Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการปฎิบัติงานฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคมเพื่อการมีงานทำ สำหรับนักสังคมสงเคราะห์จิตเวช

คู่มือการปฎิบัติงานฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคมเพื่อการมีงานทำ สำหรับนักสังคมสงเคราะห์จิตเวช

Published by Papali Marketing, 2021-10-01 08:37:09

Description: หนังสือคู่มือการปฏิบัติงาน

Search

Read the Text Version

1 คูม่ ือการปฏิบตั งิ าน ฟน้ื ฟสู มรรถภาพทางสังคม เพื่อการมงี านทำ� สำ�หรบั นกั สังคมสงเคราะหจ์ ิตเวช สมาคมนักสงั คมสงเคราะห์จติ เวช กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2562

1 คำ�น�ำ คู่มือการปฏิบัติงานฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางสังคมเพื่อการมีงานทำ�สำ�หรับนักสังคมสงเคราะห์จิตเวชฉบับนี้ จัดท�ำ ขึน้ เพ่อื ให้นักสงั คมสงเคราะหจ์ ิตเวชใชเ้ ปน็ แนวทางในการฟน้ื ฟสู มรรถภาพทางสังคมของผปู้ ว่ ยจติ เวช ให้ มีความพร้อมเข้าสู่การมีงานท�ำ และการประกอบอาชพี มุ่งเนน้ ให้นกั สงั คมสงเคราะหจ์ ติ เวช มบี ทบาททีส่ ำ�คัญ ตามมาตรฐานวิชาชีพคอื การฟน้ื ฟสู มรรถภาพการพิทักษส์ ทิ ธิ การบรหิ ารจัดการทรัพยากรทางสงั คม ซ่ึงบทบาท ผูจ้ ดั การรายกรณี (case manager) ผสู้ อนงาน (Job coach) ซ่ึงเปน็ บทบาทท่สี �ำ คญั ของนักสงั คมสงเคราะห์ จิตเวช ที่มีแนวทางเฉพาะแตกตา่ งจากวชิ าชีพอ่นื ในการประสานทรัพยากรทางสังคมชว่ ยใหผ้ ู้ปว่ ยได้รบั การจ้าง งานเพ่ือมีรายได้ เกิดความรูส้ กึ มีคณุ ค่า สามารถพึง่ พิงตนเองได้ ไมเ่ ปน็ ภาระผูอ้ ื่น จากประเดน็ ดังกล่าว กรมสุขภาพจติ ไดเ้ ห็นความสำ�คัญในการดำ�เนนิ การช่วยเหลอื คนพกิ ารทางจิตหรอื พฤติกรรมให้ไดร้ ับการจ้างงานตามหลักการ recovery ท่เี น้นเร่ือง การพิทักษ์สทิ ธผิ ูป้ ว่ ย ค�ำ นึงถงึ สิทธมิ นุษย ชน (Human right ) และเป็นการพัฒนาวิชาการของวชิ าชพี สงั คมสงเคราะหจ์ ติ เวช จึงไดม้ อบหมายให้หน่วย งานในสังกัดกรมสขุ ภาพจติ รว่ มกบั สมาคมนกั สงั คมสงเคราะหจ์ ิตเวช ดำ�เนนิ การพัฒนาคู่มือการปฏิบตั งิ านฟน้ื ฟู สมรรถภาพทางสงั คมเพอื่ การมงี านทำ�สำ�หรบั นักสังคมสงเคราะหจ์ ติ เวชขน้ึ เพือ่ ใชเ้ ป็นแนวทางปฏิบตั งิ านของ นกั สงั คมสงเคราะห์จติ เวช ในการชว่ ยเหลอื คนพิการทางจติ ใจ หรือพฤตกิ รรม ผู้พกิ ารทางสตปิ ญั ญา การเรียน รแู้ ละออทสิ ตกิ ให้ไดร้ บั การจ้างงานเปน็ มาตรฐานเดยี วกนั และสามารถขยายการด�ำ เนนิ งานดงั กล่าวในหนว่ ย บรกิ ารอนื่ ๆ ไดอ้ ยา่ งมีคณุ ภาพต่อไป คณะผจู้ ดั ทำ�หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ คู่มอื ฉบับนจี้ ะเปน็ ประโยชน์สำ�หรบั นักสังคมสงเคราะหจ์ ิตเวช และ ทมี สหวิชาชีพที่ให้การดูแลผปู้ ่วยจิตเวชตอ่ ไป สถาบนั จติ เวชศาสตร์สมเดจ็ เจา้ พระยา สมาคมนกั สังคมสงเคราะห์จติ เวช

2 สารบญั หน้า คำ�น�ำ 1 สารบญั 2 บทนำ� 4 แผนภาพแสดงขน้ั ตอนการการปฏบิ ตั ิงานฟนื้ ฟสู มรรถภาพทางสงั คมเพือ่ การมงี านทำ� 7 8 11 บทท่ี 1 การคัดเลือกผปู้ ่วยเขา้ รบั การฟน้ื ฟสู มรรถภาพเพ่อื การมงี านทำ� แผนภาพขั้นตอนการคัดเลือกผู้ป่วยเขา้ รับการฟ้ืนฟสู มรรถภาพเพอื่ การมงี านทำ� บทที่ 2 การเตรยี มความพรอ้ มเข้าสูง่ านระหวา่ งการฝกึ ในโรงพยาบาล 12 แผนภาพแสดงขน้ั ตอนการเตรยี มความพร้อมเขา้ สู่งานระหวา่ งการฝกึ ในโรงพยาบาล/สถาบัน 14 บทท่ี 3 การฝกึ ทักษะทางสงั คมทจี่ ำ�เปน็ ต่อการมงี านท�ำ 22 บทท่ี 4 การเตรียมความพร้อมในปฏบิ ตั งิ านจริง 89 แผนภาพแสดงขัน้ ตอนการเตรยี มความพร้อมในการปฏบิ ัตงิ านจรงิ 90 99 บทท่ี 5 การติดตามประเมนิ ผล และดแู ลตอ่ เน่อื ง 100 แผนภาพแสดงข้นั ตอนการตดิ ตามประเมินผล และดูแลตอ่ เนอ่ื ง เอกสารอ้างองิ 101 ภาคผนวก 103 รายช่ือคณะทำ�งาน 123

3 ความเปน็ มาบแทลนะำ�ความสำ�คญั ปัจจบุ นั สถานการณป์ ัญหาสุขภาพจิตของประชาชนมีแนวโนม้ สูงข้ึน พบวา่ ในคนไทยอายุ 18 ปีข้ึนไป มีปญั หาสุขภาพจติ ประมาณ 7 ล้านกวา่ คน พบในกลมุ่ 5 โรคหลกั ได้แก่ โรคซมึ เศรา้ โรคจติ เภท วิตกกงั วล ความบกพร่องทางสติปญั ญา และพฤติกรรม และพวกทมี่ อี าการแทรกซอ้ นจากสารเสพติด โดยเฉพาะกลมุ่ ที่ มีความบกพรอ่ งทางสติปญั ญา การเรยี นรู้ เชน่ ออทสิ ตกิ ผปู้ ่วยท่ีมภี าวะบกพร่องทางสตปิ ญั ญา ซึง่ มปี ระมาณ 1.3 ลา้ นคน หรอื ประมาณร้อยละ 2 ของประชากรท้ังหมด ปัญหาสขุ ภาพจิตของคนไทยถือว่าเป็นปญั หาทส่ี ำ�คัญ อยา่ งยิ่ง มีผู้ปว่ ยทตี่ อ้ งได้รบั การช่วยเหลอื จ�ำ นวนมากท่ตี ้องทนทุกข์ทรมานจากความผดิ ปกติทางจิต มีผลกระทบ ตอ่ การด�ำ เนนิ ชวี ติ และคณุ ภาพชวี ติ ของบุคคล ครอบครวั ชมุ ชน และสังคม โดยเฉพาะคนพิการทางจติ ใจหรือ พฤตกิ รรมนั้น จะมคี วามบกพร่องในทกั ษะหลายๆ ด้าน เชน่ ทกั ษะทางสังคม การดำ�รงชีวิตประจ�ำ วัน การดแู ล ตนเอง รวมไปถึงการประกอบอาชีพ จึงมคี วามจำ�เป็นอย่างยง่ิ ท่ีผู้ปว่ ยจะต้องได้รบั การช่วยเหลือโดยการฟนื้ ฟู สมรรถภาพเพือ่ คืนสสู่ ขุ ภาวะ (recovery) ทง้ั ด้านร่างกายจิตใจ สงั คม และการประกอบอาชีพเพือ่ ใหส้ ามารถ ช่วยเหลอื ตนเองได้ อยู่ในสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ การฟ้นื ฟสู มรรถภาพภาพทางจติ เวชสสู่ ุขภาวะ หมายถึงกระบวนการที่ให้โอกาสแก่บคุ คลทีม่ ีความ บกพร่อง พิการจากความเจบ็ ป่วยทางจิต สติปัญญา การเรยี นรู้ และพฤติกรรม ให้สามารถพงึ่ ตนเองและปฏบิ ตั ิ หน้าท่ีในชุมชน โดยมีการปรบั เปลี่ยนทัศนคติ เกดิ ความร้สู กึ มคี ุณคา่ มศี กั ดิ์ศรีความเป็นมนษุ ย์ มจี ดุ มงุ่ หมาย มี ทักษะต่างๆ ท้งั ด้านสังคม สงิ่ แวดลอ้ ม การปฏบิ ัติกจิ วัตรในชีวิตประจำ�วัน และทส่ี ำ�คัญคอื มีความสามารถในการ พ่ึงพาตนเอง โดยเฉพาะการมอี าชพี และไดร้ บั การจ้างงานตามกฎหมายที่ก�ำ หนดเพ่อื เป็นการพิทกั ษส์ ิทธผิ ปู้ ่วย กฎหมายเรอ่ื งการจ้างงานคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสรมิ และพฒั นาคุณภาพชวี ิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และท่ีแก้ไขเพิม่ เตมิ พ.ศ. 2556 มาตรา 33 34 และ 35 ไดก้ �ำ หนดให้ภาครฐั และเอกชนต้องจ้างงานคน พกิ ารตามมาตรา 33 ในอัตรา 1 ต่อพนกั งาน 100 คน หรอื ส่งเงนิ เขา้ กองทุนสง่ เสรมิ และพฒั นาคุณภาพชวี ิตคน พิการ ตามมาตรา 34 หรือใหส้ มั ปทานจัดสถานทจ่ี �ำ หนา่ ยสนิ คา้ หรือบริการจัดจา้ งเหมาชว่ งการฝึกงานหรอื ใหก้ าร ช่วยเหลอื อืน่ ใดแก่คนพกิ ารหรอื ผูด้ แู ลคนพิการ ตามมาตรา 35 มิตใิ หม่การจา้ งงานคนพิการเป็นการทำ�งานเพ่ือ ชุมชนโดยบริษทั จ้างงาน การเปน็ พนกั งาน ปฏิบัตภิ ารกจิ ตามนโยบายความรับผิดชอบตอ่ สงั คม (CSR) การมอบ หมายให้คนพกิ ารปฏบิ ตั งิ าน สนับสนุนองค์กรในทอ้ งถิน่ หรือสาธารณะประโยชน์โดยการจ้างงานโดยมเี ป้าหมาย ให้คนพิการชว่ ยเหลอื ตนเองและครอบครัวได้ โดยไมต่ ้องเปน็ ภาระของผอู้ ่นื สำ�หรับคนพิการทางจติ ใจ คนท่ีมีความบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญา การเรียนรู้และพฤติกรรมนั้น การใหก้ าร ฟน้ื ฟูสมรรถภาพทางอาชีพจะแตกต่างจากคนพกิ ารประเภทอื่นๆ เนือ่ งจากร่องรอยของการเจบ็ ปว่ ยด้วยโรคทาง จิตเวช อาจจะเกดิ ทัศนคตใิ นเชงิ ลบตอ่ ผูท้ ่ีเจ็บป่วยทางจิตเวช การฟ้นื ฟูสมรรถภาพจึงจ�ำ เปน็ ต้องมีบคุ คลผู้ใหก้ าร ช่วยเหลอื บำ�บัดรกั ษา ใหก้ ารสนับสนนุ โดยทีมสหวิชาชีพ เชน่ นกั สงั คมสงเคราะห์ พยาบาล นกั กิจกรรมบำ�บัด รวมทั้งบุคคลในสถานประกอบการ

4 เพ่อื ใหค้ นพิการทางจิตเวชมโี อกาสเข้าถงึ แหลง่ งาน มีความสามารถในการประกอบอาชีพอย่างอสิ ระได้ เชน่ เดยี วกับบคุ คลท่ัวไป สามารถรกั ษางานที่พวกเขาท�ำ ไว้ได้ ซึง่ บคุ คลทมี่ ีบทบาทส�ำ คญั ในการฟน้ื ฟสู มรรถภาพ ทางอาชีพส�ำ หรบั ผู้พกิ ารทางจติ เวช คอื ผู้สอนงาน ( Job coach) โดยผู้สอนงานจะเป็นผู้ท่ีตอ้ งทราบบทบาทของ ตนเอง มีแนวทาง เทคนิคใหก้ ารสนับสนุนคนพิการให้สามารถไปถึงเป้าหมายในการประกอบอาชพี ตามท่เี ขาต้งั เปา้ หมายไว้ รวมท้ังการประสานงาน ประเมินผลงานทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการพฒั นางาน การใหค้ ำ�ปรกึ ษา ฝึกอบรม การท่องเท่ยี ว และบรกิ ารอื่นๆ ท่จี ำ�เป็นทีจ่ ะช่วยให้ผู้พกิ ารสามารถรกั ษางานทที่ �ำ ไว้ได้ นกั สงั คมสงเคราะห์จติ เวช มบี ทบาทท่สี ำ�คัญตามมาตรฐานวิชาชีพ คือ การฟ้นื ฟสู มรรถภาพการพทิ กั ษส์ ทิ ธิ การบริหารจัดการทรพั ยากรทางสงั คม บทบาทผ้จู ัดการรายกรณี (case manager) ผสู้ อนงาน (Job coach) ซ่ึงเป็นบทบาทท่ีสำ�คัญของนักสังคมสงเคราะห์จิตเวชเพราะมีแนวทางเฉพาะแตกต่างจากวิชาชีพอ่ืนในการ ประสานทรัพยากรทางสงั คมเพือ่ ช่วยใหผ้ ปู้ ว่ ยได้รบั การจา้ งงานใหม้ รี ายไดเ้ กิดความรู้สกึ มคี ุณค่า สามารถพ่งึ พา ตนเองได้ไมเ่ ป็นภาระผ้อู ื่น จากสถติ กิ ารดำ�เนนิ งานของนกั สังคมสงเคราะห์จติ เวชในโครงการฟ้ืนฟูทกั ษะทาง สังคมเพื่อการมีงานทำ�สำ�หรับผู้ป่วยจิตเวชตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมาตรา 33 และ 35 ในหนว่ ยบรกิ ารสงั กดั กรมสุขภาพจติ 5 แห่งในระยะเวลา 3 ปี ตัง้ แตป่ ี 2560-2562 พบวา่ มีจำ�นวน 118 คน และสำ�หรบั ผู้ป่วยทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา การเรียนรู้ พฤตกิ รรม เชน่ ผูป้ ว่ ยออทิสติก ผูป้ ่วย ท่ีมีภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญาจากหน่วยบริการดา้ นสขุ ภาพจติ เด็ก 2 แหง่ มีจำ�นวน 71 ราย จากประเดน็ ดงั กล่าว กรมสุขภาพจิตได้เห็นความสำ�คัญในการด�ำ เนินการช่วยเหลอื ผู้พิการทางจติ ให้ไดร้ บั การจา้ งงานตามหลักการฟ้ืนฟสู มรรถภาพเพื่อคนื ส่สู ุขภาวะ (recovery) ที่เนน้ เรอื่ งการพิทกั ษส์ ทิ ธิผปู้ ่วย ค�ำ นงึ ถึงสทิ ธิมนุษยชน (Human right) และเปน็ การพฒั นาด้านวิชาการของวิชาชพี สังคมสงเคราะหจ์ ติ เวช จึงได้มอบหมายให้สถาบนั จิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา รว่ มกับสมาคมนกั สงั คมสงเคราะห์จิตเวชด�ำ เนินการ จดั ทำ�ค่มู อื การปฏิบตั ิงานฟนื้ ฟสู มรรถภาพทางสงั คมเพ่อื การมงี านท�ำ ส�ำ หรับนักสังคมสงเคราะห์จติ เวชขึน้ เพอื่ ใช้เป็นแนวทางปฏบิ ัตงิ านของนกั สังคมสงเคราะห์ จติ เวชในการชว่ ยเหลือคนพกิ ารทางจติ ใจ หรือ พฤติกรรม คนพิการทางสตปิ ัญญา การเรียนรูแ้ ละออทิสตกิ ให้ได้รบั การจ้างงานเปน็ มาตรฐานเดยี วกัน และสามารถขยายการดำ�เนนิ งานดงั กลา่ วในหน่วยบรกิ ารอ่นื ๆ ได้อย่างมีคณุ ภาพตอ่ ไป วตั ถุประสงค์ เพื่อให้นักสังคมสงเคราะห์จิตเวชใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคมของผู้ป่วยจิตเวช ใหม้ คี วามพร้อมเขา้ สูก่ ารมงี านทำ� และการประกอบอาชีพ ค�ำ นยิ าม ผู้ปว่ ยจติ เวช หมายถงึ ผปู้ ่วยที่มีความเจ็บปว่ ยจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง มคี วามผิดปกติ ท้ังดา้ นความคิด การรบั รู้ พฤติกรรม มีอาการหลงผิดไปจากความเป็นจริง ประสาทหลอน หูแวว่ เห็นภาพหรือรบั รู้ในสิ่งที่ไมม่ ีอยู่จริง แยกตวั เอง รวมถงึ คนพกิ ารทางจติ ใจ หรอื พฤติกรรม คนพกิ ารทางสติปัญญา การเรียนรู้ และออทสิ ตกิ ที่ได้รับการ จดทะเบยี นผพู้ กิ าร

5 การฟนื้ ฟูสมรรถภาพทางจิตเวชส่ทู างสขุ ภาวะ (recovery orientaytion) หมายถึง การบูรณาการ การฟ้ืนฟสู มรรถภาพทางจติ เวชกับการรักษาใหบ้ รกิ ารโดยทีมสหวชิ าชพี ร่วมกับการตดั สนิ ใจของผู้เขา้ รับการ ฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยให้ความส�ำ คัญกบั เปา้ หมายและความพงึ พอใจของผเู้ ข้ารบั การฟ้นื ฟฯู บนพื้นฐานความ เป็นจริง มงุ่ ไปที่จดุ แข็งของผูเ้ ขา้ รับการฟน้ื ฟสู มรรถภาพ เพราะฝกึ ทกั ษะท่ีจ�ำ เป็น ปรบั เปลย่ี นสิง่ แวดล้อม และ ใหก้ ารสนับสนุนตามความเหมาะสม บูรณาการร่วมกบั ชมุ ชน และมคี วามต่อเน่ืองของการใหบ้ ริการ ผูส้ อนงาน (Job coach) หมายถงึ ผเู้ ชยี่ วชาญที่ได้รบั การอบรมในการใชเ้ ทคนคิ ตา่ งๆ ทชี่ ่วยใหค้ น พิการเรียนรู้การดำ�เนนิ งานตามความต้องการของนายจา้ ง โดยเรยี นร้ทู ักษะท่ีจ�ำ เป็นในการได้รบั การยอมรบั ใน ฐานะเปน็ ผูป้ ฏบิ ัตงิ านในท่ที �ำ งานและในชุมชนท่ีเก่ียวขอ้ ง รวมถึงการประเมนิ ผลงาน ท่เี กีย่ วขอ้ งกบั การพฒั นา งาน การใหค้ ำ�ปรกึ ษา การสนับสนุน การฝึกอบรม การทอ่ งเทย่ี ว และการบริการอ่ืนๆ ทจ่ี ำ�เปน็ ในการส่งเสรมิ และสนับสนุนใหค้ นพิการรักษางานไว้ได้ การมงี านทำ� หมายถงึ บุคคลท่ีมีอายุ 15 ปีข้ึนไป มลี กั ษณะ อยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ดงั ต่อไปน้ี 1. ได้ทำ�งานตัง้ แต่ 1 ช่วั โมงขนึ้ ไป โดยไดร้ บั ค่าจ้าง เงนิ เดอื น ผลกำ�ไร เงนิ ปันผล ค่าตอบแทน ทม่ี ลี กั ษณะอยา่ งอน่ื ส�ำ หรบั ผลงานทีท่ ำ� ไดร้ บั คา่ ตอบแทนเป็นตวั เงนิ 2. สามารถพฒั นาตนเอง จนกระท่ังไปชว่ ยเหลอื งานบ้าน หรือ ช่วยเหลืองานอ่นื ๆ ได้ เปน็ ต้น การประกอบอาชีพ หมายถงึ การท�ำ กจิ กรรม การท�ำ งาน การประกอบการ ที่ไมเ่ ปน็ โทษแก่สังคม และ มีรายไดต้ อบแทน โดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ อปุ กรณ์ เครื่องมือ วธิ ีการ ทแ่ี ตกต่างกนั ไป ซึ่งมี 2 ลักษณะ คอื 1. อาชพี อิสระ หมายถึง อาชพี ทกุ ประเภทท่ีด�ำ เนินการด้วยตนเอง แต่เพยี งผเู้ ดยี วหรอื เป็นกลมุ่ เช่น ปลกู ผัก ค้าขาย งานประดิษฐต์ ่างๆ เป็นต้น 2. อาชีพรับจา้ ง หมายถึง อาชีพท่ีมีผูอ้ ื่นเปน็ เจ้าของกิจการ โดยตัวเอง เป็นผ้รู ับจา้ งทำ�งานให้ และได้รับ ค่าตอบแทนเป็นคา่ จา้ งหรอื เงินเดอื น กฎหมายทเ่ี กย่ี วข้องกบั การปฏิบัตงิ านดา้ นสังคมสงเคราะห์จติ เวช ในหมวดท่ีเกีย่ วข้องกับกระบวนการจ้างงานคนพกิ ารทางจติ ใจ หรอื พฤตกิ รรม พระราชบัญญัติสง่ เสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพกิ าร พ.ศ. 2550 ส�ำ นกั งานสง่ เสรมิ และพัฒนา คุณภาพชีวติ คนพกิ ารแห่งชาติ 2553 พระราชบญั ญตั ิส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชวี ิตคนพกิ าร พ.ศ. 2550 ฐานคดิ และเจตนารมณ์ของ กฎหมายมีความชัดเจนโดยมีการพฒั นาต่อยอด พระราชบัญญตั ิฟน้ื ฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 สิทธเิ สรภี าพความเสมอภาคความเทา่ เทยี มความเป็นธรรม ศกั ดิศ์ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ไม่ถกู เลือกปฏิบัติ การพฒั นา ศักยภาพ และการเสรมิ พลงั การด�ำ เนนิ ชวี ิตอิสระและอยู่ในสงั คมโดยปราศจากอปุ สรรคการเขา้ ถงึ สทิ ธิสวัสดกิ าร การจัดสง่ิ อ�ำ นวยความสะดวก การกระจายอำ�นาจ รวมทงั้ การสง่ เสริมการมสี ว่ นรว่ มของคนพกิ ารแต่ละประเภท มาตรา 20 ไดก้ �ำ หนดสทิ ธิ และสวัสดิการเพ่ือคนพิการและครอบครวั หรอื ผ้ดู ูแลที่ต้องไดร้ ับ เพ่ือให้คนพิการมีสิทธิเข้าถึง และใช้ประโยชน์ได้กำ�ไรความสะดวกอันเป็นสาธารณะ ตลอดจนสวัสดิการ และความชว่ ยเหลืออ่ืนจากรัฐ ดังน้ี

