นอกไปจากน่ึแหล่งทีม่ าแหง่ บญหาเทยี่ วนับมนษุ ยส์ ัมพนั ธ์ อีกประการหนึ่งก็คือ ในการติดต่อของมนษุ ย์นํน้ “ ความคดิ , และ “ ความรคู้ กิ ” เบนกระใเวนการท่๓ี ดขนพร*อมกัน โดย เหตนุ ึ่เอง เพราะเนอึ่ งจากขไ)เก็จจริงท่วี ่า คนสว่ นมากมไิ ด้ เบนนกั ตรรกวทิ ยา หรอิ เบนนกั ใชเ้ หตผุ ลท่ีดี แต่นัวนแต่ กลบั คดิ วา่ เขาเบนนกั เหตุผล บ่อยครงจงึ ปรากฏวา่ เขาได้ปป็บต คิงต่าง ๆ ลงไปบนพํ้นฐานแห่งความรู้คิกทเี่ กดิ ขนมิได้ปฎบิ ต บนพนํ้ ฐานแหง่ เหตผุ ลอ*,นถกู ต*อง ฃไ)ข*ดแย่งก*,บเท่อี นร่วมกลุ่ม จงึ เกดิ มิฃน ฉะนน้ จงึ จำตองระมดั ระลงั ตลอดเวลาว่า ความ รูค้ ิกตา่ ง ๆ มิผลอยา่ งสา่ ค้ญต่อพฤตกิ รรมทีคนแสดงออกตอ่ คนอ่ืน นัาหากไม่รู้จกวธิ คี วบคุมความร้คู กิ แนัว พฤติกรรมที่ แสดงออกมาตามความรคู้ ิก ยอ่ มจะทำลายภาวะสลาั งสรรค์ของ กลมุ่ ได้ ๔. ฑารไมร่ ่วมมอก*นอยา่ งชรง'ใจ ( ฃฑ6 ^ 0 01081:1011 ) กลุ่มชนกลุม่ ใดก็ตาม นาั หากขาดพนงั ความสามัคคี ในการรว่ มพนังทางกาย พนงั สมองเพอประสทิ ธภิ าพของกลุ่ม เคยิ แนัว ภาวะสรไงสรรค์ของกลมุ่ จะเกดิ มิขนมิได้เลย สาเหตุ ที่กลมุ่ ชนขาดพลไความสามัคคี ย่อมจะสบื เนอ่ึ งมาจากสาเหตุ
ที่วา่ บางคนอาจคิดวา่ สึงท่เี ขาได้กระทำลงไปให้แกก่ ลมุ่ แอว่ ไม่เคยมใี ครเห็นวา่ เบนประโยชน์แก่กลุม่ เลย บางคนอาจคดิ วา่ ความพยายามของเขาไมม่ คี า่ ต่อการยอมร‘บของกล่มุ บางคน นนอาจเกิดความเบื่อหนา่ ยตอ่ การขัดแยงกบั สมาซกิ คน'ในกลมุ่ เมอี สมาชิกในกล่มุ เกดิ ความรสู้ กึ เซ่นว่านแ์ อ่ว พวกเขาจะพา กันวางเฉยต่อภารกิจของกลุ่มเสึย ๖. คลนใฅ้นา้ํ ( ผ!ป้ฟ6้ 11 ส ) เมือ่ ประชาชน รวมตวั กันเบนกลุ่มเพอกจิ กรรมอย่างใดอย่างหน่ีงแอว่ โดยปกติ ทัวไปเบาหมายทกี่ ลมุ่ ตอั งการที่'จะบรรลุ ความสำเร็จ ย่อมจะ ประกาศใหท้ ราบโดยเบตเผย แตใ่ นเวลาเดียวกนั น*นเอง อาจ มสี ภาพทเี่ รียกวา่ \"คล่นื ใต้นา” ช่อนเร,น่ อย่ในกลุม่ คล่ืน ใตน้ าจะสำแดงตัวออกมาในรปู ของ การแข่งข*นกันเพอความ ครองอำนาจในกลุ่ม ความอคติ การไมใ่ หค้ วามนบั ถือแก่สมาชิก โดยเท่าเทยี มกัน การไมม่ เี จตจำนงอนั แน่วแน่ในการแกไ้ ข ทศั นคติอันแตกต่างกันให้ผสานกนั ได้โดยปราศจากรอยรา้ ว สภาพของคลน่ื ใตน้ าเซ่นว่าน์ สมควรทีข่ อดั มิใหเ้ กิดมีขน กัาหากวา่ มอี ย่ กคิ วรที่จะอภิปรายกันอยา่ งเบดี เผยโดยเสรี
หนว่ ยงานสร์ ำงส์รรค บุคคลแตล่ ะคนย่อมมบุคลกิ ภาพเฉพาะต*วใม่เหมอื นกัน่ ฉินใด หนว่ ยงานแต่ละหนว่ ยยอ่ มมบุคลิกภาพของหน่วย แตกตา่ งกนั ฉนิ นํน้ ภาวะสร้างสรรคช์ องหนว่ ยส่วนใหญเ่ กดิ จาก แบบแห่งบรรยากาศของหน่วย หรอื บรรยากาศทางจติ วทิ ยา ของหนว่ ยทบ่ี ุคคลทำงานอยู่ เนองจากว่าหน่วยงานแตล่ ะหนว่ ย ประกอบกัวยบคุ คลทง้ หลายผู้นํ้มพี ้นํ ฐานความรอบ!และความ กดั เจนแตกตา่ งกนั ฉะนน้ํ การเบดี โอกาสโดยกกาั งขวางให้คน ในหนว่ ยงาน ไดมั ล็ ทิ ธิแสดงความคิดเหน็ เพอหนว่ ยงานอย่าง เสรืก่ดี ี การสรา้ งบรรยากาศแหง่ ความชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกัน ก็ดี ย่อมเบนแนวทางก็1ให้๓ ดภาวะสร้างสรรค์ หน่วยงานนน สมควรอย่างยีงทีจ่ ะวิกัยว่า องคป์ ระกอบต่อไปน้อํ าจเบนกำแพง กนภาวะสรา้ งสรรค์เอาไว้ ๑. การกดกนั เพอภาวะเอกรปู กนั ไมเ่ กย'วกบั ผลงาน ( ?168รง1:6 {อ! 1^011— 1^61673111; : )11 11{01111117 เบนหลก ธรรมดาท่วี ่าหน่วยงานยอ่ มจะต,องควบคุมให้คนในหนว่ ย เคร่งคร้ดต่อกฎข‘อบงั กบั หรอื มาตรการกนั เกยี่ วกบั ประสทิ ธผิ ล
ของงาน แตถ่ า้ หากวา่ ผ้รู *บผิดชอบในสายงานแต่ละสายงาน เครไครด่ มากจนเกนิ ไปในเรื่องปลีกยอ่ ยขันไมเ่ กยี่ วกบั ความ สำเร็จของผลงานแล,'ว เชน่ การกวดขนั เฉียบขาดในเรื่องการ แต่งกาย กวดขันการมาทำงานตรงเวลา หา้ มลกุ ออกจากโต๊ะ ทำงานกอ่ นเวลาเลกิ ฯลฯ การกดด*,นปลกี ยอ่ ยเช่นนเบน ขันตรายตอ่ ประลิทธิผลของหนว่ ย ไ©ะ). การไมใ่ หข้ ้อเท็จจรงิ ( 1^3๐1^ อไ 1ถไ0?ก1สฝ011 ) หนว่ ยงานส่วนมากมไโ)จะขัางเรื่อง “ ระบบร*,กษาความล*บ ” หรอื “ ระบบรกษาความปลอดภัย” ของหนว่ ยงานมาเบน ขัออไงในการบองกันมใิ หัคนในหน่วยงานไดท้ ราบขัอเท็จจริง บางเร่อื งที่เขาปรารถนาท่จี ะทราบ การไมเ่ บีดเผยขัอเท็จจริง มักทำให้คนในหน่วยเขัาใจผดิ พลาดในเร่ืองนโยบายการบริหาร งานของหนว่ ย สถานภาพของหนว่ ย ๓. บ:รยากาสเพอความล*มเหลว (7116 011๓316 {อ! ?311111-6 ) หนว่ ยงานมักถอื เอา “ ความไม่มความผดิ ’ เบน หล*กการในการใหบ้ ำเหนจหรอื เลอ่ื นขน้ เงินเดอื นประจำบ ระเบยี บปฏบํ ่ตเช่นว่านในมมุ กล*บกลายเบนี กำแพงมหมึ า ขวาง
ลนมิให้ภาวะสร่างสรรค์ของคนในหน่วยงานลำแดงรูปออกมา ท,ง๎นํเ้ พราะการรเิ รมี ก็ดี การเสนอแนวคิดใหมก่ ด็ ี ย่อมเบน การเส่ยี งมากกว่าการทำไปตามแนวทางเดิม สภาพการทำงาน ในหน่วยจงึ มกดำเนินไปในรูป กช็ าม ไมท่ ำก็ชาม” โดย “ ทำ พยายามรกษาตัวไม่ใหเ้ กดิ ความผดิ ขน ๔. ความกดดนในการทำงานมากเกินไป ( 2 x 0 6 ร3 ^ 6 ??683ใ11‘6 ) ยอ่ มเบนความจรงิ ท่วี า่ การวางแผนงานท ีด่ ี และการควบคุมการปฏปิ ตใหด้ ำเนินไปตามแผนทีว่ างไว้ ชว่ ย ใหก้ ารทำงานในหน่วยมีประสทิ ธิผล แตต่ ัาหากวา่ คนในหน่วย ตก อยู่ในภาวะ ทารกดตัน มากจนเกนิ ไป ผลงาน ทจ่ี ะปรากฏ ออกมาจะอยูใ่ นรปู ตรงกันตัาม เพราะเหตุวา่ ผลงานสร่างสรรค์ ทุกประการ มไิ ดเ้ กิดจากสมองอนั อาั วุ่นตวั ยบญหานานาประการ ของคนทำงาน แต่เกิดขนในเวลาที่คนอยู่ในอารมณป์ ลอดโปรง่ จติ ใจสบายและเบนสมาธิ เพราะฉะนน เฟรดเดอริค ด.ี แรนดอลล์ จึงได้อธบิ ายไว้ว่า “ จติ ใจของคนจะสรา่ งสีงสรา่ งสรรคข์ นมาไดใ้ นยามราตริ แมอสมองปลอดโปร่งจากงานเวลากลางอัน ”
๑ 00 การผกี ฝนเทอื สร์ ่า*ภาวะสรำงสรรค์ เบนการแนน่ อนท่วี ่า บุคคล กลมุ่ ชน หนว่ ยงาน จะต่องไมต่ กอยใ่ นภาวะ “ ลลติ ” หรือ 11เบนกนั ไมย้ นื ตาย ซาก ” แตว่ า่ ตอ่ งอย่ไู นภาวะ “ จลนะ ” หรือกำว'ไปขางหนำ อยา่ งไมห่ ยดุ ยง ภาวะสรไงสรรคจ์ งเบนี สืงตอ่ งไดร้ *,บการพัฒนา ให้เกดิ บีขน อากยั พลังเจตจำนงอันแน่วแนท่ ี่จะเบีนคน สรา่ งสรรค์ ตว่ ่ยการเร่งเรา่ ของคนสรา่ งสรรค์อื่น ๆ กบั ควย แรงผล*กด’,นตนเองให้กัาวหนำ และความ พยายามทดลองไน แนวทางใหม่ ๆ ภาวะสร่างสรรคย์ อ่ มพฒั นาขนตามลำกับ จาก ผลการวิจ’,ยปรากฏว่า หลกั นยิ มกงั ต่อไปนยอ่ มสรา่ งภาวะ สรไงสรรค์ทีก่ งั ไม่บใี หเ้ กดิ บีขน ท่ีมอี ยู่แลวั ใหพ้ ฒั นามากยิง่ ๆ ขนไปอกี ๑. การผกความคดิ ประเภทผลติ ผล ( ร131ผฑ่ 8 ๒ ?1-0(า110เ^6 71ฑ1่ 11ฝ1)8 ) บีจจพุ ัน'น การสอนให้ผกื คดิ สรา่ ง สรรค์อยา่ งดมี ผี กสอนกนั อย่หู ลายระเบียบวิธกี ัวยกัน แตท่ ุก ระเบยี บ จะยาหนํ,กในเรอื ง ใหม่ ๆ” แห่งการพจิ ารณาี ว ธิ “ ว ิถ ี ขอ่ เทจี่ จริง การ คิด หา ความลัมพนั ธ์ ของข่อ เท็จ จรงิ ท่ีง หลาย
