Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประมุขศิลป์ฉบับสมบูรณ์

ประมุขศิลป์ฉบับสมบูรณ์

Description: ประมุขศิลป์ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

ในพระไตรบฎก เลม่ ๒๘ หนำ ๑๔๗ ไดก้ ล่าวถึงหล*กั เกณฑการบวจิ าคไวด้ งั น้ํ “ ...พึงสละทร*พยเ์ พ่อื ร*กษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพ่ือ รกษาชีวิต พึงสละชวี ิตเพ่อื ร*กษาธรรม. . . ” ทร*พย์ อวัยวะ ชวี ิต ธรรม มคี ณุ คา่ แตกต่างก*,นมาก ขอใหพ้ ิจารณาจากแผนภมู ขี ่างล่ เงน้ํ ภาษาไทย คำว่า “ ซอตรง ” ก็ดี “ ความซื่อส*,ตย์ ” กดี มคี วามหมายอย่างเดียวกัน คุณธรรมข*อนจ‘ดวา่ เบนมงกฎุ เพชร ของผูบ้ งั ค*บบัญชาโดยแท้ กลา่ วในทางปฎิบ่ต, ความซื่อตร3 แสดงตัวออกในเรือ่ ง

๑. ด:งตอ่ หน*,เท ปฏบิ ตหนำท่ีสดุ ความสามารถ ไม่บด ความรํบผดชอบ ไ20. ตรงตอ่ การงาน ทำงานทุกอยา่ งให้ดีท่ีสดุ ๓. ดรงตอ่ วาจา พูดคำส*'จจะ ไมพ่ ูดวาจาเหลาะแหละ และเท่ียงตรงไนคำ — สาบาน ใหค้ ำมนอยา่ งใดปฏํบต่ อย่างน,น — ปฏญิ าณ รบคำอยา่ งใดทำตามนํน — สญั ญา ใหค้ ำยนิ ยอมอย่างไร ปฏบิ ่ตตามนนํ ทุกประการ พระบียมหาราชเจำ เมอ่ํ เสดจประพาสยโุ รป ทรงม พระราชหัตถเลขาจากเมืองเอสเซนในยโุ รปถึงสมเดจ็ พระบรม. ราชินนี าถ แสดงให้เหน็ นำพระท*'ยอ*'นซอ่ื ตรงตอ่ แผน่ คนิ ไทย ไว้ด*'งนี “ ...ฉันเองรู้สึกเสึยใจเบนี นิจว่าเบีนสามหี รือผ*'วของเมอื ง ไทย ที่ได้อยู่ได้กินสัวยก*'นมาต้ง 600 บ เบนเมยเกากอนแม เลกนาน เพียงอยู่ด*'วยกน ๒๐ บีเศษ ยงคดิ ถงึ เกือบตาย นเี มืย เกา่ เมียแก่ทเ่ี ลยงฉนั มา ฉันอาศัยเมียฉนั อยู่ เมียฉนั กิน จะ ไมใ่ หฉ้ นั คิดถึงยีงกวา่ เมยี ใหม่ได้อย่างไรได้ นอน'ใจเต'นํนํง'ใจ เต น ท กุ ค ำเช ่า...”

๔. ตรงต่อบุคคล ไม่ตดิ ร้ายใคร ไม่ประพฤติหนำไหว้ หอ'งหลอก ไมท่ รยศตอ่ ผ้ใู หญ่และผนู้ ํอย ๙. ตรงตอ่ ความด ร้กษาความยตุ ธิ รรม ยึดความ ถกต้องIบนหล'ก ใจ'ซอส,ตย่ ์หมน มคุณ ความสัตย์ชว่ ยอดุ หนุน เมอไร้ ซอสตั ยย์ อ่ มเบนบญุ ภายภาค หนำเอย ภยพ็บํตตา่ งได ภสบั รา้ ยปลายต่ (นรสรานวํดติวงศ) กล่าวโดยสรุป การบำเพ็ญคณุ ธรรมขอ่ อาชวะ กค็ ือการ ๑. บำเพ็ญตนเบนคนตรง ๒. สน*บสนุนบูชาคนตรงในหน่วยอันตนมอี ำนาจบงั คับ บัญชา มทวะ — ความสภุ าทอ่อนโอน บุคลิกภาพของคนเรามีอย่ ๒ ประเภทคัวยกนั คอื I \"า I ,I โ . : ไ ?,1๑. บุคลกภาพนเสธ ( 1 ^6 8 ^6 ?6180ฑ3แ17 ) เบน 'บุคลกิ ภาพที่เกิดผลในทางลบ คนทีม่ ีบุคลกิ ภาพแบบน เกิด

จากเพราะว่าตัวเขาหลงลมื ตัวเองกลายเบนี คนเยอ่ หยีง กลาย เบึน “ ท่าวพญาลมื ก*น” และ “ ตนั ไมล้ ืมดนิ ” เพราะหลงใน — อำนาจในตำแหน่ง — ทร*'พยส์ มบด่ — ยศถาบรรดาศ*'กด้ื — ความรู้ นุกลกภาพ!]คูฐาน ( ?0 ร11^6 โ,61*50112เ11เ^ )* เบนบคุ ลิกภาพท้ัมีผลในทางบวก เรยี กร,องใหเ้ กดิ ความยำเกรง และร*'กใคร่เคารพบชู า คณุ ธรรมตันกอ่ ใหเ้ กดิ บคุ ลกิ ภาพทาง บวกเช่นว่านํ้ คุณธรรมข*'อหน่ง็ ไดแ้ ก่ “ ม*'ทวะ — ความสภุ าพ อ่อนโยน ” วนท่ี ๔ มกราคม ร.ศ. ๑๑๒ พระบิ'ยมหาราชเตาั ทรงมี พระราชห''ลถเลขาประทานพระบรมราโชวาท แด่สมเดจ็ พระ- บรมโอรสาธิราช เจ*'าพาี มหาวชิรุณหศ้ สยามมกฎุ ราชกุมาร ชให เ้ข*'าใจลงการทพี่ ระองคท์ รงสามารถร*'กษาราชบ*'สล*'งกไ็ ว้ได้ เพราะคุณธรรมข*'อม*'ทวะอยา่ งช*'ดเจนว่า “ ...ในเวลาน,น อายุพ่อเพยี ง ๑๕ บี กบั ๑๐ วน ไม่มี มารดา มญี าดิผายมารดากล็ *'วนแต่โลเลเหลวไหล หรอื ไม่โลเล

เหลวไหลกมไี ด้ตไ)อยใู่ นตำแหนง่ ราชการอนใดเบนหล*กฐาน ผายญาติขา้ งพอ่ คอื เขา้ นายทไปวง กตกอยู่ในอำนาจสมเดจ็ เขา้ พระยา และต*องร*กษาตัว ร*กษาชวี ิตอยูด่ ้วยก*1น่ทุกองค์ ทีไ่ มเ่ อ้อํ เพ1อตอ่ การอ*น่ใดเสยี กมํ โื ดยมาก ผายข้าราชการถงึ ว่ามี ผทู้ ่ไี ด้รกิ ใคร่สนทิ สนมอยู่บา่ งกเบนแต่ผู้น่อยโดยมาก ท่เี บน ผใู้ หญ่เาใมม่ กี ำล*งสามารถอาจจะอดุ หนนุ อ*,นใด . . 1. ในขณะน,น เปรยี บเหมือนคนท่ศี รี ษะขาดแลํว จ*บเอาร่างกายขนดไ)ไว้ ในท่ี สมมตกิ ษตั ริย์ เหลอื ทจี่ ะพรรณนาถึงความทกุ ขอ้ *,นตฮั งเบนกำพรำ ในอายุเพียงเท่าน8น และความหน*,กมงกฎุ อ*นเหลอื ท่ีคอจะทาน ไว้ได้ ทไมืสไารซู งึ่ หมายอยโู่ ดยเบีดเผยรอบ'ขา้ ง ทง้ ภายใน ภายนอก หมายเอาทง้ ในกรุงเองและต่างประเทศ. 1. สว่ นพระ- บรมวงศานวุ งศผ์ ้ใู หญ่ ซึ่งท่านเชอเบนแนว่ า่ พอ่ เบน แตเ่ จว็ด คร,งหนงึ่ คราวหนึ่งอยา่ งเรีองจนี แตถ่ ึงดไนึน่ พอ่ ได้แสดงความ เคารพน*,บถอออ่ นน,ิอมต่อทา่ นอยเู่ สมอ เหมือนอย่านมึ๋อษงั มืได้ เลือกขนเบนสมมติกษัตรยิ เ์ ช่นน1น จนท่านกมํ ืความเมตตา ปรานขนทกุ ว,ิน ๆ . . . ’' และได้ทรงประทานพระบรมราโชวาท ต่อไปว่า “ ...อ่อนนไ)มตอ่ ผใู้ หญ่ไม่วา่ เข้านายหรือขุนนางพงี คำ แนะนำตกั เตอื นในทีค่ วรพงี 1. . ”

๔๐ โดยเหตุนเอง ชาวตะว*'นตกจงึ มภี าษํตกล่าวถงึ คุณคา่ ของ ความสุภาพออ่ นโยนไวว้ า่ “ . 1. หมวกที่อยู่ ในมีอฃวาของผถู้ อึ ไมเ่ คยก่อความเดอื ดรอ่ นใหแ้ ก่ใคร . 1. ” ตบะ — ครามดเครอ งเผาความชร์ ความกลัวของคนเรานน้ํ มีอยู่ ๓ ประเภท ๑. หวาดกลวั คือกลัวความร่ายของคน หรือของสีงท่ี เรากลวั กลัวว่าจะทำใหเ้ ราเบนอ*'นตรายลมั ตายลงไป เมื่อกลัว แลัว เราไม่กลาั สู้ ไม่กลาั เถียง ไม่กลัาเขา้ ใกล้ ๒. เกลยดกลวั ได้แก่ความเกลยี ด ผสมความกลวั หมายความวา่ สีงน,น ๆ มีความเลวทรามอยู่ในตวั เราจงึ เกลยี ด ความเลวของมนั ๓. เกรงกลวั ได้แกเ่ กรงคุณความดีของคนอน ไมก่ ลา้ ลบหลู่ ผบู้ *'งคับบ*ญชาผ้ใู ดมคี วามดอี ยู่ในตวั ผ้นู 1นเบนคนมี ตบะ มีเดซาอยู่ ในตัวเอง เบนท่ีเกรงกลัวของคนอ่นื อโกธะ — ครามไม่โกรธ รา่ งกายคนลัาอยู่เฉย ๆ ไม'มีลีงใดสงี หนึ่งมาเร่า ร่างกาย จะแสดงพฤตกิ รรมใด ๆ ออกมาไม่ได้ เมอื่ มีสงี เร่ามา.เรา่ มา

