ โี รคซึ่งขดั ตอ่ การรับราชการทหาร 7. มคี ุณสมบัตเิ หมาะสมทจ่ี ะเปน็ อนศุ าสนาจารย์สอนทหาร และไม่ขัดต่อขอ้ บังคับทหาร เพ่ือให้ได้บุคคลที่มีสมรรถภาพและคุณสมบัติเหมาะสมท่ีจะเป็นอนุศาสนาจารย์และผู้ช่วย อนุศาสนาจารย์กองทัพบกจึงกําหนดการสอบคัดเลือกเป็น 2 ภาคคือ ภาควิชาการและภาคความ ประพฤติ ภาควิชาการ ทําการสอบคัดเลือก 4 สาขา คือ (1) ท่วงทีวาจา ทําการสอบเป็นรายบุคคล โดยให้ พิจารณาถึงรูปร่าง เสียง สําเนียง นิสัยใจคอ ความคิดเห็น ลักษณะท่าทาง การแต่งกาย การพูดจา โวหาร ไหว พริบ (2) ข้อเขียน ในสาขานี้กําหนดสอบ 3 วิชา คือ วิชาเรียงความ วิชาความรู้ท่ัวไป และวิชา เลขานุการ (3) บรรยาย กําหนดเรื่ องบรรยายให้ทราบล่วงหน้า 1 วัน ให้เวลาบรรยายคน ละ 30 นาที ถึง 45 นาที (4) สัมภาษณ์ กําหนดสอบความรู้ 2 ทางคือ ความรู้ทางธรรมและความรู้ทาง โลก สําหรับภาคความประพฤติ กําหนดสอบคัดเลือก 3 วิธีคือ (1) ให้ผู้สมัครสอบส่งบันทึกประวัติของตนตาม แบบท่ีกรรมการกําหนดให้ (2) ให้ผู้สมัครสอบนําหนังสือรับรองความประพฤติของตนจากพระอุปัชฌาย์ อาจารย์หรือจากสํานักเรียนท่ีตนเคยอยู่ในปกครองมาแสดงตามแบบที่กรรมการกําหนดให้ (3) กรรมการ สอบ ทําการสบื สวนความประพฤติและอัธยาศัยจากบุคคลที่พึงเช่ือถือได้ สําหรับการตัดสินผลการสอบคัดเลือก น้ัน ผู้มีคะแนนสอบในภาควิชาการแต่ละวิชาต้ังแต่ร้อยละ 50 ข้ึนไป และรวมทุกวิชาตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้น 138 ปัจจบุ นั มกี ารจัดต้ังกองอนุศาสนาจารย์ประจํากองทพั เรอื และกองทพั อากาศดว้ ย

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๒๒ ไป นับว่าสอบผ่านภาควิชาการ ผู้สอบผ่านทั้งภาควิชาการและภาคความประพฤติจึงนับว่าผ่านการสอบ คัดเลอื ก จรรยาบรรณของอนุศาสนาจารยก์ องทัพบก เพื่อให้อนุศาสนาจารย์ผู้ทําหน้าที่สอนและอบรมศีลธรรมแก่ทหารวางตนเหมาะสม คู่ควรแก่กองทัพ กองอนศุ าสนาจารย์จึงได้กําหนดจริยาวัตรหรือจรรยาบรรณสําหรับประพฤติปฏิบัติเป็นการภายในของหมู่คณะ ถือเป็นแบบธรรมเนียมสืบต่อกันมา เรียกว่า “วินัยอนุศาสนาจารย์” หรือจรรยาบรรณของอนุศาสนาจารย์ เพม่ิ ข้ึนอกี ส่วนหนงึ่ ตา่ งหากจากวินัยของทหาร เมอื่ วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2501 รวม 13 ขอ้ ดังน้ี 1. อนุศาสนาจารยต์ ้องรกั ษาศีลห้าเป็นนติ ย์ 2. อนุศาสนาจารยต์ อ้ งตัง้ อยูใ่ นธรรมของสตั บรุ ษุ และกุศลกรรมบถสบิ 3. อนุศาสนาจารยต์ อ้ งมภี รรยาเพียงคนเดยี ว และตอ้ งเล้ยี งดูครอบครวั โดยชอบธรรม 4. อนศุ าสนาจารยต์ ้องไม่เข้าไปม่วั สุมในสํานกั หญงิ แพศยา บ่อนการพนัน และโรงยาฝิน่ 5. อนุศาสนาจารย์ต้องงดเว้นการประกอบมิจฉาชีพและรับประกอบกิจอันวิญญูชนพิจารณาแล้วตําหนิติ เตียนมไิ ด้ 6. อนุศาสนาจารย์เมื่อประสงค์จะร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากผู้ใหญ่ต้องไม่ใช้บัตรสนเท่ห์หรือ เขียนคาํ ขอร้อง ตลอดจนขอ้ ความโจมตีผูอ้ ่ืนทางหนังสือพิมพ์ 7. อนุศาสนาจารย์จะตอ้ งไม่วง่ิ เตน้ หรอื ขอร้องใหบ้ คุ คลภายนอกวงการอนุศาสนาจารย์จําต้องโยกย้าย ตน หรอื ยบั ย้งั การโยกยา้ ยตน ในเมอ่ื การกระทํานั้นขัดกับแผนการโยกยา้ ยของสายวทิ ยาการ 8. อนศุ าสนาจารย์จะต้องงดเว้นเด็ดขาดจากการแสดงตัวว่าเป็นคนมักได้ รํ่าร้องขอบําเหน็จความชอบ จากผู้ใหญเ่ พือ่ ตนเอง 9. อนศุ าสนาจารย์ไมพ่ งึ พกอาวธุ 10. อนุศาสนาจารย์ไมพ่ งึ เข้าเป็นสมาชกิ ของพรรคการเมอื งใด 11.อนุศาสนาจารย์ไม่พึงรําวง เต้นรําร้องเพลง โชว์ต่อยมวย แต่งแฟนซี และออกปรากฏตัวในฐานะเป็นผู้ แสดงลิเกละคร 12. อนุศาสนาจารยพ์ งึ ตระหนกั ในการแต่งกายให้สภุ าพ 13. อนุศาสนาจารย์จะต้องไม่ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อคณะสงฆ์นิกายใดนิกายหน่ึง และเคารพ เชิดชูโดยสมํ่าเสมอ นอกจากนี้ บุคคลผู้จะเข้าเป็นอนุศาสนาจารย์ต้องให้คําสัตย์ปฏิญาณต่อกองอนุศาสนาจารย์ โดยเขียน ช่อื นามสกุล ลงในใบใหค้ าํ สตั ยป์ ฏญิ าณ ลงวนั เดอื นปี พรอ้ มลงนาม ยนื ยันตอ่ คณะอนุศาสนาจารยด์ ว้ ย ภารกจิ ของอนศุ าสนาจารยก์ องทพั บก อนุศาสนาจารย์กองทัพบกต้องสามารถปฏิบัติภารกิจในการเผยแผ่ธรรมะ การบําบัดทุกข์ บํารุงขวัญ  และสร้างสรรค์อุดมธรรมของพระพุทธศาสนาแก่กําลังพลได้ทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ ทั้งในท่ีต้ัง ปกตแิ ละในสนาม ภารกจิ ของอนศุ าสนาจารย์กองทัพบกในยามปกติ มีดังนี้ (ก) ให้คําปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่ ผู้บังคับหนว่ ยและฝา่ ยอํานวยการอ่นื  ในเรือ่ งที่เก่ยี วขอ้ งกับศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี (ข) ส่งเสริมกําลังพลให้มี การปฏบิ ัตศิ าสนกจิ ทง้ั โดยสว่ นตัวและเป็นหน่วย (ค) เสนอแนะและกํากับการปฏิบัติพิธีกรรมต่าง ๆ ร่วมกับฝ่าย

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๒๓ อํานวยการอ่ืน (ง) ดําเนินการให้มีการสอนอบรมในเรื่องของศาสนา วัฒนธรรมประเพณี และนํากําลังพลปฏิบัติ ธรรมในโอกาสต่าง ๆ (จ) หมั่นพบปะเยี่ยมเยียนกําลังพลผู้ป่วยเจ็บ ผู้ถูกคุมขัง และผู้มีปัญหา เพ่ือปลุกปลอบ ขวัญและให้กําลังใจ (ฉ) ประสานให้ความร่วมมือกับองค์กรทางศาสนา สถานศึกษา และองค์กรของชุมชน ต่าง ๆ ในกิจการทหารท่ีเก่ียวข้องกับศาสนพิธี (ช) วางแผนให้มีการใช้ศาสนสถานของหน่วยที่มีอยู่ให้เกิด ประโยชน์ในด้านการปลูกฝังคุณธรรมแก่กําลังพลให้มากท่ีสุด (ซ) วางแผนให้ศาสนสถานเป็นจุดนัดพบของกําลัง พลทุกระดับ พร้อมทั้งครอบครัว โดยอาศัยกิจกรรมทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมประเพณี (ญ) สามารถ ปฏิบตั กิ ารและอาํ นวยการเก่ยี วกบั ด้านศาสนา ขวญั และกาํ ลังใจของกําลังพลในกองทัพบก รวมท้ังการอบรมด้าน คุณธรรมจริยธรรม วัฒนธรรมประเพณี และงานธุรการต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ตามท่ีกําหนดไว้ในหมายเลขชํานาญ การทางทหาร ภารกจิ ที่อนศุ าสนาจารย์กองทพั บกไดร้ ับการผอ่ นผันยกเวน้ เน่ืองจากอนุศาสนาจารย์เป็นนายทหารซึ่งได้รับความนับถือจากศาสนิกว่าเป็นเสมือน “พระใน เครื่องแบบ” เป็นผู้มีหน้าที่ธํารงไว้ซึ่งศีลธรรม ความยุติธรรม จริยธรรม ตามตําแหน่งหน้าที่ของตน มิใช่ นายทหารผถู้ อื อาวธุ และมใิ ชน่ ายทหารผ้ทู ําการรบตามอนุสญั ญาเจนวี า ฉะน้นั ทางราชการจงึ ได้ผอ่ นผันยกเว้นมิ ให้อนุศาสนาจารย์ต้องปฏิบัติในภารกิจที่ล่อแหลม หม่ินเหม่ท่ีจะเสียศีลธรรม จริยธรรม ความยุติธรรมและ ภาวะของอนุศาสนาจารย์ ซงึ่ จะทาํ ใหผ้ ู้รบั การอบรม ศลี ธรรม จรยิ ธรรม ขาดความเคารพนับถือและเช่ือถือตาม ควร สิทธิ์ได้รับการผ่อนผันยกเว้นเป็นพิเศษนี้ได้มาโดยพฤตินัยจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูงในอดีต ตั้งแต่ อนุศาสนาจารย์คนแรกแห่งกองทัพไทย แม้ผู้บังคับบัญชาช้ันสูงในสมัยต่อ ๆ มาก็ถือเป็นจารีตนิยมและแนว ปฏบิ ตั ผิ อ่ นผันยกเว้นสบื มา ภารกจิ ท่ีอนศุ าสนาจารย์ ได้รับการผอ่ นผันยกเวน้ เป็นพิเศษมติ ้องให้ปฏิบัตมิ ีดงั ต่อไปนี้ (1) การอย่เู วรยาม (2) การทาํ สัญญาคาํ้ ประกนั (3) การแสดงต่าง ๆ เช่น ลเิ ก ละคร (4) การบรรเลงดนตรี และการขับรอ้ งเพลง (5) การแสดงนาฏกรรมตา่ ง ๆ เชน่ ราํ วง ลีลาศ (6) เปน็ กรรมการตรวจอาวธุ (7) เปน็ กรรมการประกวดราคา (8) เปน็ กรรมการตรวจรับของ (9) เป็นกรรมการเก่ยี วกบั การเงนิ (10) เป็นกรรมการจัดซ้อื หรือสบื ราคา (11) เป็นกรรมการสอบสวนผ้กู ระทําผิด (12) เป็นกรรมการประกวดเทพหี รืกรรมการจดั การมวย คณุ คา่ เชงิ บทบาทหนา้ ทีข่ องอนศุ าสนาจารยก์ องทพั บกท่ีปฏิบัติงานในพ้นื ทจ่ี งั หวัดชายแดนภาคใต้ สําหรับอนุศาสนาจารย์กองทัพบกที่ปฏิบัติงานในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ซ่ึงเกิดเหตุการณ์ความไม่ สงบนั้น ผู้วิจัยพบว่า คุณค่าเชิงบทบาทหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกที่ปฏิบัติงานในพื้นท่ีจังหวัด ชายแดนภาคใต้ มีสามประการหลกั ไดแ้ ก่