(5)0 (5) ฑารสรา้ งยอ้ ยติ ระเบยี บรธิ กิ ารผกื ความคิดประเภทผลตื ผลน ชว่ ยให้ผู้เขไร้บก่ ารผืกกำหนดประเภทของบญี หา รวบรวมขอ้ มูล อนั เกี่ยวเน่ํองกับบีญหาสง่ เสริมให้เบีนนไาโต้แยง้ ริธิประมาณ ค่าแนวคด กล่า'ที่จะเปล่ียนแปลงแนวความคิด ในการผกแบบ นํ้ บญี หาต่าง ฯ จะถกู นำมาเสนอให้ผูร้ *บ่การผืกปฏิบต่ เชน่ บีญหาข้อเดยี วแต่ให้หาคำตอบวธแี กบ้ ญี หาขอ้ น*นใหไ้ ด้คำตอบ มากท่สี ุดเทา่ ทีจ่ ะคดิ ได้ ให้ประติษฐคำคมสุภาบีต ขนใหม่ ๒. •การผกความฉบไว ( ร6ถ311^เ7 ) เนองจากวา่ คนสว่ นมากปฏบิ ตงานรว่ มกบั คนอน่ื การผก ความฉับไวจงึ มเี บาี หมายเพือ่ ช่วยเหลอื ให้บคุ คลกลายเบนี คนมี ประสทิ ธิภาพในล่มพ*,นธภาพกับคนอืน่ ประสิทธภิ าพในย้อน ๓ ดขัน๊ ไดเ้ พราะ ก. การเพม่ื ความระยด้ ระกังและความเย้าใจเรือ่ งพลงั จูงใจ และความรู้สกึ ในการติดตอ่ ระหวา่ งบคุ คลตอ่ บคุ คล ข. การปร*บปรุงกกั ชะในการตดิ ตอ่ กบั คนอนื่ ระเบยี บ'วธิ กี ารผ1ึ กความฉับ'ใวน้ํ ผคู้ วบคมุ การผืกแบ่งผ้รู *บ การผึ'กออกเบีนกลุ่มเล็ก ๆ ทกุ คนจะได้ร*บ่การผกื ฝนเกย่ี วกับ
(๑) การเรียนIเกีย่ วก*'บตนเองและความเก่ยี วเนอ* ก*บคนอื่น (๒) การเขา่ ใจความรู้สกึ ของตนเองและพฤติกรรม อันเกิดเพราะความรูส้ ึกน1น ๆ ทแ่ี สดงตอ่ คนอน (๓) ความฉับไวในวิธที บี่ คุ คลตดิ ต่อซงี่ ก*นและกน (๔) เรียนรู้ “ วิธพี งที่ด ี” (๕) เรียนรู้ว่าประชาชนมีอทิ ธีพลต่อกลุ่มชน อย่างไร กลุ่มชนมอี ิทธพิ ลต่อประชาชนอย่างไร (๖) เรียนรู้วธิ ีท่จี ะชว่ ยเหลอื กลมุ่ ชนมปี ระสทิ ธิผล ยีง ๆ ขน เบาหมายของการผกื แบบน เพอม่งุ หมายใหผ้ เู้ ข่ารบํ การ ผกื เกดิ มีอกั ษะในเร่อื ง (๑ ) ความฉใ-)ไวทางสงคม (3๐0181 3611811:17117) คือมุ่ง'ให้เกิดความสามารถทจ่ี ะเขา่ ใจอยา่ งถกู ต*อง'ในสงึ ทค่ี นอ่ืน คืดและคนอนเกิดความร้สู กึ (๒) ความออ่ นตวํ ทางพฤตกรรม (66113710๗ 616X11)1111:7 ) อันได้แก่ความสามารถทีจ่ ะปฏปิ ้ตอย่างเหมาะสม ในสถานการถ;นานาประการ
6)0๓ ระหวา่ งหวงเวลาการผืกฝน ผ้เู ขา้ ร*บการผกฝนจะไค้ ตรวจสอบความรสู้ ึกกรํ ืยาทา่ ทาง การแสดงออกทางใบหนำ และพฤติกรรมประจำว*นอีน ๆ อนั ละเอียดอ่อนของตนโดย ละเอียด (๓) การผกท่กษะการวิเคราะห ( 01321108110 ร!!:!!! ๆโ]-3๒๒2 ) การผืกฝนแบบนมวํตถุประสงคห์ อกั อยทู่ ่ี การชว่ ยใหบ้ คุ คลผ้ทู า่ งานรว่ มอนั ในกลมุ่ ไดเ้ ขา้ ใจถึงสาเหตุ แห่ง ‘'ความพกํ ารกลุ่มซน” หรอื ความขดั แขง้ อนั ระหว่าง สมาชิก ซง่ึ แสดงออกในรปู ขของการแข่งข้นเพื่อการครองอำนาจ การวางเฉย การไมต่ ดั สินใจ ระเบียบ'วิธปี ฏนิ ่ตที่เลว พฤตกิ รรม อันเบีนดจุ คลื่นใตน้ าแบบน เบีนตัวการท่ีลดประสทิ ธผิ ลของ กลุม่ ลงไป ผ้เู ข้าร*บการผกื ฝนจะได้ร*,บการผึ'กฝนในเรืองบทบาท ของประมขุ ศิล!] แบบทดี่ ีแหง่ การรว่ มปปบ็ ตี งานในกลมุ่ การ อัาวหนำไปสูเ่ บาี หมาย อักษณะการติดตอ่ ทด่ี ี วินยํ ของกลุม่ ความรูส้ ึกในเรอื งความเบีนเอกภาพ (๔) การผกสมอง (81-310 8101-101112^ อเลกซ เอฟ. ออสบอร่น เบีนคนแรกทพ่ี ฒั นาการผกื สมองขนเพื่อผกื ฝน
®0๔ ภาวะสร่างสรรค์ เขาถอื วา่ การทคี่ นไมก่ ล้าแสดงความคดิ ออก มาเบนเพราะเขากล*'วการวิจารณ์จากคนอน๋ึ ในระเบยี บวธิ ีการ ผกื สมองท่เี ขาพฒํ นาขน้ํ จึงถอื วา่ “ การผลติ ความคิด” ก*บ เบนี กระบวนการท่ีต*'องดำเนนิ การแยกออกจากลน้ โดยเด็ดขาด ระเบยี บวธิ กี ารผกื สมองมีลำดบั ฃํน้ ตอนดังนํ้ (๑) ผู้เข*''เร่บการผืกแบ่งเบีนกลุ่มเลิก ๆ กลุ่มละ ๑๐—®๕ คน นิ'งรวมล้น ณ โตะ๊ กลม ผ้นู ำกลมุ่ หรอื ประธาน จะเสนอบญี หาใหท้ ุกคนเสนอแนวคิดแกบ้ ญี หา (๒) แต่ละคนจะได้ร่บการเร่งเร่าให้ใช้มากทส่ี ดุ เพอคดิ แกบ้ ญี หาในแนวทางตา่ ง ๆ เทา่ ท่ีจะคิดข้ํนได้ จะไม่มี การดัดสินหรือประมาณค่าแนวการแก้บญี หาแต่ละคนคดิ ได้ (๓) ความรวดเรว็ และจำนวนแนวคิดที่แตล่ ะคนคิด ไดใ้ นการแกบ้ ญี หาแต่ละข*'อจะถูกบนิ ทึกไว้ ผู้นำกลมุ่ จะเร่งเร่า ใหท้ ุกคนเกดิ พล*'งใจแรงกล*'าท่จี ะเสนอแนวคดิ ท่ดี ยี ีง ๆ ขนตาม ลำดับ (๔) ผ้นู ำกลุม่ อาจเสนอบญี หาเรยี งตามลำดับบุคคล หรอื ส*’ชลำดับกไิ ด้
๑ 0๕ (๕) เมอยุติการประชุมแลว จะนํบว่ามแี นวการ แก้บีญหาก่ีวธิ ี แล่วล่ดทำการประมาณค่าแนวการแก้ (๖) ผลการประชุมผกฝนแต่ละคราว จะรายงาน ให้ผ้อู ำนวยการผืกฝนทราบ ล่าหากว่าเบนี แนวการแกบ้ ีญหาที่ ใชไ้ ด้ ผเู้ ขไร่บการผ'ึ กจะเกิดความสนใจและกระดอี รอิ ร’นใน การทจ่ี ะเขา่ ประชมุ ผืกฝนในคราวตอ่ ไปอีก ๕ . ระเบยบวธปคบู ต (?1ใ6 0เว61\"3เ1011ส1 ^\\?1ว103011) วลิ เลยี ม เจ. เจ. กอรด็ อน แสดงความคดิ เห็นวา่ ระบียบวธิ ีผ1ึ ก สมองผลิตแนวคิดประเภทฉาบฉวย เพราะว่าขอยตุ ิเกดิ ขนํ้ ใน เวลาล่นรวดเร็วมากเกนิ ไป ส่วนแนวการแกบ้ ญี หาตามระเบียบ วธิ ีปฏบิ ตํ ของเขา เขามใี ด้ม่งุ จะแสวงหาแนวแกบ้ ีญหามากมาย แต่จะมุ่งเพยง ๑ -๒ ประการท่เี บนแนวใหม่ชนดเี ย่ยี ม ระเบยี บ วธํ ปี ฏํบํตมีขนตอนคํงน (๑) เรม็ แรกผ้เู ข่าร ่บ การผกื จะอภิปรายเร่ืองราว ต่าง ๆ ลน่ เกีย่ วกํบบญี หาในล่กษณะทวไป (๒) ประธานเสนอขอ่ เท็จจริงซงึ่ จะกำหนดเบาี หมาย ของตวํ บญี หาใหแ้ คบเขา่ การอภปิ รายจะดำเนนิ ไปตามขอบเขต ทรบทราบ*
๑๐๖ (๓) ประธานเสนอตวั บีญหาท่ีแท้จริงผู้เขา่ รบั การ ผกอภิปรายเสนอแนวแกบ้ ญี หาใหม่ ๆ อน้ เบนแนวการแกท้ ี่ด เยึ๋ยม เพอความเข่าใจ,รดั เจนว่าระเบยี บวธิ ปี ฏํปตจะถูกนำไป ปฏบิ ตจรงิ ไดโ้ ดยวธิ ใี ด ในการนขอให้ศึกษาข,นตอนจากบีญหา เรอิ ง “ การสร้างเครอ๋ึ งตัดหญำ,’ ซึง่ มีแนวการแกต้ งั ต่อไปน้ํ (๑) พิจารณากรรมวธิ ีตัดหญำ (๒) ลไาษณะของใบมดี ท่ีจะนำมาใช้ การหมนุ ของ ใบมดี (๓) พิจรารณาเครองตดั หญำทมี่ ีใช้อยู่ในบจี จุบนั (๙) ขอ่ ยุติ การได้แนวคดิ ใหมใ่ นการสรา้ งเครอิ ง- ตดั หญำแบบใหม่
บทท่ี ๔ การทำการตดสนั ใจ ...เรากำตงั ทำการตดั สนิ ใจแบบทีเ่ ราควรจะทำหรอื ไม่ เราต*องเปล่ยี นแนวการตัดสนิ ใจบ่อย ๆ หรอื ไม่ ทำไม จึงไมย่ ึดมน่ กบั การตัดสนิ ใจทีไ่ ด้กระทำลงไปแตัว เพราะเหตุไร จงึ ตัองทำกาวตัดสนิ ใจตวั ยตนเอง จะไว้ วางใจคนอ่ืนใหช้ ่วยตดั สินใจบ่างไม่ ได้หรอื ท ำ ไ ม ก า ร ต ดั ส ิน ใ จ จ งึ ไ ม ่ถ กู น ำ ไ ป ป ฏ บิ ต เ ร า ส า ม า 7 ถ ป ร บ ป ร งุ ท กั ษ ะ ก า ร ท ำ ก า ร ต ดั ส ิน ใ จ ข อ ง เ ร า ไ ด ้อ ย ่า ง ไ ร \" . ต ้อ ง ก า ร อ ะ ไ ร ? แบบไห น ? ปรมาณเทา่ ใด ? ใ น ท วั ง เ ว ล า ไ ห น ? เ ร ง่ ด ่ว น ห ร อ ไ ม ่ ? เ ส ยิ ค า่ ใ ช จ้ า่ ย เ ท ่า ไ ร เ ร า ส า ม า ร ถ ด ำ เ น ิน ก า 7 ไ ด ้ ห ร อ ไ ม ่? จ ะ ใ ช ร้ ะ เ บ ย บ ว ริ ห ร อ แ น ว ก า ? ป ฏ บ ต อ ย ่า ง ไ ร ?