คระทบใจเรา ลัาหากเราไมช่ อบ ความไมพ่ อใจ (อ ร ต ิ) ย่อม เกดิ ขน ลาั ความไมพ่ อใจนไม่สงบ กลบั มีพลไแรงมากขน อาการไม่พอใจจะกลายเบน ปฏิฆะ (ความข,ดใจ) เม่ือถงึ ขนน 'ใจยไ)ไม่สงบอกี แต่กลบั รุนแรงขนไปอกี เราเริยกอาการของจติ ระดบั นํ้วา่ โกธะ ( ความเดอื ดดาล) ความโกรธเมื่อเกดิ ขํ้นแลัว นำความเลึยหายมาสู่คน หลายประการ เชน่ ๑. เสยื สขุ ภาพของรา่ งกาย เวสาิ โกรธดดั หัวใจทำงาน สูบฉีดโลหิตเรวกว่าปกติ หน้าจงึ แดง รมิ ผีปากสน นา้ ยอ่ ย ออกนอ้ ย อาการเหลา่ นทำ'ให,้รา่ งกายทรดุ โทรมทงสน ๒. เสยคณุ ภาพ ของจติ ยามคนอยใู่ นอาการปกติ จำอะไรได้ดื คดิ อะไรไดป้ ลอดโปรง่ รอู้ ะไรละเอยี ดลกึ ซํง้ แต่ พอความโกรธเขา่ ครอบงำ คุณสมบดเหลา่ นหายไปหมด ๓ . เสัยสมรรถภาพทางสตบญญา สมรรถภาพของ คนแสดงออกในดาั นระบบความคิด การดดั สนใจ เวลาคนโกรธ ดวงบญญาจะมีด กำลงั กายและประสาทถูกความโกรธเผาผลาญ หมดสํน้

อวิหิ เส์า -ไมเ่ นยคเบยี น โกธะ — ความโกรธ ก*บ วหิ ิงสา — ความเบยี ดเบียน สวั นมีท่ีมาคือ เกดิ จากโทสะเหมอื นก*น แต่วา่ ทง้ สองน้ํมสี กั ษณะ แตกตา่ งก้น กลา่ วคือ โกธะ — เบีนเพียงความแปรปรวนของ จิต สว่ นวิหงิ สา-เบีนความเลวรำยของจติ สาั จะเปรียบเพยี บ ไตว้ า่ โกธะเหมอื นก*บนาฃ่นุ เพราะตะกอน ส่วนวิหงิ สา เหมอื นกบั นากรด มืพษํ แสนรำยสาหสั จึงกลา่ วไต้วา่ คนท่ใี จไมม่ วื หิ ิงสาอาจโกรธได้ ถา้ กระทำ สงี ท่ไี ม่พอใจ เมือโกรธแลว้ ความรำยจึงสำแดงต*,วออกมา แต่กิ เบนเพียงความรา่ ยทเ่ี กิดจากอำนาจความโกรธเทา่ นนมื ใช่เกดิ จากสนั ดาน สว่ นคนผู้มีวหิ งิ สาอยู่'ใน'ใจ เขาเบีนคนมคี วามเลว ร่ายกาจอยใู่ นใจ โกรธหรอื ไม่โกรธเขามีพษี รำยทงลน เขา จึงเบนี เสมอื นอสรพีษทีร่ ำยกาจทส่ี ดุ วธิ ีการพคี นมีใจวหิ ิงสาใช้เบยี ดเบียนคนอ่ืนน,น สาั กล่าว ตามนํยหสักอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการกไิ ด้แก่ ๑. เบยี ดเฃยนบวี & ไดแ้ ก่ทำร่าย ฆ่า ทำให้ไดส้ บั ความลำบาก

๒ . เบือคเบือนหรนอ์ ไดแ้ กก่ กั ฉอโกง ทำลาย ทร้พยใ์ หเ้ สยี หาย ๓ . เบือคเบือนครอฃครว้ ไดแ้ กก่ ารลว่ งละเมํดใน บุตรภรรยาของคนอน ๔ . เบอดเบอื นทาง'ใจ โกหกหลอกลวงคนอน'ให้ หลงเซ๋อึ ๔ . เบือคเบอื นความสงบสบุ ดา่ ว่าดว้ ยวาจาหยาบ- คาย กล่าวกระทบกระแทกแดกด้น '๖. เบอื คเบอื นควาบผาสกุ สอ่ เสียดยุยงใหI้ ขา แตกกนั ในระหว่างญาตพิ น่ื อ้ ง ผูใ้ หญผ่ นู้ ้อย เพือ่ นฝงู ๗ . เบือคเบือนความเจรญิ ทำลายความกาั วหนำ ดว้ ยการนินทา ใสร่ ้าย ๘’. เบอื ดเบือนผลประโอปน กลนแกล,งเอาผลประ- โยชน์ของเขามาเบนของตนเอง เบ อื คเบ ืยน ความป ลอด ภ ฃ์ แสดงความอาฆาต พยาบาท ๑0. เบอื คเบอื นครทธา แสดงความคิดเห้นหักลา้ ง ความเชอของคนอนโดยไมเ่ กรงใจ กลา่ วโดยสรุป กกั ษณะของวิห้งสา มอยู่ ๓ ชน

(๑ ) อยา่ งหยาม จงใจเบียดเบียนคนให้เดอื ดรอน- (๒) อย่างกลาง ไมร่ ้บรูค้ วามสขุ ของคนอ่นื (๓) อยา่ งละเอยี ด ไม่รู้สกึ เกรง'ใจคนอ่นื ผ้บู ังคบั บ*ญชาคนใดมลี กั ษณะเชน่ ว่าน้ํ ผใู้ ตบ้ ังคบั บัญชา กเหมอื นกับอยู่ ในท่ามกลางกองเพลิง ฉะน,นผบู้ งั คบั บัญชาจึง ต‘องม็คณุ ธรรมข*ออวิห้งลา — ความไม่เบยี ดเบยี น บันติ — ความอดทน ระหวา่ งเหลก็ กลัาก‘บเหล็กธรรมดาน1น มคี ณุ ลกั ษณะ แตกตา่ งคนั มาก เหล็กกลัายอ่ มมคี ณุ ภาพดกื วา่ ระหว่างคนท่มี ี ความอดทนเบีนธาตแุ ท้ของชวี ติ คับคนทไี ม่มคี วามอดทน คนทมี ีความอดทนยอ่ มมีสมรรถภาพและพบความรงุ่ โรจน์ของ ชีวติ มากกวา่ อย่างเปรียบเทยี บคนั ไม่ไต้ คำว่า “ ความอดทน ” หมายถึง “ ...ความทนเพอใหพ้ *'น จากสภาพทีเลว . . 1” คนั ไดแ้ ก่ ๑. อดทนตอ่ ความยากลำบากตรากตรำ ๒. อดทนตอ่ ทุกขเวทนา

๓. อดทนต่อความเจบ็ ใจ เมอถูกคนอนทำใหเ้ จบ็ แค*น เช่นถกู เยาะเย*ยล์ กู เสียดสี ไม่ได้รับความยุตธรรม ๔. อดทนตอ่ อำนาจกํเลส กลา่ วอกี นยํ ์หนึ่ง ผูบ้ ังคบบัญชา จำต*อง ๑. อดทนต่อสงิ ทตนไม่ชอบ เชน่ ความยากลำบาก คำดา่ ว่า ฯลฯ ไ2เ. อดทน ตอ่ สิงทฅน ชอบ เช่น อำนาจยศศกด ทรพยส์ มบด อย่ามุง่ ทำเพอให้ได้มาในทางผดิ อาโรอน ะ — ความไมผ่ ิด ผลทเ่ี กิดจากการทำงานของคนมอ่ ยู่ ๓ ประการ ๑. ทำถกู คอื ทำดี ถกู ตอ้ ง เรยี บร*อ, ย ไมม่ ขี *อ' บกพรอ่ ง งานกำวหนำ 1®ป็. ทาไมผด ทาเพยงงานเลรจ แด ไมถ่ งึ ก”บดี ๓ . ทำผิด เบนการทำเสียหาย การทำงานเพยี งขน ทำไมผด ย่อมไมอ่ าจสร*างความ กำวหนำให้แกห่ น่วยงาน เหตนุ ่บึ ุคคลผ้ทู ำงานจงึ จำเบนอย่าง ที่สุดทจ่ี ะต้องปฏํบ่ตงานในข้น ทำถูก งานจึงจะพํฒนา

ขอยตุ 1๑๐ประการ ดไกลา่ วชา่ งตนแยก ประเภทเบน ๒๓๑... ทาน พระคณุ ศีล บริจาค พระเดช ๕.๔. อาชวะ มทํ วะ ๘๖๗... ตบะ อโกธะ อวหิ งิ สา ๑๐.๙. ขนั ติ อวิโรธน ^, 1 ๑. บคุ คลผเู้ ช่าร*บราชการใหม่ ยง้ ไมม่ ชี ึอเสยี งและยงิ ไม่มียศศ*กด ตอ่ งอยา่ กล้าจนเกนพอตแิ ละอย่าขขลาดหวาดกล*ว จนเสยิ งานราชการ

๒. ขำราชการต,องอย่าเบนคนม'กง่าย อยา่ เลนเล่อ จง ระมดิ ระวงั ตัวอยู่เสมอ ถไ'ตวั หนำรู้ความประพฤตสิ ตบิ ญญา และความ,ซอ่ื สติ ย่สุจริตแล่ว ล็จะวางใจและเผยเคล็ดตบั ของงาน ให้ทราบ ๓ . เมื่อตัวหนำเรยี กใชง้ านราชการ อยา่ เอนเอียงไป ตวั ยอำนาจอคติ ควรปฎิบต่ งานราชการใหส้ ำเร็จไป โดยสุจรติ และเทย่ี งธรรม ดจุ ตราซูทอี่ ยู่ ในระดบั เท่ยี งตรง ๔. เมอื่ มีงานราชการเกดขน ไม่วา่ กลางวันหรีอ กลางคืน ขไราชการหากถกู เรียกใช้แล*วกจ็ งปฎบิ ติ งานราชการ น1น ๆ ให้สำเรจ็ สมประสงค์ อย่าบดิ พรํว้ หรอื หวนั เกรงไปตาม อารมณ์รไย ๕. ทางเดินทเ่ี ขาตกแตง่ เบนิ ราชวถิ ี แมโ่ นจะมพี ระบรม ราชานุญาตใหเ้ ดนิ ได้ ขำราชการกไม่ควรเดิน ๖. ขไราชการไม่ควรใชข้ องเสมอพระราชาหรอิ หวหนำ ไม่ควรบรโิ ภคใหท้ ดั เทียมทา่ นควรปฏิบติ ใหต้ ่ากวา่ ทกุ อย่าง ๗. ขไราชการไม่ควรใช้ท่วงทกี ริ ยิ าวาจา ขโอโ่ อหังทับ พระราชาหรอื ตัวหนไ ควรแสดงใหต้ ่างช1นลงมา จงึ จะชอบ ตัวยประเพณน์ ยํ ม และเบินการวักษาตนให้ตันราคื โทษ

๔. เมอพระราชากำลังทรงสำราญอยูใ่ นหมูอ่ ำมาตย ม พระสนมกำนลั เผาแหนอยู่ ขำราชการไม่ควรแสดงอาการ ทอดสนทิ ในพระสนมกำนลั ๙. ขำราชการไม่ควรเล่นหัวกับพระสนมกำนัล ๑๐. ขำราชการไม่ควรจ*'บกลุ่มกันปรกึ ษาขํอราชการใน. ทลบ ๑๑. ขำราชการ ไมพ่ ึงหกั ลอบเอาพระราชทร*'พยออก จากพระคหงั หลวง ๑๒. ขำราชการ'ใมพ่ ึงเห็นแกห่ หับนอน จนแสดงใหเ้ ห็น เบนความเกียจคร่าน ๑๓. ขำราชการไม่พงึ ดม่ื สรุ าจนเมามาย ๑๙. ขำราชการไม่พงึ ฆ่าหตั ว์ที่ไดร้ บ่ พระราชทานอภ*ย ๑๕. หัาราชการไม่พึงทะนงตนวา่ พระราชาหรือ หัวหนัาโปรดปราน ถึงกับขนร่วมพระแท่นบัลลังก์เรอื พระทน่ี งั หรอื รถพระที่นัง ๑๖. ขำราชการพึงร'ู้ จไกท่ีเผาทีเ่ หมาะสม อยา่ ให้ห่างหรอื ชดํ เกีนไป พึงอยู่ ในท่ที พ่ี ระราชาจะทอดพระเนตร เห็นถนดั หรือพึงกระแสพระดำร่สได้ชดเจน