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๒๔ (1) คณุ คา่ ดา้ นการอบรมสง่ั สอนในทางธรรม โดยปกติ อนุศาสนาจารย์จะมีการจัดอบรมศีลธรรมประจําเดือนในทุก ๆ หน่วย ซ่ึงมีท้ังการจัด อบรมในสถานทีแ่ ละนอกสถานท่ี อันได้แกส่ ถานปฏบิ ัตธิ รรมต่างๆ เปน็ ตน้ วัตถุประสงคก์ ็เพ่ือพัฒนาให้กําลังพล มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีสติในการดํารงชีวิต การจัดอบรมยังเป็นกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ในค่ายทหารในแต่ ละพนื้ ทด่ี ้วย “การอบรมศีลธรรม เพื่อเป็นการขัดเกลาจิตใจของกําลังพล เพราะการทํางานในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ กําลังพลแบกความเครียดและความกดดันไว้ การอบรมศีลธรรมจะทําให้กําลังพลมีสติ สามารถก้าวผา่ นความเครียดไปได”้ [5] “การเป็นทหารเปรียบด่ังรั้วของชาติ ทุกคนต่างคาดหวังกับรั้วของชาติให้เป็นตัวอย่างท่ีดีแก่สังคม การอบรมศีลธรรมก็เป็นส่งิ หน่งึ ที่ทําใหก้ าํ ลังพลดําเนินชีวติ ที่ดีงามอย่างทคี่ วรจะเปน็ ” [6] “อนุศาสนาจารย์สามารถให้คําแนะนําแก่กําลังพลทุกเชื้อชาติและศาสนา เพราะบทบาทหน้าที่ ตาม ชกท.5310 กําหนดไว้ชัด อนุศาสนาจารย์มีหน้าที่ปฏิบัติการหรืออํานวยการในปัญหาทั้ง ปวงท่ีเกี่ยวกับศาสนาและขวัญ ท้ังนี้ในการอบรมศีลธรรมประจําเดือนโดยท่ัวไปจะแยกประเภทผู้ นับถือศาสนา เช่น กําลังพลท่ีนับถือพุทธไปวัด กําลังพลที่นับถือคริสต์ไปโบสถ์ กําลังพลที่นับ ถืออิสลามก็จัดให้มีกิจกรรมละหมาดที่มัสยิด เป็นต้น ในส่วนของพลทหาร เวลาอบรมคุณธรรม ท่ัวไปก็ให้น่ังรวมกัน แต่เม่ือถึงช่วงเวลาศาสนพิธี เราก็แยกปฏิบัติ มีการเชิญครูสอนศาสนามาให้ ความรู้และแนะนําหลักปฏิบัติท่ีถูกต้อง อนุศาสนาจารย์เป็นผู้รับผิดชอบในการประสานให้เกิด การอบรมหรือให้คําแนะนําได้ระดับหนึ่ง แต่ต้องไม่กระทบต่อหลักของศาสนา และวางตนเป็น กลาง เคารพหลักความเชือ่ ทางศาสนา” [7] “การจดั กิจกรรมอบรมในทางธรรม ควรเนน้ หลกั ธรรมที่เปน็ สากล และต้องไหวรู้ต่อความแตกต่าง ทางศาสนา อนุศาสนาจารย์ต้องช้ีแจงทําความเข้าใจกําลังพลต่างศาสนาก่อนเร่ิมพิธีการให้เข้าใจ ว่ากําลงั พลควรปฏิบัตติ นอย่างไร และในพธิ ีการท่ไี ม่เนน้ การมีสว่ นร่วมของกําลังพลในหน่วยทุกนาย ก็ไม่ควรให้กําลังพลต่างศาสนาเข้าร่วมในศาสนพิธี หรือบางกิจกรรมอาจใช้วิธีตัดตอนผสมผสาน เช่น การไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน ในช่วงไหว้พระนั้น กําลังพลต่างศาสนาอาจแยกไปปฏิบัติ ศาสนกิจของตน หลังจากน้ันค่อยรวมพลในช่วงการกล่าวบทปลงใจ ร้องเพลงชาติและเพลง สรรเสริญพระบารมี เป็นตน้ ” [8] (2) คณุ ค่าด้านศาสนพธิ แี ละพิธีกรรมตามความเชอ่ื โดยเฉพาะในกรณีที่กําลังพลเสียชีวิต เมื่อทหารถึงแก่กรรม อนุศาสนาจารย์จะต้องเป็นตัวแทนของ หน่วยดําเนินการประสานงานกับองค์กรทางศาสนา และเป็นผู้อํานวยการด้านศาสนพิธีโดยร่วมมืออย่างใกล้ชิด กับนายทหารฝ่ายการศพ ทั้งในพิธีฝังและพิธีเผา อนุศาสนาจารย์จะรับปฏิบัติหน้าท่ีด้านศาสนพิธีท้ังในส่วนของ กําลังพลและครอบครัวของกําลังพลในหน่วยท่ีอนุศาสนาจารย์นั้น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบ อีกทั้งยังมีงานบุญต่าง ๆ อาทิเช่น งานแต่งงาน งานทําบุญบ้าน ตามท่ีกําลังพลได้ขอความอนุเคราะห์ งานสถาปณากองทัพ งานทอดกฐิน ทก่ี องทัพเป็นเจ้าภาพ เป็นต้น “เน่ืองจากอนุศาสนาจารย์ได้เรียนเรื่องศาสนพิธีมาโดยตรง ดังน้ันอนุศาสนาจารย์จะมีความรู้ท่ี ถูกต้องจึงได้รับเป็นผู้ดําเนินการด้านศาสนพิธีต่างๆ วัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือด้านงานศาสน

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๒๕ พิธแี กก่ าํ ลังพล และครอบครัว เพ่อื แสดงว่ากองทพั ไม่ได้ละทิ้งกาํ ลงั พลทง้ั ในยามสุขและยามทุกข์ เพราะเมื่อเขา้ มาแลว้ น้ันเราจะถือว่าเป็นครอบครวั เดยี วกัน” [9] “กรณีกําลังพลต่างศาสนาถึงแก่กรรม อนุศาสนาจารย์มีบทบาทในด้านการบํารุงขวัญและต้อง แนะนําทางครอบครัวให้จัดพิธีการอย่างสมเกียรติและถูกต้องตามบทบัญญัติทางศาสนา และ การท่ีผู้บังคับบัญชาเข้าร่วมในพิธีการ ความสง่างาม ความถูกต้องเรียบร้อยเป็นเร่ืองสําคัญ” [10] (3) คณุ คา่ ด้านการให้คําปรึกษาและสร้างขวัญกาํ ลังใจ โดยเฉพาะการเย่ียมเยียนกําลังพลท่ีป่วย บาดเจ็บ ถูกคุมขัง หรือมีปัญหา เพื่อปลอบขวัญและให้ กําลังใจ การให้คําปรึกษาแก่กําลังพลมีด้วยกันในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงาน ปัญหาความขัดแย้งและการทะเลาะเบาะแว้ง ปัญหาครอบครัว ปัญหาความรัก ความต้องการศึกษาต่อในระดับที่ สูงข้ึน อนุศาสนาจารย์จะช่วยเป็นผู้ไกล่เกล่ียและให้คําปรึกษา โดยแทรกธรรมะให้แก่กําลังพล ในสถานการณ์ ความไม่สงบนั้น การจัดอบรมบํารุงขวัญทหารจะทําได้น้อยคร้ังกว่าในยามปกติ เพราะสถานท่ีและสถานการณ์ไม่ อํานวย แต่อนุศาสนาจารย์จะปฏิบัติงานมากขึ้นในด้านพบปะเย่ียมเยียนทหารเป็นกิจประจําวัน สําหรับทหาร เจ็บป่วยและที่ได้รับบาดเจ็บ อนุศาสนาจารย์จะต้องถือเป็นหน้าท่ีที่จะต้องไปเยี่ยมเยียนปลุกปลอบจิตใจด้วย ธรรมะเปน็ ประจาํ “แม้อนุศาสนาจารย์ไม่ได้จบจิตวิทยาโดยตรง แต่ก็สามารถช่วยในการเป็นผู้รับฟังปัญหาใน เบ้ืองต้นได้ เพื่อปัญหาบางอย่างจะสามารถนําเสนอต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขต่อไป การท่ีเรารับ ฟังเร่ืองราวของผู้อ่ืนด้วยความเข้าใจน้ัน เป็นกลไกท่ีมีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่ากําลังพลจะนับ ถอื ศาสนาใดก็ตาม” [11] นอกจากคุณค่าเชิงบทบาทหน้าท่ีสามประการหลักข้างต้นแล้ว อนุศาสนาจารย์กองทัพบกท่ีปฏิบัติงาน ในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีคุณค่าเชิงบทบาทหน้าที่ด้านอื่น ๆ อีกด้วย อาทิเช่น ด้านการช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยธรรมชาติ เช่นเม่ือคร้ังเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นท่ีจังหวัดยะลา ด้านการปฏิบัติงาน วิทยุ โดยอนุศาสนาจารย์บางนายยังทําหน้าท่ีเป็นผู้ดําเนินรายการทางสถานีวิทยุเพ่ือความมั่นคง ฉก.ทพ.49 คลื่นความถ่ี Fm 107.5 MHz ใช้หลักธรรมะในการเผยแผ่ใหแ้ ก่ประชาชนและกําลังพลท่ีอยู่ใกล้เคียง ด้านการ ส่งเสริมงานมวลชนสัมพันธ์ เช่น การนํากําลังพลไปช่วยบูรณะวัดร่วมกับประชาชนในพ้ืนที่ เพื่อปลูกฝังให้กําลัง พลเป็นแบบอยา่ งท่ดี แี ละปฏบิ ัตหิ นา้ ทเี่ พอื่ สว่ นรวม เป็นต้น นอกจากน้ันผู้วิจัยยังพบว่า กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ได้ให้คําแนะนําแก่ อนุศาสนาจารย์ไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานยามสงครามหรือในสถานการณ์ความไม่สงบด้วย เช่น ในพื้นที่ สนาม หน่วยทหารท่ีมีอนุศาสนาจารย์ประจํา ควรมีกระโจมขนาดเล็ก ให้เป็นที่ปฏิบัติงานของ อนุศาสนาจารย์ เพ่ือจะได้ใช้เป็นที่ปลุกปลอบและช่วยคลี่คลายปัญหาด้านจิตใจแก่ทหารเป็นรายบุคคล และ ควรมีพระพุทธรูปและเครื่องบูชาขนาดเล็ก พร้อมทั้งหีบบรรจุซึ่งสะดวกแก่การเคล่ือนท่ี สําหรับต้ังประจําใน กระโจมของอนุศาสนาจารย์ และนําไปใช้ในการอบรมศีลธรรมและศาสนพิธีของหน่วยได้ ท่ีสําคัญควรมีการ เตรียมการด้านฐานข้อมูล ได้แก่ บัญชีรายชื่อทหารจําแนกตามศาสนา บัญชีรายช่ือและท่ีตั้งของศาสน สถาน สุสาน ฌาปนสถานภายในพ้ืนที่ปฏิบัติงานของหน่วย ตลอดจนบัญชีรายชื่อและประวัติย่อของผู้นํา ศาสนาในเขตปฏิบตั ิงานของหน่วย เปน็ ตน้