8)0๘ ใ ค ร จ ะ เ บ น ผ ู' ด ำ เ น ิน ก า ร พ ว ก เ ข า เ ข ้า ใ จ เ ร อ่ื ง น ห ร อื ไ ม ่ พ ว ก เ ข า เ ห ็น พ อ้ ง ด ว้ ย ห ร ือ เ ป ล า่ ? จ ะ ป ร ับ ใ ห ้เ ข า้ ก บั ว ตั ถ ปุ ร ะ ส ง ค ข อ ง ห น ว่ ย ง า น ไ ด ้ อ ย ่า ง ไ ร ? คำถามข่างตันน่ึแม้วา่ จะแบนคำถามท่งี ่าย แตว่ า่ ยาก การวเิ คราะหท้ างตรรกวิทยา การตัดสินใจเทา่ นน้ ทจ่ี ะให้คำตอบ แกบ่ ญหาเหล่านึ่ใด้ การทำการตัดสินใจคอื อะไร ? คำวา่ ‘ การทำการตดั สินใจ ” (060181011—IV๒ คอื “ กระบวนการทบี่ ุคคลหน่งึ หรอื กลุม่ ชนกลุม่ หนึง่ พยายามท่ีจะปริบปรุงแนวคดิ และการกระทำของเขา ให้เขา่ ตับ องคํประกอบตา่ ง ๆ ชีงเชอี วา่ มอี ทิ ธิพลต่อแนวคิดและการกระทำ น้น ๆ^.” การทำการ ตัดสนิ ใจ อาจ เทยี่ วเนอ่ึ งตับ การ กระทำของ บคุ คลแตล่ ะคน เช่นการตดั สนิ ใจเลิอกเรียนวิชาชีพ เลือก ประเภทงานอาชีพ หรอื อาจเบนเรอื งของหน่วย งานรฐิ บาล องคก์ าร บรืษํทหา่ งรา่ นตา่ ง ๆ บจจุตนั นมึ่ ีแนวคดิ ผดิ ๆ เทย่ี ว
กับการทำการตดั สนิ ใจอยูม่ ากหลาย ซึง่ เกาะแนบแน่นอย่ใู น แนวคดิ ของคนส่วนมาก แนวคดิ ผดิ ๆ นนได้แก่แนวคิด ตัง ตอ่ ไปน ๑. การทำการตลิ สนิ ใจย่อมมไดเ้ ฉพาะคนห*วหนำ หน่วย หรอคนในตำแหน่งสงู สุดของหนว่ ยเท่านน ขอน เบนแนวคิดที่ผดิ อยา่ งมห*,แต่ ผลการวิจไ)ยนื ยันวา่ บุคคลทกุ ระตับยอ่ มตอั งทำการตัดสนิ ใจท1งสน และการตัดสินใจนนํ ไมว่ า่ จะเบนการตัดสินใจของบคุ คลหรือของกลมุ่ ชน ยอ่ มมีผลตอ่ สภาพของหนว่ ยงานทีดำเนินการอยู่ท่งสน ๒. ข้อมลู สมบูรณ ์ดจะช่วย๓ ประกนวา่ การติดสิน ใจจะดติวย์ แนวคดิ ขไ)นเกิดจากการหาเหตผุ ลทางดรรกวทิ ยา อนั มรี ากฐานอยบู่ นแนวคิดเร่อื ง 11งานทีส่ มบูรณข์ องผาย อำนวยการ ” แต่,ใน'ทางปฏิบด้นน มีขไ)เทจ็ จริงอยวู่ า่ ความ สมบูรณ์แห่งขอ้ มูลยอ่ มไมอ่ าจคาประกนั ไดเ้ สมอไปวา่ การ ตัดสินใจจะตไ)ง “ ดี ” ตามไปตวั ย ๓ . การทำการติดสนิ ใจของหนว่ ยงานจะปรบปรุง ใหดขนได้ เพราะผู้บรหิ ารระด*บหํวหนำ ทำการติดสนิ ใจ โดยอาสยการศกษาและการปฎบิ ํฅ จริงอยเู่ บนท่ยี อมร*บ
6 )6 ) 0 'กันว่า การปอับปรงุ ตนเองยอ่ มเบนสงี ท่ีนา่ ปรารถนาและเบน เรืองอนั เบนไปได้ แต่อัอนา่ สงสัยมิอยวู่ ่า แนวคดิ นิถอื ว่า สมรรถนะการอัดสนใจของหน่วยขนอยู่กบั คนเพยงคน เดยว เพราะผลประอักษ์ยนื ยนั แก่เราวา่ หนว่ ยงานอฐั บาล องคก์ าร ธุรกิจอุตสาหกรรม บรยื ัทหา่ งอัาน ออั งประสบกับความ พินาศ เหลวแหลกสํ้นดี กเ็ พราะปลอ่ ยให้ คน เพ ยงคนเดยว อัดสินใจ พฤตกิ ารณเ์ ช่นกล่าวนมํ้ เิ กด็ ซาซ่อนอยา่ งไม่สนสุด มใิ ชห่ รอื ? ๔. ถา้ หากมคนจำนวนมากเกย็ วซอ่ งอยใู่ นกระบวน การการต*,ดสนใจจะถอ้ งลดจำนวนคนใหถ้ ้อยลงไป แนว คดิ นิใชไ้ ม่ได้กับสภาพสังคมบจจุยัน เพราะในบจจยุ ันนถิ ือวา่ หน่วยงาน องค์การ ธรุ กจิ อุตสาหกรรม ยงี พํฒนาขยายตัว ออกไปมากเพยี งใด ควรจำเบนทจี่ ะออั งใชก้ ลุ่มคนจำนวนมาก ผู้มิความชำนาญสาขาตา่ ง ๆ ทำการอัดสนิ ใจย่อมมิมากขน เพียงน,น การวเิ คราะห์กระบวนการการทำการตด่ ส์นใ,จ การเขา้ ใจอย่างแท้จรืงวา่ การทำการอดั สนิ ใจอนั เกิดขน ไนหน่วยงานยอ่ มเบนพ้นํ ฐานสำคญั ตอ่ การปอับปรุงหน่วยงาน
๑®® เพราะฉะน,5น จึงน*บว่าเบนประโยชนอยา่ งยงี ท่ีสมควรจะ วเิ คราะห์กระบวนการการทำการตดั สนิ ใจ ซงึ่ ได้แก่ ๑. องค์.ประกอบพนฐานในการทำการตดสนใจ ( 830^1:01111(1 111 1)60131011 — ^3^108 ) หนวยงาน ทุกหน่วยยอ่ มจะมีท้งประวตํ ศาสตร์และภาวะ บจจบุ นั ของหน่วย ท,งสองประการ ทกุ หนว่ ยงานจึงยอ่ มมีแบบสัมพนั ธภาพระหว่าง บุคคลท1งหลายในหนว่ ยงาน ซึ่งน*,บวา่ มอ็ ิทธพิ ลมหาศาลต่อ ทุกคนผปู้ ฏิมต่ งานในหน่วย เพราะฉะน้น เราจึงมไาไดย้ ินคน พูดกนั ว่า “ เขาเบนลูกหม่อกระทรวงการตา่ งประเทศ ” “ พวกเราเลอดทหารม่า ” “ พวกเราชาวธนาคาร ” หนว่ ยงานท่บี ุคคลทำงานอยู่ย่อมมีความหมายทางสังคม อยา่ งสำคญั ยีงตอ่ ทุกคน มเพียงสมั พนั ธภาพในครอบครํว เทา่ นํ้น ทม่ี อี ทิ ธพิ ลเหนียวแนน่ กว่าพสังสัมพนั ธภาพในหน่วย งาน งานอาชพี ของเรามีความหมายมากกวา่ การหาเงนิ เลยงชพี ไปว*นหนง่ึ ๆ เพราะงานอาชพี นน้ เบนสว่ นหน่ึงแห่ง “ ระบบ คณุ คา่ ชีวติ ของคน ”
โดยเหตุน่ืจงึ ทำให้เข่าใจได้ว่า บคุ คลที่ทำงานไม่วา่ จะใน หน่วยงานร*ฐบาล องค์การธุรกิจอุตสาหกรรม บรษิ ัทหา่ งรา้ น แต่ละคนมคี วามสนใจก*บ ‘สึงท่เี กิดขน” ในสถานการณ์ การทำงาน ฉะน,5น ผบู้ รหิ ารงานธุรกิจอตุ สาหกรรม เมอี ตอ่ งการ ทจี่ ะปลุกพลไเใหค้ นงานทำตนให้เบนเอกภาพกบั เบาหมายของ หน่วยงาน จงึ ไดท้ ุ่มเทเงนิ ทอง พล*งความคดิ เวลาเพึอ๋ ปลกู ผง ท*คนคตขิ ่อน่ื เม่ือความร้สู กึ เบนเอกภาพกลายเบน “ ความ ร ูส้ กึ ” อันทรงพลไอยใู่ นจตํ ใจของคนงานทกุ คนแษวั ความ รสู้ กึ จะแปรสภาพกลายเบน '‘ การกระทำ” และการกระทำน เองจะเบน ‘‘อิทธิพลพนฐาน'’ แห่งความพ*ฒนาของหนว่ ยงาน องค์ประกอบพนฐานการทำการตัดสินใจ จงึ มิ ใชเ่ พยี ง เทย่ี วเนอ่ื งกับว*ตถปุ ระสงค์มลู ฐานของหน่วยงานเทา่ น,น แต่องั เทยี่ วขอ่ งกบั “ พฤติการณ”์ (]ฬ311ฑ61:) ทบ่ี คุ คลแต่ละคนทำ ในงานอันเบนหนา้ ที่เฉพาะของเขาอกี ตัวย พฤตกิ ารณน์ ่ืมใิ ช่ เพียงสึงทเี่ ขาพดู แต่เบนสึงท่ีเขาแต่ละคน “ ทำ” ลงไป ตวั อย่างเช่น หน้าทขี่ องห*วหนา้ คนงาน ยอ่ มมีมากกวา่ การ หน้าทซ่ี ่งึ หน่วยงานได้กำหนดไว้ ในข่อษังอบั แต่ข่อสำค*ญอยทู่ ี่ ส*มพันธภาพที่เขามีต่อคนงานทกคน และคนงานทกคนมอี ย่
®®๓ ก*บเขา ส*มพนํ ธ่ ภาพนเ่ื องทสี่ ร*างคนแต่ละคนใหม้ ความรูส้ กั และดำรงชิวํตร่วมก*'น ห*'วหนำคนงานยอ่ มรูด้ วี ่า คนงานของ เขาตํองการอะไร'ไมต่ อ่ งการอะไร วางเฉยในเรอื่ งใด แล*'วเขา ก็นำคนงานไป ในทศิ ทางที่เขาต*'องการได้ ๒. บญหาเรองความเข้าใจในการทำภารตดสนใจ ( 1*1-0๖161X1 ?61,06ล11011 111 060181011—1ฬ81น1า8 ) สมาชก ทกุ คนในหน่วยงานยอ่ มมองดูเหตกุ ารณ์ วจ*'ยบุคคลค*'วยวุฒิ บญญาแหง่ ความจ*'ดเจนของตนเอง เพราะฉะนํน ความเขา่ ใจ ส่วนบุคคลจงึ กลายเบนเรือ่ งสำค*'ญอย่างยีงในกระบวนการการ ทำการตด่ สนิ ใจ เชน่ ผู้อำนวยการกองหรือห*'วหนำหนว่ ยงาน เบนคน “ เมตตากรุณาและใครค่ รวญหาเหตผุ ล” ทุกคนใน หนว่ ยงานย่อมเทดิ ความสบายใจ ก*'บพร*'อมที่จะมอบความจงร*'ก ภ*กดีใหอ้ ย่างจรงิ 'ใจ วัตถดุ ิบแห่งความเขา่ ใจส่วนบคุ คลเทดิ ขน โดยนยํ น่ื แต่ว่าความเข่าใจของบคุ คลมิใชม่ ี ลไาษ ณ ะเชิงเตยี่ ว ด*'งกล่าวแล*'วเท่าน*น หากย*'งเท่ยี วเน่อื งไปถึงท*'ศนคติของเขาทีม่ ต่อหนว่ ยงาน วตั ถปุ ระสงค์ของหนว่ ยงานและย*'งไดค้ รอบคลุม ไปถงึ อาณาจ*'กรแหง่ บญญา เรอื่ งการยอมร*'บน*'บถฮึ ในฐานะ ทเี่ ขา แตล่ ะคนเบนสมาชกิ ของหน่วยงานอกี ดว่ ย์
๑®๔ ชา่ งกลที่มปื ระสทํ ธภํ าพ เขาจะไม่พงึ พอใจเพยี งแคเ่ หน เครอื่ งยนตท์ ำงานได้อยา่ งเรย่ื บร่อย แต่เขาจะต*องคำนงึ ถึงการ ทำงานใน “ อนาคต ” ของเคร่อื งยนตต์ ่อไปด*,วยขํอนํ้ฉันใด คนทกุ คนในหนว่ ยล*,วนแล*,วแต่มีความสนใจในส็งบันพงึ บังเกดํ ขนแกห่ น่วยงานใน “ อนาคต ” ฉนั นนเหมอื นบัน ๓ . กระบวนการวเิ คราะห์ในการตดสินใจ (XII© ^031^11031 ก!'0068563 1ถ 06018๒11 ) เมอเกดความเขาใจต*ว บญหาแล*ว, ความสนใจจะเปล่ยี นไปเบนการวิเคราะหบญหา เรืม่ ต*,นด*,วยการถามบญหาในรปู บนั แตกตา่ งกัน เชน่ บ ญ ห าค อ อ ะไร ? เ ร า แ น ใ่ จ ไ ด ห้ ร อ ไ ม ่ ? ถ า้ ห า ก ไ ม ท่ ำ อ ะ ไ 7 จ ะ เ ก ร ) ม ีข น ? ช ้อ น ด ีห ร อ เ ล ว ? เ ร า ป บี ท บ า ท อ ย ่า ง ไ ร ใ น บ ญ ห า น ? เ ร า ถ ้อ ง ต ดั ส ิน ใ จ ถ ้ว ย ต น เ อ ง ห ร อ ใ ห ้ค น อ น่ื ต ัด ส ิน ใ จ ใ ห ้ ? ป ีแ น ว ท า ง แ ก ้บ ญ ห า ก ป ร ะ ก า ร ? อ ะ ไ ร เ บ น แ น ว ท า ง แ ก ้บ ญ ห า ท ี่ด ท้ สี่ ดุ ?
