รายงานฉบับสมบรู ณ์ โครงการ การพัฒนาศนู ยน์ วัตกรรมการเสรมิ สรา้ งพลงั ทางวชิ าการดา้ นความเป็นธรรม เพอ่ื สนบั สนนุ งานวิจยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ : กรณกี ารพฒั นาพลงั เครือข่ายสถาบนั วชิ าการนิตศิ าสตร์มหาวิทยาลัยภูมภิ าค 3 สถาบนั คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ และ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ สญั ญาเลขท่ี RDG62M9078 โดย นายไพสฐิ พาณชิ ย์กลุ และคณะ สนับสนุนโดย สานักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม (สกสว.)
สญั ญาเลขท่ี RDG62M9078 รายงานฉบับสมบรู ณ์ โครงการ การพฒั นาศนู ย์นวตั กรรมการเสรมิ สร้างพลังทางวิชาการดา้ นความเปน็ ธรรมเพ่อื สนบั สนุนงานวจิ ยั เพอ่ื ท้องถิ่น : กรณีการพัฒนาพลงั เครอื ข่ายสถาบันวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยภูมภิ าค 3 สถาบนั คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่ปี รึกษาโครงการ รศ.ดร.อาวรณ์ โอภาสพฒั นกิจ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ รศ.ดร.พรชยั วิสทุ ธิศกั ดิ์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายไพสิฐ พาณชิ ย์กลุ หัวหนา้ โครงการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ผศ.บุญชู ณ ปอ้ มเพ็ชร คณะผูว้ ิจัย ผศ.สุธาสนิ ี สภุ า คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ผศ.ดร.อุษณยี ์ เอมศริ านนั ท์ คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ นางสาววราลกั ษณ์ นาคเสน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ นายเขมชาติ ตนบญุ คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ สนบั สนนุ โดย สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วจิ ยั และ นวตั กรรม (สกสว.)
บทคัดยอ่ การสร้างเครอื ข่ายความรว่ มมือทางวชิ าการของคณะนติ ิศาสตร์หลายสถาบนั การศึกษา ภายใต้ ความร่วมมือของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยในภูมิภาคท่ีเกิดขึ้น เป็นผลมาจากการประเมิน สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทย ภายหลัง จากการทบทวนถึงปัญหาทางกฎหมายและความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นพบว่ามีงานศึกษาและงานวิจัย ทางกฎหมายในประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางด้านเศรษฐกิจ ความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากนโยบายของรัฐ เฉพาะพื้นที่ ฯลฯ ซึ่งงานศึกษาและงานวิจัยมีเป็นจำนวนมากที่เกิดจนส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง ภาพรวมของประเทศ จากงานศึกษาและงานวิจัยท่ีสะท้อนปัญหาในเชงิ โครงสร้างดังกล่าวเหล่าน้ี ทำให้ เกดิ คำถามในเชิงบทบาทของคณะนิติศาสตร์ในสถาบนั การศึกษาต่างๆ ในการพัฒนาระบบความร่วมมือ ทางวิชาการที่จะดึงศักยภาพของคณะนิติศาสตร์และการสร้างความร่วมมือในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อ ยกระดับการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมจากรายกรณีในแต่ละเรื่อง ให้ไปสู่การทำงานเพื่อแก้ปัญหาใน เชิงโครงสร้าง และในเชิงแนวคิดในภาพรวม โดยใช้บริบทของสถานการณ์จริงในพื้นที่ต่างๆ ในภูมิภาค และของประเทศเปน็ ประเด็นในการดำเนนิ การ เปา้ หมายของงานวิจัยครงั้ นจี้ ึงมขี ้นึ เพอื่ สนบั สนุนงานวิจัยและการพฒั นานวตั กรรมในดา้ นความ ร่วมมือทางวิชาการเพื่อสังคมและชุมชน โดยการพัฒนาความร่วมมือในเชิงเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การ สร้างองค์ความรู้ใหมข่ องแต่ละสถาบันที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ และการพัฒนาระบบการ ให้บรกิ ารร่วมทางวิชาการ การวิจยั ของเครือข่ายคณะนติ ศิ าสตร์มหาวิทยาลยั ในภูมภิ าค จากการดำเนนิ มีผลลพั ธ์จากการดำเนินกิจกรรม 3 สว่ น คอื 1. การเชื่อมโยงพัฒนาเครือข่าย “นิติศาสตร์เพื่อสังคม” และการพัฒนางานวิจัยและ บริการวชิ าการของเครอื ข่ายนิติศาสตร์ การสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและการบริการวิชาการระหว่างคณะนิติศาสตร์ในระดับ ภูมิภาค โดยการทำข้อตกลงการทำงานร่วมกันภายใต้ชื่อ “เครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม” ของคณะ นติ ศิ าสตร์ในสถาบันการศกึ ษาในภมู ิภาค 14 สถาบนั เพ่ือเกดิ การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ การพัฒนางานวิจัย ร่วมกนั เพอื่ นำไปสู่การตอบสนองต่อโจทยท์ ี่เปน็ ปัญหาของสังคม ภายใตก้ ารดำเนนิ การของงานวิจยั คร้ัง น้ีได้เกิดความเปน็ รปู ธรรมของเครือขา่ ยนิตศิ าสตร์เพ่อื สงั คมที่เขา้ มาดำเนนิ การรว่ มกนั ไดแ้ ก่ 1) การพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนการเรียนการสอน ระหว่างคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยคณาจารย์ผู้สอนได้ร่วม เขา้ สอนผ่านระบบออนไลนก์ ับนกั ศกึ ษาของทง้ั สองมหาวทิ ยาลยั 2) การผลกั ดนั และมีตวั แทนมหาวิทยาลยั เข้าไปเป็นคณะอนุกรรมการการสภานติ ิศึกษาแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการการสภานิติศึกษาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 มีคณบดีคณะนิติศาสตร์ในเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม จำนวน 7 มหาวิทยาลัยเป็น อนุกรรมการ ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายในการพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย พัฒนาหลักสูตร ก
กระบวนการเรียนการสอนใหม้ ีสัดส่วนภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบัติทีส่ ามารถพัฒนาบณั ฑิตด้านนิติศาสตร์ ใหส้ ามารถปฏิบัตงิ านและช่วยแกไ้ ขปัญหาในชมุ ชนและสงั คมได้จรงิ 3) การจัดทำฐานข้อมูลความรู้ความเชี่ยวชาญของคณาจารย์ในเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม ท่ี เป็นขอ้ มลู ความเชย่ี วชาญด้านกฎหมายแต่ละสาขาของคณาจารย์นิติศาสตร์ในเครือข่ายนติ ิศาสตร์ และ ความเชี่ยวชาญในศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นฐานข้อมูล (Data Base) ในการสร้างความร่วมมือและ การพัฒนาความรู้ร่วมกันระหว่างคณาจารย์ที่มีองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะร่วมกันในการสร้าง องคค์ วามรู้ และพฒั นาโจทยว์ ิจัย การบริการวิชาการ นอกจากน้นั ฐานขอ้ มลู ดงั กลา่ วยังจะเปน็ ประโยชน์ ต่อบุคคลภายนอกที่จะได้ทราบถึงความเชี่ยวชาญของคณาจารย์ในเครือข่ายคณะนิติศาสตร์ที่จะขอ ความร่วมมือในการแก้ไขปญั หาได้ตรงตามความเชยี่ วชาญของคณาจารย์ 2. การพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรภายนอก ด้านงานวิจัยและบริการ วชิ าการ เครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคมได้พัฒนาความร่วมมือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นภาคีและ การมสี ว่ นร่วมในการดำเนินร่วมกันผลักดนั ขอสนบั สนนุ จากแหลง่ ทุนต่างๆ ได้แก่ 1) การพัฒนาโครงการพัฒนาระบบยุติธรรมชุมชนเพื่อสังคมสุขภาวะร่วมกับสำนักงาน คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสำนักงานกิจการยุติธรรม (สกธ.) ได้สนับสนุนทุนในด้านวิจยั และบริการวิชาการในประเด็นเรื่องความเป็นธรรมและการลดความเหลื่อมล้ำ ให้กับมหาวิทยาลัยใน เครอื ขา่ ยนิติศาสตร์ฯ 2) การพัฒนาความร่วมมือศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในการพัฒนาข้อตกลง ด้านวิจัยและบริการวิชาการร่วมกันระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์ฯ กับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ในการ ประเด็นการพัฒนาโจทย์/เวทีวิชาการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการพัฒนาองค์ความรู้ในสาขานิติศาสตร์ มานุษยวทิ ยา ประเด็นกฎหมายในดา้ นต่างๆ 3) การพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันพระปกเกล้า เพื่อพัฒนางานวิจัยประเด็นสิทธิชุมชนและ การสรา้ งความเขม้ แข็งให้กับชุมชน และ 4) การจดั เวทวี ิชาการร่วมกนั ระหว่างเครือขา่ ยนิติศาสตร์และสำนักงานกิจการยุตธิ รรม (สกธ.) เป็นการประชุมทางวิชาการระดบั ชาติว่าดว้ ยงานยุติธรรม คร้งั ท่ี 18 “การอำนวยความยุตธิ รรมในยุควิถี ใหม่สู่ประชาชน” ในประเด็นกระบวนการยุติธรรมยุคใหม่กับการสร้างความเป็นธรรมในการจัดการ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ข
3. แนวทางการพฒั นาเครอื ขา่ ยนิติศาสตร์เพอื่ สังคมในอนาคต การขับเคลอื่ นของเครือขา่ ยนติ ิศาสตร์เพ่ือสังคมในอนาคตต่อไป เครือข่ายคณะนิติศาสตร์จะได้ ดำเนนิ การตอ่ ไปในอนาคต ดงั นี้ 1) การพัฒนาโจทย์วิจัยและการดำเนินการบริการวิชาการร่วมกันของเครือข่ายนิติศาสตร์ ใน ประเด็นด้านต่างๆ ท่ีมีการหยิบยกขึ้นมาระหว่างสมาชิกของเครือข่ายนิติศาสตร์ เพื่อให้เกิดการสร้าง ความรู้ การแลกเปลี่ยน และการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการลดความเหลื่อมล้ำและ ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมทีเ่ ป็นประเด็นปัญหาร่วมกันท้ังในภูมิภาคและระดับประเทศ เช่น ประเด็นด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นเรื่องชาติพันธุ์ ประเด็นความ เหลอื่ มล้ำในโลกสมัยใหม่ ประเดน็ เร่ืองสทิ ธมิ นุษยชน ประเด็นดา้ นเทคโนโลยีและประเดน็ เร่ืองสุขภาวะ ทางสังคม เพื่อตอบสนองต่อปัญหาสังคมที่มีพลวัตรของปัญหาที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างต่อเนื่องและให้ ทันทว่ งที 2) การร่วมมือพัฒนาหลักสูตรระยะสั้นระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสร้างความรู้ทาง กฎหมายให้กับสังคมและหน่วยงานของรัฐ เช่น กฎหมายปกครอง กฎหมายภาษี กฎหมายแรงงาน กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมไปถึงการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองต่อความต้องการ โดยเฉพาะปญั หาทางของสงั คม รวมถึงการพฒั นาหลกั สตู รร่วมกนั ทเ่ี นน้ การพฒั นาทักษะและการเรียนรู้ นอกห้องเรียนให้กบั นกั ศึกษา 3) การสรา้ งแบรนด์ (Brand) ใหเ้ ครือข่ายนติ ศิ าสตรใ์ ห้มีความชดั เจนว่าจะมุง่ เนน้ ทีเ่ กยี่ วกับการ รับผิดชอบต่อปัญหาของสังคม เช่น สิทธิมนุษยชน ทรัพยากรธรรมชาติ ชาติพันธุ์ เพื่อเกิดอัตลักษณ์ (Identity) และความชัดเจนในการดำเนินการของเครือข่ายนิติศาสตร์ และการเผยแพร่ผลงานทาง วิชาการของเครือข่ายคณะนิติศาสตร์ฯ ตอ่ สังคม เพ่อื สร้างเป็นประเด็น (Problem Base) ร่วมกัน ท้ังที่ เป็นประเด็นเชิงปัญหา (Issues Based) และประเด็นเชิงพื้นที่ (Area Based) และการสร้างเครือข่าย ชมุ ชนเพิม่ เติมไปจากเครือข่ายทมี่ อี ยูเ่ ดิม 4) การผลักดันคณาจารย์ของคณะนิติศาสตร์ทีเ่ ป็นเครอื ข่ายนิติศาสตร์เขา้ มามีส่วนร่วมทำวิจยั และบริการวิชาการร่วมกันมากขึ้น เพื่อสร้างองค์ความรู้ของคณาจารย์ รวมถึงการพัฒนาการศึกษาของ นักศึกษารว่ มกันซ่ึงจะมีสว่ นชว่ ยในการพฒั นาภาพรวมของสถาบันนิติศาสตร์ของประเทศไทย 5) การประสานงานขอรับการสนับสนุนทุนงบประมาณการวิจัยจากหน่วยหนุนทุนวิจัย Program Management Unit (PMU) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการบริหารงบประมาณวิจัยของกองทุน วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และภาคีเครือขา่ ยอ่นื ๆ ค