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๒๖ สรุปผลการศึกษา บทความวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณค่าเชิงบทบาทหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกที่ ปฏิบัติงานในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การศึกษาเอกสาร และการศึกษาภาคสนาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ เจาะลึก ผู้ให้ข้อมูลหลักมีจํานวน 40 คน ผลการศึกษาพบว่า อนุศาสนาจารย์เป็นคําเรียกชื่อนายทหารผู้ปฏิบัติ หน้าท่ีทางด้านศาสนาในกองทัพ ภารกิจของอนุศาสนาจารย์กองทัพบก คือ นํากําลังพลเข้าหาธรรมะ นําธรรมะ พัฒนากําลังพล ดํารงสถานภาพเป็นตัวแทนของศาสนาในการอบรมส่ังสอนด้านศีลธรรม จริยธรรม และ วัฒนธรรม เป็นผู้นําทางด้านจิตวิญญาณของกําลังพลทุกระดับ เป็นเจ้าหน้าที่พิธีการทางศาสนาที่อยู่ใน เคร่ืองแบบ อนุศาสนาจารย์กองทัพบกมีหน้าท่ีสร้างขวัญกําลังใจและกระตุ้นจิตสํานึกให้กําลังพลมีความ รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ และพร้อมท่ีจะเสียสละตนเองในการปฏิบัติตามภารกิจท่ีได้รับมอบหมาย คุณค่าเชิงบทบาท หน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถสรุปได้ 3 ประการหลัก ได้แก่ (1) ด้าน การอบรมส่งั สอนในทางธรรม (2) ด้านศาสนพิธีและพิธีกรรมตามความเช่ือ โดยเฉพาะในกรณีท่ีกําลังพลเสียชีวิต และ (3) ด้านการให้คาํ ปรกึ ษาและสรา้ งขวัญกาํ ลังใจ โดยเฉพาะการเยย่ี มเยียนกําลังพลท่ีป่วย บาดเจ็บ ถูกคุมขัง หรอื มปี ญั หา เพอื่ ปลอบขวัญและให้กําลงั ใจ อนุศาสนาจารย์กองทัพบกท่ีปฏิบัติงานในพ้ืนท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส เปน็ พ้ืนที่เกดิ เหตกุ ารณ์ความไม่สงบมาต้ังแต่ปี พ.ศ. 2547 จนกระท่ังถึงปัจจุบัน สถานการณ์ความไม่ สงบทําให้ทหารจําเป็นต้องปฏิบัติหน้าท่ีภายใต้ความกดดัน และเสี่ยงต่อภัยอันตรายที่มีผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และความอยู่รอดของชีวิต การสร้างขวัญกําลังใจและกระตุ้นจิตสํานึกให้ทหารมีความพร้อมท่ีจะ เสียสละตนเองในการปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ย่อมเป็นเร่ืองที่ท้าทายความสามารถของ อนุศาสนาจารย์เป็นอย่างย่ิง อีกท้ังจังหวัดชายแดนภาคใต้มีลักษณะพหุลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้าน ภาษา ศาสนา และชาติพันธ์ุ ปัจจุบันกองทัพบกได้ถอนกําลังทหารส่วนใหญ่จากกองทัพภาค 1 ถึง 3 ออกจาก พื้นที่ภาคใต้กลับต้นสังกัดเดิมแล้ว โดยให้กองทัพภาค 4 เป็นผู้รับผิดชอบพ้ืนท่ีภาคใต้เป็นสําคัญ กองอํานวยการ รักษาความม่ันคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า เน้นการฝึกกองกําลังทหาร ตํารวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ในพ้ืนท่ีให้มีความพร้อมในการดูแลความปลอดภัย ด้วยเหตุน้ี การปฏิบัติบทบาทของอนุศาสนาจารย์กองทัพบก ในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงจําเป็นต้องมีความไหวรู้ต่อความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมในพ้ืนท่ี และในกองทัพด้วย นับเป็นเร่ืองที่ท้าทายความสามารถของอนุศาสนาจารย์กองทัพบกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่นกัน อนศุ าสนาจารย์ต้องแสดงออกต่อกาํ ลงั พลทุกศาสนาและความเช่ืออย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ และ ตอ้ งไมม่ ีพฤตกิ รรมดูหม่ินศาสนาและความเชื่อใด ๆ ตลอดจนให้เกียรติทุกศาสนา สนใจและใส่ใจศึกษาหาความรู้ ทําความเข้าใจในหลักธรรมและหลักปฏิบัติของศาสนาต่าง ๆ ในพ้ืนที่ จนกระทั่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่าง เหมาะสม .......................... เอกสารและบุคคลอา้ งองิ [1] ศรีสมภพ จติ รภ์ ิรมย์ศรี. (2560). ความขดั แยง้ ชายแดนใต้ในรอบ 13 ปี ความซับซ้อนของสนามความ รุนแรงและพลังของบทสนทนาสันติภาพปาตานี. ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ สถานวิจัยความ ขดั แยง้ และความหลากหลายทางวฒั นธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลับสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปัตตาน.ี เข้าถึงไดใ้ น https://www.deepsouthwatch.org/node/11651

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๒๗ [2] อิศรา รกั ษก์ ลุ . (2554). “ภาวะสขุ ภาพจิตและทัศนคติของกําลังพลกองทัพบกท่ีปฏิบัติภารกิจในพื้นท่ีสาม จงั หวดั ชายแดนภาคใต้”, เวชสารแพทยท์ หารบก. 64(2), 67-73. เขา้ ถงึ ได้ใน https://www.tci-thaijo.org/index.php/rtamedj/article/view/5611 [3-4] กองอนุศาสนาจารย์ กรมยทุ ธศึกษาทหารบก. (2538). คู่มือการอนศุ าสนาจารย์กองทพั บก. เขา้ ถงึ ได้ใน https://drive.google.com/file/d/0B3mdQ8Ey_GaySlM5OXc3UjM0Mm8/view [5] ร้อยโท รักษ์ อาสา (ผู้ให้สัมภาษณ์). ร้อยโท ภัทรกฤติ รอดนิยม (ผู้สัมภาษณ์). ท่ีค่ายเสนาณรงค์ ตําบลคอ หงส์ อาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา. เม่ือวันท่ี 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2561 [6] ร้อยโท ทองสกุ ใจดี (ผู้ให้สัมภาษณ)์ . รอ้ ยโท ภัทรกฤติ รอดนิยม (ผู้สัมภาษณ์). ที่ค่ายเสนาณรงค์ ตําบลคอ หงส์ อําเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา. เม่อื วันท่ี 13 กมุ ภาพันธ์ 2561 [7,9] พันโท ภูวดล คําบุดดา (ผู้ให้สัมภาษณ์). ร้อยโท ภัทรกฤติ รอดนิยม (ผู้สัมภาษณ์). ท่ีค่ายเสนาณรงค์ ตาํ บลคอหงส์ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา. เมอ่ื วนั ท่ี 3 กมุ ภาพันธ์ 2561 [8] พันเอก วิรัช ธัญญากร (ผู้ให้สัมภาษณ์). ร้อยโท ภัทรกฤติ รอดนิยม (ผู้สัมภาษณ์). ท่ีค่ายเสนาณรงค์ ตําบล คอหงส์ อําเภอหาดใหญ่ จังหวดั สงขลา. เม่อื วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 [10] ร้อยโท สมอาจ อ่ิมเอม และร้อยเอก ศักด์ิชัย โชติพันธ์ (ผู้ให้สัมภาษณ์). ร้อยโทภัทรกฤติ รอดนิยม (ผู้ สัมภาษณ์). ที่ค่ายเสนาณรงค์ ตําบลคอหงส์ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา. เม่ือวันท่ี 17 กุมภาพันธ์ 2561 [11] ร้อยโท ถนอมชัย สุทธิแสน (ผู้ให้สัมภาษณ์). ร้อยโท ภัทรกฤติ รอดนิยม (ผู้สัมภาษณ์). ที่ค่ายเสนาณรงค์ ตาํ บลคอหงส์ อําเภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา. เมอื่ วนั ที่ 13 กมุ ภาพันธ์ 2561

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๒๘ จิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดําริ พ.ท. ณรงคก์ รณ์ สมี งคณุ 139 ............................................. ความเป็นมา ตามที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใย และทรงคํานึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็น สําคัญ และพระองค์ทรงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ท่ีจะทําให้ประเทศชาติมั่นคง เป็นปึกแผ่น มีความรัก ความ สามัคคีและประชาชน มชี ีวติ ความเป็นอยู่ท่ดี ีข้นึ ดว้ ยมีพระราชปณิธานทีจ่ ะสบื สาน รกั ษา ตอ่ ยอด โครงการอัน เน่ืองมาจากพระราชดําริ และแนวพระราชดําริต่างๆ ในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้ประชาชน และพัฒนา ประเทศให้เจริญกา้ วหนา้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดทําโครงการจิตอาสาขึ้นเป็นคร้ังแรก เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ โรงเรียนสุโขทัย เขตดุสิต กทม. โดยมีพระราโชบายให้ริเริ่มทําจากจุดเล็กไปหาใหญ่ ซ่งึ หมายถึง เร่มิ จากการ ดูแลรกั ษาบา้ น และบริเวณรอบบา้ นของตนเอง ใหส้ ะอาดเรียบร้อยเสียก่อน ทรงทําให้ เห็นเปน็ ตวั อยา่ ง กล่าวคือ เร่ิมทาํ จากพน้ื ที่โดยรอบพระทนี่ ั่งอมั พรสถาน และรอบพระราชวงั ดสุ ิต ในคร้ังนั้น ได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยทหารรักษา พระองค์ ข้าราชบริพารในพระองค์ ร่วมกับประชาชนจิตอาสาจากชุมชนโดยรอบพ้ืนท่ีพระราชวังดุสิต ทํา กิจกรรมจัดระเบียบพื้นที่ต่างๆ ภายในชุมชน และพ้ืนท่ีสาธารณะ ทําความสะอาด ปรับปรุงภูมิทัศน์ ตลอดจน การขุดลอกคูคลองในพ้ืนที่ เหตุการณ์น้ีนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมบําเพ็ญประโยชน์ ท่ีต่อมาแพร่หลาย ไปท่ัวประเทศ แสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ของพระองค์ ที่ทรงมีพระราชประสงค์ท่ีจะส่งเสริม 139 อศจ.ยศ.ทบ., วิทยากรจิตอาสาพระราชทาน ๙๐๔ รนุ่ ที่ ๓/๒๕๖๒