6 - การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชพี การใหบ้ รกิ ารท่มี ีมาตรฐานการคมุ้ ครองแรงงาน มาตรการเพอื่ การ มีงานท�ำ ตลอดจนไดร้ บั การส่งเสริมและประกอบอาชีพอิสระ และบริการสอ่ื สง่ิ อ�ำ นวยความสะดวกเทคโนโลยี หรอื ความช่วยเหลืออ่นื ใดการทำ�งานและประกอบอาชพี ของคนพิการตามหลกั เกณฑ์ วิธีการ และเง่อื นไขท่ี รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงแรงงานประกาศกำ�หนด - การปรับสภาพแวดล้อมทอี่ ยูอ่ าศยั การมผี ู้ชว่ ยคนพกิ าร หรอื จัดให้มสี วัสดิการอน่ื ตามหลักเกณฑ์ และมวี ธิ ีการที่คณะกรรมการก�ำ หนดในระเบยี บ - ผ้ดู แู ลคนพิการมีสทิ ธไิ ด้รับบริการใหค้ ำ�ปรึกษา และนำ�ฝึกอบรมทักษะการเลยี้ งดู การจดั การการศึกษา การส่งเสริมอาชพี และการมงี านท�ำ ตลอดจนความชว่ ยเหลอื อืน่ ใด เพอื่ ใหต้ นเองได้ตามหลักเกณฑ์ และวธิ ีการ ท่ีคณะกรรมการกำ�หนดในระเบียบ - คนพกิ าร และผู้ดแู ลคนพกิ ารมีสทิ ธิที่ไดร้ ับการลดหย่อนภาษหี รือยกเวน้ ภาษีตามกฎหมายทีก่ �ำ หนด องคก์ รเอกชนจัดใหบ้ รกิ ารได้รับสิทธิประโยชนต์ ามมาตรานีม้ สี ทิ ธิไดร้ บั การลดหย่อนภาษี หรือยกเว้นภาษเี ป็น ร้อยละของจ�ำ นวนเงนิ คา่ ใช้จา่ ยตามกฎหมายก�ำ หนด นอกจากนกี้ องนิติการ ส�ำ นักงานปลดั กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความมัน่ คงของมนษุ ย์ได้กล่าวเพ่ิม เตมิ ถงึ สทิ ธขิ องผู้พิการและครอบครวั หรอื ผู้ดแู ลเพ่ิมเติมในส่วนทีเ่ กยี่ วข้องกับการจา้ งงานคนพกิ ารทางจิตใจ และพฤตกิ รรม ดังน้ี - มสี ทิ ธิ์ในการกู้ยมื เงนิ ทุนเพือ่ ประกอบอาชีพหรอื การขยายกจิ การในวงเงนิ ที่ไม่เกนิ 40,000 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี ไมเ่ สียดอกเบย้ี - การฝกึ อาชีพและการแนะนำ�การประกอบอาชีพโดยคนพกิ ารที่มคี วามประสงค์ฝกึ อบรมอาชพี และพัฒนาอาชีพ - การสงเคราะหค์ นพิการ ซึ่งสามารถแยกออกเปน็ 2 ดา้ น การสงเคราะหค์ รอบครัว และการสงเคราะห์ เพ่อื การยังชีพส�ำ หรับคนพกิ าร 1) ด้านการเงนิ และสิ่งของไมเ่ กนิ วงเงนิ คร้ังละ 2,000 บาท ติดต่อกนั ได้ไมเ่ กนิ 3 คร้ัง ตามรายการ ดงั ต่อไปนี้ - คา่ เครอ่ื งอุปโภคบรโิ ภค และหรอื คา่ ใชจ้ า่ ยในการครองชีพตามความจำ�เปน็ - ค่ารักษาพยาบาล - ค่าซอ่ มแซมทอี่ ย่อู าศยั เท่าทีจ่ ำ�เปน็ - ชว่ ยเหลือทุนประกอบอาชพี 2) คำ�ปรึกษาแนะนำ�แก้ปญั หากรณีตา่ งๆ เชน่ การประกอบอาชพี การติดตอ่ หางาน หรอื บรกิ ารอื่นๆ - คนพกิ าร และผ้ดู ูแลคนพิการมสี ทิ ธิได้รับการลดหย่อนภาษีหรอื ยกเวน้ ภาษตี ามกฎหมายก�ำ หนด - องค์กรเอกชนท่จี ดั ใหค้ นพิการได้รับสทิ ธปิ ระโยชนต์ ามมาตรา 20 มีสทิ ธิได้รับการลดหยอ่ นภาษี หรอื ยกเวน้ ภาษี - นายจ้างหรอื เจ้าของสถานประกอบการ ซ่งึ รับการเขา้ ท�ำ งานสง่ เงินสมทบเข้ากองทนุ สง่ เสริมพัฒนา คณุ ภาพชีวิตคนพกิ ารมีสิทธิได้รบั การยกเวน้ ภาษเี ปน็ ร้อยละของจำ�นวนเงนิ ค่าจา้ งทจ่ี ่ายให้แกค่ นพกิ ารเป็นตน้

7 แผนภาพแสดงขนั้ ตอนการปฏิบัติงานฟนื้ ฟูสมรรถภาพทางสงั คมเพอื่ การมงี านท�ำ

8 การคัดเลือกผปู้ ว่ ยเบขท้ารทับี่ ก1ารฟื้นฟสู มรรถภาพ วัตถปุ ระสงค์ เพื่อคัดเลือกผูป้ ่วยท่มี คี ณุ สมบตั ิ และความพรอ้ มเขา้ รบั การฟน้ื ฟูสมรรถภาพเพือ่ การมงี านท�ำ สาระส�ำ คัญ การคัดเลือกผู้ปว่ ยที่มคี วามพรอ้ มเขา้ รับการฟ้ืนฟูสมรรถภาพ ตามคณุ สมบตั ทิ ี่ก�ำ หนด ซึ่งเปน็ การ กำ�หนดคุณสมบัตพิ ้นื ฐาน ด้านสามารถของผู้ปว่ ย และครอบครัว กอ่ นเขา้ รับการฟื้นฟูเพอ่ื การมีงานท�ำ คณุ สมบัติของผู้ปว่ ยจิตเวชมคี วามพรอ้ มเข้ารับการฟนื้ ฟสู มรรถภาพ 1. อาการทางจิตสงบ 2. อายุ 15 ปขี น้ึ ไป (จิตเวชเดก็ ) / อายุ 18 ปขี ้นึ ไป (จิตเวชผู้ใหญ่) 3. ไมม่ ีโรคประจ�ำ ตวั รา้ ยแรงทเี่ ปน็ อปุ สรรคในการเข้ารับการฟนื้ ฟูสมรรถภาพ เชน่ เร้ือน เทา้ ช้าง วัณโรค 4. ไมม่ คี วามพิการซำ้�ซอ้ น 5. สามารถสื่อสาร และปฏบิ ตั ิตามค�ำ สั่งได้ (จิตเวชเดก็ ) / สามารถสื่อสาร และปฏบิ ัตไิ ด้ (จิตเวชผู้ใหญ่) 6. สามารถช่วยเหลอื ตนเองได้ 7. ไมจ่ ำ�กัดวุฒิการศกึ ษา 8. สามารถเดนิ ทาง ไป - กลบั เองได้ 9. ผปู้ ว่ ยมีความสมัครใจ และยินยอมเข้ารบั การฟืน้ ฟูสมรรถภาพ 10. ครอบครวั / ผดู้ ูแลใหค้ วามรว่ มมอื กรณจี ิตเวชเด็กต้องไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผูป้ กครอง ** หมายเหตุ ผปู้ ่วยไดร้ ับการฟื้นฟูฯ แล้วไมส่ ามารถไปท�ำ งานในสถานประกอบการตามมาตรา 33 จะ ไดร้ ับการฟ้นื ฟูฯ ตอ่ มาตรา 35 เช่น มาตรา 35 ของธนาคารออมสนิ (กรณสี ถาบนั จติ เวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำ�เนนิ อยูข่ ณะน้ี) พิจารณาตามศักยภาพและบรบิ ทความพร้อมของผปู้ ว่ ยแต่ละราย ในกรณที ี่ผู้ป่วยประเมิน ไม่ครบตามเกณฑ์ให้ข้ึนอยูก่ ับดลุ ยพินิจตามความเหมาะสมของหน่วยงาน การประเมินผปู้ ว่ ยครอบครวั / ผู้ดแู ลเลอื กใช้เครอื่ งมอื แบบประเมินได้ ดังน้ี 1. แบบประเมินสมรรถภาพผ้ปู ่วยจิตเวช (อยูท่ ่รี ะดับ 3 ขึ้นไป) 2. แบบประเมนิ ความสามารถ ตามประเภทความพิการ ICF (กรณมี ีบัตรพิการ) 3. แบบประเมนิ ครอบครวั /ผู้ดแู ล 4. การวนิ จิ ฉยั และความเหน็ ของแพทย์ (กรณีของหนว่ ยงานจติ เวชเดก็ /วยั รุ่น) หมายเหตุ การประเมนิ ผปู้ ่วยและครอบครวั เพ่อื คดั เลอื กผ้ปู ่วยเขา้ รบั การฟ้ืนฟูสมรรถภาพเปน็ ไปตาม บริบทของหนว่ ยงาน

9 ขั้นตอน วิธกี ารด�ำ เนินกจิ กรรม ส่อื อปุ กรณ/์ เครอื่ งมอื 1. ผูป้ ว่ ยมีความต้องการท�ำ งาน ผู้ปว่ ยแจง้ ความจ�ำ นงวา่ มีความ บันทึก clinical จากจดุ คัดกรอง/แพทย/์ ต้องการเขา้ รับการฟื้นฟสู มรรถภาพ พยาบาล/สหวิชาชีพ เพือ่ การมงี านท�ำ และประกอบอาชพี 2. พบแพทย์ประเมินอาการ 1. เปิด visit ทำ�ประวตั ิผปู้ ว่ ยที Doctor order sheet หรือorder ปรกึ ษา เวชระเบยี น 2. สง่ พบแพทยป์ ระเมินอาการเบอื้ ง ตน้ หากผปู้ ่วยอาการทางจิตสงบ และมคี วามต้องการเข้ารับการฟน้ื ฟู สมรรถภาพ 3. แพทย์ส่งปรึกษานกั สังคมสงเคราะห์ 3. ประเมินคณุ สมบัตกิ ารคดั เลือก ตรวจสอบคณุ สมบัตคิ วามพรอ้ ม 1. อาการทางจติ สงบ ของผู้ป่วย กอ่ นเขา้ รบั การฟ้ืนฟู 2. อายุ 15 ปีขน้ึ ไป (จิตเวชเดก็ ) / อายุ สมรรถภาพ 18 ปขี ้ึนไป (จติ เวชผู้ใหญ)่ 3. ไมม่ โี รคประจำ�ตัวรา้ ยแรงท่เี ป็น อปุ สรรคในการเขา้ รับการฟื้นฟสู มรรถภาพ เชน่ เรื้อน เทา้ ชา้ ง วัณโรค 4. ไมม่ ีความพิการซ้ำ�ซ้อน 5. สามารถสือ่ สาร และปฏิบตั ิตามคำ�สัง่ ได้ (จิตเวชเด็ก) / สามารถสือ่ สาร และ ปฏบิ ตั ไิ ด้ (จิตเวชผู้ใหญ)่ 6. สามารถชว่ ยเหลอื ตนเองได้ 7. ไม่จำ�กัดวุฒกิ ารศกึ ษา 8. สามารถเดนิ ทาง ไป - กลบั เองได้ 9. ผปู้ ่วยมีความสมคั รใจ และยินยอมเขา้ รับการฟ้นื ฟสู มรรถภาพ 10. ครอบครัว / ผดู้ ูแลใหค้ วามร่วมมือ กรณีจิตเวชเด็กตอ้ งไดร้ ับความยินยอม จากผู้ปกครอง

10 4. ประเมนิ ผู้ปว่ ย และครอบครวั ประเมนิ ผูป้ ่วย และครอบครวั 1. แบบประเมนิ สมรรถภาพผู้ปว่ ยจิตเวช (อยู่ ที่ระดบั 3 ขึ้นไป) 2. แบบประเมนิ ความสามารถ ตาม ประเภทความพกิ าร ICF (กรณีมบี ตั ร พิการ) 3. แบบประเมินครอบครัว/ผ้ดู แู ล 4. การวนิ จิ ฉยั และความเหน็ ของแพทย์ (กรณขี องหน่วยงานจิตเวชเดก็ /วัยรุ่น) 5. ผ้ปู ว่ ยเขา้ รับการฟ้นื ฟู ผ้ปู ่วยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพตาม สมุดประจำ�ตวั ผู้เขา้ รับการฟน้ื ฟสู มรรถภาพ สมรรถภาพ ศักยภาพผู้ป่วยและบรบิ ทหน่วยงาน

11 แผนภาพขนั้ ตอนการคัดเลือกผู้ป่วยเขา้ รบั การฟนื้ ฟสู มรรถภาพเพอ่ื การมงี านทำ�

12 การเตรียมคในวาโรมงพพรบยอ้ ทามบทเาข่ีลา้ 2/สสู่งถาานบรนัะหว่างการฝึก สาระสำ�คญั การจา้ งงานผู้ป่วยเปน็ การฟ้นื ฟสู มรรถภาพทางสังคมและอาชพี เพ่ือให้ผูป้ ่วยสามารถพ่ึงตนเอง ได้ โดยพง่ึ พาผ้อู ื่นใหน้ ้อยทส่ี ดุ ลดอคติ และเพม่ิ โอกาสทางสงั คม ตอ้ งค�ำ นึงถงึ หลักความต้องการ และความ แตกต่างของแต่ละบคุ คล คน้ หาและพฒั นาศักยภาพของผู้ปว่ ย สนบั สนุน และเสรมิ พลงั ใหผ้ ู้ปว่ ย มคี วามหวงั ใน การดำ�รงชีวติ อยา่ งอิสระ การเตรยี มความพรอ้ มผู้ป่วยจติ เวชจึงมคี วามส�ำ คัญและมีความจ�ำ เปน็ อยา่ งยิ่ง เพ่อื ใหผ้ ้ปู ว่ ยมี ความพรอ้ ม ได้รับการจา้ งงาน และคงอยู่ในสถานประกอบการ และเครอื ข่ายในชมุ ชนไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง วตั ถุประสงค์ 1.เพื่อใหผ้ ู้ป่วยเกิดความตระหนกั ในคุณค่าตนเอง 2.เพอื่ ให้ผู้ป่วยมีเป้าหมายในการทำ�งาน 3.เพื่อใหผ้ ู้ปว่ ยมที ักษะการปรับตวั ทางสงั คมและทักษะพื้นฐานท่จี �ำ เปน็ ในการท�ำ งาน (Social skills and basic work skills) 4.เพอื่ ใหค้ รอบครัวมีส่วนรว่ มในการสนบั สนนุ ผูป้ ่วย 5.เพ่อื ใหส้ ถานประกอบการ และเครือขา่ ยในชมุ ชนเกิดทศั นคติทด่ี ี มีความเข้าใจ ให้โอกาส และเชอื่ มน่ั ใน ศกั ยภาพของผปู้ ว่ ย การเตรยี มความพร้อมแบ่งเปน็ 3 ด้าน ดังนี้ 1. การเตรยี มความพรอ้ มผปู้ ่วย 1.1 ใหค้ �ำ ปรกึ ษา วางแผน และกำ�หนดเป้าหมายการฝกึ ทักษะรว่ มกนั กบั ผู้ปว่ ย 1.2 ประเมินทักษะความถนดั หรอื ความสามารถในการทำ�งาน ได้แก่ ค้นหาทักษะที่ทำ�ได้ ประเมนิ ทกั ษะ ทางสังคมท่ีไม่สามารถทำ�ได้ หรอื มคี วามพรอ่ ง 1.3 ฝกึ ทกั ษะพ้ืนฐานทจ่ี �ำ เปน็ ในการท�ำ งาน ทักษะทางสงั คม เช่น การดแู ลตวั เองในชวี ิตประจำ�วัน การแตง่ กาย มารยาททางสงั คม การสอื่ สาร การอดทน มสี มาธิในการท�ำ งาน การแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้ การตรงต่อเวลา การปฏบิ ตั ิตามกฎระเบียบ ความรับผดิ ชอบ การวางตัวทางเพศทเ่ี หมาะสม การเดินทาง การใชเ้ งิน 1.4 ประเมนิ ความสนใจในการทำ�งาน 1.5 ช้แี จงลกั ษณะงาน และการตดั สินใจเลอื กแหล่งฝึกตามความสนใจ หรือความถนดั ของผปู้ ว่ ย

13 2. การเตรยี มแหลง่ ฝึกภายในหน่วยงาน 2.1 ประสานหนว่ ยฝึกภายในหนว่ ยงานทีม่ คี วามพร้อมในการรบั ผปู้ ว่ ย เพ่อื ทดลองงาน 2.2 ใหค้ วามรู้ ท�ำ ความเข้าใจ สร้างทศั นคติท่ีดเี ก่ียวกบั ผูป้ ่วยให้กับบุคลากรในหน่วยฝกึ ภายในหน่วยงาน 2.3 ให้คำ�แนะน�ำ ความชว่ ยเหลือ ชอ่ งทางการประสานงาน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ เมื่อผ้ปู ว่ ย เกดิ ปัญหาในการท�ำ งาน 2.4 จดั อบรมผ้ฝู กึ สอน (Job Coach) การวิเคราะห์ลกั ษณะงาน วิธีการสอนงาน ภาวะโรค หรือ ลักษณะพฤติกรรมเฉพาะของผูป้ ่วย 2.5 แลกเปล่ยี นเรียนรู้ และจัดประชุมผู้ฝกึ สอน (Job Coach) 3. การเตรยี มความพรอ้ มครอบครวั / ผดู้ แู ล 3.1 ใหค้ �ำ ปรกึ ษา ร่วมวางแผน และก�ำ หนดเปา้ หมายการฝกึ ทกั ษะร่วมกับครอบครวั 3.2 ช้ีแจงโปรแกรมการฝึก ระยะเวลา การบรกิ าร กฎระเบียบ 3.3 ใหค้ วามรู้แก่ครอบครัว ผดู้ ูแล และให้เขา้ มีส่วนร่วมสนับสนนุ การฝกึ ทักษะ และเสรมิ พลงั ใจแกผ่ ู้ปว่ ย 3.4 จัดประชุมให้ความร้คู รอบครัว และผู้ดูแลร่วมกบั ผู้ฝกึ สอน (Job Coach)

14 แผนภาพแสดงขั้นตอนการเตรียมความพร้อมเขา้ สู่งานระหวา่ งการฝึก ในโรงพยาบาล/สถาบัน