Abstract The academic collaboration between law schools under the cooperation of universities in regions of Thailand results from evaluating the inequality situations in various areas. After reviewing legal problems and inequality situations, the findings indicated that there are plenty of studies and research on different topics on legal issues: for example, legal problems on natural resources and environmental management law, the problem of economic inequality, inequality of state policies and its implementations in a particular area. The studies that presented structural problems led to a question on the role of law schools in developing their academic cooperation system to bring out the potential of law schools and to initiate academic network at a university level in order to lift each inequality issue to be the project that can tackle a structural problem and legal concept based on the context of each region. The aims of this research were set up to support research and innovation in academic cooperation for society and community by developing academic cooperation in order to establish new knowledge of each institution that meets the demands of each area as well as developing the educational service system on research among law schools in the regions. Regarding the research progression, the results are: 1. Collaboration of “Law for Society Network” and development on research and academic services of law schools Cooperation on research and academic services was coined by law schools in Thailand regions under the name, “Law for Society Network,” of 14 law schools for exchanging knowledge, learning, and developing research projects altogether to answer the social problems. Under this research project, the concrete network of “Law for Society” emerged, which can be identified as follows: 1) The development on exchanging and sharing knowledge in lecturing between Faculty of Law, Chiang Mai University and Prince of Songkla University when the lecturers from both universities attended the online course for collaborated classes of law students from both universities. 2) The achievement on encouraging the university's representatives to be members of the “National Law Education Assembly” that the list of its sub-committees was announced on 27 April 2021. On this list, the Deans of 7 law schools are the members of the “Law for Society network” with the responsibility to set out a policy for developing legal professionals and designing law school curriculums that strike a balance between theory and practice for those who hold a law degree from being able to work and solve community and social problems. ง
3) The database on knowledge and skills that was prepared for lecturers of the Law for Society Network, which shows area of legal expert of each lecturer in the network as well as skills in other areas to be an entire database for collaboration and development between lecturers with common skills or similar interests in providing knowledge, developing research skill and launching academic service. Additionally, this database will be worthwhile for the outsiders to get to know each lecturer's specific skill when such skill is needed. 2. The development in cooperation with external organisations on research and academic services The Law for Society Network develops its cooperation with other organisations to establish an association and participation requiring support and funding from sources of research funds. 1) The development project on community justice and just society with association to the National Health Commission Office (NHCO) and the Office of Justice Affairs (OJA) funded research and academic services regarding enhancing equality and eliminating inequality projects initiated by the universities participating with Law for Society Network; 2) The development of the cooperation with the Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre in advancing an agreement on research and academic services between Law for Society Network and the Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre in bootsing research questions or academic platforms in the consistency of legal knowledge, anthropology, and other legal issues; 3) Development in collaboration with King Prajadhipok’s Institute for developing research topic on the community rights issue and strengthening for community and; 4) By launching academic platforms between Law for Society Network and Office of Justice Affairs (OJA) in the 18th National Academic Conference under the title of “Providing Justice in the New Age for the People” regarding the issue of the legal system at the new age and natural resource and environmental management. 3. The pathway for developing Law and Society Network in the future The movement of Law for Society Network in the future is planned as follows: 1) Developing research questions and process of academic services of Law for Society Network in various issues that a member of the Network has raised to set out the new knowledge, sharing knowledge and providing legal services to eliminate inequality and to respond to the need of the society on common issues of the regions as well as of national level: for example, the issues of natural resource management, จ
ethnicity, inequality in the modern world, human rights, technology, and social well- being to interact with dynamic of social problems with continuity and in time. 2) Collaboration on initiating a short course between Law for Society Network to build legal knowledge for social and governmental organisations such as administrative law, tax law, labour law, and local municipal law, including developing the courses that meet the demands for solving social problems and advancing jointed curriculum with the underline on skills and the way of learning outside the classroom for students. 3) Building the brand for Law for Society Network to address its purpose on responsibility and accountability for society such as human rights, natural resources, and ethnicity to construct “identity” and clarity of Law for Society Network’s processing and publishing academic paper to society that will coin the problem base, in the issued based and the area based while expanding the network community from the current one. 4) Encouraging the lecturer from Law for Society Network to join research projects and academic services to create new knowledge among lecturers and develop education among students that will enhance the efficiency of Thai legal institutions. 5) Initiating cooperation to apply for research funding with the resource center so-called Program Management Unit (PMU), an essential mechanism in financial management for Thailand Science Research and Innovation (TSRI), and other associations. ฉ
สารบัญ บทคัดยอ่ บทนำ หนา้ Abstract 1. ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา ก สารบญั 2. วตั ถปุ ระสงค์ ง ส่วนท่ี 1 3. นิยามศัพท์ 4. ขอบเขตการวจิ ัย ช สว่ นท่ี 2 5. วิธีการดำเนนิ การวจิ ยั 6. แผนการดำเนนิ งาน 1-1 ส่วนท่ี 3 7. ผลทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ 1-1 1-3 ส่วนท่ี 4 ทบทวนวรรณกรรม 1-3 1.ทบทวนแนวคิดและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง 1-3 1-4 1.1 แนวคิดเรอ่ื งการเสรมิ พลัง (Empowerment) 1-5 1.2 แนวคิดเรอ่ื งวงจร Deming หรอื วงจร PDCA 1-7 1.3 แนวคดิ ว่าด้วย Social movement และ Social justice 2. งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง 2-1 2-1 การดำเนนิ กิจกรรมภายใต้โครงการฯ 2-1 1. การเชื่อมโยงและพัฒนาขยายเครือขา่ ย “นติ ศิ าสตร์เพ่ือสังคม” 2-3 2. การเตรียมประเด็นเพื่อการทำงานวิจัยและบริการวิชาการร่วมกัน 2-6 ของเครือข่ายวชิ าการ 2-7 3. การพัฒนาความรว่ มมือกับหนว่ ยงาน/องคก์ รภายนอกอ่ืนๆ 3-1 สรปุ ผลการดำเนินโครงการ 3-2 1. ผลการดำเนินกจิ กรรมภายใตโ้ ครงการฯ 3-19 2. ผลลัพธแ์ ละผลกระทบทีเ่ กิดข้ึนจากการดำเนนิ โครงการ 3. แนวทางการพฒั นาเครือขา่ ยนติ ิศาสตรเ์ พ่ือสังคมในอนาคต 3-19 4. ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการ 5. แนวทางการแกไ้ ขปัญหาอุปสรรคในการดำเนนิ กิจกรรม 4-1 4-1 4-2 4-4 4-5 4-6 ช
สารบัญ (ต่อ) ภาคผนวก ก บันทึกการประชุมบทบาทของเครือข่าย นิติศาสตร์กับการรับใช้สังคม ภายใต้สถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรค COVID-19 วนั ท่ี 23 เมษายน 2563 ผา่ นระบบ Zoom ภาคผนวก ข การประชุมบทบาทของเครือข่าย นิติศาสตร์กับการรับใช้สังคม ภายใต้ สถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรค COVID-19 วันที่ 2 มิถุนายน 2563 ผา่ นระบบ Zoom ภาคผนวก ค เอกสารประกอบการประชุม “เครือข่ายนิตศิ าสตร์เพื่อสังคม: การพัฒนา งานวจิ ยั และบริการวชิ าการ” วันที่ 17 กรกฎาคม 2563 ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอรพ์ อรต์ กรุงเทพฯ ภาคผนวก ง ถอดเทปการประชุม “เครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม : Workshop ประเด็นปัญหาโครงสร้างทางกฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ” วันที่ 20 สิงหาคม 2563 ณ โรงแรมอมารี ดอนเมอื ง แอรพ์ อร์ต กรงุ เทพฯ ภาคผนวก จ บนั ทกึ ขอ้ ตกลงความร่วมมือเครอื ขา่ ยนิตศิ าสตรเ์ พอ่ื สงั คม 15 สถาบนั ภาคผนวก ฉ บนั ทกึ ข้อตกลงความร่วมมือ สำนักงานกิจการยตุ ิธรรม กระทรวงยุติธรรม กับเครือข่ายนิติศาสตรเ์ พอื่ สังคม 15 สถาบนั ภาคผนวก ช รายงานการประชุมเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม ครั้งที่ 1/2564 วนั พธุ ท่ี 27 มกราคม 2564 ผา่ นโปรแกรม ZOOM ซ
