๑ ภาคท่ี ๑ หลักนยิ มวา่ ดว้ ยอนศุ าสนาจารย์ทหารบก
๒ ตอนที่ ๑ กล่าวทั่วไป
๓ บทท่ี ๑ ตํานานอนุศาสนาจารยท์ หารบก เริ่มความ1 ตําแหน่งอนุศาสนาจารย์สําหรับกองทหารน้ัน ว่าได้มีมาคราวหน่ึงแล้วในราชกาลที่ ๕ แต่ว่ามีเพียงเป็นตัวบุคคล ไม่ได้ตั้งขึ้นเป็นคณะเช่นกองหรือแผนกและไม่ได้บัญญัติเรียกว่าอนุศาสนาจารย์อย่างเดี๋ยวน้ี คงเรียกตามภาษาอังกฤษว่า แช๊ปลินหรือแช๊เปลนน้ันเอง ตามนิยมในยุคนั้น คร้ันแล้วก็เลิกไป ไม่ได้มีติดต่อเป็นเช้ือสายถึงภายหลัง ตําแหน่ง อนศุ าสนาจารยท์ ่ีเคยมมี าแตก่ ่อน จงึ ขาดตอนอยูเ่ พยี งน้ัน2 ในมน่ี ี้ จกั กลา่ วเฉพาะแต่กองอนุศาสนาจารย์ท่ีตั้งข้ึนใหม่ ซึ่งสังกัด อยใู่ นกรมยทุ ธศึกษาทหารบกเดยี๋ วนี้ ตามเหตกุ ารณท์ ีม่ ีมาโดยสงั เขป อุบัติ ในพุทธศักราช ๒๔๖๑ พระบาทสมเด็จพระรามาธบิ ดีท่ี ๖ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กระทรวงกลาโหมจัดส่งกองทหารอาษา ไปช่วยราชสัมพันธมิตรในงานพระราชสงครามแล้ว ทรงพระราชปรารภว่ากอง ทหารท่ีโปรดเกล้า ฯ ให้ส่งไปแล้วน้ัน เป็นอันได้จัดดีทุกส่ิงสรรพ์ แต่ยังขาดส่ิงสําคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือ อนุศาสนาจารย์ท่ีจะ เป็นผู้ปลุกใจทหาร หาได้จัดส่งไปด้วยไม่3 จึงทรงเลือก อํามาตย์ตรี พระธรรมนิเทศทวยหาญ หัวหน้ากองอนุศาสนาจารย์ใน บัดน้ี ซ้ึงในเวลาน้ันเป็น รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ รับราชการอยู่ในกรมราชบัณฑิต กระทรวงธรรมการ4 ให้เป็น อนุศาสนาจารย์ตามกองทหารออกไปยังประเทศยุโรป มีข้อความสังเขปแจ้งอยู่ในรายงานของเสนาบดีกระทรวงธรรมการใน เวลานนั้ อันส่งข้ึนทลู เกลา้ ฯ ถวาย หมายเลข ๑ ซ้งึ ลงไวใ้ นลําดบั เร่ืองนี้แล้ว ในรายงานฉบับน้ัน เท้าความถึงพระราชปรารภว่า ควรจะมีราชบัณฑิตเป็นอนุศาสนาจารย์ออกไปกับกองทัพ ตาม โบราณราชประเพณี ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่มีอนุศาสนาจารย์ออกไปคราวน้ัน คงเป็นตําแหน่งพิเศษของราชบัณฑิตในยาม สงครามโดยตรง คือเอาราชบัณฑิตไปเป็นอนุศาสนาจารย์เฉพาะคราวเท่าน้ัน หาใช่ตําแหน่งซึ่งประจําอยู่กับราชการทหาร อย่างเด๋ียวน้ีไม่ แม้ในการแต่งกายเล่า ทางกระทรวงกลาโหมก็คงให้ใช้อินทรธนูตามสังกัดเดิม ในรายงานฉบับน้ันจึงมีว่าแต่ง เป็นราชบัณฑิตตามหน้าที่ ดังนี้ ซึ่งทําให้พิศวงอยู่ว่าแต่งอย่างไร คือ แต่งอย่างนายทหารบก แต่ติดอินทรธนูกระทรวงธรรม การตามเดิมน่ันเอง และที่แต่งกายอย่างนี้หาได้เริ่มไปแต่กรุงเทพมหานครไม่ เพราะเวลากระชั้น เจ้าหน้าท่ีกระทรวงกลาโหม เกรงจะทําเคร่ืองแต่งกายให้ไม่ทัน ได้ตกลงให้ไปทําในยุโรป เวลาเดินทางจึงแต่งอย่างพลเรือนไปตลอด การจัดส่งไปก็ดี การ นําเบิกเบิกถวายบังคมลาก็ดี เป็นธุระของกระทรวงกลาโหมนําเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทท่ีท่าวาสุกรี เม่ือวันท่ี ๑๘ สิงหาคม ๒๔๖๑ ในการเสด็จพระราชดําเนินยงั พระราชวงั บางปอินโดยชลมารค เพอ่ื แปรพระราชฐาน อนั เน่ืองจากทรงพระประชวรใน ระหวา่ งนัน้ คําว่า อนุศาสนาจารย์ เป็นพระราชมติท่ีทรงเร่ิมบัญญัติข้ึนในราชการคราวน้ันเป็นคร้ังแรก ตามใจความแห่งหน้าที่ ซ่ึงมีพระราชประสงค์ให้ปฏิบัติ เพราะเม่ือกองทหารออกไปแล้ว ทรงพระราชวิตกถึงทหารยิ่งนัก จะเห็นได้จากพระกระแสที่ 1 พระธรรมนเิ ทศทวยหาญ เรยี บเรยี งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ 2 อนศุ าสนาจารย์ในยคุ นั้น คอื พระสารสาสนพ์ ลขนั ธ์ ( สมบญุ ) ปรากฎวา่ เมอ่ื คร้งั ยงั อปุ สมบทอยู่ ไดเ้ ป็น ฐานานุกรมของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ ฯ ครัง้ ยังทรงผนวชอยู่ 3 กระแสพระราชปรารภนี้ ท่านเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เชิญมาเลา่ แกเ่ จ้าหน้าทผ่ี ้จู ะเป็นอนศุ าสนาจารยอ์ ออกไป ลงไว้ใน น้ีเพียงสงั เขป 4 กระทรวงศกึ ษาธิการ
๔ เสนาบดีกระทรวงธรรมการเชิญมาชี้แจงให้เจ้าหน้าท่ีฟัง และที่ จอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิศณุโลก ประชานารถ เสนาธิการทหารบกตรัสเล่าแก่เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ในขณะที่พาตัวเจ้าหน้าท่ีไปถวาย ด้วยว่าพระราช ปรารภที่จะส่งอนุศาสนาจารย์ออกไปน้ัน ได้ทรงมาเป็น ๒ ทาง คือ ทางหนึ่งให้เสนาบดีรับส่ังมา เพื่อทําความติดต่อกับองค์ จอมพลเสนาธิการทหารบก อีกทางหนึ่งได้รับส่ังตรงมายังองค์เสนาธิการทหารบกทีเดียว เพื่อให้ทรงจัดส่งอนุศาสนาจารย์ ออกไป ในพระราชปรารภท้ัง ๒ ทางน้ี มีพระกระแสร่วมกันเป็นใจความว่า “ทหารท่ีจากบ้านเมืองไปคราวนี้ต้องไปอยู่ในถ่ิน ไกล ไมไ่ ดพ้ บเหน็ พระเหมือนเมือ่ อยใู่ นบ้านเมืองของตน จิตใจจะห่างเหินจากทางธรรม ถึงยามคะนองก็จะฮึกเหิมเกินไป เป็น เหตใุ หเ้ สอ่ื มเสีย ไม่มีใครจะคอยให้โอวาทตักเตือน ถึงคราวทุกข์ร้อนก็อาดูรระสํ่าระสาย ไม่มีใครจะช่วยปลดเปล้ืองบันเทาให้ ดูเป็นการว้าเหว่อนาถ ถ้ามีอนุศาสนาจารย์ออกไปจะได้คอยอนุศาสน์พร่ําสอนและปลอบโยนปลดเปล้ืองในยามทุกข์” ดังน้ี เป็นต้น ซึง่ พระองคเ์ สนาธิการทหารบกรับส่ังรวมความว่า ให้อนุศาสนาจารย์ออกไปทหารจะได้ระลึกถึงพระ เช่นน้ี จะเห็นได้ ว่า ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทรงเป็นห่วงถึงทหารของพระองค์เพียงไร และในข้อความทั้งน้ี เจ้าหน้าที่หาได้กล่าวลงไว้เท่าที่ได้ สดับตรับฟังครัง้ นนั้ ไม่ เป็นแต่ย่นย่อจากขอ้ ความท่ีไดฟ้ ังอกี ช้ันหนึ่งเพราะเป็นเจ้าหน้าท่ีอยู่แก่ตนย่อมจําเป็นท่ีจะได้ทราบจาก ผู้ใหญ่ของตนอย่างตระหนักถ่ีถ้วนอยู่เอง แต่ไม่ได้จดบันทึกไว้ ท้ังกาลท่ีล่วงมานานแล้ว จึงคงกล่าวแต่ใจความ ในข้อที่ล้น เกลา้ ฯ ทรงคดิ ถงึ ทหารของพระองค์อย่างเท่าน้ัน ได้บันทึกไว้แต่พระราชดํารัสเหนือเกล้า ฯ ท่ีตรัสส่ังเสียอนุศาสนาจารย์เม่ือ ถวายบังคมลา ซึ่งลงไว้ข้างท้าย หมายเลข ๒ น้ัน อันเป็นพยานแห่งข้อนี้โดยตรง เวลาน้ันพระอาการกําลังซีด เน่ืองจากทรง พระประชวรที่กล่าวแล้วได้รับสั่งอย่างช้า ๆ ด้วยพระสุรเสียงอันแหบเครือ มีพระกระแสทรงละห้อยแต่ชัดเจนทุกๆ องค์ท่ี รับส่ังซึ่งทําให้ผู้รับใส่เกล้า ฯ น้ันใจตื้น ด้วยอํานาจผัสสะในพระเดชพระคุณและความสงสารอันจับใจระคนกัน ได้บันทึกพระ ราชดํารัสน้ีลงใน ลําดับแห่งการนั้นทันทีและรายงานข้อความท้ังปวงน้ี ต่อท่านเสนาบดีของตน ท่านก็เห็นชอบด้วยท่ีทําดังน้ี เพราะจะได้นําไปเล่าให้ทหารทางโน้นฟัง จะได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้า ฯ แม้ผู้อยู่ในภายหลังไม่ได้เห็นพระ อาการในคราวน้ันด้วยตนเอง เป็นแต่ได้อ่านท่ีบันทึกไว้อย่างเดียว ความรู้สึกจะไม่เท่ากับได้อ่านพระอาการในครั้งน้ัน ประกอบดว้ ยก็ตาม ถงึ อยา่ งนัน้ เม่ือได้อ่านพระราชดาํ รสั ตรัสส่งั เสยี ทบ่ี นั ทึกไว้นีแ้ ลว้ ก็คงเหน็ ไดว้ ่าไม่ใช่อื่น เป็นเร่อื งทรงคดิ ถึง ทหารทไ่ี ปนน้ั เอง เมื่ออนุศาสนาจารย์ไปถึงปารีสแล้ว หัวหน้าทูตทหารได้รับรายงานบอกเข้ามา ยังกรมเสนาธิการทหารบก มีข้อความ แจ้งอยู่ในสําเนาข้างท้ายหมายเลข ๓ แล้วและหน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ ซ่ึงจอมพลเสนาธิการทหารบก ทรงกําหนดไปยัง กองทูตทหารนน้ั มใี จความเป็น ๕ ขอ้ ดงั น้ี ๑. ให้ทาํ การอย่ใู นกองทูตทหาร ๒. สง่ ตวั ไปเย่ียมเยือน ทหารในทตี่ ่างๆ ซง่ึ ทหารแยกย้ายกันอย่นู ้นั เนอื งๆ เพอื่ สั่งสอนตกั เตอ่ื นในพระพทุ ธ ศาสนา และทางจรรยาความประพฤติ ๓. ให้ถามสุขทุกข์กันอย่างใจจริง ท้ังคอยให้รับธุระต่างๆ ของทหาร เช่น จะสั่งมาถึงญาติของตนในกรุงสยาม หรือส่งเงนิ ส่งของมาให้ใหร้ บั ธรุ ะทกุ อยา่ ง ๆ ๔. ทหารคนใดเจ็บไข้ ให้อนศุ าสนาจารย์ไปเยย่ี มปลอบโยนเอาใจ ๕. ถ้ามีเหตุอันไมพ่ ึงประสงค์ที่ทหารคนใดถึงแก่ความตายลง ให้อนุศาสนาจารย์ทําพิธีเทศนาอ้างพระธรรมตาม แบบสังฆปฏบิ ตั ใิ นขณะฝังศพ รวมความ ก็ทําหน้าท่ีอย่างที่พระควรทํา แต่พระของเราจะไปยุโรปมิได้ขัดด้วยการแต่งกายและเหตุอ่ืนๆ จึงต้องใช้ คฤหัสถ์ซ่งึ เปน็ เปรียญ และเคยอุปสมบทอยใู่ นเพศสมณะได้เป็นพระราชาคณะนนั้ แทน การแต่งกาย ให้แต่งอยา่ งนายทหาร แตใ่ ช้อินทรธนูรองอํามาตย์ตรกี ระทรวงธรรมการ กบั เว้นกระบี่
๕ ในทง้ั น้ี จะอธิบายถึงหนา้ ที่บางประการสักเล็กน้อย พอให้เห็นเป็นเค้าว่างานจริงๆ ในเร่ืองน้ีมีอยู่อย่างไร และทรงมุ่ง หมายอย่างไรบา้ ง จึงไดท้ รงวางหน้าทีไ่ วด้ ังน้ี ในข้อ ๑. ซง่ึ ว่าให้ทาํ การอยใู่ นกองทูตทหารน้ัน แม้ใจความจะบ่งอยู่ว่าย่อมแล้วแต่หัวหน้าทูตทหารจะให้ทําอะไร ซึ่ง นอกออกไปจากท่ีทรงกําหนดไว้แล้วน้ันดังนี้ก็จริง แต่ก็ทรงแนะกํากับไปด้วยในคราวนั้น ทรงมุ่งหมายเพ่ือให้ช่วยในทาง เอกสาร ฝ่ายภาษาไทยโดยตรง ถึงอย่างน้ัน ผู้ใหญ่ท่ีโน่นก็ไม่กะงานอย่างอ่ืนให้ทําก่ีอย่างนัก ที่เป็นหน้าเป็นตานั้นนับได้ว่ามี อยู่อย่างเดียวคือ มอบให้เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจจดหมายของทหารท่ีจะส่งเข้ามาถึงญาติมิตรในกรุงสยาม เพราะมีข้อความบาง ประการท่ีห้ามไว้อย่างกวดขัน เพ่ือมิให้ร่ัวไหลออกนอกยุทธบริเวณของฝ่ายสัมพันธมิตรในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ จดหมาย สว่ นตวั ของทหารทไี่ ปในคราวน้ันท้ังสิ้น เม่ือจะส่งเข้ามาในนี้ จึงต้องผ่านกองทูตทหารก่อน เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีได้ตรวจเรื่องและ ตดั ข้อความท่ตี ้องหา้ มออกเสียแล้วจึงกลบั ผนึกส่งเข้ามาได้ จดหมายทว่ี ่าน้ีมวี ันละมากมายเพราะต่างคนก็ต้องการจะบอกข่าว สู่ญาติมิตรของตนด้วยกําลังความคิดถึง ในจดหมายฉบับหนึ่ง ๆ จึงมีข้อความอย่างยืดยาว และต้องตรวจให้ได้ในวันหน่ึง ๆ ไม่ตํ่ากว่าสองร้อยฉบับ สําหรับเจ้าหน้าที่คนหน่ึงต้องตรวจให้ได้ไม่ตํ่ากว่าร้อยฉบับทุกวันไป ถ้าเป็นจดหมายอย่างยืดยาวมี ประดงั กันหลายสิบฉบับ ตรวจจนหมดเวลาทาํ งานแลว้ ยังไม่เสร็จ ก็ต้องนําไปตรวจในเวลากลางคืนให้เสร็จตามจํานวนท่ีกะไว้ เพ่อื ให้ทนั สง่ เจ้าหน้าท่ที างสถานทูตในเวลาเช้าแหง่ วันรงุ่ ขน้ึ ถงึ ว่าจดหมายท่ตี อ้ งตรวจประจําวันมีมากก็จริง แต่ไม่ใช่งานหนัก ความคิด เป็นแต่งานท่ีต้องใช้เวลากับความถ่ีถ้วนมากเท่านั้น งานในกองทูตทหารนอกจากน้ี เกือบจะกล่าวได้ว่า ผู้ใหญ่ทาง โน้นไม่ได้กะให้ทําอะไร ตัวบุคคลจึงมีโอกาสได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างอนุศาสนาจารย์ได้เต็มที่ ข้อน้ีแหละที่เป็นหัวต่อสําคัญนัก ของงานอนุศาสนาจารย์ คือ ถ้าตัวบุคคลทํางานได้เฉพาะอย่าง ก็ไม่เป็นท่ีนิยมและเป็นทางชวนให้เห็นว่าหน้าที่ อนุศาสนาจารย์ไม่สู้มีประโยชน์ไปด้วย ถ้าทํางานได้หลายอย่าง ก็เป็นทางมาแห่งงานได้หลายอย่าง ซ่ึงแล้วแต่จะมีมางาน เชน่ นี้มมี ากขึ้นเทา่ ใดงานที่เป็นรสของอนุศาสนาจารย์แท้ๆ ก็อาจเส่ือมไปเท่าน้ันเพราะบุคคลแบ่งภาคไม่ได้ ย่อมไม่สามารถท่ี จะทําได้ดีทุกด้านไป และเม่ืองานที่เป็นรส ของอนุศาสนาจารย์เส่ือมลงแล้ว ถึงจะทํางานอ่ืนท่ีปนเข้ามาได้ดีสัดเพียงไรก็ป่วย การ เพราะงานอน่ื ยอ่ มมีเจา้ หน้าท่ีอ่นื เป็นตวั ตง้ั อยแู่ ลว้ ถ้าอนุศาสนาจารยไ์ ปทาํ งานเช่นน้ันประจําด้วยโดยไม่จําเป็น ย่อมเป็น การสาํ งานสําบุคคลอยา่ งวา่ จะได้ผลก็ต้องเป็นถี่เกนิ ไปและห่างเกินเทา่ นนั้ ไม่ใชไ่ ดอ้ ย่างพอเหมาะแก่เหตุการณ์ และถ้างานที่ เป็นตัว รส5 ของอนุศาสนาจารย์จริงๆ เสื่อมลงแล้ว หน้าท่ีของอนุศาสนาจารย์ก็จะต้องเลือนไปโดยลําดับ จนนับไม่ได้ว่า โดยตรงนนั้ มีอยา่ งไร คร้นั เม่อื หน้าท่เี ล่ือนไปแล้วตวั บคุ คลก็จาํ เลือนไปตามกัน จนอาจกลายเป็นไม่มี โดยนัยน้ีเอง เม่ือสาวเข้า ไปโดยเทียบตํานานแล้ว จึงน่าสงสัยว่าอนุศาสนาจารย์ท่ีว่ามีมาแล้วในคราวหน่ึงนั้นได้สูญไปโยความเลือนแห่งรสงานหรือ อย่างไร ด้วยว่าหน้าที่อนุศาสนาจารย์นั้น เฉพาะตัวงานทีเดียวยังเห็นได้ง่าย แต่ประโยชน์ของงานเห็นยากนัก เพราะเป็น นามธรรมโดยมากไม่เป็นชิ้นเป็นก้อนให้เห็นได้อย่างรูปธรรม ย่ิงตัวบุคคลมีน้อยไปไม่พอแก่เหตุที่พึงมีด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็น ประโยชน์ได้ชา้ มาก เมือ่ เหน็ ประโยชน์ได้ยากและเนิ่นช้าดังน้ีแล้ว ก็ชวนให้ทําโน่นทํานี่ท่ีมีประโยชน์ทันตาเห็น คร้ันงานเช่นนี้ อากูลขึ้นหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์แท้ๆ ก็ยากที่จะคงบริบูรณ์อยู่ จึงต้องเล่ือนไปตามงาน และถ้าช้ามีตัวน้อยอยู่ด้วยแล้ว ต้านทานงานหลายด้านไมไ่ หวกต็ ้องหมดเร็วอยู่เอง ในข้อ ๓ ที่ว่าให้ถามสุขทุกข์กันอย่างจริงใจน้ัน คือ ไม่ใช่ ถามอย่างปราศรัยซึ่งถามแล้วก็แล้วไป เป็นการถามเพ่ือจะ ช่วยเหลือโดยส่วนเดียว และไม่หมายความว่า ให้อนุศาสนาจารย์เท่ียวถามสุขทุกข์ของทหารเร่ือยไปอย่างน้ัน อันไม่เป็น กิจจะลกั ษณะ และไมส่ ะดวก ในทางการงานจริงๆ น้นั หมายเอาการรับปรับทุกขข์ องทหารดว้ ยความจริงใจ เม่ือมิควรมาปรับ ทุกข์ ก็พูดจาถ่ายถามด้วยพยายามจะช่วยเหลือปลดเปลื้องให้จริงๆ ตามท่ีทําได้อย่างไร และเพียงไร กองทูตทหารของเราใน 5 ภารกิจ