15 ขน้ั ตอนการด�ำ เนนิ กจิ กรรม ขั้นตอน วตั ถุประสงค์ กจิ กรรม/วธิ กี าร สอื่ /อุปกรณ์ 1. การวางแผนก�ำ หนด - เพอื่ ให้ผ้ปู ่วยค้นหาความ - ประเมนิ ทักษะความถนัด - แบบประเมินทกั ษะพื้น เปา้ หมายในการฝกึ ผปู้ ว่ ย สามารถ/ความถนัด และมี หรือความสามารถในการ ฐานในการท�ำ งาน เปา้ หมายของตนเอง ทำ�งาน - แบบประเมนิ ควาสามารถ - ค้นหาทกั ษะทีท่ ำ�ได้ /ท�ำ และการปรบั ตวั ในการทำ�งาน ไม่ได้ - แบบประเมนิ สมรรถภาพ - กำ�หนดส่ิงทจี่ ะตอ้ งพัฒนา ผู้ป่วยจิตเวช - แบบวัดความมีคณุ ค่า ในตนเอง - ใบประเมนิ ความพรอ้ ม ก่อนรับเขา้ ปฏบิ ัติงาน (ผู้ปว่ ยบกพร่องทางสติ ปัญญาและการเรียนรู้) 2. การฝึกทกั ษะชีวติ พืน้ - เพ่อื ให้ผูป้ ่วยเกดิ ทกั ษะ - ผปู้ ่วยได้รบั การฝึกทกั ษะ - แบบประเมนิ ผลการฝกึ ฐาน การดแู ลตนเองในชีวติ ชีวติ พื้นฐานโดยกล่มุ งาน ทักษะชีวิตพื้นฐาน กลุ่มงาน ประจำ�วนั การใชช้ วี ิตอยู่ ฟนื้ ฟสู มรรถภาพ และทีม ฟ้นิ ฟูสมรรถภาพ ร่วมกบั ผ้อู น่ื ในสังคม การ สหวิชาชีพ จัดการแกป้ ญั หา เขา้ ใจพนื้ - การสาธิต การแสดง ฐานการท�ำ งานเบ้ืองตน้ บทบาทสมมติ (Role play) และการผ่อนคลายตนเอง - ประเมินผลการฝึกทักษะ ชวี ติ พน้ื ฐาน 3. ปฐมนิเทศ เตรียม - เพ่อื ให้ผูป้ ว่ ยและ - ชแี้ จงกฎระเบยี บ กตกิ า - วีดีโอแนะน�ำ หน่วยงาน ความพรอ้ มผู้ปว่ ยและ ครอบครัว/ผดู้ แู ลเข้าใจกฎ โปรแกรมการฝึก ระยะ แหล่งฝกึ ในโรงพยาบาล/ ครอบครวั /ผดู้ แู ล ระเบยี บ กติกา โปรแกรม เวลาการฝกึ และสิทธิ สถานประกอบการ/เครอื การฝึก ระยะเวลาการ สวสั ดกิ ารตา่ งๆ ในการ ข่ายในชุมชน ฝึก และการมสี ่วนรว่ ม ท�ำ งาน - สื่อบุคคล/วดี ีทัศน์บคุ คล สนับสนนุ ทางจิตใจแก่ผู้ - ให้ความรู้ครอบครัว/ ตวั อย่างท่ปี ระสบความ ปว่ ย ผู้ดแู ลในการมสี ว่ นร่วม ส�ำ เรจ็ สนบั สนุนทางจติ ใจแกผ่ ู้ ป่วย

16 ข้ันตอน วัตถปุ ระสงค์ กิจกรรม/วิธกี าร สอ่ื /อปุ กรณ์ - มีช่องทางการส่อื สาร ในรูปแบบตา่ งๆ ระหวา่ ง ผูป้ ว่ ย ครอบครัว/ผดู้ แู ล และผูฝ้ ึก เช่น ระบบนัด โทรศัพท์ กร๊ปุ ไลน์ - ใบความรเู้ ก่ียวกับ แนวทางการจดั การปญั หา ระหว่างการฝกึ ส�ำ หรบั ครอบครวั /ผ้ดู แู ล 4. การฝึกทักษะทางสงั คม - เพ่อื ให้ผูป้ ่วยมที ักษะ • ผูป้ ว่ ยจติ เวช - แบบประเมินผลการฝกึ และทักษะพ้นื ฐานที่จ�ำ เปน็ ทางสงั คมและทักษะพื้น - ทกั ษะทางสงั คมท่จี �ำ เปน็ ทกั ษะชวี ิตพืน้ ฐาน กลมุ่ งาน การท�ำ งาน ฐานท่จี ำ�เปน็ การท�ำ งาน ตอ่ การมงี านท�ำ ฟนิ้ ฟูสมรรถภาพ 1. ทกั ษะการสร้าง 1. ใบความรู้ในการฝกึ สัมพนั ธภาพ ทักษะด้านตา่ งๆ 2. ทักษะการสอ่ื สาร 2. การแสดงบทบาทสมมติ 3. ทักษะการจดั การควบคุม (Role play) อารมณ์ และการแสดงออก 1. แบบประเมินทักษะพ้นื 4. ทักษะการรับรู้ เขา้ ใจ ฐานในการทำ�งาน เผชิญ ปญั หาและการ 2. แบบประเมนิ ความ แก้ไขปัญหา สามารถและการปรับตวั ใน 5. ทกั ษะการ ดูแลสขุ อนามัย การท�ำ งาน และการ รกั ษาต่อเนือ่ ง 3. แบบประเมนิ สมรรถภาพ 6. ทักษะการดแู ล ผู้ป่วย จิตเวช บุคลิกภาพ 4. แบบวัดความมีคุณคา่ ใน 7. ทกั ษะการบรหิ ารจัดการเงนิ ตนเอง และ การดูแลสิ่งของมคี ่า 8. ทักษะในการพทิ ักษส์ ทิ ธิ 9. ทกั ษะการอย่รู ่วมกบั บุคคลอ่นื ในสังคม

17 ขนั้ ตอน วตั ถุประสงค์ กจิ กรรม/วิธีการ สื่อ/อุปกรณ์ 10. ทกั ษะในการสรา้ ง จิตส�ำ นึกในสังคมและ พฤติกรรมทเ่ี หมาะสมตอ่ การทำ�งาน • ผู้ป่วยบกพรอ่ งทาง 1. แบบประเมินทักษะ สติปัญญาและการเรยี นรู้ พื้นฐานในการทำ�งานและ 1. ทักษะการปรบั ตัวทางสังคม ทกั ษะการปรบั ตัวทางสงั คม 1.1 ทกั ษะการสอ่ื ความหมาย 2. แบบประเมนิ ความ 1.2 ทกั ษะการใช้ชวี ิตในชมุ ชน สามารถและการปรับตวั ใน 1.3 ทกั ษะการใชช้ วี ิตประจ�ำ วนั การท�ำ งาน 1.4 ทกั ษะการสรา้ งสมั พันธภาพ กับผอู้ น่ื 2. ทักษะพ้นื ฐานทีจ่ ำ�เป็นใน การท�ำ งาน 2.1 ความสามารถในการ ปฏบิ ตั ติ ามกฎระเบยี บการทำ�งาน 2.2 ความสามารถในการ ปฏิบตั ิงาน 2.3 ความสามารถในการ ทำ�งานใหส้ �ำ เรจ็ 1. แบบประเมนิ ทกั ษะ พ้นื ฐานในการท�ำ งานและ ทักษะการปรบั ตวั ทางสงั คม 2. แบบประเมนิ ความ สามารถและการปรับตวั ใน การท�ำ งาน 2.1 ความสามารถในการ ปฏิบัติตามกฎระเบียบการทำ�งาน 2.2 ความสามารถในการปฏิบตั งิ าน 2.3 ความสามารถในการ ท�ำ งานให้ส�ำ เรจ็

18 ขัน้ ตอน วตั ถุประสงค์ กจิ กรรม/วิธกี าร ส่อื /อปุ กรณ์ • ผูป้ ว่ ยออทสิ ติก 1. ใบความรู้ในการฝึก 1. ทักษะการปรบั ตวั ทาง ทักษะด้านตา่ งๆ สังคม 2. การแสดงบทบาทสมมติ 1.1 แรงจูงใจในการเข้า (Role play) สงั คม (Social Motivation) 3. แบบตดิ ตามประเมินผล 1.2 การรบั รทู้ างสังคม การปรบั พฤติกรรมในการ (Social Awarnese) ทำ�งานและการด�ำ เนนิ ชีวิต 1.3 ความเขา้ ใจทางสงั คม ของผูป้ ว่ ย (Social Congnition) 1.4 การส่ือสาร (Social Communication) 1.5 ความเหมาะสมทาง สังคม (Social Relevant) 2. ทักษะพ้นื ฐานท่ีจ�ำ เปน็ ในการทำ�งาน 2.1 ความสามารถในการ ปฏิบตั ติ ามกฎระเบยี บการ ทำ�งาน 2.2 ความสามารถในการ ปฏบิ ตั ิงาน 2.3 ความสามารถในการ ท�ำ งานให้สำ�เรจ็ 5. การปฏบิ ตั งิ านในหนว่ ย - เพอ่ื ให้ผ้ปู ว่ ยได้ฝึก 1. ประสาน และทำ�ความ ฝึก และการประเมินผล ทักษะทางสงั คมและพืน้ เข้าใจเกี่ยวกับขอ้ จำ�กัด ฐานการท�ำ งานในหนา้ งานจรงิ โอกาสการพัฒนาของผู้ - พ่อื ใหผ้ ู้ป่วยได้เรียนรู้ ปว่ ยใหก้ ับหนว่ ยฝึกในโรง การอยูร่ ่วมกบั ผูอ้ ื่น ตลอด พยาบาล จนการแก้ปญั หาทเ่ี กิดจากการ ทำ�งาน

19 ขน้ั ตอน วัตถุประสงค์ กจิ กรรม/วธิ ีการ ส่ือ/อุปกรณ์ - เพื่อประเมนิ ผลการ 2. กำ�หนดระยะเวลาการ ปฏบิ ตั ิงานและทกั ษะทาง ปฏิบัติงานในหน่วยฝึก สังคม และแนวทางการตดิ ตาม ประเมนิ ผล 3. ส่งผปู้ ่วยเข้าหนว่ ยฝกึ 4. แนะน�ำ ให้ความช่วยเหลอื ชอ่ งทางการประสานงาน การแกป้ ญั หาเฉพาะหน้า เม่ือผูป้ ว่ ยเกดิ ปญั หาในการ ทำ�งาน 5. ประชมุ Job Coach รว่ มกบั 6. ประเมนิ ผลโดยทีมสหวชิ าชพี - เพื่อประเมนิ ความพรอ้ ม 1. Case manager - แบบรายงานผลการฝึกผ้ปู ว่ ย (Case Conference) ผปู้ ่วยกอ่ นเข้าสู่สถาน รายงานผลการฝึกของผปู้ ่วย - ใบรบั รองการฝกึ ผูป้ ่วย ประกอบการ 2. ทีมสหวชิ าชีพร่วม ประเมนิ และแสดงความ คิดเหน็ เกีย่ วกบั ความ สามารถในการทำ�งาน ทักษะทางสงั คม และข้อ จ�ำ กัดของผู้ปว่ ย 7. การเตรยี มความพร้อม - เพอ่ื เตรียมความพรอ้ ม • การเตรยี มความพรอ้ ม ผูป้ ว่ ย ครอบครัว สถาน ผปู้ ่วย ครอบครัว สถาน สถานประกอบการ/เครือข่าย ประกอบการ และเครอื ประกอบการและเครือขา่ ยใน ในชมุ ชน ข่ายในชุมชน ชุมชน 1. ค้นหาสถานประกอบการ/ - เพ่ือให้ครอบครวั /ผ้ดู แู ล เครือขา่ ยในชมุ ชนทมี่ คี วาม สามารถสนับสนุนทางจติ ใจ พรอ้ มในการรับผ้ปู ว่ ยเขา้ ให้แก่ผู้ป่วยได้ ท�ำ งาน - เพือ่ ให้ครอบครวั /ผู้ 2. วเิ คราะหล์ ักษณะงาน ดแู ลรบั รูส้ ิทธปิ ระโยชน์ และ สถานประกอบการ ส่งิ การพทิ กั ษส์ ทิ ธใิ ห้กบั ผู้ป่วย แวดล้อม

20 วัตถปุ ระสงค์ กิจกรรม/วิธีการ สื่อ/อปุ กรณ์ 3. ฝึกอบรมผู้ฝกึ สอนงาน ขั้นตอน ในสถานประกอบการ/เครอื ขา่ ยในชุมชน ใหเ้ ขา้ ใจ ภาวะ การเจ็บปว่ ยและ ข้อจ�ำ กัดของผปู้ ่วยในการ ท�ำ งาน และให้แนวทางการ ปฏบิ ตั ติ วั ต่อผ้ปู ว่ ย 4. แนะนำ�ใหค้ วามช่วย เหลอื ช่องทางการประสาน งาน การแกป้ ญั หาเฉพาะ หน้าเมอ่ื ผู้ป่วยเกดิ ปัญหาใน การทำ�งาน 5. ท�ำ ข้อตกลงเกย่ี วกับ การจา้ งงานผู้ป่วย ได้แก่ สวสั ดกิ ารในการทำ�งาน คา่ จา้ ง สิทธิการลา การรักษา พยาบาล ประกนั สังคม สำ�หรบั คนพิการ และการ พบแพทยต์ ามนัด

21 แนวทางกามรีงฝากึ นททักำ�บษขะทอทงทาผง้ปูี่ ส่ว3งั ยคจมติ ทเวจ่ี ช�ำ เป็นต่อการ สาระสำ�คัญ การฝกึ ทักษะทางสังคม เป็นสง่ิ จำ�เป็นส�ำ หรับการอยรู่ ว่ มกบั ผู้อืน่ ในการทำ�งาน จงึ ตอ้ งเตรียมความ พรอ้ มผู้ปว่ ยก่อนการฝกึ งาน และการท�ำ งานในสถานประกอบการภายนอก ช่วยให้ผปู้ ว่ ยเกิดความรคู้ วามเขา้ ใจ ในเรือ่ งของการท�ำ งาน สทิ ธิตา่ งๆ ของตนเอง สามารถปรบั ตัวในการอยู่ร่วมกบั ผู้อ่นื มีเพ่ือน มีสงั คม สามารถ พดู คุยสอื่ สารกบั ผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม สามารถเผชญิ ปญั หาโดยการจัดการกบั อารมณค์ วามรู้สึกในทางลบ ความเครยี ด และความกดดนั ท่เี กดิ ขนึ้ ในระหวา่ งการท�ำ งาน รถู้ งึ วธิ ีในการดูแลตนเองในเร่ืองของบุคลกิ ภาพทง้ั รปู ลกั ษณภ์ ายนอก และบคุ ลกิ ภาพภายใน สรา้ งความม่นั ใจในตนเอง เกดิ แรงจูงใจ และมเี ปา้ หมายในการปฏิบตั ิ งาน ทำ�ให้ไม่เกดิ ความแปลกแยกจากคนทว่ั ไปในสงั คม ตลอดจนสามารถบรหิ ารจัดการชวี ติ ของตนเองในเรอ่ื ง การใช้จา่ ย การดูแลทรัพย์สิน ของมคี ่า และมีทัศนคติท่ีดตี ่อสงั คมส่วนรวม อันจะสง่ ผลใหผ้ ปู้ ่วยสามารถท�ำ งาน รว่ มกบั ผ้อู ื่นไดอ้ ย่างราบร่ืน มีความสขุ ในการทำ�งาน สามารถปฏิบัตงิ านได้เตม็ ศกั ยภาพ และรักษางานทท่ี ำ�อย่ไู ด้ อย่างต่อเนอ่ื ง วัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ เพ่ือเตรียมความพร้อมในการฝึกทักษะทางสังคมท่ีจำ�เป็นต่อการปฏิบัติงานในสถานประกอบการสำ�หรับ ผู้ป่วยจิตเวช ทกั ษะทางสังคมทจี่ ำ�เปน็ ตอ่ การมีงานท�ำ และการประกอบอาชพี ส�ำ หรับผู้ป่วยจติ เวชท่จี ำ�เป็น ประกอบดว้ ย 1. ทกั ษะการสรา้ งสมั พันธภาพ 2. ทักษะการส่อื สาร 3. ทกั ษะการจดั การ ควบคมุ อารมณ์ และการแสดงออก 4. ทกั ษะการรับรู้ เขา้ ใจ เผชญิ ปัญหา และการแก้ไขปัญหา 5. ทักษะการดูแลสุขอนามัย และการรักษาต่อเนอ่ื ง 6. ทกั ษะการดแู ลบุคลิกภาพ 7. ทักษะการบริหารจดั การเงนิ และการดูแลสง่ิ ของมีคา่ 8. ทักษะในการพทิ ักษส์ ทิ ธิ 9. ทกั ษะการอยรู่ ว่ มกบั บุคคลอนื่ ในสังคม 10. ทกั ษะในการสร้างจิตสำ�นกึ ในสังคม และพฤตกิ รรมท่เี หมาะสมต่อการทำ�งาน ซึง่ มีรายละเอยี ดการดำ�เนินกิจกรรม ดังต่อไปนี้

22 แนวทางการฝึกทักษะทางสงั คมที่จำ�เปน็ ต่อการมงี านท�ำ เอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ผู้ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง นักสังคมสงเคราะห์ โปรแกรมฝกึ ทักษะทางสังคมท่ี จ�ำ เปน็ ตอ่ การมงี านทำ� นักสงั คมสงเคราะห์ - แบบประเมนิ สมรรถภาพผ้ปู ่วย จติ เวช (เพม่ิ ขึ้น 1 ระดับ) - แบบประเมนิ ความสามารถ ตามประเภทความพิการ (ICF) นกั สังคมสงเคราะห์ - แบบประเมนิ สมรรถภาพผปู้ ่วย - นกั จิตเวช (เพมิ่ ขึ้น 1 ระดับ) สังคมสงเคราะห์ - แบบประเมนิ ความสามารถ - Job coach ตามประเภทความพกิ าร (ICF) - สถานประกอบการ

23 1 ทกั ษะที่ 1 การสรา้ งสมั พนั ธภาพ สาระส�ำ คญั สัมพนั ธภาพเปน็ เรอ่ื งสำ�คญั ในการด�ำ เนินชวี ิต เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถที่จะอยอู่ ยา่ งโดดเดี่ยวตาม ลำ�พงั ได้ จำ�เป็นต้องอยูร่ ว่ มกบั บคุ คลอน่ื ในสังคม ต้องมปี ฏสิ ัมพันธ์กบั ผู้อน่ื ดังนนั้ การสรา้ งเสริมสัมพนั ธภาพท่ี เหมาะสมจึงเปน็ ส่งิ ทผ่ี ปู้ ่วยควรเรียนรู้ และนำ�ไปปฏบิ ตั ิ เพ่ือใช้ในการด�ำ เนนิ ชีวติ ใหม้ คี วามสุข วัตถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. เพื่อให้ผปู้ ่วยทราบถงึ วิธกี ารสรา้ งสมั พนั ธภาพ 2. เพอ่ื ให้ผปู้ ่วยสามารถสร้างสมั พนั ธภาพกบั ผ้อู ่ืนได้อยา่ งเหมาะสม 3. เพื่อให้ผูป้ ว่ ยมที ักษะทางสังคมทเี่ พ่ิมขึ้น ข้ันตอนการดำ�เนนิ กิจกรรม 1.1 กิจกรรมการทักทาย และมารยาททางสังคม (60-90 นาท)ี ขัน้ ตอน ธกี ารในการดำ�เนินกิจกรรม สือ่ /อปุ กรณ์ ผู้น�ำ กลมุ่ แนะนำ�ตวั เอง ใหส้ มาชกิ ทุกคนแนะนำ�ตวั และบอก 1. วัตถุประสงค์ กตกิ า ในการเขา้ กลมุ่ สรา้ งสัมพนั ธภาพ ทักทาย พูดคุย เรอ่ื งทวั่ ๆไป (small talk) 5 - 10 นาที ผ้นู ำ�กลุ่มบรรยายเร่อื งการสร้างสมั พันธภาพ และฝกึ ปฏิบตั ิเบือ้ งต้น ใบความรทู้ ่ี 1 2. เชน่ การไหว้ การพดู ทักทาย ฯลฯ เรอ่ื งการสร้างสัมพันธภาพ 3. แบ่งผปู้ ่วยออกเป็นกลุ่มย่อย ประมาณ 3 กลมุ่ โดยใชเ้ กมในการแบง่ กลุม่ เชน่ เกมพายเรือ เกมหอยเปลยี่ นฝา เกมรวมเหรียญ ฯลฯ ผูน้ ำ�กลุม่ เตรียมสลาก ซึง่ กำ�หนดสถานการณข์ ้นึ มาอยา่ งนอ้ ย 3 ใบงานที่ 1 สลากสถานการณ์ สถานการณ์ - การไปสมั ภาษณง์ าน โดยใหผ้ ูป้ ว่ ยแต่ละกลมุ่ จับฉลากเลอื กสถานการณ์ ก�ำ หนดใหผ้ ูป้ ่วย - การเขา้ ร่วมประชุมร่วมกับผู้ 4. แตล่ ะกลุ่มแสดงบทบาทสมมติถึงการสร้างสมั พนั ธภาพในสถานการณ์ ปกครอง ตา่ ง ๆ ตามทีจ่ บั ฉลากไดต้ ามข้อปฏิบตั เิ พ่ือเสริมสร้างการพัฒนา - การเขา้ รบั การฝกึ งานใน สัมพันธภาพ สถานประกอบการภายนอกในวันแรก 5. ผูน้ ำ�กล่มุ พดู คยุ ซกั ถามภายหลังการแสดงบทบาทสมมติ และกระตุ้นให้ ใบงานท่ี 2 ค�ำ ถามแลกเปลย่ี น เกดิ การแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นระหว่างกลุ่มในประเด็นต่างๆ ความคดิ เห็น 6. ผู้น�ำ กลมุ่ สรุปความคิดรวบยอด และปิดกลุ่ม ใบความรู้ท่ี 2