(*๘ ๑๗. ข้าราชการอย่าชะลา่ ใจ ในเมอื่ พระราชาทรง กระทำ.พระองค์เสมือนหนึ่งเบนเพ่อื นหรอื บวั หนำทอดตนลง เสมอื นหน่งึ เบนเพ่ือน ๑๘. ขา้ ราชการเมอื่ ใต้รบการยกยอ่ งเชิดชไู ม่ควรหยีง ทะนงอวดตัวว่า เบนนักปราชญ์ราชบณั ฑติ และไม่ควรตัวงจาบ เพ็ดทูลพระราชา ๑๙. ข้าราชการแมนไตร้ บพระราชทานพระบรมราชา นุญาต ใหเ้ ข้านอกออกในไตก้ ไม่ควรวางใจทอดสนทิ เมอื่ จำเบนจะเข้าออกนอกใน ควรขอพระบวมราชานญุ าตก่อน ทุกคร้ง ใหม้ สื ตคิ รองจนเบนคนรอบคอบเสมอ ๒๐. เมอ่ื พระมหากบัตรยีจะทรงยกยอ่ งพระราชโอรส หรือพระราชวงคโ์ ดยพระราชทานบาั นนคิ ม ร*ฐ หรือชนบท ให้ครอบครองกิ[ควรนงี ดุก่อน ไมค่ วรดว่ นเพ็ดทลู คณุ หรือโทษ ๒๑. เม่ือพระราชาหรอื บวั หนำ จะบำเหนจ็ ความชอบ แกผ่ ใู้ ด ไม่ควรทูลหรอื เรืยนข้ดตดั ลาภผลของผนู้ นํ ควร สอบสวนใหร้ อบคอบบัวนถี่ มืจํตใจอ่อนโยนไปในทางที่เหมาะ ท่ีควร

๖๐ ๒๒. ขา่ ราชการควรเบนคนไม่เห็นแก่ได้ อย่ายอม ตกลงอยู่ไตอ้ ำนาจของความอยาก ทำตัวใหใ้ ม่มลี นเหมอื นปลา คืออย่าเจรจาหาเรองใหเ้ กิดความขุ่นเคอื งแก่ห*วหนำหรอเพอน ข่าราชการตัวยก*’น ๒๓. ชาั ราชการไม่ควรใช้จา่ ยเงินแผ่นดนิ ไปในทาง พุมเพึอยลรุ ยุ่ สรุ า่ ย ๒๔. ชาั ราชการควรสอดสอ่ งดูแลรักษางานราชการ ให้ดี อยา่ ใหผ้ ดิ ระเบียบประเพณีและกฎหมายและตอั งต่อสู้กบั อปุ สรรคชอั ชัดชอั งและเหตชุ ดั ขวางเสมอ ๒๕. ข*,าราชการไม่ควรมวั เมาในสตรี เพราะจะทำให้ เสือมอำนาจ และเบีนราคี โทษในหนำทร่ี าชการ ๒๖. ขา่ ราชการไมค่ วรพูดมากเกนิ พอดี แตก่ ็ไม่ควร นงี เสยิ รีาไป ๒๗. ข่าราชการเมอื ถึงคราวท่ีตอั งพูด จงพดู พอเหมาะ พอควร พดู ใหแ้ จ่มแจไ)ชัดเจนและจงนีงเมอื ถงึ คราวที่ควรนง็ ๒๔. ข่าราชการตัองอดทน อยา่ ฉุนเฉียวอย่าโกรธงา่ ย แ ละอย่าพูดหรีอทำกระทบกระเทีย่ บเปรยี บเปรย

๒๙. ข่าราชการควรเบนคนมีความสํตยจ์ รงิ ตอ่ คำพูด ของตน พดู จาใหน้ ีมนวลและสุภาพอยา่ พูดสอ่ เสยี ดยุงยงใหเ้ กิด ความบาดหมางและแตกลาม*คดี อยา่ กลา่ วถอ่ ยคำเพอํ เจอ่ เหลวไหลใรป้ ระโยชน์ ๓๐. ข่าราชการต*องบำรงุ เล้ํยงดูพ่อแม่ให้ผาสกุ เคารพ นบนอบและเออเพอต่อผู้หล*กผู้ใหญ่ในตระกลู ๓๑. ข่าราชการต*องละอายต่อความช,ว เกรงกล*วตอ่ ความผดิ อยา่ ประพฤตลิ ะเมดิ .ดีลธรรมและเบนมติ รทด่ี ใี น ครอบคร*ว ๓๒. ขา่ ราชการตอ่ งมีระเบยี บวนิ *,ย และมีมรรยาท สุภาพงดงามเลมอ ๓๓. ข่าราชการต*,องมดี ลี บใี นการปฏิบํตราชการใหด้ ำเนิน ไปโดยรวดเริว และสำเร็จเบนี ผลดเี สมอ ๓๔. ขา่ ราชการต่องผิกใจให้มนในความดี มอี *,ธยาศ*ย ออ่ นโยน ไมถ่ ือตัวอวดดี ไมห่ วนไหวไปตามโลกธรรม ๓๕. ขา่ ราชการต*องขย*,นขันแข็งในหนำที่ราชการ

๓๖. ข้าราชการ ตอั ง เบน ผู้บรสื ุฑธื้ สะอาดใน หนำท่ี ■ การงาน ๓๗. ขา้ ราชการต,องเบนคนเฉลียวฉลาด รู้จ*กฐานะ ทคี่ วรและไมค่ วร ๓๔. ข้าราชการตัองประพฤติอ่อนนํอมถ่อมตวั มคี วาม เคารพยำเกรงในผู้ใหญเ่ หนือตนประพฤติตนมนอยูใ่ นความด และมุง่ มนทำแตค่ วามดี ๓๙. จารชนทีพ่ ระราชาหรอื ประมุขต่างประเทศสง่ มา สืบราชการล*บ ขา้ ราชการจงปลกี ตวั ออกหา่ งจารชนนนํ ให้ จงร*กภ*กดแี ต่ในพระราชาและห*วหนำของตน อยา่ ผกใผใน ราชสา่ นํกอนื่ ๔๐. ข้าราชการควรใผใจเขา้ หาสมณพราหมณาจารย์ ผ้ทู รงศีลเบนน*กปราชญ์หรือรู้หล‘กน*กปราชญ์ เพ่ือร*กษาศีล พงธรรมบ่าง เพอื่ ศึกหาถ่ายทอดเอาความรู้จากท่านบ่าง ๔๑. ขา้ ราชการ ตัองอยา่ ลบลา้ งราชประเพณีในการ บา่ เพญื่ ทาน ควรร*กษาไวใ้ ห้มนคงเมอื่ ถึงคราวทรงป้าเพญ่ื ทาน อยา่ กดี กันตัวยอุบายใด ๆ ทงสน

๔๒. ขาราชการตองมความรูด มบญญาเฉยบแหลม เขไใจในวิธีการทวไป และร้สู ักกาลสมยั ท่คี วรหรือมิควร ๔๓. ขา่ ราชการตอ้ งขย*นหมันเพยี รในการปฏํบตหนา้ ท่ี ราชการ ไมเ่ ลนิ เล่อหละหลวม ต้องตรวจตราดแู ลใหร้ อบคอบ ทำงานใหส้ ำเรจื เสรจ็ สนไปโดยครบมัวนต้วยดเี สมอ ๔๔. ขา่ ราชการควรตรวจตราดแู ล'ไรน่ า และปศุสัตว ■ ขา่ ว'ในยงุ้ ฉาง อยเู่ บนประจำตลอดจนแมก้ ารใชจ้ า่ ยในครอบครว้ ฑควรรู้สกั จำกัดประมาณ ๔๕. มัาราชการไม่ควรยกย่องลกู ชายหญิงหรอื ทีน่ อ้ งท่ี ประพฤตไิ มด่ ี มแิ ตค่ อยจะมัางผลาญซึง่ ทำตนเหมือนคนตาย แลว แตค่ วรยกยอ่ งคนที่ประพฤติดี มคิ วามขยน่ หมันเพียร ในหนา้ ทก่ี ารงานสมาิ เสมอ และควรชุบเลยงเขาอย่างดี ๔๖. มัาราชการตอ้ งเบนคนมิศีลประจำตัวมิความซื่อสตั ย์ ไม่เหน็ แกไ่ ด้ ไมเ่ มาั ข่างคนผิดเบนคนซ่ือตรง จงรกภกั ดี 'ฑงตอ่ หนา้ และลับหลงั ๔๗. ข่าราชการต้องรสู้ ักพระราชนิยมหรอื ความนิยม ซองหวั หน้า ปฏิบตใหต้ อ้ งตามพระราชประสงค์ ไมผ่ าผนื •ข*ดพระราชอธั ยาศัย หรืออธั ยาศยั ของหัวหนา้

๔๘. ขาราชการแมจิ ะถูกกรวเกรยวกราดถงกบกดศรษะ ลงใตผ้ ำนุง่ ใต้ถนุ ที่สรงสนาน และในทล่ี า่ งพระบาท กไมค่ วร โกรธตอบ จึงควรอยข่ในวงราชการได้ ๔๙. ข่าราชการควรส,กการะบูชาพระราชาผ้ท่ปี วงประ- ชาถอี ก‘นวา่ เบนยอดปราชญ์และเบนผู้พระราชทานสมปต คนั พึง'ใจ'ใหท้ กุ ๆ อย่าง ราชวสตธิ รรม — หลไาปฎบิ ่ตราชการทง่ี ๔๙ ขอ่ น ปรากฏในคัมภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาช๋ึอวิธรุ ชาดกในอรรถกถามหา นบิ าตชาดก หล*กราชแาร ®. ความสามารถ คำวา่ “ ความสามารถ” ได้แก่ . 1 . อาจจะทำการงาน'ใหเ้ บนผลสำเร็จ'ใตด้ ยี ีงกวา่ ผูท้ ีม่ โี อกาส เ ท ่ า ๆ ก ั น . . . ” เชน่ ต่างวา่ คน๒ คน ได้เรยี นหนงั สอื ใน โรงเรียนเดียวกัน สอบไล่ไดป้ าน ๆกัน เขา่ ร*บราชการพร*อมกนั . ใขนอหงนตัานทไค่ี ห*กเัาหยมๆาะกสนั ม แ1แกตก่เมาอลทะา่ เทง7าศนะแแลลว้ คะนสทมี่เห๑ตผุรลจ้ 7กํอใกชควนช า ๑ คอั งคอยให้นายชํห้ นทางให้ท่าก่อน จึงทำ เช่นนินับวา่ คนท่ี 9 เบนผ้มคี วามสามารถมากกว่าคนที่ ๒