สว่ นที่ 1 บทนำ 1. ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา ในปัจจุบันภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูประบบการอุดมศึกษาและการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม ตามพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 และ พระราชบญั ญัตกิ ารสง่ เสริมวทิ ยาศาสตร์ การวิจัย และนวตั กรรม พ.ศ. 2562 ทำให้เกิดการเปลย่ี นแปลง ในด้านท่ีสำคัญสามประการ คือ หนึ่ง การกำหนดหน้าที่ใหม่ของสถาบันการอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าที่ในการสร้าง นวัตกรรม 1 สอง การสร้างกลไกในการกำหนดทศิ ทางของการวิจัยท่ีมุง่ เป้าในการพฒั นาประเทศ และ สาม การกำหนดวธิ ีการงบประมาณท่ีมีผลเปน็ การเปลยี่ นแปลงบทบาทและรปู แบบการบริหาร ระบบการอดุ มศกึ ษาของประเทศ ซึ่งโดยนัยของกฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดกระบวนการในการจัดการเรียนการสอน การวิจัย การให้บริการทางวชิ าการและการทำนุบำรุงศลิ ปวัฒนธรรมแบบใหมๆ่ ทที่ ำใหส้ ถาบนั อดุ มศึกษาจะต้อง มาบรู ณาการภาระกิจตา่ งๆ ร่วมกัน ใ น ปี พ . ศ . 2558 ม ห า ว ิ ท ย า ล ั ย เ ช ี ย ง ใ ห ม ่ ม ห า ว ิ ท ย า ล ั ย ข อ น แ ก ่ น แ ล ะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้พัฒนาความร่วมมือระหว่างสามสถาบันขึ้น และได้จัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันติดตอ่ กันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างย่ิงกิจกรรมที่เก่ียวกับการพัฒนาระบบการบริหารการ จัดการ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาระบบการบริหารมหาวิทยาลัยในกำกับ และการสร้างความร่วมมือ ทางวิชาการในดา้ นต่างๆ ร่วมกนั และภายใต้ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสามมหาวิทยาลัยดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2562 คณะนิติศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยก็ได้พัฒนาและยกระดับความร่วมมือในระดับคณะเพื่อดำเนิน กิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน รวมตลอดถึงการจะพัฒนางานทางวิชาการร่วมกัน การส่งเสริมให้เกิดการ แลกเปลี่ยนบุคลากร อาจารย์ และนักศึกษา เพื่อสร้างและดำเนินกิจกรรมในทางวิชาการนิติศาสตร์ ร่วมกนั 1 พระราชบัญญตั ิการสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์ การวจิ ัย และนวตั กรรม พ.ศ. 2562 มาตรา 26 สถาบนั อดุ มศึกษามีหนา้ ที่และอำนาจ ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) การจัดการศึกษา (2) การวิจยั และการสรา้ งนวัตกรรม (3) การบริการวชิ าการแก่สงั คม (4) การทะนบุ ำรุงศิลปะและวัฒนธรรม (5) หนา้ ที่และอำนาจอนื่ ตามทีก่ ฎหมายกำหนด 1-1
ดว้ ยเหตุดังนัน้ จากความประสงค์และตามเจตนารมณ์ร่วมกนั ของคณะนติ ิศาสตรท์ ั้งสามซ่ึงล้วน ต้งั อย่บู นสำนกึ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมทจ่ี ะดแู ลปญั หาความไมเ่ ป็นธรรมต่างๆ ในพน้ื ทรี่ ะดบั ภมู ิภาคซึ่ง เป็นความตั้งใจและเป็นภารกิจของคณะและมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ดังนั้น ความร่วมมือกันของคณะ นิติศาสตรข์ องทง้ั สามมหาวทิ ยาลัยดังกล่าวนส้ี ามารถท่ีจะพัฒนาระบบความร่วมมือในเชงิ ของการบูรณา การในการนำความสามารถทางวิชาการของคณะแต่ละคณะทั้งระดับภายในคณะและระดับระหว่าง มหาวิทยาลัยเพื่อไปสู่การออกแบบระบบหรือการพัฒนาวิธีการใหม่ๆ ในเชิงการให้บริการวิชาการ การ วจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการ รวมถงึ การจัดการเรียนการสอนท่ีเป็นการศึกษาเรยี นรู้ เพือ่ เกอ้ื หนนุ เสริมพลงั สร้าง โครงข่ายการสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ให้ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาความไม่เป็น ธรรมในมิติต่างๆ ที่เป็นปัญหาของชุมชนตนเอง การนำความรู้ความเข้าใจในมิติทางกฎหมายไปใช้ ประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของนโยบายและกฎหมายการปฏิรูประบบการ จดั การอดุ มศึกษา การวจิ ัยและการสรา้ งนวัตกรรม เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดความคิดในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของคณะ นิติศาสตร์ ภายใต้ความร่วมมือของสามมหาวิทยาลัยมาจากการประเมินสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ และพื้นที่ในบริการของทั้งสาม สถาบนั ภายใตก้ ารบริการทางวชิ าการของคณะนิติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ จากการทบทวนงานศึกษา หรอื งานวจิ ัยที่เกีย่ วข้องกับปัญหาในทางกฎหมาย ปัญหาความไมเ่ ป็นธรรมทเ่ี กิดข้ึนในภูมิภาค พบว่ามี งานศึกษาและงานวิจัยอยู่จำนวนหนึ่งแต่แยกออกเป็นส่วนๆ แต่ยังไม่เห็นในเชิงภาพรวมทั้งหมด อาทิ เช่น ปัญหาจากระบบกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ปัญหาความไม่เป็นธรรม ทางดา้ นเศรษฐกจิ ปญั หาความไมเ่ ปน็ ธรรมจากทเ่ี กดิ จากโครงการของรัฐ ปญั หาความไม่เป็นธรรมที่เกิด จากนโยบายของรัฐเฉพาะพน้ื ท่ี ฯลฯ จากงานศึกษาทีส่ ะท้อนปัญหาในเชงิ โครงสรา้ งดังกลา่ วเหล่านี้ ทำ ใหเ้ กดิ คำถามในเชิงบทบาทของคณะนติ ิศาสตร์ และของสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะสถาบันอดุ มศึกษา ซึ่งในปัจจุบันภายใต้พระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติการส่งเสริม วิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของ สถาบันอุดมศกึ ษาอย่างชดั เจนในการที่จะต้องมีบทบาทหนา้ ท่ีในการ “พัฒนา” ประเด็นสำคัญก็คือ รูปแบบการทำงานที่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ จะทำหน้าที่ในการพัฒนา ประเทศโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน และ ตั้งอยู่บนความเป็นธรรม” นั้น ที่ผ่านๆมาคณะ นิติศาสตร์ซึ่งทำหน้าที่ผลิตบณั ฑิตทางกฎหมาย ทำหน้าที่ในการศึกษาวิจัย ให้บริการทางวิชาการ และ ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม คณะนิติศาสตร์โดยผ่านทางการจัดการเรียนการสอน การวิจัย มีส่วนใน การทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม หรือ มีส่วนช่วยในการสร้างความเป็นธรรม ลด ความเหล่อื มล้ำ บา้ งหรือไมอ่ ย่างไร ความพยายามของคณะนิติศาสตร์ทั้งสามสถาบันในการพัฒนาระบบความร่วมมือทาง วชิ าการตอ้ งการท่ีจะดึงศักยภาพของคณะและในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อยกระดับการแก้ปัญหาความไม่ เปน็ ธรรมจากรายกรณีให้ไปสู่การทำงานเพ่ือแก้ปญั หาในเชิงโครงสร้าง และในเชงิ แนวคดิ โดยใช้บริบท ของสถานการณ์จรงิ ในพน้ื ทต่ี า่ งๆ ในระดบั ภูมภิ าคและของประเทศเปน็ ประเด็นในการดำเนนิ การ ดังนน้ั การบรู ณาการให้เกดิ ความรว่ มมือทางวิชาการและมีการทดลองปฏบิ ัตจิ ริงจงึ เป็นกลไก สำคัญท่จี ะรเิ ร่ิมการแก้ปญั หาความไมเ่ ปน็ ธรรมและความเหล่ือมลำ้ ในบรบิ ทจรงิ ของสังคม 1-2
2. วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื ประมวลและพฒั นาชุดความรูว้ า่ ด้วยการเสริมสร้างพลังทางวชิ าการด้านความเป็นธรรม เพอื่ สนับสนุนงานวิจัยเพอ่ื ทอ้ งถิ่น 2. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขึ้นจากการเสริมสร้างพลังทางวิชาการด้านความเป็นธรรม เพื่อสนับสนุนงานวิจัยเพอ่ื ทอ้ งถ่นิ 3. เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการร่วมทางวิชาการ การวิจัย ของคณะนิติศาสตร์ของทั้งสาม มหาวทิ ยาลยั 3. นิยามศัพท์ สถาบันวิชาการนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยภูมิภาค หมายถึง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 4. ขอบเขตการวิจยั เป้าหมายหลักของงานวิจัยภายใต้โครงการพัฒนาเครือข่ายวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัย และ เครือข่ายบริหารจัดการในมหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมในด้านความ ร่วมมือทางวิชาการเพื่อสังคมและชุมชน โดยการพัฒนาความร่วมมือในเชิงเครือข่ายเพื่อนำไปสู่การ สร้างความรู้ใหมข่ องแตล่ ะสถาบนั ท่ีสอดคล้องกับความต้องการของพ้ืนท่ี และใช้ระบบเครอื ข่ายวิชาการ ในการช่วยพัฒนาระบบทางวิชาการของแต่ละสถาบันให้เกิดประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรม ในการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนงานทางวชิ าการเพื่อสังคมเป็นหลัก ซึ่งเป็นการพัฒนาภายในองค์กร เป็นสำคัญ ในการพัฒนาศูนย์นวัตกรรมการเสริมสร้างพลังทางวิชาการด้านความเป็นธรรมเพื่อสนับสนุน งานวิจยั เพ่ือท้องถิ่นน้ี มีเปา้ หมายสำคญั ในระยะแรก ซ่ึงประกอบด้วย 1. เป้าหมายในระดับองค์กรที่ดำเนินการทางวิชาการอยู่แล้วในพื้นที่ ในส่วนนี้ประกอบด้วย เนอื้ หาสองสว่ น คอื 1.1 การทบทวนและประเมินจุดแข็งและจุดที่จะต้องมีการปรับปรุงของระบบงานบริการ วิชาการที่ดำเนินการมาภายใต้เงื่อนไขและบริบทของสถานการณ์ความไม่เป็นธรรมในแต่ละพื้นที่ ซึ่ง ได้แก่ พื้นที่ภาคเหนือ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งคณะนิติศาสตร์ของ มหาวทิ ยาลยั ภูมภิ าคท้งั 3 สถาบัน อันประกอบดว้ ยคณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ดำเนินการให้บริการ ทางวิชาการและในบางประเด็นของปัญหาก็มีการศึกษาวิจัยหรือมีปฏิบัติการร่วมกับภาคประชาสังคม หรือกบั ชุมชนในพ้ืนท่ี และ 1.2 การประมวลขอบเขตการใหบ้ ริการทางวิชาการ หรือการดำเนินการของคณะท่ีผ่านมาวา่ มี การเชื่อมโยงหรือให้การสนับสนุนงานทางวิชาการในด้านกฎหมาย หรือ ในด้านความเป็นธรรมทาง สังคมที่มีลักษณะเป็นการช่วยให้คำแนะนำหรือให้คำปรึกษากับภาคประชาสังคมภายนอก โดยเฉพาะ 1-3
อย่างยิ่งกับ พี่เลี้ยงของศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาชน หรือ องค์กรอื่นๆ ท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั สถานการณป์ ัญหาความไม่เป็นธรรม หรือปญั หาในทางกฎหมาย อยา่ งไรบ้าง ซึ่งคณะนิติศาสตร์ ของแต่ละสถาบันดังที่กล่าวมาข้างต้นจะดำเนินการตามรายละเอียดดังท่ี ปรากฎในข้อเสนอโครงการ การทบทวนเพื่อสรุปบทเรียนและความรู้จากระบบการวิจัยและการ ให้บริการทางวิชาการของคณะนิติศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่เป็นธรรม และ ความ เหล่อื มลำ้ 2. เปา้ หมายในระดบั เครอื ขา่ ยความร่วมมอื ระหว่างคณะนิติศาสตรข์ องสามสถาบันในภมู ภิ าค ในปัจจุบันมีความร่วมมือทางวิชาการในระดับมหาวิทยาลัยในภูมิภาค ซึ่งประกอบด้วย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยทั้งสามสถาบันมี การจัดทำบันทึกช่วยจำ (MOU) ในระดับมหาวิทยาลัย และมีการจัดกิจกรรมในทางวิชาการร่วมกันใน ทุกๆ ปีโดยหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ และในระหว่างคณะต่างๆ ของแต่ละกลุ่มวิชาก็มีการจัดกิจกรรม ตา่ งๆ รว่ มกันมาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง คณะนติ ิศาสตรข์ องทั้งสามสถาบันก็เร่มิ มีความร่วมมือที่มีเป็นกิจลักษณะ มากขึน้ จากบริบทความร่วมมือของท้ังสามสถาบันท้ังในระดับมหาวิทยาลัย และในระดับคณะดังกล่าว จึงเป็นทัง้ โอกาสที่ท้าท้าย และเป็นกลไกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งท่ีจะทำให้เกิดการสานพลงั ทางวิชาการ ที่จะทำให้ข้อจำกัดของการใหบ้ ริการทางวชิ าการที่เกี่ยวกบั ปญั หาความไมเ่ ป็นธรรม ความเหล่ือมล้ำท่ีมี สาเหตุมาจากระบบกฎหมาย สามารถทจี่ ะขจดั ข้อจำกดั เหลา่ นนั้ ได้ และในขณะเดียวกัน ปัญหาความไม่ เปน็ ธรรม รวมตลอดถงึ สถานการณเ์ ก่ียวกับความเหล่ือมลำ้ ของแต่ละพ้ืนที่มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัย กลไกความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่เหนือกว่ากลไกในระดับคณะเข้ามาช่วยดำเนินการจึงเป็นโจทย์ สำคัญทจี่ ะต้องพฒั นาระบบความรว่ มมอื และระบบการสนบั สนุนในระดับมหาวิทยาลยั ข้ึน 5. วิธกี ารดำเนนิ การวิจัย ระเบียบวธิ วี ิจยั และวิธีการเกบ็ ขอ้ มูล การวิจัยครัง้ นี้ดำเนินการโดยนกั วิจัย 3 ฝ่าย คือ นักวิชาการจากภายนอก, เจ้าหน้าทีว่ ิจัย และ เครือข่ายสถาบันการศกึ ษา (มอ. มข. มช.) ทางทีมวิจัยจงึ ได้กำหนดรปู แบบกระบวนการทำงานร่วมกนั (work process) โดยความสัมพันธ์แบบเสมอภาคและแลกเปลี่ยนเรียนรู้รว่ มกันตลอดโครงการ รวมท้ัง ใชร้ ะบบการทำงานแบบการบริหารคณุ ภาพตามวงจร PDCA วิธกี ารเกบ็ ขอ้ มูลท่จี ะใช้ได้แก่ 1. การศกึ ษาเอกสาร รายงานท่ีเกีย่ วขอ้ ง (document analysis) 2. การจัดเวทีสนทนากลุ่มเพ่ือรวบรวมประสบการณ์ในแต่ละพน้ื ที่ 3. การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแสวงหารูปแบบการเสรมิ สร้างพลังทางวิชาการด้านความเปน็ ธรรมเพอื่ สนับสนนุ งานวิจัยเพอื่ ทอ้ งถิ่น 4. การจัดเวทแี ลกเปลยี่ นเรียนรู้ร่วมกับผ้มู สี ว่ นได้สว่ นเสียในแต่ละพนื้ ท่ี (มอ. มข. มช.) 1-4