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๒๙ ความเป็นจิตอาสาของประชาชนชาวไทย ให้ร่วมกัน “ทําความ ดี ด้วยหัวใจ” เพ่ือความผาสุกของอาณา ประชาราษฎร์ โดยกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ และจิต อาสาเฉพาะกิจ หลกั สูตรการฝกึ อบรมจิตอาสา ประเภทของหลักสูตรการฝึกอบรมจิตอาสา ทรงกําหนด หลักสูตรการฝึกอบรมจิตอาสา ออกเป็น ๓ ระดบั ไดแ้ ก่ หลักสตู รทวั่ ไป มรี ะยะเวลาฝึกอบรม จํานวน ๗ วัน หลกั สตู รหลักประจาํ มรี ะยะเวลาฝกึ อบรม จํานวน ๖ สัปดาห์ หลักสูตรพเิ ศษ มรี ะยะเวลาฝึกอบรม จาํ นวน ๓ เดอื น ที่ผ่านมาได้ดําเนินการฝึกไปแล้ว คือ หลักสูตร “หลักประจํา” รุ่นที่ ๑ - ๒ ช่ือพระราชทาน รุ่น “เป็น เบ้า เป็น แม่พิมพ์” โดยมีข้าราชการ ทหาร ตํารวจ ทั้ง ๔ เหล่า และข้าราชการบางกระทรวง เข้ารับการ ฝึกอบรม รุ่นที่ ๑ ในห้วงเดือนมีนาคม ถึง เดือนเมษายน, รุ่นท่ี ๒ ในห้วงเดือน พฤศจิกายน ถึง เดือนธันวาคม ๒๕๖๑ และรุ่นที่ ๓ (อยู่ระหว่างฝึกอบรม) ในห้วงเดือน มีนาคม ถึง เมษายน ๒๕๖๒ ทําการฝึก ณ โรงเรียน จิตอาสา พื้นที่กองพันฝึกส่วนหลัง กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เขตพระราชฐานใน พระองค์ “วภิ าวดี” ทัง้ ไดท้ รงพระกรณุ าวนิ จิ ฉยั เนือ้ หาทกุ วิชาของหลักสูตร และ ทรงให้พัฒนาปรับปรุงสถานที่ ฝกึ สนับสนนุ คา่ ใชส้ อย เคร่อื งชว่ ยฝกึ และพระราชทานอาหาร ตลอดหว้ งการฝกึ หลกั สตู รหลกั ประจาํ แนวทางการฝึกอบรม เนน้ การฝึกอบรมแบบ Two-way communication การแลกเปล่ยี น ประสบการณ์แบบศกึ ษาเปน็ คณะ เน้นฝกึ ปฏบิ ัติ สําหรบั การบรรยายจากผมู้ ปี ระสบการณ์ จาก ๑๔ หนว่ ยงาน วิทยากร ๔๙ ท่าน โดยมีระยะเวลาฝึกอบรม ๖ สปั ดาห์ต่อเนอื่ ง แบง่ เป็น ๖ หมวดวิชา รวมท้ังส้ิน จํานวน ๔๖๒ ชั่วโมง เช่น หมวดวชิ าท่ี ๑ วิชาทหารทวั่ ไป จํานวน ๒๗ ชวั่ โมง หมวดวชิ าท่ี ๒ วิชาการอบรมความรู้ (อดุ มการณ/์ สถาบนั พระมหากษัตริย)์ จํานวน ๘๕ ชวั่ โมง หมวดวชิ าที่ ๓ วชิ าการอบรมความรู้ (ด้านจิตอาสา) จํานวน ๘๐ ชวั่ โมง หมวดวชิ าที่ ๔ วิชาชพี (เลอื ก) ๑ วชิ า จํานวน ๓๐ ชัว่ โมง หมวดวิชาท่ี ๕ วชิ าศาสตร์พระราชา จาํ นวน ๙๐ ชวั่ โมง หมวดวิชาท่ี ๖ การฝึกปฏบิ ตั แิ ละการศึกษาดูงานพ้นื ท่จี รงิ จํานวน ๑๕๐ ช่ัวโมง

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๓๐ ผรู้ ับการฝกึ จะไดศ้ กึ ษาดูงาน ณ สถานท่ี โครงการสว่ นพระองค์สวนจิตรลดา, พระบรมมหาราชวงั , หมู่บา้ น เศรษฐกจิ พอเพียงต้นแบบบา้ นอ่างตะแบก จ.ฉะเชิงเทรา, โครงการชั่งหวั มันอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาํ ริ จ. เพชรบุรี และศูนยก์ สิกรรมธรรมชาตมิ าบเออื้ ง อ.บา้ นบึง จ.ชลบุรี สวัสดิการระหวา่ งการฝึกอบรม ในระหวา่ งการฝกึ อบรม ผู้รบั การฝึกจะได้รบั พระมหากรุณาธิคณุ พระราชทาน เครือ่ งแบบจิตอาสา ประกอบด้วย เสอ้ื จิตอาสา, หมวกสีฟ้า, ผา้ พนั คอสเี หลือง ซ่ึงเป็นสัญลกั ษณ์ ของ จติ อาสา ๙๐๔ และ เอกสาร ตาํ ราประกอบการฝึกอบรม ให้กับผู้รบั การฝกึ อกี ท้ัง พระราชทานเลยี้ งอาหารประจาํ วนั และอาหารวา่ ง ใหก้ บั ผู้รับการฝกึ ในแตล่ ะวนั พระราชทานเลยี้ งอาหารพเิ ศษ ในวนั สําคญั และวันเย่ียมญาติ ซ่งึ ไดพ้ ระราชทานเล้ยี ง ให้กับญาตขิ องผูร้ ับการฝึกดว้ ย และหากผูร้ ับการฝกึ เจบ็ ปว่ ย ในระหว่างรบั การฝึก ทรงมีพระมหากรณุ าธคิ ุณ พระราชทานแจกันดอกไมแ้ ละของเยยี่ มใหแ้ กผ่ ปู้ ว่ ย ผลลัพธ์ทตี่ อ้ งการ หลังจบการฝกึ หลักสตู รจติ อาสา ๑. สามารถทาํ งานเป็นทีม และนําไปอบรมขยายผลในหน่วยงานของตนเอง ๒. สามารถนําความรทู้ อี่ บรมไปใช้ โดยเป็นทมี งานลงขยายผลในพ้ืนที่เปา้ หมาย ไม่ว่าจะเปน็ การ อบรม/การชว่ ยเหลือประชาชน ในพืน้ ทต่ี ่าง ๆท่ีได้รบั มอบ ๓. เป็นหน่วย/ชุด ล่วงหนา้ ท่ีมีความพร้อมสามารถไปชว่ ยเหลอื เมอ่ื เกดิ ภยั พบิ ตั ิในพื้นท่ี ทัว่ ประเทศ อศจ.จติ อาสา อศจ.ทบ. ไดร้ บั โควตาเข้ารบั การฝึกอบรมหลักสตู รจติ อาสา ๙๐๔ หลักสตู รหลกั ประจํา รนุ่ ที่ ๓/๖๒ “เป็นเบา้ เปน็ แม่พมิ พ์” จาํ นวน ๘ นาย (เป็นรนุ่ แรกที่ อศจ.ทบ. ได้เข้าฝึกอบรม) โดยคณะกรรมการของ ยศ. ทบ. ไดค้ ัดเลือก อศจ.ทบ. ท่ีสมคั รใจเขา้ รับการฝึกอบรมท่วั ประเทศ มผี ลการคดั เลือกตามคณุ สมบัติท่ีโรงเรยี น จิตอาสากาํ หนด ดงั นี้ ๑. พ.ท. ณรงคก์ รณ์ สมี งคุณ อศจ.ยศ.ทบ. ๒. พ.ต. ชชั วาลย์ ถึงแสง อศจ.กช. ๓. ร.อ. ภกั ดี ขนั ทะวตั อศจ.พธ.ทบ. ๔. ร.อ. อนาวิล อรา่ ม อศจ.มทบ.๑๑ ๕. ร.อ.ธนากร สารการ อศจ.ร.๑๒ รอ. ๖. ร.ท. วินัย อรรคฮาด อศจ.ร.๑๗ ๗. ร.ต.เด่นนคร ไชยธงรตั น์ อศจ.ร.๑๕๓ ๘. ร.ต.พงษ์ศักด์ิ คมแกว้ ผช.อศจ.มทบ.๑๓ ในระหว่างฝกึ อบรม ผเู้ ข้าฝกึ อบรมทง้ั ทเ่ี ป็นขา้ ราชการทหาร ตํารวจ ขา้ ราชการพลเรือน รัฐวสิ าหกจิ องคก์ รมหาชน และภาคประชาชน จะไมม่ กี ารแบ่งชนั้ ยศ ระดบั และตาํ แหน่ง โดยทกุ คนเสมอกัน คือ เป็นผู้ เขา้ ฝึกอบรม เพ่ือละลายพฤตกิ รรมและการทํากจิ กรรมรว่ มกนั อยา่ งเป็นกนั เอง สร้างความคนุ้ เคยความรัก

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๓๑ ความสามัคคี มีทัศนคติทด่ี ตี ่อกนั มคี วามพรอ้ มดา้ นจติ ใจ โดยการฝกึ ตลอดหลักสูตรจะเนน้ ความปลอดภยั เป็น สง่ิ สาํ คญั โดยจะมีทีมแพทยจ์ ากโรงพยาบาลพระมงกฎุ เกลา้ เตรยี มพร้อมตลอด ๒๔ ชั่วโมง สิง่ ทไ่ี ดร้ บั และประทับใจ พ.ต.ชชั วาลย์ ถงึ แสง อศจ.กช. “...ดูแลเขาใหด้ ี ๆ นะ..นคี่ อื ความประทับใจแรกของผมหลังจากทไ่ี ดก้ า้ วยา่ งเข้าส่เู ขตพระราชฐานเขา้ มาเรียนหลกั สตู รจติ อาสา ๙๐๔ หลักสตู รหลักประจํา รุ่นท่ี ๓/๖๒ เป็นเบา้ เป็นแมพ่ ิมพ์ ซง่ึ เปน็ พระดํารสั ท่ตี รัส สัง่ ให้ครูทกุ ทา่ นให้การดแู ลอยา่ งดีดว้ ยนาํ้ พระทัยอนั เปย่ี มไปดว้ ยเมตตาและพระกรณุ าทท่ี รงมีต่อผ้เู ข้ารับการ ฝึกทุกนาย ทาํ ให้ทราบถงึ น้าํ พระทยั อนั ยง่ิ ใหญ่ทที่ รงมีต่อพสกนิกรชาวไทยตามพระราชปณิธานของพระองค์ ทา่ น ทวี่ ่า สบื สาน รกั ษาต่อยอด สรา้ งสขุ ปวงประชา โครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดาํ ริ ของ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร รัชกาลที่ ๙ เพ่อื พัฒนาประเทศไทยให้มี ความรรู้ กั สามัคคแี ละพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื สบื ไป” ร.อ.ภกั ดี ขนั ทะวตั อศจ.พธ.ทบ. “ความภมู ใิ จแรก ของกระผมคอื การท่ี กอศจ.ยศ.ทบ. และ ยศ.ทบ. เห็นคณุ คา่ และคดั สรร ตัวผมเปน็ ๑ ใน ๘ของ อศจ.ทบ. การได้เป็นตวั จริง ในงานสาํ คญั เช่นน้ี น่คี อื คุณคา่ ในฐานะ อศจ. และเมอื่ ได้เข้ารับการ อบรม ก็ได้มากกว่าท่ีคิด ซึง่ คงหาจากท่อี น่ื ไม่ได้อกี แล้ว, การไดฝ้ กึ ตวั เองทง้ั ทางกาย และจิตใจ, การไดเ้ รยี นรู้ ศาสตร์พระราชาท่หี าได้ยากเพราะศึกษาจากบรมครยู อดปราชญ์ชาวบา้ นผปู้ ระสบความสาํ เร็จโดยตรง, การไดร้ ู้ ประวตั ศิ าสตรช์ าติไทย ทย่ี ่งิ ใหญก่ ว่าทคี่ ิด , การไดฝ้ กึ การเป็นวทิ ยากรจากยอดวิทยากรระดับประเทศ การได้ เรียนรศู้ าสตร์อื่น ๆ อกี มากมาย, การไดเ้ พ่ือนใหมต่ ้งั แต่ระดับรองผวู้ ่าราชการจังหวดั , เสธ.ทน., รอง ผบ.พล, หัวหนา้ หนว่ ยงาน เป็นตน้ , การไดเ้ หน็ นํ้าใจครฝู ึกที่ตอ้ งทน และ อยใู่ นภาวะกดดนั เพราะผู้รับการฝกึ ลว้ นยศ