24 ใบความร้ทู ่ี 1 การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบคุ คล การส่ือสารเพ่ือความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบคุ คล โดยท่วั ไปมนุษยเ์ ราจะสือ่ สารเพอ่ื สรา้ งความสมั พันธร์ ะหวา่ งบคุ คล ก็ต่อเมื่อมบี รรยากาศของความไว้ใจกนั ความเข้าใจกนั ความสมั พันธ์จะพัฒนาขนึ้ ไดจ้ ะตอ้ งประกอบดว้ ยองค์ ประกอบ คือ 1. สภาพแวดล้อมทางสังคมและจิตใจ การสรา้ งบรรยากาศของการส่อื สารใหเ้ ออ้ื และสนับสนนุ ผ้ทู ี่ เกี่ยวข้องกับการส่อื สารจะชว่ ยเกดิ การสรา้ งความสมั พันธท์ ่ดี ขี ้ึน เชน่ การเปน็ เพอ่ื นเก่ากัน การเคยพบปะกนั มากอ่ น เคยทำ�งานงานร่วมกัน หรอื แมก้ ระทั่งการเขา้ อกเข้าใจกัน 2. ระยะเวลา ในการสร้างความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั เวลาจะเป็นองค์ประกอบ ทท่ี ำ�ให้เกิดความสมั พนั ธ์ เพ่มิ มากขึน้ ย่งิ เวลานานข้ึน กจ็ ะทำ�ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจร่วมกัน ไวว้ างใจซงึ่ กันและกัน - การแลกเปล่ยี นข้อมลู ข่าวสารร่วมกัน การแลกเปลย่ี นขา่ วสารของมนษุ ยเ์ พื่อสร้างความสัมพนั ธ์ ระหว่างกนั สามารถแบ่งได้เปน็ 2 แบบคอื แลกเปลย่ี นขอ้ มลู กันในแนวกว้างนน้ั จะเป็นการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลท่วั ๆ ไปในระดบั ผวิ เผิน เช่น เพงิ่ รจู้ ักกันจะคยุ กนั ในหัวขอ้ ที่หลากหลายเนน้ เกี่ยวกบั ดินฟ้าอากาศ อาหาร การทอ่ งเที่ยว สว่ นการแลกเปล่ียนข้อมลู ในแนวลกึ จะเปน็ เร่อื งทีเ่ ปน็ สว่ นตวั มากขน้ึ อาจเกย่ี วกบั ครอบครวั และหน้าทีก่ ารงาน ซึง่ จะเกดิ การส่อื สารข้ึนในแบบใดน้นั ขน้ึ อยู่กบั ว่าผู้ส่อื สารมคี วามตัง้ ใจที่จะให้เกิดความสมั พนั ธข์ ้ึนในระดับใด - การไว้วางใจซึ่งกันและกัน การทบ่ี ุคคลมีความไว้ใจ รสู้ กึ ปลอดภยั สบายใจ ตอ่ บุคคลใดบคุ คล หน่ึง กม็ แี นวโนม้ ทท่ี �ำ ให้เกดิ ความสัมพันธ์ไดง้ า่ ยข้ึน - ความรักและการควบคุมซ่งึ กนั และกนั ความรัก ความเกลียด การควบคุม การช้นี �ำ การชว่ ยเหลือ กัน การร่วมมือกัน สามารถสง่ ผลใหเ้ กดิ ความสัมพนั ธ์ได้ใน 2 แบบคือ การพง่ึ พาซ่ึงกันและกัน คือท้งั สองฝา่ ยได้ รับ การตอบสนองจดุ มงุ่ หมายร่วมกันจากความสมั พันธ์ และไดร้ บั ผลประโยชน์ท้ังคู่ ในอีกแบบคือความสัมพนั ธ์ แบบถาวร โดยการส่อื สารทีเ่ กิดขนึ้ บ่อยๆ จะชว่ ยสร้างความสัมพนั ธ์ทีเ่ กดิ ให้ยนื ยาวข้นึ ข้อปฏิบัตเิ พ่ือเสรมิ สรา้ งการพฒั นาสัมพนั ธภาพ 1. แสดงความสดชื่นแจม่ ใส 2. แสดงความสนใจอย่างพองาม 3. แสดงความเข้าใจรบั ฟัง 4. แสดงความเกรงใจตามสมควร 5. มองโลกในแง่ดีไว้กอ่ น 6. ควบคุมอารมณ์ไดด้ ี 7. มวี ิธปี ฏิเสธทเี่ หมาะสม 8. จดจำ�ขอ้ มูลเก่ยี วกบั ค่สู มั พันธภาพใหม้ าก

25 ใบความรทู้ ่ี 2 บทบาทหนา้ ท่ขี องการสอ่ื สารระหวา่ งบคุ คล โดยทั่วไปแล้วการสอ่ื สารท่ีมีประสิทธภิ าพในการสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลน้นั จะหมายถงึ ความ ใกล้ชิด ความสมั พนั ธ์ และความสอดคล้องกันของผสู้ ง่ สาร แหลง่ ข้อมูลกับผรู้ ับสาร อนั นำ�ไปสคู่ วามหมายที่รว่ ม กันสมบรู ณ์แบบ ดงั น้นั การสอื่ สารระหวา่ งบุคคลจึงมีข้ึนเพื่อ - การสรา้ งความเขา้ ใจร่วมกนั คือการส่ือสารทม่ี ุง่ เนน้ ใหผ้ ทู้ ่ีส่อื สารเขา้ ใจเน้ือหาหรอื ข้อมลู รว่ มกันอยา่ งถกู ตอ้ ง ลกั ษณะเชน่ การสือ่ สารภายในองคก์ ารเพอ่ื การปฏิบตั ิงานรว่ มกนั - การสอ่ื สารเพ่ือสรา้ งความชืน่ ชอบ โดยท่วั ไปมใิ ชม่ ่งุ เฉพาะสอื่ สารแต่ข้อมลู ข่าวสารเท่านัน้ การมอี ารมณ์ร่วมและความพึงพอใจ จะช่วยสร้างสมั พันธภาพ และความรสู้ ึกชืน่ ชอบในการสอ่ื สารซึ่งกนั และกัน - การสอื่ สารเพอื่ สร้างอิทธพิ ลต่อการมที ศั นคติร่วมกัน ความล้มเหลวในการส่ือสารบางครง้ั เกดิ จากความไม่ เขา้ ใจในความคิด และทศั นคติท่แี ตกต่างกัน ดงั นนั้ การจะสรา้ งความเขา้ ใจรว่ มกนั ใหต้ รงกันจงึ จะทำ�ให้สามารถ ด�ำ เนินชวี ติ อยู่ร่วมกนั ได้ - การสอื่ สารเพ่ือยกระดับความสัมพันธ์ ปจั จยั ท่สี �ำ คญั อีกประการหน่งึ ที่สามารถส่งผลต่อความส�ำ เรจ็ ในการ สือ่ สาร คือความร้สู ึกที่ดตี อ่ กนั ดงั น้ันการสือ่ สารเพอื่ สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหว่างกนั จะชว่ ยใหก้ ารส่ือสารในครัง้ ตอ่ ๆ ไปมปี ระสิทธภิ าพมากขึ้น - การสอ่ื สารเพอ่ื ท�ำ ให้เกิดการกระทำ�ตามความตอ้ งการ วัตถปุ ระสงคอ์ นั หนง่ึ ท่ีมักจะเกิดตามขน้ึ มาก็ คอื การสรา้ งความมุ่งหมายร่วมกันเพื่อใหเ้ กิดความคิดเห็นร่วมกัน และการกระทำ�รว่ มกนั ในส่งิ ทต่ี อ้ งการ ในการส่อื สารระหวา่ งบุคคลมเี ป้าหมายหลกั อยู่ท่ีความต้องการ ท่ีจะจงู ใจใหผ้ รู้ ับสารเชอ่ื และกระท�ำ ตาม จุดประสงคข์ องตน โดยทว่ั ไปแล้วจะจำ�แนกสว่ นประกอบของกระบวนการสอ่ื สารออกเปน็ 6 ส่วน ดังน้ี 1. เนื้อความหรอื ตวั สาร (Content or message) หมายถงึ ส่ิงทผ่ี ู้ส่อื สารตอ้ งการส่งไปยงั ผูร้ บั ซ่งึ อาจ เปน็ ความคิด ความรู้สกึ หรือขอ้ มูลก็ได้ 2. การส่งผ่านขอ้ มลู (Transmitting) การส่งเนือ้ ความน้ันผู้ส่งมกั ดัดแปลงตอ่ เตมิ หรือย่นยอ่ เนื้อความ น้นั ไม่มากกน็ ้อย โดยหวงั วา่ ผูร้ บั จะเขา้ ใจไดช้ ัดเจนขึ้น การทำ�เชน่ นัน้ อาจท�ำ ใหเ้ นอ้ื ความผดิ เพ้ียนไปจากเดมิ ได้ 3. ช่องทางการติดตอ่ ส่อื สาร (Communication) เป็นชอ่ งทางการสื่อสารทผี่ ู้ส่งเลือกใช้ ซ่ึงอาจใช้ มากกวา่ หนึ่งช่องทางในการส่งสารให้กบั บคุ คลเดยี วกนั และในเรือ่ งเดยี วกันก็ได้ 4. การรบั สาร (Receiving) การรบั สารเปน็ หน้าท่ีของคูก่ ารสอ่ื สาร ประสทิ ธภิ าพในการรบั ขน้ึ อยกู่ ับ สภาวะแวดล้อมท้งั ภายในและภายนอกของผรู้ บั สาร เช่น ความคิดและอารมณ์ในขณะนั้น การสอดแทรกรบกวน จากสง่ิ แวดล้อมอนื่ เปน็ ตน้ 5. ความเขา้ ใจ (Understanding) ท้ังผ้รู บั และผู้สง่ สารจะต้องมคี วามเขา้ ใจข้อความ หรือความหมาย ทีส่ อื่ ต่อกนั และตอ้ งขจดั อุปสรรคหรอื สิ่งสอดแทรกรบกวนออกไปพร้อมท้ังตอ้ งมปี ฏกิ ิริยาโต้ตอบเพื่อแสดงถึง ระดบั ของความเข้าใจ

26 6. สัญลักษณ์ (Symbol) หมายถงึ ค�ำ พดู กริยาทา่ ทาง รปู ภาพ สงิ่ ของ ทีส่ ามารถส่งตอ่ ไปยังค่สู ่ือสารได้ ท้ังนีท้ ้งั สองฝ่ายจะต้องมีทกั ษะการลงรหัสและการถอดรหัส (Encoding skills and decoding) ในการแปลความ และแปลความหมายน้นั ตวั เรา ตวั เขา เนือ้ หา ชอ่ งทาง คนรบั สาร ความเขา้ ใจ สญั ลกั ษณ์ 2 ทกั ษะท่ี 2 วิธีการสื่อสาร สาระส�ำ คญั ในชวี ติ ประจ�ำ วัน จ�ำ เป็นต้องมกี ารส่อื สารและมีปฏสิ ัมพันธก์ ับผอู้ ืน่ การไม่เขา้ ใจความหมาย ปญั หาความ ขดั แยง้ ต่างๆ ในครอบครวั และการทะเลาะวิวาทกับผู้อ่นื ตลอดจนการไม่สามารถบรรลวุ ัตถปุ ระสงคท์ ่ตี ้องการได้ ดังนัน้ เพื่อให้การสอ่ื สารในครอบครัวของผูป้ ่วยเกดิ ความราบร่ืนบรรลวุ ตั ถุประสงคแ์ ละลดการขดั แยง้ จึงจำ�เป็น อยา่ งยง่ิ ทจี่ ะให้ผปู้ ว่ ยไดเ้ รยี นรวู้ ธิ ีการสื่อสารท่ถี กู ตอ้ ง เข้าใจถงึ ความรสู้ ึกของบคุ คลที่ตนเองกำ�ลงั สอ่ื สารดว้ ย โดยควรหลีกเลี่ยงการส่ือสารในทางลบ ไดแ้ ก่ การพูดจาหยาบคาย การตำ�หนิ การพูดใชอ้ ารมณ์ การพดู ก�ำ กวม การพดู จจู้ ี้จุกจิก การเปรียบเทียบ การพดู เรื่อยเปอื่ ย บน่ การพูดประชดประชัน เสียดสี ฯลฯ โดยควรฝึกการ สอื่ สารแบบ I-massage นั่นคือการบอกถงึ ความต้องการหรือความรู้สกึ ของผูพ้ ดู แทนการใชอ้ ารมณ์หรอื ค�ำ สง่ั แทน ซึ่งจะส่งผลใหผ้ ปู้ ว่ ยมีทักษะทางสังคมท่ดี ีในเรอ่ื งการสื่อสารและการมปี ฏิสมั พนั ธท์ ่ดี ีกบั บคุ คลในครอบครวั และผ้อู ื่น ซ่ึงเปน็ การสื่อสารแบบ I-massage เปน็ การส่อื สารจากความรสู้ ึกและบอกถึงเหตุผลท่นี ่มุ นวล น่าฟัง ใหผ้ ลทางบวกมากกว่า โดยท�ำ ใหผ้ ูฟ้ ังรสู้ ึกมีคุณค่า ไม่ถกู ต�ำ หนิและรบั ร้ถู ึงความรสู้ ึกดีๆ ที่แทจ้ ริงของผพู้ ูด เปน็ ตน้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้ปว่ ยไดเ้ รยี นรเู้ ขา้ ใจการฝึกฝนวธิ ีการสอ่ื สารที่ถกู ตอ้ งเหมาะสมในการปฏสิ ัมพนั ธก์ บั ผ้อู ืน่ 2. เพื่อให้ผปู้ ่วยมที กั ษะการสื่อสารทด่ี ี สามารถน�ำ ไปปรบั ใช้กบั สมาชิกในครอบครวั และบคุ คลอืน่ เม่อื จ�ำ หนา่ ยกลบั สคู่ รอบครวั ชมุ ชน ท�ำ ใหส้ ามารถมีปฏสิ มั พนั ธแ์ ละอยรู่ ่วมกบั ครอบครวั ไดอ้ ยา่ งราบร่นื ขั้นตอนกิจกรรม การสือ่ สาร (90 นาที) ขนั้ ตอน วิธีการในการด�ำ เนินกิจกรรม อุปกรณ์ ผู้น�ำ กลุ่มกล่าวทกั ทาย สร้างสัมพนั ธภาพ โดยการแนะนำ�ตวั และให้สมาชิก - ปากกาไวท์บอร์ด 1. ทกุ คนแนะนำ�ตัว และบอกวตั ถุประสงค์ กฎกติกาของการเข้ากล่มุ - บอร์ด ผู้น�ำ กล่มุ เกริน่ เรื่องการส่ือสารท่ีใชอ้ ยู่ในชีวติ ประจำ�วัน โดยใช้สมาชกิ 2. กลุ่มช่วยกันตอบว่าปัจจุบันสามารถที่จะสื่อสารกันได้โดยวิธีใดบ้างและ ใหผ้ ปู้ ว่ ยได้ออกมาสาธิต การสอื่ สารรูปแบบตา่ ง ๆ เช่น การสอ่ื สารผ่าน รา่ งกาย สายตา

27 ข้ันตอน วธิ กี ารในการดำ�เนินกจิ กรรม อุปกรณ์ ผูน้ ำ�กล่มุ ให้ผปู้ ว่ ย (อาสาสมัคร) ออกมาแสดงสถานการณจ์ �ำ ลองสนั้ ๆ 2 แบบ 3. โดยแบบแรกเป็นการสื่อสารระหว่างเพ่ือนร่วมงานท่ีส่ือสารโดยใช้อารมณ์ you message และแบบที่ 2 (I-message) เพอ่ื ใหส้ มาชกิ กลุ่มเลือกวา่ ชอบแบบไหนพรอ้ มให้เหตผุ ล ผ้นู �ำ กลมุ่ บรรยายเร่อื งวธิ กี ารในการสื่อสาร แบง่ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ใบความรู้ 4. คือการสื่อสารทางบวกและทางลบ พรอ้ มท้งั ซักถามผู้ปว่ ยว่า “การสื่อสาร หลักการ ประเภท และ แบบไหนบ้างที่ ผู้ป่วยส่อื สารดว้ ยแลว้ รู้สึกไมด่ ี หรอื รสู้ ึกในทางลบ”และยก อปุ สรรคในการสอ่ื สาร ตวั อยา่ งการสอื่ สารในทางลบ ในรูปแบบตา่ ง ๆ และให้ความรู้ในเรอื่ งวิธี การส่ือสารในทางบวก แบง่ สมาชกิ ออกเป็น 2 กลุม่ เทา่ กนั ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ เปน็ ทีมเดยี วกนั และตงั้ 5. ช่ือทีม (อาจแบง่ กลมุ่ โดยการนับหรอื ใชเ้ กมแบง่ กลุ่มท่ีได้ตามความ เหมาะสม) และจัดเกา้ อ้ีใหม่เป็น 2 แถว ใหแ้ ต่ละทมี หนั หนา้ เข้าหากัน 6. จากนั้นกำ�หนดให้แต่ละกลุ่มพร้อมกันถามตอบสลับกันไปท่ีละคู่จนครบทุก คู่ 4 ครง้ั ดังน้ี - ครัง้ ท่ี 1 ทมี A ถามด้านการสอ่ื สารทางบวก ทมี B ถามดา้ นการสื่อสารทางลบ - ครง้ั ที่ 2 ทีม A ถามดา้ นการส่อื สารทางลบ ทมี B ถามดา้ นการส่ือสารทางบวก - ครั้งที่ 3 ทีม B ถามดา้ นการส่ือสารทางลบ ทีม A ถามดา้ นการสื่อสารทางลบ - คร้งั ท่ี 4 ทีม B ถามด้านการสอื่ สารทางบวก ทมี A ถามด้านการสือ่ สารทางบวก จากนน้ั ใหส้ มาชกิ ได้เลือกวา่ รสู้ ึกชอบการสือ่ สารในครัง้ ท่ี 1,2,3 หรอื 4 มากที่สดุ เพราะอะไร การสอ่ื สารครงั้ ไหนที่รูส้ ึกไม่ชอบมากทสี่ ุด ผู้น�ำ กล่มุ สรุปถึงรูปแบบการส่ือสารทค่ี วรหลีกเลยี่ งมากท่ีสดุ ไดแ้ ก่ แบบ คร้ังที่ 1 และ 3 แบบท่ีควรน�ำ ไปใช้ในการด�ำ เนนิ ชวี ติ มากท่สี ุด คอื แบบ คร้งั ท่ี 4 และ 2 โดยผู้นำ�กลมุ่ สรุปเชื่อมโยงกับสถานการณจ์ รงิ ของชวี ติ ผปู้ ว่ ย 7. ผนู้ �ำ กลุ่มเกร่ินเรือ่ งฟัง แล้วแยกผู้ป่วยทีม A และทีม B ออกจากกนั ก�ำ หนดใหท้ มี A นง่ั รออยู่ในหอ้ งและใหท้ มี B ไปอยอู่ ีกห้องหน่ึง

28 ข้นั ตอน วิธกี ารในการดำ�เนนิ กจิ กรรม อปุ กรณ์ จากนั้นผ้นู �ำ กลุ่มกำ�หนดใหท้ มี B เตรียมเรอ่ื งราวเชน่ เรื่องสนกุ ในชวี ิตตนเอง 8. ประวัตติ นเอง ความชอบฯลฯ มาเลา่ ให้คู่ของตนซึง่ อยูท่ ีม A ฟงั โดยมีเงื่อนไข ว่า ผ้ปู ่วยทีม B จะต้องพยายามยามเล่าให้เพ่อื นทีม A ที่น่งั รออยู่ในห้องจดจำ� เรื่องราวของตนเองได้ หากเพอ่ื นทมี A จำ�ไมไ่ ด้ ผปู้ ่วยทีม B จะถูกท�ำ โทษ ผูน้ �ำ กลุ่มใหข้ อ้ มูลทีม A ว่าเม่ือเพ่อื นทมี B มาเลา่ เรอ่ื ง ของตนให้ฟัง ให้ 9. สมาชิกทมี A แกลง้ แสดงทา่ ทางไมส่ นใจ เชน่ พูดคุยกัน เหม่อลอย หรอื ไม่ใส่ใจสง่ิ ทเี่ พื่อนสมาชกิ ทมี B เลา่ ให้ฟัง และสังเกตพฤติกรรมของ เพอื่ นขณะเล่า 10. ใหส้ มาชกิ ทีม B กลบั เขา้ มาในหอ้ ง และเรม่ิ เล่าเร่อื งของตนเองตามทีผ่ ู้น�ำ กล่มุ ก�ำ หนดให้ไว้ เม่อื หมดเวลาเลา่ (ให้เวลาเลา่ ประมาณ 3-5 นาท)ี ผูน้ ำ�กลุม่ ทมี B เล่าอีกครง้ั และให้เพอ่ื ทีม A ตัง้ ใจฟังเมือ่ เล่าจบซักถาม 11. ความรูส้ กึ และเปรียบเทยี บความรู้สึกทีเ่ กิดขึน้ จากการพดู และมีผฟู้ งั กบั การพูดแล้วผ้ฟู ังไมส่ นใจฟงั ผู้นำ�กลุ่มสอบถามแลกเปล่ียนความคิดเห็นท่ีได้จากเรื่องการฟังและ 12. บรรยายเรือ่ งการตั้งใจฟงั “ฟังด้วยหู ดว้ ยตา ดว้ ยใจ” และใหผ้ ปู้ ว่ ยทกุ คน ได้บอกถึงความรสู้ กึ และสิง่ ที่ได้เรียนรู้จากกจิ กรรม 13. ผนู้ ำ�กลมุ่ สรุปความคดิ รวบยอด 14. ปิดกลมุ่