5. การจัดเวทคี นื ความรใู้ ห้กับผมู้ สี ่วนได้สว่ นเสยี การประชมุ เพ่ือพัฒนาระบบการให้บริการรว่ มทางวชิ าการ การวิจัย ของคณะนติ ศิ าสตร์ของท้ัง สามมหาวทิ ยาลยั 1. การประชุมร่วมกันของผู้บรหิ ารดา้ น การวจิ ยั การบรกิ ารทางวชิ าการ ของคณะนิติศาสตร์ ทั้งสามมหาวทิ ยาลยั 2. การหารือแนวทางความร่วมมือและการสนับสนุนในระดับมหาวิทยาลัยและในระหว่าง เครอื ข่ายของสามมหาวทิ ยาลัย 3. การทดลองดำเนินการในการให้บริการทางวิชาการเพื่อทดสอบระบบความร่วมมือของ สามสถาบนั 6. แผนการดำเนินงาน กิจกรรม 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 1. ป ร ะ ช ุ ม ร ่ ว ม กั บ X X ผู้ทรงคุณวุฒิ และ นักวิจัย เพื่อทำความเข้าใจงานการ ส ั ง เ ค ร า ะ ห ์ ใ น ร ะ ดั บ สถานภาพขององค์ความรู้ และสังเคราะห์ความรู้จาก งานในภาคปฏิบัติในระดับ พืน้ ท่ี 2. การประชุมร่วมกันของ XXXX ผู้บริหารด้าน การวิจัย การ บริการทางวิชาการ ของ คณะนิติศาสตร์ทั้งสาม มหาวิทยาลัย เพื่อกำหนด ก ร อ บ ก า ร ส ั ง เ ค ร า ะ ห์ เป้าหมาย ขอบเขต ระยะเวลา และผลผลิตของ งานศกึ ษาสงั เคราะห์ 3. การหารือแนวทางความ XXXX ร่วมมือและการสนับสนุน ในระดับมหาวิทยาลัยและ ในระหว่างเครือข่ายของ สามมหาวทิ ยาลัย 1-5
กิจกรรม 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 4. การสังเคราะห์งานใน XX X X X เชิงปฏิบัติการในระดับ พื้นที่ (มอ. / มข. / มช.) และการทดลองดำเนินการ ในการให้บริการทาง วชิ าการเพือ่ ทดสอบระบบ 5. การจัดประชุมและลง XXXXXX พ้นื ทป่ี ฏิบัตกิ ารเพื่อติดตาม และสนับสนุนการ ให้บรกิ ารทางวชิ าการในแต่ ละพ้นื ที่ (มอ. มข. มช.) 6. เ ว ท ี น ำ เ ส น อ ผ ล XXX ก า ร ศ ึ ก ษ า / ส ั ง เ ค ร า ะ ห์ ภาพรวม 3 พื้นที่ (มอ. มข. มช.) 7. เวทีประมวลภาพรวม XX ของการสังเคราะห์และการ ให้บริการทางวิชาการจาก พน้ื ท่ี/กรณศี กึ ษาตา่ งๆ เพอ่ื ตอบคำถามการวิจัย และ พัฒนาโจทย์วิจัยในระยะ ตอ่ ไป 8. การสังเคราะห ์ ก า ร XX ให้บริการทางวิชาการ และ เขียนรายงานฉบับสมบูรณ์ 1-6
7. ผลท่คี าดว่าจะไดร้ ับ (เมอื่ สน้ิ สุดการวิจยั ) เดือนที่ กจิ กรรม (activities) ผลทคี่ าดว่าจะได้รบั (outputs) เดอื นที่ 1-6 1. ประชมุ ทมี วจิ ัย 1. ทีมวิจัย เกิดความเข้าใจเป้าหมายและ ประโยชน์ วางแผนการทำงานร่วมกัน 2. ประชุมร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ และ นักวิจัยเพื่อทำความเข้าใจงานการ 2. กรอบการสังเคราะห์ เป้าหมาย ขอบเขต สังเคราะห์ ในระดับสถานภาพขององค์ ระยะเวลา และผลผลิตของงานศึกษา ความรู้ และสังเคราะห์ความรู้จากงาน สังเคราะห์ ในภาคปฏิบตั ิในระดับพ้ืนที่ 3. การประชุมร่วมกันของผู้บริหารด้าน การวิจัย การบริการทางวิชาการ ของ คณะนิติศาสตร์ทั้งสามมหาวิทยาลัย (ระดับผบู้ ริหารมหาวิทยาลยั /คณะ) การ สังเคราะห์งานในเชิงปฏิบัติการในระดบั พ้ืนท่ี (มอ. มข. มช.) 4. การหารือแนวทางความร่วมมือและการ สนับสนุนในระดับมหาวิทยาลัยและใน ระหวา่ งเครือข่ายของสามมหาวทิ ยาลัย เดือนที่ 6-12 1. การจัดประชุมและลงพื้นที่ปฏิบัติการ 1. ได้ชุดความรู้ว่าด้วยการเสริมสร้างพลังทาง เพื่อติดตามและสนับสนุนถอดบทเรียน วิชาการด้านความเป็นธรรมเพื่อสนับสนุน สังเคราะห์ สถานการณ์ปัญหา และการ งานวจิ ยั เพ่อื ทอ้ งถิ่นในแตล่ ะพน้ื ท่ี ดำเนินกิจกรรมในแต่ละพื้นที่ (มอ. มข. 2. การวิเคราะห์สถานการณ์ความไม่เป็นธรรม มช.) ความเหล่ือมลำ้ ในพนื้ ท่แี ต่ละภูมภิ าค เดือนท่ี 1. เวทีนำเสนอผลการศึกษา/สังเคราะห์ 1. เวทีเผยแพร่องค์ความรู้การพัฒนาพลัง 12-18 ภาพรวม 3 พน้ื ท่ี (มอ. มข. มช.) เ ค ร ื อ ข ่ า ย ส ถ า บ ั น ว ิ ช า ก า ร น ิ ต ิ ศ า ส ต ร์ 2. เวทีประมวลภาพรวมของการสังเคราะห์ มหาวิทยาลัยภมู ภิ าค 2. องค์ความรู้จากการสังเคราะห์งานที่บูรณาการ จากพื้นท/ี่ กรณีศึกษาต่างๆ/เวทีนำเสนอ ระหว่างความรู้เชิงวิชาการกับเครือข่าย ผลการวิจยั ส่สู าธารณะ สถาบันการศึกษา และช่วยสร้างการเรียนรู้ และความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้นทั้งจากนักวิชาการ 3. สรุปบทเรียนการดำเนินงาน และ เขียน เจ้าหน้าท่ีศูนย์ฯ และชุมชน เพื่อนำไปสู่การ รายงานฉบับสมบรู ณ์ แก้ไขปัญหาอย่างกวา้ งขวางต่อไป 3. บทวิเคราะห์สถานการณ์แนวโน้มและประเด็น สำคัญของความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ ในพืน้ ทีภ่ ูมิภาคของประเทศ 4. รายงานฉบบั สมบูรณ์ 1-7
7.1 ผลผลติ (Output) (ผลทีไ่ ดจ้ ากการดำเนินโครงการ) เชงิ การวิจยั เกิดกลไกเชิงสถาบนั ระหวา่ งคณะนิติศาสตร์ 3 สถาบันในการพฒั นางานวิจัยและเกิดชุดความรู้ เรื่องการเสริมสร้างพลังทางวิชาการด้านความเป็นธรรมเพื่อสนับสนนุ งานวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ใน ศูนยฯ์ และเพ่ือนำไปสูก่ ารเสริมพลังเครือข่ายวชิ าการ /ชุมชน เชงิ การพัฒนา 1. ชุดความรู้ว่าด้วยการเสริมสร้างพลังทางวิชาการด้านความเป็นธรรมเพื่อสนับสนุนงานวิจัย เพื่อท้องถน่ิ 2. ได้องค์ความรู้จากการสังเคราะห์งานที่บูรณาการระหว่างความรู้เชิงวิชาการกับเครือข่าย สถาบนั การศึกษา และช่วยสรา้ งการเรยี นรแู้ ละความรู้ใหมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ ทัง้ จากนักวชิ าการ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ และชุมชน เพอ่ื นำไปสู่การแกไ้ ขปัญหาอยา่ งกวา้ งขวางต่อไป 7.2 ผลลัพธ์ (Outcome) (ผลสมั ฤทธ์ิท่ีได้รับจากผลผลติ ของการดำเนนิ โครงการ) 1. ได้ชุดความรู้เรื่องการเสริมสร้างพลังทางวิชาการด้านความเป็นธรรมเพื่อสนับสนุนงานวิจัย เพือ่ นำไปใชป้ ระโยชนใ์ นศนู ย์ฯ และเพอ่ื นำไปสกู่ ารเสริมพลังเครือข่ายวิชาการ /ชมุ ชน 2. ได้องค์ความรู้จากการสังเคราะห์งานที่บูรณาการระหว่างความรู้เชิงวิชาการกับเครือข่าย สถาบนั การศกึ ษา และชว่ ยสร้างการเรียนรู้และความรู้ใหมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ ทงั้ จากนักวชิ าการ เจ้าหน้าท่ีศูนย์ฯ และชุมชน เพื่อนำไปสกู่ ารแก้ไขปัญหาอย่างกว้างขวางต่อไป 7.3 ผลกระทบ (Impact) (ผลทต่ี ามมาจากการดำเนินโครงการและการใช้ประโยชนโ์ ครงการ) 1. การสรา้ งการเรียนร้แู ละความรใู้ หม่เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอยา่ งกวา้ งขวางต่อไป 2. เกดิ ศูนยเ์ สริมสร้างพลังทางวชิ าการด้านความเปน็ ธรรมเพือ่ สนบั สนุนงานวิจัยเพ่ือนำไปสู่การ เสริมพลงั เครอื ขา่ ยวิชาการ /ชุมชน 3. บทวิเคราะห์สถานการณ์แนวโน้มและประเดน็ สำคัญของความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ ในพื้นที่ภูมิภาคของประเทศ 1-8
สว่ นท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรม 1. ทบทวนแนวคดิ และวรรณกรรมทเ่ี ก่ยี วข้อง ในการดำเนินงานโครงการวิจัยนี้ มีแนวคิดที่คณะผู้วิจัยเลือกนำมาใช้เพื่อเป็นพื้นฐานในการ ต่อยอดองคค์ วามรู้ต่อไปดงั น้ี 3 แนวคิดหลกั คอื 1.1 แนวคดิ เรอ่ื งการเสรมิ พลัง (Empowerment) 1.2 แนวคดิ เร่อื งวงจร Deming หรอื วงจร PDCA 1.3 แนวคดิ วา่ ดว้ ย Social movement และ Social justice 1.1 แนวคดิ เรอื่ งการเสรมิ พลัง (Empowerment) ความสนใจเรื่องการเสริมพลังเริ่มขึ้นในแวดวงของนักพัฒนา และก่อตัวขึ้นเมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์การพัฒนา (ในช่วงทศวรรษ 1980) หลังจาก 2 ทศวรรษที่ผ่านมา (1960 – 1970) ของกระบวนทัศน์การพัฒนาความเห็นสมัย (Modernistic Paradigm) ได้แสดงผลให้เห็นเป็นท่ี ประจักษ์แลว้ วา่ กระบวนทัศน์ดงั กล่าวไม่ใช่คำตอบของการพัฒนาทีแ่ ท้จรงิ การเสรมิ พลังเริ่มปรากฏขึ้น อย่างเป็นระบบและชัดเจนในประเทศไทย เห็นจากงานวิจัยเรื่อง “กระบวนการและเทคนิคการทำงาน ของนักพัฒนา” โดยปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ ได้สำรวจเพื่อประมวลความรู้ที่จำเป็นสำหรับ นกั พัฒนาในการทำงานกับชมุ ชน และพบว่ามีชุดความรู้ท่ีจำเป็นอยู่ 5 ชดุ หน่งึ ในนั้นเรอ่ื งการเสริมสร้าง พลงั อำนาจแกช่ มุ ชนโดยกระบวนการมสี ่วนรว่ มและกระบวนการเรยี นรู้ ผู้ที่เป็นผู้จุดประกายแนวคิดเรื่องการเสริมพลังนั้น คือ เปาโล เฟรเร (Paulo Freire, 1921- ปัจจุบัน) นักปรัชญาและนักการศึกษาชาวบราซิล ผู้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “การศึกษาของผู้ถูกกดขี่” (Pedagogy of the oppressed) แนวคิดเรื่องการเสริมพลังของเปาโล เฟรเรนั้น ได้ประสานทั้งการ ปลดปล่อยพลังจากการถูกกดทับทั้งด้านจิตใจ/จติ วทิ ยาของระดับบุคคล เข้ากับการปลอดปล่อยพลังใน ระดบั กลุม่ และขยายสกู่ ารปลอดปล่อยพลงั ในระดับสงั คม ผา่ นกระบวนการศึกษาแบบท่ีแตกต่างไปจาก ที่ระบบการศึกษาในสงั คมใช้อยู่ ที่เรียกวา่ “การศึกษาเพื่อการปลดปล่อยและการปลุกจิตสำนึก” โดยมี เครือ่ งมือสำคญั คอื การเสวนาอยา่ งเสมอภาค เท่าเทยี ม และแท้จริง (dialogue) ระดับต่างๆ ของการเสริมพลัง นักวิชาการหลายท่าน เช่น Gutierrez et al (1998) อภิญญา เวชยชยั ได้แบ่งการเสริมพลังไวห้ ลายระดับ ระดับ ดังนี้ 1) การเสริมสร้างพลังอำนาจระดับบุคคล เป็นการทำงานกับความรู้สึกและการรับรู้ตนเอง ทำ ให้บุคคลรู้สึกตัว ตื่นรู้ ตระหนักรู้เกี่ยวกับชีวิตตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านบวกในการ มองตนเอง และเพิม่ ความสามารถในการเผชิญหน้ากบั ปัญหา 2) การเสริมสร้างพลังอำนาจในระดับระหวา่ งบุคคลและระดับกล่มุ เปน็ การพฒั นาการรับรู้ของ สมาชิกในกลุ่ม ให้เกิดการแลกเปลี่ยนทั้งประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์การทำงาน ทำให้เกิด แนวคิดในการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาตนเอง ซึ่งส่งผลโดยรวม คือ ความเข้มแข็งของกลุ่มหรือ ความสมั พันธอ์ ันดีระหว่างบคุ คล 2-1
3) การเสรมิ สร้างพลังอำนาจในระดับองคก์ ร เปน็ การเปิดโอกาสให้พนักงานเขา้ มามีส่วนร่วมใน การบริหารจัดการ โดยองค์กรปรับการบริหารจัดการให้ลดความสัมพันธ์เชิงอำนาจจากแนวดิ่งให้เป็น แนวนอน ซึ่งจะทำให้เกิดความสัมพันธ์แบบมีส่วนร่วมมากขึ้น สร้างสภาพแวดล้อมขององค์กรให้ พนักงานทำงานอย่างทุ่มเทและเปน็ สขุ และรว่ มสร้างเง่อื นไขให้องคก์ รมคี วามมั่นคงในระยะยาว 4) การเสริมสร้างพลังอำนาจในระดับชุมชน เป็นการสร้างความตระหนักรู้ ความศรัทธา ความรู้สึกเป็นเจ้าของและการเข้ามามสี ่วนรว่ มในกระบวนการทำงานเพื่อพฒั นาหรือเปล่ียนแปลงชุมชน ในรปู แบบต่างๆ โดยการสรา้ งเง่ือนไขให้ประชาชน กลมุ่ องคก์ ร ชมุ ชนสามารถระดมขีดความสามารถใน การจัดการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม เพื่อควบคุมการใชแ้ ละการกระจายทรัพยากรของชมุ ชน อัน จะก่อให้เกิด “กลไก กระบวนการ และโครงสร้าง” ที่ประชาชนสามารถแสดงออกซึ่งความสามารถของ ตนและไดร้ ับผลประโยชน์จากการพัฒนา C.H.Gibson ท่ไี ด้ประมวลคุณลักษณะสำคัญ (attribute) ของการเสรมิ พลงั ไว้ดังนี้ 1. การเสริมพลงั เปน็ ได้ท้ังกระบวนการ (process) และผลลพั ธ์ (outcome) ในแง่กระบวนการ จึงจำเป็นต้องมีขั้นตอนและวิธีการดำเนินการ ในแง่ผลลัพธ์ต้องมีการประเมินผลหลังการเสริมพลังแล้ว วา่ มกี ารเปลี่ยนแปลงหรอื ไม่ อย่างไร 2. เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทั้งในระดับการจัดการตนเอง และการจัดการกับ ผอู้ นื่ และสงิ่ แวดล้อม กระบวนการนจี้ ะดำเนนิ การอย่างค่อยเป็นคอ่ ยไป 3. เปน็ กระบวนการทีส่ ง่ เสริมพฤติกรรมเชงิ บวก โดยเพ่ิมความมีคณุ ค่าในตัวเองและเพิ่มความมี พลังในตนเองของบคุ คล (จึงตรงกันขา้ มกับกระบวนการจับผิดและลงโทษ) 4. เป็นแนวคิดทางบวก (positive concept) กล่าวคือเน้นผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย (เท่าที่จะเป็นไปได้) เป็นทั้งการเพิ่มศักยภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดี หากทว่าต้องมีการกระทำอย่างต่อเนื่อง หลายครง้ั 5. เป็นกระบวนการที่เน้นความแข็งแกร่งและความสามารถของบุคคลมากกว่าเน้นข้อจำกัด และเชื่อในหลักการความสามารถท่ีจะพัฒนาได้ของคนและสรรพสิ่ง (ตามหลกั ปรัชญาทก่ี ล่าวมา) 6. เป็นกระบวนการที่ผสมผสานระหว่างแนวคิดหลายๆ แนวคิด หลายระดับ เช่น แนวคิดด้าน จิตวทิ ยาสว่ นบคุ คล จติ วิทยากลุ่ม พลงั กลมุ่ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งบุคคล การขับเคลอื่ นนโยบาย ฯลฯ 7. เป็นแนวคิดที่มีการยืดหยุ่นได้ตามช่วงเวลาและสถานที่ เน้นอิสระในการเลือกของผู้เข้าร่วม กระบวนการ และเคารพในศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์ของทุกคน 8. เปน็ กระบวนการที่มคี วามเปน็ หุ้นสว่ น (partnership) ระหวา่ งกัน ดังนนั้ ทุกฝ่ายจำเป็นต้องมี สว่ นร่วมในการกระทำไปพรอ้ มๆ กัน 2-2