ไ®. ความเพยี ร คำวา่ เพียร แปลวา่ “ กลำหาญไม่ ยอ่ ท้อต่อความยากและบากบน เพอี จะขำมความขดํ ขอํ งให้จงได้ โดยใช้ความอตุ สาหวํริยภาพ มไิ ด้ลดหยอ่ น” อน่งึ ผ้ทู ่ี แสดงตนเบนคนเพียรกเ็ หมอื นแสดงให้ปรากฏว่า ทา้ แม้ไดร้ *,บ มอบหมายใหก้ ระทำการในหนำทใ่ี ด ก็คงจะใชอ้ ตุ สาหวริ ิยภาพ โดยสมืาเสมอเพอี ทำกจิ การนน่ึ ๆ ให้บรรลุถงึ ซี่งความสำเรจ็ ท้วยดีจงได้ ดไน่ึเมอื ผู้ใหญจ่ ะเลอื กหาคนใชใ้ นตำแหนง่ ผูบ้ ไค*บ บ*ญชาคน จงึ เพ่งเลืงหาคนเพยี รมากกวา่ คนที่มืแตว่ ชิ า แต่ เกียจคร่านหาความบากบ'่ นอดทนมไิ ด้ ๓. ความไหวพริบ ความไหวพรบิ แปลว่า จก “ ร ู้ ทง้ เกตเห็นโดยไม่ต้องมใี ครเตอื นว่ามเื หตเุ ชน่ น,น ๆ จะต้อง ปฏบิ ตการอยา่ งน'น ๆ เพอี ให้บังเกีดผลดที สี่ ุด แกก่ ิจการทว้ ไป และรบี ทำการท้นเหน็ ควรน'นโดยฉบํ พทน้ ทน้ พ่วงพี ’ ๔. ความรู้เท่าถงการณ์ คำน่ึ แปลวา่ “ รู้'จ*กป่ ฏบิ ต กิจการให้เหมาะดวยประการท'งปวง ’ การทจ่ี ะเบนเชน่ นึใ่ ด้ กต็ อ้ งเบนผทู้ ่รี จู้ *,กเลือกวา่ จะปฎปิ ตการอย่างไร จึงจะเหมาะสม แกเ่ วลาและที่ ให้สมเหตผุ ลจึงจะเบนประโยชนท่ ่ตี ทื สี่ ดุ ท้น

๖๖ ความคดในทางการใด ๆ ถงึ แมจ้ ะดปี านใดก็ตาม แตก่ ำใช้ ไมเ่ หมาะแก่เวลา คอื ทำก่อนทถ่ี งึ เวลาอนั ควรหรือภายหล‘'งเวลา อันควร กอ็ าจที่จะไม่ไดร้ บผลดีเทา่ ทค่ี วร หรือกล*บกลายเบน ผลร่าย ๔. ความซอตรงตอ่ หนไท ถา้ จะตอบใหด้ ีทส่ี ดุ ควร ตอบว่า “ ความซอตรงต่อหนำที่ คอื ตงใจกระทำกิจการชง่ื ได้ รับมอบให้เบนหนำท่ีของตนนนํ โดยช่อื ส*'ตยส์ จุ ริตใชค้ วาม รุตสาหวิรยิ ภาพเต็มสตกิ ำถ้งของตนถ้วยความมุ่งหมายใหก้ จิ การ นน ๆ บรรลุถงึ ความสำเร็จโดยอาการอนั งดงามท่ีสุดทีจ่ ะพึงมี หนทางจ*'ดไปได้ ” ๖. ความซอตรงต่อคนท'วไป คนเราไม่วา่ จะเบนคน สำค*ญปานใด ยอ่ มถ้องอาถ้ยกำอังผ้อู นในกจิ การบางอยา่ ง จึง มสี ุภาษิตโบราณกลา่ วไว้วา่ “ บาพงึ เสอื เรือพงึ พาย นายพึง บ่าว เถ้ าพึ งถ้ า. . . ” . . 1 หนทางท่ดี ีท่ีสดุ ท่ีจะดำเนินไปเพอึ ใหเ้ บนทน่ี ิยมแห่งคนท่งี หลายมีอยค่ ือ ความประพฤติชือ่ ตรง ตอ่ คนท่'ี วไป รักษาตนให้เบนคนควรเขาท่งี หลายจะเชื่อถอื ได้ โดยรกั ษาวาจาส*'ตย์ พดู อะไรเบนนน ไม่เหยี นห*'นเปลีย่ นแปลง

๖ฟ่ •คำพดู ไปเพอความสะดวกเฉพาะคร1งํค้ ราว ไม่คดิ เอาเปรียบใคร โดยอาการอันเขาจะขนั แขง่ ไมไ่ ด้ ไมย่ กตนข่มท่าน ไม่หาตี ไสอ่ วั หาชวใส่เขา เมอผูใ้ ดมไี มตรีตอบก็ตอบแทนอัวยไมตรี โดยสมาี เสมอ ไม่ใชค้ วามร*กใคร่ไมตรีซึ่งผอู้ ่ํนมแี กเ่ ราน1นเบน เครืองประหารเขาเองหรือใคร ๆ ฟ.่ ความรอู้ ัก่นสิ ํยคน อาั เบนผนู้ ,อยเบนหนำที่'จะออั ง ศกึ ษาและส*งเกตให้รนู้ ิสัยของผูใ้ หญซ่ งึ่ เบนผบู้ ังคับบญั ชา ของตน ต‘องร้วู ่าความคดิ ความเห็นเบนอยา่ งไร ชอบท่า การงานอย่างไร ชอบหรือขงั อะไร เมือ่ ทราบแสวั กอ็ าจที่จะวาง ความประพฤคิและทางการงานของตนเองใหต้ ‘องตามอัธยาศัย ของผ้ใู หญ่น้น่ใต้ สาั ตนเบนผู้ใหญ่ มีหนำทีเ่ บนผู้บงั คับบญั ชา คนมาก ๆ การรอู้ กั นสิ ัยคนกย็ ีงเบนการจำเบนยีงขน เพราะ คนเราไมใ่ ช่ฝงู แพะฝูงแกะซ่ึงจะศัอนไปได้โดยใชร้ *อง ฮยุ ๆ หรอื เอาไมไ้ ล่ตี ๘. ความรู้ขกั ผ่อนคัน อยา่ เบนคนเถรตรงหรือ ผอ่ นผนั ไปเสยี ทกุ อย่างจนเสยี ท้งวิสัยท*งแบบแผน

6 . ความมหล,กฐาน ได้แก่ ก. มบี า้ นอยู่อาต้ยเบนหลักแหล่ง ข. มคี รอบครัวลนั มนคง ไม่ใชห่ าหญงิ แพศยามา เลยงบา้ ลดั ความใคร่ หรือมีเมียเพอม่งุ หมายปอกลอกทร*'พย สมบต้ แลวั ทํง้ ไปหาคนอ่ืนใหม่ ค. ต้งตนไว้ในทช่ี อบ ไมป่ ล่อยตนไปในอบายมุข ๑๐. ความจงรักภก่ ด คือยอมสละตนเพอประโยชน์ แห่งท่าน คือถึงแม้ว่าตนจะต้องไดร้ บั ความเคือดรอ่ นรำคาญ ตกระกำลำบาก หรือจนถงึ ชวี ิตเบนที่สดุ กย็ อมไดท้ ี่งสน เพอ มุ่งประโยชนอ์ นั แท้จริงให้แกช่ าติ ศาสนา และพระมหากษ*'ตริย และความจงรักภ*'กดน์เองคือความรักชาติ ซี่งคนไทยสมยั ใหม่ พอใจพดู อยจู่ นตดิ ปาก แต่ซึ่งหาผ้เู ข*าใจซมึ ชาบจรงิ ไต้นอ้ ยน*ก หลกั ราชราชการ ๑๐ ประการข*'างต้นน์ เขียนตามน*'ย พระราชนพ์ นธ เรือง หลักราชการ ของ พระ บาท สมเกจ็ พระ- มงกุฎเกลาั เจ*'าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๕๗

บทท่ี ๒ ยนู ำกบการจ้ฒนาตน ขำพเจไสามารถเรยนร้เู พอความเบนผนู้ ำทดไ้ ด้หรอไม่ ขำพเจไจะคนพบพลไศ*กยะความเบนี ผู้นำของขำพเจ้าได้ โดยวธิ ใด ขำพเจา้ จ้องรู้อะไรบ้างจงจะกลายเบีนผู้นำทด้ ขำพเจา้ ตองปฎบตอยา่ งไรจงจะเบนผนู้ ำที่ด้ ขำพเจ้าจะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรเล่าว่า ขำพเจา้ เบนผู้นำทด้ แลว้ หรอยัง ขำพ ุเจา้ จะส ามารถตดิ ตามแน วคดและห ลไาน ยํ ม ใหม่ ๆ เกยวก*บการเบนผ้นู ำไดโ้ ดยวิธใด.......... บญหาจ้างจ้นนด้ํ อี บญหาหดกั มลู ทบ่ี ุคคลผู้ทา่ หนำทเ่ี บน ผู้นำ หรือหิวหนไหนว่ ยงานทกุ ระดับจำเบนจอ้ งหาคำตอบทถี่ กู จอ้ งให้พบ ในอดีตกาลเม่ือดงั คมอยู่ในยุคอำนาจปกครองของระบบ อภชิ นาธปิ ใตย คนมไาเจา้ ใจก*นว่าอภิชนเท่าน,นท่เี กดิ มาเพื่อ เบน คน ส่วนคนอนเกดิ มาเพ่อื เบน ตาม” พอถง “ ผ ู้น ำ ” “ ผ ู้

?|คประชาธิปไตย แมว้ า่ ประชาชนสาม*ญทว่ ไปจะเข้าบริหาร สังคมสบื แทนกล่มุ อภชนแลวก็ตามท่ี แต่กย็ *ง, มแี นวคดิ กนั อีกว่า ผนู้ ำน\\เต*องมีคณุ สักษณะบุคลิกภาพทถ่ี ่ายทอตทางพ*นธุกรรม ซึง่ จะสร่างใหม้ ีสักษณะเดน่ กว่าคนอน่ื น*,กสังคมศาสตรใ์ ช้เวลา ถึง ๕๐ บกว่า เพอกนั ควำศกึ ษาและกำหนดแบบคุณสกั ษณะที่ แน่นอนของผู้นำ แต่กป็ ระสบกับความสมั เหลวในเร่ืองนอย่าง สนเชิง บจจุบ*นนน*กสงั คมศาสตร์ตกลงกันในหสักการวา่ “ แบบบุคลิกภาพความเบนผนู้ ำ” นนไมม่ ี มแี ตอ่ ตั สัาษณ์ บคุ ลิกภาพกันมอี ีทชพิ ลตอ่ ประสทิ ธผิ ลของผ้นู ำในสถานการณ์ แตล่ ะอย่าง ๆ และบคุ คลกส็ ามารถเรยี นรู้ส็งตา่ ง ๆ อันมคี วาม สา่ กัญมากท่ีสดุ ในการสร่างตนเองให้เบนผู้นำทบี่ รรลุความ สำเร็จ เพราะฉะน,น น*!กสังคมศาสตร์'จงึ หันกสบั มาศกึ ษากันครา่ ในหลักการท่วี า่ ผู้นำปฏิบตอยา่ งไรบ*าง ? จากผลการศึกษาใน แนวนทา่ ใหก้ ันพบข้อประจ*,กษ์ว่า มีใช่แต่ผูน้ ำท่ีดเี ด่นเท่านํ้น จงึ จะสามารถกระทา่ สีงตา่ ง ๆ ในสถานการณอ์ ันแตกตา่ งกนั ได้ อย่างมปี ระสทิ ธิผล แต่วา่ คนอน่ื ๆ เขากส็ ามารถทำได้เชน่ เดียว กนั ไม่แตกต่างกันเลย จากผลการวิจ,ยเช่นว่านํน้ ักสงั คมศาสตร์