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๓๒ ตําแหน่งสงู , การไดร้ ูว้ า่ ทจ่ี รงิ แลว้ อศจ. เราเปน็ ผทู้ สี่ ังคมยอมรบั และมีดีกวา่ ท่ีคิด แทบจะไมม่ ีใครทจ่ี ะไม่รจู้ กั อศจ. , การไดน้ าํ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใช้, การได้สนองพระราชปณธิ าน สมเด็จพระเจา้ อย่หู ัว ดว้ ยการเป็นจติ อาสา เปน็ แบบอยา่ งหรอื ทหารตน้ แบบ และ แบบอย่างอันดีแกส่ ังคม ซึ่งเป็นเกยี รติประวตั ิแก่ ตนเอง และ ครอบครวั ตราบนจิ นริ ันดร”์ ร.อ.อนาวลิ อรา่ ม อศจ.มทบ.๑๑ “ดว้ ยสํานกึ ในพระมหากรณุ าธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั สายวิทยาการอนศุ าสนาจารย์ ได้ คดั เลือกให้กระผมเปน็ หนงึ่ ในจาํ นวนอนศุ าสนาจารย์ ๘ ท่าน เข้ารบั การฝึกอบรมในคร้งั นี้ กระผมถือว่าตลอด ทงั้ ชวี ิตของกระผมไดร้ ับโอกาสที่ถือว่าสูงท่สี ดุ ในชีวิต โชคดีทีส่ ดุ ในชวี ติ ทําให้ได้เขา้ รบั การฝึกอบรมใน หลักสูตรดังกลา่ ว ไดร้ บั ความรู้ตามกระบวนการฝกึ อบรมทกุ ประการ ไม่วา่ จะเป็นองค์ความรู้ การปฏิบตั ิ การศึกษาดูงาน รวบรวมเน้อื หาแลว้ กจ็ ะเปน็ เรอ่ื งของการฝึกระเบยี บวินยั การเขา้ ใจ ตระหนักอยา่ งถอ่ งแทใ้ น ประวัติศาสตรข์ องชาตไิ ทย ซ่ึงถือว่าเปน็ รากแกว้ ของความเป็นชาตไิ ทย พระมหากรณุ าธคิ ุณในความเป็น สถาบนั สถาบนั พระมหากษตั ริยก์ ับความเปน็ ชาติไทย ความรกั ความสามัคคกี นั ของคนในชาติ และการกภู้ ัยกู้ ชีพในเหตกุ ารณต์ ่างๆ ถือเปน็ คุณค่าท่ียิง่ ใหญ่ทส่ี ดุ ในชีวติ เหนือส่ิงอนื่ ใด ที่กระผมไดร้ ับจากการฝึกอบรมใน ครั้งนี้ น่ันคอื หวั ใจของการดําเนนิ ชวี ิต กระผมจบหลกั สตู รการฝึกครั้งนแี้ ล้ว จะขอปฏบิ ัติหน้าที่ตา่ งๆท่ีตนมี เพ่อื ชาติ เพอื่ แผน่ ดินเกดิ ด้วยหวั ใจ ขอทาํ ดดี ้วยหัวใจ เป็นกุศล เป็นคุณงามความดี ทีก่ ระทาํ ด้วยหัวใจ นอ้ มถวาย ดว้ ยความสาํ นึกในพระมหากรุณาธคิ ณุ ครับ” ร.ท.วินัย อรรคฮาด อศจ.ร.๑๗ “นบั ตงั้ แต่ได้เขา้ มาฝึกหลักสตู รจิตอาสา ๙๐๔ หลกั สูตรหลกั ประจํา รุ่นท่ี ๓/๖๒ เปน็ เบา้ เปน็ แม่พิมพ์ กระผมรสู้ ึกภมู ิใจท่ีไดเ้ รียนรู้สงิ่ ท่ไี ม่เคยได้รู้มากอ่ น เช่น ได้มาเรียนรู้ถึงขัน้ ตอนการกระทาํ ตลอดจนเขา้ ใจหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งอยา่ งแท้จรงิ อกี ทัง้ ได้เข้าใจถงึ สามเสาหลกั คือ ชาติ ศาสนาและพระมหากษตั ริย์ ไดช้ ดั เจน ยง่ิ ขึ้น ได้เรียนรหู้ ลกั การ วิธกี ารตลอดถึงการได้ฝึกหดั ปฏบิ ตั ิจริงเกีย่ วกบั การก้ภู ยั ท่มี กี ารฝึกแบบบรู ณาการณ์ สมบรู ณ์พร้อมทกุ สถานี และมคี รูท่ที าํ การฝึกสอนอย่างใกลช้ ดิ ทาํ ใหผ้ ฝู้ กึ มคี วามเขา้ ใจการปฏบิ ัติได้อย่าง ถูกตอ้ ง กลา้ ที่จะปฏิบตั จิ รงิ เมือ่ ถึงคราทต่ี อ้ งช่วยชีวติ คนอน่ื จรงิ ๆ ท่ีประชาชนจิตอาสาสามารถนําไปใช้ไดจ้ รงิ และแนะนําผู้อื่นให้ปฏบิ ตั ติ ามได้ เพื่อให้เกดิ ประโยชนส์ ุขแกป่ ระชาชนอย่างแทจ้ ริง ตามพระราชปณธิ านทว่ี ่า สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา น่ันเอง”

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๓๓ โดยสรปุ แล้ว สิง่ ท่ี อศจ.ทบ. ทเ่ี ข้าอบรมไดร้ ับที่เปน็ รปู ธรรมคือ การไดพ้ ัฒนาบุคลิกภาพของการเปน็ วิทยากร เช่น ทกั ษะการพดู การปรากฏตวั ความมรี ะเบียบวนิ ัย การแสดงความเคารพบุคคลในท่า พระราชทาน การวางแผนการทาํ งานเป็นทมี การสรา้ งเครอื ข่ายจิตอาสาต่างหน่วยงานและการฝึกทักษะการ ชว่ ยเหลอื ผู้ป่วยจากภัยพบิ ตั ิ – การปฐมพยาบาลเบอ้ื งตน้ ส่วนที่เป็นนามธรรม คือ ความมีจติ อาสาที่จะ ชว่ ยเหลอื งานสว่ นรวม ความภมู ใิ จทเี่ กดิ เปน็ คนไทยจากการได้เรยี นรปู้ ระวัติศาสตร์ชาติไทย ความรัก ศรทั ธา และเทดิ ทูนสถาบันพระมหากษตั รยิ ์อย่างไม่มเี งอ่ื นไข ความเขา้ ใจในศาสตรพ์ ระราชา หลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง และเขา้ ใจถึงหัวใจหลกั สําคญั ของจติ อาสาพระราชทาน ๙๐๔ คือ “การทาํ งานร่วมกนั แบบบูรณา การ” ....................

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๓๔ อนศุ าสนาจารยท์ หารบกไทยในเซาท์ซูดาน The Chaplain of Thai Royal Army in South Sudan พ.ต.สชุ าติ สมมาตร (Major Suchat Sommart)140 ปฐมบท นับเปน็ โอกาสอันยิ่งใหญ่ของชีวิตการรับราชการที่ได้ปฏิบัติภารกิจระดับนานาชาติร่วมกับ UN ในการ นําความรู้ ความสามารถมาประยุกตใ์ ช้ในการปฏิบัติภารกิจภาคสนามของประเทศเซาท์ซูดาน อันเป็นประเทศ น้องใหม่ที่เกิดขึ้นมาในลาํ ดบั ที่ ๑๙๓ ของโลก โอกาสในการปฏิบัติภารกิจร่วมกับ UN นั้นเป็นส่ิงสําคัญยิ่งของชีวิตการรับราชการทหารไทย ซ่ึงหลายคนมองว่าเป็นเร่ืองยากอย่างย่ิงกับการได้ร่วมการปฏิบัติภารกิจ ในห้วงปี ๒๕๖๑ มีการฝึกร่วมผสม ระหว่างกองทัพสหรัฐอเมริกากับกองทัพไทย ในนามการฝึกร่วม Cobra Gold 2018 คณะอนุศาสนาจารย์ไทย ไดส้ ่งกาํ ลงั พลเข้ารว่ มการฝึกฯ จํานวน ๘ นาย ประกอบดว้ ย :- ๑. พ.อ.อัครินทร์ กําใจบุญ หัวหน้าแผนกอบรม กองอนุศาสนาจารย์ กองทัพบก ๒. พ.ท.บวรวทิ ย์ ไชยศิลป์ หัวหนา้ แผนกกาํ ลังผล กองอนศุ าสนาจารย์ กองทัพบก ๓. ร.อ.สุชาติ สมมาตร อนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศกึ ษาทหารบก กองทพั บก ๔. ร.อ.วศิ ิษยศ์ ักดิ์ ภกู ิ่งเพชร อนศุ าสนาจารย์ มณฑลทหารบกที่ ๒๗ กองทพั บก ๕. น.อ.บุญมี กาโน รองผอู้ าํ นวยการกองอนุศาสนาจารย์ กองทพั เรอื ๖. น.ท.เลิศชลศิ ล้ิมสคุ นธ์ทิพย์ อนุศาสนาจารย์ กองพลนาวิกโยธนิ กองทัพเรือ ๗. ร.ท.สมเดช สวาสนอก อนศุ าสนาจารย์ กรมยทุ ธศกึ ษาทหารอากาศ กองทพั อากาศ ๘. ร.อ.สมพงษ์ แก้วใจ อนุศาสนาจารย์ กรมเสมยี นตรา ผลจากการฝึกร่วมฯ ในครั้งน้ี ทําให้มีการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑ กองทัพบกได้จัดการประชุม โดยมี พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธาน ได้มีมติส่ง เจ้าหน้าท่ีทหารไทย จํานวน ๑ กองร้อย ทหารช่างก่อสร้าง (ทางระดับ) ไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพใน ประเทศสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยให้กําลังพลที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกประเทศชาตินําส่ิงดีๆ ที่มีอยู่ใน 140 อนุศาสนาจารย์ กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ผลัดท่ี ๑ กองกําลังรักษาสันติภาพ (Thai Horizontal Military Engineer Company (Thai HMEC))