1.2 แนวคิดเร่ืองวงจร Deming หรือวงจร PDCA เนื่องจากในโครงการวิจัยนี้ มีคณะผู้วิจัยประกอบด้วย 3 ฝ่าย คือ นักวิชาการจากภายนอก, เจ้าหน้าที่วิจัย และเครือข่ายสถาบันการศึกษา (มอ. มข. มช.) ทางทีมวิจัยจึงได้กำหนดรูปแบบ กระบวนการทำงานรว่ มกัน (work process) โดยใชแ้ นวคดิ เรือ่ งกระบวนการทำงานแบบวงจร Deming หรอื วงจร PDCA ไปตลอดระยะเวลาของการวจิ ัย วงจร PDCA เป็นชอื่ เรียก “กระบวนการ / ขน้ั ตอนการทำงานประเภทหน่ึง” (work process) ที่คิดค้นโดย W.A. Shewhart จากนั้น William Edwards Deming ได้นำมาพัฒนาและปรับใช้ในการ ควบคุมคุณภาพในวงการอตุ สาหกรรมของญปี่ ุ่น จงึ มีชอื่ เรียกวงจรเดมมิง่ (Deming cycle) กระบวนการทำงานแบบวงจรเดมมิ่งนี้เชื่อว่า “คุณภาพสามารถปรับปรุงได้ หากมีวิธีการและ กระบวนการที่ดแี ละถูกต้อง” ดังนั้นเป้าหมายของกระบวนการทำงานแบบนี้จึงมีเพื่อปรับปรุงคุณภาพ ให้ผลลัพธ์สุดท้าย (ที่อาจจะเป็นได้ตั้งแต่สินค้า บริการ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน) ให้มีประสิทธิภาพ สูงสดุ ดงั น้ัน Deming cycle จงึ เปน็ วงจรการบรหิ ารงานคุณภาพ วงจรคุณภาพ (PDCA) เป็นกิจกรรมที่จะนำไปสู่การปรับปรุงงานและการควบคุมอย่างเป็น ระบบอันประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การนำแผนไปปฏิบัติ (Do) การตรวจสอบ (Check) และ การปรับปรุงแก้ไข (Act) กล่าวคือ จะเริ่มจากการวางแผน การนำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติ การตรวจสอบ ผลลัพธ์ที่ได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหมายไว้ จะต้องทำการทบทวนแผนการโดยเริ่มต้นใหม่อีก ครั้งหนึ่งและทำตามวงจรคุณภาพซ้ำอีก เมื่อวงจรคุณภาพหมุนซ้ำไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิดการปรับปรุง งานและทำให้ระดับผลลัพธ์สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังน้ัน การกระทำตามวงจรคุณภาพ จึงเท่ากับการสร้าง คุณภาพที่น่าเชื่อถือมากขึ้นโดยจุดเริ่มต้นของวงจรคุณภาพอยู่ที่การพยายามตอบคำถามให้ได้ว่า ทำ อยา่ งไรจงึ จะดีขน้ึ 1 1) P (Plan) – (การวางแผน) เป็นขั้นตอนของการวางแผนเพื่อสำรวจและตัดสินใจเลือก ปัญหา ตั้งเป้าหมาย / กำหนดวัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน เลือกวิธีการและขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้ วิธกี ารบรรลเุ ป้าหมาย ในบรรดาองค์ประกอบทั้ง 4 ประการของวงจรคุณภาพนั้น ต้องถือว่าการวางแผนเป็นเรื่องที่ สำคัญทีส่ ุด การวางแผนจะเป็นเร่ืองท่ีทำใหก้ ิจกรรมอืน่ ๆ ที่ตามมาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล เพราะถ้าแผนการไม่เหมาะสมแล้ว จะมีผลทำให้กิจกรรมอื่นไร้ประสิทธิผลตามไปด้วย แต่ถ้ามีการ เรม่ิ ต้นวางแผนท่ดี ี จะทำใหม้ ีการแกไ้ ขน้อย และกจิ กรรมจะมปี ระสทิ ธิภาพมากขึ้น 2) D (Do) – (การปฏิบัติ) เป็นขั้นตอนของการลงมือปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามแผนซึ่งได้ กำหนดเอาไว้ โดยที่ก่อนจะลงมือปฏิบัติจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขต่างๆ ของสภาพงานที่ เกี่ยวข้องเสียก่อน (เช่น ต้องให้การฝึกอบรมใหม่แก่บุคลากรก่อนทีจ่ ะไปปฏิบัติภารกิจใหม)่ และเพื่อให้ มัน่ ใจวา่ มีการนำแผนการไปปฏิบัติอยา่ งถูกต้องนน้ั จะต้องสรา้ งความม่ันใจวา่ ฝ่ายท่ีรบั ผดิ ชอบในการนำ แผนไปปฏบิ ตั ไิ ด้รบั ทราบถึงความสำคัญและความจำเป็นในแผนการน้ันๆ มกี ารติดต่อส่อื สารไปยังฝ่ายท่ี 1 วิฑูรย์ สิมะโชคดี, (2542), TQM วิธีองค์กรคุณภาพยุค 2000, พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 43-47 2-3
มีหนา้ ทใี่ นการปฏิบัตอิ ย่างเหมาะสม มกี ารจัดใหม้ กี ารศกึ ษาและการอบรมท่ีต้องการเพื่อการนำแผนการ น้นั ๆ มาปฏบิ ัติ และมีการจดั หาทรัพยากรทจ่ี ำเปน็ ในเวลาท่จี ำเปน็ ด้วย 3) C (Check) – (การตรวจสอบ) เป็นกิจกรรมที่มีขึน้ เพื่อประเมินผลว่ามีการปฏิบัติงานตาม แผนหรือไม่ มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงานหรือไม่ ขั้นตอนนี้มีความสำคัญ เนื่องจากในการ ดำเนินงานใดๆ มักเกิดปัญหาแทรกซ้อนที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผนอยู่เสมอ ซึ่งเป็น อปุ สรรคต่อประสิทธภิ าพและคุณภาพของการทำงาน การติดตาม และการตรวจสอบ ผลจากการตรวจสอบจะช่วยให้ทิศทางกับองค์ประกอบย่อยตัวต่อไป คือ Act กล่าวคือ หาก วิธีการทำงานใดที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย วิธีการนั้นก็จะถูกเก็บเอาไว้ใช้ต่อไป (หรืออาจสร้างเป็น มาตรฐาน/ แบบฉบบั ของหนว่ ยงาน) และหากวธิ กี ารใดใชไ้ มไ่ ดผ้ ล กต็ ้องแสวงหาวธิ ีการปรับปรงุ ตอ่ ไป การตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ของการปฏิบัติตามแผน ควรจะต้องมีการประเมินใน 2 ประการ คือ มกี ารปฏบิ ัตติ ามแผนหรอื ไม่ หรอื ตัวแผนการเองมีความเหมาะสมหรอื ไม่ การทไี่ มป่ ระสบความสำเรจ็ ตามทต่ี ัง้ เป้าหมายไวเ้ ป็นเพราะไม่ปฏิบัตติ ามแผนการ หรอื ความไม่ เหมาะสมของแผนการ หรือจากทั้งสองประการรวมกัน เราจำเป็นต้องหาว่าสาเหตุมาจากประการไหน ทั้งนี้ เนอื่ งจากการนำไปปฏิบตั ิการปรบั ปรงุ แกไ้ ขจะแตกต่างกันอย่างส้ินเชงิ ถ้าความล้มเหลวมาจากแผนการทจี่ ัดทำข้ึนไม่เหมาะสม อาจเปน็ ผลมาจากสาเหตดุ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ความผิดพลาดในการทำความเข้าใจกบั สถานการณท์ ี่เป็นอยู่ 2. เลือกเทคนคิ ทใ่ี ช้ผิดเนือ่ งจากมขี ้อมูลข่าวสารไมเ่ พียงพอและมีความรู้ในข้ันตอนการ วางแผนไมเ่ พยี งพอ 3. ประเมินผลกระทบจากการปฏิบตั ิตามแผนผดิ พลาด 4. ประเมินความสามารถของบุคลากรทตี่ ้องนำแผนมาใชผ้ ิดพลาด ถ้าความลม้ เหลวมาจากการไมป่ ฏบิ ตั ิตามแผน อาจเปน็ ผลมาจากสาเหตุต่อไปนี้ 1. ขาดความตระหนกั ถึงความจำเป็นในการปรับปรงุ 2. การติดต่อสอื่ สารทไ่ี มเ่ หมาะสมและมคี วามเข้าใจในแผนไมเ่ พยี งพอ 3. การให้การศกึ ษาและการฝึกอบรมไม่เพยี งพอ 4. ปญั หาเกย่ี วกับตวั ผู้นำและการประสานงานระหว่างการปฏบิ ัติ 5. ประเมินทรพั ยากรที่ตอ้ งใชน้ อ้ ยเกินไป 4) A (Act) – (การปรับปรงุ ) เป็นกจิ กรรมที่มขี นึ้ เพื่อแก้ไขปญั หาท่ีเกิดข้นึ หลงั จากท่ีได้ทำการ ตรวจสอบแล้ว การปรับปรุงอาจเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เฉพาะหน้า หรือค้นหาสาเหตุที่ แท้จริงของปัญหาเพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเดมิ การปรบั ปรงุ อาจจะนำไปสู่การปรับมาตรฐาน/ แบบฉบับของวิธีการทำงานที่ต่างไปจากเดิม (เช่นในกรณีของศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัด สมุทรสงคราม แต่เดิมในการพัฒนาโจทย์กับชุมชน จะใช้ระยะเวลายาวนานเป็นปี แต่เมื่อมีวิธีการ/ กระบวนการพฒั นาโจทย์ที่มปี ระสิทธภิ าพเพิ่มขึ้น ก็สามารถลดเวลาในการพัฒนาโจทย์ให้น้อยลง) 2-4
การใช้กระบวนการ/วิธีการแบบ PDCA ในการทำกิจกรรมหรือแก้ปัญหาต่างๆ แต่วิธีการนำ PDCA มาใช้นั้นไม่ครบเงื่อนไขทั้ง 3 ของวงจรนี้ เช่น มีองค์ประกอบย่อยไม่ครบทั้ง 4 (เช่น มีการ วางแผน (P) แตไ่ มล่ งมือปฏิบัติ (D) หรือในทางตรงกันข้าม มกี ารปฏบิ ัติ (D) โดยไมไ่ ด้วางแผน (P) หรือ มที ง้ั การวางแผน (P) และปฏิบัติ (D) แตไ่ ม่ไดต้ ิดตามผล (C)) หรือมอี งคป์ ระกอบย่อยครบทั้ง 4 แต่ไม่มี การเชื่อมโยงส่งต่อไม้ให้กัน หรือมีวงจรเพียงรอบเดียวก็จบงาน ไม่มีแรงส่งไปสู่วงเกลียวที่ 2 – 3 – 4 เป็นต้น ภาพท่ี วงจรเดมมงิ่ (PDCA) ประโยชนก์ ารดำเนินงานดา้ นวงจรคณุ ภาพ (PDCA)2 1. เพอ่ื การป้องกัน 1.1 การนำวงจร PDCA ไปใชท้ ำให้ผูป้ ฏิบัติมีการวางแผน การวางแผนท่ีดีช่วยป้องกัน ที่ไมค่ วรเกิด ชว่ ยลดความสับสนในการทำงาน ลดการใช้ทรัพยากรมากหรือน้อยเกนิ ความพอดีลดความ สูญเสยี ในรปู แบบต่างๆ 1.2 การทำงานที่มีการตรวจสอบเป็นระยะ ทำให้การปฏิบัติงานมีความรัดกุมขึ้นและ แก้ไขปญั หาไดอ้ ยา่ งรวดเร็วกอ่ นจะลกุ ลาม 1.3 การตรวจสอบทนี่ ำไปสู่การแก้ไขปรับปรุง ทำให้ปัญหาทเี่ กิดขึ้นแล้วไม่เกิดซ้ำหรือ ลดความรุนแรงของปัญหา ถือเปน็ การนำความผิดพลาดมาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ 2. เพ่ือการแก้ไขปัญหา 2.1 ถ้าเราประสบสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่สะอาด ไม่สะดวก ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ ประหยัด เราควรแกป้ ัญหา 2.2 การใช้ PDCA เพื่อการแก้ปัญหา ด้วยการตรวจสอบว่ามีอะไรบ้างที่เป็นปัญหา เม่ือหาปัญหาได้ กน็ ำมาวางแผนเพ่ือดำเนนิ การตามวงจร PDCA ตอ่ ไป 2 สถาบันเพม่ิ ผลผลิตแห่งชาติ, (2552), PDCA. [ระบบออนไลน์] แหล่งทมี่ า: http://youth.ftpi.or.th/index.php? option=com_content&task=view&id=37&Itemid=42. 2-5
3. เพอ่ื การปรับปรุง PDCA เพื่อการปรับปรุงคือไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาแต่เราต้องเสาะแสวงหาสิ่งต่างๆ หรือวธิ ีการทด่ี ีกว่าเดิมอยู่ เสมอเพอื่ ยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคม เมื่อเราคดิ วา่ จะปรับปรุงอะไร ก็ให้ ใช้วงจร PDCA เปน็ ขัน้ ตอนในการปรบั ปรงุ ข้อสำคญั ตอ้ งเรม่ิ PDCA ที่ตัวเองกอ่ นมุ่งไปท่ีคนอน่ื 1.3 แนวคดิ ว่าดว้ ย Social movement และ Social justice การวิจัยเชิงปฏิบัติการ( Action Research )เป็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่จะทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การเปลย่ี นในเชงิ ของความสัมพันธ์ในทางสังคม ซงึ่ ประเด็นปัญหาความ ไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำหากมองในเชิงความสัมพันธ์ก็จะพบว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นใน บริบทของโครงสร้างความสัมพันธ์ของระบบต่างๆ ได้แก่ โครงสร้างทางสังคม โครงสร้างทางเศรษฐกิจ โครงสร้างทางการเมอื งการปกครอง โครงสรา้ งทางกฎหมาย โครงสรา้ งทางวฒั นธรรม ฯลฯ ดังนั้น หากต้องการที่จะพัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรม ความ เหลื่อมล้ำ กรอบคิดในการศึกษาและพัฒนารวมถึงการจัดการระบบงานวิจัยเพื่อการแก้ปัญหา จึงมี ความจำเปน็ ท่ีจะต้องเลือกสรรแนวคิดอันเปน็ ที่มาของการออกแบบกระบวนการที่จะชว่ ยในการนำทาง ให้เกิดการแกป้ ัญหาไดต้ รงจุดบรรลเุ ป้าหมาย มีแนวคิดที่น่าสนใจอยู่สองแนวคิดใหญ่ๆ คือ แนวคิดว่าด้วย Social movement 3 และ Social justice หากจะจัดความสัมพันธ์ของสองแนวคิดนี้ก็จะสามารถที่จะอธิบายได้ว่า แนวคิดที่ว่าด้วย Social movement เป็นแนวคิดที่จะใช้ในการออกแบบกระบวนการในการทำงาน คู่ขนานไปกับ กระบวนการทำงานตามแนวทางของการวจิ ัยเชิงปฏบิ ัตกิ าร (Action Research) ของ CBR หรือ อาจจะ กล่าวได้ว่า ใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการ( Action Research ) ในการสร้าง Social movement (ในบาง พื้นที่) และในทางตรงกันข้าง (ในบางพื้นที่) ที่มีการเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็น Social movement แล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องมีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)ในการเสริมขบวนเคลื่อนไหว โดย เป้าหมายของ Social movement คือ ความยุติธรรมทางสังคม (Social justice)4 ซึ่งมีความหมายที่ กว้างขวางความยุติธรรมตามกฎหมายที่เกิดจากกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักที่ดำเนินการโดยรัฐ แต่จะมี “ความหมาย ” อย่างไร ทั้งในเชิงขอบเขต ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความยุติธรมกระแสหลัก ทั้งในเชิงคุณค่าและมูลค่าในทางสังคม เป็นประเด็นที่ ขบวนการการเคลื่อนไหวทางสังคมจะช่วยผลิต สร้างความหมายข้ึนมา โดยมีเครือข่ายทางวิชาการในการประเมิน สังเคราะห์ และพัฒนาในเชิงแนวคดิ ใหมๆ่ ในทางการเมืองการปกครอง ทางสังคม และในทางกฎหมาย 3 รายละเอียดของแนวคิดที่ว่าด้วย Social movement โปรดอ่านรายละเอียดใน ผาสุก พงษ์ไพจิตร “ทฤษฎีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใช้กับสังคมไทยได้หรือไม่?” เอกสารประกกอบการสัมมนา “โครงการพลวัต เศรษฐกิจการเมอื งไทย พ.ศ. 2543 : ขบวนการเคลอ่ื นไหวทางสังคม” โดยการสนบั สนนุ ของสกว. ภายใตโ้ ครงการเมธี วิจยั อาวโุ ส เมื่อวันท่ี 30 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ทหี่ อ้ ง Alumni ศศนเิ วศน์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย 4 โปรดอ่านรายละเอียดใน “เข้าใจ “ ความยุติธรรมทางสังคม ” ไพสิฐ พาณิชย์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบบออนไลน์ http://social-agenda.org/wp-content/uploads/2013/02/Social- Justice_Pisit.pdf สบื คน้ เม่อื วนั ที่ 5 กรกฎาคม 2562 2-6