จึงถอวา่ ความเบนผู้นำ คือ ประมวลแหง่ การหนำที่มีใชํ บทบาทของบจิ เจกชน และไดใ้ ห้คำนํยามว่า “ ความเบนผนู้ ำ คอื การปฏํบติ หนำทีท่ ง้ หลายชี่งชว่ ยให้กล่มุ บรรลวุ ัตถปุ ระสงคํ ” ถา้ หากสงํ เกตบทนยิ ามยคุ บจจุพันแล้ว จะพบคำวา่ “ ผูน้ ำของ กลุ่ม” หายไป กลบมี “ การหนำที่ความเบนผ้นู ำ'’ ในกล่มุ เขา่ มาแทนท่ี จากหล*กปร*ชญาวา่ กัวยความเบนผู้นำยุคใหมน่ ่ึ เราจะ เห็นไดว้ า่ มีใซ่ว่า “ ผู้นำท่ีไดว้ บั การแตง่ ตง” ให้ดำรงตำแหนง่ ห*วห์ นำงานเทา่ น้นทส่ี ามารถปฏํบติ การหนำท่ีความเบนผู้,นำ'ใต้ เพยี งคนเดยี ว แตท่ ุกคนในหน่วยงานนน้ ๆ กส็ ามารถปฏบิ ิต ได้เช่นกนั และบางท่กี ส็ ามารถปฏิบติ ไดด้ ีกว่าผนู้ ำทไ่ี ดว้ ับการ แตง่ ตง้ เสียกวั ยชา้ํ ไป ข่อเกจ็ จริงในเร่อื งนย่อมเบนท่ปี ระวกั ษ ช*'ดในหน่วยงานทงหลาย โดยเหคุนึน่ ่เึ องบทบาทของผู้นำจงึ อยู่ ท่กี ารช่วยใหก้ ล่มุ ชนในพงั กบั พญั ชา แสดงพลไ)สมรรถนะของ ตนออกมาเต็มท่ี และพฒั นาคนในบ,ิงกับบ*ญชามีใชค่ อยควบคมุ พล*งสมรรถนะของกลุ่มชนในพังกบั บ*ญชาดจุ กงั แตก่ ่อน กลา่ ว อกน*,ยหน่ึงผ้นู ำท่ีได้วับการแต่งตงใหค้ วบคมุ หนว่ ยย่อมมีจรยิ - พนั ธพเี ศษอยทู่ กี่ ารพัฒนาความสามารถของตนเองเพีอชว่ ยคน

อน ๆ ใหป้ ฎบํ ตหน้าทีข่ องเขา จนพวกเขาเหลา่ น1นมีสว่ นรว่ ม ในความรับผิดชอบหนว่ ยงานต้วยอยา่ งแทจ้ ริง เพราะฉะน้น ความจำเบนในการพฒั นาตนเองของผนู้ ำจงึ เกํคขนตว้ ยประการ ฉะน อนิ วา่ โครงการพัฒนาตนของผ้นู ำน,น มเรองอันควร ศึกษาและปฎิบ่ตตอ่ ไปน้ํ ๑. กำหนดแบบผู้นำท่ที ่านปรารถนาจะเบน ( & 1น0ป6้ 1 1า16 10111(1 ๐1 1.63(161' ^0ใ1 1^3111 เ0 1)600๓6 ) แบบผู้นำหนว่ ยที่ทา่ น ปรารถนาจะเบน นน้ ต‘องเบน “ แบบ ” ที่ท่านชอบอยา่ งจรงิ ใจและตรงก*บสถานการณ์ใน หน่วยงานรับผดิ ชอบทอี่ ยู่อีกดวํ ย ต*,วอย่างเช่นทา่ นต,องการเบน “ ผู้นำประเภทหลงั ฉาก ” แบบผ้นู ำที่ท่านต้องสราั งขนมากคือ “ อตั ลักษณ์แห่งบทบาทการช่วยเหลอ่ คนอื่น” หากตอ้ งการเบน “ ผู้นำประเภทแนวหน้า ” บทบาทตอ้ งเน้นหนไาเกี่ยวลับ “ อ*ตลักษณข์ องผู้บริหาร’’ หรีอ “ ทา่ นประธาน” หากว่าชอบ บทบาท “ การควบคุมการปฎบิ ตงาน” บทบาททต่ี ้องสรัางขํ้น ควรเบิน “ บทบทการหนา้ ทก่ี ารบริหารงาน ” อันแบบผ้นู ำ ทุกแบบทย่ี กตว้ อยา่ งมาน มใิ ด้หมายความวา่ จะแตกตา่ งลันแบบ

๚าว-คำ เพราะวา่ แบบผู้นำทกุ แบบนน้ ย่อมมุง่ เบาหมายห®,ก ทตี่ อั งการบรรลตุ รงกันอยู่ ๒ ประการคอื “ การบรรลคุ วาม สำเรจ็ ภารกิจตามวตั ลปุ ระสงคํ” กับ “การพฒ้ นามนษุ ยส์ *มพ*'นธ ในหน่วยงาน” เหตุน้ํการเบนผู้นำจึงตัองเที่ยวขอ้ งกับมตี ทิ ง่ี สอง ตงั กลา่ วของชวติ กล่มุ ชนในหน่วยงานน,น ๆ ส่วนการทจี่ ะบรรลุ ผลในระตับใด ยอ่ มขนอยู่ก*บบุคลกภาพของผู้นำกบั สถาน- การณใ์ นหน่วยประกอบอกี ตัวย ๒. กำหนดระดํบคุณณาั ษณะความเบนผนู้ ำ (^58683 บ63ป6้ 181111) 001ฑ{56เ6ฑ016ร ) เม่ือได้กำหนดรูปแบบการเบนผนู้ ำท,่ี ตอั งการเสร็จ1รยี ษ­ ร,อยแตวั ขนต่อไปก็คือการใช้กระบวนการวเิ คราะห์ตนเองโตย เท่ยี งธรรมปราศจากอคติใด ๆ วิเคราะหต์ รวจสอบตนเองว่า ขณะนคุณตกั ษณะความเบนผนู้ ำของท่านอยูใ่ นระตับใด กลา่ ว คือ ข*นเรีมตัน ขน้ ปานกลาง หรอื ข้นสงู แล่ว'พํฒ1นาตนเอง ให้บรรลคุ ุณตกั ษณะระตับสูงสุด ของรูปแบบความเบนผ้นู ำที่ ท่านพึงประสงค์ กระบวนการวเิ คราะหต์ นเองชงจะมปี ระสํทธํผลอย่างสงู ตอ่ การพฒั นาตนนนไดแ้ ก่

๑. ผู้นำจำเบน ตอ่ งรู้ ๑.๑ ทฤษฎีและแนวปฏบิ ต่ ทด่ี ีของความเบนผู้น่า ๑.๒ แนวการศึกษากลุ่มชนและขอ้ ยุติการวิจ*'ยเรอง กล่มุ ชน ๑.๓ ความต*องการความเบนผ้นู า่ ท่ีเบนเอกภาพใน ร!ถานการณต์ ่าง ๆ ๑.๔ พนฐาน โครงสรำง ส้มพนั ธภาพ ขอบเขต จำกดั ขีดความลามารถของหนว่ ยงานทป่ี ฎบี ด ๒. ผนู้ ำจำเบน ตองเขา้ ใจ ๒.๑ องคประกอบท่มี ั๊อทิ ธพิ ลตอ่ การกระทำในชีวติ ประจำว*นของคนในหน่วยงาน ๒.๒ ล*'กษณะความกัาวหนำของหนว่ ยงาน และวิถี ขีวติ กลุ่มชนในหนว่ ย ๒.๓ แนวติดและกระบวนการข้นมูลฐานวา่ ดํวย ความพัฒนาส่วนบุคคลและความเบนผนู้ า่ ๒.๔ ความปรารถนา เบาหมาย พล*'งดลใจของ ตนเอง กับความสำนึกด*'านอคติในฐานะท่ีตนเบนผ้นู า่

๓. ผู้นำจำเบน ค*!อง,รสู้ ก ๓.๑ การมคี วามปรารถนาอย่างจรงิ ใจที่เขำใจความ ต,องการ ความร้สู กึ เบาหมาย บญหาของคนอน ๆ ในหนว่ ย ๓.๒ เขำใจถึงความสำค*ญของบทบาทความเบีนผนู้ ำ ในระบอบประชาธปิ ไตยที่ตนกำล*งดำรงอยู่ ๔. ผนู้ ำควรมความสามารถทจ่ี ะกระทำ ๔.๑ วิเคราะห์,วา่ อะไรคือความผดิ พลาดเมอ๋ึ หน่วย ปฎํบตงานลัมเหลว ๔.๒ การวางแผนแนวปฏิบตและพ*ฒนาระเบยี บวิธี โครงการขน้ํ ในรปู ทจ่ี ะเกดิ ประสทิ ธผิ ลสงู สุดในสถานการณ์ ฑกุ เรอง ๔.๓ ปฏิปตการหน*าท่ผี นู้ ำไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๔.๔ ประมาณคา่ และเรียนรจู้ ากประสบการณข์ อง ตนเ.อง ๔.๕ ช่วยคนอนในหนว่ ยใหป้ รบิ ปรงุ คุณลกั ษณะ ท่ีดในฐานะเบีนสมาชกของหน่วย ๓. ปฎบํตโครงการพฒํ นาตนเอง ( ?1ฑ:8116 3 ?1๐- ๐{ ร6น 06761๐1)016111: )

โครงการจะบรรลุประสทิ ธผิ ลตามเบาหมายที่วางไว้ฃน๊ั อยู่ กบการลงมอื “ ปฎี ปต” โดยการเสริมสร่างสงิ ตอ่ ไปนใหเ้ กิด มีขน (๑ ) ความรู้ ความร้คู อื อำนาจของมนุษย์ ผนู้ ำยง็ มคื วามรอบรู้เรื่องคืลปการเบนผนู้ ำ การบรหิ ารงาน มนษุ ย์ สํมพนั ธ์ มากเพียงใดกติ าม สมรรถนะในตนเองยอ่ มมมี ากขน เพยี งน*น และการเพมี พูนความรกู้ ็เบนสงิ ทำได้โดยไมย่ ากเยน็ อะไร เพียงแต่อาศ*,ยการศกึ ษาหน‘งลือเกยี่ วกับศลิ ปการเบีนผู้นำ การบริหารงานและมนษุ ยก์ มั พนั ธเ์ บแี แนวทาง ฉะน้ํน ฟรานซส เบคอน จึงบอกไว้ว่า “ การอ่านทำใหค้ นเบนคนสมบูรณ”์ (|®) การเขไใจ ความรอบรูแ้ มว้ า่ จะมืมากกันสดุ พรรณนา แต่กัาหากวา่ ปราศจาก ‘'การเข้าใจ” เสียแกวั ความรนู้ ํ้น ๆ กใ็ ร้คณุ คา่ ผนู้ ำจึงจา่ ขอ้ งพฒั นาคณุ กกั ษณข์ อ้ น ใหเ้ กิดมขี น คำว่า “ การเข้าใจ” นํ้ กลา่ วโดยสรปุ ไดแ้ ก่ ความ สามารถทีจ่ ะถอดความรู้ ทฤษฎแี นวคดิ ออกมาปฏิบ่ตใน สถานการณ์จรงิ อย่างมีประสิทธิผลดเี ลศ ระเบยี บวิธ็ที่ ใช้ ใน การผืกฝนเพื่อพฒั นาคุณสมบตขอ้ น ในโครงการผกความเบีน