๖ ปารีสจึงได้บอกประกาศไปยังกองทหารไทยทุกกอง ถึงความท่ีมีพระบรมราชโองการดํารัสให้จัดส่งอนุศาสนาจารย์ออกไป และอนุศาสนาจารย์เป็นเพ่ือนทุกข์ของทหารไปทุกข์คน ถ้าใครมีความทุกข์ร้อนในใจอย่างไร เม่ือไม่สามารถจะแก้ไขได้โดย ประการอื่นก็ให้ปรับทุกข์กับอนุศาสนาจารย์ได้ทั้งส้ิน ด้วยเหตุนี้การปรับทุกข์ของทหาร จึงเป็นงานหนักอันหน่ึงในคราวนั้น แมท้ หารท่ีไปจะไมไ่ ด้พบอนุศาสนาจารย์ทวั่ ถึงกนั กต็ ามแต่คนมากด้วยกัน ไปอยู่ในต่างถิ่นแดนของตน ในคราวที่สับสน ซ่ึงผิด กันมากกับยามปกติ ท้ังบุคคลคนเดียวจะปรับทุกข์ก่ีคร้ังก็ได้ ผู้ท่ีอยู่ห่างไกล ส่งจดหมายเล่าความในใจมาปรับทุกข์ก็ได้ แล้ว อนุศาสนาจารย์เขียนช้แี จงตอบไป เช่นนี้ การรับปรบั ทกุ ข์จักมีน้อยเร่ืองไม่ได้อยู่เอง และใช้เวลาอีกต่างหาก นอกจากเวลาทํา การในกองทูตทหารเป็นเปิดโอกาสให้ทุกระยะไป งานน้ีจึงเพรื่อมาก แต่เป็นเหตุให้ได้ใช้อนุศาสนาจารย์มาก ได้พูดจา เฉพาะตัวในทางธรรมมากซ่ึงมีทางได้เนื้อยิ่งกว่าที่ผู้นั้นจะเข้าไปรวมฟังในคราวประชุม โดยเหตุว่าการปรับทุกข์ของทหารน้ัน แม้ย่อมมีได้ต่างๆ ตามเรื่องตามอารมณ์ของบุคคล จนกําหนดไม่ได้ ว่าจักเป็นเรื่องอย่างไรบ้างดังนี้ก็ตาม แต่การรับปรับทุกข์ ของอนศุ าสนาจารย์ ต้องใหเ้ ปน็ ไปโดยธรรมเสมอคือ มงุ่ แกเ้ หตุในตวั ของผูป้ รบั ทุกข์น้ันเองให้ยง่ิ กวา่ อย่างอ่นื ไมใ่ ช่คอยแก้เหตุ ในภายนอกเป็นใหญ่ เพราะไม่มีที่สุดและหายุติในการน้ีได้ยาก จึงต้องพยายามท่ีสุดเพื่อให้ผู้ปรับทุกข์ได้รับประโยชน์ในทาง ธรรม ทั้งในโอกาสเช่นนั้น เป็นคราวท่ีจะพูดกันได้เต็มท่ี และความทุกข์ร้อนท้ังมวลนั้นย่อมทับถมแก่ผู้เสียระเบียบในทาง มากกว่าผู้อื่น ทางธรรมเท่านั้น ยอ่ มเป็นระเบยี บอยา่ งดียง่ิ ของทางใจ และอยา่ งไร จึงช่ือวา่ มีระเบยี บในทางใจ เมื่อจําเป็นต้อง ทําที่ยากก็จําเป็นต้องยอมลําบาก เม่ือจําเป็นต้องยอมลําบากก็จําเป็นต้องอดทน เมื่อจําเป็นต้องอดทน ก็จําเป็นต้องทําใจให้ แช่มอย่กู ับความอดทนเขา้ ไปช่วยกันตามลาํ ดับ ตัวอยา่ งดังนเ้ี ปน็ ตน้ แหละ เรยี กวา่ มรี ะเบยี บในทางใจ ต้องโน้มน้าวผู้ปรับทุกข์ ในทางน้ี จึงชื่อว่าเปน็ ไปโดยธรรม ไมใ่ ช่รับปรับทุกข์ด้วยวิธีพยักพเยิด ธรรมดาผู้ปรับทุกข์ ถ้าเดือดร้อนกับใครมามักจะอดเอา เรื่องของบุคคลนั้นๆ มาประมูลไม่ใคร่ได้ ซึ่งไม่เป็นแต่เล่าเรื่องทุกข์ร้อนของตนเองตรงๆ ไปเช่นว่าเดือดร้อนมากับ ผู้บังคับบัญชา หรือเพ่ือนข้าราชการด้วยกัน ก็มักจะโพนทนาถึงบุคคลนั้นๆ อีกชั้นหน่ึง ซึ่งไม่เฉพาะแต่ปรับทุกข์ หรือถ้าไม่ พดู เป็นเนอื้ เปน็ ตัวก็ตเิ ตียนการปกครองอยา่ งน้ันอย่างนี้ ถ้าผู้รับปรับทุกข์ได้พลอยเอออวยช่วยติเตียนส่งไปด้วย ก็มักจะเป็นที่ พอใจของผู้ปรับทุกข์ อย่างน้ีเรียกว่าพยักพเยิด ไม่ใช่เป็นไปโดยธรรม การรับปรับทุกข์ของอนุศาสนาจารย์ย่อมไม่ใช่ดังว่านี้ ยิ่งถ้าความทุกข์ร้อนของผู้นั้น เป็นเรื่องท่ีจะต้องแก้ทางผู้บังคับบัญชาด้วยแล้ว ก็ย่ิงต้องระมัดระวังให้จงหนัก ถ้าเรื่องน้ันจัก เปน็ ไปในทางเสียปกครองแลว้ กม็ สี งิ่ ที่อนุศาสนาจารย์จะพึงทํา แต่ต้องช้ีแจงแก่ผู้ปรับทุกข์จนเข้าใจ ให้เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ใจจะได้ยอมอยู่ในเหตุผล ซึ่งเป็นการอยู่สงบแก่ตนผู้นั้นเอง แต่ความจริงในเรื่องน้ี ยังมีอีกชนิดหนึ่ง คือ ถ้าความเดือดร้อน น้ันๆ บังเกิดข้ึนเพราะความเข้าใจของผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาไม่บรรจบเข้าหากัน อย่างที่เรียกว่าไม่พบกันคร่ึงทาง ดังนี้เป็นสาเหตุความเป็นไปพอดีในเรื่องน้ันๆ จึงมีไม่ได้ และความเดือดร้อนก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนกลางเข้าไปอีกคนหน่ึงช่วย ส่ือสารให้ ความพอดีจะเกิดข้ึนได้ และความเดือดร้อนของผู้ปรับทุกข์จักสงบได้ เช่นน้ีแล้วอนุศาสนาจารย์ย่อมเป็นคนกลาง ช่วยเหลือได้ เพ่ือสวัสดิภาพด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในหน้าที่ข้อน้ี จึงได้ทรงมุ่งหมายให้อนุศาสนาจารย์พูดจาให้ โดยใจความก็คือ เป็นคนกลางดังกล่าวมา และเหตุไรจงึ ตอ้ งมคี นกลางพดู จาให้ ตามท่ีไดท้ ราบอธิบายมาแต่ครงั้ น้นั ว่า เพราะปกติของทหาร มัก สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะยังถ้อยความให้บริบูรณ์ ความประสงค์ในอันจะกล่าวย่อมเสียไป หรือมิฉะนั้น เมื่อต้องพูดจากัน มากเขา้ กจ็ ะกลายเป็นความตอ่ นดั ต่อแนงแก่กนั ขึ้น ถา้ มีผู้ส่ือสารให้ ย่อมเป็นการระงับข้อนี้ได้ จึงได้ทรงมุ่งหมายไว้ดังนี้ ด้วย พระปรชี าญาณท่ที รงเห็นอกเหน็ ใจของทหารจริงๆ งานอันนี้อยู่ข้างยากมาก แต่ถ้าทําจริง ๆ และปฏิบัติให้ถูกต้องกับเร่ืองแล้ว ย่อมระยับเหตุภายในได้มากทีเดียว เพราะความเดือดร้อนในใจ ย่อมเป็นเหมือนวัตถุ ระเบิดท่ีอัดอยู่ เม่ือไม่มีทางจะถ่ายถอนและทนไม่ไหว ก็ให้ผลร้ายได้ต่าง ๆ ย่ิงเป็นคราวขับขันเช่นในราชการครั้งนั้นด้วยแล้ว ความเดือดร้อนส่วนบุคคลก็ย่ิงมีทางเกิดได้มากมาย จึงเห็นได้ว่า การท่ี โปรดเกถ้า ฯ ให้สง่ อนศุ าสนาจารยอ์ อกไปคราวน้ัน เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น แต่ท้ังน้ี ต้องให้เป็นไปอย่างลี้ลับ แม้
๗ ถงึ ในเหตกุ ารณ์ที่จะพูดจาทางผบู้ งั คับบัญชาของทหารผูป้ รับทกุ ข์ กต็ อ้ งใหเ้ ปน็ ไปเฉพาะ เช่นเดียวกัน และเพราะเหตุที่ต้องทํา โดยล้ีลับดงั น้ีแหละ จึงเปน็ งานทม่ี องเหน็ ได้ยาก แต่อยใู่ นวิสยั ของผ้ใู หญ่ งานอนั นจ้ี งึ ไดเ้ ปน็ ไปแลว้ ในครงั้ น้นั และต่อมา ในช่อ ๔. ท่ีว่าทหารคนใดเจ็บไข้ ให้อนุศาสนาจารย์ ไปเยี่ยมปลอบโยน เอาใจน้ัน ทหารท่ีไป มีป่วยประจํา โรงพยาบาลอยู่เสมอต้ังแต่ไปจนกลับ ไม่มีวันว่างเว้นทหารป่วย อนุศาสนาจารย์ จึงได้ถือเอาการไปโรงพยาบาล เป็นกิจวัตร อย่างหน่ึงซ่ึงต้องทําเสมอ คือไปได้ในวันใด เป็นต้องไปวันนั้น คร้ันเม่ือไปเสมอ ๆ เช่นน้ีแล้ว จักเยี่ยมเฉพาะแต่ทหารไทย ด้วยกัน ก็ดูเป็นใจจืด จึงได้ไปเยี่ยมทหารฝรั่งด้วย เพราะทหารป่วยส่วนมากท่ีส่งเข้าไปรักษาตัวในปารีสนั้น อยู่โรงพยาบาล เดียวกันกบั ทหารฝรั่ง กิจในการเยี่ยมทหารเจ็บไข้ของอนุศาสนาจารย์นั้น มิได้อยู่ที่ถามอาการกับ ตัวคนเจ็บว่าเป็นอย่างไร เพราะได้ทราบ ความจากนายแพทย์และผู้พยาบาลประจําตัวแล้ว กิจของอนุศาสนาจารย์อยู่ที่สอนคนเจ็บ ให้รู้จักจัดการในใจของตนเองใน เวลา เช่นน้ัน อันรวมความได้ว่า คนเจ็บน้ัน ๆ ได้ฟังได้รู้และทําใจอย่างใดจึงเป็นประโยชน์ อย่างย่ิงของตนในเวลาน้ันได้ อนุศาสนาจารย์ก็เยี่ยม และสอนอย่างนั้น ท่ีควรจะรวม กันฟังได้ นายแพทย์ก็ให้มาประชุมแห่งเดียวกัน ท่ีมาไม่ได้ อนุศาสนาจารย์ก็ไปเย่ียม และให้สติเฉพาะคนเป็นเตียง ๆ ไป ที่เจ็บไข้อย่างเดียวกันและอยู่เคียงกัน อนุศาสนาจารย์ก็เข้าไป อยใู่ นระหวา่ งแห่งเตยี งทั้งสอง ให้คนเจบ็ ได้นอนฟังพร้อมกนั ไปทั้งสองคน ผลซึง่ ไดใ้ นตอนน้ี ท่ีไมเ่ ป็นแต่เพียงว่ากองทหารไทย จําเริญ ได้รับทํานุบํารุง อย่างประณีต จนถึงมีเจ้าหน้าท่ีคอยเย่ียมและให้สติในยามเจ็บไข้เป็นพิเศษอีกต่างหาก นอกจากที่มี แพทยแ์ ละผู้พยาบาลประจาํ ให้ จะเฟน้ หาผลต่าง ๆ ท่ีว่าทําดังนี้แล้วจะได้อะไรน้ัน ยากท่ีจะเห็นได้ แม้ตัวผู้ทําเองก็มิอาจยืนยัน นอกจากจะกล่าวไว้เพียงเป็น รายงานว่า ทหาร ปว่ ยทีก่ ําลังกระสับกระส่ายด้วยทุกข์เวทนานั้น ได้รับเย่ียมฟังคําสอน จนหลับได้ ซ่ึงเขาตื่นข้ึนไม่ทราบว่าอนุศาสนาจารย์ถอย ออกไปเมื่อไร ดังนี้ก็มี แต่ถึงอย่างน้ัน ก็เป็นคราวของร่างกายที่จะเป็นเช่นนั้นได้ ส่วนคราวที่เป็นไม่ได้น้ันมีอยู่ แม้จะสอน อยา่ งไรก็ไมไ่ หว คงเปน็ ไปตามเรื่องทร่ี ่างกายจะเปน็ อย่นู นั่ เอง ยงั มกี รณอี ีกอย่างหนงึ่ ซึ่งเกิดเป็นงานจริงข้นึ คราวนน้ั อันเน่ืองมาแตพ่ ระกรุณาคณุ ของสมเดจ็ พระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสเป็นเดิม เหตุ ความสวัสดีจึงมีแก่ทหารป่วยส่วนมากท่ีกล่าวแล้ว ประพฤติเหตุทางอนุศาสนาจารย์ ทั้งหมด ที่เปน็ ส่วนการบุคคลอย่างเดยี ว มิได้เกย่ี วกบั พระเกียรติคณุ ของเจา้ นาย นน้ั จะตดั ทอนออกเสียอย่างไร ถ้าไม่เสียข่าว ในทางตํานานแล้วก็ทําได้ เพราะเป็นเรื่องทางเจ้าหน้าท่ีโดยเฉพาะ ไม่อัศจรรย์อะไร แต่ถ้าเป็นข้อความแสดงพระมหา กรุณาธิคุณของล้นเกล้า ๆ และพระเดชพระคุณของจอมพลเสนาธิการทหารบก ในราชการคราวนั้นแล้ว จักตัดทอนออกเสีย ย่อมเป็นการไม่เฉลิมพระเกียรติคุณของเจ้านาย หาสมควรไม่ แม้ในข้อน้ีก็เหมือนกัน ไม่กล่าวให้ปรากฏไม่เป็นแต่เสียข่าว ในทางตํานาน ย่อมเป็นการทิ้งพระคุณข้อนี้ท่ีมีแก่ทหารป่วยในคราวนั้นด้วย และถ้าไม่ทราบในท่ีน้ีแล้ว จักหาทางทราบที่อื่น ได้โดยยาก เพราะเปน็ เรื่องลลี้ บั ชอบกลอยู่ จักกลา่ วไวพ้ อรกั ษาเร่ืองทคี่ วรจะทราบ ทหารไทยที่ป่วยส่วนมากนัน้ เมื่อได้ย้ายมาฝากไวท้ โ่ี รงพยาบาลลกุ เซมเบกิ ในปารสี ซ่งึ เปน็ โรงพยาบาลสําหรับทหาร อเมริกันในการสงครามคราวนั้น คร้ังหนึ่ง ทหารเป็นไข้นิวโมเนียถึงแก่กรรมติด ๆ กันไป ทหารป่วยเป็นอันมากต่างใจฝ่อไป ตามกัน ให้หวาดหวั่นต่อมรณภัยจนขวัญเสีย เห็นโรงพยาบาลเหมือนป่าช้า และเกิด โกลาหลป่วนป่ันข้ึน ท่ีจะให้พ้น โรงพยาบาลนี้ไปเสียให้ได้ จึงรบเร้านายแพทย์ให้ส่งกลับยังกองเดิมของตน ๆ แม้ยังไม่หายก็ขอไป นายแพทย์จักชี้แจง ปลอบโยนสักเท่าไร หาฟังไม่ นายร้อยเอก หลวงประสิทธิ์สรรพแพทย์ (รุ่ย สุนทรหต) ผู้บังคับหมวดพยาบาลของกองทหารที่ ไป ซึ่งในเวลานั้นยังมิได้เรียกว่าหมวดเสนารักษ์ เป็นผู้ทํางานร่วมมือกันกับบอนุศาสนาจารย์ในการเย่ียมทหารเจ็บไข้ ได้มา แจ้งเรื่องนี้ ให้อนุศาสนาจารย์ฟังดังที่กล่าวมาแล้วน้ัน และขอให้ช่วยระงับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นน้ีกับช้ีแจงว่า ได้ขอผัดทหารไว้ ให้สงบรออยู่ก่อน เพ่ือจะมาขอให้แก้ไข จึงได้ปรึกษากันว่า ทางแก้ไขโดยตรงน้ันก็คือพูดจาช้ีแจงจนเข้าใจ แต่นายแพทย์ก็ได้ ช่วยกันพูดแล้วเป็นหนักหนา อนุศาสนาจารย์จักไปชี้แจงอีก เป็นการทําช้ําในข้อที่ทหารไม่ฟังแล้ว ไม่น่าจะได้ประโยชน์ จึง เห็นอยู่ทางหน่ึงเท่านั้นท่ีควรจะทําได้ คือตั้งพิธีทํานํ้ามนต์ประให้ทหารเหล่าน้ันเห็น วัตถุม่ิงขวัญท่ีจะประสิทธ์ิให้เป็นนํ้ามนต์ ขึ้นนั้น ก็ได้ประทานออกมาสําหรับมีพร้อมอยู่แล้ว ขัดข้องอยู่ข้อเดียวเท่าน้ัน คือ อนุศาสนาจารย์เป็นฆราวาส ทหารจักไม่ สนิทใจในนํ้ามนต์ท่ีทําว่าศักด์ิสิทธิ์ก็ไม่เป็นประโยชน์อีก แต่ผู้บังคับหมวดพยาบาลยืนยันว่า ทหารนับถือ เพราะมีความนับถือ
๘ ส่วนบุคคลมากอยู่แล้ว แม้ตนเองก็นับถือ ไม่มีความรังเกียจเลย การท่ีฆราวาสทําน้ํามนต์น้ัน หาเป็นเร่ืองที่แปลกไม่ ใน บา้ นเมอื งเราก็ทํากันถมไปจึงเป็นอันตกลงในการนี้ เมื่ออนุศาสนาจารย์จะไปน้ัน ได้ถวายบังคมลาสมเด็จพระมหาสมณะเจ้าและทรงพระกรุณาโปรดให้ข้ึนเฝ้าบน ตําหนกั จันทร์เปน็ พเิ ศษ ได้ประทานวัตถเุ ปน็ มงิ่ ขวญั ๓ อย่าง คือ เหรียญพระพุทธชินสีห์ เหรียญพระจตุราริยสัจ เหรียญมหา สมณุตตมาภิเษก และทรงส่ังไว้ว่า ถ้าถึงคราวจําเป็น ก็ให้นําวัตถุเหล่านี้ออกทํานํ้ามนต์ได้ ท้ังทรงอธิบายไว้ด้วยว่าสีลพัตต ปรามาสน้ัน ถ้ามุ่งเอาเมตตากรณุ าเปน็ ทีต่ ั้งแล้วยังเปน็ กิจทีค่ วรทํา ไม่ควรจะเว้นเสียทีเดียว เหตุไรจึงได้ทรงอธิบายดังน้ีเพราะ สีลพัตตปรามาสเป็นพิธีของโลกมาแต่โบราณกาลจนบัดนี้ ไม่ใช่ความดีในพระศาสนาท้ังเป็นปฏิปักษ์ต่อการทําความดีในพระ ศาสนาด้วย ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมช้ันสูงจะแตะต้องไม่ได้ทีเดียว แต่ถ้าทําด้วยอํานาจเมตตากรุณาเป็นใหญ่ ด้งท่ีพระสงฆ์สวดมนต์ ทําน้ํามนต์นั้นเป็นต้นแล้ว ก็ไม่เป็นข้อทีเสียหาย จักอธิบายไว้ให้ละเอียดจะชักช้า จึงขอรวบรัดตัดตอนว่า เมื่อได้ตกลงกัน ดังน้ันแล้ว ถึงเวลากําหนด ก็อัญเชิญวัตถุมิ่งขวัญทั้ง ๓ น้ีไปยังโรงพยาบาลลุกเซมเบิก นายแพทย์ให้ทหารป่วยท่ีเดินได้มา รวมกันในห้องทหารป่วยที่เดินไม่ได้ อนุศาสนาจารย์ยืนอยู่ ณ ท่ามกลางชุมชนน้ันซ่ึงพากันเงียบกริบปราศจากเสียง ยกถ้วย นํ้าข้ึนจบแล้วประคองไว้ในกระพุ่มมือต้ังสัตยาธิษฐานประกาศข้อความทํานํ้ามนต์น้ันดัง ๆ ช้า ๆ ให้ทุกคนได้ยินทุกคําอย่าง กลา่ วประกาศสัตยาธิษฐานที่ท่านทํากันมา ครั้นสําเร็จเป็นน้ํามนต์ขึ้นแล้วแทนที่จะประพรมตามห้องดังได้ตกลงกันไว้ก่อนนั้น ท้งั นายแพทย์ทั้งทหารปว่ ยตา่ งกลมุ้ รมุ ขอน้าํ มนตน์ ัน้ ด่มื บ้าง ลบู หนา้ ลูบศีรษะบ้าง จนไม่พอกันต้องเติมแล้วเติมเล่าเป็นหลาย หน จึงได้ประพรมตามเตียงคนไข้จนท่ัวห้อง เพ่ือขับอุปัทวะอย่างประน้ํามนต์ขึ้นเรือนใหม่ ความป่ันป่วนของทหารไทยใน โรงพยาบาลลุกเซมเบกิ กส็ งบแต่น้นั มา จนถึงกลับพระมหานคร อนุศาสนาจารย์ท่ีไปคราวนั้น ได้กลับมากับกองทูตทหารถึงกรุงเทพมหานคร ในวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ กระทรวงกลาโหม ได้ตง้ั กองอนุศาสนาจารย์ข้ึนในเดือนน้ันทันที มีข้อความแจ้งอยู่ในสําเนาคําส่ังสําหรับทหารบกเร่ืองต้ังกอง อนุศาสนาจารย์ ซ่ึงหมายเลข ๔ มีข้อปรารภแจ้งอยู่ในสําเนาคํากราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซ่ึง หมายเลข ๕ และขอโอนตัวบุคคลจากกระทรวงธรรมการมาเป็นหัวหน้ากอง มีเหตุผลแจ้งอยู่ในสําเนาหนังสือขอโอนของ กระทรวง ซ่ึงหมายเลข ๖ แล้ว กองอนุศาสนาจารย์ท่ีตั้งขึ้นน้ี สังกัดอยู่ในกรมตําราทหารบก ซึ่งเป็นกรมขึ้นของกรมเสนาธิ การทหารบกในเวลาน้ัน มีข้อบังคับสําหรับทหารบกว่าด้วยกองอนุศาสนาจารย์ แจ้งอยู่ในสําเนาข้างท้ายน้ีตอนหมายเลข ๗ ซ่ึงในที่นี้เรียกว่าข้อบังคับเดิม เพราะบัดนี้ไม่ใช้แล้ว คํากราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตตั้งกอง อนุศาสนาจารย์ข้ึนก็ดี คําขอโอนตัวบุคคลจากกระทรวงธรรมการ และข้อบังคับนั้นก็ดี จอมพล เสนาธิการทหารบกทรงร่าง เองท้ังน้ัน สมุหนามแห่งงานส่วนใหญ่ของกรมตําราทหารบกแต่ก่อนน้ันเป็นกองบ้าง เป็นแผนกบ้าง ต่าง ๆ กัน เจ้าหน้าที่จึง ได้บญั ญัติให้เป็นแผนกเหมอื นกนั หมด กองอนุศาสนาจารย์จึงเป็นแผนกในกรมนั้น เรียกว่า แผนกอนุศาสนาจารย์ และแผนก เหล่าน้ันท่ีเรียกตามลําดับเลขก็มี คือ แผนกท่ี ๑ แผนกที่ ๒ เรียกตามใจความก็มี คือ แผนกอนุศาสนาจารย์ แผนกห้องสมุด กระทรวงกลาโหม ไม่เหมือนกันเช่นนี้ เจ้าหน้าท่ีจึงได้เปลี่ยนบัญญัติอีกให้เรียกตามลําดับเลขเหมือนกันหมดตั้งแต่แผนกที่ ๑ ถึงแผนกท่ี ๔ และแผนกอนุศาสนาจารย์เป็นแผนกที่ ๓ ในกรมน้ัน ต่อมากรมตําราทหารบกได้ทําประมวญข้อบังคับสําหรับ ทหารบกข้ึน กระทรวงกลาโหมส่ังให้ใช้ประมวญนั้น และยกเลิกบรรดาข้อบังคับ สําหรับทหารบกซึ่งแยกอยู่ต่าง ๆ เสีย ข้อบังคับว่าด้วยกองอนุศาสนาจารย์ ซึ่งตราข้ึนไว้แต่เดิมน้ัน จึงเป็นอันไม่ต้องใช้เพราะต้องแก้ความเดิมมาโดยลําดับ และใน ที่สุดได้มีในประมวญแล้ว แต่เพื่อให้ทราบความเดิมว่าเป็นมาอย่างไร จึงได้รักษาไว้ในเรื่องนี้ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๙ เลิกกรมตํารา ทหารบก และจําหน่ายแผนกในกรมนั้นไปไว้ในกรมน้ันๆ ตามเหมาะสมแก่งาน ส่วนแผนกท่ี ๓ จําหน่ายมาไว้ในกรมยุทธ ศกึ ษาทหารบก ยกมาแตว่ นั ที่ ๕ ตลุ าคม ศกนั้น ประจวบกับเป็นคราวที่กรมน้ีเร่ิมเปล่ียนสมุหนามของประเภทงานให้เรียกว่า กองเหมือนกัน่ หมด แผนกท่ี ๓ ท่ียกมา จึงเปน็ กองอนศุ าสนาจารย์ในกรมยุทธศึกษาทหารบก เร่ืองนี้ ยังขาดข่าวในทางตํานานอยู่หลายประการ แต่เป็นเร่ืองที่เร่งรัดต้องทําด้วยเวลาจํากัดจึงเป็นยุติว่า กอง อนศุ าสนาจารย์ไดม้ ีขน้ึ ในกรมยทุ ธศกึ ษาทหารบก ด้วยประการดังนี้