ความเป็นธรรมทางสังคม (social justice) คือแนวคิดที่ว่าด้วยความเป็นธรรมในทุกมิติของ สังคม มิใชเ่ พยี งแค่มติ ิทางดา้ นกฎหมายเท่าน้นั ซึง่ ความเป็นธรรมทางสังคมในตัวของมันเอง กต็ คี วามได้ หลายความหมาย อาจหมายถึงการปฏิบัติต่อกันอยา่ งเป็นธรรม หรือการแบ่งปันกันอย่างเป็นธรรมกไ็ ด้ ประเด็นเรือ่ งความเป็นธรรมทางสงั คมนัน้ เป็นทั้งปัญหาทางปรัชญาและมีความสำคญั ในมิติตา่ ง ๆ เช่น การเมือง ศาสนา และสังคม ปัจเจกบุคคลอาจต้องการอยู่ในสังคมที่มีความเป็นธรรมทั้งนั้น อย่างไรก็ดี แตล่ ะคนอาจมีอดุ มการณเ์ กย่ี วกบั “ความเป็นธรรมในสังคม” ท่แี ตกตา่ งกัน คำว่า “ความเป็นธรรมทางสังคม” มักถูกมองว่าอยู่ภายใต้อุดมการณ์ทางการเมืองที่เอียงซ้าย มองว่าเป็นเรื่องความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงนโยบายการกระจายรายได้และ ทรัพย์สินและการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ซึ่งความเป็นธรรมทางสังคมอาจไม่ได้มาควบคู่กับ ประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ดีฝ่ายขวาเชื่อว่าความเป็นธรรมทางสังคมหมายถึง ความเท่าเทียมของ โอกาสในการเข้าถึงตลาด ดังนั้นจึงสนับสนุนระบบตลาดเสรี อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างก็ให้ ความสำคัญกับประเด็นความเป็นธรรมทางสังคมในแง่ของนิติรัฐ สิทธิมนุษยชน และตาข่ายสวัสดิการ สงั คม5 2. งานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง จากการสืบค้นในระบบฐานข้อมูลของ สกว.มีงานวิจัยที่เป็นการพัฒนาตัวแบบการสร้าง เครือข่ายของสถาบนั อุดมศึกษา ซงึ่ รบั ทุนวิจยั ในโครงการการพฒั นานวตั กรรมเพ่ือสังคมและชมุ ชน จาก สำนกั งานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จำนวน 9 สถาบัน ซึง่ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลสุวรรณภมู ิ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏราชนครนิ ทร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครราชสีมา มหาวิทยาลัย ราชภัฏนครปฐม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัย นครพนม และ มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาให้เกิดระบบเครอื ข่ายวิชาการ ของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อสร้าง องค์ความรู้ในสาขาใหม่ๆในกลุ่มวิชาการเพื่อสังคมในด้านต่างๆ ท่ี สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของแต่ละพนื้ ที่ และเพื่อพฒั นาระบบการเรยี นรู้เกีย่ วกบั การจดั การเครือข่าย ระหว่างมหาวิทยาลัยเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และยกระดับประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมใน การบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนงานวิชาการเพื่อสังคม และ ภายใต้กิจกรรมของการวิจัยสามารถที่จะ นำไปสู่การสรา้ งความตระหนักและให้ความสำคัญต่อการพฒั นางานวชิ าการเพื่อสังคมและชุมชนภายใน แต่ละมหาวิทยาลัยและในระหว่างเครือข่าย และในงานวิจัยนี้ยังได้ศึกษาเปรียบเทียบกับรูปแบบ เครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการเพื่อสังคมและชุมชนกับต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจาก ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ประเทศแคนาดา สหราชอาณาจกั ร ประเทศออสเตรเลยี เปน็ ตน้ 5 ป่าสาละ, Social Justice, ระบบออนไลน์ http://www.salforest.com/glossary/social-justice สบื ค้นเมอื่ วนั ที่ 10 มกราคม 2563 2-7
ส่วนท่ี 3 การดำเนนิ กิจกรรมภายใตโ้ ครงการฯ การดำเนินกจิ กรรมภายใต้โครงการฯ การดำเนินกิจกรรมตามขอบเขตการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาความรว่ มมือในเชิงเครือข่ายเพื่อ นำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ของแต่ละสถาบันที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ และการสร้าง เครือข่ายทางวิชาการที่ขยายไปสูเ่ ครอื ข่ายวิชาการในศาสตร์อืน่ ๆ ในการสนับสนุนงานทางวิชาการเพ่ือ ลดความเหลอ่ื มล้ำในสงั คม การทำงานภายใต้โครงการ ทีมผู้วิจัยได้ประสานและเชื่อมสนับสนุนการทำงานของเครือข่าย ทางวิชาการในสองระดับ กล่าวคือ 1) ระดับองค์กร/สถานบันการศกึ ษาท่ีดำเนินการทางวชิ าการอยู่แล้ว ในพื้นที่ ให้ได้มีการทบทวนและประเมินจุดแข็งและจุดที่จะต้องมีการปรับปรุงของระบบงานบริการ วชิ าการทด่ี ำเนนิ การมาภายใต้เงือ่ นไขและบรบิ ทของสถานการณ์ความไมเ่ ปน็ ธรรมในแตล่ ะพน้ื ที่ ซง่ึ เป็น การทบทวนเพื่อสรุปบทเรียนและความรู้จากระบบการวิจัยและการให้บริการทางวิชาการของคณะ นติ ศิ าสตรต์ ่างๆ ทเี่ กีย่ วกบั สถานการณ์ความไม่เป็นธรรมและความเหล่ือมลำ้ 2) ในระดับเครอื ข่ายความ ร่วมมือระหว่างคณะนิติศาสตร์ของสามสถาบันในภูมิภาคและเครือข่ายทางวิชาการจากการบูรณาการ ศาสตร์อื่นๆ ซึ่งเป็นความร่วมมือทางวิชาการในระดับมหาวิทยาลัยในภูมิภาค ที่จะทำให้เกิดการสาน พลังทางวิชาการที่จะส่งให้การขจัดข้อจำกัดของการให้บริการทางวิชาการท่ีเกี่ยวกับปัญหาความไม่เปน็ ธรรมความเหล่ือมลำ้ ท่ีมีสาเหตุมาจากระบบกฎหมาย อย่างไรก็ตาม โครงการได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้กรอบระยะเวลาและเงื่อนไข บริบท สถานการณท์ ง้ั ในด้านโครงสร้างการทำงานภายในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และเครือข่าย ความร่วมมือระหว่างคณะนิติศาสตร์ของสามสถาบันในภูมิภาค ตลอดจนภาคีเครือข่ายทางวิชาการ สถาบันในภมู ภิ าค โดยโครงการได้จดั กจิ กรรมหลักๆ 3 สว่ น คอื 1) การเชอื่ มโยงและพฒั นาขยายเครอื ขา่ ย “นิตศิ าสตร์เพ่อื สงั คม” 2) การเตรยี มประเดน็ เพ่อื การทำงานวจิ ยั และบริการวิชาการรว่ มกันของเครือขา่ ยวชิ าการ 3) การพฒั นาความร่วมมอื กบั หน่วยงาน/องค์กรภายนอกอ่ืนๆ ดงั มีรายละเอยี ดท่ีได้ดำเนนิ โครงการ ดงั นี้ 3-1
ส่วนที่ 1 การเชอื่ มโยงและพัฒนาขยายเครือข่าย “นติ ศิ าสตรเ์ พื่อสังคม” 1. การขยายเครือข่ายในระหวา่ งคณะนิตศิ าสตร์ในระดบั ภูมภิ าค การสร้างความร่วมมือด้านวิจยั และบริการวชิ าการระหว่างคณะนติ ิศาสตร์ในระดับภูมภิ าค ทาง โครงการฯ ได้มีการจัดประชุมและหารือแนวทางการสร้างเครือข่ายนิติศาสตร์ในระดับภูมิภาค ซ่ึง หลังจากการประชมุ หารอื และหาแนวทางการทำงานรว่ มกัน ทำใหเ้ กิด “เครอื ขา่ ยนิตศิ าสตร์เพื่อสังคม” มีเครือข่ายสถานบันการศึกษาในการสร้างความร่วมมือด้านวิจัย บริการวิชาการ และด้านอื่นๆ จำนวน 14 มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม, สำนักวิชา นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, คณะ นติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์, คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี, คณะอสิ ลามศึกษา และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, คณะศิลป ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยกาฬสนิ ธ์ุ และ คณะนติ ิรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ร้อยเอ็ด โครงการได้จัดกิจกรรมการขยายเครือขา่ ยในระหวา่ งคณะนติ ิศาสตรใ์ นระดบั ภูมิภาค ดังน้ี 1) การประชุมบทบาทของเครือข่าย นิติศาสตร์กับการรับใช้สังคม ภายใต้สถานการณก์ ารแพร่ ระบาดของโรค COVID-19 วนั ที่ 23 เมษายน 2563 ประชมุ ออนไลน์ผา่ นระบบ Zoom ในการประชุมมี ผู้เข้าร่วม จำนวน 18 คน ประกอบด้วย ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหารงานบุคคล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, หัวหน้าศูนย์บริการวชิ าการทาง กฎหมาย, หัวหน้าศูนย์ศึกษาความเป็นธรรม, หัวหน้าศูนย์พัฒนาและฝึกอบรม, หัวหน้างานบริหาร งานวิจัยฯ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณบดี และรองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณบดีฝ่ายนวัตกรรมการสอน และพัฒนาคุณภาพนิสิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา, รองคณบดีฝ่ายพัฒนานิสิตและวิเทศ สัมพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, คณบดี สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้า หลวง, คณบดี สำนักวิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, คณบดีและรองคณบดีฝ่ายบริการ วิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี โดยมีประเด็นแลกเปลี่ยนหารือและแชร์ประสบการณ์ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การพัฒนา ความร่วมมือภายใต้เครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม 2) หารือเนื้อหาและรูปแบบของกิจกรรม และ 3) แนวทางความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการเรียนการสอนและหลักสูตรสำหรับอนาคต ทั้งนี้ในท่ี ประชุมได้มีการหารือการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายและนำไปสู่การพัฒนาประเด็นร่วมกัน ซึ่งอาจจะ สามารถดำเนินกิจกรรม 1) สร้างเวทีวิชาการร่วมกันที่มี Impact ทางสังคมและตอบโจทย์ความไม่เป็น ธรรมในด้านตา่ งๆ 2) พัฒนาโจทย์วิจัยร่วมกัน ทำให้มหาวิทยาลัยในภูมิภาคเป็นผูร้ ับการสนับสนุนทนุ / งบประมาณจาก สกสว. ภายใต้เครือข่าย และ 3) การปรับปรุงหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอน ซ่ึง อาจจะสามารถมีวิชาหรือพัฒนาหัวข้อวิทยานิพนธ์ร่วมกันได้ อาจจะสร้างระบบการสอนออนไลน์เพ่ือ รองรับภารกิจในอนาคต 3-2
ผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการเรียนการสอนและหลักสูตร สำหรบั อนาคต มีการเสนอให้ 1) จดั ตัง้ ไลน์กลุ่ม “เครือขา่ ยนติ ิศาสตรเ์ พ่ือสังคม” 2) จดั ทำความร่วมมือ ทางวิชาการ (MOU) 3) จัดเวทีหารือการประชุมร่วมกันในการบูรณาการทำงานวิจัย / การเรียนการ สอนร่วมกัน หลังจากหมดช่วงวิกฤติโควิด19 และ 4) จัดเวทีนำภาควิชาการและภาคนักเคลื่อนไหวใน พื้นที่มาพบเจอกัน ซึ่งอาจจะได้โจทย์วิจัยและมีเครือข่ายคนทำงานในระดับพื้นที่ สร้างเครือข่าย ระดบั ประเทศ 3-3