29 ใบความรู้ หลักการ ประเภท และอุปสรรคในการสื่อสาร การสอื่ สารจะประสบความสำ�เร็จตรงตามจดุ ประสงคห์ รือไมผ่ ู้สง่ สารควรค�ำ นึงถงึ หลักการสื่อสาร ดังน้ี 1. ผทู้ ีจ่ ะสือ่ สารให้ไดผ้ ล และเกดิ ประโยชน์ จะตอ้ งทำ�ความเขา้ ใจเรื่ององคป์ ระกอบในการส่อื สาร และ ปัจจยั ทางจิตวทิ ยาทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ระบบการรับรู้ การคดิ การเรียนรู้ การจ�ำ ซง่ึ มผี ลต่อประสิทธิภาพในการส่ือสาร 2. ผู้ท่จี ะสือ่ สารตอ้ งค�ำ นึงถงึ บริบทในการส่ือสาร บริบทในการสอื่ สาร หมายถึง สิ่งทอี่ ยแู่ วดล้อมท่มี ีส่วน ในการก�ำ หนดรูค้ วามหมายหรอื ความเข้าใจในการส่ือสาร 3. ผทู้ ่จี ะสอื่ สารต้องคำ�นึงถึงกรอบแหง่ การอา้ งอิง (frame of reference) มนุษย์ทุกคนจะมพี ้ืนความรทู้ กั ษะ เจตคติ ค่านิยม สังคม ประสบการณ์ ฯลฯ เรียกวา่ ภมู ิหลังแตกตา่ งกนั ถ้าคู่ส่ือสารใดมกี รอบแห่ง การ อ้างองิ คล้ายกนั ใกล้เคยี งกัน จะทำ�ใหก้ ารสื่อสารง่ายข้นึ 4. การส่อื สารจะมปี ระสิทธิผล เม่ือผสู้ ง่ สารมวี ตั ถปุ ระสงค์ชดั เจน ผา่ นสื่อหรอื ชอ่ งทางการส่ือสารที่ เหมาะสม ถงึ ผรู้ บั สารท่ีมที กั ษะในการสือ่ สารและมวี ัตถุประสงค์สอดคล้องกัน 5. ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ควรเตรยี มตวั และเตรยี มการลว่ งหน้า เพราะจะท�ำ ให้การสอ่ื สารราบร่ืน สะดวก รวดเร็ว เปน็ ไปตามวัตถุประสงค์ และสามารถแก้ไขไดท้ ันท่วงที หากจะเกิดอุปสรรคที่จดุ ใดจุดหน่ึง 6. ผู้ส่อื สารต้องค�ำ นงึ ถึงการใชท้ กั ษะ เพราะภาษาเป็นสญั ลักษณท์ ี่มนุษยต์ กลงใชร้ ว่ มกันในการส่ือความ หมาย ซง่ึ ถอื ไดว้ า่ เปน็ หวั ใจในการสื่อสาร คู่สื่อสารตอ้ งศึกษาเร่ืองการใช้ภาษา และสามารถใช้ภาษาให้เหมาะสม กบั กาลเทศะ บคุ คล เน้ือหาของสาร และช่องทางหรอื สอื่ ท่ีใช้ในการสอ่ื สาร 7. ผสู้ อื่ สารตอ้ งคำ�นงึ ถึงปฏกิ ริ ยิ าตอบกลับตลอดเวลา ถอื เปน็ การประเมนิ ผลการสอ่ื สาร ท่จี ะทำ�ให้คู่ สื่อสารรบั รู้ผลของการสอื่ สารวา่ ประสบผลดตี รงตามวัตถปุ ระสงค์หรือไม่ ควรปรับปรงุ เปลยี่ นแปลงหรอื แก้ไข ขอ้ บกพรอ่ งใด เพ่ือที่จะทำ�ให้การสอื่ สารเกิดผลตามที่ต้องการ การจำ�แนกประเภทของการส่อื สาร การจำ�แนกประเภทของการสอ่ื สาร มีผจู้ �ำ แนกไว้หลายๆ ประเภท โดยเกณฑ์ในการพจิ ารณา ตามจุด ประสงคข์ องการศึกษาหรือวัตถุประสงคท์ ต่ี ้องการจะนำ�เสนอ ดงั น้ี 1. จ�ำ นวนผู้ท�ำ การสือ่ สาร 1.1 การสื่อสารภายในตวั บคุ คล 1.2 การส่อื สารระหวา่ งบคุ คล 1.3 การสอื่ สารกลุ่มใหญ่ 1.4 การส่อื สารในองคก์ ร 1.5 การสอื่ สารมวลชน 2. การเห็นหน้ากัน 2.1 การสื่อสารแบบเผชิญหนา้ 2.2 การสือ่ สารแบบไมเ่ ผชิญหน้า

30 3. ความสามารถในการโต้ตอบ 3.1 การสอ่ื สารทางเดียว 3.2 การสื่อสารสองทาง 4. ความแตกตา่ งระหวา่ งผรู้ บั สารและผู้สง่ สาร 4.1 การสื่อสารระหว่างเชือ้ ชาติ 4.2 การสื่อสารระหว่างวฒั นธรรม 4.3 การสื่อสารระหวา่ งประเทศ 5. การใชภ้ าษา 5.1 การสอ่ื สารเชงิ วจั นภาษา 5.2 การสื่อสารเชิงอวจั นภาษา อปุ สรรคในการสอื่ สาร อปุ สรรคในการสอ่ื สาร หมายถึง สง่ิ ทท่ี ำ�ใหก้ ารสอ่ื สารไมบ่ รรลตุ ามวตั ถุประสงค์ ของผู้ส่ือสาร และผู้รบั สาร อุปสรรคในการส่ือสารอาจเกิดข้ึนไดท้ ุกข้ันตอนของกระบวนการส่ือสาร ดงั นน้ั อุปสรรค ในการสอื่ สารจากองค์ ประกอบตา่ งๆ ดงั น้ี 1. อปุ สรรคที่เกดิ จากผสู้ ง่ สาร 1.1. ผสู้ ง่ สารขาดความร้คู วามเข้าใจและข้อมูลเก่ียวกับสารที่ต้องการจะส่อื 1.2. ผสู้ ง่ สารใช้วิธกี ารถ่ายทอดและการน�ำ เสนอท่ีไม่เหมาะสม 1.3. ผ้สู ง่ สารมีบุคลิกภาพที่ไมด่ ี และไมเ่ หมาะสม 1.4. ผู้สง่ สารมีทัศนคติที่ไมด่ ตี ่อการส่งสาร 1.5. ผสู้ ่งสารขาดความพรอ้ มในการส่งสาร 1.6. ผสู้ ่งสารมคี วามบกพร่องในการวเิ คราะหผ์ ู้รบั สาร 2. อปุ สรรคทเี่ กิดจากสาร 2.1. สารไมเ่ หมาะสมกบั ผรู้ บั สาร อาจยากหรอื ง่ายเกนิ ไป 2.2. สารขาดการจัดล�ำ ดับทดี่ ี สลับซบั ซอ้ น ขาดความชดั เจน 2.3. สารมีรูปแบบแปลกใหม่ยากตอ่ ความเขา้ ใจ 2.4. สารที่ใช้ภาษาคลุมเครอื ขาดความชดั เจน 3. อปุ สรรคทเี่ กิดขนึ้ จากสอ่ื หรือชอ่ งทาง 3.1. การใชส้ อื่ ไม่เหมาะสมกับสารทตี่ ้องการน�ำ เสนอ 3.2. การใช้สื่อท่ีไม่มปี ระสทิ ธิภาพทดี่ ี 3.3. การใช้ภาษาท่ีไมเ่ หมาะสมกับระดบั ของการสื่อสาร 4. อุปสรรคทเี่ กิดจากผ้รู บั สาร 4.1. ขาดความรู้ในสารทีจ่ ะรับ 4.2. ขาดความพร้อมท่ีจะรบั สาร 4.3. ผรู้ ับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้ส่งสาร

31 4.4. ผรู้ ับสารมที ศั นคติท่ีไมด่ ตี อ่ สาร 4.5. ผู้รับสารมคี วามคาดหวงั ในการสอ่ื สารสงู เกินไป

32 3 การจแัดลกทะากักราษรคแะวสบทดค่ีงุม3อออากรมณ์ สาระส�ำ คัญ อารมณ์ หมายถงึ การแสดงออกของภาวะจติ ใจที่ได้รับการกระทบหรือกระต้นุ ให้เกิดการแสดงออกต่อ ส่ิงทม่ี ากระตุ้น อารมณส์ ามารถจ�ำ แนกออกได้ 2 ประเภทใหญ่ คอื 1. อารมณส์ ุข คอื อารมณ์ท่ีเกดิ ข้ึนจากความสบายใจ หรือไดร้ ับความสมหวงั 2. อารมณท์ กุ ข์ คือ อารมณท์ ี่เกิดขึ้นจากความไม่สบายใจ หรอื ไดร้ ับความไม่สมหวงั ซงึ่ อารมณ์และความรสู้ ึก จะส่งผลต่อการแสดงออกทางพฤตกิ รรมของบคุ คล การควบคุมอารมณ์ คอื ความสามารถในการตอบสนองทางอารมณต์ ่อประสบการณ์ในรปู แบบท่สี ังคม ยอมรบั ได้ ซ่งึ รวมการควบคุมทั้งตวั เอง และผู้อนื่ การควบคมุ อารมณย์ งั อาจหมายถงึ กระบวนการตา่ งๆ เช่น การใส่ใจ ในงานทก่ี ำ�ลังท�ำ และการหยุดพฤตกิ รรมที่ไมเ่ หมาะสมทคี่ นอื่นบอก การควบคุมอารมณ์เปน็ ส่ิงที่ สำ�คัญมากในชีวติ มนุษย์ ดังนน้ั การจัดการอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ และการแสดงออกทางอารมณ์ ถอื เปน็ สงิ่ ที่จำ�เปน็ ต่อการ ดำ�เนินชีวติ จึงควรหมน่ั ฝกึ ใหม้ ีสตนิ ัน้ โดยการควบคุมอารมณแ์ ละการจดั การอารมณ์ ความรูส้ ึกไม่ให้สง่ ผลไป ถงึ การแสดงออกในทางท่ีไมเ่ หมาะสม วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ใหผ้ ปู้ ว่ ยรู้และเขา้ ใจภาวะทางอารมณ์ของตนเองที่มผี ลกระทบต่อตนเอง คนอน่ื และสังคม 2. เพ่อื ให้ผปู้ ่วยแสดงออกและจดั การอารมณ์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ข้ันตอนกิจกรรม 3.1 การรับรู้ เข้าใจอารมณ์ความรสู้ ึกของตนเองและผูอ้ ่นื (Landscapes of Emotion) (60-90 นาที) ขั้นตอน วธิ กี ารในการดำ�เนนิ กจิ กรรม สอ่ื /อุปกรณ์ 1. สร้างสมั พนั ธภาพ ทกั ทาย พดู คุยเรอื่ งทว่ั ๆ ไป (small talk) 5-10 นาที 2. ผู้น�ำ กลุ่มแนะน�ำ ตัว และให้สมาชกิ ทุกคนแนะนำ�ตวั 3. ผูน้ �ำ กลุ่มกล่าวนำ�เข้าสู่กจิ กรรม โดยให้สมาชิกบอกเกีย่ วกบั อารมณ์ ใน - ใบความรู้ที่ 1 เชงิ บวกและอารมณ์ในเชิงลบ “Landscapes of Emotion” 4. ให้สมาชิกทุกคนหลับตาจินตนาการถึงภาพทิวทัศน์ที่แสดงถึงอารมณ์ ความรู้สกึ ทส่ี บาย ผอ่ นคลาย เชน่ ทะเล ภเู ขา น้�ำตกท่งุ นา ทงุ่ หญ้าฯลฯ พรอ้ มนึกถงึ ภูมอิ ากาศหรือสภาพอากาศ ณ ขณะน้ันวา่ มี ความสมั พนั ธก์ บั อารมณ์อยา่ งไร เช่น เย็น ฝนตก รา่ เรงิ ฯลฯ 5. ผู้นำ�กล่มุ แจกกระดาษใหส้ มาชิกคนละ 1 แผน่ แบ่ง เปน็ 2 ดา้ น

(Landscapes of Emotion) (60-90 นาที) 33 ขน้ั ตอน วธิ ีการในการดำ�เนนิ กจิ กรรม สอื่ /อุปกรณ์ ปากกา/ดนิ สอ 6. ให้สมาชิกวาดภาพภูมิทัศน์อะไรก็ได้ที่บ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกท่ี - สไี ม/้ สีชอลค์ สบายผ่อนคลายลงในกระดาษดา้ นซา้ ย - นาฬิกาจบั เวลา - 7. ใหส้ มาชิกแตล่ ะคนอธบิ ายภาพทต่ี นเองวาดใหเ้ พื่อนฟัง โดยเพอ่ื นทฟ่ี งั มสี ิทธทิ จี่ ะซักถามไดเ้ ม่ือมขี อ้ สงสยั แตจ่ ะไม่ต�ำ หนิหรอื ติเตยี น วพิ ากษ์ วจิ ารณ์ในส่ิงท่ีเพ่ือนพูด 8. เม่ือสมาชกิ อธิบายกันจนครบทกุ คนแลว้ ใหจ้ นิ ตนาการถึงสงิ่ ทท่ี �ำ ให้ พืน้ ทีน่ ี้แตกตา่ งจากภูมทิ ศั นน์ ี้ หากเปลีย่ นอารมณ์ความรสู้ กึ ตรงกนั ข้าม ภูมิทศั น์น้จี ะเป็นอยา่ งไรและสภาพอากาศจะเปลย่ี นแปลงอย่างไร 9. ให้สมาชิกวาดภาพภูมิทัศน์เดิมที่บ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกท่ี เปลี่ยนแปลงลงในกระดาษดา้ นขวา 10. ใหส้ มาชกิ แต่ละคนสังเกตการเปลีย่ นแปลงของภาพที่ตนวาด พร้อม อธิบายภาพทตี่ นเองวาดใหเ้ พ่อื นฟงั โดยเพือ่ นท่ี ฟงั มีสทิ ธทิ ี่จะซักถาม ได้เมื่อมีขอ้ สงสยั แตจ่ ะไม่ต�ำ หนหิ รือติเตยี น 11. ผนู้ ำ�กล่มุ ให้สมาชิกแต่ละคนสรุปสง่ิ ที่ได้จากการทำ�กิจกรรม 12. ผ้นู ำ�กลุ่มสรุปสง่ิ ที่ได้ตามใบความรู้ ขน้ั ตอนกจิ กรรม 3.2 เรอ่ื งการจดั การอารมณแ์ ละการแสดงออกได้อย่างเหมาะสม (60-90 นาที) ข้นั ตอน วธิ กี ารในการดำ�เนนิ กจิ กรรม สอื่ /อุปกรณ์ 1. สร้างสมั พนั ธภาพ ทักทาย พูดคุยเรือ่ งทวั่ ๆ ไป และเกร่ินเร่อื งของ อารมณท์ พี่ บเจอในชีวติ ประจำ�วัน 2. ผู้นำ�กลุ่มแนะนำ�ตวั และใหส้ มาชิกทุกคนแนะนำ�ตัว 3. ดำ�เนนิ กจิ กรรมกลา่ วน�ำ เขา้ สกู่ จิ กรรม และขอตวั แทนของผปู้ ่วยจ�ำ นวน 3 คน เพือ่ เป็นตัวแทนในการแสดงบทบาทสมมตุ ใิ นอารมณต์ า่ งๆท่ตี ่าง กัน เชน่ อารมณ์โกรธ อารมณเ์ ศร้า อารมณส์ นุก โดยใหส้ มาชกิ ผปู้ ่วย รายอืน่ ๆ ทายวา่ เพือ่ นท่เี ป็นอาสาสมคั รอยู่ในอารมณ์ใด

34 (Landscapes of Emotion) (60-90 นาที) ขัน้ ตอน วิธีการในการดำ�เนินกจิ กรรม ส่ือ /อุปกรณ์ 5. บรรยาย (ตอ่ ) ถงึ แนวทางการจัดการและควบคมุ อารมณ์ และฝกึ ทกั ษะ - ลกู โป่งสีตา่ ง การควบคมุ อารมณ์ โดยอปุ มาอุปไมยให้ลกู โปง่ เป็นตวั แทนของบุคคล - ปากกา และลมที่เปา่ เขา้ ในลูกโป่งเป็นตวั แทนอารมณ์ในทางลบ โดยมขี น้ั ตอน - ชารจ์ สี แปลความหมาย การฝึกทกั ษะ ดังน้ี ของสีต่างๆท่ีเช่ือมโยงกับ 5.1 แจกลูกโปง่ สีตา่ งๆ ใหก้ ับผปู้ ว่ ยทุกคนเลอื กสีทตี่ นเองชอบ ให้ อารมณ์ สัญญาณให้ ผปู้ ว่ ยเป่าลูกโปง่ พรอ้ มกัน โดยให้เป่าใหม้ ขี นาดใหญ่ที่สดุ 5.2 เมื่อมเี สียงลูกโป่งแตกอยา่ งน้อย 1 ลูก ใหผ้ ู้ป่วยทกุ คนหยุดเป่า โดยไม่ ตอ้ งปล่อยลมออกจากลกู โป่ง 5.3 เลอื กตัวแทนผปู้ ว่ ยออกมาด้านหนา้ 3 คน ไดแ้ ก่ คนทเี่ ป่าลกู โปง่ แตก คนทเี่ ปา่ ลูกโป่งทีม่ ขี นาดเล็ก และคนที่เปา่ ลกู โปง่ ได้ขนาดใหญ่ ทสี่ ดุ แต่ไมแ่ ตก 5.4 สอบถามถึงเหตุผลในการเลือกลกู โปง่ สีนั้นๆ และความรู้สึกของ ผู้ป่วยทเี่ ป่าลกู โป่งแตก และเพอื่ นผ้ปู ว่ ยทีอ่ ยู่ใกลเ้ คียง 5.5 ให้ผู้ปว่ ยท่ีมลี ูกโปง่ ใหญท่ สี่ ดุ ชูลูกโป่งขนึ้ และใชป้ ากกาจมิ้ ให้ ลูกโป่งแตก และสอบถามความรสู้ กึ ของผปู้ ่วยรายดังกลา่ ว 5.6 ให้ผู้ป่วยที่มีลูกโป่งขนาดเล็กทดลองปล่อยลมออกจากลูกโป่งจน หมด และ เปา่ ซ้ำ�อกี ครงั้ และสอบถามความรสู้ ึกของผูป้ ่วย 6. ผูน้ �ำ กลุ่มสรุปถงึ การอุปมาอุปไมยว่า “ลมในลกู โปง่ เปรียบเสมอื น อารมณ์ในทางลบ เช่น อารมณ์โกรธ อารมณ์เศรา้ หากไม่ควบคมุ จะไม่ สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ เสมือนกับลกู โปง่ ทีแ่ ตก สร้างความ หวาดกลัวกับคนรอบข้าง และหากสามารถควบคมุ อารมณท์ างลบได้ แต่ไมส่ ามารถจดั การควบคุมอารมณน์ ้ันได้ หากมีปัญหาอ่ืนเกดิ ขนึ้ เพิ่ม เติม ก็จะทำ�ให้ไมส่ ามารถควบคมุ ตนเองเสมอื นกับลกู โปง่ ขนาดใหญท่ ี่ ถกู ปากกาจ้มิ จนระเบดิ แต่ในทางกลับกัน หากสามารถควบคมุ อารมณ์ ทางลบที่เกดิ ขน้ึ แล้วสามารถจดั การอารมณ์น้นั ได้ กจ็ ะทำ�ใหด้ ำ�เนนิ ชวี ิตได้ตามปกติ ดังเชน่ ลูกโป่งลูกเล็ก และสอบถามเรอ่ื งของอารมณ์ ต่างทเ่ี กดิ ข้นึ ซง่ึ เชือ่ มโยงกบั สีลกู โป่งทผี่ ู้ป่วยเลอื กและใหข้ อ้ มูลแนวทาง การดูแลตนเองตามภาวะอารมณ์นน้ั ๆ

35 (Landscapes of Emotion) (60-90 นาที) ขน้ั ตอน วิธีการในการด�ำ เนนิ กิจกรรม สื่อ /อุปกรณ์ 7. ผู้นำ�กลุ่มกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเร่ืองการควบคุม ใบความรทู้ ี่ 2 การจดั การ อารมณ์ และบอกถงึ วธิ กี ารในการจัดการ และควบคุมอารมณ์ เช่น การ และการควบคุมอารมณ์ ใช้จนิ ตนาการ การหยดุ ความคิด หาท่รี ะบาย การยดื เหยียด การนบั เลข เบรกอารมณ์ การใช้สตบิ �ำ บดั ฯลฯ 8. ผู้นำ�กลุ่มสรุปกิจกรรมให้เห็นถึงการนำ�ไปใช้ในชีวิตประจำ�วันท่ีเป็นรูป ธรรม และให้ผ้ปู ว่ ยบอกถึงส่ิงที่ได้เรยี นรู้จากกิจกรรม