๙ เอกสารหมายเลข ๑ รายงานของเสนาบดีกระทรวงธรรมการ สง่ ขน้ึ ทลู เกลา้ ถวาย ............................ หมายเลขที่ ๖/๑๘๖๕ ลงวนั ท่ี ๒๙ มิถุนายน ๒๔๖๑ ขอพระราชทานทลู เกลา้ ฯ ถวาย ขอเดชะฝ่าละอองธลุ ีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม เน่ืองจากพระราชปรารภว่า ในงานพระราชสงครามคร้ังน้ี ซ่ึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทหารไปช่วยราชสัมพันธมิตร กระทําการสงครามแล้ว ควรจะมีราชบัณฑิตเป็นอนุศาสนาจารย์ออกไปกับกองทัพตามโบราณราชประเพณี ทรงพระราชดําริ ว่ารองอํามาตย์ตรี อยู่ เปรียญ เดิมเป็นพระอมราภิรักขิต พระคณาจารย์เอก บัดน้ีรับราชการอยู่ในกรมราชบัณฑิตกระทรวง ธรรมการ ควรสนองพระเดชพระคุณในตําแหน่งนี้ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีพระราชดํารัสส่ังให้ข้าพระพุทธเจ้านํา ความไปกราบทลู สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถเสนาธกิ ารทหารบก ข้าพระพทุ ธเจา้ รับพระ บรมราชโองการใส่เกล้าฯ แล้วกลับไปถึงกรุงเทพฯ (เวลานั้นประทับอยู่ ณ หาดเจ้าสําราญ จังหวัดเพชรบุรี ท่านเสนาบดีไป เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระบรมราชโองการท่ีนั่น) ได้รีบไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ พระองค์ท่านทรงเห็นเป็น ประโยชนโ์ ดยอเนกประการ ทรงรับจัดการที่จะส่งรองอํามาตย์ตรี อยู่ เปรียญ ตามกองทหารออกไปยังประเทศยุโรป ส่วนการ แต่งกายนนั้ ทรงเหน็ วา่ ควรแต่งเปน็ ราชบณั ฑิตตามหนา้ ท่นี ้ันเอง ข้าพระพุทธเจ้าได้แจ้งข้อพระราชประสงค์ให้รองอํามาตย์ตรี อยู่ เปรียญ ทราบเกล้าฯ แล้ว รองอํามาตย์ตรี อยู่ เปรียญ มีความยินดเี ป็นลน้ เกล้าฯ และตั้งใจสนองพระเดชพระคณุ เตม็ กําลงั ความสามารถ ข้าพระพุทธเจ้าได้พาตัวไปเฝ้าพระ เจ้าน้องยาเธอดว้ ยแล้ว รองอํามาตยต์ รี อยู่ เปรียญ พง่ึ ไดร้ บั พระราชทานยศชั้นข้าราชการสญั ญาบตั รเป็นชนั้ แรกเท่าน้ัน ท้งั นี้ จะควรประการใดแลว้ แตจ่ ะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ควรมิควรแล้วแตจ่ ะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ขอเดชะ ขา้ พระพุทธเจา้ (ลงนาม) เจ้าพระยาธรรมศกั ดม์ิ นตรี จางวางเอก เสนาบดีกระทรวงธรรมการ
๑๐ เอกสารหมายเลข ๒ สาํ เนาบันทกึ พระราชดาํ รสั เหนอื เกลา้ ฯ ตรัสสง่ั เสียอนศุ าสนาจารย์ เพื่อถวายบังคมลาตามกองทหารออกไป ........................ “น่ีแน่ะ เจ้าเป็นผู้ท่ีข้าได้เลือกแล้ว เพื่อให้ไปเป็นผู้สอนทหาร ด้วยเห็นว่า เจ้าเป็นผู้สามารถ ท่ีจะส่ังสอน ทหารได้ ตามท่ีข้าได้รู้จักชอบพอกับเจ้ามานานแล้ว เพราะฉะนั้น ขอให้เจ้าช่วยรับธุระของาข้า ไปส่ังสอนทหารทางโน้น ตาม แบบอย่างที่ข้าได้เคยสอนมาแล้ว เจ้าก็คงจะได้เห็นแล้วไม่ใช่หรือ(กราบบังคมทูลสนอง) เออ น่ันแหละ ข้าขอฝากให้เจ้าช่วย ส่ังสอนอยา่ งน้ันดว้ ย เขา้ ใจละนะ(รับดว้ ยเกลา้ ด้วยกระหมอ่ มและกราบถวายบงั คม)
๑๑ เอกสารหมายเลข ๓ รายงานของหวั หน้าทตู ทหาร .......................... ท่ี ๘๙/๒๐๖ ท่ีวา่ การกองทูตทหาร กรุงปารสี วันท่ี ๙ ตลุ าคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๑ ขา้ พระพทุ ธเจา้ นายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ หัวหน้าทูตทหารขอพระราชทานกราบบงั คมทูล จอมพล สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟา้ กรมหลวงพศิ ณุโลกประชานารถ เสนาธกิ ารทหารบก ทราบฝา่ ละอองธุลพี ระบาท ลายพระหัตถ์ ท่ี ๑๐/๒๑๓๙ ลงวันท่ี ๒๖ กรกฎาคม ศกน้ี ความวา่ มพี ระบรมราชโองการดํารสั ส่งั ให้จดั ส่ง รอง อํามาตยต์ รี อยู่ อดุ มศิลป์ กรมราชบณั ฑติ กระทรวงธรรมการ ออกไปเป็นอนุศาสนาจารย์ (Aumonier) ประจํากองทหารซง่ึ ไปราชการนอกพระราชอาณาเขต และโปรดเกลา้ ฯ ให้เขา้ รบั ราชการอยูใ่ นกองทตู ทหาร กับกาํ หนดหน้าที่ให้ รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ ปฏบิ ตั ิ มีข้อความหลายประการแจ้งอยใู่ นลายพระหตั ถฉ์ บบั น้นั แล้ว รองอํามาตยต์ รี อยู่ อุดมศลิ ป์ ได้ไปถงึ ปารีสเมื่อ วนั ที่ ๕ เดือนนี้ ด้วยความสวสั ดีภาพ ข้าพระพทุ ธเจา้ จะไดก้ ําหนด หน้าที่ และบรรจเุ ข้ารบั ราชการตามพระราชประสงค์ทุกประการ ควรมิควรแลว้ แต่จะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ข้าพระพุทธเจ้า นายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ หัวหนา้ ทตู
๑๒ เอกสารหมายเลข ๔ สําเนา คําส่งั สาํ หรบั ทหารบก เรอ่ื ง ต้งั กองอนุศาสนาจารย์ และบรรจุตําแหนง่ หวั หน้าอนศุ าสนาจารย์ .............................. ที่ ๕๘/๔๐๙๗ ศาลาวา่ การกลาโหม ในพระนคร วนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๒ มีพระบรมราชดองการดํารัสเหนือเกล้าฯ ให้ต้ังกองอนุศาสนาจารย์ขึ้นในทหารบก มีหน้าท่ีดังปรากฏในข้อบังคับ สาํ หรบั ทหารบก ว่าดว้ ยกองอนุศาสนาจารย์นนั้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ เป็นหัวหน้าอนุศาสนาจารย์ และพระราชทานยศเลื่อน เป็นรองอาํ มาตยเ์ อก เพราะฉะน้ัน ให้รองอํามาตย์เอก อยู่ อุดมศิลป์ เข้าประจํารับราชการตามตําแหน่ง รับเงินเดือน ๑๓๕ บาท แต่วันที่ ๑ มถิ นุ ายน ศกน้ี (ลงช่อื ) จอมพล เจ้าพระยาบดนิ ทรเดชานุชิต เสนาบดกี ระทรวงกลาโหม สําเนาคาํ ส่งั สําหรับทหารบกฉบบั นตี้ รวจถูกต้องกบั ฉบบั เดมิ แลว้ (ลงชือ่ ) นายพันเอก พระยาสรุ เสนา ปลดั กรมเสนาธิการทการบก
๑๓ เอกสารหมายเลข ๕ คํากราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าต ตง้ั กองอนศุ าสนาจารย์ขนึ้ ในกองทัพบก ............................... ที่ ๑๙/๓๐๘๐ (ส.ท.๑๒๔๔) ศาลาวา่ การกลาโหม ในพระนคร วนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม พระพุทธศกั ราช ๒๔๖๒ ขอเดชะฝา่ ละอองธลุ พี ระบาทปกเกลา้ ฯ ตามท่ีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดส่ง รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ ออกไปทําการในตําแหน่ง อนุศาสนาจารย์สมทบกับกองทหาร ซึ่งไปราชการสงครามนอกพระราชอาณาเขตนั้น สังเกตว่าเป็นการมีประโยชน์ดีอย่างย่ิง ในทางบํารุงน้ําใจทหาร สมควรจัดต้ังกองอนุศาสนาจารย์ข้ึนเป็นกองประจําในกองทัพบก และสมควรให้รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่อไป ในตําแหน่งหัวหน้าอนุศาสนาจารย์ ถ้าทรงพระราชดําริเห็นชอบด้วยแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ต้ังกองอนุศาสนาจารย์ข้ึนตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ศกนี้ และขอ พระราชทานให้ รองอาํ มาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ ได้เลื่อนยศข้ึนเป็นรองอํามาตยเ์ อก เพอ่ื ใหม้ ียศสงู พอสมควรแกต่ ําแหนง่ ควรมิควรสดุ แลว้ แตจ่ ะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขอเดชะ ขา้ พระพุทธเจ้า จอมพล (ลงนาม) เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชานุชิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ได้ทรงหมายเหตุไว้ในร่างวา่ “เร่ืองนี้ ที่จริง ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว และทรงพระราชดําริเห็นชอบด้วยแล้ว นี่เป็นการกราบบังคม ทูลตามระเบยี บเทา่ นัน้ ”
๑๔ เอกสารหมายเลข ๖ จดหมายขอโอนตัวบุคคลมาเปน็ หวั หนา้ อนศุ าสนาจารย์ ................................ ที่ ๗/๒๗๘๓ ศาลาวา่ การกลาโหม ในพระนคร วันที่ ๙ พฤษภาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๒ เรยี น จางวางเอก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสนาบดกี ระทรวงธรรมการทราบ ตามที่ รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ ข้าราชการกรมราชบัณฑิต ได้ออกไปรับราชการในตําแหน่งอนุศาสนาจารย์ใน กองทหาร ณ ทวีปยุโรป ตามกระแสพระบรมราชโองการน้ัน ทําให้รู้สึกว่าการมีอนุศาสนาจารย์สําหรับสั่งสอนและรับความ ปรับทุกข์ของทหารนั้น เป็นประโยชน์ดีอย่างยิ่งแก่ราชการ สมควรจักให้มีกองอนุศาสนาจารย์ขึ้นในกาองทัพบกในกรุงสยาม จอมพล สมเด็จพระเจ้านอ้ งยาเธอฯเสนาธิการทหารบก ได้ทรงนําความข้อนี้ขึ้นกราบบังคับทูลพระกรุณา และกราบทูลหารือ ในสมเด็จพระมหาสมณะ ก็ทรงพระดําริเห็นชอบด้วยทั้ง ๒ พระองค์ เพราะฉะน้ันข้าพเจ้าขอโอน รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดม ศิลป์ มารับราชการในกระทรวงกลาโหม แต่วันที่ ๑ มิถุนายน ศกน้ี เงินเดือนประจําเดือนพฤษภาคม ศกน้ี ขอให้กระทรวง ธรรมการจ่ายอีกเดอื น ๑ เงินเดือนประจําเดือนมิถุนายน จะจา่ ยทางกระทรวงกลาโหม ในโอกาสนี้ ขอแสดงความนับถือยา่ งสูง (ลงนาม) จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานชุ ิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหม
๑๕ เอกสารหมายเลข ๗ ขอ้ บงั คบั เดิม ขอ้ บังคบั สาํ หรบทหารบก ว่าดว้ ยกองอนศุ าสนาจารย์ ข้อ ๑ ใหม้ กี องอนุศาสนาจารย์อย่ใู นกรมตําราทหารบก มหี วั หน้าอนุศาสนาจารย์เป็นประธาน เป็นตําแหน่งเทียบช้ัน หัวหน้าแผนกในกรมตําราทหารบก ข้ึนตรงต่อเจ้ากรมตําราทหารบก และให้มีอนุศาสนาจารย์ประจําอีกตามท่ีจะหาบุคคลที่ เหมาะสมไดต้ อ่ ไป ในเวลานี้ยังไม่กาํ หนดแนว่ า่ ให้มกี ีค่ น ข้อ ๒ อนุสาสนาจารย์ทั้งปวง แต่งตัวอย่างนายทหารบกช้ันสัญญาบัตรชนิดทหารราบ แต่ใช้อินทรธนูอย่าง ข้าราชการกลาโหมพลเรือน และไม่ใช้กระบี่กับท้ังให้มีปลอกแขนกว้าง ๗ เซนติเมตร ทําด้วยสักหลาดสีเหลืองพันรอบแขน เสอื้ เบือ้ งซา้ ย ในตอนระหว่างไหลก่ บั ข้อศอก ข้อ ๓ อนุศาสนาจารย์มีหน้าทปี่ ฏบิ ตั ิการ ดงั จะกลา่ วต่อไปนี.้ - ๑. ช่วยราชการในกรมตาํ ราทหารบก ตามแตเ่ จ้ากรมตําราทหารบกจะกาํ หนดให้ ๒. ต้องไปเยี่ยมเยือนทหารในกรมกองต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาเขตเป็นครั้งคราว ตามที่จักได้วางแผนโดย ละเอียดตอ่ ไปว่าผู้ใดไปแหง่ ใดเมอื่ ใด เมอื่ ไปถึงทตี่ ง้ั กรมใดแลว้ ตอ้ งทําความตกลงกับผู้บังคับบัญชาทหารในท่ีนั้น ให้ได้ทําการ บรรยาย ในทปี่ ระชมุ ทหาร หรือถ้ามีทหารคนใดต้องการพบพูดจากับอนุศาสนาจารย์เฉพาะตัว ก็ต้องพบพูดจาสนทนาด้วยจง ทุกคนทไี่ ด้แสดงความประสงคเ์ ชน่ นั้น เมื่อยงั ไมเ่ สร็จกจิ จะรีบกลบั มาเสยี กอ่ นไมไ่ ดเ้ ป็นอนั ขาด ๓. ในการท่ีไปเย่ียมทหารตามความท่ีว่ามาแล้ว ในตอนหมายเลข ๒ น้ัน อนุศาสนาจารย์ต้องกระทําตนให้ ทหารนบั ถือและไวว้ างใจ แลว้ ก็ชกั จงู สง่ เสริมใหท้ หารตง้ั ม่ันอยู่ในความประพฤตอันดี มีจรรยาและมรรยาทอันงาม กับให้ผู้ซ่ึง นบั ถอื พระพุทธศาสนาตามบรรพบรุ ษุ ของตนน้ัน มคี วามศรัทธาเชอื่ ม่นั ย่ิงข้ึนในธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ มีหน้าที่ชักจูงให้ผู้'ซึ่งนับถือลัทธิความเช่ือถืออย่างอ่ืนกลับมาถือพระพุทธศาสนาหามิได้ เพราะราชการมิได้ประสงค์จะบังคับ นํ้าใจ ผู้ใดในทางลัทธิความเช่ือ ท้ังถ้าทหารผู้ใดมีความทุกข์ร้อนอย่างใด และประสงค์จะปรับทุกข์กับอนุศาสนาจารย์ ให้ อนุศาสนาจารย์ฟังคําปรับทุกข์ พยายามปลดเปลื้อง ความทุกข์ด้วยโอวาทของตน หรือเมื่อเห็นว่าพ้นความสามารถที่ตนจะ ปลดเปล้ืองได้แตผ่ ูบ้ งั คบั บัญชาของทหารน่าจะปลดเปล้อื งได้ กใ็ หบ้ อกเลา่ ชแี้ จงแกผ่ ู้บังคบั บญั ชาน้นั ๆ ๔. เมื่อกลับจากไปเยี่ยมทหารครั้ง ๑ ต้องทํารายงานเสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นจนถึงเสนาธิการ ทหารบก ว่าไดท้ ําการอยา่ งไรบ้าง ๕. ต้องรักษาความรู้ในกิจการซึ่งตนได้รับบอกเล่าตามหน้าที่น้ัน ไว้เป็นความลับเสมอ นามบุคคลซ่ึงได้ปรับ ทุกขก์ บั ตนไม่วา่ ในเรอื่ งใด ๆ จะบอกเลา่ กับผใู้ ดไมไ่ ด้ ข้อ ๔ หัวหน้าอนุศาสนาจารย์ มีหน้าที่เช่นเดียวกับท่ีกล่าวมาแล้วในช่อ ๒ กับทั้งต้องเป็นผู้ฝึกสอนอบรม อนศุ าสนาจารย์ ท้ังปวง ให้ปฏิบัติในหน้าท่ีของตนให้ถูก ต้องเรียบร้อย และเป็นผู้ทําความเห็นเสนอเจ้ากรมตําราทหารบก เพ่ือวางแผนว่า อนศุ าสนาจารยค์ นใดตอ้ งไป ณ กรมทหารแห่งใด เมอ่ื ใด ข้อ ๕ ผู้บังคับบัญชาทหารท้ังปวง ต้องเข้าใจชัดว่า อนุศาสนาจารย์น้ัน เป็นผู้ช่วยของตนในการอบรมทหารให้อยู่ใน ความประพฤติ และจรรยามารยาทอันดีงาม ช่วยปลดเปล้ืองความขัดข้องกังวลในใจของกหาร ช่วยสดับตรับฟังแล้วชี้แจง ความทุกข์ร้อนของทหารให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต้องอย่าให้เข้าใจไปว่าอนุศาสนาจารย์นั้น เป็นจารบุรุษสําหรับไปสืบความ บกพร่องในกรมกองทหารใต้บังคับบัญชาของตน ตรงกันข้ามผู้บังคับบัญชาทหารต้องยึดถือโอกาสเมื่ออนุศาสนาจารย์ไปท่ี กรม สําหรับขอร้องให้อนุศาสนาจารย์ช่วยตนในทางบํารุงน้ําใจทหาร เพราะฉะนั้น ผู้บังคับบัญชาทหารมีหน้าที่ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ ๑. เมื่ออนุศาสนาจารย์ไปถึงท่ีตั้งกองพลหรือกรมทหารกรมใด ให้ผู้บังคับบัญชากองพล หรือผู้บังคับการกรม กําหนดใหอ้ นศุ าสนาจารย์ได้แสดงคาํ ส่ังสอนแกท่ หารเป็นส่วนรวม ๑ ครัง้ หรอื หลายครัง้ ตามแต่จะตกลงกนั
๑๖ ๒. ให้ประกาศแก่บรรดาทหารว่า ผู้ใดต้องการพบพูดจาสนทนากับอนุศาสนาจารย์เฉพาะตัว ก็ให้บอกแก่ ผู้บังคับบัญชาของตน แลว้ ผบู้ ังคบั บญั ชาจัดการใหไ้ ด้สนทนาสมประสงค์ ๓. เม่ือผู้บังคับบัญชาเห็นว่าทหารคนใด ไม่ว่านายหรือพลชวนจะบกพร่อง ในทางจรรยาความประพฤติ สมควรจะได้รับความสงั่ สอนตักเตอื นเป็นพิเศษ ก็ให้นําตัวทหารผ้นู ัน้ มาใหอ้ นุศาสนาจารยส์ ่งสอนเฉพาะตัว ข้อ ๖ ให้ใช้ข้อบังคับนี้ แต่วันท่ี ๑ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๒ และให้เสนาธิการทหารบก เป็นผู้รักษาดูแลให้ การดําเนินการไปตามท่บี ัญญัติไว้น้ี (ลงนาม) จอมพล เจา้ พระยาบดินทรเดชานุชติ เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ศาลาว่าการกลาโหม ในพระนคร วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๒
๑๗ เอกสารหมายเลข ๘ คําสงั่ กองทพั บก๑ ท่ี ๔๑๖/๑๒๕๖๙ เรื่อง โอนกองอนศุ าสนาจารย์ ............................ ด้วยตามพระราชกฤษฎกี าการวดั วางระเบียบราชการกองทพั บก ในกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้กําหนดหน้าที่ กรมสวัสดิการทหารบก ให้มีหน้าท่ีเกี่ยวกับ การส่งเสริมสวัสดิภาพของทหารและฌาปนกิจ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวัน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ( ๑๔ ก.ย. ๙๑ ) เป็นต้นไป เพื่อปรับปรุงให้งานสอดคล้องกัน จึงให้โอนกิจการของกองอนุศาสนาจารย์ รร. นายร้อยพระจุลจอมเกล้า ไปขึ้นใน บังคับบญั ชากรมสวสั ดิการทหารบก ตัง้ แต่ บดั นีเ้ ป็นตน้ ไป สัง่ ณ วนั ท่ี ๑๑ ตลุ าคม ๒๔๙๑ (ลงช่อื ) พล.ท. ผ. ชณุ หะวณั ผบ.ทบ.