2) การประชุมบทบาทของเครือข่ายนิติศาสตร์กับการรับใช้สังคมภายใต้สถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรค COVID-19 วันท่ี 2 มถิ ุนายน 2563 ประชุมออนไลนผ์ ่านระบบ Zoom ในการประชุมมี ผู้เข้าร่วม จำนวน 10 คน ประกอบด้วย คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, หัวหน้า ศูนย์บริการวชิ าการทางกฎหมาย, หัวหน้าศูนย์ศึกษาความเปน็ ธรรม, หัวหน้าศูนยพ์ ัฒนาและฝกึ อบรม, หัวหน้างานบริหารงานวิจัยฯ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะ นิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ, คณบดี สำนกั วิชานติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, คณบดี สำนัก วชิ ากฎหมาย มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย, ตวั แทนคณะนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ โดย มปี ระเด็นแลกเปล่ียนหารือกนั 1) การเรยี นการสอนในสถานการณ์โควิด 2) การพัฒนาความร่วมมือการ ทำ MOU เปน็ การสรา้ งความรว่ มมือของสถาบันในภูมิภาคและการพฒั นาขยายความรว่ มมือในประเด็น อื่นๆ ตลอดจนการหารือประเด็นความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยใช้ความร่วมมือ ร่วมกันของคณะนิติศาสตร์ในภูมิภาค เพื่อนำสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในแต่ละพื้นที่ขยับไปสู่ การ ขับเคล่อื นแกไ้ ขปญั หาในระดับชาติ ผลการประชุมหารือ 1) การเกิดเครือข่ายนิติศาสตร์ภายใต้การแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม ความเหลื้อมล้ำ โดยนำประเด็นความมเป็นธรรมในแต่ละพื้นทีม่ าขยับแก้ไขปัญหา ตอบโจทย์แก้ปัญหา ในพื้นท่ี 2) การพิจารณาร่าง MOU ใน Google drive ของแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อความสมบูรณ์ของ ข้อตกลงความร่วมมือ ทั้งนี้การสานพลังก่อนจะมีลงนามความร่วมมือ MOU ในแต่ละสถาบันอาจจะ เตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างสถาบัน ประเด็นการทำงานวิจัย รว่ มกัน ตลอดจนแนวทางการแก้ปญั หาความเหลือ่ มล้ำ ความไม่เปน็ ธรรมในพน้ื ท่ี 3-4
3-5
2. การพฒั นาและสรา้ งระบบสนบั สนุนในระดับมหาวิทยาลยั และระหวา่ งมหาวทิ ยาลัย และในระดับ เครอื ข่ายมหาวทิ ยาลัยกับระดับหนว่ ยงานภาครฐั 1) การประชมุ “เครือข่ายนิตศิ าสตร์เพ่ือสังคม: การพฒั นางานวจิ ัยและบริการวชิ าการ” ในวัน ศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563 เวลา 08.30 น. – 13.30 น. ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ ในการประชมุ มผี เู้ ข้ารว่ ม จำนวน 25 คน ประกอบดว้ ย ผู้แทนจากสถาบันพระปกเกล้า, คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ , คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร, คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยพะเยา, คณะ นติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม, สำนักวชิ านติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ ้าหลวง, สำนกั วิชา นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, คณะอิสลามศึกษาและนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี, คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และ คณะนิติ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ซึ่งในที่ประชุมมีการระดมความเห็นประเด็นความร่วมมือ เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการพัฒนางานวิจัยและบริการวิชาการภายใต้โจทย์ความเป็นธรรม แก้ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย โดยเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม ผลการประชุม 1) การนำเสนอ สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำด้านต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาค 2) แนวทางการทำงานและสร้าง ความรว่ มมือระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพ่ือสงั คมกับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุตธิ รรม และ 3) การพิจารณากรอบข้อตกลงความรว่ มมือระหวา่ งมหาวิทยาลยั ในการเขา้ ร่วมเปน็ เครือข่ายนิติศาสตร์ เพื่อสังคม และ ข้อตกลงร่วมมือระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคมกับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุตธิ รรม 3-6
3-7
2) การประชุม “เครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม: Workshop ประเด็นปัญหาโครงสร้างทาง กฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ” วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 เวลา 09.00 น. – 16.00 น. ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ ในการประชุมมีผู้เข้าร่วม จำนวน 30 คน ประกอบด้วย สถาบันพระปกเกล้า, ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม, ที่ปรึกษา สำนัก คณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม, ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและ พัฒนากระบวนการยุติธรรมกระทรวงยุติธรรม, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม (สกสว.), คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธ์ุ, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา, คณะอิสลามศึกษาและนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม, สำนักวิชานติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมีประเด็นประชุมแลกเปลี่ยนในประเด็นปัญหาโครงสร้างทาง กฎหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งในที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการทำงานร่วมกันในด้าน 1) การ พัฒนาโจทย์วิจัยของเครือข่าย 2) การเวทีวิชาการนิติศาสตร์เพื่อสังคมและกิจกรรมบริการวิชาการ ภายใต้การดำเนินงานของเครือข่าย 3) การจัดทำ White Paper ประเด็นความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นใน ภูมิภาคต่างๆ รวมถึงการศึกษาประเด็นความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม มีการนำเสนอแนว ทางการทำวิจัยของเครือข่ายนติ ิศาสตรเ์ พื่อสังคมร่วมกับแหลง่ ทุน โดย ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการ สำนกั วิจยั และพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า 3-8
3-9
3-10
3) พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรมกับเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรงุ เทพฯ มีผูเ้ ข้าร่วมจำนวน 33 คน ประกอบดว้ ย ผ้แู ทนจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธ์ุ, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา, คณะอิสลามศึกษาและนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยฟาฏอน,ี คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, สำนักวิชานติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ ฟ้าหลวง, คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฎั มหาสารคาม, สำนักวิชานิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ เ ช ี ย ง ร า ย , ค ณ ะ น ิ ต ิ ศ า ส ต ร ์ ม ห า ว ิ ท ย า ล ั ย ร า ช ภ ั ฏ สุ รา ษ ฎ ร์ ธ า น ี , ค ณ ะ น ิ ต ิ ศ า สตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร,์ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยอบุ ลราชธานี, คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัย อุบลราชธานี, สำนกั วชิ านติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, ผแู้ ทนจากสำนักงานกจิ การยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ในเวทีลงนามความร่วมมมือทาง วิชาการได้มีการนำเสนอเกมจบั คนผิด Justice game ซึ่งพัฒนาออกแบบโดยสำนักงานกิจการยตุ ิธรรม และมีการพูดคุยหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม กับ เครือข่ายนิตศิ าสตร์เพื่อสังคมโดย พ.ต.ท. ดร. พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการ สำนักงานกิจการยุตธิ รรม กระทรวงยุติธรรม ในการประชุมมีความเห็นให้มีการทำงานร่วมกันและจัดเวทีวิชาการร่วมกันระหว่าง เครือข่ายนติ ิศาตร์เพื่อสังคม สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุตธิ รรม และศนู ย์มานษุ ยวิทยาสิรินธร (องคก์ ารมหาชน) ในประเดน็ ด้านการลดความเหลื่อมล้ำในดา้ นตา่ งๆ ในพ้ืนทภี่ มู ิภาค 3-11
3-12
3-13
4) การประชุมเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม ครั้งที่ 2 วันที่จันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ผ่าน ระบบออนไลน์ zoom มีผู้เข้าร่วมจำนวน 17 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั พะเยา สำนักวิชานติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำนักวิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และสำนักงาน กิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ในการประชุมได้มีการพิจารณาหารือการทำงานด้านวิจัย บริการ วชิ าการและ การเรียนการสอน โดยในดา้ นการเรียนการสอนนิตศิ าสตร์ควรมีการเรียนการสอนออนไลน์ การสอนรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางเครือข่ายฯ ควรนำมาหารือและผลักดันต่อไป รวมถึง เครือข่ายฯ อาจจะมีกระบวนวิชาร่วมกันที่ในแต่ละมหาวิทยาลัยที่สามารถสอน/แลกเปลี่ยนร่วมกันได้ เช่น ระบบคิดในทางกฎหมาย (mind set), การตั้งคำถามในกฎหมาย, กระบวนการให้เหตุผลในทาง กฎหมาย, ทักษะการคดิ แบบมีเหตุมผี ลในทางกฎหมาย เป็นตน้ 3-14
3-15
5) การจัดประชุมเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม (วาระพิเศษ) วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุม 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผ่านระบบออนไลน์ Zoom มีผู้เข้าร่วมจำนวน 10 คน ประกอบด้วยผู้แทนจาก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำนักวิชา นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำนักวิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย คณบดีคณะ นิติศาสตร์ มหาว ิทยาลัยอุบลราชธานี มหาว ิทยาลัยอุบลราชธ านี และคณบดีคณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ในการประชุมได้มีการพิจารณาหารือรูปแบบการจัด ประชุมทางวิชาการระดับชาติว่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งที่ 18 โดยเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม ใน ประเดน็ หัวขอ้ : การเสวนาวชิ าการ “กระบวนการยตุ ิธรรม VS ความไม่เปน็ ธรรมในยุค New Normal” และหารือแนวทางการทำงานร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ซง่ึ เครือข่ายนิตศิ าสตร์ฯ ได้เสนอแนวทางการ ทำงานร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า โดยมีประเด็นการวิจัยที่น่าสนใจคือ 1) ประเด็นท้องถิ่น / สิทธิ ชุมชน 2) การประเมินรัฐธรรมนูญประเด็นเรื่องของสิทธิชุมชน และ 3) เรื่องธรรมนูญชุมชน และการ สรา้ งความเขม้ แข็งใหก้ บั ชุมชน 3-16
6) การประชุมเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคม ครั้งที่ 2 วันที่จันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ผ่าน ระบบออนไลน์ zoom มีผู้เข้าร่วมจำนวน 11 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ สำนักวชิ านติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟา้ หลวง สำนักวิชากฎหมาย มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงราย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม ในการประชุมได้มีแจ้งผลการหารือร่วมกับศูนย์มานุษวิทยาสิรินธรโดยจะมีแนวทางการ ทำงานร่วมกันในระดับต้น เช่น การร่วมจัดงานระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคมกับศูนย์มานุษ วทิ ยาสริ นิ ธรและการจัดทำกิจกรรมร่วมกนั ในประเดน็ เรือ่ งเกี่ยวกับบทบาทของกฎหมายที่เก่ียวข้องกับ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป (กฎหมายกับมานุษยวิทยา) และการจัดทำข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่าง เครือข่ายฯ และศูนย์มานุษวิทยาสิรินธรเพื่อเป็นฐานอ้างอิงในการทำกิจกรรมร่วมกันและการจัดสรร งบประมาณเพื่อการทำกิจกรรมวิชาการต่างๆ ร่วมกัน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือการพัฒนากรอบการวจิ ัย ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า และการออกแบบกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมซึ่งเครือข่ายฯ จะสามารถเข้าไป ทำงานร่วมกนั ได้ ในสว่ นประเด็นมุมมองทางกฎหมายในอนาคตทีส่ ถาบนั พระปกเกล้าไดจ้ ัดเตรยี มกรอบ แนวคิด (Concept) ทางกฎหมาย 3-17