©๑๕ แนวทางปฏบํ ตอ*'นมปี ระสิทธผิ ลในการวเิ คราะหบ์ ญหา มีลำตับขไเตอนตงั ต่อไปนื่ ๑. การยอมร*บบญหา ๒. องคประกอบอ*นเน่ืองตวั ยบญหา ๓. การพยากรณผ์ ลล่วงหนำ ๔. การพงความคิดเหน์ ในแนวทางปฏิบตหลาย ๆ ทาง ๕. การประมาณคา่ และการทดสอบผลท่อี าจเบน ไปได้ของแต่ละแนวทางปฎิบ่ต ๖. การเลือกหนทางปฏํบตท่ดี ีท่ีสุด ๗. การตัดสิน'ใจปฏบิ ดตามแนวท่เี ลอื ก’ใวแ้ ตัว ๔. การกระทำและปฎกิ :ยา (^0*1011 3๗ 1*630ฝ00) เม่ือกล่าวโดยกระบวนการทางดรรกวิทยาแลว้ การทำการ ตัดสินใจจะเกดขนไม่ได้ ล้าหากว่าไม่มกี ารพจิ ารณาลว่ งหนำ ก่อนว่า การตัดสินใจนํนจะถกู นำมาปฎิบตได้โดยวธิ ีใด มี บคุ คลใดบำงจะไดร้ *บการบรรจุใหเ้ ล้าปฎิปต งานตามแผน ฃน้ ตอนการปฏบิ ตเบนไปอยา่ งไร อะไรเบนเรือ่ งเรง่ ตว่ นนอกไป จากนกื่ ระบวนการ การกระทำย*งเก๋ึยวเนื่องไปถึงการคิดต่อของ
0๑๖ คนภายในหน่วยอึกควยกลา่ วคอทุกคนในหนว่ ยไม่ว่าจะมฐานะ อย่างใดย่อมควรทราบการตดั สนิ ใจท่ไี ค้ตกลงกันเรยี บกัอยแกวั อย่างละเอยี ด ข่อควรคำนงึ อกึ ประการหนี่งกค็ ือ ควรทำการ วเคราะห์ดูวา่ หกังจากการตกลงกันเรยี บรอ่ ยแกวั ในเรอี งแนว ทางปฏบิ ่ต มปี ฏิกริ ยิ าใด ๆ เกดิ ขนบา่ ง'ในหนว่ ยงาน การปกับปรุงกระบวนการการทำการตคิ ฝ้ น็ ใจ จากผลการวิจ้ยป์ รากฏวา่ นกั บรหิ ารงานประเภทสกัาง- สรรค์ ยอ่ มสามารถช่วยใหเ้ กดิ การปกับปรุงกระบวนการการ ทำการตดั สนิ ใจในหน่วยงานของเขาหลายวธิ ี วิธที ีส่ ำกญั ท่ีสดุ ไคแ้ กว่ ิธตี ่อไปน ๑. การเข่าใจกตั ถุประสงคใ์ เองหน่วยงาน (17ภฟ้61- 8เ31ฟ1ถ2 01,23ฟ231101131 0เ3]601^63 ) ม*,กมความเขาใจกันวา่ “ ทกุ คนในหนว่ ยงานย่อมทราบว่าอะไรคือวตํ ถปุ ระสงค์ของ หนว่ ยงาน ” แต่ผลในทางปฏปิ ้ตน,นกกบั ปรากฏออกมาว่า ผบู้ รหิ ารงานสว่ นมากมความสนใจนอั ยเหลอื เกนิ ว่า คำกลา่ ว อา่ งที่ว่านจริงหรีอไม่จริง คนฑ้งํ หลายทีป่ ฏิปดงานในหนว่ ยงาน กักจะเขา่ ใจผิด เกี่ยวกับเร่ืองว*,ตถุประสงค์ความเร่งตว่ นแห่งกัตถปุ ระสงค์ วิธี
©©ฟ้ ฑารท่ีจะบรรลวุ ตถุประสงค์แตล่ ะช่อ ชอ่ นเบนี จริงมิ ใช่เพยี งใน หนว่ ยงานใหญ่ ซง่ึ มสิ าขาแยกยำยอย1ู ณ ทตี่ ้ํงตา่ ง ๆ กนั เท่านน้ แมใ้ นหน่วยงานเลก็ ๆ กเบนความจริงเหมอิ นกัน บางคนกลา่ ววา่ กำหนดวตํ ถปุ ระสงค์ของหน่วยงานไม่ อาจเขยนเบนลายลกั ษณอ์ ไาษร เพราะวา่ ลัาหากเขียนลงไปแลวั กต่’องมกี ารเปลย่ี นแปลงแก้ไข,ใหว้ ตํ ถุประสงค์น*น่ทันสมัยอยู่ เสมอ คำกลา่ วช่างกันนจะจริงหรือไม่กตามพี แตห่ น่วยงาน ทกุ หนว่ ยจำกัองมิ “ แนวคดิ ลันเบนระบบ” ซึง่ กล่าวถงึ ว*ตลุ- ประสงค์มูลฐานของหน่วย ระเบยี บชอ่ ปฏิบต กรรมวธิ แี ละ ห,วงเวลากำหนดความเร่งด่วน ของงานแต่ละ อย่างลงไปอยา่ ง แน่นอน ระเบียบปฏบิ ตํ เช่นนเบีนพนํ้ ฐานการบริหารงานท่ดี ี และถือกันว่าเบนี หัวใจของกระบวนการการทา่ การกัดสินใจ ๒ . การเช่าใจว่าอะไรกำกังเกิดขนในหน่วย (ฆฑฟ้©I- รเผฟ่เฑฐ) คนผูไ้ ดร้ *บความชว่ ยเหลอื ให้ใชค้ วามชว่ ยเหถอื อย่างมปิ ระสิทธํผล โดยการลดความร้สู ึกทีจ่ ะไม่ยอมร*บความ ช่วยเหลอื ลงไป หรอื เลิกคดิ วา่ กอั งอากยั ความชว่ ยเหลอื อยู่ เรือยไปจงึ จะแก้บญี หาได้
๑©ฝ นักบรหิ ารท่ีตคิ วรจะไดแ้ ยก “ การสไ)เกต ” สีงทีเ่ กิดขน ให้ออกจากก*นก‘บ “ การตดิ สิน” ของตนเอง เพราะการต’'ดสนิ คณุ ค่าของสงี ท่เี กิดขนติ'องมาทีหลัง ดา่ หากวา่ นกั บริหารงาน พยายามคอย “ พ ง” และ “ สงั เกต” อย่างถ่ีด่วนไมน่ านนกั ก็จะได้พบความจรงิ ติวย์ ตนเองว่า ตนกำลงั จะถกู เคลอื บคลุมไม่ ใหม้ องเหน็ “ ความจริง” โดยมสี สี ันต่าง ๆ เพราะฉะน1น นักบริหารจึงควรเริยนรูว้ ิธี “ สังเกต” สงี ท่กี ำลังเกิดขนภายใน หน่วย ๓. เขำใจในบทบาทของแต:่ ละบุคคล 8เ31ฟ1ถ2 แใ6 1?อ16 เ116 1)1(3ฬ(1แ31) ความรอบรอู ย่าง ถกู ตอิ งในเริองทกี่ ำลังเกิดขนใน หน่วยงาน จะช่วยใหก้ าร ประมาณคา่ บุคคลในหนว่ ยงานไดอ้ ยา่ งถกู ตอิ ง ข*,อบกพร่อง ประการฟา้ ค*'ญท่ี สดุ ของนักบริหารงานก็คอี นักบริหารงาน สว่ นมากจะมองเห็นเพียงกลุม่ คนที่ทำงานใกลช้ ิดเทา่ นนั สว่ น คนอ่นื ๆ ม*กิอยูใ่ น “ ความมีด” สำหร*บเขา โดยเหตุน นัก บริหารงานนอกจากจะตอิ งรูว้ ่าแต่ละคนกำลงั ทำอะไรแด่ว ย*ง' ต*'องรู้ตอ่ ไปอีกว่า แตล่ ะคนมีท*'คนคตเิ กี่ยวกบั บทบาทของตนเอง อยา่ งไร มาตรฐานแหง่ ความสำเรจิ ในการทำงานเบนอย่างไร
เขาแต่ละคนม่งุ VIวังจะเบนอะไรต่อไปอีกในอนาคต คนอีน ประมาณค่าคนน,นอยา่ งไรบา้ ง ๔. เขไใ.จขอบ เขตบ ญ ห าและเรอ'งต่าง ๆ อย่าง ถกู ตอง (01311^1112 .&!633 31101 1ร5ซ05 ) ขอบเขต บญหาสามารถกำหนดไต้ บา้ หากนกั บรีหารงานจะสนใจ ใครค่ รวญพิจารณาอย่างรอบลอบ ก่อนหนาั ทจี่ ะตกลงตัดสินใจ แก้ บญ้ หาใน รูปใด ข่อสิาศญั ตอั งเข*าใจบญหาโดยแจม่ แจไ) เสียก่อน มิเชน่ นนแตัว ข*'อแกจ้ ะกลายเบนดุจ “ คนตาบอด หาของในห,องมดื ! แนวทางปฎบํ ต้ ที่ดใี นการจะหาความเขา่ ใจ บญ้ หาก็คอื การให้คนหลาย ๆ คนมืส่วนร่วมในการพจิ ารณา บญ้ หา ๔. การปวบั ปรงุ ท\"กษะกา:แกบ้ ญหา ( 1๓1)1(ฬ112 ^0๖!©!!!—ร0๖1ถ2 8141113 ) บรรดาบุคคลทง่ี หลายผู้เคยสนใจ เรองการปรบั ปรุงทักษะการแก้'บญหาและการทำการแกบ้ ้ญหา และการทำการตัดสนิ ใจมาแล*ว ยอ่ มทราบดวี ่าทักษะสว่ นบุคคล สามารถเรียนรไู้ ด้ โดย การอาศัยเจตจำนงอ*นแน่วแนท่ จี่ ะ ปฏิบ่ตภารกิจ แตล่ ะคนจะสามารถปรับปรงุ การทำงานของเขา ไดดีขน