ชง่็ สถาบันต่างๆ ในตา่ งประเทศนยิ มปฏบิ ตก*'นมากก้คือ “ระเบยน วิธกี ารแก,้ชญหารายกรณี 'การผืกการแกบ้ ญหาแบบนึ จะเรีมด้น ดว้ ยการบรรยายสถานการณ์บญหาท่ีกำหนดไว้ ต่อจากน*นกลุ่ม ผืกฝนจะดำเนินการแก้บญหาโคยอาศ*'ยกระบวนการต่อไปนึ ก. วเิ คราะหว์ า่ อะไรคอื บญหาทแี่ ทจ้ ริง ข. วเิ คราะห์ขอ่ มูลต่าง ๆ เพอกำหนดลักษณะและสาเหตุ ของบญหา ค. พ*'ฒนาหลักการเพือ่ หาขอ่ แก้ไข ง. แสวงหาการแก้ไขในแนวทางต่าง ๆ หลายวิธี จ. ทดสอบผลท่จี ะเบนไปได้ของบัอแก้ไขทุกแบบ แล่'ว เลอื กแบบท่ดี ที ่สี ดุ เอาไว้ ฉ. กำหนดว่าประสทิ ธิผลของการแกไ้ ขท่เี ลือกไว้เบน แนวทางปฏิบตน,นจะประมาณคา่ โดยวิธีใด (๓ ) ท*สนคติ คณุ สมบดข่อนนิ 'บ'ั ว่าเบนคุณสมบตํที่ ยากทจ่ี ะบัฒนาให้เก้ดขน เพราะว่าคนส่วนมากมีอัตสำนึกผง แนน่ อย่แู ลัวก*,บท*ศนคติดง้ เดิม ยงี ดำรงตำแหน่งในฐานะเบน ผ้นู ่าหน่วยด‘'วยแลัว ห*วโขนทีส่ วมไว้ยีงพอกพูนอ*'ตสำนึกใน ท*'ศนคตเิ ดมิ ใหห้ นาแนน่ เบนกำแพงมหมึ ามากยงี ขน แตล่ าั หาก

ว่าจะคดิ เปล่ยี นทศั นคตเํ สียใหม่ เพ่ือความสำเรจ็ ในความเบน ผนู้ ำของตนก็ยอ่ มมีทางทจ่ี ะเปลยี่ นได้ ถ*,าหากเขามคี วามเหนวา่ ทัศนคตใิ หม่คกิ วา่ เก่า แนวการเพีกถอนทศั นคติดงํ้ เตมิ เพอื่ สร่างทศั นคติใหม่นนอยทู่ ่ี ก. ปลูกผงความเหน็ อกเห็นใจคนอน่ื ข. เข่าใจความปรารถนา ความรสู้ กึ ของคนอ่นื ค. นบํ ลอื คุณคา่ ความเบนบจเจกชนของคนอน่ื แม้ว่า เขาจะเบนเพียงภารโรงของหน่วยงาน ( ๔ ) ท'กษะ ทกั ษะ๓ ดขนจากการเรยี นร้โู ดยการ ปฏปิ ้ตจรงิ เพื่อให้เกิดคุณสมบดข่อนึ่ โครงการผืกฝนความเบน ผ้นู ำทุกสถาทนั จึงผืกฝนผู้เข่าร*บการผืกใหล้ งมีอปฎิบตจริง ๆ ในเรอ่ื งตา่ ง ๆ ตอ่ ไปน เชน่ การวางแผนโครงการ การ เบนผ้นู ำกลมุ่ อภปิ รายแก้บญหาปฏบิ ตหนำทีค่ วามเบนผูน้ ำใน สถานการณแ์ ตกต่างกัน เชน่ การเบนนไาพีงท่ีคิ การช่วยเหลือ คนอ่ืนปฎบํ ตภารกิจของเขา การผกื ฝนทังหมดดังกล่าวเบนตวั อยา่ งนํ้ อยู่ในความควบคุมของครผู ืกผู้เชี่ยวชาญอยา่ งใกลช้ ด อนึ่ง เพือ่ ใหก้ ารปฎิบตโครงการพฒั นาตนเองในการเบน ผ้นู ำใหบ้ รรลุผลอยา่ งจริงจ*งมใ้ ชเ่ บนเพียง\" ความผน ” ขอผู้'นำ

ฟ^่ ะเสนอแนะว่าท่านควรสรา่ งแผนแนวทางปฏิน่ตตามต่วอย่าง ตอ่ ไปนเสยี ด้วย เพอปลุกพล*'งเจตจำนงใหแ้ ขงกลำไม่เสอ่ื ม คลาย แผนการพฒ่ นาตน ๑. ขา่ พเจ*าดอ้ งพํฒนาความรูเ้ รอง ฬ • • • 4 เ 4 4 ^ แ ( |* * แ 4 * |* * 1 4 4 1 4 4 1 * * * * 0 * 4 * * * 1 *1 4*1 *44*44*4*4441••*44 *4 **4 4 *4 **4 4 ****4 **4 4 *4 4 *4 4 *4 4 *4 4 *4 4 *44*44*44*44** * 4 * * 4 4 * 4 4 * 4 4 * 4 * • • เ * * * * * * * * * * * * ! 44 * 4 4 * 4 4 * 4 * * 4 * ๒. ขา่ พเจา่ ตอ่ งพฒํ นาความเขา่ ใจเรอง 44444**444444-44444***444444 444444*4444*444*4*444*44444 444444444444*4 *44* 44(4*444444* *444*44444444* *4(444444* 4*444*44444*44444444444444** • 44444444444*44444444**4444444**4 444*4**44*44444*44444444*44*44444*4 {ก ข่าพเจา่ ต่องพฒํ นาทศ่ นคตเิ กี่ยวก*'บ * **4 4 4 444 44 * 4 44 *4 * 444 *44 44* *44 44 * 4 *4 *44 *44 4 4 4 * 4 4 * 4 * *4* 44444 444444 444 44444*444 44* 444444444444444*1 *4 * 4* 4444*4 44* 4* 44*

๘๐ ๔. ข้าพเจ้าดอั งพฒั นาพกั ษะใน • • ( * • • 1 4 * ^ * ) ฬ * ! 4 4 1 0 1 4 4 * 4 4 * 4 * * 4 * * 4 4 * 4 4 * * 4 • • • • 4 4 * 4 4 4 * ( * 4 4 * 4 * 4 4 4 (4- 1 4 * 1 * * * 1 ) 9 * 4 * * 4 * * * * * 4 1 * * * 1 4 ( | * * 1 4 * * # * 1 4 * * 4 4 I * ' *-***44 * * * * 4 4 1 4 4 * 4 * * * ( เ 4- ขอยุต อ*นว่าหลกั ยุทธศาสตร์ท่ี ดเี ยย่ี มของการพัฒนาลนในการ เบนผนู้ ำ คือหลไายทุ ธศาสตรท์ ่วี า่ ‘4 ต*องป]บปรุงตนเอง อยา่ งซอสต่ ย่ด*,วยเจตจำนงตน้ แนว่ แน่ ” เมอื่ ใชห้ ลักข้อน แลวั คุณลกั ษณะความเบนผนู้ ำยอ่ มจะพฒั นาฃํน้ ๆ ตามลำดบั จนบรรลรุ ะดบั สูงสุดซ่งึ จะสรา่ งใหท้ ่านกลายเบน 44 เทพ เจา ผ คู้ รองใจคน,,

บทท่ี ๓ ภาว๙สรางสรรค ...ทำไมบคุ คลบางคนจึ3เบนคนสร่างสรรคมากกวา่ คนอ่ืน ทำไมกลุ่มชนบางกลุ่ม หนว่ ยงานบางหนว่ ย จงึ มีภาวะ สรา่ งสรรค์มากกวา่ กลุ่มอืน่ และหน่วยงานหน่วยอน่ื อะไรเบนกำแพงขวางกนภาวะสร่างสรรคไ์ นต*,วบุคคล กลุม่ ชน หน่วยงาน เพราะเหตไุ ดคนบางคนทำงานคนเดยี วหรือทำงานร่วม ก้บคนอืน่ 'จงึ มผี ลนอํ ยอย่างเดน่ ช*ด ภาวะสรา่ งสรรค์ไนบคุ คล กลุม่ ชน หนว่ ยงาน จะสรา่ ง ขนได้โดยวธิ ีใด ตวั เราเองเบนคนสรา่ งสรรค์แล้วหรือยิง . 1. บจจยุ นิ นความตอั งการบุคคลผูส้ รา่ งสรรค์ การปฏบํ ต งานของกลุ่มชนท่ีมปี ระสิทธิภาพ หนว่ ยงานท่พี ฒํ นาเบนท่ี ปรารถนาและเรยี กรอ่ งล้นฑ่ วทุกหนทกุ แห่ง ความกำวหนำทาง วทิ ยาศาสดร ความกำ,วหนำทางประยุกตวั ิทยา ( 760111101087 )

ยงี รดุ หนาั ไปอย่างรวดเร็วมากเพยี งใด วถํ ชึ ีวติ กลุ่มชนในลังคม ยอ่ มตกอยใู่ นภาวะเชงึ ชอ่ นมากขนเพียงนํน้ ในภาวะชวี ิตเชน่ นประชาชนทงหลายเรมี ตนทราบความจรงิ ว่า การเบนคนลรา่ ง สรรคน์ นํ้ ยอ่ มจะเบนพลังสำคัญทสี่ ดุ ในการสรา่ งคณุ คา่ ของ ชวี ติ ให้เกดิ ขน ในระคับที่ตนเองปรารถนา กอ่ นทจี่ ะพจิ ารณากนั ถึงองค่ประกอบต่าง ๆ ซงึ่ จะกอ่ ให้ เกิดภาวะสรา่ งสรรค์ในควั บุคคล กล่มุ ชน หน่วยงานทุกระคับ สมควรทเ่ี ราจะต,องเช่าใจถงึ ความแตกตา่ งคนั ในระหวา่ ง “ความ พยายามสช่างสรรค์” (063*176 0*01-*) คับ “ งานผลติ ผล’ ( ?10ป้แ0*176 ) เสิยกอ่ น คำว่า “ ความพยายามสช่าง สรรค”์ น1นหมายถึง “ แนวคดิ สรา่ งสรรค์และการแก้บญี หา ตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดฃนเพอี ขลดั ความชะง,กงน” ส่วนคำวา่ “ งานผลิต ผล ” หมายถงึ “ การกระทำตามแบบที่เคยปฎับต่ คันมาจนเบน ระเบยี บแบบแผน” โดยนยั นเอง ความพยายามสชา่ งสรรค์ จงจำเบีนคอั งใชอ้ งค์ประกอบใหม่ ๆ พลังใหม่ ๆ นอกเหนอไป จากประสบการณอ์ ดีตลนั เก่าคราคร่าแลัว ผลการวิลยั มากหลายของวงการอุตสาหกรรม มหา- วทยาลัย หนว่ ยงานรัฐบาล ได้ใหแ้ สงสวา่ งซง่ึ ชว่ ยใหเ้ ราเห็น