36 ใบความรู้ ที่ 1 “Landscapes of Emotion” ผูค้ นมากมายเคยชนิ กับการดำ�รงชวี ติ อย่างเป็นทกุ ข์รปู แบบตา่ งๆ ซ่ึงล้วนแล้วแตม่ ีสาเหตุจากความ คดิ เชิงลบ ความคิดทีน่ �ำ มาซึ่งอารมณ์เชิงลบต่างๆ อันไดแ้ ก่ ความวิตกกงั วล ความเหงา เบอื่ ซึมเศรา้ โกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ ผิดหวงั ขุ่นมวั และอารมณ์ไมส่ บายใจอ่ืนๆ ขณะทคี่ ิดเรอ่ื งทุกข์ใจ คลื่นสมองก็จะมคี วามถส่ี งู ยุง่ เหยงิ พรอ้ มกันกับทสี่ มองหลง่ั สารแห่งความทุกข์ และความเครยี ดออกมาท�ำ ใหส้ ขุ ภาพกาย และจิตใจย่ิงทรดุ โทรมลง ในทางตรงกนั ข้ามความคดิ เชิงบวกจะท�ำ ให้มคี วามสขุ เบิกบาน และสงบใจ ไมว่ ้าวุ่นใจ อนั เกิดจากความ คดิ ทีเ่ ปน็ ระบบระเบยี บและถูกต้อง ถูกทาง คนเราอาจไม่คุ้นเคยหรือมีทกั ษะมากนัก ในเรอื่ งความคิดเชิงบวก แตก่ ารฝกึ ความคิดเชิงบวก นับได้วา่ มีคุณอนันต์ต่อสขุ ภาพ และผลงานทีส่ รา้ งสรรค์ ดงั เช่น ศาสดาเอกต่างๆ และอจั ฉรยิ ะบุคคลท้งั หลายล้วนมคี วามม่ันใจในความคิดเชงิ บวก นอกจากนน้ั หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พบวา่ คล่นื สมองก็มีลักษณะความถี่ต่�ำลงไม่ยงุ่ เหยงิ และสมองก็ หล่งั สารแห่งความสขุ และสงบ มีผลทีด่ ีต่อสุขภาพ รา่ งกาย และจิตใจอยา่ งมาก ความคิดเชงิ ลบมกั เกดิ อย่างอตั โนมัติ เพราะเป็นความคิดที่คนุ้ เคยมากอ่ นอาจเลยี นแบบวธิ คี ิดจาก บุคคลส�ำคัญในวยั เด็ก เชน่ พอ่ แม่ ครู ญาติ และเพ่อื น หรือเลยี นแบบจากละครทีวี บางคร้ังอาจเกดิ ขึน้ จากความรสู้ กึ วา่ ตนเองมปี มดอ้ ย เชน่ ร้สู ึกวา่ ไมม่ ีใครรกั ตนเอง ตนเองขี้เหล่ พกิ าร ฯลฯ วิธีคดิ ได้เกดิ ข้ึนชา้ ๆ จนสลัดออกไดย้ าก ความคดิ เชิงลบมีได้หลายรปู แบบ ท้ังสงั เกตเห็นไดช้ ัดเจน และแบบท่แี ยบยล จนบางคร้งั เรา อาจไม่เท่าทนั อารมณ์ก็ได้ แต่สุดท้ายจะลงเอยดว้ ยความว้าวุน่ ใจ และทุกข์ใจน่ันเอง ความคดิ เชิงลบอาจเปน็ ลักษณะเพง่ โทษผู้อ่ืน โดยตัง้ ค�ำถามในใจกบั ตนเองว่า ท�ำไมเขาจงึ ไมด่ กี บั เรา ท�ำไมเขาตอ้ งท�ำอยา่ งนัน้ คดิ แบบน้ี จะเป็นการเพง่ โทษผู้อืน่ กเ็ พราะเราจะคดิ ไปเองวา่ เราถกู ตอ้ ง ผู้อน่ื ผดิ ขณะคดิ ไปกลับไม่โปร่งสบาย แต่ อาจโกรธเคยี ดแค้น ไม่พอใจผ้อู ่นื ได้ บางครัง้ ความคิดเชิงลบเป็นลกั ษณะโทษตนเอง ต�ำหนติ นเอง โดยตงั้ ค�ำถาม วา่ ท�ำไมตอ้ งเปน็ เรา เราไม่ดีตา่ งๆ นานา โชคชะตาไม่ปราณเี รา เราเปน็ คนมีเวรมีกรรม เราเปน็ คนโชครา้ ยเสมอ ฯลฯ การคดิ ลักษณะนถี้ ึงไดว้ า่ เป็นการทรมาน และเบยี ดเบยี นจติ ใจของตนเองให้เป็นทุกข์ ให้เศร้าหมอง ขมขน่ื เจบ็ ปวด และกระวนกระวาย ส�ำหรบั ผทู้ วี่ ิตกกงั วลจนเปน็ นสิ ัยกจ็ ะมีความคิดเชิงลบแบบหวาดกลัวไปตา่ งๆ นานา โดยเฉพาะเรือ่ งท่คี นสว่ นใหญไ่ ม่กลัวกันมากนกั เชน่ กลัวคนปฏเิ สธ เป็นห่วงญาตจิ ะเกิดเหตจุ นเปน็ ทกุ ข์ ฯลฯ ความกลวั เหล่านี้ ท�ำใหไ้ ม่เป็นตวั ของตัวเอง และขาดความมนั่ ใจในตนเองได้ ตรงกันขา้ มผทู้ ่อี ยูใ่ นกระแสความ คดิ เชงิ บวก ก็จะมองข้ามปัญหาเล็กๆนอ้ ยๆไปได้ ปญั หาส�ำคญั กจ็ ะหาทางแก้ไขได้ แทนทีจ่ ะน่งั กลมุ้ โดยไมค่ ดิ แก้ไข หรอื หาขอ้ สรุปท่เี หมาะสมกบั ปัญหาทีเ่ ผชิญอยู่ มองเห็นสว่ นดีๆของชีวติ อยา่ งมีทักษะ ดงึ เอาสง่ิ ดีๆเขา้ มา ในชีวติ ของตนเองหรือดึงตนเองไปอยู่ในสิ่งดๆี แนวทางแก้ไข ความคดิ เชงิ ลบ จงต้งั สตใิ หม้ ั่นเมอื่ ใดทีค่ วามคิด เชงิ ลบปรากฏออกมาไมว่ า่ ในความคิด ค�ำพูดหรอื การกระท�ำของเรา สังเกตใหไ้ ด้แล้วดึงกลบั เข้ากระแสความคดิ เชงิ บวก ฝกึ จนเกิดทกั ษะ ย่งิ ฝกึ ยง่ิ ใชค้ วามคดิ เชิงบวกมากเทา่ ไร ความสามารถและทกั ษะจะปรากฏเด่นชดั ข้ึนใน แนวทางท่ถี ูกต้อง จนสามารถรักษาจิตใจใหม้ น่ั คงได้ดกี ว่าเดมิ ความคิดเชิงบวกจะท�ำให้เราเลอื กสิง่ ดีๆ ใหแ้ ก่ ชีวิต เริม่ ตั้งแตอ่ ิริยาบถทีเ่ หมาะสมในชีวติ ประจ�ำวัน ไมน่ ่งั ๆนอนๆ จนสขุ ภาพทรดุ โทรม มีการออกก�ำลังกาย สมำ่� เสมอ นอกจากนน้ั เลือกท�ำกิจกรรมที่เสรมิ สร้างสุขภาพและความภาคภมู ิใจของตนเอง ไดแ้ ก่ กฬี า ดนตรี ศลิ ปะ งานฝีมอื เรียนภาษาตา่ งประเทศ กจิ กรรมต่างๆทีช่ ่วยเหลือผูอ้ ่ืน และมกี ล่มุ ญาตมิ ิตรทค่ี อยให้การช่วย

37 ใบความรู้ ที่ 2 การจัดการ และการควบคุมอารมณ์ ทกุ ๆ อยา่ งทเ่ี ราท�ำ ใหม้ นั เกิดขึ้น หมายถึงพฤติกรรม และการกระท�ำ หรือการแสดงออกต่างๆ มันมีอารมณ์ และความรู้สึกเข้ามาชี้นำ�เสมอการที่เราจะสามารถควบคุมการกระทำ�หรือพฤติกรรมที่แสดงออกได้เหมาะสมน้ัน มันก็ต้องเกดิ จากการทเี่ ราควบคมุ อารมณ์ของเราให้ได้ดว้ ยเช่นกนั ทส่ี ำ�คญั ยิง่ ไปกวา่ นัน้ ก็คือ เราจะต้องรบั รู้ และเขา้ ใจตวั เองถงึ อารมณ์ และความร้สู ึกท่เี กิดข้ึนให้ได้ กอ่ นทีจ่ ะพยายามควบคุมมนั ทกั ษะทางอารมณ์ขั้นพ้ืนฐาน 1. การรเู้ ทา่ ทันอารมณต์ นเอง ในแต่ละขณะว่าเปน็ อยา่ งไร รู้สกึ อย่างไร เปลยี่ นแปลงไปอย่างไร ข้อนี้ เป็นจุดเริม่ ต้นที่สำ�คญั ทสี่ ดุ เพราะจะเป็นการยับยั้งพฤติกรรมตอบสนองท่เี กิดข้นึ คือจะให้อารมณ์ทเ่ี กิดขน้ึ นี้เปน็ เพียงองคป์ ระกอบหนง่ึ ทีม่ ผี ลตอ่ พฤตกิ รรมตอบสนองของเราเทา่ น้ัน 2. ยอมรับอารมณข์ องตนเอง ยอมรับตามท่ีเป็นจรงิ ยอมรับวา่ เรามคี วามร้สู ึกนั้นอยู่ เช่น เรามีความกลวั ความโกรธ ความคบั ข้องใจ หรอื ความดีใจ สุขใจ เป็นการมองอย่างไมต่ ดั สินถูกผิด การยอมรบั ว่าอารมณน์ ั้นๆ เป็นของตนเองเป็นสิ่งท่ีเกดิ ขึ้นภายในตนเอง ไมโ่ ทษว่าเป็นเพราะสงิ่ โน้นสิ่งน้ีทำ�ใหเ้ รามอี ารมณ์ความรสู้ กึ เช่นน้ี 3. การควบคมุ อารมณ์ เปน็ ความสามารถท่จี ะจัดการกบั อารมณ์ทเ่ี กิดขึน้ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยเฉพาะ อารมณ์ในทางลบ เช่น ความโกรธ ฉนุ เฉยี ว อารมณท์ ุกอย่างเกดิ ขึน้ กบั เราได้ แต่มใิ ช่จะแสดงออกไปทุกอารมณ์ ทเี่ กิดข้ึนกับเรา ผทู้ มี่ ีวฒุ ิภาวะทางอารมณย์ ่อมสามารถควบคมุ อารมณ์ทีเ่ กดิ ขึ้นอยู่ในขอบเขต ทเ่ี หมาะสมตามแต่ สถานการณ์ รู้จกั ระบายอารมณอ์ อกในรูปแบบทเ่ี หมาะสม 4. เติมพลังใจใหต้ นเอง อันจะเป็นการส่งเสริมพื้นอารมณ์ใหอ้ ยู่ในระดับบวก เป็นสิง่ ท่ตี ้องจดั เวลาให้ เหมาะสม มอี ยู่ 2 กจิ กรรมท่ีหากท�ำ สม่ำ�เสมอจะให้ผลดี ไดแ้ ก่ การออกก�ำ ลงั กาย และการทำ�จิตใจใหส้ งบ 5. มเี จตคตแิ ละความคิดในเชงิ บวก ซึง่ จะเปน็ ปจั จยั ทสี่ �ำ คญั ท่ีสุดในการด�ำ เนินชวี ิตทด่ี ีงามการฝึกคิด หรือมองสิ่งต่างๆในหลายๆ แง่มุมจะทำ�ใหเ้ ราไมต่ ดิ กรอบ หรือติดกบั มายาคตทิ ่สี ร้างขนึ้ 6. การรู้สึกดีต่อตนเอง ผูท้ ี่ร้สู กึ ดีต่อตนเองจะมคี วามรสู้ กึ พงึ พอใจกบั สภาพปจั จบุ ัน เพราะเข้าใจดวี ่า คนเราย่อมมีจดุ เดน่ จุดด้อยในแต่ละด้านแตกตา่ งกันไป ความฉลาดทางอารมณ์ และการแสดงออกทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถงึ ความสามารถในการควบคมุ อารมณ์ มีจิตใจที่ม่ันคง การมองโลกในแง่ดี รู้จักเหน็ อกเหน็ ใจผู้อื่น รู้จกั เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความมุง่ มัน่ แน่วแน่ มีเหตุผล มสี ติ สามารถควบคุมตนเอง มี ความสามารถในการรบั รถู้ ึงความต้องการของคนอน่ื และร้จู กั มารยาททางสังคม เป็นต้น ความฉลาดทางอารมณ์ ประกอบด้วยปจั จยั ส�ำ คัญ 3 ประการไดแ้ ก่ ความดี ความเกง่ ความสุข ซึ่งแต่ละปัจจยั ให้ความหมายที่แตกตา่ ง กันดงั ต่อไปนี้

38 ดี หมายถึง ความสามารถในการควบคมุ อารมณ์ และความตอ้ งการของตนเอง รจู้ ักเห็นใจผอู้ นื่ และมี ความรับผิดชอบตอ่ สว่ นรวม ซ่งึ มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี ความสามารถในการควบคมุ อารมณ์ ความสามารถในการเหน็ ใจผอู้ ่นื ความสามารถในการรับผดิ ชอบ และความต้องการของตนเอง - รอู้ ารมณ์และความต้องการของตนเอง - ใส่ใจผู้อ่นื - รจู้ ักการให้ รจู้ กั การรับ - ควบคมุ อารมณ์และความต้องการได้ - เขา้ ใจและยอมรับผู้อืน่ - ร้จู ักรับผิด รู้จกั ใหอ้ ภยั - แสดงออกอย่างเหมาะสม - แสดงความเห็นใจอยา่ งเหมาะสม - เห็นแกป่ ระโยชน์สว่ นรวม เก่ง หมายถงึ ความสามารถในการร้จู กั ตนเอง มแี รงจงู ใจ สามารถตดั สนิ ใจ แกป้ ัญหา และแสดงออก ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ตลอดจนมสี ัมพันธภาพที่ดกี บั ผูอ้ ่ืน ประกอบไปด้วย ความสามารถในการรจู้ ัก ความสามารถในการตดั สินใจ ความสามารถในการมี และสรา้ งแรงจูงใจใหต้ นเอง และแกป้ ญั หา สมั พนั ธภาพกบั ผ้อู นื่ - ร้ศู กั ยภาพของตนเอง - รับรแู้ ละเข้าใจปัญหา - รูจ้ ักการสร้างสัมพันธภาพทีด่ ีกบั ผอู้ ่ืน - สร้างขวัญและก�ำ ลงั ใจให้ตนเองได้ - มขี ั้นตอนในการแก้ปญั หาไดอ้ ยา่ ง - กลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม - มีความมุ่งมน่ั ที่จะไปใหถ้ งึ เปา้ หมาย เหมาะสม - แสดงความเหน็ ที่ขัดแย้งไดอ้ ย่าง - มคี วามยืดหย่นุ สรา้ งสรรค์ สขุ หมายถงึ ความสามารถในการด�ำ เนนิ ชีวิตอย่างเปน็ สขุ มีความภูมิใจในตนเองพอใจในชีวติ และมี ความสุขสงบทางใจ ประกอบไปดว้ ย ความภูมใิ จในตนเอง ความพงึ พอใจในชีวติ ความสงบทางใจ - เห็นคณุ ค่าในตนเอง - รูจ้ ักมองโลกในแง่ดี - มีกิจกรรมท่ีเสริมสรา้ งความสขุ - เช่อื ม่ันในตนเอง - มีอารมณข์ ัน - รู้จักผ่อนคลาย - พอใจในสิง่ ที่ตนมอี ยู่ - มคี วามสงบทางจติ ใจ ดงั น้นั ความฉลาดทางอารมณ์ สามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี ความฉลาดทางอารมณ์ = เขา้ ใจตนเอง + เขา้ ใจผ้อู น่ื + แก้ไขความขดั แยง้ ได้ เขา้ ใจตนเอง ---> เข้าใจอารมณ์ ความรสู้ กึ และความตอ้ งการในชวี ิตของตนเอง เข้าใจผอู้ ื่น ---> เขา้ ใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่นื และสามารถแสดงออกมาไดอ้ ย่างเหมาะสม แก้ไขความขัดแย้งได้ ---> เมือ่ มีปญั หาสามารถแก้ไขจัดการให้ผ่านพ้นไปได้อย่างเหมาะสมท้งั ปญั หา ความเครียดในใจ หรือปญั หาทีเ่ กิดจากการขัดแย้งกับผอู้ ่นื การแสดงออกทางอารมณ์ (Emotional Expression) 1. การแสดงออกทางอารมณ์โดยกำ�เนิด (Innate emotional expression) การแสดงอารมณ์พื้น ฐานเปน็ ส่งิ ที่มมี าตั้งแตก่ �ำ เนดิ (innate) เด็กทกุ ชาตทิ ุกภาษาจะร้องไห้ เมอ่ื เจ็บปวดหรือเสียใจ และหวั เราะเมอ่ื สขุ ใจ

39 จากการศึกษาเดก็ ทต่ี าบอด หรอื หหู นวกตั้งแต่แรกเกิดพบว่า การแสดงออกของสีหนา้ ทา่ ทาง และ ทว่ งทกี ริ ยิ าหลายๆ อย่าง ซ่งึ เราเอาไปสัมพนั ธก์ บั อารมณ์ชนิดต่างๆ ไดร้ ับการพฒั นาโดยความสุขสมบูรณ์ (mat- uration) การแสดงออกของอารมณ์เหล่านเี้ กดิ ขน้ึ ในช่วงอายุท่เี หมาะสม แม้ว่าจะไมม่ โี อกาสสังเกตได้ในคนอื่น การแสดงสหี น้าบางอยา่ งดเู หมือนจะมคี วามหมายสากล โดยมไิ ดค้ ำ�นงึ ถึงวัฒนธรรมในท่ซี ง่ึ คนเราไดร้ บั การเลยี้ ง ดู เมอ่ื เอาภาพแสดงสีหน้าของความสขุ ความโกรธ ความเสยี ใจ ความรงั เกยี จ ความกลวั และความประหลาดใจ มาแสดงตอ่ คนชาวอเมริกนั บราซิล ชลิ ี อารเ์ จนตนิ า และญป่ี ุน่ คนเหลา่ นี้ไมม่ ีความยากล�ำ บากในการบอกความ แตกต่างของอารมณแ์ ตล่ ะชนดิ พวกชาวเขาและชาวเกาะท่ีอยู่หา่ งไกลความเจริญกบ็ อกไดเ้ ชน่ กัน 2. การแสดงออกทางอารมณ์โดยการเรียนรู้ (Role of learning in emotional expression) แมว้ า่ การแสดงออกของอารมณ์บางอย่างมมี าต้ังแตก่ �ำ เนดิ เปน็ สว่ นใหญ่แลว้ แตอ่ ารมณก์ อ็ าจได้รบั การดดั แปลง มากมายโดยการเรยี นรู้ ตัวอยา่ ง ความโกรธ อาจแสดงออกมาโดยการต่อสู้โดยการใชภ้ าษาท่กี า้ วร้าว หรือโดย การลกุ ออกไปนอกห้อง แน่นอนการออกจากห้องหรือการใช้ค�ำ หยาบมใิ ช้การแสดงความโกรธ ซ่งึ มีมาตงั้ แต่แรก เกิด การแสดงทางอารมณท์ างสหี น้าและท่าทาง อาจแตกตา่ งกันในแต่ละวฒั นธรรม ตวั อย่าง ชาวจนี มกี าร แสดงอารมณ์บางอยา่ งแตกต่างจากชาตอิ ่ืนๆ อยา่ งมาก การตบมือแสดงถงึ ความกงั วลใจ หรอื ความผิดหวงั การ เกาหูและแก้มบง่ ถงึ การมคี วามสุข การแลบลน้ิ ออกมาแสดงถึงความประหลาดใจ ในสังคมตะวนั ตก การตบมอื หมายถึงความสุข การเกาหแู สดงถึงความกังวล และการแลบล้นิ บ่งถึงการย่วั โทสะ 4 เผชทญิ กั หษนะกา้ทแาักรลรษะบั กะราทู้ รก่ีแา4กรเ้ไขขา้ปใัญจหา สาระส�ำ คญั การรบั รู้ เขา้ ใจปัญหา เป็นกระบวนการหนง่ึ ของการมองปญั หาอยา่ งเป็นระบบ โดยการแยกแยะ ถึงสาเหตปุ ัจจยั ของปัญหานั้นๆ บนพ้นื ฐานความจรงิ ซ่งึ เมอื่ เกดิ การรบั รแู้ ละเข้าใจปัญหาแล้ว จะนำ�ไปสกู่ าร วเิ คราะห์ เพือ่ หาแนวทางในการแก้ไขปัญหา การแก้ปญั หานน้ั ตอ้ งแยกออกเป็นส่วนยอ่ ย เม่ือพบสาเหตุของ ปญั หานัน้ ๆ มนุษย์จ�ำ เปน็ ทีจ่ ะต้องท�ำ ใจให้ให้สงบ มสี ติ ไมห่ วัน่ ไหว ยามเผชญิ ปัญหา และใชค้ วามยดื หยนุ่ ใน การแก้ไขปัญหา เพื่อให้แนวทางแก้ไขปัญหาหลากหลาย ทำ�ให้ผปู้ ่วยสามารถมที างเลอื กท่เี หมาะสมกบั ปญั หาที่ ตนเองกำ�ลงั ประสบอยู่ในการเผชญิ หนา้ และแก้ไขปญั หาไดอ้ ย่างเหมาะสม วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพื่อให้ผปู้ ว่ ยทราบถึงการรบั รู้และเขา้ ใจปัญหาที่เกิดขึ้นท้ังกบั ตนเอง และบุคคลรอบขา้ ง 2. เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ่วยสามารถเผชิญหน้ากบั ปัญหา และสามารถแก้ไขปญั หาได้อยา่ งเหมาะสม 3. เพื่อใหผ้ ู้ป่วยเกิดแนวทางท่ีจะสามารถแก้ไขปัญหาของตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสม และมคี วามยดื หยุ่น