๑1ฐ00 การที่จะทำเช่นวา่ นได้ ขอ้ สำค*ญท่สี ุดกค็ อื เขาต*องรู้ เสยี ก่อนวา่ กำลไ)ทำอะไรผดั ต*องแก้ไขอะไร แก้ดว้ ยวธิ ไี ด เนองจากวา่ คนแตล่ ะคนไดส้ รไงกำแพงมหึมาไว้'ของกันตนเอง จากการยอมรบข*อบ!าพรอ่ งส่วนต*,ว เขาจงึ ไมอ่ ยากจะร*บพงการ วิพากษว์ จิ ารณของคนอน กลา่ วโดยกวั ไป กระบวนการการเรียนรสู้ ว่ นบุคคล เกด็ ขนเพราะบุคคลรบ่ รู้ว่าเขาเกีย่ วข้องกับคนอนื่ และเขาจะ ทราบตอ่ ไปอกี ว่า เพราะเหตุใดเขาจึงไมไ่ ดร้ *บทราบเรีองราว ต่าง ๆ ที่ต้องการจากคนอ่นื เขาต*,องรตู้ ่อไปวา่ คนอน่ื มองเขา ในการทำงานแก้บญหาอยา่ งไร ในที่สุดเขาจะพบความจริงว่า กังมีคนอกี มากท่ีมคิ วามสามารถและมีเจตจำนงจะใหคั วาม ช่วยเหลือแก่เขา ความช่วยเหลือของเขาเหล่านน้ํ ก็ มคี วาม สำค*ญเสยี ด้วย ๖. เพิมกำลง่ การติดต่อ'ในหน่วยงาน (ร11-6!121116ก1ถ2 1๐1:6X1131 0๐1X101111110311011) ความจรงแลว การตดตอคอวธ การท่ีสคืบญญาผ่านจากบคุ คลคนหนงึ่ ไปกังคนอ่นื ๆ ” นาน เท่านานทเ่ี ราต*,องทำงานร่วมกบั คนอ่นื เบนความจำเบนอยา่ งยีง ทีด่ *องทราบทศั นคติ โลกทัศนึ่ ความรู้สึกของคนอ่นื และของ
4ราเอง เพราะฉะน้น “ การตดิ ต่อ” จงึ เบน “ ส่อื กลาง’ ทใ่ี หท้ ุกคนได้มสิ ่วนร่วมร*บร้ใู นแนวความติด ความรู้สกึ และ ขอ่ เท็จจรงิ ท้งมวล คนส่วนมากมักเขา่ ใจการติดตอ่ ในหน่วยงานในรปู แบบ ประกาศ ข่อบไ)คบั หน*งสึอเวยี น มันทึก คำส*3 หรอื เอกสาร อนื่ ๆ ของหน่วย แตค่ วามจรงิ แล้วการติดต่อในหน่วยงานมิ ความหมายกว่างกว่านมาก กล่าวคือมคิ วามหมายครอบคลมุ ไปถงึ การสนทนา กิรยิ าท่าทาง การแสดงออกซ่งึ พฤติกรรม มศั นคติ ฯลฯ และย*งหมายถงึ ทุกสีงทกุ อย่างทึมิผลต่อการ แลกเปลี่ยนข่าวสารและแนวความตดิ ระหวา่ งคนทง็ หลาย ๗. กานฃไใจเรองสมพนธภาพระหว่างการต,ดสนใจ และการทา (01511-1^1112 1?0!สเ101181111ว 1ว61:1*’66ถ 060151011— 3ฬส101ถ2 3.11(1 ^.011011) ความผิดพลาดสำคญั ประการหนง่ึ ของ การบริหารงาน โดย เฉพาะ อย่าง ยงี ในหน่วยงานขนาดใหญ่ กคอื ความสิบสนเรอื่ ง “ ความตงใจ” คับ “ ความสำเรจ็ ” คัาหากผบู้ ริหารงานจะมิความสงสยั ความจริงในเรืองนึ่ เขายอ่ ม สามารถทดสอบดไู ด้ โดยการตรวจสอบดวู ่า อะไรได้เกิดขนมาั ง คับการคดั สินใจท่ีเขาได้กระทำลงไปแลว้ ในอดีตทกุ เรอื ง เขา จะพบความจริงอยา่ งน่าสนใจทีเดยี ว
๑ ไ301x9 อนั ความอมั เหลวตอ่ การปฏิบตตามการตดั สินใจทีไ่ ดต้ กลง ใจไปแลว้ เกดิ ขนจากความบกพร่องของหนว่ ยงานไนเร๋ึองเกย่ี ว กบั การติดตามผลงาน การตรวจสอบผลงาน รายงานสถึติ ฯลฯ ๘. การปร1บปรงุ สมํ พ่โนธภาพการทำงานทกุ ระคบ ( 1๓1)1-07108 ^6า31:10ฑ81111) 3เ 811 บจจอุ ัน น้ํถึอกันวา่ วธ้ ็ที่ง่ายที่สดุ ตรงทสี่ ดุ บางฑีอาจดที ่ีสุดในการ ปกับปรงุ อมั พนั ธภาพการทำงานของบุคคลทกุ ระตับในหนว่ ยงาน ขนาดใหญ่ก็คอื “ การ ขอคำแนะนำจากคนในหน่วยงาน ” เหตนุ ธรุ กิจต่าง ๆ จึงตดิ ประกาคไว้ในทตี่ ิดประกาศของหนว่ ย งานทกุ แหง่ วา่ “ บรษิ ํทของทา่ น ตัองการแนวความคิด ของทา่ น ” สำหกบั หน่วยงานขนาดกลาง ขนาดเล็ก ปรบํ ป์ รงุ ไดโ้ ดยการตดิ ต่อกนั ประจำกนั แม้กองอพั บกอเมริกากม็ ีประกาศ เชิญชวนใหก้ ำองั พลทกุ ระดบั เสนอแนะแนวความคิดเหน็ ใน การปริบปรงุ และพัฒนาหน่วย แนวความคิดเหน็ ของกำองั พล ผ้ใด กองอัพบกกบั ไปคำเนนิ การ กองอัพบกจะให้รางกลั ตอบแทนความคดิ เห็นแกก่ ำลไพลผู้น่น นไ)บง่ ชมปี ระโยชนบ์ างประการ ๑. ในหน่วยงานไมม่ กี ารตดั สินใจโดยคน ๆ เดยี ว การ. ตดั สินใจทกุ ประเภท จะมผี ลโยงถงึ คนอึ๋นในหนว่ ย
® ไ2ะ๓ ๒. คนทกุ คนทึ๋ทำ งานในหนว่ ยตาสุดของหนว่ ยงาน แมจ้ ะไดร้ *,บเงนิ เดอื นตา่ สดุ กอ๊ าจมอี ทิ ธิพลอยา่ งสำตัญตอ่ สิงท่ี เกํดขนในหน่วย ๓. การแก้บญหา การทำการตัดสนิ ใจ ปร*,บปรุงไม่ได้ มากน*กโดยเพียงแตผ่ ูบ้ ริหารงานในหนว่ ย ปร*,บปรงุ การทำงาน ของตน แต่จะปรบปรงุ ได้ดื โดยการแสวงหาวธิ ใหค้ นอื่น ๆ มสี ว่ นเก่ียวขอ้ งตวั ยในการแก้บญหาและการตัดสินใจ ๔. มกี ำแพงมหมึ าขวางกน้ การปฏปิ ้ตงานอนมปี ระสิทธ-ิ ผลในหนว่ ยงานน*กบริหารที่มร็ ฒุ ํบญญาจึงควรทำความเขา้ ใจ และทำลายกำแพงมหมึ านนเสียให้ ได้ ๕. เวลาและความสนใจท่ี ให้ตับการงานของคนอ่นื ๆ อาจมคี ่ามากก๊จริงอยู่ แตต่ งั มีค่านอยมากอย่างเทยี บตันไมไ่ ด้ ตับความผดิ พลาดทเี่ ก้ดจากการทำการตัดสนิ ใจผดิ ๆ น มักเบน ค่ามหาศาลท่ีตอั งจา่ ยไป โดยระบบการ บริหารงานแบบอ*,ตตา ธิปไตย ๖. เพราะเหตุท่ีทา่ นไม่เห็นความ “ ลา่ ขา้ ” หรอื “ ความล*าหลงั ” ในหนว่ ยงาน ไมห่ มายความวา่ ความลา่ ข้า ความลัาหลงั ในหนว่ ยงานของท่านไมม่ ี แต่เน่อื งจากวา่ เพราะ ท่านไมส่ นใจต่างหาก
© ไ2)ช{ ๗. การตดิ ตอ่ คอ “ สือ่ กลาง’' ทสี่ รัางสรรคให้คน ทกุ คน ทุกระด*บชนใน'หนว่ ยงาน เข่าใจซ่งี ก*นและกนั ม ส*มพันธภาพอนั แนบแน่น ไม่มีหนว่ ยงานใดจะเบนหน่วยงาน สรา่ งสรรค หน่วยงานประสิทธิผล กัาหน่วยงานนนไมม่ ีระบบ การติดตอ่ ท่ีมีประสทิ ธิผล ๔. การทำงานโดยปราศจากความรู้อย่างเพึยงพอใน เรือ่ งนํ้น ๆ มอี ันตรายอย่างมหันต่ ๙. แบบประมุขติล!]ไมม่ แี บบตวั ตายฉันใด การทำการ ตัดสิน,ใจกิ ไมม่ ีแบบตายตัวฉันน*น่เหมอี นกัน ©๐. อย่าคาดหมายว่าหน่วยงานของท่านจะเปลยี่ นแปลง จากการแกบ้ ญหาท่ีเลว เบนการแกบ้ ญหาทด่ี ีได้ภายในเวลา อนั รวดเรว็ ความเปลี่ยนแปลงทจ่ี ะเกดิ ฃํน้ นน้ มไาจะดำเนิน การไปอย่างข่า ๆ เสมอ ©๑. ประชาชนจะให้ความสน*บสนุนต่อสีงท่ีพวกเขาได้ ช่วยเหลอื สร่างข้ํนมา ล่าคนในหนว่ ยงานได้รบั การเชอเชญิ ให้ มสี ่วนรว่ ม ในกระบวนการการแก้บญหาพวกเขาจะมีความรสู้ ึก ร*บผิดชอบมากยีงขนสา่ หรบั การตัดสินใจท่ี ไดก้ ระทำลงไป.