๑๘ เอกสารหมายเลข ๙ คําสั่งกองทพั บก ท่ี ๒๔๗/๒๔๖๓๓ เรื่อง การโอนบงั คบั บญั ชากองอนศุ าสนาจารย์และฌาปนกจิ ............................... ด้วยกระทรวงกลาโหมไดม้ ีคาํ ส่งั กระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ที่ ๖๙/๒๐๖๒๓ สง่ั ณ วนั ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้ แก้ขอบังคับทหาร ว่าด้วยกําหนดกําลัง เจ้าหน้าที่กองทัพบกในเวลาปกติ ๙๑ คือ ให้ยกเลิกอัตรา กองอนุศาสนาจารย์และ ฌาปนกิจ ในกรมสวัสดิการทหารบก (เฉพาะอัตราหัวหน้ากอง และแผนกอนุศาสนาจารย์) และให้ตั้งอัตรากอง อนศุ าสนาจารย์ขึ้นในกรมยทุ ธศกึ ษาทหารบก ฉะนั้น จึงให้กรมสวัสดิการทหารบก โอนการบังคับบัญชากองอนุศาสนาจารย์และฌาปนกิจ (เฉพาะอัตราหัวหน้า กอง และแผนกอนุศาสนาจารย์) ให้แก่ กรมยุทธศึกษาทหารบก เพ่ือจัดตั้งเป็นกองอนุศาสนาจารย์ต่อไป ส่วนแผนกศึกษา และแผนกฌาปนกจิ คงใหเ้ ป็นแผนกข้ึนตรงต่อกรมสวสั ดิการทหารบก ทั้งนี้ ต้ังแตบ่ ัดนเี้ ปน็ ต้นไป ส่ง ณ วันท่ี ๑ ธนั วาคม ๒๔๙๙ (ลงชือ่ ) จอมพล ส. ธนะรัชต์ ผบ.ทบ.
๑๙ ๑. ประวัติและวิวัฒนาการของอนุศาสนาจารยท์ หารบก ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๑ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๖ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมจัดส่งกองทหารอาสาไปช่วยราชสัมพันธมิตรในงานพระราชสงคราม ในสงครามโลกครั้งท่ี ๑ ทรง พระราชปรารภว่า กองทหารท่ีโปรดเกล้าฯ ให้ส่งไปแล้วน้ันเป็นอันได้จัดดีทุกสิ่งสรรพ์ แต่ยังขาดสิ่งสําคัญสิ่งหนึ่ง คือ อนุศาสนาจารย์ท่ีจะเป็นผู้ปลุกใจทหาร หาได้จัดส่งไปด้วยไม่ จึงทรงเลือก อํามาตย์ตรี พระธรรมนิเทศทวยหาญ ซ่ึงในเวลา นั้นเป็น รองอํามาตย์ตรีอยู่ อุดมศิลป์ รับราชการอยู่ในกรมราชบัณฑิต กระทรวงธรรมการ ให้เป็นอนุศาสนาจารย์ตามกอง ทหารออกไปยังประเทศยุโรป โดยทรงมีพระราชปรารภว่า “ทหารท่ีจากบ้านเมืองไปคราวนี้ ต้องไปอยู่ในถิ่นไกล ไม่ได้พบเห็น พระเหมือนเม่ืออยู่ในบ้านเมืองของตน จิตใจจะห่างเหินจากทางธรรม ถึงยามคะนองก็จะฮึกเหิมเกินไป เป็นเหตุให้เสื่อมเสีย ไม่มีใครจะคอยให้โอวาทตักเตือน ถึงคราวทุกข์ร้อน ก็จะอาดูรระส่ําระสาย ไม่มีใครจะช่วยปลดเปล้ืองบรรเทาให้ ดูเป็นการ วา้ เหว่น่าอนาถ ถ้ามอี นุศาสนาจารยอ์ อกไปจะได้คอยอนุศาสนพ์ ร่าํ สอนและปลอบโยนปลดเปล้ืองในยามทุกข์” ทรงกาํ หนดหน้าทใี่ หอ้ นุศาสนาจารย์ปฏบิ ตั ใิ นกองทหารดงั นี้ ๑. ใหท้ าํ การอยู่ในกองทูตทหาร ๒. ส่งตัวไปเยี่ยมเยียนทหารในที่ต่างๆ ซึ่งทหารแยกย้ายกันอยู่นั้นเนืองๆ เพ่ือสั่งสอนตักเตือนในทาง พระพุทธศาสนาและทางจรรยาความประพฤติ ๓. ให้ถามสุขทุกข์กันอย่างใจจริง ท้ังให้คอยรับธุระต่างๆ ของทหาร เช่น จะส่งมาถึงญาติของตนในกรุงสยาม หรือสง่ เงนิ สง่ ของมาให้ ใหร้ ับธรุ ะทุกอย่าง ๔. ทหารคนใดเจ็บไข้ ให้อนศุ าสนาจารย์ไปเย่ียมปลอบโยนเอาใจ ๕. ถ้ามีเหตุอันไม่พึงประสงค์ท่ีทหารคนใดถึงแก่ความตาย ให้อนุศาสนาจารย์ทําพิธีเทศนาอ้างพระธรรมตาม แบบสงั ฆปฏบิ ัตใิ นขณะฝงั ศพ การปฏิบัติภารกิจของอนุศาสนาจารย์ในการพระราชสงครามคร้ังน้ัน มีประโยชน์ดีอย่างย่ิงในทางบํารุงน้ําใจ ทหาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระบรมราชโองการดํารัสเหนือเกล้าฯ ให้ต้ังกองอนุศาสนาจารย์ข้ึน ในทหารบก สังกัดอยู่ในแผนกที่ ๓ กรมตําราทหารบก ตั้งแต่ วันท่ี ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๒ มีหน้าท่ีดังปรากฏ ในขอ้ บงั คับสําหรับทหารบก ว่าดว้ ย กองอนุศาสนาจารย์น้ัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ รองอํามาตย์ตรี อยู่ อุดมศิลป์ เป็นหัวหน้าอนุศาสนาจารย์และพระราชทาน เลื่อนยศเป็น รองอาํ มาตย์เอก พ.ศ.๒๔๖๙ ทางราชการได้ยุบกรมตําราทหารบก โอนแผนกท่ี ๓ กองอนุศาสนาจารย์ไปสังกัดกรมยุทธศึกษา ทหารบก เรยี กว่า แผนกอนุศาสนาจารย์ พ.ศ.๒๔๘๘ ทางราชการยุบกรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นโรงเรียนนายร้อยทหารบก แผนกอนุศาสนาจารย์ก็ เป็นอันถูกยุบไปด้วย และมีอนุศาสนาจารย์กองทัพบกเหลืออยู่เพียง ๗ นายประจําอยู่โรงเรียนนายร้อยทหารบก ๒ นาย เรียกว่า อนุศาสนาจารยโ์ รงเรยี นนายรอ้ ยทหารบก ส่วนอกี ๕ นาย ไปประจําอยูท่ ่มี ณฑลทหารบกที่ ๑ - ๕ พ.ศ.๒๔๙๑ ทางราชการโอนกิจการอนุศาสนาจารย์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ไปขึ้นการบังคับบัญชา ในแผนกท่ี ๓ กรมสวัสดกิ ารทหารบก พ.ศ.๒๔๙๓ เกดิ สงครามระหว่างประเทศเกาหลเี หนอื และประเทศเกาหลีใต้ สหประชาชาติได้มีมติให้ส่งทหารไป ช่วยประเทศเกาหลีใต้ทําการร่วมรบเพ่ือต่อสู้กับประเทศเกาหลีเหนือผู้รุกราน ประเทศไทยจึงได้จัดส่งกําลังทหารไปทําการ
๒๐ ร่วมรบกับสหประชาชาติ เมื่อวันท่ี ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๓ และได้จัดส่งอนุศาสนาจารย์ผลัดเปล่ียนกันไปปฏิบัติหน้าท่ี ณ ประเทศเกาหลี พ.ศ.๒๔๙๖ กองทัพบกได้ออกระเบียบกําหนดหน้าที่ส่วนราชการในกองทัพบกใหม่ ให้กองอนุศาสนาจารย์ ได้รับการปรบั ปรงุ ข้นึ เปน็ กอง เรียกว่า กองอนุศาสนาจารยแ์ ละฌาปนกิจ กรมสวสั ดิการทหารบก พ.ศ.๒๔๙๙ กระทรวงกลาโหม ให้ยกเลิกอัตรากองอนุศาสนาจารย์และฌาปนกิจ กรมสวัสดิการทหารบก และใหต้ งั้ กองอนุศาสนาจารย์ข้ึนในกรมยทุ ธศกึ ษาทหารบก นับต้งั แต่นั้นเป็นต้นมา กิจการอนุศาสนาจารย์ก็ได้รับการพัฒนาให้ เจรญิ รุ่งเรืองมาตามลําดับ เพ่อื ตอบสนองภารกจิ ของกองทพั บก พ.ศ.๒๕๒๘ กองทัพบก ให้โอนกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ไปข้ึนการบังคับบัญชากับ กรมกิจการพลเรือนทหารบก เป็น กองอนุศาสนาจารย์ กรมกิจการพลเรือนทหารบก เพื่อสนองงานด้านกิจการพลเรือนของ กองทพั บกอกี สว่ นหนงึ่ พ.ศ.๒๕๔๔ กองทัพบก ให้โอนกองอนุศาสนาจารย์ กรมกิจการพลเรือนทหารบก กลับไปข้ึนการบังคับบัญชา กบั กรมยุทธศกึ ษาทหารบก ตามเดิมจนถึงปัจจบุ นั ๒. ขอ้ บังคบั สาํ หรบั ทหารบก วา่ ด้วยกองอนศุ าสนาจารย์ ภารกิจของอนุศาสนาจารยเ์ มื่อได้ตง้ั กองอนศุ าสนาจารยข์ ้นึ ในกองทัพบก เป็นไปตามข้อบังคับสําหรับทหารบก วา่ ดว้ ยกองอนศุ าสนาจารย์ (ข้อบงั คบั เดิม) ประกาศเม่อื วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๒ โดยกระทรวงกลาโหม ดังนี้ ข้อ ๑ ให้มีกองอนุศาสนาจารย์อยู่ในกรมตําราทหารบก มีหัวหน้าอนุศาสนาจารย์เป็นประธาน เป็นตําแหน่ง เทียบช้ันหัวหน้าแผนกในกรมตําราทหารบก ข้ึนตรงต่อเจ้ากรมตําราทหารบก และให้มีอนุศาสนาจารย์ประจําอีกตามที่จะหา บคุ คลทเี่ หมาะสมไดต้ ่อไป ในเวลาน้ยี ังไม่กาํ หนดแนว่ ่าใหม้ กี ่ีคน ข้อ ๒ อนุศาสนาจารย์ทั้งปวงแต่งตัวอย่างนายทหารบกช้ันสัญญาบัตรชนิดทหารราบ แต่ใช้อินทรธนูอย่าง ขา้ ราชการกลาโหมพลเรอื น และไมใ่ ชก้ ระบ่กี ับทง้ั ใหม้ ีปลอกแขนกวา้ ง ๗ เซนติเมตรทาํ ด้วยสักหลาดสีเหลืองพันรอบแขนเสื้อ เบื้องซ้าย ในตอนระหว่างไหลก่ ับข้อศอก ขอ้ ๓ อนศุ าสนาจารย์มีหน้าทีป่ ฏบิ ตั ิการดังจะกล่าวตอ่ ไปน้ี ๑. ชว่ ยราชการในกรมตาํ ราทหารบก ตามแต่เจ้ากรมตาํ ราทหารบกจะกาํ หนดให้ ๒. ต้องไปเย่ียมเยียนทหารในกรมกองต่างๆ ทั่วพระราชอาณาเขตเป็นคร้ังคราว ตามท่ีจักได้วางแผนโดย ละเอียดต่อไปว่าผู้ใดไปแห่งใดเมื่อใด เม่ือไปถึงที่ตั้งกรมใดแล้ว ต้องทําความตกลง กับผู้บังคับบัญชาทหารในท่ีนั้น ให้ได้ทํา การบรรยายในท่ีประชุมทหาร หรือถ้ามีทหารคนใดต้องการพบพูดจากับอนุศาสนาจารย์เฉพาะตัวก็ต้องพบพูดจาสนทนา ด้วยจงทุกคนทีไ่ ดแ้ สดงความประสงคเ์ ช่นนนั้ เม่ือยงั ไมเ่ สร็จกิจจะรบี กลับมาเสียก่อนไมไ่ ดเ้ ปน็ อนั ขาด ๓. ในการท่ีไปเย่ียมทหารตามความท่ีว่ามาแล้วในตอนหมายเลข ๒ น้ัน อนุศาสนาจารย์ต้องกระทําตนให้ ทหารนับถือและไว้วางใจ แล้วก็ชักจูงส่งเสริมให้ทหารต้ังมั่นอยู่ในความประพฤติอันดี มีจรรยาและมรรยาทอันงาม กับให้ผู้ ซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนาตามบรรพบุรุษของตนนั้น มีความศรัทธาเช่ือม่ันย่ิงขึ้นในธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่มีหน้าท่ีชักจูงให้ผู้ซ่ึงนับถือลัทธิความเช่ือถืออย่างอ่ืนกลับมานับถือพระพุทธศาสนาหามิได้ เพราะราชการมิได้ประสงค์ จะบังคับนํ้าใจผู้ใดในทางลทั ธคิ วามเช่อื ท้ังถา้ ทหารผ้ใู ดมคี วามทุกข์ร้อนอยา่ งใด และประสงคจ์ ะปรบั ทุกขก์ ับอนุศาสนาจารย์ ให้อนศุ าสนาจารยฟ์ งั คาํ ปรบั ทกุ ข์ พยายามปลดเปล้อื งความทกุ ข์ด้วยโอวาทของตน หรอื เม่ือเห็นว่าพ้นความสามารถที่ตนจะ ปลดเปลอ้ื งได้ แต่ผู้บงั คบั บญั ชาของทหารน่าจะปลดเปลอ้ื งได้ ก็ใหบ้ อกเล่าชแี้ จงแกผ่ ู้บงั คบั บญั ชานน้ั ๆ
๒๑ ๔. เมื่อกลับจากไปเย่ียมทหารคร้ัง ๑ ต้องทํารายงานเสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับช้ันจนถึงเสนาธิการ ทหารบก ว่าไดท้ ําการอยา่ งไรบ้าง ๕. ตอ้ งรกั ษาความรู้ในกิจการซงึ่ ตนได้รับบอกเลา่ ตามหน้าทน่ี ้นั ไวเ้ ปน็ ความลบั เสมอ นามบุคคลซึง่ ได้ปรับ ทกุ ขก์ ับตนไมว่ า่ ในเรื่องใดๆ จะบอกเล่ากับผใู้ ดไม่ได้ ข้อ ๔ หัวหน้าอนุศาสนาจารย์ มีหน้าที่เช่นเดียวกับท่ีกล่าวมาแล้วในข้อ ๒ กับท้ังต้องเป็นผู้ฝึกสอนอบรม อนุศาสนาจารย์ทั้งปวงให้ปฏิบัติในหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเรียบร้อย และเป็นผู้ทําความเห็นเสนอเจ้ากรมตําราทหารบก เพอ่ื วางแผนว่าอนศุ าสนาจารยค์ นใดตอ้ งไป ณ กรมทหารแหง่ ใดเม่อื ใด ข้อ ๕ ผู้บังคับบัญชาทหารท้ังปวง ต้องเข้าใจชัดว่า อนุศาสนาจารย์น้ันเป็นผู้ช่วยของตนในการอบรมทหารให้ อยู่ในความประพฤติและจรรยามารยาทอันดีงาม ช่วยปลดเปล้ืองความขัดข้องกังวลในใจของทหาร ช่วยสดับตรับฟังแล้ว ช้ีแจงความทุกข์ร้อนของทหารให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ต้องอย่าให้เข้าใจไปว่าอนุศาสนาจารย์น้ันเป็นจารบุรุษ สําหรับไปสืบ ความบกพร่องในกรมกองทหารใต้บังคับบัญชาของตน ตรงกันข้ามผู้บังคับบัญชาทหารต้องยึดถือโอกาสเม่ืออนุศาสนาจารย์ ไปที่กรม สําหรับขอร้องให้อนุศาสนาจารย์ช่วยตนในทางบํารุงนํ้าใจทหาร เพราะฉะน้ัน ผู้บังคับบัญชาทหารมีหน้าที่ ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ ๑. เมอ่ื