40 ขัน้ ตอนกิจกรรม การรับรู้ การเขา้ ใจ เผชิญหนา้ และการแก้ไขปญั หา (60-90 นาที) ขัน้ ตอน วิธกี ารในการด�ำ เนินกิจกรรม สอ่ื /อุปกรณ์ 1. สร้างสัมพนั ธภาพ ทกั ทาย พดู คุยเร่อื งท่ัวๆ ไป (small talk) 5-10 นาที 2. ผูน้ �ำ กลมุ่ แนะน�ำ ตัว และใหส้ มาชิกทุกคนแนะน�ำ ตัว 3. ผู้นำ�กลุ่มบรรยายเรื่องการรับรู้และเข้าใจปัญหาท่ีเกิดขึ้นทั้งกับตนเอง บุคคลรอบข้าง และการเผชญิ หนา้ กับปัญหารวมถึงสามารถแก้ไข ปญั หาได้อย่างเหมาะสม 4. แบ่งผ้ปู ่วยออกเปน็ กลุ่มยอ่ ย จ�ำ นวน 3 กลมุ่ และกำ�หนดสถานการณ์ - ใบความร้ทู ่ี 1 เรอื่ งการ เพื่อให้ผู้ป่วยได้แสดงบทบาทสมมุติในการแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ รับรูแ้ ละเข้าใจปญั หา ที่ไดร้ ับ ดังน้ี - ใบความร้ทู ี่ 2 เร่อื งการ 4.1 ผู้ปว่ ยมรี ายได้จากการจ้างงาน ต่อมาถูกเพอ่ื นรว่ มงานยมื เงนิ เผชิญหน้าและแก้ไขปัญหา และไม่ใชค้ นื หลายครัง้ 4.2 ผปู้ ว่ ยไม่สามารถต่นื เชา้ มาท�ำ งานได้ ร้สู กึ ท้อใจ จงึ ขาดงานหลาย วนั เพราะกลัวโดนดุ 4.3 ผู้ป่วยทะเลาะกับผู้ดแู ล และเลิกชว่ ยเหลือคา่ ใช้จ่ายใหก้ ับผ้ดู ูแล เนอื่ งจากร้สู ึกโกรธ หมายเหตุ ผนู้ �ำ กลุ่มสามารถก�ำ หนดสถานการณต์ ามบรบิ ท 5. ก่อนแสดงบทบาทสมมุติให้ผู้ป่วยแต่ละกลุ่มประชุมระดมสมองถึงมุม มองของปัญหาและแนวทางการแก้ไขปญั หาตามสถานการณน์ ั้น 6. ผู้นำ�กลุ่มกระตุ้นให้ผู้ป่วยแต่ละกลุ่มได้มีการแลกเปล่ียนความคิดเห็น ข้อดี ขอ้ เสยี ของการแก้ไขปัญหา 7. ผู้นำ�กลุ่มสรุปการแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมของแต่ละ สถานการณ์ 8. ให้ผู้ปว่ ยสรปุ ส่ิงท่ีได้เรยี นรูจ้ ากกิจกรรม

41 ใบความรทู้ ่ี 1 การรับรู้และเขา้ ใจปญั หาและอปุ สรรค ประเดน็ ทีเ่ ป็นอปุ สรรค ความยากลำ�บาก ความต้านทาน หรอื ความทา้ ทาย หรอื เป็นสถานการณ์ใดๆ ท่ี ต้องมกี ารแก้ไขปญั หา ซึง่ การแกป้ ญั หาจะรับรู้ได้จากผลลัพธ์ของการแกป้ ญั หาหรอื ผลงานทนี่ �ำ ไปสู่วัตถุประสงค์ หรอื เป้าหมาย ประเดน็ ปัญหาแสดงถงึ ทางออกทตี่ อ้ งการ ควบคู่กบั ความบกพรอ่ ง ขอ้ สงสยั หรอื ความไม่ปรอด คลอ้ งทป่ี รากฏขนึ้ ซึง่ ขดั ขวางมิใหผ้ ลลัพธ์ประสบผลส�ำ เรจ็ โดยลักษณะของแตล่ ะปัญหากจ็ ะมคี วามแตกตา่ งกัน ออกไป ดังนี้ 1. ปญั หาท่มี าจากค�ำ ถาม-เกดิ ขนึ้ เมอื่ มคี ำ�ถามทตี่ อ้ งการค�ำ ตอบ และบางครง้ั มนั ก็อาจจะยากท่จี ะให้ค�ำ ตอบเพราะอาจตอ้ งรวบรวมขอ้ มูลและขอ้ เทจ็ จรงิ ที่เก่ียวขอ้ ง เพ่อื น�ำ มาตอบค�ำ ถามหรอื ตดั สินใจ 2. ปญั หาท่ีมาจากสถานการณ์ เกิดขน้ึ เม่ือสถานการณ์ปจั จบุ ันประสบสภาวะล�ำ บาก ตอ้ งกระทำ�การอยา่ ง ใดอย่างหนึง่ เพ่อื แก้ปญั หา บางครัง้ ปัญหาเกดิ ข้นึ เมอ่ื จำ�เป็นต้องเลอื กสิง่ หนึง่ และจำ�ใจตอ้ งละทงิ้ อกี สง่ิ หนง่ึ ซึง่ ส่ิงท่ีถูกละทง้ิ ก็อาจจะเปน็ ปญั หาใหม่ 3. ปญั หาทม่ี าจากการโนม้ นา้ ว การโนม้ นา้ วจูงใจจากเพ่อื นร่วมงาน เจ้านาย ลกู คา้ หรอื คนในครอบครัว อาจกอ่ ให้เกิดปญั หา เนอ่ื งจากหากเห็นใจและทำ�ตามการโน้มน้าว อาจจะสง่ ผลกระทบต่อตัวเองหรอื ผทู้ เี่ กยี่ วข้อง หรือหากไม่ทำ�ตามก็จะถูกต�ำ หนหิ รือถูกตราหนา้ จากเพื่อร่วมงาน 4. ปญั หาทมี่ าจากการแกป้ ัญหา เป็นปญั หาทีจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งได้รบั การแก้ไขปัญหา หากไม่แกป้ ัญหาจะไม่ สามารถดำ�เนินงานตอ่ ไปได้ ควรมีการวางแผนเพ่ือรับมอื กบั ปัญหาเดมิ ที่อาจเกิดขน้ึ ได้ในอนาคต 5. ปญั หาครัง้ คราว เกิดข้ึนไม่บอ่ ย ไมส่ ามารถคาดการณ์ได้ แตส่ ามารถทำ�ให้ปัญหาหมดไปได้ 6. ปญั หาเร้ือรงั เกิดข้นึ ไดต้ ลอดเวลา สามารถคาดการณ์ได้ อาจแก้ไขใหห้ มดไปไมไ่ ด้แต่สามารถลด ความรนุ แรงให้น้อยลงได้ 7. ปัญหาไมซ่ บั ซอ้ นและแก้ไขไดด้ ว้ ยตัวเอง เป็นปัญหาทงี่ า่ ยต่อการจัดการและกำ�จัดใหห้ มดสิน้ ไป ดว้ ยพละก�ำ ลังทีต่ วั เองมีอยู่ 8. ปญั หาไม่ซับซ้อนและตอ้ งรวมกลุ่มเพอ่ื แกป้ ญั หา เป็นปัญหาที่ยากมากขน้ึ ไมส่ ามารถแก้ได้ดว้ ยพละ ก�ำ ลังของตัวเอง จ�ำ เป็นต้องมกี ารรวมกลุม่ กบั หนว่ ยอน่ื เพื่อแก้ไขปัญหารว่ มกนั การรบั รู้ปญั หา การรับรู้ปญั หา กระบวนการแปล หรอื ตคี วามของปญั หาที่เกดิ ขน้ึ เป็นการนำ�ข้อมลู และความรเู้ ขา้ สู่สมองโดยผ่านการ รบั รู้ในส่วนต่างๆ ของร่างกายและจติ ใจ สมองจะเก็บรวมรวมและจดจ�ำ สิง่ ตา่ งๆ เหล่าน้ันไว้เปน็ ประสบการณ์ เพ่อื เป็นองคป์ ระกอบสำ�คญั ที่ทำ�ให้เกดิ มโนภาพหรือความคิดรวบยอด (Concept) และทัศนคติ (Attitude) ในการเปรียบเทยี บหรือถ่ายโยงความหมายกับส่ิงเร้าใหม่ทีจ่ ะรบั รู้ต่อๆ ไป ดังนน้ั การรบั ร้แู ละการเรียนรูจ้ งึ มคี วาม เก่ียวขอ้ งกัน ถา้ ไมม่ กี ารรบั รู้ การเรียนรู้ย่อมเกิดขนึ้ ไม่ได้

42 องค์ประกอบของกระบวนการรบั รู้ การรับรขู้ ่าวสารของมนุษย์จะมีประสทิ ธิภาพมากนอ้ ยเพยี งใดยอ่ มข้ึนอยูก่ ับองคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1. อาการรับสมั ผัส หมายถึง อวัยวะรับสัมผสั ตา่ งๆ ไดร้ บั กระต้นุ จากส่ิงเรา้ แล้วจะแปลความหมาย โดยอาศัยประสบการณเ์ ข้ามาช่วย 2. การแปลความหมายของอาการสมั ผสั การแปลความหมายของส่งิ เรา้ ทร่ี ับเขา้ มาจะถกู ตอ้ งเพียง ใดขึ้นอยู่กับปจั จยั 2 ประการ คือ 2.1 ปจั จัยทางดา้ นสรีระ (Physiological Factor) เปน็ ขีดจำ�กัดความสามารถของอวัยวะรบั สัมผสั ทตี่ อบสนองต่อสง่ิ เรา้ เช่น ขนาดของส่ิงเรา้ ความสกึ หรอของอวยั วะรบั สัมผสั เป็นต้น 2.2 ปจั จัยทางจติ วิทยา (Psychological Factor) เนือ่ งจากส่งิ เร้าทมี่ ากระทบกบั อวัยวะรับสมั ผสั มีมาก มนุษยจ์ ะเลอื กรบั รเู้ ฉพาะสิ่งเรา้ ทม่ี ีความหมาย แต่การรับรู้ดงั กล่าวจะเกดิ ข้ึนหรอื ไมน่ ้ันยอ่ มอยู่กบั ปัจจัย ด้านจติ วิทยา เชน่ - ความต้ังใจ โดยมสี าเหตุหลายประการ เชน่ ความเปลย่ี นแปลง ความแปลกใหม่ ขนาดและความ เข้ม การกระท�ำ ซำ�้ เคลื่อนไหว เป็นตน้ - สตปิ ัญญา ทำ�ให้บุคคลเขา้ ใจเหตุการณห์ รอื ส่ิงต่างๆ ไดช้ ้า หรือรวดเร็วตา่ งกัน - ความระวังระไว เปน็ ความคล่องแคลว่ หรอื ไวต่อการรบั รสู้ งิ่ เร้าต่างๆ - คุณภาพของจิตใจ ความเหน่ือยลา้ หรือความแจม่ ใสของจิตใจย่อมมผี ลกระทบต่อความเข้าใจ สงิ่ เรา้ ต่างๆ ได้ - บคุ ลิกภาพ ผทู้ ีม่ ีบคุ ลกิ ภาพเปิดเผยชอบสังคมกบั ผ้ทู ่ีมีบคุ ลิกภาพเก็บตวั มกั จะรบั รสู้ ิ่งในทางตรงข้ามเสมอ 3. ประสบการณ์เดมิ บุคคลจะรบั ร้สู ่ิงต่างๆด้วยการคาดคะเน หรอื ตงั้ สมมตุ ฐิ านไว้กอ่ นเมื่อไดร้ ับสงิ่ เร้าที่ เกดิ ขึ้นแลว้ ประสบการณเ์ ดมิ ที่เคยมีมากอ่ นจะชว่ ยใหส้ ามารถยนื ยันการคาดคะเนได้ หรอื ทำ�การแก้ไขการคาด คะเนเสยี ใหม่ กรณีทส่ี ่งิ ที่เกดิ ข้ึนใหม่เขม้ แขง็ กวา่ และสามารถพิสูจน์ไดว้ า่ ประสบการณ์น้ันผดิ พลาดอย่างแนน่ อน การเขา้ ใจปญั หา การแยกแยะและทำ�ความเข้าใจปัญหา ในการท�ำ ความเข้าใจถงึ ปญั หา และการแกป้ ญั หา เราอาจจะตอ้ งแยกออกเปน็ ส่วนงานยอ่ ย แลว้ ท�ำ การ ศกึ ษาแยกแยะ ถงึ การทำ�งานปกติของระบบว่าอย่างไร มีกระบวนการในการปฏิบตั ิงานอยา่ งไร เพื่อหาสาเหตขุ อง ปัญหาน้นั ๆ โดยปจั จุบันปญั หาของมนษุ ย์ส่วนใหญค่ ือการที่ไมส่ ามารถท�ำ ใจใหส้ งบน่งิ และไมห่ ว่ันไหว ยามเผชิญ ปญั หากค็ อื การใชห้ ลักความจริงแก้ไขปัญหา ดังน้นั มนุษยเ์ ราจงึ จ�ำ เป็นต้องรเู้ ท่าทันความเป็นจรงิ ของชีวิตจงึ จะ สามารถดำ�เนนิ ชีวติ ไดอ้ ย่างสงบ ซ่ึงเปน็ หวั ใจอนั หนึ่งของศิลปะการด�ำ เนนิ ชีวิต ผเู้ ข้ารว่ มกจิ กรรมต้องมีความเข้าใจว่า มนษุ ยท์ กุ คนสามารถพบเจอกบั ปญั หาไดท้ ุกคน และการแก้ไขปัญหา

43 การประเมนิ ทางเลอื กหรือวิธีการ เมอ่ื หาวิธกี ารในการแก้ปัญหาได้หลายวธิ ีมาแล้ว ข้ันตอนตอ่ ไปคือ การเลอื กวิธกี ารทด่ี ที ส่ี ุดจากวิธีการที่ เลอื กมา เพราะวธิ ีการท่ดี ีสำ�หรบั ปญั หาหน่ึงอาจจะไม่ใชว่ ธิ กี ารที่ดีส�ำ หรับอกี ปญั หาหนง่ึ เพราะปญั หาตา่ งๆ จะอยู่ใน สภาวะแวดลอ้ ม เงื่อนไขข้อจำ�กัดท่ีไมเ่ หมือนกนั เราจึงตอ้ งท�ำ การประเมนิ วธิ กี ารทีเ่ ลือกมา เพ่ือหาวิธีการทด่ี ที ่ีสดุ วิธี การประเมนิ ท่ีดีทีส่ ดุ กค็ อื การแยกแยะวา่ วธิ ตี า่ งๆ นนั้ แกป้ ญั หาได้ตรงตามความต้องการเพียงใด ภายใต้เงอื่ นไขและ ข้อจำ�กดั ตา่ งๆ อันเดยี วกัน การเลือกวิธที ่ดี ที ี่สดุ ในการเลอื กวธิ นี ้ัน เราอาจไมเ่ ลือกวิธกี ารทด่ี ีท่สี ุด จากการเปรียบเทยี บก็ได้ ท้งั นอ้ี าจจะมาจากเง่ือนไข และ ข้อจำ�กัดอื่นๆ เชน่ เง่อื นไขทางกฎหมาย ทางการเมอื ง ทางการเงินท่ีไมส่ ามารถคาดเดาได้ บางครั้งทกุ วธิ ีการทเ่ี ลือก มาอาจไม่สามารถน�ำ มาใช้ได้ ท�ำ ให้ต้องหาวิธีการอนื่ ๆ และทำ�การประเมนิ ใหม่ก็ได้ น�ำ วธิ ีการทเ่ี ลอื กไปใช้ในการแกป้ ญั หาหลงั จากไดว้ ธิ กี ารแก้ปญั หามาแลว้ ผแู้ กป้ ัญหากจ็ ะน�ำ วิธีการที่เลอื ก มานน้ั ไปออกแบบเป็นกระบวนการปฏบิ ัติจรงิ ในการแก้ปญั หา

44 ใบความรูท้ ่ี 2 การเผชญิ หน้าและการแก้ไขปัญหาอย่างยืดหย่นุ ในชวี ติ ประจำ�วันทกุ คนจะต้องเคยพบกับปัญหาต่างๆ ท่ีจะตอ้ งหาทางแก้ไข การแก้ปัญหาของแต่ ละคน จะมีวธิ กี ารทแ่ี ตกต่างกัน การเรยี นรู้ที่เนน้ ให้ผเู้ รยี นได้ฝกึ แกป้ ัญหาตา่ งๆ โดยผ่านกระบวนการคดิ อยา่ งสมเหตสุ มผล และปฏิบตั อิ ย่างมีระบบ ท�ำ ความเข้าใจปญั หา ใชก้ ระบวนการ หรือวิธกี าร ข้อมูล ความรู้ และทักษะตา่ งๆ มาประกอบ กนั เพอ่ื แก้ไขปัญหา จะช่วยใหผ้ ู้เรียนสามารถตดั สินใจแกป้ ญั หาตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งดีและเหมาะสม ดังน้ี 1. ทำ�ความเขา้ ใจปญั หา ในการทีจ่ ะแกป้ ัญหาใดปัญหาหนึง่ ได้นัน้ สิ่งแรกทีต่ อ้ งท�ำ คือทำ�ความเข้าใจ เก่ียวกบั ถอ้ ยคำ�ตา่ งๆ ในปัญหา แลว้ แยกปัญหาให้ออกวา่ อะไรเป็นส่ิงทต่ี อ้ งหา อะไรเปน็ ข้อมูลทก่ี ำ�หนด ให้ และมีเงือ่ นไขใดบ้าง หลงั จากนั้น จงึ พิจารณาวา่ ข้อมูล และเงอื่ นไขท่กี �ำ หนดให้นน้ั เพียงพอทจี่ ะหาค�ำ ตอบของ ปัญหาได้หรอื ไม่ ถ้าไมเ่ พยี งพอก็ตอ้ งหาข้อมลู เพิ่มเติม เพ่อื ให้แกป้ ญั หาได้ 2. วางแผนแก้ปัญหา จากการทำ�ความเขา้ ใจกับปญั หาจะชว่ ยให้เกดิ การคาดคะเนวา่ จะใช้วธิ กี ารใด ในการแกป้ ญั หา เพอ่ื ให้ได้มาซง่ึ ค�ำ ตอบ ประสบการณเ์ ดิมของผู้แก้ปัญหาจะมสี ่วนชว่ ยอยา่ งมาก ฉะนั้น ในการเรม่ิ ตน้ จงึ ควรเร่มิ ด้วยการถามตนเองว่า “เคยแก้ปัญหาในทำ�นองเดียวกนั นมี้ าก่อนหรอื ไม่” ในกรณีทม่ี ี ประสบการณม์ ากอ่ น ควรจะใชป้ ระสบการณเ์ ปน็ แนวทางในการแกป้ ญั หา สงิ่ ท่จี ะชว่ ยให้เราเลือกใช้ประสบการณ์ เดมิ ไดค้ ือ การมองดูสิ่งทีต่ อ้ งการหา แลว้ พยายามเลอื กปญั หาเดิมทีม่ ลี กั ษณะคล้ายคลึงกนั เมื่อเลอื กได้แลว้ กเ็ ทา่ กับ มีแนวทางวา่ จะใช้ความรู้ใดในการหาคำ�ตอบ โดยพจิ ารณาว่าวธิ กี ารแกป้ ัญหาเดิมน้นั มคี วามเหมาะสมกบั ปญั หาหรือไม่ หรอื ตอ้ งมกี ารปรับปรุงเพ่ือให้ไดว้ ิธีการแกป้ ญั หาท่ีดขี นึ้ 3. ด�ำ เนนิ การแกป้ ัญหาตามแผนที่วางไว้ เม่อื ไดว้ างแผนแล้วกด็ ำ�เนนิ การแก้ปญั หา ระหว่างการ ด�ำ เนินการแกป้ ญั หา อาจได้แนวทางท่ีดีกว่าวิธีท่ีคดิ ไว้ กส็ ามารถน�ำ มาปรับเปล่ียนได้ 4. ตรวจสอบการแก้ปัญหา เมือ่ ได้วิธีการแก้ปัญหาแล้ว จ�ำ เปน็ ต้องตรวจสอบวา่ วธิ กี ารแก้ปญั หา ไดผ้ ลลัพธถ์ ูกต้องหรอื ไม่ เป็นการประเมินภาพรวมของการแกป้ ญั หา ทงั้ ในดา้ นวิธีการแก้ปญั หา ผลการแก้ ปญั หาและการตดั สนิ ใจ รวมทงั้ การน�ำ ไปประยกุ ต์ใช้ ทัง้ น้ีในการแก้ปัญหาใดๆ ตอ้ งตรวจสอบถึงผลกระทบตอ่ สงั คม และสง่ิ แวดล้อมด้วย แมว้ า่ จะด�ำ เนนิ ตามขน้ั ตอนท่กี ล่าวมาแล้วกต็ าม ผแู้ กป้ ัญหายังตอ้ งมคี วามมน่ั ใจว่าจะสามารถ แกป้ ัญหานน้ั ได้ รวมท้งั ต้องมุง่ มัน่ และทุ่มเทให้กับการแกป้ ัญหา เนอ่ื งจากบางปญั หาต้องใช้เวลาและความพยายาม เป็นอย่างสงู กระบวนการแก้ไขปัญหา แผนภาพแสดง กระบวนการแก้ปญั หา (Problem Solving Process) มีข้ันตอนดงั น้ี