บทท่ี ๕ กร?!บวนการการให้คำปรกษาหารึอ ...ข่าพเขา่ จะให้ความชว่ ยเหลอื แก่ความพยายามของ- ผใู้ ตบ้ ังค*บบัญชา คณะกรรมการผรู้ ่วมงานไต้มากนอยเพียงไร เพราะเหตุไร คนอน่ื จงึ เขา่ ใจผดิ ในการทขี่ า่ พเขา่ พยายาม ท-จะช1ว่ ยเ.ห.1ลไอพ..ว:ก.เขา โดยวิธใี ดเลา่ ขา่ พเขา่ จงึ สามารถใชแ้ หล่งพลไของ ข่าพเข่าท่มี ีอยู่ อำนวยประโยชนแ์ กผ่ ู้รว่ มงาน ซึง่ พวกเขา สามารถใช้ประโยชนจ์ ากความชว่ ยเหลือของขา่ พเข่าไต้ โดยที่ พวกเขาไม่เคยขอข่อง ข่าพเขา่ จะใชป้ ระโยชน์สข่างสรรคจ์ ากผ้เู ช่ียวชาญ แสะ ผใู้ หค้ ำแนะนำภายนอกหน่วยงานไดอ้ ย่างไรบาั ง-. ขอ่ ยตุ ิการวิขย่ ทางสไคมศาสตรและประสบการณให้ ความจริงแก่เราวา่ บจจบุ นั นบ์ คุ คลท้ํงหลายผู้ดำรงอยู่ในฐานะ เบนึ ผ,ู้นำ ข่วนต่างมแี นวติดมากยงี ขนวา่ ภารกิจมลู ฐานของ พวกเขาอยทู่ ีก่ ารเร่งเข่าใหผ้ ใู้ ตบ้ ังค*บบญั ชาปล่อยพลไหลบเข่น ทางการสข่างสรรค์ให้แสดงตวั ออกมา ขอ่ น์ทำให้เหน็ ถึงการ
:เปลยี่ นแปลงอย่างสำคัญจากแนวติดโบราณทถ่ี ือวา่ หนำท่ีปฐม ภูมขิ องผนู้ ำคอื การควบคุมให้ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชาแสดงพฤติกรรม ในแนวทางที่ตนกำหนดหรือส่งการIท่านน กลา่ วอีกน*ยหน่ึง ขอบIขดแห่งพฤติกรรมผ้นู ำไต้เปลี่ยนแปลงจาก “ การนำ ” มาเบน “ การชว่ ยเหลือ” คนอ่ืนให้ประกอบพฤตกิ รรมควั ย การนำทางของแต่ละคน เพอบรรลุเบาหมายสว่ นบุคคลและ เบาหมายของหนว่ ยงาน ผนู้ ำท1งหลายจงึ ไดใ้ ช้ “ ระเบยี บ'วธิ ี การให้คำปรึกษาหารือ” มากกว่า “ ระเบยี บวิธีการนำ” มาก ขนตามลำคบั เพราะฉะนนผู้นำท้งหลายจงึ พยายามแสวงหา ความเขา้ ใจอยา่ งแจ่มชดในเรอื งธรรมชาตขิ องกระบวนการการ ให้คำปรกึ ษาหารอื คำวา่ “ กระบวนการการใหค้ ำปรกึ ษาหารอื ” (ไโ๒5 0005111434^6 ? V00683 ) หมาย ถึง “ ลมั พนั ธภาพของบคุ คล หนงึ่ หรือหลายคนผู้กำลงั พยายามแก้บญี หาหรือพฒั นาแผนงาน อยู่ และคนอืน่ หรอื กลมุ่ ชนกล่มอ่นื ไดพ้ ยายามใหค้ วามช่วยเหลอื ในเรืองน1น ๆ แกเ่ ขา” ในลัมพันธภาพการใหค้ ำปรึกษาหารือ มลิ กั ษณะสำคญั อยู่ ๒ ประการคัวยคัน
๑ ใ®)ฟ้ ๑. ง า น ก า ร แ ก ้บ ญ ห า ท กี ำ ล งั เ ผ ช ิญ ห น า้ อ ย ู่ ๒. พนัล มั ธ ภ า พ ร ะ ห ว ่า ง ผ ู้ใ ห คั ำ ป ร ึก ษ า ห า ร อ ( ผ ชู้ ว่ ย แ ห ล อ ) ก บั บ ุค ค ล ผ ู้ไ ด ร้ บ ก า ร ช ่ว ย เ ห ล ือ ผู้ใหค้ ำปรึกษาหารอื หรอื บุคคลผอู้ ยใู่ นบทบาทการให้ ความชว่ ยเหลอื สรา้ งล้มพนั ธภาพกบั ผ้ทู ีต่ นจะชว่ ยเหลือ เพราะ ผ้ใู ห้คำปรกึ ษาหารือมีอำนาจ ซึง่ ไดม้ าเพราะตำแหน่งหนา้ ท่ี หรือเพราะมีความรู้เชยี่ วชาญในสาขาใดสาขาหนึง่ การที่จะ บรรลลุ ม้ พนั ธภาพการใหค้ ำปรึกษาหารอื อย่างมปี ระสทิ ธํผลได้ น,น ลอ้ สำคัญอยู่ที่วา่ ผ้ใู ห้คำปรึกษาหารือ จำตไองเลา้ 'ใจถึง ธรรมชาตแห่งล้มพันธภาพการปรกึ ษาหารอื และพฒั นาทกั ษะ ในการใชค้ วามสามารถล้อนใ่ึ นรูปที่คนผู้ใด้รบความช่วยเหลอื เหน้ วา่ มปี ระโยชน่แก่ควั เขา บคุ คลผูส้ ร้างลม้ พนั ธภาพการให้คำปรกึ ษาหารอื จำตอ้ ง มคี วามสามารถทจ่ี ะวิเคราะหบ์ ญหาและเบาหมายของบคุ คลที่ตน กำลงั ใหค้ วามช่วยเหลือ ก*บทงคอั งเบนคนสามารถสร้างพลงั จงู ใจการใหค้ วามช่วยเหลือคนอื่นของตนเองใหเ้ กิดมีขนอกี เช่น กัน นอกจากน่ึยังจำคัองยอมร*บอย่างจรืงใจอกี วา่ ตนเองมี ความสามารพอใหค้ วามช่วยเหลอื ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ ในสถานการณ
8 )1 x1 ๘ อยา่ งใดบ่าง อยา่ ทำตนเสแสร่ง์วา่ เบนผู้มีความสามารถไปใน ทุกสาขา ฒัาษณะมลู ฐานของกระบวนการการใหค้ ำปรึกษาหารือ หรือการใหค้ วามชว่ ยเหลือมอี ยวู่ ่า “ ...การใหค้ วามช่วยเหลือ จะไม่เบนความชว่ ยเหลอื อย่างแทจ้ รงื ไดเ้ ลย ถ้าหากวา่ บุคค® ผไู้ ดร้ *,บความชว่ ยเหลือ ไม่เหน้ ว่าการกระทำน,น ๆ เบนความ ชว่ ยเหลือเขา...” พงั นไึ ม่ต*'องไปคำนงึ ถงึ ว่า ผูใ้ หค้ วามช่วย เหลือน,นมีเจตนาดมี ากนํอยเพียงใด ข่อแนะนำต่อไปนึน'ํ บวา่ มีประโยชน์อย่างยงี แก่ผ'ู้ ทีจ่ ะ แสดงบทบาทการใหค้ วามช่วยเหลอื คนอน ๑. ผู้ให้ความชว่ ยเหลอื ท่มี ีประสทิ ธภิ าพคือบุคคลผู้สรา่ ง ส’มพนั ธภาพจนผู้ทีจ่ ะไดร้ *'บความชว่ ยเหลอื เกดิ ความเชื่อมนวา่ ผ้ใู หค้ วามชว่ ยเหลอื เบนบุคคลทสี่ ามารถไว้วางใจได้อยา่ งแท้จริง ๒. ผใู้ หค้ วามชว่ ยเหลือเลอื กแบบพฤตกิ รรมอ*'นเหมาะสม กบั สถานการณ์ วิเคราะหว์ ่าอะไรคือบญหาทกี่ ำล งั เผชิญหนำผทู้ ี่ เขากำลงั ช่วยเหลอื อยู่ ๓. ผ้ใู ห้ความช่วยเหลอื ย่อมเขา่ ใจการหนำท่ีของเขาไค้ ดวี ่าอย่ทู ่ีการวิเคราะหบ์ ่ญหามากกวา่ การแกบ้ ญหา
๔. ผูใ้ ห้ความช่วยเหลือพยายาม ลดความร้สู กึ ของผู้ไต้ ร*บความช่วยเหลือลงไปตามสำตบ้ วา่ จะตอ้ งอาตย้ คนอน่ื เรือ่ ยไป เทา่ น*น เขาจงึ จะแกบ้ ญหาไต้ ๕. ผใู้ หค้ วามช่วยเหลอื มสี ว่ นรว่ มในความรู้สกึ พลไ) ดลใจ กับผูใ้ ตร้ *บความชว่ ยเหลอื และปฏิบตงานร่วมกบั เขา อย่างกลมกลืน ๖. ผูใ้ ห้ความช่วยเหลอื ถือว่างานทส่ี ำตญ้ ของเขาคอื “ การผืก ” คนผไู้ ต้รบํ ความชว่ ยเหลอื ใหใ้ ช้ความชว่ ยเหลอื อยา่ งมปี ระสทิ ธิผลโดยการลดความรู้สกึ ท่จี ะไม่ยอมร*บชว่ ยเหลือ ลงไป หรอื เลกิ คดิ ว่าตอ้ งอาศไความช่วยเหลอื อยูเ่ รื่อยไปจึงจะ แกบ้ ญหาไต้ การวเิ คราะห์กระบวนการการให้คำปรกึ ษาหารอื กอ่ นการสร่างสมิ ่พ*นธภาพการ1ใหค้ ำปรกึ ษาหารอื ผแู้ สดง บทบาทการใหค้ ำปรกึ ษาหารือ ควรท่ีจะทราบไวล้ ่วงหนำตว้ ยว่า คนทตี่ นจะใหค้ วามช่วยเหลือน,น ย่อมอาจมคี วามรสู้ กึ หรอื ท‘คนคตอิ ย่างใดอยา่ งหน็่งตอ่ ไปนแึ อบแฝงอยู่ในจิตสำนกึ
๑๓0 ๑. ความรสู้ กท่ีวา่ ผ้ใู หค้ ำแนะนำไมเ่ ขาใจบญหา บคุ คลสว่ นมากมักคิดว่าผบ้ ไคับบญั ชา ผไ้ ห้คำปรึกษาหารอื หรอเจาหนไาทไผโาย7อานว1ยการ7ทงห7ลายท-}เขาค™วรขอค^วา.ม'ชไว่ ยเหลอ ไนการแกบ้ ญหาของเขา ถึงแม้ว่าคนเหล่าน,นจะเบ็นผู้เชี่ยวชาญ กยอ่ มไม่เขไใจบญหาทต่ี นกำลงั เผชิญหนไอยู่ โดยไปคิดเสยี ว่า “ เขา’โม่เข่า'ใจลถานการณด์ จุ ท่ีเรากำลังเขก่ ใจ หรอื เขาไมไ่ ด้ น,งทำงานลบั โตะ๊ ของเรา จะมาเขไไจงานของเราได้อยา่ งไรลนั ” ไ®. ขดํ ขนต่อการเปลขนแปลง เม๋ึอใดการเปล่ยี น แปลงกำลงั จะเกํดขน เมอน*นมกั เบนกฎธรรมดาลำหรบทุกคน ทีจ่ ะคัองต่อคัานก*บการเปลยี่ นแปลงสภาพเดมของตน ลาั หาก วา่ สถานการณเ์ ดิมยอ่ มเบนท่ีพงื พอใจของเขาอย่แู ลไ การ ต่อตไนความเปลยี่ นแปลงนเกดิ สบื เนองมาจากความรู้สึกหลาย ๆ อยา่ ง เช่น ความรูส้ ึกไมแ่ นไ่ จในสีงท่ีตนเองลงั ไมท่ ราบใน สถานการณท์ ี่จะเกิดขนไนอนาคต ความร้สู ึกวา่ ความเปล่ยี น- แปลงน1'นจะกอ่ อ*,นตรายไหล้ ับสถานภาพเดมิ ของตน ๓. บทบาทลันไมก่ ระจ่างช'ดของผู้ใหค้ ำแนะนำ ม่อยครไท่บี คุ คลผจู้ ะเขไหาผู้ใหก้ ารปรึกษาหารือ หรอื หวั หนไ หนว่ ยงานเพอขอความชว่ ยเหลอื มักเกดิ ความไมแ่ นใ่ จว่าผ้ไู ห้