อนุศาสนาจารยไ์ ปถงึ ทต่ี ั้งกองพลหรือกรมทหารกรมใด ให้ผู้บังคับบัญชากองพล หรือผู้บังคับการกรม กําหนดให้อนุศาสนาจารย์ได้แสดงคําสง่ั สอนแก่ทหารเป็นส่วนรวม ๑ ครัง้ หรือหลายครัง้ ตามแต่จะตกลงกนั ๒. ให้ประกาศแก่บรรดาทหารว่า ผู้ใดต้องการพบพูดจาสนทนากับอนุศาสนาจารย์เฉพาะตัว ก็ให้บอกแก่ ผู้บงั คบั บัญชาของตน แลว้ ผูบ้ ังคบั บญั ชาจดั การใหไ้ ด้สนทนาสมประสงค์ ๓. เม่ือผู้บังคับบัญชาเห็นว่าทหารคนใด ไม่ว่าระดับใดจะบกพร่องในทางจรรยาความประพฤติ สมควร จะได้รับความสงั่ สอนตกั เตือนเป็นพิเศษ กใ็ ห้นําตวั ทหารผู้นัน้ มาใหอ้ นุศาสนาจารย์สงั่ สอนเฉพาะตวั ขอ้ ๖ ให้ใช้ขอ้ บังคับน้ี แต่วันท่ี ๑ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๒ และให้เสนาธิการทหารบก เป็นผู้รักษาดูแล ให้การดําเนนิ การไปตามท่ีบญั ญตั ิไวน้ ี้ ข้อบังคับนี้แม้จะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ก็เป็นแนวทางในการดําเนินการด้านกิจการอนุศาสนาจารย์ในปัจจุบัน โดย ยดึ มั่นและดาํ รงวัตถปุ ระสงค์และเปา้ หมายเดิมท่ีแทจ้ รงิ ของการพระราชทานกิจการอนศุ าสนาจารยไ์ วใ้ นกองทพั บก ๓. ความม่งุ หมายและความสาํ คัญในการพัฒนาหลักนิยม ก. หลักนิยมน้ีได้รวบรวมไว้ซ่ึงภารกิจ, สถานภาพ, หน้าท่ี และคุณลักษณะเฉพาะงาน ของอนุศาสนาจารย์ ตลอดถึงงานต่าง ๆ ทอี่ นศุ าสนาจารย์จะต้องเข้าไปสัมพนั ธ์ด้วย ข. เรื่องต่างๆ ท่ีบรรจุไว้ในหลักนิยมนี้ จะเป็นแนวปฏิบัติท่ีอนุศาสนาจารย์สามารถนําไปใช้ได้ ท้ังในยามปกติ และ ยามสงคราม ค. หลักนิยมน้ี นอกจากจะเป็นแนวปฏิบัติสําหรับอนุศาสนาจารย์แล้ว จะต้องเผยแพร่ให้ ผู้บังคับหน่วยและ ฝ่ายอํานวยการอ่ืนทราบด้วย เพื่อให้เกิดการประสานและมอบหมายภารกิจให้อนุศาสนาจารย์ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมตอ่ ไป
๒๒ บทที่ ๒ ภารกจิ ขดี ความสามารถและขดี จํากดั ๑. ภารกิจ ภารกิจของอนศุ าสนาจารย์ คอื นาํ กาํ ลงั พลเข้าหาธรรมะ นําธรรมะพัฒนากําลังพล ดํารงสถานภาพเป็นตัวแทน ของศาสนาในการสอนอบรมด้านศีลธรรม, จริยธรรม และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เป็นผู้นําทางด้านจิตวิญญาณของ กําลังพลทุกระดับ เป็นเจ้าหน้าท่ีพิธีการทางศาสนาที่อยู่ในเคร่ืองแบบ จึงมีหน้าท่ีให้การส่งเสริมกิจการทางด้านศาสนา ขวัญและกําลังใจ และกระตุ้นจิตสํานึกให้กําลังพลมีความรับผิดชอบ, มีความซื่อสัตย์ และมีความพร้อมท่ีจะเสียสละในการ ปฏิบัติตามภารกิจท่ีได้รับมอบหมาย อย่างสุดความสามารถ เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงขวัญ สร้างสรรค์อุดมธรรมของ พระพทุ ธศาสนาแกก่ ําลังพล ๒. บทบาทและความรับผิดชอบ อนุศาสนาจารย์ ต้องสามารถปฏิบัติภารกิจในการเผยแผ่ธรรมะ การบําบัดทุกข์ บํารุงขวัญ และสร้างสรรค์อุดม ธรรมของพระพทุ ธศาสนาแก่กําลังพลได้ทง้ั ในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ ทัง้ ในท่ตี ั้งปกตแิ ละในสนาม ภารกิจของอนุศาสนาจารยใ์ นกองทพั บก ก. ให้คําปรึกษา ข้อเสนอแนะ แก่ผู้บังคับหน่วย และฝ่ายอํานวยการอื่น ในเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับศาสนา, วัฒนธรรมประเพณี ข. ส่งเสรมิ กําลงั พลใหม้ กี ารปฏิบัติศาสนกจิ ทัง้ โดยสว่ นตวั และเปน็ หน่วย ค. เสนอแนะ และกาํ กบั การปฏบิ ตั พิ ิธกี รรมต่าง ๆ ร่วมกบั ฝ่ายอาํ นวยการอน่ื ง. ดําเนินการให้มีการสอนอบรมในเร่ืองของศาสนา วัฒนธรรมประเพณี และนํากําลังพลปฏิบัติธรรมในโอกาส ตา่ ง ๆ จ. หมั่นพบปะเย่ียมเยียนกําลังพลผู้ป่วยเจ็บ, ผู้ถูกคุมขัง และผู้มีปัญหา เพ่ือปลุกปลอบขวัญ และให้กําลังใจ ท้ังในยามปกตแิ ละยามสงคราม ฉ. ประสานให้ความรว่ มมือกับวดั องค์กรทางศาสนา, สถานศกึ ษา และองคก์ รของชุมชนต่างๆ ช. วางแผนให้มีการใช้ศาสนสถานของหน่วยท่มี ีอยู่ใหเ้ กิดประโยชน์ในดา้ นการปลกู ฝงั คุณธรรมแกก่ ําลงั พล ให้ มากทีส่ ดุ ซ. วางแผนให้ศาสนสถานเป็นจุดนัดพบของกําลังพลทุกระดับ พร้อมท้ังครอบครัว โดยอาศัย กิจกรรมทางด้าน ศาสนาและวฒั นธรรมประเพณี ญ. สามารถปฏิบัติการ และอํานวยการเก่ียวกับด้านศาสนา,ขวัญและกําลังใจ ของกําลังพลในกองทัพบก รวมท้ังการอบรมด้านคุณธรรมจริยธรรม วัฒนธรรมประเพณี และงานธุรการต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ตามท่ีกําหนดไว้ใน หมายเลขชํานาญการทางทหาร, การจัดและการกําหนดหน้าที่ของบุคคลและส่วนราชการของกองทัพบก และระเบียบปฏิบัติ ตา่ งๆ ที่กองอนศุ าสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก กําหนดขน้ึ ๓. ขดี จํากดั การปฏบิ ตั หิ น้าทข่ี องอนุศาสนาจารย์ ขน้ึ อยู่กับการสนบั สนุนของหน่วย
๒๓ บทที่ ๓ การจดั และพันธกจิ ๑. กล่าวท่ัวไป กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ในอัตราการจัดของกรมยุทธศึกษาทหารบก น้ัน เป็นการจัด หนว่ ยกาํ ลังพลสายวทิ ยาการอนศุ าสนาจารย์ อนศุ าสนาจารย์ ในอตั ราการจดั ของหนว่ ยขึน้ ตรงกองทัพบก และหน่วยรอง เป็นการจัดกําลังพลสายวิทยาการ อนุศาสนาจารย์ประจาํ หน่วย ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝา่ ยกิจการพเิ ศษประจาํ ผู้บงั คบั บญั ชา ๒. การจัด กองอนุศาสนาจารย์ กรมยทุ ธศกึ ษาทหารบก กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ประกอบด้วยส่วนบังคับบัญชา, แผนก และ ฝ่าย ผังการจดั กองอนุศาสนาจารย์ กรมยทุ ธศึกษาทหารบก สํานกั งานประกนั คณุ ภาพการศึกษา แผนกกําลงั พล แผนกวิชาการและการศึกษา แผนกอบรม แผนกศาสนพธิ ี ฝา่ ยธรุ การ อนศุ าสนาจารย์ กองทัพบก
๒๔ อัตรากําลังกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ลาํ ดับ ตาํ แหนง่ อัตรา นายทหาร นายทหาร หมาย สัญญาบัตร ประทวน เหตุ กอศจ.ยศ.ทบ. ๑ ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ. พ.อ.(พ.) ๑ ๒ รอง ผอ.กอศจ.ยศ.ทบ. พ.อ. ๑ ๓ ประจํากอง กอศจ.ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ๔ ชา่ งเขยี น จ.ส.อ. ๕ ช่างโสตทศั น์ จ.ส.อ. ๑ ๖ เสมียน จ.ส.อ.(พ.) ๑ ๗ เสมียน ส.อ. ๑ ๑ ปดิ บรรจุ แผนกกาํ ลงั พล ๘ หน.กาํ ลังพล กอศจ.ยศ.ทบ. พ.ท. ๑ ปดิ บรรจุ ๙ ประจาํ แผนก ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ปิดบรรจุ ๑๐ ประจําแผนก ยศ.ทบ. ร.อ. ๑ ๑ ๑๑ เสมียน จ.ส.อ. ๑ ปิดบรรจุ ๑๒ เสมยี น ส.อ. แผนกวชิ าการและการศกึ ษา พ.ท. ๑ ๑ ๑๓ หน.วิชาการและการศึกษา พ.ต. ๑ ๑ ปิดบรรจุ ๑๔ อศจ.ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ๑๕ อศจ.ยศ.ทบ. ร.อ. ๑ ๑๖ อศจ.ยศ.ทบ. ร.อ. ๑ ๑๗ อศจ.ยศ.ทบ. จ.ส.อ. ๑๘ เสมียน ส.อ. ๑๙ เสมยี น
๒๕ ลําดับ ตาํ แหนง่ อตั รา นายทหาร นายทหาร หมายเหตุ สญั ญาบตั ร ประทวน แผนกอบรม ๒๐ หน.อบรม กอศจ.ยศ.ทบ. พ.อ. ๑ ๒๑ อศจ.ยศ.ทบ. พ.ท. ๑ ๒๒ อศจ.ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ๒๓ อศจ.ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ๒๔ อศจ.ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ปดิ บรรจุ ๒๕ อศจ.ยศ.ทบ. ร.อ. ๓ ปดิ บรรจุ ๒ อตั รา ๒๖ เสมียน จ.ส.อ. ๑ ๒๗ เสมียน ส.อ. ๑ ๒๘ เสมยี น ส.อ. ๑ ปดิ บรรจุ แผนกศาสนพธิ ี ๒๙ หน.ศาสนพิธี กอศจ.ยศ.ทบ. พ.ท. ๑ ๓๐ อศจ.ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ปดิ บรรจุ ๓๑ อศจ.ยศ.ทบ. พ.ต. ๑ ปดิ บรรจุ ๓๒ เสมียน จ.ส.อ. ๑ ๓๓ เสมียน ส.อ. ๑ รวม ๒๒ ๑๓ ๓๕
๒๖ ๓. การจัด อนศุ าสนาจารย์ หนว่ ยขน้ึ ตรงกองทพั บกและหน่วยรอง ผังการจดั อนุศาสนาจารย์ หน่วยข้นึ ตรงกองทัพบกและหน่วยรอง อนศุ าสนาจารย์ อนุศาสนาจารย์ อนุศาสนาจารย์ หนว่ ยระดบั กองทพั ภาค หน่วยระดบั กองพล หน่วยระดับมณฑลทหารบก หรอื เทยี บเทา่ หรือเทียบเท่า หรอื เทียบเทา่ อนศุ าสนาจารย์ หน่วยระดับกรมหรอื เทียบเทา่
๒๗ อตั รากําลงั อนศุ าสนาจารยห์ น่วยขน้ึ ตรงกองทัพบกและหนว่ ยรอง ลาํ ดบั ตําแหน่ง อตั รา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ ทภ.๑ พ.อ. ๑ ปิดบรรจุ ๑ อศจ.ทภ.๑ พ.ท. ๑ ๑ ๒ ผช.อศจ.ทภ.๑ จ.ส.อ. ๓ เสมยี น ปดิ บรรจุ พ.อ. ๑ ๑ ทภ.๒ พ.ท. ๑ ๔ อศจ.ทภ.๒ จ.ส.อ. ปิดบรรจุ ๕ ผช.อศจ.ทภ.๒ ๑ ๖ เสมียน พ.อ. ๑ พ.ท. ๑ ปดิ บรรจุ ทภ.๓ จ.ส.อ. ๑ ๗ อศจ.ทภ.๓ ๘ ผช.อศจ.ทภ.๓ พ.อ. ๑ ๑ ๙ เสมียน พ.ท. ๑ จ.ส.อ. ๑ ทภ.๔ ๑๐ อศจ.ทภ.๔ พ.อ. ๑ ๑ ๑๑ ผช.อศจ.ทภ.๔ จ.ส.อ. ๑๒ เสมยี น ๑ พ.อ. ๑ นสศ. พ.ท. ๑ ๑๓ อศจ.นสศ. พ.ท. ๑ ๑๔ เสมียน พ.ท. ๑ รร.จปร. ส.อ. ๑๕ อศจ.รร.จปร. ๑๖ อศจ.รร.จปร. พ.ท. ๑ ๑๗ อศจ.รร.จปร. ส.อ. พล.๑ รอ. พ.ท. ๑ ๑๘ อศจ.พล.๑ รอ. ส.อ. ๑๙ เสมียน พล.ร.๒ รอ. ๒๐ อศจ.พล.ร.๒ รอ. ๒๑ เสมียน พล.ร.๙ ๒๒ อศจ.พล.ร.๙ ๒๓ เสมียน
๒๘ ลําดบั ตําแหน่ง อัตรา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ พล.ร.๓ พ.ท. ๑ ๑ ๒๔ อศจ.พล.ร.๓ ส.อ. ๒๕ เสมยี น พ.ท. ๑ ๑ พล.ร.๖ ส.อ. ๒๖ อศจ.พล.ร.๖ ๒๗ เสมียน พ.ท. ๑ ๑ ส.อ. พล.ร.๔ ๒๘ อศจ.พล.ร.๔ พ.ท. ๑ ๑ ๒๙ เสมยี น ส.อ. พล.ร.๗ พ.ท. ๑ ๑ ๓๐ อศจ.พล.ร.๗ ส.อ. ๓๑ เสมียน พ.ท. ๑ พล.ร.๕ พ.ต. ๑ ๓๒ อศจ.พล.ร.๕ ๓๓ เสมียน ร.อ. ๑ พล.ร.๑๕ จ.ส.อ. ๑ ๓๔ อศจ.พล.ร.๑๕ ส.อ. ๑ ๓๕ นายทหารการศาสนาฯ พ.ท. ๑ ๑ ๓๖ ผช.นายทหารการศาสนาฯ ส.อ. ๓๗ เสมียนนายทหารการศาสนาฯ พ.ท. ๑ ๑ ส.อ. ๓๘ เสมียนพิมพ์ดีด พล.ร.๑๑ พ.ท. ๑ ๑ ส.อ. ๓๙ อศจ.พล.ร.๑๑ ๔๐ เสมยี น พล.ม.๑ ๔๑ อศจ.พล.ม.๑ ๔๒ เสมียน พล.ม.๒ รอ. ๔๓ อศจ.พล.ม.๒ รอ. ๔๔ เสมยี น
๒๙ ลําดับ ตาํ แหน่ง อัตรา สัญญาบัตร ประทวน หมายเหตุ พล.ม.๓ พ.ท. ๑ ๑ ๔๕ อศจ.พล.ม.๓ ส.อ. ๔๖ เสมียน พ.ท. ๑ ๑ พล.พฒั นา ๑ จ.ส.อ. ๑ ๔๗ อศจ.พล.พฒั นา ๑ ส.อ. ๔๘ เสมยี น ๔๙ เสมียนพมิ พ์ดีด พ.ท. ๑ ๑ จ.ส.อ. ๑ พล.พฒั นา ๒ ส.อ. ๕๐ อศจ.พล.พฒั นา ๒ ๕๑ เสมยี น พ.ท. ๑ ๑ ๕๒ เสมยี นพิมพ์ดีด จ.ส.อ. ๑ ส.อ. พล.พฒั นา ๓ ๕๓ อศจ.พล.พฒั นา ๓ พ.ท. ๑ ๑ ๕๔ เสมยี น จ.ส.อ. ๑ ๕๕ เสมยี นพมิ พด์ ีด ส.อ. พล.พฒั นา ๔ พ.ท. ๑ ๑ ๕๖ อศจ.พล.พฒั นา ๔ ส.อ. ๕๗ เสมียน ๕๘ เสมียนพมิ พด์ ีด พ.ท. ๑ ๑ ส.อ. พล.ช. ๕๙ อศจ.พล.ช. พ.ท. ๑ ๑ ๖๐ เสมยี น ส.อ. พล.รพศ.๑ พ.ท. ๑ ๑ ๖๑ อศจ.พล.รพศ.๑ จ.ส.อ. ๖๒ เสมยี น พ.ท. ๑ พล.ปตอ. พ.ท. ๑ ๖๓ อศจ.พล.ปตอ. ๖๔ เสมียน พล.ป. ๖๕ อศจ.พล.ป. ๖๖ เสมยี น นรด. ๖๗ อศจ.นรด. ๖๘ อศจ.ศสร.