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๓๕ เมืองไทยไปเผยแพร่ขยายผล เช่น โครงการพระราชดําริต่างๆ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น ซ่ึงทหารไทยมี อัธยาศัยไมตรีที่ดี อยู่แห่งใดก็มักจะได้รับการยอมรับจากประชาคมท่ัวไปอย่างดีเสมอ นอกจากไปทําภารกิจ สันติภาพแล้วกย็ ังตอ้ งชว่ ยเผยแพรช่ ่ือเสียงของกองทพั บกไทยด้วย ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ กรมยุทธการทหารบก มีหนังสือแจ้งว่า สหประชาชาติ (UN) ขอเพิ่มเติม อัตรากําลังพลให้ ร้อย.ช.ก่อสร้างฯ จํานวน ๕ อัตรา ในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐ เซาท์ซูดาน (United Nations Mission In South Sudan: UNMISS) จากเดิม ๒๖๘ อัตรา เป็น ๒๗๓ อัตรา โดยอัตรากําลังพลท่ีเพิ่มข้ึน จํานวน ๕ อัตรา จัดจาก กองบัญชาการกองทัพไทย จํานวน ๔ อัตรา และ กองทพั บก จํานวน ๑ อัตรา อตั ราทเี่ พิม่ ข้ึนของกองทพั บกระบุตําแหนง่ อนศุ าสนาจารย์ ชนั้ ยศ ร้อยตรพี นั ตรี กรมยุทธการ ทหารบกมีหนังสือประสานงานถึงกรมยุทธศึกษาทหารบกให้ส่งรายชื่อ รายละเอียด ข้อมูลกําลังพลท่ีจะเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจ ภายใน ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นงานท่ีด่วนมากที่สุดในการจัด กาํ ลังพลเข้ารว่ มภารกิจครง้ั น้ี กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ได้คัดเลือกข้าพเจ้า ร้อยเอกสุชาติ สมมาตร เข้าร่วม ภารกิจคร้ังนี้ ผู้อํานวยการกองอนุศาสนาจารย์ และคณะได้เรียกข้าพเจ้า เข้าไปสอบถามถึงความสมัครใจใน การไปร่วมปฏิบัติภารกิจ ณ ประเทศเซาท์ซูดาน ซึ่งต้องใช้ความอดทน อดกลั้น บากบั่น พากเพียรเป็นอย่าง มาก ระยะเวลาในการปฏบิ ัติภารกจิ ยาวนาน ๑ ปี สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้หรือไม่ ข้าพเจ้าได้ยินคําถามน้ันจากคณะกรรมการ จึงได้ตอบ ตกลง โดยยังไม่ทราบข้อมูลว่าต้องไปอย่างไร มีข้อมูลความเสี่ยงอย่างไร ไม่ได้สอบถามครอบครัวหรือใคร มีเวลาตัดสินใจในเสี้ยวนาทีน้ัน นับเป็นโอกาสอัน ยิ่งใหญ่ของชีวติ รบั ราชการทหาร สาเหตุท่ีคัดเลือกข้าพเจ้าเท่าที่จับใจความได้คือ สําเร็จการศึกษารบพิเศษมาแล้ว ผ่านการฝึกฝนมา หลายหลักสูตรแล้ว มีความอดทนอดกล้ันต่อภารกิจท่ียากลําบากได้อย่างแน่นอน และมีความรู้ความสามารถท่ี พร้อมกับการปฏิบัติงานต่างแดนได้ พร้อมกันน้ันยังเพิ่งจบภารกิจการฝึก Cobra Gold กับชาวต่างชาติมา นา่ จะมีความเขา้ ใจกับการทํางานระดับนานาชาติ

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๓๖ ขน้ั ตอนการเตรียมการ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑ คณะกําลังพลที่ได้อัตราเพ่ิมเติม ต้องตรวจสุขภาพร่างกายครั้งใหญ่ ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ต้องกรอกประวัติการเจ็บป่วยของบิดาเป็นภาษาอังกฤษท้ังหมด ต้องทําการบ้าน ในการกรอกข้อมูลพอสมควร ต้องตรวจเลือด ปัสสาวะ หู คอ จมูก ปาก ทดสอบการได้ยิน ทดสอบสายตา ทดสอบคล่นื หัวใจ และเอก็ ซเรย์ร่างกาย ผู้ท่ีจะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ทั้งอเมริกาใต้ และ แอฟริกา จะต้องมีหนังสือเล่มสีเหลืองที่เป็น เสมือนใบรับประกันว่า ได้ทําการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ท้ังน้ีเพ่ือป้องกันการเจ็บป่วยจากการเปล่ียนพื้นที่ ปฏิบัติงาน และป้องกันการเสียชีวิต วัคซีนที่ฉีดน้ันมี ๒ ชนิด คือวัคซีนไข้เหลือง ซ่ึงต้องได้รับการฉีดก่อน เดินทางอย่างน้อย ๑๐ วัน และวัคซีนที่ทางโรงพยาบาลแนะนํา ได้แก่ วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีน อหวิ าตกโรค วัคซีนไวรัสตบั อักเสบเอ บี วัคซนี ปอ้ งกันโรคไทรอยด์ วคั ซีนไข้หวัดใหญ่ ข้อแนะนําสําคัญที่สุด สมุดรับรองการฉีดวัคซีนเล่มสีเหลือง เรียกง่ายๆว่า สมุดเล่มเหลืองโดยเรียก ตามสีของมัน ถือว่าเป็นเอกสารที่สําคัญอย่างยิ่งท่ีออกให้ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation) ขององค์กรอนามัยโลกซึ่งถือได้ว่าใช้เป็นการยืนยันว่า บุคคลที่จะเดินทางน้ันได้รับการ ฉีดวัคซนี ไข้เหลอื งแลว้ ขอ้ มูลการฉีดวคั ซีนทั้งหมดจะถูกบันทึกโดยเจ้าหน้าท่ีไว้ทั้งหมด ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ ตรงกับหนงั สือเดินทาง ซึ่งจะตอ้ งแนบกับหนังสือเดินทางก่อนขึ้นเคร่ืองบิน ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีท่ีสุด หากหาย ทา่ นจะไมส่ ามารถเดนิ ทางเขา้ ประเทศในแถบแอฟริกาและกลบั เขา้ ประเทศไทย สําหรับข้าพเจ้า จะเดินทางแล้วก็ต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างให้ครอบครัวซึ่งต้องดูแลพ่อแม่ท่ีอยู่คนละ จังหวัดด้วยเหตุผลของครอบครัวท่ีแม่ต้องเล้ียงหลานให้เรียนหนังสือที่ลพบุรี พ่อต้องเฝ้าบ้านทําไร่ขายของอยู่ กับน้องท่ีกําแพงเพชร ส่วนภรรยาอยู่สิงห์บุรี เตรียมตัวเดินทางหลายแห่งก็ดีเหมือนกันได้ช่วยงานบ้าน ได้ดูแล พอ่ แมใ่ นโอกาสท่สี มควร ตอ้ งทําใจหลายเรื่องโดยเฉพาะกับครอบครัวที่ข้าพเจ้าเป็นหลักในการดูแล หลายคนก็ ไม่อยากให้เดินทางไปทํางานต่างประเทศหรอกเพราะมันทําให้ไกลบ้าน แต่ด้วยความเต็มใจและอยากทํางานท่ี เป็นระดับนานาชาติท่ีเป็นประสบการณ์คร้ังใหญ่ของชีวิตท่ีจะได้มีโอกาสแบบน้ีหาได้ยากมาก ครอบครัวเป็น ห่วงกลัวลําบาก กลัวเป็นอันตราย จึงไม่อยากให้เดินทางไป บางคนคิดว่าต้องไปเมืองสงครามลําบากหรือเสี่ยง อันตรายถึงชีวติ ได้ แต่ขา้ พเจ้าคิดตา่ งกันว่า เราต้องก้าวไปใหไ้ ด้และผา่ นจดุ นน้ั ใหไ้ ด้ ๒๐-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ อบรมภาษาอังกฤษเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง ท่ีสถาบันภาษาบริชติช (British council) ณ ห้างเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ซ่ึงขณะน้ี ภรรยาข้าพเจ้าตั้งครรภ์ได้ ๔ เดือนแล้วคาดว่าจะ คลอดช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ก็คงไม่ได้ดูแลครอบครัวตอนลูกคลอดออกมา หรือที่เขาเรียกว่า ลูกไม่ได้เห็นหน้า พอ่ นัน่ แหละ นึกถงึ ความรู้สกึ ของคนทอ่ี ยู่ในสถานการณ์น้นั เลย ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ รวบรวมเอกสารรับรองทายาท, หนังสือแบบแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบําเหน็จ ตกทอด, หนงั สือแสดงเจตนาระบตุ วั ผูร้ ับเงินชว่ ยเหลือพิเศษกรณขี า้ ราชการถึงแกค่ วามตาย, หนังสือเจตนาระบุ ตัวผู้รับเงินค้างจ่าย(เงินเดือน), หนังสือเจตนาระบุตัวผู้รับเงินค่าสินไหมทดแทนประกันชีวิต โครงการประกัน ชีวิตทหารแบบ “พทิ ักษพ์ ลพเิ ศษ”

อนสุ รณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๓๗ การทํางานกับชาวต่างชาติมีทั้งข้อดี ข้อเสียพร้อมกัน ข้อดีอาจจะได้มีหลายอย่าง ได้ทั้งเงิน ทั้งกล่อง ได้ส่ิงดีท่ีมีให้เก็บเก่ียวมากมาย ข้อเสีย ไกลบ้าน อาหาร อากาศ ภูมิประเทศเราไม่คุ้นชิน ต้องระมัดระวัง อันตรายที่อาจจะเกิดขึน้ ได้ทกุ ขณะ ๒๐ ธนั วาคม ๒๕๖๑ พนั เอก วสิ ิทธ์ิ วไิ ลวงศ์ ผ้อู าํ นวยการ กองอนศุ าสนาจารยไ์ ด้มอบพระพุทธสงิ ห์ ชยั มงคล ซ่ึงสร้างขึ้นในวาระมหามงคลครบ ๑๐๐ ปีอนุศาสนาจารย์ไทย หมายเลขพระพุทธสิงห์ชัยมงคลองค์น้ี คอื ๙๙๙ ไดจัดพิธีส่งกําลังพลไปปฏิบัติภารกิจท่ีประเทศสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน มีข้าราชการกําลังพล พร้อมท้ัง นักเรียนนายทหารอนุศาสนาจารย์ ชัน้ ต้น รนุ่ ที่ ๑๑ ร่วมพิธีส่ง ปลาบปลื้มใจน้ําตาซึมเหมือนกัน อย่างน้อยก่อน จากยงั ได้ไมตรีจติ ที่งดงามจากพน่ี ้องรว่ มอดุ มการณเ์ ดียวกนั มีใจความสําคญั จากผ้อู ํานวยการ ฯ ว่า “ให้ต้ังใจปฏิบัติหน้าท่ี เป็นแบบอย่างที่ดีของกําลังพล ยึดม่ันในหลักธรรม พร้อมยกโอวาทปาติโมกข์ ให้เป็นแนวทาง ให้ถือเกียรติยศชื่อเสียงของอนุศาสนาจารย์ไทยไปในต่างแดน ภารกิจเรียบร้อยกลับมาอย่าง ปลอดภยั ” พันเอก สุรินทร์ อ้วนศรี รองผู้อํานวยการ กองอนุศาสนาจารย์ “มั่นใจ ต้ังใจ สู้ไม่ถอย คนข้างหลังยัง คอย สู้ให้เต็มร้อย มีข้อมูลใดท่ีต้องการให้กองอนุศาสนาจารย์จัดส่งให้แจ้งมา ทางน้ีจะจัดหาส่งไปให้ ไม่ทิ้งกัน” พรอ้ มตบไหล่ กํามอื แน่นให้หนกั แนน่ สู้ พันเอก อัครินทร์ กําใจบุญ หัวหน้าแผนกอบรม “สุดยอดของเหล่าสายวิทยาการ สุดยอดของนักรบ สใู้ หส้ ดุ ๆ เปน็ กําลังใจให้เสมอ แลว้ เราจะกลบั มาเจอกนั ร่วมงานกันอกี ” พนั โท ไชโย นามนนท์ ใหพ้ รเปน็ บทกลอนทย่ี าวมาก กินใจ จาํ ได้ไมห่ มด ขอทา่ นมาเขยี นอกี ท.ี .. ขออาํ นาจเทพไท้ พระไตรรตั น์ โปรดเป็นฉัตร คุ้มครองปอ้ งเกศี ให้อาจารยส์ ุชาติและครอบครัว เจริญศรี เจริญทรพั ย์ เจรญิ ชนม์ ใหม้ สี ขุ สดใส ไรท้ ุกขโ์ ศก ใหไ้ รโ้ รค ไรภ้ ยั ในทุกหน มีอายุ วรรณะ ยศพล ใหผ้ ่านพน้ ห่างไกลจากภัยพาล