๑9)® •คำปรึกษาหารอ มีอำนาจหรือจะใช้อำนาจมากนอ่ ยเพียงไร ฃอํ นยึ่ ่อมทำให้เขาเกิดความลงั เลใจ เช่น ผูบ้ รหิ ารหน่วยงาน จะขอร*บคำแนะนำจากเจ่าหนำที่ผายอำนวยการของเขากิอาจ เกิดความระแวงใจวา่ เจ่าหนำทผี่ ายอำนวยการอาจ ถอื โอกาสใช้ อำนาจในนามของตนมากเกนิ ขอบเขตไป หรึอบุคคลใดคนหน่งึ ในหน่วยงานจะขอความช่วยเหลือจากคนอน่ื ภายนอกหน่วยงาน กิกลัวว่าเพีอนรว่ มงาน หรือลงั คับบ*ญชาจะเห์นว่าตนเบนคนไม่ มสี มรรถภาพในการทำงาน ความลับสนเชน่ วา่ นึ่จำเบนที่ บุคคลผูใ้ หค้ วามช่วยเหลอื กบั บุคคลผู้ร*,บความชว่ ยเหลอื คัอง พดู จาก*นอย่างเบีดอกและยอมรํบว่าบญหานน่ึ เบนเรอื งของผู้ร*บ ความช่วยเหลือ ผู้ให้ความช่วยเหลอื มีบทบาทเพียงให้การ สน*บสนนุ เท่าน1น ๔. ความปรารถนาที่จะฌ ่็นผลเรว็ เกนไป โดยทวไป แลว ผู้ร*บดวามชว่ ยเหลือส่วนมากม*,กคาดหมายเอาไว้ลว่ งหน่า วา่ การชว่ ยเหลือของผ้เู ชี่ยวชาญจะชว่ ยให้เขาแกบ้ ญหาของเขา ได้ภายในเวลาลนั รวดเรึว แต่ความจริงแลวั กระบวนการ การแก้บญห ใจะเบนกระบวนการทมี่ ปี ระสิทธผลได้ จำตไอง'ใช้ เวลาวเิ คราะหบ์ ญหา การวางแผนการแก้บญหา ซ่ึงผใู้ ห้คำ
๑๓ใ® ปรกึ ษาหารอื และผูร้ บความช่วยเหลือจะต่องปฎบํ ่ต งานรว่ มกัน บนพนฐานล้มพ*นธภาพคนั เขา้ ใจชง่ี กนั และกันเบนอยา่ งดี ลา้ ปราศจากการวเํ คราะหบ์ ญหาแลว้ ไซร้ การแก้บญหาย่อมขาด ประสทิ ธผิ ล การสร์ ำงสมํ ทนธภาษ ไนการสข้างล้มพนั ธภาพใหค้ ำปรกึ ษาหารืออยา่ งมี ประสทิ ธิผลน,น ขอ้ สำคัญทผี่ ใู้ หค้ ำปรกึ ษาหารือจะตอ้ งคำนึงมี อยู่ ๒ ประการคัวยกัน ๑. บญหาการที่ผขู้ บ้ ความชว่ ยเหลอื จะคอยแต่อาคัยความ ชว่ ยเหลอื ตลอดไป โดยไม่ยอมยืนหกัตอยู่บนความสามารถของ ตนเอง ๒. บญหาเรอื งการข้บความชว่ ยเหลอื จากผู้ให้คำปรึกษา หารอื ล้าหากวา่ ผใู้ หค้ ำปรกึ ษาหารอื หรือผ้ใู ห้ความชว่ ยเหลือ เข้าใจบญหาหลก้ มลู ๒ ประการคังกอา่ วนดึ ีแลว้ เขาย่อม สามารถชว่ ยเหลอื ผมู้ บี ญหาได้ ฉะน1น ผใู้ หค้ ำปรกึ ษาหารือ จึงจำต้องนึกถงึ เรอื งตอ่ ไปนึไว้เสมอ
©๓๓ ๑. บญบาเรองการพงอาศย บุคคลบางคนมีแนวโนม ชอบคอยทีง่ พาอาศ,ยคนอื่นไม่กลัายืนหย*ด, ดว้ ยตนเอง บุคคล ประเภทน้คํ อยแต่จะรอให้ผ้ใู หค้ ำปรกึ ษาหารือ บอกให้ทำ อยา่ งน,นอย่างน้ํ แล่วเขาก็ทำตามทบี่ อก แทนที่จะดีดแกไ้ ข บญหาด้วยตนเองสว่ นบางคนน1นกลบั มแี นวโน้มข*ดขนื ไม่ยอม ร*บชว่ ยเหลือ บุคคลประเภทนพยายามทีจ่ ะแสดงอยู่ตลอดเวลา ว่า ดว้ เขาน้นมคี วามสามารถมากกว่าผูใ้ หค้ ำปรกึ ษาหารือเสยี อกี ผใู้ ห้คำปรกึ ษาหารึอท่ดี ีจึงต,องยอมร*บความจรงิ เชน่ กล่าวน้็ เขา'จงึ ควรกำหนดบทบาทของตนเพียงการวเิ คราะห์บญหาอย่าง เดียว สว่ นการแก้บญหานน้ ปลอ่ ยให้เบนหน้าท่ีของผรู้ *บความ ชว่ ยเหลือ 1*0. การรบรู้ ความยากลำบากใจของผู้ร,บความช่วย เบลอ เบนการยากอยา่ งยงี ท่ีบคุ คลจะบอกใหค้ นอ่ืนทราบว\"่ I ต*,วเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เวนไวแ้ ต่เขาผ้นู น้ํ จะเกิดความไวว้ างใจอย่างจริงใจ ก*บท,งเชอมนวา่ ผ้ทู เ่ี ขาบอกเล่า ไหพ้ งจะไมถ่ ือเอาประโยซนจ้ ากลอั บอกเลา่ ของเขา ความยาก ลำบากเช่นวา่ นจะเพีมขนไปอีกหลายเท่า ลัาหากว่าผูท้ ี่'จะ'ให้
๑๓ ความชว่ ยเหลอื น\\แบนผ้บู งั ตับบญั ชา หรอเบนบุคคลผมู้ ีอทํ ธพิ ® ต่อความกัาวหนำในตำแหนง่ หนำทีก่ ารงานของเขาโดยตรง ผู้มี บญหานนอาจมีแนวโนมเพียงเพอ่ื ตัองการความเห็นอกเหน็ ใจ หรอื อยากเห็นคนอ่ืนให้กำลังใจแก่เขามากกว่าตอั งการความ ชว่ ยเหลือ หรอื เขาอาจเกดิ ความลังเลใจไม่กล่าเขา่ เผชํญหนำ กับบญหาทก่ี ำลังคุกคามเขาอยู่ เพราะฉะนน ผใู้ หค้ ำปรกษาหารอจงต*อง “ กระทำ” ดํง์ต่อไปน ๑. ปฎบํ ่ตในวํธทิ จี่ ะช่วยใหผ้ ู้รบความช่วยเหลอื บงั เกิด ความไวว้ างใจอย่างสูงในตวั เรา ๒. จงสรา่ งความสนใจอย่างแทจ้ รงื ในการวเ้ คราะห์ บญหาร่วมกันกบั เขา ในบรรยากาศแห่งลมั พนั ธภาพอันแนบ สนิท ๓. จงต้ํงใจพีงขอ่ มูลทีเ่ ขาเลา่ ใหพ้ ีง วเ้ คราะห์ขอมลู เหลา่ นน้ํ โดยละเอยี ดถ่ลี ัวนทุกแง่ทุกมุม ๔. พยายามตดั สนใจวา่ ท่านจะทำอยา่ งไรดีจงจะลดความ หน*,กใจใด ๆ ที่ทา่ นอาจก่อให้เกิดขน แกผ่ รู้ บ่ ความช่วยเหลือ
©๓๕ ๕. พยายามอย่ามือคดตี อ่ บุคคลผรู้ ิบความชว่ ยเหลือ ๖. จงจำไวว้ า่ กาวช่วยเหลือจะเบนความชว่ ยเหลอื ได้ อยา่ งแทจ้ รงิ กเมอื ผูร้ บิ ความช่วยเหลอื มุ่งผลของความช่วยเหลอื น1น ๆ ในเวลาเดียวกนั ผแู้ สดงบทบาทการใหค้ ำปรึกษาหารอื หรอื ผูใ้ หค้ วามชว่ ยเหลอื กจำตอ่ ง 44 งด เว น ,, โดยเดดี ขาดจาก ๑. การตกอยู่ใน หลมุ พรางในบทบาทการ เล่าเรอื งของ ผู้รบความช่วยเหลอื ๒. อย่าถือประโยชนจากสถานการณ์ให้ความช่วยเหลอื เบนการแสดงความโอ้อวดถืงความเบนผู้รอบร้แู ละเบนผู้มื ประสบการณ์มาก ๓. อย่ายกยอ่ งสรรเสริญ ความสามารถของผ้ทู จ่ี ะริบ ความชว่ ยเหลอื จนเลสื ลอยเกนํ ความจริง บน่ ตอนการแก้บ่ญหา ในการแก้บ่ญหามคี วามสำคญั อยวู่ ่า ผใู้ หค้ ำปรึกษาหารือ และผู้ริบความชว่ ยเหลือเช่าใจถึงขน้ ตอนตา่ ง ๆ ในกระบวน การการแก้บญ่ หาโดยละเอยี ด ซ่ึงมืคังต่อไปน
๑๓๖ ๑. การว1คราะหบภ)ู VIไ ( 06^1111112 *๖6 1)1\"0๖16ถ1) — ผูร้ ่บความช่วยเหลอื กล่าวถงึ บญหาทเ่ี ก้ดขน — ผใู้ ห้คำปรึกษาหารือเข่าใจในบญหา — การวเํ คราะหบ้ ญหา — ผู้ให้คำปรึกษาหารอื และผู้ร*,บความชว่ ยเหลอื ร่วมก*นพ*ฒนาเบาหมายทีแ่ ทจ้ รงึ ของบญหา 1®. วางแผหการแก!)ภ)ู หา 011 *๖6 — รวบรวมขอ่ มูลทุกประการอ*นเกยี่ วเน่อื งกบั บญหา — พ*ฒนาแผนการแกบ้ ญหาและทดสอบแผนแต่ ละแผน ๓. การทดสอบและการปฎบตจรงิ (?6ธแฑ2 8ฑ(า &(ะ*10๐ ) — ผู้รบ่ ความชว่ ยเหลอื ลงมือปฎํบตเพือ่ การแก้บญหา ตามแผนทว่ี างไว้ และแผนนนได้ผา่ นการทดสอบเรยึ บรอ่ ยแล*ว — ผู้ ให้คำปรึกษาหารือถอน ตัวช่วคราวเพ่ือรอดูผล การปฎํบต