๓๐ ลําดบั ตาํ แหนง่ อตั รา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ บชร.๑ พ.ต. ๑ ๑ ๖๙ อศจ.บชร.๑ จ.ส.อ. ๗๐ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ บชร.๒ จ.ส.อ. ๗๑ อศจ.บชร.๒ ๗๒ เสมียน พ.ต. ๑ ๑ จ.ส.อ. บชร.๓ ๗๓ อศจ.บชร.๓ พ.ต. ๑ ๑ ๗๔ เสมียน จ.ส.อ. บชร.๔ พ.ต. ๑ ๑ ๗๕ อศจ.บชร.๔ ร.อ. ๑ ๗๖ เสมยี น จ.ส.อ. มทบ.๑๑ พ.ต. ๑ ๑ ๗๗ อศจ.มทบ.๑๑ ร.อ. ๑ ๗๘ ผช.อศจ.มทบ.๑๑ จ.ส.อ. ๗๙ เสมียน พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๑๒ ร.อ. ๑ ๘๐ อศจ.มทบ.๑๒ จ.ส.อ. ๘๑ ผช.อศจ.มทบ.๑๒ ๘๒ เสมียน พ.ต. ๑ ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๑๓ จ.ส.อ. ๘๓ อศจ.มทบ.๑๓ ๘๔ ผช.อศจ.มทบ.๑๓ พ.ต. ๑ ๑ ๘๕ เสมยี น ร.อ. ๑ จ.ส.อ. มทบ.๑๔ ๘๖ อศจ.มทบ.๑๔ ๘๗ ผช.อศจ.มทบ.๑๔ ๘๘ เสมยี น มทบ.๑๕ ๘๙ อศจ.มทบ.๑๕ ๙๐ ผช.อศจ.มทบ.๑๕ ๙๑ เสมียน
๓๑ ลําดบั ตาํ แหน่ง อตั รา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ มทบ.๑๖ พ.ต. ๑ ๑ ๙๒ อศจ.มทบ.๑๖ ร.อ. ๑ ๙๓ ผช.อศจ.มทบ.๑๖ จ.ส.อ. ๙๔ เสมียน พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๑๗ ร.อ. ๑ ๙๕ อศจ.มทบ.๑๗ จ.ส.อ. ๙๖ ผช.อศจ.มทบ.๑๗ ๙๗ เสมียน พ.ต. ๑ ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๑๘ จ.ส.อ. ๙๘ อศจ.มทบ.๑๘ ๙๙ ผช.อศจ.มทบ.๑๘ พ.ต. ๑ ๑ ๑๐๐ เสมียน ร.อ. ๑ จ.ส.อ. มทบ.๑๙ ๑๐๑ อศจ.มทบ.๑๙ พ.ต. ๑ ๑ ๑๐๒ ผช.อศจ.มทบ.๑๙ ร.อ. ๑ ๑๐๓ เสมยี น จ.ส.อ. มทบ.๒๑ พ.ต. ๑ ๑ ๑๐๔ อศจ.มทบ.๒๑ ร.อ. ๑ ๑๐๕ ผช.อศจ.มทบ.๒๑ จ.ส.อ. ๑๐๖ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๒๒ ร.อ. ๑ ๑๐๗ อศจ.มทบ.๒๒ จ.ส.อ. ๑๐๘ ผช.อศจ.มทบ.๒๒ ๑๐๙ เสมียน พ.ต. ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๒๓ ๑๑๐ อศจ.มทบ.๒๓ พ.ต. ๑ ๑ ๑๑๑ ผช.อศจ.มทบ.๒๓ ร.อ. ๑ ๑๑๒ เสมยี น จ.ส.อ. มทบ.๒๔ ๑๑๓ อศจ.มทบ.๒๔ ๑๑๔ ผช.อศจ.มทบ.๒๔ มทบ.๒๕ ๑๑๕ อศจ.มทบ.๒๕ ๑๑๖ ผช.อศจ.มทบ.๒๕ ๑๑๗ เสมียน
๓๒ ลําดบั ตาํ แหน่ง อตั รา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ มทบ.๒๖ พ.ต. ๑ ๑ ๑๑๘ อศจ.มทบ.๒๖ ร.อ. ๑ ๑๑๙ ผช.อศจ.มทบ.๒๖ จ.ส.อ. ๑๒๐ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๒๗ ร.อ. ๑ ๑๒๑ อศจ.มทบ.๒๗ จ.ส.อ. ๑๒๒ ผช.อศจ.มทบ.๒๗ ๑๒๓ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๒๘ จ.ส.อ. ๑๒๔ อศจ.มทบ.๒๘ ๑๒๕ ผช.อศจ.มทบ.๒๘ พ.ต. ๑ ๑ ๑๒๖ เสมียน ร.อ. ๑ จ.ส.อ. มทบ.๒๙ ๑๒๗ อศจ.มทบ.๒๙ พ.ต. ๑ ๑ ๑๒๘ ผช.อศจ.มทบ.๒๙ ร.อ. ๑ ๑๒๙ เสมียน จ.ส.อ. มทบ.๒๑๐ พ.ต. ๑ ๑ ๑๓๐ อศจ.มทบ.๒๑๐ ร.อ. ๑ ๑๓๑ ผช.อศจ.มทบ.๒๑๐ จ.ส.อ. ๑๓๒ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๓๑ ร.อ. ๑ ๑๓๓ อศจ.มทบ.๓๑ จ.ส.อ. ๑๓๔ ผช.อศจ.มทบ.๓๑ ๑๓๕ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๓๒ จ.ส.อ. ๑๓๖ อศจ.มทบ.๓๒ ๑๓๗ ผช.อศจ.มทบ.๓๒ ๑๓๘ เสมียน มทบ.๓๓ ๑๓๙ อศจ.มทบ.๓๓ ๑๔๐ ผช.อศจ.มทบ.๓๓ ๑๔๑ เสมียน
๓๓ ลําดบั ตําแหนง่ อัตรา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ มทบ.๓๔ พ.ต. ๑ ๑ ๑๔๒ อศจ.มทบ.๓๔ ร.อ. ๑ ๑๔๓ ผช.อศจ.มทบ.๓๔ จ.ส.อ. ๑๔๔ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๓๕ ร.อ. ๑ ๑๔๕ อศจ.มทบ.๓๕ จ.ส.อ. ๑๔๖ ผช.อศจ.มทบ.๓๕ ๑๔๗ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๓๖ จ.ส.อ. ๑๔๘ อศจ.มทบ.๓๖ ๑๔๙ ผช.อศจ.มทบ.๓๖ พ.ต. ๑ ๑ ๑๕๐ เสมียน ร.อ. ๑ จ.ส.อ. มทบ.๓๗ ๑๕๑ อศจ.มทบ.๓๗ พ.ต. ๑ ๑ ๑๕๒ ผช.อศจ.มทบ.๓๗ ร.อ. ๑ ๑๕๓ เสมียน จ.ส.อ. มทบ.๓๘ พ.ต. ๑ ๑ ๑๕๔ อศจ.มทบ.๓๘ ร.อ. ๑ ๑๕๕ ผช.อศจ.มทบ.๓๘ จ.ส.อ. ๑๕๖ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๓๙ ร.อ. ๑ ๑๕๗ อศจ.มทบ.๓๙ จ.ส.อ. ๑๕๘ ผช.อศจ.มทบ.๓๙ ๑๕๙ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๓๑๐ จ.ส.อ. ๑๖๐ อศจ.มทบ.๓๑๐ ๑๖๑ ผช.อศจ.มทบ.๓๑๐ ๑๖๒ เสมียน มทบ.๔๑ ๑๖๓ อศจ.มทบ.๔๑ ๑๖๔ ผช.อศจ.มทบ.๔๑ ๑๖๕ เสมียน
๓๔ ลาํ ดบั ตาํ แหนง่ อตั รา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ มทบ.๔๒ พ.ต. ๑ ๑ ๑๖๖ อศจ.มทบ.๔๒ ร.อ. ๑ ๑๖๗ ผช.อศจ.มทบ.๔๒ จ.ส.อ. ๑๖๘ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ มทบ.๔๓ ร.อ. ๑ ๑๖๙ อศจ.มทบ.๔๓ จ.ส.อ. ๑๗๐ ผช.อศจ.มทบ.๔๓ ๑๗๑ เสมยี น พ.ต. ๑ ๑ ร.อ. ๑ มทบ.๔๔ จ.ส.อ. ๑๗๒ อศจ.มทบ.๔๔ ๑๗๓ ผช.อศจ.มทบ.๔๔ พ.ต. ๑ ๑ ๑๗๔ เสมียน ร.อ. ๑ จ.ส.อ. มทบ.๔๕ ๑๗๕ อศจ.มทบ.๔๕ พ.ต. ๑ ๑ ๑๗๖ ผช.อศจ.มทบ.๔๕ ร.อ. ๑ ๑๗๗ เสมียน จ.ส.อ. มทบ.๔๖ พ.ต. ๑ ๑๗๘ อศจ.มทบ.๔๖ ร.อ. ๑ ๑๗๙ ผช.อศจ.มทบ.๔๖ ๑๘๐ เสมยี น พ.ต. ๑ กช. พ.ต. ๑ ๑๘๑ อศจ.กช. ๑๘๒ ผช.อศจ.กช. พ.ต. ๑ พธ.ทบ. พ.ต. ๑ ๑๘๓ อศจ.พธ.ทบ. พ.ต. ๑ กส.ทบ. ๑๘๔ อศจ.กส.ทบ. สส. ๑๘๕ อศจ.สส. ศสพ. ๑๘๖ อศจ.ศสพ. ศบบ. ๑๘๗ อศจ.ศบบ.
๓๕ ลาํ ดบั ตาํ แหนง่ อัตรา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ ศร. พ.ต. ๑ ๑๘๘ อศจ.ศร. ร.อ. ๑ ๑๘๙ ผช.อศจ.ศร. พ.ต. ๑ ปดิ บรรจุ ศม. ร.อ. ๑ ๑๙๐ อศจ.ศม. ๑๙๑ ผช.อศจ.ศม. พ.ต. ๑ ปิดบรรจุ ร.อ. ๑ ศป. ๑๙๒ อศจ.ศป. พ.ต. ๑ ปดิ บรรจุ ๑๙๓ ผช.อศจ.ศป. ร.อ. ๑ รร.กสร.ศสร. พ.ต. ๑ ปิดบรรจุ ๑๙๔ อศจ.รร.กสร.ศสร. ๑ ๑๙๕ ผช.อศจ.รร.กสร.ศสร. ร.อ. ๑ จ.ส.อ. รร.นส.ทบ. ๑๙๖ อศจ.รร.นส.ทบ. ร.อ. ๑ ปิดบรรจุ จ.ส.อ. ๑ ทม.ร.๑ รอ. ๑๙๗ อศจ.ร.๑ รอ. ร.อ. ๑ ๑ ๑๙๘ ผช.อศจ.ร.๑ รอ. จ.ส.อ. ทม.ร.๑๑ รอ. ร.อ. ๑ ๑ ๑๙๙ อศจ.ร.๑๑ รอ. จ.ส.อ. ๒๐๐ ผช.อศจ.ร.๑๑ รอ. ร.อ. ๑ ๑ ร.๓๑ รอ. จ.ส.อ. ๒๐๑ อศจ.ร.๓๑ รอ. ๒๐๒ ผช.อศจ.ร.๓๑ รอ. ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ร.๒ รอ. ๒๐๓ อศจ.ร.๒ รอ. ร.อ. ๑ ๑ ๒๐๔ ผช.อศจ.ร.๒ รอ. จ.ส.อ. ร.๑๒ ร.อ. ๒๐๕ อศจ.ร.๑๒ รอ. ๒๐๖ ผช.อศจ.ร.๑๒ รอ. ร.๒๑ รอ. ๒๐๗ อศจ.ร.๒๑ รอ. ๒๐๘ ผช.อศจ.ร.๒๑ รอ. ร.๙ ๒๐๙ อศจ.ร.๙ ๒๑๐ ผช.อศจ.ร.๙
๓๖ ลําดบั ตาํ แหน่ง อัตรา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ ร.๑๙ ร.อ. ๑ ๑ ๒๑๑ อศจ.ร.๑๙ จ.ส.อ. ๒๑๒ ผช.อศจ.ร.๑๙ ร.อ. ๑ ๑ ร.๒๙ จ.ส.อ. ๒๑๓ อศจ.ร.๒๙ ๒๑๔ ผช.อศจ.ร.๒๙ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ร.๓ ๒๑๕ อศจ.ร.๓ ร.อ. ๑ ๑ ๒๑๖ ผช.อศจ.ร.๓ จ.ส.อ. ร.๘ ร.อ. ๑ ๑ ๒๑๗ อศจ.ร.๘ จ.ส.อ. ๒๑๘ ผช.อศจ.ร.๘ ร.อ. ๑ ๑ ร.๑๓ จ.ส.อ. ๒๑๙ อศจ.ร.๑๓ ๒๒๐ ผช.อศจ.ร.๑๓ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ร.๖ ๒๒๑ อศจ.ร.๖ ร.อ. ๑ ๑ ๒๒๒ ผช.อศจ.ร.๖ จ.ส.อ. ร.๑๖ ร.อ. ๑ ๑ ๒๒๓ อศจ.ร.๑๖ จ.ส.อ. ๒๒๔ ผช.อศจ.ร.๑๖ ร.อ. ๑ ๑ ร.๒๓ จ.ส.อ. ๒๒๕ อศจ.ร.๒๓ ๒๒๖ ผช.อศจ.ร.๒๓ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ร.๔ ๒๒๗ อศจ.ร.๔ ๒๒๘ ผช.อศจ.ร.๔ ร.๗ ๒๒๙ อศจ.ร.๗ ๒๓๐ ผช.อศจ.ร.๗ ร.๑๗ ๒๓๑ อศจ.ร.๑๗ ๒๓๒ ผช.อศจ.ร.๑๗
๓๗ ลาํ ดบั ตําแหนง่ อัตรา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ ร.๑๔ ร.อ. ๑ ๑ ๒๓๓ อศจ.ร.๑๔ จ.ส.อ. ๒๓๔ ผช.อศจ.ร.๑๔ ร.อ. ๑ ๑ ร.๕ จ.ส.อ. ๒๓๕ อศจ.ร.๕ ๒๓๖ ผช.อศจ.ร.๕ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ร.๑๕ ๒๓๗ อศจ.ร.๑๕ ร.อ. ๑ ๑ ๒๓๘ ผช.อศจ.ร.๑๕ จ.ส.อ. ร.๒๕ ร.อ. ๑ ๑ ๒๓๙ อศจ.ร.๒๕ จ.ส.อ. ๒๔๐ ผช.อศจ.ร.๒๕ ร.อ. ๑ ๑ ร.๑๕๑ จ.ส.อ. ๒๔๑ อศจ.ร.๑๕๑ ๒๔๒ ผช.อศจ.ร.๑๕๑ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ร.๑๕๒ ๒๔๓ อศจ.ร.๑๕๒ ร.อ. ๑ ๑ ๒๔๔ ผช.อศจ.ร.๑๕๒ จ.ส.อ. ร.๑๕๓ ร.อ. ๑ ๑ ๒๔๕ อศจ.ร.๑๕๓ จ.ส.อ. ๒๔๖ ผช.อศจ.ร.๑๕๓ ร.อ. ๑ ๑ ม.๑ รอ. จ.ส.อ. ๒๔๗ อศจ.ม.๑ รอ. ๒๔๘ ผช.อศจ.ม.๑ รอ. ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ม.๒ ๒๔๙ อศจ.ม.๒ ๒๕๐ ผช.อศจ.ม.๒ ม.๓ ๒๕๑ อศจ.ม.๓ ๒๕๒ ผช.อศจ.ม.๓ ม.๔ รอ. ๒๕๓ อศจ.ม.๔ รอ. ๒๕๔ ผช.อศจ.ม.๔ รอ.
๓๘ ลาํ ดบั ตาํ แหนง่ อัตรา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ ม.๕ รอ. ร.อ. ๑ ๑ ๒๕๕ อศจ.ม.๕ รอ. จ.ส.อ. ๒๕๖ ผช.อศจ.ม.๕ รอ. ร.อ. ๑ ๑ ม.๖ จ.ส.อ. ๒๕๗ อศจ.ม.๖ ๒๕๘ ผช.อศจ.ม.๖ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. ปตอ.๑ ๒๕๙ อศจ.ปตอ.๑ ร.อ. ๑ ๒๖๐ ผช.อศจ.ปตอ.๑ ร.อ. ๑ ๑ ส.๑ จ.ส.อ. ๒๖๑ อศจ.ส.๑ ร.อ. ๑ ๑ กรม ทพ.๑๑ จ.ส.อ. ๒๖๒ อศจ.กรม ทพ.๑๑ ๒๖๓ ผช.อศจ.กรม ทพ.๑๑ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. กรม ทพ.๑๒ ๒๖๔ อศจ.กรม ทพ.๑๒ ร.อ. ๑ ๑ ๒๖๕ ผช.อศจ.กรม ทพ.๑๒ จ.ส.อ. กรม ทพ.๑๓ ร.อ. ๑ ๑ ๒๖๖ อศจ.กรม ทพ.๑๓ จ.ส.อ. ๒๖๗ ผช.อศจ.กรม ทพ.๑๓ ร.อ. ๑ ๑ กรม ทพ.๑๔ จ.ส.อ. ๒๖๘ อศจ.กรม ทพ.๑๔ ๒๖๙ ผช.อศจ.กรม ทพ.๑๔ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. กรม ทพ.๒๑ ๒๗๐ อศจ.กรม ทพ.๒๑ ๒๗๑ ผช.อศจ.กรม ทพ.๒๑ กรม ทพ.๒๒ ๒๗๒ อศจ.จทบ.ช.ร. ๒๗๓ ผช.อศจ.กรม ทพ.๒๒ กรม ทพ.๒๓ ๒๗๔ อศจ.กรม ทพ.๒๓ ๒๗๕ ผช.อศจ.กรม ทพ.๒๓
๓๙ ลําดบั ตําแหน่ง อัตรา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ กรม ทพ.๒๖ ร.อ. ๑ ๑ ๒๗๖ อศจ.กรม ทพ.๒๖ จ.ส.อ. ๒๗๗ ผช.อศจ.กรม ทพ.๒๖ ร.อ. ๑ ๑ กรม ทพ.๓๑ จ.ส.อ. ๒๗๘ อศจ.กรม ทพ.๓๑ ๒๗๙ ผช.อศจ.กรม ทพ.๓๑ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. กรม ทพ.๓๒ ๒๘๐ อศจ.กรม ทพ.๓๒ ร.อ. ๑ ๑ ๒๘๑ ผช.อศจ.กรม ทพ.๓๒ จ.ส.อ. กรม ทพ.๓๓ ร.อ. ๑ ๑ ๒๘๒ อศจ.กรม ทพ.๓๓ จ.ส.อ. ๒๘๓ ผช.อศจ.กรม ทพ.๓๓ ร.อ. ๑ ๑ กรม ทพ.๓๔ จ.ส.อ. ๒๘๔ อศจ.กรม ทพ.๓๔ ๒๘๕ ผช.อศจ.กรม ทพ.๓๔ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. กรม ทพ.๓๕ ๒๘๖ อศจ.กรม ทพ.๓๕ ร.อ. ๑ ๑ ๒๘๗ ผช.อศจ.กรม ทพ.๓๕ จ.ส.อ. กรม ทพ.๓๖ ร.อ. ๑ ๑ ๒๘๘ อศจ.กรม ทพ.๓๖ จ.ส.อ. ๒๘๙ ผช.อศจ.กรม ทพ.๓๖ ร.อ. ๑ ๑ กรม ทพ.๔๑ จ.ส.อ. ๒๙๐ อศจ.กรม ทพ.๔๑ ๒๙๑ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๑ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. กรม ทพ.๔๒ ๒๙๒ อศจ.กรม ทพ.๔๒ ๒๙๓ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๒ กรม ทพ.๔๓ ๒๙๔ อศจ.กรม ทพ.๔๓ ๒๙๕ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๓ กรม ทพ.๔๔ ๒๙๖ อศจ.กรม ทพ.๔๔ ๒๙๗ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๔
๔๐ ลําดบั ตําแหน่ง อตั รา สญั ญาบตั ร ประทวน หมายเหตุ กรม ทพ.๔๕ ร.อ. ๑ ๑ ๒๙๘ อศจ.กรม ทพ.๔๕ จ.ส.อ. ๒๙๙ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๕ ร.อ. ๑ ๑ กรม ทพ.๔๖ จ.ส.อ. ๓๐๐ อศจ.กรม ทพ.๔๖ ๓๐๑ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๖ ร.อ. ๑ ๑ จ.ส.อ. กรม ทพ.๔๗ ๓๐๒ อศจ.กรม ทพ.๔๗ ร.อ. ๑ ๑ ๓๐๓ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๗ จ.ส.อ. กรม ทพ.๔๘ ร.อ. ๑ ๓๐๔ อศจ.กรม ทพ.๔๘ จ.ส.อ. ๑ ๓๐๕ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๘ 183 124 307 กรม ทพ.๔๙ ๓๐๖ อศจ.กรม ทพ.๔๙ ๓๐๗ ผช.อศจ.กรม ทพ.๔๙ รวม
๔๑ ๔. ภารกิจตามหนา้ ทข่ี องอนุศาสนาจารย์ ๔.๑ หน้าทีท่ ่ัวไป ปฏบิ ตั กิ ารหรอื อํานวยการเก่ยี วกับการศาสนา และใหค้ ําแนะนาํ แกผ่ ู้บังคับบญั ชา ในปัญหาทัง้ ปวงเก่ยี วกบั ศาสนาและขวญั ๔.๒ หน้าทเี่ ฉพาะ - ปฏิบตั ิการเก่ยี วกับการบรกิ ารทางศาสนา และวางโครงการใหท้ หารมีโอกาสได้ปฏบิ ตั ิศาสนกิจ - เยี่ยมเยยี นผูเ้ จ็บป่วยและนกั โทษทหาร - ช่วยเหลอื และประสานงานในการดาํ เนนิ การใหท้ หารมขี วญั ดี - มสี ่วนในการอบรมผูค้ ัดเลอื กเขา้ มาเปน็ ทหาร และทาํ การบรรยายอบรมทหารเกี่ยวกบั ศาสนา - ติดตอ่ ประสานงานกบั องคก์ ารสงเคราะห์ต่างๆ เชน่ สภากาชาด หรือวดั ในทอ้ งถิน่ - รบั และแจกจา่ ยเอกสารเก่ยี วกบั ศาสนา และรายงานการปฏบิ ตั ิของตน ๔.๓ ภารกจิ และหนา้ ทก่ี องอนศุ าสนาจารย์ ๔.๓.๑ ให้คําปรึกษาแก่เจ้ากรมยทุ ธศกึ ษาทหารบกและส่วนอํานวยการอื่นๆ ใน กรมยุทธศึกษาทหารบก ในเรอ่ื งเกีย่ วกบั ศาสนา ศลี ธรรม ขวัญทหาร และกจิ การอนศุ าสนาจารย์ ๔.๓.๒ รว่ มมอื ในการวางแผนอบรมคุณลักษณะทหาร ๔.๓.๓ ดําเนินการเรื่องการกําลังพลและการฝึกฝนอนุศาสนาจารย์ให้เป็นผู้มีคุณธรรมและสมรรถภาพ เหมาะสมกบั ตาํ แหนง่ หนา้ ท่ี ๔.๓.๔ เสนอความเห็นในการดําเนินกจิ การอนศุ าสนาจารย์ต่อเจา้ กรมยทุ ธศึกษา-ทหารบก ๔.๓.๕ วางแผนและกําหนดระเบียบปฏิบตั หิ น้าทข่ี องอนุศาสนาจารย์ท้งั ในยามปกติ และ ยามสงคราม ๔.๓.๖ ดําเนินการตามนโยบายการปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหารของกองทัพบก ในด้านการ พฒั นาคณุ ธรรม ๔.๓.๗ ติดต่อ/ร่วมมือกับส่วนราชการและผู้บังคับหน่วยในกองทัพบก ในเรื่องที่เก่ียวกับ กิจการในหน้าท่ี อนุศาสนาจารย์ ๔.๓.๘ ควบคุมกิจการอนุศาสนาจารย์ และการปฏิบัติหน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ประจําหน่วยในทาง วทิ ยาการ ๔.๓.๙ ควบคมุ ดูแลความประพฤตอิ นศุ าสนาจารย์ ๔.๓.๑๐ อํานวยการอบรม และการสอนศีลธรรมวัฒนธรรมแก่ทหาร และบุคคลในสังกัดกองทัพบก ให้มี ความประพฤติและอธั ยาศัยดงี าม มขี วัญและกาํ ลังใจเข้มแขง็ มีความจงรักภักดีตอ่ ประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ ๔.๓.๑๑ ดาํ เนนิ การในเรื่องการบํารงุ รักษาขวญั และกาํ ลงั ใจของทหาร ๔.๓.๑๒ ปฏบิ ตั ิพิธีทางศาสนาและการกุศลของกองทพั บก ๔.๓.๑๓ ดําเนินการการประกนั คุณภาพการศกึ ษา กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศกึ ษาทหารบก ๔.๔ ภารกิจและหนา้ ทผี่ อู้ าํ นวยการกองอนุศาสนาจารย์ ๔.๔.๑ ปกครองบังคับบญั ชาอนศุ าสนาจารย์และข้าราชการ ลกู จา้ งในกอง-อนศุ าสนาจารย์ ๔.๔.๒ เปน็ หวั หนา้ สายวิทยาการอนศุ าสนาจารย์โดยตาํ แหน่ง ๔.๔.๓ เสนอความเห็นในการดาํ เนนิ กจิ การอนุศาสนาจารย์แก่เจา้ กรมยทุ ธศกึ ษาทหารบก