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๓๘ ใหพ้ ระธรรมยึดแน่นถงึ แกน่ จิต ทาํ พดู คดิ กวา้ งไกลสุดไพศาล มชี ื่อเสยี งโด่งดังอลังการ มหาศาลสนิ ทรพั ย์อปั มาณ์ คิดอะไรให้ไดด้ ั่งใจคดิ ใหส้ ัมฤทธจ์ิ ติ ช่นื ร่นื หรรษา ใหม้ ีสุขสดใสในโลกา มปี ัญญาแทงตลอดเปน็ ยอดคน เทอญฯ (มีต่ออีกนดิ ) ขอใหม้ ีใจหนกั แนน่ ดั่งภูเขา ขอให้งานเบาดั่งปยุ นุ่น ขอบารมีธรรมคอยคาํ้ จุน สดุ อบอุ่นตัวซูดานใจอยู่บา้ น เอยฯ พันโท เกรียงไกร จันทะแจ่ม หัวหน้าแผนกวิชาการ “ให้ยึดถือหลักวิปัสสนากรรมฐานแล้วนําไป ปฏิบัติ สอนกาํ ลังพลให้มขี วัญกําลังใจในการปฏิบตั ิหน้าท่”ี ผู้อํานวยการ กองอนศุ าสนาจารย์ พรอ้ มดว้ ยหวั หนา้ แผนกอบรมพาเขา้ พบ พล.ท.ณฐพนธ์ ศรีสวัสด์ิ เจ้ากรม ยุทธศึกษาทหารบกเพื่อลาไปปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ ไดร้ ับโอวาทในการทาํ งานวา่ “ให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เป็นตัวแทนของกรมยุทธศึกษาทหารบก ตัวแทนของอนุศาสนาจารย์ ต้องเป็น แบบอยา่ งที่ดี ปรากฏกายที่ใดให้สวมปลอกแขนสีเหลืองท่ีได้รับพระราชทานจากล้นเกล้า รัชกาลท่ี ๖ เสมอ ไป อยู่ต่างบ้านต่างเมือง กําลังพลจะมีความหว้าเหว่ เหงาแน่นอน หมั่นพบปะให้กําลังใจสร้างขวัญให้เขาอย่าง ต่อเน่ือง ยึดมั่นในหลักการ หลักธรรมของพระพุทธองค์แล้วนําพากําลังพลให้กลับมาครบถ้วนหน้าทุกนาย” พรอ้ มมอบในหลวง ร.๙ ใสก่ รอบใหอ้ ย่างดี ข้ันตอนการตรวจสัมภาระ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เดนิ ทางไปรวมพลทก่ี องพลทหารช่าง ซึ่งเป็นหนว่ ยจดั กําลงั เพ่อื ซกั ซอ้ มทําความ เข้าใจเกี่ยวกับการจัดแถว พิธีส่งกําลังพล รวมถึงการจัดกระเป๋าท่ีต้องมีการตรวจสัมภาระอย่างละเอียดมาก โดยเจ้าหน้าท่ี UN เพียงคนเดียว ชื่อ Anna ต้องเตรียมกระเป๋าสัมภาระเพียง ๓๕ กก. แต่เอาเข้าจริงเพ่ิมเป็น ๔๕ กก. เพราะต้องนําผ้าเต็นท์ ผ้าใบ และเส้ือนอนใส่ในกระเป๋าด้วย ส่ิงของท่ีเตรียมไปนั้นจะมีของต้องห้าม ลักษณะการข้ึนเครื่องบิน เช่น ของมีคม ของเหลว วัตถุไวไฟ เป็นต้น สิ่งของที่ตรวจเข้มมากที่สุด คือ สบู่ ยาสี ฟัน ยาสระผม ครีม ต้องไม่เกิน ๕ ชุด ของท่ีเขาห้ามใต้เคร่ือง เช่น แบตเตอรี่สํารองไฟ ปัตตาเลี่ยน ถ่ายไฟฉาย

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารยไ์ ทย ๓๓๙ ไฟแช็ค ต้องใช้เทปกาวสีดําพันให้แน่นหนาเพื่อป้องกันการชํารุดและกันการเกิดประจุไฟฟ้าที่อันอาจเกิด อันตรายตอ่ การเดินทางได้ พธิ สี ง่ กําลงั พลและเดนิ ทางไปต่างแดน ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ วันท่ีต้องออกเดินทาง มีพิธีส่งกําลังพลที่กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นพิธีที่ดูมี มนตข์ ลังพอสมควร เวลา ๑๔.๐๐ น. กําลังพลทกุ นายรวมพลซกั ซอ้ มพธิ สี ่งกําลังพล เวลา ๑๔.๓๐ น. พธิ ีเจริญพระพทุ ธมนต์ เวลา ๑๕.๓๐ น. ซักซ้อมพิธีสง่ กาํ ลังพลฯ เวลา ๑๖.๓๐ น. พธิ ีสง่ กําลังพล เวลา ๑๗.๐๐ น. ถา่ ยภาพหมรู่ ว่ มกัน เวลา ๒๐.๐๐ น. เคลื่อนยา้ ยกําลงั พลไปสนามบินดอนเมอื ง เวลา ๐๒.๒๐ น. กําลงั พลขน้ึ เครือ่ งบนิ สายการบินเอธโิ อเปียแอร์ไลน์ พิธีส่งกําลังพลเป็นบรรยากาศท่ีมีความขลัง เป็นมนต์เสน่ห์ตรึงใจให้กับกําลังพลและครอบครัวเป็น อย่างยิ่ง ให้กําลังพลทุกนายได้เข้าพบพระ ฟังพระเจริญพระพุทธมนต์รับนํ้าพระพุทธมนต์แล้วเป็นพิธีส่งกําลัง พล บางทา่ นก็มีครอบครวั พ่อแม่ ภรรยา ลกู มารว่ มสง่ บางท่านลูกอยู่ในท้องใกล้คลอด บางท่านลูกเพิ่ง คลอด ยังแบเบาะอยู่เลย บางท่านลูกยังตัวน้อย ร้องไห้ตามพ่อ บางท่านพ่อแม่แก่มากแล้ว บางท่านภรรยา รอ้ งไห้ ครอบครัวของข้าพเจ้ามาส่งครบทุกคน เป็นครั้งแรกที่มากันครบขนาดน้ี อาจจะเป็นครั้งแรกท่ีต้อง เดนิ ทางจากครอบครวั ไปไกลทีส่ ดุ ในชวี ิตแล้ว จะไดก้ ลับมาวนั ใดกย็ ังไม่ทราบได้ แม่เตรียมอาหารมาให้ตอนแรก คิดวา่ นาํ ไปไมไ่ ด้ น้ําหนักคงจะเกนิ แน่นอน ถา้ ไม่ใหเ้ อาขึน้ เคร่ืองก็จะทานให้หมดกอ่ นแลว้ ค่อยข้นึ เคร่ือง คนท่ีมาส่งข้าพเจ้า ประกอบด้วย พ่อแม่ น้องสาว ๒ คน หลานสาว และน้องบอย พันเอก อัครินทร์ กาํ ใจบญุ หวั หนา้ แผนกอบรม กองอนศุ าสนาจารย์ กรมยุทธศกึ ษาทหารบก ครอบครัวพ่ีศุภสิริ และน้องดลนภา ภรรยา และ รอั ยตรี สนั ธนะ บวั เจริญ นอ้ งชายภรรยา

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนุศาสนาจารย์ไทย ๓๔๐ ประเทศสาธารณรัฐเซาทซ์ ดู าน (Republic of South Sudan) เดิมประเทศซูดานเป็นอาณาจักรที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของทวีปแอฟริกา มีเมืองหลวงช่ือ คาร์ทูม มี พรมแดนติดประเทศอียิปต์ ทางทิศเหนือ ติดประเทศเอริเทรีย และเอธิโอเปีย และติดกับพรมแดนของเคนย่า และยูกันดา รวมถึงติดพรมแดนของประเทศคองโก และสาธารณรัฐแอฟริกา กลาง ทิศตะวันตกติดกับประเทศ ชาด และลเิ บีย เปน็ ประเทศทีม่ คี วามอันตรายเปน็ ลําดบั ๔ ของโลก ซูดานตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษมาอย่างยาวนาน และได้รับเอกราช เม่ือ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลังจากได้รับเอกราชแล้วได้เกิดสงครามกลางเมืองข้ึนหลายครั้ง ซึ่งเกิดแบ่งแยกดินแดนระหว่างซูดานเหนือ และเซาท์ซูดาน โดยมีปัญหาเรื่องการนับถือศาสนาเป็นสําคัญ ซูดานเหนือนับถือศาสนาอิสลาม ใช้กฏหมาย ชารีอะของอิสลามในการปกครอง และจะบังคับให้เซาท์ซูดานปฏิบัติตาม ซึ่งเซาท์ซูดานนับถือศาสนาคริสต์ จึงมีการเรียกร้องเพื่อเอกราชมายาวนานกว่า ๕๐ ปี ความขัดแย้งเกิดข้ึนมายาวนานระหว่างชาวอิสลามตอน เหนือซึ่งเป็นชนผิวขาว และแอฟริกันผิวดําท่ีเป็นชาวคริสต์ทางตอนใต้ จนทําให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง บ่อยคร้ัง เซาท์ซูดานได้รับเอกราชจากซูดาน เม่ือ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีประชากรประมาณ ๑๒ ล้านคน ตัวเลขน้ีอาจจะคลาดเคล่ือนได้เนื่องจากไม่มีการสํารวจประชากรมานานหลายปีแล้ว อาชีพส่วนใหญ่ทํา เกษตรกรรมเป็นหลัก ส่วนใหญ่เป็นข้าวฝ่าง ข้าวสาลี ฝ้าย อ้อย ถั่ว มันสําปะหลัง มะม่วง มะละกอ กล้วยหอม มนั เทศ งา ปศสุ ัตว์ ๙ กรกฎาคม จึงเปน็ วนั ชาตขิ องเซาทซ์ ดู าน ภาษาราชการคือ ภาษาองั กฤษ ประชาชนส่วนใหญส่ ามารถพูดองั กฤษไดอ้ ย่างดี มีการพูดอารบิกจูบา เป็นอกี ภาษาทผ่ี สมใช้พดู กันในพน้ื ท่รี อบเมืองหลวง ศาสนาท่ีชาวเซาท์ซูดานนับถือมากท่ีสุดคือ ศาสนาคริสต์ นิกาย คาทอลิก (Catholic) และแองกลิคัน (Anglican) และบางชนเผ่ามีความเชื่อถือผีผสมด้วย บางกลุ่มนับถือศาสนาอิสลาม แต่หลายคนบอกว่า ยังมี ความเชอ่ื แบบชนพ้นื เมอื งดงั้ เดิม อาจจะเรยี กวา่ วิญญาณนยิ ม ทางด้านสุขภาพนั้นเคยมีรายงานเร่ืองตัวช้ีวัดสุขภาพว่า มีอัตราการเสียชีวิตมาก มีการรักษาสุขภาพ เลวร้ายที่สุด มีโรงพยาบาลท่ีได้รับมาตรฐานเพียงสามแห่ง มีบางแหล่งข่าวแจ้งว่า ๗๐% มีเช้ือเอชไอวี ข้อมูลน้ี ไมแ่ นใ่ จ แต่บางรายงานแจ้งว่า มีเช้อื นีม้ ากท่สี ดุ ในบรรดาสตรีพ้นื เมอื ง ประเทศน้ี มีเผ่ามากมาย นับได้จํานวน ๖๔ เผ่า (tribe) ในแต่ละเผ่าก็มีวัฒนธรรมประเพณีของเผ่าที่ แตกตา่ งกันออกไป บางคนบอกวา่ ไม่สามารถนับจํานวนประชากรได้ครบถ้วนมากนัก เพราะในแต่ละฤดูมีการ เคล่อื นย้ายไปยงั สถานที่ต่าง ๆ เพ่ือทํามาหากินกัน บางทีก็หลบหนีสงครามกลางเมือง บางรายงานแจ้งว่า มีชน เผา่ มากกวา่ นน้ั ในแต่ละเมืองจะมี ๒ เผ่าท่ีมีกําลังในการปกครองอย่างมาก คือ เผ่านูเออร์ และ เผ่าดิงกา ท่ีเป็นกอง กําลงั หลักของประเทศ ในบางเผ่ามีการสืบทอดหัวหน้าเผ่าด้วยลักษณะต่าง ๆ กันไป บางเผ่ามีภรรยาเยอะมาก อาจจะนับได้ ว่าหลายสิบ หลายร้อยคนก็มี ถามเขาว่า ทําไมต้องมีภรรยาเยอะ เขาต้องการขยายเผ่าพันธ์ุด้วยประชากร ถ้ามี