45 5 การทดกัแู ลษสะุขทอี่น5ามัย และการรักษาตอ่ เน่อื ง สาระสำ�คญั สุขภาพอนามยั เป็นรากฐานการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เพือ่ การมสี ุขภาพกายท่แี ขง็ แรงและสขุ ภาพจติ ท่ดี ี ดงั นั้นจึงมคี วามส�ำ คัญอย่างย่งิ ในสงั คมปัจจบุ นั ทง้ั เหตผุ ลทางดา้ นสุขภาพและเหตุผลทางสงั คม การดแู ลสุขอนามัย น้ันเปน็ ส่งิ สำ�คญั ถอื เป็นสุขนสิ ัยขั้นพน้ื ฐานทีท่ กุ คนพึงมี เชน่ การดูแลสขุ ภาพ การออกกำ�ลังกาย การพกั ผ่อน การเลอื กรบั ประทานอาหารท่มี ีประโยชน์ และการรู้จกั ควบคมุ ตนเอง การดแู ลสขุ ภาพอนามัย มีจุดมุ่งหมายเพอ่ื สง่ เสริมให้มคี วามรู้ความเข้าใจและตระหนกั ในการดแู ลตนเอง ใหม้ สี ุขภาพอนามัยท่ีดีทัง้ รา่ งกายและจติ ใจ มีบคุ ลิกภาพทเ่ี หมาะสม รู้วิธปี อ้ งกันไม่ใหเ้ กดิ โรคภยั ไข้เจบ็ และสามารถแก้ไข ปญั หา พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ท่ีจะน�ำ ไปสู่โรคภัยไข้เจ็บไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม นอกจากในเรือ่ งสุขอนามยั แล้ว ยงั รวมถึงการท่ีผ้ปู ่วยรู้หนา้ ที่ มวี ินยั ในเร่ืองของการกนิ ยาไดด้ ้วยตนเอง สามารถเฝา้ ระวงั การเจบ็ ป่วย ยอมรบั การเจ็บปว่ ย ตระหนักและใส่ใจตนเอง ตลอดจนมีแรงจงู ใจในการดูแลตนเองเพอ่ื ไม่ให้ก�ำ เริบของอาการ และไปพบแพทย์ตามนดั ไดอ้ ย่างต่อเนื่อง วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 1. เพอื่ สง่ เสริมให้ผ้ปู ่วยเหน็ ความสำ�คัญของการดแู ลสุขอนามยั 2. เพื่อให้ผปู้ ว่ ยสามารถดแู ลสขุ อนามัยพนื้ ฐานของตนเอง การกนิ ยาตอ่ เนื่อง และพบแพทย์ตามนัดได้ ขนั้ ตอนกจิ กรรม การดแู ลสขุ อนามัย (60-90 นาที) ขั้นตอน วธิ กี ารในการด�ำ เนนิ กิจกรรม สอื่ /อุปกรณ์ 1. ผู้นำ�กลุ่มแนะน�ำ ตัวและให้สมาชกิ ทกุ คนแนะนำ�ตัว 2. ผเู้ ขา้ รว่ มกิจกรรมกำ�หนด กฎ กติกา ในการทำ�กจิ กรรมกลุม่ รว่ มกนั 3. ผ้นู ำ�กลมุ่ กล่าวนำ�เข้าสู่กิจกรรม 4. แจกใบความรู้ใหก้ บั ผเู้ ข้าร่วมกิจกรรมทุกคน และให้ความรู้ตามใบความ - ใบความรูท้ ่ี 1 เรือ่ งสุข รู้แกผ่ ู้เขา้ ร่วมกจิ กรรม อนามัยพ้นื ฐาน 5. หากผู้เขา้ รว่ มกจิ กรรมคนใดมขี ้อซักถามสามารถถามได้ และแลกเปล่ียนความรซู้ ึง่ กนั และกัน 6. แจกอุปกรณ์สำ�หรับฝึกทักษะการดูแลสุขอนามัยพื้นฐานแก่ผู้เข้าร่วม - แปรงสฟี ัน สบู่ และอืน่ ๆ กจิ กรรมทกุ คน ได้แก่ แปรงสฟี ัน สบู่ ฯลฯ 7. ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทกุ คนได้ฝึกทักษะตามทผี่ ู้ดำ�เนินกจิ กรรมสอน และ ฝกึ ปฏิบัติกนั เองในกลุ่ม โดยมีผูน้ �ำ กลุ่มคอยแนะนำ� 8. ให้ผู้ปว่ ยได้แลกเปลี่ยนประสบการณต์ ่อการดูแลสุขอนามยั พืน้ ฐานร่วมกัน 9. ประเมินทักษะการดูแลสุขอนามัยพนื้ ฐาน 10. ผูน้ ำ�กลมุ่ ให้สมาชกิ แต่ละคนสรปุ สง่ิ ท่ีไดจ้ ากการทำ�กจิ กรรม 11. ผนู้ ำ�กลมุ่ สรปุ สง่ิ ท่ีไดต้ ามใบความรู้

46 ข้ันตอนกจิ กรรม การดูแลตนเองเรอ่ื งการกินยา และการพบแพทยต์ ามนดั (60-90 นาท)ี ข้นั ตอน วิธีการในการดำ�เนนิ กจิ กรรม ส่อื /อปุ กรณ์ 1. ผู้น�ำ กลุม่ ทักทาย พดู คยุ เร่ืองทั่วไปเล็กน้อย และใหส้ มาชกิ แนะน�ำ ตัว 2. ผู้นำ�กลุม่ บอกวตั ถุประสงค์และกตกิ าในการท�ำ กลุ่มครงั้ นี้ 3. บรรยายเร่ืองประโยชน์ ความจ�ำ เปน็ ของการกนิ ยาต่อเน่อื งและการมา ใบความรู้ท่ี 2 พบแพทย์ตามนดั การดูแลตนเองเรื่องการกนิ ยา 4. ผ้นู �ำ กลุ่มชกั ถาม ถามวา่ ขณะนผ้ี ้ปู ่วยแตล่ ะคนทราบหรือไมว่ ่าตนเองกิน ใบความร้ทู ่ี 3 ยาอะไรบา้ ง โดยใหผ้ ูป้ ่วยผลัดกนั เล่า การเตรยี มตัวพบแพทย์ 5. แบ่งผปู้ ว่ ยออกเปน็ กลุ่มประมาณ 2-3 กลุม่ เพ่อื ฝกึ เรือ่ งการจัดยาโดยให้ ตลับแบ่งบรรจุยาขนาดเล็ก ผู้ป่วยแต่ละกลุ่มคัดเลือกตัวแทนออกมานำ�เสนอวิธีการจัดยาเข้าตลับ (คอนโดยา) แบง่ บรรจยุ าขนาดเลก็ (คอนโดยา) 6. ผนู้ ำ�กล่มุ น�ำ วิทยากรรว่ ม ไดแ้ ก่ เภสัชกร (หนว่ ยงานนัน้ ๆ) เพอ่ื บรรยาย - ยาชนิดตา่ ง ๆ เรือ่ งยา (ประโยชน์ การออกฤทธิ์ ผลขา้ งเคียงฯ) 7. ผูน้ �ำ กลุม่ กระตนุ้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยได้แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ และสรปุ อีกคร้งั 8. ใหผ้ ้ปู ่วยสรุปสิง่ ท่ีได้เรยี นรูจ้ ากกจิ กรรมน้ี โดยชื่นชมผู้ปว่ ยทีก่ นิ ยาอยา่ ง ต่อเนื่องและดแู ลตนเองไดด้ ี รวมถึงเสรมิ แรงจงู ใจเพอื่ ใหผ้ ้ปู ว่ ยมาพบ แพทย์ตามนดั และตระหนกั ถึงการเข้ามารับการรักษาอย่างต่อเน่อื งได้ ดว้ ยตนเอง ** หมายเหตุ กิจกรรมที่ 2 เรอื่ งการดูแลตนเองและพบแพทยต์ ามนัดอาจมาการ ประสานเภสัชกรประจำ�หนว่ ยงาน เพือ่ เปน็ วทิ ยากรรว่ มในการดำ�เนินกจิ กรรมทั้งน้เี พ่ือความถูกตอ้ งและชดั เจนของข้อมลู เรือ่ การใช้ยา

47 ใบความรทู้ ่ี 1 สุขอนามยั พืน้ ฐาน วธิ ีการดูแลสขุ ภาพของตนเอง โดยธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ เมอื่ เกิดปญั หาต่างๆ ขึ้นในชวี ติ กจ็ ะพยายามหาทาง แก้ปัญหาด้วยตวั เองเปน็ อันดบั แรก เมอ่ื รวู้ ่าไม่สามารถแก้ปญั หาได้เอง จะแสวงหาความชว่ ยเหลือจากผูอ้ ื่นในเร่ือง ความเจบ็ ปว่ ย หรือปญั หาสุขภาพกเ็ ชน่ เดยี วกัน ทกุ คนตอ้ งการท่จี ะดแู ลตนเองให้มีสุขภาพดอี ยู่เสมอ ดงั นั้น กล่าวได้ วา่ “การดแู ลสขุ ภาพตนเอง เปน็ กจิ กรรมทบี่ คุ คลแตล่ ะคนปฏิบตั ิ และยึดเปน็ แบบแผนในการปฏิบัติ เพอ่ื ให้มสี ขุ ภาพ ดี” อาจแบง่ ขอบเขตการดูแลสขุ ภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะ คือ 1. การดูแลสขุ ภาพตนเองในสภาวะปกติ เปน็ การดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชกิ ในครอบครัว ให้มีสุขภาพ แข็งแรง สมบรู ณอ์ ยเู่ สมอ ได้แก่ การดแู ลสง่ เสริมสขุ ภาพเพอื่ ใหส้ ขุ ภาพแขง็ แรง สามารถด�ำ เนนิ ชีวิตไดอ้ ยา่ งปกตสิ ขุ เชน่ การออกก�ำ ลังกาย การสรา้ งสขุ ลกั ษณะส่วนบคุ คลทีด่ ี ไม่ดมื่ สรุ า ไมส่ บู บุหรี่ หลกี เลีย่ งจากสิ่งที่เปน็ อนั ตรายต่อ สขุ ภาพ การป้องกนั โรค เพ่อื ไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เชน่ การไปรบั ภมู คิ ้มุ กนั โรคตา่ งๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกัน ตนเองไม่ให้ตดิ โรค 2. การดูแลสุขภาพตนเองเม่อื เจบ็ ปว่ ย ใหม้ ีสุขภาพสมบรู ณ์ และแข็งแรงอย่เู สมอ จะต้องปฏิบัติกิจกรรม ในด้านการสง่ เสรมิ สขุ ภาพอยา่ งสมำ�่ เสมอในชวี ติ ประจ�ำ วนั โดยยึดหลักสุขบญั ญตั ิ 10 ประการ และสำ�รวจสุขภาพ ตนเอง ดงั น้ี 2.1 ดูแลรกั ษารา่ งกาย และของใช้ใหส้ ะอาด - อาบน้ำ�ทกุ วัน อย่างน้อยวันละ 2 ครงั้ - การรกั ษาอนามัยของดวงตา ดวงตาเปน็ อวยั วะส�ำ คัญ เราควรหวงแหน และใหค้ วามเอาใจใส่ ควรปฏบิ ัตดิ งั น้ี - อา่ น หรอื เขยี นหนงั สือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมแี สงสวา่ งเพยี งพอ แสงเขา้ ทางดา้ นซ้าย หรอื ตรงขา้ มกับมือที่ถนัด หากรสู้ กึ เพลยี สายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่ - ดูโทรทัศน์ในระยะหา่ งอยา่ งน้อย 1 เมตรคร่ึง - บำ�รงุ สายตาด้วยการรบั ประทานอาหารท่มี ีคุณค่า เช่น มะละกอสกุ ฟักทอง และผักบ้งุ เป็นต้น - ใสแ่ วน่ กันแดด ถา้ จ�ำ เปน็ ตอ้ งมองในท่ๆี มแี สงสว่างมากเกนิ ไป - ตรวจสายตาอยา่ งนอ้ ยปลี ะ 1 คร้งั โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบ จักษแุ พทย์ เพ่ือตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา - การรักษาอนามัยของหู หเู ป็นอวัยวะทส่ี �ำ คัญอย่างหนงึ่ ของรา่ งกาย ทจ่ี ะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้ - เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เทา่ ที่น้ิวจะเขา้ ไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขย่ี ใบหู รูหู - คนทมี่ ปี ระวัติวา่ มีการอักเสบของหู ต้องระวงั ไม่ใหน้ �ำ้ เข้าหเู ดด็ ขาด - หากมีนำ้� เข้าหู ใหเ้ อยี งหูข้างนั้นลง นำ้� จะคอ่ ยๆ ไหลออกมาได้เอง หรอื ใช้ไมพ้ นั ส�ำลีเช็ด บรเิ วณช่องหดู า้ นนอก - ใสเ่ สอ้ื ผ้าทสี่ ะอาด ไมอ่ บั ชน้ื และให้ความอบอุ่นเพียงพอ การรกั ษาความสะอาดของเส้อื ผ้า เคร่อื งนุ่งหม่ และเครอ่ื งนอนเปน็ สง่ ส�ำคญั เสื้อผา้ ท่ีใช้แลว้ ทิง้ ชนั้ นอกและชัน้ ใน ตอ้ งมีการท�ำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซกั ฟอกทกุ ครัง้ น�ำไปผ่งึ หรอื ตากแดดใหแ้ ห้ง ประการส�ำคัญ การสวมเส้ือผา้ ตอ้ งใชใ้ ห้เหมาะสมกับสภาพ อากาศ ไม่ใสเ่ สอื้ ผ้าซ้ำ� ๆ หรือซกั ไมส่ ะอาด อบั ชนื้ เพราะจะท�ำให้เกดิ โรคผิวหนงั ได้

48 2.2 รกั ษาฟันใหแ้ ข็งแรง และแปรงฟันทกุ วนั อยา่ งถูกตอ้ ง - แปรงฟนั อยา่ งน้อยวนั ละ 2 คร้ัง หลีกเล่ยี งขนมหวาน เชน่ ลกู อม แปรงฟัน หรอื บว้ นปาก หลงั รับประทานอาหาร ไมใ่ ช้ฟนั ขบเคี้ยวของแขง็ 2.3 ล้างมอื ใหส้ ะอาดก่อนรบั ประทานอาหาร และหลงั การขับถา่ ย - ควรลา้ งมอื ให้สะอาดทุกคร้ัง กอ่ นและหลงั การปรุงอาหาร รวมท้ังกอ่ นรบั ประทานอาหาร และหลงั การขับถ่าย เปน็ การปอ้ งกนั การแพร่เชื้อ และตดิ เช้อื โรคได้ ควรล้างมอื ใหถ้ ูกวธิ ี ดังน้ี - ใหม้ ือเปยี กนำ้� ฟอกสบู่ ถูให้ท่วั ฝา่ มอื ดา้ นหน้า และดา้ นหลังมอื - ถตู ามง่ามนิ้วมือ และซอกเลบ็ ใหท้ ัว่ เพ่ือใหส้ ิง่ สกปรกหลุดออกไป พรอ้ มทง้ั ถูกข้อมอื - ล้างน�้ำใหส้ ะอาด แล้วเชด็ มอื ให้แหง้ ดว้ ยผา้ ทสี่ ะอาด 2.4 รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลกี เลี่ยงอาหารรสจดั สีฉดู ฉาด - เลือกซือ้ อาหารสด สะอาด ปลอดสารพษิ โดยค�ำนงึ ถึงหลกั 3 ป. คอื ประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด - ปรุงอาหารที่ถูกสขุ ลักษณะ และใชเ้ คร่ืองปรุงรสทถ่ี ูกตอ้ ง โดยค�ำนึงถึงหลกั 3 ส. คอื สงวนคณุ คา่ สกุ เสมอ สะอาดปลอดภัย - รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความตอ้ งการของรา่ งกาย - รบั ประทานอาหารปรงุ สุกใหม่ และใชช้ ้อนกลางในการรับประทานอาหารรว่ มกนั - หลีกเล่ยี งการรบั ประทานอาหารสกุ ๆ ดบิ ๆ อาหารรสจัด อาหารทใ่ี ส่สีฉดู ฉาด - ด่มื นำ้� สะอาดอยา่ งน้อยวันละ 8 แกว้ 2.5 งดบุหร่ี สรุ า สารเสพยต์ ิด การพนนั และการส�ำส่อนทางเพศ - ไม่เสพสารเสพย์ติดทุกชนดิ เช่น บุหร่ี สรุ า ยาบ้า กัญชา กาว ทินเนอร์ - งดเล่นการพนันทุกชนดิ - ไม่มั่วสมุ ทางเพศ 2.6 สร้างความสมั พันธใ์ นครอบครัวให้อบอุ่น - ทกุ คนในครอบครัวช่วยกนั ท�ำงานบา้ น - มกี ารปรกึ ษาหารือ และแสดงความคิดเห็นรว่ มกนั - การเผือ่ แผ่นำ�้ ใจซึ่งกันและกนั - การท�ำบญุ และได้ท�ำกิจกรรมสนุกสนานรว่ มกัน 2.7 ปอ้ งกนั อุบตั ิเหตดุ ้วยความไม่ประมาท - ดูแล ตรวจสอบ และระมดั ระวังอุปกรณเ์ ครอื่ งใชภ้ ายในบา้ น เช่น ไฟฟา้ เตาแกส๊ ของมีคม ธปู เทยี นทจ่ี ุดบูชาพระ และไมข้ ดี ไฟ - ระมดั ระวงั เพ่ือป้องกันอุบตั ภิ ยั ในทส่ี าธารณะ เช่น การใช้ถนน โรงฝกึ งาน สถานที่กอ่ สรา้ ง และชมุ ชนแออดั 2.8 ออกก�ำลงั กายสม�่ำเสมอ และตรวจสขุ ภาพประจ�ำปี - การออกก�ำลังกายช่วยใหร้ ่างกายแขง็ แรง เจรญิ เติบโตสมวัย กระตุ้นให้กระดกู ยาวข้นึ และ แข็งแรงขน้ึ ท�ำใหส้ ูงสงา่ บุคลกิ ดี และยงั ช่วยผ่อนคลายความเครียด จากการท�ำงาน ตลอดจนเพ่มิ ภมู ติ า้ นทานแก่ ร่างกาย โดย

49 - ออกก�ำลังกายอยา่ งนอ้ ยสัปดาห์ละ 3 วนั ครงั้ ละ 20-30 นาที - ออกก�ำลงั กาย และเล่นกฬี าให้เหมาะสมกบั สภาพรา่ งกาย และวัย - ตรวจสอบสุขภาพประจ�ำปอี ยา่ งน้อยปลี ะครั้ง 2.9 ท�ำจติ ใจใหร้ า่ เรงิ แจ่มใสอยู่เสมอ - พกั ผ่อน และนอนหลบั ใหเ้ พียงพอ - จัดส่ิงแวดลอ้ มท้ังในบ้าน และนอกบ้านใหน้ ่าอยู่ - มองโลกในแงด่ ี ใหอ้ ภัย และยอมรับข้อบกพรอ่ งของคนอน่ื - เมือ่ มีปญั หาไม่สบายใจ ควรหาทางผอ่ นคลาย ในทางที่ถูกตอ้ งเหมาะสม 2.10 มีส�ำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสรา้ งสรรคส์ ังคม - ใชท้ รพั ยากร เช่น น้�ำ ไฟ อยา่ งประหยดั หลีกเลีย่ งการใชว้ สั ดุ อปุ กรณท์ ่กี ่อให้เกิดพิษต่อ ส่ิงแวดล้อม เชน่ ถงุ พลาสติก โฟม ตลอดจนการร่วมมือกัน รักษาความสะอาด และเปน็ ระเบียบของสถานท่ที �ำงาน และที่พัก เป็นตน้