3-18
สว่ นท่ี 2 การเตรียมประเดน็ เพอื่ การทำงานวิจัยและบริการวชิ าการร่วมกันของเครอื ขา่ ยวิชาการ ในการจัดประชุม/เวทีต่างๆ ท่ีทีมวิจัยได้ดำเนินการจัดขึ้นในส่วนที่ 1 นั้น ทำให้ได้ทราบถึง ประเด็นสถานการณ์ปัญหา และข้อเสนอแนะในประเด็นความเหล่ือมล้ำด้านตา่ งๆ ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทำ ให้ทางทีมวิจัยสามารถนำมาสังเคราะห์ประเด็นที่จะทำให้เครือข่ายสามารถที่จะมีประเด็นการทำงาน ร่วมกัน มกี ารประสานประเด็นและสามารถที่จะทำให้เครือข่ายสามารถที่จะมีข้อเสนอในระดับนโยบาย ตลอดจนข้อเสนอในการปรับปรุงระบบความเปน็ ธรรมและข้อเสนอตอ่ สงั คม ทั้งนี้ ในระดับเครือข่ายคณะนิติศาสตร์ การทราบประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ ของพื้นที่ปฏิบัติการ จะเป็นแนวทางในการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน หรือมีหลักสูตรที่ตอบ โจทย์ความไม่เป็นธรรมความเหลื่อมล้ำ หรือการมีวิชาร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษา รวมไปถึงการ ทำหลกั สูตร non degree ฯลฯ ทีมวิจัยได้ประสานงานสร้างความร่วมมือกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เพื่อ หารือการจัดเวทีวิชาการประเด็นการลดความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ซึ่งอยู่ ในระหว่างการประสานงานจัดเวทีวิชาการ อีกทั้ง ทีมวิจัยยังได้สร้างความร่วมมือกับสำนักงานกิจการ ยุติธรรม และคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) เพื่อหารือการทำงาน ร่วมกันในดา้ นวิจัยและบริการวิชาการในประเด็นเรื่องความเป็นธรรมและการลดความเหล่ือมล้ำ ซงึ่ ในปี 2564 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) จะมีการหารือการดำเนิน โครงการวิจัยด้านกระบวนการยุติธรรมจะเป็นช่องทางในการทำงานวิจัยและบริการวิชาการระหว่าง เครือข่ายนิตศิ าสตรเ์ พอ่ื สังคมกบั สำนักงานกจิ การยตุ ธิ รรมต่อไป ส่วนที่ 3 การพัฒนาความรว่ มมือกับหนว่ ยงาน/องค์กรภายนอกอนื่ ๆ 1) การประชุมการจัดการทรัพยากรน้ำในบริบทความเหลื่อมล้ำ: สถานการณ์ กับดัก และ โอกาส วันที่ 2 มีนาคม 2563 ณ หอ้ งประชมุ Dipak C. Jain อาคารศศนเิ วศ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ทางโครงการได้เข้าร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความเหลื่อมล้ำที่เกิด จากการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งในการประชุมมีประเด็นข้อเท็จจริงที่เห็นร่วมกันอย่างน้อย 4 ประเด็นคือ 1)ประเด็นเรื่องน้ำ เป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะ 2) การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมการใช้นำ้ แต่กอ่ นจะมีพธิ ีกรรมเกย่ี วกบั น้ำจำนวนมาก แตป่ ัจจบุ ันการบริหารจัดการน้ำเป็นเร่ืองของอำนาจในการ จัดการควบคุมจัดสรร 3) การจัดการโครงสร้างการจัดการน้ำ โดยความรู้ดา้ นวศิ วกรรม ทำให้ไมส่ ามารถ เข้าใจวัฒนธรรมการบริหารจดั การในพื้นที่ เมื่อสร้างแล้วส่งผลกระทบต่อวฒั นธรรมและการใช้น้ำในแต่ ละพื้นที่ สร้างแล้วไม่สอดคล้องกับการจัดการน้ำ และ 4) การจัดน้ำจากการจัดการโดยวัฒนธรรม มาสู่ การจัดการน้ำโดยวิศวกรรม และระบบบริหารราชการที่รวมศูนย์ การจัดการแบบรัฐซ้อนรัฐซ้อนรัฐ มี ความซับซ้อนและรวมศูนย์ของการบริหารจัดการน้ำ (มีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจความ ซับซ้อนท่ีเกดิ ขนึ้ ) ทงั้ น้ีในที่ประชมุ ยังเสนอการทำงานทมี่ ีเปา้ หมายในการปรับแก้ไข พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เพื่อการจัดการน้ำที่เป็นธรรม โดยเสนอ 1) กำหนดให้ชุมชนมีสิทธิในการบริหารจัดการน้ำ ทั้งการ ออกแบบ กำหนดรูปแบบ และการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ฟื้นฟู 2) กำหนดให้น้ำอุปโภค-บริโภคใน ครัวเรือน ภาคการเกษตร ท่องเที่ยว อุตสาหกรรมขนาดเล็ก และกลาง มีน้ำใช้อย่างเพียงพอแล้วจึง 3-19
กระจายให้โครงการขนาดใหญ่ของรัฐ และ 3) กำหนดให้การจัดการน้ำต้องยึดหลักระบบนิเวศเป็นตัว หลัก หากมีการสร้าโครงสร้างแข็งใหท้ ำนอกลำน้ำ 3-20
2) การประชุมการพัฒนาแนวทางการจัดกิจกรรม ระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคมกับ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร วันที่ 21 มกราคม 2564 โดยผ่านระบบออนไลน์ zoom มีผู้เข้าร่วมจำนวน 16 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย พะเยา สำนักวิชานิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั แม่ฟา้ หลวง สำนักวชิ ากฎหมาย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด สำนักงาน กิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม การประชุมได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับการสร้างความร่วมมือ ระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคมและศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ในการสร้างเครือข่ายเพื่อให้เกิด แพลตฟอร์มในการผลกั ดันนโยบายสาธารณะ และการแลกเปล่ียนขา้ มศาสตร์ ในประเด็น 1) สร้างองค์ ความรู้ร่วมเพือ่ ไปแก้ปัญหา 2) สร้างเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนแนวทางการทำงานร่วมกันในการ พัฒนางานวิจัย เพื่อไปสู่การผลักดันทางนโยบาย (การทำองค์ความรู้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ นำไป ผลักดันทางนโยบาย) และการแลกเปลี่ยน สร้างพื้นที่ในการแลกเปล่ียนความรู้ระหว่างศาสตร์ทาง กฎหมายและมานษุ ยวิทยา 3-21
3) การประชุมพัฒนาความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคมกับ ศูนย์ มานษุ ยวทิ ยาสิรนิ ธรฯ วนั พฤหัสบดีที่ 11 มนี าคม 2564 เวลา 09.00 – 12.30 น. ณ ศนู ย์มานุษยวิทยา สิรินธร มีผู้เข้าร่วมจำนวน 8 คน ประกอบด้วยผู้แทนจากคณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะ นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ในการประชุมได้หารือการ สร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์เพื่อสังคมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร ในการจัดเวที วิชาการ และการพัฒนาโจทย์วิจัย/กิจกรรมร่วมกัน เช่น การร่วมเวทีวิชาการ 30 ปีมานุษยวิทยา ใน ประเด็นกฎหมายกับมานุษยวิทยา ตลอดจนการพัฒนาองค์ความรู้ในสาขานิติศาสตร์ มานุษยวิทยา ประเด็นกฎหมายในด้านต่างๆ และองค์ความรู้ในประเด็นเฉพาะต่างๆ โดยทำความตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่างเครือข่ายนิติศาสตร์ฯ กับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ทั้งนี้ เครือข่ายนิติศาสตร์ฯ และ คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณไดห้ ารือแนวทางการจดั ต้ังศูนยช์ าติพันธ์ุ ในมหาวทิ ยาลัยทักษณิ 3-22
3-23
4) การประชุมทางวชิ าการระดับชาตวิ ่าด้วยงานยุติธรรม ครั้งท่ี 18 “การอำนวยความยุติธรรม ในยคุ วถิ ีใหมส่ ปู่ ระชาชน” ผา่ นระบบออนไลน์ zoom วนั ท่ี 13 พฤษภาคม 2564 เวลา 13.00–16.30น. เป็นความร่วมมือระหว่างเครือข่ายนิตศิ าสตร์เพือ่ สังคมกับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ในการร่วมจัดเสวนาและร่วมแลกเปลี่ยน ในหัวข้อ กระบวนการยุติธรรมยุคใหม่กับการสร้างความเป็น ธรรม ซึ่งมีการจัดเวทีเสวนาเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นที่ 1 “ประเมินสถานการณ์ความไม่เป็นธรรม กบั การจัดทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม” และประเดน็ ที่ 2 “กระบวนการยุติธรรมกับการจัดการ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม” ในการเสวนาชว่ งท่ี 1 ประเมนิ สถานการณ์ความไมเ่ ปน็ ธรรมกับการจดั ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เป็นการแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์ และมุมมองของการจัดการทรัพยากรธรรมและ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ในช่วงตลอดหลายปีทผี่ า่ นมา และข้อเสนอต่อกระบวนการยตุ ิธรรมซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความ เป็นธรรมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการถ่ายทอดประสบการณ์ท่ี ประสบผลสำเร็จและล้มเหลว เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการต่างๆ ในการปฏิบัติงาน การ เตรียมการ ออกแบบ รวมถึงการสร้างคุณค่าใหม่ในการสร้างความเป็นธรรมเพื่อการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายของหน่วยงานทัง้ หลายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่าจะจัดการใหเ้ กิดความเป็นธรรมได้อย่างไร และในการเสวนาช่วง ที่ 2 การแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์ มุมมองด้านกระบวนการยุติธรรมกับการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอแนะต่อระบบกระบวนการยุติธรรมที่จะพัฒนา ปรับปรุงหรือปฏิรูประบบกระบวนการยุติธรรมเพื่อนำไปสู่ “การอำนวยความยุติธรรมวิถีใหม่” ต่อ ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ในเวทีเสวนาได้ เสนอแนะแนวทางการความเปน็ ธรรมกับการจดั ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมในยคุ ใหม่ ดงั น้ี 1. การมองเรื่องในการจัดทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม ระบบนิเวศน์เป็น ศูนย์กลาง เรื่องธรรมชาติ มองว่าทรัพยากรธรรมชาติก็มีสิทธิในตัวของมันเอง แต่เราจะใช้สิทธิแทนใน รูปแบบไหนและอย่างไร เพื่อมองให้เห็นในเรื่องการจดั การทรัพยากรแบบองค์รวมท่ีมีระบบนิเวศน์เป็น ศูนย์กลาง 2. การสร้าง Mind Set ของบุคคลที่ไปดำเนินการในระดับชุมชนหรือนโยบายให้มองถึงระบบ นิเวศน์และมองในทางนิติบัญญัติหรือบริหาร ว่าสามารถสร้างความเป็นธรรมให้คนเข้าถึงทรัพยากร ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งไรเพอื่ จะไมเ่ กิดประเดน็ ความขัดแย้งระหว่างกนั 3. ในเรื่องมิติของความยุติธรรมสิ่งแวดล้อมในเรื่องเนื้อหากับกระบวนการ เราจะสร้างความ สมดุลระหวา่ งคนและสิง่ แวดล้อม ใหอ้ ย่ใู นสิ่งแวดล้อมที่ดี ไมม่ ีการเลอื กปฏิบัตหิ รือกีดกันกลุ่มคน มีการ จัดการในรูปแบบที่โปรง่ ใส รวมถึงการกระจายข่าวสารให้ประชาชนเขา้ ใจในทศิ ทางตรงกนั 4. กระบวนการยุติธรรมในส่ิงแวดลอ้ ม มี 3 ระดับคือ ระดับสากล ระดับชาติ และระดับชุมชน ซึ่งจะทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลกับชุมชน โดยเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึง ความยตุ ิธรรม ในเร่อื งขอ้ จำกดั ในการเขา้ ถึงความยุตธิ รรม ดังน้ี 3-24
1) การมีองค์กรอิสระในฝ่ายปกครองเพื่อทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ และการมีองค์กร/ หน่วยงาน เพือ่ รบั การสนับสนุนงบประมาณหรือการทำกจิ กรรมไปต่อสู้คดรี ่วมกบั ชาวบา้ นได้ 2) การพัฒนานักกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับปฏิบัติการและใน สถาบนั การศกึ ษา เช่น การพัฒนาหลักสูตรนติ ิศาสตร์ทางด้านสิง่ แวดล้อมเปน็ หลักสตู รทางเลอื ก 3) การสร้างความไว้ใจระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงาน / เจ้าหน้าที่รัฐ และส่งเสริมให้ ชาวบ้านสามารถเขา้ ถึงสทิ ธิในความยุตธิ รรม 3-25
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116