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารยไ์ ทย ๓๔๑ ประชากรมากก็จะขยายเผ่าได้มากข้ึนกว่าเดิม บางทีก็มีระบบหมุนเวียนภรรยา จากภรรยาของพ่อโอนย้ายไป เป็นภรรยาของลูก ภรรยาของพ่ีโอนย้ายเป็นภรรยาของน้องชาย แต่ถ้าหากมีลูกคลอดมาจะต้องนําลูกนั้นให้ พ่อ มีคนเคยบอกว่า สตรีที่น่ีค่อนข้างอันตรายเพราะว่า มีการถูกคุกคามทางเพศอยู่บ่อยครั้ง บางทีมีการฆ่า แบบล้างเผ่าพันธุ์เลย ผู้ชายฆ่าทิ้งหมด ผู้หญิงข่มขืนแล้วฆ่าท้ิงหมด เป็นระบบชนเผ่าที่เข้มแข็ง มีความเหล่ือม ลํ้ากันอย่างมาก สงครามกลางเมืองมีท้ังฝ่ายรัฐบาลเกิดความขัดแย้งกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล Sudan People’s Liberation Movement (SPLM) และการขัดแย้งของชนเผ่า เกิดข้ึนในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ เกิดการแย่งชิง อํานาจการปกครองระหว่างประธานาธิบดี กีร์ และอดีตผู้ช่วยของเขา คือ รีค มาชาร์ (Riek Machar) โดย ประธานาธิบดีกล่าวหา มาชาร์กับพวกว่า มีความพยายามในการขัดแย้งแย่งชิงอํานาจเตรียมการกระทํา รัฐประหาร ท้ังสองฝ่ายมีผู้สนับสนุนจากกลุ่มชนเผ่า ต่อมาเป็นการสู้รบแบบชุมชนโดยมุ่งเป้าสมาชิกกลุ่มชาติ พันธุ์ดิงกาของประธานาธิบดี กีร์ และทหารรัฐบาลเผ่านูเออร์ ทหารยูกันดายังคงร่วมสู้รบร่วมกับกําลังรัฐบาล เซาท์ซูดานตอ่ กบฏ ประธานาธิบดี ชื่อ จอห์น การัง (John Garang de Mabior) ผู้ก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชน ซูดาน (SPLA/M) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัฐบาลปกครองตนเองซูดานจนกระท่ังถึงแก่อสัญกรรมในวันท่ี ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ต่อมา นาย ซัลวา คีร์ มายาร์ดิต มือขวาของประธานาธิบดี จอห์น การังสาบานตนเข้ารับตําแหน่ง ประธานาธบิ ดีคนแรกของเซาทซ์ ดู าน เม่อื ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๔๘ รอบเมอื งก็จะมเี หตุการณอ์ ย่ตู ลอด เช่น การก่อจลาจล การประทว้ ง การปล้น จ้ี ทําร้ายร่างกาย หรือ ลกั ขโมยกนั อยูต่ ลอด ในบางพื้นท่เี ปน็ พน้ื ท่ีอนั ตรายมาก ต้องคอยฟังขา่ วความเคลอ่ื นไหวว่าบรเิ วณใดบา้ งท่ีห้าม กาํ ลงั พล หรือชาวต่างชาตเิ ข้าไป เพราะจักเกดิ เหตลุ กั พาตวั แลว้ กจ็ ะมกี ารจบั ไปเป็นตัวประกนั ได้ ถนนบางเส้นยังมีทุ่นระเบิดที่วางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบเลย ไม่มีพิกัดใด ให้ คนวางก็ต้ังใจวางเพื่อเป็น กับดกั ไมใ่ หม้ กี ารรกุ รานเขา้ มา ตอ้ งคอยเตอื นกาํ ลังพลทอี่ อกปฏิบตั ิหน้าที่ว่า ตอ้ งระมดั ระวงั อยา่ งมาก หา้ มออก นอกเส้นทางเด็ดขาด พึงสังเกตให้ดีว่า บริเวณใดมีทุ่นระเบิด หากชาวบ้านได้พบเห็นทุ่นระเบิดก็จะทํา เคร่ืองหมายเป็นริบบ้ิน หรือเป็นพุ่มไม้กองไว้ เพ่ือเป็นสัญลักษณ์ว่า ไม่ควรเข้ามาใกล้บริเวณน้ี ซ่ึงจะวางไว้ห่าง จากทุ่นระเบิดประมาณ ๓ - ๕ เมตร เปน็ ส่งิ บอกเหตใุ หร้ ะวังตวั การค้าขายภายในเมือง มีชาวต่างชาติเป็นผู้นําทางการค้าขาย ไม่มีความคล่องตัวทางด้านเศรษฐกิจ ร้านค้าของชาวพนื้ เมืองคือ รา้ นคา้ เล็กตามริมถนน ร้านใหญ่มีน้อย ผู้ชายส่วนใหญ่ไปสนับสนุนการปกครองของ รัฐบาล ส่วนสตรจี ะเลีย้ งลูกค้าขายตามท้องตลาดทว่ั ไป ประชาชนในเมือง Juba มคี วามเปน็ อยู่ดีท่ีสุดในบรรดาเมืองท่ัวไป อาจจะเพราะเป็นเมืองหลวง แต่มี ความขัดแย้งกันอยู่พอสมควร บางทีบ้านเมืองที่กําลังสงบวันนี้ พรุ่งนี้รุกรามเป็นไฟ มีการก่อจลาจล มีการ วางเพลิง เผาบ้าน ยึดบ้าน รถยนต์ หลายคนจึงสร้างบ้านแบบพออยู่ได้เท่าน้ัน กลัวโดนโจร หรือคนท่ีอยากยึด

อนุสรณ์ ๑๐๐ ปี การอนศุ าสนาจารย์ไทย ๓๔๒ เขา้ ยึดถอื ครอบครอง บางทกี ถ็ ามเขาวา่ ทาํ ไมยึดได้ แล้วแต่รฐั บาลจะบริหารอยา่ งไร กฎหมายใช้ไม่คอ่ ยไดม้ าก นกั ประชาชนไม่มีระเบียบวินัย ขยะเกล่ือนเมือง มองไปท่ัวถนนทุกเส้นทาง ริมสองข้างทางจะเต็มไป ด้วยขยะ เช่น ถุงพลาสติก ขวดพลาสติก กระป๋อง กระดาษ เป็นต้น จะได้กลิ่นการเผาตลอดเวลา หรือบางที กลางคืนย่ิงจะหนักมาก คนทั่วไปชอบเผาขยะ เผาไม้ เผาหญ้า จะสังเกตจากหลงเหลือเถ้าถ่านเอาไว้ทั่วไป ในแคมป์ของ UN จึงรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้า แต่ถึงกระนั้นในแคมป์ก็มีขยะเพียบเช่นกัน เรื่องขยะน้ี ต้องจัดเป็น วาระแห่งชาติเลยทีเดียว เพราะมันจะกลายเป็นขยะล้นเมืองจริงๆ ทุกวันจะได้กลิ่นเผาขยะพวกน้ี ทําให้ สุขภาพเสื่อมโทรมได้ ต้องฝึกให้ประชาชนมีวินัยในการใช้ขยะ ธุรกิจอันหนึ่งท่ีน่าจะเปิดทําการอย่างมากคือ ธุรกิจรับซ้ือของเก่า ขยะพวกนี้จักหายไป ยิ่งขวดพลาสติกจะมีปริมาณเยอะมาก พยายามมองหาว่ามีโรงงาน พวกนไ้ี หม สันนิษฐานคงจะไมม่ ีหรอก หากมคี งมีคนเก็บขายกันทวั่ แลว้ เดินตลาดทเี่ ปน็ พน้ื ดิน มกั จะมีรอยน้าํ เปยี กเปน็ ทาง คนท่ัวไปนยิ มล้างมือ โดยนํานํ้าใส่กระติก ขวด ถัง น้ํามันเก่า อยากล้างมือ / เท้า ก็ล้างตรงหน้าร้านน้ันเลย บางทีจักเห็นคนเอามือล้างเท้าบ่อย ๆ เสร็จแล้วก็มา จบั ของขาย แหม พีเ่ ลน่ ล้างมอื ตรงนี้เลย ...เอ้าว่าไปเลยพี่... ฮา่ ๆ ๆ ประชาชนอธั ยาศยั ดี ชอบทักทาย ชอบคนต่างชาตมิ าก หากเดนิ ตลาดล่างแบบแบกับดินขายจะได้เห็น สภาพความเป็นอยู่เหมือนตลาดนัดบ้านเราเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีท่ีแล้ว ปลาแห้งวางกองกับพื้นดิน ไม่รู้ว่า อันไหน กอ้ นเกลอื อนั ไหนก้อนดนิ ปนกันไปหมดเลย ใจนึกอยากจะกินปลาทอด มิกลา้ เสยี แล้ว การเป็นอยู่นิยมอยู่บ้านชั้นเดียวมากกว่า สองชั้น หากเป็นบ้านหลังใหญ่มีเงินจักล้อมรั่วท่ีแน่นหนา อย่างมาก ปานประหนงึ่ วา่ นค่ี ือพระราชวังตอ้ งห้าม หรอื มองไปเหมือนคุกคมุ ขงั นกั โทษคดรี ้ายแรง สตรี ทกุ คนตัดผมสกินเฮด มองไปทางไหน หากเห็นแต่ศรีษะ จะตอบว่า น่ีคือผู้ชาย หากมองภาพรวม จึงจะทราบวา่ สตรี หากมงี านทําแล้วจกั มเี งนิ ซ้ือวกิ ผม ซึ่งราคาอนั ละ ๑,๐๐๐ ปอนด์เซาท์ซูดาน น่ังรถไปตาม ถนนจะเห็นผมสวยๆ นั่นคือ ผมปลอมจา้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ.... สุดท้ายน้ี ขอขอบคุณ ท่านผู้อํานวยการ กองอนุศาสนาจารย์ รองผู้อํานวยการกองอนุศาสนาจารย์ หวั หน้าแผนกอบรม หวั หนา้ แผนกวิชาการและการศกึ ษา ท่ไี ด้มอบหมายภารกจิ ระดับนานาชาติให้ปฏบิ ัตคิ ร้ังนี้ นับเปน็ เกียรตปิ ระวัติของชีวติ ทไ่ี ด้ทาํ เพื่อเหลา่ สายวิทยาการ กองทัพบก และประเทศชาติรวมถึงญาติพ่ีน้องเผ่า พงศว์ งศต์ ระกลู ขอบนั ทกึ ไว้เปน็ ประวัตศิ าสตร์ในโอกาสท่ีเป็นบคุ คลในห้วงครบ ๑๐๐ ปี อนศุ าสนาจารย์ ขอมอบคุณงามความดีท่ีได้ร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ให้กับเหล่าสายวิทยาการ กองทัพบก ประเทศชาติ ครอบครวั ตลอดไป ภารกิจยงั ไมจ่ บยงั เหลอื อกี ครง่ึ ทาง ตอ้ งอดทนพยายามต่อไป ...........................