๑๓ ฟ้ ๔. การประมาณค่าและการวางแผนใหม่ (.&38688- 01601: 81ฟ เ?6{)1311ฑ1ถ2 ) — ผู้ให้คำปรึกษาหารอื หรือผใู้ หค้ วามช่วยเหลือ แสดงบทบาทอีกคร,งหนี่ง เพอื่ ทำการประมาณค่าผลการกระทำ คร,งแรกของผรู้ ,บความช่วยเหลอื แลว้ วางแผน,ใหผ้ ขู้ บ้ ความ ช่วยเหลอื ปฎิบตขํ้นตอ่ ไป ขไ)ยตุ ิ ผู้นำผมู้ ีคุณลกั ษณะการสขา้ งสรรคย์ ่อมเขา้ ใจดวื ่า การ สข้างความพํฒนากีด็ ภาวะผลิตผลกดี หรือภาวะสรา่ งสรรค ใหแ้ ก่บคุ คลหรอื หนว่ ยงานกดี ี เขาดัองมคี วามเขา้ ใจอย่างแจ่มขด้ ในเรอื งลักษณะกระบวนการการให้ความชว่ ยเหลอื แหลง่ พลัง ความรอบรู้และทลังความจูงใจของตนเองวา่ มอี ยอู่ ยา่ งเพยี งพอท่ี จะให้ความช่วยเหลือคนทีเ่ ขาปฎํบ่ตงานรว่ มดวั ย เพอ่ื ปฏบิ ตภารกจิ ดังกลา่ วนได้อย่างมีประสิทธผิ ล ผู้นำ ดอั งมีเจตจำนงแรงกลาั ในการท่ีจะเสรืม สขา้ งลมั พันธภาพและ ความไว้วางใจกับคนผู้ท่จี ะให้ความช่วยเหลือ เขาดัองเข้าใจ ดัวยวา่ ความมคี ณุ ค่าแหง่ ความพยายามในความชว่ ยเหลอื ของ
๑๓ฝ เขาน1น เกด้ จากบุคคลผทู้ จ่ี ะรบํ ความชว่ ยเหลือไดเ้ ห์นคุณคา่ และตงใจยอมร*,บความช่วยเหลือท่ีหยืบยนให้ นอกไปจากนํ้ ผูน้ ำควรทราบไวด้ วํ ย์ วา่ ในสถานการณ์ ความชว่ ยเหลอื นน้ํ มีแนวโน่'มอยู่ ๒ ประการที่ควรระมัดระวไ) ประการที่หนึ่งไดแ้ นวโน*มผรู้ บํ ความช่วยเหลือไม่ยอมยนื หมัด มวั ยความสามารถของตนเอง คอยแตจ่ ะพึง่ พาอามยั เรอื่ ยไป ประการท่สี องได้แก่ความระแวงสงสัยในบทบาทของผ้ใู ห้ความ ช่วยเหลอื จึงจำเบนอย่างยืงทจ่ี ะมัองขมดั ความเสกึ ๒ ประการ เพึ่อมใิ ห้ความเสกนึเ่ บนอุปสรรคตอ่ ผลงานสรางสรรค่ ในการ ชว่ ยแกไ้ ขบญหา ผู้นำต*องทราบว่า หนำทีปฐมภมู ิของเขาในการใหค้ วาม ชว่ ยเหลือ อยทู่ ี่การวเิ คราะหบ์ ญหาและการพํฒนาวิธกี ารแกไ้ ข บญหาท่ีดที ส่ี ุด ผนู้ ำมอั งปฏบํ ่ตทกุ อย่างเพ่อึ ใหค้ นอ่นื เกด้ ความ เข*าใจวา่ ตนมเิ จตจำนงแรงกล*าจะให้ความช่วยเหลืออย่าง แท้จรง มไิ ดม้ งุ่ หมายเพ่อึ ลอื เอาเบนข*อบกพร่องของผู้ร*บการ ชว่ ยเหลอื
การให้คำปรกษาหารอื หรอการใหค้ วามช่วยเหลือ จะเกดิ มีประสฑิ ธผํ ลย่อมขนอย่กู บั ภาวะมูลฐาน ดงั ต่อไปนํ้ ๑. ผู้ให้ความชว่ ยเหลอมความปรารถนาอยา่ งแทจ้ รง ในการท้จะให้ความชว่ ยเหลอ ๒. ความสามารถท้จะว้เคฑะหส้ ถานการณท์ กุ อย่าง โดยเสร มมนุษยสมพํนธและความไว้วางใจกน่ อยา่ งสงู ๓. ๔. ผใู้ ห้ความชว่ ยเหลอและผูร้ ่บความช่วยเหลอ ตา่ งรว่ มมอก่นในการแก้มญหา
บทท ๖ แบบ!]ร*มุขคล!] ผูน้ ำตอ้ งการทจะทราบวา่ ........ ................ขา้ พเจ้าจะเบินผู้'นำแบบประชาธปิ ไตยได้ อย่างไร ? เๆาลใด ข้าพเจา้ ควรจะตัดสนใจดว้ ย ตนเอง และกาลใด ควรจะใหบ้ คุ คลอื่น ๆ มีส่วน รับผดิ ชอบด้วย ? การเบนผ'ู้ นำแบบประชาธิปไตย จะเบนิ การบ่งชถึงความไม่รบั ผิดชอบหรือไม่ ? ขา้ พเจ้าจะสามารถงดเว้นมตอิ นั ไรป้ ระสิทธิผล ของกลมุ่ และทรงไวซึ่งอำนาจเอกสิทธื้เดด็ ขาดของ ผู้'นำในเวลาเดียวกนั ไดอ้ ยา่ งไร ? ผู'้ นำสามารถ ปรับตัวเข้ากับสถานการณอนั เปล่ยี นแปลงไปและ ทรงไวซ้ ึ่งประมขุ สิลปอนั ดี เยย่ี มในกลุม่ ได้โดยวิธี ใด ?........... บจจบุ ํนนํ้ ผู้นำทง้ หลายยอ่ มเขา้ ใจดีถงึ บญหาบางบญหา อ*นเกดิ จากข้อเท็จจรงิ ทว่ี ่า หลไานยิ มเร่ืองประมขุ กิล!)ไดเ้ ปลย่ี น. แปลงไปจากอดีตเมึอ๋ ครํงศตวรรษทแี่ ล*วมาอย่างมากมาย ยคุ ต’น
© ๔ ใ© แหง่ ศตวรรษที่ ๒๐ เขา่ ใจกันวา่ ผู้นำเกิดขนโดย “ ชีวฐานะ ” กล่าวคอื เขาผู้นนเกดิ มาในสกุลมดี ามารดาเบนี ผ้สู งู ศไาด้ื ในสังคม และบางครงกเิ ข่าใจกนั วา่ ประมุขคลื !)เกิดจาก คุณสกั ษณะแห่งบคุ ลกิ ภาพของคน เพราะฉะน้ํน “ บุคลิกภาพ ของผู้นำ ” ในห'วงน1น นไาปราชญท์ ี่งหลายพยายามวิเคราะห์ กันวา่ มีคณุ สกั ษณะเดน่ ใดๆ บา้ งที่สร้างให้ผนู้ ำแตกดา่ งจาก ผตู้ ามของเรา กาลต่อมา ในปลายบี ค.ศ. ๑๙๔๐ การวสิ ยั ส่วนใหญม่ เี บีาหมายอยทู่ ี่กาววเิ คราะห์ผลอันเกิดจากประมุขศลิ !) แบบอัตตาธิปไตย ประชาธปิ ไตยและเสรินยิ มสมบรู ณ์แบบ ผลทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะห์ เหลา่ น เอง เบนี จุด เริมต,น แหง่ การ เปลึย๋ นแปลงหสกั นิยมเร่ืองประมขุ ศิล!] “ บุคคลมคี ณุ สกั ษณะใด จงึ เบนี ผู้นำทด่ี ี ? น่คี อื หสัก นิยมในอดีต แดบ่ ีจจุบ้นนํกวิสัยทงี่ หลายตง้ บีญหาลามวา่ \" ผนู้ ำทีม่ ปี ระสทิ ธิผลทำอะไรบา้ ง ? ” ในกระบวนการวเิ คราะห์งานของผ้นู ำท่ีมปี ระสิทธิผล นไาสงั คมศาสตรทิ ่งี หลายชํใ้ หเ้ ห็นว่า “ การหนำที่ท่ีงหลายของ ประมุขศลป ( ไโ116 {งฑ0เ10113 ๐{ 163.^61:31115* ) นน บุคคล
©๔๓ 4พียงคนเดียวย่อมไมส่ ามารถปฏบิ ตได้ แต่จะตอ้ งได้รบั ความ รว่ มมือรว่ มใจ จากสมาช้กทกุ คนในกลุ่มน,น ๆ การตน้ คว่าและ แนวคดิ แบบนํ้ นำไปสู่ความเนนํ เรื้องความสำคญั ของ “การ ตดั สนิ ใจ ” และ “ พฤคิกรรม ” ของกล่มุ เหตนุ บจจมุ นั จงึ ยอมรบั กนั ว่า “ ผู้นำท่ีมืประสิทธผิ ลน,นดอี บคุ คลผชู้ ่วยให้กลมุ่ กลายเบนกลุ่มท่มี ภื าวะสราั งสรรคม่ ากขน ๆ ” คา่ นยิ มของ ‘'ประมฃุ คลิ !)แบบประชาธิปไตย” จงึ โดดเด่นขนมาโดยอัดโนมต่ ค่าพูดท*งหลายเชน่ ‘‘พกงั ดลใจ” และ “ ความเกีย่ วตอ้ ง” จึงมีความสำคัญมากกวา่ คา่ ว่า “ การขนำ” และ “ การควบคุม” ผู้นำแบบประชาธปิ ไตยเบนทปี่ รารถนาของกลมุ่ มากกวา่ ผูน้ ำ แบบอัตตนยิ มและเสรนี ิยมสมบรู ณแ์ บบ การเปลย่ี นแปลงเรือ้ งหกกั นยิ มและบทนิยามคา่ วา่ ประมุข คิล!]ดงั กลา่ วตา้ งตน้ มไากอ่ ให้เโ!ดความขดั แตง้ ทางแนวความคิด แกผ่ ูน้ ำบางคน กล่าวดีค ผ้นู ำที่ปรึกษาคนอึน๋ มากเกนิ ไป กมิ กั จะถือกันวา่ เบนคนท่อี ่อนแอและไม่กกัาตดั สินใจ สว่ นผนู้ ำ ผู้ดดั สนิ ใจคนเดียว กมิ ักจะถอื กันวา่ ใชร้ ะบบคัตตนยิ มและเบน เผดีจการ โดยเหตนุ ิ ผู้นำแต่ละคนจะสามารถคันหาแนวทาง
๑๔๔ ปฏํบตตอ่ หล*กการอันข*ดแยไก*นท่งี สองนไ์ ดโ้ ดยวิธีใด 1 แม้ว่า น*กสไ)คมศาสตร์หรอื บรรดาผู้นำทง่ี หํ้ ลายยอ่ มใม่บีใครสามารถ ให้คำตอบที่แนน่ อนต่อบีญหาขัอนไ์ ด้ อย่างไรกด็ ี เขาเหล่าน1น กย็ อ่ มสามารถใหข้ ัอแนะนำและระเบียบวิธปี ฏิบตบางประการ อันบผี ลทางปฎบิ ไก็,ดเ้ บีนอยา่ งดี บไ)บ่งชอนบีประโยชน์ ๑. ผนู้ ำผ้มู ประสิทธิผล คอื บุคคลผสู้ ามารถปร*บปรงุ พฤตกรรมใหเ้ ขาั อบั สถานการณ์และบคุ คล บี'ใช่เบนี คนประเภท เถรตรง 1®. ผนู้ ำผูม้ ประสิทธผิ ล คอื บคุ คลผเู้ ขาั ใจดีถงอิทธิพล ในต*วเอง อทิ ธพิ ลกลมุ่ ซนท่ตี นปกครองและอทิ ธพิ ลของสถาน- การณ์ตา่ ง ๆ เขาเลอื กแบบประมขุ คืลบใี ห้กลมกลืนอบั อิทธพิ ล เหล่าน์ ๓. ผู้นำผ้มู ประสิทธผล คอื บคุ คลผซู้ อ่ื ตรงตอ่ บคุ คล ทง่ี หลายทเ่ี ขานำ เขาใหส้ มาชกิ ของกลุ่มของเขาทราบว่าพวกเขา ทง่ี หลายบีอทิ ธิพลสำค*ญมากเพียงใดต่อเรอื งหรอื งานท่เี ขาได้ริบ การมอบหมายใหป้ ฏํบต่ และเวลาเดียวอนั เขาก็เจ*กเอกอทิ ธิ แห่งอำนาจ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163