๘๓ องค์ประกอบตา่ ง ๆ อันมผึ ลเบนภาวะสร่างสรรคข์ องบคุ คล กล่มุ ชน หน่วยงาน ข่อทีน่ า่ สังเกตกค็ ือ'วา่ ภาวะสรา่ งสรรค์ นมึ่ อยแู่ ล้วในบุคคลทุกคน แต่นัอยคนน*กทจ่ี ะรู้อกั วิธีนำเอา พล*งหลบเร่นเหล่าน,นมาใช้พฒั นาชวิตของตนเอง คนสรา่ งสรรล “ อะไรทำให้คน ๆ หนง่ึ เบนคนสร่างสรรคม์ ากกวา่ คน อน*” ผลการวิอยั ของมหาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ ไดข้ ่อยุติตรงลัน'ว่า อันว่าภาวะสรา่ งสรรคม์ ใิ ด้ขนอยลู่ ับระดับสตบิ ญญาของบคุ คล หากแต่วา่ ขนอยลู่ บั “ อัตลักษณ”์ ของคนนัน ๆ เอง บุคคลใดได้ ช้อวา่ เบนคนสรา่ งสรรค์ บคุ คลน1นย่อมจะมอี ตั ลักษณ์ดังต่อไป นม่ึ ากกว่า หรือเด่นกว่าคนท,งหลาย อัตลกั ษณท์ วี่ ่าน่ไึ ดแ้ ก่ ๑. ความนับไวตอ่ สิงแวดล*อม (ร©!!ร!๖!!11^ 10 รน?- ร-01111*11118 ) — ความสามารถทจี่ ะเลัาใจสงื ต่าง ๆ ไดด้ ี ในขณะ ทคี่ นอน ๆ อังไม่เข่าใจ — มืสมรรถนะสูงในการดูดวั ยอักษุ พงเสยง สมั ผัส

— เ ข ้า ใ จ ใ น ร า ย ล ะ เ อ ีย ด ห ร ือ เ ร ื่อ ง ป ล ีก ย ่อ ย ม า ก ก ว ่า คนอีน ๒. ความฉํบพลนทางสมอง (1^6ฑเ31 ?16*แ)แ117) — ความสามารถในการปรับปรุงตนเองใหเ้ ขา้ กับ การพ*,ฒนาแบบใหม่ หรือสถานการณท์ ่เี ปลยี่ นแปลงไปไดอ้ ยา่ ง รวดเรวื — มีท*กษะเกินกวา่ ตวั บญหาท่เี กดิ ขน — แทนท่จี ะ ยึดมนอยกู่ ับแนวความคิดเกา่ โบราณ กลับมสี มรรถนะในการเพึมมิตใิ หม่ ๆ — มีสมรรถนะที่จะที่งสมมติฐานเกา่ ๆ ๓ . เสรภาพแห่งการตดสนิ ใจ ( 11ฟ6*)6๗81106 0* ซ^ ๓ )1 2 6 6 1 1 1 — กลาั หาญท่ีจะยนื หกดั เบนตัวของตนเอง เมีอแน่ ช*ดวา่ สง่ี ใดเบนจรืงและเบนประโยชน์ — มีเจตจำนงแรงกลาั ทจี่ ะลงมอี ปฏบิ ่'ตแหวกแนว ไปจากหนทางปฎิบต่ เก่า ๆ แม้ว่าจะไดถ้ ูกกดตนั จากคนอ่นื อกี มากหลายกติ ามที — ไมห่ วนไหวตอ่ การเส่ียงกบั ความลมั เหลว

๔. ความอดทน ( 10161-81106 ) — มีคณุ รเมบตของต*1น่หญ่:' กล่าวคอื สามารถอดทน ต่อดนิ ฟ้าอากาศได้อยา่ งดีเยี่ยม อดทนตอ่ ความยากลำบาก ตรากตรำ อดทนตอ่ ความเจ็บไข้ อดทนต่อความเจบ็ ใจ และ อดทนตอ่ ความนา่ เย้ายวนไจตา่ ง ๆ ท่ีจะทไใหห้ นเหไปจากเบา- หมายอันสงู สดุ — มีความเชอมีนอย่างตอ่ เน่อื งว่า ความย่งุ ยากของ บญหา ความอับสนท่ีปรากฏขนนน ยอ่ มเบนประสบการณใหม่ ซ่ึงอาจกอ่ ใหเ้ กดิ แบบใหมท่ ดี่ กี ว่าเกา่ ๔. ความ สามารถทางการสไเคราะห 3711น16818 ) — มพี ักษะเบนเยี่ยมในการรวมเอาบจอัยมากมาย หลายอยา่ งมาสไเคราะหส์ รไงให้.บนการสรำงสรรคใ์ หม่ ๆ ๖. ความสามารถทางนามธรรม (^๖แแ7 *0 ^.๖3*1-301) — มสี มรรถนะเบนเย่ยี มในการวิเคราะหบ์ ญหา ต่าง ๆ โดยแยกออกเบนสว่ นย่อยสว่ นต่าง ๆ — เขไใจเบนอย่างดิถงึ ความอมั พนั ธ์ระหว่างองค์ ประกอบทงหลาย

๙ . พลไข่,บอํนไม่หยดุ ย*ง ( ^ 1-6811688 ฆ!■6 6 ) — มีพลงั ขบั พ้เคษ เจตจำนงแรงกลา่ ไนการเอใ ชนะบญหา — ปเ)บต่ ภารกจิ ทย่ี ากแสนยากโดยไม่ยอมพา่ ยแพ้ จนกว่าภารกิจน้นํ จะบรรลคุ วามล่าเรจึ กำแทงใเวางก1นภาวะส์ร่างส์รรค์ กำแพงมหึมาทเ่ี บนเครองขวางกนมไิ หพ้ ลังหลบเรน่ การ สรา่ งสรรคไ์ นบุคคลแตล่ ะคน ได้มี โอกาสแสดงการสรา่ งสรรค์ ในกิถชวี ดิ ประจำวนั ไดแ้ กสงต่อไปน้ํ ๑. การขาดความเชอมนในตนเอง ( 1,3015 0เ ร61ฆ 00๗1(161106 ) จุดออ่ นทล่ี ่าค*,ญที่สุดซ่งึ ทำให้คนเกิดความลงั เลใจ ไม่กลัาตดั สนใจปฎบิ ดอะไรลงไปเกดิ จากความกลวั เชน่ กลัว การกพิ ากยวิจารณ์ กลวั การตดั สิน1ใจกดิ พลาด กลวั ความ ลมั เหลว ความกลัวอ*นมอี าการเชน่ ว่านเบนกำแพงบองก*,นมิให้ ความพยายามสร่างสรรค์ของแตล่ ะบุคคลได้แสดงออกมาในรูป ของพฤตกรรม สาเหตุที่จตํ ใจของคนบางคนเบนเช่นนํ้ สบเนอง มาจากประสบการณท์ างดไนการกดตัน ทเี่ ขาไดร้ *,บมาแตว่ ยั เดก

เซน่ เสยี งปราม เสยี งหา่ ม ของบดิ ามารดาเดกที่กล่าวซาซาก เบนิ ประจำวนั ว่า “ อยา่ มารบกวนนะ่ ” หรอื คำพูดของครทู ี่ม*ก จะกล่าวตำหนวิ า่ “ เธอช่างเบินเล็กโงเ่ งา่ อะไรเซ่นน’’ หรอื เสียงหวั เราะเยาะของเพอนร่วมช,นท่ีห่วเราะเยาะเยย ในเวลา ท่ีได้กระทำอะไรผดิ ๆ ประลบการณท์ างการกดดันเซน่ กลา่ วน เมือ่ บคุ คลเจรญิ วัยเติบโตข้ํนมา จะกลาย เบินละเกด แผลทาง จิตวิทยาผงแน่นอยู่ ในจิตไต้สำนึก ล่งผลทำไหค้ นกลายเบิน คนขาดความเชอ่ื หันในตนเอง เม่อื ขาดความเช่อื หันใน สมรรถนะของตนเองเสยี แล*ว เขากยอ่ มจะไม่กลา้ ทำอะไรลงไป ทง่ี ่ส่ีน า0. ไม่กล้าท่จี ะเปลยนแปลง (26818*3006 *0 0๒11186) บคุ คลส่วนมากมแี นวโน*มชอบทจ่ี ะทำภารกจิ บนพ้ํนฐ''น “ การ ประหดัดความพยายาม ” ( 200110017 0เ 2^01-เ ) กล่าวคอื กระทำไปตามแนวทางปปบ็ ่ตท่ีมอี ยแู่ ลว้ มากกว่าที่จะชอบเลอื ก แนวทางปฏิบตใหม่ ทีง่ นึเพราะเหตุ'วา่ การ ปฏบิ ตใ้ นแนว,ทาง ที่เคยทำกนั มา ย่อมใช้ความพากเพียรพยายามเพยี งเล็กนอํ ย นอกจากนดึ ังเบนการสบายใจท่ีจะไมต่ 'องเส่ยี งภัยกับกาวลม้ เหล'ง อกี ลว้ ย เขาจงึ ไมก่ ล้าเปลี่ยนแปลง

ศาสตราจารย์มอรสื สไตน่ แหง่ มหา'วํทยาลัยชกาโก เคย ชักถามนกั วทิ ยาศาสตรท์ เี่ บนนักสรำงสรรค์มากหลายวา่ อะไร เบนบจจ'้ ยที่ทำให้เขากลายเบนนกั วทิ ยาศาสตร์ประเภทสร้าง สรรคจ์ นประสบความสำเรจ์ อยา่ งสูงสดุ ในชีวติ '‘ ประการทีห่ นึง่ โอกาสทีจ่ ะได้ร้บความรู้ใหมๆ่ ประการ ที่สองโอกาสท่จี ะใช้ความรู้ ประการสดุ ทำย'ใตแ้ กเ่ งํนเดอื นสูง ” นักวิทยาศาสตรเ์ หล่าน่นึ กลา่ วตอบเบนแนวเดียวก*น ๓. การขาดโอกาส ( 1,3014 0^ ) สถาน­ การณข์ องส*ง์คมมากหลายในสไ)คมบจจุบ*น กลายเบน สาเหตุ ประการสำกัญที่กดด*'นมิใหภ้ าวะสร้างสรรค์ใน บุคคลได้ สำแดง คา่ ออกมาใหป้ รากฏ เช่น บางคนทำงานในตำแหนง่ ทใ่ี ม่ตรง กบั ความรู้ หรอื ในหน่วยงานบางหน่วยไมว่ ่าจะเบนหนว่ ยงาน ของร*ฐบาล ธรุ กํจสว่ นบคุ คล กาั หากวา่ นัวหนัาหน่วยงานเบน คนถือแต่ความดีดเห็นของตนเองเบนใหญ่ หรอื นวั หนาั งาน ไมย่ อมท่จี ะเหน็ คนในกงั ค*'บบ*,ญซาแสดงความปราดเปรืองเฉลยี ว ฉลาดเกินกว่าตน คอยแต่จะกดี กันบคุ คลที่มแี ววสรา้ งสรรค์ บคุ คลทีท่ ำงานในหน่วยงานนนั ยอ่ มไม่อาจแสดงความสร,,าง สรรค์ของตนออกมาได้