๔๒ ๔.๔.๔ วางแผน กําหนดนโยบายของอนุศาสนาจารย์ ทงั้ ยามปกตแิ ละยามสงคราม ๔.๔.๕ ควบคุม ดูแล ตดิ ต่อ ประสานงาน ตลอดจนอาํ นวยการเก่ียวกบั กิจการอนุศาสนาจารย์ทง้ั ปวง ๔.๕ ภารกจิ และหน้าทร่ี องผอู้ ํานวยการกองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๕.๑ ปฏิบัติงานช่วยเหลอื ผอู้ าํ นวยการในภารกิจหน้าทีข่ องผอู้ าํ นวยการ ๔.๕.๒ ช่วยกํากบั ดแู ลนโยบายและงานทีผ่ ู้อาํ นวยการกาํ หนดและสง่ั การแลว้ ๔.๕.๓ ช่วยเร่งรดั ติดตามงานทีผ่ ู้อํานวยการได้สั่งการแลว้ เพ่ือให้รวดเร็วและทนั เวลา ๔.๕.๔ ดแู ลกวดขนั ความเรียบร้อย ความเป็นระเบยี บของงานและสถานท่ีภายใน กองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๕.๕ ทาํ การแทนผอู้ าํ นวยการเมอ่ื ผอู้ ํานวยการไมอ่ ยู่ ๔.๖ ภารกิจและหน้าทแ่ี ผนกกาํ ลงั พล ๔.๖.๑ ดาํ เนินการเล่อื น ลด ปลด ยา้ ย การสอบบรรจุ การดําเนินการบรรจุอนุศาสนาจารย์และผู้ชว่ ย อนุศาสนาจารย์ ๔.๖.๒ ตรวจสอบ ควบคมุ จรรยาบรรณของอนุศาสนาจารย์ ๔.๖.๓ วางแผนและจดั ทาํ แผนการตรวจกิจการอนุศาสนาจารย์ประจาํ ปี ๔.๖.๔ ดาํ เนนิ การด้านขวัญและกําลังใจของอนุศาสนาจารย์ และผูช้ ่วย-อนศุ าสนาจารย์ ๔.๖.๕ ควบคมุ กํากับดูแลและดาํ เนนิ การเก่ียวกับเงนิ ทนุ สวสั ดกิ ารอนุศาสนาจารย์ และทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ การสงเคราะหแ์ ละสวสั ดกิ ารอนศุ าสนาจารย์ ผู้ชว่ ยอนุศาสนาจารย์ ๔.๖.๖ จัดทาํ ทาํ เนียบอนุศาสนาจารยแ์ ละผชู้ ว่ ยอนุศาสนาจารย์ ๔.๖.๗ ดาํ เนนิ การเรือ่ งการฝึกอบรมอนศุ าสนาจารยแ์ ละผู้ชว่ ยอนศุ าสนาจารยท์ ่ีบรรจใุ หม่ ๔.๖.๘ ดาํ เนินการเรอื่ งระเบียบแบบธรรมเนยี มอนุศาสนาจารย์ ๔.๖.๙ ดําเนินการเรอ่ื งการประชุมคณะกรรมการอนศุ าสนาจารยก์ ารประชมุ สายวิทยาการอนศุ าสนาจารย์ ประจาํ เดอื น ๔.๖.๑๐ อบรมศีลธรรมวัฒนธรรมทหาร ตามแผนการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมทหารประจําปี ของกรม ยุทธศกึ ษาทหารบก ตามท่ไี ดร้ ับมอบหมาย ๔.๖.๑๑ สอนวิชาการศาสนาและศีลธรรมในหลักสูตรของโรงเรียนเหล่า สาย-วิทยาการ และหน่วยจัด การศกึ ษาของกองทพั บก ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ๔.๖.๑๒ รับผิดชอบการประกันคุณภาพการศึกษาของกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธ-ศึกษาทหารบก ตามที่ได้รบั มอบหมาย ๔.๖.๑๓ ปฏิบตั ิพธิ ีทางศาสนาให้กบั หนว่ ยต่างๆ ในกองทัพบก และหน่วยงานอ่นื ตามที่ไดร้ บั มอบหมาย ๔.๖.๑๔ ประสานงานและใหก้ ารสนบั สนุนแกแ่ ผนกอื่น ในกองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๗ ภารกจิ และหน้าทแี่ ผนกวชิ าการและการศึกษา ๔.๗.๑ คน้ คว้าวิทยาการอันเป็นประโยชน์เก้ือกลู แก่งานอนุศาสนาจารย์ ๔.๗.๒ รวบรวมและเรยี บเรียงตาํ รา รวมท้ังการสร้างอปุ กรณก์ ารสอนอบรมในหน้าท่อี นุศาสนาจารย์ ๔.๗.๓ จัดทําหลักสูตรและตําราทางวิชาการศาสนาและศีลธรรมสําหรับสอนในโรงเรียนเหล่าสาย วิทยาการทุกระดับ รวมท้ังหลักสูตรการปฐมนิเทศนายทหารอนุศาสนาจารย์บรรจุใหม่, หลักสูตรนายทหารอนุศาสนาจารย์
๔๓ ช้ันต้น, หลักสูตรนายทหารอนุศาสนาจารย์ชั้นสูง, หลักสูตรการพัฒนาบุคลากรกองทัพบก, หลักสูตรการปฏิบัติธรรมใน พรรษา, หลักสูตรการอบรมพิธีกรด้านศาสนาประเพณแี ละวฒั นธรรมไทย และหลักสูตรอน่ื ๆ ทกี่ องอนศุ าสนาจารยเ์ กี่ยวข้อง ๔.๗.๔ ดําเนินการเร่ืองการเปิดการศึกษาหลักสูตร ตามข้อ ๔.๗.๓ เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกอง อนุศาสนาจารย์ และกํากับดูแลให้เกิดความเรียบร้อย ทันเวลา ตามห้วงของหลักสูตร และเง่ือนไขทางด้านงบประมาณ และ ดาํ เนนิ การปรับปรุงสมรรถภาพของอนุศาสนาจารย์ ๔.๗.๕ ดาํ เนินการการประกันคุณภาพการศกึ ษาของกองอนุศาสนาจารย์ กรมยทุ ธ-ศกึ ษาทหารบก ๔.๗.๖ ดาํ เนินการด้านงบประมาณทั้งส้ินของกองอนศุ าสนาจารยเ์ ป็นสว่ นรวม ๔.๗.๗ ตรวจการปฏิบัติงานของอนุศาสนาจารย์ประจําหน่วยในทางวชิ าการ ทดสอบผลงานและจัดทําสถิติ ๔.๗.๘ รับผดิ ชอบการจัดทําวารสารพทุ ธศาสตร์ ๔.๗.๙ รบั ผิดชอบห้องสมดุ กองอนุศาสนาจารย์ ๔.๗.๑๐ รับผดิ ชอบจดั ทาํ ปฏทิ ินงานและจดหมายเหตุ ๔.๗.๑๑ อบรมศีลธรรมวัฒนธรรมทหาร ตามแผนการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมทหารประจําปีของกรม ยุทธศึกษาทหารบก ตามทไี่ ดร้ ับมอบหมาย ๔.๗.๑๒ สอนวิชาการศาสนาและศีลธรรมในหลักสูตรของโรงเรียนเหล่า สาย-วิทยาการ และหน่วยจัด การศกึ ษาของกองทพั บก ตามท่ไี ดร้ บั มอบหมาย ๔.๗.๑๓ ปฏบิ ัตพิ ิธีทางศาสนาให้กับหนว่ ยต่างๆ ในกองทพั บก และหน่วยงานอ่นื ตามทไ่ี ด้รับมอบหมาย ๔.๗.๑๔ ประสานงานและให้การสนบั สนนุ แก่แผนกอืน่ ในกองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๘ ภารกิจและหนา้ ทแ่ี ผนกอบรม ๔.๘.๑ วางแผน จัดทําโครงการ ประสานงาน กํากับดูแลการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมทหาร และการ รายงานผล ๔.๘.๒ วางแผนและดําเนนิ การตามนโยบายการปลูกฝงั และสรา้ งเสรมิ อุดมการณท์ หารของกองทัพบก ด้าน การพัฒนาคุณธรรม และการรายงานผล ๔.๘.๓ ดําเนินการเร่ืองการประชุมคณะอนุกรรมการปลูกฝังและสร้างเสริมอุดมการณ์ทหาร ด้านการ พฒั นาคุณธรรม ๔.๘.๔ วิเคราะห์ วิจัย และประเมินผลการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมทหาร และการปลูกฝังและสร้างเสริม อดุ มการณ์ทหาร ด้านการพฒั นาคุณธรรม ๔.๘.๕ ดาํ เนนิ การและกํากบั ดูแล การปฏบิ ัติธรรมในหลักสูตรการพฒั นาบคุ ลากรกองทพั บก ๔.๘.๖ ดาํ เนินการและกาํ กับดูแล การปฏบิ ัติธรรมโครงการปฏบิ ตั ธิ รรมในพรรษา ๔.๘.๗ ดําเนินการและกํากับดูแล การปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ ๔.๘.๘ ดําเนินการและกํากับดูแล การจัดอนุศาสนาจารย์สอนวิชาการศาสนาและศีลธรรม ในโรงเรียน เหล่าสายวิทยาการตามท่ีไดร้ ับการรอ้ งขอ ๔.๘.๙ ดาํ เนนิ การและกาํ กบั ดูแลการจดั อนศุ าสนาจารย์สอน บรรยาย อบรมในองค์การทางศาสนา หน่วย ราชการและหนว่ ยงานเอกชนตามทไี่ ดร้ บั การรอ้ งขอ ๔.๘.๑๐ ดาํ เนินการเร่อื งการเยี่ยมบาํ รงุ ขวัญทหารและครอบครัว
๔๔ ๔.๘.๑๑ ดําเนินการเร่ืองการอบรมทางศีลธรรม และการอบรมกรณีอื่นๆ เป็นพิเศษตามนโยบายของ ผบู้ งั คับบัญชา ๔.๘.๑๒ รับผิดชอบการประกันคุณภาพการศึกษาของกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธ-ศึกษาทหารบก ตามท่ไี ดร้ ับมอบหมาย ๔.๘.๑๓ ปฏิบตั ิพิธีทางศาสนาให้กบั หน่วยต่างๆ ในกองทัพบก และหนว่ ยงานอื่น ตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ๔.๘.๑๔ ประสานและให้การสนบั สนุนแกแ่ ผนกอน่ื ในกองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๙ ภารกิจและหน้าทแ่ี ผนกศาสนพธิ ี ๔.๙.๑ ดาํ เนนิ งานทางด้านพิธีและการบริการทางศาสนพธิ ี ๔.๙.๒ รับผิดชอบศาสนสถานและอปุ กรณป์ ระกอบพธิ ี ๔.๙.๓ ให้คําแนะนําและกวดขันการปฏิบัติพิธีของอนศุ าสนาจารย์ และผชู้ ว่ ยอนศุ าสนาจารย์ทบ่ี รรจใุ หม่ ๔.๙.๔ ดาํ เนนิ การประสานและนิมนต์พระสงฆ์ในพธิ ีการทีเ่ กย่ี วข้อง ๔.๙.๕ รบั ผิดชอบจดั อนศุ าสนาจารยป์ ฏิบัติพธิ ี ๔.๙.๖ ดําเนนิ การดา้ นพธิ ีและการกศุ ลของกองทพั บกในสว่ นทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ๔.๙.๗ ดําเนนิ การเรอ่ื งการกศุ ลและพิธขี องกองอนุศาสนาจารย์ และของกรมยทุ ธ-ศึกษาทหารบก ๔.๙.๘ ปฏบิ ัตพิ ิธที างศาสนาให้กับหน่วยต่างๆ ใน ทบ. และหนว่ ยงานอื่นตามที่ได้รับการรอ้ งขอ ๔.๙.๙ อบรมศลี ธรรมวัฒนธรรมทหาร ตามแผนการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมทหารประจําปีของกรมยุทธ ศกึ ษาทหารบก ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ๔.๙.๑๐ สอนวิชาการศาสนาและศีลธรรมในหลักสูตรของโรงเรียนเหล่า สาย-วิทยาการ และหน่วยจัด การศกึ ษาของกองทัพบก ตามท่ีได้รับมอบหมาย ๔.๙.๑๑ รบั ผดิ ชอบการประกันคณุ ภาพการศึกษาของกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ตามที่ ได้รบั มอบหมาย ๔.๙.๑๒ ประสานงานและให้การสนับสนุนแกแ่ ผนกอนื่ ในกองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๑๐ ภารกจิ และหนา้ ทฝี่ ่ายธรุ การ ๔.๑๐.๑ รับผิดชอบงานธุรการท้ังปวงของกองอนุศาสนาจารย์ ที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของแผนก อื่น ๔.๑๐.๒ ดแู ลรบั ผดิ ชอบการจัดสาํ นักงานกองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๑๐.๓ รับผิดชอบการรับ - ส่งหนังสือ หรือเอกสารทางราชการตามระเบียบงานสารบรรณ และกํากับ ดูแลให้ดาํ เนนิ การทันตามกําหนดเวลา ๔.๑๐.๔ จัดทําทะเบียน บัญชีคุมส่ิงอุปกรณ์ของกองอนุศาสนาจารย์เป็นส่วนรวม ตลอดท้ังการ ดาํ เนินการบาํ รงุ รกั ษาและซอ่ มบาํ รงุ ๔.๑๐.๕ วางแผนฝกึ อบรมเจา้ หน้าที่กองอนศุ าสนาจารยใ์ นด้านระเบยี บงานสารบรรณ ๔.๑๐.๖ ประสานงานและใหก้ ารสนับสนนุ แก่แผนกอ่ืน ในกองอนศุ าสนาจารย์ ๔.๑๑ ภารกจิ และหนา้ ท่ีอนศุ าสนาจารยป์ ระจาํ หน่วย ๔.๑๑.๑ อนศุ าสนาจารยห์ นว่ ยระดบั กองทพั ภาค
๔๕ ๔.๑๑.๑.๑ เสนอความคิดเห็นต่อแม่ทัพภาคและฝ่ายอํานวยการในกิจการที่เกี่ยวกับขวัญ กาํ ลังใจและจริยธรรมของทหาร ๔.๑๑.๑.๒ ช่วยเหลือแม่ทัพภาค และฝ่ายอํานวยการ ในการนําเอาหน้าที่พลเมืองดีและ ธรรมจรรยามาใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกับชวี ติ ในกรมกองทหาร ๔.๑๑.๑.๓ กํากับดูแลและประสานในเร่ืองเจ้าหน้าที่ และการฝึกของอนุศาสนาจารย์ท่ีมา ประจําในกองทพั ภาค รวมทัง้ แนะนาํ ระเบียบวิธกี ารอบรมให้เป็นไปในแนวทางเดียวกนั ๔.๑๑.๑.๔ ติดต่อประสานงานกับหน่วยเหนือและหน่วยรอง ตลอดทั้งองค์การศาสนาท่ัวไปเพ่ือ สง่ เสริมศาสนาและศลี ธรรมในกองทัพ และประสานพิธกี ารทางศาสนาในกองทพั ภาค ๔.๑๑.๑.๕ ตรวจ สอดส่องดูแลการปฏิบตั หิ นา้ ท่ขี องอนศุ าสนาจารยใ์ นหนว่ ยข้ึนตรงของกองทัพ ภาค ๔.๑๑.๑.๖ สอดส่อง ดแู ลอนศุ าสนาจารย์หน่วยข้ึนตรงกองทพั ภาคในดา้ นจรรยาบรรณ ๔.๑๑.๒ อนศุ าสนาจารยห์ นว่ ยระดบั กองพล ๔.๑๑.๒.๑ ให้คําแนะนําแก่ผู้บัญชาการกองพล และฝ่ายอํานวยการในกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ศาสนา ศลี ธรรม ขวญั ๔.๑๑.๒.๒ ช่วยเหลือผู้บัญชาการกองพลและฝ่ายอํานวยการในการปลูกฝังศีลธรรมวัฒนธรรม แกท่ หาร ๔.๑๑.๒.๓ กํากับดูแลและประสานในเรื่องการฝึกฝนเจ้าหน้าท่ีท่ีเกี่ยวกับอนุศาสนาจารย์ท่ีมา ปฏบิ ัติงานในกองพล ๔.๑๑.๒.๔ ติดต่อประสานงานกับหน่วยหรือองค์การทางศาสนาอ่ืนๆ ท่ีจะช่วยส่งเสริมศีลธรรม วัฒนธรรมอันดีงามแกท่ หาร และอํานวยการศาสนพธิ ใี นกองพล ๔.๑๑.๒.๕ ติดต่อประสานงานกับกองบัญชาการหน่วยเหนือ หน่วยข้างเคียง และกับ อนศุ าสนาจารยภ์ ายในหนว่ ย ตลอดจนต่างเหลา่ ทัพ ๔.๑๑.๒.๖ อํานวยการในด้านขวัญกําลังใจ และศาสนพิธีแก่นักโทษเชลยศึก พลเรือนที่ถูกกักกัน และบุคคลพลัดถ่ิน ๔.๑๑.๒.๗ ตรวจ สอดสอ่ งดแู ลการปฏิบตั หิ น้าทข่ี องอนุศาสนาจารยใ์ นหนว่ ยขน้ึ ตรงกองพล ๔.๑๑.๒.๘ สอดสอ่ งดูแลอนุศาสนาจารย์หน่วยขึ้นตรงกองพลในด้านจรรยาบรรณ ๔.๑๑.๓ อนุศาสนาจารยห์ นว่ ยระดบั มณฑลทหารบกและจังหวดั ทหารบก ๔.๑๑.๓.๑ ให้คําปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่ผู้บังคับบัญชา และฝ่ายอํานวยการเกี่ยวกับกิจการ อนุศาสนาจารย์ ๔.๑๑.๓.๒ อํานวยการ กํากับการและปฏิบัติในเร่ืองพิธีกรรมทางศาสนา ท้ังปวงตลอดจนการ อบรมศลี ธรรมวฒั นธรรมทหาร ๔.๑๑.๓.๓ ดําเนินการเกย่ี วกับกจิ กรรมทางศาสนา เพ่อื ใหท้ หารมขี วัญดีอยู่เสมอ ๔.๑๑.๓.๔ ปฏิบัติงานตามระเบียบแบบธรรมเนียมที่สายวิทยาการ-อนศุ าสนาจารยก์ าํ หนด ๔.๑๑.๓.๕ ปฏบิ ัตงิ านทางด้านสงั คมจิตวทิ ยาเพือ่ สนบั สนนุ ภารกิจของหน่วยและผบู้ ังคบั บัญชา ๔.๑๑.๓.๖ ปฏบิ ตั ิงานทางธรุ การที่เก่ยี วขอ้ ง
๔๖ ๔.๑๑.๔ อนศุ าสนาจารยห์ นว่ ยระดบั กรม ๔.๑๑.๔.๑ ควบคุมตรวจตราในเรอื่ งเกีย่ วกบั การบํารุงขวัญและกาํ ลังใจแกท่ หาร ๔.๑๑.๔.๒ อาํ นวยการทางศาสนพิธขี องหน่วย ๔.๑๑.๔.๓ อบรมศลี ธรรมวฒั นธรรมแกท่ หาร ๔.๑๑.๔.๔ ให้คําแนะนําทางพิธีและศาสนาแก่ญาติของทหารท่ีถึงแก่กรรม รวมทั้งการสร้าง ขวญั กําลังใจแก่ญาตทิ หาร ๔.๑๑.๔.๕ ประสานงานทางศาสนาวัฒนธรรมของหน่วย กับองค์การทางศาสนาทว่ั ไป ๔.๑๑.๔.๖ ตรวจตรา ประสานงาน ในเรื่องการอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมแก่ทหาร ๔.๑๑.๔.๗ ปฏบิ ัติงานธุรการที่เก่ยี วข้อง หน้าท่ีและภารกิจของอนุศาสนาจารย์ประจําหน่วยระดับต่างๆ ตามข้อ ๔.๑๑ มีความแตกต่างกันใน รายละเอียดและสว่ นย่อย แต่หน้าทตี่ าม ชกท.๕๓๑๐ ทั้งหน้าทที่ ่ัวไปและหน้าท่ีเฉพาะ ยอ่ มไมแ่ ตกตา่ งกัน ๔.๑๒ ภารกจิ และหนา้ ทอ่ี นศุ าสนาจารยใ์ นสนาม ๔.๑๒.๑ เสนอแนะแก่หนว่ ย ใหจ้ ัดชุดส่ิงอุปกรณ์บาํ รุงขวญั และสิ่งอุปกรณ์ท่ใี ช้ ประกอบ การบรรยายอบรมจติ ใจทหาร และเปน็ สิง่ อุปกรณท์ มี่ ีความคลอ่ งตัวในการเคลื่อนยา้ ยไปกบั หนว่ ยตามกรณี ๔.๑๒.๒ ทําบัญชีทหารแยกตามศาสนา เพื่อสะดวกในการให้คําแนะนํา การนําประกอบศาสนกิจ และ การทาํ พิธกี รรมทางศาสนา ๔.๑๒.๓ จัดทําบัญชีทหาร ระบุยศ ชื่อ นามสกุล ภูมิลําเนา ของทหารท่ีถือศาสนาส่วนน้อยและแยก ตามนกิ าย ทั้งน้ี เพ่อื ใหบ้ รกิ ารทางศาสนาไดส้ ะดวกในชวี ติ ประจําวัน และแม้ในยามท่ีมกี ารสูญเสียกาํ ลังพล ๔.๑๒.๔ จัดทําบัญชี วัด สุเหร่า โรงสวด สุสาน โบสถ์ ศาสนสถาน และบุคลากรสําคัญของแต่ละศาสนา ในพ้นื ทใ่ี กลบ้ รเิ วณทีต่ ้งั หน่วย เพือ่ ประสานในการกระทําพิธกี รรมทางศาสนาวฒั นธรรมประเพณี เม่อื จําเปน็ ๔.๑๒.๕ ประสานการปฏิบัติร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับฝ่ายกําลังพล ทางด้านงานปกติ การบํารุงขวัญ และ พิธีกรรม และใกล้ชิดกับฝ่ายกิจการพลเรือน (ถ้ามี) ทางด้านสงั คมจิตวิทยา ๔.๑๒.๖ เสนอความเห็นแก่ผู้บังคับหน่วย ผู้บังคับบัญชา ในเร่ืองการอบรมศีลธรรม การอบรมจิตใจ ทหาร ขวัญกําลังใจ วัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนให้ทหารได้มีโอกาสปฏิบัติศาสนกิจและได้รับการบํารุงรักษาขวัญตาม สมควร ๔.๑๒.๗ เอาใจใสด่ แู ลศาสนสถานภายในหนว่ ยใหม้ คี วามน่าศรทั ธาเลอ่ื มใส ๔.๑๒.๘ หาโอกาสพบปะเยี่ยมทหารท่ีออกปฏิบัติงานนอกท่ีต้ัง ปลุกปลอบบํารุงขวัญและเสริมสร้าง กาํ ลงั ใจทหารป่วยเจ็บ หรือทหารที่ไดร้ บั ความกระทบกระเทือนทางจิตใจเนื่องจากการคร่ําเคร่งในการปฏิบัติหน้าท่ี ให้กลับ มีจิตใจรกุ รบ อาจหาญ มีพลงั ใจพรอ้ ม ๔.๑๒.๙ เข้าร่วมกิจกรรมบรรเทาสาธารณภัยกับฝ่ายพลเรือนหรือหน่วยในพ้ืนที่ เช่น กรณีช่วยเหลือผู้ ประสบอทุ กภัย วาตภยั และอคั คภี ัย เปน็ ต้น ๔.๑๒.๑๐ ดาํ เนนิ การร่วมกบั นายทหารฝ่ายการศพ ในกรณีทหารเสยี ชวี ติ ๔.๑๒.๑๑ แสวงหาความร่วมมอื จากบุคคลและองค์กรในท้องถิ่นเก่ยี วกบั การบํารุงขวญั ทหาร ๔.๑๒.๑๒ ศึกษาคําสอน พิธีกรรม ของศาสนาต่างๆ ให้เข้าใจเพ่ือสะดวกในการให้คําแนะนําการนํา ปฏบิ ตั พิ ิธีกรรมทางศาสนาและประเพณี
๔๗ ๔.๑๒.๑๓ สังเกต จดบันทึก ทําบัญชีทหารที่มีพฤติกรรมล่อแหลมในด้านวินัย ความเชื่อฟัง การหมกมุ่นใน สิ่งอบายมุข การมีลักษณะเฉอ่ื ยชา และเขา้ ใกล้ชิดกบั ผมู้ ีปญั หาดงั กลา่ ว ๔.๑๒.๑๔ ไมเ่ ปน็ ผ้เู กียจครา้ น ท้อแท้ ท้อถอย และฝึกพลงั จิตของตนเสมอ ๔.๑๒.๑๕ หาโอกาสพบปะสนทนากับผู้บังคับหน่วยและผู้บังคับบัญชาเสมอ เพ่ือรับทราบ ปัญหา เพื่อ นาํ ไปสู่การปฏบิ ัติภารกจิ หน้าท่อี นุศาสนาจารย์ ๔.๑๒.๑๖ ต้องตระหนักว่า ในสนามกระทําการอบรมเป็นกลุ่มก้อนได้น้อย แต่กระทําการพบปะเย่ียม เยยี นได้มาก ๔.๑๒.๑๗ ประสานใหเ้ กิดความเข้าใจ ขวัญ จริยธรรม ของกาํ ลังพลในสนาม และครอบครวั ของกาํ ลงั พล นั้นๆ ๔.๑๒.๑๘ กรณีประกอบพิธีศพผู้เสียชีวิตในสนาม ณ วัดหรือศาสนสถานของศาสนาอื่นในพ้ืนที่การ ดาํ เนนิ การพิธีศพ ในการกล่าวสดุดีวรี กรรมขอใหเ้ พิ่มการกล่าวธรรมสังเวชท่เี ขยี นโดยอนุศาสนาจารยเ์ ข้าไปดว้ ย ๔.๑๒.๑๙ พิธีสําคัญในทางพระพุทธศาสนา ที่ปฏิบัติในหน่วยในท่ีตั้งปกติ เช่น พิธีวิสาขบูชา เป็นต้น แม้ในสนามอนุศาสนาจารย์สามารถเสนอแนะ และปรึกษาผู้บังคับบัญชาให้จัดข้ึนได้ท้ังในวัดใกล้หน่วย และภายในหน่วย ทงั้ น้ี ย่อมขึน้ อยู่กับสถานการณ์ ๕. การสอบบรรจุอนศุ าสนาจารย์ ๕.๑ การสอบบรรจุอนศุ าสนาจารย์ กองทัพบกได้จัดให้มีการสอบคัดเลือกบุคคลพลเรือน ทหารกองหนุน เพ่ือบรรจุเข้ารับราชการเป็น นายทหารสัญญาบัตรเป็นส่วนรวม ปีละ ๑ ครั้ง ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ เป็นต้นมา โดยมอบให้กรมยุทธศึกษาทหารบกเป็นหน่วย ดําเนินการ ท้ังน้ีรวมถึงการสอบคัดเลือกบุคคลพลเรือน ทหารกองหนุน เพ่ือบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตร สายงานอนุศาสนาจารย์ ตามจาํ นวนโควตาทีไ่ ดร้ ับอนุมัติจากกองทพั บกเปน็ ปีๆ ไป ๕.๒ คณุ สมบตั ขิ องผสู้ มคั รสอบคดั เลือกบรรจเุ ข้ารับราชการในสายวทิ ยาการอนุศาสนาจารย์ ๕.๒.๑ เป็นผ้เู คยอปุ สมบทเป็นพระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา ๕.๒.๒ วทิ ยฐานะ ๕.๒.๒.๑ เปรียญธรรม ๙ ประโยค ๕.๒.๒.๒ ปริญญาพุทธศาสตรบัณฑติ (พธ.บ.) และเปรียญธรรม ๔ ประโยคขน้ึ ไป ๕.๒.๒.๓ ปริญญาศาสนศาสตรบัณฑิต (ศน.บ.) และเปรยี ญธรรม ๔ ประโยคขึ้นไป ๕.๒.๓ มีสัญชาติไทย และบดิ ามารดามีสัญชาติไทยโดยกาํ เนิด ๕.๒.๔ มีอายุต้ังแต่ ๒๕ ปบี รบิ ูรณ์ ถงึ ๓๕ ปีบริบูรณ์ นับตามพระราชบญั ญัติรับราชการ ทหาร ๕.๒.๕ ไม่เคยมปี ระวัตเิ สียหายท้ังในระหว่างเปน็ พระภิกษุ และลาสกิ ขามาแลว้ ๕.๒.๖ มีร่างกายสมบูรณ์ ไมม่ โี รคขัดตอ่ การรบั ราชการทหาร ๕.๒.๗ มคี ณุ สมบัตเิ หมาะสมท่ีจะเปน็ อศจ. และไม่ขัดต่อข้อบังคับทหาร ว่าด้วยข้าราชการทหารกลาโหมพล เรือน ท่ี ๓/๒๔๔๖๘๒๒๘ ลง ๑๗ ม.ิ ย. ๘๒ ๕.๒.๘ ต้องเป็นผู้ผ่านการตรวจเลอื กทหารมาแล้ว
๔๘ ๕.๒.๙ ผู้ที่ผ่านการตรวจเลือกทหารแล้ว ถ้าผลการตรวจเลือกระบุว่าไม่ได้ขนาด จะรับเฉพาะผู้ที่มีความสูง ตั้งแต่ ๑๖๐ เซนตเิ มตรขึ้นไป และมีขนาดรอบอกขณะหายใจออก ๗๖ เซนติเมตร ขณะหายใจเข้า ๗๙ เซนติเมตร แต่ถ้าผล การตรวจเลอื กระบุวา่ เป็นคนจาํ พวกท่ี ๒ ไมร่ บั สมคั ร ๕.๒.๑๐ มีความเลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่มีประวัติบกพร่องทางศีลธรรม มีความ ประพฤติไมเ่ ป็นท่ีรงั เกียจของสาธุชน ๕.๒.๑๑ คณุ สมบตั ิเฉพาะบคุ คลชาย ๕.๒.๑๑.๑ เป็นทหารกองเกิน อายุระหว่าง ๒๒ ปี ถึง ๒๙ ปี โดยไม่รับสมัครผู้ที่จะรับการตรวจ เลอื กเขา้ เป็นทหารกองประจําการ และ/หรอื ผูท้ ่ีขอผอ่ นผันเขา้ รับการตรวจเลือกเปน็ ทหารกองประจาํ การในปที ีส่ มคั รสอบ ๕.๒.๑๑.๒ เปน็ ทหารกองหนุน อายุไมต่ ่ํากว่า ๑๘ ปี ถงึ ๓๕ ปี ๕.๒.๑๑.๓ มีอวัยวะ รูปร่าง ลักษณะท่าทาง และขนาดร่างกายเหมาะสมแก่การเป็นทหาร โดย ต้องมีความสูงอย่างตํ่า ๑๖๐ ซม. รอบอก ๗๖/๗๙ ซม. โดยจะพิจารณาจากผลการวัดขนาดร่างกายที่ระบุใน แบบ สด.๔๓ หรอื จากผลการวัดขนาดร่างกายในวันตรวจโรค ๕.๒.๑๒ คณุ สมบัตทิ ่ัวไป (คณุ สมบัติเพมิ่ เตมิ ) ๕.๒.๑๒.๑ เปน็ ผมู้ คี ณุ สมบตั ิครบถว้ นในการขอแตง่ ตงั้ ยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร ตามข้อบังคับ กระทรวงกลาโหม วา่ ดว้ ยการแตง่ ต้ังยศทหาร พ.ศ.๒๕๐๗ และฉบบั ท่แี ก้ไขทกุ ฉบบั ๕.๒.๑๒.๒ เป็นผู้มีคณุ สมบัตทิ ว่ั ไปตามพระราชบญั ญตั ิรบั ราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗ ๕.๒.๑๒.๓ มสี ัญชาตไิ ทย และบดิ ามารดามีสัญชาติไทยโดยกําเนดิ ๕.๒.๑๒.๔ ไมเ่ ปน็ โรคท่ขี ดั ต่อการบรรจุเขา้ เป็นนายทหารสัญญาบตั ร ๕.๒.๑๒.๕ ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมไม่เป็นผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือ เป็นบุคคลล้มละลาย ตามคาํ พพิ ากษา ๕.๒.๑๒.๖ ไม่อยูใ่ นสมณเพศ ๕.๒.๑๒.๗ ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างเป็นจําเลยในคดีอาญา และไม่เคยต้องโทษจําคุกตามคํา พพิ ากษาของศาลในคดอี าญายกเว้นแตค่ วามผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ ๕.๒.๑๒.๘ ไมเ่ ป็นผู้อยู่ในระหวา่ งพกั ราชการเนื่องจากความผดิ หรอื หนรี าชการ ๕.๒.๑๒.๙ ไม่เปน็ ผูเ้ คยถูกปลดเพราะความผิดหรือถูกไล่ออกจากราชการ ๕.๒.๑๒.๑๐ ไมเ่ คยทุจรติ ในการสมัครสอบหรือการสอบคัดเลอื กเขา้ เป็นนักเรยี นทหารมาก่อน ๕.๒.๑๒.๑๑ ไม่เป็นผู้เสพยาเสพตดิ หรอื สารเคมเี สพตดิ ใหโ้ ทษ หรือมปี ระวัติ คดีอาญาขอ้ หาเก่ยี วกบั ยาเสพตดิ ๕.๓ การสอบภาควิชาการ (รอบแรก) วิชาท่สี อบ ๕.๓.๑ วชิ าพืน้ ฐาน ประกอบดว้ ย ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย และความรทู้ ่วั ไป ๕.๓.๒ วิชาพื้นฐานพระพุทธศาสนา ๕.๔ การสอบรอบทส่ี อง ๕.๔.๑ การตรวจโรค ๕.๔.๒ การทดสอบดา้ นจติ เวช ๕.๔.๓ การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
๔๙ ๕.๔.๔ การทดสอบภาควิชาเฉพาะตามคณุ วฒุ ิ (เชงิ ลกึ ) ๕.๔.๕ การสอบสมั ภาษณ์ (ปากเปลา่ ) ๖. งานในความรับผดิ ชอบของอนศุ าสนาจารย์ อนศุ าสนาจารย์ มคี วามรบั ผิดชอบงานในดา้ นปฏิบตั กิ าร และอาํ นวยการเกีย่ วกบั ดา้ นศาสนา ขวญั และกําลังใจ ของกําลังพลในกองทัพ รวมทั้งการอบรมด้านคุณธรรมจริยธรรม วัฒนธรรมประเพณี และงานธุรการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ตามท่ีกําหนดไว้ในหมายเลขชํานาญการทางทหาร, การจัดและการกําหนดหน้าท่ีของบุคคลและส่วนราชการของกรมยุทธ ศึกษาทหารบก และระเบยี บปฏบิ ตั ติ ่างๆ ท่ีกองอนุศาสนาจารย์ฯ กาํ หนดขึ้น ๗. การบรรจุอนุศาสนาจารยใ์ นภารกจิ พเิ ศษ อนุศาสนาจารย์ อาจไดร้ บั การบรรจใุ นตาํ แหน่งอ่นื ๆ เปน็ การช่ัวคราว ซ่ึงตําแหน่งดังกล่าวน้ัน ต้องไม่ขัดกับการ ดํารงตนอยู่ในภาวะอนศุ าสนาจารยโ์ ดยผู้บงั คับหน่วยจะเปน็ ผ้พู ิจารณาในการบรรจุ
๕๐ บทท่ี ๔ สัมพนั ธภาพของอนศุ าสนาจารย์ ๑. ความเกย่ี วข้องสมั พนั ธ์กบั ผบู้ ังคบั หน่วย ก. อนุศาสนาจารย์ในฐานะฝา่ ยอํานวยการพเิ ศษของผบู้ ังคบั หนว่ ยจะต้องมคี วามสัมพนั ธอ์ ย่างใกล้ชดิ กบั ผบู้ ังคับ หน่วย เพ่ือเสนอแนะในเรื่องที่เก่ียวกับศาสนาวัฒนธรรมประเพณี ตลอดจน ข้อปฏิบัติเพ่ือเสริมสร้างขวัญและกําลังใจของ กําลังพล และในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา อนุศาสนาจารย์จะต้องรับทราบแนวนโยบายของผู้บังคับบัญชา ตลอดจนคําชี้แจง ตา่ งๆ ที่เอื้ออํานวยในการปฏิบตั หิ นา้ ที่ แลว้ นําไปดาํ เนนิ การจนเกดิ ผลดตี ่อหนว่ ยและกําลงั พลของหน่วยตอ่ ไป ข. รส. ๑๐๑-๔ ได้กําหนดถึงความสัมพันธ์ของอนุศาสนาจารย์ ในฐานะฝ่ายอํานวยการต่อผู้บังคับหน่วยรอง ในลกั ษณะ ดงั นี้ “ หากปรากฏพบว่า คําส่ังของผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดอนุศาสนาจารย์จะ ช่วยประสาน เสริมความเข้าใจแก่ผู้บังคับหน่วยรอง หรือฝ่ายอํานวยการของผู้บังคับบัญชา ในลักษณะให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่จําเป็น เพื่อช่วยให้ผู้บังคบั หน่วยรอง เกิดความเขา้ ใจทีถ่ กู ตอ้ งในความตอ้ งการของผบู้ ังคบั หนว่ ยเหนอื ” ๒. ความสมั พนั ธก์ บั ฝา่ ยอาํ นวยการ หน้าที่ของอนุศาสนาจารย์ ในฐานะที่เป็นฝ่ายอํานวยการพิเศษ จะต้องปรึกษาหารือกับฝ่ายอํานวยการอื่นๆ เพ่ือรับทราบข้อมูลทางเทคนิค ข่าวสาร และแนวทางปฏิบัติที่ได้วางไว้ ตลอดจนหาแนวทางให้ข้อคิดทางด้านศาสนา ความรู้สกึ รบั ผดิ ชอบ และขวัญกาํ ลังใจ ดว้ ยสัมพันธภาพฉันทม์ ติ ร โดยจะไมเ่ ขา้ ไปกา้ วก่ายในเรอ่ื งทีอ่ ยู่ในความรับผิดชอบของ ฝา่ ยอํานวยการอืน่ ๓. ความสมั พนั ธ์กบั กาํ ลังพลของหน่วย ก. อนุศาสนาจารย์ จะต้องอยู่ในฐานะที่กําลังพลทุกระดับ เข้าพบปะปรึกษาหารือขอรับคําแนะนําได้โดยง่าย โดยคงฐานะความเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ, การยอมรับฟังข้อคิดเห็น, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, ความสงบเยือกเย็นหนักแน่น มั่นคง และเป็นท่ียอมรบั ของกําลงั พลในด้านความเสยี สละ, ความซ่ือสตั ย,์ ความอดทน ข. อนุศาสนาจารย์ จะต้องหมั่นออกพบปะกําลังพลอยู่เสมอ ณ สถานท่ีต่างๆ เช่น โรงเลี้ยง,โรงนอน, ห้องฝึกฝน, หอ้ งพักผ่อน, พื้นท่ดี าํ เนนิ การยทุ ธ ท้ังในยามปกติ และยามสงคราม ๔. ความสัมพนั ธก์ บั ครอบครัวของกาํ ลงั พล อนุศาสนาจารย์ จะต้องหม่ันเยี่ยมเยียนครอบครัวของกําลังพลเพื่อให้การดูแลและให้คําปรึกษาหารือ, ส่งเสริม ใหเ้ ข้ารว่ มกจิ กรรมทางด้านศาสนาวัฒนธรรมประเพณี และช่วยแกป้ ญั หาทางดา้ นจติ ใจ ๕. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอนศุ าสนาจารย์ดว้ ยกนั เอง ความสมั พนั ธ์ของอนุศาสนาจารย์ระหว่างกันและกัน จะต้องอยู่บนพ้ืนฐานในความเข้าใจซ่ึงกันและกัน, มีความ เคารพกนั , อุทศิ ตนเพอ่ื สว่ นรวม และปฏิบตั ิพธิ ีต่างๆ อันกอ่ ใหเ้ กิดขวัญกาํ ลังใจแก่ กาํ ลังพลและครอบครวั ตามความเหมาะสมแหง่ ความสัมพนั ธใ์ นด้านต่างๆ คอื ก. ความสัมพันธ์ในฐานะผู้ร่วมสายวิทยาการเดียวกัน จึงต้องมีความเคารพกันตามลําดับอาวุโส เชื่อฟังและ ปฏบิ ัติตามระเบียบต่างๆ ทสี่ ายวทิ ยาการกาํ หนดขน้ึ เหมือนๆ กัน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135