นอกไปจากน สิงคม{เจจุบ,นเบนสไ)คมอุตสาหกรรม สรรพสนิ ค้านานาชนิด บรกิ ารมากหลาย กจิ กรรมสันทนาการ อนั ดกด่นื สิงเหล่านิไคเ้ บนตัวชว่ ยลดความจำเบนทค่ี น จะค้องลงมอื “ สรา่ งสรรค” ตวั ยตนเองลงไป ความสะดวก สบายไนการไซ้ผลการสรัางสรรค้ทคี่ นอ่ืนไดท้ ำไวไ้ ห้ ยอ่ ม สะดวกกว่าการลงมอื สร่างตวั ยตนเอง คนจงํ นยิ มไซผ้ สิตผล ท่สี ราั งขนแตวั มากกว่าการ “ สรา่ งสรรค” ขนํ้ ซึ่งจะค้องใซ้ พลไ)มากกวา่ ๔. ระบบ “ ขอร*บ กระผม” (0๐๔01-๓1^) ระบบ การทำงานไนหน่วยงานรัฐบาล องคการ ธุรกิจ ไดส้ ราั งความ เชอมนอย่างงมงายขนแก่บคุ คลในหนว่ ยงาน ให้มืความเชอมน ไนอำนาจการบงั คบั บญั ชา โดยถือกไแว่าผู้บังตบั บัญชานน้ ยอ่ ม เบนผฉู้ ลาดรอบรู้ มสื ติบญญารอบคอบ จงควรแกก่ ารทำตาม ทุกประการ ยีงไนวงการทหารตวั ยแสวั ระบบขอรับกระผม กลายเบน “ กระดกู สนิ หลไ) ” ของหนว่ ยทหารกิเดยี ว สิงที่ ผู้บังตบั บัญชาสไ)ทหารตอั งทำตนั กิ ทำโดยไม่คอ้ งชไาถามถงื เหตผุ ลทีส่ งั การเชน่ น,น ระบบขอรับกระผมเชน่ ว่านิแหละ

กล*บกอายเบนกำแพงกดกนั มใี ห้คนทำงานกลา้ แสคงแนว: ความคิดสรา่ งสรรค์ของตนขนมาประสบการณจงยนื กันวา่ แนวความคดิ ทถี่ อื ก*'นวา่ เบนความจรงิ ในว*'นนพึ รงุ่ น้ไํ ด้กลาย เบนสีงที่ ใชไ้ ม่ได้เสยแล้ว บุคคลทเี่ คยเบนทเี่ คารพเชื่อถอื ในว*'นน้อํ กไมก่ ี่วนต่อมาไดก้ ลายเบนบคุ คลทคี่ นท,งหลายสาปแช่ง ๙. ความบอดทไงจตวทยา (?85๗10108เ0ส1 8311-161-8) ศาสตราจารยืจอห์น อาร่ โนลด แหง่ มหาวทิ ยาลย้ แสตนฟอรด่ ได้จำแนกล*'กษณะทางจตซง มผี ลทำให้คนไมม่ ภี าวะสร่างสรรค์ ไวด้ งั 5 ก. ไม่อาจจะวเิ คราะหต์ ัวบญหาออกจากองคป์ ระกอบ ทีบ่ ญหาน*นเกดิ ขน ข. ไมอ่ าจย่นตวั บญหาใหแ้ คบเล้า โดยทใี่ ม่ตัองไป คำนึงถงึ บจจยํ ตา่ ง ๆ กนั มอี ทธ๊พลตอ่ ตัวบญหาน1น ค. ไม่สามารถกำหนดหริอแยกแยะลักษณะต่าง ๆ ของบญหา ง. ไม่สามารถใชอ้ ว*'ยวะเพทนาการ — ตา หู จมกู ลน กาย — เพอ่ื ดนั หาล้อมูลตา่ ง ๆ ของบญหา

(5๑ กลมุ่ ชนสร์ ำ*สรรล “ ไมม่ ีสืงใดทีเ่ คยปฏิบตสำเรจื ได้ โดยคณะกรรมการ เรัน ไวแ้ ต่'ว่ากรรมการคณะนนํ้ ประกอบด่วย์ บุคคลสามคน คนหนง่ึ บวย สว่ นอีกคนหนง่ึ ขาดการประชมุ ” เฮนดรืก แวน ลนู น*กประว่ตศาสตร์ผู้มชี ือ่ เสยิ ง เคยกล่าวแสดงความคิดเหนด้าน ทนุ นยิ มเก่ยี วกับความไม่เชอไนประสทิ ธผิ ลของกลุม่ ชน อย่างไรกี่ดี ย่อมเบนทีย่ อมรับกันวา่ กัาหากจดสถาน- การณไ์ ด้อย่างถูกด้องแด้ว ประชาชน กลมุ่ ชน กสี่ ามารถแก้ บญหาดน้ ยากแสนยากได้อย่างดีเลิศ หนว่ ยงาน ทุก หน่วยจึง เหนํ ว่างานของคณะกรรมการน้นํ ยอ่ มเบนงานสราั งสรรค์ มิ ใช่ มแี ตเ่ พียงความล*มเหลวอย่างเดยี ว ขณะท่ีกลมุ่ ชนดำเนินงานมงุ่ สู่ความสำเร์จหรือเบาหมาย น1น กลุ่มชนจำเบนอยา่ งยีงทีด่ ้องสนใจอย่างต่อเนึอ่ งก*บการ หนัาทพี่ เํ ศษ ๒ ประการด้วยกนั ๑. มงุ่ ให้ภารกจิ สำเร็จ กระบวนการดำเนินงาน กฎขอ่ บ*งด้บการแบง่ มยบิ ความรับผดชอบ จะด้องสราั งขนให้มี เขมมงุ่ ตรงตอ่ ความสำเรืจแห่งภารกจ

ไ®. รไาษาการดำเนน่ การใหม้ ประสทธผิ ล ในขนนึ่ จำเบนต้องมี “ กิจกรรมค้มุ ครองกลุ่มชน” กลา่ วคอื ต'้ องมี ขบวนการการแก้บญหาเพอ่ื แกไ้ ขอุปสรรคทเ่ี กดิ ขน เบนการ บองสันมใี หอ้ ปุ สรรคทำความเสียหายตอ่ ผลงานของกลมุ่ ชน เด!อ!กดี บวางภาวะสร่างสร์ รค์ เครอ่ื งกีดขวางที่บดี ก*น่มี ใหก้ าร ดำเนํนงานกลมุ่ ของขน เคลึอ๋ นท่ใี ปสูค่ วามสำเรจ์ ไดแ้ ก่ ๑. การขาดฌ าห มายท กำหนดไว้แน่นอน ( นเ(& (){ 01631-1X จ610116(1 0031ร ) เบนข้อควรสงั เกตประการหนง่ึ วา่ ประชาชนทที่ ำงานร่วมสนั ม*,กจะไม่มีเบาหมายตรงสนั แตล่ ะ คนอาจมีความคาดหมาย ความมงุ่ หว*งแตกต่างสันซงึ่ ตนเอง คาดวา่ จะได้ร*'บจากการท่ีกลมุ่ ประสบความสำเรจ็ ความข*'ดแยไ) สันในว''ตถุประสงคของบุคคลในกลุ่มน่ึ อาจก่อให้เกดิ ความ ข้ดแข้งขนในบรรดาสมาชิกทีง่ หลายของกลุ่ม'ได้ง่าย ความ ข้ดแยไ)อาจอยู่ ในรปู ขัดแขง้ อย่างเบดเผยหรอื ช่อนเรํน อนง่ึ ความสำเรจ็ ของกลุ่มชนยอ่ มขนอยู่สับองค์ประกอบ ๒ ประการ คือ “ งาน ” และ “ ความม่งหว*'งสว่ นบคคอ”

ถ้าหากว่าสมาชกิ ทุกคนต่างมเี บาหมาย มเี จตจำนงแนว่ แน่ ตรงกัน กลุม่ ชนจะดำเนนิ ไปส่เู บาหมาย “ งาน ” ของกลุม่ แตก่ ัาหากสมาชกิ ของกลุ่มถือเอา “ ความมุ่งหกังสว่ นตวั ” เบน ห*,วใจของเขา ความสำเรจ็ ของ ‘'ง า น ” ของกลุ่มจะไม่มี ๒. บญหนรองประมุขสิล!] (ไโ116 1.63^81111) ?1-0เว16[ฑ ) ภาวะสกัางสรรค์ของกลุ่มขํน้ อย่กู ับกักษณะของ ประมขุ ศีลใ]ในกลุ่มชนเชน่ กนั คนบางคนชอบอยู่ภายใต้ การนำของคนอน่ื สว่ นบางคนชอบมเี สรภี าพในการกระทำการ ตัดสินใจของตนเอง ในสถานการณบ์ างประการ เราต*องการ ฑจะตดั สินใจตวั ยตนเอง แตใ่ นบางสถานการณ์เราตัองยอม ตกอยู่ในอำนาจการตดั สนิ ใจของคนอนื่ กล่มุ ชนควรทีจ่ ะยอม ร*บรูธ้ รรมชาตแิ ห่งการแข่งขันกนั เพออทิ ธพิ ลอันมอี ยใู่ นกลุ่ม ๒ อกั ษณะตงั กล่าว ฉะน8น การกระทำอนั มีประสิทธผิ ลกลมุ่ จงึ ขนอยู่กับการยอมรับเอาอำนาจแบบประมุขศีล!เอย่างใด อย่างหนงึ่ ๓. การขาดทก่ ษะการสรไงความต,ดสินใจ (น๗* 0? 060181011 ^3^1112 ร ฒ ! ) ประสบการณ์ย่นย่นว่าแนวการ

แก้บญหาสร่างสรรค์นํ้นจำต้องอันพบใหไ้ ดล้ ว่ งหน้าเสยี ก่อน แตวั จงึ จะสามารถนำไปปฏบํ ตเพอ่ื แก้บญหาท่ีเกิดฃนั๊ กลมุ่ ชน มักตกอยู่ไนภาวะชะงไาง*,น เพราะเหตุทีว่ า่ ไม่มีวธิ ีการท่จี ะบรรลุ ความตัดสินใจซ่ึงจะมผี ลในการนำไปปฎิบตในการภายหตัง เบนความจวิงอยู่มัางทีว่ ่า การลงคะแนนเสียงวา่ จะกวะทำ อย่างใดอยา่ งหน่ึงน้น ย่อมเบนกรรมวธิ อี นั มีประโยชน์ แตว่ ่า การพา่ ยแพ้และการมชี ยํ ในการลงคะแนนเสยี ง อาจก่อใหเ้ กิด บญหาเบนความขดแอังตอ่ ไปในกลมุ่ ชนได้ เหตุน่กึ ลมุ่ ชนจึง จำตัองอนั หาวธิ ีการอ‘นถกู ตัองแท้จรงิ อนั เบนแนวทางปฏิบ่ตเพือ่ บรรลุแนวทางการแก้บ่’ญหาในเรองที่เกิดขน ๔. 'การขาดมนุษยสมพนธ ( ผถ 111 00111- 1ฑช๐103*1011 ) มนษุ ยต์ ิดต่ออบั เพอื่ นร่วมส*ง์คมมใิ ชเ่ พียง แต่ การพดู จาอันอยา่ ง เดยี วเท่าน,น การเคลื่อนไหวของ ร่างกาย การยมแอมั การขมวดค์ว ใบหนา้ บงตงึ ทา่ ทีการมองตวั ย สายตา การเตนิ การแตง่ กาย ตวั นแตัวแตเ่ บนแบบการติดตอ่ อบั คนอนท,งสน บอ่ ยคร1งทปี่ รากฏว่าเราฑงหลายมกั เผชิญหนา้ อับความขัดแองั อบั คนอน เพราะเหตทุ คี่ นอนไม่เตัาใจใน 51ภาษาเงยี บ ” ตังกล่าวของเรา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook